วารสาร Holy  News   ฉบับที่  1416

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  7  พฤษภาคม  2023

เรื่อง “หนังสือเอเฟซัส”  ตอน 25

โดย วราพร คงล้วน

            วันนี้เรามาต่อในพระธรรมเอเฟซัส 4:1 บอกว่า …

        เอเฟซัส 4:1 “ฉะนั้น ข้าพเจ้าผู้เป็นนักโทษ เพื่อองค์พระผู้เป็นเจ้า จึงขอให้ท่านดำเนินชีวิตให้สมกับการทรงเรียกที่ท่านได้รับ”

            ตรงนี้อาจารย์เปาโลเป็นผู้พูด … “ฉะนั้น ข้าพเจ้าผู้เป็นนักโทษ เพื่อองค์พระผู้เป็นเจ้า” ทำไมอาจารย์เปาโลต้องเป็นนักโทษ เพื่อองค์พระผู้เป็นเจ้า ตอนที่อาจารย์เปาโลเขียนจดหมายฉบับนี้ ติดคุกอยู่ แต่ว่าเขียนออกมาหนุนใจ ผู้เชื่อในคริสตจักรเอเฟซัส ซึ่งผู้เชื่อเหล่านี้เป็นคนต่างชาติ และอาจารย์เปาโลถูกเรียกมาให้เป็นผู้ประกาศกับคนต่างชาติ  ก็เลยถูกข่มเหงเยอะเป็นพิเศษ  เพราะคนยิวไม่พอใจมาก เพราะคนยิวถือว่าเขาเป็นชนชาติของพระเจ้า เขาเป็นกลุ่มคน กลุ่มเดียวที่สามารถที่จะเข้าหาพระเจ้าได้

            คนต่างชาติพวกนี้ จะมาเป็นหนึ่งเดียวกันกับเขาได้อย่างไร? มันเป็นไปไม่ได้ เปาโลประกาศอย่างนี้ เลยถูกไล่ล่าทุกอย่างเลย ถ้าพี่น้องไปอ่านหนังสือกิจการ พี่น้องจะเห็นว่าอาจารย์เปาโลถูกตี ถูกเฆี่ยน ถูกจับติดคุก ถูกล่ามโซ่ ถูกทุกอย่าง แต่อาจารย์เปาโลบอกว่าโซ่ตรวนที่พวกยิวล่ามเขาอยู่ ก็ไม่สามารถล่ามข่าวประเสริฐของพระเจ้าให้กระจายออกไป ถึงผู้คนมากมายได้

            อาจารย์เปาโลบอกกับคนเอเฟซัสว่าจริงๆ ที่เขาเป็นนักโทษ เพราะเขาประกาศข่าวประเสริฐ เรื่องของพระเยซูคริสต์ให้กับพวกเธอฟังนั่นแหละ เลยเป็นต้นเหตุทำให้ถูกจับไปเป็นนักโทษ อาจารย์เปาโลจะพูดตลอดเวลาว่าความรอด  เกิดขึ้นจากพระคุณ  ไม่ใช่ผลของการประพฤติ  ฉะนั้น มนุษย์ไม่สามารถทำให้ตัวเองได้รับความรอดได้ ทำดีไปเถอะ ทำให้ตาย ก็รอดไม่ได้ ถ้าวิญญาณข้างในยังเป็นบาปอยู่ ฉะนั้น เราจำเป็นต้องมาเปลี่ยนวิญญาณ

            แล้วคนเอเฟซัสตอนนี้  พวกคนต่างชาติ ในเมืองนี้ เขาได้เปลี่ยนวิญญาณแล้ว ก็คือมาอยู่ในพระเยซูคริสต์เรียบร้อยไปแล้ว ฉะนั้น อาจารย์เปาโลก็เลยหนุนใจว่าเมื่อท่านได้รับพระคุณ แบบนี้แล้ว โดยที่ไม่ต้องเสียอะไรเลย รับมาฟรีๆ เลย พระเจ้าไม่ได้มาเรียกร้อง เก็บเงินท่าน มาซื้อความรอดนะ ถ้าเธอมีตังค์ เอามาสัก 5 ล้าน 10 ล้าน 100 ล้าน แล้วเธอจะได้รับความรอดไป ไม่มีนะ พระเจ้าบอกว่าให้ฟรีๆ พอได้รับสิ่งสารพัดเหล่านี้ปุ๊บ อาจารย์เปาโลก็เลยบอกว่า …

            “ขอให้ท่านดำเนินชีวิตให้สมกับการทรงเรียกที่ท่านได้รับ เมื่อได้รับพระคุณแล้ว”

            พระคุณมาตรงไหน? มาเป็นแพ็คเกจเลย พอเราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เราบัพติศมาในพระวิญญาณปุ๊บ พระเจ้าได้เปลี่ยนใจใหม่ เปลี่ยนวิญญาณใหม่ พระเจ้าใส่ความรักลงมาในชีวิตของเรา ใส่ความดีงาม เรากลายเป็น

            ผู้เชื่อทุกคนเกิดมาเป็น เมื่อบังเกิดใหม่ปุ๊บ เกิดมาเป็นความรัก เกิดมาเป็นความดีงาม เหมือนพระเจ้าเลย เป็นผู้ชอบธรรม เป็นนะ ไม่ใช่มี เป็นเลย ไม่ว่าเราจะรู้สึกว่าเป็นหรือไม่เป็น แต่พระคัมภีร์บอกเธอเป็นแล้ว ในโลกวิญญาณ เป็นคนชอบธรรม เป็นลูกของพระเจ้า เป็นทายาทร่วมกับพระเยซูคริสต์ เป็นผู้ที่รับมรดกร่วมกับพระเยซูคริสต์ พระเยซูมีอะไร  เราจะได้รับด้วย เหมือนพระเยซูคริสต์ไม่มีผิดเลย ฉะนั้น พอเราได้ เป็นลูกของพระเจ้า เป็นทายาทของพระคริสต์แล้วปุ๊บ ให้เราดำเนินชีวิตให้สมกับ ให้สมฐานะที่เป็นลูกของพระเจ้าหน่อย ตอนนี้เราไม่ใช่ เป็นลูกขอทานอีกต่อไป เราไม่ได้เป็นลูกทาสอีกต่อไป  แต่เราเป็นลูกของพระเจ้า ผู้ยิ่งใหญ่สูงสุด ผู้ทรงสร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก พระเจ้าผู้ทรงพระชนม์อยู่ และพระเจ้าบอกว่าเรามีมรดกร่วมกับพระเยซูคริสต์ด้วย

            พอเรารู้ตัวว่าสถานะเราเป็นอย่างไร? เราเป็นลูกของพระเจ้าแล้ว ก็ทำตัวให้สมกับที่ได้เป็นแล้ว แล้วเราจะทำตัวได้อย่างไร? มีทางเดียว ก็คือต้องรับรู้ความจริง ที่ทุกวันนี้ พวกเราคุยกัน ย้ำไปย้ำมา ซ้ำแล้วซ้ำอีก จนพี่น้องเริ่มเบื่อแล้ว แต่ว่าอยากจะหนุนใจพี่น้อง อย่าเบื่อเลย นี่คือความจริง แล้วพระเจ้า พระเยซูคริสต์บอกว่าถ้าท่านรู้ความจริง ความจริงจะทำให้ท่านเป็นไท เป็นอิสรภาพ

            ฉะนั้น ถ้าเราเป็นอิสรภาพในวิญญาณ เราจะสามารถดำเนินชีวิตแบบอิสรภาพเลยนะ เราไม่ถูกผูกมัดด้วยกฎอะไร? ใครก็ใส่ๆ เข้ามาในหัวของเรา ในนามพระเยซู หัวเราไม่ใช่ถังขยะ ไม่ต้องไปรับเอาสิ่งที่ไม่ได้เป็นของพระเจ้าเข้ามาให้มันรกสมอง ให้เรารับเอาความจริงในถ้อยคำของพระเจ้าเข้ามา รับรู้ความจริงว่าเราเป็นใครแล้วในพระเยซูคริสต์

            พอถึงข้อ 2 …

        เอเฟซัส 4:2 “จงถ่อมใจและสุภาพอ่อนโยนในทุกด้าน จงอดทนอดกลั้นต่อกันและกันด้วยความรัก”

            ในภาษาไทยชอบเขียนคำว่า “จง” และ “อย่า” พอบอกจงปุ๊บ เหมือนบังคับว่าต้องทำ นึกออกไหม? สมัยก่อนถูกสอนมาอย่างนี้ ดิฉันก็สอนสมาชิกว่าต้องทำ แล้วตัวเอง ก็ทำไม่ได้หรอก แต่ต้องไปสอนเขา เข้าใจหรือเปล่า? ต้องไปสอน เพราะว่าถูกสอนมาอย่างนี้

            “เธอต้องทำอย่างนี้นะ เธอต้องให้อภัยเขา เธอต้องรักเขา เธอต้องๆๆๆๆๆ ทุกอย่างเสร็จ มองตัวเอง ทุกอย่างก็ยังทำไม่ได้เลย พระเจ้าบอกว่าเราเป็นผู้อ่อนแอ เราทำไม่ได้หรอก แต่ว่าสิ่งที่มันเกิดขึ้น คือเมื่อเราบังเกิดใหม่ ทุกอย่างเหล่านี้ มันเข้ามาอยู่ในตัวเรียบร้อยไปแล้ว ในวิญญาณของเรา มีความถ่อมใจ มีความสุภาพอ่อนโยน มีความรัก มีความอดทน ก็คือมันมาพร้อมอยู่ในวิญญาณของเราเรียบร้อยไปแล้ว เพียงแต่ว่าเรารู้หรือไม่? ถ้าเรารู้ เราก็ค่อยๆ ให้สิ่งต่างๆ เหล่านี้ ฉายแสงออกไป พระวิญญาณก็จะทรงนำพาเรา ให้สิ่งต่างๆ เหล่านี้ ฉายแสงออกไป อย่างที่อาจารย์เปาโลอวด …

            “ข้าพเจ้าอวดความอ่อนแอ เพราะความอ่อนแอมีที่ไหน? ฤทธิ์อำนาจพระเจ้าก็เต็มขนาดในชีวิตของข้าพเจ้า เพราะมนุษย์ เรายังอยู่ในร่างกายนี้ ถ้าเราแข็งแรงเมื่อไร เราก็แข็งข้อกับพระเจ้า …

            “ฉันแข็งแรง ฉันยังทำได้ด้วยกำลังของตัวเอง”

            แล้วการทำด้วยกำลังของตัวเอง เป็นหนึ่งในความบาปของมนุษย์ครั้งแรก ที่อาดัมกับเอวาทำ ก็คือจะทำด้วยกำลังของตัวเอง จะทำดีด้วยกำลังของตัวเอง  ไม่พึ่งพาพระเจ้า นี่คือการล้มลงในความบาป ครั้งแรกของมนุษย์

            ฉะนั้น มารก็จะหลอกเรา หลอกให้เรา … “เราอยากทำๆ เราต้องทำๆ เอง”

            แต่พระเยซูบอกว่า … “ไม่ต้องทำ ฉันทำให้เธอเสร็จแล้ว เธอแค่รับรู้ความจริงว่าอะไรเสร็จแล้ว เธอมีอะไรแล้ว”

            พระเจ้าใส่เงินไว้ในแบงค์ ให้กับเราแล้ว พันล้าน แบบเยอะมาก ใช้ทั้งชาติก็ใช้ไม่หมด แค่รู้ว่ามีตังค์ไหม? ถ้าเราตังค์หมด เราก็ไปเบิกมาใช้ แค่นั้นเอง ง่ายๆ เลย

            ดังนั้น สิ่งต่างๆ เหล่านี้ ความถ่อมใจ พระเจ้าใส่ให้เราแล้ว เราไม่ต้องพยายามทำตัวเองให้ถ่อมใจ ไปฝืนตัวเองว่าต้องถ่อมใจ ไม่ใช่ เรารับรู้ความจริงว่าความถ่อมใจมันอยู่ข้างในเรา แล้วเมื่อเราเจริญเติบโต รับรู้ความจริงมากขึ้นๆ พระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้าจะทำงานในใจของเรา เราไม่รู้หรอก มันเปลี่ยนแปลงเอง ถ้าพี่น้องสัตย์ซื่อกับตัวเอง วันแรกที่เรามาเชื่อพระเจ้ากับทุกวันนี้ พี่น้องสังเกตไหมว่าความอดทนของเรา มันต่างกันเยอะเลยนะ เมื่อก่อนเราไม่ค่อยอดทนเท่าไร? แต่เดี๋ยวนี้ เหตุการณ์เรื่องเดียวกัน แต่ทำไมเราอดทนขึ้นล่ะ ถ้าเป็นเมื่อก่อนวีนแตกเลยนะ  เกิดเรื่องนี้ขึ้น ตายกันไปข้างหนึ่งเลย แต่ปัจจุบันทำไมเราใจเย็นขึ้น ทำไมเราอดทนได้ ทำไมเราผ่านมันไปได้ ทำไมเราสามารถ ช่างมันเถอะ อะไรอย่างนี้ ทำไม? ก็เพราะเรารับรู้ความจริงว่าสิ่งต่างๆ เหล่านี้ เรามีแล้ว

            แล้วพระเจ้า พระวิญญาณบริสุทธิ์ ก็นำพาเรา  ทำให้เราสำแดงสิ่งต่างๆ เหล่านี้ออกไป โดยธรรมชาติ  โดยที่เราไม่ต้องพยายามฝืน หรือไม่ต้องพยายามบีบตัวเองว่าต้องทำ ไม่ต้อง มันจะออกมาเอง

            ภาพที่ชัดที่สุด ที่ชอบเอามายกตัวอย่าง คือภาพการเจริญเติบโตของคนๆ หนึ่ง เด็กทารกคนหนึ่ง การเจริญเติบโตของเขาจะเป็นไปตามธรรมชาติ พ่อแม่มีส่วนแค่ประคับประคองให้เขาสามารถเจริญเติบโต แล้วเด็กคนนั้นเขาจะมองภาพจากไหน? จากคุณพ่อคุณแม่ อย่านึกว่าเด็กเขาไม่รู้เรื่อง เขาตัวเล็กๆ เวลาเขานอนกลิ้งไปกลิ้งมา ตอนหนึ่งเดือน สองเดือน เขาก็มอง เวลาพ่อแม่เดินไปไหน เขาก็มองตาม เห็นไม่เห็นเราไม่รู้แหละ แต่เขามองตามเรา แล้วเราทำอะไร? เขาก็จำเอาไว้ พอถึงวาระหนึ่งที่เขาเริ่มสามารถที่จะทำตามนั้นได้  เขาก็เจริญเติบโตตามวัย พอถึงเวลาเขาก็พลิกตัวได้เอง มันเป็นธรรมชาติ ที่เขาก็มองๆ ที่เขาเรียนรู้จักธรรมชาติของความเป็นคน พอพลิกตัวได้ เขาเริ่มต้นทำอย่างอื่นได้เรื่อยๆ คลานได้ เดินได้ วิ่งได้ พูดได้ พ่อแม่คุย เขาก็ฟัง คุยไปคุยมา เขาก็พูดตาม

            คำแรกที่เด็กพูดออกมา สมมติว่ายุคปัจจุบัน สามีภรรยาเขาชอบเรียกกันว่าคุณพ่อกับคุณแม่ เรียกให้ลูกฟังว่านี่เป็นคุณพ่อนะ นี่เป็นคุณแม่นะ … พ่อๆ แม่ๆ อย่างนี้ แล้วคำแรกที่เด็กหัดพูด ก็คือพ่อๆ แม่ๆ อยู่ตรงที่ว่าเด็กจะเรียกพ่อหรือว่าแม่ก่อนเท่านั้นเอง เพราะเขาได้ยิน ได้ฟัง เขาดู เขารับรู้

            คริสเตียนเหมือนกัน การเจริญเติบโต เกิดจากการรับรู้ความจริง กินอาหารให้ถูกหลัก กินอาหารที่ไม่มีพิษ ไม่มีภัย เป็นข่าวประเสริฐล้วนๆ  ที่พระเจ้าบอกว่าเราเป็นใครในพระคริสต์ ที่พระเจ้าบอกว่าพระเยซูได้ทำอะไรให้เราเรียบร้อยไปแล้ว

            คำว่า “เรียบร้อยไปแล้ว” หมายความว่าเราได้รับแล้ว เราไม่ต้องไปพยายามทำเพิ่ม เพื่อให้พระเจ้ารักเรามากขึ้น หรือไม่ต้องไปพยายามทำเพิ่ม เพื่อให้เราเป็นคริสเตียนมากขึ้น  ไม่ต้องเลย เราเป็นลูกพระเจ้า ก็เป็นเลย ไม่ต้องไปทำอะไรเพิ่ม เพื่อให้เป็นลูกของพระองค์มากขึ้น ลูกเราไม่เห็นต้องทำอะไรให้เรารู้สึกว่าเขาเป็นลูกเรามากขึ้น เกิดมา เขาก็เป็นลูกเรา เกเร เถียงเราอีก เราก็ยังคงเห็นว่าเขาเป็นลูก และเรารักเขาไหมล่ะ รัก แค่ว่าปวดหัวกับลูกเราจังเลย ทำไมเถียงเก่งอย่างนี้  แต่เราก็ยังคงรักเขาเหมือนเดิม ใช่ไหม?

