คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 7 พฤษภาคม 2023
เรื่อง “หนังสือเอเฟซัส” ตอน 25
โดย วราพร คงล้วน
วันนี้เรามาต่อในพระธรรมเอเฟซัส 4:1 บอกว่า …
เอเฟซัส 4:1 “ฉะนั้น ข้าพเจ้าผู้เป็นนักโทษ เพื่อองค์พระผู้เป็นเจ้า จึงขอให้ท่านดำเนินชีวิตให้สมกับการทรงเรียกที่ท่านได้รับ”
ตรงนี้อาจารย์เปาโลเป็นผู้พูด … “ฉะนั้น ข้าพเจ้าผู้เป็นนักโทษ เพื่อองค์พระผู้เป็นเจ้า” ทำไมอาจารย์เปาโลต้องเป็นนักโทษ เพื่อองค์พระผู้เป็นเจ้า ตอนที่อาจารย์เปาโลเขียนจดหมายฉบับนี้ ติดคุกอยู่ แต่ว่าเขียนออกมาหนุนใจ ผู้เชื่อในคริสตจักรเอเฟซัส ซึ่งผู้เชื่อเหล่านี้เป็นคนต่างชาติ และอาจารย์เปาโลถูกเรียกมาให้เป็นผู้ประกาศกับคนต่างชาติ ก็เลยถูกข่มเหงเยอะเป็นพิเศษ เพราะคนยิวไม่พอใจมาก เพราะคนยิวถือว่าเขาเป็นชนชาติของพระเจ้า เขาเป็นกลุ่มคน กลุ่มเดียวที่สามารถที่จะเข้าหาพระเจ้าได้
คนต่างชาติพวกนี้ จะมาเป็นหนึ่งเดียวกันกับเขาได้อย่างไร? มันเป็นไปไม่ได้ เปาโลประกาศอย่างนี้ เลยถูกไล่ล่าทุกอย่างเลย ถ้าพี่น้องไปอ่านหนังสือกิจการ พี่น้องจะเห็นว่าอาจารย์เปาโลถูกตี ถูกเฆี่ยน ถูกจับติดคุก ถูกล่ามโซ่ ถูกทุกอย่าง แต่อาจารย์เปาโลบอกว่าโซ่ตรวนที่พวกยิวล่ามเขาอยู่ ก็ไม่สามารถล่ามข่าวประเสริฐของพระเจ้าให้กระจายออกไป ถึงผู้คนมากมายได้
อาจารย์เปาโลบอกกับคนเอเฟซัสว่าจริงๆ ที่เขาเป็นนักโทษ เพราะเขาประกาศข่าวประเสริฐ เรื่องของพระเยซูคริสต์ให้กับพวกเธอฟังนั่นแหละ เลยเป็นต้นเหตุทำให้ถูกจับไปเป็นนักโทษ อาจารย์เปาโลจะพูดตลอดเวลาว่าความรอด เกิดขึ้นจากพระคุณ ไม่ใช่ผลของการประพฤติ ฉะนั้น มนุษย์ไม่สามารถทำให้ตัวเองได้รับความรอดได้ ทำดีไปเถอะ ทำให้ตาย ก็รอดไม่ได้ ถ้าวิญญาณข้างในยังเป็นบาปอยู่ ฉะนั้น เราจำเป็นต้องมาเปลี่ยนวิญญาณ
แล้วคนเอเฟซัสตอนนี้ พวกคนต่างชาติ ในเมืองนี้ เขาได้เปลี่ยนวิญญาณแล้ว ก็คือมาอยู่ในพระเยซูคริสต์เรียบร้อยไปแล้ว ฉะนั้น อาจารย์เปาโลก็เลยหนุนใจว่าเมื่อท่านได้รับพระคุณ แบบนี้แล้ว โดยที่ไม่ต้องเสียอะไรเลย รับมาฟรีๆ เลย พระเจ้าไม่ได้มาเรียกร้อง เก็บเงินท่าน มาซื้อความรอดนะ ถ้าเธอมีตังค์ เอามาสัก 5 ล้าน 10 ล้าน 100 ล้าน แล้วเธอจะได้รับความรอดไป ไม่มีนะ พระเจ้าบอกว่าให้ฟรีๆ พอได้รับสิ่งสารพัดเหล่านี้ปุ๊บ อาจารย์เปาโลก็เลยบอกว่า …
“ขอให้ท่านดำเนินชีวิตให้สมกับการทรงเรียกที่ท่านได้รับ เมื่อได้รับพระคุณแล้ว”
พระคุณมาตรงไหน? มาเป็นแพ็คเกจเลย พอเราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เราบัพติศมาในพระวิญญาณปุ๊บ พระเจ้าได้เปลี่ยนใจใหม่ เปลี่ยนวิญญาณใหม่ พระเจ้าใส่ความรักลงมาในชีวิตของเรา ใส่ความดีงาม เรากลายเป็น
