คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 20 สิงหาคม 2023
เรื่อง “คำอธิษฐาน มัทธิว 6:9-15”
“พระเยซูกำลังสอนให้เราทำตามหรือ?” ตอน 7
โดย นคร เวชสุภาพร
วันนี้ … “คำอธิษฐาน มัทธิว 6:9-15” “พระเยซูกำลังสอนให้เราทำตามหรือ?” ตอนที่ 7 ซึ่งจะเป็นตอนจบของการบรรยายในชุดนี้
เรามาเริ่มต้นทบทวนประเด็น สิ่งที่เราได้เรียนรู้กันมา ในซีรี่ย์บรรยายชุดนี้ 6 ตอนที่ผ่านมาแล้ว สรุปสั้นๆ ก็คือเป็นบริบทที่พระเยซูมาประกาศข่าวดีให้กับมวลมนุษยชาติ …
1. โดยพระเยซูเริ่มประกาศข่าวดีนี้กับชาวยิวก่อน แล้วให้ชาวยิวไปประกาศให้กับชาวต่างชาติทั่วไป มวลมนุษยชาติ เรารู้เรื่องนี้แล้วว่าพระองค์มาประกาศให้กับชาวยิว ที่เราฟังมา 6 ตอนนั้น คือเรื่องของชาวยิวทั้งสิ้น ยังไม่ได้เกี่ยวอะไรกับเราเลย จึงถามว่าชาวยิวกับเราคือใคร?
ชาวยิว ก็คือมนุษย์ที่พระองค์ทรงเลือกสรรไว้กลุ่มแรก คนที่ไม่ใช่ชาวยิว ก็คือคนต่างชาติ คือชาติอะไรก็ตาม นอกเหนือจากนั้น เป็นพวกมนุษย์กลุ่มที่ 2 ที่พระองค์ทรงเลือกสรรไว้ ทั้งสองพวกนี้ พระองค์ทรงเลือกไว้ ให้มาได้รับความรอดในพระเยซูคริสต์เหมือนกันเลย มีสิทธิ์เท่ากัน เรารู้เรื่องนี้แล้วว่าพระองค์มาประกาศ
2. พระองค์ไม่ได้มาสอนเรื่องบทบัญญัติ บททางศีลธรรม เพื่อให้ปฏิบัติตาม แต่มาชี้ให้เห็นทางโลกวิญญาณว่าชาวยิวเอ๋ย ท่านไม่มีทางที่จะรักษาบทบัญญัติได้ อย่างครบถ้วนบริบูรณ์ ตามมาตรฐานของพระเจ้า เพื่อจะได้เข้าไปอยู่ในสวรรค์กับพระเจ้า เข้ากับพระเจ้าได้ บริสุทธิ์เหมือนพระเจ้าได้ มันเป็นไปไม่ได้เลย
3. มีเพียงหนทางเดียว คือต้องวางใจในพระเยซูคริสต์ และพึ่งในการกระทำของพระองค์เท่านั้น และสิ่งที่พระองค์ทรงชี้ให้เห็น คือท่านต้องได้รับการบังเกิดใหม่ ซึ่งขณะนั้น ชาวยิวที่ฟังอยู่ไม่มีใครเข้าใจเลยว่าบังเกิดใหม่ในวิญญาณนั้น คืออะไร? เขาไม่เข้าใจกัน ท่านต้องได้รับการบังเกิดใหม่เท่านั้น โดยการวางใจเชื่อในพระองค์ว่าเป็นพระมาซีฮาห์ จึงจะสามารถเป็นผู้ชอบธรรม บริสุทธิ์ ดีพร้อมเหมือนพระเจ้าได้ และสามารถเข้าส่วนรวมเป็นหนึ่งเดียวกัน เหมือนกับพระเจ้าได้ เป็นหนทางเดียวเท่านั้นจริงๆ
นี่สรุป 6 ตอนนั้น พระเยซูมาประกาศอยู่อย่างนี้ ยกตัวอย่างอุปมาอย่างโน้นอย่างนี้มา ก็เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับเรื่องเหล่านี้ทั้งสิ้น และคำตอบที่เราได้รับมาจากหัวข้อเรื่องว่าเป็นคำอธิษฐานมัทธิว 6:9-15 นี้ พระเยซูไม่ได้มาสอนให้เราทำตามใช่หรือไม่? ก็คือใช่ ไม่ได้มาสอนให้เราทำตาม แต่มาประกาศความจริงว่าพระองค์มา เพื่อช่วยเหลือมนุษย์ให้ได้รับความรอดจากความบาป กลับมาสู่พระเจ้า โดยพระองค์จะเป็นผู้กระทำเอง เพียงผู้เดียว ชัดเจนเลยนะ
พระองค์ไม่ได้มาตั้งกฎเกณฑ์อะไรต่างๆ เพื่อให้มนุษย์รักษาบทบัญญัตินั้น ให้ทำตาม ไม่ได้มาสอนอย่างนั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งหัวข้อเรื่องที่เราตั้งขึ้นว่าคำอธิษฐาน ในมัทธิว 6:9-15 ซึ่งเราเอามาใช้กันว่าพระเยซูอธิษฐาน คำอธิษฐานของพระเยซู เราก็เลยยิ่งเคารพใหญ่เลยว่าคำอธิษฐานของพระเยซู เพราะฉะนั้น เราต้องทำตาม พระเยซูกำลังสอนให้เราอธิษฐานอย่างนี้ ซึ่งมันไม่ใช่เลย
คำอธิษฐานในมัทธิว 6:9-15 นี้ พระเยซูไม่ได้มาอธิษฐาน แต่พระองค์ได้มาชี้ให้เราว่าถ้าเราไม่เชื่อ ไม่วางใจในพระองค์ เรายังอยู่ในพระคัมภีร์เดิม แบบยิวในสมัยนั้น เราต้อง (คือยิวนะ) ชาวยิวต้องอธิษฐานอย่างนี้ คืออย่างในมัทธิว 6:9-15 เห็นไหมครับ? แต่ไม่ใช่คำอธิษฐานของพระเยซูคริสต์ แต่พระเยซูต้องการชี้ให้พวกเขาเห็น ว่าเขากำลังอยู่ในสถานะไหนในโลกฝ่ายวิญญาณในขณะนั้น เขาต้องพึ่งในการกระทำของพระองค์ พระเยซูคริสต์ พระผู้ช่วยให้รอดเท่านั้น เขาถึงสามารถได้รับการอภัยโทษจากความบาปผิดของเขาทั้งหมดได้ โดยพระเจ้าอภัยผ่านทางพระบุตรเท่านั้น นี่คือสิ่งที่พระองค์ทรงชี้ให้เขาได้เห็น จากบริบทนี้ จากชื่อเรื่องซีรี่ย์นี้
สิ่งเหล่านี้ เราได้เรียนรู้ 6 ตอน พระเยซูอธิษฐานกับพระเจ้าจริงๆ เมื่อไร? มีจริงๆ แต่เป็นตอนจบของบริบทนี้ทั้งหมด ครบ 3 ปีที่พระองค์มาเดินอยู่บนโลกใบนี้ เพื่อประกาศข่าวประเสริฐนี้ ให้กับชาวยิวก่อน ปลายๆ ก่อน 3 ปีนี้ ที่พระองค์จะทรงกระทำให้สำเร็จ พระองค์อธิษฐานจริงๆ พระองค์อธิษฐานกับพระเจ้า พระบิดาไม่กี่ชั่วโมง ก่อนที่จะไปทำภารกิจ ที่พระองค์ได้ถูกใช้มา ก็คือไถ่มนุษย์ให้หลุดพ้นจากความบาป ให้มนุษย์ทุกคนได้รอดพ้นจากความพินาศ รอดพ้นจากความบาป ความผิด โดยการหลั่งพระโลหิตของพระองค์ สิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน และถูกชุบให้เป็นขึ้นจากความตาย ในวันที่ 3
พระองค์ตายจริงๆ ไม่ใช่พระองค์เป็นขึ้นจากความตาย ด้วยตัวพระองค์เอง แต่พระองค์ตายไปแล้วจริงๆ และพระเจ้าทรงชุบหรือทำฤทธิ์เดชให้พระเยซูเป็นขึ้นจากความตาย ผ่านทางฤทธิ์เดชอำนาจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า ลงไปชุบพระเยซูให้เป็นขึ้นจากความตาย ด้วยฤทธิ์เดชอำนาจของพระวิญญาณของพระเจ้า นี่แหละ ฤทธิ์เดชอำนาจของพระเจ้า ผ่านทางพระวิญญาณบริสุทธิ์ ตรงนี้สำคัญมากๆ นะ
