วารสาร Holy  News   ฉบับที่  1430

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  20  สิงหาคม  2023

เรื่อง “คำอธิษฐาน มัทธิว 6:9-15”

“พระเยซูกำลังสอนให้เราทำตามหรือ?” ตอน 7

โดย นคร   เวชสุภาพร

            วันนี้ … “คำอธิษฐาน มัทธิว 6:9-15” “พระเยซูกำลังสอนให้เราทำตามหรือ?” ตอนที่ 7 ซึ่งจะเป็นตอนจบของการบรรยายในชุดนี้

            เรามาเริ่มต้นทบทวนประเด็น สิ่งที่เราได้เรียนรู้กันมา ในซีรี่ย์บรรยายชุดนี้ 6 ตอนที่ผ่านมาแล้ว สรุปสั้นๆ ก็คือเป็นบริบทที่พระเยซูมาประกาศข่าวดีให้กับมวลมนุษยชาติ …

            1. โดยพระเยซูเริ่มประกาศข่าวดีนี้กับชาวยิวก่อน แล้วให้ชาวยิวไปประกาศให้กับชาวต่างชาติทั่วไป มวลมนุษยชาติ เรารู้เรื่องนี้แล้วว่าพระองค์มาประกาศให้กับชาวยิว ที่เราฟังมา 6 ตอนนั้น คือเรื่องของชาวยิวทั้งสิ้น  ยังไม่ได้เกี่ยวอะไรกับเราเลย จึงถามว่าชาวยิวกับเราคือใคร?

            ชาวยิว ก็คือมนุษย์ที่พระองค์ทรงเลือกสรรไว้กลุ่มแรก คนที่ไม่ใช่ชาวยิว ก็คือคนต่างชาติ  คือชาติอะไรก็ตาม นอกเหนือจากนั้น เป็นพวกมนุษย์กลุ่มที่ 2 ที่พระองค์ทรงเลือกสรรไว้ ทั้งสองพวกนี้ พระองค์ทรงเลือกไว้ ให้มาได้รับความรอดในพระเยซูคริสต์เหมือนกันเลย มีสิทธิ์เท่ากัน เรารู้เรื่องนี้แล้วว่าพระองค์มาประกาศ

            2. พระองค์ไม่ได้มาสอนเรื่องบทบัญญัติ   บททางศีลธรรม   เพื่อให้ปฏิบัติตาม  แต่มาชี้ให้เห็นทางโลกวิญญาณว่าชาวยิวเอ๋ย   ท่านไม่มีทางที่จะรักษาบทบัญญัติได้ อย่างครบถ้วนบริบูรณ์ ตามมาตรฐานของพระเจ้า  เพื่อจะได้เข้าไปอยู่ในสวรรค์กับพระเจ้า เข้ากับพระเจ้าได้ บริสุทธิ์เหมือนพระเจ้าได้ มันเป็นไปไม่ได้เลย

            3. มีเพียงหนทางเดียว    คือต้องวางใจในพระเยซูคริสต์  และพึ่งในการกระทำของพระองค์เท่านั้น และสิ่งที่พระองค์ทรงชี้ให้เห็น คือท่านต้องได้รับการบังเกิดใหม่ ซึ่งขณะนั้น ชาวยิวที่ฟังอยู่ไม่มีใครเข้าใจเลยว่าบังเกิดใหม่ในวิญญาณนั้น คืออะไร? เขาไม่เข้าใจกัน ท่านต้องได้รับการบังเกิดใหม่เท่านั้น  โดยการวางใจเชื่อในพระองค์ว่าเป็นพระมาซีฮาห์  จึงจะสามารถเป็นผู้ชอบธรรม บริสุทธิ์ ดีพร้อมเหมือนพระเจ้าได้  และสามารถเข้าส่วนรวมเป็นหนึ่งเดียวกัน  เหมือนกับพระเจ้าได้ เป็นหนทางเดียวเท่านั้นจริงๆ

            นี่สรุป 6 ตอนนั้น พระเยซูมาประกาศอยู่อย่างนี้ ยกตัวอย่างอุปมาอย่างโน้นอย่างนี้มา ก็เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับเรื่องเหล่านี้ทั้งสิ้น และคำตอบที่เราได้รับมาจากหัวข้อเรื่องว่าเป็นคำอธิษฐานมัทธิว 6:9-15 นี้ พระเยซูไม่ได้มาสอนให้เราทำตามใช่หรือไม่?  ก็คือใช่  ไม่ได้มาสอนให้เราทำตาม  แต่มาประกาศความจริงว่าพระองค์มา  เพื่อช่วยเหลือมนุษย์ให้ได้รับความรอดจากความบาป กลับมาสู่พระเจ้า โดยพระองค์จะเป็นผู้กระทำเอง เพียงผู้เดียว ชัดเจนเลยนะ

            พระองค์ไม่ได้มาตั้งกฎเกณฑ์อะไรต่างๆ เพื่อให้มนุษย์รักษาบทบัญญัตินั้น ให้ทำตาม ไม่ได้มาสอนอย่างนั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งหัวข้อเรื่องที่เราตั้งขึ้นว่าคำอธิษฐาน ในมัทธิว 6:9-15 ซึ่งเราเอามาใช้กันว่าพระเยซูอธิษฐาน คำอธิษฐานของพระเยซู เราก็เลยยิ่งเคารพใหญ่เลยว่าคำอธิษฐานของพระเยซู เพราะฉะนั้น เราต้องทำตาม พระเยซูกำลังสอนให้เราอธิษฐานอย่างนี้  ซึ่งมันไม่ใช่เลย

            คำอธิษฐานในมัทธิว 6:9-15 นี้ พระเยซูไม่ได้มาอธิษฐาน แต่พระองค์ได้มาชี้ให้เราว่าถ้าเราไม่เชื่อ ไม่วางใจในพระองค์ เรายังอยู่ในพระคัมภีร์เดิม แบบยิวในสมัยนั้น  เราต้อง (คือยิวนะ) ชาวยิวต้องอธิษฐานอย่างนี้ คืออย่างในมัทธิว 6:9-15 เห็นไหมครับ? แต่ไม่ใช่คำอธิษฐานของพระเยซูคริสต์ แต่พระเยซูต้องการชี้ให้พวกเขาเห็น ว่าเขากำลังอยู่ในสถานะไหนในโลกฝ่ายวิญญาณในขณะนั้น เขาต้องพึ่งในการกระทำของพระองค์ พระเยซูคริสต์ พระผู้ช่วยให้รอดเท่านั้น เขาถึงสามารถได้รับการอภัยโทษจากความบาปผิดของเขาทั้งหมดได้ โดยพระเจ้าอภัยผ่านทางพระบุตรเท่านั้น นี่คือสิ่งที่พระองค์ทรงชี้ให้เขาได้เห็น จากบริบทนี้ จากชื่อเรื่องซีรี่ย์นี้

            สิ่งเหล่านี้ เราได้เรียนรู้ 6 ตอน พระเยซูอธิษฐานกับพระเจ้าจริงๆ เมื่อไร? มีจริงๆ แต่เป็นตอนจบของบริบทนี้ทั้งหมด ครบ 3 ปีที่พระองค์มาเดินอยู่บนโลกใบนี้  เพื่อประกาศข่าวประเสริฐนี้ ให้กับชาวยิวก่อน ปลายๆ ก่อน 3 ปีนี้ ที่พระองค์จะทรงกระทำให้สำเร็จ พระองค์อธิษฐานจริงๆ  พระองค์อธิษฐานกับพระเจ้า พระบิดาไม่กี่ชั่วโมง ก่อนที่จะไปทำภารกิจ ที่พระองค์ได้ถูกใช้มา  ก็คือไถ่มนุษย์ให้หลุดพ้นจากความบาป ให้มนุษย์ทุกคนได้รอดพ้นจากความพินาศ รอดพ้นจากความบาป ความผิด  โดยการหลั่งพระโลหิตของพระองค์ สิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน และถูกชุบให้เป็นขึ้นจากความตาย ในวันที่ 3

            พระองค์ตายจริงๆ ไม่ใช่พระองค์เป็นขึ้นจากความตาย ด้วยตัวพระองค์เอง  แต่พระองค์ตายไปแล้วจริงๆ และพระเจ้าทรงชุบหรือทำฤทธิ์เดชให้พระเยซูเป็นขึ้นจากความตาย ผ่านทางฤทธิ์เดชอำนาจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า ลงไปชุบพระเยซูให้เป็นขึ้นจากความตาย  ด้วยฤทธิ์เดชอำนาจของพระวิญญาณของพระเจ้า นี่แหละ ฤทธิ์เดชอำนาจของพระเจ้า ผ่านทางพระวิญญาณบริสุทธิ์ ตรงนี้สำคัญมากๆ นะ

            พระเยซูได้ทำภารกิจตรงตามเป้าหมาย ที่พระองค์ได้ถูกใช้มา  และเป้าหมายในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ 3 ปีที่ประกาศนั้น คือเป้าหมายนี้ ตลอด 3 ปีที่เราได้เรียนรู้มาว่าพระองค์มาสอนให้เรา ทำตามบทบัญญัตินี้ หรือทำตามกฎทางศีลธรรมหรือ? เปล่า

            พระองค์มาประกาศ บอกให้ว่าภารกิจของพระองค์มาเพื่ออะไร?  เพื่อเป็นตัวแทนให้กับเรา เป็นผู้รับใช้ของพระเจ้า มาเพื่อไถ่บาปให้กับเรา  มาบอกให้เราวางใจในพระองค์ว่าพระองค์เป็นพระเมสิยาห์  ที่พระเจ้าทรงสัญญาไว้ ตั้งแต่บรรพบุรุษของชาวยิวแล้ว  บอกชาวยิวให้วางใจในพระองค์ว่ามาแล้วจริงๆ  แล้วพระองค์ทรงทำการอัศจรรย์เยอะแยะมากมายไปหมด  เพื่อยืนยันว่าพระองค์เป็นผู้นั้นจริงๆ เป็นพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์  ที่เรียกว่าพระมาซีฮาห์  พระคริสต์ ผู้ที่พระเจ้าเจิมตั้งไว้ และสัญญาไว้ตั้งแต่สมัยอดีตแล้ว ให้พวกท่านเชื่อและวางใจในพระองค์เท่านั้น และพระองค์จะกระทำสิ่งเหล่านี้ทั้งหมด คือให้ท่านได้บังเกิดใหม่  เป็นผู้ชอบธรรมบริสุทธิ์ ดีพร้อม โดยฤทธิ์เดชแห่งการเป็นขึ้นมาจากความตาย โดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า นี่เป็นฤทธิ์เดชที่พระเจ้าชุบพระเยซูให้เป็นขึ้นจากความตาย อันเดียวกันนี่แหละ เพื่อท่านจะได้บังเกิดใหม่  และสามารถเข้าไปอยู่ในพระเจ้าได้

            พระองค์ทรงยกตัวอย่างเยอะแยะ พระองค์ทรงอธิษฐาน ตอนปลายๆ ของปีที่ 3 ก่อนที่จะถูกนำไปตรึงที่ไม้กางเขน พระองค์พูดในหนังสือยอห์น พูดถึงอะไร? เรื่องการเข้าไปมีส่วน เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์ คือบังเกิดใหม่ พูดกับสาวกไว้อย่างชัดเจน เริ่มต้นพูดอุปมาลึกซึ้งขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะสาวก 12 คนที่พระองค์ทรงจัดตั้ง เตรียมไว้ สำหรับเป็นผู้เริ่มต้นการประกาศข่าวประเสริฐ  ข่าวดีของพระองค์ให้กับบรรดาประชาชาติทั้งปวง พอใกล้ๆ วันที่พระองค์จะทำภารกิจนี้ ถูกนำไปตรึงที่ไม้กางเขนนั้น

            พระองค์ทรงรีบร้อนอธิบายสิ่งเหล่านี้ให้กับสาวก 12 คนชัดเจนมากขึ้นเรื่อยๆ ตั้งแต่ทำมหาสนิทร่วมกันกับสาวก 12 คน ว่าน้ำองุ่นคืออะไร? ขนมปังคืออะไร? ท่านอย่าลืมนะ เราทำให้ท่านอย่างนี้ เพื่อไถ่ท่านนะ ท่านต้องกินเลือด ท่านต้องกินขนมปัง คือเล็งถึงร่างกายของเราที่แตกหัก เพื่อท่าน ต้องดื่มเลือดของเราที่หลั่งออกมา ก็คืออันนี้แหละ คือการเข้าร่วมส่วน สนิทกัน เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์

            แล้วจากนั้นก็ยกตัวอย่างอีกว่าเราเป็นเถาองุ่นนะ ท่านต้องมาอาศัยอยู่ในเรา คือมาต่อติดกับเรา ถ้าท่านไม่ต่อติดกับเรา มันไม่เกิดผลหรอก การต่อติด ก็คือวิญญาณเข้ามาเป็นหนึ่งเดียวกัน  แล้วก็บอกว่าและถ้าท่านเชื่อและวางใจในเรา ตามที่เราได้ประกาศให้กับท่าน  เรากับพระบิดาจะมาสร้างบ้านของเราอยู่ในตัวท่าน เราจะมาอาศัยอยู่ในท่าน และท่านจะมาอาศัยอยู่ในเรา เราจะเป็นหนึ่งเดียวกันนะ

            นี่คือสิ่งที่สรุปก่อนที่พระองค์จะทรงกระทำให้สำเร็จ  และเมื่อพระองค์ทำสำเร็จแล้ว พระองค์ก็จะจากไป ในฐานะของมนุษย์ที่จับต้อง มองเห็นได้ ก็เข้าไปสู่ในโลกวิญญาณ พระองค์จึงต้องกำชับชาวยิว และเข้มข้นขึ้น ก็คือชาวยิวที่ถูกเลือกสรรไว้  ให้เข้าใจ ลึกซึ้งขึ้น ก็คือชาวยิวที่เป็นสาวกใกล้ชิด 12 คน ซึ่งมีคนหนึ่งพลาดไป ไม่คิด

            เราจึงเห็นภาพรวมว่า 3 ปีมานี้  ที่เราได้เรียนรู้กันมา เรื่องราว เรื่องนี้  6 ตอนแล้ว มันเป็นอย่างนี้เองหรือ? ใช่ มันเป็นอย่างนี้ พระเยซูต้องการมาบอกว่าให้เตรียมตัวว่าพระองค์มาแล้ว และพระองค์จะทำอะไรที่ไม้กางเขน  พระองค์จะตายที่ไม้กางเขน  พระองค์จะถูกฝังไว้ในอุโมงค์ และวันที่ 3 พระองค์จะถูกชุบให้เป็นขึ้นจากความตาย ด้วยฤทธิ์เดชอำนาจอันยิ่งใหญ่ของพระเจ้า การเป็นขึ้นจากความตายนี้ จึงเป็นตัวสำคัญ  เป็นข่าวดี ข่าวประเสริฐของพระเจ้า สำหรับมนุษย์ทุกคนเลย นี่คือภาพรวมทั้งหมด

            คราวนี้ เมื่อเรารู้ว่าคำอธิษฐานในมัทธิว 6:9-15 ไม่ใช่คำอธิษฐานของพระเยซู ก็ไม่ใช่นะสิ แล้วคำอธิษฐานของพระเยซู คืออะไร?  ก็คือไม่กี่ชั่วโมง หลังจากอธิบาย ประกาศ ถ้อยคำ ชี้แจง ในโลกวิญญาณให้กับสาวก 12 คน อย่างชัดเจน แจ่มแจ้ง เรียบร้อยแล้ว  พระองค์กำลังเดินทางไปสู่ตะแลงแกง เป็นภารกิจสุดท้าย

            ภารกิจสุดท้ายของพระองค์ คือการตายที่ไม้กางเขน และเป็นขึ้นจากความตาย นั่นคือชัยชนะยิ่งใหญ่  ตอนที่มาเกิดเป็นมนุษย์  ยังไม่ได้เป็นชัยชนะ ยังต้องต่อสู้อีกเยอะ  แม้ว่าพระองค์เป็นพระเจ้าก็จริง แต่พระองค์ยอมถ่อมมาเกิดเป็นมนุษย์ ต่ำต้อยกว่าฐานะเป็นพระเจ้ามาก เป็นมนุษย์ธรรมดา เป็นเนื้อหนังแบบเราๆ อย่างนี้

            เพราะฉะนั้น 33 ปีของพระองค์ เป็นการต่อสู้อย่างรุนแรงในตัวของพระองค์เองมาก เราก็รู้อยู่แล้วว่า 3 ปีสุดท้าย พระองค์ก็เริ่มประกาศ  ก่อนที่จะทำภารกิจบนไม้กางเขน ตอนประกาศ ท่านก็ทราบดีแล้ว ถูกขัดขวาง ถูกต่อต้าน อย่างรุนแรง อย่างมากมาย สาหัสสากัน ในฐานะเป็นมนุษย์ พระองค์ก็เจ็บปวดทุกข์ทรมานทั้งกายและใจ แต่ก็ผ่านมาได้ ชนะมาได้ตลอด จนถึงวินาทีสุดท้ายที่สวนเกเสมเน อธิษฐานถึง 3 ครั้ง บอกพระเจ้าว่าเป็นไปได้ไหม?  ไม่ต้องไปตะแลงแกง ถูกตรึงที่ไม้กางเขน เป็นไปได้ไหม? 3 ครั้ง คุกเข่าอธิษฐาน ทรุดลงอธิษฐาน ด้วยความกลัว  แต่ พระเจ้าทรงเงียบ ก็คือไม่ได้ มันต้องเป็นไปตามแผนการที่พระองค์ทรงวางไว้เรียบร้อยแล้วนั้น

            เมื่อพระองค์มีกำลัง พระองค์ก็ตัดสินใจ  โอเค เพราะฉะนั้น ให้เป็นไปตามน้ำพระทัยของพระองค์แล้วกัน แล้วจากนั้น พระองค์ก็ลุกขึ้น  แล้วก็เดินไป แล้วก็สั่งสาวกเหล่านี้ บอกสาวกเหล่านี้ ย้ำอีกทีหนึ่งว่าท่านต้องอยู่ในเรานะ  มันจะเกิดอะไรขึ้นอย่างนี้  เรากับท่านจะเป็นหนึ่งเดียวกัน เราจะไปสร้างบ้านของเราอยู่ในตัวของท่าน ท่านจงรอคอยนะ ที่ๆ เราจะไป ท่านไปไม่ได้หรอกตอนนี้ แต่เราจะกลับมารับท่าน

            พูดสั่งเสียเสร็จเรียบร้อย ก็อธิษฐาน ก่อนที่จะไปทำให้สำเร็จ คราวนี้อธิษฐานของจริงเลย อธิษฐานตามภารกิจที่พระองค์ทรงถูกแต่งตั้งให้มาทำบนโลกใบนี้ คืออธิษฐานเกี่ยวกับการไถ่มนุษย์ ให้รอดพ้นจากความบาป มาเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเจ้า ตามที่พระองค์ได้ทรงอธิบายไว้ และพระเยซูคริสต์ได้ทำภารกิจตรงตามเป้าหมายนี้เรียบร้อยแล้ว  สำเร็จเรียบร้อยมา 2,000 ปีแล้ว

            เราลองมาดูว่าคำอธิษฐานที่เป็นคำอธิษฐานจริงๆ ของพระเยซูคริสต์ ก่อนที่จะไปทำภารกิจให้สำเร็จนั้น พระองค์อธิษฐานอย่างไร? อยู่ในหนังสือยอห์น บทที่ 17 พระคัมภีร์บันทึกไว้ เป็นคำอธิษฐานของพระเยซูคริสต์แท้จริงเลย ทั้งหมดมี 26 ข้อ ตั้งแต่ข้อ 1 ถึงข้อที่ 26 เป็นคำอธิษฐานของพระเยซูหมดเลย  เราจะได้รู้ว่าพระองค์จะทำอะไรบนไม้กางเขน เป็นไปตามที่ตะกี้เราได้เรียนรู้กันเป๊ะ คือให้มนุษย์มาได้เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเจ้า พ้นจากความบาป เราจะข้ามข้อ 1 ถึงข้อ 13 ไป ท่านไปอ่านเองก็ได้

            พออธิบายกับสาวกจบ เสร็จปุ๊บ พระองค์ก็เริ่มอธิษฐานให้กับสาวก 12 คนนั้น และอธิษฐานมาถึงพวกเราทุกๆ คนบนโลกใบนี้ด้วย ชัดเจน อันนี้ ถือเป็นคำอธิษฐานของพระเยซูจริง ที่ควรจะจดจำเอาไว้ ควรจะไม่ลืม ดังที่พระเยซูบอกว่า …

            “ท่านกระทำพิธีนี้ อย่าลืมสิ่งที่เราทำให้กับท่าน”

            ก็คือคำอธิษฐานเหล่านี้ เป็นคำอธิษฐานที่พระองค์กระทำสำเร็จ มา 2,000 ปีแล้ว แต่ที่เรากำลังจะอ่านนี้ เป็นคำอธิษฐานที่พระองค์ทรงเริ่มต้นก่อนที่จะไปทำภารกิจ  แต่ตอนนี้ เรารู้แล้วว่าทำภารกิจนั้นสำเร็จเรียบร้อยตามคำอธิษฐานเป๊ะเลยทันที ซึ่งเกี่ยวข้องกับเรา โดยเฉพาะอย่างยิ่งตั้งแต่ข้อ 14 ถึงข้อ 26 เกี่ยวข้องกับเรามาก ข้อ 1 ถึงข้อ 13 ยังไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับเรามากนัก ยังอยู่ในการอธิษฐานให้กับสาวก 12 คนนั้นอยู่ นึกภาพนะ 12 คนอยู่ใกล้ชิดที่สุด ก่อนที่พระองค์จะเข้าไปสู่ภารกิจ สุดท้ายจริงๆ มีอยู่ 12 คน เราก็ทราบกันดีอยู่แล้ว

            คำอธิษฐานของพระเยซู ในยอห์น 17:1-13 อธิษฐานให้สาวก 12 คน พอตั้งแต่ข้อ 14 มันจะเกี่ยวอะไรกับพวกเราแล้ว เดี๋ยวเราลองติดตามดู มันตื่นเต้นดีว่านี่แหละ คือคำอธิษฐานของพระเยซูคริสต์ที่แท้จริง  ที่เราควรจะติดตาม และจดจ่อ และจะไม่ลืม ท่องได้ ยิ่งดี จำได้เท่าไรยิ่งดีเท่านั้น พูดแล้วยิ่งดี เอเมนทุกข้อเลยว่าพระองค์ทำสำเร็จไปแล้ว สรรเสริญพระเจ้า มันเป็นอย่างนั้นจริงๆ เอเมน   เพราะเป็นคำอธิษฐานของพระเยซูคริสต์ของแท้จริงๆ เอเมน

            อธิษฐานให้เขาได้ยินด้วย เขาจะได้จดเอาไว้  ใครจดเอาไว้? สาวก 12 คนนี้ จะได้จดเอาไว้ว่าพระองค์อธิษฐานอย่างนี้  เขายังไม่รู้เรื่องเลย  ไม่เข้าใจละเอียด  แต่พระองค์บอกเขาว่าตอนนี้ท่านยังไม่รู้ละเอียด แต่หลังจากนี้ไป เมื่อพระวิญญาณบริสุทธิ์เข้ามาสถิตอยู่กับท่านแล้ว พระวิญญาณจะนำท่านไปสู่ความจริงเหล่านี้ทั้งปวง ก็คือวันเพ็นเทคอสมา

            คราวนี้เราจะเริ่มคำอธิษฐานของพระเยซูที่แท้จริง ในหนังสือยอห์น 17:14-26 เราเริ่มต้นจากข้อ 14 ให้เห็นภาพสมมติว่าเราเป็นสาวก 12 คน แล้วพระเยซูสั่งเสียเสร็จปุ๊บ พระเยซูก็อธิษฐาน ในบทที่ 17 ข้อ 1 เลย บอกว่าพระองค์ทรงเงยหน้าขึ้น แล้วก็พูดว่า …

            “พระบิดาผู้สถิตในสวรรค์”

            คุ้นๆ ไหม?  คุ้นๆ กับหัวข้อเรื่องไหม? คำอธิษฐานในมัทธิว 6:9-15 “พระบิดาผู้สถิตอยู่ในสวรรค์” อันนั้นไม่ใช่ของจริง อันนี้ของจริง พระองค์อธิษฐานจริง

            “พระบิดาผู้สถิตอยู่ในสวรรค์ ลูก หมายถึงตัวพระองค์เอง อธิษฐานให้กับพวกสาวกเหล่านี้ ที่พระองค์ได้ทรงประทานให้กับลูก …” 13 ข้อ สาวกก็นั่งฟังอยู่ พอข้อ 14 พระองค์ทรงอธิษฐานอย่างนี้ ยอห์น 17:14  เริ่มต้น …

        ยอห์น 17:14 “ลูกได้ให้คำสอนของพระองค์แก่พวกเขาแล้ว  แต่โลกนี้เกลียดพวกเขา  เพราะว่าพวกเขาไม่ได้เป็นของโลกนี้ เหมือนกับที่ลูกไม่ได้เป็นของโลกนี้”

            “พวกเขา” ก็คือสาวก 12 คน แต่ว่าตอนท้ายของคำอธิษฐาน ที่บอกว่าพวกเขานี้ ไม่ใช่เฉพาะสาวก 12 คนเท่านั้น  แต่รวมไปถึงผู้เชื่อ ในการประกาศข่าวประเสริฐของ 12 คนนี้ด้วย  เหลือ 11 คน ก็คือผู้ที่ทรยศ ก็คือยูดาส แล้วก็มีคนมาแทน

            สาวก 12 คนหรือ 11 คนนี้ ไม่ใช่อธิษฐานให้กับเขาอย่างเดียว แต่อธิษฐานให้กับคนที่เขาเชื่อในการประกาศข่าวดีของกลุ่มนี้  เริ่มต้นจาก 12 คนหรือ 11 คนนี้  ใครก็ตามที่เชื่อในข่าวดีนี้  เขาก็จะได้รับตามที่พระองค์ทรงกระทำให้ บนไม้กางเขน และเป็นขึ้นจากความตายในอีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้านี้

            “ลูกได้ให้คำสอนของพระองค์แก่พวกเขาแล้ว แต่โลกนี้เกลียดพวกเขา  เพราะว่าพวกเขาไม่ได้เป็นของโลกนี้ เหมือนกับที่ลูกไม่ได้เป็นของโลกนี้”

            ไม่ได้เป็นของโลก ก็คือพวกเขาที่วางใจในพระเยซูคริสต์ เขาเป็นของพระคริสต์ เป็นของพระเจ้าแล้ว เขาไม่ได้เป็นของโลก โลกนี้เป็นความบาป เขาไม่ได้เป็นความบาป เขาได้บังเกิดใหม่แล้ว จากการเชื่อและวางใจในข่าวดี  คือวางใจในเรา ผู้เป็นพระเมสิยาห์  ตรงนี้หมายถึงอย่างนั้น ข้อ 15-16

        ยอห์น 17:15-16 “15 ลูกไม่ได้ขอให้พระองค์เอาพวกเขาออกไปจากโลกนี้ แต่ลูกขอให้พระองค์คุ้มครองพวกเขา ให้พ้นจากมารร้ายตัวนั้น 16 พวกเขาไม่ได้เป็นของโลก เหมือนกับที่ลูก ไม่ได้เป็นของโลก”

            พวกเขา ก็คือสาวก 12 คนนี้ กับผู้ที่เชื่อในข่าวดีที่เขาจะประกาศมาถึงนั้น ก็หมายถึงคริสเตียนทุกคนที่เชื่อ รวมทั้งเราด้วย ที่เชื่อและวางใจในพระเยซู

            พระคัมภีร์บอกว่าพวกเราทั้งหลาย คริสเตียน ไม่ว่าจะเป็นชาวยิวก็ตามหรือชาวต่างชาติที่ได้รับข่าวประเสริฐ ผ่านมาทางชาวยิวก่อน จำได้นะ ชาวยิวเป็นพวกแรก  พวกที่สอง คือชาวต่างชาติ ทั้งสองพวกเกิดจากการวางใจในพระเจ้าเหมือนกัน  เราก็คือคริสเตียนเหมือนกัน  มีค่าเท่ากัน ตรงนี้กำลังพูดถึงเราทั้งหลายที่เป็นผู้เชื่อ เป็นคริสเตียน  เชื่อในข่าวดีของพระเยซู ที่เป็นต่างชาติ ฟังข่าวดีนี้ จากการประกาศของชาวยิว ในหนังสือ 2 เปโตร 1:4 ได้บันทึกไว้อย่างนี้ว่า …

        2 เปโตร 1:4 “โดยสิ่งเหล่านี้ พระองค์ได้ประทานพระสัญญาอันยิ่งใหญ่ และล้ำค่าของพระองค์แก่เรา เพื่อว่าโดยทางพระสัญญาเหล่านี้ พวกท่านจึงได้มีส่วนในพระลักษณะของพระเจ้า (บังเกิดใหม่เป็นลูกพระเจ้า)  และพ้นจากความเสื่อมทรามในโลก ซึ่งเกิดจากตัณหาชั่ว (ความบาป)”

            “พ้นจากความเสื่อมทรามในโลก ซึ่งเกิดจากตัณหาชั่ว ก็คือเกิดจากความบาปที่อยู่ภายใน” ก็คือเมื่อเราวางใจและเชื่อในพระเยซู เราไม่ใช่เป็นของโลกนี้อีกต่อไป เราได้บังเกิดใหม่แล้ว ตามพันธสัญญา ได้มีส่วนเข้าไปอยู่ในพระลักษณะของพระเจ้า  เข้าไปมีส่วนในพระลักษณะของพระเจ้า ก็คือเหมือนกับพระเจ้า  เราไม่ใช่ของโลกอีกต่อไป

            นี่คือสถานะของคริสเตียน ที่พระเยซูกำลังชี้ให้เห็นว่าสิ่งที่พระองค์ทรงกระทำบนไม้กางเขน และการเป็นขึ้นจากความตาย  จะทำให้สิ่งนี้เกิดขึ้น  ใครเชื่อก็จะเกิดขึ้นอย่างนี้แหละ  เขาจะได้บังเกิดใหม่ ตามพันธสัญญา พ้นจากการเสื่อมทรามในโลก ซึ่งเกิดจากความบาป ที่อยู่ในใจของเขา  เขาจะสะอาด หมดจด บริสุทธิ์  ดีพร้อม เหมือนพระเจ้า

            ตะกี้เราอ่านข้อ 15-16 ไปแล้ว … “ลูกไม่ได้ขอให้พระองค์เอาพวกเขาออกไปจากโลกนี้”

            เห็นหรือยัง แม้ว่าเขาจะเกิดใหม่ เป็นของพระองค์แล้วก็ตาม แต่ลูกไม่ได้ต้องการให้เขา ออกไปจากโลกนี้เลย ก็คือไม่ใช่พอเชื่อพระเจ้าแล้ว มาเป็นคริสเตียนแล้ว ให้พระเจ้านำกลับไปเลย ก็คือไปอยู่ในสวรรค์เลย  ไม่ใช่ ให้เขายังคงอยู่บนโลกใบนี้ แต่ลูกขอให้พระองค์คุ้มครองป้องกันเขา ให้พ้นจากมารร้ายนั้น และพวกเขาไม่ได้เป็นของโลก เหมือนกับที่ลูกไม่ได้เป็นของโลก

            มารร้าย คือใคร? ก็คือมาร ก็คือซาตาน ที่ครอบครองโลกใบนี้อยู่ คุ้มครองเขาพ้นจากมารร้าย ก็คือขอพระองค์ทรงปกป้องเขา จากการชั่วร้ายบนโลกใบนี้ทั้งปวง  เพราะฉะนั้น พระเจ้าทรงสถิตอยู่ในเรา เราไม่ต้องห่วงอะไรเลย พระวิญญาณบริสุทธิ์ประทับตราว่าเราเป็นบุตรของพระเจ้า  พระเจ้าให้พระวิญญาณบริสุทธิ์สถิตอยู่ในเรา และพระวิญญาณนี้จะเป็นผู้ยืนยัน ประทับตราในจิตใจของเราว่าเราเป็นคนของพระเจ้า เราไม่ใช่ของโลกนี้ แม้ว่าเราจะอยู่บนโลกนี้ก็ตาม  แต่เราอยู่ในสวรรค์ด้วย เราเป็นพลเมืองสวรรค์ เรารู้ได้อย่างไร? เพราะว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่สถิตอยู่กับเรา ประทับตราอยู่ในจิตใจเรา ยืนยันอยู่ในใจเราตลอดเวลาว่าเราเป็นพลเมืองของพระเจ้า รอคอยวันที่จะจากโลกนี้ไป สวมร่างกายใหม่ เราเป็นเหมือนพลเมืองพระเจ้า ที่รอคอยองค์พระเยซูคริสต์ปรากฏ และเราก็จะปรากฏ พร้อมองค์พระเยซูคริสต์เจ้า ด้วยร่างกายใหม่  เรากำลังอาศัยอยู่ในโลกที่เต็มไปด้วยความบาป ความมืด ความเกลียดชัง

            แต่เราชนะสิ่งเหล่านั้นทั้งหมด เราอยู่ในความชอบธรรมของพระเจ้า ท่ามกลางความบาป ความมืด ความเกลียดชัง  เราเป็นลูกแห่งความสว่าง เป็นผู้ชอบธรรม บริสุทธิ์ ดีพร้อม เหมือนพระเยซู เราไม่เหมือนกับชาวโลกทั่วๆ ไป  เราเป็นความสว่างท่ามกลางความมืดบนโลกใบนี้นั่นเอง เพราะเราทั้งหลาย คือผู้เชื่อทั้งหลาย ผู้ที่วางใจในข่าวประเสริฐของพระองค์ และวางใจในพระองค์ เราได้มีใจใหม่ วิญญาณใหม่ ความคิดใหม่ ธรรมชาติใหม่ ที่เป็นเหมือนพระเยซู เพราะเราได้บังเกิดใหม่แล้ว จากหน่อเชื้ออมตะ ที่เป็นของพระเจ้า นั่นหมายถึงอย่างนี้ว่าเราไม่ใช่ของโลกแล้ว พระเยซูกำลังบอกว่าเขาไม่ใช่ของโลกนี้ ยอห์น 17:17 ต่อไป …

          ยอห์น 17:17 “แยกพวกเขาจากโลกนี้  มาเป็นของส่วนพระองค์  ที่จะใช้สอย แต่เพียงผู้เดียว ด้วยความจริงของพระองค์  ถ้อยคำของพระองค์เป็นความจริงแท้”

            นี่คือคำอธิษฐานของพระเยซู และพระองค์ทรงกระทำสำเร็จบนไม้กางเขน อีกไม่กี่ชั่วโมงต่อมานั่นเอง

            “แยกพวกเขาออกจากโลก” พระเจ้าแยกพวกเขาออกจากโลกเลย ให้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของพระองค์ เห็นหรือยังว่าบนโลกใบนี้ เหมือนมี 2 อาณาจักร อาณาจักรหนึ่งเรียกว่าอาณาจักรของโลก เต็มไปด้วยความมืด อีกอาณาจักรหนึ่ง อาณาจักรสวรรค์ เป็นอาณาจักรแห่งความสว่าง

            แยกพวกเขาออกมาจากโลก เพื่อเป็นส่วนหนึ่งของพระองค์ ที่จะใช้สอยเพียงผู้เดียว  ด้วยความจริงของพระองค์ ก็คือด้วยถ้อยคำแห่งความจริงของข่าวประเสริฐของพระองค์ ที่เป็นความจริงนั้น ทำให้เขาได้บังเกิดใหม่ พระเจ้าแยกเขาออกมา เป็นทรัพย์สมบัติส่วนพระองค์ ซึ่งเราเรียกกันว่าชำระ

            ชำระ ไม่ได้หมายถึงว่าเราต้องพยายามชำระตัวเองให้สะอาดดี มีความประพฤติที่ดี ไม่ได้หมายความอย่างนั้น “ชำระ” นี้ หมายถึงพระเจ้าทรงแยกเราออกมา วิธีการแยกของพระองค์ เดี๋ยวเราเรียนต่อไป จะเห็นชัดเจน แยกจากความมืดมาสู่ความสว่าง คุ้นๆ หูไหม? เหมือนโคโลสีที่ได้บันทึกไว้ว่าแยก ก็คือการย้ายเรา แสดงว่าก่อนจะย้าย เราอยู่ในที่มืด ขอพระเจ้าทรงย้ายเราจากที่อยู่ในที่มืด อยู่ในความบาป มาสู่ความสว่าง ความบริสุทธิ์ในพระเยซูคริสต์ โดยผ่านทางความเชื่อในข่าวดี ถ้อยคำแห่งความจริง นี่คือความหมายของถ้อยคำเมื่อสักครู่นี้  คือย้ายเราจากความมืด ความบาป มาสู่ความสว่าง ความบริสุทธิ์ในพระเยซูคริสต์ ผ่านทางความเชื่อในข่าวดี ซึ่งเป็นถ้อยคำแห่งความจริง เราจะถูกแยก ถูกย้ายหรือไม่? ไม่ได้ขึ้นอยู่กับพระเจ้า

            ฟังให้ดีๆ คำอธิษฐานนี้ ได้ถูกทำให้สำเร็จเรียบร้อยแล้ว บนไม้กางเขน  พระเจ้า พระบิดา ได้แยกเรา  ได้ย้ายเรา มนุษย์ทั้งปวง เรียบร้อยแล้ว จากความมืด มาสู่ความสว่าง ย้ายมนุษย์ทั้งปวง มาอยู่ในพระเยซูคริสต์เรียบร้อยแล้ว  มาอยู่ในความสว่างเรียบร้อยแล้ว จากความมืด ขึ้นอยู่ว่ามนุษย์คนนั้น เชื่อในความจริง ในข่าวดีนี่หรือไม่? ที่พระเยซูประกาศ เชื่อหรือไม่เชื่อ จะถูกย้ายหรือไม่ถูกย้าย ขึ้นอยู่กับคนๆ นั้น ซึ่งเชื่อหรือไม่เชื่อ ทำให้เรียบร้อยแล้ว  แต่ถ้าไม่เชื่อ ก็เหมือนกับไม่ได้ทำให้ แต่ทำให้หรือยัง? ทำให้เรียบร้อยแล้ว และพระเยซูตรัสว่าเป็นทางเดียวเท่านั้น  ที่ท่านทั้งหลายจะสามารถเข้าสวรรค์ เข้าหาพระบิดาในสวรรค์ได้  เข้ากับพระบิดาได้ มีทางเดียวเท่านั้น  คือท่านต้องย้ายออกมา จากอาณาจักรของความมืด มาสู่ความสว่าง ย้ายออกมาจากความบาป มาสู่ความชอบธรรม และพระเจ้าทำให้สำเร็จแล้ว  ท่านยอมย้ายหรือไม่ย้าย ยอมให้พระเจ้าแยกท่านออกมาหรือไม่แยก ตรงนี้มากกว่า นี่เป็นสิ่งที่เราไม่ต้องทำ

            จำได้ไหมตะกี้บอกว่าแยกกับย้าย ภาษาหนึ่งที่มีความเข้าใจผิด  คือไปแปลว่าเป็นการชำระ เราต้องชำระตัวเราเองให้สะอาดหมดจด แล้วเราถึงจะไปอยู่กับพระเจ้าได้ ไม่ใช่ พระเจ้าชำระเราเสร็จเรียบร้อยแล้ว  พระเจ้าย้ายเรา แยกเราออกมาแล้ว นี่คือสิ่งที่พระเยซูอธิษฐาน …

        ยอห์น 17:18 “ลูกได้ส่งพวกเขาเข้าไปในโลก เหมือนกับที่พระองค์ส่งลูกเข้ามาในโลกนี้”

            “ลูกได้ส่งพวกเขา” พวกเขา ผู้ที่เชื่อในข่าวประเสริฐ ทั้งชาวยิวและชาวที่ไม่ใช่ยิวทั้งหลายบนโลกใบนี้ ใครก็ตามที่เป็นคริสเตียน พระเยซูส่งเขาเข้าไปในโลก เห็นไหม? ขณะที่เราเป็นคริสเตียน เราเชื่อในพระเยซูคริสต์ เราดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้อยู่ เราอยู่ เพราะว่าพระเจ้าทรงให้เราอยู่ พระเยซูทรงให้เราอยู่

            เป้าหมายของเรา ในการดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ คือการเป็นทูต ตัวแทนของพระเยซูคริสต์ เหมือนกับที่พระเยซูเป็นทูต เป็นตัวแทนของพระเจ้า ส่งมาบนโลกใบนี้ พระเยซูก็ส่งเราเข้ามาในโลกใบนี้ เหมือนกัน ทำอะไรเหมือนกับพระเยซู พระเยซูมาบนโลกใบนี้ ทำการประกาศข่าวดี  เรื่องการไถ่บาป  เราไม่ต้องทำการไถ่บาป  เพราะว่าพระเยซูทำให้สำเร็จ เรียบร้อยแล้ว เรามีหน้าที่ประกาศข่าวดีให้กับมนุษย์ทั้งปวง  เรามีหน้าที่ฉายแสง ความสว่าง ที่อยู่ในตัวเราเท่านั้นเอง …

        ยอห์น 17:19 “เพื่อประโยชน์ของพวกเขา และเป็นตัวแทนของพวกเขา ลูกได้แยกตัวเอง ให้เป็นของส่วนพระองค์ ที่จะใช้สอยแต่เพียงผู้เดียว เพื่อพวกเขาจะได้เป็นของส่วนพระองค์ แต่เพียงผู้เดียวในความจริง”

            “เพื่อประโยชน์ของพวกเขา และเป็นตัวแทนของพวกเขา” ก็คือมนุษย์ทั้งหลายทั้งปวง บนโลกใบนี้ “ลูกได้แยกตัวเอง” เห็นไหมครับ? ถ้าเราแปลออกมาว่าลูกได้ชำระตัวเอง พระเยซูไม่ต้องชำระตัวเองอีกแล้ว พระองค์บริสุทธิ์ สะอาด มาเกิดเป็นมนุษย์ ก็ยังบริสุทธิ์อยู่ ไม่ได้ทำบาปเลย ไม่ต้องชำระตัวเองสักหน่อย  จึงไม่แปลว่าชำระ จึงแปลว่าแยก ย้าย

            “ลูกได้แยกตัวเอง ให้เป็นส่วนของพระองค์” ก็คือลูกยอมบังเกิดเป็นมนุษย์บนโลกใบนี้ และเป็นมนุษย์ที่ไม่มีบาปเลย  ไม่ได้เป็นของโลก ได้ถูกแยกออกจากโลกใบนี้  ซึ่งเต็มไปด้วยความบาป มนุษย์เพียงคนเดียวบนโลกใบนี้ ที่ไม่มีบาป ที่เป็นแสงสว่าง เพื่อเป็นที่สถิตของพระองค์ เป็นส่วนพระองค์ ที่พระองค์จะทรงใช้สอย  เป็นไปตามน้ำพระทัยนั่นเอง

            แยก เพื่อเป็นทรัพย์สมบัติส่วนพระองค์ที่จะถูกแยกพิเศษ เป็นของพระองค์ผู้เดียว ที่จะใช้สอย บริสุทธิ์ สะอาด  ไม่มีใครแตะต้องได้  นี่หมายถึงตัวพระองค์ทรงยอมแยกตัวเองมา ตอนที่ดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้  เพื่อเป็นตัวแทนของมนุษย์ทั้งปวง  เพื่อประโยชน์ของพวกเขา  พระองค์ทรงยอมมาเกิดเป็นมนุษย์ เป็นตัวแทน

            เพราะฉะนั้น เราจึงเห็นว่าพระองค์ได้ซื้อเรา ด้วยราคาแพง ตามที่พระคัมภีร์ได้บันทึกไว้ คือด้วยสถานะของพระเยซูที่เป็นพระเจ้า ด้วยพระโลหิตของพระบุตรของพระเจ้า ซึ่งหลั่งที่ไม้กางเขน เราจึงสามารถเป็นผู้ที่ได้รับการย้ายเข้ามาเป็นทรัพย์สมบัติส่วนพระองค์ ดังนั้น พระเจ้าทรงเป็นชีวิตที่อยู่ในเรา และเป็นเจ้าของชีวิตเราทั้งหมดเลย เพราะว่าพระองค์เป็นผู้แยกเราออกมา ไม่ใช่เราแยกตัวเราเอง  เราเพียงแต่รับสิทธิของเราเท่านั้น สิทธิของเราในพระเยซูคริสต์ทรงกระทำให้เรา

            ถึงข้อที่ 20 แล้ว คราวนี้เราจะเห็นชัดแล้วว่าที่ตะกี้ผมพูดว่าเรื่องราวเหล่านี้ เป็นเรื่องเกี่ยวกับพวกเราทุกคนผู้เชื่อ …

        ยอห์น 17:20 “แต่ลูกไม่ได้อธิษฐานให้คนพวกนี้ (คืออัครสาวกตอนเริ่มต้น 12 คน) เท่านั้น ลูกยังอธิษฐานให้คนที่จะเชื่อในตัวลูก โดยผ่านทางคำประกาศของพวกเขาด้วย”

            “ลูกไม่ได้อธิษฐานให้กับคนพวกนี้ คืออัครสาวก 12 คน” ไม่ได้อธิษฐานให้เขาเท่านั้น  เขาฟังอยู่ ลูกยังอธิษฐานให้คนที่เชื่อในตัวลูก ก็คือเชื่อในพระเยซู โดยผ่านทางคำประกาศของพวกเขาด้วย คำประกาศของใคร? ของสาวก 12 คนนี้ เริ่มต้นประกาศ ก็จากอัครสาวกเหล่านี้ ประกาศ เริ่มต้นที่ชาวยิว แล้วก็ประกาศออกไปเรื่อยๆ จนสุดปลายแผ่นดินโลก มาถึงคนไม่เชื่อทั้งหลาย ผ่านทางเปาโลเห็นหรือยัง สิ่งเหล่านี้ ทำเพื่อมนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้ มนุษย์คนใดก็ได้  ที่เชื่อในข่าวดีนี้นั่นเอง ที่เขาจะได้รับสิ่งที่ลูกกำลังจะเดินทางเข้าไปสู่การตายที่ไม้กางเขน และเป็นขึ้นจากความตาย  และพระองค์ทรงกระทำสำเร็จแล้ว …

        ยอห์น 17:21 ลูกขอให้พวกเขาทั้งหมดเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน เหมือนกับพระองค์พระบิดาอยู่ในตัวลูก และลูกอยู่ในพระองค์  ขอให้พวกเขาอยู่ในพวกเราด้วย เพื่อโลกจะได้เชื่อว่าพระองค์ส่งลูกมา”

            มันก็คือการบัพติศมาเข้าส่วนร่วมเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเจ้า ตรีเอกานุภาพทั้ง 3 พระภาคนั่นเอง “ขอให้พวกเขาอยู่ในพวกเราด้วย” พวกเขา คือชาวยิวและไม่ใช่ชาวยิว ที่เชื่อในข่าวดีนี้ ขอให้พวกเขาอยู่ในพวกเราด้วย  พวกเรา คือตรีเอกานุภาพ พระเจ้าพระบิดา พระเจ้าพระบุตร พระเจ้าพระวิญญาณบริสุทธิ์  “เพื่อโลกจะได้รู้ว่าพระองค์ส่งลูกมา” เพื่อโลกทั้งหลายจะเห็นความยิ่งใหญ่ อย่างอัศจรรย์ของคริสเตียน คือผู้เชื่อทั้งหลายว่าดำเนินชีวิต โดยที่มีตรีเอกานุภาพอยู่ในตัวเขา

            ท่านรู้หรือไม่ว่าร่างกายท่านเป็นวิหารของพระเจ้า ผู้ทรงพระชนม์อยู่  และพระเจ้าผู้นี้เป็นตรีเอกานุภาพ พระเจ้าพระบิดา พระเจ้าพระบุตร พระเจ้าพระวิญญาณ เป็นหนึ่งเดียวกัน  พระเจ้าตรีเอกานุภาพ  ทั้ง 3 พระภาคได้เข้ามาอาศัยอยู่ในเรา ภายในร่างกายนี้ เป็นฤทธิ์เดชอำนาจยิ่งใหญ่ มหาศาล ที่กระทำการงานอยู่ในตัวเราทั้งหลาย ผู้เชื่อ เหมือนเปาโลที่ได้บันทึกเอาไว้ว่าฤทธิ์เดชอำนาจอันยิ่งใหญ่ แห่งการเป็นขึ้นจากความตายของพระเยซูคริสต์นี้ ยิ่งใหญ่เพียงใด มหาศาลเพียงใด อยากให้ท่านได้รู้ ขอพระวิญญาณบริสุทธิ์ สำแดงสิ่งเหล่านี้ให้ท่านรู้ และฤทธิ์เดชอำนาจตอนที่ชุบพระเยซูให้เป็นขึ้นจากความตาย ฤทธิ์เดชอำนาจนี้ กระทำการงานอยู่ในท่านทั้งหลาย ผู้เชื่อทุกคน ไม่ว่าเราผู้เชื่อทั้งหลาย ที่ได้บังเกิดใหม่นั้น จะรู้สึกอย่างไรก็ตาม ในขณะที่ดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้  ไม่ว่าจะไปไหน? ทำอะไรก็ตาม พระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้าทั้ง 3 พระภาคอยู่ในเรา เป็นฤทธิ์เดชอำนาจที่ยิ่งใหญ่สูงสุด เหนือสรรพสิ่งทั้งหลายทั้งปวงที่พระเจ้าทรงสร้าง เราอยู่ในพระองค์ผู้สร้าง อยู่ในทีมผู้สร้าง คือตรีเอกานุภาพ คือพระเจ้ายิ่งใหญ่สูงสุด  พระเจ้าที่เป็นตรีเอกานุภาพนี้ อยู่ในเรา เป็นหนึ่งเดียวกันกับวิญญาณของเรา พูดง่ายๆ ว่าเราจะไปที่ไหน มี 4 วิญญาณไปด้วย ตลอดเวลา  ไม่ว่าเราจะรับรู้หรือไม่รู้ ไม่ว่าเราจะรู้สึกหรือไม่รู้สึกก็ตาม ไม่ว่าเราจะรู้สึกอย่างไรก็ตาม  ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับเราก็ตาม  พระเจ้าตรีเอกานุภาพอยู่ในเรา …

        ยอห์น 17:22-23 “22 เกียรติสิริ (ชีวิตนิรันดร์) ซึ่งพระองค์ประทานแก่ลูกนั้น ลูกได้มอบให้พวกเขา (ทุกคนที่เชื่อในลูก) แล้ว เพื่อพวกเขา (ผู้ที่เชื่อ) จะได้เป็นหนึ่งเดียวกัน เหมือนที่พระองค์กับลูกเป็นหนึ่งเดียวกัน คือ 23 ลูกอยู่ในพวกเขา(ผู้ที่เชื่อ) และพระองค์อยู่ในลูก ขอให้พวกเขา (ผู้ที่เชื่อ) ได้รวมเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันอย่างสมบูรณ์ เพื่อให้โลกรู้ว่าพระองค์ทรงส่งลูกมา และทรงรักพวกเขา (ผู้ที่เชื่อ) เหมือนที่พระองค์ทรงรักลูก”

            เกียรติสิริ คือชีวิตนิรันดร์  คือชีวิตของพระเยซู เต็มไปด้วยสง่าราศี เต็มไปด้วยพระเกียรติสิริ และฤทธิ์อำนาจยิ่งใหญ่สูงสุด เกียรติสิริอันนี้ ความยิ่งใหญ่ คือฤทธิ์เดชอำนาจ ตอนที่พระเจ้าได้ประทานเกียรติสิริให้กับพระเยซูคริสต์ ก็คือตอนที่พระเยซูถูกชุบให้เป็นขึ้นจากความตาย ขณะที่พระองค์ถูกชุบให้เป็นขึ้นจากความตาย พระคัมภีร์บอกว่าเป็นการที่พระเจ้า ประทานเกียรติสิริ ชีวิตนิรันดร์กลับคืนให้กับพระเยซูคริสต์ กลับคืนสู่สภาพพระเจ้า  ผู้ยิ่งใหญ่สูงสุดนั่นเอง มันหมายถึงอย่างนั้น

            ชีวิตนิรันดร์ มีลักษณะเป็นความรักนิรันดร์ เป็นความสว่างนิรันดร์ เป็นความบริสุทธิ์นิรันดร์ เป็นความดีนิรันดร์ เป็นความยินดี เป็นความสุขนิรันดร์ เป็นสถานะ เป็นสมาชิก เป็นลูกของพระเจ้านิรันดร์  เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้านิรันดร์ เป็นฤทธิ์เดช เป็นอำนาจยิ่งใหญ่นิรันดร์ เป็นความรักที่เหมือนพระเจ้านิรันดร์ นี่คือชีวิตนิรันดร์ ที่เราได้รับจากพระเจ้า มันเยอะมาก จนไม่รู้จะพูดว่าอย่างไรดี ชีวิตนิรันดร์ คือพระลักษณะของพระเจ้านิรันดร์ที่อยู่ในเราทั้งหลาย

            “เกียรติสิริ ชีวิตนิรันดร์ที่พระองค์ทรงประทานแก่ลูกนั้น ลูกได้มอบให้กับเขา” พระองค์ พระเยซูได้รับมอบ ความเป็นขึ้นจากความตาย  ได้รับชีวิตนิรันดร์นี้  ได้รับเกียรติสิรินี้ จากพระเจ้า  และพระองค์ก็ทรงแบ่งให้กับพวกเราทุกคน  มนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้ ได้รับการแบ่งตรงนี้หมด พระองค์ก็ทรงให้กับมนุษย์ทุกคน ขึ้นอยู่กับมนุษย์คนนั้น รู้หรือไม่รู้? รู้แล้วรับหรือไม่รับ? จะเอาหรือไม่เอาเท่านั้น มันถึงง่ายอย่างนี้ไง ข่าวประเสริฐของพระเจ้า คนที่เชื่อ ก็จะได้ เพื่อให้ชีวิตนิรันดร์กับเขา เพื่อว่าเขาจะได้สามารถเข้ามาเป็นหนึ่งเดียวกันกับลูก ก็คือกับพระเยซู เป็นหนึ่งเดียวกัน เพื่อพวกเขาผู้เชื่อทั้งหลายอยู่ในลูกแล้ว พวกเขาจะได้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันอย่างสมบูรณ์ในเรา ก็คือในตรีเอกานุภาพ

            สมบูรณ์ คือเข้ามาเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเยซูคริสต์ และพระเยซูคริสต์ก็อยู่ในพระเจ้า  และพระเจ้าเป็น 3 พระภาค เราก็ได้เข้าไปอยู่ข้างใน เหมือนไข่แดง พระคัมภีร์บอกว่าชีวิตของเรา คริสเตียน ถูกซ่อนอยู่ในพระคริสต์ ในพระเจ้า  ในหนังสือโคโลสีบอกว่าเราทั้งหลายที่บังเกิดใหม่ในพระเยซูคริสต์ เรามีชีวิตอยู่ ชีวิตของเราได้ถูกซ่อนอยู่กับพระคริสต์ในพระเจ้า

            “ฉันได้อยู่กับพระคริสต์ในพระเจ้า”

        ยอห์น 17:24 “พระบิดาในที่ที่ลูกอยู่นั้น ลูกอยากให้คนพวกนี้ ที่พระองค์ให้กับลูกอยู่ที่นั่นกับลูกด้วย เพื่อเขาจะได้เห็นความยิ่งใหญ่ที่พระองค์ให้กับลูก เพราะพระองค์รักลูก ก่อนที่พระองค์จะสร้างโลกนี้”

            “คนพวกนี้ ที่พระองค์ให้กับลูก” คนพวกนี้ คือผู้เชื่อทั้งหลาย คริสเตียน เท่ากับพระเจ้าให้เราเป็นของขวัญ ให้พระเยซู เพราะฉะนั้น เท่ากับเราผู้เชื่อ หรือคริสเตียนนั้น เราเป็นของขวัญ ที่พระเจ้าประทานให้กับพระเยซูคริสต์ เราเป็นของขวัญนะ ที่พระเจ้าได้ให้กับพระเยซูคริสต์ แล้วพระเยซูก็บอกว่าให้เราได้อยู่ที่นั่นกับลูกด้วย ก็คือนั่งอยู่กับพระองค์ด้วย พระเยซูนั่งอยู่ที่ไหน? พระเยซูนั่งอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้าในสวรรคสถาน ในขณะนี้ เราก็ได้นั่งอยู่กับพระองค์ในสวรรคสถาน ในขณะนี้ ที่เบื้องขวาของพระเจ้า ร่วมกับพระเยซูคริสต์เช่นเดียวกัน

            พระเจ้าตรีเอกานุภาพเห็นคุณค่า อันเลิศหรูในชีวิตของเราทั้งหลาย มนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้ มากเลย มอบมนุษย์ทุกคนให้เป็นของขวัญอันล้ำค่าในพระคริสต์ มอบเรามนุษย์ทุกคน ขึ้นอยู่กับมนุษย์คนนั้น เมื่อได้ยินแล้ว ยอมไหม? ที่จะให้พระเจ้ามอบ ยอมไหมที่จะเป็นของขวัญของพระเจ้า  ที่มอบให้กับพระเยซู ขึ้นอยู่กับเรายอมไหม?  ไม่ใช่ขึ้นอยู่กับพระเยซูจะเอาเราไหม?  พระองค์ทำไปเรียบร้อยแล้ว  ได้สำเร็จเรียบร้อยไปแล้ว  เพื่อเราจะได้เห็นและสัมผัสประสบการณ์แห่งพระสิริของพระองค์ ฤทธิ์เดชอำนาจของพระองค์ ในขณะที่ดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ จนกระทั่งถึงวินาทีสุดท้าย

            มอบชีวิตนิรันดร์ให้กับเรา เป็นของขวัญของพระเยซู พระเยซูก็มอบพระลักษณะพระเจ้าให้มาอยู่กับเรา เกียรติสิริก็มาอยู่กับเรา และเราก็ดำเนินชีวิตโดยเกียรติสิริ คือชีวิตของพระเจ้า ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป จนกระทั่งถึงนิรันดร์เลย เราจะค่อยๆ เรียนรู้ประสบการณ์การดำเนินชีวิตกับพระเยซูคริสต์อย่างนี้ไปเรื่อยๆ …

        ยอห์น 17:25 “พระบิดา พระองค์สัตย์ซื่อ โลกนี้ไม่รู้จักพระองค์ แต่ลูกรู้จักพระองค์ และพวกศิษย์เหล่านี้ก็รู้ว่าพระองค์ส่งลูกมา”

            คำว่า “รู้จัก” ตรงนี้ หมายถึงการเป็นหนึ่งเดียวกัน การเข้ามาอยู่ในครอบครัวเดียวกัน คำว่ารู้จักนี้ ไม่ได้หมายถึงรู้จักกันเผินๆ แต่รู้จักกัน เหมือนอยู่ในครอบครัวกันเลย จริงๆ แล้วสนิทสนมกันมากถึงลักษณะเหมือนกับสามีภรรยากัน เรารู้จักพระเจ้า หมายถึงเราสนิทสนมกับพระเจ้า เป็นหนึ่งเดียวกันเลย เป็นเหมือนสามีภรรยา คุ้นเคยกันมาก มันหมายถึงอย่างนั้น …

        ยอห์น 17:26 “ลูกทำให้เขารู้จักพระองค์ และลูกก็จะทำอย่างนี้ต่อไป เพื่อว่าความรักที่พระองค์มีต่อลูกจะอยู่ในตัวพวกเขา และเพื่อว่าลูกก็จะอยู่ในตัวพวกเขาด้วย”

            “ลูกทำให้พวกเขาได้รู้จักพระองค์” ก็คือการตายของลูกที่ไม้กางเขน การเป็นขึ้นจากความตายของลูก ทำให้เขาได้สามารถเข้ามาอยู่ในบ้านของพระองค์ เข้ามาเป็นหนึ่งกับพระองค์ เข้ามาสนิทสนม เหมือนสามีภรรยากับพระองค์ สนิทสนมกันได้ มันหมายถึงอย่างนั้น และความสนิทสนมกันนั้น ทำให้เกิดความดีงาม  ความรักของพระองค์ถ่ายทอดจากตัวของพระองค์มาสู่ลูก และไปสู่พวกเขาทุกคนผู้เชื่อในนามของเรา วางใจในเราว่าเราเป็นผู้นั้น ที่มาช่วยให้รอด

            เพื่อความรักของพระเจ้าจะได้ปกคลุมอยู่เหนือโลกใบนี้ ในมนุษย์ผู้ที่เชื่อ และพระคริสต์สถิตอยู่ในเขา เป็นความรักของพระเจ้านั่นเอง มันหมายถึงอย่างนี้ มันจึงทำให้เขาเป็นความรักของพระเจ้า ดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ โดยที่พระเยซูคริสต์สถิตอยู่กับเขา ลูกก็จะอยู่ในตัวเขาด้วย  ก็คือพระเยซูคริสต์จะอยู่ในตัวเขาด้วย  ก็คือความรักของพระเจ้า  ความรักของพระคริสต์ก็จะอยู่ในตัวของเรา ผู้เชื่อศรัทธาด้วย

            ข่าวดีที่สุด ก็คือทั้งหมดที่พระองค์ทรงอธิษฐาน  พระองค์กระทำสำเร็จเรียบร้อยแล้วบนไม้กางเขน  เมื่อ 2,000 ปีแล้ว ข่าวดีกว่านั้น คือเงื่อนไขเดียวที่ต้องทำ สำหรับมนุษย์ทุกคน ที่อยากจะได้รับสิ่งเหล่านี้ทั้งหมด ที่พระองค์ทรงกระทำไปแล้ว ที่เราได้เรียนรู้กันมา จากคำอธิษฐานนี้  สิ่งเดียวเท่านั้นที่เขาต้องทำ เงื่อนไขเดียวที่เขาต้องทำ ก็คือเชื่อและวางใจในคำประกาศข่าวดีที่มาถึงท่าน เชื่อในถ้อยคำข่าวดีนี้เท่านั้น

            มนุษย์ทุกคนสามารถเข้าไปอาศัยอยู่ เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเจ้า ตรีเอกานุภาพ ยิ่งใหญ่สูงสุดนี้ได้ แค่วางใจ เชื่อเท่านั้น มันง่ายนิดเดียวจริงๆ แต่มันยาก เพราะว่ามันเป็นทางแคบ ตามที่พระเยซูบอก  เพราะว่ามันง่ายเกิน อะไรแค่วางใจแค่นี้ ได้เข้าไปอยู่ในตรีเอกานุภาพเลย จริงๆ มันเรื่องจริง แค่วางใจ ก็สามารถเข้ามาอยู่ในตรีเอกานุภาพอันยิ่งใหญ่สูงสุดได้แล้ว พระเยซูประกาศข่าวดีนี้ มา 2,000 ปีแล้วว่าทุกคนสามารถเข้ามาอาศัยอยู่ในตรีเอกานุภาพนี้ได้ ก็คือในพระบิดา พระบุตร พระวิญญาณบริสุทธิ์ ง่ายๆ แค่นี้เอง  เพียงแค่เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ ข่าวดี และวางใจการกระทำของพระองค์บนไม้กางเขน ที่ได้หลั่งพระโลหิต สิ้นพระชนม์ และได้ถูกชุบให้เป็นขึ้นจากความตาย เชื่อตรงนี้  แค่นี้เอง

            ท่านก็จะอาศัยอยู่ในโลกนี้  แต่ขณะเดียวกัน ตรีเอกานุภาพของพระเจ้ายิ่งใหญ่สูงสุด 3 พระภาคก็จะอยู่กับท่านตลอดไป ท่านจะอาศัยอยู่ในโลกนี้ อยู่ในความบาปหรือไม่? หรือจะอยู่ในความมืดต่อไป โดยมีวิญญาณที่โดดเดี่ยว ไม่มีพระเจ้าอาศัยอยู่ในตัวท่านเลย  อยู่ในความมืด อยู่ในความพินาศอย่างนั้น ต่อไปหรือไม่?  หรือจะมี 3 พระภาค พระเจ้าสถิตอยู่ในตัวท่าน มีตรีเอกานุภาพสถิตอยู่ในตัวท่าน เป็นหนึ่งเดียวกับพระองค์ ขึ้นอยู่กับตัวท่านทั้งนั้น ไม่ได้ขึ้นอยู่กับพระเจ้าอีกต่อไปแล้ว พระองค์ทรงกระทำสำเร็จแล้ว ขึ้นอยู่กับตัวท่านได้ยินแล้ว แค่เชื่อในนามพระเยซูคริสต์เท่านั้นจริงๆ พระเจ้าอวยพรครับ

**********************

จากใจคณะศิษยาภิบาล

            พระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่สูงสุดในสวรรค์ เจ้าของสวรรค์ ประกาศเตือนมวลมนุษย์ที่รักยิ่งว่า … “ใครก็ตามที่พยายามเข้าสู่สวรรค์ มาอยู่กับพระองค์ โดยการพึ่งพาตนเอง ในการพยายามสั่งสม กระทำความดีตามกฎบัญญัติ ศีลธรรม เพื่อจะได้บริสุทธิ์ เป็นผู้ชอบธรรม ดีพร้อม ปราศจากมลทิน ไร้ตำหนิใดๆ ตามมาตรฐานของพระองค์ โปรดฟังทางนี้!”