            นี่คือความเป็นจริงของธรรมชาติที่พระเจ้าให้เรามองเห็น แล้วเราจะรับรู้ความจริงเหล่านี้ แล้วธรรมชาติเหล่านี้ มันจะเกิดออกมาเอง คือความถ่อมใจ ความสุภาพอ่อนโยนในทุกๆ ด้าน ความอดทน อดกลั้น ทำไมอาจารย์เปาโลต้องให้คนเอเฟซัสอดทน อดกลั้น เพราะตอนนั้น มันมีการข่มเหง มีการไล่ล่าผู้เชื่อ หนักกว่าพวกเราอีก ขอบคุณพระเจ้าที่เราเกิด ในประเทศไทย ซึ่งมีพระมหากษัตริย์ที่เข้าใจ ไม่กีดกั้นในเรื่องของการนับถือศาสนา  เราขอบคุณพระเจ้าจริงๆ ที่เรามีสถาบันกษัตริย์ ที่ให้เราเป็นที่ยึดเหนี่ยว  แล้วเราขอบคุณพระเจ้าจริงๆ ที่เราอยู่ประเทศไทย เรามีอิสระเสรี ที่จะเชื่ออะไรก็ได้ เรามาโบสถ์ได้อย่างเสรี ไม่ต้องมาหลบๆ ซ่อนๆ แอบมาด้วย มาแล้วก็กังวล เมื่อไรทหารจะมาจับเรา แต่สมัยก่อน คนในยุคนั้น เชื่อพระเจ้า ผวาตลอดเวลา ไม่รู้วันดีคืนดี ใครจะมาจับเราไปติดคุก เหมือนอาจารย์เปาโลอย่างนี้ วันดีคืนดี ก็ถูกจับไปติดคุก วันดีคืนดี ก็จับไปโบยตี วันดีคืนดี ก็ถูกจับไปซักถาม …

            “เธอทำไมถึงทำอย่างนี้ ไปประกาศพระนามของพระเยซูได้อย่างไร?”

            อะไรก็ว่าไป แต่อาจารย์เปาโลพูดคำหนึ่ง หรืออาจารย์เปโตรพูดหมือนกัน …

            “จำเป็นที่ข้าพเจ้าจะต้องเชื่อฟังพระเจ้า มากกว่าเชื่อฟังมนุษย์ ถ้าพระเจ้าให้ข้าพเจ้าพูด ข้าพเจ้าก็ต้องพูด มนุษย์จะมาห้ามไม่ได้หรอก”

            พูดก็พูดไป ถ้าคุณจะมาจับเรา ไปติดคุก ก็เอาเลย จับเราไป แต่ว่าข่าวประเสริฐของพระเจ้า ไม่มีโซ่ในโลกใบนี้ล่ามได้เลย นี่คือพระคุณ

            ฉะนั้น คนยุคนั้นต้องใช้ความอดทนมากๆ เพราะว่าเขาได้รับความเชื่อ ได้รับข่าวประเสริฐที่เป็นน้ำนม ที่ไม่มีอะไรแอบแฝง ก็คือเพียวๆ เลย เขารู้แค่สั้นๆ นะว่า …

            “พระเยซูเป็นบุตรของพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์ มาตายแทนเขาบนไม้กางเขน หลั่งพระโลหิต เพื่อชำระล้างความผิดบาปของเขา ได้เป็นขึ้นมาจากความตาย ทำให้เขาได้บังเกิดใหม่ เป็นลูกของพระเจ้า”

            เขารู้แค่นี้เอง แล้วเขาก็ไม่สนใจว่ามันมีอะไรที่จะต้องมาเสริมเติมแต่ง ไม่ต้อง รู้แค่นี้เอง แล้วเขาก็ยึดมั่นในความเชื่อของเขาตรงนี้ ไม่ว่าลำบากแค่ไหน? เขาก็ไม่ลดละ ที่จะเชื่อพระเจ้า เขายังเชื่ออยู่ ต่อให้ถูกฆ่าตาย ถูกบั่นคอตาย ถูกเผาตาย เขาก็ยังยึดมั่นในพระเจ้า คนสมัยนั้นทำไมเขาทำได้ เพราะเขาได้รับความจริงแท้ๆ ของพระเจ้า

            แต่ปัจจุบัน ความจริงเรื่องราวของพระเจ้ามีแอบแฝง เหมือนอาหารทุกวันนี้ พี่น้องนึกภาพออกไหม? คนโบราณปู่ย่าตาทวด เราแข็งแรง ทานข้าวแบบไม่ต้องมีอะไรเยอะเลย กินข้าวสวย กินข้าวต้มกับผักจิ้มน้ำพริก จนอายุแก่เฒ่าแล้วยังแข็งแรงอยู่เลย แต่คนปัจจุบัน ทำไมไม่แข็งแรง เพราะเกิดจากอาหารการกินทั้งหมด มันมีสารอะไรเยอะแยะ เนื่องจากสภาวะสิ่งแวดล้อมของโลกใบนี้

            คนยุคนี้น่าสงสาร เวลาจำกัด ทุกอย่างจำกัดหมด เด็กต้องไปโรงเรียน ตื่นแต่ไก่ขัน กินข้าวในบ้านไม่ได้ เพราะว่ามันจะไม่ทัน ออกช้ากว่า 6 โมงเช้า ไปติดบนถนนอีก 2 ชั่วโมง ผู้ใหญ่ที่ทำงาน เขาก็ต้องออกตั้งแต่ไก่โห่ เพื่อจะไปที่ทำงานให้ทัน ที่ทำงานเปิด 8 โมง เขาไปถึง 6 โมงกว่าไปนั่งอยู่ที่หน้าที่ทำงาน เพื่อว่าจะได้ไม่ต้องไปรถติด ตอนช่วงคนทำงาน

            สมัยก่อนดิฉันไม่ได้มาพักอยู่ที่โบสถ์ บ้านอยู่ตรอกจันทร์ ที่สาธุประดิษฐ์ ไปโบสถ์ที่มีนบุรี สาธุประดิษฐ์ถึงมีนบุรี ขอบคุณพระเจ้า มีรถเมล์สายหนึ่ง คือต่อเดียวถึงเลย 519 แต่รอนานมาก  ดิฉันตื่นตั้งแต่ตี 4 กว่า ออกมานั่งรถ ตี 5 เพื่อไปถึงโบสถ์ ตอนตี 5 รถโล่งมาก เราไปถึงโบสถ์ยังไม่ถึง 6 โมงเช้าเลย ขอบคุณพระเจ้า มีกุญแจโบสถ์ ไปถึงเราก็เปิดห้อง แล้วเราก็ไปนั่งอยู่ในโบสถ์ มันปลอดภัยกว่า นี่คือวิถีชีวิตของคนกรุงเทพจริงๆ

            เด็กๆ ต้องตื่นแต่ไก่โห่ กินข้าว ต้องไปกินบนรถ แล้วก็ไปโรงเรียน นี่คือสภาพแวดล้อมในปัจจุบัน ไปข้างนอก ก็มีของกินเยอะแยะหลากหลาย ซึ่งคนทำ ก็ไม่ได้ทำสะอาดเท่าไร? ซึ่งมันก็ไม่ได้เป็นประดยชน์อะไรกับร่างกายของเรา นี่พูดเรื่องจริงนะ

            ฉะนั้น สิ่งแวดล้อมต่างๆ เหล่านี้ ทำให้คนในยุคปัจจุบันเป็นโรคภัยไข้เจ็บเยอะกว่าคนสมัยก่อน ดังนั้น คนที่เป็นประโยชน์ที่สุด คือคนที่ทำกับข้าวกินเอง  สุขภาพจะแข็งแรงกว่า เพราะว่าเราทำเอง เรารู้ว่าเรากินอะไร? เราใส่อะไร? อะไรที่เลี่ยงได้ อะไรที่เลี่ยงไม่ได้ อย่างน้อย เราทำกับข้าวเอง เราล้างหมู ล้างผัก ล้างแล้วล้างอีก ทำให้มันสะอาด แต่คนทำมาหากิน เขาล้างให้เราไม่ไหวหรอก เขาทำกับข้าวที 40, 50 อย่าง

            อาจารย์เปาโลก็จะบอกเราว่าอย่าเพ่งมองความทุกข์ยากลำบาก บนโลกใบนี้ ให้เราจับจ้องมองดูที่พระคุณของพระเจ้า ดูที่พระพรที่พระเจ้าเตรียมให้เราเรียบร้อยไปแล้ว โลกนี้เราอยู่ชั่วคราว ชั่วคราวเองจริงๆ อยู่ไม่กี่ปีหรอก ไม่เหมือนคนสมัยก่อน 500, 600 ปี ปัจจุบันนี้ แค่ 80 กว่า เราก็เตรียมตัวกลับบ้านได้แล้วล่ะ ถ้าเลย 80 กว่าทรมานมากเลย เราอยู่ลำบากยากเย็น ฉะนั้น เราแค่ช่วงแป๊บเดียว  ซึ่งพระคัมภีร์บอกว่าโลกนี้ เป็นที่อยู่ชั่วคราว ไม่ใช่ที่อยู่ถาวรของพวกเรา ที่อยู่ถาวรของพวกเรา คือในโลกหน้า ในสวรรคสถานที่เราจะได้ไปอยู่กับพระเจ้านิรันดร์กาล นี่คือความหวังใจ ซึ่งความเป็นจริง ณ ปัจจุบัน ในโลกวิญญาณ เราก็อยู่กับพระเจ้าอยู่แล้ว

            แล้วความจริงตรงนี้ พระเจ้าเปิดให้เราเห็น สมัยก่อนเราไม่เห็น สมัยก่อน เรายังคิดว่าเราจะไปเจอพระเจ้า ก็ต้องหลังความตาย ต้องรอวิญญาณเราออกจากร่าง เราถึงไปเจอพระเจ้าได้ แต่ถ้อยคำของพระเจ้า พอเราอ่านจริงๆ บอกว่าพระเจ้าเข้ามาสถิตอยู่ในเรา เราเจอพระเจ้าแล้ว เพียงแต่เจอแบบว่าเรามองไม่เห็นชัดเจน เราต้องใช้ความเชื่อตามที่พระเจ้าบอกเรา แล้วเราก็เชื่อตามนั้น เอเมนตามนั้น นี่คือการดำเนินชีวิต บนโลกใบนี้ ซึ่งเมื่อเราเชื่อตามที่พระเจ้าบอกปุ๊บ ชีวิตเราก็อยู่ง่ายขึ้น

            พอเราเจอความทุกข์ยากลำบากหน่อยหนึ่ง เราก็ … “แป๊บเดียวๆ ไม่เป็นไรหรอก เดี๋ยวก็ผ่านไป”

            ตอนนี้เราเจ็บป่วยหรือ? … “ไม่เป็นไร แป๊บเดียว เจ็บป่วย ก็ไปหาหมอ เป็นอะไร ก็ไปรักษา”

            แต่ว่าพระเจ้าก็จะให้กำลังเรา ดิฉันยังเชื่อว่าพระเจ้าให้กำลังให้กับแต่ละคนสามารถ ที่จะผ่านไปได้ แม้ว่าทุกข์ยากขนาดไหน? ซึ่งบางครั้ง ตอนที่เราเผชิญอยู่ เรารู้สึก เราไม่ไหวแล้ว พระเจ้าไม่ไหวแล้ว ตายแน่ๆ แต่พระเจ้าก็พาเราผ่านไปได้ นี่คือความจริง ในโลกวิญญาณ ที่พระเจ้าบอกว่าพระเจ้าไม่เคยทิ้งเรา แม้ความรู้สึกในขณะที่เราเผชิญกับความทุกข์ยากลำบาก เรารู้สึกว่าพระเจ้าทิ้งเรา แต่ความจริงในถ้อยคำของพระเจ้า คือพระเจ้าไม่เคยทิ้งเรา พระเจ้าอยู่กับเรายามทุกข์ ยามสุข ยามหลับ ยามตื่น พระเจ้าอยู่ด้วยกับเรา และเป็นผู้ที่จะนำพาเราเดินไปด้วยกันกับพระองค์ นี่คือพระคุณซ้อนพระคุณที่พระเจ้าให้กับผู้เชื่อทั้งหลาย …

        เอเฟซัส 4:3 “จงเพียรพยายามรักษาความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันในพระวิญญาณ ผ่านทางพันธะแห่งสันติสุข”

            คำว่า “จงเพียร” มันก็ไม่น่าจะใช่ เพียรกับพยายาม ก็คือเราต้องพยายาม ทำตัวเองให้เป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน ต้องทำด้วยกำลังของเราเองนะ  แต่ถ้อยคำของพระเจ้าบอกว่า …

            “ทันทีที่เราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอด เราได้บัพติศมาเข้าไปเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเยซูคริสต์แล้ว”

            พระเจ้าพระบิดา พระเจ้าพระบุตร พระเจ้าพระวิญญาณบริสุทธิ์ เข้าไปเป็นหนึ่งเดียวกันเรียบร้อยไปแล้วในโลกวิญญาณ แล้วผู้เชื่อทุกคน เมื่อเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอดปุ๊บ เขาก็บัพติศมาเหมือนเราเลย เข้าไปเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเยซูคริสต์ ฉะนั้น เรากับผู้เชื่อคนอื่น พี่น้องไม่ว่าเขาจะอยู่ที่นี่ โฮลี่ ออฟ โฮลี่ส์ หรืออยู่ที่อื่นในโบสถ์ไหนก็ตาม บนโลกใบนี้ เราเป็นหนึ่งเดียวกันในพระเยซูคริสต์ ไม่ต้องพยายามทำ มันเกิดขึ้น เนื่องจากเราได้บังเกิดใหม่

            ฉะนั้น ถ้าเราเพียรพยายามให้เป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน เราทำตายเลย ตายแน่ๆ เลย เพราะว่าความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน เราจะพยายามทำให้มันได้ มันเป็นไปไม่ได้ เพราะเราเป็นมนุษย์ไง ความคิดเราก็ต่างกัน เห็นไหม? เวลาเราทำงาน หลายๆ คน คนนี้คิดอย่าง คนนั้นคิดอย่าง มันก็คิดไม่เหมือนกัน แล้วเป็นหนึ่งเดียวกันได้อย่างไร? เมื่อคิดไม่เหมือนกัน แต่พระเจ้าบอกว่าในโลกวิญญาณ วิญญาณเราเป็นหนึ่งเดียวกันกับผู้เชื่อทั้งหมดบนโลกใบนี้เรียบร้อยไปแล้ว โดยไม่ต้องทำอะไร? พระเจ้าทำให้เรียบร้อยไปแล้ว เรารักผู้เชื่อทุกคนเรียบร้อยไปแล้ว  โดยที่เราไม่ต้องทำอะไรอีก พระเจ้าทำให้เรียบร้อยแล้ว นี่คือความจริงในโลกวิญญาณ