พระเยซูได้ทำภารกิจตรงตามเป้าหมาย ที่พระองค์ได้ถูกใช้มา และเป้าหมายในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ 3 ปีที่ประกาศนั้น คือเป้าหมายนี้ ตลอด 3 ปีที่เราได้เรียนรู้มาว่าพระองค์มาสอนให้เรา ทำตามบทบัญญัตินี้ หรือทำตามกฎทางศีลธรรมหรือ? เปล่า
พระองค์มาประกาศ บอกให้ว่าภารกิจของพระองค์มาเพื่ออะไร? เพื่อเป็นตัวแทนให้กับเรา เป็นผู้รับใช้ของพระเจ้า มาเพื่อไถ่บาปให้กับเรา มาบอกให้เราวางใจในพระองค์ว่าพระองค์เป็นพระเมสิยาห์ ที่พระเจ้าทรงสัญญาไว้ ตั้งแต่บรรพบุรุษของชาวยิวแล้ว บอกชาวยิวให้วางใจในพระองค์ว่ามาแล้วจริงๆ แล้วพระองค์ทรงทำการอัศจรรย์เยอะแยะมากมายไปหมด เพื่อยืนยันว่าพระองค์เป็นผู้นั้นจริงๆ เป็นพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์ ที่เรียกว่าพระมาซีฮาห์ พระคริสต์ ผู้ที่พระเจ้าเจิมตั้งไว้ และสัญญาไว้ตั้งแต่สมัยอดีตแล้ว ให้พวกท่านเชื่อและวางใจในพระองค์เท่านั้น และพระองค์จะกระทำสิ่งเหล่านี้ทั้งหมด คือให้ท่านได้บังเกิดใหม่ เป็นผู้ชอบธรรมบริสุทธิ์ ดีพร้อม โดยฤทธิ์เดชแห่งการเป็นขึ้นมาจากความตาย โดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า นี่เป็นฤทธิ์เดชที่พระเจ้าชุบพระเยซูให้เป็นขึ้นจากความตาย อันเดียวกันนี่แหละ เพื่อท่านจะได้บังเกิดใหม่ และสามารถเข้าไปอยู่ในพระเจ้าได้
พระองค์ทรงยกตัวอย่างเยอะแยะ พระองค์ทรงอธิษฐาน ตอนปลายๆ ของปีที่ 3 ก่อนที่จะถูกนำไปตรึงที่ไม้กางเขน พระองค์พูดในหนังสือยอห์น พูดถึงอะไร? เรื่องการเข้าไปมีส่วน เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์ คือบังเกิดใหม่ พูดกับสาวกไว้อย่างชัดเจน เริ่มต้นพูดอุปมาลึกซึ้งขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะสาวก 12 คนที่พระองค์ทรงจัดตั้ง เตรียมไว้ สำหรับเป็นผู้เริ่มต้นการประกาศข่าวประเสริฐ ข่าวดีของพระองค์ให้กับบรรดาประชาชาติทั้งปวง พอใกล้ๆ วันที่พระองค์จะทำภารกิจนี้ ถูกนำไปตรึงที่ไม้กางเขนนั้น
พระองค์ทรงรีบร้อนอธิบายสิ่งเหล่านี้ให้กับสาวก 12 คนชัดเจนมากขึ้นเรื่อยๆ ตั้งแต่ทำมหาสนิทร่วมกันกับสาวก 12 คน ว่าน้ำองุ่นคืออะไร? ขนมปังคืออะไร? ท่านอย่าลืมนะ เราทำให้ท่านอย่างนี้ เพื่อไถ่ท่านนะ ท่านต้องกินเลือด ท่านต้องกินขนมปัง คือเล็งถึงร่างกายของเราที่แตกหัก เพื่อท่าน ต้องดื่มเลือดของเราที่หลั่งออกมา ก็คืออันนี้แหละ คือการเข้าร่วมส่วน สนิทกัน เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์
แล้วจากนั้นก็ยกตัวอย่างอีกว่าเราเป็นเถาองุ่นนะ ท่านต้องมาอาศัยอยู่ในเรา คือมาต่อติดกับเรา ถ้าท่านไม่ต่อติดกับเรา มันไม่เกิดผลหรอก การต่อติด ก็คือวิญญาณเข้ามาเป็นหนึ่งเดียวกัน แล้วก็บอกว่าและถ้าท่านเชื่อและวางใจในเรา ตามที่เราได้ประกาศให้กับท่าน เรากับพระบิดาจะมาสร้างบ้านของเราอยู่ในตัวท่าน เราจะมาอาศัยอยู่ในท่าน และท่านจะมาอาศัยอยู่ในเรา เราจะเป็นหนึ่งเดียวกันนะ
นี่คือสิ่งที่สรุปก่อนที่พระองค์จะทรงกระทำให้สำเร็จ และเมื่อพระองค์ทำสำเร็จแล้ว พระองค์ก็จะจากไป ในฐานะของมนุษย์ที่จับต้อง มองเห็นได้ ก็เข้าไปสู่ในโลกวิญญาณ พระองค์จึงต้องกำชับชาวยิว และเข้มข้นขึ้น ก็คือชาวยิวที่ถูกเลือกสรรไว้ ให้เข้าใจ ลึกซึ้งขึ้น ก็คือชาวยิวที่เป็นสาวกใกล้ชิด 12 คน ซึ่งมีคนหนึ่งพลาดไป ไม่คิด
เราจึงเห็นภาพรวมว่า 3 ปีมานี้ ที่เราได้เรียนรู้กันมา เรื่องราว เรื่องนี้ 6 ตอนแล้ว มันเป็นอย่างนี้เองหรือ? ใช่ มันเป็นอย่างนี้ พระเยซูต้องการมาบอกว่าให้เตรียมตัวว่าพระองค์มาแล้ว และพระองค์จะทำอะไรที่ไม้กางเขน พระองค์จะตายที่ไม้กางเขน พระองค์จะถูกฝังไว้ในอุโมงค์ และวันที่ 3 พระองค์จะถูกชุบให้เป็นขึ้นจากความตาย ด้วยฤทธิ์เดชอำนาจอันยิ่งใหญ่ของพระเจ้า การเป็นขึ้นจากความตายนี้ จึงเป็นตัวสำคัญ เป็นข่าวดี ข่าวประเสริฐของพระเจ้า สำหรับมนุษย์ทุกคนเลย นี่คือภาพรวมทั้งหมด
คราวนี้ เมื่อเรารู้ว่าคำอธิษฐานในมัทธิว 6:9-15 ไม่ใช่คำอธิษฐานของพระเยซู ก็ไม่ใช่นะสิ แล้วคำอธิษฐานของพระเยซู คืออะไร? ก็คือไม่กี่ชั่วโมง หลังจากอธิบาย ประกาศ ถ้อยคำ ชี้แจง ในโลกวิญญาณให้กับสาวก 12 คน อย่างชัดเจน แจ่มแจ้ง เรียบร้อยแล้ว พระองค์กำลังเดินทางไปสู่ตะแลงแกง เป็นภารกิจสุดท้าย
ภารกิจสุดท้ายของพระองค์ คือการตายที่ไม้กางเขน และเป็นขึ้นจากความตาย นั่นคือชัยชนะยิ่งใหญ่ ตอนที่มาเกิดเป็นมนุษย์ ยังไม่ได้เป็นชัยชนะ ยังต้องต่อสู้อีกเยอะ แม้ว่าพระองค์เป็นพระเจ้าก็จริง แต่พระองค์ยอมถ่อมมาเกิดเป็นมนุษย์ ต่ำต้อยกว่าฐานะเป็นพระเจ้ามาก เป็นมนุษย์ธรรมดา เป็นเนื้อหนังแบบเราๆ อย่างนี้
เพราะฉะนั้น 33 ปีของพระองค์ เป็นการต่อสู้อย่างรุนแรงในตัวของพระองค์เองมาก เราก็รู้อยู่แล้วว่า 3 ปีสุดท้าย พระองค์ก็เริ่มประกาศ ก่อนที่จะทำภารกิจบนไม้กางเขน ตอนประกาศ ท่านก็ทราบดีแล้ว ถูกขัดขวาง ถูกต่อต้าน อย่างรุนแรง อย่างมากมาย สาหัสสากัน ในฐานะเป็นมนุษย์ พระองค์ก็เจ็บปวดทุกข์ทรมานทั้งกายและใจ แต่ก็ผ่านมาได้ ชนะมาได้ตลอด จนถึงวินาทีสุดท้ายที่สวนเกเสมเน อธิษฐานถึง 3 ครั้ง บอกพระเจ้าว่าเป็นไปได้ไหม? ไม่ต้องไปตะแลงแกง ถูกตรึงที่ไม้กางเขน เป็นไปได้ไหม? 3 ครั้ง คุกเข่าอธิษฐาน ทรุดลงอธิษฐาน ด้วยความกลัว แต่ พระเจ้าทรงเงียบ ก็คือไม่ได้ มันต้องเป็นไปตามแผนการที่พระองค์ทรงวางไว้เรียบร้อยแล้วนั้น