            กาลาเทีย 3:10-11 … “เพราะว่าคนทั้งหลาย ซึ่งพึ่งการประพฤติ ตามธรรมบัญญัติ (ตามกฎศีลธรรม) ก็ถูกสาปแช่ง เพราะพระคัมภีร์เขียนไว้ว่า “ทุกคนที่ไม่ได้ประพฤติตามข้อความทุกข้อ  ที่เขียนไว้ในหนังสือธรรมบัญญัติ (กฎศีลธรรม) ก็ถูกสาปแช่ง” เป็นที่แน่ชัดว่าไม่มีใครถูกชำระให้ชอบธรรม ในสายพระเนตรของพระเจ้า ด้วยการรักษากฎธรรมบัญญัติ (กฎศีลธรรม) ได้เลย  เพราะว่า “คนชอบธรรมจะมีชีวิตอยู่โดยความเชื่อ” (จะเป็นคนชอบธรรม บริสุทธิ์ ดีพร้อมได้ โดยการบังเกิดใหม่ ผ่านทางความเชื่อในพระเยซูคริสต์เท่านั้น)”

            ยากอบ 2:10 … “เพราะว่าใครก็ตามที่พยายามถือรักษาธรรมบัญญัติ (กฎศีลธรรม) ทั้งหมด แต่ผิดอยู่ข้อเดียว  คนนั้นก็ทำผิดธรรมบัญญัติทั้งหมด”

            “โอ้โห! อย่างนี้ใครจะทำได้ล่ะ?” … มนุษย์ถามพระเจ้า

            พระเจ้าตอบ … “นั่นน่ะสิ! เจ้าถึงต้องตายแล้วบังเกิดใหม่งัย!”

            พระเยซูพูดเสริม … “สำหรับมนุษย์นั้นก็เหลือกำลัง แต่สำหรับพระเจ้าทุกสิ่งทุกอย่างเป็นไปได้  พระเจ้าสามารถทำให้ท่านบังเกิดใหม่ได้ โดยผ่านทางเรา”

            พระเจ้าอวยพรครับ

วารสาร Holy  News   ฉบับที่  1429

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  13  สิงหาคม  2023

เรื่อง “แม่ ในพระเยซูคริสต์”

โดย ธิดารัตน์ ร่มพระคุณ

            จริงๆ วันเกิดเราก็เป็นวันแม่ ความจริงแล้ว วันแม่ควรจะมีทุกวัน ก็เนื่องจากว่าการได้ตั้งปฏิทินไว้ ก็ดีอย่างหนึ่งว่าเราดำเนินชีวิตในโลกนี้ เราก็จะเหมือนกับละเลยการที่จะหันมาสนใจผู้สูงอายุที่อยู่ที่บ้าน  แล้วเรามัวแต่ทำมาหากิน จนกระทั่งเราไม่ได้หันกลับมาสนใจ หรือว่าหันมามองผู้ที่เป็นบุพการีของเรา  ที่มีอายุมากแล้ว  แล้วต้องการการพึ่งพิงจากเรา ซึ่งบางครั้ง บางครอบครัว ก็ …

            “ไม่จำเป็นหรอก คุณไม่ต้องมาทำอะไรให้ฉันหรอก ขอให้คุณมีชีวิตที่ดี ก็พอแล้ว” …        บางครอบครัวก็จะเป็นอย่างนั้น

            ในหนังสือ 2 โครินธ์ 3:2-3  เป็นจดหมายที่อาจารย์เปาโลได้เขียนไปถึงเมืองโครินธ์  ที่ได้บอกว่าคนในโครินธ์ เป็นเหมือนตัวหนังสือ ที่ทำให้ได้เห็นถึงพระคุณ ความดีงามของพระเจ้า

        2 โครินธ์ 3:2-3 (TH1971) “2  ท่านเองเป็นหนังสือของเรา จารึกไว้ที่ดวงใจของเรา ให้คนทั้งปวงได้รู้และได้อ่าน 3 ท่านปรากฏเป็นหนังสือของพระคริสต์ ซึ่งเราได้เขียนไว้มิใช่ด้วยน้ำหมึก แต่ด้วยพระวิญญาณของพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์ และมิได้เขียนไว้ที่แผ่นศิลา แต่เขียนไว้ที่แผ่นดวงใจมนุษย์”

            ในขณะที่ดิฉันได้ดำเนินชีวิตอยู่ในคริสตจักรของพระเจ้า สิ่งหนึ่งที่ได้เห็นความเป็นแม่ของหลายๆ ครอบครัว ในคริสตจักรของพระเจ้า  ทำให้เห็นถึงพระเจ้าในชีวิตของทุกคน  แน่นอนพระวจนะของพระเจ้าได้บอกว่าไม่มีใครเคยเห็นพระเจ้า แต่พระเยซูคริสต์ได้ทรงสำแดงพระองค์แล้ว  พระเจ้าได้อยู่ท่ามกลางเรา  และพระเจ้าทรงอยู่กับเรา  และพระเจ้าทรงอยู่ในเรา  ดิฉันถึงได้เห็นชีวิตของครอบครัวหลายๆ ครอบครัว ที่อยู่ในคริสตจักรของพระเจ้า

            สิ่งหนึ่งที่ดิฉันชอบมากๆ ก็คือการได้มองดูครอบครัวของพระเจ้า ในคริสตจักรแห่งนี้ ดิฉันจะมีความสุขมากๆ แล้วดิฉันก็เห็นหลายสิ่งหลายอย่าง ที่งดงามมากๆ แน่นอนคำว่างดงามของดิฉัน ไม่ได้หมายความว่าครอบครัวนั้นยอดเยี่ยม เพอร์เฟค ไม่ได้หมายความว่าครอบครัวนั้นดี แต่บางครั้งครอบครัวทะเลาะกัน ตีกัน  แต่ยังเห็นความงดงามของพระเจ้า ในชีวิตของครอบครัวเหล่านั้น ดิฉันเห็นได้อย่างไร? เพราะว่าพระคริสต์ได้อยู่ในคนเหล่านั้น

            การที่เราจะมาอยู่ในคริสตจักรของพระเจ้า วันแม่ หลายๆ คริสตจักร หลายๆ ที่ หรือว่าตามสถานที่ต่างๆ ก็มักจะมาสอนว่าเราจะต้องเป็นแม่แบบไหน? เราจะต้องเป็นลูกแบบไหน? แต่ในพระเยซูคริสต์เราไม่สามารถทำอย่างนั้นได้ เพราะว่าแท้ที่จริงแล้ว พระเจ้าทรงอยู่ในเราทุกคน  และทุกคนมีความเป็นครอบครัวที่พระเจ้าทรงนำพา ให้มีรูปแบบการเลี้ยงดูบุตรหลานของแต่ละคน ไม่เหมือนกัน พระเจ้าจะอยู่ในท่าน และทรงนำท่านในการเลี้ยงดูบุตรหลานของแต่ละคนไม่เหมือนกัน

            เรามาดูแม่คนแรกของโลกใบนี้กัน พระเจ้าทรงสร้างโลกที่งดงาม ดียอดเยี่ยม แต่เหตุการณ์ก็เกิดขึ้น คือผู้หญิงคนนั้นเอวาได้กบฏต่อพระเจ้า ก็คือตัดสินใจที่จะพึ่งพาในตัวเอง  ไม่พึ่งพาพระเจ้า โดยการกระทำการอย่างหนึ่ง ก็คือทำในสิ่งที่เรียกว่าไม่เชื่อฟัง …

        ปฐมกาล 3:13-20 “13 พระเจ้าตรัสถามหญิงว่า …  “เจ้าทำอะไรไป”  หญิงนั้นทูลว่า … “งูล่อลวงข้าพระองค์ ข้าพระองค์จึงได้รับประทาน” 14 พระเจ้าจึงตรัสแก่งูว่า … “เพราะเหตุที่เจ้าทำเช่นนี้ เจ้าจะต้องถูกสาปแช่ง มากกว่าสัตว์ใช้งาน และสัตว์ป่าทั้งปวง จะต้องเลื้อยไปด้วยท้อง จะต้องกินผงคลีดิน จนตลอดชีวิต” 15 เราจะให้เจ้ากับหญิงนี้เป็นศัตรูกัน ทั้งพงศ์พันธุ์ของเจ้าและพงศ์พันธุ์ของเขาด้วย พงศ์พันธุ์ของหญิงจะทำให้หัวของเจ้าแหลก และเจ้าจะทำให้ส้นเท้าของเขาฟกช้ำ” 16 พระองค์ตรัสแก่หญิงนั้นว่า … “เราจะเพิ่มความทุกข์ลำบากขึ้นมากมาย ในเมื่อเจ้ามีครรภ์และคลอดบุตร ถึงกระนั้นเจ้ายังปรารถนาสามี และเขาจะปกครองตัวเจ้า” 17 พระองค์จึงตรัสแก่อาดัมว่า … “เพราะเหตุเจ้าเชื่อฟังคำพูดของภรรยา และกินผลไม้ที่เราห้าม แผ่นดินจึงต้องถูกสาปเพราะตัวเจ้า เจ้าจะต้องหากินบนแผ่นดิน ด้วยความทุกข์ลำบากจนตลอดชีวิต 18 แผ่นดินจะให้ต้นไม้และพืชที่มีหนามแก่เจ้า และเจ้าจะกินพืชต่างๆ ของทุ่งนา เจ้าจะต้องหากินด้วยเหงื่ออาบหน้า จนเจ้ากลับเป็นดินไป 19 เพราะเราสร้างเจ้ามาจากดิน เจ้าเป็นผงคลีดิน และจะต้องกลับเป็นผงคลีดินดังเดิม” 20 ชายนั้นเรียกภรรยาของตนว่า … “ เอวา”  เพราะนางเป็นมารดาของปวงชนที่มีชีวิต”

            นี่คือต้นสายปลายเหตุ มนุษย์คู่แรก ก็คือบรรพบุรุษของเราได้ล้มลงในความบาป  และเมื่อล้มลงในความบาป สิ่งที่เกิดขึ้น ก็คือเราต้องตาย ทางด้านร่างกาย และเราต้องตายฝ่ายวิญญาณ นี่คือความจริง

            มนุษย์หล่นลงในความบาปแล้ว มันหนักตรงนี้ คือว่าพระพรยังอยู่ เมื่อพระเจ้าทรงตรัสแล้ว ไม่คืนคำ เมื่อตรัสออกไป สิ่งนั้นจะต้องเกิด และยังดำรงอยู่ และไม่ถูกลบออก เพราะว่าในพระวจนะของพระเจ้า ตอนที่พระองค์ทรงสร้างโลก  และได้สร้างมนุษย์สำเร็จนั้น ในปฐมกาล 1:26-28 บอกว่า …

        ปฐมกาล 1:26-28 “26 แล้วพระเจ้าตรัสว่า “ให้เราสร้างมนุษย์ตามฉายาตามอย่างของเรา ให้ครอบครองฝูงปลาในทะเล ฝูงนกในอากาศและฝูงสัตว์ ให้ปกครองแผ่นดินทั่วไป และสัตว์ต่างๆ ที่เลื้อยคลานบนแผ่นดิน” 27 พระเจ้าจึงทรงสร้างมนุษย์ขึ้นตามพระฉายาของพระองค์ ตามพระฉายาของพระเจ้านั้น พระองค์ทรงสร้างมนุษย์ขึ้น และได้ทรงสร้างให้เป็นชายและหญิง 28 พระเจ้าทรงอวยพระพรแก่มนุษย์ ตรัสแก่เขาว่า “จงมีลูกดกทวีมากขึ้นจนเต็มแผ่นดิน จงมีอำนาจเหนือแผ่นดิน จงครอบครองฝูงปลาในทะเล และฝูงนกในอากาศ กับบรรดาสัตว์ที่เคลื่อนไหวบนแผ่นดิน

            พระพรยังอยู่ ในขณะที่มนุษย์คนหนึ่งกลายเป็นมนุษย์ต้นแบบของเรา ที่ถูกสร้างมาตามพระฉายาของพระเจ้า  ได้กลายเป็นมนุษย์ที่ตายแล้ว ฝ่ายวิญญาณ  หมายความร่างกายเราจะดำรงไปสู่ดิน   และวิญญาณของเราตาย แต่ว่าพรข้อนี้ยังอยู่ …

            “จงมีลูกดกทวีมากขึ้นจนเต็มแผ่นดิน”

            มันจะเกิดอะไรขึ้น ในโรม 5:12 บอกว่า …

        โรม 5:12 (TH1971) “เหตุฉะนั้น เช่นเดียวกับที่บาปได้เข้ามาในโลกเพราะคนๆ เดียว และความตายก็เกิดมาเพราะบาปนั้น และความตายก็ได้แผ่ไปถึงมวลมนุษย์ทุกคน เพราะมนุษย์ทุกคนทำบาป”

            นั่นหมายความว่ามนุษย์ที่เป็นมนุษย์บาปได้ทวี ดกขึ้นจนเต็มแผ่นดิน ถามว่าพระวจนะพูดถูกไหม? เราย้อนกลับไปดูโลกของเรา ไม่ว่าวิวัฒนาการจะดียอดเยี่ยมขนาดไหนก็ตาม มนุษย์ก็ยังทำลายล้างโลกใบนี้ ค่อยๆ ทำลายล้าง เราเกิดมา สิ่งที่เราอยู่ เรากิน เรานอน เราก็ทำร้ายตัวเอง เราบอกว่าเราเกิดมา เราอยู่ในครอบครัว เราแต่งงานด้วยความรัก สุดท้าย เราก็ทะเลาะเบาะแว้งกัน ความรักของเรา ก็ไม่สมบูรณ์  เมื่อเราคลอดลูกออกมา เราเลี้ยงลูกเรา เรารักลูกเราปานจะกลืนกิน เรารักชนิดว่าตายแทนเขาได้ แต่ในพฤติกรรม การกระทำในแต่ละวันที่เรากระทำ บางครอบครัวใส่บาดแผลลงไปในจิตใจของลูกๆ ของตนเอง จนกลายเป็นมนุษย์ที่ผิดเพี้ยนมากขึ้นๆ ไปกว่าเดิม เราจะสังเกตว่ามนุษย์ก่อนหน้านี้ ที่เข้มงวดมากๆ จะเป็นรุ่นของผู้ใหญ่ที่เด็กรุ่นนี้เรียกว่าดึกดำบรรพ์ ก็จะเป็นพ่อแม่ที่เข้มงวดมากๆ พอรุ่นต่อมาก็เรียนรู้จากพ่อแม่ที่เข้มงวดนั้น ก็กลายเป็นครอบครัวที่ …

            “แต่ก่อนนี้ฉันไม่มีฐานะ  ฉันไม่มีอะไรมาก ตอนนี้ฉันมีฐานะแล้ว ฉันจะปรนเปรอลูกของฉัน ทุกอย่าง ที่สมัยก่อนฉันเคยขาด”

            ส่งลูกเรียนทุกอย่าง จนลูกไม่มีเวลาที่จะเล่นเลย  ทุกอย่างถูกป้อน เพื่อให้เขาสามารถดำรงชีวิตอยู่ในโลกนี้อย่างที่เอาตัวรอดได้ ทุกคนพยายามต่อสู้กับความบาปของโลกนี้ พยายามต่อสู้กับความเสื่อมของโลกนี้ โดยการใส่ทุกอย่างลงไปในชีวิตของลูกตัวเอง แล้วผลพวงก็มากขึ้นๆ เรื่อยๆ จนเกิดอะไรขึ้น พระวจนะของพระเจ้าบอกว่าในยุคสุดท้ายนี้ ความรักจะเยือกเย็นลง ลูกหลานจะไม่ฟังเราแล้ว แต่ก่อนนี้ไม่คิดว่าจะเจอ ตอนนี้เจอแล้ว  ออกมาพูดกันในโซเซียลถึงการเลี้ยงดูของพ่อแม่ ไม่ใช่บุญคุณ  แต่เป็นหน้าที่ แน่นอนเป็นหน้าที่ค่ะ  แต่ในหน้าที่นั้น แฝงด้วยความรัก แฝงด้วยความทุ่มเท ความอดทนนาน การเสียสละ อย่างใหญ่หลวงของพ่อแม่ ฉะนั้น บางคนอาจจะไม่เห็นสิ่งนี้ของพ่อแม่ ทำให้ไม่สามารถที่จะนึกถึงด้านของการกตัญญูกตเวที หรือไม่ได้มองเห็นถึงความรู้สึกว่าเป็นบุญคุณ

            การกตัญญูกตเวทีกับการมีบุญคุณ มันต่างกัน มีบุญคุณ หมายถึงเรายึดไว้ในใจด้วยตัวของเราเอง แล้วเราตอบแทนสิ่งนั้น กตัญญูกะตรรกเวที ต้องเกิดมาจากความเป็นมนุษย์ของเรา มนุษย์ที่เกิดมา ที่ถูกสร้างขึ้นมา แต่มนุษย์ผิดเพี้ยน และไม่สามารถที่จะกตัญญูกตเวทีได้  อาจจะมีหลายๆ ปัจจัย เช่น ความยากลำบากในชีวิต ไม่สามารถที่จะย้อนกลับไปกตัญญูกตเวทีต่อพ่อแม่ได้ เพราะว่าแค่ตัวเองก็จะเอาตัวไม่รอดอยู่แล้ว  มีปัจจัยหลายสิ่งหลายอย่าง เมื่อคลอดลูกออกมา ก็เลี้ยงลูกไม่ไหว ลูกก็ลำบาก เกิดบาดแผล ความบาปก็แผ่กระจายไปเต็ม ลงไปในจิตใจ ในโรม 3:23 บอกว่า …

        โรม 3:25 (TH1971) “เพราะว่าทุกคนทำบาป  และเสื่อมจากพระสิริของพระเจ้า”

            แน่นอนเราอยู่ในโลกโซเซียล ในทุกวันนี้ เราอาจจะเห็นครอบครัวหลายๆ ครอบครัวที่พยายามจะสร้างครอบครัวตัวเองให้เป็นครอบครัวที่ดี ถามว่าได้ไหม? ได้ อย่างที่เคยบอกไปก่อนหน้านี้แล้ว เมื่อไรก็ตามที่มนุษย์ได้เอาตัวเองเข้าไปสู่ภายใต้กฎแห่งระเบียบที่ตัวเองสร้างขึ้นมา โดยการที่วางระบบระเบียบเข้าไปในจิตใจของตัวเอง ด้วยตัวเองได้ ครอบครัวนั้น ก็จะสามารถที่จะสร้างครอบครัวที่ดีให้กับตัวเองได้เช่นกัน  ไม่ได้หมายความว่าเขาไม่ได้เชื่อพระเจ้าแล้วเขาจะทำไม่ได้ เขาทำได้  แต่อย่างที่บอก ต่อให้ทำได้ ครอบครัวเขารอดไหม? อันนั้นต่างออกไป

            ดังนั้น ในโลกมนุษย์นี้ ไม่ว่าจะเป็นคริสเตียนหรือไม่เป็นคริสเตียน เราก็สามารถที่จะทำให้ครอบครัวเราล้มเหลวได้เหมือนกัน เราสามารถที่จะทำให้ครอบครัวเรา ไปได้อย่างราบรื่น ดีงามได้เหมือนกัน มนุษย์ในโลกนี้มีความเท่าเทียมกัน ในการสร้างตนเอง สร้างครอบครัวที่ดีหรือไม่ดีได้ แต่ไม่ใช่ทุกครอบครัวจะสามารถทำให้รอดได้ แม้แต่ครอบครัวคริสเตียนเอง  ไม่ใช่ว่าท่านกำเนิดลูกมาแล้ว ลูกของท่านจะเป็นคริสเตียนอัตโนมัติ อันนี้ต้องบอกก่อน ก็คือว่าลูกทุกคน ยังเป็นมนุษย์คนหนึ่งที่ต้องมีความสามารถตัดสินใจ ด้วยตัวเองว่าเขาจะวางใจในพระบุตรนี้หรือไม่?  เขามีสิทธิของความเป็นมนุษย์ ที่จะตัดสินใจว่าเขาจะวางชีวิตลง เลือกพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดหรือไม่? ดังนั้น อย่าโมเมว่าเราอยู่ในครอบครัวคริสเตียน ลูกเราจะเป็นคริสเตียนตามไปด้วย โดยที่เราไม่ทำไรเลย

            หลายครั้งเวลาเราสอนอยู่บนเวทีนี้ เราก็จะบอกว่าเราได้ความรอด โดยไม่ทำอะไรเลย อันนั้น  พระเจ้าเป็นผู้ทำ แต่พระวจนะของพระเจ้าได้บอกไว้ว่าให้เรานำทางบุตรหลานของเรา ไปในวิถีอันชอบธรรม เราจะต้องนำพาบุตรหลานของเราไปในวิถีอันชอบธรรมของพระเจ้า  เราจะต้องให้เขาได้เรียนรู้ในความเป็นตัวเอง โดยการพึ่งพาพระเจ้า  โดยการวางใจพระเจ้า  และนำพาเขามาสู่ความรอด ในพระเจ้า มนุษย์มีสายสัมพันธ์ทางสายเลือด ดังนั้น เมื่อเรามีสายสัมพันธ์ทางสายเลือด เมื่อเราเกิดมาในโลกนี้  ถ้าเราไม่ได้วางใจในพระเยซูคริสต์ เรายังเป็นกลุ่มก้อนที่ เป็นมนุษย์ที่ตายแล้วฝ่ายวิญญาณ  ก็คือว่ามีสายพันธุ์ที่จะต้องตายฝ่ายร่างกายและตายฝ่ายวิญญาณด้วย

            มนุษย์ตกลงไปในกฎของความบาปและความตาย จำเป็นจะต้องมีบทบัญญัติมาควบคุมมาชี้ให้เห็นการกระทำบาปของตัวเอง  ทำไมบทบัญญัติจึงจำเป็นสำหรับคนที่ไม่เชื่อ  เพราะมีไว้สำหรับควบคุมหรือให้เราดูว่านี่คือบาป อย่าทำ  นี่คือสิ่งที่ไม่ควรทำ อย่าทำ ทำไปแล้วมันจะทุกข์ มันจะเป็นกรรม เราตีความเป็นกรรมในโลกหน้า  แต่จริงๆ แล้วกรรมของการกระทำมันเกิดขึ้นในโลกนี้ สิ่งใดดี เราทำ เราได้กินผลของความดี สิ่งใดที่ไม่ดี เรากระทำ เราก็กินผลของมัน ไม่ว่าจะเชื่อพระเจ้าหรือไม่เชื่อพระเจ้าก็ตาม ดังนั้น บทบัญญัติจึงมีไว้ สำหรับคนที่ไม่เชื่อพระเจ้า จำเป็นต้องมี ไม่มีไม่ได้ สังคมวุ่นวายแน่ๆ

            ดังนั้น พระเจ้ารู้ว่ามนุษย์เป็นแบบนี้ จึงเตรียมแผนการกอบกู้โลกให้รอด จากอำนาจของความบาปและความตายแล้ว ทันที เมื่อเกิดขึ้น ในปฐมกาล 3:15 บอกว่า …

        ปฐมกาล 3:15 “เราจะให้เจ้ากับหญิงนี้เป็นศัตรูกัน ทั้งพงศ์พันธุ์ของเจ้าและพงศ์พันธุ์ของเขาด้วย พงศ์พันธุ์ของหญิงจะทำให้หัวของเจ้าแหลก และเจ้าจะทำให้ส้นเท้าของเขาฟกช้ำ”

            นี่กำลังพูดถึงพระผู้ช่วยให้รอดที่จะมาเกิด ว่าไม่ใช่พงศ์พันธุ์ตามสายเลือดของผู้หญิงคนนั้นอีกแล้ว เราเป็นสายพันธุ์ที่มาจากเอวา มนุษย์ที่เป็นคนบาป ที่มีความตายอยู่ในนั้น จำเป็นจะต้องอยู่ใต้บัญญัติ บัญญัติใดบัญญัติหนึ่ง บัญญัติ 5 ข้อ บัญญัติ 8 ข้อ บัญญัติ 600 กว่าข้อ เราต้องมีบัญญัติ หรืออยากเขียนบัญญัติเองก็ได้  แต่มนุษย์จำเป็นต้องมีบัญญัติ เพื่อจะให้ตัวเองไม่หล่นลงไปในการทำกรรมให้กับตัวเอง  แต่รอดไหม? อย่างไรก็ไม่รอด เพราะว่าจะดีไม่ดี ก็ตายแล้วฝ่ายวิญญาณ นั่นก็คือมนุษย์ที่มาจากสายพันธุ์ของเอวา คือตายแล้ว ตายฝ่ายร่างกายและตายฝ่ายวิญญาณ ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม สายพันธุ์นี้ ก็จะต้องตาย ดังนั้น ไม่ว่าใครที่เกิดออกมา ก็เป็นมนุษย์แห่งความบาป ตามสายพันธุ์ของพันธุกรรม ถ้าไม่เชื่อ ลองย้อนกลับชีวิตของตัวเอง ตอนเด็กๆ เราว่าแม่เรานิสัยอย่างนั้นอย่างนี้ พอโตแล้ว ท่านเห็นแม่ท่านในตัวท่านไหมค่ะ ท่านเคยเห็นพฤติกรรมของแม่ท่านในตัวท่านไหมค่ะ ดิฉันเห็นนะคะ บางสิ่งบางอย่างที่อยู่ในตัวแม่ บางอย่างที่ไม่ใช่ไม่ชอบนะ แต่พอโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว จะเห็นว่านิสัยหลายอย่างของแม่ พฤติกรรมหลายอย่างของแม่อยู่ในตัวเรา นิสัยหรือพฤติกรรมหลายอย่างของพ่ออยู่ในตัวเรา เราเป็นเชื้อสายและพงศ์พันธุ์ที่สืบทอดพันธุกรรมแห่งความบาป

            ดังนั้น พระเจ้าจึงเตรียมผู้หนึ่งที่ต้องไม่ใช่สายพันธุ์เดียวกันกับเรามาไถ่เรา การไถ่ถอนนั้น จะต้องเป็นการไถ่ถอนที่มีค่าสูงกว่า ถ้าเอามนุษย์กับมนุษย์มาไถ่กัน ไถ่ไม่ได้ ต้องเอามนุษย์มีค่าสูงกว่าเรา ถึงจะไถ่ได้ เวลาที่เราเป็นหนี้ เราเอาที่ดินเราจำนอง จำนำ  เราจำนำล้านหนึ่ง เราไม่สามารถเอาเงินล้านหนึ่งไปไถ่ แล้วเขาจะให้เราคืน  เขาไม่ให้เราคืนนะ เราจะต้องไถ่ด้วยราคาที่สูงกว่า อาจจะเป็นล้านห้า สองล้าน สามล้าน บางคนดอกเบี้ยโหดมาก จะเป็นห้าล้าน แต่ดอกเบี้ยชีวิตเราโหดจริงๆ ค่ะพี่น้อง สูงมาก จนต้องใช้ พระบุตรของพระเจ้ามาไถ่เรา ในมัทธิว 1:20-23 บอกว่า …

        มัทธิว 1:20-23 “20 แต่เมื่อโยเซฟยังคิดในเรื่องนี้อยู่ ก็มีทูตองค์หนึ่งของพระเป็นเจ้า มาปรากฏแก่โยเซฟในความฝันว่า “โยเซฟบุตรดาวิด อย่ากลัวที่จะรับมารีย์มาเป็นภรรยาของเจ้าเลย เพราะว่าผู้ซึ่งปฏิสนธิในครรภ์ของเธอ เป็นโดยเดชพระวิญญาณบริสุทธิ์ 21 เธอจะประสูติบุตรชาย แล้วเจ้าจงเรียกนามท่านว่า “เยซู” เพราะว่าท่านเป็นผู้ที่จะโปรดช่วยชนชาติของท่านให้รอดจากความผิดบาปของเขา 22 ทั้งนี้เกิดขึ้นเพื่อจะให้สำเร็จตามพระวจนะของพระเป็นเจ้า ซึ่งตรัสไว้โดยผู้เผยพระวจนะว่า 23 “ดูเถิด หญิงพรหมจารีคนหนึ่งจะตั้งครรภ์ และคลอดบุตรชายคนหนึ่ง และเขาจะเรียกนามของท่านว่า อิมมานูเอล (แปลว่าพระเจ้าทรงอยู่กับเรา)”

            ในพระวจนะของพระเจ้าในยอห์น 3:16 บอกว่า …

        ยอห์น 3:16-18 (TH1971) “16 เพราะว่าพระเจ้าทรงรักโลก จนได้ทรงประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ เพื่อทุกคนที่วางใจในพระบุตรนั้น จะไม่พินาศ แต่มีชีวิตนิรันดร์ 17 เพราะว่าพระเจ้าทรงให้พระบุตรเข้ามาในโลก  มิใช่เพื่อพิพากษาลงโทษโลก แต่เพื่อช่วยกู้โลก ให้รอดโดยพระบุตรนั้น 18 ผู้ที่วางใจในพระบุตร ก็ไม่ต้องถูกพิพากษาลงโทษ ส่วนผู้ที่มิได้วางใจ ก็ต้องถูกพิพากษา ลงโทษอยู่แล้ว เพราะเขามิได้วางใจ ในพระนามพระบุตร องค์เดียวของพระเจ้า”

            ดังนั้น เป็นวิธีเดียว ก็คือว่ามนุษย์จะต้องย้ายสายพันธุ์ บ้านของเราเป็นบ้านของคริสเตียน เมื่อเราคลอดลูกออกมา เราจะต้องนำพาลูกของเราย้ายฝั่ง คลอดออกมาปุ๊บ อย่าลืมว่าร่างเรา ยังเป็นร่างที่อยู่บนโลกนี้อยู่ ดังนั้น เราจะต้องนำพาบุตรหลานของเรา มาวางใจในพระเยซูคริสต์ด้วยตัวของเขาเอง  เขาต้องตัดสินใจด้วยตัวของเขาเอง โรม 6:3-4 เราต้องเข้าส่วนร่วมกับการตาย การฝัง และการเป็นขึ้นมากับพระคริสต์ …

        โรม 6:3-4 “3 “ท่านไม่รู้หรือว่าเราทั้งหลายที่ได้รับบัพติศมา เข้าในพระเยซูคริสต์ ก็ได้รับบัพติศมานั้น เข้าในความตายของพระองค์” 4 เหตุฉะนั้น เราจึงถูกฝังไว้กับพระองค์แล้ว โดยการรับบัพติศมา เข้าส่วนในการตายนั้น เพื่อว่าเมื่อพระคริสต์ได้ทรงถูกชุบให้เป็นขึ้นมา จากความตายโดยเดชพระสิริของพระบิดาแล้ว เราก็จะได้ดำเนินตามชีวิตใหม่ด้วยเหมือนกัน”

            ในหนังสือโรม 5:18 บอกว่า …

        โรม 5:18 (TH1971) “ฉะนั้น การพิพากษาลงโทษได้มาถึงคนทั้งปวง เพราะการละเมิดครั้งเดียวฉันใด การกระทำอันชอบธรรมครั้งเดียว ก็นำการปลดปล่อยและชีวิตมาถึงทุกคนฉันนั้น”

            ดังนั้น การตายบนไม้กางเขนของพระเยซูคริสต์ ก็นำการปลดปล่อยมนุษย์ให้หลุดพ้นจากอำนาจของความบาปและความตาย จากมนุษย์ที่ตายแล้ว กลายมาเป็นมนุษย์ที่มีชีวิตในพระเยซูคริสต์มนุษย์ที่ตายกลับมีชีวิตใหม่ โดยฤทธิ์เดชของพระวิญญาณบริสุทธิ์ โดยการที่มนุษย์ทุกคน ไม่เว้นแต่ลูกหลานที่อยู่ในครอบครัวคริสเตียน ที่ยังไม่ได้ต้อนรับพระเยซูคริสต์ จะต้องบัพติศมาในพระนามพระบิดา พระบุตร พระวิญญาณบริสุทธิ์ แล้วจึงจะสามารถบังเกิดใหม่ ย้ายเผ่าพันธุ์ใหม่ เป็นพงศ์พันธุ์เดียวกันกับพระเยซูคริสต์ ก็คือการที่ตะกี้นี้เราได้เป็นสายพันธุ์ทางสายเลือดในพระเยซูคริสต์ สายใยของพันธุกรรม ก็ถูกเปลี่ยนใหม่ให้เป็นแบบเดียวกันกับพระคริสต์ นั่นคือการบังเกิดใหม่ เป็นการบังเกิดใหม่ที่สำเร็จแล้ว เมื่อ 2,000 ปี ก่อนที่จะสำเร็จ พระเยซูคริสต์ได้คุยกับนิโคเดมัสถึงเรื่องการบังเกิดใหม่ ถ้าใครอยากจะรู้ ก็ไปอ่านในหนังสือยอห์น บทที่ 3 ได้

            สิ่งหนึ่งที่เราต้องตระหนักและรู้จริงๆ ก็คือว่าในโลกใบนี้ไม่ว่าจะเป็นครอบครัวของคริสเตียนหรือไม่ใช่ครอบครัวของคริสเตียนก็ตาม ไม่มีภาพชีวิตของมนุษย์คนใดหรือครอบครัวใด ที่จะสวยงาม 100% ต้องพูดว่าทั้งเป็นคริสเตียนและไม่เป็นคริสเตียน  ไม่มีครอบครัวไหนสวยงาม 100% ทุกๆ ครอบครัวมีปัญหาของเขาเอง  ทุกๆ ครอบครัวมีความยากลำบากแสนสาหัส ทุกๆ ครอบครัวมีความทุกข์ในแต่ละวาระของชีวิตไม่เหมือนกัน  แต่ในพระวจนะของพระเจ้าได้บอกว่าจงรักซึ่งกันและกัน แล้วให้เราพยุงกันและกัน ดูแลกันและกัน และไม่พิพากษาตัดสิน

            และสิ่งหนึ่งที่ผู้รับใช้ ไม่ว่าจะเป็นคริสตจักรนี้หรือคริสตจักรอื่นๆ  ควรจะต้องทำอย่างยิ่ง คืออย่าเข้าไปล่วงล้ำสิทธิการปกครองดูแลของคนในครอบครัวใคร? สิ่งหนึ่งที่เราจะต้องตระหนักและรับรู้ ก็คือทุกคนมีพระเจ้าอยู่ในชีวิตของเขาเหล่านั้น  ทุกคนมีพระเจ้าเป็นผู้ดูแล และเป็นผู้ให้คำปรึกษาเขาอยู่แล้ว เมื่อใดก็ตามที่เขาไม่ได้เอ่ยปาก และไม่ได้ขอคำปรึกษาจากเรา อย่าก้าวเท้าของเราเข้าไปล่วงล้ำ หรือเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับครอบครัวคนอื่น และตัดสินวิธีการเลี้ยงแบบนั้นแบบนี้ของแต่ละครอบครัว เราไม่มีสิทธิ์ ไม่ว่าใครก็ตาม ไม่มีสิทธิ์ เหมือนกันกับที่พระเยซูคริสต์บอกว่าพระองค์มาในโลกนี้ ไม่ได้มาพิพากษาโลก แต่มาช่วยกู้โลกให้รอด

            เราซึ่งเป็นบุตรของพระเจ้า ก็เช่นเดียวกัน เราไม่มีสิทธิ์ตัดสินครอบครัวของคนอื่นว่าควรจะทำแบบนั้น หรือแบบนี้  เราทุกคนที่เป็นพี่น้องคริสเตียน อยู่ร่วมกัน สิ่งที่พระวจนะของพระเจ้าที่เปาโลมักจะพูดกับเรา พระเยซูพูด คือให้เรารักซึ่งกันและกัน พยุง ดูแล ช่วยเหลือ พร้อมในความยากลำบาก  เมื่อใดก็ตามที่เขายกหูโทรศัพท์ขึ้นและอยากจะร้องไห้กับเรา ร้องไห้กับเขา เมื่อไรก็ตามที่เขายกหูโทรศัพท์ขึ้น เพื่อที่จะระบายความทุกข์ของเขา ให้เราฟัง จงฟัง เมื่อใดก็ตามที่เขาขอการช่วยเหลือ ให้เข้าไปช่วยเหลือในครอบครัว เราค่อยก้าวเข้าไป  โดยการพึ่งพาในพระเจ้า โดยการไว้วางใจในพระเจ้า  เพราะว่าสิ่งหนึ่งที่เราจะต้องตระหนักอยู่ตลอดเวลา แม้ว่าเราจะเชื่อพระเจ้าแล้วก็ตาม  เราก็อาจจะพลาดพลั้งได้ถึงการพึ่งพาตัวเองกับพึ่งพาพระเจ้า ดังนั้น เมื่อเราดำเนินชีวิตบนโลกนี้  เรามีลูก มีบุตรหลาน  เราเลี้ยงได้แต่ตัว  เราไม่สามารถควบคุมดูแลจิตใจและจิตวิญญาณของเขาได้  มีสิ่งเดียวที่เราจะสามารถทำได้ ก็คืออธิษฐาน พึ่งพา วางใจในพระเจ้า  สำหรับบุตรหลานของเรา  สำหรับสุขภาพของแม่เรา พ่อเรา สำหรับคนที่เรารัก และห่วงใย อธิษฐานๆ และอธิษฐาน

            ดิฉันเห็นหลายๆ ครอบครัว ที่ไม่ได้สมบูรณ์แบบ ที่เชื่อในพระเจ้า  แต่สิ่งหนึ่งที่มี ก็คือไม่ว่าเขาจะอายุขนาดไหนแล้ว  เขาก็เป็นเหมือนหลังคาบ้านให้กับลูกหลาน คืออธิษฐาน และพร้อมอยู่ ที่จะให้คำปรึกษาทางด้านวิญญาณกับลูกๆ เสมอ เป็นที่ปรึกษาและคอยแบ็คอยู่ข้างหลังเสมอ เราอาจจะให้เงินทองลูกไม่ได้แล้ว  ไม่มีกำลังในการเลี้ยงดูลูก  บุตรหลานของเรา  แต่เราสามารถที่จะให้คำปรึกษาทางด้านวิญญาณลูกหรือเปล่า? เราสามารถมีถ้อยคำแบบเดียวกันกับพระเยซูคริสต์ที่จะให้ถ้อยคำนั้น เข้าไปอยู่ในชีวิตของลูกเราหรือไม่?

            ในพระวจนะของพระเจ้าบอกว่าอย่าทุกข์ร้อน แน่นอนเราอยู่ในโลกนี้ มีแต่ความกลัว ความน่ากลัวว่าลูกเราในอนาคตจะเป็นอย่างไร? พ่อแม่เราสุขภาพไม่ดีแล้ว เราจะเป็นอย่างไรบ้าง? พ่อแม่จะเป็นอย่างไรบ้าง? ยิ่งตัวเราเอง โตแล้วเราจะเป็นอย่างไรบ้าง? ในพระวจนะของพระเจ้าในฟีลิปปี 4:6-7 บอกว่า …

        ฟีลิปปี 4:6-7 “6 อย่าทุกข์ร้อนในสิ่งใดๆ เลย แต่จงทูลเรื่องความปรารถนาของท่านทุกอย่างต่อพระเจ้า ด้วยการอธิษฐาน การวิงวอน กับการขอบพระคุณ 7 แล้วสันติสุขแห่งพระเจ้าซึ่งเกินความเข้าใจ จะคุ้มครองจิตใจและความคิดของท่านไว้ในพระเยซูคริสต์”

            และในโรม 8:28 บอกว่า …

        โรม 8:28 (TH1971) “เรารู้ว่าพระเจ้าทรงช่วยคนที่รักพระองค์ให้เกิดผลอันดีในทุกสิ่ง คือคนทั้งปวงที่พระองค์ได้ทรงเรียกตามพระประสงค์ของพระองค์”

            ในอิสยาห์ 49:15 พระเจ้าตรัสกับพวกเราผู้เชื่อในพระเยซูคริสต์ทุกคนว่า …

        อิสยาห์ 49:15 “ผู้​หญิงจะลืมบุตรที่ยังกินนมของนาง และจะไม่เมตตาบุตรชาย จากครรภ์ของนางได้​หรือ? แม้ว่าคนเหล่านี้ยังลืมได้ กระนั้นเราก็จะไม่ลืมเจ้า”

            จำไว้อย่างหนึ่งว่าในขณะที่เราเกิดในโลกนี้ ทุกวันนี้โลกใบนี้มันทำตัวให้ง่ายขึ้น เราจำคำที่อ่านพระคัมภีร์ตอนต้นๆ ได้ไหมบอกว่า …

            “เมื่อเจ้าคลอดลูก เจ้าจะเจ็บปวดมาก”

            เขาบอกว่ามีความเจ็บปวดที่ร้ายแรงที่สุด เท่าที่ดิฉันทราบ ก็คือการเจ็บปวดแบบคลอดลูก คืออันดับแรก อันดับต้นๆ เลย และการเจ็บปวดมะเร็ง  และการเจ็บปวดฟัน ปวดฟันนี้จี๊ดขึ้นสมอง แต่สำหรับดิฉันขอบวกเข้าไปอีกอันหนึ่ง ปวดชนิดที่อยากจะตายไปทีเดียว ก็คือปวดประจำเดือนของผู้หญิง สำหรับดิฉันแค่ประสบการณ์ปวดอันนั้น  ก็ปวดมากแล้วนะ แต่ในพระวจนะของพระเจ้าบอกว่าเขาจะเจ็บปวดมาก ในรุ่นของดิฉัน แม่คลอดแบบธรรมชาติ  ทุกวันนี้บางคนก็ยังเลือกที่จะคลอดแบบธรรมชาติ  แต่หลายคนเลือกที่จะผ่าคลอด ถามว่าผิดไหม? ไม่ผิดหรอกค่ะ แต่ก็จะไม่ได้ชิมรสชาตินั้น  แล้วหนักไปกว่านั้น ก็คือสมัยดิฉัน ดิฉันยังได้ดื่มนมจากอกแม่ ทุกวันนี้ เนื่องจากสุขภาพร่างกายของมนุษย์ก็ไม่ดีขึ้น  เมื่อคลอดลูก บางคนก็ไม่สามารถที่จะเลี้ยงลูกด้วยเลือดที่กลั่นออกมาเป็นนมให้ลูกได้ ก็เลี้ยงลูกด้วยนมวัว นมที่ผลิตจากโลกนี้  เราก็อาจจะไม่ต้องแปลกใจว่าพฤติกรรมของเด็กในอนาคตข้างหน้า จะเป็นอย่างไรต่อไป

            เลือดแม่มีประโยชน์มากๆ ให้ชีวิตเรา พ่ออาจจะเป็นผู้ที่เป็นต้นกำเนิดที่เข้ามาฝังตัวในรังไข่ของแม่ แต่ผู้ที่ให้การเจริญเติบโตเรา ฟูมฟักเรา ก็คือแม่ที่ฟูมฟักเราในครรภ์ของเธอ แม่กินอะไรเรากินด้วย แม่เจ็บป่วย เราเจ็บป่วยด้วย  แม่กินไม่ดี เรากินไม่ดีด้วย  แม่กินดี เรากินดีด้วย ในครรภ์และเจริญเติบโตขึ้นอย่างสมบูรณ์ และคลอดออกมา แล้วยังเอาเลือดของเธอให้เราดื่มกิน จนกระทั่งคนที่ได้ดื่มนมของแม่ ส่วนใหญ่แล้วนายแพทย์จะบอกว่าเป็นผู้ที่มีภูมิคุ้มกันที่แข็งแรงกว่าคนที่ดื่มนมที่แปรรูป

            ดังนั้น การที่จะมีชีวิตจริงๆ ของมนุษย์ ก็คือเลือดและเนื้อของพ่อของแม่ เช่นเดียวกัน การที่เรากำเนิด เกิดใหม่ขึ้นมาได้ ก็ต้องดื่มเลือดและเนื้อของพระเยซูคริสต์ ซึ่งเมื่อผ่านมาตะกี้นี้ เราก็ทำมหาสนิทใช่ไหมค่ะ? นั่นคือสายสัมพันธ์ที่เกิดขึ้น

            ดังนั้น เราที่อยู่ในคริสตจักรของพระเจ้า จึงเป็นเสมือนพี่น้องที่คลอดมาจากท้องเดียวกัน คือท้องพระเจ้า คือท้องฝ่ายวิญญาณของพระเจ้า เราเป็นพี่น้องกันในองค์พระเยซูคริสต์ สิ่งหนึ่งที่เราจะต้องทำ ก็คือดูแล หนุนใจ ให้กำลังใจกัน สิ่งใดที่ผิดพลาดไป ล้มไป พยุงกันขึ้นมา ดูแลกัน เดินไปด้วยกัน และอย่าลืมสิ่งหนึ่ง ก็คือว่านำพาลูกหลานของท่าน ไปในวิถีทางอันชอบธรรมของพระเจ้า แล้วท่านจะไม่หนักหนาในการเลี้ยงดูบุตรหลานของท่าน พระเจ้าอวยพรค่ะ

********************

จากใจคณะศิษยาภิบาล

            ความร่ำรวยในการทำความดี เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ เต็มใจแบ่งปัน เป็นการสะสมทรัพย์ไว้ในสวรรค์ให้มีมากขึ้นอย่างนั้นหรือ?

