วารสาร Holy  News   ฉบับที่  1419

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  4  มิถุนายน  2023

เรื่อง “หนังสือเอเฟซัส” ตอน 26

โดย วราพร  คงล้วน

            วันนี้เราก็มาต่อในหนังสือเอเฟซัส บทที่ 4 เดือนที่แล้วเราเรียนไปข้อที่ 1 ถึงข้อที่ 5 ที่พระเจ้าบอกว่าเรามีพระเจ้าองค์เดียวกัน บัพติศมาเดียว ความเชื่อเดียว เราจบลงตรงนี้

        เอเฟซัส 4:5 “มีองค์พระผู้เป็นเจ้าองค์เดียว ความเชื่อเดียว บัพติศมาเดียว”

            คำว่า “พระเจ้าองค์เดียว” หมายถึงพระเยซูคริสต์ ที่พระเจ้าพระบิดาส่งมาให้กับพวกเรา ให้เราเปิดใจต้อนรับพระองค์ ในสิ่งที่พระองค์กระทำ เพื่อเราบนไม้กางเขน ทำให้เราทุกคนผู้เชื่อ เข้ามาเป็นหนึ่งเดียวกัน มีความเชื่อเดียวกัน คือเชื่อในพระเยซูคริสต์องค์เดียวกัน

            “บัพติศมาเดียว” เราก็คุยเรื่องบัพติศมาบ่อยมาก พอพูดถึงคำว่า “บัพติศมา” พี่น้องจะไม่คิดถึงการจุ่มน้ำแล้ว ไม่ต้องไปคิดถึงว่าเราต้องไปทำพิธีบัพติศมา ลงน้ำ เพื่อเราจะได้รับความรอด  แต่คำว่า “บัพติศมา” ในถ้อยคำของพระเจ้า เล็งถึงบัพติศมาในวิญญาณ  พระเจ้าได้เอาวิญญาณเก่าของเรา ที่เป็นบาป ไปจุ่มพร้อมกับพระเยซูคริสต์ ก็คือเอาเข้าไปในพระเยซูคริสต์บนไม้กางเขน เมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว  แล้วเราก็ได้ถูกตรึงพร้อมกับพระองค์ ตัวเก่าของเราที่เป็นบาป ได้ตายพร้อมกับพระองค์ ถูกฝังพร้อมกับพระองค์ และเป็นขึ้นมาใหม่พร้อมกับพระเยซูคริสต์ ได้มีวิญญาณใหม่ มีความคิดจิตใจใหม่ และพระเจ้าก็ทรงชำระร่างกายของเราให้ใหม่ด้วย ชำระร่างเก่านี่แหละ แต่ชำระให้สะอาดหมดจด จนพระเจ้าพระบิดา พระบุตร พระวิญญาณบริสุทธิ์ สามารถเข้ามาสถิตอยู่ในร่างกายนี้ได้  ในโลกวิญญาณมันเกิดขึ้นเรียบร้อยไปแล้วทั้งหมดนี้

            ณ เวลานี้ ที่เราอยู่บนโลกใบนี้ เรามองไม่เห็น เราสัมผัสจับต้องไม่ได้ พระเจ้าจึงให้เราใช้ความเชื่อเอา ดังนั้น ถ้อยคำพระเจ้าบอกว่าผู้ชอบธรรม คือคนที่พระเจ้าเห็นว่าดีพร้อม ยอดเยี่ยม ผู้ชอบธรรมจะดำเนินชีวิตด้วยความเชื่อ เริ่มต้นเชื่อ สุดท้ายก็เชื่อ ระหว่างดำเนินชีวิตก็เชื่อ พวกเราทุกๆ คนในเวลานี้ เราก็ดำเนินชีวิตด้วยความเชื่อ ในสิ่งที่พระเจ้าได้บันทึกไว้ในถ้อยคำของพระองค์ว่า ณ เวลานี้ พวกเราผู้เชื่อได้รับอะไรบ้าง? แล้วสถานะในวิญญาณของเราเป็นอย่างไร?

            สถานะในวิญญาณของพวกเราตอนนี้ คือเราไม่ได้เป็นทาสของบาปต่อไป  เราเป็นอิสระจากการเป็นทาสของความบาป และความตายแล้ว วิญญาณเราได้รับการเปลี่ยนแปลงใหม่ เหมือนพระเจ้าเรียบร้อยไปแล้ว ฉะนั้น สิ่งที่มันเกิดขึ้น ในโลกวิญญาณ พวกเรารับรู้ความจริงนี้  ทำให้เราสามารถดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ ไม่ว่าเราจะเจอกับความทุกข์ยากลำบากขนาดไหน? เราก็อดทนได้  เพราะพระคัมภีร์บอกว่าโลกนี้ไม่ใช่บ้านเรา  เป็นที่อยู่อาศัยเพียงชั่วคราวเท่านั้น เราทุกคนที่อยู่บนโลกใบนี้ เราอยู่แค่ชั่วคราว

            ชั่วคราวขนาดไหน? เต็มที่ 100 ปี คนอายุยืนนะ ให้ 120 ปี ตอนนี้ 120 ปีหายากแล้ว พอ 80 กว่าก็เริ่มต้นละสังขาร ไม่ต้องรอ 80 กว่า พอคนอายุ 60 กว่าขึ้นไป ก็เริ่มเจ็บโน่น เจ็บนี่ เป็นโน่นเป็นนี่ จากที่เมื่อก่อนแข็งแรง ตอนนี้ก็ต้องไปหามดหาหมอ ต้องคอยทานยาบำรุง หรืออะไรประมาณนั้นแหละ ทำให้ร่างกายเรายังสามารถที่จะดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ได้ ฉะนั้น พระเจ้าบอกเราว่าขณะที่อยู่บนโลกใบนี้ ยังติดอยู่ในร่างกายเดิมของเราอยู่ ก็คือกำลังเดินทางไปสู่ความตาย มนุษย์ทุกคนต้องตาย นี่เป็นกฎที่พระเจ้าตั้งขึ้นมา เมื่อวันแรกที่มนุษย์ล้มลงในความบาป กฎนี้ถูกตั้งขึ้นแล้ว ที่พระเจ้าบอกว่า …

            “วันใดที่เจ้าขืนกินผลไม้ที่เราห้าม เจ้าจะตายกับตาย”

            ตายแรก คือวิญญาณตายจากพระเจ้า ไม่สามารถที่จะคุยกับพระเจ้าได้ ไม่สามารถเดินคู่กับพระเจ้าได้ ก่อนหน้านั้นที่มนุษย์ยังไม่ล้มลงในความบาป ทุกเย็น ในพระคัมภีร์ใช้คำว่าทุกเย็น พระเจ้าจะมาหา แล้วพระองค์ก็จะมาคุยด้วย พระองค์ก็จะเกี่ยวก้อย เดินชมนกชมไม้  แต่พอวันที่มนุษย์ล้มลงในความบาป อาดัมเอวาไม่เชื่อฟังพระเจ้า ก็เหมือนกับเขากับพระเจ้าถูกตัดขาดไป ไม่สามารถอยู่ด้วยกันได้ ที่พระเจ้าไม่สามารถอยู่กับมนุษย์ได้ เพราะพระเจ้าสะอาดบริสุทธิ์ หมดจด แต่มนุษย์ เริ่มเป็นบาปแล้ว ความบาปและความบริสุทธิ์อยู่ด้วยกันไม่ได้ ถ้าพระเจ้าเข้ามาใกล้ มนุษย์ก็ตาย ฉะนั้น พระเจ้าก็ต้องรักษามนุษย์ไว้ เพื่อให้เรายังคงสามารถดำรงชีวิตอยู่ได้ โดยที่พระองค์ก็ถอยออกมา เหมือนกับมนุษย์ผลักพระเจ้าออกไปจากชีวิตของเขา มนุษย์คู่แรกไม่ยอมให้พระเจ้าอยู่ด้วย ก็คือปฏิเสธพระเจ้าไปโดยปริยาย แต่ว่าสิ่งที่มันเกิดขึ้น คือพระเจ้าก็ไม่ทอดทิ้งมนุษย์ แม้รู้ว่ามนุษย์ล้มลงในความบาป ทันที พระเจ้าก็หาทางรอดให้กับมนุษย์ครั้งแรกเลย  พอล้มลงในความบาปปุ๊บ มนุษย์ทำอะไร? มนุษย์ก็เอาใบไม้มาห่อหุ้มกาย เพราะว่าตามองเห็นว่าตัวเองโป้ จากเมื่อก่อนไม่รู้สึกว่าตัวเองโป้ เพราะว่าพระสิริของพระเจ้าปกคลุมอยู่เหนือร่างกายของอาดัมและเอวา เขาไม่รู้สึกว่าเขาโป้อยู่ ทันทีที่เขาล้มลงในความบาปปุ๊บ เขามองเห็น ตอนนี้เขารู้แล้ว รู้จักทั้งดี ทั้งชั่ว ซึ่งก่อนหน้านั้น พระเจ้าบอก …

            “เธอไม่ต้องรู้ชั่วหรอก เธอแค่รู้ดีก็พอแล้ว เพราะว่าฉันสร้างเธอมาดี ครบถ้วนสมบูรณ์ เป็นเหมือนฉันเป๊ะเลย อยู่ให้สบายใจ ชมนกชมไม้ ทานทุกอย่างที่ฉันสร้างมาให้ อยู่ดีมีสุข”

            แต่มนุษย์เลือกที่จะไม่เชื่อฟังพระองค์ ฉะนั้น พอครั้งแรก มนุษย์ล้มลงในความบาปปุ๊บ เอาใบไม้มาปกปิดร่างกาย แล้วพี่น้องนึกภาพนะ ใบไม้ วันเดียวก็เหี่ยวแล้ว ถ้าตัดออกจากต้น ใช่ไหม?

            มนุษย์พยายามใช้ความชอบธรรมของตัวเองที่จะปกปิดตัวเอง ทำให้ตัวเองรู้สึกชอบธรรม แต่มนุษย์ไม่สามารถทำตัวเองให้ชอบธรรมได้ พระเจ้าก็ต้องทำให้กับมนุษย์ พระองค์เริ่มต้นฆ่าสัตว์ตัวหนึ่ง แล้วเอาหนังสัตว์นั้นมาให้อาดัมกับเอวาห่อหุ้มร่างกาย แล้วจากนั้น พระองค์ก็วางแผนการของพระองค์ โดยกำหนดเผ่าพันธุ์หนึ่ง ซึ่งเผ่าพันธุ์นี้ เราเรียกว่าชนชาติอิสราเอลที่พระเจ้าเลือกไว้ ให้เป็นต้นแบบสำหรับมนุษยชาติ ในเรื่องของความรอดในอนาคตข้างหน้า ที่พระเจ้าจะกระทำผ่านทางพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ คือพระเยซูคริสต์ ฉะนั้น สิ่งที่พระเจ้าทรงสัญญาไว้ตั้งแต่ปฐมกาล ที่มนุษย์ล้มลงในความบาปทันที พระเจ้าบอกว่าพงศ์พันธุ์ของหญิงจะทำให้หัวของเจ้าแหลก พงศ์พันธุ์ของหญิง หมายถึงพระเยซูคริสต์จะมากระทำการงานของพระองค์ ทำให้มารหัวแหลก ก็คือหมดอำนาจไปเลย ทำให้มนุษย์สามารถที่จะรับการปลดปล่อย กลับมาเป็นอิสรภาพเหมือนเดิม มาอยู่กับพระเจ้าได้เหมือนเดิม เดินเคียงข้างพระเจ้าได้เหมือนเดิม พูดคุยกับพระเจ้าได้เหมือนเดิม

            เหมือนทุกวันนี้ผู้เชื่อทุกคน เราสามารถคุยกับพระเจ้าได้ทุกเวลา ทุกวินาที ไม่มีเวลาว่าดึกดื่น ค่อนคืน ตีสามตีสี่ เกรงใจพระเจ้า เดี๋ยวพระเจ้านอนหลับ เราคุยกับพระเจ้านาน พระเจ้าง่วงนอน ไม่มี พระเจ้าบอกว่าพระองค์ทรงไม่หลับใหล พระองค์ตื่นอยู่ตลอดเวลา พระองค์คอยฟังคำอธิษฐานของเรา คอยที่จะพูดคุยกับลูกๆ ของพระองค์ นี่คือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมด ในโลกวิญญาณ ที่ ณ เวลานี้ พระเยซูคริสต์ได้กระทำให้สำเร็จแล้ว บนไม้กางเขน

        เอเฟซัส 4:6-8 “6 มีพระเจ้าองค์เดียวผู้เป็นพระบิดาของทั้งปวง ผู้ทรงอยู่เหนือทั้งมวลทั่วทั้งสิ้น และในทั้งหมด 7 แต่พระคุณนั้น ประทานแก่เราแต่ละคน ตามที่พระคริสต์ทรงจัดสรร 8 ฉะนั้น จึงมีกล่าวไว้ว่า “เมื่อพระองค์เสด็จขึ้นสู่เบื้องสูง ทรงนำเชลยไปด้วย และประทานของประทานแก่มนุษย์”

            ฉะนั้น ตรงนี้อาจารย์เปาโลกำลังบอกความจริงให้กับชาวเอเฟซัสได้รับรู้ว่าความรอด ที่พระเยซูคริสต์ได้กระทำให้กับเขา เป็นของขวัญ เป็นของประทาน เป็นพระพร มนุษย์ไม่ต้องทำอะไรเลย หรือแม้แต่มนุษย์คิดจะทำ ก็ทำไม่ได้ ถ้ามนุษย์จะพึ่งพาการทำดีของตัวเอง เพื่อจะได้รับความรอด มันไม่มีทาง ฉะนั้น ความรอดนั้น เป็นพระคุณที่พระเจ้าให้เราเปล่าๆ วิธีที่เราจะได้รับความรอด มีวิธีเดียว ก็คือเปิดใจ วางใจ เชื่อใจในสิ่งที่พระเยซูคริสต์กระทำ เพื่อเราบนไม้กางเขน  แล้วก็มารับเอา แค่นั้นเอง

            ฉะนั้น ความรอดตรงนี้ รอดพ้นจากบาป รอดพ้นจากคำสาปแช่ง รอดพ้นจากการถูกพิพากษาลงโทษ พระเจ้า พระเยซูคริสต์ ได้ทำให้กับเราเรียบร้อยไปแล้ว เมื่อเราเชื่อวางใจในพระเยซูปุ๊บ พระเจ้าก็บัพติศมาเรา ฆ่าตัวเก่าที่เป็นบาปของเราให้ตาย พร้อมกับพระเยซูคริสต์ แล้วให้เราบังเกิดใหม่เข้ามาในอาณาจักรของพระเจ้า การบังเกิดใหม่เข้ามาในอาณาจักรของพระเจ้า เราได้มีวิญญาณใหม่ที่พระเจ้าได้ทรงสัญญาไว้ ตั้งแต่พระคัมภีร์เดิม ที่พระเจ้าบอกว่า …

            “เราจะให้ใจใหม่ เราจะให้วิญญาณใหม่แก่เจ้า เราจะๆ”

            ถ้าพี่น้องอ่านพระคัมภีร์เดิม พี่น้องจะได้เห็นคำว่า  “จะ” ตลอดเวลา คำว่า “จะ” หมายความว่าพระองค์ทรงเผยพระวจนะไว้ว่าอนาคตข้างหน้า เมื่อถึงกำหนดเวลาของพระองค์ พระองค์จะทำแบบนี้ให้เกิดขึ้น  แต่พอถึงพระคัมภีร์ใหม่ ตอนที่พระเยซูคริสต์ได้กระทำภารกิจของพระองค์สำเร็จ คือเดินไปที่ไม้กางเขน ถูกตรึง ถูกฝัง และเป็นขึ้นมาจากความตายปุ๊บ พระคัมภีร์ใหม่ คำว่า “จะ” มันหายไปแล้ว คือไม่มีคำว่า “จะ” แล้ว พระเยซูคริสต์ได้ทำสำเร็จแล้ว บนไม้กางเขน แปลว่าทันทีที่เราเปิดใจรับเอาสิ่งที่พระเยซูคริสต์กระทำ เพื่อเราบนไม้กางเขน เราได้รับเลย ได้รับวิญญาณใหม่ คือพระเจ้าเปลี่ยนวิญญาณใหม่ให้เราเลย วิญญาณเก่าที่เป็นบาป ตายไปพร้อมกับพระเยซูคริสต์แล้ว วิญญาณใหม่ที่สะอาด บริสุทธิ์ หมดจดเหมือนพระเจ้า ดีพร้อมเหมือนพระเจ้าเลย เราไม่ต้องทำตัวเองให้ดีพร้อม แต่เราเกิดมาเป็นคนดีพร้อม เกิดมาเป็นผู้ชอบธรรม เกิดมาเป็นคนที่รักคนอื่นได้ วิญญาณเราเป็นแบบนั้น

            แม้ว่าร่างกายเราที่อยู่บนโลกใบนี้ เรายังทำไม่ได้ตามวิญญาณของเรา แต่พระเจ้าผู้อยู่ในเราจะค่อยๆ ช่วยเรา ให้เราสามารถทำตามธรรมชาติใหม่ หรือทำตามสิ่งที่เราบังเกิดใหม่แล้ว ให้เพิ่มพูนมากขึ้นทุกวันๆ แล้วจะมีใครทำได้ครบถ้วนสมบูรณ์  ไม่มีทาง ต่อให้เราเชื่อพระเจ้าแล้ว พระวิญญาณบริสุทธิ์อยู่ในเราแล้ว เราก็ไม่สามารถทำได้ครบถ้วน สมบูรณ์ แต่ทำได้เท่าที่กำลังเราทำได้ เท่าที่พระเจ้าทรงเสริมกำลังเรา แล้วก็เท่าที่เรายอมให้พระเจ้า พระวิญญาณบริสุทธิ์นำเราด้วย มันมีปัจจัยเยอะ

            ปัจจัยตรงนี้ ก็คือพระเจ้าไม่เคยบังคับเรา แม้ว่าพระองค์ซื้อชีวิตของเราด้วยชีวิตของพระองค์เอง แต่พระเจ้าไม่เคยบังคับลูกของพระองค์ว่าต้องทำอย่างนี้ ต้องทำอย่างนั้น ตามน้ำพระทัยของพระองค์ แต่พระเจ้าจะหนุนจิตชูใจเราว่าตอนนี้เราเป็นแบบนี้แล้วนะ ให้เรามาทำตามธรรมชาติใหม่ที่พระเจ้าเปลี่ยนแปลงให้เราเรียบร้อยไปแล้ว ทำอย่างนี้กันดีกว่า หรือให้มาทำอย่างนี้เถอะ สำแดงตัวตนใหม่ที่เราเป็นแล้ว ให้คนอื่นได้เห็น ได้รับรู้ ได้สัมผัสถึงพระเยซูคริสต์ ที่อยู่ในชีวิตของเรา แล้วเราจะสังเกตว่าผู้เชื่อหลายคนก็สามารถเปลี่ยนได้เร็ว  บางคนก็เปลี่ยนช้า บางคนเชื่อพระเจ้ามา 5 ปี 10 ปี ยังเหมือนเดิมเลย ไม่เห็นเปลี่ยนเลย อะไรอย่างนี้ แต่ไม่ว่าเขาจะเปลี่ยนมากหรือเปลี่ยนน้อย ไม่มีผลอะไรกับวิญญาณของเขา ที่ได้บังเกิดใหม่แล้ว วิญญาณของเขาที่ได้เป็นลูกของพระเจ้าแล้ว เป็นผู้ชอบธรรมแล้ว สะอาด หมดจด ดีพร้อมเหมือนพระเจ้าเรียบร้อยไปแล้ว นี่คือความจริงในโลกวิญญาณที่พระเจ้าได้บอกกับเรา

            ตรงนี้ พระเจ้าบอกว่าความรอด ทุกคนจะได้เท่ากัน เท่ากันเลยนะ ไม่ว่าเราจะเชื่อพระเจ้านานแค่ไหน? หรือคนที่รับเชื่อ 1 วัน สมมติว่ามีคนหนึ่งเปิดใจมาต้อนรับพระเยซูคริสต์วันเดียว  แล้วเขาก็จากไปอยู่กับพระเจ้าเลย เป็นคนที่สุดยอดที่สุด เราก็อยากเป็นแบบนั้น คือไม่ต้องมาเผชิญกับโลกใบนี้อีก พอเปิดใจต้อนรับปุ๊บ

            พระเจ้าบอก … “หมดเวลาแล้ว ไปกลับบ้าน”

            พี่น้องนึกถึงใคร? นึกถึงโจร บนไม้กางเขน ที่ถูกตรึงพร้อมกับพระเยซูคริสต์ มีโจร 2 คนซ้ายขวา คนหนึ่งเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอด อีกคนหนึ่งไม่ยอมเปิดใจ ยังด่าพระเยซูอยู่เลย ยังเยาะเย้ยพระเยซูอยู่เลย  แต่คนที่กลับใจ รู้ว่าพระเยซูคริสต์เป็นพระเจ้าจริงๆ แล้วเขายอม เขาตัดสินใจ เขาจะติดตามพระองค์

            เขาพูดกับพระเยซูแค่ประโยคเดียว … “พระองค์เจ้าข้า ขอรับลูกให้เป็นลูกของพระองค์ สามารถเข้าในอาณาจักรของพระเจ้าได้”

            พระเยซูตอบเขาทันทีว่า … “วันนี้เราจะได้เจอกันบนแผ่นดินสวรรค์” เอเมน

            แปลว่าพอเราเปิดใจรับเชื่อพระเยซูคริสต์ปุ๊บ วิญญาณเราถูกเปลี่ยนใหม่แล้วทันที เป็นเหมือนพระเจ้าเลย ไม่ว่าเราจะอยู่บนโลกใบนี้นานแค่ไหน?  1 วัน 1 ปี 10 ปี 20 ปี 50 ปี ผลตรงนี้ไม่มีเปลี่ยนแปลง เหมือนเดิม ก็คือจากโลกนี้ไปเมื่อไร เราก็ไปอยู่ในอ้อมกอดของพระเจ้าทันที หรือความเป็นจริงในโลกวิญญาณ ที่ถ้อยคำของพระองค์บอกเรา ก็คือทันทีที่เราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด เราได้นั่งอยู่ที่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้าร่วมกับพระเยซูคริสต์เรียบร้อยไปแล้ว ณ เวลานี้ พี่น้องหลับตานึกถึงถ้อยคำของพระเจ้า แล้วพระองค์บอกว่า ณ เวลานี้ วิญญาณของผู้เชื่อทุกคนได้เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเยซูคริสต์ เมื่อเราเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเยซูคริสต์ พระเยซูอยู่ไหน? เราอยู่ด้วย

            แล้วตอนนี้ถ้อยคำของพระเจ้าบอกว่าพระเยซูคริสต์ ได้นั่งอยู่ที่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้า บนสวรรคสถาน และเรากับพระเจ้า พระเยซูคริสต์เป็นหนึ่งเดียวกัน เกาะกันเลยนะ แยกกันไม่ได้ เมื่อแยกกันไม่ได้ปุ๊บ พระเยซูอยู่บนสวรรค์ แล้วเราจะไปอยู่ที่ไหนล่ะ พี่น้องนึกภาพออกไหม? เราก็อยู่บนสวรรค์กับพระเยซูคริสต์ ณ เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้าร่วมกับพระองค์ นี่คือความจริง พระเยซูถึงบอกว่าถ้าเรารู้ความจริง ความจริงจะปลดปล่อยเราให้เป็นไท

            เราถูกหลอกมานานแล้วว่าเราจะได้ไปสวรรค์หลังจากที่เราตาย แต่ความจริง ถ้อยคำของพระเจ้าบอกว่าเราไม่ต้องรอตาย ทันทีที่เราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด วิญญาณเราได้อยู่ที่สวรรค์เรียบร้อยไปแล้ว รอร่างกายนี้ ที่อยู่บนโลกใบนี้ ถึงวาระกำหนดว่าพระเจ้ากำหนดไว้ ใครจะอยู่แค่ไหน? อย่างไร? เราไม่รู้ ถึงวันที่ลมหายใจออกจากร่างปุ๊บ เราก็ไปอยู่ที่เดิมแหละ เปลี่ยนมิติ