เมื่อพระองค์มีกำลัง พระองค์ก็ตัดสินใจ โอเค เพราะฉะนั้น ให้เป็นไปตามน้ำพระทัยของพระองค์แล้วกัน แล้วจากนั้น พระองค์ก็ลุกขึ้น แล้วก็เดินไป แล้วก็สั่งสาวกเหล่านี้ บอกสาวกเหล่านี้ ย้ำอีกทีหนึ่งว่าท่านต้องอยู่ในเรานะ มันจะเกิดอะไรขึ้นอย่างนี้ เรากับท่านจะเป็นหนึ่งเดียวกัน เราจะไปสร้างบ้านของเราอยู่ในตัวของท่าน ท่านจงรอคอยนะ ที่ๆ เราจะไป ท่านไปไม่ได้หรอกตอนนี้ แต่เราจะกลับมารับท่าน
พูดสั่งเสียเสร็จเรียบร้อย ก็อธิษฐาน ก่อนที่จะไปทำให้สำเร็จ คราวนี้อธิษฐานของจริงเลย อธิษฐานตามภารกิจที่พระองค์ทรงถูกแต่งตั้งให้มาทำบนโลกใบนี้ คืออธิษฐานเกี่ยวกับการไถ่มนุษย์ ให้รอดพ้นจากความบาป มาเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเจ้า ตามที่พระองค์ได้ทรงอธิบายไว้ และพระเยซูคริสต์ได้ทำภารกิจตรงตามเป้าหมายนี้เรียบร้อยแล้ว สำเร็จเรียบร้อยมา 2,000 ปีแล้ว
เราลองมาดูว่าคำอธิษฐานที่เป็นคำอธิษฐานจริงๆ ของพระเยซูคริสต์ ก่อนที่จะไปทำภารกิจให้สำเร็จนั้น พระองค์อธิษฐานอย่างไร? อยู่ในหนังสือยอห์น บทที่ 17 พระคัมภีร์บันทึกไว้ เป็นคำอธิษฐานของพระเยซูคริสต์แท้จริงเลย ทั้งหมดมี 26 ข้อ ตั้งแต่ข้อ 1 ถึงข้อที่ 26 เป็นคำอธิษฐานของพระเยซูหมดเลย เราจะได้รู้ว่าพระองค์จะทำอะไรบนไม้กางเขน เป็นไปตามที่ตะกี้เราได้เรียนรู้กันเป๊ะ คือให้มนุษย์มาได้เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเจ้า พ้นจากความบาป เราจะข้ามข้อ 1 ถึงข้อ 13 ไป ท่านไปอ่านเองก็ได้
พออธิบายกับสาวกจบ เสร็จปุ๊บ พระองค์ก็เริ่มอธิษฐานให้กับสาวก 12 คนนั้น และอธิษฐานมาถึงพวกเราทุกๆ คนบนโลกใบนี้ด้วย ชัดเจน อันนี้ ถือเป็นคำอธิษฐานของพระเยซูจริง ที่ควรจะจดจำเอาไว้ ควรจะไม่ลืม ดังที่พระเยซูบอกว่า …
“ท่านกระทำพิธีนี้ อย่าลืมสิ่งที่เราทำให้กับท่าน”
ก็คือคำอธิษฐานเหล่านี้ เป็นคำอธิษฐานที่พระองค์กระทำสำเร็จ มา 2,000 ปีแล้ว แต่ที่เรากำลังจะอ่านนี้ เป็นคำอธิษฐานที่พระองค์ทรงเริ่มต้นก่อนที่จะไปทำภารกิจ แต่ตอนนี้ เรารู้แล้วว่าทำภารกิจนั้นสำเร็จเรียบร้อยตามคำอธิษฐานเป๊ะเลยทันที ซึ่งเกี่ยวข้องกับเรา โดยเฉพาะอย่างยิ่งตั้งแต่ข้อ 14 ถึงข้อ 26 เกี่ยวข้องกับเรามาก ข้อ 1 ถึงข้อ 13 ยังไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับเรามากนัก ยังอยู่ในการอธิษฐานให้กับสาวก 12 คนนั้นอยู่ นึกภาพนะ 12 คนอยู่ใกล้ชิดที่สุด ก่อนที่พระองค์จะเข้าไปสู่ภารกิจ สุดท้ายจริงๆ มีอยู่ 12 คน เราก็ทราบกันดีอยู่แล้ว
คำอธิษฐานของพระเยซู ในยอห์น 17:1-13 อธิษฐานให้สาวก 12 คน พอตั้งแต่ข้อ 14 มันจะเกี่ยวอะไรกับพวกเราแล้ว เดี๋ยวเราลองติดตามดู มันตื่นเต้นดีว่านี่แหละ คือคำอธิษฐานของพระเยซูคริสต์ที่แท้จริง ที่เราควรจะติดตาม และจดจ่อ และจะไม่ลืม ท่องได้ ยิ่งดี จำได้เท่าไรยิ่งดีเท่านั้น พูดแล้วยิ่งดี เอเมนทุกข้อเลยว่าพระองค์ทำสำเร็จไปแล้ว สรรเสริญพระเจ้า มันเป็นอย่างนั้นจริงๆ เอเมน เพราะเป็นคำอธิษฐานของพระเยซูคริสต์ของแท้จริงๆ เอเมน
อธิษฐานให้เขาได้ยินด้วย เขาจะได้จดเอาไว้ ใครจดเอาไว้? สาวก 12 คนนี้ จะได้จดเอาไว้ว่าพระองค์อธิษฐานอย่างนี้ เขายังไม่รู้เรื่องเลย ไม่เข้าใจละเอียด แต่พระองค์บอกเขาว่าตอนนี้ท่านยังไม่รู้ละเอียด แต่หลังจากนี้ไป เมื่อพระวิญญาณบริสุทธิ์เข้ามาสถิตอยู่กับท่านแล้ว พระวิญญาณจะนำท่านไปสู่ความจริงเหล่านี้ทั้งปวง ก็คือวันเพ็นเทคอสมา
คราวนี้เราจะเริ่มคำอธิษฐานของพระเยซูที่แท้จริง ในหนังสือยอห์น 17:14-26 เราเริ่มต้นจากข้อ 14 ให้เห็นภาพสมมติว่าเราเป็นสาวก 12 คน แล้วพระเยซูสั่งเสียเสร็จปุ๊บ พระเยซูก็อธิษฐาน ในบทที่ 17 ข้อ 1 เลย บอกว่าพระองค์ทรงเงยหน้าขึ้น แล้วก็พูดว่า …
“พระบิดาผู้สถิตในสวรรค์”
คุ้นๆ ไหม? คุ้นๆ กับหัวข้อเรื่องไหม? คำอธิษฐานในมัทธิว 6:9-15 “พระบิดาผู้สถิตอยู่ในสวรรค์” อันนั้นไม่ใช่ของจริง อันนี้ของจริง พระองค์อธิษฐานจริง
“พระบิดาผู้สถิตอยู่ในสวรรค์ ลูก หมายถึงตัวพระองค์เอง อธิษฐานให้กับพวกสาวกเหล่านี้ ที่พระองค์ได้ทรงประทานให้กับลูก …” 13 ข้อ สาวกก็นั่งฟังอยู่ พอข้อ 14 พระองค์ทรงอธิษฐานอย่างนี้ ยอห์น 17:14 เริ่มต้น …
ยอห์น 17:14 “ลูกได้ให้คำสอนของพระองค์แก่พวกเขาแล้ว แต่โลกนี้เกลียดพวกเขา เพราะว่าพวกเขาไม่ได้เป็นของโลกนี้ เหมือนกับที่ลูกไม่ได้เป็นของโลกนี้”
“พวกเขา” ก็คือสาวก 12 คน แต่ว่าตอนท้ายของคำอธิษฐาน ที่บอกว่าพวกเขานี้ ไม่ใช่เฉพาะสาวก 12 คนเท่านั้น แต่รวมไปถึงผู้เชื่อ ในการประกาศข่าวประเสริฐของ 12 คนนี้ด้วย เหลือ 11 คน ก็คือผู้ที่ทรยศ ก็คือยูดาส แล้วก็มีคนมาแทน