            1 ทิโมธี 6:17-19 … “17 จงกำชับบรรดาผู้ร่ำรวยในโลกปัจจุบันนี้ ไม่ให้หยิ่งทะนง หรือฝากความหวังไว้กับทรัพย์สมบัติ ซึ่งไม่จีรังยั่งยืน แต่จงหวังใจในพระเจ้าผู้ทรงจัดเตรียมทุกสิ่งให้เราอย่างบริบูรณ์ เพื่อความเบิกบานใจของเรา”

            ความหมาย คืออย่าฝากความหวังไว้ที่ชื่อเสียง เกียรติยศ ลาภ ยศ สรรเสริญที่ได้รับบนโลกใบนี้ ซึ่งมันไม่จีรังยั่งยืนมันอยู่ชั่วคราว ไม่สามารถนำติดตัวไปสวรรค์หลังความตายได้ แต่จงเบิกบานใจยินดี พอใจในสิ่งต่างๆ บนโลกใบนี้ ที่พระเจ้าได้จัดเตรียมไว้กับเรา ผู้เชื่อทุกคนอย่างเพียงพอแล้ว ในการดำเนินชีวิตบนโลกนี้ และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ยินดีในทรัพย์สินในโลกวิญญาณในสวรรค์สถาน ในพระเยซูคริสต์ ที่พระเจ้าได้ทรงจัดเตรียมไว้ให้เรียบร้อยแล้ว อย่างครบถ้วนบริบูรณ์

            “18 จงกำชับเขาเหล่านั้นให้ทำดี ร่ำรวยในการทำความดี เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ เต็มใจแบ่งปัน”

            ความหมาย คือแต่จงนำเกียรติยศ ชื่อเสียง ลาภ ยศ  สรรเสริญ ทรัพย์สมบัติที่พระเจ้าประทานให้บนโลกใบนี้นั้น ใช้ให้เป็นประโยชน์บนโลกนี้ ด้วยการทำดี เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ และแบ่งปันจากใจ ด้วยความรักความยินดี และเต็มใจ ไม่รู้สึกฝืนใจ

            “19 การทำเช่นนี้ จะเป็นการสะสมทรัพย์สมบัติไว้ให้ตนเอง เป็นรากฐานมั่นคงสำหรับยุคหน้า เพื่อเขาจะได้รับชีวิตอันเป็นชีวิตแท้”

            ความหมาย คือการกระทำเช่นนี้ มิได้เป็นการเพิ่มพูนรางวัล คือชีวิตนิรันดร์ และทรัพย์สมบัติไว้ในสวรรค์ ในฐานะเป็นคริสเตียน เพราะคริสเตียนทุกคนไม่ว่าจะมั่งมีหรือยากจน ก็ได้รับรางวัลนี้เท่าๆ กัน เพราะทุกคนได้รับโดยพระคุณ ไม่ใช่โดยการประพฤติปฏิบัติดีของตนเองเลย

            แต่ … การกระทำเช่นนี้ เป็นการย้ำยืนยันให้กับตนเองในความหวัง ในความรอดนิรันดร์ คือเกียรติสิริ ลาภ ยศ สรรเสริญ ทรัพย์สมบัติที่อยู่ในพระคริสต์ในสวรรค์สถาน ที่ประทานให้แล้วอย่างครบถ้วนบริบูรณ์ ซึ่งเป็นมรดกที่พระเจ้าได้จัดเตรียมไว้ให้แล้ว พร้อมกับชีวิตนิรันดร์หลังความตาย

            พระเจ้าอวยพรครับ

วารสาร Holy  News   ฉบับที่  1428

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  6  สิงหาคม  2023

เรื่อง “คำอธิษฐาน มัทธิว 6:9-15”

“พระเยซูกำลังสอนให้เราทำตามหรือ?” ตอน 6

โดย นคร   เวชสุภาพร

            วันนี้เรามาเรียน “คำอธิษฐาน มัทธิว 6:9-15 พระเยซูกำลังสอนให้เราทำตามหรือ?” วันนี้ตอนที่ 6 ก็ยังคงเน้นอยู่ตรงนี้อยู่ เพราะเป็นเรื่องสำคัญ ถ้าเราจับรากฐานตรงนี้ได้ หัวใจของข่าวประเสริฐทั้งหลาย เราจะเข้าใจมากยิ่งขึ้น  และจะไม่ถูกหลอก

            พระเยซูตรัสไว้ในหนังสือมัทธิว ตอนที่เดินอยู่บนโลกใบนี้ รวมๆ หมด บอกไว้อย่างนี้ว่าการทำศาสนกิจ  คือการรักษาบทบัญญัติของชาวยิว หรือถ้าเผื่อไม่ใช่ชาวยิว ก็คือการรักษาศีลธรรม บทบัญญัติทางศาสนา อะไรต่างๆ เหล่านี้ เป็นสิ่งที่ดี เป็นสิ่งที่จำเป็น  แล้วเราก็ดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้  ที่จะอยู่ร่วมกันด้วยสันติสุข และมีความทุกข์น้อยที่สุด รวมกัน เป็นสิ่งที่ดี แต่มันดีไม่พอ  ที่จะสามารถทำให้ท่านได้ เข้าไปอยู่ในสวรรค์ เป็นผู้บริสุทธิ์ ดีพร้อม เหมือนพระเจ้าได้  เราไม่สามรถทำสิ่งเหล่านั้นได้  นี่พูดกับชาวยิวนะ  แต่ท่านไม่ควรละเลยต่อความเมตตา ความรักที่อยู่ในใจ คือพูดง่ายๆ ว่าท่านไม่ควรละเลยสิ่งที่เป็นโลกฝ่ายวิญญาณ ที่อยู่ในวิญญาณของท่าน วิญญาณของท่านเป็นบาป สกปรก เราต้องยอมรับความจริงเหล่านี้ นี่คือสิ่งที่พระเยซูพูดบ่อยๆ ในคำเทศนาบนภูเขา  ตอนที่มีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ 3 ปี

            เพราะฉะนั้น เราอย่าเข้าใจผิด คิดว่าพระเยซูมาสอนให้ชาวยิว รักษาบทบัญญัติอย่างเคร่งครัด ไม่ได้ตั้งใจจะมาสอนตรงนี้ แต่กำลังมาชี้ให้เขาเห็นว่าเขาจำเป็นที่จะต้องดูแล เรื่องวิญญาณที่อยู่ภายในของเขาที่สกปรก เป็นบาปอยู่  เพราะว่าการรักษาบทบัญญัติ ตามประเพณี ตามศาสนาของยิวนั้น ไม่สามารถที่จะช่วยให้เขาได้บังเกิดใหม่ เป็นผู้บริสุทธิ์ ดีพร้อมได้ พระองค์ก็ไม่ได้สอนนะ เรียกว่าประกาศ

            ประกาศว่าพระองค์ เป็นพระเมสิยาห์  นี่คือหน้าที่ของพระองค์ที่มาทำบนโลกใบนี้ คือจะมาช่วยเหลือมนุษย์บนโลกใบนี้  พระองค์ คือพระบุตรของพระเจ้าที่พระเจ้าสัญญาไว้ตั้งแต่โบราณ พระองค์จึงประกาศว่าพระองค์ คือพระเมสิยาห์ หรือภาษากรีก คือพระคริสต์ พระเมสิยาห์ คือภาษาฮีบรู แปลว่าพระผู้ช่วยให้รอด  พระคริสต์ แปลว่าพระผู้ช่วยให้รอด ก็คือผู้ที่ถูกเจิมตั้ง ที่ถูกเลือกสรรเอาไว้ ตั้งแต่โบราณมาแล้วว่าจะมาช่วยเหลือมนุษย์  เรียกว่าพระคริสต์ เรียกว่าพระเมสิยาห์  ที่พระเจ้าได้สัญญาไว้ให้กับบรรพบุรุษของชาวยิว

            พระองค์เป็นพระบุตรของพระเจ้าจริงๆ มาช่วยให้มนุษย์ได้รับความรอด จากโทษของความบาป ซึ่งไม่มีทางที่จะช่วยเหลือตัวเองได้ นอกจากจะพึ่งและวางใจในพระองค์ และได้บังเกิดใหม่ มาเป็นผู้ชอบธรรม บริสุทธิ์ ดีพร้อม เหมือนพระเจ้าเท่านั้น

            นี่คือประเด็นที่พระองค์มาประกาศ ตอนเดินอยู่บนโลกใบนี้ 3 ปี เน้นไปที่ชาวยิวเท่านั้น ทั้งคำเผยพระวจนะ ที่ได้พูดถึงเรื่องเกี่ยวกับพระองค์นั้น  ที่พูดไว้ทั้งหลาย เป็นพันๆ ปีมาแล้ว พระองค์ก็ยกเอาถ้อยคำเหล่านั้นมาพูดให้พวกเขาฟัง แล้วก็ทำอัศจรรย์ต่างๆ มากมาย สิ่งเดียวที่พระองค์ต้องการ ก็คือบอกว่าที่ทำทั้งหมดนั้น เพื่อให้ท่านทั้งหลายเชื่อและวางใจว่าพระองค์เป็นผู้นั้นจริงๆ เป็นพระเมสิยาห์ เป็นพระเจ้าที่มาช่วยเหลือเขาทั้งหลาย  และบอกเขาทั้งหลายว่าสิ่งเดียวที่พระบิดาต้องการจากพวกท่าน (พระบิดาของชาวยิวนะ) ไม่ใช่รักษาบทบัญญัติทั้งหมดเหล่านั้น แต่ให้ท่านวางใจว่าเราเป็นผู้นั้น เป็นพระเมสิยาห์จริงๆ เพราะนอกจากจะวางใจในเราแล้ว ไม่มีทางที่ท่านจะได้รับความรอดไปสวรรค์ได้เลย แม้แต่นิดเดียว  เป็นไปไม่ได้เลย

            พระองค์ คือพระเมสิยาห์ พระบุตรของพระเจ้า ตามที่พระเจ้าได้สัญญาไว้ ตั้งแต่บรรพบุรุษของชาวยิว แล้วบริบทนี้  เราเรียนกันมา 6 ตอนแล้ว เรารู้ว่ากำลังพูดกับชาวยิวเท่านั้น  หลังจากไม้กางเขนแล้ว พระองค์ก็จะใช้ชาวยิวนี้ ที่วางใจในพระองค์ ที่ได้บังเกิดใหม่แล้ว ออกไปประกาศข่าวดีนี้ ให้กับคนต่างชาติอื่นๆ ทั่วโลกต่อไป ก็คือข่าวดีเดียวกันกับที่พระองค์ทรงประกาศให้กับชาวยิว ในขณะที่ดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้  เหมือนกันเลย โดยที่พระองค์บอกว่าให้ประกาศ เริ่มต้นที่กรุงเยรูซาเล็ม ไปจนถึงสุดปลายแผ่นดินโลก

            ข่าวดีนี้ให้เชื่อและวางใจในพระองค์ว่าพระองค์เป็นพระเมสิยาห์  เป็นพระผู้ช่วยให้รอด  จากบาป ที่พระเจ้าได้ทรงสัญญาไว้ตั้งแต่บรรพบุรุษแล้ว บัดนี้ มาเกิดเป็นมนุษย์แล้ว แล้วมาช่วยให้รอด  จงวางใจในพระองค์ นี่คือข่าวดี ที่พระองค์ใช้ให้ชาวยยิวออกไปประกาศ  หลังจากที่พระองค์กระทำสำเร็จแล้ว ที่ไม้กางเขน

            ดังนั้น สิ่งต่างๆ ที่พระเยซูประกาศทั้งหมด ในบริบทที่เรากำลังเรียนรู้กันใน 3 ปีก่อนที่จะถูกตรึงที่ไม้กางเขนนั้น  มันจึงเป็นเรื่องเกี่ยวกับโลกวิญญาณทั้งสิ้น วิญญาณมนุษย์จะได้บังเกิดใหม่ เพราะฉะนั้น สิ่งที่พระองค์พูดทั้งหมด  ใน 3 ปีนั้น  และมาประกาศทีหลังอีกนั้น ก็คือเรื่องเกี่ยวกับโลกวิญญาณ เกี่ยวกับการบังเกิดใหม่ของมนุษย์  เกี่ยวกับการอัศจรรย์ของมนุษย์ ซึ่งรวมสรุปเรียกว่าข่าวดี

            ข่าวดี คือการบังเกิดใหม่ในวิญญาณของมนุษย์ ตามองไม่เห็น  แต่มันมีอยู่จริง มันเป็นจริง ซึ่งพระเยซูต้องการเน้นตรงนี้มากๆ คือเกี่ยวกับการบังเกิดใหม่ของวิญญาณของมนุษย์ที่สกปรกและเป็นบาปอยู่ เป็นหลุมศพอยู่ ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ ต้องได้รับการบังเกิดใหม่ด้วยฤทธิ์เดช จากพระเจ้าเท่านั้น  จึงจะกระทำได้  เพราะฉะนั้น ข่าวประเสริฐ ข่าวดีของพระเยซู เป็นฤทธิ์เดช  ทำให้เกิดการอัศจรรย์ การบังเกิดใหม่เลยทันที  มันไม่ได้เกี่ยวกับการกระทำดี กระทำไม่ดี รักษาศีลหรือไม่รักษาศีล มันคนละเรื่องกัน อย่าเข้าใจตรงนี้ผิด แล้วจะมาบอกว่าพระเยซูไม่สนใจเรื่องเกี่ยวกับการประพฤติบนโลกใบนี้เลย  มันคนละเรื่อง คนละประเด็นกัน สนใจ สนใจมากด้วย  สนใจมากถึงขนาดล้วงลึกเข้าไปถึงวิญญาณของเรา มนุษย์ทุกคนเลยว่าเขาจะทำดี  ให้ครบถ้วนได้อย่างไร? ก็โดยการได้บังเกิดใหม่นั่นเอง

            เพราะฉะนั้น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอุปมา ที่พระองค์ทรงยกตัวอย่าง การใช้ข้อพระคัมภีร์เดิม เพื่อสนับสนุนสิ่งที่พระองค์ทรงพูดนั้น หรือคำเผยพระวจนะเดิมที่บอกไว้ล่วงหน้า ตั้งแต่บรรพบุรุษหลายพันปีมาแล้ว ก็เป็นเรื่องเกี่ยวกับการบังเกิดใหม่  และเรื่องเกี่ยวกับโลกวิญญาณทั้งสิ้น ทั้งหมดเลย อ่านเมื่อไรก็ตาม จะตีความอะไรก็ตาม ก็ต้องให้ตีความไปในเรื่องโลกวิญญาณทั้งสิ้น อย่าตีความตามโลกวัตถุ ตามความคิดสติปัญญาของมนุษย์ ตามเหตุผลความเข้าใจของเรา มันเรื่องเกี่ยวกับโลกวิญญาณทั้งสิ้น

            อย่างเช่นตอนหนึ่งในนั้น พระเยซูยกตัวอย่าง เรื่องเกี่ยวกับเถาองุ่น  พระองค์เป็นต้นองุ่น  เราเป็นกิ่งก้าน ในหนังสือยอห์น 15:4-6 ลองดูนะ เวลาอ่าน ทำความเข้าใจ ต้องรู้ว่าตอนนี้กำลังพูดถึงเรื่องเกี่ยวกับอะไร? เรื่องเกี่ยวกับวิญญาณ  อย่าอ่าน แล้วก็เข้าใจ เรื่องเกี่ยวกับวัตถุ ให้ทำอันโน้นอันนี้ ไม่ใช่ กำลังพูดถึงเรื่องโลกวิญญาณว่ามันจะเกิดอย่างนี้ขึ้น มันไม่ได้เกี่ยวอะไรกับการกระทำของเราเลยแม้แต่นิดเดียว มันเกี่ยวกับการกระทำของพระเจ้าว่าถ้าท่านเข้าไปอยู่ในพระเยซูคริสต์เมื่อไร? ในโลกวิญญาณพระเจ้าจะทำอย่างนั้นเกิดขึ้น เป็นอย่างนี้เกิดขึ้น ลองอ่านดู …

        ยอห์น 15:4-6 “4 จงมาอาศัยอยู่ในเรา (เป็นส่วนหนึ่งของเรา) และเราจะอาศัยอยู่ในพวกท่าน (เป็นส่วนหนึ่งของท่าน) กิ่งก้าน จะให้ผลตามลำพังไม่ได้ นอกจากว่าจะต่อติดอยู่กับเถาองุ่นฉันใด พวกเจ้าจะออกผลเองไม่ได้ นอกจาก เจ้าจะอาศัย ต่อติดอยู่ในเรา ฉันนั้น 5 เราเป็นเถาองุ่น (ลำต้น) ท่านทั้งหลายเป็นกิ่งก้านต่างๆ ของลำต้นนั้น ใครก็ตามที่อาศัย (ต่อติด) อยู่ในเรา และเรา อาศัย (ต่อติด) อยู่ในเขา ผู้นั้น ก็จะออกผลสมบูรณ์ดีมาก หากแยกห่างจากเรา (ไม่ได้อาศัยต่อติดในเรา) ท่านทั้งหลายจะทำอะไร ก็ไม่เกิดผลดีเลย 6 ถ้าผู้ใดไม่อาศัยต่อติดอยู่ในเรา (แต่ยังอาศัยต่อติดอยู่ในลำต้นเดิม คืออาดัม ซึ่งตายอยู่ในบาป) เขาก็เหมือนกิ่งก้าน ที่จะถูกโยนทิ้งให้แห้งตาย รังแต่จะมีคนเก็บไปเผาไฟทิ้ง (พินาศในบึงไฟ)”

            นี่ผมเติมให้นิดๆ หน่อยๆ เพื่อจะให้ท่านเห็นถึงมันเกี่ยวกับเรื่องโลกวิญญาณ ไม่ได้เกี่ยวกับการกระทำ ไม่ได้สอนให้ทำ แต่สอนให้วางใจในพระองค์ว่าเป็นใคร? เชื่อในพระองค์ เราลองมาวิเคราะห์กันที่อ่านเมื่อสักครู่นี้

            ข้อ 4 “จงมาอาศัยอยู่ในเรา” เห็นไหมครับ? จงมาอาศัยอยู่ในเรา  อาศัยอยู่ในพระองค์อย่างไร?  ไม่เข้าใจ  แปลตรงตัวเลย  แบบภาษาเดิมเลย แปลว่าจงมาอาศัยอยู่ในเรา  คนไม่เข้าใจ ก็พยายามที่จะคิดแบบสติปัญญามนุษย์ ให้เข้าใจ ก็เลยไปแก้  แทนที่จะเป็นอาศัยอยู่ในเรา ก็เปลี่ยนเป็น “จงมาติดสนิทอยู่ในเรา” เห็นไหม?  เพราะติดสนิทมันยังทำได้ ก็คือไปวิหารบ่อยๆ  อธิษฐานบ่อยๆ พูดคุยกับพระองค์บ่อยๆ อย่างนี้เราทำได้ใช่ไหม?

            แต่บอกว่า “ให้ไปอาศัยอยู่ในพระองค์” ทำได้ไหมล่ะ  ทำไม่ได้แล้วนะ  เพราะฉะนั้น ไม่เอา เปลี่ยนเป็นถ้อยคำที่เราแปล แล้วเราสามารถทำได้ดีกว่า เพราะว่าเราอยากทำ ซึ่งมันหลงประเด็นทันทีเลย  “จงมาอาศัยอยู่ในเรา” อาศัยอยู่ในเรา แปลว่าจงเข้ามามีส่วนอยู่ในเราเลย นี่ยิ่งหนักใหญ่เลย นี่โลกวิญญาณใหญ่เลย เข้าไปมีส่วนอยู่ในพระองค์อย่างไร? เหมือนที่พระองค์ทรงบอกว่า …

            “เจ้าจะไม่มีทางเข้าสวรรค์ได้ ถ้าเจ้าไม่กินเนื้อเรา ดื่มเลือดของเรา”

            คนรับไม่ได้ หนีพระองค์ไปเยอะเลย ในหนังสือมัทธิวเขียนไว้ เพราะเราพยายามที่จะเข้าใจแบบมนุษย์ แต่พระองค์กำลังอธิบายเรื่องเกี่ยวกับโลกวิญญาณ  เรื่องเกี่ยวกับการบังเกิดใหม่ ตอนนี้เรารู้แล้วนะว่าพอเรารู้ถึงพื้นฐานของความเป็นจริงของสิ่งที่พระองค์ทรงประกาศเหล่านี้ เราก็จะเข้าใจถ้อยคำพระเจ้ามากขึ้นว่าเข้าใจแล้ว

            “จงมาอาศัยอยู่ในเรา เป็นส่วนหนึ่งของเรา และเราจะอาศัยอยู่ในพวกท่าน เป็นส่วนหนึ่งของท่าน” ก็คือวิญญาณของเรา เข้าไปอยู่ในวิญญาณของพระองค์ เป็นหนึ่งเดียวกัน วิญญาณของพระองค์ ก็อยู่ในวิญญาณของเราทันที เป็นหนึ่งเดียวกันเลย

            เราอ๋อ! ตามเลย เพราะมาจากพื้นฐานที่เรารู้ว่าเรื่องเกี่ยวกับโลกวิญญาณแน่นอนเลย ถึงแม้ว่าความคิด สติปัญญาของมนุษย์จะไม่สามารถที่จะล้วงลึกเข้าไปถึงว่ามัน คืออย่างไร? แต่อย่างน้อย ตามถ้อยคำพระเจ้า เราเอเมนได้ เพราะว่าเรารู้แล้วว่านี่เป็นเรื่องเกี่ยวกับโลกวิญญาณ  พระองค์บอกอย่างนั้น แล้วเราก็เชื่อและวางใจตามนั้น และอีกอย่างหนึ่ง คือเรารู้ เพราะอยู่ในใจ พระวิญญาณบริสุทธิ์จะสอนเรา บอกเรา

            “กิ่งก้านจะให้ผลตามลำพังไม่ได้ นอกจากว่าจะติดอยู่กับเถาองุ่นฉันใด พวกเจ้าจะออกผลเองไม่ได้” เห็นไหมครับ? เราก็คือกิ่งก้าน เราจะเห็นภาพเลย  กิ่งก้านเอามาเสียบไว้กับลำต้น ก็คือต่อกิ่งเข้าไป เป็นเนื้อเดียวกันเลย พระเยซูยกตัวอย่างอย่างนี้  ให้เราพอที่จะเข้าใจในเรื่องเกี่ยวกับโลกวิญญาณ ถามว่าพอเข้าใจ มันลึกซึ้งเหมือนจริงไหม? มันไม่เหมือนจริงหรอกกับโลกวิญญาณ แต่อย่างน้อยที่สุด ได้เห็นภาพว่าเหมือนเราเป็นกิ่ง จากต้นเดิม คือต้นอาดัม ตัดจากต้นอาดัมมาถึงปุ๊บ มาเสียบเข้าไปอยู่ในต้นของพระเยซูคริสต์ เราได้เข้าไปอยู่ในพระคริสต์เลย  และขณะที่อยู่ในพระคริสต์ พระคริสต์ก็อยู่ในเรา เป็นหนึ่งเดียวกัน อ๋อ! เหมือนตะกี้ที่เราอ๋อ! กัน

            “เจ้าจะอาศัยติดอยู่ในเราฉันนั้น” เห็นไหมครับ?  พอเสียบเข้าไปปุ๊บ ก็ติดอยู่เลย ตอนนี้ติดอยู่ที่ไหน? วิญญาณเราก็ติดอยู่ในวิญญาณของพระองค์ เป็นหนึ่งเดียวกัน  ตรงนี้แหละ เรียกว่าบังเกิดใหม่

            ข้อ 5 “เราเป็นเถาองุ่น” หมายถึงพระเยซูคริสต์ เราเป็นลำต้น ก็คือเป็นเถาองุ่น  “ท่านทั้งหลายเป็นกิ่งก้านต่างๆ ของลำต้นนั้น ใครก็ตามมนุษย์คนไหนก็ตามที่อาศัยต่อติดอยู่ในเรา และเราอาศัยต่อติดอยู่ในเขา ผู้นั้น ก็จะออกผลสมบูรณ์ดีมาก” ก็คือเราเข้าไปอยู่ในต้นของพระคริสต์ เพราะฉะนั้น มันจะออกผล มันจะออกผลที่ลำต้นของมัน มันไม่ได้ออกผลที่กิ่ง ลำต้นดีปุ๊บ ผลมันก็ออกมาดี พระเจ้านำกิ่งเราไปต่อติดเข้าไปในพระเยซู เราทำหรือเปล่า? เราไม่ได้ทำ ทำไม่ได้ด้วย ทำอย่างไร? อาศัยอยู่ในพระเยซู ทำไม่ได้ เราได้แต่เชื่อและวางใจ ให้พระเจ้าเป็นผู้กระทำ และตรงนี้เรียกว่าอัศจรรย์นั่นเอง เรียกว่าการบังเกิดใหม่

            ข้อ 5 ตะกี้ คือเราเป็นเถาองุ่น  เป็นลำต้น ท่านทั้งหลายเป็นกิ่งก้านต่างๆ ของลำต้นนั้น ใครก็ตามที่อาศัยต่อติดอยู่ในเรา  และเราอาศัยต่อติดอยู่ในเขา ผู้นั้น ก็จะออกผลสมบูรณ์ดีมาก หากแยกห่างจากเรา คือไม่ได้ต่อติดอยู่ในเรา ก็คืออยู่ในลำต้นเดิมนั่นเอง ลำต้นเดิม ก็คือลำต้นอาดัม  อยู่ในบรรพบุรุษที่เป็นบาปอยู่ หากแยกห่างจากเรา ไม่ได้ต่อติด อาศัยอยู่ในเรา ท่านทั้งหลายจะทำอะไร ก็ไม่เกิดผลดีเลยในโลกวิญญาณ เห็นไหมครับ

            จะรักษาบทบัญญัติของโมเสสให้ครบถ้วนบริบูรณ์ ให้ดีอย่างมากมาย ทำดีเยอะแยะมากมาย ท่านก็ไม่สามารถได้รับผลดีในโลกวิญญาณ หรือได้รับความรอดทางวิญญาณได้เลย ถ้าไม่ได้ต่อติดอาศัยอยู่ในพระคริสต์นั่นเอง

            ข้อ 6 “ถ้าผู้ใดไม่อาศัยต่อติดอยู่ในเรา แต่ยังอาศัยต่อติดอยู่ที่ลำต้นเดิม คือที่อาดัม ซึ่งตายอยู่ในบาป  เขาก็จะเป็นกิ่งก้านที่ตายไปด้วย  เพราะลำต้นมันตายอยู่ ก็จะถูกโยนทิ้งให้แห้ง รังแต่มีคนเก็บไปเผาไฟทิ้ง” ก็คือบึงไฟนรกนั่นเอง พอมองเห็นภาพไหม?

            จะเห็นได้อย่างไร? พื้นฐานต้องเข้าใจก่อนว่าที่พระเยซูกำลังพูด กระดุมเม็ดแรก คือเรื่อง เกี่ยวกับการบังเกิดใหม่ในโลกวิญญาณ ไม่ได้เกี่ยวกับการกระทำใดๆ เลย  ถ้าเราเข้าใจผิด เราก็จะเอา ข้อพระคัมภีร์ตรงนี้มาบอกว่าพระเยซูต้องการให้เราติดสนิทกับพระองค์เยอะๆ เราจะได้เกิดผล เพราะฉะนั้น เราต้องอธิษฐานเยอะๆ เราต้องอ่านพระคัมภีร์มากๆ เราต้องคุยกับพระเยซูบ่อยๆ

            ซึ่งสิ่งต่างๆ เหล่านั้น ไม่ใช่มันไม่ดีนะ มันดี แต่มันคนละประเด็นกัน ทำให้เกิดผลหรือไม่ ในโลกวิญญาณนั้น มันคนละเรื่องกัน สิ่งเหล่านั้น มันทำให้เกิดผล การอธิษฐานบ่อยๆ การมาโบสถ์บ่อยๆ  การอ่านพระคัมภีร์บ่อยๆ ดีไหม? ดี เกิดเป็นผลอะไร? เกิดเป็นผล คือกระทำให้เรารับรู้ความจริงมากขึ้น  เราเจริญเติบโตในความจริงมากขึ้น  เราเจริญเติบโตในการเป็นลูกพระเจ้า เข้าใจถ้อยคำพระเจ้ามากขึ้น แต่มันไม่สามารถทำให้เราได้รับความรอดจากบึงไฟนรกได้เลย การรอดจากบึงไฟนรก ได้รับความรอดนิรันดร์นั้น ได้รับโดยผ่านทางการอาศัย ต่อติด เข้าไปอยู่ในพระเยซูคริสต์ โดยการเปิดใจ วางใจในพระเยซูคริสต์ และได้รับการบังเกิดใหม่นั่นเอง

            เพราะฉะนั้น ชัดสุด คืออย่าหลงประเด็น  อย่าเข้าใจผิดในคำสอนบนภูเขาของพระเยซูคริสต์ว่าพระองค์กำลังมาแนะนำให้เราทำอันโน่นทำอันนี่ ไม่มีเลย ยกตัวอย่างเช่น ที่เราได้ยินกันบ่อยๆ แล้วเอาไปใช้ผิดๆ บ่อยๆ เช่น พระองค์ทรงสอนไว้ว่าถ้าทำบาป แล้วอยากทำให้บริสุทธิ์ ทำอย่างไร? ตัดมือทิ้ง ถ้าตาทำให้เกิดการทำบาป ให้ควักลูกตาทิ้ง ถ้าเป็นคนโลภ ไม่ติดสนิทกับพระเจ้าเพียงพอ ให้ขายทรัพย์สมบัติทุกอย่างให้หมด แล้วให้ทุกสิ่งทุกอย่างกับคนที่มาขอ โดยไม่ต้องถาม ให้เขาเลย ให้ผู้อื่นเอาเปรียบถึงที่สุด  เวลาอดอาหาร ก็อย่าให้ใครเห็นว่าเรากำลังอดอาหาร  หรือกำลังอธิษฐาน ก็ต้องแอบๆ อย่าให้คนเห็น หรือถวายทรัพย์ ก็ไม่ต้องประกาศนำหน้า อะไรอย่างนี้ ก่อนที่จะไปถวายสัตวบูชาที่วิหาร ให้ยอมคืนดีกับเพื่อนบ้านเสียก่อน  ก่อนที่จะมาถวาย  แล้วทำเสร็จเรียบร้อย ก็ไปรายงานตัวต่อสภาเซนเฮดริน สภาหัวหน้าปุโรหิตของชาวยิว  อะไรอย่างนี้  สิ่งที่เราสามารถรู้ได้จากบริบทนี้ ก็คือกำลังพูดกับชาวยิวเท่านั้น ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับเราชาวต่างชาติเลย เราไม่รู้เรื่องเหล่านี้ เราไม่รู้จักเซนเฮดริน เราไม่รู้จักปุโรหิตอะไรต่างๆ เหล่านั้น นี่คือบทบัญญัติของชาวยิว

            พระองค์กำลังมาบอกอะไร? มาสอนให้ชาวยิวทำอย่างนี้เหรอ? ไม่ได้มาสอนให้ชาวยิวตั้งใจทำอย่างนี้ให้มันดีๆ  แต่พระองค์กำลังมาบอกว่าสิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่ดี แต่มันไม่สามารถช่วยเหลือให้ชาวยิวได้รับความรอด ในโลกฝ่ายวิญญาณได้เลย มันคนละเรื่องกัน ซึ่งทั้งหมดที่ว่ามานี้ เป็นเรื่องของชาวยิวทั้งสิ้น อยู่บนพื้นฐานประเพณี วัฒนธรรมทางศาสนาของยิว ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับเราคนต่างชาติ ซึ่งไม่ใช่ชาวยิวเลยแม้แต่นิดเดียว  นี่เป็นตัวย้ำยืนยัน

            เพราะฉะนั้นเราจะสังเกต ในหนังสือพันธสัญญาใหม่ทั้งเล่มเลย หลังจากที่พระเยซูทำภารกิจสำเร็จแล้ว  ที่ไม้กางเขน จดหมายฝากทุกฉบับของอัครทูตต่างๆ ไม่มีคนไหนเขียน แนะนำให้ผู้เชื่อใหม่กระทำตามอย่างนี้เช่นเดียวกัน ไม่มีคนไหนเลยมาเขียนบอกว่าถ้าทำบาป ให้ตัดมือทิ้ง ให้ควักลูกตาออก ไม่มีเลย ถ้าอดอาหาร อย่าให้ใครเห็น  ไม่มีเลย มีแต่บอกว่าให้ทำตามพระวิญญาณที่สถิตอยู่ภายใน ให้ทำทุกสิ่งจากใจที่ได้บังเกิดใหม่แล้วนั้น ให้ทำให้สมกับที่บังเกิดใหม่ เป็นลูกของพระเจ้าแล้ว อะไรต่างๆ เหล่านั้น

            เพราะฉะนั้น ต้องจับประเด็นตรงนี้ให้ชัดเจนว่ามันคืออะไร?  เพื่อว่าจะได้เห็นภาพที่พระเยซูกำลังประกาศข่าวดีอยู่นี้ว่ามันคืออะไร? ผมพยายามย้ำยืนยัน แล้วก็พูดซ้ำบ่อยๆ เลย 6 ตอน หรือตอนอื่น เรื่องอื่น ก็จะซ้ำอยู่เรื่องนี้  อธิบายให้เข้าใจ เพราะเราหลงทางมาเยอะแล้ว  เพราะฉะนั้น ต้องจับประเด็นตรงนี้ให้ชัดเจน จะเห็นภาพว่าพระเยซูกำลังประกาศข่าวประเสริฐว่าคืออะไร? อะไรที่มาบอกว่าไม่ได้มาสอนเรื่องการกระทำ มันคืออะไร? พระเยซูบรรยายบัญญัติต่างๆ เหล่านั้น ก็คือตะกี้ที่กำลังพูด บัญญัติของชาวยิวเหล่านั้น เป็นบัญญัติของชาวยิว ซึ่งพวกชาวยิวไม่สามารถทำได้ครบถ้วนบริบูรณ์ไง เขาตั้งใจทำดีที่สุด แต่ทำไม่ได้ดี พระเยซูจึงยกตัวอย่างให้มันชัดๆ ให้มันสุดโด่งเลยว่าทำไม่ได้ ถ้าท่านจะทำได้ท่านต้องตัดมือทิ้ง ควักลูกตาออก ท่านละความโลภไม่ได้หรอก ถ้าท่านอยากจะละความโลภ ท่านต้องขายทรัพย์สมบัติทั้งหมดเลย ถ้าท่านรักผู้อื่น  คิดเมตตาต่อผู้อื่น ท่านต้องเมตตาถึงขนาด ท่านต้องให้หมดเลย ไม่มีการบอกไม่ ใครมาขออะไรให้หมด อะไรประมาณนั้น

            ซึ่งกำลังพูดถึงว่าเขาทำไม่ได้หรอก การจะรักษาความบริสุทธิ์ของตนเอง ด้วยการประพฤติ ทำไม่ได้ การจะเข้ามาอาศัยอยู่ในพระเยซูคริสต์นั้น ทำด้วยตัวเองไม่ได้หรอก ต้องบังเกิดใหม่เท่านั้น ก็คือเพื่อจะย้ำยืนยันให้เขาได้รู้ว่าเขาจำเป็นต้องวางใจในพระเมสิยาห์ พระองค์ต้องการชี้ให้เขาเห็นว่าเขาทั้งหลายเป็นคนบาปที่ป่วยหนัก เพื่อเขาจะได้กลับใจใหม่ หันมาหาความช่วยเหลือจากพระองค์เท่านั้น เลิกพึ่งพาความพยายามจะกระทำความดี เพื่อที่จะไปอยู่ในสวรรค์หลังความตาย เลิกซะ หันมาพึ่งพา วางใจในพระองค์ และนี่คือความจริงของบริบทคำสอนบนภูเขาของพระเยซูคริสต์ คือเป็นการประกาศข่าวดี และสาระสำคัญของข่าวดี ก็คือการบังเกิดใหม่  รวมทั้งหมด 3 ปีที่พูดไป

            ประเด็น ก็คือข่าวดี เรื่องการบังเกิดใหม่ และเมื่อบังเกิดใหม่แล้ว พระคริสต์ ก็จะเข้ามาสถิตอยู่ด้วยภายในวิญญาณ ซึ่งเป็นสิ่งที่พระเจ้าสัญญาไว้ ตั้งแต่บรรพบุรุษ หลายยุค หลายสมัยมาแล้ว  พระเยซูประกาศข่าวดี เกี่ยวกับฤทธิ์เดชอำนาจของพระเจ้า

            ตรงนี้ต้องเป็นพื้นฐานของเราตลอดเวลา ที่เราจะอ่านในหนังสือพระคัมภีร์ ไม่อยากบอกว่าพระคัมภีร์ใหม่เลย เพราะตอนนั้น คือ 3 ปีที่พระเยซูตระเวนประกาศ ในมัทธิว มาระโก ลูกา ยอห์น มันไม่ใช่พระคัมภีร์ใหม่ มันยังไม่ใหม่เลย เพราะพระเยซูยังไม่สิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน ช่วงประกาศนั้น  เราต้องรู้ว่าพื้นฐาน ก็คือพระองค์ประกาศข่าวดี เกี่ยวกับฤทธิ์เดชอำนาจของพระเจ้า ที่ทำให้คนได้เกิดใหม่  และเกิดใหม่มาเป็นอะไร?  เกิดใหม่ เป็นผู้ชอบธรรม บริสุทธิ์ ดีพร้อม เข้าส่วนร่วมในพระสิริของพระเจ้า  โดยแค่วางใจ เชื่อมั่นในการเป็นพระเมสิยาห์ของพระองค์เท่านั้นจริงๆ มีแค่นี้เอง พูดยกตัวอย่าง อุปมานี้ ทำอัศจรรย์ตรงนั้น ทั้งหมด รวมความแล้วต้องการเพียงสื่อให้ชาวยิวได้เห็นตรงนี้ แค่นี้เอง

            การบังเกิดใหม่ ได้เข้าร่วมเป็นหนึ่งเดียวกันกับวิญญาณของพระองค์เรียกว่าอะไร? ตอนนี้เรารู้แล้ว กระดุมเม็ดแรกเราถูกแล้ว การบังเกิดใหม่เข้าร่วมเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระองค์ เรียกว่าบัพติศมาไง เราจะเห็นชัดแล้ว เรียกว่าบัพติศมาเข้าส่วนร่วมในสง่าราศี พระสิริของพระองค์ และนี่ก็คือการบังเกิดใหม่นั่นเอง การบังเกิดใหม่ ได้รับวิญญาณใหม่ ใจใหม่ และร่างกายได้รับการชำระด้วยโลหิตของพระเยซู และรอการเปลี่ยนแปลงใหม่ เป็นร่างกายที่มีสง่าราศี เหมือนพระองค์ เมื่อพระองค์ปรากฏ เราทั้งหลาย  ก็จะปรากฏด้วย ในวันหนึ่งข้างหน้า นี่คือข่าวดีที่พระเยซูมาประกาศ ก่อนที่จะทำภารกิจสำเร็จบนไม้กางเขน  และหลังจากภารกิจเสร็จแล้ว ก็ยังคงประกาศเหมือนเดิม ลักษณะเดียวกันทั้งสิ้น ไม่ได้เกี่ยวกับการกระทำอะไรเลย ไม่ได้เกี่ยวกับการจะให้เรามาทำอะไรเลย

            พระเยซูเรียกเราทั้งหลาย ที่วางใจในพระองค์ และบังเกิดใหม่ว่าเป็นลูกแห่งการเป็นขึ้นจากตาย คือมีส่วนร่วมเข้าไปบัพติศมาในพระองค์ปุ๊บ ก็มีส่วนร่วมในการเป็นขึ้นมาจากตาย พระองค์จึงเรียกเราว่าเป็นลูกแห่งการเป็นขึ้นจากความตาย พระองค์ต้องการชี้ให้มนุษย์ได้เห็นว่ามนุษย์สามารถหมดเวรหมดกรรม ไม่ต้องชดใช้เวรกรรมของตนเองด้วยวิธีใด? ก็ด้วยการเชื่อและวางใจในพระองค์ ก็โดยวิธีต้องตายจากตัวเดิมเสียก่อน แล้วมาเกิดใหม่ (มาเกิดใหม่จริงๆ) ไม่ใช่อุปมา เกิดใหม่จริงๆ ในวิญญาณ ให้พระเจ้ากำจัดตัวเก่าที่เป็นตัวบาป และทำให้เราได้บังเกิดใหม่ เข้าสวรรค์ได้ นี่คือสาระที่พระองค์ทรงมาประกาศ

            พระเยซูไม่ได้มาสอนเราทำดี เพื่อจะได้เข้าสวรรค์ได้ แต่มาบอกข่าวดีให้กับท่าน เรื่องความเป็นจริงของกฎของโลกวิญญาณว่าท่านต้องตายจากตัวเก่า ซึ่งเป็นบาปนี้ ต้องตายไปก่อน ต้องตายๆ และจะได้เกิดใหม่ในพระคริสต์ พระเจ้าสามารถทำได้ แล้วพระเยซูก็ทิ้งท้ายว่าท่านเชื่อไหมว่านี่เป็นอัศจรรย์ พระองค์ต้องการให้เราเชื่อ ท่านเชื่อไหม?

            ไม่อย่างนั้นพระองค์จะยกตัวอย่างว่าถ้าท่านอาศัยอยู่ในเรา หมายถึงว่ามันขึ้นอยู่กับท่านนะ ท่านจะเชื่อไหม? ถ้าท่านเชื่อเรา วางใจในเรา ท่านจะได้รับการบังเกิดใหม่  เพราะฉะนั้น พระเยซูประกาศ เน้นเรื่องบังเกิดใหม่  เมื่อเปิดใจต้อนรับพระองค์ รับบัพติศมาในพระคริสต์ เข้าร่วมเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์ พระองค์ก็เข้ามาสถิตอยู่กับคนๆ นั้น เป็นหนึ่งเดียวกัน เรียกว่าบัพติศมา พระองค์ประกาศก่อนที่จะกระทำจนสำเร็จ หลังสำเร็จแล้ว ก็ประกาศอย่างนี้เหมือนเดิม เช่นเดียวกัน

            นี่คือหัวใจของข่าวดี หรือข่าวประเสริฐ คือฤทธิ์อำนาจของพระเจ้าที่ทำให้คนได้บังเกิดใหม่ เข้าส่วนร่วมในพระสิริของพระเจ้า  และพระเจ้าเข้ามาสถิตอยู่กับผู้นั้น ให้กับใครก็ได้ ที่เปิดใจต้อนรับสิทธิ ไม่ว่าคนนั้นจะเป็นคนยิว หรือคนต่างชาติก็ตาม สิทธินี้เกิดขึ้นทันที นี่คือข่าวดีที่พระองค์นำมาประกาศให้กับชาวยิวก่อน แล้วก็ชาวต่างชาติทีหลัง

            และหลังจากที่พระองค์ทรงกระทำสำเร็จแล้ว  ก็สั่งสาวกให้ไปกระทำการประกาศข่าวดีนี้ในลักษณะเหมือนกันเลย  เดี๋ยวผมจะยกตัวอย่างให้ท่านสังเกตเห็น ประกาศให้เชื่อและวางใจในตัวพระองค์ว่าเป็นพระมาซีฮาห์ ไม่ได้มาประกาศให้กระทำดี รักษาบทบัญญัติ รักษาศีลธรรม ซึ่งเป็นสิ่งที่ดีนะ ผมพยายามเน้นตรงนี้เรื่อยๆ หลายคนชอบบอกว่าเราไม่เห็นความสำคัญของการกระทำตามบทบัญญัติ ตามศีลธรรม มันคนละเรื่องกัน นี่เรื่องเกี่ยวกับโลกวิญญาณ  ความรอดทางโลกวิญญาณ  ลองสังเกตดู กิจการของอัครทูต 2:38 ดูสิว่าสาวกเขาทำการประกาศลักษณะเดียวกันไหม?  สอนให้คนทำ หรือมาประกาศให้คนเชื่อและวางใจในพระเยซูว่าเป็นพระเมสิยาห์ …

        กิจการ 2:38 “เปโตรตอบว่า “พวกท่านทุกคนจงกลับใจใหม่ และรับบัพติศมาในพระนามของพระเยซูคริสต์ เพื่อรับการทรงอภัยโทษบาปของท่าน และพวกท่านจะได้รับพระวิญญาณบริสุทธิ์เป็นของประทาน”

            เห็นไหม? นี่เป็นการประกาศครั้งแรกเลยของเปโตร อัครทูต เมื่อเขาได้บังเกิดใหม่ เป็นคริสเตียน ออกไปประกาศ  ก็ประกาศเหมือนกันอย่างนี้ …

            “พวกท่านจงกลับใจใหม่ และรับบัพติศมา ก็คือบังเกิดใหม่ ในนามของพระคริสต์ คือเข้าไปอยู่ในพระคริสต์ เพื่อได้รับการอภัยโทษจากบาปของท่าน แล้วท่านจะได้รับพระวิญญาณบริสุทธิ์ เป็นของประทาน ก็คือพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า พระวิญญาณของพระคริสต์ก็จะเข้ามาสถิตอยู่ภายในท่าน”

            เห็นไหมเป็นการประกาศเกี่ยวกับเรื่องฤทธิ์เดช การบังเกิดใหม่  ไม่ได้มาประกาศให้ทำอะไรสักอย่างเลย แทนที่สมมติว่า …

            “พวกท่านทั้งหลายจงเลิกกระทำความชั่ว  เลิกขโมย  เลิกฆ่าคนตาย  รักษาเนื้อรักษาตัวให้ดีๆ”

            ไม่ได้มาประกาศอย่างนั้น นี่กำลังชี้ให้เห็น พระเยซูประกาศให้กับชาวยิวก่อน ภายใต้พื้นฐานของขบนธรรมเนียมประเพณีและศาสนายิว  ที่รักษาบัญญัติของโมเสส และพระเยซูก็ประกาศข่าวดีให้กับคนต่างชาติภายหลัง บนรากฐานของธรรมเนียมประเพณีและศาสนาของแต่ละชาติ แต่ลักษณะการประกาศเหมือนกัน ศาสนาไม่ใช่ไม่ดี เป็นสิ่งที่ดี แต่ไม่เพียงพอ เพราะไม่มีฤทธิ์อำนาจในการช่วยให้รอด  แต่ข่าวดีเรื่องพระเยซูคริสต์ เป็นฤทธิ์เดชอำนาจที่ช่วยให้ทุกคนที่เป็นคนบาป ได้รับความรอด โดยการบังเกิดใหม่ คือรอดจากบาป โดยผ่านทางความเชื่อ วางใจในพระเมสิยาห์ พระคริสต์เท่านั้น ซึ่งเป็นพระคุณให้เปล่าๆ ให้ฟรีๆ ทั้ง 2 พวก ไม่ว่าจะเป็นพวกยิวหรือชาวต่างชาติก็ตาม ให้ฟรีๆ  โดยไม่ได้พึ่งพาความประพฤติของเขาเลย เห็นไหม? นี่คือข่าวดี  ไม่เกี่ยวกับการประพฤติเลย

            ผลของข่าวดี เมื่อใครก็ตามที่เชื่อก็จะได้ผลเหมือนกัน ไม่ว่าจะเป็นยิวหรือไม่ได้เป็นยิว ก็ได้รับผลเหมือนกัน ก็คือได้รับการบังเกิดใหม่ สะอาด บริสุทธิ์ เข้ามาอาศัยอยู่ในพระคริสต์ร่วมกัน เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระวิญญาณของพระเจ้า คือท่านอยู่ในพระคริสต์ และพระคริสต์อยู่ในท่าน  นี่คือข่าวดี ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับการกระทำ

            สรุปเรื่องราวสั้นๆ ที่เราผู้เชื่อและวางใจในพระเยซูคริสต์ ที่ได้มาบังเกิดใหม่ เป็นคริสเตียนควรรับรู้เรื่องย่อๆ คือแต่เดิมนั้น พระเจ้าให้อิสราเอล ซึ่งเป็นตัวแทนของมวลมนุษยชาติ ถือรักษาบทบัญญัติไว้ แต่อิสราเอลไม่สามารถทำได้ พวกเขาไม่ซื่อตรง เพราะว่ามีวิญญาณที่เป็นคนบาป  มีใจมักกบฏ ไม่เชื่อฟัง และละเมิดบัญญัติอยู่ตลอด พระเจ้าก็เลยส่งพระบุตรมาเป็นตัวกลาง ระหว่างมนุษย์กับพระเจ้า  เพื่อให้มนุษย์ได้กลับคืนดีกับพระเจ้าได้ และพระองค์ได้ให้วิญญาณใหม่และใจใหม่ ใจที่เชื่อฟัง จารึกไว้ในใจของมนุษย์ทั้งหลายเหล่านั้น เพื่อพวกเขาจะได้สามารถเชื่อและวางใจในพระองค์ จากวิญญาณข้างในได้ บัญญัติอันเดิมเป็นบทบัญญัติสมัยโมเสส จารึกไว้ในแผ่นหิน ให้รักษาเอาไว้  ซึ่งรักษาไม่ได้ เพราะธรรมชาติ ใจ วิญญาณมันเป็นบาปอยู่ มันต้องแก้ไขวิญญาณในใจนั้น  และพระเจ้าก็สัญญาไว้ว่าวันหนึ่งจะเปลี่ยนจิตใจใหม่ให้ จะเปลี่ยนวิญญาณให้ใหม่ ในฮีบรู 8:10-11 ได้บันทึกไว้อย่างนี้ …

        ฮีบรู 8:10-11 “10 นี่คือพันธสัญญา (ใหม่) ที่เราจะทำกับพงค์พันธุ์อิสราเอล (มวลมนุษย์) หลังจากสมัยนั้น องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสดังนี้ เราจะใส่บทบัญญัติของเราในจิตใจของพวกเขา จารึกบนหัวใจของพวกเขา เราจะเป็นพระเจ้าของพวกเขา และพวกเขาจะเป็นประชากรของเรา 11 ผู้คนจะไม่สอนพี่น้องของตนอีกต่อไปว่า “จงรู้จักองค์พระผู้เป็นเจ้า” เพราะพวกเขาทุกคนจะรู้จักเรา (ภายในวิญญาณของเขา) ตั้งแต่ผู้น้อยที่สุด ไปจนถึงผู้ใหญ่ที่สุด”

            นี่คือคำสัญญาที่พระเจ้าให้ไว้กับบรรพบุรุษของอิสราเอล แล้วพระเยซูคริสต์ พระบุตรของพระเจ้าก็เข้ามาทำให้สัญญานี้สำเร็จเรียบร้อย เกือบ 2,000 ปีมาแล้ว โดยการสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน และเป็นขึ้นมาใหม่ ในวันที่ 3 แล้วพระเจ้าก็เริ่มบทบัญญัติใหม่นี้ ในพันธสัญญาใหม่กับมวลมนุษยชาติทันที ก็คือได้รับวิญญาณใหม่และใจใหม่ ถ้าเขาเชื่อและวางใจในข่าวดีของพระเยซูคริสต์ 1 ยอห์น 3:23 …

        1 ยอห์น 3:23 “และนี่เป็นพระบัญญัติ (ใหม่) บัญญัติเดียวของพระองค์ คือว่าให้เราทั้งหลายวางใจ ในพระนามของพระเยซูคริสต์ พระบุตรของพระองค์ และให้เรารักซึ่งกันและกัน ตามที่พระองค์ได้ทรงบัญญัติไว้ (ในใจ) แก่เรา”

            นี่คือพันธสัญญาใหม่ คือเมื่อท่านได้บังเกิดใหม่ ด้วยความเชื่อและวางใจในพระเยซูคริสต์ว่าเป็นพระบุตรของพระเจ้า เป็นพระมาซีฮาห์  พระผู้ช่วยให้รอด  ท่านก็จะได้รับวิญญาณใหม่  และใจใหม่ และดำเนินชีวิตด้วยใจใหม่และวิญญาณใหม่ตรงนี้แหละ ยอห์น 13:34 ได้บันทึกไว้อย่างนี้ว่า …

        ยอห์น 13:34 “เราให้บัญญัติใหม่เพียงบัญญัติเดียวไว้แก่เจ้าทั้งหลาย คือให้เจ้ารักซึ่งกันและกัน เราได้รักเจ้าทั้งหลายมาแล้วอย่างไร เจ้าจงรักกันและกันด้วยอย่างนั้น”

            นี่คือสภาพของคนที่ได้บังเกิดใหม่  อยู่ในพระคริสต์ เข้าบัพติศมาในพระเยซูคริสต์ เป็นหนึ่งเดียวกับพระองค์แล้ว ตอนที่เราบังเกิดใหม่ พระเยซูได้แบ่งปันชีวิตนิรันดร์ให้กับเรา  เพราะเราได้เป็นหนึ่งเดียวกับพระองค์แล้ว พอเราบังเกิดใหม่ ด้วยวิญญาณนิรันดร์ของพระเจ้า  ที่เป็นของพระเยซูคริสต์ ที่มอบให้กับเราทั้งหลาย  เพราะฉะนั้น เราทั้งหลายจึงมีวิญญาณที่เป็นลักษณะเหมือนพระเจ้า  คือเป็นความรัก ที่เป็นเหมือนพระเจ้า อยู่ภายใน เราจึงมีลักษณะเป็นความรัก เหมือนพระเยซู แล้วเราก็สามารถแบ่งปันความรักที่เหมือนพระเจ้านี้ให้แก่คนอื่นๆ ได้ อย่างเป็นธรรมชาติ จากวิญญาณและใจใหม่ที่ได้รับนั้น เห็นไหมครับ? ออกมาเป็นธรรมชาติเลย ก็ไม่เกี่ยวกับการต้องพยายามทำอะไรดี มันเป็นธรรมชาติ จากใจใหม่ 1 ยอห์น 5:3 …

        1 ยอห์น 5:3 “เพราะนี่แหละ เป็นความรักต่อพระองค์ คือที่เราทั้งหลายประพฤติตามพระบัญญัติ (ใหม่) ของพระองค์ และพระบัญญัติของพระองค์นั้นไม่เป็นภาระ”

            นี่เป็นเหตุที่อาจารย์เปาโลเขียน บอกอยู่เสมอๆ เมื่อชาวต่างชาติหรือแม้กระทั่งชาวยิวก็ตาม ที่ได้บังเกิดใหม่ในพระเยซูคริสต์แล้ว  ที่ได้เชื่อและวางใจในพระเยซูแล้ว โลกวิญญาณได้เปลี่ยนไป วิญญาณเขาได้เป็นวิญญาณใหม่ เหมือนพระเจ้าเลย อาจารย์เปาโลจึงใช้คำนี้ว่า …

            “ท่านไม่รู้หรือว่าความรักแท้ที่เหมือนพระเจ้า เป็นลักษณะธรรมชาติ ที่อยู่ในวิญญาณในใจของท่านอยู่แล้ว  และท่านก็ได้บังเกิดใหม่ ท่านเพียงแค่ฝึกฝน ยอมปล่อยให้ธรรมชาติของความรักนี้ ฉายแสงออกมาเป็นความประพฤติเท่านั้นเอง แบ่งปันออกไปให้กับผู้อื่น เหมือนกับที่พระเยซูได้แบ่งปันให้กับเราแล้ว”

            เห็นไหม? นี่คือสิ่งที่พระเยซูต้องการให้เราทำ ทำอะไร? ฝึกฝนในการเอาความรักที่เป็นแสงสว่าง ที่อยู่ในวิญญาณของเรา ให้มันฉายแสงออกไป ฉายแสงไปที่ความมืดบนโลกใบนี้  ท่านอยู่บนโลก ท่านไม่ใช่ของโลก ท่านเป็นความสว่าง ไปที่ไหนก็เอาความสว่างนี้ไปด้วย พูดง่ายๆ เป็นภาระไหม? ไม่เป็นภาระ

            ความรักเป็นลักษณะธรรมชาติของวิญญาณและจิตใจของเรา คริสเตียน ไม่ว่าจะยิวหรือไม่ยิวก็ตามที่ได้เกิดใหม่ เราแค่รับรู้ความจริงนี้ แล้วฝึกฝน ตามธรรมชาติความรักที่เหมือนพระเจ้านี้ ให้ฉายแสงออกมาเท่านั้น ยกตัวอย่าง ไปถึงไหน หงุดหงิด  คอยตำหนิว่าคนอื่น ฝึกทำไม? …

            “ไม่ใช่ ฉันเกิดใหม่แล้ว ฉันเป็นแสงสว่างแล้ว ฉันเป็นความรักแล้ว มีหงุดหงิดได้อย่างไร?”

            แล้วก็ให้ความรักที่อยู่ในใจนั้น สำแดงออกมาซะ ฝึกฝนไปเรื่อยๆ มันก็จะสงบขึ้นไปเรื่อยๆ นี่มันเป็นอย่างนั้น  ซึ่งสามารถทำได้ โดยเป็นธรรมชาติ ภายใน ไม่เป็นภาระเลย เพราะว่ามันเป็นธรรมชาติ ที่เราคริสเตียน ที่ได้บังเกิดใหม่แล้ว เป็นอยู่จริงๆ ในวิญญาณของเรา

            นี่คือสิ่งที่พระเยซูมาทำให้ และนำมาประกาศให้ เป็นธรรมชาติ เหมือนเป็นปลา ก็ว่ายน้ำตามธรรมชาติ  เป็นนก ก็บินตามธรรมชาติ  เป็นงู ก็เลื้อยตามธรรมชาติ  เป็นคริสเตียนที่บังเกิดใหม่ ก็เป็นความรักตามธรรมชาติ ดำเนินชีวิตตามธรรมชาติ  ไม่ได้เดือดร้อน จับนกไปว่ายน้ำ ไม่เป็นธรรมชาติแล้ว เพราะฉะนั้น เมื่อเราเป็นคริสเตียน เราเป็นความรัก ก็ให้ฉายแสงความรักนี้ออกมาเท่านั้น  พระเจ้าอวยพรครับ

*****************

จากใจคณะศิษยาภิบาล

            พระเจ้าอยู่ที่ไหน? ยามลูกทุกข์ยากลำบาก?

            เราอาจถามพ่อแห่งฟ้าสวรรค์แบบกันเองได้ … “พระเจ้าอยู่ที่ไหน  ลูกกำลังประสบกับความทุกข์ลำบากมากเหลือเกิน ในขณะนี้ …?”

            แล้วพระเจ้าก็ตอบว่า … อิสยาห์ 41:10 … “อย่ากลัวเลย เพราะพ่ออยู่กับลูก อย่าท้อแท้ เพราะพ่อเป็นพระเจ้าของลูก พ่อจะทำให้ลูกเข้มแข็งขึ้น และจะช่วยลูก พ่อจะชูเจ้าไว้  ด้วยมือขวาอันชอบธรรมของพ่อ  (คือพระเยซูคริสต์)”

            และ …  ฮีบรู 13:5 … “จงพอใจในสิ่งที่ลูกมี ลูกเป็นอยู่  ในขณะนี้ พ่อสัญญากับลูกว่า   “พ่อจะไม่มีวันทอดทิ้งลูกเหมือนเด็กกำพร้า  พ่อจะไม่มีวันละทิ้งลูก  ให้อยู่ตามลำพัง”

            และเมื่อได้ยินพ่อพูดอย่างนั้นแล้ว   เราที่เป็นลูกก็จะสามารถตอบ ได้อย่างมั่นใจได้ว่า … ฮีบรู 13:6 … “องค์พระผู้เป็นเจ้า พ่อของลูก ทรงเป็นผู้ช่วยเหลือลูก ลูกจะไม่กลัว ความทุกข์ทรมานที่เกิดขึ้น ใครจะทำอะไรฉันได้เล่า?”

            พระเจ้าอวยพรครับ

วารสาร Holy  News   ฉบับที่  1427

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  30  กรกฎาคม  2023

เรื่อง “หนังสือเอเฟซัส” ตอน 29

โดย วราพร  คงล้วน

            วันนี้เรามาต่อเอเฟซัส บทที่ 4 ข้อที่ 21 บอกว่า …

        เอเฟซัส 4:21 “แน่ทีเดียว   ท่านได้ฟังเรื่องพระองค์  และรับคำสอนในพระองค์  ตามความจริง  ซึ่งอยู่ในพระเยซู”

            สัปดาห์ที่แล้ว เราจบลงที่ข้อที่ 20 …

        เอเฟซัส 4:20 “ส่วนท่านไม่ได้เรียนรู้จักพระคริสต์อย่างนั้น”

            อาจารย์เปาโลพูดถึงลักษณะเดิมก่อนที่ผู้เชื่อเหล่านี้ มาเชื่อพระเจ้า มีลักษณะแบบไหน? แล้วอาจารย์เปาโลก็ตบท้ายบอกว่าจริงๆ แล้วพวกท่าน เมื่อมาเชื่อวางใจในพระเจ้าแล้ว ท่านก็ไม่ได้เรียนรู้จักพระคริสต์อย่างนั้น คือพระเยซูคริสต์ได้ให้เราบังเกิดใหม่แล้ว ให้วิญญาณใหม่ ความคิดจิตใจใหม่ให้กับพวกเราแล้ว ตอนนี้สิ่งที่พวกเราผู้เชื่อควรจะเข้ามาเรียนรู้ คือเรียนรู้ว่า ณ เวลานี้ พระเจ้าได้ให้เราเป็นอะไรบ้าง? แล้วเราก็ค่อยๆ ฝึกฝนให้เป็นไปตามธรรมชาติใหม่ที่พระเจ้าให้กับพวกเรา

            ฉะนั้น ตรงนี้อาจารย์เปาโลก็เลยบอกว่าเมื่อท่านได้ยินเรื่องราวเหล่านี้แล้ว ตามความจริง ซึ่งอยู่ในพระเยซูคริสต์ อย่างที่เราบอกสัปดาห์ที่แล้ว ที่อาจารย์เปาโลบอก … “อย่าพูดโกหกนะ” หลายคนก็เข้าใจว่าพูดถึงเราโกหกกัน อาจารย์เปาโลบอกอย่าทำ แต่ความจริงตรงนี้ อาจารย์เปาโลบอกไม่โกหก คือให้พูดตามความจริงในถ้อยคำของพระเจ้า ความจริงในถ้อยคำของพระเจ้าบอกว่าเราเป็นใครแล้ว เราก็เอเมนตามนั้น นี่คือสิ่งที่อาจารย์เปาโลจะสื่อให้เรารู้

        เอเฟซัส 4:22 “เกี่ยวกับวิถีชีวิตเดิมนั้น ท่านได้รับการสอนให้ทิ้งตัวตนเก่าของท่าน   ซึ่งกำลังถูกทำให้เสื่อมโทรมไป  โดยตัณหาอันล่อลวงของมัน”

            เกี่ยวกับวิถีชีวิตเดิม ทำไมอาจารย์เปาโลต้องย้ำเรื่องวิถีชีวิตเดิม เราจำเป็นจะต้องรู้ความจริงอันหนึ่งที่มันเกิดขึ้นในชีวิตผู้เชื่อ ทันทีที่เราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ วิญญาณเราเปลี่ยนใหม่แล้ว วิญญาณเป็นเหมือนพระเยซู 100% เลย ความคิดจิตใจเราก็เป็นเหมือนพระเยซู 100% แต่ส่วนที่เราต้องพัฒนา เมื่อเราเป็นลูกของพระเจ้าแล้ว เราก็ค่อยๆ มาเรียนรู้ว่าลักษณะชีวิตของลูกพระเจ้าควรจะทำแบบไหน? นี่คือการเรียนรู้นะ

            ฉะนั้น อาจารย์เปาโลบอกว่าให้เราทิ้งตัวตนเก่า หมายความว่ามันเป็นความเคยชินเก่ามากกว่า เพราะว่าจริงๆ แล้วตัวตนเก่าเราไม่อยู่แล้วนะ พระเจ้าบอกว่าตัวตนเก่าของเราได้ตายไปพร้อมกับพระเยซูคริสต์แล้ว  เราเป็นคนใหม่ในพระเยซู สะอาด บริสุทธิ์ หมดจดเหมือนพระเจ้าเลย สะอาด จนขนาดที่พระเจ้า พระบิดา  พระบุตร พระวิญญาณบริสุทธิ์ สามารถเข้ามาสถิตอยู่ในเราได้ ถ้าเรายังสกปรก เหมือนก่อนที่เรามาเชื่อพระเจ้า  พระเจ้าไม่สามารถเข้ามาอยู่ในเราได้เลย พี่น้องต้องเข้าใจตรงนี้

            คำว่า “ตัวตนเก่า” ตรงนี้ หมายถึงความเคยชินเก่าๆ ที่มันยังอยู่ในเรา  มันยังคอยล่อลวง  ทำให้เราสามารถที่จะทำตามมันได้ ฉะนั้น ตรงนี้ให้เราทิ้งซะ ลักษณะเหมือนเราใส่เสื้อผ้า อย่างที่บอกให้ถอดเสื้อเก่าทิ้ง แล้วก็สวมเสื้อใหม่  เสื้อใหม่ที่พระเจ้า พระเยซูคริสต์ให้กับพวกเรา  เป็นเสื้อใหม่ที่ถูกแขวนไว้ในตู้ใหม่ หลังจากที่เราบังเกิดใหม่แล้ว เสื้อใหม่ของเรา คืออะไร? ความสะอาด ความบริสุทธิ์  ความชอบธรรรม ความดีงาม ความรัก ความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ทั้งหมดนี้ คือเสื้อใหม่ที่พระเจ้าเปลี่ยนให้เราเรียบร้อยไปแล้ว คือพระเจ้าเตรียมไว้ในตู้เลย เราไม่ต้องไปหา แล้วก็ไม่ต้องพยายามทำให้มันเกิดขึ้น ไม่ต้องไปตัดด้วย คือพระเจ้าตัดให้เรียบร้อยแล้ว แขวนอยู่ในตู้ แค่ว่าเราเลือกที่จะหยิบเสื้อตัวไหนออกมาใส่เท่านั้นเอง ที่เหมาะสมกับกาลเทศะ เหมาะสมกับเวลา หรือจังหวะแต่ละจังหวะที่เราไปพบเจอใคร? อะไร?  อย่างไร?  ตรงนี้ เราค่อยๆ เรียนรู้ เพื่อที่เราจะรับรู้ว่าตอนนี้เรามีเสื้อตัวนี้อยู่นะ  ไม่ใช่ไม่รู้ว่าเรามีเสื้อแห่งความดีงามอยู่ พระเจ้าเตรียมไว้ให้เราแล้ว พอเราจะออกไปข้างนอก เราก็ไปฉวยเอาเสื้อขาดวิ่น คือเสื้อความอิจฉา ริษยา เสื้อความเห็นแก่ตัว ใส่ แล้วก็เดินออกไปเลย แล้วเราก็ทำให้คนอื่นมองเห็น …

            “เป็นคริสเตียน ทำไมถึงเป็นแบบนี้ล่ะ”

             แล้วพี่น้องเชื่อไหมว่าคริสเตียนก็จะสามารถทำอย่างที่คนที่ไม่ได้เป็นคริสเตียนทำได้ เพราะ ว่าถูกหลอกไง  เราถูกหลอกที่ยังไปทำตามความเคยชินเก่าๆ ที่เราเคยเป็น แล้วเราก็หลงไปทำตามมัน แต่ให้พี่น้องเชื่อเถิด เราทำได้ไม่นานหรอก  เพราะว่าธรรมชาติใหม่ที่พระเจ้าใส่ให้เราใหม่ อยู่ข้างใน มันจะคอยบอกเรา เราไม่สบายใจหรอก เราไม่มีความรู้สึกดีที่เราจะไปทำสิ่งที่ชั่วร้าย หรือเราจะไปทำสิ่งที่เป็นความเคยชินเดิมๆ ที่เราเคยทำอยู่ มันติดนิสัยไง  เหมือนติดนิสัย เวลาคนถามอะไรปุ๊บ เราจะปฏิเสธไปก่อนเลย

            “ไปไหนมา?”