            ในพระคัมภีร์ใช้คำว่า “เปลี่ยนมิติ” เขาไม่เรียกคริสเตียนว่า “ตาย” คริสเตียนเราไม่ตาย เราแค่ทิ้งร่างกายนี้ไป แล้ววิญญาณเราแปรเปลี่ยนไปอยู่อีกมิติหนึ่ง คือมิติฝ่ายวิญญาณที่เราอยู่แล้วล่ะ แต่ว่า ณ เวลานั้น เมื่อลมหายใจออกจากร่าง เราทิ้งร่างกายนี้ปุ๊บ เราจะได้ไปเห็นพระเจ้าหน้าต่อหน้า เห็นชัดๆ เลย ตอนนี้เราไม่เห็น ตอนนี้เราต้องใช้ความเชื่อ แต่ ณ เวลานั้น เราจะได้ไปเห็นพระเยซูคริสต์หน้าต่อหน้า และ ณ เวลานั้น เราไม่ต้องซ่อนอยู่ในพระคริสต์แล้ว ปัจจุบัน เราถูกซ่อนไว้ในพระคริสต์ ที่เราใช้คำว่า “ในพระคริสต์” พระเยซูอยู่ในเรา เราอยู่ในพระเยซู พระองค์สถิตอยู่ภายในเรา เราอยู่ในพระเยซู ก็คือเราอยู่ในพระคริสต์ เรากับพระเจ้าเป็นหนึ่งเดียวกัน 

            แต่พอถึงวันนั้น วันที่พระเจ้ากำหนด วิญญาณเราออกจากร่างปุ๊บ เราขึ้นไปอยู่ในสวรรค์ เที่ยวนี้ อยู่แบบจับต้องมองเห็นได้เลย ไม่ต้องใช้ความเชื่อแล้ว เราไม่ต้องซ่อนอยู่ในพระคริสต์อีกแล้ว เราจะหลุดออกจากการซ่อนในพระคริสต์ แล้วเราจะเห็นตัวเราเอง ที่รับร่างกายใหม่ ที่เต็มด้วยสง่าราศี ที่เป็นเหมือนพระเจ้าเลย เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์ เราได้มองเห็นพระเจ้าหน้าต่อหน้า เห็นพระเยซูคริสต์ต่อหน้าต่อ เห็นตัวเราเองที่มีร่างกายใหม่ เห็นกับตา โดยที่ไม่ต้องใช้ความเชื่ออีกต่อไป นี่คือความจริง ที่พระเจ้าบอกเราว่า ณ เวลานี้ โลกวิญญาณ เราใช้ความเชื่อ อนาคตข้างหน้า  พอวิญญาณออกจากร่าง ความเชื่อไม่ต้องใช้ ความหวังก็ไม่ต้องใช้  เพราะไม่ต้องหวังแล้ว เราเจอแล้ว แต่มีอันเดียวที่อยู่กับเรา อยู่ตลอด ตั้งแต่ที่นี่ ไปจนถึงโลกหน้า ก็คือความรัก

            พระคัมภีร์บอก พระเจ้าเป็นความรัก และพระเจ้าเข้ามาอยู่ในเรา เท่ากับความรักอยู่ในเราด้วย  เราก็เป็นความรัก ผู้เชื่อทุกคนเป็นความรัก เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเจ้า เป็นหนึ่งเดียวกันกับผู้เชื่อทั้งหมด บนโลกใบนี้ ฉะนั้น เราไม่ต้องพยายามดิ้นรน เพื่อเราจะรักใคร? แต่เรารักอยู่แล้วในวิญญาณ แค่ว่าเราพัฒนาตัวเราเองให้รับรู้ว่าข้างในเราเป็นความรักนะ แล้วเราก็พัฒนาให้ความรักที่อยู่ในเรา ถูกฉายออกไป เขาเรียกฉายแสงออกไป ปรากฏออกไปให้คนรอบข้างได้สัมผัสถึงความรักของพระเยซูคริสต์ที่อยู่ในเรา นี่คือสิ่งที่พระเจ้าบอกเราไว้

            ฉะนั้น พระคุณที่พระเจ้าให้ ความรอดทุกคนได้เท่ากัน แต่มันมีอันหนึ่งที่ไม่เท่ากัน ในขณะที่เราอยู่บนโลกใบนี้ ก็คือของประทาน

            ของประทานที่พระเจ้าให้กับพวกเราแต่ละคนไม่เท่ากัน  และไม่เหมือนกันด้วย ให้ตามชอบพระทัยของพระองค์

            ตรงนี้ พี่น้องหลายคนอาจจะเข้าใจว่าคนที่มีของประทานเยอะๆ พระเจ้าให้ของประทานเยอะ อย่างเช่น อาจารย์เปาโลอย่างนี้ ของประทานเยอะมาก เขารับใช้พระเจ้าแบบสุดจิตสุดใจ กับอีกหลายๆ คนที่พระเจ้าให้ของประทานนิดเดียว ไม่ต้องทำอะไรเลย แค่ให้เป็นแม่บ้าน อยู่กับบ้าน ดูแลลูกให้ดีที่สุด พระเจ้าให้แค่นั้น แล้วมีข้อสงสัยว่าระหว่างแม่บ้านคนนี้กับอาจารย์เปาโล ใครจะได้รางวัลมากกว่ากัน พี่น้องว่าใครจะได้รางวัลมากกว่ากัน ถ้อยคำพระเจ้าบอกว่าได้เท่ากัน

            พี่น้องอาจจะ … “ห๊ะ! เท่ากันจริงหรือ? ฉันไม่ได้ทำอะไรเลยนะ ฉันอยู่ที่บ้านเฉยๆ เลย รับใช้ก็ไม่ได้รับใช้  ประกาศก็ไม่เคยประกาศ ไม่เคยมาช่วยที่โบสถ์เลย โบสถ์เขามีงาน เราก็อยู่ที่บ้าน โบสถ์ทำสารพัด เราก็อยู่ที่บ้าน”

            พระเจ้าบอกว่า … “ก็ฉันให้เธออยู่แค่นั้นแหละ”

            พอจากไปอยู่กับพระเจ้า ได้รางวัลเท่ากันเลย ไม่มีใครได้รางวัลมากกว่าใคร? เหตุผล คือพระเจ้าที่อยู่ในเรา เป็นผู้กระทำการงาน ประกอบกิจอยู่ภายในเรา  แล้วพระเจ้าให้ของประทานใครที่เยอะกว่าคนอื่น แล้วคนที่ทำ คือใคร? พระเจ้า  … พระเจ้าที่อยู่ในเราเป็นผู้กระทำ เราเป็นแค่เครื่องมือ เครื่องไม้ของพระองค์ ร่วมมือกับพระเจ้า จับมือกัน พระเจ้าว่าอย่างไร? เราว่าตามนั้น แปลว่าผลงานไม่ใช่ของเราเลย แต่พระเจ้าเป็นผู้กระทำทั้งหมด เมื่อพระเจ้าเป็นผู้กระทำทั้งหมด  เราจะไปอ้างอะไรที่จะไปเอารางวัลเยอะกว่าคนอื่น

            สมัยก่อนถูกสอนมา เราก็เข้าใจผิด เราก็สอนต่อ … “ถ้าคนรับใช้พระเจ้าเยอะๆ บนโลกใบนี้ เราขึ้นไปอยู่ข้างบน เราจะได้บ้านหลังใหญ่กว่าคนอื่น เราจะได้บ้านเดี่ยวเลย ถ้าใครที่ไม่ได้ทำอะไรบนโลกใบนี้ หรือแม้แต่คนที่วันๆ โบสถ์ก็ไม่ยอมมา เขาขึ้นไปอยู่บนสวรรค์ เขาจะได้กระต๊อบที่หลังคาโบ๋ด้วย นั่นเป็นความเชื่อผิดนะพี่น้อง เป็นความเชื่อผิดอย่างมหันต์ เพราะพระเจ้าไม่เคยบอกเราว่าเป็นอย่างนั้น เราคิดเอาเอง เราคิดว่าถ้าเราทำเยอะ เราต้องได้เยอะสิ แต่พระเจ้า พระเยซูคริสต์บอกว่า …

            “คนที่ทำอยู่ในท่านทั้งหลาย คือฉันเอง ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับพวกเธอเลย ฉันเป็นผู้กระทำ เธอเป็นแค่ภาชนะที่ยอมให้ฉันใช้”

            แค่นั้นเอง ฉะนั้น เราสบายใจได้ พี่น้องไม่ต้องตกใจ ไม่ต้องกลัวว่าอ้าว! เราไม่ได้มาโบสถ์ หรือไม่ได้ทำอะไรให้โบสถ์เลย แล้วต่อไปขึ้นไปบนสวรรค์ เราจะได้บ้าน กระต๊อบสังกะสีที่ผุๆ พังๆ ไหม? ขอบอกตรงนี้เลยนะ ไม่มีทาง พระเจ้าให้เท่ากัน เพราะว่าพระองค์เป็นผู้ประกอบกิจอยู่ภายในเรา และพระองค์ก็ให้แต่ละคนตามชอบพระทัยของพระเจ้าด้วย เหมือนพระเจ้าบอกว่าพระองค์ให้อวัยวะทุกส่วนทำงานตามความเหมาะสม โดยมีพระเจ้า พระเยซูคริสต์ทรงเป็นศีรษะ

            พอพูดถึงของประทานปุ๊บ ก็คือพระเจ้าเป็นผู้ให้ แล้วเราก็ทำตามของประทานที่พระเจ้าให้กับพวกเรา  นี่คือสิ่งที่มันเกิดขึ้นจริงๆ พอเรารับรู้ความจริงอย่างนี้ปุ๊บ

            เราก็ไม่ต้องไปคอยผวาว่า … “ตกลง ถ้าเราเป็นแม่บ้านเฉยๆ อยู่บ้านเลี้ยงลูก แล้วเราจะได้รางวัลเหมือนคนอื่นไหม?”

            ถ้อยคำพระเจ้าบอกว่า … “เท่ากัน”

        เอเฟซัส 4:9-10 “9 (ที่ว่า “เสด็จขึ้น” นั้น ย่อมไม่อาจหมายความเป็นอื่น นอกจากว่าพระองค์ได้เสด็จลงสู่เบื้องต่ำของโลกด้วย 10 พระองค์ผู้เสด็จลง  คือองค์เดียวกับที่เสด็จขึ้นสูงเหนือฟ้าสวรรค์ทั้งมวล เพื่อทรงเติมทั่วทั้งจักรวาลให้สมบูรณ์)”

            “พระองค์ผู้เสด็จขึ้นมา” ตรงนี้เล็งถึง … ถ้าพี่น้องอยากอ่านที่มาที่ไป ในพระคัมภีร์ตรงนี้ ดึงเอาหนังสือพระคัมภีร์เดิมมา เป็นคำอธิษฐานของกษัตริย์ดาวิด ในสดุดี บทที่ 68 ถ้าพี่น้องไปอ่าน ตั้งแต่ข้อ 1 ไปถึงข้อ 19 ก็จะพูดถึงว่าพระเจ้ามาแล้ว ตอนสดุดี คือตอนที่กษัตริย์ดาวิดอธิษฐาน เป็นคำอธิษฐานที่เผยพระวจนะว่าอนาคตข้างหน้า พระองค์จะทำแบบนี้ พอตรงนี้อาจารย์เปาโลก็ดึงออกมาจากพระคัมภีร์เดิม ให้รู้ว่าสิ่งที่กษัตริย์ดาวิดพูด บัดนี้ มันได้สำเร็จแล้ว

            พระองค์ผู้เสด็จขึ้นมากับพระองค์ผู้ลงไป หมายถึงพระเยซูคริสต์ยอมทำตามที่พระเจ้าพระบิดากำหนดไว้ คือมาเกิดเป็นมนุษย์  แล้วยอมสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน ยอมถูกฝังในอุโมงค์ ก็คือลงไปที่ลึกสุด แล้วได้เสด็จขึ้นมา ก็คือเป็นขึ้นมาจากความตาย ในวันที่สาม  ทำให้ศัตรูของพระองค์กระจัดกระจายไป  พระเจ้าได้เสด็จมาแล้ว ได้ทำให้สิ่งที่พระองค์กำหนดไว้  สำเร็จแล้ว ผ่านทางพระเยซูคริสต์เรียบร้อยไปแล้ว ฉะนั้น พระองค์ก็ประทานของประทานให้กับมนุษย์ ก็คือของขวัญ ช่วยมนุษยชาติ หลุดพ้นจากการเป็นทาสของบาป หลุดพ้นจากการเป็นทาสของระบบบนโลกใบนี้  เป็นทาสที่พยายามพึ่งพาการทำความดีด้วยตัวเอง เพื่อที่จะได้ไปสวรรค์ ซึ่งพระเจ้าบอกว่าไม่มีมนุษย์คนไหนบนโลกใบนี้ สามารถที่จะทำความดีได้ครบถ้วน 100% ตามมาตรฐานของพระเจ้า

            ถ้าไม่สามารถทำได้ครบถ้วนสมบูรณ์ ในพระคัมภีร์ก็ยังบอกว่าแม้เราทำผิดแค่ครั้งเดียว ทำบาปแค่ครั้งเดียว ถือว่าบาปหมดเลย ฉะนั้น ไม่มีใครสามารถทำได้ พระเยซูจึงมาทำแทนเราเรียบร้อยไปแล้ว แล้วพวกเราผู้เชื่อ ณ เวลานี้ เราก็ได้รับเรียบร้อยไปแล้ว ของประทานต่างๆ  เหล่านี้ พระพรนานับประการ ที่พระองค์ได้ประทานให้กับพวกเราเรียบร้อยไปแล้ว  เราได้เป็นผู้ชอบธรรมของพระเจ้าเรียบร้อยไปแล้ว แล้วเราก็เป็นผู้ที่พระเจ้าทรงรักดังแก้วตาดวงใจ พระองค์ทรงซื้อชีวิตของเราด้วยชีวิตของพระองค์เอง  พระองค์ทำสำเร็จแล้ว

            ตอนนี้ พระองค์ก็บอกกับเราว่าใครก็ตามที่มาหาพระองค์ พระองค์จะให้เราหายเหนื่อยและเป็นสุข  ตรงนี้ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับเรื่องของโลกวัตถุเลย แต่เกี่ยวกับเรื่องของโลกวิญญาณ  หายเหนื่อยก็คือเราไม่ต้องเหน็ดเหนื่อย ในการพยายามทำความดี เพื่อให้ได้ไปสวรรค์ หรือเหน็ดเหนื่อยกับการพยายามทำโน่นทำนี่ เพื่อเราจะได้รอดพ้นจากการถูกพิพากษาลงโทษ ไม่ต้องแล้ว ตอนนี้สามารถนั่งพักได้เลย พระเยซูบอกว่าท่านจะหายเหนื่อยและเป็นสุข เพราะว่าท่านได้รับความรอดแล้ว ไม่ต้องดิ้นรน เพื่อทำตัวเองให้ดี เพื่อที่จะได้สวรรค์ แต่ท่านได้สวรรค์ไปเรียบร้อยแล้ว  เป็นผู้ชอบธรรมเรียบร้อยไปแล้ว

        เอเฟซัส 4:11 “พระองค์เองทรงเป็นผู้ให้บางคนเป็นอัครทูต     บางคนเป็นผู้เผยพระวจนะ   บางคนเป็นผู้เผยแพร่ข่าวประเสริฐ   บางคนเป็นศิษยาภิบาลและอาจารย์”

            พอมาถึงข้อนี้ ที่ตะกี้เราคุยกัน ก็คือความรอด ทุกคนได้เท่ากัน แต่พอของประทานปุ๊บ ทุกคนจะได้รับไม่เท่ากัน แต่ว่ายังคงได้รับผลของพระพร รางวัลเท่ากันเหมือนเดิม ฉะนั้น ตรงข้อที่ 11 บอกว่า “พระองค์เองทรงเป็นผู้ให้บางคนเป็นอัครทูต” แค่บางคนนะ ไม่ใช่ทุกคนเป็นอัครทูต

            แล้วคำว่า “อัครทูต” จะใช้กับเฉพาะสาวก 12 คนเท่านั้น อัครทูต คือคนที่ติดตามพระเยซู อยู่กับพระเยซู ตอนที่พระองค์ยังทรงพระชนม์อยู่ ตรงนี้ พระเจ้าเรียกเขามาให้เป็นอัครทูต แล้วต่อจาก 12 คนนี้ ไม่มีแล้วนะอัครทูต

            บางคนเป็นผู้เผยพระวจนะ บางคนอีก ผู้เผยพระวจนะ คือคนที่นำเอาข่าวสารของพระองค์ไปบอกกับประชากรของพระองค์ ในยุคสมัยพระคัมภีร์เดิม พระเจ้าก็จะเรียกผู้เผยพระวจนะ แต่ไม่ได้ให้อยู่ยงคงประพันถาวร ไม่ใช่  พระเจ้าจะใช้ใครก็ได้ที่จะไปกล่าวถ้อยคำของพระองค์ ไม่ว่าจะเป็นคำเตือนสติ หรือบอกเหตุการณ์ล่วงหน้าว่าพระองค์จะทำอะไร นั่นแหละ เขาเรียกว่าผู้เผยพระวจนะ บอกเรื่องราวที่พระองค์กำลังจะกระทำ

            บางคนเป็นผู้เผยแพร่ข่าวประเสริฐ บางคนอีกนะ ผู้เผยแพร่ข่าวประเสริฐ ก็คือไปประกาศบอกความจริงในเรื่องของพระเยซูคริสต์ให้กับคนอื่นได้รับรู้ อย่างเช่นพวกอัครสาวก หรือคนที่ติดตามพระเยซูคริสต์ หลังจากที่พระเยซูได้เป็นขึ้นมาจากความตาย  เสด็จขึ้นสู่สวรรค์ จากนั้น พระเจ้าได้ประทานพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระองค์ลงมา

            เราจำได้ใช่ไหม สัปดาห์ที่แล้วเราเพิ่งเฉลิมฉลองวันเพ็นเทคอสต์ไป ก็คือเป็นครั้งแรกที่พระเจ้าเสด็จเข้ามาอยู่ในมนุษย์ … มนุษย์กลายเป็นวิหารของพระเจ้า ตั้งแต่เกือบ 2,000 ปีที่แล้ว แล้วจากนั้น ใครก็ตามที่เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เราก็เป็นวิหารของพระเจ้า พระวิญญาณบริสุทธิ์ก็เข้ามาอยู่ในเรา ฉะนั้น คนเหล่านี้ ก็เป็นผู้เผยแพร่ข่าวประเสริฐ บอกเรื่องราวของพระเยซูคริสต์ไปจนถึงสุดปลายแผ่นดินโลก ก็มาถึงประเทศไทย เพราะในช่วงนั้น ช่วงที่อัครสาวก หรือผู้เชื่อรุ่นแรกจะถูกข่มเหงมากๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ถูกข่มเหงจากพวกชาวยิว ซึ่งชาวยิวเขาไม่เชื่อว่าพระเยซูคริสต์ เป็นพระมาซีฮาห์ ซึ่งเขาควรจะเชื่อ เพราะว่าพระเจ้าบอกเขาล่วงหน้า ตั้งนานแล้ว แต่เขาไม่เชื่อ พอไม่เชื่อ พวกอัครสาวกมาประกาศว่าพระเยซูทรงเป็นพระเจ้าปุ๊บ คนเหล่านี้ เขาไล่ล่าฆ่าเลยแหละ เหมือนกับมาทำให้ คนไม่ยอมมาทำตามบทบัญญัติ แต่พระเยซูยังคงยืนยันว่าพระองค์ไม่ได้มาลบล้างบทบัญญัติ แต่พระองค์มาทำให้ครบถ้วนสมบูรณ์ เพราะว่าไม่มีมนุษย์คนไหนสามารถทำให้บทบัญญัติครบถ้วนสมบูรณ์ นอกจากพระเยซูผู้เดียวเท่านั้นเป็นมนุษย์พันธุ์ใหม่  และเป็นมนุษย์ผู้แรกที่ไม่มีบาปเลย สามารถทำได้ครบถ้วนสมบูรณ์

            จากนั้น พระเจ้าก็ให้บางคนเป็นศิษยาภิบาล … ศิษยาภิบาล ก็คือคนที่ดูแลผู้เชื่อ ที่พระเจ้าได้มอบหมายให้ อย่างในสมัยอดีต ที่อาจารย์เปาโลไปประกาศข่าวประเสริฐของพระเจ้า  จากที่หนึ่งไปอีกที่หนึ่ง  แล้วมีคนเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดปุ๊บ อาจารย์เปาโลก็หาใครคนใดคนหนึ่ง ที่ดูแล้วว่ามีความเชื่อในพระเยซูคริสต์แข็งขัน แล้วก็สามารถที่จะสอนคนอื่นได้ด้วย สามารถที่จะวางรากฐานที่มั่นคงให้กับคริสตจักรนั้นๆ อาจารย์เปาโลก็เลยแต่งตั้งให้เป็นศิษยาภิบาล อย่างเช่นที่เอเฟซัส อาจารย์เปาโลก็แต่งตั้งทิโมธี เป็นศิษยาภิบาล

            แล้วก็ให้บางคนเป็นอาจารย์ … อาจารย์กับศิษยาภิบาลก็ต่างกัน ศิษยาภิบาลเหมือนพ่อแม่ อาจารย์เหมือนครู นึกออกไหม? ความผูกพันมันต่างกัน  พ่อแม่ ก็คือดูแลเราตั้งแต่เกิดจนตาย ต่อให้พี่น้องจะรู้สึกว่า …

            “ฉันโตขนาดไหน? หรือฉันมีครอบครัวแล้ว ฉันมีลูกเต้าแล้ว พ่อแม่อย่ามายุ่งกับฉันเลย”

            มันไม่ยุ่งไม่ได้ ความผูกพันตรงนี้ ก็คือเรารักเขา เราก็คอยดูแล คอยห่วงใย แต่ไม่ได้หมายความว่าไปยุ่งทุกส่วนในชีวิตของเขา  ไม่ใช่ แต่ความผูกพันตรงนี้ พระเจ้าใส่เข้ามาเอง อดที่จะห่วงใยลูกเต้าของเราไม่ได้ ต่อให้เขามีลูก มีหลานแล้ว  เราก็ยังรักและห่วงใยเขาอยู่ แล้วเรามีภาษีเหนือกว่าตรงที่ว่าพอเรามาเชื่อพระเจ้าแล้ว เราสามารถอธิษฐานให้กับลูกหลานเราได้ ขอพระเจ้าทรงเมตตา ดูแล ปกปักษ์ พิทักษ์รักษา คุ้มครอง ลูกหลานเราบางคน อาจจะยังไม่ได้เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอด เราก็อธิษฐานเผื่อเขา ขอพระเจ้าเมตตาให้เขาได้มีโอกาสได้ยินได้ฟัง เมื่อเขาได้ยินได้ฟัง ขอพระเจ้าทรงเปิดตาใจ ให้เขามีความสามารถและถ่อมใจที่จะมายอมรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด นี่คือสิ่งที่พ่อแม่ทำ  หรือศิษยาภิบาลทำ

            แต่ครู อาจารย์ ก็คือเขาดูแลเราช่วงหนึ่งเอง อาจารย์ ก็คือสอนถ้อยคำของพระเจ้า ดูแลเราช่วงหนึ่ง  ไม่ได้ลงละเอียด ลึกเท่ากับพ่อแม่