ผู้เชื่อทุกคนเกิดมาเป็น เมื่อบังเกิดใหม่ปุ๊บ เกิดมาเป็นความรัก เกิดมาเป็นความดีงาม เหมือนพระเจ้าเลย เป็นผู้ชอบธรรม เป็นนะ ไม่ใช่มี เป็นเลย ไม่ว่าเราจะรู้สึกว่าเป็นหรือไม่เป็น แต่พระคัมภีร์บอกเธอเป็นแล้ว ในโลกวิญญาณ เป็นคนชอบธรรม เป็นลูกของพระเจ้า เป็นทายาทร่วมกับพระเยซูคริสต์ เป็นผู้ที่รับมรดกร่วมกับพระเยซูคริสต์ พระเยซูมีอะไร เราจะได้รับด้วย เหมือนพระเยซูคริสต์ไม่มีผิดเลย ฉะนั้น พอเราได้ เป็นลูกของพระเจ้า เป็นทายาทของพระคริสต์แล้วปุ๊บ ให้เราดำเนินชีวิตให้สมกับ ให้สมฐานะที่เป็นลูกของพระเจ้าหน่อย ตอนนี้เราไม่ใช่ เป็นลูกขอทานอีกต่อไป เราไม่ได้เป็นลูกทาสอีกต่อไป แต่เราเป็นลูกของพระเจ้า ผู้ยิ่งใหญ่สูงสุด ผู้ทรงสร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก พระเจ้าผู้ทรงพระชนม์อยู่ และพระเจ้าบอกว่าเรามีมรดกร่วมกับพระเยซูคริสต์ด้วย
พอเรารู้ตัวว่าสถานะเราเป็นอย่างไร? เราเป็นลูกของพระเจ้าแล้ว ก็ทำตัวให้สมกับที่ได้เป็นแล้ว แล้วเราจะทำตัวได้อย่างไร? มีทางเดียว ก็คือต้องรับรู้ความจริง ที่ทุกวันนี้ พวกเราคุยกัน ย้ำไปย้ำมา ซ้ำแล้วซ้ำอีก จนพี่น้องเริ่มเบื่อแล้ว แต่ว่าอยากจะหนุนใจพี่น้อง อย่าเบื่อเลย นี่คือความจริง แล้วพระเจ้า พระเยซูคริสต์บอกว่าถ้าท่านรู้ความจริง ความจริงจะทำให้ท่านเป็นไท เป็นอิสรภาพ
ฉะนั้น ถ้าเราเป็นอิสรภาพในวิญญาณ เราจะสามารถดำเนินชีวิตแบบอิสรภาพเลยนะ เราไม่ถูกผูกมัดด้วยกฎอะไร? ใครก็ใส่ๆ เข้ามาในหัวของเรา ในนามพระเยซู หัวเราไม่ใช่ถังขยะ ไม่ต้องไปรับเอาสิ่งที่ไม่ได้เป็นของพระเจ้าเข้ามาให้มันรกสมอง ให้เรารับเอาความจริงในถ้อยคำของพระเจ้าเข้ามา รับรู้ความจริงว่าเราเป็นใครแล้วในพระเยซูคริสต์
พอถึงข้อ 2 …
เอเฟซัส 4:2 “จงถ่อมใจและสุภาพอ่อนโยนในทุกด้าน จงอดทนอดกลั้นต่อกันและกันด้วยความรัก”
ในภาษาไทยชอบเขียนคำว่า “จง” และ “อย่า” พอบอกจงปุ๊บ เหมือนบังคับว่าต้องทำ นึกออกไหม? สมัยก่อนถูกสอนมาอย่างนี้ ดิฉันก็สอนสมาชิกว่าต้องทำ แล้วตัวเอง ก็ทำไม่ได้หรอก แต่ต้องไปสอนเขา เข้าใจหรือเปล่า? ต้องไปสอน เพราะว่าถูกสอนมาอย่างนี้
“เธอต้องทำอย่างนี้นะ เธอต้องให้อภัยเขา เธอต้องรักเขา เธอต้องๆๆๆๆๆ ทุกอย่างเสร็จ มองตัวเอง ทุกอย่างก็ยังทำไม่ได้เลย พระเจ้าบอกว่าเราเป็นผู้อ่อนแอ เราทำไม่ได้หรอก แต่ว่าสิ่งที่มันเกิดขึ้น คือเมื่อเราบังเกิดใหม่ ทุกอย่างเหล่านี้ มันเข้ามาอยู่ในตัวเรียบร้อยไปแล้ว ในวิญญาณของเรา มีความถ่อมใจ มีความสุภาพอ่อนโยน มีความรัก มีความอดทน ก็คือมันมาพร้อมอยู่ในวิญญาณของเราเรียบร้อยไปแล้ว เพียงแต่ว่าเรารู้หรือไม่? ถ้าเรารู้ เราก็ค่อยๆ ให้สิ่งต่างๆ เหล่านี้ ฉายแสงออกไป พระวิญญาณก็จะทรงนำพาเรา ให้สิ่งต่างๆ เหล่านี้ ฉายแสงออกไป อย่างที่อาจารย์เปาโลอวด …