            “เปล่า ไปสุขุมวิทมา”

            “กินข้าวหรือยัง?”

            “ยัง ไปกินร้านนี้”

            มันติดเป็นนิสัย แล้วมันก็ออกมาโดยอัตโนมัติ  โดยปกติที่เราทำจนเกิดความเคยชิน แต่อาจารย์เปาโลสอนเราว่าให้เราเรียนรู้จักธรรมชาติใหม่ที่พระเจ้าใส่ให้กับเรา แล้วก็ค่อยๆ ฝึกฝน

            คำว่า … “ค่อยๆ ฝึกฝน” หมายความว่าไม่ได้ทันที ที่เราสามารถเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ เปลี่ยนจากคนที่เคยเห็นแก่ตัวมากๆ กลายเป็นคนเอื้อเฟือเผื่อแผ่ทันที มันเป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว ต้องค่อยๆ พัฒนา เหมือนเด็กหัดเดิน ไม่ใช่ลุกขึ้นมาปุ๊บ วิ่งเลย ไม่ใช่ ต้องค่อยๆ เตาะแตะ ต้องค่อยๆ เกาะ ค่อยๆ เดินทีละก้าว  สองก้าว จนขาแข็งแรงปุ๊บ เขาสามารถวิ่งได้ นั่นคือธรรมชาติของมนุษย์ที่พระเจ้าให้เราเห็น

            ธรรมชาติการเปลี่ยนแปลงในวิญญาณใหม่ของเราก็เป็นแบบนั้นเหมือนกัน คริสเตียนยังคงทำสิ่งที่ตรงกันข้ามกับความเป็นจริง ที่เขาเป็นจริงๆ ณ เวลานี้ในวิญญาณได้ตลอดเวลา ถ้าเราเผลอ ถ้าเรายอมให้อิทธิพลของโลกใบนี้ หรือความเคยชินเก่าๆ ยังคงโน้มนำเรา ให้เราทำตามมัน เราก็จะมีโอกาสทำตามมัน

            พอเราทำตามปุ๊บ อย่างที่บอกไง เหมือนปลาที่ต้องอยู่ในน้ำ พอเผลอ ลืมตัว กระโดดขึ้นบนบก แป๊บเดียวเอง ปลาไม่มีน้ำ มันจะดิ้นผลักๆ หาน้ำ เพื่อที่จะลง คริสเตียนเหมือนกัน ถ้าเราเผลอไปทำสิ่งที่ตรงกันข้ามกับธรรมชาติใหม่ ที่ ณ เวลานี้เราเป็นแล้วนะ  พระเจ้าบอกว่าเราสะอาด เราดีงาม เราชอบธรรม เราบริสุทธิ์ ถ้าเราทำสิ่งที่ตรงกันข้ามปุ๊บ เราจะไม่รู้สึกว่าสบายใจ ถ้าเป็นเมื่อก่อน เราอาจจะสบายใจนะ ก่อนที่เรามาเชื่อพระเจ้า ถ้าใครมาด่าเราปุ๊บ ไม่ได้เราต้องด่ากลับ เขาด่าเราคำเดียว เราด่าสัก 3 คำ

            “อุ๊ย สะใจ”

            “สะใจตรงไหน?”

            “เราได้ด่าเขาเยอะกว่าอีก”

            อะไรประมาณนั้น  นั่นคือวิถีชีวิตเดิม ก่อนที่เรามาเชื่อพระเจ้า มันเป็นแบบนั้น  แต่ว่าพอเรามาเชื่อพระเจ้าปุ๊บ อาจารย์เปาโลก็บอกเราว่าอย่าไปทำ เพราะว่ามันไม่ได้เป็นวิถีทางของพระเจ้า แต่ไม่ได้หมายความว่าห้ามปุ๊บ เราจะเลิกได้ทันที เราจะค่อยๆ เลิก เราจะแปลกใจกับตัวเราเองว่าถ้าเป็นเมื่อก่อน เรื่องนี้เกิดขึ้นกับเรา บ้านแตกแน่ๆ  แต่ ณ เวลานี้ เราเชื่อพระเจ้า เรื่องเดียวกัน เกิดขึ้น บ้านไม่แตก อยู่ในความสงบ อาจจะมีรวนนิดหนึ่ง คลื่นใต้น้ำ อยู่ข้างใน แต่เรายังสามารถควบคุมได้อยู่ เป็นบางครั้ง  แต่บางครั้ง เราก็วีนแตกเหมือนกัน  ฉะนั้น ไม่ว่าเราจะวีนแตกหรือไม่แตก พระเจ้าไม่ได้สนใจดูตรงนั้นเลย  แต่พระเจ้าสนใจว่า …

            “ณ เวลานี้ เธออยู่ในพระคริสต์แล้ว เธอเป็นลูกของพระเจ้าแล้ว เธอจะสามารถค่อยๆ ฝึกฝนพัฒนาตัวเอง ให้เป็นเหมือนพระเจ้ามากขึ้นๆ ทุกวันๆ”

            แน่นอนเลย พี่น้องไม่ต้องกังวลว่าคริสเตียนจะสามารถไปทำชั่วเหมือนเดิม หรือทำสิ่งที่ตรงกันข้ามกับธรรมชาติใหม่ของตัวเอง  เหมือนเดิมทุกวันทุกเวลา  มันเป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว  โดยความเป็นจริงในวิญญาณของเรา  เราเป็นเหมือนพระเจ้าเลย เราอยากทำตามน้ำพระทัยของพระเจ้าตลอดเวลา แต่เราสามารถที่จะเผลอได้ตลอดเวลาเช่นเดียวกัน พระเจ้าจึงบอกเราว่าให้เรารับรู้ความจริง จดจ่อกับความจริงว่าตอนนี้เราเป็นใคร? เราเป็นอย่างไร? ตลอดเวลา? เพื่อถ้าเราหลุดจากความเป็นจริง จริงๆ เราจะได้รู้ว่าอันนี้ไม่ใช่ๆ รีบ หยุดชะงัก แล้วก็ถอยห่างออกมา มันเป็นลักษณะแบบนี้นะ เราจะเป็นแบบนี้ทุกวัน จนกว่าลมหายใจเราจะหยุด และวิญญาณเราออกจากร่าง

            พี่น้องอย่าคาดหวังว่าเมื่อเราเป็นคริสเตียนแล้ว เราจะสามารถทำดี 100% ตามธรรมชาติใหม่ที่เราเป็นบนโลกใบนี้ ไม่มีทาง  เป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว แต่ว่าเราจะสามารถทำดีได้มากขึ้นๆ  อดทนได้มากขึ้น เอื้อเฟือเผื่อแผ่คนอื่นได้มากขึ้น เรียนรู้ที่จะให้มากขึ้น มากกว่าที่จะเอาจากคนอื่นตลอดเวลา มันจะมากขึ้นเรื่อยๆ พอมากขึ้นเรื่อยๆ  เราก็พัฒนา พอเราได้เปลี่ยนแปลงความคิดจิตใจของเราใหม่ เปลี่ยนแปลงความคิดตรงสมอง ตรงนี้  ที่อาจารย์เปาโลบอกว่าให้เรามอบถวายความคิดของเรา

            คือความคิดตรงนี้เป็นสนามรบ ที่สามารถรับสื่อ สื่อจากข้างนอกเข้ามา หรือสื่อจากพระวิญญาณมา เหมือนกัน ที่นี่ถ้าเรารับสื่อจากพระวิญญาณมาก ความคิดตรงนี้ก็จะเปลี่ยนไปตามพระวิญญาณมาก แล้วถ้าความคิดเราเปลี่ยนปุ๊บ มันจะส่งผลอันหนึ่ง คือทำให้เรากระทำตามความคิดตรงนี้แหละ ถ้าใครจะทำอะไรสักอย่างหนึ่ง มันต้องคิดก่อน แล้วค่อยทำ อยู่ดีๆ เราบอกว่าเราเอาไม้ไปตีหัวใคร? เรายังไม่ทันคิดเลย มันไม่จริง เราแค่คิดว่าเราไม่คิด แต่มันคิดไปแล้ว คิดถึงจะทำ สมองมันจะสั่งเราทำ

            ความคิดตรงนี้ คือสนามรบของคริสเตียน ที่เราจะเอาความคิดเราไปจดจ่ออยู่ที่ไหน? จดจ่ออยู่ที่โลกใบนี้  ระบบของโลกนี้ ส่งเข้ามา หรือจดจ่อกับสิ่งที่พระเจ้าส่งมาให้กับเรา เมื่อเราจดจ่อกับสิ่งที่พระเจ้าส่งมามาก ความคิดเราเปลี่ยนไปตามฝั่งของพระเจ้ามากเท่าไร? พฤติกรรม หรือการกระทำของเรา ก็จะส่งผลออกมาตามธรรมชาติใหม่ที่พระเจ้าให้กับเรา ได้มากขึ้นๆ เราจะสู้กันอย่างนี้แหละ จนถึงวินาทีสุดท้ายของชีวิต วิญญาณเราออกจากร่างปุ๊บ เราไม่ต้องสู้แล้ว

            นี่คืออีกเหตุผลหนึ่ง ที่ทำไมอาจารย์เปาโลบอกว่าอยู่เพื่อพระคริสต์ ตายได้กำไร เมื่อเราเชื่อวางใจในพระเจ้า เรารู้แหละ แน่นอนเรารอดแน่ เราไม่ต้องไปห่วงแล้วว่าตายไป เราต้องไปตกนรก หรือตายไป เราต้องไปยืนอยู่ต่อหน้าบัลลังก์พิพากษา พระเจ้าจะพิพากษาเราว่า …

            “วันนั้น เธอไปด่าใคร? อะไร?”

            ไม่เกี่ยวเลย เพราะว่าเมื่อเราจากโลกนี้ไปแล้ว ทันทีที่วิญญาณเราออกจากร่าง มีแค่ 2 ส่วนที่ไปอยู่สวรรค์กับเรา

            ส่วนแรก คือวิญญาณใหม่ ที่พระเจ้าให้กับเรา ไปอยู่กับพระเจ้า

            ส่วนที่ 2 คือความคิดจิตใจใหม่ ที่พระเจ้าให้กับเรา ไปอยู่กับพระเจ้า

            ส่วนร่างกาย ความคิดที่สามารถแปลสภาพทุกวันๆ ตรงนี้ ที่เราคุยกันว่าให้ความคิดจดจ่ออยู่กับถ้อยคำของพระเจ้าตรงนี้  ส่วนตรงนี้จะไม่ตามเราไป มันจะตายไปพร้อมกับร่างกายเนื้อหนังนี้ของเรา  เราจะไปแค่ 2 ส่วนเอง แล้วเมื่อไปถึงสวรรค์ เราจำไม่ได้ด้วยซ้ำไป เพราะมันไม่ได้อยู่ในความคิดของเราเลยว่าเราเคยไปด่าใครไว้  เราเคยไปทำสิ่งที่ไม่ดีอะไรไว้  ไม่มีติดตามเราไป เราจำไม่ได้ แล้วพระเจ้าบอกว่าพระเจ้าไม่จดจำความผิดของเราเลย เมื่อเราไปอยู่บนสวรรค์ เราก็จะเป็นเหมือนพระเจ้า สะอาด บริสุทธิ์  หมดจด ชอบธรรม เหมือนพระเยซูคริสต์เลย นี่คือสิ่งที่มันเกิดขึ้นจริง ในโลกวิญญาณ และอนาคตข้างหน้าพวกเราก็จะได้ไปรับร่างกายใหม่

            นี่อาจารย์เปาโลบอกตายได้กำไรทันที กำไรตรงที่เราไม่ต้องดิ้นรนแล้วไง พอวิญญาณเราออกจากร่างปุ๊บ ชีวิตนี้แฮปปี้เลย จบ ไม่ต้องดิ้นรนอยู่บนโลกใบนี้ ในขณะที่เราอยู่บนโลกใบนี้ เราต้องดิ้นรน เรายังต้องต่อสู้กับระบบของโลกนี้  ที่ส่งเข้ามาในความคิดของเราตลอดเวลา สู้กันระหว่างความคิดที่พระวิญญาณส่งมากับความคิดของโลกนี้ส่งมา เราสู้กันตลอดเวลา แล้วเราเป็นคนกลาง เราเป็นผู้ที่จะตัดสินใจว่าเราจะทำตามพระเจ้า หรือทำตามโลกนี้ เราตัดสินใจได้ พระเจ้าเอเมนกับเราทุกเรื่องเลยนะ ถ้าเราตัดสินใจที่วันนี้ เราอยากจะทำตามโลกนี้ เราอยากจะเกเร พระเจ้าก็ต้องเอเมน คือพระเจ้าไม่บังคับเราไง พระเจ้าเอเมนแบบเป็นห่วง …

            “ลูกเอ๋ย ลูกไปตัดสินใจอย่างนั้น เดี๋ยวลูกก็จะเจ็บตัว” … เจ็บตัวบนโลกใบนี้

            ฉะนั้น เราก็ยังต้องต่อสู้จนถึงลมหายใจสุดท้าย เราก็ขอบคุณพระเจ้าที่พระองค์บอกว่าพระองค์ทรงดูแลเรา เมื่อพระองค์ทรงเริ่มต้นการงานดี … การงานดีที่พระเจ้าทรงเริ่มต้นในชีวิตของเรา ก็คือทำให้เราได้บังเกิดใหม่  เข้ามาในอาณาจักรของพระเจ้า เปลี่ยนวิญญาณใหม่ให้กับเรา ความคิดจิตใจใหม่ให้กับเรา  นี่คือการเริ่มต้น พอเริ่มต้นปุ๊บ พระเจ้าก็จะรักษาวิญญาณของเราตรงนี้ไว้ ไม่ว่าขณะที่เราอยู่บนโลกใบนี้ เราจะหัวหกก้มขวิดขนาดไหน? พระเจ้าก็ยังคงจะรักษาวิญญาณเราตรงนี้ไว้ เราไม่ต้องกังวลว่าถ้าเกิดเราทำผิดซ้ำแล้วซ้ำเล่า ตกลงวิญญาณเราจะรอดไหม?  ไม่ต้องห่วงตรงนั้นเลย รอดแน่นอน พระเจ้าบอกเกิดแล้วเกิดเลย รอดแล้วรอดเลย แต่ว่าถ้าเรายังคงใช้ชีวิตแบบตามใจตัวเอง หรือเรียกว่าความเคยชินเดิมๆ เราก็จะเจ็บตัว เจ็บตัวบนโลกใบนี้ แทนที่เราจะอยู่อย่างมีสันติสุขมากขึ้น พระเยซูยังบอกว่า …

            “อยู่บนโลกนี้ ท่านจะประสบกับความทุกข์ยาก”

            อย่างไรก็ทุกข์ยาก แล้วถ้าเราไปทำตามระบบของโลกนี้ ที่นำเสนอมา เราก็จะทุกข์ยากมากกว่าเดิม แทนที่จะทุกข์น้อยลง เราก็จะทุกข์เพิ่มขึ้น ซึ่งพระเจ้าก็ไม่อยากให้ผู้ที่พระองค์ทรงรัก ดังแก้วตาดวงใจ ขณะที่ดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ ทุกข์มากกว่าที่มันควรจะเป็น แล้วในขณะเดียวกัน ถ้าเราดำเนินชีวิตตามธรรมชาติใหม่ที่เราเป็นปุ๊บ อันหนึ่งเลย เราจะสำแดงพระเยซูคริสต์ให้คนอื่นได้สามารถสัมผัสจับต้องได้ ให้คนอื่นเขามีความรู้สึกว่าเป็นคริสเตียนนี้ดีนะ พระเจ้าดีๆ เราอยากจะมารู้จักกับพระเจ้าองค์นี้ ที่ทำไมคนนี้เขาเปลี่ยนได้ขนาดนี้ เมื่อก่อนไม่ได้เป็นแบบนี้ แต่เดี๋ยวนี้สุดยอดเลย อะไรอย่างนี้ เราก็จะได้สำแดงพระเยซูคริสต์ออกไป คนอื่นเขามอง แล้วก็น่าติดตามนะ แต่ว่าถ้าเรามาเชื่อพระเจ้า แล้วเรายังคงดำเนินชีวิตตามความเคยชินเดิม ความรอดเราไม่หลุดนะ ยังไงเราก็รอด แต่เราก็จะไม่ได้สำแดงพระสิริของพระเจ้า ผ่านทางชีวิตของเรา  เราก็ไม่สามารถที่จะรับใช้พระเจ้าได้เต็มที่

            งานรับใช้ ไม่ได้หมายความว่าพี่น้องต้องพยายามไปหางานทำ ไม่ต้อง งานรับใช้ คือสำแดงลักษณะชีวิตใหม่ที่พระเจ้าให้กับเรา เปลี่ยนแปลงเราแล้ว ออกไปทุกวันๆ แหละ เราไปเจอเพื่อน? เจอคนข้างนอก? คนได้สัมผัสความรักที่พระเจ้าให้กับเรา  ข้างในมันถูกถ่ายทอดออกไป ให้กับคนรอบข้าง ไม่ว่าคนนั้นจะเป็นคริสเตียน หรือไม่ได้เป็นคริสเตียน เขาจะสัมผัสได้จริงๆ ว่า …

            “คนนี้แปลก ไม่เหมือนชาวบ้าน เขามีอะไรดี”

            คนก็จะมาศึกษาว่าคนนี้ดี อะไรประมาณนั้น เราก็จะได้มีโอกาสประกาศเรื่องของพระเยซูคริสต์ ให้กับคนรอบข้างได้รับรู้ความจริงตรงนี้ด้วย ข้อ 23 …

        เอเฟซัส 4:23-24 “23 เพื่อรับการสร้างท่าทีความคิดจิตใจขึ้นใหม่ 24 และเพื่อสวมตัวตนใหม่   ซึ่งพระเจ้าทรงสร้างขึ้น   ให้เป็นเหมือนพระองค์ ในความชอบธรรมและความบริสุทธิ์ที่แท้จริง”

            “ท่าที ความคิดจิตใจขึ้นใหม่” ต้องมีการสร้าง ค่อยๆ สร้าง ค่อยๆ สะสม  ไม่ได้เปลี่ยนวิญญาณ เปลี่ยนความคิดจิตใจปุ๊บ  เราจะเปลี่ยนเป็นคนใหม่เลย ไม่ใช่ ต้องค่อยๆ สะสม สะสมจากสิ่งที่เราได้ยินได้ฟังทุกวันว่า …

            “ตอนนี้ฉันเป็นคนดีพร้อมแล้วนะ ตอนนี้ฉันเชื่อพระเจ้าแล้ว ฉันเป็นลูกพระเจ้าแล้ว ฉันเป็นทายาทร่วมกับพระเยซูคริสต์แล้ว ฉันเป็นผู้ชอบธรรมแล้ว ฉันสะอาด ฉันบริสิทธิ์  ฉันดีพร้อม”

            นี่คือสิ่งที่มันเป็นจริง แล้วการที่เราพูดอย่างนี้ เราไม่ได้เยินยอตัวเอง …

            “เธอดีตรงไหน? ไหนบอกว่าเธอดีพร้อม เมื่อกี้ฉันยังเห็นเธอทำสิ่งที่ไม่ดีอยู่เลย”

            “ไม่เกี่ยว อันนั้นเรื่องของโลกวัตถุ แต่ในวิญญาณฉันเป็นอย่างนั้นจริงๆ ฉันยอมรับ ฉันเอเมนกับพระเจ้า พระเจ้าบอกว่าฉันเป็นอย่างนี้ ฉันตามนี้เลย”

            เขาเรียกว่ายืนหยัด พอเรายืนหยัดมากเท่าไร? ข้างในวิญญาณเรา ความคิดเราจะเปลี่ยน เปลี่ยนจากการที่คอยฟ้องผิดตัวเอง …

            “ฉันมันเลว”

            ใครบอกว่าเราเลว  พระเจ้าบอกว่าเราเป็นคนดีพร้อม แต่เราด่าตัวเองว่า …

            “ฉันมันเลว เมื่อกี้ฉันยังคิดไม่ดีอยู่เลย ฉันอย่างโน้น อย่างนี้”

            เมื่อไรที่เราคิดแบบนี้ แปลว่าเรากำลังปฏิเสธสิ่งที่พระเจ้าบอกว่าเราเป็น มันอันตราย พระเจ้าบอกว่าเราดี แต่เราเถียงพระเจ้าบอกว่า …

            “ไม่จริงหรอก พระองค์เจ้าข้า ลูกยังเลวอยู่เลย  ลูกยังทำไม่ดีอยู่เลย”

            พระเจ้าบอกว่า “พระเยซูทำให้เธอดีแล้ว วิญญาณเธอดีเหมือนพระเยซูคริสต์เลย พระเยซูสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขนครั้งเดียว พระโลหิตของพระเยซูหลั่งลงครั้งเดียว ชำระล้างความผิดบาป อดีต ปัจจุบัน อนาคต พระเจ้าชำระให้หมด แล้วเรายังบอก …

            “ฉันมันแย่ๆ”

            มารทำงานผ่านระบบของโลกนี้ มันพยายามที่จะหลอกคริสเตียน ให้เราไม่สามารถรับรู้ความจริงที่พระเจ้าบอกเรา แล้วตัวเราเองนั่นแหละ เป็นคนทำให้ข่าวประเสริฐของพระเจ้าไม่ชัดเจน เมื่อพระเยซูบอกว่าเราเป็นคนดีพร้อมแล้ว เราเอเมนตามนั้นเลย แม้ว่าในขณะนี้เรายังไม่เห็นดีเลย ช่างมัน มันเป็นเรื่องของโลกนี้ แต่วิญญาณฉันดีพร้อมเหมือนพระเจ้าแน่นอน ตามนี้แหละ นี่เป็นการยืนยันถ้อยคำของพระเจ้า  พระเจ้าก็จะค่อยๆ สร้างความคิดของเราขึ้นมาใหม่ ให้ความคิดเราเห็นพ้องต้องกันกับถ้อยคำของพระเจ้า

            มีถ้อยคำอันหนึ่งบอกว่าเราจะจับเอาความคิด ที่ยกตัวขึ้นต่อต้าน ขัดขืนถ้อยคำของพระเจ้า เราจะลงโทษมัน วิธีลงโทษความคิดนี้ ไม่ใช่ด้วยการที่เราจับความคิด แล้วมาตีๆ ไม่ใช่ การลงโทษความคิดที่พยายามต่อต้าน ขัดขืนพระเจ้า หรือพยายามไม่เชื่อฟังพระเจ้า จับมันให้อยู่ โดยวิธีทำอะไร? วิธีทำตรงกันข้าม เมื่อความคิดนี้ มันส่งเข้ามาว่า …

            “คนนี้เขาคิดไม่ดีกับเธอ เธอต้องโต้ตอบไปเลย ด้วยความคิดที่ไม่ดีกับเขาด้วย”

            เราจับความคิดตรงนี้ ลงโทษมันด้วยวิธี …

            “เธอไม่ต้องมาเสี้ยม แม้ว่าเขาจะคิดไม่ดีกับฉัน แต่ฉันจะคิดดีกับเขา เพราะว่าพระเจ้าที่อยู่ในฉัน คือความดี”

            นั่นแหละ คือวิธีแค่นี้ มันง่ายๆ นะ ไม่ได้สอนคริสเตียนว่าต้องไปสู้รบปรบมือกับใคร? ไม่ต้อง แค่ยึดความคิดนี้ ให้มั่น แล้วก็ทำลายป้อมปราการที่มันพยายามส่งเข้ามาเสี้ยมเรา ให้เราไปทำตามมัน เราไม่ยอม เพราะว่าตอนนี้ พระเจ้าบอกว่าเรามีอำนาจพอ พระเจ้าที่สถิตอยู่ในเรา พระองค์มีกำลังพอที่จะช่วยเราได้ เมื่อก่อน ก่อนที่เรายังไม่ได้มาเชื่อพระเจ้า  เราไม่มีกำลัง เราเหมือนหมูในอวย หรือเหมือนไก่อยู่ในกำมือ เราขัดขืนมันไม่ได้เลย มันว่าอย่างไร? เราต้องตามนั้น  แต่ ณ ปัจจุบัน เมื่อเราเชื่อวางใจในพระเจ้าแล้ว พระเจ้าบอกว่าเรามีแรงที่จะสู้มัน เราจะไม่ยอมมัน ถ้าโลกนี้ส่งอะไรเข้ามา ฟังแล้ว ข้างในวิญญาณเราจะรู้ว่าอันนี้ ทะแม่งๆ  ไม่ใช่วิถีทางของพระเจ้า  เราปฏิเสธไปเลย การปฏิเสธตรงนี้แหละ คือการจับมันมาลงโทษ

            ยกตัวอย่าง ถ้ามีเพื่อน 2 คน คนหนึ่งชอบมาพูดอะไรไม่รู้เกี่ยวกับบุคคลที่ 3 ที่มันไม่ดีให้เราฟัง ฟังบ่อยๆ พอฟังมากๆ เราจะเอนเอียงไปตามที่เขาบอก แต่ว่าถ้าเรายืนมั่นอยู่  ไม่ว่าคนนั้นจะมาเสี้ยมอย่างไร? เรามีตามอง เรามีสติปัญญาที่จะพินิจพิจารณาว่าบุคคลที่ 3 ที่คนนี้มาเล่าให้เราฟัง เขามีลักษณะชีวิตแบบไหน? เราดูออก เป็นเพื่อนเหมือนกัน เรารู้ว่า …

            “คนนี้ไม่ได้เป็นอย่างที่เธอพูด ฉันจะไม่ยอมตกเป็นเบี้ยล่างของเธอ ที่จะทำให้ฉัน เขี่ยให้ฉันผิดใจกับเพื่อนอีกคนหนึ่ง”

            นี่คือลักษณะเดียวกัน คือเราไม่ยอม เราไม่ทำตามมัน แล้วถ้าเราไม่ยอมบ่อยๆ เพื่อนคนนี้ ที่ชอบเสี้ยม เขาจะเลิกเอง เพราะไม่มันเลย  ความรู้สึก …

            “ไม่มันเลย ยุก็ไม่ขึ้น ฉันพูดจนปากฉีกไปถึงรูหู ไม่ขึ้น บอกจะทำให้ผิดใจกับเพื่อนคนนี้ ไม่เห็นผิดใจกันเลย ไม่เอาดีกว่า เหนื่อย”

            เขาก็เลิกรากันไป  ลักษณะเดียวกัน  มารมันไม่มีอำนาจ แต่ว่ามันทำงานผ่านระบบของโลกนี้  พยายามส่งข้อมูลเข้ามาในความคิดของพวกเราผู้เชื่อ  ถ้าเราอือออตามมันปุ๊บ มันได้ใจ  อือออได้ครั้งแรก มันจะมาอีกครั้งและจะส่งข้อมูลมาเรื่อยๆ  แล้วเราก็ติดกับ เราก็จะทำตามมัน  แต่ถ้าเราปฏิเสธไม่ยอมมัน …

            “เธอจะพูดอะไร ฉันไม่สนใจ ฉันยืนอยู่ตรงนี้ ฉันมีจุดยืนของฉัน”

            พอเขาเสี้ยมเราบ่อยๆ แล้วไม่เกิดผลอะไร เราไม่ต้องทำอะไรเลย เราอยู่เฉยๆ  เขาจะเบื่อเอง แล้วเขาก็จะทิ้งเราไป เหมือนที่อาจารย์เปาโลบอกว่าจงต่อสู้ขัดขืนมัน แล้วมันจะทิ้งเราไป วิธีต่อสู้ขัดขืน ไม่ใช่ไป ถือดาบไปฟันมันนะ ไม่ใช่ วิธีต่อสู้ขัดขืน คือ …

            “ฉันไม่สนใจ ฉันไม่ตามเธอ เธออยากจะพูดอะไร เชิญตามสบาย  ฉันไม่แคร์กับสิ่งที่เธอพูดเลย”

            นานๆ เข้า เขาไม่รู้สึกสนุก แต่ถ้าเราตามมัน เดือดเนื้อร้อนใจ สนุก คราวหน้ามีมาใหม่  แล้วก็จะมีมาเรื่อยๆ  นี่คือกลของมาร ถ้าเรารู้กลอุบายของมารปุ๊บ เราก็จะสามารถชนะมันได้ คือตัวเราเองจริงๆ เราอยู่นิ่งๆ แหละ เฉยๆ  พระวิญญาณบริสุทธิ์ที่อยู่ในเรา พระองค์จะให้กำลังเรา  ให้แค่รู้ว่าลักษณะการทำงานของระบบของโลกนี้ ผ่านทางการเสี้ยมสอนของมารซาตาน ที่พยายามที่จะทำให้เราขัดใจกับพระเจ้า พยายามทำให้เราใช้วิธีการของระบบโลกนี้ ไปดำเนินชีวิต ซึ่งพระเจ้าบอกอย่าไปทำตามนั้น เพราะว่าลักษณะชีวิตใหม่ของเรา ไม่ได้เป็นแบบนั้นแล้ว ข้อที่ 25 …

        เอเฟซัส 4:25 “เหตุฉะนั้น ท่านทั้งหลายจงทิ้งสิ่งจอมปลอมเสีย และพูดความจริงต่อกัน เพราะเราทั้งปวงล้วนเป็นอวัยวะในกายเดียวกัน”

            ทันทีที่เราเชื่อพระเจ้า ในพระคัมภีร์บอกว่าเราเป็นหนึ่งเดียวกัน  ไม่ต้องไปทำอะไร มันโดยอัตโนมัติ เพราะว่าทันทีที่เราเชื่อพระเจ้าปุ๊บ พระวิญญาณบริสุทธิ์เข้ามาผ่าตัดวิญญาณของเรา เข้ามาอยู่ในพระเยซูคริสต์ เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเยซูคริสต์ พอเรากับพระเจ้าเป็นหนึ่งเดียวกันปุ๊บ ในพระคัมภีร์บอกว่าพระเยซูคริสต์ทรงเป็นศีรษะ และผู้เชื่อทุกคน ใครก็ตามที่ตัดสินใจ เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอด ทั่วโลกใบนี้  เขาเป็นอวัยวะเดียวกันกับเรา เอเมน เขาเป็นหนึ่งเดียวกันกับเรา โดยอัตโนมัติ แล้วเราก็รักเขาโดยอัตโนมัติ ที่อาทิตย์ที่แล้วเราบอก เรารักเขาเลย  ไม่มีเหตุผล เพราะพระเจ้าบอกว่าพระองค์เป็นความรัก ความรักของพระเจ้าอยู่ในเรา เมื่อความรักอยู่ในเขาด้วย เขาเป็นความรัก เราก็เป็นความรัก เราก็รักเขา เขาก็รักเราเลยเช่นกัน

            ฉะนั้น ตรงนี้ พระเจ้าบอกเราว่าเราทุกคนเป็นอวัยวะเดียวกันในพระกายของพระคริสต์ แต่ว่าพระเจ้าจะทรงเลือกแต่ละคนให้เป็นอวัยวะชิ้นส่วนไหนในร่างกายของพระคริสต์นี้ แล้วแต่พระองค์เลย ตามน้ำพระทัย ก็คือพระเจ้าจะให้ใครเป็นหู ตา จมูก ลิ้น กาย ปาก เป็นเส้นผม  เป็นคิ้ว พระเจ้าเป็นผู้เลือก แล้วพระเจ้าจะให้ใครเป็นหัวใจ ตับ ไต ไส้ พุง พระเจ้าก็เป็นผู้เลือกอีก เมื่อพระเจ้าเลือกปุ๊บ พระเจ้าก็ใส่ความสามารถ ไม่ใช่เลือกมาโชว์เฉยๆ เลือกปุ๊บ พระเจ้าใส่ความสามารถ เราจะเห็นว่าอวัยวะในร่างกายของมนุษย์ แต่ละชิ้นส่วนมีหน้าที่ของมัน  และมีความสามารถพิเศษของมันด้วย  ซึ่งแต่ละอวัยวะจะทำงานตามความเหมาะสม เมื่อทำงานตามความเหมาะสมปุ๊บ ร่างกายนั้น ก็จะแข็งแรง นี่คือหลักการทั่วไป

            ฉะนั้น พระเยซูคริสต์ก็บอกว่าพวกเราต่างเป็นอวัยวะเดียวกัน  เมื่อเราเป็นอวัยวะเดียวกันปุ๊บ ให้เราทิ้งสิ่งจอมปลอม ก็คืออย่าพูดอะไรที่มันไม่เป็นไปตามความจริงของถ้อยคำของพระเจ้า นึกออกไหม? ถ้าความจริงของพระเจ้าบอกว่าเราเป็นอิสระแล้ว เราอย่าพยายามไปพูดให้ผู้เชื่อมีความรู้สึกว่า …

            “ตอนนี้ฉันยังอยู่ในพันธนาการอยู่เลย ฉันไม่เห็นอิสระเลย”

            อันนั้นเท่ากับเรากำลังโกหกพระกายของพระคริสต์ ถ้าเราโกหกพระกายของพระคริสต์ ก็เท่ากับเราโกหกตัวเองแหละ เพราะเราอยู่ร่างกายเดียวกัน ซึ่งอาจารย์เปาโลบอกอันนี้อย่าทำ

        เอเฟซัส 4:26 “ในยามโกรธ อย่ากระทำบาป” อย่าให้ถึงดวงอาทิตย์ตกแล้วท่านยังโกรธอยู่”

            จะเล่าให้ฟัง สมัยก่อนดิฉันเข้าใจว่าถ้อยคำตรงนี้ อาจารย์เปาโลสอน …

            “เธอโกรธใครนะ ตะวันตกดิน รีบๆ หายโกรธนะ  ไม่อย่างนั้น มันจะมีปัญหา”

            เราก็เข้าใจว่ามันต้องรีบๆ อะไรประมาณนั้น คือเป็นคริสเตียนโกรธได้นะ  ไม่ใช่โกรธไม่ได้  เรายังเป็นมนุษย์อยู่ แล้วเรายังอยู่ในเนื้อหนังอยู่ เราโกรธได้ แต่พี่น้องลองคิดดูว่าการโกรธนานๆ มันมีประโยชน์สำหรับร่างกายเราไหม? อาจารย์เปาโลบอก …

            “ท่านทำสิ่งสารพัดได้ ไม่มีใครห้ามหรอก แต่มันมีประโยชน์ไหม?”

            มาคิดแค่นี้นะ  ถ้าทำแล้วไม่มีประโยชน์ ทำไปทำไม?  แค่นี้เอง มันง่ายๆ ถ้าทำแล้วมันไม่มีประโยชน์ ทำไปทำไม ทำแล้ว ทำให้คนอื่นเดือดร้อนไหม? ถ้าคนอื่นไม่เดือดร้อน  แล้วทำให้ตัวเองเดือดร้อนไหม? เวลาโกรธตัวเองเดือดร้อนนะ มันไม่มีความสุขเลย

            ดิฉันเคยโกรธ โกรธมากด้วย คนอาจจะคิดว่าดิฉันเกิดมา สงสัยโกรธไม่เป็น หัวเราะตลอดเวลา โกรธเป็นนะคะ โกรธแล้วมันไม่ได้มีความสุข  คือตัวเราเองไม่มีความสุขจริงๆ แล้วพอโกรธนานๆ เราก็นั่งคิดโกรธทำไม? โกรธไปไม่เห็นมีประโยชน์อะไรเลย เลิกโกรธดีกว่า อะไรประมาณนี้

            แล้วเวลาเราโกรธ ถ้าโกรธแล้ว ในพระคัมภีร์บอกอย่าทำบาป เพราะความโกรธตรงนี้ มันจะนำเรา  พอเราโกรธ เรากำลังเปิดประตูให้กับมารมันมาทำงาน หรือระบบโลกนี้เข้ามาทำงานได้ มันสามารถทำ เอาความโกรธตรงนี้ของเรานี่แหละ ให้เราไปทำสิ่งที่มันไม่ดี พอโกรธปุ๊บ ร้อยแปดพันเก้าในสมองเราก็คิดแล้ว คิดชั่ว ความชั่วมันมาเลย แต่ว่าถ้าเราจมปลัก ให้มันอยู่ตรงนี้ เราก็ทำร้ายตัวเอง มันไม่ได้มีผลอะไรกับคนอื่นเลยนะ มันทำร้ายตัวเราเอง แทนที่เราจะมีความสุขในทั้งวันนี้  เราไปโกรธซะแล้ว ตั้งแต่เช้าจรดเย็น เรายังไม่หายโกรธเลย ความสุขที่มันควรจะมี มันหายไป แค่นั้นเอง  แล้วพระเจ้าก็ไม่อยากให้เรา อยู่บนโลกนี้ มันก็ทุกข์อยู่แล้ว แล้วยังจะไปทำตัวเองให้ทุกข์มากกว่านี้ เพื่ออะไร? มันไม่มีประโยชน์อะไร? อาจารย์เปาโลก็สอนอย่างนี้ มันเป็นประโยชน์สำหรับเรานั่นแหละ ไม่เกี่ยวอะไรกับใครเลย

        เอเฟซัส 4:27 “และอย่าให้โอกาสแก่มาร”

            นี่คือเหตุผล โกรธเยอะๆ เราก็ให้โอกาสมารที่จะทำให้เราคิดตามมัน ทำตามมัน โกรธเยอะๆ เดี๋ยวเราคิดแล้ว แค้นนี้ต้องชำระ  เดี๋ยวไปจัดการสักหน่อย ดูแล้วหมั่นไส้ พอโกรธเยอะ ความคิดมันมาทุกอย่างเลย แล้วเราก็วางแผนในสมองแล้ว ถ้าเจอคราวหน้า เราจะเอาไม้ไปตีหัว ให้เข็ดเลย หัวร้างข้างแตกไปเลย มันก็คิดได้เรื่อยเปื่อย ไปเรื่อย

            ถามว่าที่ในพระคัมภีร์ข้อนี้ อาจารย์เปาโลพูดกับใคร? ไม่ได้พูดกับคนไม่เชื่อ พูดกับผู้เชื่อ แล้วเราก็จะห๊า! ผู้เชื่อยังมีพฤติกรรมแบบนี้อยู่หรือ? มันยังมี ผู้เชื่อยังสามารถมีพฤติกรรมแบบนี้ได้ ถ้าเรายอมให้อิทธิพลของความบาปบนโลกใบนี้มาโน้มนำเรา ทำให้เราเกิดอาการแบบนี้ตามมัน ซึ่งพระเจ้าบอกตอนนี้ข้างในเราเป็นความดีงาม เราเป็นความรัก ความรักสามารถลบล้างความผิดมากมายได้ ถ้าเรารับรู้ว่าตอนนี้เราเป็นความรัก ความรักสามารถทำให้ระงับความโกรธที่มันอยู่ในใจของเราได้ มันได้จริงๆ

            ฉะนั้น ผู้เชื่อทุกคนอย่าเปิดโอกาสให้มาร แต่ถ้าเราเปิดโอกาสไปแล้ว ทำอย่างไร? ลุกขึ้นมาสิ แค่นั้นเอง เปิดไปแล้ว เจ็บไปแล้ว ทุกข์ร้อนไปแล้ว ก็ลุกขึ้นมาเริ่มต้นใหม่กับพระเจ้า มันไม่มีผลอะไรกับวิญญาณของท่าน ชัดเจนนะ อีกครั้งหนึ่ง จะย้ำไม่มีผลอะไรกับวิญญาณของท่าน แต่มีผลกับการดำเนินชีวิตที่อยู่บนโลกใบนี้ ท่านอยากจะสุขมาก หรือทุกข์มากแล้วแต่ เรามีสิทธิ์เลือก ถ้าเราอยากจะทุกข์มาก ก็ไปหาเรื่องคนเยอะๆ เดี๋ยวเราทุกข์เองนั่นแหละใช่ไหม? แต่ถ้าเราอยากจะสุขมาก อยู่อย่างสงบนะ ในพระคัมภีร์บอกว่าไม่ว่าอะไรก็ตาม ที่เรื่องขึ้นอยู่กับท่าน จงอยู่อย่างสงบกับคนทั้งปวง แค่นั้นเอง

            วิธีอยู่อย่างสงบ มันขึ้นอยู่กับเรา เราจะทำให้เรื่องเล็กเป็นเรื่องใหญ่ก็ได้ หรือเราจะทำเรื่องใหญ่ให้เป็นเรื่องเล็ก ก็ได้ นึกออกไหม?  เราสามารถทำได้ด้วยตัวของเราเอง พระเจ้าจะให้กำลังเรา

        เอเฟซัส 4:28 “ผู้ที่เคยลักขโมยก็อย่าลักขโมยอีก แต่จงทำงานใช้มือของตนกระทำ สิ่งที่มีประโยชน์ เผื่อจะมีอะไรแบ่งปันให้คนขัดสน”

            คริสเตียนยังขโมยได้ไหม? มีเนอะ ความเคยชินเก่าที่มันติดตัวมา อาจารย์เปาโลก็สอนว่า … คำว่า “สอน” หมายความว่าคนนั้นกลับใจใหม่ บังเกิดใหม่มาเชื่อพระเจ้าแล้วนะ จากนั้น อาจารย์เปาโลค่อยมาสอนว่าหลังจากที่เราเป็นลูกของพระเจ้าแล้ว เราควรจะประพฤติ ปฏิบัติอย่างไร? ให้สมกับการเป็นลูกพระเจ้า สมฐานะเป็นราชบุตร ราชธิดาของพระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่สูงสุด นี่คือวิธีการ เชื่อก่อน แล้วค่อยมาสอนให้ทำ อาจารย์เปาโลตรงนี้ ก็เลยสอน

            คนที่มาเชื่อพระเจ้าก่อนหน้านั้น สมมติ อย่างโจรบนไม้กางเขน  เขาเป็นโจรอยู่ เขากลับใจมาเชื่อพระเจ้า แต่เขาไม่ได้อยู่นาน เชื่อปุ๊บ เขาก็ตาย ไปอยู่กับพระเจ้าเลย …

            “วันนี้ท่านจะได้อยู่ในบรมสุขเกษมกับเรา”

            แต่ถ้าสมมติโจรคนนี้ เขากลับใจใหม่ แล้วเขายังไม่ได้ตาย เขายังมีโอกาสที่จะมีชีวิตอยู่ต่อ ถ้อยคำตรงนี้ พระเจ้าก็จะสอนเขา  อาจารย์เปาโลก็จะสอนเขาว่า …

            “ต่อแต่นี้ไป เป็นลูกพระเจ้าแล้วนะ อย่าเป็นโจรอีกนะ แล้วค่อยๆ พัฒนาปรับปรุง”

            คนที่เป็นโจรอยู่ในคุก พอหลังจากที่กลับใจเชื่อพระเจ้า เขากลับตัวกลับใจ เขาทำคุณงามความดีในคุก แล้วเขาก็จะได้รับการลดหย่อนผ่อนโทษ นี่คือปกติ ไม่ได้หมายความว่าพอเรามาเชื่อพระเจ้าปุ๊บ   เป็นโจร  ติดคุกอยู่  พระเจ้าก็เสกให้เราไม่ต้องติดคุกเลย  กลับบ้านเลย  มันไม่ใช่   คือแต่ละคนต้องรับผลในสิ่งที่ตัวเองทำ  นั่นคือในถ้อยคำพระเจ้าบอกเราชัดเจน   แล้วอาจารย์เปาโลบอกว่า …

            “เมื่อก่อนนะ ก่อนที่เธอมาเชื่อพระเจ้า เธอเคยขโมย ตอนนี้มาเชื่อพระเจ้าแล้ว เป็นลูกของพระเจ้าแล้ว กลับใจใหม่แล้ว ปรับปรุง เปลี่ยนแปลง แก้ไขตัวเองนะ ก็อย่าไปขโมยอีกนะ”

            แต่ว่าสอนอย่างนี้ บางทีความเคยชิน  มันก็ไปขโมยอีก จริงไหม? แต่เชื่อเถอะ ขโมยคนนี้จะขโมยน้อยลงๆ จนเขาเลิกขโมย  แล้วเขาก็จะไปทำสิ่งที่ดี เพื่อช่วยเหลือคนอื่น นี่คือลักษณะการเปลี่ยนแปลงความคิดจิตใจใหม่ของผู้ที่เชื่อและวางใจในพระองค์

        เอเฟซัส 4:29 “อย่าหลุดปากเอ่ยสิ่งที่ไม่สมควร แต่จงกล่าววาจาอันเป็นประโยชน์ เพื่อสร้างเสริมผู้อื่นขึ้น  ตามความจำเป็นของเขา  จะได้เป็นผลดีแก่ผู้ฟัง”

            พอเราเป็นลูกพระเจ้าแล้ว อาจารย์เปาโลก็ให้เราฝึกฝนพัฒนา ก่อนที่เราจะพูด ให้เราคิด คิดก่อนพูด แล้วเราคิด หมายความว่าถ้าประโยคที่เราจะพูด มีประโยชน์กับคนอื่นไหม? ถ้ามีประโยชน์กับคนอื่น เราก็พูด ถ้าพูด แล้วไม่มีประโยชน์อะไร? ไม่เกี่ยวกับใครเลย? เราก็ไม่ต้องพูด แล้วเวลาเราไม่พูด คนก็ไม่ได้ว่าเราเป็นใบ้หรอก แต่ถ้าเราพูดในสิ่งที่ไม่เหมาะสม ไม่สมควรพูด มันก็ทำให้คนที่ได้ยินได้ฟัง ระคายเคือง ไม่ได้เกิดผลดีอะไรกับผู้ที่ได้ยินได้ฟังเลย

            ฉะนั้น ตรงนี้ พระเจ้าก็จะค่อยๆ ฝึกฝนเรา สอนเรา ให้เรารู้จักยั้งคิด รู้จักที่จะพินิจพิจารณา รู้จักที่จะอดทน ยับยั้งชั่งใจว่าก่อนที่เราจะพูดอะไร? เราคำนวณก่อน  มาดูก่อนว่าที่เราพูดมันโอเคไหม? ถ้าไม่โอเค อย่าพูดดีกว่า พูดไป ก็ไม่ได้เกิดประโยชน์อะไรกับใคร? เก็บไว้แล้วกัน ซึ่งไม่ได้หมายความว่าทุกคนจะทำได้ ดิฉันเหมือนกัน บางทีดิฉันก็พูดก่อนคิดนั่นแหละ มันความเคยชินของเราเก่าๆ  หลายครั้งเราพูดออกไป เราเสียใจ ไม่น่าพูดเลย พูดทำไม? พูดแล้วทำให้คนนี้เขาเสียใจ เราก็เสียใจเหมือนกัน  ถ้าเราพูดแล้วทำให้คนอื่นเสียใจ ข้างในเราเสียใจมากกว่า แต่ว่าเมื่อเราพูดไปแล้ว มันเก็บกลับมาไม่ได้ เราก็รับผล ผลมันเกิดขึ้นทันตาเลย ข้างในเราไม่สบายใจ เราเสียใจ เราไม่มีสันติสุข นี่คือผลที่มันเกิดขึ้นทันทีเลย

        เอเฟซัส 4:30 “และอย่าทำให้พระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้าเสียพระทัย โดยพระวิญญาณนี้ทรงประทับตราท่านแล้ว สำหรับวันแห่งการทรงไถ่ให้รอด”

            พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงประทับตราเราแล้ว ทันทีที่เราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด พระวิญญาณบริสุทธิ์เข้ามาอยู่ในเรา

            การทำให้พระวิญญาณบริสุทธิ์เสียพระทัย คืออะไร? คือเราไม่ยอมทำตามพระวิญญาณ เมื่อเราไม่ยอมทำตามพระวิญญาณ พระเจ้าเสียใจ พระเจ้าอยากให้เราทำตาม เพื่ออะไร? ไม่ใช่พระเจ้าอยากให้ทุกคนต้องเชื่อฟังฉัน ไม่ใช่ แต่ถ้าเราเชื่อฟัง ทำตามพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า มันจะเป็นผลดี สำหรับเราเอง ฉะนั้น ถ้าเรายอมให้โลกนี้ โน้มนำเรา ให้ทำตามระบบของโลกใบนี้  เราก็ทำให้พระวิญญาณเสียพระทัย  ฉะนั้น อาจารย์เปาโลก็บอกอย่าทำให้พระวิญญาณเสียพระทัย  คำนี้ เป็นการเสนอแนะ ไม่ได้เป็นข้อบังคับ เสนอแนะว่าอย่าทำ แต่ถ้าเผลอทำ มันเป็นอะไรไหม? ไม่มีผลกับวิญญาณของเรา เหมือนเดิม แต่ว่าข้างในเรา ขาดสันติสุขไง เห็นไหม?  เราทำออกไปปุ๊บ  ทันที เรารู้แหละ เพราะพระวิญญาณที่อยู่ในเรา จะบอกเราเอง

        เอเฟซัส 4:31 “จงขจัดความขมขื่นทั้งสิ้น  ความเกรี้ยวกราด  และความโกรธแค้น การทะเลาะ  และการนินทาว่าร้าย  พร้อมทั้งการมุ่งร้ายทุกรูปแบบ”

            อันนี้เป็นความเคยชินเดิม ก่อนที่เรามาเชื่อพระเจ้า มันจะมีโอกาสตามเรามา  แต่อาจารย์เปาโลบอกว่า ณ เวลานี้ เราเชื่อพระเจ้าแล้ว เราก็เอาพวกนี้ทิ้งไป เหมือนในหนังสือโครินธ์บอกว่า …

            “เหตุฉะนั้น ท่านทั้งหลายอยู่ในพระคริสต์ ท่านเป็นผู้ที่ถูกสร้างใหม่แล้ว สิ่งเก่าๆ ก็ล่วงไป สิ่งใหม่เข้ามาแทนที่”

            สิ่งเก่า คือความเคยชินเก่าๆ ที่มันยังติดเรามา มันจะค่อยๆ ล่วงไป มันจะค่อยๆ หายไป ค่อยๆ หลุดไป สิ่งใหม่เข้ามาแทนที่  คือความเป็นจริงในธรรมชาติใหม่ที่พระเจ้าให้กับเรา มันเข้ามาแทนที่เรื่อยๆ มากขึ้นๆ เหมือนเราเทน้ำเข้าไปในขวด ถ้าร่างกายเราเป็นขวดน้ำขวดหนึ่ง แล้วเราบังเกิดใหม่แล้วจริงๆ ร่างกายเราถูกชำระให้บริสุทธิ์ หมดจดเรียบร้อยไปแล้ว  แต่ความเป็นจริง คือความคิดเดิมของเรายังอยู่

            ความคิดเดิมของเราเหมือนอยู่ในขวดนี้อยู่ ความคิดเดิมเรา มีกี่เปอร์เซ็นต์ สมมติว่าพอเราได้รับการเปลี่ยนแปลงใหม่ ความคิดเดิมเรายังมี 50/50 ก็เหมือนขวดนี้ มีน้ำโคลนอยู่ 50%  แล้ววิธีไล่น้ำโคลนออกไปจากขวด ก็คือเอาน้ำสะอาดใส่เข้าไป เพื่อไล่น้ำสกปรกออกไป มันจะค่อยๆ ถูกนำออกไป ออกไปจนมันใสขึ้นๆ

            เมื่อเรารับรู้ความจริงของพระเจ้ามากขึ้นเท่าไร? ร่างกายของเรา ก็จะทำตามน้ำพระทัยของพระเจ้า ได้มากขึ้นเท่านั้น  เราจะทำให้พระเจ้า พระวิญญาณบริสุทธิ์เสียพระทัยน้อยลงเท่านั้น แต่อย่างไรก็ตามบอกเหมือนเดิม ขณะที่เราดำเนินชิวีตอยู่บนโลกใบนี้  เราก็ยังคงมีโอกาสทำให้พระวิญญาณบริสุทธิ์เสียใจ เหมือนเดิม แต่ว่าพี่น้องไม่ต้องเอาประเด็นตรงนี้มาเป็นหลัก แล้วก็มาทุกข์ใจ  ไม่ต้อง ถ้าเผลอทำไป ก็ลุกขึ้นมาใหม่  เริ่มต้นใหม่กับพระเจ้าได้ทุกวัน ความรักมั่นคงของพระเจ้าใหม่ สดเสมอ อยู่ทุกเช้าวันใหม่  พระเจ้าให้กับพวกเรา

        เอเฟซัส 4:32 “จงเมตตาและสงสาร   เห็นใจกันและกัน   ให้อภัยต่อกัน   เหมือนที่พระเจ้าทรงอภัยท่านในพระคริสต์”

            ให้เราให้อภัยให้แก่กันเหมือนกับพระเจ้าให้กับเรา ใครทำก่อน? พระเจ้าอภัยให้เราก่อน หลังจากนั้น พระเจ้าก็แนะนำนะ ไม่ใช่บังคับ แนะนำว่า …

            “ให้อภัยคนอื่นเถอะ เหมือนฉันให้อภัยเธอแล้วไง เธอก็ให้อภัยคนอื่นเถิด”

            แต่ว่าถ้าเรายังให้อภัยไม่ได้ ก็ไม่เป็นไร ค่อยๆ ฝึกฝน ค่อยๆ พัฒนา ค่อยๆ รับรู้ความจริง แล้วเดี๋ยวเราจะให้อภัยได้เอง เรื่องนี้เป็นเรื่องอัตโนมัติ เหมือนกับพระเจ้าบอกว่าให้ท่านทั้งหลายรักซึ่งกันและกัน เหมือนที่เราได้รักท่านแล้ว ความรักพระเจ้าใส่เข้ามาก่อน แล้วพระเจ้าก็สอนเราว่าให้เอาความรักตรงนี้แหละไปให้กับคนอื่น ก็คืออย่างที่บอก เราไม่ต้องทำอะไรเลย คือวัตถุดิบ พระเจ้าเตรียมให้เราหมดแล้ว มีพร้อมใช้ตลอดเวลา  อยู่ตรงที่ว่าพวกเราผู้เชื่อจะหยิบมันไปใช้ไหม?  แค่นั้นเอง ถ้าเราค่อยๆ หยิบทีละนิดทีละหน่อย  ทีละวันไปใช้ ความรักตรงนี้ ความเป็นเหมือนพระเจ้า มันจะค่อยๆ เริ่มมากขึ้นๆ ทุกวันๆ เอเมน พระเจ้าอวยพรค่ะ

*****************

จากใจคณะศิษยาภิบาล

            พระเยซูประกาศว่า … “เราเป็นอาหารแห่งชีวิต ผู้ที่มาหาเราจะไม่หิว และผู้ที่วางใจในเรา จะไม่กระหายอีกเลย”

            ยอห์น 6:32-35 … “32 พระเยซูก็ตรัสกับเขาว่า “เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่ามิใช่โมเสสที่ให้อาหารจากสวรรค์นั้นแก่ท่าน  แต่พระบิดาของเราประทานอาหารแท้ ซึ่งมาจากสวรรค์ ให้แก่ท่านทั้งหลาย 33 เพราะว่าอาหารของพระเจ้านั้น คือท่านที่ลงมาจากสวรรค์ และประทานชีวิตให้แก่โลก” 34 เขาทั้งหลายจึงทูลพระองค์ว่า  “ท่านเจ้าข้า โปรดให้อาหารนั้นแก่ข้าพเจ้าทั้งหลายเสมอไปเถิด” 35 พระเยซูตรัสกับเขาว่า “เราเป็นอาหารแห่งชีวิต ผู้ที่มาหาเราจะไม่หิว และผู้ที่วางใจในเรา จะไม่กระหายอีกเลย”

            ถ้อยคำนี้พระเยซูกำลังเล็งถึงผู้ที่จะเปิดใจยอมรับพระองค์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด และได้รับการบัพติศมาในวิญญาณเข้าร่วมเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์

            เปรียบเสมือนต้องกินเลือดและเนื้อของพระองค์ พระเยซูทรงทำมหาสนิทกับเหล่าสาวกพระเยซูบอกว่าขนมปังเล็งถึงพระกายของพระองค์ที่ต้องแตกหัก  น้ำองุ่นเล็งถึงเลือดของพระองค์ที่หลั่งออก เพื่อชำระเราให้บริสุทธิ์

            พระเยซูทรงเป็นอาหารแห่งชีวิต ชีวิตของพระเยซูที่เรียกว่าชีวิตนิรันดร์ ที่ได้มาจากพระเจ้า ตอนที่พระเยซูเป็นขึ้นจากความตายในวันที่สาม พระเจ้าทรงประทานชีวิตนิรันดร์คืนให้พระเยซู และพระเยซูทรงแบ่งชีวิตนิรันดร์ให้พวกเรา (ผู้เชื่อ)

            ชีวิตนิรันดร์มีอยู่ที่เดียว คือมีในพระเจ้าเท่านั้น คุณสมบัติของชีวิตนิรันดร์ ก็คือ …

                        – เป็นแสงสว่าง

                        – เป็นความรัก

                        – เป็นการให้อภัย

                        – เป็นความอดทน

                        – เป็นฤทธิ์เดช

                        – เป็นความบริสุทธิ์

                        – เป็นความสะอาด ไร้เดียงสา

                        – เป็นอะไรที่ดีงามเยอะแยะไปหมด

            รวมทั้งหมดนี้ เรียกว่า “ชีวิตนิรันดร์”

            พระเยซูบอกว่ามากินพระองค์ จะได้อิ่มสบาย หายเหนื่อยเป็นสุข หายหิว มนุษย์หิวกระหายหาพระเจ้า เมื่อเราเชื่อมต่อกับชีวิตของพระเยซูคริสต์แล้ว เราก็จะเลิกแสวงหาอีกต่อไป เพราะเราพบแล้ว เราได้รับความครบถ้วนบริบูรณ์แล้ว ผ่านทางความเชื่อในสิ่งที่พระเยซูคริสต์กระทำบนไม้กางเขน เราได้บัพติศมาเข้ามาเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเยซูแล้ว

            พระเยซูคริสต์อยู่ในเราแล้ว  เราเป็นชีวิตนิรันดร์เหมือนพระเยซู เรียบร้อยไปแล้ว ขอบคุณพระเจ้า  พระเจ้าอวยพรครับ

วารสาร Holy  News   ฉบับที่  1426

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  23  กรกฎาคม  2023

เรื่อง “หนังสือเอเฟซัส” ตอน 28

โดย วราพร  คงล้วน

            วันนี้เรามาต่อในหนังสือเอเฟซัส เรายังอยู่ในเอเฟซัส บทที่ 4 ต่อข้อที่ 15 คราวที่แล้วเราจบลงที่ข้อที่ 14 บอกว่า …

        เอเฟซัส 4:14 “เมื่อนั้นเราจะไม่เป็นทารกอีกต่อไป ถูกกระแสซัดไปซัดมา ถูกพัดไปทางโน้นทางนี้ โดยลมปากแห่งคำสอน และโดยกลลวงอันฉ้อฉลแยบยลของมนุษย์”

            พูดถึงของประทานที่พระเจ้าได้ทรงประทานให้กับพวกเราทุกๆ คน เพื่อที่จะสอนเราให้สามารถเข้าใจถึงความจริงในถ้อยคำของพระเจ้า เพื่อเราจะได้เจริญเติบโต พอเราโตเป็นผู้ใหญ่ปุ๊บ เราก็รู้จักแยกแยะ ผิดชอบชั่วดี รู้จักแยกว่าอันนี้เป็นของพระเจ้า อันนี้ไม่ใช่ เราจะได้ไม่แถไปตามที่ใครมาว่าอะไร ใช่ๆๆๆ  แล้วตามเขาไป  เรามาต่อข้อที่ 15 …

        เอเฟซัส 4:15 “แต่โดยการพูดความจริงด้วยความรัก เราจะเติบโตขึ้นในทุกสิ่งสู่พระองค์ผู้เป็นศีรษะคือพระคริสต์”

            “แต่ให้เราพูดความจริงด้วยความรัก” ความรักมีในพวกเราทุกๆ คน ผู้ที่เชื่อวางใจในพระเยซูคริสต์เรียบร้อยไปแล้ว เมื่อเราบังเกิดใหม่  พระเจ้าทรงเป็นความรัก แล้วเมื่อพระองค์เป็นความรัก พระองค์ผู้นี้แหละ ได้เข้ามาสถิตอยู่ในเรา ฉะนั้น ความรักแบบอากาเป้ แบบพระเจ้า ก็เข้ามาอยู่ในเราด้วย เรากับพระเจ้าเป็นหนึ่งเดียวกัน เมื่อเรามีความรักของพระเจ้าปุ๊บ ในข้อนี้ อาจารย์เปาโลบอกว่าให้เราพูดความจริง ด้วยความรัก หลายครั้ง เราเข้าใจว่าคำว่า “พูดความจริง” คืออย่าโกหกกัน

            เวลาเจอหน้ากัน เพื่อนถาม … “กินข้าวหรือยัง?”