สาวก 12 คนหรือ 11 คนนี้ ไม่ใช่อธิษฐานให้กับเขาอย่างเดียว แต่อธิษฐานให้กับคนที่เขาเชื่อในการประกาศข่าวดีของกลุ่มนี้ เริ่มต้นจาก 12 คนหรือ 11 คนนี้ ใครก็ตามที่เชื่อในข่าวดีนี้ เขาก็จะได้รับตามที่พระองค์ทรงกระทำให้ บนไม้กางเขน และเป็นขึ้นจากความตายในอีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้านี้
“ลูกได้ให้คำสอนของพระองค์แก่พวกเขาแล้ว แต่โลกนี้เกลียดพวกเขา เพราะว่าพวกเขาไม่ได้เป็นของโลกนี้ เหมือนกับที่ลูกไม่ได้เป็นของโลกนี้”
ไม่ได้เป็นของโลก ก็คือพวกเขาที่วางใจในพระเยซูคริสต์ เขาเป็นของพระคริสต์ เป็นของพระเจ้าแล้ว เขาไม่ได้เป็นของโลก โลกนี้เป็นความบาป เขาไม่ได้เป็นความบาป เขาได้บังเกิดใหม่แล้ว จากการเชื่อและวางใจในข่าวดี คือวางใจในเรา ผู้เป็นพระเมสิยาห์ ตรงนี้หมายถึงอย่างนั้น ข้อ 15-16
ยอห์น 17:15-16 “15 ลูกไม่ได้ขอให้พระองค์เอาพวกเขาออกไปจากโลกนี้ แต่ลูกขอให้พระองค์คุ้มครองพวกเขา ให้พ้นจากมารร้ายตัวนั้น 16 พวกเขาไม่ได้เป็นของโลก เหมือนกับที่ลูก ไม่ได้เป็นของโลก”
พวกเขา ก็คือสาวก 12 คนนี้ กับผู้ที่เชื่อในข่าวดีที่เขาจะประกาศมาถึงนั้น ก็หมายถึงคริสเตียนทุกคนที่เชื่อ รวมทั้งเราด้วย ที่เชื่อและวางใจในพระเยซู
พระคัมภีร์บอกว่าพวกเราทั้งหลาย คริสเตียน ไม่ว่าจะเป็นชาวยิวก็ตามหรือชาวต่างชาติที่ได้รับข่าวประเสริฐ ผ่านมาทางชาวยิวก่อน จำได้นะ ชาวยิวเป็นพวกแรก พวกที่สอง คือชาวต่างชาติ ทั้งสองพวกเกิดจากการวางใจในพระเจ้าเหมือนกัน เราก็คือคริสเตียนเหมือนกัน มีค่าเท่ากัน ตรงนี้กำลังพูดถึงเราทั้งหลายที่เป็นผู้เชื่อ เป็นคริสเตียน เชื่อในข่าวดีของพระเยซู ที่เป็นต่างชาติ ฟังข่าวดีนี้ จากการประกาศของชาวยิว ในหนังสือ 2 เปโตร 1:4 ได้บันทึกไว้อย่างนี้ว่า …
2 เปโตร 1:4 “โดยสิ่งเหล่านี้ พระองค์ได้ประทานพระสัญญาอันยิ่งใหญ่ และล้ำค่าของพระองค์แก่เรา เพื่อว่าโดยทางพระสัญญาเหล่านี้ พวกท่านจึงได้มีส่วนในพระลักษณะของพระเจ้า (บังเกิดใหม่เป็นลูกพระเจ้า) และพ้นจากความเสื่อมทรามในโลก ซึ่งเกิดจากตัณหาชั่ว (ความบาป)”
“พ้นจากความเสื่อมทรามในโลก ซึ่งเกิดจากตัณหาชั่ว ก็คือเกิดจากความบาปที่อยู่ภายใน” ก็คือเมื่อเราวางใจและเชื่อในพระเยซู เราไม่ใช่เป็นของโลกนี้อีกต่อไป เราได้บังเกิดใหม่แล้ว ตามพันธสัญญา ได้มีส่วนเข้าไปอยู่ในพระลักษณะของพระเจ้า เข้าไปมีส่วนในพระลักษณะของพระเจ้า ก็คือเหมือนกับพระเจ้า เราไม่ใช่ของโลกอีกต่อไป
นี่คือสถานะของคริสเตียน ที่พระเยซูกำลังชี้ให้เห็นว่าสิ่งที่พระองค์ทรงกระทำบนไม้กางเขน และการเป็นขึ้นจากความตาย จะทำให้สิ่งนี้เกิดขึ้น ใครเชื่อก็จะเกิดขึ้นอย่างนี้แหละ เขาจะได้บังเกิดใหม่ ตามพันธสัญญา พ้นจากการเสื่อมทรามในโลก ซึ่งเกิดจากความบาป ที่อยู่ในใจของเขา เขาจะสะอาด หมดจด บริสุทธิ์ ดีพร้อม เหมือนพระเจ้า
ตะกี้เราอ่านข้อ 15-16 ไปแล้ว … “ลูกไม่ได้ขอให้พระองค์เอาพวกเขาออกไปจากโลกนี้”
เห็นหรือยัง แม้ว่าเขาจะเกิดใหม่ เป็นของพระองค์แล้วก็ตาม แต่ลูกไม่ได้ต้องการให้เขา ออกไปจากโลกนี้เลย ก็คือไม่ใช่พอเชื่อพระเจ้าแล้ว มาเป็นคริสเตียนแล้ว ให้พระเจ้านำกลับไปเลย ก็คือไปอยู่ในสวรรค์เลย ไม่ใช่ ให้เขายังคงอยู่บนโลกใบนี้ แต่ลูกขอให้พระองค์คุ้มครองป้องกันเขา ให้พ้นจากมารร้ายนั้น และพวกเขาไม่ได้เป็นของโลก เหมือนกับที่ลูกไม่ได้เป็นของโลก
มารร้าย คือใคร? ก็คือมาร ก็คือซาตาน ที่ครอบครองโลกใบนี้อยู่ คุ้มครองเขาพ้นจากมารร้าย ก็คือขอพระองค์ทรงปกป้องเขา จากการชั่วร้ายบนโลกใบนี้ทั้งปวง เพราะฉะนั้น พระเจ้าทรงสถิตอยู่ในเรา เราไม่ต้องห่วงอะไรเลย พระวิญญาณบริสุทธิ์ประทับตราว่าเราเป็นบุตรของพระเจ้า พระเจ้าให้พระวิญญาณบริสุทธิ์สถิตอยู่ในเรา และพระวิญญาณนี้จะเป็นผู้ยืนยัน ประทับตราในจิตใจของเราว่าเราเป็นคนของพระเจ้า เราไม่ใช่ของโลกนี้ แม้ว่าเราจะอยู่บนโลกนี้ก็ตาม แต่เราอยู่ในสวรรค์ด้วย เราเป็นพลเมืองสวรรค์ เรารู้ได้อย่างไร? เพราะว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่สถิตอยู่กับเรา ประทับตราอยู่ในจิตใจเรา ยืนยันอยู่ในใจเราตลอดเวลาว่าเราเป็นพลเมืองของพระเจ้า รอคอยวันที่จะจากโลกนี้ไป สวมร่างกายใหม่ เราเป็นเหมือนพลเมืองพระเจ้า ที่รอคอยองค์พระเยซูคริสต์ปรากฏ และเราก็จะปรากฏ พร้อมองค์พระเยซูคริสต์เจ้า ด้วยร่างกายใหม่ เรากำลังอาศัยอยู่ในโลกที่เต็มไปด้วยความบาป ความมืด ความเกลียดชัง
แต่เราชนะสิ่งเหล่านั้นทั้งหมด เราอยู่ในความชอบธรรมของพระเจ้า ท่ามกลางความบาป ความมืด ความเกลียดชัง เราเป็นลูกแห่งความสว่าง เป็นผู้ชอบธรรม บริสุทธิ์ ดีพร้อม เหมือนพระเยซู เราไม่เหมือนกับชาวโลกทั่วๆ ไป เราเป็นความสว่างท่ามกลางความมืดบนโลกใบนี้นั่นเอง เพราะเราทั้งหลาย คือผู้เชื่อทั้งหลาย ผู้ที่วางใจในข่าวประเสริฐของพระองค์ และวางใจในพระองค์ เราได้มีใจใหม่ วิญญาณใหม่ ความคิดใหม่ ธรรมชาติใหม่ ที่เป็นเหมือนพระเยซู เพราะเราได้บังเกิดใหม่แล้ว จากหน่อเชื้ออมตะ ที่เป็นของพระเจ้า นั่นหมายถึงอย่างนี้ว่าเราไม่ใช่ของโลกแล้ว พระเยซูกำลังบอกว่าเขาไม่ใช่ของโลกนี้ ยอห์น 17:17 ต่อไป …