“ข้าพเจ้าอวดความอ่อนแอ เพราะความอ่อนแอมีที่ไหน? ฤทธิ์อำนาจพระเจ้าก็เต็มขนาดในชีวิตของข้าพเจ้า เพราะมนุษย์ เรายังอยู่ในร่างกายนี้ ถ้าเราแข็งแรงเมื่อไร เราก็แข็งข้อกับพระเจ้า …
“ฉันแข็งแรง ฉันยังทำได้ด้วยกำลังของตัวเอง”
แล้วการทำด้วยกำลังของตัวเอง เป็นหนึ่งในความบาปของมนุษย์ครั้งแรก ที่อาดัมกับเอวาทำ ก็คือจะทำด้วยกำลังของตัวเอง จะทำดีด้วยกำลังของตัวเอง ไม่พึ่งพาพระเจ้า นี่คือการล้มลงในความบาป ครั้งแรกของมนุษย์
ฉะนั้น มารก็จะหลอกเรา หลอกให้เรา … “เราอยากทำๆ เราต้องทำๆ เอง”
แต่พระเยซูบอกว่า … “ไม่ต้องทำ ฉันทำให้เธอเสร็จแล้ว เธอแค่รับรู้ความจริงว่าอะไรเสร็จแล้ว เธอมีอะไรแล้ว”
พระเจ้าใส่เงินไว้ในแบงค์ ให้กับเราแล้ว พันล้าน แบบเยอะมาก ใช้ทั้งชาติก็ใช้ไม่หมด แค่รู้ว่ามีตังค์ไหม? ถ้าเราตังค์หมด เราก็ไปเบิกมาใช้ แค่นั้นเอง ง่ายๆ เลย
ดังนั้น สิ่งต่างๆ เหล่านี้ ความถ่อมใจ พระเจ้าใส่ให้เราแล้ว เราไม่ต้องพยายามทำตัวเองให้ถ่อมใจ ไปฝืนตัวเองว่าต้องถ่อมใจ ไม่ใช่ เรารับรู้ความจริงว่าความถ่อมใจมันอยู่ข้างในเรา แล้วเมื่อเราเจริญเติบโต รับรู้ความจริงมากขึ้นๆ พระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้าจะทำงานในใจของเรา เราไม่รู้หรอก มันเปลี่ยนแปลงเอง ถ้าพี่น้องสัตย์ซื่อกับตัวเอง วันแรกที่เรามาเชื่อพระเจ้ากับทุกวันนี้ พี่น้องสังเกตไหมว่าความอดทนของเรา มันต่างกันเยอะเลยนะ เมื่อก่อนเราไม่ค่อยอดทนเท่าไร? แต่เดี๋ยวนี้ เหตุการณ์เรื่องเดียวกัน แต่ทำไมเราอดทนขึ้นล่ะ ถ้าเป็นเมื่อก่อนวีนแตกเลยนะ เกิดเรื่องนี้ขึ้น ตายกันไปข้างหนึ่งเลย แต่ปัจจุบันทำไมเราใจเย็นขึ้น ทำไมเราอดทนได้ ทำไมเราผ่านมันไปได้ ทำไมเราสามารถ ช่างมันเถอะ อะไรอย่างนี้ ทำไม? ก็เพราะเรารับรู้ความจริงว่าสิ่งต่างๆ เหล่านี้ เรามีแล้ว
แล้วพระเจ้า พระวิญญาณบริสุทธิ์ ก็นำพาเรา ทำให้เราสำแดงสิ่งต่างๆ เหล่านี้ออกไป โดยธรรมชาติ โดยที่เราไม่ต้องพยายามฝืน หรือไม่ต้องพยายามบีบตัวเองว่าต้องทำ ไม่ต้อง มันจะออกมาเอง
ภาพที่ชัดที่สุด ที่ชอบเอามายกตัวอย่าง คือภาพการเจริญเติบโตของคนๆ หนึ่ง เด็กทารกคนหนึ่ง การเจริญเติบโตของเขาจะเป็นไปตามธรรมชาติ พ่อแม่มีส่วนแค่ประคับประคองให้เขาสามารถเจริญเติบโต แล้วเด็กคนนั้นเขาจะมองภาพจากไหน? จากคุณพ่อคุณแม่ อย่านึกว่าเด็กเขาไม่รู้เรื่อง เขาตัวเล็กๆ เวลาเขานอนกลิ้งไปกลิ้งมา ตอนหนึ่งเดือน สองเดือน เขาก็มอง เวลาพ่อแม่เดินไปไหน เขาก็มองตาม เห็นไม่เห็นเราไม่รู้แหละ แต่เขามองตามเรา แล้วเราทำอะไร? เขาก็จำเอาไว้ พอถึงวาระหนึ่งที่เขาเริ่มสามารถที่จะทำตามนั้นได้ เขาก็เจริญเติบโตตามวัย พอถึงเวลาเขาก็พลิกตัวได้เอง มันเป็นธรรมชาติ ที่เขาก็มองๆ ที่เขาเรียนรู้จักธรรมชาติของความเป็นคน พอพลิกตัวได้ เขาเริ่มต้นทำอย่างอื่นได้เรื่อยๆ คลานได้ เดินได้ วิ่งได้ พูดได้ พ่อแม่คุย เขาก็ฟัง คุยไปคุยมา เขาก็พูดตาม