            เราเกรงใจ ก็ตอบว่า … “กินแล้วๆ”

            จริงๆ ยังไม่กินหรอก ท้องร้องจ๊อกๆ อย่างนี้เขาเรียกว่าโกหกใช่ไหม? เรื่องนี้ไม่ใช่ว่าเราจะไปโกหกใคร ความจริงตรงนี้ หมายถึงความจริงในพระวจนะของพระเจ้า ความจริงที่พระเยซูคริสต์บอกเราว่าเราเป็นใครแล้วในพระเยซูคริสต์

            ความจริงที่พระเจ้าบอกกับเรา ในถ้อยคำของพระองค์ว่าเมื่อพระเยซูคริสต์ได้กระทำสำเร็จเรียบร้อยบนไม้กางเขน ทุกอย่างได้สำเร็จเสร็จสิ้นแล้ว ใครก็ตามที่เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอดแล้ว เขาได้อะไรบ้าง?  เขาเป็นอย่างไร? ณ เวลานี้ สถานะของผู้เชื่อเป็นอย่างไร? นี่คือความจริง

            ฉะนั้น ให้เราพูดความจริง ด้วยความรัก คือพูดความจริงในถ้อยคำของพระเจ้า พอถ้อยคำของพระเจ้าบอกว่าอย่างไร? เราก็พูดว่า “เอเมน” … เอเมน แปลว่าใช่ เรายอมรับ พระเยซูบอกว่า …

            “ตอนนี้เราสะอาดบริสุทธิ์แล้ว”

            เราก็ … “เอเมน ใช่ เราสะอาดบริสุทธิ์”

            “ตอนนี้ เราเป็นผู้ชอบธรรมแล้ว”

            เราก็ … “เอเมน ใช่ ฉันเป็นผู้ชอบธรรม”

            “ตอนนี้เรากับพระเจ้าเป็นหนึ่งเดียวกันแล้ว”

            เราก็ … “เอเมน ใช่ ถูกต้อง เราเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเจ้าแล้ว”

            ตอนนี้ผู้เชื่อ เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์เลย พระเจ้าได้เปลี่ยนวิญญาณใหม่ให้กับเรา วิญญาณที่เป็นชีวิตนิรันดร์ ที่เป็นเหมือนพระเจ้าเป๊ะเลย ทั้งหมดที่พูดนี้ ในโลกวิญญาณหมดเลย อย่าไปมองโลกวัตถุ ถ้าเรามองโลกวัตถุ …

            “จริงหรือ? บอกเราสะอาดบริสุทธิ์จริงหรือ? เราชอบธรรม เราดีพร้อมจริงหรือ?  เรายังทำไม่ได้เต็มที่เลย”

            อันนั้น เรื่องของการประพฤติบนโลกใบนี้ แต่ความจริงในถ้อยคำของพระเจ้า  พระเจ้าบอกเราว่าตอนนี้เรา เป็นอย่างนี้จริงๆ เราได้อยู่ในพระคริสต์ แล้วพระคริสต์ได้อยู่ในเรา เรียบร้อยไปแล้ว  เราก็เอเมน นี่คือความจริงหมดเลย แล้วความจริงที่พระเจ้าบอกเรา คือเรามีวิญญาณใหม่เหมือนพระเจ้าไม่พอนะ เรามีความคิดจิตใจ เหมือนพระเจ้าด้วย คือพระเจ้าเปลี่ยนใหม่เลย ณ เวลานี้ แม้ว่าความคิดที่เราอาจจะหลงไปเชื่อตามระบบของโลกนี้  แล้วคิดต่างจากที่มันควรจะเป็น ซึ่งพระเจ้าบอกว่าความคิดตรงนี้ให้เราจับมันให้มั่น แล้วเอามันมาอยู่ที่ถ้อยคำของพระเจ้า เพื่อความคิดของเราจะได้เปลี่ยนแปลงใหม่ ตามในถ้อยคำโรมบอกว่าให้เราได้รับการเปลี่ยนแปลงความคิดจิตใจใหม่ เมื่อความคิดจิตใจเราได้รับการเปลี่ยนแปลง ให้เป็นเหมือนพระเจ้ามากขึ้น  เราก็จะสามารถประพฤติ ปฏิบัติตามถ้อยคำของพระเจ้ามากขึ้น สามารถสำแดงตัวตนจริงๆ ที่ตอนนี้ เราเป็นอยู่ คือความดีงามของพระเจ้า ความรักของพระเจ้า  เป็นแสงสว่าง เป็นเกลือ สามารถสำแดงออกไป ให้ผู้คนได้เห็น อย่างชัดเจน ความจริงตรงนี้

            เราจะเติบโตขึ้นในทุกสิ่ง สู่พระองค์ผู้เป็นศีรษะ ในพระคัมภีร์ตรงนี้  อาจารย์เปาโลกำลังเน้นย้ำ ให้เราเห็นว่าพวกเราทุกคน เป็นอวัยวะในพระกายของพระเยซูคริสต์ โดยมีพระเยซูคริสต์ทรงเป็นศีรษะ

            ที่ต้นๆ ที่บอกว่าพระเจ้าทรงเรียกบางคนเป็นอัครทูต เป็นผู้เผยพระวจนะ เป็นผู้ประกาศข่าวประเสริฐ เป็นศิษยาภิบาลและเป็นอาจารย์ นี่คือส่วนต่างๆ ในร่างกายของพระเยซูคริสต์ โดยมีพระเยซูคริสต์เป็นศีรษะ คือพระองค์ทรงเป็นจุดศูนย์กลางของผู้เชื่อทั้งหมด  ไม่ว่าผู้เชื่อที่อยู่ในคริสตจักรแห่งนี้ คือคริสตจักรอภิสุทธิสถาน หรือผู้เชื่อที่อยู่ในคริสตจักรอื่น หรืออยู่ในประเทศอื่น ไม่ว่าจะเป็นประเทศอะไรก็ตาม ทั่วโลก ทันทีที่เขาเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เป็นผู้ช่วยให้รอดปุ๊บ ในโลกวิญญาณ เรากับเขาเป็นหนึ่งเดียวกัน เรากับเขาเป็นครอบครัวเดียวกัน  เรากับเขารักกันเลย โดยอัตโนมัติ โดยที่เราไม่ต้องพยายามไปทำตัวให้รักเขา ในโลกวิญญาณเรารักเลย พระเจ้าบอกว่าพระองค์เป็นความรัก เมื่อเรากับพระเจ้าเป็นหนึ่งเดียวกัน พระองค์เป็นความรัก เราก็รักคนอื่นที่เป็นของพระองค์เช่นเดียวกัน ฉะนั้น ตรงนี้ คือความจริงในโลกวิญญาณ ที่เราจำเป็นจะต้องรับรู้ว่าเราเป็นหนึ่งเดียวกันกับผู้เชื่อทั้งหมดบนโลกใบนี้

            มีจุดหนึ่งที่น่าสังเกตมาก คือเวลาเดินทางออกไปข้างนอก แล้วเราตามรถคันหนึ่งที่มีรูปปลา พี่น้องนึกภาพรูปปลาออกไหม? เป็นสัญลักษณ์ของคริสเตียน พอเราเห็นรถคันข้างหน้าเราติดรูปปลาปุ๊บ ข้างในเรามีความสุข ถามว่าทำไมสุขล่ะ เขาไม่รู้จักกับเรา  เราก็ไม่รู้จักกับเขาด้วย แต่มีความสุข ข้างหน้า คือคริสเตียน เราเป็นพี่น้องกัน คือมันเกิดจากข้างในวิญญาณเราจริงๆ  เห็นปุ๊บ มีความสุขเลย

            หรือเวลาเราไปซื้อของ คุยไปคุยมา อ้าว! คนที่ขายของเป็นคริสเตียน เป็นพี่น้องเรา ดีใจ อยากอุดหนุน อะไรอย่างนี้ มันเป็นเรื่องที่แปลก แต่เป็นเรื่องที่จริงมันเกิดขึ้นจริงๆ กับพวกเรา พอเรารู้จักเรื่องราวความจริงของพระเจ้า เราก็จะไม่แปลกใจเลย เพราะพระเจ้าบอกว่าทันทีที่เราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เราเป็นความรัก เรารักพี่น้องทั้งหมดบนโลกใบนี้ ใครก็ตามที่เป็นลูกของพระเจ้า ที่วางใจในพระเจ้า เขากลับใจใหม่ปุ๊บ เรารักเขาเลย โดยไม่มีเงื่อนไขด้วย แล้วเราก็อยากจะช่วยเหลือ ถ้าสามารถทำอะไรให้กับเขา เราก็อยากทำ

            หรือในขณะเดียวกัน ความรักตรงนี้ ที่อยู่ข้างในเรา  ทำให้เราสามารถเอื้อเฟือเผื่อแผ่ ไม่ใช่เพียงแต่พี่น้องคริสเตียนเท่านั้น กับคนอื่นด้วย  คนที่ไม่ใช่คริสเตียน เวลาเราไป เราก็อยากจะช่วยเหลือ ไม่ว่าความช่วยเหลือนั้นจะเล็กหรือใหญ่  แต่เราก็อยากจะทำ

            สมมติคนกำลังเดินทาง แล้วเขาไม่รู้ว่าเขาควรจะนั่งรถสายไหน? เขาจะไปโน่นมานี่ เราก็มีความรู้สึกว่าเราอยากจะช่วยเขา เราก็แนะนำเขาได้ คือเขาไม่ได้ขอเราเลย แต่เราอยากจะแนะนำ เราเห็นเขาเลิกลักๆ อยู่ที่ป้ายรถเมล์ เราก็จะไปถาม …

            “ขึ้นสายอะไรค่ะ? จะไปไหนค่ะ?”

            อะไรอย่างนี้  แล้วเราก็แนะนำเขาได้ นี่คือส่วนหนึ่งที่มันออกมาเองโดยอัตโนมัติในชีวิตประจำวัน ที่เราทำอยู่ ตรงนี้แหละ คือความจริงที่พระเจ้าบอกเรา ผ่านทางอาจารย์เปาโลว่าเราเป็นอย่างนั้นจริงๆ ในข้อ 16 …

        เอเฟซัส 4:16 “จากพระองค์ทั่วทั้งกายซึ่งประสาน และยึดเข้าด้วยกัน โดยเส้นเอ็นทุกเส้นนั้นเจริญเติบโต และเสริมสร้างตัวเองขึ้นในความรัก ขณะที่แต่ละส่วนทำหน้าที่ของตน”

            “ทำหน้าที่ของตน” ด้วยความรัก เราคุยกันแล้วใช่ไหม? พระเจ้าทรงประทานของประทานให้แต่ละคนที่แตกต่างกัน แต่ไม่ว่าของประทานที่พระเจ้าให้กับเรา เป็นของประทานที่คนอื่นมองเห็น หรือเป็นของประทานที่คนอื่นดูแล้วยิ่งใหญ่มากเลย อย่างอาจารย์เปาโล พระเจ้าให้ของประทานเยอะมากเลยนะ ไปประกาศกับคนต่างชาติ ไปวางมือรักษาโรค เอาผ้าเช็ดหน้าวางปุ๊บ คนหายโรคเลย อะไรอย่างนี้ แต่ว่างานรับใช้ของอาจารย์เปาโลเขาจะได้รับรางวัลเท่ากับคนๆ หนึ่งที่มาเชื่อใหม่ เพิ่งกลับใจใหม่ เป็นลูกของพระเจ้า เขามีค่าในสายพระเนตรของพระเจ้าเท่ากัน เพราะว่าพระเจ้าเองเป็นผู้ประกอบกิจอยู่ภายในผู้เชื่อทุกๆ คน แล้วพระองค์เป็นผู้จัดสรร ให้แต่ละคนเป็นอะไรก็ได้ ตามชอบพระทัยของพระเจ้าด้วย ไม่ใช่ตามใจเรา

            ถ้าเป็นเรา เราก็อยากเป็นของประทานอะไรสักอย่างหนึ่ง ที่คนเห็น พอมองปุ๊บ เห็นชัดเจนเลย กับของประทานบางอย่างที่มองไม่เห็นเลย แต่พระเจ้าบอกว่าทุกส่วนในร่างกายสำคัญเท่ากัน ตา หู จมูก ใบหน้า เรามองเห็น พอเราเดินมาปุ๊บ เราเห็นเลยหน้า เห็นตัว คนนี้ไม่พิการ มีแขน ขา ครบถ้วนทั้งหมด มีนิ้ว ครบหมด หน้าตาโอเคเลย เรามองเห็น แต่ส่วนที่เรามองไม่เห็น ก็คือตับ ไต ไส้ พุง เส้นเลือด หัวใจ ปอด ม้าม ทุกอย่างมันอยู่ภายในร่างกายเรา แต่ทุกส่วนนี้ เป็นส่วนที่สำคัญ เท่าๆ กันหมด ถ้าสมมติว่าอวัยวะในร่างกายเรา ตับ ไต ไส้ พุง เกิดรวนขึ้นมา

            “ฉันไม่ได้หน้าเลย ไม่มีใครเห็นฉันเลย ฉันทำงานแทบตาย ตั้งแต่เช้าจรดเย็น ไม่มีใครเห็นเลย ไม่ทำดีกว่า”

            ประท้วง นั่งเฉยๆ ลำไส้ไม่ทำงาน ไม่ลำเรียงอาหารไปเลี้ยง เส้นเลือดไม่ทำงาน ไม่ส่งเลือดสูบฉีดไปที่หัวใจ หรืออะไรต่อมิอะไรรวนไม่ทำงานปุ๊บ ผลที่เกิดมา ก็คือร่างกายของคนๆ นั้น ป่วย นึกภาพออกไหม? เจ็บป่วย รวนขึ้นมา เราก็ไม่สบาย ดังนั้น ในถ้อยคำของพระเจ้าบอกว่าเราทุกคน เป็นอวัยวะทุกชิ้นส่วน ในพระกายของพระคริสต์ ซึ่งถ้าแต่ละชิ้นส่วน ได้ทำงานตามความเหมาะสมแล้ว ร่างกายนี้ ก็จะได้เจริญเติบโตและแข็งแรง โดยมีจุดศูนย์กลางของพวกเราทุกๆ คน อยู่ที่พระเยซูคริสต์ ฉะนั้น พระเยซูคริสต์จะเป็นผู้ขับเคลื่อนทุกอย่างในอวัยวะของพระคริสต์นี้ เพื่อทำงานไปตามความเหมาะสม ในข้อที่ 17 บอกว่า …

        เอเฟซัส 4:17 “ฉะนั้น ข้าพเจ้าขอบอกและยืนยันกับท่านในองค์พระผู้เป็นเจ้าว่าแต่นี้ ไปท่านอย่าดำเนินชีวิตแบบคนต่างชาติอีกเลย ซึ่งคิดแต่สิ่งไร้สาระ”

            ตอนนี้ อาจารย์เปาโลเริ่มมาบอกว่าในเมื่อเราได้บังเกิดใหม่แล้ว เราเป็นเหมือนพระเยซูคริสต์แล้ว เรามีธรรมชาติใหม่ที่เป็นเหมือนพระองค์เลย เป็นความดีงาม สะอาดบริสุทธิ์ เป็นความรัก ฉะนั้น ต่อแต่นี้ไป เริ่มสอนแล้วนะ เริ่มสอนเรื่องการประพฤติ เราจะสังเกตว่าก่อนหน้าที่เราเชื่อ ต่อให้สอนขนาดไหน เราก็ทำไม่ได้  เราทำไป ก็ผิดไป เราทำไป ก็พลาดไป กำลังไม่พอ ฉะนั้น ตอนที่พระเยซูคริสต์มาประกาศข่าวประเสริฐให้กับคนยิว พระเยซูคริสต์ไม่ได้สอนคนยิวว่าให้ทำอย่างโน้นทำอย่างนี้  แต่บอกอยู่คำเดียวว่าให้แสวงหาแผ่นดินของพระเจ้า และความชอบธรรมของพระองค์ก่อน  ก็คือให้มารู้จักพระเจ้าก่อน ให้เขามาอยู่ในพระคริสต์ก่อน  ให้เขามาเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเจ้าก่อน ต่อจากนี้ไป พระวิญญาณบริสุทธิ์ที่อยู่ข้างในเรา จะขับเคลื่อน ในชีวิตของเรา ต่อจากนี้ไป ก็จะมาสอน

            ก็คือไม่เชิงสอนหรอก แนะนำว่าตอนนี้เราควรจะทำอะไรบ้าง? ตอนนี้ธรรมชาติใหม่ของเรา สถานะใหม่ของเราเป็นอย่างไร? แล้วเราควรจะทำอะไรบ้าง? แต่คำว่า “ควร” ตรงนี้ หมายความว่าเมื่อเราเป็นผู้เชื่อแล้ว ต่อให้เราทำได้แค่ไหน? หรือทำไม่ได้เลย ก็ไม่มีผลกับวิญญาณของเรา  แต่สิ่งที่มันเกิดขึ้น คือข้างในเราเปลี่ยนแล้ว พอข้างในเราเปลี่ยนแล้ว เราก็อยากจะทำตามน้ำพระทัยของพระเจ้า เราไม่อยากที่จะเข้าไปอยู่ในชีวิตเดิม ที่ความเคยชินเดิมอีกต่อไป แต่ความเคยชินเดิมเหล่านี้ไม่มีอำนาจ หรือไม่มีอิทธิพลเหนือเราเลย เราต้องรู้ความจริงตรงนี้ เราไม่ได้อยู่ใต้บังคับของกฎเหล่านี้อีกต่อไป

            ก่อนหน้านั้น ก่อนที่เราจะมาเชื่อพระเจ้า  เราอยู่ภายใต้กฎของความบาปและความตาย เราอยู่ภายใต้อิทธิพลของโลกใบนี้  หลายอย่างเราไม่อยากทำ แต่พอเผลอปุ๊บ เราก็ทำไป แต่พอเรากลับใจใหม่ มาอยู่ในพระคริสต์ปุ๊บ เราไม่ได้อยู่ภายใต้กฎเหล่านี้แล้ว เราสามารถที่จะต่อสู้ ขัดขืนมัน สามารถที่จะบอกว่า …

            “ไม่เอา ฉันไม่ทำตามเธอ”

            ทำได้นะ  แต่ส่วนใหญ่ผู้เชื่อ ไม่เข้าใจเรื่องนี้ แล้วยังคิดว่าเราต้องยอมมันอยู่ แต่ถ้อยคำของพระเจ้าบอกว่าไม่ต้องยอมมัน ตอนนี้ เราดำเนินชีวิตอยู่ในพระเยซูคริสต์ อยู่ในพระวิญญาณ เรามีอิสระเสรีภาพที่จะตัดสินใจ พระเจ้ายังให้เราตัดสินใจอยู่ว่าเราจะทำตามน้ำพระทัยของพระเจ้า หรือเราจะทำตามสิ่งล่อลวงบนโลกนี้ ที่ส่งเข้ามา หรือความเคยชินเก่าๆ ที่เราเคยทำ เราสามารถตัดสินใจทำได้ พระเจ้าอนุญาตด้วย แต่ว่าพระองค์ก็ลุ้นกับเรานั่นแหละว่า …

            “ลูกเอ๋ยๆ อย่าไปเดินทางเก่านะ แล้วลูกจะเจ็บตัว”  … เจ็บตัวบนโลกนี้แหละ ไม่ได้เจ็บตัวอะไรในโลกหน้า

            ฉะนั้น เมื่อเราวางใจ เมื่อเราเปิดใจ เมื่อเรากลับใจเชื่อในพระเจ้าแล้ว  เราเป็นผู้ชอบธรรมแล้ว ก็ให้เราดำเนินชีวิตในพระคริสต์ “ในพระคริสต์” ก็คือพระเยซูคริสต์อยู่ในเรา ดำเนินชีวิตตามที่พระเจ้าบอกเรา

            แล้วเรามาดูว่าลักษณะของคนที่ไม่เชื่อพระเจ้า ในสมัยก่อน เรายังไม่ได้กลับใจใหม่ มีลักษณะแบบไหน? ในข้อที่ 18

        เอเฟซัส 4:18 “ความเข้าใจของเขามืดมัวไป (เมื่อก่อนเขายังไม่เข้าใจเรื่องของพระเจ้าเลย) และเขาแยกห่างจากชีวิตฝ่ายพระเจ้า เนื่องด้วยความไม่รู้อันเนื่องมาจากจิตใจที่แข็งกระด้างของเขา”

            สมัยก่อนเราก็เป็น ตัวดิฉันเอง ได้ยินเรื่องราวของพระเจ้ามานานมากเลย ตั้งแต่เรียนหนังสือนั่นแหละ มีคนมาคุยเรื่องพระเจ้าให้ฟัง แล้วเพื่อนที่เขาไม่ได้เป็นคริสเตียนนะ  เวลาคริสตมาส เขาก็จะชวนไปโบสถ์ โบสถ์ไหนก็ได้ ก็คือเวลาคริสตมาส โบสถ์ไหน คนเข้ามา เขาก็ต้อนรับหมด เป้าหมายที่ดิฉันกับเพื่อนๆ ไปโบสถ์ เพราะว่าเราอยากจะไปกินอาหารฟรี เพราะวันคริสตมาส อาหารเยอะมาก แล้วของดีๆ ทั้งนั้น  พอถึงปีเราก็ไป แต่ว่าเราไม่ได้สนใจเลยว่าเรื่องของพระเยซูคริสต์เป็นอย่างไร? เพราะถึงเวลากินเสร็จ เขาก็ชวนเราเข้ามาในห้องประชุม เพื่อฟังเรื่องของพระเจ้า เราก็หาเรื่องบ่ายเบี่ยงไป กลับบ้านเถอะ แล้วเราก็ชวนกันกลับบ้าน อะไรประมาณนี้

            แต่ว่าพอถึงวันหนึ่ง เรื่องของพระเจ้าที่ได้ยิน ได้ฟังมาเป็นสิบๆ ปี จนมีครอบครัว มีลูก ก็ยังได้ยินเรื่องพระเจ้าอยู่ พระเจ้าก็เตรียม คือพี่สาวมาเชื่อพระเจ้า แล้วเขาก็คุยเรื่องพระเจ้าให้ฟัง เราก็ต่อต้าน คือต่อต้านสุดฤทธิ์เลย …

            “อย่ามายุ่งกับฉัน ขอความกรุณาอย่ายุ่ง เลิกพูดเรื่องพระเยซูคริสต์ อยากเอาลูกไปโบสถ์ เอาไปเลย อย่ามายุ่งกับฉัน”

            มันเป็นอย่างนั้นจริงๆ  เพราะว่าข้างในเราต่อต้าน เราเป็นศัตรูกับพระเจ้า เราพยายามที่จะไม่ยอมรับเรื่องราวของพระเจ้า เรากระด้างกระเดื่องกับพระเจ้า จิตใจ ความคิดเรามืดมัวไปหมดเลย อย่าพูดคำว่าพระเยซูคริสต์ ห้ามพูดเด็ดขาด พูดปุ๊บมีเรื่องทะเลาะกัน ทะเลาะกับพี่สาว อย่าพูดๆ

            แล้วเราก็ขอบคุณพระเจ้า ในพระคัมภีร์บอกว่าพระเจ้าตามหาเรา  เพราะว่าพระเจ้าทรงรักโลกนี้ยิ่งนัก ในพระธรรมยอห์น 3:16-18 จนได้ประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ เพื่อผู้ที่วางใจในพระบุตรจะไม่พินาศ แต่มีชีวิตนิรันดร์

            พระเจ้ารักมนุษยชาติ พระองค์วางแผนการมาเป็นพันๆ ปี เพื่อที่จะนำมนุษย์ทั้งหมดบนโลกใบนี้ กลับมาหาพระองค์ กลับมาสู่อ้อมแขนของพระองค์ ครอบครัวของพระองค์ ได้เข้ามาสู่ชีวิตนิรันดร์เหมือนเดิม  เหมือนครั้งแรกที่พระเจ้าสร้างอาดัมกับเอวา เข้ามาเสวยสุขกับพระเจ้า แต่มนุษย์ถูกปิด

บังตาใจ ดื้อรั้น กระด้างกระเดื่องกับพระเจ้าตลอดเวลา แต่เราขอบคุณพระเจ้า ที่พระองค์มีความหวังในพวกเราทุกๆ คน ไม่เคยถอดใจเลย พระองค์ก็ส่งคนของพระองค์ คนแล้วคนเล่า ลากยาวมาเป็นยี่สิบปี กว่าที่จะเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอด เป็นช่วงเวลายาวนานมาก แต่พระองค์ไม่เคยถอดใจจากเรา

            ถ้าเราเป็นมนุษย์ เราทิ้งไปแล้ว ไม่เอาแล้ว ไม่ตามแล้ว แต่เราขอบคุณพระเจ้า พระองค์ตามเรา พระองค์มองทะลุเข้าไปในวิญญาณของเรา พระองค์รู้จักทุกคนบนโลกใบนี้ รู้ว่าคนนี้ แม้ว่าตอนนี้ ดูเหมือนกระด้างกระเดื่อง แต่ภายในจิตใจ เขาสามารถที่จะรับการฝึกฝนจากพระเจ้า ได้รับการช่วยเหลือจากพระเจ้า แล้วพระองค์ก็เรียกคนๆ นั้น ส่งข้อมูลเรื่องราวของพระเจ้ามาเป็นระยะๆ

            พี่น้องจะสังเกต ก่อนที่เราจะมาเชื่อพระเจ้า เราจะได้ยินข้อมูลของพระเจ้ามาเป็นระยะๆ ถ้าเราต่อต้านมาก ข้อมูลนั้นจะทิ้งห่างไปไกลนิดหนึ่ง ไปดูห่างๆ ก็ได้ แล้วก็ถึงเวลาที่เราได้เปิดใจต้อนรับพระองค์จริงๆ คือวางใจ ยอมรับความช่วยเหลือจากพระเจ้า  เราก็ไม่รู้ว่าวันที่เราเดินออกมารับเชื่อพระเจ้า ใช่วันที่เราเปิดใจจริงหรือเปล่า เราไม่รู้ ในโลกวิญญาณ เราอาจจะเปิดใจไปก่อนหน้านั้น ก็ได้ แค่พฤติกรรมเราว่าวันนี้เราขอเดินออกมารับเชื่อ ก็แล้วกัน แต่ว่าสิ่งที่สำคัญ คือเมื่อเรายอมให้พระเจ้าเข้ามาผ่าตัดวิญญาณของเรา พระองค์ได้ทำขบวนการของพระองค์ ทำให้เราสามารถที่จะบังเกิดใหม่ เข้ามาในอาณาจักรของพระเจ้า

            พอเราบังเกิดใหม่ เข้ามาในอาณาจักรของพระเจ้าปุ๊บ สิ่งที่เปลี่ยนแปลง คือเรารักพระเจ้ามาก  ไม่รู้เกิดอะไรขึ้น พี่น้องสังเกตไหม? ตอนที่เรามาเชื่อใหม่ๆ เรารักพระเจ้ามาก  เราอยากจะอยู่กับพระเจ้าตลอด 24 ชั่วโมง เรารู้สึกหิวกระหายพระเจ้ามากเลย นี่คือสิ่งที่พระเจ้าทำการงานในวิญญาณของเรา  เพราะว่าพระเจ้าเปลี่ยนวิญญาณใหม่ให้กับเรา เป็นวิญญาณแห่งความรัก

            ในพระคัมภีร์เขียนว่า “จงรักพระเจ้าด้วยสุดจิต สุดใจ สุดกำลัง และสุดความคิดของท่าน”

            ตรงนี้ เราทำเองไม่ได้ ไม่มีมนุษย์คนไหนสามารถรักพระเจ้าได้ขนาดนี้ จนกว่าคนๆ นั้น ได้เปิดใจยอมให้พระเจ้าเข้ามาทำงานในวิญญาณของเขา เปลี่ยนวิญญาณใหม่ เป็นวิญญาณแห่งความรัก รักพระเจ้าเลย รักแบบสุดจิต สุดใจเลย รักโดยที่เราไม่ต้องพยายามเลย พระเจ้าให้มาเลย เราเคยสงสัยไหมว่าทำไมเรารักพระเจ้าได้ขนาดนี้  ทำไมตั้งแต่เราเปิดใจต้อนรับพระเจ้า เราไม่อยากไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องอย่างอื่นเลย เรียกว่าขบวนการอะไร ที่เกี่ยวกับวิญญาณ เราไม่อยากทำแล้ว เพราะว่าวิญญาณเราได้บังเกิดใหม่ เป็นเหมือนพระเจ้าแล้ว เราได้เป็นอิสรภาพเหมือนพระเยซูคริสต์แล้ว เราได้นั่งอยู่ที่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้าร่วมกับพระเยซูคริสต์แล้ว พวกนี้อยู่ในโลกวิญญาณหมดเลย  เราจึงจำเป็นต้องมาเรียนรู้ความจริงเหล่านี้ ข้อที่ 19 …

        เอเฟซัส 4:19 “เขาปราศจากความยั้งคิดใดๆ ปล่อยตัวตามกามราคะ ลุ่มหลง มัวเมาในความเสื่อมทรามทุกแบบด้วยตัณหาไม่สิ้นสุด”

            นี่คือสภาพ ลักษณะชีวิตของคนที่ยังไม่รู้จักกับพระเจ้าก่อนหน้านั้น  แต่ในพระคัมภีร์พูดถึง ไม่ได้หมายถึงว่าทุกคนเป็นแบบนี้ แต่ว่าสิ่งที่มันสำคัญ ก็คือก่อนที่เราเชื่อพระเจ้า ทุกคนเป็นคนบาป อยู่ในบาป อยู่ในอาดัม วิญญาณเราถูกตัดขาดจากพระเจ้า  วิญญาณเราไม่สามารถมาเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเจ้าได้เลย  แล้วไม่ว่ามนุษย์คนนั้นจะแสวงหาขนาดไหนก็ตาม  ทำความดีมากขนาดไหนก็ตาม ก็ไม่สามารถที่จะเข้ามาถึงพระเจ้าได้เลย ตามที่พระคัมภีร์บอกไว้  ตามที่พระเยซูคริสต์บอกไว้ว่าถ้าเราคิดที่จะทำดี มาถึงพระเจ้า ได้สวรรค์ คือเราต้องทำดี 100% สอบให้ผ่าน 100% ตลอดเวลา ไม่ว่างเว้น แม้ความคิด ในพระคัมภีร์ พระเยซูบอกแค่คิด ก็บาปแล้ว  แล้วมีใครบ้างที่จะไม่คิด  นั่งอยู่เฉยๆ ก็คิด คิดไปร้อยแปดพันเก้า คิดโน่นคิดนี่ คิดแบบเราควบคุมความคิดไม่ได้ เราจับความคิดให้อยู่นิ่งไม่ได้เลย ต่อให้ตอนนี้เราเชื่อพระเจ้าแล้วก็ตาม ความคิดมันก็วิ่งมาตลอดเวลา ความคิดทั้งจากที่เราเรียนรู้จากถ้อยคำของพระเจ้า ความคิดทั้งจากโลกนี้ส่งเข้ามา จากสื่อต่างๆ ที่เราไปดู มันส่งเข้ามาตลอดเวลา

            ฉะนั้น พอความคิดเหล่านั้นมันมาเยอะๆ เข้า เราก็ต้องเรียนรู้ที่จะยืนนิ่งๆ แล้วก็ดูว่าความคิดนั้น ใช่มาจากพระเจ้าไหม? ความคิดนั้น ไม่ได้มาจากพระเจ้า เราไม่เอามัน ไปไกลๆ เลย บอกได้นะ

            “ไสหัวแกไป ไปไกลๆ ไม่ต้องมายุ่งกับฉัน ไม่ต้องมาโน้มนำฉัน ไม่ต้องมาพยายามทำให้ฉัน เรียกว่าไปทำตามแก ฉันไม่เอา ฉันจะทำตามพระเจ้า”

            แต่ต่อให้เราทำขนาดนี้ มีโอกาสเผลอไหม? มีนะ บางทีเราก็เผลอไปทำตามระบบของโลกนี้ แต่ว่าพระเจ้าผู้อยู่ในเราจะคอยช่วยเหลือเราตลอดเวลา ในข้อที่ 20 บอกว่า …

        เอเฟซัส 4:20 “ส่วนท่านไม่ได้เรียนรู้จักพระคริสต์อย่างนั้น”

            ในข้อที่ 18-19 พูดถึงลักษณะชีวิตของคนที่ไม่มีพระเจ้า ฉะนั้น พอถึงข้อที่ 20 อาจารย์เปาโลบอกว่า “แต่ท่านไม่ได้เรียนรู้จักพระคริสต์อย่างนั้น” แปลว่าเมื่อท่านเข้ามาอยู่ในพระคริสต์แล้ว สิ่งต่างๆ เหล่านี้ ความเคยชินต่างๆ เหล่านี้ มันไม่มีผลอะไรกับชีวิตของท่านเลย ท่านไม่จำเป็นต้องไปทำตามมัน ให้มาเรียนรู้ความจริงในถ้อยคำของพระเจ้าว่า ณ เวลานี้ เราเป็นใครในพระเยซูคริสต์ ลักษณะชีวิตใหม่ของเราเป็นอย่างไร? แล้วเราก็ทำตาม พอเราเรียนรู้เยอะๆ เข้า ก็จะส่งผลออกมาเป็นความดีงาม

            ดูง่ายๆ เลย เด็ก เวลาอยู่กับเรา สมมติว่าลูกเราเล็ก อยู่กับเรา เราก็พยายามพูดคุยเพราะๆ กับเขาใช่ไหม? …

            “สวัสดีครับ? เป็นไงบ้างครับ? วันนี้กินข้าวแล้วหรือยังครับ? อิ่มไหมครับ? วันนี้ไปโรงเรียน คุณครูสอนเรื่องอะไรครับ?”

            เราก็ครับตลอดเวลา พอเราพูดครับปุ๊บ เขาก็ครับตามเรา พอเราไม่ครับ ไปโรงเรียนปุ๊บ มีภาษาแปลกๆ มา พูดจาไม่เพราะมาด้วย ไม่มีหางเสียงด้วย มีแถมมาด้วย แถมมาจากตรงไหน? จากการอยู่ด้วยกันกับคนอื่น แล้วก็ซึมซับเอาส่วนที่เขาพูด สมมติว่าเพื่อนพูดไม่เพราะ ไม่มีหางเสียง ไม่มีคำว่า “ครับ” กลับมาบ้าน  เขาจะพูดตามตรงนั้นเลย  พูดกับเรา เขาจะไม่มีคำว่า “ครับ” แต่ว่าไม่เป็นไร เขาเป็นอย่างนั้น เราก็ใส่เข้าไปใหม่ …

            “เป็นอย่างไรบ้างครับ? ครับด้วยสิครับ”

            เหลนดิฉัน “ครับ” ต้องครับตลอดเวลา “เวลาพูดกับผู้ใหญ่ต้องครับนะครับ” แล้วพอเราครับปุ๊บ เขาก็ครับตาม ถ้าเราไม่ครับ เขาก็ไม่ครับเหมือนกัน ก็คือมันเป็นการซึมซับจากภายนอก

            เราเป็นคริสเตียนเหมือนกัน ถ้าเราไปเสพข่าวข้างนอกเยอะๆ เครียดๆ  เราก็ซึมซับ พอซึมซับมากๆ แทนที่เราจะมีสันติสุขในพระเจ้า พระเจ้าบอกให้เราดำเนินชีวิตในพระวิญญาณ  เราจะมีสันติสุข ไปเสพข่าวเยอะๆ มา เครียดๆ หน้ายุ่งเป็นยุงตีกันเลย ซึ่งมันเกินความจำเป็นของเรา เสพข่าว เสพได้นะ แต่อย่าเยอะไป พอเยอะไป เราเก็บสะสมมาไว้ มันก็ไม่เป็นประโยชน์อะไร สำหรับชีวิตของเราเลย อันนี้แน่นอน เป็นสิ่งที่อาจารย์เปาโลบอกไว้ ข้อที่ 21-23

        เอเฟซัส 4:21-23 “21 แน่ทีเดียว   ท่านได้ฟังเรื่องพระองค์  และรับคำสอนในพระองค์  ตามความจริง  ซึ่งอยู่ในพระเยซู 22 เกี่ยวกับวิถีชีวิตเดิมนั้น ท่านได้รับการสอนให้ทิ้งตัวตนเก่าของท่าน   ซึ่งกำลังถูกทำให้เสื่อมโทรมไป  โดยตัณหาอันล่อลวงของมัน 23 เพื่อรับการสร้างท่าทีความคิดจิตใจขึ้นใหม่”

            การสร้างท่าที ความคิดจิตใจขึ้นใหม่ คือขึ้นอยู่กับเราเข้ามาเรียนรู้ถ้อยคำของพระเจ้า เรียนรู้มากๆ ท่าทีความคิดตรงนี้เราจะเปลี่ยน ถ้าเราเสพสิ่งที่ดีๆ ความคิดตรงนี้เราจะเปลี่ยน เราจะเริ่มคิดตามสิ่งที่ดีๆ ที่เราไปเรียนรู้มา  แต่ถ้าเราไปเรียนรู้สิ่งที่ไม่ดี ความคิดเราก็เปลี่ยนเหมือนกัน  เปลี่ยนไปในทางที่ไม่ดีเช่นเดียวกัน ข้อที่ 24 …

        เอเฟซัส 4:24 “และเพื่อสวมตัวตนใหม่   ซึ่งพระเจ้าทรงสร้างขึ้น   ให้เป็นเหมือนพระองค์ ในความชอบธรรมและความบริสุทธิ์ที่แท้จริง”

            สวมตัวตนใหม่ ถ้าเราพูดลักษณะอีกอันหนึ่ง ก็คือความเคยชินเก่าๆ เหมือนกับเสื้อผ้าเก่าที่มันขาดวิ่น ที่มันขาดเป็นรูโบ๋ แล้วเราเผลอ เราลืมไป เราแขวนไว้ที่ราวตากผ้า  ไม่ทิ้ง พอเผลอ เราก็ไปหยิบเอามาใส่ พอใส่แล้ว มันไม่งาม ใครจะไปใส่ผ้าขาดวิ่นออกไปข้างนอก คนดูมา ก็ไม่งาม

            ฉะนั้น อาจารย์เปาโลก็แนะนำเราว่าให้ทิ้งตัวเก่า สิ่งที่มันเคยชินเก่าๆ เหมือนเสื้อผ้าเก่า อย่าเอามาสวม ให้ถอดทิ้งไป แล้วมาสวมเสื้อใหม่ เสื้อใหม่ที่พระเจ้าใส่ให้กับพวกเรา ก็คือเป็นธรรมชาติใหม่ ที่เป็นเหมือนพระเจ้าเลย พอเราสวมเสื้อใหม่ปุ๊บ ออกไปมันสง่างาม ใช่ไหม? ดูดี มีราคา สง่าราศี ดูแล้ว ทุกคนมีความสุข ทำไมคนนี้ถึงน่ารักอะไรขนาดนั้น

            นี่คือสิ่งที่พระเจ้าได้ทำให้กับพวกเราเรียบร้อยไปแล้ว  หลังจากที่เรากลับใจใหม่ เราก็ค่อยๆ มาเรียนรู้ธรรมชาติ ที่เป็นธรรมชาตินิรันดร์ ชีวิตนิรันดร์ ที่เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์ว่าเป็นอย่างไร? เพื่อเราจะได้นำเอาธรรมชาตินี้ พอเราเรียนรู้เยอะๆ มันจะออกไปเอง เราไม่ต้องพยายามนะ มันจะออกไปเอง ลักษณะเหมือนเราปลูกต้นไม้  แล้วเราค่อยๆ รดน้ำ พรวนดิน พอถึงฤดูกาลของมัน มันจะออกดอก ออกผล แตกใบ แล้วก็ให้ชื่นชม ลักษณะเดียวกัน ชีวิตคริสเตียนเหมือนกัน รดน้ำ พรวนดิน คือเรารับรู้ความจริงของพระเจ้าว่าตอนนี้เราเป็นอย่างไร? กินอาหารให้ถูกส่วน กินแบบเต็มที่ วิตามินกินหมดเลย  แล้วเราก็แข็งแรง พอแข็งแรง ถึงฤดูกาลของมัน มันก็จะเจริญเติบโตขึ้น มันจะส่งผลของพระวิญญาณบริสุทธิ์ ที่อยู่ในเราแล้ว  ไม่ต้องไปหาที่ไหน? ส่งผลออกไป ให้คนอื่นได้สามารถสัมผัส จับต้องได้

            นี่คือสิ่งที่อาจารย์เปาโลบอกไว้ พระเยซูคริสต์ได้ทำงานผ่านทางอาจารย์เปาโล แล้วก็สอนเรา เคล็ดลับที่สำคัญที่สุด คือเราเกิดก่อน แล้วพระเจ้าจะสอนเราทำทีหลัง แต่บางทีเราก็เผลอ เราคิดว่าเราต้องทำ เพื่อเราจะได้เกิด

            การบังเกิดใหม่เข้ามาเป็นลูกของพระเจ้า เราทำเองไม่ได้พระเจ้าเป็นผู้กระทำ เมื่อเราบังเกิดใหม่ เข้ามาเป็นลูกของพระเจ้าปุ๊บ หลังจากนั้นพระเจ้าก็จะค่อยๆ สอนเราว่าเราควรจะทำอะไร? แบบไหน? อย่างไร?

            คำว่า “ควร” หมายความว่าพระเจ้าไม่บังคับเรา พระเจ้าให้เราตัดสินใจว่าเราจะยอมทำตาม ที่พระเจ้าบอกไหม? ยอมตามน้ำพระทัยของพระเจ้าไหม? ถ้าเรายอม พระเจ้ายิ้มแก้มปริเลย ทำไมพระเจ้ายิ้มแก้มปริ พระเจ้าไม่มีส่วนได้ส่วนเสียกับเราเลยนะ พี่น้องนึกออกไหม? แต่ที่พระเจ้ายิ้มแก้มปริ เพราะพระเจ้ารู้ว่าถ้าเราทำตามน้ำพระทัยของพระองค์ ชีวิตเราจะสงบสุข สันติสุขเต็มเปี่ยม เป็นสันติสุขที่จริงๆ ที่พระเจ้าให้กับเรา เรียบร้อยแล้ว มีเต็มเปี่ยม แต่ถ้าเราทำตามน้ำพระทัยของพระเจ้า สันติสุขตรงนี้ มันจะเด้งขึ้นมาให้เราสัมผัส สัมผัสว่ามีความสุขมากเลย เวลาเราทำอะไรตามน้ำพระทัยของพระเจ้า ข้างในวิญญาณ พระพรมาเต็มที่เลย พระพรแรก คือมีความสุข สุขมากเลย แต่ถ้าเราไม่ยอมทำตามน้ำพระทัยของพระเจ้า เราดื้อ เราจะทำตามการล่อลวงของข้างนอก ทำปุ๊บ เกิดผลเหมือนกันนะ ทุกข์ ความทุกข์มันมาทันทีเลย ข้างในวิญญาณเราจะรู้เองว่าอันนี้ ไม่ใช่ๆ

            เหมือนเราแต่งตัวสวยๆ แล้วโดนรถวิ่งแบบแรงเลย ยิ่งหน้าฝนด้วย ขี้โคลนสาดเต็มตัวเลย โอ้โห! ทุกข์ เราต้องทำอย่างไร? รีบกลับบ้าน ไปอาบน้ำ เปลี่ยนเสื้อผ้าใหม่ ให้สะอาดสะอ้าน  แล้วมีความสุข แฮปปี้ นั่นแหละ ภาพเดียวกันในโลกวิญญาณ พระเจ้าอวยพรค่ะ

***********************

จากใจคณะศิษยาภิบาล

            มนุษย์เรา ประกอบด้วย 3 ส่วน คือวิญญาณ  ความคิดจิตใจ  และร่างกาย เพราะฉะนั้น  เนื้อหนังไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของตัวเราเลย

            โรม 6:12-14 … “12 เหตุฉะนั้น อย่ายอมให้บาป (มัน)  ครอบงำกาย (ภายนอก) ที่ต้องตายของท่าน  ซึ่งทำให้ต้องเชื่อฟังตัณหาของมัน 13 อย่ายอมยกอวัยวะของท่านให้แก่มัน ให้เป็นเครื่องใช้ในการทำบาป  แต่จงยอมถวายตัวของท่านแด่พระเจ้า  เหมือนหนึ่งคนที่เป็นขึ้นมาจากความตายแล้ว  และจงยอมให้อวัยวะ ต่างๆ ในร่างกายของท่านแด่พระเจ้า  เป็นเครื่องใช้ในการชอบธรรม  14 เพราะว่าบาปมันไม่ได้เป็นเจ้านายที่มีอิทธิพล  ครอบงำท่านทั้งหลาย ด้วยตัณหาของเนื้อหนังต่อไปแล้ว  เพราะว่าท่านทั้งหลายมิได้อยู่ใต้ธรรมบัญญัติ (ไม่ได้เป็นทาสบาปแล้ว) แต่อยู่ใต้พระคุณ (ได้บังเกิดใหม่แล้วในพระเยซูคริสต์)”

            เราต้องทำความเข้าใจก่อนว่าตามที่มีบันทึกในพระคัมภีร์ มนุษย์เรา ประกอบด้วย 3 ส่วน คือ …

                        1. “วิญญาณ” (ซึ่งเป็นตัวตนที่แท้จริง)  หรือ “Spirit”

                        2. “ความคิดจิตใจ”  หรือ “Soul”

                        3. “ร่างกาย” หรือ “Body”

            คำว่า “วิญญาณ” หรือ “Spirit” มาจากคำว่า “Pneuma” ในภาษากรีก  ที่แปลว่า “ลมหายใจ” หรือ “อากาศ”

            “ความคิดจิตใจ” หรือ “Soul” มาจากภาษากรีก คำว่า “Su ke” ซึ่งเป็นรากศัพท์ของคำว่า “Psychology”  หมายถึงความคิด หรือความรู้สึกทางจิตใจ

            ส่วน “ร่างกาย” หรือ “Body” ก็คืออวัยวะทุกส่วนที่ประกอบเป็นร่างกายมนุษย์ เป็นร่างกายที่เราใช้  ในขณะที่ยังดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้  จนกว่าจะถึงวันที่เราได้รับร่างกายใหม่

            มาถึงคำว่า “เนื้อหนัง” หรือ “Flesh” พอใช้คำว่า “เนื้อหนัง” หลายคนเลยเข้าใจผิด คิดว่าเนื้อหนัง หมายถึงร่างกายเรา

            อย่างที่บอกเมื่อกี๊ว่ามนุษย์เรา ประกอบด้วย 3 ส่วน คือวิญญาณ  ความคิดจิตใจ  และร่างกาย

เพราะฉะนั้น  เนื้อหนัง  ไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของตัวเราเลย

            ถ้าเราเปรียบว่าทั้ง 3 ส่วนของตัวเรา (วิญญาณ  ความคิดจิตใจ และร่างกาย) ประกอบเข้าด้วยกัน   เป็นเครื่องคอมพิวเตอร์ 1 เครื่อง คือ เป็น “Hardware”

            เนื้อหนัง หรือ “Flesh”  ก็จะเปรียบเสมือน “Software” หรือโปรแกรมภายนอกที่ถูกเขียนขึ้นแล้วใส่เข้าไปในเครื่องคอมพิวเตอร์ ที่จะเป็นตัวบอกว่า “Hardware” ควรจะทำงานอย่างไร?

            เนื้อหนัง  ก็ทำงานลักษณะเดียวกับ “Software” คือจะเป็นตัวคอยโน้มน้าวความคิดของสมองของเรา  ให้ทำตามมัน ที่เราเรียกว่าตามกิเลสตัณหาของเนื้อหนัง  และตราบใดที่เรายังอยู่ในร่างกายนี้  เจ้าเนื้อหนังตัวนี้  ก็จะทำตัวเป็นปรสิต  หรือกาฝาก แอบซ่อนอยู่ในร่างกายของเรา ซึ่งถ้าเมื่อไหร่ที่เราเผลอ  มันก็จะแสดงตัวออกมา  และมีกำลังสามารถล่อลวงชักจูงให้เราทำตามกิเลสตัณหาของมัน คือทำ สิ่งที่อยู่ตรงข้ามกับความต้องการแท้จริงของเราในวิญญาณที่เกิดใหม่แล้ว  ที่มีพระวิญญาณบริสุทธิ์สถิตอยู่ด้วยภายในนั้น  ซึ่งเราเรียกว่าล้มลงในความบาปนั่นเอง

            และวิธีการที่เราจะเอาชนะ เจ้าตัวปรสิตนี้ได้  ก็คือมันเป็น software ใช่มั๊ย เหมือน เวลาที่เราใช้คอมพิวเตอร์ พอซื้อเครื่องใหม่ ก็ต้อง refresh s/w ใหม่ ล้างเอาโปรแกรมเก่าออก  แล้วใส่โปรแกรมใหม่เข้าไปแทนที่ได้ software ดี เครื่องก็ทำงานดีได้ software ไม่ดี  เครื่องก็ทำงานไม่ดี

            Software เก่า  ที่เป็นเนื้อหนัง  ก็คือโปรแกรมเดิมของเรา คือความคิดเดิมๆ  ความประพฤติเดิมๆ   นิสัยเดิมๆ

            วิธีการ ก็คือต้องหมั่นล้างโปรแกรมเนื้อหนังออก  และใส่โปรแกรมใหม่เข้าไปแทนที่โปรแกรมใหม่ ก็คือความจริงในเรื่องข่าวประเสริฐแห่งพระคุณในพระเยซูคริสต์  ที่จะทำให้เราเป็นไท และวิธีล้างโปรแกรมเนื้อหนัง เพื่อลดทอนอิทธิพลกำลังของเจ้าปรสิตนั้น ก็คือการจดจ่อ ความคิดของเราไปที่เบื้องบน  คือความจริงในโลกวิญญาณว่า …

            “เราคริสเตียนเป็นใครในพระเยซูคริสต์”

            พระเจ้าอวยพรครับ

วารสาร Holy  News   ฉบับที่  1425

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  16  กรกฎาคม  2023

เรื่อง “คำอธิษฐาน มัทธิว 6:9-15”

“พระเยซูกำลังสอนให้เราทำตามหรือ?” ตอน 5

โดย นคร  เวชสุภาพร

            “คำอธิษฐาน มัทธิว 6:9-15” พระเยซูกำลังสอนให้เราทำตามหรือ?”  มาตอนที่ 5 แล้ว เรารู้แล้วว่าพระเยซูกำลังพูดกับคนยิว ชนชาติยิว ที่ยังไม่ได้เกิดใหม่ ยังไม่ได้เป็นคริสเตียน ที่พูด เพราะไม่มีมนุษย์ผู้ใดได้บังเกิดใหม่ เป็นคริสเตียนเลยในขณะนั้น สักคนเลย เพราะว่าพระเยซูยังไม่ได้ถูกตรึงบนไม้กางเขน ยังไม่ได้หลั่งพระโลหิต สิ้นพระชนม์ และยังไม่ได้เป็นขึ้นจากความตาย งานของพระองค์ยังไม่สำเร็จเลย

            พระเจ้าได้เลือกชนชาติยิว พวกแรกจากมวลมนุษย์ ที่จะติดต่อกับพระองค์ เพื่อแผนการที่พระองค์วางไว้ เพื่อไถ่มวลมนุษย์ทั้งหมดเลย ทั้งยิวและไม่ใช่ยิว ซึ่งคนที่ไม่ใช่ยิว คนยิวเขาเรียกเราว่าคนต่างชาติ ไถ่ทั้งคนยิวและคนต่างชาติ

            พระเจ้ามองลงมา มนุษย์มีอยู่แค่ 2 พันธุ์เท่านั้นเอง จริงๆ พันธุ์เดียวเท่านั้นแหละ แต่มีอยู่ 2 พวก คือพวกยิวกับพวกต่างชาติ  นี่พระองค์มองมาในโลกวิญญาณ  มีอยู่แค่นี้เอง เป็นมนุษย์เหมือนกันหมด แต่พวกหนึ่งพระองค์เรียกว่าพวกยิว อีกพวกหนึ่งเรียกว่าพวกต่างชาติ จะได้จำแม่นๆ นี่คือพื้นฐาน

            พระองค์ทรงวางแผนการ เพื่อจะช่วยมนุษย์ทั้งหมดให้รอด ก็มีพวกยิว พวกต่างชาติ รอดจากอะไร? รอดจากโทษของความบาป ซึ่งพระองค์ก็เลยประทานบทบัญญัติให้กับชาวยิวถือปฏิบัติตาม เป็นพันธสัญญาแรกก่อน ชาวต่างชาติยังไม่ต้องรับรู้เรื่องราวเหล่านี้ ซึ่งเราเรียกกันว่าพันธสัญญาเดิม และสัญญากับชาวยิวว่าให้รอ พระองค์จะกระทำพันธสัญญาใหม่ให้ บอกกับชาวยิวว่าให้รอ

            พันธสัญญาใหม่ที่พระองค์บอกให้รอนั้น ก็คือรอพระเยซูคริสต์ พระเมสิยาห์ พระเมษโปดกของพระเจ้า ที่จะมาไถ่มนุษย์ทั้งปวงนั่นเอง สัญญาให้กับชาวยิว แล้วพระองค์ก็ทำตามสัญญาจริงๆ คือพระเยซูมาบังเกิดจริงๆ เลย ซึ่งเรากำลังเรียนอยู่นี้ พระเยซูกำลังประกาศอยู่นี้

            พระเยซูมา เพื่อประกาศปีแห่งความโปรดปรานของพระเจ้า และนำของขวัญ คือสวรรค์มาให้กับมนุษย์ทุกคน พระองค์มาประกาศบอกว่าที่พระเจ้าสัญญาไว้ นี่เรามาแล้ว มาเพื่อประกาศ พระเยซูไม่ได้มาสอน ให้คนพยายามทำดี ไม่ได้มาสอนให้ชาวยิวในขณะนั้นทำดี แล้วก็ไม่ได้มาสอนให้มวลมนุษย์ทั้งหมดทำดี เดี๋ยวลองฟังต่อไป ไม่ได้มาบอกให้ชาวยิวว่าพยายามทำดีให้มากที่สุดเท่าที่ทำได้ ให้สุดความสามารถเลย แล้วพระเจ้าจะได้เห็นใจ สามารถเข้าสวรรค์ได้ ซึ่งหลายคนคิดเช่นนั้น หลายคน คือทั้งชาวยิวและไม่ใช่ยิว หลายคนก็คิดเช่นนั้นว่าพระเจ้าคงจะทำอย่างนี้มั้ง  แต่พระองค์ไม่ได้มาทำอย่างนั้นเลย เพราะว่าพระองค์มาประกาศ และบอกชาวยิวว่า …

            พระองค์บอกกับชาวยิวอย่างนี้ อาหารที่เป็นมลทิน กินเข้าไป แล้วก็ถ่ายออกมา ไม่เป็นอันตรายหรอก แต่ว่า …

            “แต่พิษจากความบาปและความตาย จากในวิญญาณ ที่เป็นคนบาปและอยู่ในความตาย ในฝ่ายวิญญาณส่งให้ถึงพินาศนิรันดร์ในนรก”

            นี่พระองค์ชี้อย่างนี้แหละ อย่างนี้เรียกว่าสอนหรือประกาศ  ท่านคิดเอาเองก็แล้วกันว่าสอนศีลธรรมหรือประกาศ กำลังชี้ให้เขาเห็นว่าเขาทำไม่ได้  เขาจำเป็นต้องพึ่งพระเจ้า พิษจากความบาปและความตายจากวิญญาณ ที่เป็นอยู่ข้างในท่านมันอันตรายมาก ท่านรักษาตัวท่านเองไม่ได้หรอก พิษตัวนี้จะทำให้ท่านตาย พินาศในนรกนิรันดร์

            นี่คือส่วนหนึ่งในการประกาศข่าวประเสริฐของพระเยซู พระองค์ทรงยกตัวอย่างอย่างนี้เสมอๆ เพื่อชี้ให้เห็นถึงว่าในใจ ในวิญญาณของเขา เป็นหรือมีสภาพเช่นไร? มันสกปรกอยู่ มันเป็นคนบาปและคนตาย มันสกปรก โสโครก เรียกว่าตายทั้งวิญญาณและจิตใจ ช่วยตัวเองไม่ได้ เป็นคนป่วยหนัก