            นี่คือความแตกต่าง ฉะนั้น ของประทานเหล่านี้ พระเจ้าเป็นผู้ใส่เข้ามา เมื่อพระองค์ให้ของประทานเหล่านี้ พระองค์ก็จะใส่ใจที่สามารถ อย่างศิษยาภิบาล พระเจ้าเรียกให้มาเป็นศิษยาภิบาล พระองค์ก็ใส่เรียกว่าความสามารถให้กับคนที่ถูกเรียกให้มาเป็นศิษยาภิบาล เหมือนกับพระเจ้าให้ของประทานในร่างกายของพวกเรา ถ้าพระเจ้าให้เราเป็นตา พระองค์ก็ใส่ความสามารถ ให้เราสามารถมองเห็นได้ ถ้าพระเจ้าให้เราเป็นหู พระองค์ก็ใส่ความสามารถให้เราสามารถได้ยิน นี่เรายกเว้นคนที่เขาผิดปกติ ไม่ได้ยิน ถ้าเป็นมนุษย์ปกติ หูเขาจะได้ยิน พระเจ้าให้เราเป็นปาก พระเจ้าก็ใส่ความสามารถให้เราสามารถพูดได้ ทานข้าวได้ อะไรอย่างนี้  ก็คือเป็นของประทาน พระเจ้าให้เราเป็นมือ พระเจ้าก็ใส่ความสามารถให้เราสามารถหยิบจับอะไรได้ ให้เราเป็นขา ก็ใส่ความสามารถให้เราสามารถเดินได้

            นี่คือของประทานที่ให้เรามาเปรียบเทียบกับร่างกายของมนุษย์ หรือของประทานที่บางคนมองไม่เห็น คืออะไร? ตับ ไต ไส้ พุง ที่มันอยู่ข้างใน เรามองไม่เห็น แต่ทุกส่วนในร่างกายมีประโยชน์ทั้งนั้น แล้วก็มีความหมายทั้งนั้น พระเจ้าสามารถใช้ทุกส่วนในร่างกาย และทุกส่วนในร่างกาย ทำงานร่วมกัน เป็นหนึ่งเดียวกัน ทำให้อวัยวะทุกส่วน ร่างกายนี้ ครบถ้วนสมบูรณ์ตามน้ำพระทัยของพระองค์ เอเมน พระเจ้าอวยพรค่ะ

************************

จากใจคณะศิษยาภิบาล

            ความปิติยินดีของเราอยู่ในพระคริสต์

            ฟีลิปปี 4:4-7 …  “4 จงปิติยินดีในองค์พระผู้เป็นเจ้าเสมอ ข้าพเจ้าขอย้ำอีกครั้งว่าจงปิติยินดีเถิด!  5 ให้ความสุภาพอ่อนโยนของท่านเป็นที่ประจักษ์แก่คนทั้งปวง องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงอยู่ใกล้แล้ว 6 อย่ากระวนกระวายในเรื่องใดๆ เลย แต่จงทูลขอทุกสิ่งต่อพระเจ้า ด้วยการอธิษฐาน และการอ้อนวอน พร้อมกับการขอบพระคุณ 7 แล้วสันติสุขของพระเจ้า ซึ่งเกินความเข้าใจ จะปกป้องความคิดจิตใจของท่านไว้ในพระเยซูคริสต์”

            ความปิติยินดีของผู้เชื่อ เป็นความปิติยินดีที่โลกนี้ให้เราไม่ได้ เป็นความปิติยินดีที่คงทนถาวร หนักแน่น ฝังรากลึกลงในวิญญาณ ไม่เหมือนความยินดีของโลก ที่มาแป๊บเดียวแล้วหายไป

            ความปิติยินดีนี้ เกิดจากแม้เราจะเผชิญความทุกข์ยากต่างๆ แต่ในขณะที่เผชิญอยู่นั้น เราเห็นชัดเจนว่าพระเจ้าทรงอยู่กับเรา เป็นที่ปรึกษา คอยนำพา หนุน ให้กำลังใจเรา ให้ความเข้มแข็งกับเรา และพาเราเดินผ่านสถานการณ์นั้นๆ แบบวินาทีต่อวินาที นาทีต่อนาที ชั่วโมงต่อชั่วโมง วันต่อวัน สัปดาห์ต่อสัปดาห์ เดือนต่อเดือน ปีต่อปี ไม่เคยทอดทิ้งเราเลย

            การเผชิญ และเดินผ่านความทุกข์ยากอย่างมีความปิติยินดีกับพระเจ้านี้ เป็นความเข้มแข็ง ที่พระเจ้าเป็นผู้หยั่งรากลึกลงในจิตใจของเรา ค่อยๆ แทงราก เพื่อต้นไม้ต้นนี้ (ชีวิตเราในขณะอยู่ในโลกใบนี้) จะเติบโตแข็งแรง ในความเชื่อ ความรัก และความหวังใจในพระองค์

            นี่คือหนึ่งในธรรมชาติใหม่ในวิญญาณ ที่บังเกิดใหม่ เป็นอยู่ในชีวิตผู้เชื่อ  โดยไม่ต้องพยายามด้วยสติปัญญา แรงและกำลังของเรา

            พระเจ้าอวยพรครับ

วารสาร Holy  News   ฉบับที่  1418

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  21  พฤษภาคม  2023

เรื่อง “อัศจรรย์เกิดขึ้นทันที เมื่อฉันเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์”

ตอน 10 “จะได้อาศัยอยู่ใน Holy of Holies อภิสุทธิสถาน ที่ประทับของพระเจ้า ตลอดนิรันดร์”

โดย นคร  เวชสุภาพร

            “อัศจรรย์เกิดขึ้นทันที เมื่อฉันเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์” ตอนที่ 10 ตอนสุดท้าย “จะได้อาศัยอยู่ใน Holy of Holies อภิสุทธิสถาน ที่ประทับของพระเจ้าตลอดนิรันดร์”

            เราทบทวนนิดหนึ่ง อัศจรรย์ที่ได้รับเลยทันที เมื่อท่านเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ ก็จะแบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม 2 พวก กลุ่มแรก หรือพวกแรก ได้รับเลยทันที ขณะที่ยังดำเนินชีวิตบนโลกนี้ เรียบร้อยแล้ว มี 7 อย่าง คือ …

                        1. วิญญาณเก่า ที่เป็นคนบาป ต้องคำสาป ได้ตายไปแล้ว

                        2. ได้บังเกิดใหม่ โดยพระวิญญาณของพระเจ้า

                        3. ได้เป็นลูกของพระเจ้า ที่ทรงรักดังแก้วตาดวงใจแล้ว

                        4. พระเจ้าเข้ามาสถิตอยู่ด้วย ภายในร่างกาย

                        5. ได้เข้ามาอยู่ในอาณาจักรสวรรค์แล้ว ขณะนี้

                        6. พระเจ้าได้ทรงให้ฉัน นั่งในสวรรคสถานกับพระคริสต์

                        7. ได้รับมรดกเป็นรางวัล ตั้งแต่อยู่ในโลกนี้ ถึงโลกหน้า

            7 อย่างนี้ได้ไปแล้ว ขณะที่เราดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้  ขณะที่นั่งอยู่ที่นี่  เราได้รับไปแล้ว 7 อย่างนี้

            ส่วนอัศจรรย์ที่เราจะได้รับในโลกหน้า หลังความตาย เมื่อหมดลมหายใจ วิญญาณออกจากร่าง ก็คืออันดับที่ 8 และอันดับที่ 9 …

                        8. จะได้รับร่างกายใหม่ ที่เต็มไปด้วยสง่าราศีเหมือนพระเยซูคริสต์

                        9. จะได้อาศัยอยู่กับพระเจ้า ในฟ้าใหม่ โลกใหม่ ด้วยร่างกายใหม่นิรันดร์

            และที่จะเรียนรู้ใหม่ สุดท้ายในวันนี้ ก็คืออันดับที่ 10 …

                        10. จะได้อาศัยอยู่ใน Holy of Holies อภิสุทธิสถาน ที่ประทับของพระเจ้าตลอดนิรันดร์

            ฮาเลลูยา เอเมน โอ้! อัศจรรย์อะไรเช่นนี้  อย่างที่บอกไว้แล้วว่าโอ้! อัศจรรย์อะไรเช่นนี้ เพียงแค่เปิดใจเท่านั้นจริงๆ แน่ใจไหม?  ถ้าแน่ใจ เรามาดูวิวรณ์ 21:1-8  กันต่อจากครั้งที่แล้ว …

        วิวรณ์ 21:1-8 “1 และข้าพเจ้าเห็นฟ้าใหม่และโลกใหม่ เพราะฟ้าเดิมและโลกเดิม ได้ดับสูญไปแล้ว ทะเลก็ไม่มีอีกแล้ว 2 ข้าพเจ้าเห็นนครบริสุทธิ์ คือเยรูซาเล็มใหม่ ที่พระเจ้าทรงให้เลื่อนลอยลงมาจากสวรรค์ นครนี้ ได้รับการตระเตรียมไว้ เหมือนเจ้าสาวแต่งกายงดงาม รอรับผู้เป็นสามี 3 และข้าพเจ้าได้ยินเสียงดังมาจากพระที่นั่งว่า “บัดนี้ ที่ประทับของพระเจ้า มาอยู่กับมนุษย์แล้ว  พระองค์จะสถิตกับพวกเขา  เขาทั้งหลายจะเป็นประชากรของพระองค์ และพระเจ้าเองจะทรงอยู่กับพวกเขาและเป็นพระเจ้าของพวกเขา 4 พระองค์จะทรงซับน้ำตาทุกๆ หยดของพวกเขา จะไม่มีความตาย หรือการคร่ำครวญ หรือการร่ำไห้ หรือความเจ็บปวดรวดร้าวอีกต่อไป เพราะระบบเก่า ได้ผ่านพ้นไปแล้ว” 5 พระองค์ผู้ประทับบนพระที่นั่งนั้น ตรัสว่า “เรากำลังสร้างสรรพสิ่งขึ้นใหม่” และตรัสอีกว่า “จงเขียนสิ่งนี้ลงไป เพราะข้อความเหล่านี้เที่ยงแท้ และเชื่อถือได้” 6 พระองค์ตรัสกับข้าพเจ้าว่า “สำเร็จแล้ว เรา คืออัลฟาและโอเมกา เป็นปฐมและอวสาน ผู้ใดกระหาย เราจะให้ผู้นั้น ดื่มจากธารน้ำพุแห่งชีวิตโดยไม่ต้องเสียอะไรเลย 7 ผู้ที่มีชัยชนะ จะได้รับทั้งหมดนี้เป็นกรรมสิทธิ์ เราจะเป็นพระเจ้าของเขา และเขาจะเป็นบุตรของเรา 8 ส่วนคนขี้ขลาดตาขาว คนที่ไม่เชื่อ คนชั่วช้า ฆาตกร คนผิดศีลธรรมทางเพศ คนใช้คาถาอาคม คนกราบไหว้รูปเคารพ และคนทั้งปวงที่พูดโกหก ที่ของเขา คือบึงไฟกำมะถันลุกโชน นั่นคือความตายครั้งที่สอง”

            ข้อ 1 “และข้าพเจ้าเห็นฟ้าใหม่และโลกใหม่ เพราะฟ้าเดิมและโลกเดิม ได้ดับสูญไปแล้ว ทะเลก็ไม่มีอีกแล้ว”

            ครั้งที่แล้ว เราได้อธิบาย มองดูด้วยกันถึงฟ้าใหม่และโลกใหม่นี้ ไปพอสังเขปแล้ว พอเห็นลางๆ แล้ว เห็นบ้างแล้ว วันนี้เราจะมาเติมว่าท่านรู้สึกแปลกใจไหม? …

            “ข้าพเจ้าเห็นฟ้าใหม่และโลกใหม่ เพราะฟ้าเดิมและโลกเดิม ได้ดับสูญไปแล้ว”

            ทำไมล่ะ เกิดอะไรขึ้น ฟ้าเดิมและโลกเดิมทำไมต้องสูญสิ้น? ท่านลองคิด พระองค์ทรงสร้างอย่างดีงาม แล้วทำไมต้องสูญสิ้น วันนี้เราจะมาวิเคราะห์กันต่อไป อย่างที่บอกว่าเราจะเรียนรู้ได้พอสังเขปเท่านั้นเอง ตามที่พระเจ้านำพาเรา ให้เรารู้ตามประสามนุษย์ที่ยังดำเนินชีวิตอยู่ในเนื้อหนัง ร่างกายเดิมนี้ สติปัญญาของเรา ด้วยความขัดขวางของร่างกายอันอ่อนแอนี้ ได้แค่นี้เองครับ

            ถ้อยคำพระเจ้าในปฐมกาล ท่านนึกออกไหม? ตะกี้นี้ที่เราอ่านในข้อ 1 บอกว่า …

            “ข้าพเจ้าเห็นฟ้าใหม่และโลกใหม่” ก็คือพระเจ้าสร้างฟ้าใหม่และโลกใหม่ ท่านนึกถึงอะไร? นึกถึงข้อพระคัมภีร์ในปฐมกาล บทที่ 1 … “ในปฐมกาล พระเจ้าทรงสร้างฟ้าและแผ่นดินโลก” ให้เราอยู่อาศัย และทำไมมันต้องสูญสิ้นไปด้วย นี่เห็นไหม? อันนี้ก็กลับมาที่ว่าพระเจ้ามาสร้างฟ้าใหม่และโลกใหม่ขึ้น ลักษณะเดียวกันเลยกับหนังสือปฐมกาล

            ถ้าเราสังเกต เราจะเห็นว่าถ้อยคำพระเจ้าในปฐมกาล บทที่ 1 กับบทที่ 2  และวิวรณ์เล่มสุดท้าย ก็หนังสือพระคัมภีร์ ที่เราชาวคริสเตียนถืออยู่ ในหนังสือวิวรณ์ บทที่ 21 กับบทที่ 22 มันเหมือนกันเลย  ก็คือบันทึกไว้ สรุปรวมว่าพระคริสต์เป็นศูนย์กลาง เป็นพระผู้สร้าง เป็นต้นและเป็นปลายของสรรพสิ่งทั้งหลายที่สวยสดงดงาม เป็นสวรรค์ให้มนุษย์ได้อยู่อาศัย  ไม่มีบาป ไม่มีความตาย ไม่มีคำสาปแช่งใดๆ เลย เหมือนกันเลย 2 บทนี้ ต้นและปลาย  เป็นของพระคริสต์ ผู้ทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งหลายอย่างดี และดีเลิศ ดียอดเยี่ยม  เป็นที่อยู่ของมวลมนุษยชาติ

            เพราะฉะนั้น หน้าแรกและหน้าสุดท้ายของหนังสือพระคัมภีร์ไบเบิ้ล ก็คือขาว สะอาด บริสุทธิ์ ไม่มีบาป หน้าสุดท้ายของหนังสือไบเบิ้ล คือสะอาด บริสุทธิ์ ไม่มีบาป ใครมีหนังสือไบเบิ้ลตอนนี้ ยกขึ้นมาดูนะ หน้าแรกของท่าน คือสะอาดขาวบริสุทธิ์ ไม่มีบาป สดใส เป็นพระคริสต์ หน้าสุดท้าย คือวิวรณ์ บทสุดท้าย สะอาด บริสุทธิ์ ไม่มีบาปเลย คือพระคริสต์ ซึ่งเรากำลังเรียนอยู่หน้าสุดท้าย ตอนนี้ ท่านนึกภาพออกนะ หน้าแรกและหน้าสุดท้าย เป็นหนังสือพระคัมภีร์ เป็นความสะอาด บริสุทธิ์ ไม่มีบาป เป็นของพระคริสต์ ผู้สร้าง

            แล้วที่เหลือล่ะ ตั้งแต่ปฐมกาล บทที่ 3 เป็นต้นไป จนกระทั่งถึงวิวรณ์ บทที่ 20 ไปอ่านดูได้ ทั้งหมดนั้นคืออะไร? นึกภาพออกไหม?  ตรงกลางทั้งหมดที่เหลือ ซึ่งมันสั้นๆ มันแป๊บเดียว มันอยู่เพียงชั่วคราว  พระคัมภีร์ได้บันทึกไว้ เป็นความบาป ความมืด สกปรก เป็นของมารทำงานอยู่ เป็นผู้ทำลาย พระคัมภีร์ที่เราถืออยู่นี้ ปฐมกาล บทที่ 3 จนถึงวิวรณ์ บทที่ 20 เป็นการงานของมารที่พยายามจะต่อต้าน  ทำลายการทรงสร้างของพระคริสต์  ท่านจะเห็นภาพชัดเจน

            เพราะฉะนั้น ปฐมกาล บทที่ 3 จนถึงวิวรณ์ บทที่ 20 มารจึงเป็นต้นเหตุของทั้งปวงเลย ที่มันเกิดขึ้น พระเยซูมาตรัสบอกว่าเพื่อขโมย ฆ่า และทำลาย ขโมยอะไร? ขโมยความสุข ของใคร? ของมวลมนุษย์ ฆ่า ทำลายใคร? มวลมนุษยชาติ บ้านของมนุษย์ คือโลกใบนี้นั่นเอง  พยายามต่อต้าน ทำลายโลกใบนี้ให้เป็นนรก  เป็นบาป เป็นคำสาปแช่ง ที่ปกคลุมอยู่

            ขอบคุณพระเจ้า ใครชนะ? พระยซูชนะ  ปรบมือขอบคุณพระเจ้า

            อยากจะให้ท่านเห็นภาพรวมสั้นๆ ของพระคัมภีร์ไบเบิ้ล ท่านจะได้เอาเหล่านี้ เป็นรากฐานในการอ่านพระคัมภีร์ทั้งหมด อย่าไปเจาะตรงนั้นนิด ตรงนี้หน่อย แล้วก็คิดเพ้อเจ้อไปตามความคิดของมนุษย์ว่ามันน่าจะเป็นอย่างนั้น มันน่าจะเป็นอย่างนี้ ภาพรวมของพระคัมภีร์ไบเบิ้ล คือเรื่องราวที่เกิดขึ้นบนโลกใบนี้  ไม่ได้ยากเย็นอะไรเลย ไม่ได้เข็ญใจอะไรเลย ยิ่งสมัยก่อน คนที่เรียนรู้เรื่องข่าวประเสริฐของพระเจ้า ถ้อยคำของพระเจ้านั้น มีหนังสือ มีความรู้เรื่องมนุษย์แต่เพียงนิดเดียวเอง แต่เรื่องรวมๆ เขารู้พื้นฐานมันถูกต้อง คืออย่างนี้แหละ

            พื้นฐาน คือเริ่มต้นจากพระเจ้ามีแผนการให้กำเนิดมนุษย์ เป็นลูกของพระองค์ เป็นเหมือนพระองค์ มีหัวหน้าครอบครัว ต้นตระกูลของมนุษย์ ก็คืออาดัม และก็ได้สร้างโลก ที่เรียกว่าฟ้าใหม่และโลกใหม่ ในหนังสือวิวรณ์ แต่ตรงนี้เป็นสร้างใหม่อันเดิม คือและได้สร้างโลกและสร้างฟ้า ให้อยู่อาศัยอย่างดี ซึ่งปกคลุมไปด้วยพระสิริของพระเจ้า ที่เรียกว่าสวรรค์ ก็คือที่ประทับของพระเจ้า ที่เรียกว่าอภิสุทธิสถาน Holy of Holies

            หัวหน้าครอบครัว คืออาดัม บรรพบุรุษของเรา ล้มลงในความบาป จากการถูกล่อลวงของมาร ทำให้ครอบครัวของมนุษย์ ตระกูลของมนุษย์ตกลงไปในความสาปแช่งของความบาปและความตาย ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา และสวรรค์ที่ปกคลุมอยู่บนโลกใบนี้ คือที่ประทับของพระเจ้า คือ Holy of Holies  ไม่สามารถตั้งอยู่บนโลกนี้ได้อีกต่อไป เพราะครอบครัวมนุษย์ เจ้าของโลกใบนี้ ตกลงไปในความบาป เป็นศัตรูเข้ากับพระเจ้าไม่ได้อีกต่อไปแล้ว มนุษย์ทุกคน ซึ่งเป็นลูกหลาน เป็นเชื้อสาย  ซึ่งเกิดในครอบครัวของอาดัมนี้ จึงตกลงไปในคำสาปแช่ง ในความบาป  เป็นศัตรูกับพระเจ้า พร้อมๆ กับโลกใบนี้ และสรรพสิ่งบนโลกใบนี้ทั้งหมดด้วยครับ

            นี่คือที่มาของความทุกข์ยากลำบาก ความพินาศ ความวิปริตของสิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นบนโลกใบนี้ ทั้งมนุษย์ และทั้งสรรพสิ่งบนโลกใบนี้ พระเจ้าจึงเตรียมแผนการกู้มนุษย์และโลกกลับคืนมาใหม่ ให้กลับคืนสู่สภาพดี คืนดีกับพระองค์ พระองค์วางแผนการไว้ ท่านคิดว่าสำเร็จไหม? พระองค์วางแผนการ พระเจ้าทรงทำทุกสิ่งทุกอย่างได้ โดยการส่งพระบุตรของพระองค์ คือพระเยซูคริสต์ และพระเยซูก็ได้ทำการงานนี้ให้สำเร็จ เรียบร้อยแล้ว เกือบ 2,000 ปีมาแล้ว มนุษย์จึงได้มีต้นตระกูล หัวหน้าครอบครัวคนใหม่ คือพระเยซูคริสต์ พระคัมภีร์เรียกว่าอาดัม คนที่ 2

            มนุษย์ทุกคนจึงต้องอพยพ ย้ายสำมะโนครัวเข้ามาอยู่ในครอครัวของพระคริสต์นี้ ซึ่งเรียกครอบครัวพระคริสต์นี้ว่า “คริสตจักร” เพื่อจะได้มีชื่อจดอยู่ในทะเบียนคริสตจักรของพระคริสต์นี้ เพื่ออพยพหนีจากโลกนี้  ที่มันกำลังถูกสาปแช่ง ลงไปสู่ความพินาศ แน่นอน อพยพหนีจากโลกใบนี้ มาสู่โลกใบที่สวยสด งดงาม ในหนังสือวิวรณ์ที่บันทึกไว้ ที่เรากำลังเรียนรู้นี่แหละ ฟ้าใหม่และโลกใหม่ พระเจ้าเตรียมไว้ให้ หมายถึงอย่างนี้

            และมวลมนุษย์เริ่มต้นอพยพเข้าสู่ครอบครัวใหม่ ครอบครัวของพระคริสต์นี้เมื่อไร? ท่านนึกออกไหม? มวลมนุษย์เริ่มต้นอพยพเข้าสู่ครอบครัวของมนุษยชาติใหม่นี้  ก็คือคริสตจักรของพระคริสต์นี้ ในวันเพ็นเทคอสต์แรกของโลกนี้ เมื่อเกือบ 2,000 ปีที่แล้ว ซึ่งเรากำลังมารำลึกถึงวันเพ็นเทคอสต์ในสัปดาห์หน้า พระเจ้าเริ่มต้นเก็บเกี่ยว รวบรวมวิญญาณของมนุษย์ เข้ามาในครอบครัวของพระคริสต์นี้ มาเป็นสมาชิกในครอบครัวของสวรรค์ที่เรียกว่า “คริสตจักรของพระคริสต์” ก็คือ “อาณาจักรของพระคริสต์” อาณาจักรสวรรค์ของพระคริสต์ ที่พระเจ้าทรงสถาปนาไว้ เป็นอาณาจักรที่ยิ่งใหญ่สูงสุด ที่ยิ่งใหญ่ไปเรื่อยๆ บริสุทธิ์ ศักดิ์สิทธิ์ ที่เต็มไปด้วยสง่าราศีของพระเจ้า เป็นที่ประทับของพระเจ้า ที่เรียกว่าอภิสุทธิสถาน ภาษาอังกฤษเรียกว่า Holy of Holies ในสวรรคสถานของพระเจ้า ผู้ยิ่งใหญ่สูงสุด ในโลกวิญญาณ ฮาเลลูยา เอเมน