คำแรกที่เด็กพูดออกมา สมมติว่ายุคปัจจุบัน สามีภรรยาเขาชอบเรียกกันว่าคุณพ่อกับคุณแม่ เรียกให้ลูกฟังว่านี่เป็นคุณพ่อนะ นี่เป็นคุณแม่นะ … พ่อๆ แม่ๆ อย่างนี้ แล้วคำแรกที่เด็กหัดพูด ก็คือพ่อๆ แม่ๆ อยู่ตรงที่ว่าเด็กจะเรียกพ่อหรือว่าแม่ก่อนเท่านั้นเอง เพราะเขาได้ยิน ได้ฟัง เขาดู เขารับรู้
คริสเตียนเหมือนกัน การเจริญเติบโต เกิดจากการรับรู้ความจริง กินอาหารให้ถูกหลัก กินอาหารที่ไม่มีพิษ ไม่มีภัย เป็นข่าวประเสริฐล้วนๆ ที่พระเจ้าบอกว่าเราเป็นใครในพระคริสต์ ที่พระเจ้าบอกว่าพระเยซูได้ทำอะไรให้เราเรียบร้อยไปแล้ว
คำว่า “เรียบร้อยไปแล้ว” หมายความว่าเราได้รับแล้ว เราไม่ต้องไปพยายามทำเพิ่ม เพื่อให้พระเจ้ารักเรามากขึ้น หรือไม่ต้องไปพยายามทำเพิ่ม เพื่อให้เราเป็นคริสเตียนมากขึ้น ไม่ต้องเลย เราเป็นลูกพระเจ้า ก็เป็นเลย ไม่ต้องไปทำอะไรเพิ่ม เพื่อให้เป็นลูกของพระองค์มากขึ้น ลูกเราไม่เห็นต้องทำอะไรให้เรารู้สึกว่าเขาเป็นลูกเรามากขึ้น เกิดมา เขาก็เป็นลูกเรา เกเร เถียงเราอีก เราก็ยังคงเห็นว่าเขาเป็นลูก และเรารักเขาไหมล่ะ รัก แค่ว่าปวดหัวกับลูกเราจังเลย ทำไมเถียงเก่งอย่างนี้ แต่เราก็ยังคงรักเขาเหมือนเดิม ใช่ไหม?
นี่คือความเป็นจริงของธรรมชาติที่พระเจ้าให้เรามองเห็น แล้วเราจะรับรู้ความจริงเหล่านี้ แล้วธรรมชาติเหล่านี้ มันจะเกิดออกมาเอง คือความถ่อมใจ ความสุภาพอ่อนโยนในทุกๆ ด้าน ความอดทน อดกลั้น ทำไมอาจารย์เปาโลต้องให้คนเอเฟซัสอดทน อดกลั้น เพราะตอนนั้น มันมีการข่มเหง มีการไล่ล่าผู้เชื่อ หนักกว่าพวกเราอีก ขอบคุณพระเจ้าที่เราเกิด ในประเทศไทย ซึ่งมีพระมหากษัตริย์ที่เข้าใจ ไม่กีดกั้นในเรื่องของการนับถือศาสนา เราขอบคุณพระเจ้าจริงๆ ที่เรามีสถาบันกษัตริย์ ที่ให้เราเป็นที่ยึดเหนี่ยว แล้วเราขอบคุณพระเจ้าจริงๆ ที่เราอยู่ประเทศไทย เรามีอิสระเสรี ที่จะเชื่ออะไรก็ได้ เรามาโบสถ์ได้อย่างเสรี ไม่ต้องมาหลบๆ ซ่อนๆ แอบมาด้วย มาแล้วก็กังวล เมื่อไรทหารจะมาจับเรา แต่สมัยก่อน คนในยุคนั้น เชื่อพระเจ้า ผวาตลอดเวลา ไม่รู้วันดีคืนดี ใครจะมาจับเราไปติดคุก เหมือนอาจารย์เปาโลอย่างนี้ วันดีคืนดี ก็ถูกจับไปติดคุก วันดีคืนดี ก็จับไปโบยตี วันดีคืนดี ก็ถูกจับไปซักถาม …
“เธอทำไมถึงทำอย่างนี้ ไปประกาศพระนามของพระเยซูได้อย่างไร?”