            พระเยซูเป็นพระผู้ช่วยให้รอด จากความพินาศ เนื่องจากความบาป  ไม่ใช่เป็นพระผู้สอนบทบัญญัติ หรือศีลธรรม ซึ่งเป็นสิ่งที่ดีงาม  และจำเป็นมาก สำหรับการดำเนินชีวิต บนโลกใบนี้เท่านั้น  เน้นตรงนี้ให้อีกที เพราะว่าบางท่านไม่เข้าใจตรงนี้ นึกว่าพระเยซูไม่ได้มาสอนศีลธรรมหรอก ใช่ แล้วทำไมพระองค์ไม่มาสอนบทบัญญัติ ศีลธรรม พระองค์บอกว่ามันเป็นสิ่งดีงามและจำเป็นในชีวิต  แต่จำเป็นในชีวิตบนโลกใบนี้เท่านั้น มันทำให้เกิดความเสียหาย  หรือเกิดความดีงาม เฉพาะการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ที่จับต้องมองเห็นได้เท่านั้น  แต่ไม่สามารถทำให้ผู้ใดบริสุทธิ์ ดีพร้อม และเกิดผลในโลกวิญญาณ  คือเข้าไปอยู่ในสวรรคสถานได้หลังความตายเลยสักคนหนึ่ง

            เห็นไหม? ไม่ใช่บอกว่าอย่าทำ แต่กำลังบอกว่าอะไรสำคัญกว่า แล้วพระองค์ก็ชี้ให้เห็นว่าเขาจะอยู่ในสวรรค์หลังความตายได้ ต้องพึ่งพา วางใจในพระองค์เอง พระองค์เป็นพระเจ้า พระเมสิยาห์ ที่พระเจ้าได้จัดเตรียมไว้ให้กับท่าน  ที่สัญญาไว้ตั้งแต่บรรพบุรุษ มีทางเดียวเท่านั้น ที่ท่านจะไปสวรรค์ได้ คือมาทางเราเท่านั้น เพราะว่าวิญญาณของท่านและมนุษย์ทุกคนอยู่ในความตาย ความบาป  ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้หรอก ท่านตายอยู่ ท่านจะช่วยเหลือตัวเองได้อย่างไร? ลองคิดตามเหตุผลก็ได้

            อย่างเช่นที่ผมยกตัวอย่างอยู่บ่อยๆ คนหัวใจวาย ช็อคตายไปแล้ว  แล้วเราเอาหนังสือทางด้านสุขภาพ เอา 5 วิธีการในการรักษาหัวใจให้แข็งแรง จะได้ไม่ช็อคตาย มันมีประโยชน์อะไรสำหรับเขา มันมีประโยชน์ตอนเขามีชีวิตอยู่เท่านั้นเอง แต่ตอนนี้วิญญาณเขาตายอยู่ สิ่งที่เขาต้องการ คือเขาต้องการคนมาช่วย  อัศจรรย์ ชุบชีวิตให้เขาเป็นขึ้นมาใหม่  พอเป็นขึ้นมาแล้ว มาสอนเขาทีหลังว่า …

            “ต่อไปนี้นะ ออกกำลังกาย อย่ากินอาหารมันๆ เยอะเกินไป อย่ากินหวานเยอะเกินไปนะ เดี๋ยวเป็นโรคหัวใจ  อย่าคิดมาก อย่าเครียดนะ”

            เขาก็เริ่ม … “ทำอย่างนี้จะได้แข็งแรงเหรอ”

            สิ่งที่เร่งด่วน ก็คือชุบชีวิตให้คนนั้นเป็นขึ้นจากความตายก่อน แล้วค่อยๆ ฝึกสอน ให้เขาทำทีหลัง นั่นแหละ คือสิ่งที่พระเยซูกำลังทำอยู่ 3 ปี ประกาศให้กับชาวยิว

            อีกตัวอย่างหนึ่งที่ยืนยันว่าพระองค์พูดกับชาวยิวเท่านั้น ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับเรา ที่เป็นชาวต่างชาติเลย ในบริบทนี้นะ ในช่วง 3 ปีก่อนถูกตรึง 3 ปีที่เดินประกาศ พูดกับชาวยิวเท่านั้น ย้ำอีกทีหนึ่ง ยังไม่ได้เกี่ยวอะไรกับพวกเราที่เป็นพวกต่างชาติ ที่ไม่ใช่ยิวเลย ดูในลูกา 4:16-21 ที่ผมยกมาเป็นตัวอย่างอีกหนึ่งอัน ในสัปดาห์นี้ …

        ลูกา 4:16-21 “16 แล้วพระองค์ (พระเยซูคริสต์) เสด็จมาถึงเมืองนาซาเร็ธ ที่ซึ่งพระองค์ทรงเจริญวัยขึ้น พระองค์เสด็จเข้าไปในธรรมศาลาในวันสะบาโตเช่นเคย และทรงยืนขึ้นเพื่อจะอ่านพระธรรม 17 เขาจึงส่งคัมภีร์อิสยาห์ ผู้เผยพระวจนะให้แก่พระองค์ เมื่อพระองค์ทรงคลี่หนังสือนั้นออก ก็ทรงพบข้อที่เขียนไว้ว่า 18 “พระวิญญาณขององค์พระผู้เป็นเจ้าสถิตกับข้าพเจ้า เพราะว่าพระองค์ทรงเจิมตั้งข้าพเจ้าไว้ เพื่อนำข่าวดีมายังคนยากจน พระองค์ทรงใช้ข้าพเจ้ามาประกาศอิสรภาพแก่พวกเชลย ประกาศแก่คนตาบอดว่าจะได้เห็นอีก ปล่อยผู้ถูกบีบบังคับให้เป็นอิสระ 19 และประกาศปีแห่งความโปรดปรานขององค์พระผู้เป็นเจ้า” แล้วพระองค์ทรงม้วนหนังสือส่งคืนให้แก่เจ้าหน้าที่ 20 แล้วประทับลง และตาของทุกคนที่อยู่ในธรรมศาลาก็จ้องดูพระองค์ 21 พระองค์จึงเริ่มต้นตรัสกับเขาทั้งหลายว่า “พระคัมภีร์ตอนนี้ที่พวกท่านได้ยินกับหู ก็สำเร็จแล้วในวันนี้

            เห็นไหมครับ? พระองค์มาประกาศปีแห่งความโปรดปราน พระองค์มาประกาศว่าที่พระเจ้าสัญญาไว้ตั้งแต่บรรพบุรุษนั้น มาแล้วตอนนี้ สำเร็จแล้ว มาวางใจในเรา ไม่ได้มาสอน  มาเพื่อประกาศข่าวดี  เพื่อจะบอกทาง ชี้ทางให้เขาได้มีโอกาสเข้าสู่สวรรค์ได้ โดยได้รับการบังเกิดใหม่ในวิญญาณ  เป็นคนดีจริงๆ  ข้างในวิญญาณ ไม่ใช่เป็นคนทำดี  แล้ววิญญาณสกปรก ไม่ใช่เป็นคนทำดี แต่ข้างนอก แต่ข้างในเป็นหลุมศพ  ไม่ใช่ข้างนอกฉาบด้วยปูนขาว แล้วข้างในเป็นหลุมศพ  เหม็นมาก ไม่ใช่ข้างนอกทำดี ข้างในเป็นคนบาป ช่วยอะไรไม่ได้ อย่างนี้มากกว่า พระองค์จึงไม่ได้สอน ไม่ว่าจะเป็นคนยิวหรือคนต่างชาติ ก็ตาม ทีหลังนะ ให้ทำดีตามศีลธรรม พระองค์มาชี้ให้เขา บอกทางให้เขาว่าเขาจะเข้าสวรรค์ได้อย่างไร?  ประกาศความโปรดปรานของพระเจ้า ความโปรดปราน แปลว่าประกาศทางของพระเจ้า ให้ฟรีๆ พระองค์มาทำหน้าที่นี้ คือประกาศให้มารับของขวัญ คือสวรรค์จากพระเจ้า มาประกาศตรงนี้

            แล้วก็รู้ว่าก่อนหน้านี้  เขาดำเนินชีวิตกันอย่างไร? มนุษย์อยากจะไปสวรรค์ด้วยวิธีใด? ด้วยวิธีการพึ่งพาตนเอง ก็เลยบอกเขาว่าให้มารับของขวัญ จากพระเจ้าฟรีๆ โดยการวางใจในพระองค์ และก่อนที่จะมารับ ให้เลิกพึ่งการกระทำดีของตน และหันมาพึงพระองค์ พระเมสิยาห์ ที่พระเจ้าเตรียมไว้ให้เท่านั้น  เลิกพึ่งความพยายามกระทำดีของตน

            ทุกคนก็ “โอ้โห! สอนอย่างนี้ ก็ไม่ถูกศีลธรรม”

            เดี๋ยวก่อน ฟังให้จบ  พวกชาวยิว ตอนสมัยที่ฟังพระเยซูตรงนี้ ก็ฟังไม่จบ  แล้วก็ไปกล่าวหาพระเยซู พวกเราวันนี้ ก็อย่าให้เป็นเช่นนั้นเลย  อย่าเพิ่งกล่าวหาผมว่าผมพูดอะไรเนี้ย ไม่ต้องพยายามทำดีหรือ? ตั้งใจฟังให้ดีๆ พระองค์กำลังจะบอกว่าให้เลิกพึ่งการพยายามทำความดีของตน ไม่ได้หมายความว่าให้เลิกพยายามกระทำดีของตน นิดเดียว  ไม่ได้เลิกพยายามทำดี  พยายามทำดี มันดีอยู่แล้ว  แต่เลิกพยายามทำดี  พึ่งในความดีนั้น เพื่อจะไปสวรรค์ อันนี้ต้องเลิก ไม่อย่างนั้น  ไม่ได้อยู่ในสวรรค์แน่

            พยายามกระทำดีของตน เลิกซะ ทุกคนก็ตกใจ เลิกกระทำดี เพื่อ … ตรงนี้แหละสำคัญ ทำดีนั้น จะทำให้เราไปสวรรค์ ไม่ได้ไปแน่ ให้เลิกคิด  มันหมายถึงตรงนี้  แต่พยายามทำให้ดีที่สุด ให้สมกับที่ได้เกิดใหม่ เป็นเหมือนพลเมืองของสวรรค์ ที่เป็นลูกของพระเจ้า ที่บริสุทธิ์  ชอบธรรม ดีพร้อมแล้ว ด้วยการวางใจในพระเมสิยาห์  พระผู้ช่วยให้รอด พระเยซูคริสต์ต่างหาก

            นี่คือบทสรุปของพระเยซูคริสต์ พูดให้ฟังว่าเลิกกระทำดี  เพื่อจะพึ่งในความดีของตนเอง แล้วก็จะไปสวรรค์ เพราะการกระทำดี มันไปไม่ได้ เพราะฉะนั้น มาพึ่งพระเจ้า พึ่งพระองค์ พระเมสิยาห์ พระเยซูคริสต์ไถ่บาปให้ท่าน แล้วท่านจะได้รอด ไปสวรรค์ พอไปสวรรค์ อยู่ในสวรรค์ได้แล้ว เป็นลูกของพระเจ้าได้แล้ว ท่านก็กลับมาพยายามกระทำดีมากๆ  ให้สมกับเป็นลูกพระเจ้า  แล้วมีพลังการกระทำดีอยู่ในตัว เป็นธรรมชาติ อยู่ในตัวที่เป็นลูกพระเจ้านั่นเอง เลิกล้มการพยายามกระทำดี เพื่อไปสวรรค์

            ชาวยิวที่ได้ฟัง ที่เคร่งศาสนา รักษาบัญญัติ กระทำดี มีศีลธรรม ก็ลุกขึ้นมาด้วยความเย่อหยิ่งเลย กล่าวหาพระเยซู แน่นอน เพราะตัวเองทำอยู่ หาว่าพระเยซูมาต่อต้านการกระทำดีของเขา ไม่เข้าใจความหมาย เป้าหมายที่พระองค์ต้องการสื่อให้เขาได้เห็น และเข้าใจว่าอย่ายึดถือความดีนั้น  ให้กระทำดีนั่นแหละดีแล้ว  แต่มันไม่สามารถช่วยท่านไปสวรรค์ได้หรอก คุ้นๆ ไหม?

            นี่ 2,000 ปีแล้วนะ  ที่พระเยซูเดินอยู่บนโลกใบนี้  แล้วทุกวันนี้ พวกเราคริสเตียน  พระวิญญาณนำเรา บอกเราเป็นอย่างนี้ แล้วคนไม่เข้าใจ ก็จะกล่าวหาเราอย่างนี้เหมือนกัน  ไม่ต่างกัน  พระเยซูบอกว่า …

            “อย่ายึดถือความดีตรงนั้น  เธอทำความดีตรงนั้นแหละดีแล้ว  แต่ให้แสวงหาอาณาจักรของพระเจ้าและความชอบธรรมของพระองค์เสียก่อน”

            เห็นไหม? ท่านทำดีอย่างนั้น ดีแล้ว ถูกแล้ว เราต้องทำดี  เพราะเราเป็นลูกพระเจ้า ให้เป็นลูกพระเจ้าเสียก่อน  เข้าสวรรค์ได้เสียก่อน  ให้หาสวรรค์ให้เจอเสียก่อน  เข้าสวรรค์ด้วยวิธีการผ่านทางความเชื่อในพระบุตร  คือวางใจในพระองค์ ที่เป็นพระเมสิยาห์ ที่พระเจ้าส่งมาเกิดตามสัญญา เดินอยู่ตรงนี้แล้ว …

            “เชื่อเราสิๆ ด้วยความรักทั้งสิ้นเลย”

            ผมมั่นใจ 100% เลย ด้วยความรักที่พระเยซูพูดต่างๆ เหล่านี้ ไม่ได้พูดเพื่อประชด แต่เพื่อชี้ให้มนุษย์ โดยเฉพาะช่วงนั้น ชาวยิวได้เห็นถึงความเป็นจริงว่าเป็นอย่างนี้

            เรากลับมาภาพเมื่อตะกี้นี้ที่พระองค์ประกาศปีแห่งความโปรดปราน ในหนังสือลูกา ที่เราอ่านว่ามันหมายความว่าอย่างไร?  ในช่วง 3 ปีนั้น  พระองค์จะทำอย่างนี้ตลอด  ประกาศเรื่องนี้ตลอด

            ลูกา 4:16 “แล้วพระองค์เสด็จมาถึงเมืองนาซาเร็ธ ที่ซึ่งพระองค์ทรงเจริญวัยขึ้น” คือมาที่บ้านเกิดของตนเอง มาทำอะไร? มาประกาศให้ญาติๆ ได้รู้ถึงข่าวดีนี้  ข่าวดีต้องไม่เหมือนเดิมแน่ อันเดิม คือท่านต้องทำด้วยตนเอง  ข่าวดีนี้ท่านไม่ต้องทำแล้ว  มาวางใจในเรา

            “พระองค์เสด็จเข้าไปในธรรมศาลา ในวันสะบาโตเช่นเคย ยืนขึ้นอ่านพระธรรม อ่านถ้อยคำตรงนี้” ก็คือถ้อยคำในพระคัมภีร์เดิม  ที่เราบอกว่าเดิม แต่ในสมัยนั้น คนยิวเขาบอกอ่านพระคัมภีร์เฉยๆ  อ่านพระคัมภีร์ที่พระเจ้าให้ยึดถือมาตลอด คือบัญญัติโมเสส พระคัมภีร์เขียนถึงอะไร? เขียนถึงพันธสัญญาว่าพระเจ้าให้พระบัญญัติอย่างนี้ แล้วพระเจ้าสัญญาว่าๆๆๆๆ สัญญาว่าจะทำพันธสัญญาใหม่ จะส่งพระบุตรของพระองค์ลงมาช่วย พระเมสิยาห์ พระคริสต์ลงมาช่วย แล้วพระองค์ก็หยิบหนังสือพระคัมภีร์ พระบัญญัตินั้นขึ้นมา แล้วก็อ่านอิสยาห์ บทที่ 61 ก็คือผู้เผยพระวจนะ ในสมัยอดีต ก่อนที่พระเยซูจะอ่าน 600 ปี จริงๆ พระคัมภีร์เดิมก็พูดถึงเรื่องที่พระเยซูจะมาเกิด เป็นพันธสัญญา ตลอดเลย นี่คือหนึ่งในจำนวนนั้น

            นี่เขียนไว้ สัญญาว่าพระเมสิยาห์จะมา พระผู้ช่วยให้รอด สัญญาไว้ มาแน่นอน สรุปให้ฟังสั้นๆ ตอนนี้มาแล้ว อยู่ที่นี่แล้ว สำเร็จแล้ววันนี้ เราคือผู้นั้น  แล้วเกิดอะไรขึ้น รับไม่ได้ ญาติๆ คนใกล้ชิดทั้งนั้น รับไม่ได้ เพราะว่าเห็นพระเยซูตั้งแต่เด็ก วิ่งเล่น เป็นช่างไม้ 30 ปีไม่ได้ทำอะไร เชื่อไม่ได้ว่าพระเยซูเป็นพระผู้ช่วยให้รอด  เพราะฉะนั้น อย่างที่บอกแหละว่าดูถูกพระเยซู

            ที่ผมยกขึ้นมาเป็นตัวอย่างนี้ ก็เพื่อให้ท่านเห็นว่าสิ่งที่พระเยซูทำ พูด เป็นภาพพระเยซูกำลังพูด คลุกคลี ประกาศข่าวดี ชี้ให้เห็นถึงทางรอด ไปสวรรค์ ให้กับชาวยิวเท่านั้น ซึ่งเรื่องที่พูดทั้งหมด เกี่ยวกับเรื่องโลกวิญญาณทั้งสิ้น ทั้งหมดเลย อย่างเช่น ประกาศปีแห่งความโปรดปรานของพระเจ้า

            ปีแห่งความโปรดปราน ภาษาเดิมตรงนี้ คือปีแห่งการนิรโทษกรรมเผยพระวจนะมา 600 ปีแล้ว ในข้อความนี้ว่าปีแห่งการนิรโทษกรรม คือปีที่พระเจ้าจะส่งพระเมสิยาห์ มาเกิดเป็นมนุษย์ มาปลดปล่อยมนุษย์ แจกฟรี เรารู้ใช่ไหม? นิรโทษกรรม คือใครทำผิดอะไรมา ยกให้หมดเลย  เป็นพระคุณ ประกาศพระคุณนั่นแหละ โดยพระเยซูคริสต์ พระบุตรของพระองค์ นี่คือหัวใจ เห็นภาพเลยว่าพระองค์มาประกาศ

            มาประกาศให้พี่น้องชาวยิวได้เชื่อ แล้วกลับใจใหม่ซะ เลิกพึ่งพาการกระทำของตนเอง แล้วกลับใจมาวางใจในพระองค์ ง่ายๆ อย่างนี้ มันไม่ได้เกี่ยวกับพวกเราที่เป็นคนต่างชาติ ที่ไม่ใช่ยิวเลย นึกภาพนะ นี่คือสิ่งที่พระองค์ทรงกระทำตลอด 3 ปีก่อนที่จะถูกตรึงที่ไม้กางเขน ก่อนที่จะเป็นขึ้นจากความตาย  ทำงาน การไถ่บาปให้กับมวลมนุษย์สำเร็จ

            เห็นชัดไหมครับว่าพวกเราที่เป็นคนต่างชาติ ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับพันธสัญญาเดิมนี้เลย ที่พระเยซูยกตัวอย่าง อ่านให้เขาฟังนี้ เสร็จแล้ว ประกาศปีแห่งความโปรดปรานของพระเจ้า พระองค์สัญญากับชาวยิว ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับเรา ซึ่งมีผลกับเราด้วยก็จริง แต่ไม่ได้เกี่ยวกับเราในหนังสือที่บันทึกเอาไว้นี้เลย

            ท่านลองคิดดูสิ ถ้าท่านฟังดู แล้วเอามาเป็นของตัวเอง ท่านจะรู้เรื่องได้อย่างไร?  เราเป็นคนต่างชาติ เราไม่รู้ว่าธรรมศาลาคืออะไร? วันสะบาโตคืออะไร? ใครคืออิสยาห์? ที่พระเยซูพูด แต่พวกชาวยิวเขารู้หมด  เขารู้ตั้งแต่เล็กๆ แล้ว วันสะบาโต คือวันเสาร์ ต้องเข้าธรรมศาลา คือสถานที่ที่จะมาเรียนถ้อยคำพระเจ้า เหมือนเราเข้าโบสถ์ แต่สำหรับชาวยิว โดยเฉพาะ คนไม่ยิว ไม่รู้เรื่อง ยิ่งบอกว่าหนังสืออิสยาห์บันทึกไว้อย่างนี้ ยิ่งไม่รู้เรื่องใหญ่เลย อิสยาห์คือใคร? เพราะฉะนั้น มันไม่ได้เกี่ยวอะไรกับเราเลย เราเป็นคนต่างชาติ ไม่รู้จักกับพระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่สูงสุด ที่เขากำลังพูดถึง ไม่เข้าใจถึงพันธสัญญาเดิมที่เขาทำกันไว้กับชาวยิว เราเป็นคนต่างชาติที่ยังอยู่ในความเชื่อเดิมๆ ของเรา ในศาสนา ในรูปเคารพต่างๆ ในความเชื่อแบบเทพ แบบผีสางนางไม้ เยอะแยะไปหมด ชาวยิวเขาเรียกพวกเราว่าคนต่างชาติ พวกป่าเถื่อน ไม่ศิวิไลซ์ ไม่รู้จักพระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่สูงสุด เพียงพระองค์เดียว ผู้ที่มีชีวิตอยู่ ที่ดูแลทุกอย่าง เป็นผู้สร้างสรรพสิ่งทั้งหลายที่มองเห็น เขาบอกพวกเราเป็นคนตาบอด พวกนอกสวรรค์ พูดง่ายๆ เขานึกว่าเขาอยู่ในสวรรค์กับพระเจ้า อยู่ใกล้ชิดพระเจ้า เขาสูงกว่าเราเยอะมาก เขาไม่คบกับเราด้วยซ้ำไป  พวกเราเป็นมลทิน เห็นไหม? เขากำลังคุยกับชาวยิว เราไปแอบอ่านของเขา แล้วเราเอามาใช้กับตัวเราเอง ก็หนักสิ

            คราวนี้เราลองมาดูถ้อยคำแห่งความจริงที่พระเยซูพูดกับคนต่างชาติ ท่านอาจจะสงสัย มีด้วยเหรอ พระเยซูพูดกับคนต่างชาติ ก็บอกแล้วไงว่าพระเยซูเป็นขึ้นจากความตาย แล้วก็ข่าวดีเรื่องพระเยซูคริสต์มาไถ่บาปมนุษย์ ได้ถูกประกาศให้กับคนต่างชาติ คนต่างชาติได้มาเชื่อในพระเยซู แล้วได้บังเกิดใหม่ พอบังเกิดใหม่แล้ว วิญญาณเขาสะอาดหมดจดแล้ว พระเจ้าก็เข้ามาสถิตอยู่ในตัวเขา พระวิญญาณของพระคริสต์ก็สถิตอยู่ในตัวเขา พระเยซูคริสต์ก็สถิตอยู่ในตัวเขา เวลาจะประกาศ จะพูดเรื่องถ้อยคำพระเจ้าใครพูด? พระเยซูคริสต์ พระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระคริสต์เป็นผู้พูดผ่านทางคนๆ นั้นที่เชื่อ ดูสิว่าพระเยซูคริสต์พูดอะไรกับเรา เราซึ่งเป็นคนต่างชาติ ที่ไม่ใช่ยิว ที่กลับใจมาพึ่งพระองค์แล้ว เป็นคริสเตียนที่เกิดใหม่แล้ว เห็นไหม มันต่างกันนะ ตะกี้พูดกับชาวยิวยังไม่เกิดใหม่เลย ยังไม่ได้เป็นคริสเตียน แต่ตอนนี้พูดกับเราที่เป็นคนต่างชาติ ที่เป็นคริสเตียนแล้ว มาดูข้อมูล ดูหลักฐาน คำพูด สื่อให้เราได้เห็น  แตกต่างกับเมื่อตะกี้นี้ ฟ้ากับเหวเลย แต่เป็นเรื่องเดียวกันทางโลกฝ่ายวิญญาณ คือเรื่องของการได้เข้าสวรรค์ โดยพระคุณ ด้วยข่าวดีของพระเจ้าเท่านั้น เอเฟซัส 2:11-19 …

        เอเฟซัส 2:11-19 “11 เหตุฉะนั้น ท่านจงระลึกว่าแต่ก่อน ท่านเป็นคนต่างชาติ คือไม่ใช่ชาวยิวโดยกำเนิด และบรรดาผู้ที่เรียกตนเองว่า “พวกที่เข้าสุหนัต” (ซึ่งกระทำทางกายด้วยมือมนุษย์) (คือชาวยิว) เรียกท่านว่า “พวกไม่เข้าสุหนัต” 12 จงระลึกว่าตอนนั้น ท่านได้ถูกแยกจากพระคริสต์ ไม่ได้มีความสัมพันธ์กับพระองค์ ไม่ได้เป็นพลเมืองยิว และเป็นคนต่างด้าว อยู่นอกพันธสัญญาที่พระเจ้าทรงสัญญาไว้ ไม่มีความหวัง และอยู่ในโลกโดยปราศจากพระเจ้า 13 แต่บัดนี้ ในพระเยซูคริสต์ ท่านทั้งหลายซึ่งเมื่อก่อนอยู่ไกลพระเจ้า ได้ถูกนำเข้ามาใกล้แล้ว โดยพระโลหิตของพระคริสต์ 14 เพราะพระองค์เอง ทรงเป็นสันติสุขของเรา ผู้ทรงทำให้เราสองพวก คือพวกยิวและพวกคนต่างชาติ ผูกพันเป็นหนึ่งเดียวกัน เป็นร่างกายเดียว และทรงทำลายสิ่งกีดขวาง คือกำแพงแห่งความเกลียดชังที่กีดกั้นลง 15 โดยทรงล้มเลิกบทบัญญัติทั้งหมดของชาวยิว (ในพันธสัญญาเดิม) ซึ่งประกอบด้วยข้อบังคับและกฎระเบียบต่างๆ ด้วยพระกายของพระองค์(พระเยซูคริสต์) จุดประสงค์ของพระองค์ ก็เพื่อยุบสองพวกสองฝ่าย และสร้างขึ้นใหม่เป็นหนึ่งเดียวในพระองค์ (พระเยซูคริสต์) เช่นนี้แหละจึงทรงทำให้มีสันติสุข 16 และในกายเดียวนี้ ทั้งสองพวกจึงกลับคืนดีกับพระเจ้า โดยไม้กางเขน ซึ่งพระองค์ทรงใช้ทำลายความเป็นศัตรูกันให้หมดสิ้นไป 17 พระองค์เสด็จมาประกาศสันติสุขแก่ท่านทั้งหลายที่อยู่ไกล (หมายถึงพวกต่างชาติ) และสันติสุขแก่ผู้ที่อยู่ใกล้ (หมายถึงพวกยิว) 18 เพราะโดยพระองค์ เราทั้งสองพวก สามารถเข้าถึงพระบิดา โดยพระวิญญาณองค์เดียวกัน 19 ดังนั้น ท่านจึงไม่ใช่คนต่างด้าวแปลกถิ่นอีกต่อไป แต่เป็นพลเมืองเดียวกับประชากรของพระเจ้า และเป็นสมาชิกในครอบครัวของพระเจ้า”

            นี่พระองค์ก็กำลังพูดถึงโลกฝ่ายวิญญาณ เหมือนกัน เหมือนกับตะกี้นี้ ที่พูดตอนเดินอยู่บนโลกใบนี้ ก่อนจะถูกตรึงที่ไม้กางเขน ตอนนี้หลังตรึงแล้ว ก็พูดเหมือนกัน อย่างที่ผมบอกว่าเรื่องข่าวดีของพระเจ้า เรื่องเกี่ยวกับพระเจ้า เป็นเรื่องเกี่ยวกับวิญญาณ ตั้งแต่หน้าแรก ถ้อยคำแรก จนถึงถ้อยคำสุดท้ายของพระคัมภีร์ทั้งเล่ม เป็นเรื่องเกี่ยวกับฝ่ายวิญญาณทั้งสิ้น

            ข้อ 11-12 บอกว่า “เหตุฉะนั้น ท่านจงระลึกว่าแต่ก่อนนี้ท่านเป็นคนต่างชาติ” เห็นไหมครับ เรารู้แล้ว ผมปูพื้นให้ท่าน เข้าใจตรงนี้แล้ว

            “ท่านเป็นคนต่างชาติ คือไม่ใช่ยิวโดยกำเนิด และบรรดาผู้ที่เรียกตนเองว่า “พวกที่เข้าสุหนัต” ซึ่งกระทำทางกายด้วยมือมนุษย์ ก็คือชาวยิว ชาวยิวเขาทำพันธสัญญากับพระเจ้า สมัยโน้น ก่อนที่พระเยซูจะมาเกิด โดยการเข้าสุหนัต

            “พวกยิวเรียกท่านว่า “พวกไม่เข้าสุหนัต” ก็คือพวกที่อยู่นอกพันธสัญญา  สัญลักษณ์ของพันธสัญญาเดิมกับยิว พระเจ้าให้ทำ คือการขลิบปลายอวัยวะเพศชาย ซึ่งต่างชาติไม่เกี่ยว ก็เลยเรียกต่างชาติว่าคนนอกพันธสัญญา คือไม่มีพระเจ้านั่นเอง

            “จงระลึกว่าตอนนั้น ท่านได้ถูกแยกจากพระคริสต์” ไม่อยู่ในพันธสัญญา ก็คือแยกออกมา ไม่มีการสามัคคีธรรม ไม่มีการติดต่อกันกับพระเจ้า สรุป ตอนนั้นท่านไม่รู้จักพระเจ้า ท่านถูกแยกออกจากพระคริสต์ เห็นหรือเปล่า ใช้คำว่าพระคริสต์เลย ก็แสดงว่าตอนนั้น พระคริสต์ก็สำแดง หรือว่าทำการงานอยู่แล้ว เพราะไม่ว่าจะเรียกว่าพระคริสต์ หรือพระวิญญาณ เผยพระวจนะ หรือพระเจ้าพระบิดา  พระองค์กระทำการงานร่วมกัน เป็นหนึ่งเดียวกัน  แยกกันทำงานตามหน้าที่ ลักษณะการงานต่างกัน  เห็นไหมครับ?

            “ไม่ได้มีความสัมพันธ์กับพระองค์ ไม่ได้เป็นพลเมืองยิว” เห็นหรือยัง? ไม่ได้เป็นประชาชนยิว

            “และเป็นคนต่างด้าว อยู่นอกพันธสัญญาที่พระเจ้าทรงสัญญาไว้ ไม่มีความหวัง” เพราะพระเจ้าไม่ได้สัญญาอะไรกับเรา  แต่ชาวยิว พระเจ้าสัญญาว่าเดี๋ยวจะมีพระคัมภีร์ใหม่ พระเจ้าจะส่งพระเมสิยาห์มาช่วย เห็นไหม และขณะเดียวกัน พระเจ้าไม่สถิตอยู่กับเขาด้วย อยู่ที่โฮลี่ ออฟ โฮลี่ส์ อยู่ที่อภิสุทธิสถาน  พลับพลาที่โมเสสสร้างขึ้น เป็นวิหารของพระองค์อยู่บนโลก ในขณะนั้น พวกต่างชาติเหล่านั้น ในนี้บอกว่า …

            “และอยู่ในโลกโดยปราศจากพระเจ้า” ชัดหรือยัง? ปราศจากพระเจ้า ไม่รู้จักพระเจ้าเลย  แต่พวกชาวยิวเขารู้จัก

            ข้อ 13 “แต่บัดนี้” บัดนี้ คือตอนนี้ ตอนที่หลังจากพระเยซูคริสต์เป็นขึ้นจากความตายแล้ว หลังจากนั้นแล้ว แล้วเราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ พระมาซีฮาห์ พระผู้ช่วยให้รอดเช่นเดียวกันแล้ว บัดนี้ ก็คือหลังจากเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์แล้ว ตั้งแต่บัดนี้ ในพระเยซูคริสต์ แสดงว่าเปิดใจต้อนรับพระเยซูปุ๊บ เราเข้าไปอยู่ในพระเยซูคริสต์เลย

            “แต่บัดนี้ ในพระเยซูคริสต์ ท่านทั้งหลายซึ่งเมื่อก่อนอยู่ไกลพระเจ้า ได้ถูกนำเข้ามาใกล้แล้ว โดยพระโลหิตของพระคริสต์” ก็คือแต่ก่อนนี้ เราไม่รู้จักพระเจ้า อยู่ไกลมากเลย  ไกลสุดเลย ไม่รู้จักพระเจ้าที่เป็นพระเจ้าเที่ยงแท้แต่องค์เดียว ที่สร้างสรรพสิ่งทั้งหลาย บัดนี้ ด้วยความเชื่อในพระเยซูคริสต์ว่าหลั่งพระโลหิตชำระบาปให้เรา ทำให้เราสามารถบริสุทธิ์ สะอาดได้นั้น เราได้รับการเข้าไปอยู่ในพระองค์ บริสุทธิ์ สะอาด รู้จักพระองค์ ใกล้ชิดมากเลย เป็นหนึ่งเดียวกับพระองค์เลย  คืออยู่ในพระองค์ทันที

            ข้อ 14 “เพราะพระองค์เอง ทรงเป็นสันติสุขของเรา” รู้ไหมว่าสันติสุขคืออะไร?  ไม่ใช่ความสงบนะ  เพราะพระองค์เองเป็นสันติสุขของเรา คือพระองค์เอง เป็นความรอดนิรันดร์ ในจิตวิญญาณ ในใจของเรา และรับรู้ว่าเราได้รับความรอดแล้ว เราเป็นลูกของพระเจ้าแล้ว เราไม่กลัวชีวิตหลังความตายแล้ว เรามีความหวัง 100% เราหายเหนื่อยและเป็นสุขแล้ว ขอบคุณพระเจ้าของเรา เพราะพระองค์เอง เป็นผู้ทำให้เราหายเหนื่อยและเป็นสุข เป็นสันติสุขของเรา คือพระเยซูคริสต์

        “ผู้ทรงทำให้เราสองพวก คือพวกยิวและพวกคนต่างชาติ” เห็นไหมครับ มี 2 พวกเอง มนุษย์ “ผูกพันเป็นหนึ่งเดียวกัน” ต่างคน ต่างมาเชื่อพระเยซูเหมือนกัน ต่างคนต่างมาวางใจในพระเยซูเหมือนกัน หลังจากที่พระเยซูสิ้นพระชนม์ที่ไม้กางเขน เป็นขึ้นจากความตายแล้ว มนุษย์ทุกคนไม่ว่าจะยิวหรือไม่ยิว ก็ต้องผ่านทางพระเยซูคริสต์ เพื่อจะได้เข้ามาอยู่ในสวรรค์ คืออยู่ในพระคริสต์ได้เหมือนกัน

            “ผูกพันเป็นหนึ่งเดียวกัน เป็นร่างกายเดียว และทรงทำลายสิ่งกีดขวาง คือกำแพงแห่งความเกลียดชังที่กีดกั้นลง” ทำลายสิ่งกีดขวาง กำแพงความเกลียดชัง ก็คือทำลายความรู้สึกที่ชาวยิวมีต่อเราว่าเป็นคนด้อย เป็นคนไม่มีพระเจ้า เป็นคนป่าเถื่อน แล้วเราก็มองชาวยิวว่าเย่อหยิ่งเหลือเกิน ทำเป็นแน่ ไม่ค่อยเข้ากันนะ อยู่ด้วยกันไม่ได้ ไม่คบกันด้วยซ้ำไป

            นี่ก็คือหนึ่งในจำนวนที่ถูกทำลายไปด้วยการบังเกิดใหม่ในพระเยซูคริสต์ แล้วอีกอันหนึ่ง ทำลายสิ่งกีดขวาง ก็คือทำให้กลับคืนดีกับพระเจ้า แทนที่จะเป็นศัตรูกับพระเจ้า ชาวยิวที่ไม่เชื่อในพระเยซู เป็นศัตรูกับพระเจ้า และชาวต่างชาติที่เป็นศัตรูกับพระเจ้าอยู่ เพราะไม่รู้จักพระเจ้า ได้ถูกทำลาย กลับมาเป็นลูกพระเจ้า เป็นมิตรกับพระเจ้า ตรงนี้ด้วย

            ข้อ 15 ทั้งหมดนี้เกิดขึ้น โดยอะไร? … “โดยทรงล้มเลิก” ใครล้มเลิก “พระเยซูคริสต์ทรงล้มเลิกบทบัญญัติทั้งหมดของชาวยิว” 3 ปีก็บอกแล้วไง อย่ามายึดถือบทบัญญัติ กำลังจะล้มเลิกๆ พระเจ้าพระบิดากำลังจะเลิกแล้ว ถ้าขืนยึดอยู่ต่อไป ท่านตายแน่

        “ทรงล้มเลิกบทบัญญัติทั้งหมดของชาวยิวในพันธสัญญาเดิม” ผมใส่ให้ในพันธสัญญาเดิม ก็คือสำหรับเราและสำหรับชาวยิว ในขณะที่เป็นคริสเตียนแล้ว มีพันธสัญญาใหม่ เขาก็เรียกพันธสัญญาสมัยก่อนว่าพันธสัญญาเดิม  “เดิม” มันเลยโผล่ขึ้นมา

        “ซึ่งประกอบด้วยข้อบังคับและกฎระเบียบต่างๆ ด้วยพระกายของพระองค์ (พระเยซูคริสต์) จุดประสงค์ของพระองค์ ก็เพื่อยุบสองพวกสองฝ่าย และสร้างขึ้นใหม่เป็นหนึ่งเดียวในพระองค์ (พระเยซูคริสต์) เช่นนี้แหละจึงทรงทำให้มีสันติสุข” ด้วยพระกาย การสิ้นพระชนม์ การหลั่งพระโลหิตของพระองค์ที่ไม้กางเขน  ได้ทำลายบทบัญญัติต่างๆ เหล่านั้น เลิกล้มบทบัญญัติเหล่านั้น ให้มาบังเกิดใหม่ มาถือพันธสัญญาใหม่ เพราะเดี๋ยวจะไปถึงพันธสัญญาใหม่แล้ว ต้องจำให้แม่นๆ

            ข้อ 16 “และในกายเดียวนี้ ทั้งสองพวก” ทั้งสองพวกคือชาวยิวกับชาวต่างชาติ “ในกายเดียวกันนี้” คือในพระคริสต์ ไม่ว่าจะยิวหรือไม่ยิว ก็อยู่ในพระคริสต์ เมื่อมาเชื่อในพระคริสต์ ก็อยู่ในสวรรค์แล้ว สวรรค์ก็คือพระคริสต์นั่นแหละ อยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้าในสวรรค์ ในพระคริสต์ เกิดใหม่ในพระคริสต์ เป็นกายเดียวกันในพระคริสต์ ได้รับความรอดในพระคริสต์

        “และในกายเดียวกันนี้ ทั้งสองพวกจึงกลับคืนดีกับพระเจ้า” เห็นไหม จึงกลับคืนดีกับพระเจ้า คือพ้นบาป เป็นผู้บริสุทธิ์ ดีพร้อม เข้ากับพระเจ้า เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเจ้าได้เลย แฮปปี้ ผ่านอะไร? “โดยไม้กางเขน ซึ่งพระองค์ทรงใช้ทำลายความเป็นศัตรูกันให้หมดสิ้นไป” เป็นศัตรูกับพระเจ้าหมดสิ้นไปเลย  โดยการสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขนของพระเยซูคริสต์ ทำให้มวลมนุษย์กลับคืนดีกับพระเจ้า นี่คือความโปรดปรานของพระเจ้าจริงๆ แทนที่จะเป็นศัตรูกัน กลับมาเป็นลูก แทนที่จะเป็นคนบาป ไม่เชื่อฟัง ที่ต่อต้านพระเจ้า กลายมาเป็นลูกที่เชื่อฟัง น่ารัก น่าเอ็นดูของพระเจ้าเรียบร้อยแล้ว  โดยไม่ต้องทำอะไรเลย เอเมน

            ข้อ 17 “พระองค์เสด็จมาประกาศสันติสุขแก่ท่านทั้งหลายที่อยู่ไกล” ใครประกาศ คือพระองค์ พระเยซู อย่างที่ผมบอกแล้วไงว่า 3 ปีก่อนที่จะทำงานสำเร็จ  พระองค์ประกาศกับชาวยิว พวกแรก ไม่ได้เกี่ยวอะไรกันกับเราเลย อ่าน ฟัง แล้วจะได้รู้ว่าพื้นฐานเป็นอย่างไร? เพื่อจะได้ไม่หลงทาง  ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับเราเลย 3 ปีนั้น พอหลัง 3 ปี งานสำเร็จเรียบร้อยที่ไม้กางเขนแล้ว คราวนี้ ประกาศกับคนต่างชาติที่ไม่ใช่ยิว ประกาศเรื่องเกี่ยวกับอะไร? เรื่องเกี่ยวกับสวรรค์มาตั้งอยู่ สวรรค์เรียกอีกชื่อหนึ่งว่าสันติสุข ใครแบกภาระหนักและเหน็ดเหนื่อยมาหาเรา เราจะให้เขาหายเหนื่อยและเป็นสุข คนไหนที่อยู่ในโลกใบนี้เหน็ดเหนื่อยและแบกภาระหนัก เหมือนอยู่ในนรกเลย มาหาเรา เราจะให้เขาเข้าไปอยู่ในสวรรค์ คือสันติสุขในพระคริสต์ หายเหนื่อยและเป็นสุข

        “พระองค์เสด็จมาประกาศสันติสุขแก่ท่านทั้งหลายที่อยู่ไกล คือคนต่างชาติ ไม่รู้จักพระเจ้า ไกลโพ้นเลย  และสันติสุข คือสวรรค์ แก่ผู้ที่อยู่ใกล้ ก็คือยิว” อยู่ตั้งแต่บรรพบุรุษเลย  รู้จักสนิทสนม  ทุกวันสะบาโต วันเสาร์ก็ไปวิหาร  ถึงเวลาบ่าย 3 โมง วันละ 3 ครั้ง ก็ไปวิหาร นมัสการ ถึงเทศกาล ก็ไปทำพิธีถวายสัตวบูชา อะไรก็ว่าไป สนิทสนมกับพระเจ้า พระเจ้าอยู่ด้วย  คนต่างชาติอยู่ไกลมาก ไม่รู้เรื่องเลย พระเจ้าอะไรไม่รู้เรื่อง ทำพิธีอะไร? เรายังบูชาภูเขาไฟอยู่เลย นึกว่าภูเขาไฟเป็นพระเจ้า  นึกว่าฟ้าผ่าเป็นพระเจ้า นึกว่าต้นไม้ใหญ่ๆ เป็นพระเจ้า นึกว่าสัตว์เหล่านี้เป็นพระเจ้า สร้างรูปอะไรต่างๆ “เรา” หมายถึงคนต่างชาติ ตั้งแต่สมัยอดีต

            ข้อ 18 “เพราะโดยพระองค์ เราทั้งสองพวก สามารถเข้าถึงพระบิดา โดยพระวิญญาณองค์เดียวกัน”

            ขอบคุณพระเจ้า เห็นชัดเลยนะ  “เพราะโดยพระองค์” คือใคร? ก็ผู้ที่มาพูดให้ฟัง มาประกาศให้ฟัง  …

            “เรานั่นแหละ คือพระเจ้ามาเกิดเป็นมนุษย์ ที่พระเจ้าสัญญาไว้ ผ่านทางเราเท่านั้น ท่านถึงจะไปถึงพระบิดาได้ นอกจากทางเรา ท่านไปหาพระเจ้าไม่ได้ นอกจากทางเรา ท่านเข้าสวรรค์ไม่ได้เลย ไม่มีทางเลย  ไม่ว่าท่านกระทำดีแทบตาย ก็เข้าไม่ได้ ผ่านทางเราเท่านั้น ไม่ใช่ผ่านทางใครก็ตาม  แต่ต้องผ่านทางเรา พระเมสิยาห์ คือพระเจ้าที่มาเกิดเป็นมนุษย์ มีผู้เดียวเท่านั้นที่เป็นพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์ เราทำการอัศจรรย์เยอะแยะมากมายขนาดนี้ ท่านยังไม่เชื่อเราอีกหรือ? บรรพบุรุษของท่านตั้งเยอะแยะมากมาย รอเราอยู่ แล้วเรามาทำทุกอย่าง ตามที่บทบัญญัติในพระคัมภีร์เดิม ได้บอกไว้ล่วงหน้าว่าเราจะมาอย่างไร? ตรงหมดเลย ท่านยังไม่เชื่ออีกหรือ?” นี่พูดกับชาวยิว

            ท่านควรจะเป็นหลักได้รับความรอด ก่อนคนต่างชาติอีก แต่ที่ไหนได้ ท่านกลับดื้อ และเย่อหยิ่งในความดีของตนเอง ในการสะสมความดี นึกว่าเราทำดีเยอะแยะมากมายกว่าคนต่างชาติตั้งเยอะ เรารักษาบัญญัติอย่างนี้ เราควรจะไปสวรรค์ก่อนแล้ว ไม่มีทางหรอกที่คนต่างชาติจะไปสวรรค์ได้ เพราะเขาไม่ได้ทำอะไรเลยสักนิดหนึ่ง ไม่รู้จักพระเจ้าด้วย อิจฉาเขาอีก ตัวเองก็ไม่ได้รับความรอด         นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้น แต่ในพระคัมภีร์ก็มีสัญญาไว้ว่าในที่สุดแล้ว เขาก็จะเชื่อในข่าวประเสริฐนี้

        ข้อ 19 “ดังนั้น ท่านจึงไม่ใช่คนต่างด้าวแปลกถิ่นอีกต่อไป” ทำไมพูดอย่างนั้น แต่ก่อนนี้เราไม่ใช่พลเมืองยิว พลเมืองยิว พระเจ้าถือว่าเป็นประชากรของพระองค์ แม้ว่าเขาจะอยู่บนโลกใบนี้ เหมือนกับเราทั้งหลาย  แต่เขารู้จักพระองค์ เขาอยู่ในพันธสัญญาเดิม  เขารักษาบทบัญญัติที่พระเจ้าให้ไว้ พระเจ้าถือว่าเขาเป็นประชากรของพระองค์ เราไม่ได้เป็นประชากรของพระองค์ เราเป็นประชากรของใครรู้ไหม? มีอยู่ 2 พวก …

            –  พวกหนึ่งเรียกว่าพวกยิว  เรียกว่าประชากรของพระองค์  ของพระเจ้า

            –  และอีกพวกหนึ่งเรียกว่าพวกต่างชาติ เรียกว่าประชากรของโลกนี้

            มีอยู่แค่ 2 อย่างเอง โลกนี้ ซึ่งเป็นศัตรู ต่อต้าน ปฏิเสธพระเจ้า มันเป็นอย่างนี้

        “แต่เป็นพลเมืองเดียวกับประชากรของพระเจ้า” ก็คือเป็นเหมือนกับชาวยิว สมัยก่อนที่เล็งให้เห็นถึงการไถ่ การเป็นลูกของพระเจ้า ฝ่ายวิญญาณในอนาคต

            เพราะในนี้เขียนว่า “แต่เป็นพลเมืองเดียวกับประชากรของพระเจ้า และเป็นสมาชิกในครอบครัวของพระเจ้า” พระเจ้าให้ชาวยิวในสมัยก่อนเป็นเหมือนประชากรของพระเจ้า  เป็นครอบครัวของพระเจ้า เล็งให้เห็นถึงโลกฝ่ายวิญญาณในอนาคตว่าประชากรของพระเจ้า จะเป็นหนึ่งเดียวในโลกฝ่ายวิญญาณ เขาทั้งหลายจะรวมเป็นหนึ่งเดียวกัน  อยู่ในบ้านหลังหนึ่ง ที่เรียกว่าครอบครัวของพระคริสต์ ในพระคริสต์ ถ้าเราอยู่ในพระคริสต์ เราก็เป็นคนของพระคริสต์ เราก็เป็นสมาชิกในครอบครัวของพระคริสต์  เราก็มีพระบิดาเดียวกัน คือพระบิดาผู้สถิตในสวรรคสถานของพระเยซูคริสต์นั่นเอง

            เพราะฉะนั้น เราซึ่งเป็นพวกต่างชาติ ที่หันมาวางใจในพระเยซูคริสต์ ได้เป็นคริสเตียน ได้บังเกิดใหม่แล้ว อยู่ในพันธสัญญาใหม่แล้ว  อยู่ในพระคริสต์แล้ว  ไม่ได้อยู่ และไม่เคยอยู่ใต้บทบัญญัติของพันธสัญญาเดิมเลย  ก็ คือบทบัญญัติในสมัยโมเสส เราเป็นคริสเตียน อยู่ในพันธสัญญาใหม่อยู่แล้ว

            คำถาม คือแล้วทำไมจึงไปเอากฎบัญญัติในพันธสัญญาเดิม บทบัญญัติของโมเสสของชาวยิวนั้น มาสอนให้คริสเตียนผู้เชื่อปฏิบัติ ทั้งๆ ที่พระเยซูก็ได้มายกเลิกแล้วด้วยซ้ำไป  ที่ผมกำลังพูด เหมือนกับที่พระเยซูคริสต์ประกาศเมื่อ 3 ปี ก่อนที่พระองค์จะทรงสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน ให้กับชาวยิว ให้เขาเลิก

            พูดอีกครั้งหนึ่งก็ได้ เราที่เป็นคริสเตียนในปัจจุบัน หลังจากพันธสัญญาใหม่ หลังจากที่พระเยซูกระทำงานสำเร็จเรียบร้อยแล้วบนไม้กางเขน ตามที่พระองค์ทรงสัญญาไว้  เราเกิดใหม่เป็นคริสเตียน เต็มประตูแล้ว แล้วก็อยู่ในพระคริสต์ อย่างที่เราวิเคราะห์ตามข้อพระคัมภีร์เมื่อตะกี้นี้ ในเอเฟซัสด้วยกันแล้ว ไฉนจึงเอากฎบัญญัติในพันธสัญญาเดิม บทบัญญัติของโมเสส ของชาวยิวนั้น มาประพฤติ มาปฏิบัติ มาสอนให้คริสเตียน ผู้เชื่อปฏิบัติ ทั้งๆ ที่พระเยซู ก็ได้มาบอกว่ายกเลิกแล้วด้วยซ้ำไป ถึงไม่ยกเลิก ก็ไม่เกี่ยวอะไรกับเราเลย เราไม่รู้ด้วยว่าบัญญัติมีอะไรบ้าง?  แต่เราพยายามกลับไปเรียนรู้ในสิ่งที่เขายกเลิกแล้ว เราก็ไปทำ

            เพราะฉะนั้น คำอธิษฐาน ในมัทธิว 6:9-15 ที่เรากำลังเรียนรายละเอียดอยู่ในซีรี่ย์นี้  เป็นคำอธิษฐานอยู่ภายใต้บทบัญญัติในพันธสัญญาเดิม ในสมัยโมเสส

            ย้ำอีกครั้งหนึ่ง และคำอธิษฐาน มัทธิว 6:9-15 นี้ ที่ดังมาก เป็นคำอธิษฐานภายใต้บทบัญญัติในพันธสัญญาเดิม ในสมัยโมเสสทั้งสิ้นใช่หรือไม่? ใช่ แล้วเราควรจะทำอย่างไร?

            แต่เราผู้เป็นคริสเตียน อยู่ในพันธสัญญาใหม่ในพระคริสต์แล้ว  อยู่ในพันธสัญญาใหม่ บัญญัติใหม่ พันธสัญญาใหม่ ในพระคริสต์คืออะไร? เราควรจะเรียนรู้ตรงนี้มากกว่า ในพระคริสต์ ในบ้านใหม่ บทบัญญัติว่าไว้อย่างไร? ไม่ใช่อยู่บ้านใหม่ แล้วไปเอาบ้านเก่ามารวมความ เหมือนที่พระเยซูยกตัวอย่างว่าเอาถุงหนังเก่ามาใส่ไวน์ใหม่ ถุงหนังก็ขาด รับไม่ได้ เอาผ้าเก่าไปปะผ้าใหม่ ก็ขาด เอาพระคัมภีร์เดิมมา แล้วเราอยู่ในพระคริสต์ก็อึดอัด ขาดเหมือนกัน ไม่มีสันติสุขเหมือนกัน

            บัญญัติใหม่ ในพันธสัญญาใหม่ ในพระคริสต์คืออะไร? ที่เราควรแนะนำ และให้คริสเตียน ผู้เชื่อทุกคน  ได้รับรู้ ได้เรียนรู้ และได้ฝึกฝน กระทำตาม ทั้งคริสเตียนที่เป็นยิวด้วย  และไม่ใช่ยิว คือคนต่างชาติ ควรจะทำอย่างนี้ จากนี้ต่อไป ซึ่งเป็นหน้าที่ของเปาโลและอัครทูต ประกาศ สอน หลังจากที่พระเยซูคริสต์สิ้นพระชนม์บนไม้กางเขนแล้ว และเป็นขึ้นจากความตายในวันที่ 3 แล้ว นี่ต่างหาก เพราะคำสอนเหล่านั้น  เป็นคำสอนมาจากพระวิญญาณเดียวกัน คือพระวิญญาณของพระคริสต์

            อยากรู้ไหมว่าในพระคริสต์ เรามีบทบัญญัติใหม่ที่ต้องถือไว้ อยากจะบอกว่า “ต้องถือ” เลยนะ ตอนนี้บอกว่าต้อง จะได้รู้ว่าต้องมันหายไปเพราะอะไร? บทบัญญัติที่พระเยซูคริสต์ให้กับเรา คนที่อยู่ในพระคริสต์ ฟังให้ดีๆ  นี่คือบัญญัติที่ต้องถือไว้ ยอห์น 13:34 …

        ยอห์น13:34 “เราให้บัญญัติใหม่เพียงบัญญัติเดียว ไว้แก่เจ้าทั้งหลาย คือให้เจ้ารักซึ่งกันและกัน เราได้รักเจ้าทั้งหลายมาแล้วอย่างไร  เจ้าจงรักกันและกันด้วยอย่างนั้น”

            บทบัญญัติในโมเสสมี 613 ข้อ พระเยซูบอกบทบัญญัติของคนที่อยู่ในพระคริสต์ มาเชื่อเราแล้ว บทบัญญัติเหลือกี่ข้อ? ตอบเองแล้วกัน

            เมื่อเราบังเกิดใหม่ พระเยซูได้แบ่งปันชีวิตนิรันดร์ของพระองค์ให้กับเรา  และชีวิตที่เป็นของพระองค์ ที่เป็นชีวิตนิรันดร์ ได้มาจากตอนที่พระองค์สิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน และพระเจ้าได้ชุบพระเยซูให้เป็นขึ้นจากความตาย และประทานชีวิตนิรันดร์ให้กับพระเยซูคริสต์ เป็นขึ้นจากความตาย  และชีวิตนิรันดร์นั้น พระเยซูก็แบ่งให้กับใครก็ตาม มนุษย์ทุกคน ที่วางใจในพระองค์ เข้ามาเป็นหนึ่งเดียวกับพระองค์ เข้ามาแชร์ คือให้เข้าร่วม รับไปด้วย ชีวิตนิรันดร์

            ชีวิตนิรันดร์มีลักษณะอะไร? พูดง่ายๆ รวมๆ คือมีลักษณะเป็นความรัก ที่เหมือนพระเจ้า ได้ให้กับเราแล้ว  แล้วเราก็จะแบ่งปันความรักนี้ เหมือนที่พระเยซูแบ่งปันความรักให้กับเรา  เราก็จะให้ความรักนี้ถ่ายทอดออกมา ให้แก่คนอื่นได้ เป็นไปตามธรรมชาติ  จากวิญญาณและใจใหม่ที่เป็นเหมือนพระองค์แล้ว

            อันนี้ต้องเหนื่อยไหม?  ต้องรักษาบัญญัติไหม? ต้องรักษาบัญญัติ แต่มันเป็นธรรมชาติของฉัน เหมือนบอกปลา …

            “เธอต้องรักษาบัญญัติของเธอนะ  เธอต้องอยู่ในน้ำนะ”

            ปลาบอกสบาย  … “ฉันอยากอยู่ๆ แล้ว เพียงแต่ฉันถูกหลอกขึ้นมาดิ้นอยู่บนบก ที่จริงฉันอยากอยู่ในน้ำอยู่แล้ว” เอเมนไหม?

            บัญญัติของพระองค์ คือไม่เป็นภาระ พระองค์บอกแล้ว  … “แอกของเราก็พอเหมาะ ภาระของเราก็เบา” บัญญัติ 613 ข้อ มาเหลือข้อเดียว  แล้วแถมให้ความสามารถจบแล้ว ง่ายนิดเดียวเลย

            หลังจากที่พระองค์ได้ทรงตระเวนประกาศให้กับชาวยิว เป็นเวลา 3 ปีแล้ว ก็ถูกตรึงบนไม้กางเขน สิ้นพระชนม์ แล้วเป็นขึ้นจากความตาย ในวันที่ 3 เริ่มต้นพันธสัญญาใหม่ ตามที่พระองค์ได้ทรงประกาศเอาไว้แล้ว 3 ปีนั้น บอกไว้แล้ว ผู้ใดที่เปิดใจต้อนรับข่าวดีนี้  ที่พระองค์ประกาศนี้  ไม่ว่าจะเป็นยิวหรือไม่ใช่ยิวก็ตาม  ก็จะได้รับการบังเกิดใหม่ เข้าสู่สวรรค์ในพระคริสต์ อยู่ในสวรรค์ที่เรียกว่าพระคริสต์ทันที ได้อยู่ในพระคริสต์ และได้ชีวิตนิรันดร์ เป็นชีวิตนิรันดร์ เป็นผู้ชอบธรรม บริสุทธิ์ดีพร้อม เหมือนพระคริสต์เลยทีเดียว ง่ายนิดเดียว

            นี่คือสิ่งที่พระองค์ทรงเดินอยู่บนโลกใบนี้ 3 ปี แล้วก็ให้ชาวยิวได้เห็นก่อนว่า … “จงแสวงหาอาณาจักรของพระเจ้า  และความชอบธรรมของพระองค์ก่อน ทางของเราแคบนะ  แต่เข้าไปแล้ว มันกว้าง” ทางมันแคบ เพราะว่ามันง่ายเกินกว่าที่ท่านคิด “แล้วได้บังเกิดใหม่ทางวิญญาณ” พอเปิดใจแล้ว ได้เกิดใหม่ทางวิญญาณ  อันเกิดใหม่ทางวิญญาณ เกิดจากหน่อเชื้ออมตะของพระเจ้า  ที่เรียกว่าชีวิตนิรันดร์ ได้เป็นลูกของพระเจ้า  เป็นความรักเหมือนพระเจ้า  ในวิญญาณใหม่และใจใหม่ที่พระองค์ทรงสัญญาเอาไว้  ตั้งแต่พระคัมภีร์เดิมแล้ว แล้วก็ดำเนินชีวิตด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์  ที่เข้ามาสถิตอยู่ด้วย ข้างในเรา  ตอนเราเปิดใจต้อนรับพระเยซู พระวิญญาณนี้ก็จะนำทางเรา ในความรักแบบพระเจ้าอย่างนี้ จะสอนเรา บอกเรา นำพาเราด้วยความรักอย่างนี้ ดำเนินชีวิตด้วยความรักอย่างนี้ ตามธรรมชาติอย่างนี้ ไปจนกระทั่งถึงตายหรือ? ไม่ใช่ ไปจนกระทั่งถึงหลังความตาย  ก็คือนิรันดร์ ไปอยู่กับเราจนถึงนิรันดร์ ไม่มีวันเปลี่ยนแปลงแล้ว  เกิดแล้วเกิดเลย เป็นลูกพระเจ้าแล้ว เป็นลูกพระเจ้าเลย อยู่กับพระเจ้าแล้วอยู่เลย อยู่ในพระคริสต์แล้ว ไม่มีไปไหนอีกแล้ว  เอเมน อยู่ในพระคริสต์แล้ว ย้ายจากอยู่ในนรก ย้ายจากอาดัมมาอยู่ในพระคริสต์แล้ว  เพราะฉะนั้น ไม่มีความเปลี่ยนแปลง

            สิ่งที่ควรจะรับรู้ สำหรับคริสเตียน ผู้ที่อยู่ในพระคริสต์แล้ว ควรจะจำได้มากกว่าจำคำอธิษฐาน ในมัทธิว 6:9-15 น่าจะจำตรงนี้แทน นี่คือจำนวนหนึ่งที่ควรจะเป็นบทภาวนา เป็นบทอธิษฐาน ให้จดจำให้ได้ สำหรับผู้คนที่วางใจในพระเยซูคริสต์ และเป็นคริสเตียนแล้ว …

            “ฉันอยู่ในพระคริสต์ เป็นชีวิตนิรันดร์  เป็นผู้ชอบธรรม   บริสุทธิ์   ดีพร้อมเหมือนพระคริสต์  และพระคริสต์อยู่ในฉัน  เป็นความหวังแห่งพระสิริ  ที่ฉันได้ร่วมรับกับพระองค์ ตั้งแต่บัดนี้ บนโลกนี้ จนถึงโลกหน้า นิรันดร์ วิญญาณภายในฉัน จึงเป็นความรัก เป็นสง่าราศีของพระเจ้า ฉันจึงสามารถดำเนินชีวิตด้วยความรักนี้ อย่างง่ายดายตลอดไป เอเมน”

            พระเจ้าอวยพรครับ

********************

จากใจคณะศิษยาภิบาล

            ใครจะฟ้องร้องบรรดาผู้ที่พระเจ้าทรงเลือกไว้ ในพระเยซูคริสต์?