            พระเจ้ารวบรวมให้มนุษย์เข้ามาสู่โลกใหม่ ครอบครัวใหม่ในพระคริสต์ด้วยวิธีใด? ก็ด้วยการประกาศข่าวดีนี้ออกไป ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา ตั้งแต่วันเพ็นเทคอสต์แรก 2,000 ปีก่อนนั้น เป็นต้นมา มีคนเชื่อและเปิดใจต้อนรับ คนนั้น ก็ได้ถูกช่วยให้อพยพ ได้ถูกย้ายจากการอยู่ในบรรพบุรุษเดิม โลกเดิม คืออาดัม มาอยู่ในอาดัมที่ 2 มาอยู่ในพระคริสต์ อัศจรรย์เกิดขึ้นในวิญญาณเขาทันที ตามชื่อเรื่องซีรี่ย์นี้เลย พอเปิดใจได้รับการย้ายปุ๊บ อัศจรรย์เกิดขึ้นทันที เปรี้ยง 10 อย่าง 7 อย่างได้เลย อีก 3 อย่างได้รับหลังความตาย

            อัศจรรย์เกิดขึ้นทันทีในวิญญาณของเขา คือวิญญาณที่เป็นบาป อยู่ในคำสาปแช่ง อยู่ในอาดัม บรรพบุรุษเดิมนั้น ได้ตายทันทีเลย และได้มาบังเกิดใหม่ ในครอบครัวของพระคริสต์ ในฐานะลูกของพระเจ้า ในครอบครัวสวรรค์ เป็นประชากรของสวรรค์ทันทีเลย ตั้งแต่ที่ยังดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้แล้ว ขอบคุณพระเจ้า แค่เปิดใจท่านก็เข้าไปอยู่ในสวรรค์แล้ว เป็นพลเมืองของพระเจ้าในสวรรค์แล้ว นั่งอยู่ที่นี่ ก็คือนั่งอยู่ในสวรรค์แล้ว และเมื่อถึงกำหนดเวลา พระเจ้าจะสร้างฟ้าใหม่ โลกใหม่ และสรรพสิ่งบนโลกใหม่ ให้เป็นที่อยู่อาศัย ซึ่งเราได้เรียนรู้ไปเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ข้อ 1 ที่ตะกี้ที่เราอ่าน ในวิวรณ์ บทที่ 21ฟ้าใหม่และโลกใหม่ และที่นั่น ก็คืออภิสุทธิสถาน Holy of Holies ที่ประทับของพระเจ้า ก็จะลงมาปกคลุมอยู่เหนือฟ้าใหม่และโลกใหม่นี้ โดยมีพระคริสต์เป็นศีรษะของคริสตจักร คือพวกเราทั้งหลายผู้เชื่อนั้น เป็นผู้ครอบครอง ไม่ใช่เข้าไปธรรมดา เป็นผู้รับใช้  แต่เข้าไปในลักษณะเป็นเจ้าของร่วมกับพระเยซูคริสต์

            มันน่าตื่นเต้น สั้นๆ แค่นี้ เขาจึงอยู่กันได้ สมัยก่อนนี้ คนที่เชื่อในพระเยซูคริสต์ไม่ได้เรียนรู้อะไรมากมาย แต่เขารู้หลักการพื้นฐานเหล่านี้ทั้งหมด

            เราทั้งหลายที่เปิดใจต้อนรับข่าวดีนี้แล้ว ได้มีชื่อจดอยู่ในทะเบียน สำมะโนครัว ครอบครัวของพระเจ้า ในพระคริสต์นี้ ที่เรียกคริสตจักรของพระเยซูคริสต์แล้ว เราเป็นหนึ่งในคริสตจักรสากล คริสตจักรในโลกวิญญาณ ในพระคริสต์แล้ว และหลังความตาย ก็จะได้อยู่ในอภิสุทธิสถาน Holy of Holies ที่ประทับของพระเจ้าสูงสุดนี้ แบบจับต้องมองเห็นได้จริงๆ ด้วยร่างกายที่เหมือนพระเยซูที่เราจะได้รับ ได้เห็นพระเจ้าและทุกสิ่งทุกอย่างในสวรรค์นั้น แบบหน้าต่อหน้า ตามความเป็นจริง และพระเจ้าจะทรงอยู่กับเรา ท่ามกลางพวกเรา เป็นส่วนตัวกับเราแต่ละบุคคลเลย เหมือนเรามีเพื่อนคนหนึ่ง ชื่อพระเยซูคริสต์ เป็นเพื่อนเลย แล้วเป็นกับทุกคนได้ เพราะพระองค์ทรงสามารถปรากฏอยู่ได้ในทุกๆ แห่ง เวลาพร้อมกัน  เราทำไม่ได้ แต่พระองค์ทำได้ ในพระคัมภีร์บันทึกไว้อย่างนั้น  และเราจะเป็นส่วนตัวอยู่กับพระองค์ อยู่ในอภิสุทธิสถาน Holy of Holies ซึ่งหมายถึงที่ประทับของพระเจ้านิรันดร์

            คือการรอคอยของเรานี้ ไม่ใช่รอคอย เพื่อจะไปรับในสิ่งที่ต้องรอคอย มีกำหนด จุดจบอีก ไม่มีแล้ว รอคอยครั้งสุดท้าย ครั้งเดียว พอหมดลมหายใจ ตายไป รับร่างกายใหม่ จบทุกอย่างแล้ว ก็จะได้รับสิ่งเหล่านี้ทั้งหมด ไปนิรันดร์เลย ซึ่งเป็นไปตามแผนการของพระองค์ตั้งแต่ตอนเริ่มต้น ที่ให้กำเนิดมนุษย์ตั้งแต่แรกแล้ว เป็นความรักอันยิ่งใหญ่ของพระองค์ที่มีแก่บรรดามนุษย์ทั้งปวง ทั้งหลายนั่นเอง โดยทั้งหมดนี้ กระทำโดยพระเจ้า ผ่านทางการทรงสร้าง โดยพระเยซูคริสต์ พระเจ้าผู้ทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งหลาย คือพระคริสต์ เป็นผู้เริ่ม และเป็นผู้จบทุกสิ่ง

            เพราะฉะนั้น ปฐมกาลหน้าแรก ก็คือพระคริสต์ วิวรณ์จบสุดท้าย ก็คือพระคริสต์ ตรงกลาง คือพระคริสต์สู้กับมาร ซึ่งมันคนละชั้น ต้องบอกคนละชั้น อย่างไรก็สำเร็จ พระคริสต์ยิ่งใหญ่สูงสุด

            เรามาต่อเมื่อตะกี้นี้ ข้อ 1 ฟ้าใหม่และโลกใหม่นี้ ในนี้เขียนต่อว่า “ทะเลก็ไม่มีอีกแล้ว” ฟ้าใหม่และโลกใหม่ ไม่มีทะเลเลย คือแต่ก่อนนี้ เวลาเขาเขียนพระคัมภีร์ เขาจะเขียนเหมือนวรรณกรรม เหมือนเรื่องเล่า มีเชิงสัญลักษณ์ เปรียบเทียบอันนี้อันนั้น ยกตัวอย่างเช่น เปรียบมาร สัญลักษณ์ของมาร คืองู อย่างนี้ ยกตัวอย่าง

            เพราะฉะนั้น ทะเลเล็งถึงอะไร? ทะเล เล็งถึงความชั่วร้ายของมาร และวิญญาณชั่ว สมุนของมัน  ทะเลไม่มีอีกแล้ว ก็คือไม่มีมาร ไม่มีความชั่วร้าย มาคอยล่อลวง ไม่มีความบาปและความตาย ซึ่งเป็นต้นเหตุของคำสาปแช่ง ไม่มีความทุกข์ยากลำบาก ความเสียหาย ความวิปริต ความชั่วร้ายของโลกใบใหม่นี้อีกเลย ไม่มีการแยกจากพระเจ้า เพราะบาป แต่ทุกคนได้กลับคืนดีกับพระเจ้าแล้ว ไม่มีการเป็นศัตรูกับพระเจ้าอีกเลย นั่นหมายถึงตรงนี้ คือฟ้าใหม่และโลกใหม่ มันจะเป็นอย่างนี้ แฮปปี้ไหม?

            ข้อ 2 “ข้าพเจ้าเห็นนครบริสุทธิ์ คือเยรูซาเล็มใหม่ ที่พระเจ้าทรงให้เลื่อนลอยลงมา จากสวรรค์ นครนี้ ได้รับการตระเตรียมไว้ เหมือนเจ้าสาวแต่งกายงดงาม รอรับผู้เป็นสามี”

            “นครบริสุทธิ์” คือเยรูซาเล็มใหม่ ที่พระเจ้าทรงให้เลื่อนลอยลงมา คืออะไร? นึกภาพออกไหม? นครบริสุทธิ์ นคร คือเมือง คืออาณาจักร ถูกไหม? ก็คือคริสตจักรของพระคริสต์ อันบริสุทธิ์ งดงาม เป็นที่ประทับของพระเจ้า

            “เจ้าสาวของพระคริสต์” ก็คือผู้เชื่อทั้งหลาย เปรียบเหมือนเจ้าสาวของพระคริสต์ที่จะร่วมแต่งงานกับพระเมษโปดก ก็คือพระเยซูคริสต์ ซึ่งเปรียบเป็นเจ้าบ่าว ไม่ใช่เป็นเจ้าบ่าวและเจ้าสาวจริงๆ แต่เขาเปรียบ เล็งให้เห็น เหมือนตะกี้ที่บอกว่างูไม่ได้หมายถึงงู เป็นซาตาน แต่เขาเปรียบให้เล็งเห็นเท่านั้น  เพราะฉะนั้น เจ้าสาวของพระคริสต์ คือผู้เชื่อ คือคริสเตียน ผู้ชนะความบาปและความตาย ด้วยโลหิตของพระคริสต์ ตั้งแต่อยู่บนโลกใบนี้แล้ว  ไม่ใช่ไปชนะเอาตอนโน้น ต้องชนะก่อนตาย โดยโลหิตของพระเยซูคริสต์ ชนะโดยการได้บังเกิดใหม่ เป็นผู้ชอบธรรม บริสุทธิ์ ดีพร้อมทั้งวิญญาณและใจใหม่ ที่ได้บังเกิดใหม่เหมือนพระเยซู ตั้งแต่มีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้แล้ว

            หนังสือ 1 ยอห์น 4:17 ได้บอกไว้ว่าขณะที่เราอยู่บนโลกใบนี้ วิญญาณและใจใหม่นั้น เป็นเหมือนพระคริสต์แล้ว เพียงแต่รอหลังความตาย วิญญาณและใจใหม่นี้  จะได้สวมร่างกายใหม่ ร่างกายสวรรค์ที่เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์ มาถึงซึ่งความบริสุทธิ์ ดีพร้อม อย่างครบถ้วนบริบูรณ์ เต็มไปด้วยสง่าราศีของพระเจ้า ทั้งวิญญาณ ใจ และร่างกายใหม่ พร้อมที่จะเป็นนครบริสุทธิ์ คือเยรูซาเล็มใหม่ อันสวยสดงดงาม แต่งกายพร้อม รอรับสามี คือรอร่วมครอบครองโลกใหม่ ฟ้าใหม่พร้อมกับสามี ผู้เป็นศีรษะ คือหัวหน้าครอบครัว คือต้นตระกูลของเรา  คือพระเยซูคริสต์นั่นเอง  ขอบคุณพระเจ้า  เราไม่ต้องทำอะไรเลย ดังนั้น เรารออะไร? ที่นั่นจะเกิดอะไรขึ้น เมื่อเราเป็นเจ้าสาวของพระคริสต์ แล้วได้ครอบครองร่วมกับพระเยซูคริสต์ เล็งเห็น เป็นเหมือนสามี เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์ ตั้งแต่อยู่บนโลกใบนี้แล้ว

            ที่นั่น หมายถึงโลกใหม่ ฟ้าใหม่ และชีวิตใหม่ ร่างกายใหม่ของเรา พร้อมกับวิญญาณและใจใหม่ของเรา ไม่มีโปรแกรม ความคิด อิทธิพลของความบาป และกิเลสตัณหาของเนื้อหนังอยู่ในร่างกายใหม่นี่เลย แม้แต่นิดเดียว  เมื่อไม่มีความบาปอยู่ ไม่มีอิทธิพลของความบาปอยู่ จึงไม่มีเหตุให้ถูกล่อลวง ผลักดัน ชักจูงให้ทำบาป หรือแม้แต่คิดบาปอีกต่อไป  มีแต่ธรรมชาติของความบริสุทธิ์ ชอบธรรม ดีพร้อมเหมือนพระเยซูเท่านั้น  ฮาเลลูยา เอเมน บางคนน้ำตาเริ่มไหล เป็นไปได้หรือ? เป็นไปได้จริงๆ ตามเหตุผลนี้ก็ชัดเจนแล้วนะ สิ่งเก่าๆ ก็ล่วงไป  ไม่มีบาป ฟังให้ดีนะ ตรงนี้ บางคนเป็นห่วง ไม่มีบาปเก่าที่เคยทำในอดีต ตอนก่อนตาย ให้จดจำอีกต่อไป และไม่มีมาร ไม่มีบาปใหม่มาล่อลวง ให้ทำอีกต่อไป  ไม่มีการมารบกวนทั้งบาปเก่าบาปใหม่ เอเมน ตอนที่อยู่บนโลกใบนี้ ทั้งบาปเก่าบาปใหม่ มันรบกวนอยู่เรื่อยนะ  เดี๋ยวก็ความคิดบาปเก่า  เคยทำบาปไปแล้ว  ได้รับการอภัยโทษ จากพระเจ้า โดยพระโลหิตพระเยซูคริสต์แล้ว ก็คิดกังวล …

            “แหม! ไม่น่าทำ ทำไป พระเจ้าคงเสียใจ ฉันจะได้รับความรอดในสวรรค์หรือเปล่า?”

            นี่เขาเรียกกังวลบาปเก่า แล้วกังวลบาปใหม่ว่า …

            “อย่าทำนะ อย่าทำ อย่าโกหกนะ”

            วันๆ เดินไป ก้าวไป  ก็ … “อย่าโกหกนะ ต้องทำตัวให้เรียบร้อยนะ พระเจ้าจะได้ให้ไปอยู่ในสวรรค์”

            มันถูกล่อลวงทั้งสิ้น  เพราะเราอยู่ในสวรรค์แล้ว เราเป็นอิสระแล้ว ที่จะทำอะไรก็ได้ แต่ไม่ใช่ทำอะไรก็ได้เป็นประโยชน์ อะไรต่างๆ  เหล่านี้ พอถูกล่อลวง ก็กังวล แต่ในสวรรค์ที่เรากำลังจะไปอยู่ ฟ้าใหม่ โลกใหม่ และร่างกายใหม่นั้น ไม่มีสิ่งเหล่านี้อีกต่อไป มันก็สบายใจ สมบูรณ์แบบ 100% นั่นเอง เอเมน

            ดังนั้น ความคิด ก็มีแต่ความบริสุทธิ์ ไร้เดียงสา ตายต่อบาปอย่างเดียว สมบูรณ์ครบถ้วนเลย เพราะไม่มีร่างกายเก่าอยู่เลย จึงสามารถอยู่ในอภิสุทธิสถาน Holy of Holies กับพระเจ้าแบบเห็นกันหน้าต่อหน้าได้ตลอดเวลา เป็นนิรันดร์นั่นเอง เอเมน ขอบคุณพระเจ้า ทุกวันนี้มันอยู่ไม่ได้ เพราะร่างกายเก่ามันคอยคิด และยังมีสิ่งแวดล้อมบนโลกใบนี้ มีมาร มีคนกระทำอะไรต่างๆ เหล่านั้น ล่อลวง กระตุ้นไป กระตุ้นมา วุ่นวาย แต่ถึงวันนั้น มันจะไม่มีสิ่งเหล่านี้

            อ่านหนังสือพระคัมภีร์วิวรณ์ตอนจบนี้ อ่านแล้วศึกษาไป ต้องจินตนาการไปด้วย  เพราะมันเป็นเรื่องเกี่ยวกับโลกวิญญาณ แต่มันเป็นจริงตามนั้นจริงๆ  พระคัมภีร์ก็พยายามอธิบายให้ชัดที่สุด เท่าที่ทำได้แล้ว พระวิญญาณก็จะช่วยเรา ในการภาวนา จินตนาการให้มันเป็นไปตามนั้น พระวิญญาณจะช่วยเรา ให้เราได้เห็น

            ข้อ 3 “และข้าพเจ้าได้ยินเสียงดังมาจากพระที่นั่งว่า “บัดนี้ ที่ประทับของพระเจ้า มาอยู่กับมนุษย์แล้ว  พระองค์จะสถิตกับพวกเขา  เขาทั้งหลายจะเป็นประชากรของพระองค์ และพระเจ้าเองจะทรงอยู่กับพวกเขาและเป็นพระเจ้าของพวกเขา”

            หมายถึงอะไร? ทั้งหมดนี้ ข้อ 3 หมายถึงการอยู่กับพระเจ้าแบบจับต้องมองเห็นได้เลย อย่างที่ผมอธิบายเมื่อตะกี้นี้ ข้อ 2 หมายถึงการเห็นพระองค์หน้าต่อหน้า การเห็นพระเจ้าเดินกับพวกเรา เหมือนผมอยู่กับพวกท่านขณะนี้ เดี๋ยวเดินมาจับมือผมก็ได้ จับมือกัน คล้ายๆ อย่างนั้นแหละ เราจะเห็นพระองค์หน้าต่อหน้าอย่างนี้ อย่างที่เป็นความจริง ตามความเป็นจริง และเป็นส่วนบุคคลด้วย เหมือนที่ท่านกับผมนั่งอยู่ตรงนี้ เห็นผมเป็นส่วนบุคคล คนอยู่ทางบ้าน อาจจะเห็นผม แต่ต้องใช้ความเชื่อเอา จับมือไม่ได้ เพราะผมไม่สามารถอยู่ทุกหนทุกแห่งได้ แต่พระเจ้าสามารถทำได้ มันหมายถึงอย่างนั้น  พระเจ้าประทับอยู่ท่ามกลางเรา มันหมายถึงอย่างนั้น

            ลักษณะเดียวกับสิ่งที่เกิดขึ้นในหนังสือยอห์น บทที่ 1 จำยอห์น บทที่ 1 ได้ไหม? ผู้เขียน ผู้เดียวกัน ผู้ที่ได้รับนิมิต ในโลกฝ่ายวิญญาณ เรียกว่าสวรรค์เป็นเช่นไร? เขียนลักษณะเดียวกัน ก็คือในยอห์น 1:14 บันทึกไว้อย่างนี้นะ …

        ยอห์น 1:14 “พระวาทะได้ทรงบังเกิดเป็นมนุษย์ และทรงอยู่ท่ามกลางเรา บริบูรณ์ด้วยพระคุณและความจริง เราทั้งหลายได้เห็นพระสิริของพระองค์ คือพระสิริอันสมกับพระบุตรองค์เดียวของพระบิดา”

            “พระวาทะ” หมายถึงพระเยซูคริสต์ … พระเยซูคริสต์ได้เกิดเป็นมนุษย์ จับต้องมองเห็นได้ แต่พระองค์ไม่สามารถอยู่ในทุกหนทุกแห่งได้  พระองค์ยังอยู่ในร่างของมนุษย์ แต่เข้าใจตรงนี้ใช่ไหมในถ้อยคำนี้บอกว่า …

            “พระองค์ทรงเป็นพระเจ้า เต็มไปด้วยพระสิริ” อยู่ในร่างกายของมนุษย์  และปรากฏท่ามกลางพวกเขา ก็คือยอห์น ตอนที่เขียนนี้ เราจะอยู่กับพระเจ้าในสวรรคสถานนิรันดร์ Holy of Holies ที่ประทับของพระเจ้าตอนนี้ ลักษณะอย่างนี้แหละ ลักษณะเดียวกันกับที่พระเยซูคริสต์ ปรากฏเป็นมนุษย์ แล้วก็อยู่ท่ามกลางมนุษย์ทั้งหลาย เห็น กินข้าวกับเราได้ กินปลากับเราได้ เข้าไปซุกที่อกของพระองค์ได้ กอดคอกับพระองค์ก็ได้ ยิ้มแย้มแจ่มใสกับพระองค์ก็ได้ ไปตีกอล์ฟกับพระองค์ก็ได้ สมมติว่าถ้ามันมีกอล์ฟนะ มันหมายถึงอย่างนั้น มันตื่นเต้นไหมล่ะ

            ข้อ 4 “พระองค์จะทรงซับน้ำตาทุกๆ หยดของพวกเขา จะไม่มีความตาย หรือการคร่ำครวญ หรือการร่ำไห้ หรือความเจ็บปวดรวดร้าวอีกต่อไป เพราะระบบเก่า ได้ผ่านพ้นไปแล้ว”

            บางคนก็ต้องคิด ถูกต้องแล้ว ไม่มีน้ำตา พระองค์จะทรงซับน้ำตาทุกหยด  อ้าว! ไหนบอกไม่มีความเศร้าโศก เสียใจแล้วไง แล้วทำไมจะมาซับน้ำตาให้เราทำไม? ไม่คิดหรือ? ไม่มีความตาย ไม่มีความเศร้าโศก  ไม่มีความเจ็บปวด แล้วเราจะไปร้องไห้ทำไม? นึกออกไหม? คิดอย่างนี้หรือเปล่า?