อะไรก็ว่าไป แต่อาจารย์เปาโลพูดคำหนึ่ง หรืออาจารย์เปโตรพูดหมือนกัน …
“จำเป็นที่ข้าพเจ้าจะต้องเชื่อฟังพระเจ้า มากกว่าเชื่อฟังมนุษย์ ถ้าพระเจ้าให้ข้าพเจ้าพูด ข้าพเจ้าก็ต้องพูด มนุษย์จะมาห้ามไม่ได้หรอก”
พูดก็พูดไป ถ้าคุณจะมาจับเรา ไปติดคุก ก็เอาเลย จับเราไป แต่ว่าข่าวประเสริฐของพระเจ้า ไม่มีโซ่ในโลกใบนี้ล่ามได้เลย นี่คือพระคุณ
ฉะนั้น คนยุคนั้นต้องใช้ความอดทนมากๆ เพราะว่าเขาได้รับความเชื่อ ได้รับข่าวประเสริฐที่เป็นน้ำนม ที่ไม่มีอะไรแอบแฝง ก็คือเพียวๆ เลย เขารู้แค่สั้นๆ นะว่า …
“พระเยซูเป็นบุตรของพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์ มาตายแทนเขาบนไม้กางเขน หลั่งพระโลหิต เพื่อชำระล้างความผิดบาปของเขา ได้เป็นขึ้นมาจากความตาย ทำให้เขาได้บังเกิดใหม่ เป็นลูกของพระเจ้า”
เขารู้แค่นี้เอง แล้วเขาก็ไม่สนใจว่ามันมีอะไรที่จะต้องมาเสริมเติมแต่ง ไม่ต้อง รู้แค่นี้เอง แล้วเขาก็ยึดมั่นในความเชื่อของเขาตรงนี้ ไม่ว่าลำบากแค่ไหน? เขาก็ไม่ลดละ ที่จะเชื่อพระเจ้า เขายังเชื่ออยู่ ต่อให้ถูกฆ่าตาย ถูกบั่นคอตาย ถูกเผาตาย เขาก็ยังยึดมั่นในพระเจ้า คนสมัยนั้นทำไมเขาทำได้ เพราะเขาได้รับความจริงแท้ๆ ของพระเจ้า
แต่ปัจจุบัน ความจริงเรื่องราวของพระเจ้ามีแอบแฝง เหมือนอาหารทุกวันนี้ พี่น้องนึกภาพออกไหม? คนโบราณปู่ย่าตาทวด เราแข็งแรง ทานข้าวแบบไม่ต้องมีอะไรเยอะเลย กินข้าวสวย กินข้าวต้มกับผักจิ้มน้ำพริก จนอายุแก่เฒ่าแล้วยังแข็งแรงอยู่เลย แต่คนปัจจุบัน ทำไมไม่แข็งแรง เพราะเกิดจากอาหารการกินทั้งหมด มันมีสารอะไรเยอะแยะ เนื่องจากสภาวะสิ่งแวดล้อมของโลกใบนี้
คนยุคนี้น่าสงสาร เวลาจำกัด ทุกอย่างจำกัดหมด เด็กต้องไปโรงเรียน ตื่นแต่ไก่ขัน กินข้าวในบ้านไม่ได้ เพราะว่ามันจะไม่ทัน ออกช้ากว่า 6 โมงเช้า ไปติดบนถนนอีก 2 ชั่วโมง ผู้ใหญ่ที่ทำงาน เขาก็ต้องออกตั้งแต่ไก่โห่ เพื่อจะไปที่ทำงานให้ทัน ที่ทำงานเปิด 8 โมง เขาไปถึง 6 โมงกว่าไปนั่งอยู่ที่หน้าที่ทำงาน เพื่อว่าจะได้ไม่ต้องไปรถติด ตอนช่วงคนทำงาน
สมัยก่อนดิฉันไม่ได้มาพักอยู่ที่โบสถ์ บ้านอยู่ตรอกจันทร์ ที่สาธุประดิษฐ์ ไปโบสถ์ที่มีนบุรี สาธุประดิษฐ์ถึงมีนบุรี ขอบคุณพระเจ้า มีรถเมล์สายหนึ่ง คือต่อเดียวถึงเลย 519 แต่รอนานมาก ดิฉันตื่นตั้งแต่ตี 4 กว่า ออกมานั่งรถ ตี 5 เพื่อไปถึงโบสถ์ ตอนตี 5 รถโล่งมาก เราไปถึงโบสถ์ยังไม่ถึง 6 โมงเช้าเลย ขอบคุณพระเจ้า มีกุญแจโบสถ์ ไปถึงเราก็เปิดห้อง แล้วเราก็ไปนั่งอยู่ในโบสถ์ มันปลอดภัยกว่า นี่คือวิถีชีวิตของคนกรุงเทพจริงๆ
เด็กๆ ต้องตื่นแต่ไก่โห่ กินข้าว ต้องไปกินบนรถ แล้วก็ไปโรงเรียน นี่คือสภาพแวดล้อมในปัจจุบัน ไปข้างนอก ก็มีของกินเยอะแยะหลากหลาย ซึ่งคนทำ ก็ไม่ได้ทำสะอาดเท่าไร? ซึ่งมันก็ไม่ได้เป็นประดยชน์อะไรกับร่างกายของเรา นี่พูดเรื่องจริงนะ
ฉะนั้น สิ่งแวดล้อมต่างๆ เหล่านี้ ทำให้คนในยุคปัจจุบันเป็นโรคภัยไข้เจ็บเยอะกว่าคนสมัยก่อน ดังนั้น คนที่เป็นประโยชน์ที่สุด คือคนที่ทำกับข้าวกินเอง สุขภาพจะแข็งแรงกว่า เพราะว่าเราทำเอง เรารู้ว่าเรากินอะไร? เราใส่อะไร? อะไรที่เลี่ยงได้ อะไรที่เลี่ยงไม่ได้ อย่างน้อย เราทำกับข้าวเอง เราล้างหมู ล้างผัก ล้างแล้วล้างอีก ทำให้มันสะอาด แต่คนทำมาหากิน เขาล้างให้เราไม่ไหวหรอก เขาทำกับข้าวที 40, 50 อย่าง