ยอห์น 17:17 “แยกพวกเขาจากโลกนี้ มาเป็นของส่วนพระองค์ ที่จะใช้สอย แต่เพียงผู้เดียว ด้วยความจริงของพระองค์ ถ้อยคำของพระองค์เป็นความจริงแท้”
นี่คือคำอธิษฐานของพระเยซู และพระองค์ทรงกระทำสำเร็จบนไม้กางเขน อีกไม่กี่ชั่วโมงต่อมานั่นเอง
“แยกพวกเขาออกจากโลก” พระเจ้าแยกพวกเขาออกจากโลกเลย ให้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของพระองค์ เห็นหรือยังว่าบนโลกใบนี้ เหมือนมี 2 อาณาจักร อาณาจักรหนึ่งเรียกว่าอาณาจักรของโลก เต็มไปด้วยความมืด อีกอาณาจักรหนึ่ง อาณาจักรสวรรค์ เป็นอาณาจักรแห่งความสว่าง
แยกพวกเขาออกมาจากโลก เพื่อเป็นส่วนหนึ่งของพระองค์ ที่จะใช้สอยเพียงผู้เดียว ด้วยความจริงของพระองค์ ก็คือด้วยถ้อยคำแห่งความจริงของข่าวประเสริฐของพระองค์ ที่เป็นความจริงนั้น ทำให้เขาได้บังเกิดใหม่ พระเจ้าแยกเขาออกมา เป็นทรัพย์สมบัติส่วนพระองค์ ซึ่งเราเรียกกันว่าชำระ
ชำระ ไม่ได้หมายถึงว่าเราต้องพยายามชำระตัวเองให้สะอาดดี มีความประพฤติที่ดี ไม่ได้หมายความอย่างนั้น “ชำระ” นี้ หมายถึงพระเจ้าทรงแยกเราออกมา วิธีการแยกของพระองค์ เดี๋ยวเราเรียนต่อไป จะเห็นชัดเจน แยกจากความมืดมาสู่ความสว่าง คุ้นๆ หูไหม? เหมือนโคโลสีที่ได้บันทึกไว้ว่าแยก ก็คือการย้ายเรา แสดงว่าก่อนจะย้าย เราอยู่ในที่มืด ขอพระเจ้าทรงย้ายเราจากที่อยู่ในที่มืด อยู่ในความบาป มาสู่ความสว่าง ความบริสุทธิ์ในพระเยซูคริสต์ โดยผ่านทางความเชื่อในข่าวดี ถ้อยคำแห่งความจริง นี่คือความหมายของถ้อยคำเมื่อสักครู่นี้ คือย้ายเราจากความมืด ความบาป มาสู่ความสว่าง ความบริสุทธิ์ในพระเยซูคริสต์ ผ่านทางความเชื่อในข่าวดี ซึ่งเป็นถ้อยคำแห่งความจริง เราจะถูกแยก ถูกย้ายหรือไม่? ไม่ได้ขึ้นอยู่กับพระเจ้า
ฟังให้ดีๆ คำอธิษฐานนี้ ได้ถูกทำให้สำเร็จเรียบร้อยแล้ว บนไม้กางเขน พระเจ้า พระบิดา ได้แยกเรา ได้ย้ายเรา มนุษย์ทั้งปวง เรียบร้อยแล้ว จากความมืด มาสู่ความสว่าง ย้ายมนุษย์ทั้งปวง มาอยู่ในพระเยซูคริสต์เรียบร้อยแล้ว มาอยู่ในความสว่างเรียบร้อยแล้ว จากความมืด ขึ้นอยู่ว่ามนุษย์คนนั้น เชื่อในความจริง ในข่าวดีนี่หรือไม่? ที่พระเยซูประกาศ เชื่อหรือไม่เชื่อ จะถูกย้ายหรือไม่ถูกย้าย ขึ้นอยู่กับคนๆ นั้น ซึ่งเชื่อหรือไม่เชื่อ ทำให้เรียบร้อยแล้ว แต่ถ้าไม่เชื่อ ก็เหมือนกับไม่ได้ทำให้ แต่ทำให้หรือยัง? ทำให้เรียบร้อยแล้ว และพระเยซูตรัสว่าเป็นทางเดียวเท่านั้น ที่ท่านทั้งหลายจะสามารถเข้าสวรรค์ เข้าหาพระบิดาในสวรรค์ได้ เข้ากับพระบิดาได้ มีทางเดียวเท่านั้น คือท่านต้องย้ายออกมา จากอาณาจักรของความมืด มาสู่ความสว่าง ย้ายออกมาจากความบาป มาสู่ความชอบธรรม และพระเจ้าทำให้สำเร็จแล้ว ท่านยอมย้ายหรือไม่ย้าย ยอมให้พระเจ้าแยกท่านออกมาหรือไม่แยก ตรงนี้มากกว่า นี่เป็นสิ่งที่เราไม่ต้องทำ
จำได้ไหมตะกี้บอกว่าแยกกับย้าย ภาษาหนึ่งที่มีความเข้าใจผิด คือไปแปลว่าเป็นการชำระ เราต้องชำระตัวเราเองให้สะอาดหมดจด แล้วเราถึงจะไปอยู่กับพระเจ้าได้ ไม่ใช่ พระเจ้าชำระเราเสร็จเรียบร้อยแล้ว พระเจ้าย้ายเรา แยกเราออกมาแล้ว นี่คือสิ่งที่พระเยซูอธิษฐาน …
ยอห์น 17:18 “ลูกได้ส่งพวกเขาเข้าไปในโลก เหมือนกับที่พระองค์ส่งลูกเข้ามาในโลกนี้”
“ลูกได้ส่งพวกเขา” พวกเขา ผู้ที่เชื่อในข่าวประเสริฐ ทั้งชาวยิวและชาวที่ไม่ใช่ยิวทั้งหลายบนโลกใบนี้ ใครก็ตามที่เป็นคริสเตียน พระเยซูส่งเขาเข้าไปในโลก เห็นไหม? ขณะที่เราเป็นคริสเตียน เราเชื่อในพระเยซูคริสต์ เราดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้อยู่ เราอยู่ เพราะว่าพระเจ้าทรงให้เราอยู่ พระเยซูทรงให้เราอยู่
เป้าหมายของเรา ในการดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ คือการเป็นทูต ตัวแทนของพระเยซูคริสต์ เหมือนกับที่พระเยซูเป็นทูต เป็นตัวแทนของพระเจ้า ส่งมาบนโลกใบนี้ พระเยซูก็ส่งเราเข้ามาในโลกใบนี้ เหมือนกัน ทำอะไรเหมือนกับพระเยซู พระเยซูมาบนโลกใบนี้ ทำการประกาศข่าวดี เรื่องการไถ่บาป เราไม่ต้องทำการไถ่บาป เพราะว่าพระเยซูทำให้สำเร็จ เรียบร้อยแล้ว เรามีหน้าที่ประกาศข่าวดีให้กับมนุษย์ทั้งปวง เรามีหน้าที่ฉายแสง ความสว่าง ที่อยู่ในตัวเราเท่านั้นเอง …
ยอห์น 17:19 “เพื่อประโยชน์ของพวกเขา และเป็นตัวแทนของพวกเขา ลูกได้แยกตัวเอง ให้เป็นของส่วนพระองค์ ที่จะใช้สอยแต่เพียงผู้เดียว เพื่อพวกเขาจะได้เป็นของส่วนพระองค์ แต่เพียงผู้เดียวในความจริง”
“เพื่อประโยชน์ของพวกเขา และเป็นตัวแทนของพวกเขา” ก็คือมนุษย์ทั้งหลายทั้งปวง บนโลกใบนี้ “ลูกได้แยกตัวเอง” เห็นไหมครับ? ถ้าเราแปลออกมาว่าลูกได้ชำระตัวเอง พระเยซูไม่ต้องชำระตัวเองอีกแล้ว พระองค์บริสุทธิ์ สะอาด มาเกิดเป็นมนุษย์ ก็ยังบริสุทธิ์อยู่ ไม่ได้ทำบาปเลย ไม่ต้องชำระตัวเองสักหน่อย จึงไม่แปลว่าชำระ จึงแปลว่าแยก ย้าย
“ลูกได้แยกตัวเอง ให้เป็นส่วนของพระองค์” ก็คือลูกยอมบังเกิดเป็นมนุษย์บนโลกใบนี้ และเป็นมนุษย์ที่ไม่มีบาปเลย ไม่ได้เป็นของโลก ได้ถูกแยกออกจากโลกใบนี้ ซึ่งเต็มไปด้วยความบาป มนุษย์เพียงคนเดียวบนโลกใบนี้ ที่ไม่มีบาป ที่เป็นแสงสว่าง เพื่อเป็นที่สถิตของพระองค์ เป็นส่วนพระองค์ ที่พระองค์จะทรงใช้สอย เป็นไปตามน้ำพระทัยนั่นเอง