            ฉะนั้น ความผูกพัน ความรัก ความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน สิ่งเหล่านี้พระเจ้าทำให้เรียบร้อยหมดแล้ว แค่เรารู้ความจริงว่าตอนนี้ เราทุกคนเป็นหนึ่งเดียวกันเรียบร้อยไปแล้ว เราถึงร้องเพลง “เราเป็นหนึ่งในความรักพระคริสต์” จำได้ใช่ไหม? …

                        “เราเป็นหนึ่งในความรักพระคริสต์

                        ให้เราจับมือกัน และประกาศให้โลกนี้

                        เราเป็นหนึ่งในความรักพระคริสต์”

            นี่ประกาศให้โลกรู้ว่าในโลกวิญญาณ เราเป็นหนึ่งในความรักของพระคริสต์ ผู้เชื่อทุกคนไม่ว่าจะนิกายไหน ถ้าเขาเชื่อว่าพระเยซูเป็นพระเจ้า เขาเปิดใจต้อนรับพระองค์เข้ามาเป็นพระผู้ช่วยให้รอด  คนนั้นเป็นหนึ่งเดียวกันกับเรา อาจจะความคิดเห็นต่างกัน แต่ละโบสถ์ การดำเนิน การวางแผนการต่างกัน แต่ว่าเราไม่ต่างกันในโลกวิญญาณ เพราะว่าเราทุกคนเป็นอวัยวะในพระเยซูคริสต์ร่วมกัน โดยมีพระเยซูคริสต์เป็นศีรษะของเรา …

        เอเฟซัส 4:4 “มีกายเดียวและพระวิญญาณองค์เดียว เหมือนกับที่ทรงเรียกท่านมาสู่ความหวังเดียว เมื่อทรงเรียกท่าน”

            กายเดียว วิญญาณเดียว  เป็นหนึ่งเดียว ก็คือพระเจ้าบอกชัดเจนเลย ทุกอย่าง เราเป็นหนึ่งเดียวกัน เป็นกายเดียวกัน โดยมีพระเยซูคริสต์ทรงเป็นศีรษะของเรา

        เอเฟซัส 4:5 “มีองค์พระผู้เป็นเจ้าองค์เดียว ความเชื่อเดียว บัพติศมาเดียว”

            ในพระคัมภีร์ไม่ได้บอกว่าต่างคนต่างบัพติศมา ไม่ใช่ บัพติศมาเดียว แล้วการบัพติศมานี้ ในโลกวิญญาณ เราทำเองไม่ได้ ไม่ใช่เอาตัวไปจุ่มน้ำ ไม่ใช่ แต่ว่าในโลกวิญญาณ พระเจ้าให้พระวิญญาณบริสุทธิ์เข้ามาผ่าตัดวิญญาณของเรา ทำให้วิญญาณเก่าของเรา ไปอยู่ในพระเยซูคริสต์และตายพร้อมกัน ฝังพร้อมกัน แล้วเป็นขึ้นมาใหม่กับพระเยซูคริสต์พร้อมกัน ได้บังเกิดใหม่ เข้ามาอยู่ในอาณาจักรของพระเจ้า เข้ามาเป็นลูกของพระเจ้า เป็นทายาทของพระเจ้า ได้รับมรดกร่วมกับพระเยซูคริสต์ เอเมน ตื่นเต้นไหม?

            ขอบคุณพระเจ้า นี่คือความจริงในโลกวิญญาณ ที่พี่น้องจำเป็นจะต้องรับรู้ เอาไปฟังเรื่อยๆ ฟังให้มันฝังเข้าไปในวิญญาณของเราเลยว่าตอนนี้ เรากับพระเจ้าเป็นหนึ่งเดียวกัน ไม่สามารถแยกจากกันได้เลย ไม่สามารถเลย แล้วเรากับพี่น้องในพระคริสต์ทุกคนบนโลกใบนี้ เป็นหนึ่งเดียวกันด้วย การดำเนินชีวิตต่างกัน ไม่เป็นไร แต่วิญญาณ เราเป็นวิญญาณเดียวกันแน่นอน พระเจ้าอวยพรค่ะ

*******************

จากใจคณะศิษยาภิบาล

            มีข่าวดีมาบอก! มนุษย์ทุกคนสามารถรู้จักกับพระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่สูงสุด เป็นการส่วนตัวได้แล้ว

            เยเรมีย์ 31:31-34 … “31 องค์พระผู้เป็นเจ้าประกาศว่า “เวลานั้นจะมาถึงเมื่อเราจะทำพันธสัญญาใหม่ กับพงศ์พันธุ์อิสราเอล และกับพงศ์พันธุ์ยูดาห์ 32 เป็นพันธสัญญา ซึ่งไม่เหมือนพันธสัญญาที่เราได้ทำไว้กับบรรพบุรุษของพวกเขา เมื่อเราจูงมือพวกเขา นำออกมาจากดินแดนอียิปต์ เพราะพวกเขาละเมิดพันธสัญญาที่ทำไว้กับเรา ทั้งๆ ที่เราเป็นเจ้านายของพวกเขา” องค์พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนั้น 33 องค์พระผู้เป็นเจ้าประกาศว่า “นี่คือพันธสัญญาที่เราจะทำกับพงศ์พันธุ์อิสราเอล หลังจากสมัยนั้น คือเราจะใส่บทบัญญัติของเราในจิตใจของพวกเขา จารึกบนหัวใจของพวกเขา เราจะเป็นพระเจ้าของพวกเขา และพวกเขาจะเป็นประชากรของเรา 34 ผู้คนจะไม่สอนเพื่อนบ้าน หรือสอนพี่น้องของตนอีกต่อไปว่า ‘จงรู้จักองค์พระผู้เป็นเจ้า’ เพราะพวกเขาทุกคนจะรู้จักเรา ตั้งแต่ผู้น้อยที่สุดไปจนถึงผู้ใหญ่ที่สุด” องค์พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนั้น “เพราะเราจะอภัยความชั่วร้ายของเขา และจะไม่จดจำบาปทั้งหลายของเขาอีกต่อไป”

            นี่คือคำมั่นสัญญาที่พระเจ้าได้ให้ไว้กับชาวยิว ซึ่งเล็งถึงมนุษยชาติทั้งมวล

            พระคัมภีร์เดิม พระเจ้าได้ทรงให้ผู้เผยพระวจนะเผยถึง สิ่งที่พระองค์สัญญาจะกระทำในอนาคตข้างหน้าเพื่อมวลมนุษย์ ซึ่งยังทำไม่สำเร็จเสร็จสิ้น

            ส่วนพระคัมภีร์ใหม่ ได้พูดถึงคำเผยพระวจนะที่พระเจ้าได้ทำสำเร็จแล้ว เมื่อพระเยซูคริสต์ทรงถูกตรึงบนไม้กางเขน และพระเยซูตรัสว่า “สำเร็จแล้ว” ทรงสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน ถูกฝังในอุโมงค์ และวันที่ 3 ได้ทรงเป็นขึ้นมาจากความตาย ทำให้มนุษยชาติสามารถเข้าสู่ขบวนการการบังเกิดใหม่ได้ โดยการเปิดใจยอมรับความช่วยเหลือจากพระเยซูคริสต์ พระเจ้าเข้ามาผ่าตัดวิญญาณของเราให้เข้าส่วนร่วมเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเยซูคริสต์

            ให้เราตายพร้อมกับพระเยซู ฝังพร้อมกับพระเยซู และเป็นขึ้นมาใหม่พร้อมกับพระเยซู บังเกิดใหม่เข้ามาอยู่ในครอบครัวของพระเจ้า สะอาด บริสุทธิ์ เหมือนพระเยซูเลย พระเจ้าเปลี่ยนวิญญาณให้เราใหม่ เปลี่ยนใจใหม่ให้เราเลย ส่วนร่างกายยังเป็นร่างกายเก่าอยู่ แต่ได้รับการชำระให้บริสุทธิ์

            วิญญาณและใจใหม่ได้เข้ามาอยู่ในพระคริสต์ เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเยซูคริสต์  และพระเจ้าทั้ง 3 พระภาคเข้ามาสถิตอยู่ในร่างกายเรา พระเจ้าทรงเตรียมร่างกายใหม่ที่เต็มไปด้วยสง่าราศีเหมือนพระเยซูให้กับเราเรียบร้อยแล้ว แค่รอวันที่เราตายจากโลกนี้ ทิ้งร่างกายเก่านี้ไป เราจะได้ไปรับร่างกายใหม่ ร่างกายที่เป็นขึ้นจากความตายเหมือนร่างกายของพระเยซูคริสต์ที่เป็นขึ้นจากความตาย

และจะได้พบเห็นพระเยซูคริสต์หน้าต่อหน้า นี่คือความหวังใจเดียวของผู้เชื่อ ทำให้เรามีกำลังใจในขณะที่ดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ สามารถเผชิญกับทุกสถานการณ์ที่ผ่านเข้ามาในชีวิตได้ ด้วยกำลังซึ่งมาจากพระเจ้า  คือได้รับรู้ว่า …

            “ฉันอยู่ในพระคริสต์ พระคริสต์อยู่ในฉัน เป็นความหวังแห่งเกียรติสิริ”

            พระเจ้าอวยพรครับ

วารสาร Holy  News   ฉบับที่  1415

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  30  เมษายน  2023

เรื่อง “อัศจรรย์เกิดขึ้นทันที เมื่อฉันเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์”

ตอน 8 “จะได้รับร่างกายใหม่ ที่เต็มไปด้วยสง่าราศี เหมือนพระเยซูคริสต์”

โดย นคร   เวชสุภาพร

            กลับมาเข้าสู่หัวข้อเรื่องซีรี่ย์ที่ได้บรรยาย 7 ตอนแล้ว ก็คือ “อัศจรรย์เกิดขึ้นทันที เมื่อฉันเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์” เป็นซีรี่ย์ที่สำคัญมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สำหรับมนุษย์ หรือผู้คนทั้งหลายที่ยังไม่ได้เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ ยังไม่ได้ใช้สิทธิของเขา  ที่พระเจ้าได้กระทำให้แล้วในพระเยซูคริสต์ ซึ่งมนุษย์ทุกคนจำเป็นต้องรู้ จำเป็นต้องใช้สิทธินี้ อย่างมากเลย และเป็นผลประโยชน์อย่างมากมาย เป็นสิ่งที่มีค่าสูงสุด  เป็นทรัพย์อันมีค่าล้ำเลิศ ที่พระเยซูคริสต์มาประกาศบอกว่าให้มนุษย์ทุกคนแสวงหาทรัพย์ตรงนี้แหละ  ทรัพย์สินที่ไม่สามารถจะเสื่อมสลายไปได้  ไม่มีมด ปลวกมาทำลายได้ ไม่เหมือนทรัพย์สินที่มนุษย์พยายามไขว่คว้าหากันบนโลกใบนี้  วัตถุสิ่งของบนโลกใบนี้ ความมั่งคั่งบนโลกใบนี้ พระองค์บอกสิ่งนี้สำคัญมากกว่าเยอะเลย คือชีวิตนิรันดร์ ชีวิตหลังความตาย จากโลกนี้แล้ว  จะมีอะไรเกิดขึ้น และพระองค์กระทำสำเร็จเรียบร้อยแล้ว เป็นอัศจรรย์เกิดขึ้นทั้งสิ้น ที่มนุษย์ไม่สามารถเข้าใจได้เลยว่ามันเป็นเช่นไร? แต่มันเป็นจริงตามนั้น โดยพระวิญญาณจะนำพาเรา สอนเรา บอกเราถึงความจริงเหล่านี้ หน้าที่ของมนุษย์ ที่จะต้อนรับพระเยซูคริสต์นี้  เริ่มต้นง่ายนิดเดียว

            เริ่มต้นด้วยถ่อมใจ รับฟังเท่านั้นเอง  ไม่มีวันที่จะเข้าใจได้เลย ตั้งแต่เริ่มต้นฟัง เป็นไปไม่ได้เลย มนุษย์ไม่สามารถเข้าใจความจริงในเรื่องโลกฝ่ายวิญญาณนี้ได้เลย จนกว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์จะเสด็จเข้ามาอยู่ในใจของคนๆ นั้น ถึงจะสามารถเริ่มต้นรู้เรื่อง และเข้าใจถึงโลกวิญญาณได้

            เพราะฉะนั้น หน้าที่ของมนุษย์ทั้งหลายทั้งปวงจึงต้องเริ่มต้นถ่อมใจ รับฟังข่าวดีนี้ ที่เขาเรียกกันว่าข่าวดีๆ ของพระเยซูคริสต์ แค่เริ่มต้นรับฟังด้วยความคิดของมนุษย์นั่นแหละ ซึ่งคิดไม่ออก แล้วก็ไม่ค่อยเข้าใจหรอก  แต่ขอร้องให้อดทน แล้วก็ถ่อมใจฟังไปเรื่อยๆ แม้ว่าจะไม่เข้าใจก็ตาม  แต่ให้ฟังไปเรื่อยๆ  เพราะข่าวดีนี้เป็นฤทธิ์เดช  หมายถึงมนุษย์ไม่สามารถเข้าใจว่ามันทำงานอย่างไร? ก็ไม่เข้าใจ แล้วจะไปฟังทำไม? พระองค์บอกว่าไม่เข้าใจ แต่ให้วางใจไง  ยังไม่ต้องเชื่อพระองค์หรอก  เพราะไม่มีทางที่มนุษย์จะเชื่อพระเยซูคริสต์ได้ เป็นไปไม่ได้เลย  โดยใช้ความคิด หรือความเข้าใจแบบมนุษย์ไม่สามารถที่จะเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เชื่อพระเยซูคริสต์ เป็นไปไม่ได้  ถ้าเป็นไปได้ ทำอย่างไร? ก็ใช้ความคิดของตนเองเท่านั้นเองว่ามันน่าจะเป็นไปได้มั้ง  แล้วก็ตั้งความหวังไว้  แล้วอะไรอีกต่อไป ถ่อมใจ ทั้งๆ ที่ไม่เข้าใจนั้น ฟังไปเรื่อยๆ  เพราะว่าพระองค์บอกแล้วว่าผู้ที่วางใจในพระองค์

            “วางใจ” หมายถึงความคิดของมนุษย์ ที่สามารถวางใจอะไรบางอย่างได้  วางใจว่ามันน่าจะใช่นะ  เราไม่เข้าใจ ฟังไปก่อน  เพราะพระองค์บอกว่าคนที่วางใจในพระองค์ เมื่อถึงระดับหนึ่ง วางใจ ฟังไปเรื่อยๆ ฟังถ้อยคำที่เรียกว่าข่าวดีของพระเยซูคริสต์ ซึ่งพระเยซูบอกว่าเป็นเหมือนเมล็ดพันธุ์ แห่งข่าวประเสริฐ

            เมล็ดพันธุ์เป็นฤทธิ์เดช เป็นอำนาจ  เพราะเป็นความจริง  ความจริงนี้จะลงไปในความคิดของท่าน ฟังไปเรื่อยๆ วันไหนก็ไม่รู้ จะมีอยู่วันหนึ่งที่สิ่งที่ท่านฟัง คือเมล็ดถ้อยคำแห่งข่าวประเสริฐนี้  มันจะหล่นจากความคิดจิตใจของท่าน หล่นไป อยู่ที่ในใจของท่าน  คือดินในใจของท่าน  และมันก็จะเกิด งอกออกมาเป็นผลเรียกว่าความเชื่อศรัทธางอกขึ้นมา พระเจ้า เป็นผู้ประทานให้  เหตุจากที่ท่านต้อนรับเมล็ดพันธุ์นั้น ต้อนรับไปเรื่อยๆ รับเรื่อยๆ แม้ไม่เข้าใจ ก็ฟังไปเรื่อย อดทน ถ่อมใจ ยอมเป็นเหมือนคนโง่ๆ คนหนึ่ง ที่ฟัง ไม่เข้าใจก็ฟัง เชื่ออะไร โดยที่ไม่มีเหตุผล ก็เชื่อ คล้ายๆ อย่างนั้น