อาจารย์เปาโลก็จะบอกเราว่าอย่าเพ่งมองความทุกข์ยากลำบาก บนโลกใบนี้ ให้เราจับจ้องมองดูที่พระคุณของพระเจ้า ดูที่พระพรที่พระเจ้าเตรียมให้เราเรียบร้อยไปแล้ว โลกนี้เราอยู่ชั่วคราว ชั่วคราวเองจริงๆ อยู่ไม่กี่ปีหรอก ไม่เหมือนคนสมัยก่อน 500, 600 ปี ปัจจุบันนี้ แค่ 80 กว่า เราก็เตรียมตัวกลับบ้านได้แล้วล่ะ ถ้าเลย 80 กว่าทรมานมากเลย เราอยู่ลำบากยากเย็น ฉะนั้น เราแค่ช่วงแป๊บเดียว ซึ่งพระคัมภีร์บอกว่าโลกนี้ เป็นที่อยู่ชั่วคราว ไม่ใช่ที่อยู่ถาวรของพวกเรา ที่อยู่ถาวรของพวกเรา คือในโลกหน้า ในสวรรคสถานที่เราจะได้ไปอยู่กับพระเจ้านิรันดร์กาล นี่คือความหวังใจ ซึ่งความเป็นจริง ณ ปัจจุบัน ในโลกวิญญาณ เราก็อยู่กับพระเจ้าอยู่แล้ว
แล้วความจริงตรงนี้ พระเจ้าเปิดให้เราเห็น สมัยก่อนเราไม่เห็น สมัยก่อน เรายังคิดว่าเราจะไปเจอพระเจ้า ก็ต้องหลังความตาย ต้องรอวิญญาณเราออกจากร่าง เราถึงไปเจอพระเจ้าได้ แต่ถ้อยคำของพระเจ้า พอเราอ่านจริงๆ บอกว่าพระเจ้าเข้ามาสถิตอยู่ในเรา เราเจอพระเจ้าแล้ว เพียงแต่เจอแบบว่าเรามองไม่เห็นชัดเจน เราต้องใช้ความเชื่อตามที่พระเจ้าบอกเรา แล้วเราก็เชื่อตามนั้น เอเมนตามนั้น นี่คือการดำเนินชีวิต บนโลกใบนี้ ซึ่งเมื่อเราเชื่อตามที่พระเจ้าบอกปุ๊บ ชีวิตเราก็อยู่ง่ายขึ้น
พอเราเจอความทุกข์ยากลำบากหน่อยหนึ่ง เราก็ … “แป๊บเดียวๆ ไม่เป็นไรหรอก เดี๋ยวก็ผ่านไป”
ตอนนี้เราเจ็บป่วยหรือ? … “ไม่เป็นไร แป๊บเดียว เจ็บป่วย ก็ไปหาหมอ เป็นอะไร ก็ไปรักษา”
แต่ว่าพระเจ้าก็จะให้กำลังเรา ดิฉันยังเชื่อว่าพระเจ้าให้กำลังให้กับแต่ละคนสามารถ ที่จะผ่านไปได้ แม้ว่าทุกข์ยากขนาดไหน? ซึ่งบางครั้ง ตอนที่เราเผชิญอยู่ เรารู้สึก เราไม่ไหวแล้ว พระเจ้าไม่ไหวแล้ว ตายแน่ๆ แต่พระเจ้าก็พาเราผ่านไปได้ นี่คือความจริง ในโลกวิญญาณ ที่พระเจ้าบอกว่าพระเจ้าไม่เคยทิ้งเรา แม้ความรู้สึกในขณะที่เราเผชิญกับความทุกข์ยากลำบาก เรารู้สึกว่าพระเจ้าทิ้งเรา แต่ความจริงในถ้อยคำของพระเจ้า คือพระเจ้าไม่เคยทิ้งเรา พระเจ้าอยู่กับเรายามทุกข์ ยามสุข ยามหลับ ยามตื่น พระเจ้าอยู่ด้วยกับเรา และเป็นผู้ที่จะนำพาเราเดินไปด้วยกันกับพระองค์ นี่คือพระคุณซ้อนพระคุณที่พระเจ้าให้กับผู้เชื่อทั้งหลาย …
เอเฟซัส 4:3 “จงเพียรพยายามรักษาความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันในพระวิญญาณ ผ่านทางพันธะแห่งสันติสุข”
คำว่า “จงเพียร” มันก็ไม่น่าจะใช่ เพียรกับพยายาม ก็คือเราต้องพยายาม ทำตัวเองให้เป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน ต้องทำด้วยกำลังของเราเองนะ แต่ถ้อยคำของพระเจ้าบอกว่า …
“ทันทีที่เราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอด เราได้บัพติศมาเข้าไปเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเยซูคริสต์แล้ว”