            โคโลสี 2:10 … “แล้วเมื่อท่านอยู่ในพระคริสต์ ท่านก็เป็นชีวิตที่เต็มบริบูรณ์เหมือนกัน พระคริสต์เป็นศีรษะเหนือกฎบัญญัติต่างๆ (ที่กล่าวโทษเรา) เหนือพวกผู้ครอบครอง  (ผู้นำทางศาสนา ที่ใช้บัญญัติโจมตีกล่าวโทษเรา)  และเหนือเหล่าพวกทูตสวรรค์ทั้งสิ้น ที่มีฤทธิ์อำนาจในจักรวาล”

            เมื่อเราเปิดใจยอมรับ ให้พระเจ้าเข้ามาผ่าตัดวิญญาณ พอวิญญาณเราย้ายเข้ามาอยู่ในพระคริสต์แล้ว เราก็เป็นลูกของพระเจ้า ได้เป็นชีวิตนิรันดร์ที่กำเนิดจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้าที่ครบถ้วนบริบูรณ์เหมือนพระคริสต์เลย

            พระเยซูคริสต์บริสุทธิ์เท่าไร เราก็บริสุทธิ์เท่านั้น

            พระเยซูคริสต์ เป็นผู้ชอบธรรมเท่าไร เราก็เป็นผู้ชอบธรรมเท่านั้น

            พระเยซูคริสต์ดีพร้อม ไร้ตำหนิ ไร้มลทินใดๆ เลย เราก็ดีพร้อม ไร้ตำหนิ ไร้มลทินใดๆ เหมือนพระองค์เลย

            เราเป็นชีวิตนิรันดร์  วิญญาณที่เกิดใหม่ของเรา เต็มไปด้วยสง่าราศีเหมือนพระเยซูคริสต์เลย

            ดังนั้น อย่ายอมเชื่อมาร ที่คอยพยายามกล่าวโทษฟ้องร้องเราทั้งหลาย ผู้ชื่อในพระเยซูคริสต์ ที่ได้บังเกิดใหม่แล้วว่าเรายังเป็นคนบาป ทำสิ่งที่เป็นบาปอยู่เลย ไม่ได้เป็นผู้ชอบธรรม ไม่บริสุทธิ์สมกับเป็นลูกของพระเจ้า ทำสิ่งนั้นผิด ทำสิ่งนี้ผิด ยังไม่ได้ทำสิ่งนี้ ยังไม่ได้ทำสิ่งโน้น ไม่ว่าจะส่งข้อกล่าวโทษโดยตรงมาที่ความคิดของเรา หรือฟ้องเราผ่านทางใคร หรือสื่ออะไรที่ไหนบนโลกใบนี้ก็ตาม  อย่าถูกหลอก แต่จงเชื่อในพระเจ้า ที่ได้บอกกับเรา ย้ำยืนยันกับเราไว้ใน …

            โรม 8:1-2 …  “1 เหตุฉะนั้น  บัดนี้  จึงไม่มีการลงโทษใดๆ แก่บรรดาผู้ที่อาศัยอยู่ในพระเยซูคริสต์  (เปิดใจรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดจากบาป) 2 เพราะว่าโดยทางพระเยซูคริสต์ กฎของพระวิญญาณแห่งชีวิต  ได้ปลดปล่อยท่าน  ให้เป็นอิสระ  จากกฎแห่งบาปและความตาย (คือกฎแห่งการพึ่งพาการกระทำดีของตนเอง)”

            โรม 8:33-34 …  “ใครจะฟ้องร้องบรรดาผู้ที่พระเจ้าทรงเลือกไว้? ก็พระเจ้าเองทรงนับว่าเราเป็นผู้ชอบธรรม ใครจะกล่าวโทษได้อีก? พระเยซูคริสต์ผู้ทรงสิ้นพระชนม์และยิ่งกว่านั้น พระเจ้าทรงให้พระองค์เป็นขึ้นจากตายแล้ว บัดนี้พระองค์ประทับอยู่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้า และทรงกำลังอธิษฐานวิงวอนแทนเราด้วย”

พระเจ้าอวยพรครับ

วารสาร Holy  News   ฉบับที่  1424

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  9  กรกฎาคม  2023

เรื่อง “หนังสือเอเฟซัส”  ตอน 27

โดย วราพร  คงล้วน

            เรามาต่อในหนังสือเอเฟซัส คราวที่แล้วเราจบลงที่บทที่ 4 ข้อ 11 พูดถึงของประทาน ที่พระเจ้าได้ทรงโปรดประทานให้กับผู้เชื่อทั้งหมด อย่างที่เราคุยกันว่าความรอด พวกเราได้เท่ากัน ก็คือทันทีที่เราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดปุ๊บ เราได้เข้ามาอยู่ในพระเยซูคริสต์ ได้เป็นลูกของพระองค์ เป็นทายาทของพระเจ้าร่วมกับพระเยซูคริสต์ อันนี้เราได้เท่ากัน  ได้รับความรอด มีชีวิตนิรันดร์เหมือนเดิม เหมือนกับครั้งแรกที่มนุษย์ไม่ได้ล้มลงในความบาปเลย อันนี้เราได้เท่ากัน  เพราะว่าความรอดเป็นพระคุณ  หลังจากที่เราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ ได้รับความรอดเรียบร้อยไปแล้ว  พระเจ้าก็ทรงเตรียมธรรมิกชน ผู้ที่เชื่อวางใจในพระเจ้าให้แต่ละคนทำหน้าที่ที่แตกต่างกัน ความรอดได้เท่ากัน แต่หน้าที่ในการดำเนินอยู่บนโลกใบนี้ ที่พระเจ้าได้มอบหมายให้กับแต่ละคนแตกต่างกัน  แต่ไม่ว่าจะแตกต่างกันขนาดไหนก็ตาม รางวัลได้เท่ากันเหมือนเดิม ศิษยาภิบาลกับผู้เชื่อคนหนึ่งที่เพิ่งเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอดวันเดียว จะได้รางวัลจากพระเจ้าเท่ากัน ไม่ว่าศิษยาภิบาลคนนั้นจะทำงานหนักหนาสาหัสขนาดไหน? รับใช้พระเจ้ายิ่งใหญ่ขนาดไหน?  แต่พระเจ้าบอกว่าเราได้รับรางวัลเท่ากัน เพราะผู้ที่ทำงานอยู่ในชีวิตของพวกเราทุกๆ คน คือพระเยซูคริสต์ พระวิญญาณบริสุทธิ์  ที่ทรงนำเราแต่ละคน

            เราก็เรียนไปแล้ว ในข้อที่ 11 บอกว่า … “พระเจ้าทรงให้บางคนเป็นอัครทูต บางคนเป็นผู้เผยพระวจนะ บางคนเป็นผู้เผยแผ่ข่าวประเสริฐ บางคนเป็นศิษยาภิบาล และบางคนเป็นอาจารย์”

            ก็คือมีเพียงบางคนที่พระเจ้าเลือกมาใช้เฉพาะเจาะจง  ที่พระองค์จะให้เขาได้มีโอกาสปรนนิบัติรับใช้พระเจ้า แต่ส่วนคนอื่น พระเจ้าก็ให้หน้าที่แต่ละคนที่แตกต่างกัน เป็นอวัยวะในพระกายของพระคริสต์ เหตุผลที่พระเจ้าให้สิ่งต่างๆ เหล่านี้ เพื่อเน้นให้เรารู้ว่าในพระเยซูคริสต์เราเป็นหนึ่งเดียวกัน  เมื่อเราเป็นหนึ่งเดียวกันในพระคริสต์ปุ๊บ สิ่งที่เราควรทำ คือให้เราดำเนินชีวิตในพระวิญญาณ ในพระคริสต์ ที่พระเยซูคริสต์อยู่ในเรา และพระองค์ทรงนำเรา

            ของประทานเหล่านี้ ที่เราคุยกัน เพื่ออะไร? ในข้อที่ 12 บอกว่า …

        เอเฟซัส 4:12 “เพื่อเตรียมประชากรของพระเจ้าสำหรับงานรับใช้ เพื่อว่าพระกายของพระคริสต์จะได้รับการเสริมสร้างขึ้น”

            พอบอกว่าเตรียมธรรมิกชน ประชากรของพระองค์ เพื่อสำหรับงานรับใช้ปุ๊บ ทุกคนก็คิดแล้ว เตรียมเราเพื่องานรับใช้ เราต้องรับใช้อะไรดี เราต้องคิดแล้ว เราจะออกไปประกาศ หรือเราจะต้องออกไปทำโน่นทำนี่ เยอะแยะมากมาย มันไม่เกี่ยวกันเลยเนอะ เตรียมธรรมิกชนหรือประชากรของพระองค์ สำหรับงานรับใช้ เพื่อว่าพระกายของพระคริสต์จะได้ถูกเสริมสร้างซึ่งกันและกัน

            การเตรียมผู้คนของพระองค์จากถ้อยคำแห่งความจริง ในถ้อยคำของพระเจ้า บอกกับประชากรของพระองค์ให้รับรู้ว่า ณ เวลานี้ เราเป็นใครในพระเยซูคริสต์ ณ เวลานี้ พระเยซูคริสต์ได้ทำอะไรให้กับพวกเราสำเร็จเรียบร้อยไปแล้ว แล้วผู้คนที่ได้ยินได้ฟังความจริงเหล่านี้ เขาจะเจริญเติบโต เมื่อเจริญเติบโตปุ๊บ เขาก็พร้อมที่จะให้พระเจ้าใช้ ใช้อะไรบ้าง? ใช้ตามน้ำพระทัยของพระองค์ ใช้เพื่อเราจะได้ฉายแสงแห่งความจริงนี้ออกไป ฉายแสงแห่งพระลักษณะชีวิตที่พระเจ้าใส่เข้ามาในวิญญาณของพวกเราเรียบร้อยไปแล้ว ก็คือฉายความสว่างของพระเจ้าออกไป นี่คืองานรับใช้ของผู้คนของพระองค์

            แล้วงานรับใช้เหล่านี้ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับพวกเราว่าเราต้องพยายามดิ้นรน เพื่อไปทำ แต่พระเจ้าจะเป็นผู้นำเราเองว่าเราควรจะทำอะไรอย่างไร? ในแต่ละวัน แล้วผลที่มันเกิดขึ้น เกิดจากอะไร? ผลของพระวิญญาณบริสุทธิ์ ผลของการบังเกิดใหม่ ผลของธรรมชาติใหม่ที่ดีพร้อม เหมือนพระเยซูคริสต์นั้น เกิดขึ้น ก็เพราะว่าเราได้รับรู้ความจริง เรียนรู้ความจริงว่า ณ เวลานี้ พระเจ้าได้ประทานอะไรให้กับเราเรียบร้อยไปแล้ว เรียนรู้ความจริงเข้าไปทุกวันๆ

            พระเจ้าบอกว่า … “ตอนนี้เธอเป็น “เธอเป็น” นะจ๊ะ ไม่ใช่ “เธอทำ” “เธอเป็นลูกของพระเจ้าแล้ว ตอนนี้เธอสะอาดบริสุทธิ์ ดีพร้อมเหมือนพระเจ้าแล้ว ตอนนี้เธอเป็นผู้ชอบธรรมแล้ว ตอนนี้เธอได้รับวิญญาณใหม่ที่เป็นเหมือนฉันเรียบร้อยไปแล้ว ตอนนี้ความคิดจิตใจของเธอ วิญญาณของเธอได้รับการเปลี่ยนแปลงใหม่เหมือนฉันเรียบร้อยไปแล้ว”

            เมื่อเรารับรู้ความจริง … “อ๋อ! ใช่แล้วๆ ตอนนี้เราเป็นเหมือนพระเจ้าแล้ว พระเจ้ามีลักษณะเป็นอย่างไร? เราก็รับรู้ความจริง และสำแดงพระลักษณะแบบนั้น ที่อยู่ในตัวเราออกไปให้ผู้คนได้เห็น ได้ฉายแสงสว่างของพระเจ้าออกไป”

        เอเฟซัส 4:13 “จนกว่าเราทั้งหมดจะบรรลุความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันในความเชื่อ และในความรู้ถึงพระบุตรของพระเจ้า จนเราเติบโตเป็นผู้ใหญ่ คือเต็มถึงขนาดความไพบูลย์ของพระคริสต์”

            ตรงนี้ หลายคนอาจจะคิดว่าความรอด เราต้องค่อยๆ พัฒนา เพื่อที่จะได้รับความรอด หรือค่อยๆ พัฒนา เพื่อที่เราจะได้เป็นลูกของพระเจ้า ไม่ใช่นะ การเป็นลูกของพระเจ้า คือเกิดมาเป็น พอเราวางใจพระเจ้า บัพติศมาเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเยซูคริสต์ปุ๊บ เราเป็นลูกพระเจ้าเลยทันที หลังจากที่เราเป็นลูกพระเจ้า แล้ว เราค่อยๆ มาเรียนรู้ พัฒนาความเป็นลูกของพระเจ้า ให้เพิ่มพูนมากขึ้น

            เรายกตัวอย่างเด็กอีกแล้ว สมมติว่าเรามีลูกคนหนึ่ง เด็กคนนี้คลอดออกมาในครอบครัวของเรา ยกตัวอย่างอีสตันก็ได้เนอะ หลานเรา อีสตันเกิดเข้ามาในครอบครัวของเวชสุภาพร เขาเกิดเข้ามาแล้ว เขาเป็นลูกของบ้านนี้เรียบร้อยไปแล้ว เขาไม่ต้องพยายามที่จะพัฒนาตัวเอง  เพื่อที่จะสำแดงว่าเขาเป็นลูกของบ้านนี้  เขาเป็นแล้ว  แต่สิ่งที่อีสตันจะพัฒนา ก็คือเรียนรู้ว่าความเป็นมนุษย์เขาทำอย่างไร?

            คือทุกคนเข้ามาในครอบครัว ไม่ว่าครอบครัวไหนก็ตาม ก็คือมนุษย์ใช่ไหม? มนุษย์คนหนึ่ง เขาเจริญเติบโตอย่างไร? เขาจะทำอะไรแบบไหน? ตามแบบอย่างที่คุณพ่อคุณแม่ ปู่ย่าตาทวดที่อยู่ในบ้าน ที่เขามองเห็นทุกวันๆ เขาเรียนรู้จากทุกสิ่งที่เขาได้ยินได้ฟัง ได้เห็นและได้สำแดงออกไป นี่คือเด็กคนหนึ่ง

            พวกเราผู้ที่เชื่อวางใจในพระเยซูคริสต์ วิญญาณเราได้เข้ามาเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเจ้าเรียบร้อยไปแล้ว เราเป็นเหมือนพระเจ้าเลย แต่ให้พัฒนา สำแดงความเป็นหนึ่งเดียวกันออกไป คือไม่ต้องพยายามหาความเป็นหนึ่งเดียวกันแล้ว เพราะพระเจ้าบอกว่าทันทีที่เราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เราบัพติศมาเข้ามาเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเจ้าเรียบร้อยไปแล้ว ไม่ต้องแสวงหาการเป็นหนึ่งเดียวกัน แต่ว่าให้พัฒนาความเป็นหนึ่งเดียวกันที่มันมีอยู่ในตัวเราแล้ว ให้มันสำแดงออกไป ให้ผู้คนรอบข้างเขาได้สามารถสัมผัส แล้วก็เห็นพระเยซูคริสต์ในชีวิตของเรา นี่คือสิ่งที่ถ้อยคำของพระเจ้าบอกไว้ ที่อาจารย์เปาโลพยายามเน้น ให้รับรู้ตรงนี้ พัฒนาให้คนอื่นได้เห็นว่าเราเป็นบุตรของพระเจ้าแล้วนะ แค่สำแดงความเหมือนพระเจ้าที่อยู่ข้างในเราออกไป ให้คนอื่นได้เห็น จนกว่าเราจะโตเป็นผู้ใหญ่

            คำว่า “ผู้ใหญ่” คือผู้ใหญ่ฝ่ายวิญญาณ  รับรู้ความจริงมากเท่าไร เราก็จะเปลี่ยนแปลงเหมือนพระเจ้ามากเท่านั้น ถ้าเรารับรู้ความจริงน้อย เราก็เปลี่ยนแปลงเหมือนพระเจ้าน้อย  เราก็จะมีความเคยชินเก่าๆ มันจะมีเยอะกว่า แต่ถ้าเรารับรู้ความจริงว่าตอนนี้ ความเคยชินเก่าๆ มันไม่มีอิทธิพลในชีวิตของเราแล้วนะ เพราะว่าวิญญาณตัวเก่าของเราได้ตายไปพร้อมกับพระเยซูคริสต์แล้ว ความบาปที่เคยมีอยู่ในตัวเก่าของเราได้ตายไปพร้อมกับพระเยซูคริสต์แล้ว ณ เวลานี้ เราเป็นคนใหม่ เราได้บังเกิดใหม่ มีชีวิตใหม่ มีชีวิตนิรันดร์ ที่เป็นเหมือนพระเจ้าเลย ไม่มีบาปเลย วิญญาณของผู้เชื่อทุกคน ณ เวลานี้ ไม่มีบาปเลยนะพี่น้อง

            ฉะนั้น เมื่อวิญญาณเราไม่มีบาป เราก็ไม่ต้องสารภาพบาปกับพระเจ้า จริงไหม? ไม่มีบาปแล้วนะ แต่ว่าทำไมคริสเตียนยังทำบาปอยู่  ก็เพราะยังอยู่บนโลกใบนี้ไง เรายังอยู่ภายใต้กฎของความบาปและความตายอยู่ ยังวนเวียนอยู่แถวนี้  แต่เราไม่ได้อยู่ภายใต้อำนาจกฎนี้แล้ว เรามีกำลังที่จะสู้มัน พระเจ้าพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่อยู่ในเรา จะเสริมกำลังเรา ให้เราสามารถต่อสู้ ขัดขืน ไม่ยอมมัน ไม่ยอมให้มันส่งข้อมูล มาหลอกเรา ให้เราทำอะไรก็ตาม ที่ตรงกันข้ามกับน้ำพระทัยของพระเจ้า แต่ต่อให้เราต่อสู้ ขัดขืนอย่างไร? เราก็มีโอกาสเผลอใช่ไหม? วันดีคืนดี คริสเตียนไปด่าคน เป็นไหม? เจอแบบไม่ไหว เหตุการณ์อย่างนี้มันหยุดไม่ได้ ขอด่าสักหน่อย อะไรอย่างนี้  ก็ด่าออกไปเลย

            หรือบางที คริสเตียน ผู้ที่เชื่อนะ ไม่ได้พูดถึงคนไม่เชื่อ  คนไม่เชื่อ เขาทำของเขาอยู่แล้ว  พูดถึงคนที่เชื่อแล้ว  มีวิญญาณใหม่แล้ว พระเจ้าสถิตอยู่ในเขาแล้ว  เขายังมีโอกาสที่จะหมั่นไส้ใครก็ได้

            “คนนี้น่าหมั่นไส้จริงๆ เอาไม้ตีหัวซะเลย”

            มีโอกาสทำไหม? มีโอกาส หลายคนบอกว่าเป็นคริสเตียนทำไมโกงเขาได้ล่ะ เป็นคริสเตียนแล้ว มีโอกาสโกงเขาได้ไหม? มีโอกาส เพราะว่าคริสเตียนคนนั้นยอมให้อิทธิพลของโลกใบนี้โน้มนำ ดึงเขาไปทำสิ่งที่ตรงกันข้ามกับความเป็นจริงที่เขาเป็นอยู่ ความเป็นจริงที่เขาเป็นอยู่ คือตอนนี้ เขาเป็นคนดีพร้อม สะอาด บริสุทธิ์ ชอบธรรมเหมือนพระเจ้า วิญญาณเขานะ เป็นอย่างนั้น แต่เขายังดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ โอกาสที่จะถูกดึงไปมีเยอะ ฉะนั้น สิ่งที่พระเจ้าต้องการ หรือสิ่งที่อาจารย์เปาโล หรือผู้รับใช้ในยุคสมัยเดิม  ที่เขาพยายามเน้นย้ำ ก็คือให้เราจดจ่อ จดจำถ้อยคำของพระเจ้า ให้เรารับรู้ความจริงว่า ณ เวลานี้เราอยู่ในสถานะแบบไหน? ณ เวลานี้เราอยู่ในสถานะเป็นลูกของพระเจ้า เป็นทายาทร่วมกับพระเยซูคริสต์ ณ เวลานี้เราเป็นคนชอบธรรม “เป็น” นะ ไม่ใช่ “มี” เราเป็นความรักเหมือนพระเจ้าเลย เราเป็นความดีงาม เราสะอาด เราบริสุทธิ์ เหมือนพระเจ้าเลย ณ เวลานี้ ความเป็นจริงในโลกวิญญาณ เราเป็นอย่างนั้น พอเรารับรู้ความจริงมากขึ้นเท่าไร?  เราก็จะยอมให้พระเจ้าใช้เรามากขึ้นเท่านั้น อนุญาตให้พระเจ้าใช้ทุกอย่างในร่างกายของเรา ความคิด จิตใจ ตา หู จมูก ลิ้น กายของเรา มอบให้พระเจ้า แล้วพระเจ้าก็จะสามารถใช้เราให้สำแดงตัวตนจริงๆ ที่ ณ เวลานี้ ที่เราเป็นอยู่ ออกไปให้ผู้อื่นได้สามารถ สัมผัสและรับรู้ได้ เขาเรียกว่าให้เราฉายแสงออกไป

            ตรงนี้ก็ไม่ได้เกี่ยวกับเราอีก  เราพยายามทำด้วยกำลังของเราเอง มันไม่ได้ เพราะว่าพระเจ้าผู้อยู่ในเรา  พระองค์ทรงประกอบกิจอยู่ภายในเรา  พระองค์ทรงโน้มนำจิตใจของเรา ทรงคอยบอก คอยเตือนเรา เราเคยรู้สึกไหม บางครั้งเราทำสิ่งที่ไม่ถูกต้อง แล้วข้างในเราไม่ไหว ทำไมเราไม่ไหว ผะอืด ผะอม เหมือนเราแพ้ แพ้อาหาร เราผะอืดผะอม เพราะว่า ณ เวลานี้ วิญญาณใหม่ของเราสะอาด บริสุทธิ์  แล้วไง สะอาด บริสุทธิ์  เราไปคลุกขี้ดิน เราไม่ไหวแล้ว ไปคลุกขี้ดิน มันคันเขยอไปหมดเลย เราต้องรีบลุกขึ้น แล้วก็ไปอาบน้ำ เปลี่ยนเสื้อผ้า ให้มันสะอาด นี่คือธรรมชาติใหม่ของผู้เชื่อ

            ฉะนั้น โอกาสที่เราจะไปโดนโคลนกระเด็นใส่ หรืออะไร?  แบบสิ่งสกปรกเข้ามาเกาะมันมี แต่ว่าธรรมชาติใหม่ของผู้เชื่อ เป็นเหมือนพระเจ้า เราจะไม่ยอมจมปรักอยู่กับสิ่งที่สกปรกเหล่านั้นตลอดเวลา  มันไม่มีทางอยู่แล้ว หลายคนคิดว่าถ้าเราไม่สอนเรื่องจริยธรรม เรื่องความดีงาม ให้กับผู้เชื่อ แล้วอย่างนี้คริสเตียนก็ได้ใจไหม? ทำอะไรก็ได้ใช่ไหม? ทำบาปก็ไม่ถูกลงโทษใช่ไหม?  อย่างนั้นก็สบาย เราไปทำให้มันสบายใจเลย

            จริงๆ เราไม่กลัวเรื่องนี้เลย เพราะมันไม่มีทาง มันเป็นไปไม่ได้  เมื่อเราได้รับการเปลี่ยนแปลงใหม่ บังเกิดใหม่ มันเป็นไปไม่ได้ ที่เรายังคงอยากจะอยู่ในที่เดิมอยู่  อยู่ในบาปอยู่ มันเป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว ทุกคนจะตะเกียกตะกาย คือจะดิ้นรน  เพื่อที่จะทำตามน้ำพระทัยของพระเจ้า แต่อยู่ที่กำลังเราพอไหม? เหมือนปกติ นี่ธรรมชาติใหม่เลยนะ  ธรรมชาติปลาก็จะว่ายน้ำ ปลาต้องอยู่ในน้ำ ไม่มีปลาตัวไหน ที่มีความสุขมากเลย เวลากระโดดออกจากน้ำ แล้วก็มาดิ้นผลักๆ บนบก มันไม่มีทาง นอกจากเวลาฝนตกน้ำท่วม หลงระเริง ว่ายมาที่ถนน พอน้ำลดปุ๊บ อ้าว! อยู่บนถนนแล้วทำอย่างไร? ดิ้นผลักๆ …

            “ไม่ได้แล้วๆ ต้องหาน้ำลงให้ได้” เป็นภาพเดียวกัน

            ผู้เชื่อได้รับวิญญาณใหม่แล้ว ได้รับความคิดจิตใจใหม่แล้ว ได้เป็นเหมือนพระเจ้า  100% แล้ว จะไม่สามารถจมปลักอยู่ในความบาปได้นาน มันเป็นไปไม่ได้ พอทำผิดปุ๊บ เรารู้ว่าไม่ใช่ๆ เราต้องรีบถอยตัวออกมา  แล้วเราก็พยายามทำให้ตัวเราเองเข้ามาอยู่ในพระองค์ให้ได้ แต่จริงๆ แล้วเราอยู่ในพระองค์อยู่แล้วล่ะ แค่ว่าความเป็นจริงในขณะที่เราดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ อย่างที่บอกไง พระเจ้าซื้อชีวิตเราแล้ว พระเจ้าเป็นเจ้าของชีวิตเราแล้ว  แต่อันหนึ่งที่อยากให้พระเจ้าบังคับเรามากเลยว่าพอซื้อชีวิตเราแล้ว  เราเป็นลูกของพระเจ้าแล้ว พระเจ้าตีกรอบเราเลย ใช้รีโมตคอนโทรลเลยว่า …

            “เป็นอย่างนี้ๆ ทุกวันตื่นขึ้นมา เธอจะรักฉัน เธอจะเชื่อฉัน เธอจะประพฤติตามที่ฉันบอกทุกประการ”

            แต่ความเป็นจริงในวิญญาณ คือเรารักพระองค์แล้วนะ เราเชื่อฟังพระองค์ 100% เลย แต่ร่างกายเรา ขณะที่ดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ เรายังมีโอกาส ที่จะดื้อกับพระเจ้าได้ เราอยากให้พระเจ้าบังคับเรามากเลย เพราะเราไม่อยากดื้อกับพระเจ้า แต่พระเจ้าของเราน่ารักที่สุด  คือพระองค์ไม่บังคับเรา  แม้พระองค์เป็นเจ้าของชีวิตเรา พระองค์ซื้อเราเรียบร้อยแล้ว แต่พระองค์ยังให้อิสรภาพกับผู้เชื่อทุกคนที่จะตัดสินใจ อิสรภาพตรงนี้แหละ  ที่พระเจ้าให้เราว่าแต่ละวัน แต่ละนาที  แต่ละวินาที เราจะตัดสินใจอย่างไร?  เราจะตัดสินใจตามที่พระเจ้าบอกเรา หรือเราจะตัดสินใจตามที่โลกนี้ส่งข้อมูลเข้ามาหาเรา  เราเป็นคนตัดสินใจ  แล้วเมื่อเราตัดสินใจปุ๊บ เราก็จะเก็บเกี่ยวผลด้วยนะ การตัดสินใจของเราทุกอย่าง เราจะเก็บเกี่ยวผลบนโลกใบนี้ด้วย

            เมื่อเราตัดสินใจทำตามน้ำพระทัยของพระองค์ ทำตามธรรมชาติใหม่ ยอมให้พระเจ้าใช้ ยอมให้พระเจ้าดูแล นำพา ให้ส่งผลของความเป็นตัวตนจริงๆ ของเราออกไปให้ผู้คนได้เห็น ได้รับรู้ ได้สัมผัส ได้ประกาศพระนามของพระเยซูคริสต์ ถ้าเราทำอย่างนั้น สิ่งที่เกิดขึ้น อันดับแรกเลย พระพร คือเรามีความสุขไง พี่น้องรู้สึกไหม? เวลาเราทำตามน้ำพระทัยของพระเจ้า เรามีความสุข แต่พอเราดื้อ มันมีโอกาสดื้อไหม? มีโอกาสดื้อตลอดเวลา  ทุกวินาทีอีกต่างหาก พอเราดื้อปุ๊บ  เราก็ …

            “ไม่เอา พระองค์เจ้าข้า ไม่อยากเป็นคนดี ขอทำตามใจตัวเองหน่อย”

            พอเราทำออกไปปุ๊บ สิ่งที่เกิดขึ้นเหมือนกัน มันเป็นผลนะ ข้างในเราทุกข์ พวกเราเป็นไหม? มันทุกข์ไง  เขาเรียกเห็นผลทันตา มันทุกข์ พอทุกข์ทำอย่างไร? ทุกข์แล้วไม่ต้องไปจมปลักกับความทุกข์นั้น แค่บอก …

            “พระเจ้าขอช่วยลูกด้วย ในคราวต่อไปถ้าลูกจะดื้อ ขอพระเจ้าให้กำลังที่ลูกจะไม่ดื้อ  หรือลูกจะดื้อน้อยลง” อะไรประมาณนี้

            สิ่งที่เราทำบนโลกใบนี้ ไม่ว่าพฤติกรรมอะไรทั้งหมด ที่เราทำอยู่บนโลกใบนี้ มีอยู่คำเดียว คือมันไม่มีผลอะไรกับความรอดของเราเลย พระเจ้าไม่ได้สนใจเลย นี่ต้องบอกว่าพระเจ้าไม่ได้สนใจว่าเราทำอะไร? แต่พระเจ้าสนใจว่าเราอยู่ไหน?

            คำว่า “เราอยู่ไหน?” พี่น้องนึกภาพออกไหม?  ไม่ได้หมายความว่าตอนนี้เธออยู่ไหน?  ตอนนี้เราอยู่โบสถ์โฮลี่ ที่แพรกษา ไม่ใช่ มันไม่เกี่ยวกับตรงนี้

            เราอยู่ไหน? หมายความว่าวิญญาณของเรา ณ เวลานี้ อยู่ที่ไหน? วิญญาณของผู้คนบนโลกใบนี้ ณ เวลานี้ อยู่ที่ไหน? แล้ววิญญาณของพวกเราผู้เชื่อทั้งหลาย ที่เรานั่งอยู่ที่นี่ คือวิญญาณเราอยู่ในพระคริสต์ เมื่อวิญญาณเราอยู่ในพระคริสต์ปุ๊บ อย่างไรเราก็ปลอดภัย ปลอดภัยในด้านของวิญญาณ คือสิ่งที่พระเจ้าบอกว่าเมื่อพระองค์ทรงเริ่มต้นการงานดีไว้ในชีวิตของเรา พระองค์ก็จะคอยดูแล นำพา ย่างเท้าตลอดชีวิตของเรา จนถึงจุดหมายปลายทาง ก็คือวันที่ลมหายใจเราออกจากร่าง วิญญาณเราได้ไปพบกับพระเจ้า ที่สวรรคสถาน ก็คือที่เดิมนั่นแหละ ณ เวลานี้ ในโลกวิญญาณ เราอยู่กับพระเจ้าบนสวรรคสถานแล้วใช่ไหม? พระคัมภีร์บอกเราอย่างนี้นะ เราก็เชื่อตามนี้

            พระคัมภีร์บอกว่าเราอยู่ในพระเยซูคริสต์ พระเยซูคริสต์อยู่ในเรา  และ ณ เวลานี้ พระเจ้าได้ทรงให้พระเยซูคริสต์ได้นั่งอยู่ที่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้า  ที่สวรรคสถาน เมื่อเป็นอย่างนี้แล้ว เราก็อยู่กับพระเยซูคริสต์ อยู่ที่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้า ที่สวรรคสถานเหมือนกัน คือที่เดียวกัน เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเยซูคริสต์เรียบร้อยไปแล้ว แยกกันไม่ได้  ณ เวลานี้ ที่เราอยู่บนโลกใบนี้ เราต้องใช้ความเชื่อใช่ไหม? เชื่อตามที่ถ้อยคำพระเจ้าบอก

            แต่จะมีวันหนึ่ง เมื่อถึงวาระของแต่ละคน ซึ่งเราไม่รู้หรอกว่าพระเจ้าจะให้เราแต่ละคนอยู่บนโลกใบนี้ นานสักแค่ไหน? หรือค่ำคืนนี้ พระเจ้าอาจจะบอกดิฉันว่า …

            “วราพรจบงานแล้ว กลับบ้านได้”

            แล้วพรุ่งนี้ก็จะส่งข่าวถึงสมาชิกว่าเรามีงานไว้อาลัยที่โบสถ์ นั่นแน่ะ คือความจริงในโลกวิญญาณ แล้วผู้เชื่อ เราสามารถพูดเรื่องนี้ได้ ถ้าเป็นเมื่อก่อน ที่เราไม่เชื่อพระเจ้า หรือถ้าอยู่บ้านคนจีน ยิ่งห้ามพูดคำว่า “ตาย” อัปมงคล ก็จะโดนผู้ใหญ่ดุ พูดอะไรเรื่องตายๆ พูดไม่ได้นะ แต่พอเรามาเชื่อพระเจ้าปุ๊บ เรามีความรู้สึกอย่างหนึ่งที่มันเกิดขึ้นในวิญญาณของเรา คือความตาย คือประตูที่เราจะเดินเข้าไปสู่สวรรค์ ในสถานที่ที่เราจะไปอยู่กับพระเจ้านิรันดร์กาลจริงๆ ตอนนี้ เราจะได้เห็นพระเจ้าหน้าต่อหน้า เราจะไม่ต้องซ่อนอยู่ในพระเยซูคริสต์แล้ว  เราจะสามารถออกมาเห็นตัวตนใหม่ของเราเองจริงๆ ก็คือร่างกายใหม่ ที่เต็มด้วยสง่าราศี  ที่พระเจ้าสัญญาว่าวันหนึ่งข้างหน้า เมื่อลมหายใจเราออกจากร่าง เราจะไปสวมร่างกายใหม่นี้ ที่เต็มไปด้วยสง่าราศี

            ฉะนั้น ความตายจึงไม่ได้เป็นสิ่งที่น่ากลัว สำหรับผู้เชื่อเลย ไม่มีความน่ากลัวเลย เหมือนที่อาจารย์เปาโลบอก “อยู่ก็เพื่อพระคริสต์ ตายก็ได้กำไร” เราเป็นคริสเตียน ตายปุ๊บ กำไรทันที  กำไรตรงไหน? ตรงที่เราไม่ต้องมาเผชิญกับปัญหาต่างๆ บนโลกใบนี้อีกแล้ว

            เพราะพระเยซูบอกว่าในขณะที่อยู่บนโลกใบนี้ ท่านทั้งหลายจะประสบกับความทุกข์ยาก พระเยซูก็ไม่ได้บอกว่าอยู่บนโลกใบนี้ ท่านจะประสบกับความสุขสบาย  แฮปปี้จิงกะเบลทุกวัน พระเยซูไม่ได้บอกอย่างนั้น บนโลกใบนี้ เราประสบกับความทุกข์ยาก แต่ความทุกข์ยากเหล่านี้ ถ้าเทียบกับนิรันดร์กาล ที่พระเจ้าได้จัดเตรียมให้กับเรา มันเทียบไม่ได้เลย เพราะว่าโลกนี้ แค่ชั่วคราว แป๊บเดียวเอง โลกนี้ไม่ใช่ที่อาศัยถาวรของเรา แต่โลกหน้าต่างหาก สวรรค์นิรันดร์กาลที่ผู้เชื่อทุกคนรอคอย ที่จะไปอยู่กับพระเจ้า  ที่สวรรคสถาน

            เหมือนอาจารย์เปาโลจะบอกว่า … “ข้าพเจ้าไม่สนใจอะไรแล้ว ข้าพเจ้าโน้มตัวไปข้างหน้า เพื่อที่จะไปฉวยรางวัล ที่พระเจ้าเตรียมไว้ให้กับเรา ผู้เชื่อทุกคน”

            ความหวังของผู้เชื่อทุกคนจดจ่ออยู่ที่โลกหน้า ในสิ่งที่พระเยซูคริสต์ทรงสัญญาไว้กับเรา ขณะที่เราอยู่บนโลกใบนี้ เราก็ดำเนินชีวิตปกติ ในพระวิญญาณ ทุกวันตื่นขึ้นมาพระวิญญาณนำเราทำอะไร เราก็ทำ ถ้าเราทำอะไรบางอย่างที่เราไม่รู้สึกว่าฟ้องผิดข้างใน แปลว่าพระวิญญาณนำเรา  แต่ถ้าเราทำแล้วแย่ๆ อย่างนี้ แปลว่าไม่ใช่แล้วล่ะ คือข้างในวิญญาณเราจะรับรู้จริงๆ ว่าอันนี้ไม่ใช่ แต่เราต้องการฝืนพระวิญญาณ

            ในข้อ 13 ที่บอกว่า … “จนกว่าเราทั้งหลายจะบรรลุความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันในความเชื่อ ในความรู้ถึงพระบุตรของพระเจ้า  แล้วจนกว่าเราจะเติบโตเป็นผู้ใหญ่”

            คำว่า “เติบโตเป็นผู้ใหญ่” คือเต็มถึงขนาดความไพบูลย์ของพระเยซูคริสต์

            เติบโตขนาดไหนที่เป็นผู้ใหญ่  ก็คือรับรู้ความจริงของพระเจ้า เพิ่มพูนมากขึ้นๆ  เป็นผู้ใหญ่มากขึ้น พอเป็นผู้ใหญ่ปุ๊บ สิ่งที่สำแดงของการเป็นผู้ใหญ่ อันดับแรกเลย คืออดทนมากขึ้น จริงไหม? เราจะอดทนมากขึ้น  ผู้ใหญ่จะอดทนได้มากกว่าเด็ก ยิ่งเด็กทารกนี่ไม่มีความอดทนเลย เด็กทารกเราเห็นไหม? ถ้าเด็กตัวเล็กๆ หิวปุ๊บจะร้องแบบลั่นบ้านเลย แล้วคนในบ้านก็จะวิ่งตาตั้งเลย หานม หาอะไรให้กิน แต่พอโตขึ้นๆ เขาก็จะเรียนรู้จักว่าทำอย่างนี้ไม่ได้ โตขึ้นแล้ว ไม่ใช่จะร้องโวยวายตลอดเวลา ไม่ได้ ต้องเรียนรู้ที่จะรอนิดหนึ่ง แต่พอโตเป็นผู้ใหญ่มากขึ้นๆ อดทน รู้จักรอคอยพระเจ้ามากขึ้น

            ตอนที่เราเชื่อพระเจ้าใหม่ๆ ทำไมบางครั้ง เราไม่ทันอธิษฐานขอเลย พระเจ้าก็ส่งของที่เราแค่คิดมาเลยทันที  แต่พอเราเชื่อพระเจ้านานๆ ขอแล้วทำไมยังไม่ได้อีก อะไรแบบนี้ ตกลงความเชื่อเรายังมีอยู่ไหม? ตกลงพระเจ้ายังรักเราอยู่ไหม? ตกลงอะไร เราก็โดนคำถามร้อยแปดพันเก้า ที่อยู่บนโลกใบนี้ ส่งเข้ามาๆ แต่ให้เรารับรู้ความจริงอย่างหนึ่งว่าพระเจ้าไม่เคยทิ้งเราไปไหน? พระเจ้าอยู่ในเรา  แล้วพระองค์คอยตอบคำอธิษฐานของเรา เมื่อเราโตขึ้น คำอธิษฐานไม่ใช่ทุกอย่างที่เราอยากได้ เป็นน้ำพระทัย แต่ถ้าบังเอิญสิ่งที่เราอยากได้เป็นน้ำพระทัย พระเจ้าก็ให้ แต่ถ้าไม่ได้เป็นน้ำพระทัย พระเจ้าก็ไม่ได้ให้ พระเจ้าไม่ได้ทำให้เราเสียผู้เสียคน อยากได้อะไรให้หมดเลย  เด็กอายุ 5 ขวบ ขอพ่อ …

            “พ่อๆ ออกมอไซด์ให้คันหนึ่งสิ ขอบิ๊กไบร์ทด้วย”

            แล้วพ่อก็บ้าจี้ตาม รักลูกมากเลย ออกมอไซด์ให้ทันที

            “ลูกมา เดี๋ยวพ่อสอนให้ขี่”

            ขี่เสร็จ ฉายเดี่ยวเลย เป็นอะไร? ตายลูกเดียว ออกไปก็ชนรั้วตาย อะไรอย่างนี้ มันเป็นไปไม่ได้ พระเจ้าไม่ทำอย่างนั้น

            ฉะนั้น พระเจ้าดูความเหมาะสมว่าอะไรควร อะไรไม่ควร อะไรคือสิ่งที่เหมาะสำหรับเรา เมื่อเราอธิษฐานขอ พระเจ้าก็ให้สิ่งที่พระเจ้าสัญญา ก็คือพระองค์จะจัดเตรียมทุกสิ่ง ที่จำเป็นสำหรับชีวิตของเรานะ จำเป็น

            ฉะนั้น ในวิญญาณ พระเจ้าได้เตรียมทุกอย่างให้เราเรียบร้อยไปแล้ว ส่วนของโลกใบนี้ ก็แล้วแต่น้ำพระทัย พระองค์อยากจะอวยพรเราแบบไหน พระองค์ก็ทำของพระองค์เอง โดยที่มันไม่เกี่ยวอะไรกับเราเลย พี่น้องนึกออกไหม?  โดยที่เราไม่ต้องไปเลียนแบบใคร …

            “คนนั้นทำแบบนี้ พระเจ้าอวยพร เราต้องไปทำบ้าง?” มันไม่เกี่ยวกันเลยนะ

            ดังนั้น พระเจ้าพอใจจะอวยพระพรใคร พระองค์ก็จะอวยพระพรคนนั้น  นี่คือน้ำพระทัยของพระเจ้า พี่น้องไม่ต้องไปคอยจ้องคนโน้นคนนี้ ให้รับรู้อย่างเดียวว่าพระเจ้ารักเรามาก มากขนาดไหน? มากขนาดยอมสละชีวิตของพระองค์เอง ตายบนไม้กางเขน เพื่อเรา พระเจ้ารักเราขนาดนี้ พอไหม?  ถ้ามาแลกกับความทุกข์ทรมานที่เรากำลังเผชิญอยู่ ณ เวลานี้ ร่างกายก็ไม่แข็งแรง เจ็บป่วยอีก เป็นโน่นเป็นนี่ เศรษฐกิจก็ไม่ดี ขายของก็ขายได้บ้าง ไม่ได้บ้าง ไปทำงานเงินเดือนลดอีก อะไรอย่างนี้ เราจะยอมให้สิ่งต่างๆ เหล่านี้ทำให้เราท้อใจไหม?  ท้อได้นะ แต่ว่าไม่ทำให้เราถอดใจ อธิษฐานกับพระเจ้า พระเจ้ารู้ทุกอย่าง

            ฉะนั้น ปัญหาไม่ได้เกิดเฉพาะคริสเตียน  ปัญหามันเกิดขึ้นทั่วโลก แต่พระเจ้าบอกว่าพระองค์ผู้ทรงสถิตอยู่ในเรา พระองค์จะทรงนำพาย่างเท้าของเรา อย่างไรพระองค์ก็พาเราผ่าน ผ่านรูปแบบไหนเราไม่รู้แหละ แต่พระเจ้าพาเราผ่านแน่นอน เหมือนกับคนที่เจ็บป่วย  คนที่เจ็บป่วยอธิษฐานขออะไร? ส่วนใหญ่เราป่วย เราขออะไร? …

            “พระองค์เจ้าข้า ขอพระองค์ทรงรักษาลูกด้วย รักษาให้หายเลยนะ ลูกเป็นมะเร็ง ขอรักษาลูกให้หายเลย”

            เราก็อธิษฐานแบบนี้ใช่ไหม? แต่พระเจ้าก็จะตอบคำอธิษฐานของเราตามน้ำพระทัยของพระองค์ มันมีอยู่แค่ว่าถ้าเราอธิษฐาน แล้วเป็นน้ำพระทัยของพระเจ้า ที่พระองค์จะรักษาเราหาย  เราหายได้ หายได้ผ่านยา ผ่านหมอ ผ่านอะไรก็ได้ แต่ให้พี่น้องรับรู้ว่าต่อให้เราหายวันนี้ วันหนึ่งเราก็ต้องตาย นี่คือความจริง หายวันนี้ วันหนึ่งข้างหน้า ไม่ตายด้วยโรคมะเร็ง เราก็แก่ตาย มีค่าเท่ากัน แต่ว่าบางครั้ง พระเจ้าก็ไม่รักษาเรา พระองค์เห็นว่าพอแล้ว พระเจ้าให้งานเราทำบนโลกใบนี้ สำเร็จแล้ว ครบถ้วนสมบูรณ์แล้ว ได้เวลากลับไปพักผ่อนกับพระองค์ ได้แล้ว ไม่ต้องทุกข์ทรมาน อยู่บนโลกใบนี้อีกแล้ว พระองค์ก็อนุญาตให้เราจากโลกนี้ไป หลายคนก็คิดว่า …

            “โอ้! พระองค์ใจร้ายจัง แทนที่พระองค์จะรักษาเรา ทำไมมาเอาชีวิตเราไป”

            แต่ว่าพี่น้องให้รับรู้ความจริง ทุกอย่างที่พระเจ้าให้กับเรา คือสิ่งที่ดีที่สุด สำหรับเรา ดีมากๆ ด้วย ก็คือตาย เราจะได้กำไร อยู่เราก็ต้องดิ้นรนต่อไป  นี่คือเรื่องปกติบนโลกใบนี้  แต่ถ้าพระเจ้าให้เราอยู่ พระองค์ผู้อยู่ในเรา พระองค์จะทรงเสริมกำลังเรา ให้เราสามารถที่จะไปได้ ถูลู่ถูกัง ยังไงเราก็ไปได้  ตามน้ำพระทัยของพระเจ้า

        เอเฟซัส 4:14 “เมื่อนั้นเราจะไม่เป็นทารกอีกต่อไป ถูกกระแสซัดไปซัดมา ถูกพัดไปทางโน้นทางนี้ โดยลมปากแห่งคำสอน และโดยกลลวงอันฉ้อฉลแยบยลของมนุษย์”

            ในพระคัมภีร์ตรงนี้ อาจารย์เปาโลพูดถึงสิ่งที่ผู้รับใช้ ของประทานที่พระเจ้าให้ เพื่อสอนความจริงในถ้อยคำของพระเจ้า พอสอนความจริงในถ้อยคำของพระเจ้า  เหมือนเรากินนมถูกต้อง กินอาหารถูกต้อง เราก็เจริญเติบโตตามวัย เราก็จะแข็งแรง แต่ถ้าเราไปกินนมผิด กินอาหารผิดสำแดง ร่างกายเราก็เจ็บป่วย  เราก็ไม่แข็งแรง เราก็เจริญเติบโตไม่ค่อยสมส่วนอะไรเท่าไร?  แต่สิ่งที่อาจารย์เปาโลพูดถึงเกี่ยวกับเรื่องของวิญญาณของเราว่าเมื่อเรารับรู้ถ้อยคำแห่งความจริงของพระเจ้า เราจะได้บรรลุถึงความเป็นหนึ่งใจเดียวกัน บรรลุถึง โตเป็นผู้ใหญ่ ผู้ใหญ่ฝ่ายวิญญาณ พอโตเป็นผู้ใหญ่ปุ๊บ  เราก็มีความยับยั้งชั่งใจใช่ไหม? ผู้ใหญ่ เขารู้จักแยกแยะ เด็กไม่รู้จักแยกแยะ ถ้าเป็นเด็ก ใครพูดอะไรก็ตามไป คนนี้มาบอกว่าตรงนี้ดี เราก็ไป ตรงนั้นดี ก็ไป เด็กแยกแยะไม่ออกว่าอะไรคือความจริง อะไรคือความเท็จ แต่ถ้าเราได้รับถ้อยคำแห่งความจริงของพระเจ้าทุกวันๆ สถาปนาลงไปทุกวันๆ จน มันหยั่งรากลงไป พอหยั่งรากลงไป ตอนนี้เรามั่นคงแล้ว เป็นผู้ใหญ่แล้ว เราก็จะไม่ถูกกระแสของโลกใบนี้ ที่มันส่งเข้ามาหลอกลวง อาจจะส่งมาเหมือนเป็นถ้อยคำพระเจ้า แต่เป็นถ้อยคำปลอมปน มันไม่ใช่ เราก็จะแยกแยะออกว่าอันนี้ไม่ใช่แล้ว

            ยกตัวอย่างพระเยซูบอกว่าพระองค์สิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน  พระองค์หลั่งพระโลหิตครั้งเดียวเป็นพอ ได้ชำระล้างความผิดบาปของพวกเราทั้งหมด ทั้งสิ้น หมายความว่าอดีต ปัจจุบัน อนาคต มันจบแล้ว  นี่คือความจริงที่พระเยซูบอก แต่ว่าถ้ามีใครมาบอกเราว่า …

            “ไม่จริงๆ ยังไงเธอทำบาป เธอก็ต้องสารภาพบาป เธอยังเป็นคนบาปอยู่เลย”

            อันนั้นไม่จริง อันนั้นเป็นกระแสของโลกนี้ที่เข้ามา ทำให้เราหลงเชื่อ  เราไม่เป็นคนบาปอีกแล้ว  พระเจ้าบอกเรา เมื่อเราบังเกิดใหม่ ตัวบาปของเรา ได้ตายไปพร้อมกับพระเยซูคริสต์แล้ว เราได้บังเกิดใหม่เข้ามาเป็นตัวตนใหม่ เป็นมนุษย์พันธุ์ใหม่ เหมือนพระเยซูคริสต์แล้ว เหมือนพระเจ้าแล้ว เรามีธรรมชาติใหม่ มีวิญญาณใหม่เหมือนพระเจ้าแล้ว ตัวเราเองไม่มีบาปเลย ถ้าใครมาบอกเราว่า …

            “ท่านเป็นคนบาป”

            ไม่ต้องรับ เพราะว่านั่นคือคำโกหก ตรงนี้แหละ ความจริงของพระเจ้าจะไม่ทำให้เราสงสัยว่า …

            “ใช่ๆ เรายังบาปอยู่หรือ? รีบๆ ไปสารภาพบาป”

            ไม่ใช่เลย  เราไม่ได้เป็นคนบาปแล้ว พระเจ้าบอกอย่างนั้น ไม่ว่าถ้อยคำอะไรก็ตาม ที่เราได้ยินได้ฟังผ่านปากของใครก็ตาม ที่มาบอกเราตรงกันข้ามกับสิ่งที่พระเจ้าบอกเราชัดเจนว่าความรอด เรารอดแล้วรอดเลย เราเข้ามาเป็นลูกของพระเจ้า เป็นแล้ว เป็นเลย  ไม่ว่าเราทำอะไร ไม่มีผลอะไรที่จะทำให้เราหลุดไปจากทางของพระเจ้าได้เลย แล้วถ้าเราได้ยินคำอะไรก็ตามที่บอกเราว่า …

            “เธอทำอย่างนี้ เดี๋ยวหลุดจากทางของพระเจ้า พระเจ้าไม่เอาเธอแล้วนะ เดี๋ยวเธอก็ไม่รอดหรอก เดี๋ยวเธอก็ตกนรกหรอก”

            อันนั้น คือคำโกหก มันไม่จริง พอไม่จริง เราแยกแยะได้ เราก็ไม่รับมัน

            นี่คือผลของคนที่เจริญเติบโตในด้านวิญญาณ ที่จะสามารถรับรู้ว่าอะไรคือคำโกหกหลอกลวง อะไรคือความจริงที่พระเจ้าบอกเรา เพื่อเราจะได้สามารถที่จะยืนหยัดอยู่ในความเชื่อ ที่พระเจ้าบอกเราว่าเราเป็นลูกของพระเจ้าแล้ว เราเป็นทายาทของพระเจ้าร่วมกับพระเยซูคริสต์แล้ว เราสะอาด บริสุทธิ์ หมดจดเหมือนพระเจ้าแล้ว เราเป็นความรักแล้ว เราเป็นผู้ชอบธรรมแล้ว เราได้นั่งอยู่ที่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้าร่วมกับพระเยซูคริสต์เรียบร้อยไปแล้ว เอเมน พระเจ้าอวยพรค่ะ

*******************

จากใจคณะศิษยาภิบาล

            เชื้อบาปได้เข้ามาในโลก เพราะคนๆ เดียว  และความตายก็เกิดมา เพราะเชื้อบาปนั้น และความตายก็ได้แผ่ไปถึงมวลมนุษย์ทุกคน

            โรม 5:12 … “เหตุฉะนั้น เช่นเดียวกับที่เชื้อบาปได้เข้ามาในโลก เพราะคนๆ เดียว และความตายก็เกิดมา เพราะเชื้อบาปนั้น  และความตายก็ได้แผ่ไปถึงมวลมนุษย์ทุกคน เพราะมนุษย์ทุกคนทำบาป”

            เชื้อบาปก็เหมือนไวรัสทางวิญญาณ ที่ทำให้มนุษย์ถึงตายแน่นอน ซึ่งเกิดมาจากคนคนเดียว คืออาดัม  ถ้าเราไม่ยอมรับความจริง ก็คือปฏิเสธการรับการรักษานั่นเอง

            1 ยอห์น 1:8-10 … “8 ถ้า​เราปฏิเสธว่า​เรา​ไม่​ได้เป็นคนบาป เรา​ก็​หลอกลวง​ตนเอง และ​ไม่​มี​ความ​จริง​อยู่​ใน​ตัว​เรา 9 ถ้า​เรายอมจำนนรับว่าเราเป็นคนบาป และเรา​สารภาพ​บาป​ของ​เรา พระ​องค์​เป็น​ผู้​รักษา​คำมั่น​สัญญา​ และ​มี​ความ​เที่ยงธรรม พระ​องค์​จะ​ยกโทษ​บาป​ทั้งหมดแก่​เรา และ​ชำระ​เรา​ให้​บริสุทธิ์ พ้น​จาก​ความ​ไม่​ชอบธรรม​ทั้ง​ปวง 10 ถ้า​เรา​พูดว่า​เรา​ไม่​เคย​ทำ​บาปเลย ก็​เท่า​กับ​เรา​ทำ​ให้​พระ​องค์​เป็น​ผู้​โกหก และ​ถ้อยคำของ​พระ​องค์​ (คือพระเยซู) ก็ไม่ได้อยู่​ใน​ตัว​เรา”

            ถ้าท่านยอมรับความจริงว่าพระเจ้าสามารถรักษาท่านให้หาย ผ่านทางพระเยซูคริสต์  ฉะนั้น ยอมจำนนต่อความจริง แล้วรับการรักษาเถิด

            วิธีรักษา …

            โรม 10:9-10 …  “9 นั่นคือถ้าท่านยอมรับด้วยปากของท่านว่า “พระเยซูทรงเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้า” และเชื่อในใจของท่านว่าพระเจ้าทรงให้พระองค์เป็นขึ้นจากตาย ท่านก็จะได้รับความรอด 10 เพราะท่านเชื่อด้วยใจ จึงทรงให้ท่านเป็นผู้ชอบธรรม  และเพราะท่านยอมรับด้วยปาก จึงทรงให้ท่านรอด  (รอดจากความพินาศ ในวิญญาณหลังความตาย) ได้เข้าอาศัยอยู่ในสวรรค์กับพระเจ้านิรันดร์”

            พระเจ้าอวยพรครับ

วารสาร Holy  News   ฉบับที่  1423

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  2  กรกฎาคม  2023

เรื่อง “คำอธิษฐาน มัทธิว 6:9-15”

“พระเยซูกำลังสอนให้เราทำตามหรือ?” ตอน 4

โดย นคร   เวชสุภาพร

            วันนี้ “คำอธิษฐาน มัทธิว 6:9-15” “พระเยซูกำลังสอนให้เราทำตามหรือ?” ตอนที่ 4 จริงๆ แล้วอยู่ในบริบทเดียวกันทั้งหมดกับถ้อยคำ หรือคำสอนของพระเยซู ตลอดช่วงเวลา 3 ปีที่พระองค์ตระเวนประกาศข่าวดี  ไม่ได้มาสอนศีลธรรม ให้กับชาวยิว  ที่ยังไม่ได้เป็นคริสเตียน ยังไม่ได้บังเกิดใหม่  เพราะเวลานั้น พระเยซูคริสต์ยังทำภารกิจไม่สำเร็จ