            มันหมายถึงอย่างนี้ เคยได้ยินคำนี้ไหม? พระคัมภีร์ชอบเอ่ย คำว่า “หญิงคลอดบุตร” เล็งให้เห็นถึงความทุกข์ลำบาก เจ็บปวด ยิ่งใกล้วันคลอด ยิ่งทุกข์ ยิ่งเจ็บปวด เขาเจ็บปวด ด้วยมีความหวังถูกไหม? พอเจ็บปวดถึงที่สุด คลอดปุ๊บ ออกมาปั๊บ ดีใจไหม? ชื่นชมยินดีไหม? ชื่นชมยินดี วินาทีแรกที่พยาบาลเอามา ดีใจ น้ำตาไหลหรือเปล่า? นี่แหละ มันหมายถึงอย่างนั้นแหละ ผู้เชื่อทุกคน ทุกข์ยากลำบาก รอคอยวันนั้น รอคอยให้คลอด เข้าสู่โลกวิญญาณสักที ได้รับร่างกายใหม่สักที ได้รับชีวิตใหม่ ได้อยู่ในโลกใหม่ สักทีหนึ่ง รอคอยทุกข์ยากลำบากบนโลกใบนี้ รอคอยๆ อันนั้น รอคอยด้วยความทุกข์ น้ำตาแห่งความทุกข์จริงๆ แต่พอเข้าไปอยู่ปุ๊บ เจอพระเยซูหน้าต่อหน้า พระเยซูเข้ามากอด แล้วก็เช็ดน้ำตา น้ำตานั้นไม่ใช่น้ำตาแห่งความทุกข์แล้วนะ เคย อย่างที่บอกว่าพอเห็นพยาบาลอุ้มลูกมาเท่านั้น น้ำตาไหล เคยมีความสุขอะไรมากๆ แล้วซึ้งมากๆ น้ำตาไหล นั่นแหละ พระเยซูจะมาเช็ดน้ำตา แปลว่าอย่างนี้ พอเข้าไปปุ๊บ ตื่นเต้น พระเยซูเป็นอย่างนี้ สง่าราศีของเราเองเป็นอย่างนี้ เรามาเกิดใหม่เป็นอย่างนี้ ร่างกายใหม่ที่เป็นเหมือนพระเยซูเป็นอย่างนี้ พระเยซูเป็นอย่างนี้ พระเยซูเข้ามากอดเรา …

            “สบายใจแล้วนะ ไม่ต้องห่วง”

            น้ำตาเรายังปริ่มๆ อยู่ ปริ่มด้วยความปิติยินดีในครั้งแรกที่พบพระองค์ รอคอยๆ วันแรกที่มาพบ เหมือนคนรอคอยรับลูก ที่ส่งไปเรียนต่างประเทศตั้งแต่เด็ก เรียนไป 20 ปี ไม่เจอหน้ากันเลย ติดต่อแต่ทางจดหมาย จนกระทั่งอายุ 20 กลับมากรุงเทพ มาเจอกัน วันที่เจอ ที่สนามบิน โผเข้ามากอดกัน ร้องไห้ไหม? ร้องไห้ด้วยความยินดี นั่นแหละ ลักษณะอย่างนั้น น้ำตาแห่งความชื่นชมยินดี หลังคลอดบุตร ลักษณะเดียวกัน เพราะว่าระบบของความบาปและความตาย กฎของความบาปและความตาย อิทธิพลของความบาปและความตาย มันหมดไปแล้ว ได้ถูกกำจัดออกไปให้พ้นหมดเรียบร้อยแล้ว ไม่มีคำสาปแช่ง  ก็ไม่มีโรคภัยไข้เจ็บ ใครที่ป่วยอยู่ ยกมือขึ้น? คนทุกคน มากหรือน้อยทุกคน มันจะไม่มีคำสาปแช่ง  ก็ไม่มีความป่วยไข้เจ็บป่วย ไม่มีแก่ ใครที่หวีผมมาเมื่อเช้านี้ยกมือขึ้น หวีผมเพราะอะไร? เพราะให้มันดูดี ไม่อยากแก่ ไม่อยากตาย เพราะกลัวตาย ไม่มีความอดอยาก มันลำบากลำบน บนนั้น มันจะไม่มีความอดอยากขาดแคลน ไม่มีความกลัว วิตกกังวล ไม่มีความซึมเศร้าใครที่เผชิญเรื่องนี้อยู่ เผชิญทุกคน ไม่ว่ามากหรือน้อย กลัวโน่นกลัวนี่ ไม่มีอะไรเกิดขึ้น ยังกลัวเลย กลัวว่ามันจะเกิด ใช่ไหม? บนโลกใบนี้ เขาเรียกว่าความวิตกกังวล มากหรือน้อยก็ตาม เห็นลูกเห็นหลานวิ่งอยู่ตรงนั้น นึกถึงถ้ามันเป็นอย่างนั้น จะเป็นอย่างไร? ถ้าเกิดอย่างนี้จะเป็นอย่างไร? ได้ฟังข่าวเกิดขึ้นตรงโน้น ถ้ามันเกิดขึ้นกับเราจะเป็นอย่างไร? อย่างนี้เขาเรียกกลัวล่วงหน้า  มันอยู่กับความกลัวตลอดเวลา บนโลกใบนี้ แต่บนโลกใหม่นั้น ในร่างกายใหม่นั้น มันไม่มีความกลัวอย่างนั้นอีกต่อไป ไม่มีการซึมเศร้าอีกต่อไป

            และข้อสำคัญอีกอย่างหนึ่ง ก็คือไม่มีความเย่อหยิ่งจองหองในตัวเราเองด้วย ตัวเราเองจะดีถึงขนาดนั้นเลยเหรอ เป็นไปได้หรือ? ตลอดเวลา ท่านจะเป็นคนที่ดีพร้อมตลอดเวลา ไม่เย่อหยิ่ง จองหองด้วย เต็มไปด้วยความรักตลอดเวลา เพราะว่าที่โน่น ในร่างกายใหม่ของเรา ในระบบใหม่ของเรา ไม่มีโปรแกรมความคิดเดิมอยู่เลยแม้แต่นิดเดียว

            โปรแกรมความคิดเดิม ก็คือความคิดที่เราดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้  มันสะสมต่างๆ เหล่านั้นว่าเราต้องเห็นแก่ตัว ใครมาตีเรา เราต้องตีตอบ อะไรต่างๆ เหล่านั้น มันจึงไม่มีความจดจำในเรื่องเกี่ยวกับความชั่ว ความบาป ความโหดร้าย ความเกลียดชัง  ความทุกข์ยากใดๆ ที่เป็นประสบการณ์ของเรา ในการดำเนินชีวิต บนโลกใบนี้ ในร่างกายเก่านี้เหลืออยู่เลย แม้แต่นิดหนึ่ง  เพราะร่างกายเก่ามันถูกทิ้งไป มันตายไปแล้ว  มันสูญสิ้นไป เป็นดินไปแล้ว ทุกวันนี้ ที่เราจะอยู่ในโลกใหม่ เป็นร่างกายใหม่ ร่างกายสวรรค์ ที่เหมือนพระเยซูคริสต์ สะอาด บริสุทธิ์ ใสนิ้งเลย ไม่มีเหลือความคิดเดิมอยู่เลย แม้แต่นิดหนึ่ง

            ถ้าคิดไม่ออก ผมจะยกตัวอย่างให้ อย่างเช่น อยู่บนโลกใบนี้ใครที่ทำอะไรให้เราเจ็บช้ำน้ำใจ บางทีเจ็บช้ำมาก เราลืมไม่ได้ เรามาเป็นคริสเตียนแล้ว เราอภัยให้ ตัดสินใจ พระเจ้าอภัย แต่ถามจริงๆ เถอะ ในเนื้อหนังร่างกายเราลืมได้ไหม?  ลืมไม่ได้  หลายคนเป็นอย่างนั้นนะ  มันลืมไม่ได้ ทำเราเจ็บช้ำน้ำใจมาก เราให้อภัยได้  แต่เราไม่อยากจะเจอหน้าต่อไป นั่นก็คือมันลืมออกจากความคิดไม่ได้ ตัดสินใจทำตามพระเจ้าจริง แต่ร่างกายเราทำตามไม่ได้ เพราะโปรแกรมความคิดจิตใจ มันไม่สะอาดครบถ้วนบริบูรณ์ ในร่างกายนั้น

            หรือแม้แต่กลับกัน เราทำอะไรใครไว้ เรารู้สึกเสียใจมาก ไปทำให้เขา เขาจะอภัยให้เรา เขาอาจจะอภัยให้เราเรียบร้อยแล้ว แต่เราไม่อภัยให้กับตัวเราเอง เรายังรู้สึกฟ้องผิดตลอดเวลา เราไม่ควรทำเลย มันอยู่ลึกๆ ในโปรแกรม ในความคิดของเรา วิญญาณเราอาจจะเกิดใหม่  อภัยในตัวเราเองเรียบร้อยแล้ว ชำระด้วยพระโลหิตแล้ว แต่ความคิดในร่างกายนั้น มันไม่ยอมทำตาม มันจะฟ้องเราตลอดเวลา ซึ่งทรมานไหม? ถ้าคนเกิดอย่างนี้ก็ทรมาน

            หรืออย่างเช่น เราทุกข์ใจ เสียใจอย่างที่เราไปประกาศให้กับเพื่อนฝูงที่เรารัก ญาติพี่น้องที่เรารักมากเลย เรารักเขาจริงๆ เราทุ่มชีวิต เราประกาศให้เขา เราหวังว่าเขาจะเชื่อ ในที่สุดแล้ว เขาก็ยังไม่เชื่อ จนกระทั่งเสียชีวิตไป สมมติ เราก็รู้สึกเสียใจว่าเขาน่าจะเชื่อนะ น่าจะได้รับความรอด เรามีความเสียใจตรงนั้นใช่ไหม?

            ความคิดตรงนี้ เมื่อได้รับร่างกายใหม่แล้ว มันก็ถูกลืมไปด้วย บนนั้น ท่านจะจำไม่ได้เลยว่าท่านเคยอธิษฐานให้ใคร? แล้วไม่เจอเขาบนนั้น  ท่านจะไม่รู้สึกเสียใจเลย  เพราะท่านจำไม่ได้ว่าท่านอธิษฐานให้นาย ก. แล้วท่านไม่เจอนาย ก. บนสวรรค์นั้น พอเข้าใจใช่ไหมครับ?  ท่านจะไม่รู้สึกเสียใจเลย ถ้าท่านไม่เจอคนที่ท่านรักบนนั้น ที่ท่านคิดว่าเขาน่าจะอยู่ แล้วเขาไม่ได้อยู่ที่นั่น เขาไม่ได้เชื่อ มันไม่มีความคิดนี้อยู่เลย เพราะความคิดนี้ มันอยู่ในความคิดเสียใจของร่างกายเดิมเท่านั้น

            นี่คือสิ่งต่างๆ ที่จะเกิดขึ้นในร่างกายใหม่  เราจะอยู่ในสังคมใหม่ เราจะอยู่ในความสวยสดงดงามใหม่ ทั้งสิ่งแวดล้อมใหม่ และความคิดใหม่ ที่เป็นความคิดเหมือนพระเยซูคริสต์ ไม่มีความโศกเศร้าเสียใจอีกต่อไป ไม่ว่าจะมาจากเรื่องอะไรก็ตาม

            ข้อ 5 “พระองค์ผู้ประทับบนพระที่นั่งนั้น ตรัสว่า “เรากำลังสร้างสรรพสิ่งขึ้นใหม่” และตรัสอีกว่า “จงเขียนสิ่งนี้ลงไป เพราะข้อความเหล่านี้เที่ยงแท้และเชื่อถือได้”

            “ข้อความเหล่านี้เที่ยงแท้และเชื่อถือได้” เคยได้ยินคำนี้บ่อยๆ ไหม ที่พระเยซูตอนเดินอยู่บนโลกใบนี้ พูด คือคำว่า “เราบอกความจริงกับท่านว่า …, จริงๆ นะ เราบอกความจริงกับท่านว่าจงมองให้เห็นเถิด”

            เรา คือความจริง มาร คือโกหก เราคือความจริง อันเดียวกัน

            อาจารย์เปาโล ผู้ซึ่งเคย ได้ถูกรับ เข้าไปมีประสบการณ์ ในสวรรค์ ที่เรากำลังเรียนรู้แล้ว เข้าไปเห็นแล้วว่าเป็นอย่างไร? จึงได้มีทัศนคติในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ อย่างนี้  เราจะมาอ่านดูในหนังสือฟีลิปปี 1:21-23 ว่าผู้ที่เขาเคยมีประสบการณ์ตรงนั้นแล้ว  แล้วกลับมาเล่าให้เราฟัง เขามีความรู้สึกอย่างไรกับการเป็นอยู่ใหม่ใน Holy of Holies ในอภิสุทธิสถาน ในสวรรคสถาน  แล้วเปรียบเทียบการอยู่บนโลกใบนี้  เขามีความรู้สึกอย่างไร? …

        ฟีลิปปี 1:21-23 “21 เพราะสำหรับข้าพเจ้า การมีชีวิตอยู่ ก็เพื่อพระคริสต์และการตาย ก็ได้กำไร (การตายก็ดีกว่า) 22 ถ้ายังมีชีวิตอยู่ในกายนี้ต่อไป ก็หมายความว่าข้าพเจ้าจะทำงานอย่างเกิดผล แต่ข้าพเจ้าไม่รู้ว่าจะเลือกทางไหนดี 23 ยังลังเลใจอยู่ระหว่างสองทาง ใจหนึ่งอยากจากไป เพื่ออยู่กับพระคริสต์ ซึ่งประเสริฐกว่ามากนัก”

            คือตายจากร่างกายนี้ ไปสวมร่างกายใหม่ในพระเยซูคริสต์ แล้วอยู่กับพระคริสต์ เห็นพระองค์หน้าต่อหน้า ตามความเป็นจริง ดีกว่ามากนัก ดีกว่าขณะนี้ ที่มีพระคริสต์ สถิตอยู่ภายในร่างกาย ซึ่งเรารับรู้ได้ เพียงฝ่ายวิญญาณเท่านั้น ด้วยความเชื่อเท่านั้น  แต่ไม่สามารถจับต้องมองเห็นได้ชัดเจน ตามความเป็นจริง แบบหน้าต่อหน้าได้ มันหมายถึงตรงนั้น นี่ชัดเจนเลยนะว่ามันเป็นเรื่องจริงที่ใครไปเจอ อยู่บนโลกใบนี้ ไม่อยากอยู่อีกต่อไปแล้วล่ะ แต่อย่างที่บอกว่าเราตัดสินใจไม่ได้ พระองค์เป็นเจ้าของชีวิตเราแล้ว ให้เป็นไปตามน้ำพระทัย

            ข้อ 6 “พระองค์ตรัสกับข้าพเจ้าว่า “สำเร็จแล้ว เรา คืออัลฟาและโอเมกา เป็นปฐมและอวสาน ผู้ใดกระหาย เราจะให้ผู้นั้น ดื่มจากธารน้ำพุแห่งชีวิตโดยไม่ต้องเสียอะไรเลย”

            พระเยซูตรัสว่าสำเร็จเรียบร้อยแล้ว ใครกระหายมาหาเรา เราจะให้ชีวิตนิรันดร์นั่นเอง น้ำพุแห่งชีวิต ก็คือชีวิตนิรันดร์ พระเยซูคริสต์พระเจ้าผู้ทรงสร้างสรรค์พสิ่ง เป็นศูนย์กลางของสรรพสิ่งทั้งหลาย ทั้งหมด ทั้งตอนเริ่มต้นและตอนสิ้นสุด  และในพระองค์ไม่มีสิ้นสุด แต่สิ่งที่พระองค์ทรงสร้างนั้น ขึ้นอยู่กับพระองค์ว่าจะให้อยู่ต่อ หรือสิ้นสุด อยู่ที่การตัดสินของพระเยซูคริสต์ เพราะพระองค์เป็นพระเจ้า ผู้ทรงเป็นศูนย์กลางของสิ่งมีชีวิตทั้งสิ้น ทุกอย่างอยู่ที่พระองค์ พระองค์เป็นผู้ดึงดูด เขาเรียกว่ายึดสรรพสิ่งทั้งหลาย ที่พระองค์ทรงสร้างให้มีชีวิต ให้ดำรงอยู่ต่อไป เมื่อพระองค์ปล่อย ก็หมายถึงมันสูญสิ้น

            ยกตัวอย่าง พระองค์ทรงสร้างโลกเดิม ฟ้าเดิม ด้วยพระองค์เอง สร้างขึ้นมา พระคัมภีร์บันทึกไว้ว่าทุกสิ่งทุกอย่างถูกยึด โดยพระเยซูคริสต์ ทำให้มันดำรงอยู่ได้ ไม่ว่าดวงดาวต่างๆ ในมหาจักรวาล ทั้งที่มองเห็นและมองไม่เห็น ทุกอย่างนั้น สรรพสิ่งทั้งหลายบนโลกใบนี้ รวมทั้งมนุษย์ทั้งหลายบนโลกใบนี้  ยึดอยู่กับพระองค์ทั้งสิ้น พระองค์เป็นศูนย์กลาง ถ้าพระองค์ปล่อย มันก็ถูกทำลายทันที ถ้าพระองค์จะให้กำเนิด มันก็กำเนิดทันทีเหมือนกัน และเราได้ถูกกำเนิดมาเป็นส่วนหนึ่งในพระคริสต์ ขอบคุณพระเจ้า เป็นส่วนหนึ่ง เป็นอยู่ในศูนย์กลางของพระคริสต์ เราจะไปกลัวอะไรอีก

            พระคัมภีร์ อาจารย์เปาโลจึงพูดในหนังสือเอเฟซัส บทที่ 1 บอกว่ามันยิ่งใหญ่มากที่เราได้อยู่ในพระคริสต์ ฤทธิ์เดชอำนาจของพระเจ้าที่ใส่ลงไปในพระเยซูคริสต์ มันยิ่งใหญ่มาก และเราทั้งหลาย รู้ไหมว่าฤทธิ์เดชอำนาจนั้น ทรงทำงานอยู่ในตัวเราทั้งหลาย ผู้เชื่อศรัทธาแล้ว ผู้ที่ได้บังเกิดใหม่ เข้าไปเป็นหนึ่งเดียวกับพระองค์แล้ว  เราได้เข้าไปเป็นหนึ่งเดียวกับศูนย์กลาง ความยิ่งใหญ่สูงสุดของสรรพสิ่งทั้งหลาย ทั้งที่มองเห็นและมองไม่เห็น เอเมน ขอบคุณพระเจ้าของเรา มันเกินกว่าที่เราจะคิด จะเข้าใจ ที่เราจะมาเรียนรู้อย่างนี้ได้  อย่างที่บอกว่าเราได้แค่รับรู้ โดยพอสังเขปเท่านั้น เปาโลจึงอธิษฐานขอพระเจ้าทรงนำพา ทรงประทานวิญญาณแห่งสติปัญญา วิญญาณแห่งการสำแดงความรู้ ให้ตาฝ่ายวิญญาณเราได้ถูกเปิดออก กว้างขึ้นเรื่อยๆ  เพื่อจะได้รู้ถึงความลึก ความกว้าง  ความหนา ความยิ่งใหญ่ของความรักของพระเจ้าของฤทธิ์เดชอำนาจของพระคริสต์ ที่กระทำการงานอยู่ในตัวเราทั้งหลาย ผู้เชื่อศรัทธานั้น ให้เราได้รู้เรื่องเหล่านี้มากขึ้นเรื่อยๆ มากจนสมบูรณ์ครบถ้วนไหม? ไม่หรอก แต่มันจะสมบูรณ์ครบถ้วน เมื่อเราจากโลกนี้ รับร่างกายใหม่ ที่เป็นเหมือนพระองค์ เข้าไปเห็นพระองค์หน้าต่อหน้า เราจะบอก …

            “โอ้โห … เหลือเชื่อเลย ขอบคุณพระเจ้า”

            ข้อ 7 “ผู้ที่มีชัยชนะ จะได้รับทั้งหมดนี้เป็นกรรมสิทธิ์ เราจะเป็นพระเจ้าของเขา และเขาจะเป็นบุตรของเรา”

            ผมนึกถึง 1 โครินธ์ 15:55-57 ทันที อาจารย์เปาโลผู้ซึ่งได้อย่างที่ตะกี้นี้บอก มีประสบการณ์ไปสวรรค์แล้ว และได้ประกาศข่าวประเสริฐเรื่องพระเยซูคริสต์ว่าการเป็นขึ้นจากความตายนั้น มีจริง ได้ประกาศ ตอนจบของบทที่ 15 อย่างนี้ว่า …

        1 โครินธ์ 15:55-57 “55ความตายเอ๋ย ไหนล่ะชัยชนะของเจ้า ความตายเอ๋ย ไหนล่ะ เหล็กไนของเจ้า” 56 เหล็กไนของความตายคือบาป และอานุภาพของบาปคือบทบัญญัติ 57 แต่ขอบพระคุณพระเจ้า! พระองค์ประทานชัยชนะแก่เรา โดยทางองค์พระเยซูคริสต์เจ้าของเรา”

            ผู้ที่มีชัยชนะจะได้รับทั้งหมดนี้เป็นกรรมสิทธิ์ ใครได้รับเป็นกรรมสิทธิ์ทั้งหมด ก็คือผู้ที่มีชัยชนะ … ผู้ที่มีชัยชนะคือใคร? คือข้อ 57 “แต่ขอบพระคุณพระเจ้า พระองค์ประทานชัยชนะแก่เรา โดยทางองค์พระเยซูคริสต์เจ้าของเรา” เอเมน แสดงว่าเราได้รับสิ่งเหล่านี้ทั้งหมดเลย โดยที่ไม่ต้องทำอะไรเลย แค่เปิดใจต้อนรับสิทธิของเราเท่านั้น จริงๆ นี่พูดตามพระเยซูคริสต์เลย จริงๆ

            ข้อ 8 “ส่วนคนขี้ขลาดตาขาว คนที่ไม่เชื่อ คนชั่วช้า ฆาตกร คนผิดศีลธรรมทางเพศ คนใช้คาถาอาคม คนกราบไหว้รูปเคารพ และคนทั้งปวงที่พูดโกหก ที่ของเขา คือบึงไฟกำมะถันลุกโชน นั่นคือความตายครั้งที่สอง”

            “คนขี้ขลาดตาขาว” คือสมัยนั้น คนจะเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ ถูกข่มเหงอย่างร้ายแรง ถึงตายก็มี ถึงถูกยึดทรัพย์ก็มี ตามล่าก็มี ทุกข์ทรมาน ไม่กล้าที่จะรับเชื่อ ถูกต่อต้าน โดยครอบครัวตัวเอง ไม่กล้าที่จะทนทุกข์ อยากจะเชื่อ แต่ไม่กล้า นั่นหมายถึงตรงนี้นะ

            คนที่ไม่เชื่อในข่าวดี ไม่ไว้วางใจพระเยซูคริสต์ วิญญาณและใจยังเป็นวิญญาณเก่าอยู่ ถูกไหม? ยังเป็นวิญญาณที่เป็นบาป อยู่ในอาดัม บรรพบุรุษเดิม ยังไม่ได้ย้าย ยังไม่ได้อพยพ ยังคงเป็นคนบาป  เป็นคนไม่บริสุทธิ์  เป็นคนอธรรม ที่ประพฤติบาป  ตามธรรมชาติบาป ที่อยู่ภายในวิญญาณ

            ส่วนคนที่เชื่อในข่าวดี วางใจในพระเยซูคริสต์ ได้รับการชำระบาป ได้บังเกิดใหม่ กลายเป็นผู้ชอบธรรม ได้รับมรดก อัศจรรย์ที่เกิดขึ้นทันที 7 อย่าง ขณะที่ดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้แล้ว ไปฟังทบทวนเอาเอง  7-8 ตอนที่แล้ว  แต่ถูกล่อลวงให้ประพฤติบาป  ตามกิเลสตัณหาของเนื้อหนัง ตามความเคยชินเดิม  ตามระบบของโลกใบนี้ ซึ่งในขณะที่ทำนั้น มีธรรมชาติ วิญญาณภายในนั้น บริสุทธิ์ ดีพร้อมเหมือนพระเยซูคริสต์แล้ว เอเมน มันหมายถึงอย่างนั้น อย่าลืมว่าเราเข้าสวรรค์ด้วยวิญญาณใหม่ และใจใหม่เท่านั้น ร่างกายเก่า  เราไม่ได้เอาไปด้วย เพราะร่างกายเก่า เราเอาเข้าในสวรรค์ไม่ได้อยู่แล้ว เรากำลังรอรับร่างกายใหม่ วันที่เราตายจากโลกนี้แล้ว ตายจากร่างเดิมนี้แล้ว วิญญาณที่บริสุทธิ์ สะอาดของเรา และใจที่บริสุทธิ์สะอาดของเรา ที่เหมือนพระเยซูคริสต์ ไปรับร่างกายใหม่ที่เหมือนพระเยซูคริสต์ จึงเข้าสวรรค์ได้ เอเมนไหม? ซึ่งต้องจองร่างกายใหม่ไว้ด้วย ตั้งแต่อยู่บนโลกใบนี้เลย ก็คือเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์

            วิวรณ์ 21:27 บันทึกไว้อย่างนี้ สอดคล้องกัน …

        วิวรณ์ 21:27  “สิ่งใดที่เป็นมลทิน หรือผู้ใดที่ประพฤติเป็นที่น่าสะอิดสะเอียน หรือพูดมุสา จะเข้าไปในนครไม่ได้เลย เฉพาะคนที่มีชื่อจดไว้ ในหนังสือชีวิตของพระเมษโปดกเท่านั้น จึงจะเข้าไปได้”

            “สิ่งใดที่เป็นมลทิน” มลทิน หมายถึงบาป มีตำหนิ มีมลทิน ก็คือยังบาปอยู่ คนที่วิญญาณยังเป็นบาปอยู่นั้น เข้าในอาณาจักร เข้าในนครนี้ไม่ได้ นครนี้บริสุทธิ์ คนบาปเข้าไม่ได้ นครนี้เราได้เรียนรู้แล้ว ก็คืออาณาจักรของพระคริสต์ คริสตจักรของพระเจ้าที่จะอยู่ใน Holy of Holies อยู่ในอภิสุทธิสถานนี้ คนบาปเข้าไม่ได้  บาปนิดดดดดหนึ่งก็ไม่ได้ บาปหน่อยหนึ่งก็ไม่ได้ แค่พกเหรียญสลึงไว้อันหนึ่ง ก็เข้าประตูไม่ได้แล้ว ผ่านประตูตรวจคน สัญญาณก็ดัง