พระเจ้าพระบิดา พระเจ้าพระบุตร พระเจ้าพระวิญญาณบริสุทธิ์ เข้าไปเป็นหนึ่งเดียวกันเรียบร้อยไปแล้วในโลกวิญญาณ แล้วผู้เชื่อทุกคน เมื่อเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอดปุ๊บ เขาก็บัพติศมาเหมือนเราเลย เข้าไปเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเยซูคริสต์ ฉะนั้น เรากับผู้เชื่อคนอื่น พี่น้องไม่ว่าเขาจะอยู่ที่นี่ โฮลี่ ออฟ โฮลี่ส์ หรืออยู่ที่อื่นในโบสถ์ไหนก็ตาม บนโลกใบนี้ เราเป็นหนึ่งเดียวกันในพระเยซูคริสต์ ไม่ต้องพยายามทำ มันเกิดขึ้น เนื่องจากเราได้บังเกิดใหม่
ฉะนั้น ถ้าเราเพียรพยายามให้เป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน เราทำตายเลย ตายแน่ๆ เลย เพราะว่าความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน เราจะพยายามทำให้มันได้ มันเป็นไปไม่ได้ เพราะเราเป็นมนุษย์ไง ความคิดเราก็ต่างกัน เห็นไหม? เวลาเราทำงาน หลายๆ คน คนนี้คิดอย่าง คนนั้นคิดอย่าง มันก็คิดไม่เหมือนกัน แล้วเป็นหนึ่งเดียวกันได้อย่างไร? เมื่อคิดไม่เหมือนกัน แต่พระเจ้าบอกว่าในโลกวิญญาณ วิญญาณเราเป็นหนึ่งเดียวกันกับผู้เชื่อทั้งหมดบนโลกใบนี้เรียบร้อยไปแล้ว โดยไม่ต้องทำอะไร? พระเจ้าทำให้เรียบร้อยไปแล้ว เรารักผู้เชื่อทุกคนเรียบร้อยไปแล้ว โดยที่เราไม่ต้องทำอะไรอีก พระเจ้าทำให้เรียบร้อยแล้ว นี่คือความจริงในโลกวิญญาณ
ฉะนั้น ความผูกพัน ความรัก ความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน สิ่งเหล่านี้พระเจ้าทำให้เรียบร้อยหมดแล้ว แค่เรารู้ความจริงว่าตอนนี้ เราทุกคนเป็นหนึ่งเดียวกันเรียบร้อยไปแล้ว เราถึงร้องเพลง “เราเป็นหนึ่งในความรักพระคริสต์” จำได้ใช่ไหม? …
“เราเป็นหนึ่งในความรักพระคริสต์
ให้เราจับมือกัน และประกาศให้โลกนี้
เราเป็นหนึ่งในความรักพระคริสต์”
นี่ประกาศให้โลกรู้ว่าในโลกวิญญาณ เราเป็นหนึ่งในความรักของพระคริสต์ ผู้เชื่อทุกคนไม่ว่าจะนิกายไหน ถ้าเขาเชื่อว่าพระเยซูเป็นพระเจ้า เขาเปิดใจต้อนรับพระองค์เข้ามาเป็นพระผู้ช่วยให้รอด คนนั้นเป็นหนึ่งเดียวกันกับเรา อาจจะความคิดเห็นต่างกัน แต่ละโบสถ์ การดำเนิน การวางแผนการต่างกัน แต่ว่าเราไม่ต่างกันในโลกวิญญาณ เพราะว่าเราทุกคนเป็นอวัยวะในพระเยซูคริสต์ร่วมกัน โดยมีพระเยซูคริสต์เป็นศีรษะของเรา …
เอเฟซัส 4:4 “มีกายเดียวและพระวิญญาณองค์เดียว เหมือนกับที่ทรงเรียกท่านมาสู่ความหวังเดียว เมื่อทรงเรียกท่าน”
กายเดียว วิญญาณเดียว เป็นหนึ่งเดียว ก็คือพระเจ้าบอกชัดเจนเลย ทุกอย่าง เราเป็นหนึ่งเดียวกัน เป็นกายเดียวกัน โดยมีพระเยซูคริสต์ทรงเป็นศีรษะของเรา
เอเฟซัส 4:5 “มีองค์พระผู้เป็นเจ้าองค์เดียว ความเชื่อเดียว บัพติศมาเดียว”
ในพระคัมภีร์ไม่ได้บอกว่าต่างคนต่างบัพติศมา ไม่ใช่ บัพติศมาเดียว แล้วการบัพติศมานี้ ในโลกวิญญาณ เราทำเองไม่ได้ ไม่ใช่เอาตัวไปจุ่มน้ำ ไม่ใช่ แต่ว่าในโลกวิญญาณ พระเจ้าให้พระวิญญาณบริสุทธิ์เข้ามาผ่าตัดวิญญาณของเรา ทำให้วิญญาณเก่าของเรา ไปอยู่ในพระเยซูคริสต์และตายพร้อมกัน ฝังพร้อมกัน แล้วเป็นขึ้นมาใหม่กับพระเยซูคริสต์พร้อมกัน ได้บังเกิดใหม่ เข้ามาอยู่ในอาณาจักรของพระเจ้า เข้ามาเป็นลูกของพระเจ้า เป็นทายาทของพระเจ้า ได้รับมรดกร่วมกับพระเยซูคริสต์ เอเมน ตื่นเต้นไหม?