            แล้วมันจะมีอยู่วันหนึ่งจริงๆ ที่เรียกว่าวันแห่งการเปิดใจ เพราะว่าความจริงที่ท่านฟังไป แล้วไม่เข้าใจนั้น มันหล่นลงมาในใจของท่าน  เกิดเป็นความเชื่อศรัทธาเท่าเมล็ดมัสตาร์ด เล็กนิดเดียว แต่มันกลายเป็นต้นไม้ใหญ่โตกว่าคนอื่นๆ เยอะแยะเลย ออกผล เป็นที่พักพิง พึ่งพิง อาศัยของนกกาเยอะแยะมากมาย พระเยซูเปรียบเทียบให้เห็นถึงความยิ่งใหญ่แห่งเมล็ดข่าวประเสริฐนี้ พูดง่ายๆ ก็คือเมื่อท่านฟังไปเรื่อยๆ ข่าวประเสริฐนี้จะตกลงไปในใจของท่าน แล้วก็จะเกิดการอัศจรรย์ขึ้นนั่นเอง ที่ผมใช้หัวข้อเรื่องซีรี่ย์นี้ว่าอัศจรรย์เกิดขึ้นทันที เมื่อฉันเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ มันเกิดขึ้นทันที  เมื่อไร? เมื่อท่านฟังไปเรื่อยๆ  เรานอนหลับๆ ตื่นๆ มีอยู่วันหนึ่ง สิ่งที่ท่านฟังนั้น มันลงไปในใจท่าน มันเกิดเป็นอัศจรรย์ขึ้นทันที

            “ทันที” หมายถึงสิ่งที่ท่านฟังนั้น มันหล่นลงไปในใจ  ไม่ใช่ทันทีที่ท่านฟังวันแรก แล้วไม่เข้าใจ แล้วท่านก็บอกว่าไม่เห็นมีอัศจรรย์อะไรเลย ฟังข่าวประเสริฐ แล้วก็เฉยๆ ฟังเมื่อไร? เพิ่งจะฟังนี่แหละ

            เพราะฉะนั้น ให้มีกำลังใจ ทั้งผู้ให้และผู้รับด้วย  ผู้ให้ คือคนที่ประกาศข่าวดี คนที่ไปพูดข่าวดี  มีกำลังใจ พูดไปเรื่อยๆ แม้เขาไม่เข้าใจ ก็พูดไปเรื่อยๆ  พูดให้เขาฟัง แต่ต้องมีกาลเทศะหน่อยนะ  เอาตอนที่เขาฟังแล้ว  ภาษามนุษย์ ตอนที่เขาฟัง แล้วสามารถที่จะรับฟังเราได้ ไม่ใช่อยู่ดีๆ ก็ไปขัดจังหวะจะเล่าเรื่องนี้เสมอ  มีโอกาส ก็เล่าให้ฟัง มีโอกาส ก็บอกให้ฟัง มีโอกาส ก็ส่งข้อมูลข่าวดีนี้ให้ฟัง คนรับฟัง ก็เช่นเดียวกัน ก็ถ่อมใจ อย่าปฏิเสธ …

            “ไม่เอาหรอก นี่ศาสนาฝรั่ง ไม่เอาหรอก เขาว่าอย่างโน้น เขาว่าอย่างนี้”

            เขาว่าเรื่อยๆ  สรุปก็ไม่ฟัง ขอร้องเลย อยากให้ยกมือไหว้ ขอร้องให้ฟังเถอะ ฟังไปเรื่อยๆ มันจะมีอยู่วันหนึ่ง ที่อัศจรรย์จะเกิดขึ้น ทันที ที่ในใจของท่าน

            มาเข้าวันนี้ ตอนที่ 8 แล้ว ใช้ชื่อหัวข้อเรื่องว่า “จะได้รับร่างกายใหม่ ที่เต็มไปด้วยสง่าราศี เหมือนพระเยซูคริสต์” สิ่งเหล่านี้เป็นอัศจรรย์ทั้งสิ้น มนุษย์คิดไม่ถึง คาดไม่ถึงเลยว่ามันจะเป็นไปได้อย่างไร? แต่พระคัมภีร์บันทึกไว้อย่างนั้นจริงๆ

            เรามาทบทวนซีรี่ย์นี้ 7 ตอนแล้ว

            ตอนที่ 1 “วิญญาณเก่าที่เป็นคนบาปต้องคำสาปได้ตายไปแล้ว”

            ตอนที่ 2 “ได้บังเกิดใหม่โดยพระวิญญาณของพระเจ้า”

            ตอนที่ 3 “ได้เป็นลูกของพระเจ้าที่ทรงรักดังแก้วตาดวงใจแล้ว”

            ตอนที่ 4 “พระเจ้าเข้ามาสถิตอยู่ด้วย ภายในร่างกาย”

            ตอนที่ 5 “ได้เข้ามาอยู่ในสวรรค์แล้ว ขณะนี้”

            ตอนที่ 6 “พระเจ้าได้ทรงให้ฉันนั่งในสวรรค์สถานกับพระคริสต์”

            ตอนที่ 7 “ได้รับมรดกเป็นรางวัล ตั้งแต่อยู่ในโลกนี้ จนถึงโลกหน้านิรันดร์เลย”

            ได้รับเมื่อไร? เมื่อเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เท่านั้นเอง แค่เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ อัศจรรย์เหล่านี้เกิดขึ้นทันที ในชีวิตของคนๆ นั้น มนุษย์ทุกคน ท่านอ่านมาตะกี้นี้ ฟังหัวข้อเรื่องเมื่อตะกี้นี้ มาจากความจริงในถ้อยคำพระเจ้า ในพระคัมภีร์ไบเบิ้ลทั้งสิ้น

            วันนี้ ตอนที่ 8 “จะได้รับร่างกายใหม่ ที่เต็มไปด้วยสง่าราศี เหมือนพระเยซูคริสต์”

            “จะได้รับร่างกายใหม่” ใครได้ คนที่เปิดใจแล้ว ต้อนรับพระเยซูคริสต์ ฟังมาเรื่อยๆ  ไม่รู้วันนั้น วันไหน? เราก็ไม่รู้ อัศจรรย์มันเกิดขึ้นในวิญญาณ ในจิตใจของเรา ทันทีทันใดนั้น เราจะได้รับร่างกายใหม่ที่เต็มไปด้วยสง่าราศี เหมือนพระเยซูคริสต์เลยทีเดียว ผมก็ไม่รู้หรอก ผมได้อัศจรรย์นี้ตั้งแต่เมื่อไร? แต่รู้ว่าไม่น่าจะเกินปี 1988 แต่ก่อนนี้ เราก็คิดว่าเราเกิดใหม่ ได้อัศจรรย์วันที่ 18 มิถุนายน ปี 1988 แต่พอเรียนรู้ถ้อยคำพระเจ้าไปเรื่อยๆ ไม่ใช่ วันที่ 18 มิถุนายน 1988 อาจจะเป็นวันเริ่มต้นฟัง เริ่มต้นพอจะถ่อมใจมากขึ้นในการฟัง ก็ได้  แล้วมาบังเกิดใหม่ มาอัศจรรย์เมื่อไร? ไม่รู้ อาจจะหลังจากวันที่ 18 มิถุนายน 1988 หรืออาจจะวันนั้นเลยก็ได้ เพราะว่าก่อนหน้านี้ ฟังมาตั้งหลายสิบปีแล้วก็ได้ ไม่มีใครรู้หรอกว่าวันนั้นวันไหน? แต่ข้างในใจเรารู้ว่าเราได้บังเกิดใหม่ อัศจรรย์เกิดขึ้นในใจของเราแล้วทันที เรารู้ เพราะอยู่ในใจ

            อัศจรรย์ที่ได้รับแล้วทันที ขณะดำเนินชีวิตอยู่ในโลกนี้ เราเรียนมาแล้ว 7 ตอนนั้น คืออัศจรรย์ที่ได้รับแล้ว ตอนเดินอยู่บนโลกใบนี้เลย เป็นเหมือนมัดจำ มีอะไรบ้าง? เปิดใจแล้ว ได้รับแล้ว เดินอยู่บนโลกใบนี้ สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นกับชีวิตของคนๆ นั้นแล้ว ก็คือ …

            1. วิญญาณเก่า ที่เป็นคนบาป ต้องคำสาป ได้ตายไปแล้ว ตัวเก่าเราที่บอกว่าใช้หนี้บาปๆ เวรกรรมนั้น ตายไปแล้ว

            2. ได้บังเกิดใหม่ โดยพระวิญญาณของพระเจ้า

            3. ได้เป็นลูกของพระเจ้า ที่ทรงรักดังแก้วตาดวงใจแล้ว ตอนเดินอยู่บนโลกใบนี้ เป็นลูกของพระเจ้าแล้ว

            4. พระเจ้าเข้ามาสถิตอยู่ด้วย ภายในร่างกาย เดินไปไหน พระเจ้าไปด้วยทั้ง 3 พระภาค พระเจ้าพระบิดา พระเจ้าพระบุตร พระเยซูคริสต์ พระเจ้าพระวิญญาณบริสุทธิ์เดินไปกับเราที่ไหนๆ ปกปักษ์คุ้มครอง ดูแลเรา  นำพาชีวิตเรา

            5. ได้เข้ามาอยู่ในอาณาจักรสวรรค์แล้ว ขณะนี้ กำลังดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้  แต่ในวิญญาณของเรา ได้อยู่ในสวรรค์แล้ว เอเมน พระคัมภีร์บอกไว้อย่างนั้น

            6. พระเจ้าได้ทรงให้ฉัน นั่งในสวรรค์สถานกับพระคริสต์ คือไม่ได้อยู่ในสวรรค์อย่างเดียว แต่อยู่ในฐานะเป็นรัชทายาท  อยู่เบื้องขวาของพระองค์ร่วมกับพระเยซูคริสต์ ฉันนี่นะ ขณะนี้นะ  ขณะที่กระจอกๆ ทุกวันนี้นะ เงินเดือนยังชักหน้าไม่ถึงหลังเลยนะ สิ้นเดือน เงินไม่พอใช้บ้าง อะไรบ้าง เดือดร้อนบ้าง ยังเจ็บป่วย ไม่แข็งแรง ยังมีนิสัยไม่ดีอะไรต่างๆ เยอะแยะเลย …

            “ฉันนั่งอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้าในสวรรคสถาน เป็นรัชทายาท มีมรดกมากมาย ร่ำรวยมหาศาลแล้วเหรอ จริงหรือ?”

            ตอบว่า “เอเมน”

            7. ได้รับมรดกเป็นรางวัล ตั้งแต่อยู่ในโลกนี้แล้ว  แล้วต่อไปถึงโลกหน้าด้วย

            “ฉันนี่หรือมีมรดก พ่อแม่ ปู่ย่า ตายาย ไม่เคยมีมรดกให้ฉันเลย แม้แต่บาทเดียว เราจนกันมาตลอด เราหาเช้ากินค่ำมาตลอด ฉันมีมรดกจากพระเจ้า แล้วมรดกนั้นร่วมรับกับพระเยซูคริสต์ด้วย เป็นไปได้หรือ?”

            ก็ต้องตอบว่า “เป็นไปได้”

            นี่คือ 7 อย่างที่เราได้รับเรียบร้อยแล้ว มันเกิดขึ้นแล้วในขณะที่เราดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้เลย ต้องบอกว่า …

            “โอ้โห! ขอบคุณพระเจ้า สรรเสริญพระเจ้า เอเมน” ถูกไหม?

            สำหรับคนที่รับฟังอยู่ แล้วก็รับฟังไปเรื่อยๆ ยังถ่อมใจอยู่ ก็จะบอกว่า …

            “โอ้โห! เป็นไปได้เหรอ จริงๆ หรือ? ฉันก็อยากได้ แต่ฉันจะฟังต่อไป” นี่มีอีกประเภทหนึ่ง

            ประเภทที่ 3 ก็คือ … “โอ้โห! เป็นบ้าหรือเปล่า? ไม่มีรู้เรื่องอะไรเลย”

            เขาหาว่าคนที่เชื่อในข่าวประเสริฐนี้ เป็นพวกโง่เขลา นี่ผมไม่ได้พูดนะ พระคัมภีร์บันทึกไว้อย่างนั้นจริงๆ สำหรับคนที่เขาไม่ฟังเลย  เขาคิดตามภาษามนุษย์ เขาจะบอกว่าสิ่งเหล่านี้ เป็นสิ่งที่โง่เขลา แต่พระคัมภีร์บอกว่าพระเจ้าจะทำให้เห็นว่าสิ่งที่เขาบอกว่าโง่เขลานั้น ทำให้คนเหล่านั้น ที่พูดนั้น ต้องอับอายไป เราก็ไม่อยากให้ใครอับอาย  เพราะอับอายนี้ ไม่ใช่แค่อายบนโลกใบนี้นะ มันอายไปถึงนิรันดร์ ไปถึงสวรรค์ เมื่อถึงวันนั้น เราไม่อยากให้ถึงวันนั้นเลย

            วันนี้เราจะมารับรู้อัศจรรย์อย่างที่ 8 แยกแล้ว ตะกี้นี้บนโลกใบนี้ เราได้รับเรียบร้อยไปแล้ว ตอนนี้ อัศจรรย์อย่างที่ 8 ที่จะได้รับในโลกหน้า คือจะได้รับร่างกายใหม่ ที่เต็มไปด้วยสง่าราศี เหมือนพระเยซูคริสต์ ตื่นเต้นไหมล่ะ

            คริสเตียนที่บังเกิดใหม่แล้ว  ได้รับอัศจรรย์ทั้ง 7 อย่างนี้ไปเรียบร้อยแล้ว  จะมีความหวังอยู่ 2 ความหวัง ความหวัง อันดับแรก ก็คือ 7 อย่าง ทั้งหมดเป็นของเราแล้ว ถามว่าทำไมถึงเป็นความหวัง ในเมื่อเราได้รับแล้ว  ก็เพราะว่ามันเป็นในโลกวิญญาณมันมองไม่เห็นไง  แต่มันได้รับแล้ว ตามความจริงในถ้อยคำพระเจ้า ในพระคัมภีร์ที่บอกเรา และพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่สถิตอยู่กับเราแล้วนั้น เป็นผู้ยืนยันว่ามันเป็นเรื่องจริง เราจึงใช้คำว่าความหวัง แต่เป็นความหวังที่ได้รับแล้ว  ก็คือความหวังอันดับหนึ่งของคริสเตียนที่บังเกิดใหม่ เพราะว่ามันมองไม่เห็น  แต่เป็นความหวังที่เกิดขึ้นจากความเชื่อ

            ความเชื่อ คือความหวังในสิ่งต่างๆ ที่เป็นอนาคต แต่สามารถจับต้องมองเห็นได้ ในปัจจุบัน เป็นร่องรอย หลักฐานที่สำคัญว่าสิ่งที่หวังไว้ มันได้แน่นอน 100% เอเมน นี่เป็นความหวังอันดับที่ 1

            ความหวังอันดับที่ 2 ก็คือความหวังในสิ่งที่พระเจ้าทรงสัญญาไว้ว่าจะได้ แต่ยังไม่ได้ ก็คือความหวังอันที่ 2 เมื่อสักครู่นี้ที่เราได้อ่านในอัศจรรย์อย่างที่ 8  ก็คือร่างกายใหม่ที่เต็มด้วยสง่าราศี เหมือนพระเยซูคริสต์นั่นเอง

            ในโคโลสี 1:27 ได้บันทึกว่า … “พระคริสต์ทรงสถิตอยู่ในท่าน” ท่าน หมายถึงคนที่เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์แล้ว ได้รับ 7 อย่างนั้น อัศจรรย์เกิดขึ้นแล้วในร่างกาย “พระคริสต์สถิตอยู่ในท่าน เป็นความหวังแห่งเกียรติสิริ เป็นความหวังแห่งสง่าราศี ที่ท่านจะร่วมรับกับพระเยซูคริสต์” นั่นหมายถึงร่างกายใหม่ที่ท่านจะเป็นขึ้นมาเหมือนพระเยซูคริสต์นั่นเอง นี่คือความหวัง แต่เป็นความหวังที่มีมัดจำ ตั้ง 7 อย่าง ในพระคัมภีร์รวมเรียกว่าพระคริสต์ … พระคริสต์ คือ 7 อย่างทั้งหมดนั้น พอท่านเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ … พระเยซูคริสต์เข้ามาปุ๊บ 7 อย่างนั้นเกิดขึ้นทันที พร้อมกัน