แยก เพื่อเป็นทรัพย์สมบัติส่วนพระองค์ที่จะถูกแยกพิเศษ เป็นของพระองค์ผู้เดียว ที่จะใช้สอย บริสุทธิ์ สะอาด ไม่มีใครแตะต้องได้ นี่หมายถึงตัวพระองค์ทรงยอมแยกตัวเองมา ตอนที่ดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ เพื่อเป็นตัวแทนของมนุษย์ทั้งปวง เพื่อประโยชน์ของพวกเขา พระองค์ทรงยอมมาเกิดเป็นมนุษย์ เป็นตัวแทน
เพราะฉะนั้น เราจึงเห็นว่าพระองค์ได้ซื้อเรา ด้วยราคาแพง ตามที่พระคัมภีร์ได้บันทึกไว้ คือด้วยสถานะของพระเยซูที่เป็นพระเจ้า ด้วยพระโลหิตของพระบุตรของพระเจ้า ซึ่งหลั่งที่ไม้กางเขน เราจึงสามารถเป็นผู้ที่ได้รับการย้ายเข้ามาเป็นทรัพย์สมบัติส่วนพระองค์ ดังนั้น พระเจ้าทรงเป็นชีวิตที่อยู่ในเรา และเป็นเจ้าของชีวิตเราทั้งหมดเลย เพราะว่าพระองค์เป็นผู้แยกเราออกมา ไม่ใช่เราแยกตัวเราเอง เราเพียงแต่รับสิทธิของเราเท่านั้น สิทธิของเราในพระเยซูคริสต์ทรงกระทำให้เรา
ถึงข้อที่ 20 แล้ว คราวนี้เราจะเห็นชัดแล้วว่าที่ตะกี้ผมพูดว่าเรื่องราวเหล่านี้ เป็นเรื่องเกี่ยวกับพวกเราทุกคนผู้เชื่อ …
ยอห์น 17:20 “แต่ลูกไม่ได้อธิษฐานให้คนพวกนี้ (คืออัครสาวกตอนเริ่มต้น 12 คน) เท่านั้น ลูกยังอธิษฐานให้คนที่จะเชื่อในตัวลูก โดยผ่านทางคำประกาศของพวกเขาด้วย”
“ลูกไม่ได้อธิษฐานให้กับคนพวกนี้ คืออัครสาวก 12 คน” ไม่ได้อธิษฐานให้เขาเท่านั้น เขาฟังอยู่ ลูกยังอธิษฐานให้คนที่เชื่อในตัวลูก ก็คือเชื่อในพระเยซู โดยผ่านทางคำประกาศของพวกเขาด้วย คำประกาศของใคร? ของสาวก 12 คนนี้ เริ่มต้นประกาศ ก็จากอัครสาวกเหล่านี้ ประกาศ เริ่มต้นที่ชาวยิว แล้วก็ประกาศออกไปเรื่อยๆ จนสุดปลายแผ่นดินโลก มาถึงคนไม่เชื่อทั้งหลาย ผ่านทางเปาโลเห็นหรือยัง สิ่งเหล่านี้ ทำเพื่อมนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้ มนุษย์คนใดก็ได้ ที่เชื่อในข่าวดีนี้นั่นเอง ที่เขาจะได้รับสิ่งที่ลูกกำลังจะเดินทางเข้าไปสู่การตายที่ไม้กางเขน และเป็นขึ้นจากความตาย และพระองค์ทรงกระทำสำเร็จแล้ว …
ยอห์น 17:21 ลูกขอให้พวกเขาทั้งหมดเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน เหมือนกับพระองค์พระบิดาอยู่ในตัวลูก และลูกอยู่ในพระองค์ ขอให้พวกเขาอยู่ในพวกเราด้วย เพื่อโลกจะได้เชื่อว่าพระองค์ส่งลูกมา”
มันก็คือการบัพติศมาเข้าส่วนร่วมเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเจ้า ตรีเอกานุภาพทั้ง 3 พระภาคนั่นเอง “ขอให้พวกเขาอยู่ในพวกเราด้วย” พวกเขา คือชาวยิวและไม่ใช่ชาวยิว ที่เชื่อในข่าวดีนี้ ขอให้พวกเขาอยู่ในพวกเราด้วย พวกเรา คือตรีเอกานุภาพ พระเจ้าพระบิดา พระเจ้าพระบุตร พระเจ้าพระวิญญาณบริสุทธิ์ “เพื่อโลกจะได้รู้ว่าพระองค์ส่งลูกมา” เพื่อโลกทั้งหลายจะเห็นความยิ่งใหญ่ อย่างอัศจรรย์ของคริสเตียน คือผู้เชื่อทั้งหลายว่าดำเนินชีวิต โดยที่มีตรีเอกานุภาพอยู่ในตัวเขา
ท่านรู้หรือไม่ว่าร่างกายท่านเป็นวิหารของพระเจ้า ผู้ทรงพระชนม์อยู่ และพระเจ้าผู้นี้เป็นตรีเอกานุภาพ พระเจ้าพระบิดา พระเจ้าพระบุตร พระเจ้าพระวิญญาณ เป็นหนึ่งเดียวกัน พระเจ้าตรีเอกานุภาพ ทั้ง 3 พระภาคได้เข้ามาอาศัยอยู่ในเรา ภายในร่างกายนี้ เป็นฤทธิ์เดชอำนาจยิ่งใหญ่ มหาศาล ที่กระทำการงานอยู่ในตัวเราทั้งหลาย ผู้เชื่อ เหมือนเปาโลที่ได้บันทึกเอาไว้ว่าฤทธิ์เดชอำนาจอันยิ่งใหญ่ แห่งการเป็นขึ้นจากความตายของพระเยซูคริสต์นี้ ยิ่งใหญ่เพียงใด มหาศาลเพียงใด อยากให้ท่านได้รู้ ขอพระวิญญาณบริสุทธิ์ สำแดงสิ่งเหล่านี้ให้ท่านรู้ และฤทธิ์เดชอำนาจตอนที่ชุบพระเยซูให้เป็นขึ้นจากความตาย ฤทธิ์เดชอำนาจนี้ กระทำการงานอยู่ในท่านทั้งหลาย ผู้เชื่อทุกคน ไม่ว่าเราผู้เชื่อทั้งหลาย ที่ได้บังเกิดใหม่นั้น จะรู้สึกอย่างไรก็ตาม ในขณะที่ดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ไม่ว่าจะไปไหน? ทำอะไรก็ตาม พระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้าทั้ง 3 พระภาคอยู่ในเรา เป็นฤทธิ์เดชอำนาจที่ยิ่งใหญ่สูงสุด เหนือสรรพสิ่งทั้งหลายทั้งปวงที่พระเจ้าทรงสร้าง เราอยู่ในพระองค์ผู้สร้าง อยู่ในทีมผู้สร้าง คือตรีเอกานุภาพ คือพระเจ้ายิ่งใหญ่สูงสุด พระเจ้าที่เป็นตรีเอกานุภาพนี้ อยู่ในเรา เป็นหนึ่งเดียวกันกับวิญญาณของเรา พูดง่ายๆ ว่าเราจะไปที่ไหน มี 4 วิญญาณไปด้วย ตลอดเวลา ไม่ว่าเราจะรับรู้หรือไม่รู้ ไม่ว่าเราจะรู้สึกหรือไม่รู้สึกก็ตาม ไม่ว่าเราจะรู้สึกอย่างไรก็ตาม ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับเราก็ตาม พระเจ้าตรีเอกานุภาพอยู่ในเรา …
ยอห์น 17:22-23 “22 เกียรติสิริ (ชีวิตนิรันดร์) ซึ่งพระองค์ประทานแก่ลูกนั้น ลูกได้มอบให้พวกเขา (ทุกคนที่เชื่อในลูก) แล้ว เพื่อพวกเขา (ผู้ที่เชื่อ) จะได้เป็นหนึ่งเดียวกัน เหมือนที่พระองค์กับลูกเป็นหนึ่งเดียวกัน คือ 23 ลูกอยู่ในพวกเขา(ผู้ที่เชื่อ) และพระองค์อยู่ในลูก ขอให้พวกเขา (ผู้ที่เชื่อ) ได้รวมเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันอย่างสมบูรณ์ เพื่อให้โลกรู้ว่าพระองค์ทรงส่งลูกมา และทรงรักพวกเขา (ผู้ที่เชื่อ) เหมือนที่พระองค์ทรงรักลูก”