ขอบคุณพระเจ้า นี่คือความจริงในโลกวิญญาณ ที่พี่น้องจำเป็นจะต้องรับรู้ เอาไปฟังเรื่อยๆ ฟังให้มันฝังเข้าไปในวิญญาณของเราเลยว่าตอนนี้ เรากับพระเจ้าเป็นหนึ่งเดียวกัน ไม่สามารถแยกจากกันได้เลย ไม่สามารถเลย แล้วเรากับพี่น้องในพระคริสต์ทุกคนบนโลกใบนี้ เป็นหนึ่งเดียวกันด้วย การดำเนินชีวิตต่างกัน ไม่เป็นไร แต่วิญญาณ เราเป็นวิญญาณเดียวกันแน่นอน พระเจ้าอวยพรค่ะ
*******************
จากใจคณะศิษยาภิบาล
มีข่าวดีมาบอก! มนุษย์ทุกคนสามารถรู้จักกับพระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่สูงสุด เป็นการส่วนตัวได้แล้ว
เยเรมีย์ 31:31-34 … “31 องค์พระผู้เป็นเจ้าประกาศว่า “เวลานั้นจะมาถึงเมื่อเราจะทำพันธสัญญาใหม่ กับพงศ์พันธุ์อิสราเอล และกับพงศ์พันธุ์ยูดาห์ 32 เป็นพันธสัญญา ซึ่งไม่เหมือนพันธสัญญาที่เราได้ทำไว้กับบรรพบุรุษของพวกเขา เมื่อเราจูงมือพวกเขา นำออกมาจากดินแดนอียิปต์ เพราะพวกเขาละเมิดพันธสัญญาที่ทำไว้กับเรา ทั้งๆ ที่เราเป็นเจ้านายของพวกเขา” องค์พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนั้น 33 องค์พระผู้เป็นเจ้าประกาศว่า “นี่คือพันธสัญญาที่เราจะทำกับพงศ์พันธุ์อิสราเอล หลังจากสมัยนั้น คือเราจะใส่บทบัญญัติของเราในจิตใจของพวกเขา จารึกบนหัวใจของพวกเขา เราจะเป็นพระเจ้าของพวกเขา และพวกเขาจะเป็นประชากรของเรา 34 ผู้คนจะไม่สอนเพื่อนบ้าน หรือสอนพี่น้องของตนอีกต่อไปว่า ‘จงรู้จักองค์พระผู้เป็นเจ้า’ เพราะพวกเขาทุกคนจะรู้จักเรา ตั้งแต่ผู้น้อยที่สุดไปจนถึงผู้ใหญ่ที่สุด” องค์พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนั้น “เพราะเราจะอภัยความชั่วร้ายของเขา และจะไม่จดจำบาปทั้งหลายของเขาอีกต่อไป”
นี่คือคำมั่นสัญญาที่พระเจ้าได้ให้ไว้กับชาวยิว ซึ่งเล็งถึงมนุษยชาติทั้งมวล
พระคัมภีร์เดิม พระเจ้าได้ทรงให้ผู้เผยพระวจนะเผยถึง สิ่งที่พระองค์สัญญาจะกระทำในอนาคตข้างหน้าเพื่อมวลมนุษย์ ซึ่งยังทำไม่สำเร็จเสร็จสิ้น
ส่วนพระคัมภีร์ใหม่ ได้พูดถึงคำเผยพระวจนะที่พระเจ้าได้ทำสำเร็จแล้ว เมื่อพระเยซูคริสต์ทรงถูกตรึงบนไม้กางเขน และพระเยซูตรัสว่า “สำเร็จแล้ว” ทรงสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน ถูกฝังในอุโมงค์ และวันที่ 3 ได้ทรงเป็นขึ้นมาจากความตาย ทำให้มนุษยชาติสามารถเข้าสู่ขบวนการการบังเกิดใหม่ได้ โดยการเปิดใจยอมรับความช่วยเหลือจากพระเยซูคริสต์ พระเจ้าเข้ามาผ่าตัดวิญญาณของเราให้เข้าส่วนร่วมเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเยซูคริสต์
ให้เราตายพร้อมกับพระเยซู ฝังพร้อมกับพระเยซู และเป็นขึ้นมาใหม่พร้อมกับพระเยซู บังเกิดใหม่เข้ามาอยู่ในครอบครัวของพระเจ้า สะอาด บริสุทธิ์ เหมือนพระเยซูเลย พระเจ้าเปลี่ยนวิญญาณให้เราใหม่ เปลี่ยนใจใหม่ให้เราเลย ส่วนร่างกายยังเป็นร่างกายเก่าอยู่ แต่ได้รับการชำระให้บริสุทธิ์
วิญญาณและใจใหม่ได้เข้ามาอยู่ในพระคริสต์ เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเยซูคริสต์ และพระเจ้าทั้ง 3 พระภาคเข้ามาสถิตอยู่ในร่างกายเรา พระเจ้าทรงเตรียมร่างกายใหม่ที่เต็มไปด้วยสง่าราศีเหมือนพระเยซูให้กับเราเรียบร้อยแล้ว แค่รอวันที่เราตายจากโลกนี้ ทิ้งร่างกายเก่านี้ไป เราจะได้ไปรับร่างกายใหม่ ร่างกายที่เป็นขึ้นจากความตายเหมือนร่างกายของพระเยซูคริสต์ที่เป็นขึ้นจากความตาย
และจะได้พบเห็นพระเยซูคริสต์หน้าต่อหน้า นี่คือความหวังใจเดียวของผู้เชื่อ ทำให้เรามีกำลังใจในขณะที่ดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ สามารถเผชิญกับทุกสถานการณ์ที่ผ่านเข้ามาในชีวิตได้ ด้วยกำลังซึ่งมาจากพระเจ้า คือได้รับรู้ว่า …
“ฉันอยู่ในพระคริสต์ พระคริสต์อยู่ในฉัน เป็นความหวังแห่งเกียรติสิริ”
พระเจ้าอวยพรครับ