            “ฉันทำดีมาหมดเลย ฉันทำบาปนิดเดียว” ไม่ได้ มันอยู่ที่วิญญาณผ่านในนั้น แต่คนที่ได้บังเกิดใหม่เท่านั้น บังเกิดใหม่ โดยเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด  ได้เป็นผู้ชอบธรรมตั้งแต่อยู่บนโลกใบนี้แล้ว บริสุทธิ์ ดีพร้อมเหมือนพระคริสต์แล้ว ตั้งแต่อยู่บนโลกใบนี้เท่านั้น จึงจะเข้าในนครอันบริสุทธิ์นี้ได้  เพราะว่าชื่อเขาจดอยู่ในทะเบียนคริสตจักร นครนี้ ตั้งแต่ตอนอยู่บนโลกใบนี้แล้ว มาจดทีหลังก็ไม่ได้  เขาต้องได้รับการจดก่อนล่วงหน้า เพราะฉะนั้น เขาต้องบังเกิดใหม่ตั้งแต่ตอนอยู่บนโลกใบนี้เท่านั้น จึงจะเข้าอาณาจักรนี้ได้

            อยากถามท่านที่ฟังมาถึงตรงนี้ว่าท่านถามตัวเองสิครับว่าขณะนี้ ที่นั่งอยู่นี้ ชื่อท่านจดไว้ที่ไหน?  ในทะเบียนสำมะโนครัวเดิมอาดัม หรือได้อพยพมาอยู่ในทะเบียนสำมะโนครัวของพระคริสต์ ท่านบังเกิดใหม่แล้วหรือยัง? ชื่อท่านจดไว้ในหนังสือชีวิตแล้วหรือยัง? พระเยซูตรัสว่าพระองค์กำลังเคาะประตูใจของท่าน กำลังเชิญท่านอยู่ทุกๆ คนบนโลกใบนี้ ที่ยังไม่ได้เปิดใจ เคาะอยู่ตลอดเวลา ถ้าท่านจะนั่งนิ่งๆ แล้วลองตั้งใจฟังจากถ้อยคำเหล่านี้ ท่านจะรู้ว่าพระองค์กำลังเคาะประตูใจของท่านอยู่ตลอดเวลา ท่านกล้าไหม? ท่านจะขี้ขลาดตาขาวไหม? ท่านกล้าที่จะเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด  เพื่อจะได้รับสิทธิทั้งหมดนี้หรือไม่ เพราะแค่เปิดใจต้อนรับพระองค์เท่านั้นจริงๆ

            ย้ำอีกที แค่เปิดใจต้อนรับพระองค์เพียงเท่านั้นจริงๆ  อัศจรรย์ทั้งหมด  10 อย่างที่ได้อธิบายมาในซีรี่ย์นี้ จะเกิดขึ้นกับท่านทันที แล้วท่านจะได้เริ่มต้นชีวิตในสวรรค์กับพระเจ้า เป็นพลเมืองของพระเจ้า เป็นลูกของพระเจ้าที่มีชื่อจดอยู่ในหนังสือชีวิต ในทะเบียนสำมะโนครัวของพระคริสต์ทันที ทันทีที่กำลังดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้  และต่อไปจนถึงหลังความตาย ได้อาศัยอยู่ใน Holy of Holies อภิสุทธิสถาน ที่ประทับของพระเจ้าแบบเห็นกันหน้าต่อหน้า นิรันดร์กาลเลย  พระเจ้าอวยพรครับ

******************

จากใจคณะศิษยาภิบาล

            ความทุกข์ยากลำบาก ทำให้เรารับรู้อย่างชัดเจนว่า …

                        “พระคริสต์อยู่ในฉัน  เป็นความหวังแห่งเกียรติสิริ”

            โรม 5:1-5 … “1 เหตุฉะนั้น เมื่อเราเป็นคนชอบธรรม ได้บังเกิดใหม่ในพระคริสต์แล้ว โดยความเชื่อ ก็ให้เราชื่นชมยินดี มีสันติสุขที่ได้กลับคืนดีกันกับพระเจ้า ผ่านทางพระเยซูคริสต์ องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา 2 โดยทางพระองค์ เราจึงได้เข้าในร่มพระคุณที่เรายืนอยู่โดยความเชื่อ ให้เราชื่นชมยินดีในความหวังใจ ที่มีหลักฐานประกันที่มั่นคง แน่ใจว่าเรามีส่วนร่วมในสง่าราศีนี้  (คือมีส่วนในพระสิริของพระเยซูคริสต์ มีส่วนในชีวิตนิรันดร์ของพระองค์ คือ DNA ของพระองค์) 3 และไม่ใช่เพียงเท่านี้  แต่ให้เราชื่นชมยินดีในความทุกข์ยากลำบากด้วย  เพราะเรารู้ว่าความทุกข์ยากลำบาก   (ความกดดัน  ความท้อแท้  ความเครียด)  นั้น  ทำให้เกิดความอดทน  และความอดทน  ทำให้เกิดความทรหด 4 ความทรหด ผ่านประสบการณ์ความทุกข์ยากต่างๆ  ทำให้เกิดอุปนิสัย ที่เจริญเติบโตเป็นผู้ใหญ่ในฝ่ายวิญญาณ  ที่ผ่านการทดสอบแล้ว  ทำให้ความหวังใจในความรอดนิรันดร์ในพระเยซูคริสต์  ที่ได้รับแล้วนั้น  มีหลักฐานที่มั่นคงชัดเจนแน่ใจ (ที่เราได้รับแล้ว วิญญาณที่เกิดใหม่ จิตใจที่ได้รับการเปลี่ยนใหม่อยู่ข้างใน ที่เรามองไม่เห็น  โดยผ่านทางความทุกข์ยากลำบาก ทำให้เรารับรู้ว่าพระเจ้าทรงสถิตอยู่ในเราอย่างชัดเจน) 5 และความหวังใจนี้ ไม่เคยทำให้เราผิดหวังเลย เพราะว่าเราได้รับความรักของพระเจ้าอย่างเหลือล้น ท่วมท้นอยู่ในวิญญาณ และจิตใจใหม่ของเราแล้ว โดยผ่านทางพระวิญญาณบริสุทธิ์ ซึ่งพระองค์ได้ประทานให้กับเราแล้ว ตั้งแต่เราเริ่มต้นบังเกิดใหม่นั่นเอง  (ความหวังใจนี้ คือเราจะได้รับพระเกียรติสิริ สง่าราศีเหมือนพระเจ้า เหมือนพระเยซูเมื่อวันที่วิญญาณเราออกจากร่าง เราก็จะไปสวมร่างกายใหม่ ที่เต็มไปด้วยสง่าราศี เหมือนพระเยซูคริสต์เลย)”

            ไม่ว่าสถานการณ์รอบด้านที่เผชิญอยู่จะเป็นอย่างไร  วันนี้ หรือวันข้างหน้า จะเกิดอะไรขึ้น ให้ความคิดเหล่านี้  ฝังรากลึกลงไปในความคิดจิตใจของเราว่าพระเจ้า คือที่พึ่ง ที่ปรึกษา  และเป็นผู้ที่สามารถนำพาเราผ่านไปได้  ท่ามกลางทุกสถานการณ์

            พระองค์คอยเป็นที่ปรึกษา เป็นสติปัญญา  เป็นกำลัง  คอยปลอบโยน  จูงมือเรา  พระองค์ต้องการสำแดงให้เรา  ได้เห็นว่าพระองค์รักเราอย่างไร   เป็นใคร   อยู่ในเรา  ท่ามกลางสถานการณ์เลวร้ายของโลกใบนี้ บอกกับตัวเองว่า …

                        “ฉันอยู่ในพระคริสต์ เป็นชีวิตนิรันดร์

                        พระคริสต์อยู่ในฉัน เป็นความหวังแห่งเกียรติสิริ”

            พระเจ้าอวยพรครับ

วารสาร Holy  News   ฉบับที่  1417

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  14  พฤษภาคม  2023

เรื่อง “อัศจรรย์เกิดขึ้นทันที เมื่อฉันเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์”

ตอน 9 “จะได้อาศัยอยู่กับพระเจ้า ในฟ้าใหม่ โลกใหม่ ด้วยร่างกายใหม่นิรันดร์”

โดย นคร  เวชสุภาพร

            ขอต้อนรับทุกท่านเข้าสู่การนมัสการพระเจ้าและการบรรยาย ในคริสตจักรอภิสุทธิสถานที่แพรกษานี้ สวัสดีอีกครั้งหนึ่งครับ

            วันนี้เรามาเรียนกันต่อถึงซีรี่ย์ “อัศจรรย์เกิดขึ้นทันที เมื่อฉันเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์” ตอนที่ 9 ชื่อเรื่อง “จะได้อาศัยอยู่กับพระเจ้า ในฟ้าใหม่ โลกใหม่ ด้วยร่างกายใหม่นิรันดร์” วันนี้เราจะมารับรู้มรดกของเรา กำลังจะได้อีก เพิ่มเติมในอนาคตอันใกล้ ในโลกหน้า ทั้งหมดนี้ได้รับมาเพียงแค่เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เท่านั้น เราถึงใช้ชื่อว่าอัศจรรย์ อัศจรรย์มาก ไม่ต้องทำอะไรเลย เปิดใจเท่านั้นเอง

            เราเรียนรู้กันมาแล้วว่าอัศจรรย์ที่ได้รับแล้วทันที ขณะดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ เมื่อเราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ คือ .-

                        1. วิญญาณเก่าที่เป็นคนบาป ต้องคำสาป ได้ตายไปแล้ว

                        2. ได้บังเกิดใหม่ โดยพระวิญญาณของพระเจ้า

                        3. ได้เป็นลูกของพระเจ้า ที่ทรงรัก ดังแก้วตาดวงใจแล้ว

                        4. พระเจ้าเข้ามาสถิตอยู่ด้วย ภายในร่างกายนี้

                        5. ได้เข้ามาอยู่ในอาณาจักรสวรรค์แล้ว ขณะที่ดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ เดี๋ยวนี้ ขณะที่กำลังฟังอยู่นี้ ถ้าท่านเปิดใจแล้วนะ

                        6. พระเจ้าได้ทรงให้ฉัน นั่งในสวรรคสถานกับพระคริสต์แล้ว ในขณะนี้ ขณะที่เราอยู่ในประเทศไทย นั่งอยู่ในคริสตจักรอภิสุทธิสถาน หรือนั่งอยู่ที่บ้าน ที่ไหนก็ตามในโลกวิญญาณนั้น เราได้นั่งอยู่ในสวรรคสถานกับพระคริสต์

            นี่คือ 6 อย่างที่เราได้รับเรียบร้อยแล้ว

                        7. ได้รับมรดกเป็นรางวัล ตั้งแต่อยู่ในโลกนี้ ถึงโลกหน้า คือมีรางวัลให้กับเรา จนไปถึงโลกหน้าเลย ที่ทรงสัญญาเอาไว้

            นี่คือ 7 อย่างที่เราได้รับเรียบร้อยแล้ว พระคัมภีร์เขียนชัดเจน  แล้วเราก็รับรู้แล้ว โดยข้างในวิญญาณของเรา รู้อยู่ในใจว่าสิ่งนี้เราได้รับเรียบร้อยแล้ว

            ส่วนอัศจรรย์ที่เราจะได้รับในโลกหน้า หลังความตาย พูดตามภาษามนุษย์ทั่วๆ ไปนะ แต่เรารู้แล้วว่าเมื่อเราเปิดใจต้อนรับ และได้รับ 7 อย่างนี้แล้ว เราไม่มีการตายอีกแล้ว เราเรียนรู้ไปแล้วนะ เรียกว่าล่วงหลับไป ได้รับการเปลี่ยนแปลงร่างใหม่เท่านั้น  แต่พูดภาษาให้ง่ายๆ  ก็คือหลังความตาย ส่วนอัศจรรย์ที่เราจะได้รับในโลกหน้า ก็คือ …

                        8. จะได้รับร่างกายใหม่ ที่เต็มไปด้วยสง่าราศี เหมือนพระเยซูคริสต์ หลังจากสิ้นลมหายใจแล้ว

            อันนี้เราเรียนรู้ไปเมื่อครั้งที่แล้ว และอันดับที่ 9 ที่วันนี้เราจะเรียนรู้กัน ก็คือ …

                        9. จะได้อาศัยอยู่กับพระเจ้า ในฟ้าใหม่ โลกใหม่ ด้วยร่างกายใหม่นิรันดร์

            ให้เราปรบมือขอบคุณพระเจ้า เพราะว่าสิ่งต่างๆ เหล่านี้ เป็นอัศจรรย์ ปาฏิหาริย์ พระเจ้าเนรมิตขึ้นมาทั้งหมดนี้  เราทำแค่อย่างเดียวเอง ง่ายมากเลย ขนาดคนทำอะไรไม่ได้เลย เดินไม่ได้ จนจะหมดลมหายใจแล้ว อยู่บนเตียงผู้ป่วยแล้ว ทำอะไรไม่ได้เลย ทำแค่อย่างเดียวเอง ที่ทำได้แค่นั้น  ก็จะได้รับทั้ง 9 อย่างนี้เลย ก็คือเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เป็นผู้ช่วยให้รอด พูดไม่ได้ ก็ใช้คิดเอา แค่นั้นเอง  คือตราบใดที่มีลมหายใจอยู่ สามารถเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดได้ทันที และถ้าเรารับ ทั้ง 9 อย่างนี้  ก็จะเป็นของเราทันที  พระเจ้าจะเข้ามาทำทันทีให้กับเราทั้งหมด 8, 9 อย่างนี้ ด้วยการอัศจรรย์ ปาฏิหาริย์ ฤทธิ์เดช เหมือนที่พระองค์ตอนสร้างโลก สร้างสรรพสิ่งใหม่ๆ ในพระคัมภีร์เขียนว่าพระองค์ทรงเนรมิต ที่เราเรียกว่าพระเจ้าผู้ทรงสร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก ผู้ทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งหลาย นี่แหละ มันหมายถึงอย่างนั้น

            มีพระเจ้าองค์นี้ผู้เดียวเท่านั้นที่สามารถกระทำสิ่งเหล่านี้ได้ มนุษย์แค่เปิดใจ เหลือเชื่อจริงๆ เราจึงเรียกว่าพระคุณ ความเมตตา ความรอดนี้ คือความรอด โดยพระคุณเมตตา เราไม่ได้กระทำสักนิดหนึ่งเลย

            เพราะฉะนั้น สรุปรวมๆ อัศจรรย์ที่เกิดขึ้นทันที เมื่อเราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ ก็คือเราได้บังเกิดใหม่ เป็นลูกของพระเจ้า เป็นพลเมืองสวรรค์แล้ว  มีชื่อจดอยู่ในทะเบียนหนังสือสำมะโนครัวของพระเจ้า  ซึ่งมีหัวหน้าครอบครัว ชื่อพระเยซูคริสต์ เราไปต่อ เหมือนเป็นผู้อาศัยคนหนึ่งอยู่ในทะเบียน หนังสือแห่งชีวิตนี้  เรียกว่าครอบครัวของพระเยซูคริสต์ ในพระคริสต์ และในครอบครัวนี้ เราได้เป็นธรรมิกชน พระคัมภีร์เรียกว่าธรรมิกชน เป็นคนบริสุทธิ์ชอบธรรม ดีพร้อม เป็นครอบครัวในสวรรค์ เรียกว่าครอบครัวของพระเจ้า มีพระเยซูคริสต์ เป็นหัวหน้าครอบครัว ที่ถูกเรียกว่าธรรมิกชน คนบริสุทธิ์ ชอบธรรม ดีพร้อมของพระเจ้า เรียบร้อยแล้ว ขณะที่ดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ก็เป็นอย่างนี้แล้ว

            แล้วทำอะไรต่อไป ก็เฝ้ารอคอยไง รอคอยวันที่จะได้รับร่างกายใหม่นี้ เหมือนพระเยซู เห็นพระองค์หน้าต่อหน้า  และได้อยู่กับพระองค์ในสวรรค์นิรันดร์ แบบเห็นกันหน้าต่อหน้าเลย ก็คือหลังความตายนั่นเอง  นี่เรารอคอยตรงนั้น

            เพราะฉะนั้น เป้าหมายของคริสเตียน การดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ จึงอยู่ในข้อพระคัมภีร์นี้ บันทึกไว้ชัดเจนเลย ผมคัดเอามาให้ท่านเห็นว่าข้อพระคัมภีร์แค่ 8, 9 ข้อนี้ บ่งบอกชัดเจนเลยว่าชีวิตของคริสเตียน ผู้ที่ได้มีชื่อจดอยู่ในหนังสือแห่งชีวิตในพระเยซูคริสต์ อยู่ในทะเบียนบ้าน ที่เรียกว่าพลเมืองสวรรค์แล้ว ขณะดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ เป้าหมายในชีวิตของเขา คืออะไร? อ่านปั๊บ ท่านจะอ๋อ! ใช่ มันต้องเป็นอย่างนี้เท่านั้น พระวิญญาณจะนำท่านมา มีชีวิตอย่างนี้เท่านั้น 2 โครินธ์ 5:1-9 …

        2 โครินธ์ 5:1-9 “1 เพราะเรารู้ว่าถ้าเรือนกายบนโลกที่เราอาศัยอยู่นี้ถูกทำลายไป เราก็ยังมีที่อาศัยซึ่งมาจากพระเจ้า ที่ไม่ได้สร้างด้วยมือมนุษย์ และอยู่อย่างถาวรนิรันดร์ในสวรรค์ 2 เพราะว่าในร่างกายนี้ เราคร่ำครวญและปรารถนาจะสวมใส่ที่อาศัยของเรา ที่มาจากสวรรค์ 3 เพราะเมื่อสวมแล้ว เราก็จะไม่เปลือย 4 เพราะว่าเราที่อยู่ในเรือนกายนี้ คร่ำครวญ และเป็นทุกข์หนัก ไม่ใช่เพราะปรารถนาจะอยู่ตัวเปล่า แต่ปรารถนาจะสวมใส่กายใหม่ เพื่อกายที่ต้องตายนั้น จะถูกกลืนโดยชีวิตอมตะ 5 แต่พระเจ้าทรงเป็นผู้เตรียมเราไว้ สำหรับการเปลี่ยนแปลงนี้ และพระองค์ประทานพระวิญญาณ เป็นมัดจำแก่เรา 6 เพราะฉะนั้น เรามั่นใจอยู่เสมอ และรู้แล้วว่าขณะที่อาศัยอยู่ในร่างกายนี้ เราอยู่ห่างจากองค์พระผู้เป็นเจ้า 7 เพราะว่าเราดำเนินโดยความเชื่อ ไม่ใช่โดยสิ่งที่มองเห็น 8 และเรามั่นใจ และพอใจที่จะไปจากร่างกายนี้ และอาศัยอยู่กับองค์พระผู้เป็นเจ้ามากกว่า 9 ฉะนั้น เราตั้งเป้าว่าจะอาศัยอยู่ในกายนี้ก็ดี หรือจะจากไปก็ดี เราก็จะเป็นคนที่ พระเจ้าพอพระทัย”

            ถ้าท่านเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์แล้ว ได้บังเกิดใหม่แล้ว ท่านจะเป็นอย่างนี้แหละ ท่านจะคร่ำครวญ และปรารถนาภายในวิญญาณของท่าน  ภายในใจของท่าน ที่จะสวมใส่ที่อาศัยของเรา จากสวรรค์ ก็คือร่างใหม่ ที่เหมือนพระเยซูนั่นแหละ

            ในข้อ 4 บอกว่า “เพราะว่าเราที่อยู่ในเรือนกายนี้  ก็คือในร่างกายนี้  ที่เจ็บป่วย อ่อนแอ แก่ลงไปทุกวันๆ ไปสู่ความตายนี้ กำลังคร่ำครวญและเป็นทุกข์หนัก ไม่ใช่ปรารถนาจะอยู่ตัวเปล่า แต่ปรารถนาที่จะสวมใส่กายใหม่”

            ใครอยากได้กายใหม่บ้าง? ยกมือขึ้น ก็ยกมือทุกคนแหละ ใช่ไหม? ไม่มีใครรักร่างกายนี้เลยสักคนหนึ่ง ทุกคนรู้ว่าเมื่อถึงวันเวลาหนึ่ง มันเจ็บ มันปวด แล้วในที่สุด มันต้องแก่ และมันต้องทุกข์ทรมาน แล้วมันก็ต้องตายแน่นอน จึงไม่มีใครอยากจะรักร่างกายนี้ อยู่ในร่างกายนี้ต่อไป ถ้าเผื่อเขารู้ว่ามีร่างกายใหม่รออยู่

            ผมนึกถึง เหมือนคนๆ หนึ่งเป็นโรคหัวใจ แล้วก็เป็นมะเร็งด้วย แล้วก็เป็นเบาหวาน แล้วเป็นความดันสูง ทำอะไรก็ไม่ได้ สมมติว่าตอนยังไม่แก่มาก ก็เป็นอย่างนี้ แล้วหมอมาบอกว่า …

            “รักษาไม่หายทุกโรคหรอกครับ ต้องทรมานอย่างนี้ แต่รอก่อนนะเขามีเทคโนโลยีใหม่ ประมาณอีกสัก 2 ปีข้างหน้า เทคโนโลยีใหม่จะออกมา เราสามารถฉีดยานี้ให้ท่าน แล้วก็เปลี่ยนร่างกายให้ใหม่ สามารถที่จะมาแข็งแรงเหมือนเดิมได้ เอาไหม?”

            แล้วเรามีเงินด้วย เราก็บอก … “เอาสิ”

            พอเราเอา ก็จ่ายเงินไป ก็เซ็นสัญญาไว้ ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมาเราทำอะไร? เราอดทน ความเจ็บป่วย โรคภัยไข้เจ็บทั้งหมดที่เป็นอยู่ตะกี้นี้ เราอดทนได้หมดเลย เพราะเรากำลังรอยามา จะได้ร่างกายใหม่สักทีหนึ่ง นั่นแค่ร่างกายบนโลกใบนี้นะ ซึ่งได้ร่างกายมา โดยได้ยามาฉีดให้หายจากโรคภัยไข้เจ็บนั้น แล้วมันก็กลับมาเป็นโรคใหม่อีก ถูกไหม? มันก็แก่ลงไปเหมือนเดิม  แต่นี่พระเจ้าสัญญาว่าเมื่อวันหนึ่งที่เราจากร่างนี้ไปนะ จะมีร่างใหม่ให้กับเรา เป็นร่างกายแบบสวรรค์ ที่เหมือนพระเยซูคริสต์ แล้วเราจะครวญคราง จดจ่ออยู่ที่นี่มากกว่านั้นสักเท่าใดหรือ? เอเมนไหม?