เกียรติสิริ คือชีวิตนิรันดร์ คือชีวิตของพระเยซู เต็มไปด้วยสง่าราศี เต็มไปด้วยพระเกียรติสิริ และฤทธิ์อำนาจยิ่งใหญ่สูงสุด เกียรติสิริอันนี้ ความยิ่งใหญ่ คือฤทธิ์เดชอำนาจ ตอนที่พระเจ้าได้ประทานเกียรติสิริให้กับพระเยซูคริสต์ ก็คือตอนที่พระเยซูถูกชุบให้เป็นขึ้นจากความตาย ขณะที่พระองค์ถูกชุบให้เป็นขึ้นจากความตาย พระคัมภีร์บอกว่าเป็นการที่พระเจ้า ประทานเกียรติสิริ ชีวิตนิรันดร์กลับคืนให้กับพระเยซูคริสต์ กลับคืนสู่สภาพพระเจ้า ผู้ยิ่งใหญ่สูงสุดนั่นเอง มันหมายถึงอย่างนั้น
ชีวิตนิรันดร์ มีลักษณะเป็นความรักนิรันดร์ เป็นความสว่างนิรันดร์ เป็นความบริสุทธิ์นิรันดร์ เป็นความดีนิรันดร์ เป็นความยินดี เป็นความสุขนิรันดร์ เป็นสถานะ เป็นสมาชิก เป็นลูกของพระเจ้านิรันดร์ เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้านิรันดร์ เป็นฤทธิ์เดช เป็นอำนาจยิ่งใหญ่นิรันดร์ เป็นความรักที่เหมือนพระเจ้านิรันดร์ นี่คือชีวิตนิรันดร์ ที่เราได้รับจากพระเจ้า มันเยอะมาก จนไม่รู้จะพูดว่าอย่างไรดี ชีวิตนิรันดร์ คือพระลักษณะของพระเจ้านิรันดร์ที่อยู่ในเราทั้งหลาย
“เกียรติสิริ ชีวิตนิรันดร์ที่พระองค์ทรงประทานแก่ลูกนั้น ลูกได้มอบให้กับเขา” พระองค์ พระเยซูได้รับมอบ ความเป็นขึ้นจากความตาย ได้รับชีวิตนิรันดร์นี้ ได้รับเกียรติสิรินี้ จากพระเจ้า และพระองค์ก็ทรงแบ่งให้กับพวกเราทุกคน มนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้ ได้รับการแบ่งตรงนี้หมด พระองค์ก็ทรงให้กับมนุษย์ทุกคน ขึ้นอยู่กับมนุษย์คนนั้น รู้หรือไม่รู้? รู้แล้วรับหรือไม่รับ? จะเอาหรือไม่เอาเท่านั้น มันถึงง่ายอย่างนี้ไง ข่าวประเสริฐของพระเจ้า คนที่เชื่อ ก็จะได้ เพื่อให้ชีวิตนิรันดร์กับเขา เพื่อว่าเขาจะได้สามารถเข้ามาเป็นหนึ่งเดียวกันกับลูก ก็คือกับพระเยซู เป็นหนึ่งเดียวกัน เพื่อพวกเขาผู้เชื่อทั้งหลายอยู่ในลูกแล้ว พวกเขาจะได้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันอย่างสมบูรณ์ในเรา ก็คือในตรีเอกานุภาพ
สมบูรณ์ คือเข้ามาเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเยซูคริสต์ และพระเยซูคริสต์ก็อยู่ในพระเจ้า และพระเจ้าเป็น 3 พระภาค เราก็ได้เข้าไปอยู่ข้างใน เหมือนไข่แดง พระคัมภีร์บอกว่าชีวิตของเรา คริสเตียน ถูกซ่อนอยู่ในพระคริสต์ ในพระเจ้า ในหนังสือโคโลสีบอกว่าเราทั้งหลายที่บังเกิดใหม่ในพระเยซูคริสต์ เรามีชีวิตอยู่ ชีวิตของเราได้ถูกซ่อนอยู่กับพระคริสต์ในพระเจ้า
“ฉันได้อยู่กับพระคริสต์ในพระเจ้า”
ยอห์น 17:24 “พระบิดาในที่ที่ลูกอยู่นั้น ลูกอยากให้คนพวกนี้ ที่พระองค์ให้กับลูกอยู่ที่นั่นกับลูกด้วย เพื่อเขาจะได้เห็นความยิ่งใหญ่ที่พระองค์ให้กับลูก เพราะพระองค์รักลูก ก่อนที่พระองค์จะสร้างโลกนี้”
“คนพวกนี้ ที่พระองค์ให้กับลูก” คนพวกนี้ คือผู้เชื่อทั้งหลาย คริสเตียน เท่ากับพระเจ้าให้เราเป็นของขวัญ ให้พระเยซู เพราะฉะนั้น เท่ากับเราผู้เชื่อ หรือคริสเตียนนั้น เราเป็นของขวัญ ที่พระเจ้าประทานให้กับพระเยซูคริสต์ เราเป็นของขวัญนะ ที่พระเจ้าได้ให้กับพระเยซูคริสต์ แล้วพระเยซูก็บอกว่าให้เราได้อยู่ที่นั่นกับลูกด้วย ก็คือนั่งอยู่กับพระองค์ด้วย พระเยซูนั่งอยู่ที่ไหน? พระเยซูนั่งอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้าในสวรรคสถาน ในขณะนี้ เราก็ได้นั่งอยู่กับพระองค์ในสวรรคสถาน ในขณะนี้ ที่เบื้องขวาของพระเจ้า ร่วมกับพระเยซูคริสต์เช่นเดียวกัน
พระเจ้าตรีเอกานุภาพเห็นคุณค่า อันเลิศหรูในชีวิตของเราทั้งหลาย มนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้ มากเลย มอบมนุษย์ทุกคนให้เป็นของขวัญอันล้ำค่าในพระคริสต์ มอบเรามนุษย์ทุกคน ขึ้นอยู่กับมนุษย์คนนั้น เมื่อได้ยินแล้ว ยอมไหม? ที่จะให้พระเจ้ามอบ ยอมไหมที่จะเป็นของขวัญของพระเจ้า ที่มอบให้กับพระเยซู ขึ้นอยู่กับเรายอมไหม? ไม่ใช่ขึ้นอยู่กับพระเยซูจะเอาเราไหม? พระองค์ทำไปเรียบร้อยแล้ว ได้สำเร็จเรียบร้อยไปแล้ว เพื่อเราจะได้เห็นและสัมผัสประสบการณ์แห่งพระสิริของพระองค์ ฤทธิ์เดชอำนาจของพระองค์ ในขณะที่ดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ จนกระทั่งถึงวินาทีสุดท้าย
มอบชีวิตนิรันดร์ให้กับเรา เป็นของขวัญของพระเยซู พระเยซูก็มอบพระลักษณะพระเจ้าให้มาอยู่กับเรา เกียรติสิริก็มาอยู่กับเรา และเราก็ดำเนินชีวิตโดยเกียรติสิริ คือชีวิตของพระเจ้า ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป จนกระทั่งถึงนิรันดร์เลย เราจะค่อยๆ เรียนรู้ประสบการณ์การดำเนินชีวิตกับพระเยซูคริสต์อย่างนี้ไปเรื่อยๆ …
ยอห์น 17:25 “พระบิดา พระองค์สัตย์ซื่อ โลกนี้ไม่รู้จักพระองค์ แต่ลูกรู้จักพระองค์ และพวกศิษย์เหล่านี้ก็รู้ว่าพระองค์ส่งลูกมา”