            เพราะฉะนั้น เมื่อพระคริสต์สถิตอยู่ในท่าน ท่านได้รับ 7 อย่างนี้แล้ว ท่านก็มีความหวังชัดเจนว่าอย่างที่ 8 มันจะหนีไปไหน? ในโคโลสี 1:27 จึงบอกว่าเมื่อพระคริสต์สถิตอยู่ในท่าน เป็นความหวังแห่งเกียรติสิริ  ที่ท่านจะร่วมรับกับพระเยซูคริสต์ในไม่ช้านี้นั่นเอง เอเมน ให้เราปรบมือขอบคุณพระเจ้าของเรา ไม่ใช่ความหวังลมๆ แล้งๆ เลย ทั้ง 2 ความหวัง เห็นไหม? ความหวัง 1 ยิ่งชัดเจน  ได้รับเรียบร้อยแล้ว อธิษฐานกับพระเจ้า พระเจ้าทรงตอบตรงโน้นตรงนี้ อย่างนั้นอย่างนี้ เดินกับพระเจ้ากระหนุงกระหนิง  คุยกับพระเจ้า อธิษฐานได้ทุกวัน พระเจ้าช่วยตรงนั้นตรงนี้ มั่นใจตรงนั้นตรงนี้ เจอปัญหาอะไรต่างๆ ก็มีผู้หนึ่งคอยเดินอยู่กับเรา คอยช่วยเหลือเรา คอยเป็นสติปัญญา คอยจูงมือเราเดิน เรารู้ คอยช่วยเหลือเรา เรารู้ เรามีความหวังตรงนั้น  และมีความหวังในอนาคตด้วย ทั้งหมดนี้ เป็นความหวังที่เรารู้ชัดเจน แจ่มใส เพราะเต็มไปด้วยความเชื่อศรัทธา ที่พระเจ้าประทานให้ในวิญญาณ ในใจใหม่ของเรา ที่บังเกิดใหม่แล้วนั้น เราจึงรู้ทั้งหมดเหล่านี้ว่าฉันรู้ เพราะอยู่ในใจ

            ยอห์น 11:25-26 ฟังพระเยซูประกาศความจริง เกี่ยวกับเรื่องความหวังของการเป็นขึ้นจากความตาย ดูสิว่ามีใครบ้างที่เป็นนักสอนความเชื่อต่างๆ กล้าพูดอย่างนี้ นี่พระเยซูประกาศด้วยตัวของพระองค์เอง ตอนเดินอยู่บนโลกใบนี้ ประกาศชัดเจน แจ่มใสเลย คือถ้าเผื่อมันไม่เป็นจริงตามประกาศนี้ ข่าวดีนี้ ไม่สามารถมีชีวิตอยู่ มาถึงทุกวันนี้ได้ 2,000 ปีแล้ว บนโลกใบนี้  และผู้คนเชื่อมากขึ้นเรื่อยๆ  เพราะว่ามันไม่มีเหตุผลแบบมนุษย์ที่จะเข้าใจเลย อ่านช้าๆ แล้วลองฟังดู …

        ยอห์น 11:25-26 “พระเยซูตรัสว่า “เราเป็นเหตุให้คนทั้งปวงเป็นขึ้นและมีชีวิต ผู้ที่วางใจในเรานั้น  ถึงแม้ว่าเขาตายแล้ว ก็ยังจะมีชีวิตอีก และทุกคนที่มีชีวิตและวางใจในเรา จะไม่ตายเลย เจ้าเชื่ออย่างนี้ไหม?”

            นี่ลองคิดดูสิ ถ้าไม่จริง ไม่น่าจะมีคนเชื่อมาจนถึงทุกวันนี้ มาถึง 2,000 ปีแล้ว

            “เจ้าเชื่ออย่างนี้ไหม?”

            เราในที่นี้ ตอบอย่างนี้ว่า … “เชื่อครับ เชื่อแล้ว รู้แล้วว่าจริง”

            พระเยซูตรัสว่า “เราเป็นเหตุให้คนทั้งปวง” คือมนุษย์ทั้งหมดบนโลกใบนี้ สามารถที่จะเป็นขึ้นและมีชีวิตอยู่ ตรงนี้หมายถึงวิญญาณของมนุษย์  เราจะเป็นเหตุให้วิญญาณของมนุษย์ เป็นขึ้นและมีชีวิตอยู่ ก็แสดงว่าก่อนหน้านี้ อยู่ตรงข้ามตรงนี้อยู่ คือวิญญาณตายอยู่ พระเยซูกำลังบอกว่า “เราจะเป็นเหตุให้วิญญาณเขามีชีวิตขึ้นมาใหม่” แล้วก็บอกว่า “ผู้ที่วางใจในเรานั้น ถึงแม้ว่าเขาตายไปแล้ว” ก็คือวิญญาณเขาตายอยู่แล้ว ยังไม่ได้ทำอะไรเลย วิญญาณตาย ร่างกายก็ไปสู่ความตาย ถึงแม้ว่าเขาตายแล้วก็จริง ก็ยังจะมีชีวิตอีก คือวิญญาณได้เกิดใหม่ ในพระเยซู

            “และทุกคนที่มีชีวิตและวางใจในเราจะไม่ตายเลย” คำว่า “ไม่ตายเลย” ตรงนี้ หมายถึงร่างกาย นี่แหละ กำลังพูดถึงร่างกายใหม่ ร่างกายที่จะได้รับใหม่ ในพระองค์ และทุกคนที่มีชีวิต ดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ ที่ยังไม่ตาย  แต่ถ้าเขาวางใจเรานะ เขาก็จะไม่ตายเลย

            ทุกคนที่มีชีวิตอยู่ ที่ยังไม่ตายทางร่างกาย ถ้าวางใจในพระเยซูคริสต์ เขาจะไม่ตายอีกเลย  เป็นไปได้หรือ? คนเราเกิดมาต้องตาย แต่พระเยซูบอกว่าถ้าเขาวางใจในเรา เขาเชื่อในเรา เขาจะไม่ต้องตาย เขาจึงเรียกผู้เชื่อหรือคริสเตียนทั้งหลาย ถ้าตามลักษณะอาการ เหมือนกับหมดลมหายใจไป ตายไป เขาจึงเรียกว่าล่วงหลับไป เขาไม่เรียกว่าตาย เพราะคริสเตียนไม่มีการตายอีกต่อไป

            พระเยซูกำลังพูดถึงเรื่องร่างกายเวอร์ชั่นเดิม ที่เราดำเนินอยู่บนโลกใบนี้ เกิดมา ก็มีร่างกายที่เป็นเวอร์ชั่นเดิม ฟังให้ดีๆ นะ นี่เป็นกฎ ก็คืออยู่ในการเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป คือตาย คือสูญสิ้น ถ้าไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง มนุษย์ทุกคนเกิดมาอยู่ในเวอร์ชั่นเดิม ก็คือเกิดมาแล้ว ทำอะไร? อยู่ไป แต่ค่อยๆ เสื่อมไปเรื่อยๆ ไปสู่ความตาย หรือเรียกว่าดับไป หรือเรียกว่าสูญสิ้น นี่กำลังพูดถึงร่างกาย วันนี้เราพูดถึงเรื่องร่างกายโดยเฉพาะนะ วิญญาณนั้นตายอยู่แล้ว ตายจากพระสิริของพระเจ้า ไม่มีชีวิตอยู่ วิญญาณก็ตาย ร่างกายอยู่ในเวอร์ชั่นเดิม เกิด เดินได้ แต่ตั้งอยู่ด้วยความเสื่อมสลาย ไปสู่ความตาย ดับไป สูญสิ้น กลายเป็นดิน  และจากดินนั้น ในที่สุด วันหนึ่งพระเจ้าก็ทำลายจนสูญสิ้น เป็นไปตามกฎแห่งคำสาปแช่งที่ลงมาบนโลกใบนี้ เรียบร้อยแล้ว  ตั้งแต่สมัยอาดัม

            แต่ร่างกายของคริสเตียน อันนี้ไม่เหมือนกันแล้วนะ ที่พระเยซูกำลังบอก ร่างกายของคริสเตียน ผู้ที่วางใจในพระเยซูคริสต์ ที่เชื่อในพระเยซูคริสต์ พระองค์บอกไม่ตาย ก็คือไม่สูญสิ้นไป ไม่มีวันดับไป พร้อมๆ กับโลกใบนี้ วันหนึ่งข้างหน้า นี่คือเวอร์ชั่นใหม่  เพราะเขาจะได้รับการเปลี่ยนแปลง จากเวอร์ชั่นเดิม มาเป็นเวอร์ชั่นใหม่ เขาไปอยู่ในมิติวิญญาณที่เรียกว่าสวรรค์ ให้เห็นพระเจ้าหน้าต่อหน้าได้ ถ้าเวอร์ชั่นเดิม ถ้าเป็นร่างกายเดิม อยู่ในกฎของเกิดขึ้น ตั้งอยู่ชั่วคราว ในพระคัมภีร์ใช้คำว่าชั่วคราว สิ่งของที่จับต้องมองเห็นได้บนโลกใบนี้ทั้งหมด ก็คือร่างกายของมนุษย์ที่เกิดมาจากดิน เกิดมาจากโลกใบนี้ทั้งหมด อยู่ในกฎของการเกิดขึ้น ตั้งอยู่ชั่วคราว  เพื่อจะไปดับสูญ สลายไป ทั้งโลกเลย มันจะดับสูญไป

            นี่คือกฎที่มันเกิดขึ้นแล้ว บนโลกใบนี้ แต่พระเยซูมาเพื่อช่วยไง ช่วยให้ร่างกายที่ต้องดับสูญนั้น ไม่ดับสูญ ไม่ต้องตาย ก็คือเกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วก็อยู่ตลอดไปนิรันดร์ ไม่ตาย อยู่ที่ไหน? อยู่ในสวรรค์กับพระเจ้า อยู่ได้อย่างไร? อยู่ได้ เพราะว่ามีร่างกายเวอร์ชั่นใหม่ ที่เรากำลังเรียนรู้วันนี้ ร่างกายที่เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์ ที่เป็นขึ้นจากความตาย  สิ่งเหล่านี้ได้รับโดยวิธีใด แค่เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เท่านั้น แล้วก็ได้เข้ามาอาศัยอยู่ในอาณาจักร ที่เรียกว่าสวรรค์ทันที ที่เรียกว่าในพระคริสต์ ในโลกวิญญาณทันที เป็นมัดจำเรียบร้อยไปแล้ว  แล้วร่างกายเดิมอยู่นั้น ก็เข้าสู่กระบวนการเปลี่ยนแปลงใหม่ สู่เวอร์ชั่นใหม่ เวอร์ชั่นที่ 2 เพื่อจะได้สามารถเข้าสวรรค์ได้ในอนาคตอันใกล้นี้

            ตื่นเต้นมาก หลับตาแล้ว เห็นภาพเลย อีกไม่กี่วัน อีกไม่กี่เดือน อีกไม่กี่ปีนี้ หรือใครจะไม่รู้ อะไรจะเกิดขึ้นบนโลกใบนี้บ้าง วันหนึ่งโลกมันจะต้องดับสูญไปทั้งหมด วันหนึ่งร่างกายเราก็ต้องดับสูญ แต่ตอนนี้เรามีความหวังใจ เห็นชัดเจนเลย จากภายในออกไป  จากถ้อยคำพระเจ้าก็เห็นชัดเจนว่าร่างกายเรากำลังเปลี่ยนแปลงไปสู่สง่าราศี  เหมือนพระเยซูคริสต์ ไม่มีการตายอีกแล้ว แต่เวลาเราคุยกัน คุยให้มนุษย์ฟัง เล่าสู่กันฟัง มันไม่รู้จะพูดว่าอย่างไร? ก็ต้องบอกว่าหลังความตายๆ  จริงๆ ไม่ใช่หลังความตาย หลังการเปลี่ยนแปลงร่างกาย จากเวอร์ชั่นหนึ่งไปเวอร์ชั่นสอง สำหรับคนที่เป็นคริสเตียนแล้ว ไม่มีคำว่าตาย

            คริสเตียนจึงมีความหวัง ในเรื่องสวรรค์ ในโลกหน้า ไม่เหมือนชาวบ้านเขา เพราะว่าเป็นความหวังที่มันจับต้องมองเห็นได้ ในโลกหน้า คือในโลกหลังจากที่เราหมดลมหายใจ หลังจากการเปลี่ยนแปลงแล้ว  เพราะคริสเตียนมีความหวังในเรื่องโลกสวรรค์ โลกหน้า  ที่จับต้องมองเห็นได้ พิสูจน์ได้เดี๋ยวนี้ทันที ขณะที่ดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้แล้ว จากภายใน  และยังมีถ้อยคำพระเจ้ากำกับ ยืนยันอีก พระวิญญาณบริสุทธิ์ก็ยืนยันในใจ เพราะอะไรถึงมีความมั่นใจ แน่ใจ  ก็เพราะว่าคริสเตียนได้เริ่มต้น มีประสบการณ์ในการอยู่ในสวรรค์กับพระเจ้าเรียบร้อยแล้ว ตั้งแต่ดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้แล้ว เอเมนไหม?

            ขณะที่ยังไม่เปลี่ยนแปลงเข้าสู่มิติในโลกฝ่ายวิญญาณ  เราก็ได้รับประสบการณ์ในการดำเนินชีวิตอยู่ในสวรรค์กับพระเจ้าแล้ว ก็คือเราเป็นลูกของพระเจ้า และ 7 อย่างเหล่านั้นได้สถาปนาอยู่ในใจของเรา เรารู้อยู่แล้ว จิตวิญญาณที่ได้รับการบังเกิดใหม่ นึกถึงตัวเราเองตอนนี้ พอเราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอด  อัศจรรย์เกิดขึ้นปุ๊บ จิตวิญญาณที่ได้รับการบังเกิดใหม่ เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์ทันทีแล้ว ถูกไหมครับ? ตั้งแต่ตอนดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้แล้ว เกิดใหม่แล้ว เป็นลูกของพระเจ้าแล้ว พระคัมภีร์บอกว่าวิญญาณ จิตใจของมนุษย์ที่เกิดใหม่ เป็นลูกของพระเจ้าแล้ว จะคอยคร่ำครวญ เฝ้ารอคอยวันที่จะจากร่างเดิมนี้  เพื่อจะได้รับร่างกายที่เปลี่ยนแปลงใหม่ คร่ำครวญรอคอยวันที่จะจากร่างเดิม เวอร์ชั่นเดิม อันต่ำต้อยนี้ เพื่อสวมร่างกายใหม่ ร่างกายสวรรค์ ที่เป็นเหมือนร่างกายของพระเยซูคริสต์ที่เป็นขึ้นจากความตาย  เป็นตัวอย่างให้กับเรา ที่เต็มไปด้วยสง่าราศี พระสิริ และด้วยความยิ่งใหญ่ เป็นขึ้นจากความตาย ด้วยฤทธิ์เดชอำนาจอันยิ่งใหญ่ อันมหัศจรรย์ของพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า พระคัมภีร์บันทึกไว้อย่างนั้น

            เพราะฉะนั้น เราจึงรู้อยู่ในใจ เราจึงเฝ้าครวญครางรอคอย วันที่เราจะได้ไปอยู่ในสวรรค์อย่างครบถ้วนบริบูรณ์ด้วยร่างกายที่เปลี่ยนแปลงเป็นเวอร์ชั่น 2 เพราะเวอร์ชั่น 1 เข้าสวรรค์ไม่ได้ เวอร์ชั่น 2 เท่านั้น จึงจะเข้าสวรรค์ได้ เพราะเป็นเวอร์ชั่นที่เรียกว่าร่างกายสวรรค์ ที่ร่างกายเป็นเหมือนพระเยซูคริสต์ ฟิลิปปี 3:20-21 …

        ฟีลิปปี 3:20-21 “แต่เราเป็นพลเมืองสวรรค์ และเราเฝ้ารอคอยพระผู้ช่วยให้รอดจากสวรรค์คือองค์พระเยซูคริสต์เจ้า พระองค์จะทรงเปลี่ยนกายอันต่ำต้อยของเรา ให้เหมือนพระกายอันทรงพระเกียรติสิริของพระองค์ โดยฤทธานุภาพที่สยบทุกสิ่งไว้ใต้อำนาจของพระองค์”