            แต่ปรารถนาที่จะสวมใส่กายใหม่ เป็นกายที่ไม่ต้องตาย  เพราะกายที่ต้องตายนั้น จะถูกกลืน โดยชีวิตอมตะ  ก็คือกายที่แก่ตายนี้ จะต้องถูกกลืน ถูกแทนที่ด้วยกายที่ไม่มีการตายอีกต่อไป ที่เหมือนพระเจ้านั่นเอง  และพระเจ้าผู้ทรงเตรียมเราไว้ สำหรับการเปลี่ยนแปลงนี้ พระองค์ประทานพระวิญญาณเป็นมัดจำแก่เรา นี่แหละ คือสิ่งที่เรารู้อยู่ในใจ เพราะพระวิญญาณสถิตอยู่กับเรา เมื่อเราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอด

            ข้อ 6 บอกว่า “เพราะฉะนั้น เราจึงมั่นใจอยู่เสมอ และรู้แล้วว่าขณะที่อาศัยอยู่ในร่างกายนี้ เราอยู่ห่างจากองค์พระผู้เป็นเจ้า” คือพระวิญญาณอยู่ในเรา เรารู้ว่าสิ่งนั้นที่พระเจ้าสัญญาไว้  เป็นจริง แล้วตัวเราก็บังเกิดใหม่แล้ว เป็นลูกของพระเจ้าแล้ว พระเจ้าสถิตอยู่กับเราจริงๆ  แต่เรามองไม่เห็น  ตรงนี้มันหมายถึงอย่างนั้น

            คำว่า “อยู่ห่างจากองค์พระผู้เป็นเจ้า” หมายถึงเรามองไม่เห็น แต่เรารู้ว่าอยู่ข้างในนี้  ในนี้จึงบอกว่าพระเจ้าทรงอยู่ไกลจากเรา

            จึงบอกว่า “ขณะนี้  เพราะว่าเราดำเนินชีวิตด้วยความเชื่อ ไม่ใช่สิ่งที่มองเห็น” ก็คือเราดำเนินชีวิตด้วยความเชื่อว่านี่เป็นจริง เชื่อ หมายถึงเชื่อจริงๆ แล้วรู้จริงๆ จับต้องมองเห็นได้เลยว่ามันอยู่ในตัวของเรา อยู่ในใจของเรานี้แหละ แต่เรามองไม่เห็นไง ก็เรียกว่าใช้ความเชื่อ

            “และเรามั่นใจ พอใจที่จะจากร่างกายนี้ไป” เห็นไหม? มีแต่คนเขากลัวตาย แต่นี่กำลังบอกว่าคนที่เป็นคริสเตียน ที่เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์แล้ว ไม่กลัวตาย  พอใจที่จะออกไปจากร่างกายนี้  ก็คืออกจากร่างกายนี้ และอาศัยอยู่กับพระเจ้ามากกว่า เราอยากไปอยู่กับพระเจ้า

            คำว่า “อยู่” ตรงนี้หมายถึงกลับไปเห็นพระเจ้าหน้าต่อหน้า กลับไปใกล้พระเจ้า “ใกล้พระเจ้า” หมายถึงการได้เห็นหน้าต่อหน้า ไม่ต้องใช้ความเชื่ออีกต่อไป มันหมายถึงอย่างนั้น

            ข้อ 9 จึงสรุปว่า “ฉะนั้น เราตั้งเป้าว่า …” ท่านตั้งเป้าอย่างนี้ไหม? “จะอาศัยอยู่ในร่างกายนี้ ยังมีลมหายใจอยู่ ก็ดี หรือจะจากไป ก็ดี เราก็เป็นที่พอพระทัยของพระเจ้าแล้ว” หมายถึงไม่ว่าจะอยู่หรือจะไป  จะอยู่หรือจะตาย  เราก็เป็นลูกของพระเจ้า ที่พระองค์ทรงรักและพอพระทัยแล้ว ไม่ต้องทำอะไรมากทั้งนั้น จะอยู่ก็ดี พระเจ้าก็รัก และอยู่กับเรา ข้างในใจเรา ถึงเวลาจากไป พระเจ้าก็เห็นเรา และเราเห็นพระองค์หน้าต่อหน้า  พระเจ้าก็ยังคงรักเราเหมือนเดิม อยู่ก็ได้  ไปก็ดี อยู่ก็ได้ พระเจ้าก็อยู่กับเรา รักเรา เราก็อยู่กับคนที่เรารัก รอบข้างเรา ที่เห็นๆ อยู่ในปัจจุบัน แต่ถ้าตายไป ก็ดีกว่า เอเมน ขอบคุณพระเจ้า นี่คือการชนะความตาย

            เราเฝ้าใจจดใจจ่อ รอคอย โดยมีมัดจำ มัดจำของเราคืออะไร? รวมความ มัดจำ ก็คือพระคริสต์ที่สถิตอยู่ภายในเราแล้ว ตั้งแต่ดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ตั้งแต่เปิดใจรับเชื่อ พระคริสต์ผู้เป็นชีวิตนิรันดร์ของเรา อยู่ภายในเรา เป็นอัศจรรย์ทั้ง 7 อย่างที่เราได้รับทั้งหมด  รวมความแล้ว ก็คือในพระคริสต์ ที่เราได้รับเรียบร้อยไปแล้ว ในขณะดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้  เป็นมัดจำให้เรามีความมั่นใจในสิ่งที่เราหวังเอาไว้นั้น ไม่ใช่หวังลมๆ แล้งๆ  สิ่งที่เราหวังนั้น มีจริงๆ  เพราะพระคริสต์สถิตอยู่ในเรา ยืนยันให้กับเราภายในว่ามีจริงๆ จับต้องมองเห็นได้ ด้วยความเชื่อ  ภายในวิญญาณของเราในพระคริสต์นั่นเอง

            เพราะฉะนั้น พระคัมภีร์จึงพูดว่าเราจึงมีชีวิตอยู่ โดยความหวังนี้ คือความจริง ก็คือ “พระคริสต์สถิตอยู่ในเรา เป็นความหวังแห่งเกียรติสิริ” ท่านต้องจำให้ได้เลย ทั้งหมดที่สรุปมา มีประโยคนี้ประโยคเดียว โคโลสี 1:27 นั่นเอง “พระคริสต์สถิตอยู่ในฉัน เป็นความหวังแห่งเกียรติสิริ” ที่เราจะร่วมรับกับพระเยซูคริสต์ในสวรรคสถานนิรันดร์กาล เริ่มรับเดี๋ยวนี้เลย  แล้วก็รับไปเรื่อยๆ จนตายออกจากร่าง รับต่อไป จนกระทั่งอยู่กับพระองค์ เห็นหน้าพระองค์นิรันดร์กาล อยู่กับพระสิริของพระองค์นิรันดร์ นี่คือเป้าหมายของคริสเตียนทุกคน

            ขั้นตอน ก็คือเมื่อวิญญาณออกจากร่าง หรือเรียกว่าตาย กายเรือนดินนี้ จะถูกเปลี่ยนแปลงเป็นร่างกายแบบสวรรค์ ที่เป็นเหมือนพระเยซู และพระเยซูกลับมารับเรา อันนี้เกิดพร้อมๆ กัน แค่พริบตานะ เราจะพบเห็นพระองค์หน้าต่อหน้า เห็นเหมือนเราเห็นในปัจจุบัน เห็นคน เห็นมนุษย์ที่เดินอยู่ด้วยกันทุกวันนี้ แล้วเราก็จะอยู่ในสวรรค์ร่วมกับพี่น้องผู้เชื่อ  ที่เรียกว่าธรรมิกชนของพระเจ้า ที่จากไปก่อนหน้าเรา ที่อยู่ในสวรรค์แล้วตอนนี้ ในสวรรค์นี้ มีชื่อว่าเมืองบรมสุขเกษม หรือภาษาอังกฤษ เขาเรียกว่าพาราไดร์ เมืองบรมสุขเกษม อยู่ในสวรรค์แล้ว อยู่กับพระเจ้าแล้ว และเมื่อถึงวันแห่งการพิพากษา ก็คือวันที่พระเยซูคริสต์กลับมาบนโลกนี้อีกครั้งหนึ่ง เพื่อพิพากษาโลก คือวันที่โลกเดิม ฟ้าสวรรค์เดิมจะดับสูญสิ้นไป  โลกเดิม ฟ้าสวรรค์เดิม ก็คือโลกที่เรามองเห็นอยู่ทุกวันนี้

            และเกิดอะไรขึ้นในวันนั้น พระเยซูกลับมา เราก็จะมาพร้อมพระเยซูคริสต์ มารับคนที่เป็นพี่น้อง ผู้เชื่อที่ยังมีชีวิตอยู่ในขณะนั้น  เข้ามาสู่สวรรค์กับพวกเรา  และพระเจ้าพระบิดาจะทรงสร้างฟ้าใหม่ โลกใหม่ให้พวกเราทั้งหมด ที่เป็นธรรมิกชน ลูกๆ ของพระองค์ ที่มีชื่อจดอยู่ในหนังสือแห่งชีวิต ได้อาศัยอยู่ร่วมกันกับพระองค์ชั่วนิรันดร์ นี่คือย่อๆ คร่าวๆ ว่าขั้นตอนเป็นอย่างไร? ท่านสามารถฟังหรืออ่านคำบรรยาย ที่ผมได้อธิบายอย่างละเอียด ในเรื่องนี้ ในคำบรรยายที่ชื่อเรื่องว่า “อะไรเกิดขึ้น เมื่อวิญญาณออกจากร่าง” ตอน 1 และตอน 2 เข้าไปที่เว๊บไซด์หรือยูทูปก็ได้ จะมีบอกอย่างละเอียดว่าขั้นตอนเหล่านี้เป็นอย่างไร?  เมื่อท่านได้รู้ จะได้มีความหวังว่าขั้นตอนมันเป็นลักษณะอย่างนี้ แต่เราไม่สามารถเข้าใจได้ละเอียดยิ๊บ เพราะว่ามันเกินกว่าความคิดของมนุษย์ที่จะเข้าใจ  เราสามารถรู้ได้เพียงพอเท่าที่พระเจ้าเปิดเผยให้ทราบเท่านั้น แต่ที่เปิดเผยให้ทราบนั้น ก็เพียงพอแล้ว

            ร่างกายใหม่เป็นอย่างไร? ก็พอรู้แล้ว ที่อธิบายไปแล้ว ตั้งแต่คำบรรยายครั้งที่แล้ว สรุป คือร่างกายที่เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์นั่นเอง

            วันนี้มาดูว่าที่เราจะอาศัยอยู่กับพระเจ้าในโลกใหม่เป็นเช่นใด? โลกใหม่ ฟ้าใหม่ เป็นอย่างไร? อัศจรรย์เกิดขึ้นทันที แค่เปิดใจเท่านั้นจริงๆ

            พระเยซูบอกว่า … “เราพูดความจริง เราไม่ได้พูดโกหก เราบอกว่าแค่วางใจในเรา เปิดใจต้อนรับเราเท่านั้นเอง อัศจรรย์เกิดขึ้นทันที  แค่เปิดใจเท่านั้นจริงๆ”

            อย่างที่ 9 ก็คือในโลกหน้า จะได้อาศัยอยู่กับพระเจ้า ในฟ้าใหม่ โลกใหม่ ด้วยร่างกายใหม่นิรันดร์ เป้าหมายสุดท้ายของเราผู้เชื่อ ผู้ที่เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดแล้ว ก็คือเราเฝ้ารอคอย จ้องตาไม่กระพริบ รอคอยร่างกายใหม่ และฟ้าใหม่ โลกใหม่  บ้านของเรานั่นเอง สรุปว่าเราเฝ้ารอคอย จ้องไปที่ร่างกายใหม่ที่เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์ ที่เราจะได้รับ หลังความตาย และจะอยู่ในโลกใหม่ ฟ้าใหม่ คงไม่มีใครไม่ทราบว่าโลกเก่า ฟ้าเก่าที่เรากำลังดำเนินชีวิตอยู่บนโลกนี้ มันแย่ลงทุกวันๆ ทั้งควัน ทั้งโพลูชั่น ความเสียหายยับเยินอะไรต่างๆ  ไม่มีใครอยากจะอยู่หรอก แต่ไม่รู้จะทำอย่างไร?  ก็จำเป็นต้องอยู่ แต่ถ้ามีที่ไปใหม่ ไม่มีใครอยากอยู่หรอก แม้ว่าจะอยากไปอยู่ที่ต่างจังหวัดที่ดีกว่า ยังมีความคิดว่าอยากจะย้ายไปอยู่ที่จังหวัด ที่มันมีอากาศดีๆ มีความสงบสุข แล้วมีไหมล่ะ? ไม่มีโจร ไม่มีขโมย มีไหม? ไม่มีความทุกข์ ไม่มีโรคภัยไข้เจ็บ มีไหม? ไม่มี ไม่รู้จะไปไหน? วิวรณ์ 21:1-8 บอกเราคร่าวๆ ถึงฟ้าใหม่ โลกใหม่ว่าเป็นลักษณะอย่างไร? เราลองอ่านดู …

        วิวรณ์ 21:1-8 “1 และข้าพเจ้าเห็นฟ้าใหม่และโลกใหม่ เพราะฟ้าเดิมและโลกเดิมได้ดับสูญไปแล้ว ทะเลก็ไม่มีอีกแล้ว  2 ข้าพเจ้าเห็นนครบริสุทธิ์ คือเยรูซาเล็มใหม่ ที่พระเจ้าทรงให้เลื่อนลอยลงมาจากสวรรค์ นครนี้ได้รับการตระเตรียมไว้ เหมือนเจ้าสาวแต่งกายงดงาม รอรับผู้เป็นสามี 3 และข้าพเจ้าได้ยินเสียงดังมาจากพระที่นั่งว่า “บัดนี้ ที่ประทับของพระเจ้า มาอยู่กับมนุษย์แล้ว พระองค์จะสถิตกับพวกเขา เขาทั้งหลายจะเป็นประชากรของพระองค์ และพระเจ้าเอง จะทรงอยู่กับพวกเขาและเป็นพระเจ้าของพวกเขา 4 พระองค์จะทรงซับน้ำตาทุกๆ หยดของพวกเขา จะไม่มีความตาย หรือการคร่ำครวญ หรือการร่ำไห้ หรือความเจ็บปวดรวดร้าวอีกต่อไป เพราะระบบเก่า ได้ผ่านพ้นไปแล้ว” 5 พระองค์ผู้ประทับบนพระที่นั่งนั้น ตรัสว่า “เรากำลังสร้างสรรพสิ่งขึ้นใหม่” และตรัสอีกว่า “จงเขียนสิ่งนี้ลงไป เพราะข้อความเหล่านี้เที่ยงแท้ และเชื่อถือได้” 6 พระองค์ตรัสกับข้าพเจ้าว่า “สำเร็จแล้ว เรา คืออัลฟาและโอเมกา เป็นปฐมและอวสาน ผู้ใดกระหาย เราจะให้ผู้นั้น ดื่มจากธารน้ำพุแห่งชีวิตโดยไม่ต้องเสียอะไรเลย 7 ผู้ที่มีชัยชนะ จะได้รับทั้งหมดนี้เป็นกรรมสิทธิ์ เราจะเป็นพระเจ้าของเขา และเขาจะเป็นบุตรของเรา 8 ส่วนคนขี้ขลาดตาขาว คนที่ไม่เชื่อ คนชั่วช้า ฆาตกร คนผิดศีลธรรมทางเพศ คนใช้คาถาอาคม คนกราบไหว้รูปเคารพ และคนทั้งปวงที่พูดโกหก ที่ของเขา คือบึงไฟกำมะถันลุกโชน นั่นคือความตายครั้งที่สอง”

            “ข้าพเจ้าเห็นฟ้าใหม่และโลกใหม่ เพราะฟ้าเดิมและโลกเดิมได้ดับสูญไปแล้ว ทะเลก็ไม่มีอีก” ข้อ 1 บอกไว้อย่างนี้

            นึกถึงถ้อยคำของพระเยซูคริสต์ ตอนที่เดินอยู่บนโลกใบนี้  พูดถึงเรื่องการกลับมาใหม่ ในมัทธิว 24:35 พระองค์ตรัสว่า …

        มัทธิว 24:35 “ฟ้าและดินจะสูญสิ้นไป แต่ถ้อยคำของเรา ไม่มีวันสูญสิ้น”

            ถ้อยคำของพระองค์ คือถ้าใครเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ วางใจในพระองค์ เขาจะได้รับความรอดจากการพิพากษาลงโทษ  และความจริง ก็คือพระองค์บอกว่า … “ฟ้าและดินจะสูญสิ้นไป” แสดงว่ามันสูญสิ้นจริงๆ  มีความเชื่อหลายความเชื่อบอกว่าฟ้าและดิน ก็คือโลกใบนี้จะไม่มีสูญสิ้นหรอก มันจะอยู่ไปอย่างนี้ มันจะพัฒนา แต่นี่คำพูดของพระเยซูชัดเจน “ฟ้าและดินจะสูญสิ้นไป” และตะกี้ที่เราอ่านบอกว่า … “ฟ้าและดินจะสูญสิ้นไป แต่พระองค์จะทรงสร้างฟ้าใหม่ และโลกใหม่” สร้างใหม่นะ ไม่ใช่ไปปรับปรุงใหม่ ไม่มีการปรับปรุง เพราะฉะนั้น วันหนึ่ง โลกใบนี้จะสูญสิ้นไป จะค่อยๆ เสื่อมไปเรื่อยๆ เหมือนแตงโมที่ติดเชื้อแบคทีเรีย เน่า จุดเดียว เมื่อหลายพันปีก่อน เมื่อสมัยอาดัม บรรพบุรุษของเรา เอาบาปและคำสาปแช่งเข้ามา โลกใบนี้ติดเชื้อแล้ว มันค่อยๆ เน่าขึ้นๆ แล้วในวันหนึ่งมันก็จะเละตุ้มเป๊ะเลย จะไม่เหลือ เห็นแตงโมใบนี้อีกแล้ว แต่พระเจ้าเตรียมแตงโมใบใหม่ให้ นี่นึกถึงภาพง่ายๆ

            ใน 2 เปโตร 3:10-13 เปโตรก็ได้พูดในลักษณะเช่นเดียวกันนี้ ย้ำอย่างชัดเจนว่าโลกใบนี้ ฟ้าเดิม โลกเดิมจะสูญสิ้นไป ลักษณะละเอียดขึ้นอย่างไร? เราลองอ่านดูนะ …

        2 เปโตร 3:10-13  “10 กระนั้น วันแห่งองค์พระผู้เป็นเจ้าจะมาเหมือนขโมย ที่ลอบเข้ามา โดยไม่มีใครคาดคิด ฟ้าสวรรค์จะหายวับไป ด้วยเสียงกัมปนาท และโลกธาตุทั้งหลาย จะถูกไฟเผาทำลาย นั่นคือแผ่นดินโลกกับสรรพสิ่งในนั้น จะถูกทำลายสิ้น 11 ในเมื่อทุกสิ่งจะถูกทำลายลงเช่นนี้ พวกท่านควรจะเป็นคนแบบไหน พวกท่านควรดำเนินชีวิตอย่างบริสุทธิ์ และอยู่ในทางพระเจ้า 12 ขณะที่พวกท่านเฝ้ารอและเร่งวันแห่งพระเจ้าให้มาโดยเร็ว วันนั้น ฟ้าสวรรค์จะล่มสลายด้วยไฟ และโลกธาตุต่างๆ จะหลอมละลายในความร้อน 13 แต่ด้วยการยึดมั่น ในพระสัญญาของพระองค์ พวกเรากำลังเฝ้ารอฟ้าสวรรค์ใหม่และโลกใหม่ ซึ่งเป็นที่พำนักของความชอบธรรม”

            เปาโลก็ยืนยันตามนี้ว่าทุกคนเฝ้ารอฟ้าสวรรค์ใหม่ โลกใหม่และร่างกายใหม่ ที่เป็นเหมือนพระเยซู โลกใบนี้จะสิ้นสุดลง และสรรพสิ่งบนโลกใบนี้จะสิ้นสุดลงด้วยการทำลายล้างครั้งยิ่งใหญ่ มโหฬารด้วยไฟ นักวิทยาศาสตร์ก็รู้แล้วว่าโลกใบนี้ มันค่อยๆ ถูกเผาไหม้มากขึ้นไปทุกวันๆ  เราไม่ต้องเรียนรู้รายละเอียด แต่เรารู้ว่ามันเป็นอย่างนั้นจริงๆ นี่เขาเขียนมา 2,000 ปีแล้ว ขณะที่เขียนยังไม่ได้ปรากฏให้เห็นถึงความพินาศของโลกใบนี้ชัดเจนนัก แต่ผ่านมา 2,000 ปีเราเห็นชัดเจน ไม่ว่าแผ่นดินไหว ภูเขาไฟระเบิด การเปลี่ยนแปลงของระบบอากาศบนโลกใบนี้ น้ำท่วมอะไรต่างๆ เหล่านั้น บรรยากาศของธรรมชาติต่างๆ เสียหายมากมายไปหมดเลย ใช่ด้วยน้ำมือมนุษย์ด้วย  และด้วยคำสาป ที่บอกไว้แล้วว่าโลกนี้จะต้องสิ้นสุด ถ้าไม่มีการสิ้นสุดลงของโลกใบนี้ ก็ไม่มีโลกใหม่ ฟ้าใหม่เกิดขึ้น

            เราจะมาดูคำว่า “โลกใหม่” “ฟ้าใหม่” บางฉบับเขา แปลว่าฟ้าสวรรค์ โลกใหม่ พระองค์จะทรงสร้างสวรรค์ใหม่ ท่านคิดดูว่าใช่ไหม? สร้างสวรรค์ใหม่ หมายถึงที่ผมเคยอธิบายให้ฟังว่าฟ้าสวรรค์ หมายถึงฟ้านั่นเอง แต่ใช้คำเดียวกัน ก็คือมองที่เบื้องบน เรียกว่า “ฟ้า” “ท้องฟ้า” คำนี้ ภาษาเดิม หมายถึงท้องฟ้าสวรรค์ คือมองไปที่เบื้องบน สวรรค์ แปลว่าเบื้องบน  แต่คำว่า “สวรรค์” ที่พระเจ้าสถิตอยู่นั้น  เป็นสวรรค์โลกฝ่ายวิญญาณ เราเรียกว่าสวรรค์ ใช้คำเดียวกัน แต่หมายถึงสวรรค์ โลกฝ่ายวิญญาณ ที่พระเจ้าประทับอยู่

            เพราะฉะนั้น คำว่า “สวรรค์” โลกฝ่ายวิญญาณ พระเจ้าประทับอยู่นั้น มีเปลี่ยนแปลงไหม? พระองค์ทรงประทับอยู่ที่พระที่นั่งของพระองค์ พระที่นั่งของพระองค์ ดำรงอยู่เป็นนิตย์ เป็นนิจนิรันดร์ ไปตลอดกาล ไม่มีวันเปลี่ยนแปลง “พระที่นั่งของพระองค์” ก็คือสวรรค์ของพระเจ้า สวรรค์ของพระเจ้ามีที่แห่งเดียว  ก่อนสรรพสิ่งทั้งหลาย ก่อนจะสร้างทั้งหมด ก็มีพระที่นั่งของพระเจ้า  ก็มีบัลลังก์ของพระเจ้า ก็คือสวรรค์ ที่อยู่ของพระเจ้าแล้ว ก่อนสรรพสิ่งทั้งหลาย  ก่อนทุกอย่าง พระองค์ทรงอยู่ พระบิดา พระบุตร พระวิญญาณทรงอยู่ นั่นแหละ เรียกว่าสวรรค์ แล้วมันจะมีการเปลี่ยนแปลงไหม? มันไม่มีทางเปลี่ยนแปลง มันเป็นอย่างไร ก็เป็นอย่างนั้นตลอดไป

            เพราะฉะนั้น คำว่า “ฟ้าใหม่ และโลกใหม่” หมายถึงฟ้าที่เรามองจากบนดินนี้ มองขึ้นไปบนฟ้า เราเห็นนก เห็นเครื่องบิน ตรงนี้ เรียกว่าฟ้าชั้นที่ 1 นักวิทยาศาสตร์ก็รู้ว่าหมายถึงอะไร? ชั้นบรรยากาศชั้นที่ 1 ชั้นบรรยากาศชั้นที่ 2 คือเลยออกจากที่เครื่องบิน ที่เรามองเห็น หลุดสายตาไป มีสิ่งที่พระองค์ทรงสร้างอยู่ไหม? มี แต่เราเห็นไหม? ไม่เห็น แต่เราส่งยานอวกาศออกไป เห็นไหม? เห็น มีอยู่จริงๆ ตรงนี้เรียกว่า “ฟ้าชั้นที่ 2”  หรือภาษาที่เขาแปลเขาเรียกว่าฟ้าสวรรค์ ชั้นที่ 2 เป็นสวรรค์ ชั้นที่ 2 จริงๆ ก็คือฟ้า ก็คือโลกใบนี้นั่นเอง  แล้วหลุดจากฟ้าชั้นที่ 2  ไป ทะลุออกไปเลย  ก็คือไม่มีสรรพสิ่งที่พระองค์ทรงสร้างแล้ว จบแล้ว  ฟ้าชั้นที่ 2 ก็คือดวงดาวต่างๆ ใช่ไหม? ก็คือมหาจักรวาล ระบบสุริยะจักรวาล ที่ตามนุษย์มองไม่เห็น ไม่รู้ มันเยอะมากมาย  รู้แค่นี้เอง มนุษย์ค้นพบแค่นี้เอง  เพราะฉะนั้น เลยจากนั้นไป ไม่มีอะไรแล้ว เลยจากนั้นไป เขาเรียกว่าโลกวิญญาณ ซึ่งมนุษย์ก็อุปโลกน์ว่าในโลกวิญญาณนั้น  เป็นที่อยู่ของพระเจ้า คือฟ้าสวรรค์เบื้องบน สูงกว่าที่ตามองเห็น คือชั้นที่ 1 ตามองเห็น ฟ้าที่ 2 มองเห็นบ้างนิดหน่อย  ก็คือเห็นดวงดาวแว๊บๆ แต่เลยจากดวงดาวที่เรามองเห็นมีอีกไหม? มี มีอีกเยอะแยะ แต่ใช้กล้องจุลทรรศน์ ใช้กล้องส่องทางไกลดู ยังเห็นไหม? ยังพอเห็น  เลยจากกล้องจุลทรรศน์ กล้องส่องทางไกล ยังมีอีกไหม? มีอีก แล้วเห็นไหม? ไม่เห็น นั่นเลยไปไม่รู้อีกเท่าไร? เรียกว่าฟ้าชั้นที่ 2 ถ้าฟ้าชั้นที่ 3 ไม่มีแล้ว ที่ว่าก็คือสวรรค์ โลกฝ่ายวิญญาณ ซึ่งหมายถึงสวรรค์ของพระเจ้า ที่เราจะไปอยู่นั่นแหละ อยู่ตรงนี้