คำว่า “รู้จัก” ตรงนี้ หมายถึงการเป็นหนึ่งเดียวกัน การเข้ามาอยู่ในครอบครัวเดียวกัน คำว่ารู้จักนี้ ไม่ได้หมายถึงรู้จักกันเผินๆ แต่รู้จักกัน เหมือนอยู่ในครอบครัวกันเลย จริงๆ แล้วสนิทสนมกันมากถึงลักษณะเหมือนกับสามีภรรยากัน เรารู้จักพระเจ้า หมายถึงเราสนิทสนมกับพระเจ้า เป็นหนึ่งเดียวกันเลย เป็นเหมือนสามีภรรยา คุ้นเคยกันมาก มันหมายถึงอย่างนั้น …
ยอห์น 17:26 “ลูกทำให้เขารู้จักพระองค์ และลูกก็จะทำอย่างนี้ต่อไป เพื่อว่าความรักที่พระองค์มีต่อลูกจะอยู่ในตัวพวกเขา และเพื่อว่าลูกก็จะอยู่ในตัวพวกเขาด้วย”
“ลูกทำให้พวกเขาได้รู้จักพระองค์” ก็คือการตายของลูกที่ไม้กางเขน การเป็นขึ้นจากความตายของลูก ทำให้เขาได้สามารถเข้ามาอยู่ในบ้านของพระองค์ เข้ามาเป็นหนึ่งกับพระองค์ เข้ามาสนิทสนม เหมือนสามีภรรยากับพระองค์ สนิทสนมกันได้ มันหมายถึงอย่างนั้น และความสนิทสนมกันนั้น ทำให้เกิดความดีงาม ความรักของพระองค์ถ่ายทอดจากตัวของพระองค์มาสู่ลูก และไปสู่พวกเขาทุกคนผู้เชื่อในนามของเรา วางใจในเราว่าเราเป็นผู้นั้น ที่มาช่วยให้รอด
เพื่อความรักของพระเจ้าจะได้ปกคลุมอยู่เหนือโลกใบนี้ ในมนุษย์ผู้ที่เชื่อ และพระคริสต์สถิตอยู่ในเขา เป็นความรักของพระเจ้านั่นเอง มันหมายถึงอย่างนี้ มันจึงทำให้เขาเป็นความรักของพระเจ้า ดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ โดยที่พระเยซูคริสต์สถิตอยู่กับเขา ลูกก็จะอยู่ในตัวเขาด้วย ก็คือพระเยซูคริสต์จะอยู่ในตัวเขาด้วย ก็คือความรักของพระเจ้า ความรักของพระคริสต์ก็จะอยู่ในตัวของเรา ผู้เชื่อศรัทธาด้วย
ข่าวดีที่สุด ก็คือทั้งหมดที่พระองค์ทรงอธิษฐาน พระองค์กระทำสำเร็จเรียบร้อยแล้วบนไม้กางเขน เมื่อ 2,000 ปีแล้ว ข่าวดีกว่านั้น คือเงื่อนไขเดียวที่ต้องทำ สำหรับมนุษย์ทุกคน ที่อยากจะได้รับสิ่งเหล่านี้ทั้งหมด ที่พระองค์ทรงกระทำไปแล้ว ที่เราได้เรียนรู้กันมา จากคำอธิษฐานนี้ สิ่งเดียวเท่านั้นที่เขาต้องทำ เงื่อนไขเดียวที่เขาต้องทำ ก็คือเชื่อและวางใจในคำประกาศข่าวดีที่มาถึงท่าน เชื่อในถ้อยคำข่าวดีนี้เท่านั้น
มนุษย์ทุกคนสามารถเข้าไปอาศัยอยู่ เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเจ้า ตรีเอกานุภาพ ยิ่งใหญ่สูงสุดนี้ได้ แค่วางใจ เชื่อเท่านั้น มันง่ายนิดเดียวจริงๆ แต่มันยาก เพราะว่ามันเป็นทางแคบ ตามที่พระเยซูบอก เพราะว่ามันง่ายเกิน อะไรแค่วางใจแค่นี้ ได้เข้าไปอยู่ในตรีเอกานุภาพเลย จริงๆ มันเรื่องจริง แค่วางใจ ก็สามารถเข้ามาอยู่ในตรีเอกานุภาพอันยิ่งใหญ่สูงสุดได้แล้ว พระเยซูประกาศข่าวดีนี้ มา 2,000 ปีแล้วว่าทุกคนสามารถเข้ามาอาศัยอยู่ในตรีเอกานุภาพนี้ได้ ก็คือในพระบิดา พระบุตร พระวิญญาณบริสุทธิ์ ง่ายๆ แค่นี้เอง เพียงแค่เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ ข่าวดี และวางใจการกระทำของพระองค์บนไม้กางเขน ที่ได้หลั่งพระโลหิต สิ้นพระชนม์ และได้ถูกชุบให้เป็นขึ้นจากความตาย เชื่อตรงนี้ แค่นี้เอง
ท่านก็จะอาศัยอยู่ในโลกนี้ แต่ขณะเดียวกัน ตรีเอกานุภาพของพระเจ้ายิ่งใหญ่สูงสุด 3 พระภาคก็จะอยู่กับท่านตลอดไป ท่านจะอาศัยอยู่ในโลกนี้ อยู่ในความบาปหรือไม่? หรือจะอยู่ในความมืดต่อไป โดยมีวิญญาณที่โดดเดี่ยว ไม่มีพระเจ้าอาศัยอยู่ในตัวท่านเลย อยู่ในความมืด อยู่ในความพินาศอย่างนั้น ต่อไปหรือไม่? หรือจะมี 3 พระภาค พระเจ้าสถิตอยู่ในตัวท่าน มีตรีเอกานุภาพสถิตอยู่ในตัวท่าน เป็นหนึ่งเดียวกับพระองค์ ขึ้นอยู่กับตัวท่านทั้งนั้น ไม่ได้ขึ้นอยู่กับพระเจ้าอีกต่อไปแล้ว พระองค์ทรงกระทำสำเร็จแล้ว ขึ้นอยู่กับตัวท่านได้ยินแล้ว แค่เชื่อในนามพระเยซูคริสต์เท่านั้นจริงๆ พระเจ้าอวยพรครับ
**********************
จากใจคณะศิษยาภิบาล
พระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่สูงสุดในสวรรค์ เจ้าของสวรรค์ ประกาศเตือนมวลมนุษย์ที่รักยิ่งว่า … “ใครก็ตามที่พยายามเข้าสู่สวรรค์ มาอยู่กับพระองค์ โดยการพึ่งพาตนเอง ในการพยายามสั่งสม กระทำความดีตามกฎบัญญัติ ศีลธรรม เพื่อจะได้บริสุทธิ์ เป็นผู้ชอบธรรม ดีพร้อม ปราศจากมลทิน ไร้ตำหนิใดๆ ตามมาตรฐานของพระองค์ โปรดฟังทางนี้!”
กาลาเทีย 3:10-11 … “เพราะว่าคนทั้งหลาย ซึ่งพึ่งการประพฤติ ตามธรรมบัญญัติ (ตามกฎศีลธรรม) ก็ถูกสาปแช่ง เพราะพระคัมภีร์เขียนไว้ว่า “ทุกคนที่ไม่ได้ประพฤติตามข้อความทุกข้อ ที่เขียนไว้ในหนังสือธรรมบัญญัติ (กฎศีลธรรม) ก็ถูกสาปแช่ง” เป็นที่แน่ชัดว่าไม่มีใครถูกชำระให้ชอบธรรม ในสายพระเนตรของพระเจ้า ด้วยการรักษากฎธรรมบัญญัติ (กฎศีลธรรม) ได้เลย เพราะว่า “คนชอบธรรมจะมีชีวิตอยู่โดยความเชื่อ” (จะเป็นคนชอบธรรม บริสุทธิ์ ดีพร้อมได้ โดยการบังเกิดใหม่ ผ่านทางความเชื่อในพระเยซูคริสต์เท่านั้น)”
ยากอบ 2:10 … “เพราะว่าใครก็ตามที่พยายามถือรักษาธรรมบัญญัติ (กฎศีลธรรม) ทั้งหมด แต่ผิดอยู่ข้อเดียว คนนั้นก็ทำผิดธรรมบัญญัติทั้งหมด”
“โอ้โห! อย่างนี้ใครจะทำได้ล่ะ?” … มนุษย์ถามพระเจ้า
พระเจ้าตอบ … “นั่นน่ะสิ! เจ้าถึงต้องตายแล้วบังเกิดใหม่งัย!”
พระเยซูพูดเสริม … “สำหรับมนุษย์นั้นก็เหลือกำลัง แต่สำหรับพระเจ้าทุกสิ่งทุกอย่างเป็นไปได้ พระเจ้าสามารถทำให้ท่านบังเกิดใหม่ได้ โดยผ่านทางเรา”
พระเจ้าอวยพรครับ