            ภารกิจของพระเยซูคริสต์ คือการไถ่บาปให้กับเรา ให้เราได้บังเกิดใหม่  การสิ้นพระชนม์ของพระองค์ บนไม้กางเขน  และการเป็นขึ้นจากความตายในวันที่ 3 ณ เวลานั้น ภารกิจนี้ยังไม่สำเร็จ พระเยซูจึงตระเวนประกาศว่ายังไม่สำเร็จ  แต่กำลังจะสำเร็จ ประกาศว่าอาณาจักรสวรรค์กำลังจะมาตั้งอยู่บนโลกใบนี้ ก็หมายถึงว่าเมื่อพระองค์ทรงสิ้นพระชนม์ บนไม้กางเขน และเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่ 3 สวรรค์ได้มาตั้งอยู่แล้วนั่นเอง  เพราะฉะนั้น ตอนที่ตระเวนประกาศนั้น  สวรรค์กำลังจะมาตั้งอยู่แล้ว ที่ประกาศ ณ ช่วงนั้น ภารกิจยังไม่สำเร็จ พระเยซูบอกว่าสวรรค์กำลังจะลงมา แต่สิ่งที่เรากำลังพูดกันอยู่ กำลังวิเคราะห์กันอยู่วันนี้ ขณะนี้ ปัจจุบันนี้ ผ่านมา 2,000 ปีแล้ว ภารกิจสำเร็จแล้วหรือยัง? สำเร็จแล้ว ก็หมายถึงสวรรค์ลงมาตั้งอยู่บนโลกใบนี้ เรียบร้อยไปแล้วนั่นเอง เอเมน นี่เห็นชัดเจนเลย

            ขอย้ำอีกทีหนึ่งว่าคำอธิษฐาน ในมัทธิว บทที่ 6 ที่เรากำลังวิเคราะห์นี้ รวมทั้งคำสอน  คำประกาศของพระเยซู ตลอดทั้ง 3 ปีที่เดินอยู่บนโลกใบนี้นั้น คือถ้อยคำที่พระองค์กำลังพูดกับใคร? ชาวยิว  ที่ยังไม่ได้กลับใจใหม่ ที่ยังไม่เชื่อพระเจ้า พระเยซูคริสต์ว่าเป็นพระผู้ช่วยให้รอด เพราะยังไม่มีพระคัมภีร์พันธสัญญาใหม่ ยังคงยึดในการกระทำตามธรรมบัญญัติ พันธสัญญาเดิม  พูดง่ายๆ คือยังไม่ได้เป็นคริสเตียน เพราะฉะนั้น พวกเราที่กำลังวิเคราะห์กันอยู่ในปัจจุบันนี้  เราเป็นคริสเตียนที่กลับใจใหม่แล้ว ได้บังเกิดใหม่แล้ว  อยู่ในยุคพระคุณแล้ว หรือว่ายุคที่เรียกว่าพันธสัญญาใหม่แล้ว ก็คืออยู่ในหลังไม้กางเขนนั่นเอง หลังที่พระเยซูสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขนแล้ว เป็นขึ้นจากความตายแล้ว สวรรค์มาตั้งอยู่แล้ว แล้วเราก็อยู่ในสวรรค์แล้ว

            เพราะฉะนั้น เราต้องศึกษาถ้อยคำเหล่านี้ ในมุมมองที่แตกต่างออกไป เอเมนไหม? ผมพยายามย้ำตรงนี้บ่อยๆ มากๆ มันสำคัญที่สุดเลย ไม่อย่างนั้นเราจะสับสนเรื่องข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์มาก เมื่อเราสับสนข่าวประเสริฐ จะทำให้ไม่ศักดิ์สิทธิ์เท่าที่ควร ทั้งๆ ที่ควรจะศักดิ์สิทธิ์อย่างนั้น เพราะความจริงได้ถูกลบเลือนออกไป ความจริงได้ถูกผสมด้วยความจริงต่างๆ ที่ไม่ได้เป็นความจริง ทำให้เกิดเหมือนไม่บริสุทธิ์ ดีพร้อม ไม่เป็นนมที่บริสุทธิ์ แต่เป็นนมที่เจือปนพิษ

            เพราะฉะนั้น จากคำถามที่ตั้งมาตามซีรี่ย์นี้ว่าคำอธิษฐาน มัทธิว 6:9-15 ที่เรารู้จักกันดี พระเยซูกำลังสอนให้เราทำตามหรือ?  เราสามารถตอบได้ทันทีว่า …

            “เปล่าเลย  ไม่ใช่ ไม่ได้มาสอนให้เราทำตามสักหน่อย”

            ทั้งคำอธิษฐานตรงนี้ รวมทั้งคำสอน คำประกาศอื่นๆ ของพระเยซู ในช่วง 3 ปีนี้ พระองค์กำลังเตือนชาวยิวเหล่านั้นที่ยังไม่ได้เชื่อ ให้พวกเขากลับใจใหม่ อย่าพึ่งพาตนเองในการรักษาบทบัญญัติ เพื่อจะได้เข้าสวรรค์ แต่ให้หันมาวางใจในพระองค์ เป็นพระเมสิยาห์ที่พระเจ้าสัญญาไว้ เพราะปัญหามันอยู่ที่วิญญาณของพวกเขาเป็นบาป เขาจึงต้องตายและเกิดใหม่เท่านั้น

            นี่คือบทสรุปสั้นๆ เนื้อๆ ของข่าวดีที่พระองค์มาประกาศ ในช่วง 3 ปีนี้ สรุปสั้นๆ  เนื้อหาสาระมีอยู่แค่นี้เอง สังเกตอย่างที่ตะกี้นี้ที่ผมบอกว่าการอยู่ในบาปกับคำว่าเกิดใหม่ในวิญญาณนี้ มันต่างกันลิบลับเลย เห็นไหมครับ?  เราเป็นคริสเตียนเกิดใหม่ในวิญญาณ แต่ตอนที่พระเยซูประกาศอยู่นี้ ยังไม่มีคริสเตียนเลย  ยังไม่มีใครเกิดใหม่ในวิญญาณ เป็นคนบาปและตายอยู่ พระเยซูกำลังมาชี้ให้พวกเขาเห็นว่ามนุษย์นั้นตายและอยู่ในบาป จำเป็นต้องตายจากบาป และมาเกิดใหม่ นี่คือเรื่องย่อๆ เนื้อๆ ของข่าวดี  ที่พระองค์มาประกาศช่วง 3 ปีนั้น

            ผมจะยกตัวอย่าง หนึ่งในถ้อยคำของพระเยซูในบริบทนี้ ที่เรากำลังวิเคราะห์นี้ เมื่อสัปดาห์ที่แล้วก็ยก สัปดาห์นี้ก็จะยกอีก จะยกไปเรื่อยๆ ให้เราเห็นได้ชัดๆ ว่าทั้งบริบทนี้ คือทั้ง 3 ปีที่พระองค์ทรงประกาศนี้ พระองค์ไม่ได้มาสอนให้เราทำ  แต่มาชี้ให้เห็นถึงรายละเอียด เมื่อตะกี้นี้ที่ผมบอก สรุปให้ฟัง เช่นยกตัวอย่างตอนหนึ่ง ถ้อยคำของพระเยซูในมัทธิว บทที่ 16 ที่พระองค์กำลังพูดกับชาวยิว ที่ยังไม่เชื่อ ต้องเน้นตรงนี้บ่อยๆ ยังเป็นคนบาปอยู่ในวิญญาณ ยังไม่เป็นคริสเตียน ยังไม่ได้บังเกิดใหม่  พระองค์กำลังพูดกับพวกเขาอย่างนี้  เพื่อท่านจะได้เห็นชัดขึ้น เพื่อจะได้อ่าน จะได้อ๋อ! พระเยซูกำลังชี้ ให้พวกเขาเห็นว่าเขาเป็นคนบาป ที่วิญญาณของเขา ปัญหาอยู่ที่วิญญาณของเขา เป็นคนบาป

            ก่อนจะอ่าน เน้นอีกทีที่จะอ่านนี้ พระเยซูกำลังพูดกับชาวยิว ที่ยังไม่ได้เกิดใหม่ ยังไม่ได้เป็น คริสเตียน มัทธิว 16:24-26 …

        มัทธิว 16:24-26 “24 พระเยซูจึงตรัสกับบรรดาสาวกของพระองค์ว่า “ถ้าใครต้องการจะติดตามเรา ให้คนนั้นปฏิเสธตนเอง รับกางเขนของตน แบกและตามเรามา 25 เพราะว่าใครต้องการจะเอาชีวิตรอด คนนั้นจะเสียชีวิต  แต่ใครยอมเสียชีวิต เพราะเห็นแก่เรา คนนั้นจะได้ชีวิตรอด 26 เพราะเขาจะได้ประโยชน์อะไร ถ้าได้สิ่งของหมดทั้งโลก แต่ต้องเสียชีวิตของตน หรือคนนั้นจะนำอะไรไปแลกชีวิตของตนกลับคืนมา”

            เรามาวิเคราะห์กัน วิธีวิเคราะห์ ที่อ่านให้เข้าใจ อย่างที่บอก เน้นมาหลายครั้งแล้ว ต้องรู้ว่าพูดกับใคร? คราวนี้เรารู้แล้ว พูดกับชาวยิวที่ยังไม่ได้เชื่อ ยังไม่ได้บังเกิดใหม่ ยังไม่ได้เป็น  คริสเตียน อยู่ในสภาวะตายในวิญญาณ  เรารู้แล้วตอนนี้ แต่ตอนนั้น พวกเขาไม่รู้ พระเยซูจึงพูดอย่างนี้ให้เขาฟัง หมายถึงอะไร ทั้งหมดเมื่อตะกี้นี้ มัทธิว 16:24-26 หมายถึงอะไร? หมายถึงใครที่ยอมรับว่าตนเอง เป็นคนบาป ไม่สามารถช่วยเหลือตนเองได้ ให้แบกวิญญาณที่เป็นบาปอยู่นั้น เดินตามพระองค์ไปที่ที่พระองค์ถูกตรึงกางเขน คือเนินเขากลโกธา แล้วร่วมถูกตรึงตายบนไม้กางเขน พร้อมกับพระองค์ แล้วจะได้เป็นขึ้นจากความตาย พร้อมพระองค์ ได้บังเกิดใหม่พร้อมพระองค์นั่นเอง

            เห็นไหม? มันตรงกับข่าวประเสริฐเลย ตรงกับข่าวดี พระเยซูกำลังมาชี้ให้เขาเห็นว่าเขาต้องเกิดใหม่ ไม้กางเขน คือสัญลักษณ์ที่ชาวยิวรู้ดี มาตั้งแต่อดีต บรรพบุรุษแล้ว ไม้กางเขน ก็คือสัญลักษณ์แห่งการสาปแช่ง แห่งความตาย เพราะความบาป นี่ จึงให้เขาแบกไม้กางเขน  แบกความสาปแช่ง และความตายที่อยู่ในวิญญาณนั้น ไปที่เนินเขาหัวกะโหลก กลโกธา นี่คือเป็นเนินเขา นอกกรุงเยรูซาเล็ม  เป็นสถานที่ที่เขาเอาไว้ทิ้งซากศพ ที่ถวายสัตวบูชาแด่พระเจ้าในวิหาร ในกรุงเยรูซาเล็ม และเอาซากอะไรต่างๆ มาทิ้งตรงนี้ เขาเรียกว่าหุบเขาแห่งความตาย แปลว่าอย่างนั้น เป็นที่ที่เหม็นหึ่งไปด้วยคำสาปแช่ง ไม่มีใครอยากจะไปเลย มันเป็นที่อโคจรเลยล่ะ ชาวยิวรู้ดี เห็นไหม? พระเยซูยกตัวอย่างง่ายๆ …

            “มา ตามเราออกไปที่ไหน? ที่กลโกธา ทำอะไร? แบกกางเขนของเจ้าไป”

            คือสัญลักษณ์ของสถานที่ที่คนจะไปตายที่นั่น เพื่อตัวเก่าและวิญญาณเก่าที่เป็นคนบาป ที่ถูกสาปแช่งอยู่ในตัวเจ้านั้น จะได้ตายไป บนไม้กางเขนนั้น ตายไป เพื่อจะได้บังเกิดใหม่ ท่านหรือพวกท่านจะไม่สามารถบังเกิดใหม่ได้เลย เข้าสวรรค์ไม่ได้เลย ถ้าท่านไม่ตายก่อน แล้วจะบังเกิดใหม่ได้อย่างไร?  และบังเกิดใหม่ด้วยอะไร?  ด้วยฤทธิ์เดชอำนาจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า ที่ชุบให้ท่านเป็นขึ้นจากความตาย พร้อมๆ กับพระเยซูคริสต์ นี่คือความหมายอย่างนั้น

            “ถ้าใครต้องการจะติดตามเรา ให้คนนั้นปฏิเสธตนเอง”

            ปฏิเสธตนเอง คือเลิกพึ่งพาความรอบรู้ของตนเอง  เลิกพึ่งพาการกระทำดีของตนเอง เพื่อจะเข้าสวรรค์ ด้วยความดีของตนเอง เลิกซะ แล้วมาวางใจในเรา พระเยซูคริสต์เป็นพระมาซีฮาห์  แทนที่จะไม่ปฏิเสธตัวเอง แต่มาปฏิเสธเรา ก็คือพูดง่ายๆ แทนที่จะมาพึ่งเรา กลับพึ่งตนเอง เลิกพึ่งตนเองเถิด มาพึ่งเรา มีอยู่แค่นี้เอง ชัดเลย

            คราวนี้เรากลับมาวิเคราะห์    หลังจากคำพูดนี้ประมาณ 3 ปี พระเยซูกระทำการไถ่บาปให้กับมวลมนุษย์ สำเร็จเรียบร้อยแล้ว  โดยการสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน  ถูกฝังไว้ในอุโมงค์และเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่ 3 แล้ว พระเยซูก็พูดกับคริสเตียน จากนี้ ถึงเรื่องนี้ เรื่องเดียวกันนี้ เรื่องที่ประกาศเมื่อสักครู่นี้ พระเยซูได้พูดกับคริสเตียน ผู้เชื่อที่ได้บังเกิดใหม่แล้ว เป็นผู้ชอบธรรม บริสุทธิ์ ดีพร้อมในวิญญาณแล้ว  โดยพูดผ่านทางอัครทูตเปาโล พระเยซูเข้ามาสถิตอยู่กับผู้เชื่อแล้ว  ผู้ที่ถูกแต่งตั้งให้มาประกาศ พระเยซูก็พูดผ่านทางเขา ตอนหนึ่งในนั้น ที่ยกมาตอนนี้ ก็คือพูดผ่านทางอัครทูตเปาโล ในหนังสือโรม 6:3-6 ดูสิพระเยซูพูดเรื่องเดียวกันนี้ แต่ความหมายเป็นอย่างไร? …

        โรม 6:3-6 “3 ท่านไม่รู้หรือว่าเราทั้งปวงที่เชื่อ (พระเยซูคริสต์) ก็ได้ถูกนำเข้าไป เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเยซูคริสต์ (รับบัพติศมาโดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า)  ก็ได้เข้าส่วนร่วม ในความตายของพระองค์ (ที่ไม้กางเขน) ในการบัพติศมานั้น 4 ดังนั้น เราจึงได้ถูกฝังไว้กับพระองค์  โดยการได้บัพติศมาเข้าส่วนร่วมในความตาย เพื่อว่าเราเองก็จะได้มีชีวิตใหม่ (บังเกิดใหม่) เช่นเดียวกับที่พระเจ้าได้ทรงให้พระคริสต์เป็นขึ้นจากตาย (บังเกิดใหม่) โดยฤทธิ์อำนาจแห่งพระวิญญาณ และพระเกียรติสิริของพระบิดา 5 ฉะนั้น ถ้าเราได้มีส่วนร่วม เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์ในการตาย แน่นอน เราจะมีส่วนร่วม เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์ในการเป็นขึ้นจากตาย (บังเกิดใหม่) ด้วยเช่นกัน 6 เพราะเรารู้ว่าตัวเก่าของเรา (ที่อยู่ในบาปในอาดัม) ได้ถูกตรึงไว้กับพระองค์แล้ว เพื่อตัวบาปเก่านั้น จะได้ถูกขจัดไป (ตายจากบาป)  เพื่อเราจะไม่เป็นทาสบาปอีกต่อไป”

            พูดง่ายๆ ก็คือถ้าท่านทำตามเมื่อสักครู่นี้ ที่พระเยซูพูดกับชาวยิว ถ้าท่านปฏิเสธตัวเอง  ไม่พึ่งพาตนเอง  แล้ววางใจในเรา แบกกางเขนของท่าน  แบกความบาป คำสาปแช่งในวิญญาณของท่าน แล้วตามเรามา  สิ่งนี้จะเกิดขึ้นในชีวิตของท่าน ท่านจะได้รับชีวิตใหม่ ถ้าท่านรักชีวิตของตนเอง  โดยการกระทำด้วยตนเอง ท่านจะเสียชีวิต แต่ถ้าท่านรักชีวิตตนเอง และวางใจในเรา ท่านจะได้รับชีวิตกลับมา นั่นหมายถึงอย่างนั้น

            เราลองมาวิเคราะห์กันดู พอท่านแบกกางเขนของท่านตามเรามาแล้ว ท่านได้บังเกิดใหม่แล้ว พระเยซูก็สอนอีกแบบหนึ่งว่าท่านไม่รู้หรือว่า ก็คือท่านที่แบกกางเขน ตามเรามาแล้ว  มาเป็นหนึ่งเดียวกันกับเราแล้ว มาตายพร้อมกับเราที่ไม้กางเขนแล้ว ท่านไม่รู้หรือว่าเกิดอะไรขึ้นในโลกวิญญาณแล้ว ท่านไม่รู้หรือว่าเราทั้งปวงที่เชื่อพระเยซูคริสต์ ก็ได้ถูกนำเข้าไปเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเยซูคริสต์ การนำเข้าไปอยู่ในพระเยซูคริสต์นั้นเป็นหน้าที่ของพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า ซึ่งพระคัมภีร์เรียกกันว่าบัพติศมาในพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า ก็คือการเข้าส่วนร่วมในการตายของพระองค์ เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์ที่ไม้กางเขน

            ดังนั้น เราจึงได้ถูกฝังไว้กับพระองค์ โดยการบัพติศมาเข้าส่วนร่วมในการตาย  เพื่อว่าเราจะได้มีชีวิตใหม่ บังเกิดใหม่เช่นเดียวกับพระเจ้า ที่พระเจ้าทรงให้พระคริสต์เป็นขึ้นจากความตาย  พูดง่ายๆ พระเยซูคริสต์เป็นขึ้นจากความตาย  เราก็เป็นด้วยนั่นเอง คือการแบกกางเขนของเรา ความบาปของเราไปที่กลโกธา ตายพร้อมพระเยซู ก็คือการเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด ยอมรับว่าพระองค์เป็นพระมาซีฮาห์  เป็นพระเจ้ามาเกิดเป็นมนุษย์ ตายบนไม้กางเขน เมื่อเราเปิดใจต้อนรับนั้น พระวิญญาณบริสุทธิ์จะเข้าไปในวิญญาณของเรา  เข้าไปในร่างกายของเรา อันดับแรก คือ เข้าไปฆ่าเราให้ตายทางวิญญาณ โดยเอาวิญญาณบาปของเรา ไปตายพร้อมกับพระเยซูที่ไม้กางเขน  ถูกตรึงอยู่ที่นั่น ตายพร้อมกับพระองค์

            เพราะเรารู้ว่าตัวเก่าของเรา ที่อยู่ในบาป อยู่ในอาดัม เป็นคนบาปสกปรกนั้น  ได้ถูกตรึงไว้กับพระองค์แล้ว เพื่อตัวเก่าตัวบาปนี้จะได้ถูกขจัดออกไป คือได้ถูกฆ่าให้ตายไป ตายจริงๆ เลย แล้วจะได้เป็นขึ้นมาใหม่ จากความตาย พร้อมพระเยซูคริสต์ นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นในโลกวิญญาณ เราได้เกิดใหม่แล้วจริงๆ เป็นคริสเตียน คือวิญญาณสะอาดหมดจดบริสุทธิ์ ดีพร้อม เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเยซู เป็นอวัยวะชิ้นหนึ่งของพระเยซู สะอาดหมดจด กาลาเทีย 2:20 พระองค์ก็ชี้แจงให้เห็นชัดเจนว่าชีวิตของคริสเตียนบริสุทธิ์ สะอาดขนาดไหน? ชีวิตของคริสเตียน คือชีวิตที่ดำเนินด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า ชีวิตของพระเยซูคริสต์ เป็นชีวิตของเรา  ที่กำลังดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้  ในขณะนี้ กาลาเทีย 2:20 …

        กาลาเทีย 2:20 “ข้าพเจ้าเองไม่มีชีวิตอยู่ต่อไป แต่พระคริสต์ต่างหาก ที่ทรงมีชีวิตอยู่ในข้าพเจ้า ชีวิตซึ่งข้าพเจ้าดำเนินอยู่ในร่างกายขณะนี้ ข้าพเจ้าดำเนินอยู่โดยความเชื่อในพระบุตรของพระเจ้า ผู้ได้ทรงรักข้าพเจ้า และได้ทรงสละพระองค์เอง เพื่อข้าพเจ้า”

            เห็นไหมครับแตกต่างกันลิบลับเลย ตอนแบกกางเขนไปนั้น เป็นคนสกปรก เป็นคนตาย  คนถูกสาปแช่ง ตอนนี้เป็นคริสเตียนแล้ว เป็นผู้เชื่อแล้ว สะอาด หมดจด เหมือนพระเยซูเลย มีชีวิตเหมือนพระเยซู พระเยซูสถิตอยู่ด้วย

            และพระเยซูตรัสว่า … “ผู้ใดแบกภาระหนักและเหน็ดเหนื่อย จงมาหาเรา เราจะให้ผู้นั้น หายเหนื่อยและเป็นสุข”

            เราคุ้นๆ กันดี อยู่ในบริบทนี้เหมือนกัน  คำว่า “แบกภาระหนัก” ตรงนี้ ก็หมายความอันเดียวกันนั่นแหละกับที่พระเยซูบอก “แบกกางเขนของตน แล้วตามเรามา” อยู่ในบริบทเดียวกัน พูดตอนไหน? พูดตอนที่เขายังไม่เชื่อ พระเยซูยังทำภารกิจไม่สำเร็จ พูดกับชาวยิวนั่นแหละ “ผู้ใดแบกภาระหนักและเหน็ดเหนื่อย” ก็คือแบกกางเขนของตนเอง แบกเอาความบาป ความตายที่อยู่ในวิญญาณ เหนื่อยขนาดไหน?  “เราจะให้ผู้นั้นหายเหนื่อยและเป็นสุข”

            ผู้ที่แบกภาระหนัก หรือแบกกางเขนของตน ก็คือผู้ที่แบกหนี้บาปเวรกรรมของตน ชาวยิวในสมัยนั้น มาแบกภาระหนัก พระองค์กำลังชี้ว่าแบกความสาปแช่ง แต่ในยุคต่อๆ มา ยุคปัจจุบัน หรือว่ายุคหลังจากนั้น คือประชาชาติทั่วไปที่ไม่ใช่ชาวยิว เราจะคุ้นๆ กับคำนี้ดีว่า …

            “คนเราเกิดมา ต้องชดใช้หนี้บาป เวรกรรม”

            มันอยู่ในจิตใจของมนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้  เพราะฉะนั้น แบกกางเขนของตน ก็คือผู้ที่แบกหนี้บาป เวรกรรมของตน ที่จะต้องชดใช้ ต้องได้รับโทษจากความบาป หลังความตาย ต้องอยู่ในความพินาศ เนื่องจากเป็นคนบาป มนุษย์รู้ดี ตอนนี้ มนุษย์ทุกคนแล้ว ถ้าเขาไม่ได้เชื่อและวางใจในพระเยซู

            เพราะฉะนั้น ความหมายในบริบทนี้ คือ … “ผู้ใดที่กำลังแบกหนี้บาป เวรกรรมอยู่ จงมาหาเรา วางใจในเรา วางใจในข่าวดีที่เราประกาศให้ เราจะให้ผู้นั้นหลุดพ้นจากหนี้บาปเวรกรรม หายเหนื่อยและเป็นสุข  แสดงว่ากำลังพูดกับคนที่เหน็ดเหนื่อย ก็คือพูดกับมนุษย์ทุกคนที่ยังไม่เชื่อ ไม่ได้พูดกับคนที่เชื่อแล้ว ถูกไหมครับ?

            เราวิเคราะห์กันอย่างละเอียดเลยนะ แต่ว่าเราเข้าใจผิด เราสับสน  ถ้าเราตีความผิด ไปเข้าใจว่าที่พระเยซูพูดว่า “จงแบกกางเขนและตามเรามา” พระองค์กำลังพูดกับเราคนที่เป็นคริสเตียนแล้ว แล้วบอกว่ามาเชื่อพระเจ้าแล้ว ก็ยังต้องแบกกางเขน ยังต้องมีภาระที่ต้องทำเพิ่มอีก ถ้ายังต้องทำอีก จะหายเหนื่อยและเป็นสุขได้อย่างไร? จริงไหมครับ? คิดเองเลยอันนี้ พระเยซูมุสาหรือ?

            พระองค์บอกว่า “ผู้ใดแบกภาระหนักและเหน็ดเหนื่อย มาหาเรา เราจะให้ผู้นั้นหายเหนื่อยและเป็นสุข”

            แล้วเราเป็นคริสเตียนแล้ว เราเป็นสุขแล้ว แล้วเราก็บอกว่า “เรายังแบกภาระหนักและเหน็ดเหนื่อยเลย เราต้องทำเพิ่มเติมเข้าไป” เรากำลังพูดกับอะไรที่ปฏิเสธพระองค์ พระเมสิยาห์หรือไม่?

            สรุป ก็คือผู้ที่รู้ตัวว่าเป็นคนบาป จงแบกกางเขน หนี้บาปของตน เดินตามพระเยซูไป ไปตายร่วมกับพระองค์ที่ไม้กางเขน  และจะได้เป็นขึ้นมาใหม่พร้อมกับพระองค์ หายเหนื่อยและเป็นสุข จบบริบูรณ์ ฮาเลลูยา

            มันควรจะเป็นอย่างนั้นนะ คนที่เป็นคริสเตียน ผลของเขา ที่เขามาเปิดใจรับเชื่อพระเยซูแล้ว และวางใจในพระเยซู ควรจะเป็นอย่างนี้ ชีวิตจะได้สบาย หายเหนื่อยและเป็นสุขจริงๆ ไม่ใช่ พอมาเป็นคริสเตียนแล้วหนักกว่าเดิมอีก แต่ก่อนที่ไม่เคยต้องทำ เดี๋ยวนี้ต้องทำด้วย หนักกว่าเดิมอีก อย่างนี้เป็นต้น

            เพราะฉะนั้น คำอธิษฐาน มัทธิว 6:9-15 พระเยซูกำลังสอนให้เราทำตามหรือ? ตามหัวข้อที่เราได้ตั้งชื่อซีรีย์นี้ขึ้นมา คำตอบ ก็คือย้ำอีกทีว่าเปล่าเลย ไม่ได้มาสอนให้ทำ มาประกาศ ในช่วง 3 ปี ก่อนถูกตรึงที่ไม้กางเขน ที่พระองค์ทรงประกาศอยู่นี้ พระองค์ไม่ได้มาสอนศีลธรรม ให้ทำอันโน้นอันนี้ ถูกต้องดีงาม อะไรต่างๆ เหล่านั้น ก่อนหน้าพระองค์และหลังพระองค์ มีคนมาสอนเยอะแยะ มนุษย์ก็รู้ดีด้วยว่าทำอะไรดี ไม่ดี พระองค์ไม่ได้มาสอน แต่พระองค์ได้ชี้ให้เห็น มาประกาศความจริงให้เห็นว่ามนุษย์ เป็นคนป่วยในวิญญาณ ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ ไม่ใช่การป่วยภายนอกที่มนุษย์คิดว่าประพฤติอย่างนี้แย่ เป็นบาป แค่นั้น แต่มันมีปัญหาอยู่ที่วิญญาณของเขา โดยประกาศผ่านทางชาวอิสราเอลก่อน ชาวยิวก่อน

            ที่เรากำลังวิเคราะห์ติดตามอยู่นี้ ซึ่งในอดีต พระเจ้าได้ให้บทบัญญัติกับพวกเขา คือชาวยิว เป็นเหมือนกระจกเงา ก็คือบัญญัตินั้น กฎเกณฑ์ต่างๆ นั้น อย่าทำอันนี้ อย่าทำอันนั้น ให้ทำอันนี้ ให้ทำอันนั้น  เป็นเหมือนกระจกเงา เพื่อดูตัวเองว่าเป็นคนป่วย เพื่อจะได้รู้ว่าตัวเองป่วย เพราะทำตามบทบัญญัติไม่ได้ เดี๋ยวก็ละเมิดๆ แต่พระเยซูนำเอาเครื่องมาเสริมให้เห็นชัดขึ้น ไม่ได้มาลบล้างบทบัญญัติ แต่มาเสริมบทบัญญัติให้ชัดขึ้น คือแทนที่บทบัญญัติเป็นกระจกเงาใช่ไหม? พระเยซูเอาเครื่องเอ็กซเรย์มาเลย กระจกเงาเห็นแต่ภายนอกว่าเป็นคนบาป ยังไม่แน่ใจใช่ไหม? เอาเครื่องเอ็กซเรย์มาเลย เอ็กซเรย์ดูข้างใน จะได้เห็นชัดเจน เข้าไปอยู่ภายในเขาเลยว่าป่วยจริงๆ หนักด้วย เรื้อรังด้วย เป็นมะเร็งในวิญญาณ เขาต้องรีบรักษา รักษาด้วยตนเองไม่หาย ก่อนหมดลมหายใจ เขาต้องรีบไปหาหมอ แล้วหมอ ก็คือพระเยซู

            เพราะฉะนั้น พระองค์มาชี้ให้เขาเห็น และให้เลิกล้มความตั้งใจที่จะรักษา ด้วยความสามารถของตนเอง ให้เลิกซะ พระองค์ทรงยกตัวอย่างให้เขาเห็น ชัดเจนเลย ในบริบทนี้ทั้งหมด  ทั้ง 3 ปีนี้ ชัดเจน ยกตัวอย่างเช่น คิดอิจฉาริษยา ว่ากล่าวคนอื่นว่าไอ้บ้า ไอ้โง่ ยกตนเองขึ้นสูงกว่าคนอื่น  ดีกว่าคนอื่น  คิดกำหนัดในใจ คิดโลภ แม้เพียงนิดเดียว ก็ไม่รอดแล้ว เหล่านี้ทั้งหมด คือภาพ ไม่ได้มาสอนให้ทำ  แต่ภาพที่พระเยซูชี้ให้เขาเห็นว่าในวิญญาณของเขามันป่วยหนักจริงๆ ช่วยตัวเองไม่ได้หรอก ไม่มีทาง ที่จะเป็นไปได้ในการช่วยเหลือตัวเองให้หาย จากโรคมะเร็งร้าย คือความบาปในวิญญาณของเขา โดยการประพฤติของเขา  โดยการรักษาบทบัญญัติ บทบัญญัติมีไว้สำหรับเป็นกระจกเงาให้เขาดูว่าเขาเป็นคนบาป ช่วยไม่ได้หรอก

            รวมทั้งถ้อยคำที่บอกว่าจงอภัยให้กับผู้อื่นก่อน พระเจ้าจึงจะอภัยให้กับท่าน ความหมาย ก็คือทำไม่ได้อยู่แล้ว ไม่มีทางเลยที่ท่านจะทำได้ คือการให้อภัยโทษผู้อื่นก่อน โดยการพึ่งพาการกระทำด้วยตนเอง  เพราะว่าการไม่ให้อภัยมันอยู่ที่วิญญาณของท่าน ที่เป็นวิญญาณบาป วิญญาณแห่งความเกลียดชัง สกปรก โสโครก พระองค์จึงยกตัวอย่างเหมือนเอาอูฐลอดรูเข็ม  อย่างที่ผมอธิบายให้ฟังหลายตอนแล้ว

            ถามว่าพระองค์มาสอนให้กระทำหรือ? ไม่ใช่ มาชี้ให้เห็นว่าเป็นคนบาป และก็ชี้ให้เห็นว่าเพราะความบาปมันอยู่ในวิญญาณของท่าน ท่านที่เป็นคนบาป เพราะวิญญาณท่านบาป ไม่ใช่เพราะความประพฤติของท่านบาป นี่ก็ชี้ให้เห็นตรงนี้ ไม่ได้ชี้ว่าตรงนี้บาป ไม่ทำ แต่ชี้ให้เห็นว่าท่านจะรักษาความประพฤติให้ดีอย่างไร? รักษาให้ตายอย่างไรก็ตาม ไม่มีทางล้างความบาปออกจากวิญญาณของท่านได้ เป็นไปไม่ได้เลย  เพราะวิญญาณเป็นต้นตอชีวิตของท่าน วิญญาณเป็นบาป เมื่อท่านสิ้นลมหายใจ วิญญาณออกจากร่าง วิญญาณก็เป็นบาป และใครจะช่วยท่านได้ การพึ่งพา การกระทำของตนเอง มันช่วยไม่ได้หรอก เพราะวิญญาณท่านเป็นคนบาป

            วิธีแก้ ก็คือท่านต้องให้วิญญาณนี้เปลี่ยนซะ นอกจากพระเจ้าแล้ว ไม่มีใครเปลี่ยนได้ และพระเจ้าเปลี่ยนด้วยวิธีฆ่าท่านให้ตาย ฆ่าวิญญาณเก่าท่าน กำจัดออกไป ผ่าตัดวิญญาณเก่าท่านออกไป แล้วเอาวิญญาณใหม่ใส่เข้ามา ใจใหม่ใส่เข้ามา ไม่มีใครทำได้ นี่เราเห็นภาพชัดเจนเลย นี่คือสิ่งที่พระเจ้าผ่านทางพระเยซูคริสต์ มาชี้ให้มนุษย์ได้เห็น โดยผ่านทางชาวยิวก่อน ในช่วง 3 ปีนั้น แล้วก็มาชี้ให้มนุษย์เห็นเหมือนกันอย่างนี้ ผ่านทางอัครทูตต่างๆ ผู้เชื่อต่างๆ หลังจากที่พระองค์ทรงทำภารกิจสำเร็จแล้ว พระองค์จึงบอกว่าสำหรับมนุษย์ก็เหลือกำลัง แต่สำหรับพระเจ้า ทุกสิ่งทุกอย่าง เป็นไปได้เสมอ

            การตายต่อบาปของเรา หมายถึงการที่ตัวบาปของเราตายไปเลย ถ้าเรายังเป็นบาปอยู่ เราก็เป็นทาสของความบาป เพราะตัวเป็นบาป  แต่ถ้าเราตายต่อบาป เราก็เป็นอิสระ หมายถึงอย่างนี้

            ถ้าชาวยิวคนไหนไม่เชื่อ  ไม่วางใจในพระองค์ว่าเป็นพระเมสิยาห์ พูดง่ายๆ ว่าปฏิเสธพระองค์ แต่เชื่อความสามารถของตัวเอง รักษาความดีได้ ก็ต้องอธิษฐานอย่างมีเงื่อนไขตามพันธสัญญาเดิม ในมัทธิว 6:9-15 อย่างนี้ต่อไป มันหมายถึงอย่างนั้น ไม่ได้สอนให้ทำ  แต่กำลังจะบอกว่าถ้าท่านไม่เชื่อเราว่าเป็นพระมาซิฮาห์ ท่านก็ต้องอธิษฐานอย่างนี้ต่อไป ก็คือรอคอยสวรรค์ รอคอยการอภัยโทษจากพระเจ้า โดยผ่านทางการรักษาบทบัญญัติ ด้วยความพยายามของตนเอง ซึ่งไม่มีทางเป็นไปได้อย่างครบถ้วนบริบูรณ์ ในสายพระเนตรของพระเจ้า ตามมาตรฐานของพระเจ้าได้เลย  ไม่มีทางเป็นไปได้เลย แม้แต่นิดเดียว ด้วยความพยายามของตนเอง ที่จะทำการเปลี่ยนวิญญาณของตนเอง ให้เป็นคนบริสุทธิ์ ดีพร้อม เข้าสวรรค์ได้ เป็นไปไม่ได้  ถ้าไม่เชื่อว่าพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด พระมาซิฮาห์ ก็ต้องอธิษฐานอย่างนี้ต่อไป

            นี่พระเยซูกำลังชี้ให้เห็น ไม่ใช่เอาคำอธิษฐานนี้มา แล้วมาเป็นคำอธิษฐานของเรา เราเป็นคริสเตียนแล้ว มันไม่ใช่ของเรา เป็นของคนที่ปฏิเสธพระเยซูมากกว่า

            เพราะฉะนั้น ถ้าไม่เชื่อว่าพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด เป็นพระมาซิฮาห์ ก็อธิษฐานแบบนี้ แบบไหน? แบบมัทธิว 6:9-10 ลองอ่านดู …

        มัทธิว 6:9-10 “9 ฉะนั้น ท่านควรจะอธิษฐานดังนี้ว่า “‘ข้าแต่พระบิดาของข้าพระองค์ทั้งหลาย ผู้สถิตในสวรรค์ ขอให้พระนามของพระองค์เป็นที่เทิดทูนสักการะ 10 ขอให้อาณาจักรของพระองค์ได้รับการสถาปนาไว้ ขอให้พระประสงค์ของพระองค์สำเร็จในโลก เช่นเดียวกับในสวรรค์”

            จำกันแม่นเลย ตอนนี้ท่านจะอธิษฐานลงไหม? ท่านเป็นคริสเตียนแล้ว เป็นผู้เชื่อแล้ว พระองค์กำลังบอกว่าคนที่ไม่เชื่อพระองค์ว่าเป็นพระเจ้า คนที่ไม่เชื่อว่าพระองค์เป็นพระมาซิฮาห์ พูดผ่านทางชาวยิวก่อน ก็ต้องอธิษฐานอย่างนี้แหละ

            “ขอสวรรค์ลงมาตั้งอยู่” ขอไปเรื่อยๆ ขอทุกวัน สวรรค์ลงมาตั้งอยู่แล้ว ก็ยังขออยู่ นึกภาพออกไหม? พระองค์พูดตรงนี้ให้กับชาวยิว ในขณะที่ซึ่งอีกไม่กี่วันข้างหน้านี้ พระเมสิยาห์  คือพระองค์เอง คือพระคริสต์ ก็จะทำสำเร็จบนไม้กางเขนแล้ว อาณาจักรของพระเจ้า คือสวรรค์ จะได้รับการสถาปนาตั้งอยู่บนโลกใบนี้แล้ว อีกไม่กี่วันข้างหน้า และทางเดียวที่จะเข้าสวรรค์นี้ได้ คือวางใจในพระองค์ว่าเป็นพระเมสิยาห์ ทางเดียวเท่านั้นจริงๆ เพราะพระเจ้ากำลังจะยกเลิกพันธสัญญาเดิม ผ่านทางสัตวบูชานั้นเรียบร้อยแล้ว พระองค์จะยกเลิก ไม่กี่วันข้างหน้าแล้ว  เห็นไหม ถ้าท่านไม่วางใจในพระเมสิยาห์ คือเรา ท่านก็ต้องอธิษฐานตามอย่างคนที่ไม่เชื่อ อย่างนี้ต่อไป รอต่อไป ข้อต่อไป มัทธิว 6:11 …

        มัทธิว 6:11 “ขอโปรดประทานอาหารประจำวันแก่ข้าพระองค์ทั้งหลายในวันนี้”

            ก็ขอต่อไป แต่ถ้าท่านวางใจในเราว่าเป็นพระเมสิยาห์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอด ท่านก็จะได้รับการบังเกิดใหม่ในวิญญาณ เป็นลูกของพระเจ้า ผู้ทรงเลี้ยงดู ดั่งลูกแกะของพระองค์ แล้วพระวิญญาณของพระเจ้า จะเข้ามาสถิตอยู่ภายในท่าน นำพาชีวิตท่านตลอดเวลา ท่านจะไม่ขัดสนสิ่งดีใดๆ เลย พระองค์ทรงสัญญาไว้เช่นนั้น เอเมน เห็นหรือยัง? ข้อต่อ 12 …

        มัทธิว 6:12 “ขอทรงยกหนี้ให้ข้าพระองค์ทั้งหลาย เหมือนที่ข้าพระองค์ทั้งหลายได้ยกหนี้ให้ ผู้ที่เป็นหนี้ข้าพระองค์ทั้งหลายเช่นกัน”

            อันนี้ยิ่งชัดใหญ่เลย อีกไม่กี่วันข้างหน้า โดยการหลั่งพระโลหิตของพระเยซูคริสต์บนไม้กางเขน ท่านทั้งหลาย ชาวยิวเอ๋ย  ผู้ที่วางใจในพระองค์ คือในเรานั้น  จะได้รับการชำระหนี้บาปทั้งสิ้น จะได้รับการอภัยโทษ จากบาปทั้งสิ้น โดยพระคุณ ความรักของพระเจ้าผ่านทางพระโลหิต การตาย สิ้นพระชนม์ของเรา ไม่ใช่โดยความประพฤติว่าท่านต้องให้อภัยคนอื่นก่อน ท่านยังไม่ได้อภัยให้คนอื่นก่อนเลย ไม่เป็นไร แต่พระเจ้าอภัยให้ท่านแล้ว โดยที่เราตายที่ไม้กางเขน  เพื่อท่าน ท่านเชื่อไหม? ท่านวางใจในเราไหม? เห็นหรือยัง? ข้อ 13 ต่อ …

        มัทธิว 6:13 “และขออย่าให้ข้าพระองค์ทั้งหลาย ล้มลงเมื่อถูกทดลอง แต่ขอทรงช่วยข้าพระองค์ทั้งหลายให้พ้นจากมารร้าย”

            ท่านถูกทดลองให้ทำบาป แน่นอน มนุษย์ทุกคน ถูกทดลองให้ทำบาป แล้วทำอย่างไร? ต้องขออภัยจากพระเจ้า ต้องถูกลงโทษ  แต่เมื่อท่านเชื่อและวางใจในพระเยซูคริสต์  ท่านจะได้รับการบังเกิดใหม่ และพระเจ้าเข้ามาสถิตอยู่ภายในท่าน ท่านจะเป็นอิสระจากการถูกลงโทษ เนื่องจากบาปเลย ไม่ว่าจะล้มลงในความบาปสักกี่ครั้ง ก็ตาม ไม่ว่าจะไม่ผ่านการทดลองสักกี่ครั้งก็ตาม ไม่ว่าจะมีการทดลองสักกี่ครั้ง ถ้าล้มลงก็ตาม พระเจ้าได้อภัยให้กับท่านหมดก่อนเรียบร้อยแล้ว โดยพระเยซูคริสต์สิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน เรียบร้อยไปก่อนที่ท่านจะทำอีกด้วยซ้ำ ก่อนที่ท่านจะล้มลง เอเมน นี่คือพันธสัญญา มารและวิญญาณชั่วทั้งหลายไม่สามารถแตะต้องท่านได้อีกแล้ว มันไม่สามารถกล่าวหาท่านได้อีกต่อไปว่าท่านเป็นคนบาป  เพราะบาปท่านได้ถูกลบออกไปเรียบร้อยแล้ว ตัวท่านตายแล้ว ท่านไม่เป็นทาสของความบาปอีกต่อไปแล้ว ท่านเกิดใหม่ อยู่ในพระเยซูคริสต์ อยู่ในเราแล้ว เอเมนไหม? ข้อ 14-15 …

        มัทธิว 6:14-15 “เพราะถ้าท่านอภัยให้ผู้ที่ทำผิดต่อท่าน  พระบิดาของท่านในสวรรค์  จะทรงอภัยให้ท่านด้วย แต่ถ้าท่านไม่ยอมอภัยบาปผิดของผู้อื่น พระบิดาก็จะไม่อภัยบาปผิดของท่านเช่นกัน”

            ถ้าท่านวางใจในเราว่าเป็นพระเมสิยาห์ พระคริสต์  ที่พระเจ้าจัดเตรียมไว้ให้กับท่าน ท่านจะได้รับการบังเกิดใหม่  จากหน่อเชื้ออันบริสุทธิ์ เป็นอมตะนิรันดร์ของพระเจ้า เรียกว่าวิญญาณนิรันดร์ ท่านจะเป็นความรักเหมือนพระเจ้า ท่านจะเป็นความชอบธรรม เป็นคนชอบธรรมบริสุทธิ์ ดีพร้อม เหมือนพระเยซูคริสต์ เป็นคนให้อภัยจากใจที่บังเกิดใหม่นั้น เหมือนพระเยซูเลย ข้างในใจท่านสะอาด บริสุทธิ์ เหมือนพระเยซูเลย รักและเมตตา และให้อภัยผู้คนเหมือนพระองค์เลย  แต่ถ้าท่านไม่เชื่อว่าพระองค์ทรงเป็นพระเมสิยาห์ เป็นพระคริสต์ ถ้าท่านไม่เชื่อวางใจในเรา ที่พระเจ้าทรงโปรดประทานให้กับท่าน ให้กับมนุษย์ทุกคน ตามที่ได้สัญญาไว้  เพื่อช่วยให้มนุษย์รอดพ้นจากการถูกลงโทษ เนื่องจากบาป ในการสิ้นพระชนม์ของพระเยซู และการหลั่งพระโลหิตของพระองค์ เพื่อไถ่มวลมนุษย์ บนกางเขน ซึ่งจะกระทำในอีกไม่กี่วันข้างหน้านี้ ถ้าท่านไม่เชื่อ หรือท่านเชื่อ  ท่านก็จะได้รับอย่างที่ตะกี้นี้ ที่พระองค์ทรงชี้ให้เห็นในบริบทนี้ ทั้ง 3 ปีนี้ ชี้ให้เห็นแค่นี้เองว่าถ้าท่านพึ่งในตนเอง จะเกิดอะไรขึ้น? ถ้าพึ่งในเรา วางใจในเราจะเกิดอะไรขึ้น ถ้าท่านปฏิเสธเรา เป็นพระเมสิยาห์ แล้วยอมรับตัวเองว่าท่านช่วยตัวเองได้ จบเห่ แต่ถ้าท่านปฏิเสธตนเอง ช่วยตนเองไม่ได้ เป็นคนบาป แต่ไม่ปฏิเสธเรา คือยอมรับเราว่าเป็นพระเมสิยาห์ ช่วยเหลือได้ เราก็จะช่วยให้เจ้าได้รับความรอด

            เห็นไหม? นี่คือบทสรุปของบริบทที่เรากำลังวิเคราะห์มานี่แหละ ถ้าท่านยังคงเชื่อมั่น วางใจในการกระทำดี เพื่อจะเป็นผู้ชอบธรรมด้วยตนเองได้ พระเยซูก็แนะนำให้ท่านอธิษฐานและพยายามทำตามมัทธิว 6:9-15 นี้ต่อไปเรื่อยๆ จนกว่าที่ท่านจะเห็นความจริงว่าพระองค์มาชี้ว่าท่านทำไม่ได้ ท่านอย่าเย่อหยิ่ง จองหอง ยอมรับความจริงว่าท่านทำไม่ได้ๆ อย่าบอกว่าทำได้ ดีที่สุด อย่างน้อยดีกว่าคนนั้น คนนี้ คนนั้นยังทำสู้ฉันไม่ได้เลย ไม่ได้ทั้งหมดนั่นแหละ คนทำน้อยก็ไม่ได้ ท่านเองทำเยอะก็ไม่ได้ เพราะคนทำน้อย วิญญาณเขาก็บาป คนทำมาก วิญญาณเขาก็บาป มันบาปเท่ากันหมดแหละ ทุกคนอยู่ในอาดัม อยู่ในความบาปหมด ต้องพึ่งในพระองค์ เพียงผู้เดียวเท่านั้น ไม่ว่าจะบาปมาก บาปน้อย ทำดีมาก ดีน้อยก็ตาม รักษาศีลได้มาก รักษาศีลได้น้อย ก็อยู่ในความบาป เหมือนๆ กันเท่านั้น ในสายพระเนตรของพระเจ้า เป็นเช่นนั้น นี่คือความจริง

            เพราะฉะนั้น จงอธิษฐานตามมัทธิว 6:9-15 ไปเรื่อยๆ จนกระทั่งหมดความเย่อหยิ่ง จนกระทั่งยอมรับว่ามันเป็นไปไม่ได้  ทำไม่ได้แน่นอน แล้วท่านก็จะกลับใจใหม่ หันมาพึ่งพาในเรา ในพระองค์ พระเยซูคริสต์ ซึ่ง ณ เวลานั้น มันอาจจะสายเกินไปแล้ว เพราะท่านอาจจะตายก่อน

            ชาวยิวอาจจะอธิษฐาน มัทธิว 6:9-15 จนกระทั่ง หลังจากที่พระเยซูคริสต์สิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน แล้วเป็นขึ้นมาใหม่ ในวันที่ 3 ทำสำเร็จเรียบร้อยแล้ว เขาก็ยังคงอธิษฐานอย่างนี้อยู่ เขายังคงไม่เชื่ออยู่ เขายังคง …

            “ข้าแต่พระบิดาผู้ทรงสถิตในสวรรค์ ขอให้พระนามของพระองค์เป็นที่เคารพสักการะ บูชา ขออาณาจักรของพระองค์มาตั้งอยู่ๆๆๆ ขอน้ำพระทัยของพระองค์สำเร็จบนโลกใบนี้ สวรรค์เป็นอย่างไร? ให้โลกเป็นอย่างนั้น”

            แล้วยังขออยู่  แล้วมันจะเกิดอะไรขึ้น ก็แสดงว่าเขาปฏิเสธ สิ่งที่พระเยซูคริสต์ ทำสำเร็จเรียบร้อยแล้ว ที่ไม้กางเขน คือการสิ้นพระชนม์ของพระองค์ เพื่อไถ่บาป ให้กับมวลมนุษย์ และการเป็นขึ้นจากความตาย เขาปฏิเสธที่จะแบกกางเขนของตนเอง ยอมรับว่าตนเองเป็นคนบาป  แล้วเดินตามพระองค์ไปที่ไม้กางเขน  วางใจในพระองค์ มอบชีวิตให้กับพระองค์ เพื่อให้พระบิดากำจัด ขจัด ฆ่าวิญญาณตัวที่เป็นบาปของท่านให้ตายไป พร้อมพระเยซูคริสต์บนไม้กางเขนนั้น เพื่อท่านจะได้บังเกิดใหม่  มาเป็นลูกของพระเจ้า เป็นผู้ชอบธรรม บริสุทธิ์ ดีพร้อมเหมือนพระคริสต์ นี่คือการกลับใจใหม่ หันมาวางใจในพระคริสต์ ได้บังเกิดใหม่ เป็นคริสเตียนอย่างชัดเจน

            และถ้าท่านกลับใจใหม่อย่างนี้  หันมาวางใจในพระเยซูคริสต์ และได้บังเกิดใหม่อย่างนี้  เป็น คริสเตียนแล้วอย่างนี้  ท่านก็ควรจะอธิษฐานแบบใหม่ ตามพันธสัญญาใหม่ในพระคริสต์ เอเมนไหม? เพราะถ้าท่านยังอธิษฐาน  แล้วมันไปตรงกับสิ่งที่พระเยซูคริสต์พูดในบริบททั้ง 3 ปีนั้น ท่านกำลังบอกพระเยซูคริสต์ว่าพระองค์พูดไม่จริง  เรากำลังปฏิเสธพระเยซูหรือเปล่า? พระเยซูสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน ไถ่บาปให้กับเรา และเป็นขึ้นใหม่ในวันที่ 3 พระองค์บอกว่าให้เราแบกความบาปผิดของเราไปที่ไม้กางเขนนั้น แล้วไปยอมตายพร้อมพระองค์ และเป็นขึ้นมาใหม่พร้อมกับพระองค์ เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์ มีวิญญาณที่เหมือนกับพระองค์ กลายเป็นผู้ชอบธรรมบริสุทธิ์  ดีพร้อม เหมือนพระองค์

            สิ่งเหล่านี้ควรจะนำมาอธิษฐาน แทนที่จะขออาณาจักรของพระองค์มาตั้งอยู่ สวรรค์ลงมาตั้งอยู่ …

            “ขอบคุณพระเยซูคริสต์ที่ทรงนำสวรรค์ลงมาตั้งอยู่แล้ว ขอบคุณพระเยซูคริสต์ที่ทรงชำระบาปให้กับลูกเรียบร้อยแล้ว ขอบคุณพระเยซูคริสต์ที่ลูกได้อยู่กับพระองค์ในสวรรคสถาน ได้บังเกิดใหม่พร้อมพระองค์แล้ว เป็นผู้ชอบธรรม บริสุทธิ์ ดีพร้อม เหมือนพระองค์แล้ว” อย่างนี้ใช่ไหม?

            น่าจะอธิษฐานตามพันธสัญญาใหม่ อย่างนี้ เรียกว่าเชื่อและวางใจ

            “ขอบคุณพระเยซูคริสต์ที่ลูกได้อาศัยอยู่ในพระองค์ ได้เป็นหนึ่งเดียวกันกัพระองค์ ขอบคุณพระเยซูคริสต์ที่ฉันได้อยู่ในพระเยซู และพระเยซูก็อยู่ในฉัน  เป็นหนึ่งเดียวกัน ขอบคุณพระเยซู ที่ทำให้ฉันผู้เป็นคนบาป ได้เป็นผู้บริสุทธิ์ ดีพร้อมเหมือนพระองค์ เพราะเป็นหนึ่งเดียวกับพระองค์บริสุทธิ์ สะอาด ดีพร้อมเหมือนพระองค์ขอบคุณพระเยซูคริสต์ ที่ได้ให้ชีวิตนิรันดร์ เป็นเหมือนพระเจ้าให้กับฉัน”

            เราควรจะอธิษฐานอย่างนี้ ถูกต้องไหมครับ ตามสิ่งที่พระองค์ทรงกระทำให้เราสำเร็จเรียบร้อยแล้ว บนไม้กางเขน คือการสิ้นพระชนม์ของพระองค์ และการเป็นขึ้นจากความตายของพระองค์ และเราทั้งหลายก็มีสิทธิ์ที่จะเข้าร่วมกับชัยชนะนี้ของพระองค์ โดยการเดินตามพระองค์ท่านั้นเอง ไปตายพร้อมพระองค์ แล้วเป็นขึ้นจากตายพร้อมพระองค์ แค่นั้นเอง พระเจ้าอวยพรครับ

*****************

จากใจคณะศิษยาภิบาล

            มนุษยชาติแสวงหาการได้อยู่ในสวรรค์ เพราะอะไร?

            สวรรค์ คือสถานที่แห่งหนึ่งในโลกวิญญาณ สวรรค์อยู่ในอก นรกอยู่ในใจ

            ตัวตนจริงๆ ของมนุษย์ทุกคน คือวิญญาณจะต้องอยู่ในสถานที่ใดที่หนึ่งในโลกวิญญาณอย่างแน่นอน คือมืดหรือสว่าง ไม่ได้อยู่กับพระเจ้า หรืออยู่กับพระเจ้า ทุกข์ตลอดสุขตลอด นรกหรือสวรรค์

            มนุษยชาติแสวงหาการได้อยู่ในสวรรค์เพราะอะไร? เพราะจิตใต้สำนึกรู้ว่าตนเองเป็นคนบาป ไม่สามารถเข้ากับพระเจ้าได้นั่นเอง

            โรม 5:12 …  “ฉะนั้น เช่นเดียวกับที่บาปเข้ามาในโลก เพราะมนุษย์คนเดียว และบาปนำความตายมา และโดยทางนี้เอง ความตายจึงมาถึงมวลมนุษย์ เพราะทุกคนได้ทำบาป”

            ไม่ต้องทำอะไรก็เท่ากับได้ทำผิดบาป เป็นนักโทษกบฏแล้ว เกิดมาก็ตายทางวิญญาณ  เป็นศัตรูกับพระเจ้าแล้ว เกิดมาก็อยู่ฝ่ายมารที่ชั่วร้าย เป็นคนอธรรมแล้ว

            โรม 5:15 … “แต่​ของขวัญ​ที่​พระเจ้า​ให้​เปล่าๆ​ นั้น มัน​แตกต่าง​กัน​ เพราะ​ใน​ทาง​หนึ่ง​ ขณะ​ที่​ความผิด​ของ​คนๆ​ หนึ่ง คืออาดัม ทำ​ให้​คน​จำนวน​มาก​ต้อง​ตาย แต่​ใน​อีก​ทาง​หนึ่ง ความ​เมตตา​กรุณา​ของ​พระเจ้า​ และ​ของขวัญ​ที่​ผ่าน​มา​ทาง​ความ​เมตตา​ของ​คน​คน​เดียว​ คือ​พระเยซู​คริสต์นั้น ก็​เป็น​ประโยชน์​กับ​คน​มากมาย”

            แต่ผ่านทางพระเยซูคริสต์ มนุษย์สามารถบังเกิดใหม่ บริสุทธิ์ กลับคืนดีกับพระเจ้า มาอยู่ในสวรรค์ เป็นผู้ชอบธรรมได้ โดยไม่ต้องอาศัยการกระทำของตนเองเลย เช่นเดียวกัน

            โรม 5:16 …  “แน่นอน​ผล​จาก​ของขวัญ​นั้น  แตกต่าง​อย่าง​มาก​จาก​ผล​ของ​ความผิด​ที่​อาดัม​ได้​ทำ  เพราะ​การ​ทำ​ผิด​เพียง​ครั้ง​เดียว ​(ของอาดัม) ทำ​ให้​ทุก​คน​ต้อง​ถูก​ตัดสิน​ว่า​ผิด แต่​ของขวัญ​นั้น​ ทำให้​คน​เรา​ ได้รับ​การ​ตัดสิน​ว่า​ไม่​ผิด ทั้งๆ​ ที่​ทำ​ผิด​ตั้ง​หลาย​ครั้ง”

            (เมื่อมนุษย์ไม่สามารถทำให้ตนเองบริสุทธิ์ ไม่สามารถบังเกิดใหม่ด้วยตัวเองได้  พระเจ้าจึงกระทำให้ฟรีๆ  เรียกว่าของขวัญ)

            พระเยซูเป็นพระผู้ช่วยให้รอด  ไม่ใช่เป็นพระผู้สอน พระเยซูมาประกาศ ไม่ใช่มาสอนผู้คน

            คนกำลังจมน้ำ คนกำลังเป็นลมหมดสติ ต้องการความช่วยเหลือ เพราะทำอะไรด้วยตัวเองไม่ได้ ไม่ต้องการให้ใครมาสอน หรือแนะนำให้ทำอะไร เพื่อหลุดพ้นจากสภาวะนั้นๆ ใช่หรือไม่)

            โรม 6:23 … “เพราะว่าค่าตอบแทนที่ได้จากบาป คือความตาย แต่ของขวัญจากพระเจ้า คือชีวิตนิรันดร์ในพระเยซูคริสต์ องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา”

            พระเจ้าอวยพรครับ