            เห็นไหมครับอย่างที่ผมบอกแล้ว ตั้งแต่อยู่บนโลกใบนี้แล้ว จึงบันทึกไว้อย่างนี้ว่า …

            “แต่เราเป็นพลเมืองสวรรค์” ก็หมายถึงเราเป็นพลเมืองสวรรค์แล้ว ขณะนี้ ตอนดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ ก็เรียกแล้วว่าเป็นพลเมืองสวรรค์ เป็นประชากรของสวรรค์คนหนึ่ง เป็นสมาชิกในครอบครัวของพระเจ้าคนหนึ่งแล้ว เอเมน ทางโลก เราอาจจะอยู่ในประเทศไทย แต่ในโลกวิญญาณ เราอยู่ในสวรรค์แล้ว เอเมนไหม? มีทรัพย์สมบัติมากมาย มีมรดกเยอะแยะมากมายเลย อยู่ในสวรรค์แล้วก็จริง แต่ร่างกายยังเป็นเวอร์ชั่นหนึ่ง ยังเข้าสวรรค์ไม่ได้

            “และเราเฝ้ารอคอยพระผู้ช่วยให้รอดจากสวรรค์ คือพระเยซูคริสต์เจ้า พระองค์จะทรงเปลี่ยนกายอันต่ำต้อยของเรา” ก็คือกายเดิมอันต่ำต้อย กายที่เราอยู่อาศัยตอนนี้ อันต่ำต้อย เมื่อเทียบกับกายสวรรค์สู้ไม่ได้เลย เพราะว่ากายอันนี้ไม่สามารถเข้าสวรรค์ได้ ต้องได้รับการเปลี่ยนแปลง

            “พระองค์จะเปลี่ยนกายอันต่ำต้อยของเรา ให้เหมือนพระกายอันทรงพระเกียรติสิริของพระองค์ ด้วยฤทธานุภาพที่สยบทุกสิ่งไว้” ก็คือด้วยฤทธิ์อำนาจของพระวิญญาณบริสุทธิ์  พูดง่ายๆ ว่าเรารอคอยให้พระเยซูคริสต์ โดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระองค์ มาเปลี่ยนแปลงร่างกายของเรา จากเวอร์ชั่นเดิม ที่ต่ำต้อยนี้ มาเป็นเวอร์ชั่นใหม่ เวอร์ชั่น 2 ที่เป็นร่างกายแบบสวรรค์ ที่เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์ ที่เต็มด้วยสง่าราศี  และพระสิริของพระองค์ เอเมน

            ท่านเห็นอะไรไหม?  พอนึกถึงคำว่า “ต่ำต้อย” ผมนึกถึงอะไร? พระเยซูเป็นพระเจ้า เต็มด้วยสง่าราศี  เต็มด้วยพระสิริของพระองค์ พระองค์ทรงเป็นพระเจ้า  แต่ยอมรับการเปลี่ยนแปลงมาเป็นมนุษย์ที่ต่ำต้อย นึกออกไหม? วันคริสตมาส บันทึกไว้ชัดเจน พระเยซูได้รับการเปลี่ยนแปลงโดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ เข้ามาอยู่ในร่างกายแบบมนุษย์ ในครรภ์ของหญิงพรหมจารีแมรี่ โดยเดชของพระวิญญาณบริสุทธิ์ ก็คือการเปลี่ยนแปลงสภาพจากวิญญาณของพระเจ้า ที่เต็มด้วยสง่าราศี เข้ามาอยู่เป็นมนุษย์ เหมือนเราทั้งหลาย ที่ต่ำต้อยเหลือเกิน โดยพระวิญญาณบริสุทธิ์เหมือนกัน ไม่มีผิดเลย เหมือนกับตอนนี้ แต่กลับข้างกัน ตอนที่พระองค์มาเปลี่ยนแปลง มาต่ำต้อยเหมือนมนุษย์ จึงมาช่วยมนุษย์ให้สามารถที่จะกลับกัน ก็คือเปลี่ยนแปลงจากร่างกายอันต่ำต้อยนี้ เกิดจากครรภ์มารดานี้ เป็นมนุษย์ธรรมดานี้ กลับกลายเป็นร่างกายที่เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์ ขอบคุณพระเจ้า สรรเสริญพระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่สูงสุด

            นี่คือพระประสงค์ของพระเจ้าตั้งแต่ก่อนสร้างโลก พระคัมภีร์บันทึกไว้  คือต้องการให้มวลมนุษย์ทั้งหลายได้รับการช่วยเหลือให้พ้นจากโทษของความบาป  คือการตายฝ่ายวิญญาณ  และได้รับการบังเกิดใหม่ เป็นวิญญาณและจิตใจ และร่างกายใหม่ที่เป็นเหมือนพระเจ้า  เป็นเหมือนพระบุตร พระเยซูคริสต์ นี่คือแผนการของพระองค์ ต้องการอย่างนี้ตั้งนานแล้ว โรม 8:29 ได้บันทึกไว้อย่างนี้ชัดเจนเลยว่า …

        โรม 8:29 “เพราะว่าบรรดาผู้ซึ่งพระองค์ได้ทรงรู้จัก ได้รัก และได้เลือกสรรไว้ล่วงหน้าแล้วนั้น พระองค์ได้ทรงกำหนดไว้ล่วงหน้าก่อนสร้างโลกแล้ว ว่าเขาทั้งหลายจะได้รับการเปลี่ยนแปลง จนกระทั่ง ให้เป็นเหมือนพระบุตรของพระองค์ (พระเยซู) และเข้าส่วนร่วมในความบริสุทธิ์  ปราศจากบาป อย่างสมบูรณ์ที่สุดเหมือนพระองค์”

            พระองค์ได้ทรงเลือกสรรและกำหนดไว้ล่วงหน้าแล้ว เลือกสรรมนุษย์ทั้งปวง มนุษย์ทุกคน ได้รับการเลือก จากพระเจ้าแล้ว

            “เพื่อว่ามนุษย์ทั้งปวงเขาทั้งหลายนั้นจะได้รับการเปลี่ยนแปลง จนกระทั่งให้เป็นเหมือนพระบุตรของพระองค์ พระเยซูคริสต์ เข้าส่วนร่วมความบริสุทธิ์ ความยิ่งใหญ่ สมบูรณ์ดีพร้อมเหมือนพระองค์เลยทีเดียว เพื่อว่าพระเยซูจะได้เป็นบุตรหัวปี มนุษย์ผู้แรกที่ได้รับการบังเกิดใหม่  เป็นขึ้นจากความตาย ท่ามกลางพี่น้องมากมาย คือมนุษย์ทั้งหลาย ที่ถ่อมใจ เปิดใจรับสิทธิของตน  ก็คือคริสเตียนทั้งหลายนั่นเอง พระเยซูเป็นเหมือนบุตรหัวปี เป็นผู้แรกที่ได้รับการบังเกิดใหม่

            คือพระคัมภีร์ได้บันทึกไว้ว่า “เพื่อว่าพระเยซูได้เป็นบุตรหัวปี มนุษย์ผู้แรกที่ได้รับการบังเกิดใหม่ เป็นขึ้นจากตาย ท่ามกลางพี่น้องมากมาย คือเป็นผู้แรกที่ได้บังเกิด ได้รับการเปลี่ยนแปลงจากความตาย มาสู่ชีวิตนั่นเอง”

            เป็นแบบอย่าง เป็นเหมือนต้นแบบ ท่ามกลางพี่น้องมากมาย คือมนุษย์ทั้งหลาย ที่ถ่อมใจ เปิดใจต้อนรับสิทธิของตน เป็นคริสเตียน ก็จะได้อย่างนี้ เหมือนที่พระองค์ทรงได้ ได้รับร่างกายเหมือนกับที่พระองค์ทรงได้  พระองค์เป็นผู้แรกที่ได้ ก็จะมีผู้ที่ 2 ผู้ที่ 3 ผู้ที่ 4 ผู้ที่ 5 ผู้ที่ 6 เราทั้งหลายอาจจะเป็นผู้ที่ล้าน  3 ล้าน  4 ล้าน คนที่เท่าไรไม่รู้ แต่เราก็ได้ เหมือนที่พระเยซูได้ และพระเยซูได้ทำภารกิจเหล่านี้สำเร็จแล้ว ที่ไม้กางเขน  และได้เป็นขึ้นจากความตาย เป็นผลแรกที่เราได้เห็น และเราฉลองไปเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว วันอีสเตอร์นั้น วันที่จากการเป็นขึ้นจากความตาย  วันที่เป็นพยานด้วยตัวของพระองค์เองว่ามันจะอย่างนี้แหละ ร่างกายของน้องๆ ทั้งหลาย คือมนุษย์ทั้งหลายที่วางใจในเรา ที่จะไม่ตาย  จะเป็นอย่างนี้แหละ จะเป็นขึ้นจากความตายเหมือนกับเราอย่างนี้แหละ พระองค์ยืนยันด้วยตัวของพระองค์เองเลย มาปรากฏให้เห็นเลย 1 โครินธ์ 15:20-22 …

        1 โครินธ์ 15:20-22 “20 แต่นี่ทรงให้พระคริสต์เป็นขึ้นจากตายจริงๆ เป็นผลแรกของบรรดาผู้ที่ล่วงลับไป 21 เพราะในเมื่อความตาย สืบเนื่องมาจากมนุษย์คนเดียว การเป็นขึ้นจากตาย ก็สืบเนื่องมาจากมนุษย์คนเดียวเช่นกัน 22 เพราะว่าในอาดัม คนทั้งปวงตายฉันใด ในพระคริสต์ คนทั้งปวงจะได้รับชีวิต บังเกิดใหม่ เหมือนพระองค์ฉันนั้น”

            “พระเยซูคริสต์เป็นขึ้นจากตายจริงๆ เป็นผลแรกของบรรดาผู้ที่ล่วงลับไป” ก็คือเป็นคนแรก เป็นตัวอย่าง  สำหรับบรรดาผู้ที่ล่วงหลับ เห็นไหม? หมดลม  ไม่ใช่เป็นผลแรกของคนที่ตายไป คนที่ตายไปเราพูดตามภาษามนุษย์ แต่จริงๆ แล้วต้องหมายถึงว่าเป็นผลแรก ให้กับบรรดาผู้คนที่ล่วงหลับ และได้รับการเปลี่ยนแปลงร่างกายใหม่นั่นเอง

            ในข้อ 22 บอกว่า “เพราะว่าในอาดัม คนทั้งปวง ตายฉันใด” เพราะว่าในอาดัม คนทั้งปวงอยู่ในเวอร์ชั่นเดิม เวอร์ชั่น 1 ร่างกายต้องตาย “แต่ในพระคริสต์ คนทั้งปวงจะได้รับชีวิต บังเกิดใหม่เหมือนพระเยซูคริสต์”

            ก็คือคนทั้งปวงไม่ต้องตายแล้ว จะได้รับการเปลี่ยนแปลง ให้เป็นร่างกายใหม่ เป็นร่างกายที่เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์ ไม่ตายครับ พระเยซูคริสต์เป็นคนแรก เป็นผลแรกของมนุษย์พันธุ์ใหม่ เรียกว่าพันธุ์พระคริสต์ เวอร์ชั่นใหม่ 2 โครินธ์ 5:17 บอกว่า

            “ใครที่อยู่ในพระคริสต์ เขาเป็นสิ่งมีชีวิตที่ได้ถูกสร้างขึ้นใหม่”

            หมายถึงใหม่ตรงนี้ วิญญาณใหม่ ใจใหม่ ประทานให้เรียบร้อยแล้ว ดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้แล้วก็ได้ 2 อย่างนี้ไปแล้ว  แต่พอถึงวันหนึ่งที่จะเข้าสู่อาณาจักรสวรรค์อย่างครบถ้วนบริบูรณ์ เข้าสู่มิติสวรรค์นั้น ต้องเปลี่ยนแปลงร่างกายใหม่ โดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ เป็นร่างกายเวอร์ชั่นใหม่ เหมือนพระเยซูคริสต์ เพราะฉะนั้น ผลแรก พระคริสต์ มนุษย์พันธุ์ใหม่ เวอร์ชั่นใหม่ จึงเป็นความหวังของมวลมนุษย์ทั้งหลายบนโลกนี้ ที่อยู่ในเวอร์ชั่นเก่านั่นเอง เวอร์ชั่นเก่าเข้าสวรรค์ไม่ได้ ร่างกายเดิม เวอร์ชั่นเดิมที่มาจากอาดัมนั้น มันต้องตาย แล้วก็ลงดินไป แล้วก็ในที่สุด ดับสูญ อย่างที่บอกตอนต้น ตั้งอยู่เพียงชั่วคราว และก็ดับสูญไป แต่เวอร์ชั่นใหม่ อยู่ถาวรนิรันดร์ ในสวรรค์ได้ เข้าไปสู่มิติสวรรค์ได้ เพราะในมิติสวรรค์ร่างกายใหม่นี้เท่านั้น จึงจะสามารถอยู่ในสวรรค์ เป็นมนุษย์พันธุ์ใหม่ได้ ถ้าไม่มีร่างกายใหม่นี้ สูญสิ้นไป ก็เป็นมนุษย์พันธุ์เดิมที่ไม่มีร่างกาย เพราะร่างกายหมดไปแล้ว  เพราะว่าตายไปแล้ว เหลืออะไร?  เหลือวิญญาณ และจิตใจที่ไม่มีพระเจ้า ไม่มีพระสิริของพระเจ้า อยู่ในสวรรค์กับพระเจ้าไม่ได้  เราเรียกกันว่าเป็นผี ลอยไปแล้วก็ลอยมา ไม่มีร่างกาย แล้วเราค่อยเรียนรู้เรื่องนี้ละเอียดกันอีกทีหนึ่ง

            มาดูร่างกายใหม่ เวอร์ชั่นใหม่ ผลแรก คนแรกของมนุษย์พันธุ์ใหม่ คือพระเยซูคริสต์กันต่อว่าเราจะได้รับอย่างนี้ ได้อย่างไร? โรม 8:11 …

        โรม 8:11 “และถ้าพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า ผู้ทรงได้ชุบพระเยซูให้เป็นขึ้นจากความตาย สถิตอยู่ภายในท่าน พระองค์ผู้ทรงชุบพระเยซูให้เป็นขึ้นจากความตายนี้ ก็จะประทานชีวิตนิรันดร์ (ที่เหมือนพระเยซู) ให้แก่อวัยวะต่างๆ ของร่างกายภายนอก ที่กำลังเสื่อมสลายของท่านนี้ด้วยเช่นกัน โดยผ่านทางพระวิญญาณบริสุทธิ์ ผู้ทรงสถิตอยู่ในท่าน”

            ฮาเลลูยา นี่คือวิธีการที่เกิดขึ้น ก็คือพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า ผู้ทรงได้ชุบพระเยซูให้เป็นขึ้นจากความตาย สถิตอยู่ในท่าน ถ้าเผื่อพระวิญญาณผู้ชุบพระเยซูให้เป็นขึ้นจากความตายอยู่ในเรา เพราะว่าเราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์แล้ว พระเจ้าเข้ามาอยู่ในเราแล้ว เป็นสิ่งที่เราได้รับแล้ว ตอนที่เราดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ อัศจรรย์หนึ่งอย่าง ก็คือพระเจ้าเข้ามาอยู่ในเรา พระวิญญาณก็เข้ามาอยู่ในเรา พระวิญญาณบริสุทธิ์สถิตอยู่ในเรา พระองค์คือพระบิดาผู้ทรงชุบพระเยซูให้เป็นขึ้นจากความตาย  ก็คือผู้ที่ได้เปลี่ยนแปลงพระเยซูให้เป็นขึ้นจากความตายนั้น คือพระบิดาเป็นคนทำ แต่ทำผ่านทางพระวิญญาณ