            เพราะฉะนั้น ฟ้าเดิมและโลกเดิมจะสูญสิ้นไป หมายถึงโลกใบนี้ คำว่าโลกใบนี้ คำนี้คำเดียว ในพระคัมภีร์ไบเบิ้ลบอกว่าพระองค์ทรงสร้างโลก  หมายถึงโลกบนดินที่เราเดินอยู่บนนี้ 1  รวมทั้งฟ้าชั้นที่ 1 ชั้นบรรยากาศที่มองขึ้นไป มีอวกาศ แล้วฟ้าชั้นที่ 2 หลุดจากบรรยากาศชั้นที่ 1 ไป สู่อวกาศเบื้องลึกขึ้นไป ตรงนี้รวมแล้วเรียกว่าโลก  โลกประกอบไปด้วยต้นไม้ ใบหญ้า มนุษย์ สัตว์ โลกใบนี้ใช่ไหม?  และรวมถึงนกที่บินอยู่ใช่ไหม? แล้วรวมไปถึงออกซิเจนต่างๆ เหล่านั้น  และรวมไปถึงดวงดาวต่างๆ

            คำว่า “ดวงดาวต่างๆ” ก็คือทั้งที่มองเห็น และมองไม่เห็น แต่มันมีอยู่จริง นั่นแหละ เรียกว่าโลก เพราะฉะนั้น โลกจะถูกทำลายลง ฟ้าจะถูกทำลายลง จะสูญสิ้นไป หมายถึงตรงนี้ ต้องเข้าใจ ตรงนี้ก่อน มันถึงจะเห็นชัดเจนว่าฟ้าใหม่และโลกใหม่มันคืออะไร? เพราะฉะนั้น ฟ้าใหม่และโลกใหม่มาแทนที่ มันก็คือโลกที่จับต้องมองเห็นได้อย่างนี้ มีต้นไม้ มีสัตว์ แล้วเราก็เดินอยู่บนโลกใบนี้ แล้วก็โลกใหม่แล้วนะ เพราะฉะนั้น อะไรต่างๆ ที่อยู่บนโลกนี้จะใหม่หมด นึกภาพออกนะ แล้วอะไรใหม่อีก ฟ้าใหม่ ก็แสดงว่าจากโลก มองไปชั้นบรรยากาศ ชั้นที่ 1 ใหม่ ไม่มี PM 2.5 ไม่มีมลพิษใดๆ ยังเห็นนกบิน ฟ้าชั้นที่ 1 บรรยากาศใหม่ ฟ้าชั้นที่ 2 หลุดไป เจอดวงดาวอะไรต่างๆ ไม่รู้ แต่รู้ว่ามีด้วย เพราะว่าในนี้เขียนเอาไว้ว่าฟ้าใหม่และโลกใหม่ นี่พยายามจะอธิบายช้าๆ วนไปวนมา พยายามให้เข้าใจ แล้วผมก็ไม่รู้ว่าเข้าใจได้แค่ไหน? แต่ให้ท่านจินตนาการและคิดไปตามถ้อยคำพระเจ้า ท่านจะเข้าใจมากขึ้น แล้วจะชื่นชมยินดีมากยิ่งขึ้น และมีกำลังใจในการมีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ มีเป้าหมายที่ชัดเจนว่าเราอยู่เพื่ออะไร? อะไรคือความหวังของเรา ขณะที่กำลังมีมลพิษอย่างมากมาย  ไปไหนก็มีมลพิษ ทั้งมลพิษที่เป็นฝุ่นละออง และมลพิษที่เป็นเชื้อโรคต่างๆ เยอะแยะมากมายไปหมด ที่มีอยู่จริงๆ แต่เรามองไม่เห็น แต่วันหนึ่ง เราจะอยู่ในโลกที่ไม่มีมลพิษเลย ฟ้าใหม่ โลกใหม่

            ฉะนั้น ใน 2 เปโตรที่เราอ่าน จึงบอกว่าพวกเรากำลังเฝ้ารอฟ้าสวรรค์ใหม่และโลกใหม่ ซึ่งเป็นที่พำนักของผู้ชอบธรรม ใครเป็นผู้ชอบธรรมยกมือขึ้น ผู้ที่เชื่อในพระเยซู ที่เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอด  เขาจะถูกนับเป็นผู้ชอบธรรม บริสุทธิ์ ดีพร้อม เหมือนพระเยซูคริสต์ นี่คืออย่างนั้น

            คราวนี้บางคนก็ถามแบบไม่เข้าใจ  แล้วก็อยากรู้ว่ารอยต่อระหว่างฟ้าสวรรค์เดิมและโลกเดิมกับฟ้าสวรรค์ใหม่และโลกใหม่ มันเป็นเช่นไร? ฟ้าเดิมและโลกเดิมจะสูญไป ฟ้าใหม่และโลกใหม่จะมาแทนที่ ตราบใดที่โลกเดิมยังอยู่ จะไม่มีโลกใหม่มาแทนที่ โลกใหม่จะแทนที่เมื่อวันหนึ่งที่โลกเดิมสูญสิ้นไป พระองค์จะทรงเปลี่ยนโลกใบนี้ใหม่ เป็นโลกใหม่ เพราะฉะนั้น ขณะที่รออยู่ทำอย่างไร? ถูกไหม? แล้วคนที่จากไปแล้ว จะอยู่อย่างไร? แล้วตอนนี้อยู่ที่ไหน? ที่ตะกี้บอกเราอยู่ที่เมืองบรมสุขเกษม แล้วเป็นเช่นไร? เป็นอย่างไร? แล้วจะไปอยู่อย่างไร? ในเมื่อโลกใหม่ยังไม่ได้สร้างขึ้น คิดไหม? แล้วสมมติว่าเราจากไปวันนี้ พระเยซูกลับมารับเรา เราเห็นพระเยซูคริสต์หน้าต่อหน้า  แล้วพระคัมภีร์บอกว่าเราจะได้ไปอยู่ในสวรรค์ที่เรียกว่าเมืองบรมสุขเกษมกับพระองค์ กับธรรมิกชนทั้งหลาย โลกใหม่ไม่มี ฟ้าใหม่ก็ไม่มี แล้วมันอยู่ตรงไหน? คำตอบสั้นๆ ก็คือ … “ไม่รู้”

            แต่จริงๆ แล้วคำตอบสั้น คือ … “มิติที่มีเวลากำหนด” คือโลกใบนี้กำลังเดินอยู่ กำลังมีชีวิตอยู่ กำลังดำเนินอยู่ ยังไม่สิ้นสุดไป มันมีมิติของกำหนดเวลาอยู่ มีดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ มีน้ำขึ้นน้ำลง มีกำหนดเวลาของวันและคืนอยู่มันนับได้  เรียกว่ามิติของโลกใบนี้ มันต่างกับมิติในโลกสวรรค์ที่ไม่มีกำหนด ไม่มีเวลา แล้วมิติวิญญาณที่ไม่มีกำหนด ไม่มีเวลานี้ อยู่ที่ไหน?  ก็อยู่ในสวรรค์ที่ตะกี้นี้บอกไง เลยทะลุออกไปจากมหาจักรวาลที่มีดวงดาว ที่เป็นที่อยู่ของพระเจ้า ที่เรียกว่าสวรรค์ ถูกไหม?

            ในพระคัมภีร์ใช้ชื่อว่าสวรรค์ชั้นที่ 3 หมายถึงในมุมมอง ไปข้างบน หลุดออกไปจากมหาจักรวาลแล้ว ซึ่งเรียกว่าชั้นที่ 2 แล้ว  เป็นที่อยู่ของพระเจ้าแล้ว จึงใช้ชื่อว่าสวรรค์ชั้นที่ 3

            ในสวรรค์ชั้นที่ 3 ที่พระเจ้าสถิตอยู่นั้น และที่เราจากโลกนี้ไป แล้วไปอยู่นั้น ที่บอกว่าเมืองบรมสุขเกษมเอย ที่บอกว่าเป็นพาราไดซ์เอย ไปอยู่กับพระเยซูเอย เห็นหน้าพระเยซู ไปอยู่กับธรรมิกชน ที่เชื่อในพระเจ้า จากเราไปก่อน ไปอยู่ที่นั่นแล้ว  เราจากโลกนี้ไป เราก็ไปเจอกับเขา ที่เมืองบรมสุขเกษม ที่อยู่ในสวรรคสถานนี้  สวรรค์ที่พระเจ้าประทับอยู่นี้ ไม่มีกำหนด ไม่มีเวลา พระบัลลังก์ของพระเจ้า การทรงสถิตของพระเจ้า  ที่ประทับของพระเจ้า อยู่มาก่อน ตั้งแต่สิ่งทั้งปวงที่พระองค์ทรงสร้าง ไม่มีการเปลี่ยนแปลง เป็นบัลลังก์นิรันดร์ สวรรค์นิรันดร์ เพราะฉะนั้น มันจึงไม่มีมิติเวลามากำหนดว่าต่างกันอย่างไร? เพราะเราคิดตามภาษามนุษย์ว่ามันต่างกันอย่างไร? ว่าโลกใหม่จะสร้างเมื่อไร? และช่วงรอยต่อระหว่างโลกใหม่ยังไม่ได้สร้าง แล้วเราจะไปอยู่ที่ไหน? ก็เขาอยู่ในสวรรค์ไง ก็เราอยู่ในสวรรค์กับพระเจ้า จะอยู่กี่ปี? พันปี สองพันปี สามพันปี  ก่อนพระเยซูคริสต์กลับมา ไม่รู้กี่ปี? มันไม่มีเวลากำหนด แล้วจะไปนั่งนับได้อย่างไร? ส่วนบนโลกใบนี้ ก็คิดกันใหญ่เลย ต้องรอพันปี ต้องรอสองพันปี สามพันปี แต่โดยความเชื่อส่วนตัวของผม ด้วยเหตุผลเหล่านี้ ผมเห็นชัดเจนเลยว่าเมื่อเราจากโลกนี้ไป หลุดออกจากมิติที่มีเวลาแล้ว หลุดเข้าไปอยู่ในโลกฝ่ายวิญญาณ ไม่มีเวลาแล้ว จะมากำหนดไม่ได้ว่าพันปี สองพันปี สามพันปี จะไปรออีกกี่ปี กว่าโลกใหม่จะได้สร้าง มันไม่มีเวลาแล้ว มันก็คือเข้าไปอยู่ในมิติของฝ่ายวิญญาณ ในสวรรคสถาน ที่ไม่มีกำหนดเวลา งงไหม? งง ผมจึงบอกว่าคำตอบแรกๆ ไม่รู้ กลับไปคิดดูตามเหตุผลแล้วกัน

            และพระเจ้าผู้ทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งหลาย ทั้งหมด  ตามที่เราเห็นทุกวันนี้ อะไรที่ทรงสร้าง สิ่งที่เรามองเห็นอยู่ทุกวันนี้ และสิ่งต่างๆ ที่พระองค์ทรงสร้างอีกเยอะแยะบนโลกใบนี้ โลกเดิมนี่แหละ ที่เรามองไม่เห็น ที่มันมีอยู่จริงๆ ทั้งดวงดาว ทั้งสัตว์ตัวเล็กๆ ไวรัสอะไรต่างๆ เหล่านี้  เราไม่เห็น แต่มันมีอยู่จริงๆ ค้นพบไปเรื่อยๆ

            พระองค์ทรงสร้างสรรพสิ่งเหล่านี้ ผ่านทางพระเยซูคริสต์ พระองค์สามารถที่จะควบคุมและกระทำสิ่งเหล่านี้ได้ อย่างแน่นอน สิ่งที่ผมเล่าตะกี้นี้ทั้งหมด มันเกินกว่าปัญญาของมนุษย์ที่จะเข้าใจได้ และเกินกว่าความรับรู้ของมนุษย์ที่จะเข้าใจได้  เราได้รู้แค่พอสังเขป นิดๆ หน่อยๆ ตามที่พระเจ้าทรงเปิดเผยให้เราได้รู้ โดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ ที่สถิตอยู่ภายในเรา ซึ่งเท่านี้จริงๆ พอแล้ว

            ยกตัวอย่างเช่น เปิดเผยให้เรารู้ว่ามันจะมีฟ้าใหม่ โลกใหม่ ที่พระเจ้าจะทรงสร้างขึ้นใหม่ เตรียมไว้ให้กับเราเข้าไปอยู่อาศัย ในฐานะลูกของพระเจ้า ในพระเยซูคริสต์ ที่เป็นฟ้าใหม่ โลกใหม่ที่ดียอดเยี่ยม เป็นเลิศ สุดจะพรรณนาได้ แปลว่าไม่มีวันที่จะอธิบาย ฟังเข้าใจได้ แต่เรารู้อยู่ในใจว่ามันดียอดเยี่ยม แค่นั้น ก็เป็นพรแล้ว

            จะเป็นโลกใหม่ ฟ้าใหม่ ไม่อยากจะบอกว่าฟ้าสวรรค์นะ รู้แล้วว่าสวรรค์คืออะไร? เป็นโลกใหม่ ฟ้าใหม่ที่ไม่มีความเศร้าโศกเลย อันนี้พระองค์ทรงบอกแล้ว  คือไม่มีวันไหนเลย  ไม่มีเวลาไหนเลย ไม่มีวินาทีไหนในโลกใหม่นี้ ที่จะมีความเศร้าโศกเลย ตลอดชั่วนิรันดร์กาล  ตลอดไปเลย ไม่มี เอเมนไหม? ไม่มีอะไรที่ทำให้เสียใจอีกแล้ว  ไม่มีอะไรที่ทำให้เกิดความตาย ไม่มีความเจ็บไข้ได้ป่วยเลย ไม่มีความชั่วร้าย  ไม่มีอาชญากรรม อาชญากร ไม่มีฆาตกรรม ฆาตกรเลย ขอบคุณพระเจ้าไม่มีข่าวให้ฟัง ให้อ่านอีกต่อไป ฮาเลลูยา ปรบมือขอบคุณพระเจ้า ทุกวันนี้เราอ่านข่าว เราฟังข่าว มีแต่เรื่องร้ายๆ เรื่องดีๆ เขาไม่เอามาพูดหรอก มีใครฟังบ้างเรื่องดีๆ ไม่มีใครฟัง มีแต่เรื่องร้ายๆ เรื่องทุกข์ทรมาน เรื่องเจ็บไข้ได้ป่วย เรื่องเศร้าโศกเสียใจทั้งสิ้น แต่ก็ขอบคุณพระเจ้า คนอ่านข่าวก็ต้องหางานใหม่ นักหนังสือพิมพ์ก็ต้องหางานใหม่ เป็นโลกที่ไม่มีมารมาล่อลวง  ไม่มีบาป  ไม่มีการขโมย ฆ่า ทำลาย ไม่มีข่าวร้ายๆ มีแต่ความยินดี ชื่นชม สดใส บริสุทธิ์ตลอดเวลา

            ทุกคนในสังคมโลกใหม่นี้  มีแต่คนชอบธรรม บริสุทธิ์ ดีพร้อม เหมือนพระเยซูทั้งวิญญาณ จิตใจ และร่างกาย แม้กระทั่งความคิดก็ดีเหมือนพระเยซูคริสต์ด้วย คิดดูสิ ท่านเดินไปที่ไหน?  ในโลกใหม่นี้ ไปเจอกับใคร? คนเหล่านั้นเป็นลักษณะอย่างนี้ทั้งหมด ไม่มีความคิดหลอกลวง ชั่วร้าย อิจฉาริษยา คดโกง คิดทำลาย เพราะว่าระบบของบาปและมารในโลกเดิมนี้ได้ถูกขจัดออกไปหมดสิ้นแล้ว ไม่มีอีกแล้ว เจอใครก็มีแต่ความจริงใจ ความรัก บริสุทธิ์ใจ ซึ่งในที่นี้ รวมทั้งตัวท่านด้วย เชื่อไหมว่าท่านจะไม่นินทาใครอีกต่อไปแล้ว? เชื่อไหมว่าท่านจะไม่ว่าร้ายใครอีกต่อไปแล้ว? เป็นไปได้หรือ? เชื่อไหมท่านจะไม่ใส่ร้าย นินทา คิดชั่วอีกต่อไป? ท่านนึกในใจตอนนี้ว่ามันเป็นไปได้หรือ? คนอื่นก็เป็นอย่างนี้ด้วยเช่นกัน แล้วสังคมเราจะเป็นเช่นไร? ท่านลองคิดดู มันก็จะเต็มไปด้วยความรักที่สมบูรณ์แบบ เต็มไปด้วยความสดชื่น ในความปลอดภัย ไร้กังวลทุกอย่าง ท่ามกลางการทรงสถิตของพระเจ้า พระองค์เดินท่ามกลางเราตลอดเวลา ไม่ต้องใช้ความเชื่ออีกต่อไป ไม่ต้องใช้ความหวังอีกต่อไป มีแต่ความรักเป็นปัจจุบัน ไปนิรันดร์

            ทุกวันนี้เราอยู่ เรามีความหวัง ใช้ความหวัง ทุกเรื่องเราใช้ความเชื่อ แต่ถึงวันนั้น ไม่ต้องใช้ความเชื่อ เห็นหน้าต่อหน้า ไม่ต้องมีความหวัง เพราะว่าได้รับยืนอยู่ ใช้อยู่แล้ว มีอย่างเดียว ก็คือความรัก เจอกัน มีแต่ความรัก รักแท้ รักแบบอากาเป้ แบบพระเจ้า เป็นของพระเจ้า สิ่งเหล่านี้ เป็นพอสังเขปที่พระเจ้าเปิดเผยให้เราว่าโลกใหม่ ฟ้าใหม่ที่เราจดจ่อ รอคอยที่จะไปอยู่ ที่ทั้งเปาโล เปโตร และพระเยซูคริสต์บอกเราว่ามันเป็นเช่นไร? พอสังเขป มันยากที่จะเข้าใจตามปัญญาของมนุษย์ แต่มันไม่ยากในการจินตนาการ ตามพระวิญญาณบริสุทธิ์ ที่ทรงสถิตอยู่ภายในเรา  และถ้อยคำพระเจ้าที่บันทึกไว้ในพระคัมภีร์ เป็นอย่างนี้จริงๆ เอเมนไหม? พระเยซูบอกว่ามันเป็นอย่างนี้จริงๆ  และพระวิญญาณบริสุทธิ์ก็ยืนยันในใจเราว่ามันเป็นจริงๆ

            ครั้งนี้เราจะจบลงที่วิวรณ์ 21:27 ว่าสิ่งเหล่านี้เราได้มาอย่างไร? เงื่อนไขมีนิดเดียว …

        วิวรณ์ 21:27 “สิ่งใดที่เป็นมลทิน หรือผู้ใดที่ประพฤติเป็นที่น่าสะอิดสะเอียน หรือพูดมุสา จะเข้าไปในนครไม่ได้เลย เฉพาะคนที่มีชื่อจดไว้ในหนังสือชีวิตของพระเมษโปดกเท่านั้น จึงจะเข้าไปได้”

            พูดง่ายๆ ก็คือผู้คนที่ไม่ได้เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอด  ไม่ได้บังเกิดใหม่ บริสุทธิ์ สะอาด เป็นผู้ชอบธรรมแล้วนั้น  ไม่ได้มีชื่อจดอยู่ในหนังสือแห่งชีวิต อยู่ในครอบครัวของพระเยซูคริสต์ตั้งแต่ตอนอยู่บนโลกใบนี้ ตายแล้ว ไม่สามารถเข้าไปอยู่ในสวรรค์ตรงนี้ได้นั่นเอง เฉพาะผู้คนที่มีชื่อจดอยู่ในหนังสือชีวิตของพระเมษโปดกเท่านั้น พระเมษโปดก ก็หมายถึงพระเยซูคริสต์ มีจดไว้ในหนังสือแห่งชีวิตของพระเยซูคริสต์เท่านั้น ถึงจะเข้าไปได้ เพราะฉะนั้น เรามีชื่อจดไว้แล้วหรือยัง? มีแล้ว ชื่อเราจดไว้แล้ว เราเป็นผู้เชื่อคนหนึ่ง เป็นคริสเตียนแล้ว วันที่เราตาย เราจะเข้าไปอยู่ในสวรรค์อย่างนี้แหละ พระเจ้าอวยพรครับ

*******************

จากใจคณะศิษยาภิบาล

            ถ้าท่านเปิดใจต้อนรับพระคริสต์ เข้ามาในชีวิตท่านแล้ว จงเชื่อและวางใจในพระคริสต์ ผู้สถิตอยู่ในท่าน

            ฮีบรู 13:5 … “จงพอใจในทุกสิ่ง ทุกสถานการณ์ ที่มีอยู่ และเป็นอยู่ ในขณะนี้ (ทั้งในโลกวิญญาณ และโลกวัตถุนี้ จงเชื่อ และวางใจในพระเจ้า)  เพราะพระเจ้า ได้ตรัสว่า “เราจะไม่มีวันทอดทิ้งเจ้า  (เหมือนเป็นลูกกำพร้า) เราจะไม่มีวันละทิ้งเจ้า (ปล่อยให้อยู่ตามลำพัง) เราจะไม่ทำให้เจ้าต้องผิดหวัง อย่างแน่นอน”

            พระเจ้าตรัสว่าพระองค์จะไม่ละเราให้อยู่ลำพัง ไม่ทอดทิ้งเราให้เป็นลูกกำพร้า เมื่อก่อนเราเป็นคนบาป ไม่มีพระเจ้า แต่ตอนนี้เราเป็นลูกของพระเจ้าแล้ว พระองค์จะไม่ทอดทิ้ง พระองค์จะดูแล เอาใจใส่ ประคับประคองเรา ดังนั้น ให้เราพอใจ คือมีความสุขได้ เพราะว่าพระคริสต์สถิตอยู่ในฉัน ฉันพอใจแล้ว ฉันได้รับเรียบร้อยแล้ว เพียงแต่รออีกแป๊บนึง ชั่วขณะเดียวเท่านั้นเอง ที่จะอดทนรอคอย ที่จะได้รับพระเกียรติสิริร่วมกับพระเยซูคริสต์อย่างครบถ้วนบริบูรณ์นั่นเอง

            ให้เราดำเนินชีวิต ด้วยการตระหนัก และระลึกอยู่เสมอว่า …

            “พระคริสต์สถิตในฉัน เป็นความหวังที่จะได้รับเกียรติสิริร่วมกับพระองค์ เมื่อฉันจากโลกนี้ไปแล้ว”

            “พระคริสต์สถิตในฉัน จะนำพาฉัน ผ่านทุกๆ สถานการณ์บนโลกใบนี้”

            “พระคริสต์สถิตในฉัน ฉันจะไม่กลัว”

            “พระคริสต์สถิตในฉัน ฉันจะไม่วิตกกังวลในเรื่องใดๆ เลย”

            “พระคริสต์สถิตในฉัน ฉันจึงสามารถมีความสุข และมีความชื่นชมยินดี ภายในจิตใจได้อยู่เสมอ”

            ขอบคุณพระเจ้า ขอบคุณพระเยซู พระเจ้าอวยพรครับ