            พระบิดาผู้ทรงชุบพระเยซูให้เป็นขึ้นจากความตาย ก็จะประทานชีวิตนิรันดร์ให้เหมือนพระเยซู ตรงนี้ไม่ได้พูดถึงเรื่องวิญญาณนะ  ประทานชีวิตนิรันดร์ที่เหมือนพระเยซูให้กับร่างกายของท่าน ที่ต้องตายนั้น จะได้ไม่ต้องตาย ก็จะประทานชีวิตนิรันดร์ให้แก่อวัยวะต่างๆ ของร่างกายภายนอก ที่กำลังเสื่อมสลายของท่านนี้  ที่จะวิ่งไปสู่ความตาย ด้วยเช่นเดียวกัน คือไม่ต้องตาย เปลี่ยนแปลงไปเลย เปลี่ยนใหม่ไปเลย โดยผ่านทางพระวิญญาณบริสุทธิ์ผู้ทรงสถิตอยู่ในท่าน พอพระวิญญาณบริสุทธิ์อยู่ในเรา พระวิญญาณนี้เป็นผู้เปลี่ยนแปลงพระเยซูจากความตายมาสู่ร่างกายใหม่ โดยคำสั่งของพระบิดา พระบิดาก็จะประทานอย่างนี้ให้กับเราทั้งหลาย ในร่างกายของเรา  เราก็จะเป็นขึ้นจากความตาย  คือไม่ต้องตายแล้ว  พระเยซูทำให้เราเสร็จเรียบร้อยแล้ว เอเมน ขอบคุณพระเจ้า

            คราวนี้เรามาดูร่างกายภายนอกของเรา ที่พูดไว้เมื่อสักครู่นี้ ที่บอกว่าอวัยวะต่างๆ ในร่างกายภายนอก ที่กำลังเสื่อมสลาย เปลี่ยนแปลงไปเหมือนพระเยซูคริสต์ ที่เรียกว่าเป็นขึ้นจากความตาย  หรือได้รับการเปลี่ยนแปลงนั้น มันมีลักษณะเป็นเช่นไร? พูดง่ายๆ ว่ามาดูสิว่าร่างกาย เวอร์ชั่นใหม่ พระคัมภีร์ได้มีบอกไว้อะไรบ้าง? คร่าวๆ นะ

            ลักษณะร่างกายของพระเยซูคริสต์ที่เป็นขึ้นจากความตาย ก็คือสิ่งที่เราจะได้รับในไม่ช้านี้ เมื่อวันเวลามาถึงร่างกายเราจะได้รับการเปลี่ยนแปลงใหม่ เป็นเหมือนพระเยซู ไม่ใช่ตาย เราไม่มีตายอยู่แล้ว จากนี้เราพูดกับใครก็ตาม เราไม่มีวันตายอยู่แล้ว เมื่อถึงวาระเวลา อายุเท่าไรแล้วแต่ เกิดอุบัติเหตุ เกิดโรคภัยไข้เจ็บ  เกิดอะไรต่างๆ ถึงเวลาปุ๊บ พระวิญญาณจะเปลี่ยนแปลงร่างกายเรา เป็นร่างกายใหม่ หมดลม เปลี่ยนร่างกาย สวมร่างกายใหม่ทันที

            ในปัจจุบันนี้ร่างกายของเรา พระวิญญาณบริสุทธิ์ก็สถิตอยู่แล้ว กำลังเตรียมตัว เตรียมร่างกายของเรา  พูดง่ายๆ เหมือนเตรียมผ่าตัด พอถึงเวลาตามกำหนดปุ๊บ  ก็เปลี่ยนเรา เป็นร่างกายเหมือนพระเยซู เข้าสู่สวรรค์ จบไป อยู่ในสวรรค์นิรันดร์เลย

            มาดูลักษณะร่างกายของพระเยซู ที่เป็นขึ้นจากความตาย ซึ่งเราจะได้รับอย่างนี้เช่นเดียวกัน เราจะเป็นคล้ายๆ อย่างนี้เช่นเดียวกัน ในยอห์น 20:14-18  ช่วงที่พระเยซูเป็นขึ้นจากความตาย  เรามาดูสิว่าลักษณะร่างกายเวอร์ชั่นใหม่ มนุษย์พันธุ์ใหม่  ผลแรก คนแรก  ก็คือพระเยซูคริสต์ มีลักษณะเป็นอย่างไร? …

        ยอห์น 20:14-18  “เมื่อมารีย์พูดอย่างนั้นแล้ว  ก็หันกลับมา  และเห็นพระเยซูประทับยืนอยู่ แต่ไม่ทราบว่าเป็นองค์พระเยซู พระเยซูตรัสถามว่า “หญิงเอ๋ย ร้องไห้ทำไม เจ้าตามหาผู้ใด” มารีย์สำคัญว่าพระองค์เป็นคนทำสวน จึงตอบว่า “นายเจ้าข้า ถ้าท่านเอาพระองค์ไป ขอบอกให้ดิฉันรู้ว่าเอาพระองค์ไปไว้ที่ไหน ดิฉันจะได้รับพระองค์ไป” พระเยซูตรัสกับเธอว่า “มารีย์เอ๋ย” มารีย์จึงหันมาทูลพระองค์เป็นภาษาฮีบรูว่า “รับโบนี” (ซึ่งแปลว่า อาจารย์) พระเยซูตรัสกับเธอว่า “อย่าหน่วงเหนี่ยวเราไว้ เพราะเรายังมิได้ขึ้นไปหาพระบิดาของเรา แต่จงไปหาพวกพี่น้องของเรา  และบอกเขาว่าเราจะขึ้นไปหาพระบิดาของเราและพระบิดาของท่านทั้งหลาย ไปหาพระเจ้าของเรา และพระเจ้าของท่านทั้งหลาย” มารีย์มักดาลา จึงไปบอกพวกสาวกว่า “ข้าพเจ้าได้เห็นองค์พระผู้เป็นเจ้าแล้ว” และเธอได้บอกเขาทั้งหลายว่า “พระองค์ได้ตรัสคำเหล่านั้นกับเธอ”

            นี่เป็นเหตุการณ์ตอนที่พระเยซูเป็นขึ้นจากตาย ในวันอาทิตย์เช้า มารีย์ไปเจอ เรามาดูสิร่างกายจะเป็นอย่างไร?

            (1) และเห็นพระเยซูประทับยืนอยู่ แต่ไม่ทราบว่าเป็นพระเยซู แสดงว่าก็เหมือนมนุษย์ ถูกไหม? เหมือนร่างกายเราอย่างนี้ มองเห็นได้ นึกว่าเป็นคนทำสวน  พระองค์ก็เป็นแบบมนุษย์เราอย่างนี้ 

            (2) แล้วยังคุยกันกับมารีย์ แรกๆ คุยกันภาษาธรรมดา เป็นภาษาทั่วๆ ไป พื้นๆ แต่พอมาบอกว่า … “มารีย์เอ๋ย” พูดชื่อเลย สนิทสนมกันมาก จำได้ทันที แสดงว่าเสียงก็ไม่ต่างไปจากเดิมเท่าไร?  เพราะมารีย์จำได้

            พอเห็นลางๆ แล้ว พระคัมภีร์บอกว่าเราเห็นไม่ชัดเจน เราเห็นในกระจก คือเรามองในกระจก เราเห็นตัวเอง เห็นลางๆ ในโลกวิญญาณ  แต่เราพอจะจับทางได้ว่ามันเป็นลักษณะอย่างนี้ คุยให้ตื่นเต้นเฉยๆ แสดงว่าพระเยซูพูดกับมารีย์  จำได้ว่านี่เสียงพระเยซู แล้วมารีย์บอกว่าอย่างไร?  พอจำได้ว่าเป็นพระเยซู เรียกพระเยซูว่าอาจารย์ และบอกกับพวกเพื่อนๆ ทั้งหลายบอกว่า …

            “ข้าพเจ้าได้เห็นองค์พระผู้เป็นเจ้าแล้ว”

            แสดงว่ามองไปเห็น  สามารถเห็นได้ว่าเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้า ไม่ใช่เป็นแสงสว่าง มองไม่ได้เลย นี่ร่างกายใหม่ ร่างกายของพระเจ้า ที่เปลี่ยนแปลงมาเป็นมนุษย์แล้ว และจากมนุษย์พันธุ์เดิม เป็นมนุษย์พันธุ์ใหม่ จะบอกว่าอย่างไร? คืออยู่ในสวรรค์ เป็นพระเจ้า แต่เป็นพระเจ้าแบบมีร่างกาย เป็นแบบมนุษย์ เพราะฉะนั้น พระองค์จึงบอกอยู่เสมอว่าพระองค์เป็นบุตรมนุษย์ ตอนนี้เท่ากับบุตรมนุษย์ครอบครองอาณาจักรสวรรค์ทั้งหมดแล้ว พระเจ้าประทานให้พระบุตร ก็คือพระเยซูคริสต์ตอนนี้เป็นมนุษย์พันธุ์ใหม่อยู่ในสวรรค์ และเราก็เป็นพี่น้องของพระองค์ ร่วมกันครอบครองสวรรค์ ด้วยมนุษย์พันธุ์ใหม่นี่แหละ มาดูอีกอันหนึ่ง ยอห์น 20:26-29 …

        ยอห์น 20:26-29 “ครั้นล่วงไปแปดวันแล้ว เหล่าสาวกของพระองค์อยู่ด้วยกันในบ้านนั้นอีก และโธมัสก็อยู่กับพวกเขาด้วย ประตูปิดแล้ว แต่พระเยซูเสด็จเข้ามาประทับยืนอยู่ท่ามกลางเขา และตรัสว่า “สันติสุขจงดำรงอยู่กับท่านทั้งหลายเถิด” แล้วพระองค์ตรัสกับโธมัสว่า “จงยื่นนิ้วมาที่นี่ และดูมือของเรา จงยื่นมือออก คลำที่สีข้างของเรา อย่าขาดความเชื่อเลย จงเชื่อเถิด” โธมัสทูลพระองค์ว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้าของข้าพระองค์ และพระเจ้าของข้าพระองค์” พระเยซูตรัสกับเขาว่า “เพราะท่านได้เห็นเราท่านจึงเชื่อหรือ ผู้ที่ไม่เห็นเราแต่เชื่อ ก็เป็นสุข”

            ประตูปิดแล้ว แต่พระเยซูเสด็จเข้ามา ก็แสดงว่าเดินผ่านทะลุกำแพงได้ มีร่างกาย สามารถจับได้ คลำดูสิว่าเป็นอย่างไร? ในลูกา 24:15-17 …

        ลูกา 24:15-17 “และเมื่อเขากำลังพูดสนทนากันอยู่ พระเยซูก็เสด็จเข้ามาใกล้ ดำเนินไปกับเขา แต่ตาเขาฟางไป และจำพระองค์ไม่ได้ พระองค์ตรัสกับเขาว่า “เมื่อเดินมานี่ ท่านโต้ตอบกัน ถึงเรื่องอะไร” เขาก็หยุดยืนหน้าโศกเศร้า”

            ท่านจะได้รู้ว่าเป็นลักษณะอย่างไร?  พระองค์ทรงรับประทานอาหารได้ด้วย  และมีความรู้สึกหิวด้วย

            นี่คือร่างกายใหม่ของพระเยซูคริสต์และของเราทั้งหลาย ที่จะได้รับ  ลูกา 24:39 …

        ลูกา 24:39 “จงดูมือของเรา และเท้าของเราว่าเป็นเราเอง จงคลำตัวเราดู เพราะว่าผีไม่มีเนื้อและกระดูกเหมือนท่านเห็น เรามีอยู่นั้น”

            ตอนแรกเขาตกใจ นึกว่าพระองค์เป็นผี  พระองค์บอกมาจับดูสิ ถ้าเป็นผีจริง จะไม่มีร่างกาย เพราะฉะนั้น พระองค์ไม่ใช่ผี มาจับดู มีร่างกายจริงๆ พระองค์เป็นบุตรมนุษย์ พันธุ์ใหม่ จะอยู่ในสวรรค์ เราก็จะเป็นอย่างนั้นแหละ ไม่ใช่เป็นผีลอยไปลอยมา เป็นมนุษย์พันธุ์ใหม่ มีร่างกายแบบสวรรค์ที่เต็มไปด้วยสง่าราศีมากต่างหาก  เหมือนพระเยซูคริสต์ และเป็นร่างกายแบบสวรรค์ที่เรารอยคอย ร่างกายที่เป็นความรัก ร่างกายที่เป็นความบริสุทธิ์ ความดีงาม  ความสุขสงบ สดชื่น ยินดี แข็งแรง เต็มไปด้วยพลังทั้งร่างกายและความคิดจิตใจ  เพราะไม่มีอิทธิพลของบาป ของเนื้อหนังมาล่อลวงอีก ร่างกายที่ไม่มีวันแก่  ไม่มีวันเจ็บป่วย ไม่ทรุดโทรม ไม่มีความคิดกังวล กลัว อิจฉา ริษยา อาฆาต โมโห ฉุนเฉียว ไม่มีสิ่งสกปรกใดๆ อยู่เลย ในร่างกายนี้ เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์เลยทีเดียว  และสิ่งสำคัญที่สุด คือได้เข้าร่วมในสง่าราศีอันยิ่งใหญ่ แห่งพระสิริของพระเยซูคริสต์ เพราะเราเป็นเหมือนพระองค์ ไปเป็นพี่น้องของพระองค์ เป็นครอบครัวเดียวกัน  เราเป็นหนึ่งเดียวกัน เป็นร่างกายของพระองค์ด้วยซ้ำไป

            เพราะฉะนั้น ในการดำเนินชีวิตในขณะนี้ ความหวังเราอยู่ที่พระเยซูคริสต์สถิตอยู่ในเรา เป็นความหวังแห่งเกียรติสิริ

            “พระคริสต์อยู่ในฉัน เป็นความหวังแห่งเกียรติสิริ ที่ฉันจะร่วมรับกับพระองค์ในสวรรคสถานชั่วนิรันดร์ วันหนึ่งร่างกายของฉันจะเป็นขึ้นจากตาย เหมือนพระเยซู ก็คือวันหนึ่ง ร่างกายของฉันจะเปลี่ยนแปลงใหม่ ไม่ตายอีกแล้ว เปลี่ยนแปลงร่างกายใหม่ เป็นเหมือนพระเยซูเข้าสู่สวรรค์นิรันดร์กาล ครอบครองกับพระเยซูในสวรรค์นิรันดร์กาล” พระเจ้าอวยพรครับ

************************

จากใจคณะศิษยาภิบาล

            –  เป็นปลาก็ว่ายน้ำตามธรรมชาติ

            –  เป็นนกก็บินตามธรรมชาติ

            –  เป็นงูก็เลื้อยตามธรรมชาติ

            –  เป็นคริสเตียนบังเกิดใหม่แล้ว ก็รักตามธรรมชาติในใจ

            แต่เดิมนั้น พระเจ้าให้อิสราเอล ซึ่งเป็นตัวแทนของมวลมนุษยชาติ ถือรักษาบทบัญญัติไว้ แต่อิสราเอลไม่สามารถทำได้ พวกเขาไม่ซื่อตรง เพราะมีวิญญาณบาป และมีใจกบฏ ไม่เชื่อฟัง  ละเมิดบทบัญญัติตลอด

            พระเจ้าจึงส่งพระบุตรมา เป็นตัวกลางระหว่างมนุษย์กับพระเจ้า เพื่อให้มนุษย์ได้กลับคืนดีกับพระเจ้า และพระองค์ได้ให้วิญญาณใหม่และใจใหม่ ใจที่เชื่อฟัง และจารึกบทบัญญัติใหม่ ไว้ในใจนั้น ให้พวกเขาที่เข้ามาเชื่อ และไว้วางใจในพระบุตรนั้น

            บัญญัติอันเดิม เป็นบทบัญญัติสมัยโมเสส จารึกไว้บนแผ่นหินให้ถือรักษาเอาไว้ (ธรรมชาติใจเดิมบาปมักกบฏไม่เชื่อฟัง)

            บัญญัติอันใหม่ คือพระเจ้าทรงจารึกบทบัญญัติของพระองค์ไว้ในใจของมนุษย์ ที่ต้อนรับพระเยซูเป็นพระผู้ช่วยให้รอดแล้ว (ธรรมชาติใจใหม่ ดีพร้อม เชื่อฟัง)

            ฮีบรู 8:10-11…  “พระเจ้าให้คำสัญญาและสาบานว่า … 10 “นี่คือพันธสัญญา (ใหม่) ที่เราจะทำกับพงศ์พันธุ์อิสราเอล (มวลมนุษย์) หลังจากสมัยนั้น องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสดังนี้ เราจะใส่บทบัญญัติของเราในจิตใจของพวกเขา จารึกบนหัวใจของพวกเขา เราจะเป็นพระเจ้าของพวกเขา และพวกเขาจะเป็นประชากรของเรา 11 ผู้คนจะไม่สอนพี่น้องของตนอีกต่อไปว่า “จงรู้จักองค์พระผู้เป็นเจ้า” เพราะพวกเขาทุกคนจะรู้จักเรา ตั้งแต่ผู้น้อยที่สุด ไปจนถึงผู้ใหญ่ที่สุด”

            และแล้วพระเยซูคริสต์พระบุตรของพระเจ้า ก็มากระทำให้คำสัญญานี้สำเร็จเรียบร้อยแล้ว  โดยการสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน   และเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่สาม

            แล้วพระเจ้าก็เริ่มต้นบัญญัติใหม่ ในพันธสัญญาใหม่กับมวลมนุษย์

            1 ยอห์น 3:23 … “และนี่เป็นพระบัญญัติ  (ใหม่) ของพระองค์ คือว่าให้เราทั้งหลายวางใจในพระนามของพระเยซูคริสต์พระบุตรของพระองค์ และให้เรารักซึ่งกันและกัน ตามที่พระองค์ได้ทรงบัญญัติไว้ (ในใจ) แก่เรา”

            ยอห์น 13:34 … พระเยซูคริสต์ตรัสว่า … “เราให้บัญญัติใหม่ไว้แก่เจ้าทั้งหลาย  คือให้เจ้ารักซึ่งกันและกัน เรารักเจ้าทั้งหลายมาแล้วอย่างไร เจ้าจงรักกันและกันด้วยอย่างนั้น”

            เมื่อเราบังเกิดใหม่ พระเยซูได้แบ่งปันความรักที่เหมือนพระเจ้าให้เรา แล้วเราจึงแบ่งปันความรัก ที่เหมือนพระเจ้านี้ให้แก่คนอื่นได้ อย่างเป็นธรรมชาติจากใจ

            1 ยอห์น 5:3 …  “เพราะนี่แหละ เป็นความรักต่อพระองค์  คือที่เราทั้งหลายประพฤติตามพระบัญญัติ (ใหม่) ของพระองค์ และพระบัญญัติของพระองค์นั้นไม่เป็นภาระ”

            ความรักแท้ที่เหมือนพระเจ้า เป็นลักษณะธรรมชาติที่อยู่ในวิญญาณในใจเราอยู่แล้ว   เมื่อเราบังเกิดใหม่ เราแค่ฝึกฝนยอมปล่อยให้ ธรรมชาติของความรักนี้ ฉายแสงออกมา เป็นความประพฤติเท่านั้นเอง แบ่งปันออกไปให้ผู้อื่นเหมือนกับที่พระเยซูได้แบ่งปันให้กับเราแล้ว

            เมื่อเราบังเกิดใหม่ วิญญาณและจิตใจเป็นความรักเหมือนพระเจ้าแล้ว เราจึงแบ่งปันความรักข้างในนี้ โดยธรรมชาติที่มาจากภายใน ให้กับคนอื่นๆ ได้

            ความรักเป็นลักษณะธรรมชาติของวิญญาณ และจิตใจของเราที่เกิดใหม่ เราแค่รับรู้ความจริงนี้ และฝึกฝนตามธรรมชาติของความรัก ที่เหมือนพระเจ้านี้ ฉายแสงออกมาเท่านั้นเอง

ซึ่งไม่เป็นภาระเลย

            เพราะมันเป็นไปตามธรรมชาติที่เราเป็นอยู่ …

            – เหมือนเป็นปลาก็ว่ายน้ำตามธรรมชาติ

            – เป็นนกก็บินตามธรรมชาติ

            –  เป็นงูก็เลื้อยตามธรรมชาติ

            –  เป็นคริสเตียนบังเกิดใหม่ ก็รักตามธรรมชาติ

            พระเจ้าอวยพรครับ

วารสาร Holy  News   ฉบับที่  1414

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  23  เมษายน  2023

เรื่อง “หนังสือเอเฟซัส” ตอน 24

โดย วราพร  คงล้วน

            วันนี้เราก็มาต่อในหนังสือเอเฟซัส 3:16 บอกว่า …

        เอเฟซัส 3:16 “ข้าพเจ้าอธิษฐานว่าจากความไพบูลย์อันทรงเกียรติสิริของพระองค์ ขอให้พระองค์ทรงทำให้ท่านเข้มแข็งขึ้นด้วยฤทธานุภาพ ผ่านทางพระวิญญาณของพระองค์ที่อยู่ภายในท่าน”

            อาจารย์เปาโลกำลังคุยกับชาวเอเฟซัส ซึ่งในยุคนั้น ก็จะมีการข่มเหงผู้เชื่อที่ได้เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด  ไม่เพียงแต่พวกชาวยิวเท่านั้น ชาวต่างชาติก็โดนเช่นเดียวกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งอาจารย์เปาโลจะโดนหนักสุดเลย เพราะว่าเป็นผู้ประกาศความจริงในเรื่องเกี่ยวกับพระเยซูคริสต์ให้กับคนต่างชาติ ได้สามารถรับรู้ความจริงว่าบัดนี้พระเยซูคริสต์ได้กระทำแผนการที่พระเจ้าได้วางไว้ ตั้งแต่มนุษย์เริ่มต้นล้มลงในความบาป  สำเร็จเรียบร้อยไปแล้ว บนไม้กางเขน  เมื่อคำประกาศนี้ออกไป กลุ่มที่ไม่สามารถยอมรับคำประกาศของอาจารย์เปาโล กลุ่มแรก คือชาวยิว ที่เขายังคงยึดถือกฎระเบียบต่างๆ ที่พระเจ้าได้วางไว้ ตั้งแต่สมัยโมเสส ให้คนยิวประพฤติ ปฏิบัติ

            คนยิวเหล่านี้  เขายึดถือในกฎบัญญัติ  พยายามทำบัญญัติที่พระเจ้าสั่งไว้ ให้ดีที่สุด เท่าที่จะดีได้  โดยเฉพาะอย่างยิ่งพวกฟาริสี พวกธรรมาจารย์ ก็ยิ่งเคร่งครัดในกฎบัญญัติมากๆ เลย ซึ่งเมื่ออาจารย์เปาโลมาประกาศว่าผ่านทางความเชื่อในพระเยซูคริสต์ มนุษย์ไม่ต้องทำอะไรเลย ทำอย่างเดียว ก่อนที่จะเชื่อ คือเปิดใจต้อนรับความช่วยเหลือ ยอมรับความจริงที่พระเยซูคริสต์บอกว่าพระองค์ทรงเป็นพระผู้ช่วยให้รอด  พระองค์ทรงเป็นพระมาซีฮาห์ และพระองค์ได้มา กระทำการงานของพระองค์สำเร็จแล้ว วันที่พระองค์ได้เดินไปที่ไม้กางเขน และสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน และวันที่พระองค์ได้ทรงเป็นขึ้นมาจากความตาย  เป็นความยิ่งใหญ่ เป็นความอัศจรรย์ ที่พระเจ้าได้ทรงกระทำท่ามกลางมนุษยชาติ บนโลกใบนี้ เป็นการเปิดศักราชใหม่ ให้กับมนุษยชาติบนโลกใบนี้ว่า บัดนี้ มนุษย์สามารถมีทางเลือก อีกทางหนึ่ง เลือกที่จะย้ายบ้านของตัวเอง จากบ้านที่อยู่ในอาดัม เข้าไปอยู่บ้านในพระคริสต์ หรือเป็นสิ่งที่พระเจ้าประกาศว่ามนุษย์สามารถกลับบ้านได้แล้ว กลับบ้านสวรรค์ พระเจ้าได้ทรงเตรียมไว้ให้กับมนุษยชาติ ทุกคนบนโลกใบนี้ เรียบร้อยไปแล้ว

            นี่คือสิ่งที่อาจารย์เปาโลประกาศอยู่ตลอดเวลา  เนื่องจากอาจารย์เปาโลได้ประกาศความจริงของพระเจ้าเหล่านี้ อาจารย์เปาโลต้องถูกข่มเหง จากพวกยิวนี่แหละ จับอาจารย์เปาโลไปติดคุกบ้าง ไปโบยตีบ้าง ไปทำอะไรอีกเยอะแยะมากมาย อาจารย์เปาโลก็ไม่ลดละ แม้ว่าจะผ่านความทุกข์ยากลำบาก ขนาดไหน อาจารย์เปาโลก็ยังยืนยันในความเชื่อศรัทธาที่เขาได้มี และประกาศความเชื่อนี้ ให้กับคนต่างชาติ เพราะรู้ว่าตัวเองถูกเรียกมาให้ประกาศกับคนต่างชาติ ฉะนั้น ตอนที่อาจารย์เปาโลเขียนจดหมายฉบับนี้  ก็ไม่แน่ใจว่าอาจารย์เปาโลติดคุกอยู่หรือเปล่า? อาจจะติดคุกอยู่ และเขียนจดหมายฉบับนี้  แล้วก็ส่งออกมา หนุนใจผู้เชื่อ ดังนั้น การหนุนใจผู้เชื่อในสมัยนั้น อาจารย์เปาโลก็ไม่ได้หนุนใจอะไรมากมาย ไม่ได้อธิษฐานอวยพรให้ผู้เชื่อมีชัยชนะ ในความทุกข์ยากลำบาก  แต่สิ่งที่อาจารย์เปาโลพูดตลอดเวลา คือให้ท่านอดทน ต่อความทุกข์ยากลำบาก ที่กำลังเผชิญอยู่ แล้วให้ท่านรับรู้ความจริงว่า ณ เวลานี้ ท่านได้รับอะไรบ้าง? สิ่งที่พระเยซูคริสต์กระทำสำเร็จแล้วบนไม้กางเขน  แล้วท่านมั่นใจเถิดว่าท่านเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เรียบร้อยไปแล้ว ผลปลายทางจะเป็นอย่างไร?

            มนุษย์ทุกผู้ทุกนาม ตั้งแต่ยุคสมัยไหนก็ตาม พยายามแสวงหาที่จะได้เข้าสู่สวรรค์ คนยิวก็ยิ่งแสวงหาใหญ่เลย ที่จะได้เข้าสู่สวรรค์ ไม่อย่างนั้น เขาคงไม่ประพฤติ ปฏิบัติตามกฎต่างๆ ที่พระเจ้าตั้งไว้

            กฎเหล่านั้น ที่พระเจ้าตั้งไว้ เป็นเพียงเงา ที่พระเจ้าบอกว่าอนาคตข้างหน้า พระองค์จะส่งพระบุตรของพระองค์ลงมา เพื่อกระทำกฎที่พระเจ้าตั้งไว้ 600 ข้อ 700 ข้อ 800 ข้อ พระเยซูคริสต์เป็นผู้เดียวเท่านั้น ที่สามารถทำกฎเหล่านี้ให้สำเร็จลุล่วงไปได้  แล้วพระเยซูคริสต์ก็รับภาระที่ยิ่งใหญ่ ที่พระเจ้าได้ทรงจัดเตรียนไว้  คือทิ้งสภาพของพระเจ้า แล้วมาเกิดเป็นมนุษย์ แล้วในขณะเดียวกันต้องรับภาระหนัก โดยที่ต้องตัดสินใจที่จะเดินไปที่ไม้กางเขน พระเจ้าไม่ได้บังคับพระเยซูคริสต์ว่าต้องทำ แต่พระเยซูคริสต์เต็มใจทำ  เต็มใจเดินไปที่ไม้กางเขน

            แต่คำว่า “เต็มใจ” ในความเป็นมนุษย์ พี่น้องจำได้ใช่ไหม วันศุกร์ประเสริฐ เพิ่งจะผ่านไป ก็คือแม้พระองค์จะเต็มใจ แล้วรู้อยู่เต็มอกว่าถูกส่งมา เพื่ออะไร?  แต่พอถึงวาระนั้นจริงๆ คือใกล้เวลาที่พระองค์จะถูกเฆี่ยนตี ถูกโบยตี ถูกนำไปที่ไม้กางเขน ถูกตรึงจนเลือดหยดทุกท้ายหยดลงมา แล้วยอมสิ้นพระชนม์ คือยอมละวิญญาณของพระองค์ พระองค์รู้หมดเลยว่าสเต็ปเหล่านี้ ที่จำเป็นจะต้องเดินไป มันทรมานมากเลย เพราะ ณ เวลานั้นพระเยซูคริสต์อยู่ในสภาพของมนุษย์ มนุษย์แท้ๆ เลย มีเลือด มีเนื้อ กลัวเป็น เจ็บเป็น เลือดออกเป็น ทุกอย่างเหมือนมนุษย์หมดเลย  สิ่งเดียวที่ไม่เหมือน คือพระเยซูคริสต์ทรงเป็นทั้งมนุษย์และพระเจ้า นี่คือความแตกต่าง

            พระเยซูคริสต์เป็นมนุษย์ผู้เดียวบนโลกใบนี้ที่สะอาด บริสุทธิ์ หมดจด ไม่มีบาปเลย ไม่ได้อยู่ในเชื้อของอาดัม ฉะนั้น พระองค์จึงสามารถที่จะมาช่วยมนุษย์ได้ แล้วจากที่เราฟังมาตลอด เรารับรู้ความจริงเกี่ยวกับความรัก ที่ยิ่งใหญ่ ที่พระเยซูคริสต์ได้กระทำให้กับพวกเราบนไม้กางเขน  ก็คือพระเยซูคริสต์ยอมเป็นคนบาป ซึ่งตรงนี้ พระองค์จะไม่ยอมก็ได้  พระเจ้าไม่ได้บังคับ เหมือนทุกวันนี้ เราผู้เชื่อ ที่เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดแล้ว  พระองค์ก็ไม่เคยบังคับเราว่าต้องทำอะไร? ไม่ให้ทำอะไร? แต่พระองค์จะหนุนใจพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่อยู่ภายในเรา จะบอกเราว่าควรทำอะไร? ไม่ควรทำอะไร? คำว่า “ต้อง” กับ “ควร” คนละเรื่องเลยเนอะ

            “ควร” เหมือนพระองค์แนะนำว่าตอนนี้เป็นลูกพระเจ้าแล้วน๊า เรามีชีวิตใหม่แล้วนะ เรามีวิญญาณใหม่เหมือนพระเจ้าแล้วนะ เราเป็นความรักนะ เราควรจะสำแดงความรักที่อยู่ภายใน คือมันมีอยู่แล้ว ควรจะสำแดงมันออกมา ให้กับผู้คนรอบข้างได้สัมผัสถึงความรักของพระเจ้า พระองค์ไม่ได้สั่งว่าต้องรักคนโน้นคนนี้ทั่วโลกเลยให้ได้ เปล่า ไม่ได้สั่งอย่างนั้น แต่พระองค์ให้สิทธิ์ผู้เชื่อทุกคนให้สามารถตัดสินใจว่าเราจะยอม เชื่อตามที่พระเยซูบอกไหม? ยอมว่าให้เราประพฤติ หรือทำตัวให้สมกับที่เราได้รับพระคุณจากพระเจ้าเรียบร้อยไปแล้ว นี่คือข้อแนะนำ พระเยซูจะโน้มน้าว

            แล้วเมื่อพระเยซูโน้มน้าวในจิตใจของเราปุ๊บ ข้างในวิญญาณของเราจริงๆ วิญญาณของมนุษย์ทุกคนที่เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอดแล้ว  พูดถึงคริสเตียนที่เปิดใจแล้ว วิญญาณของเราสะอาด บริสุทธิ์  หมดจด ถูกเปลี่ยนใหม่เหมือนพระเจ้าเลย วิญญาณข้างในเราไม่มีบาปแล้ว  เหมือนพระเจ้าเลย ฉะนั้น วิญญาณตัวตนจริงๆ ของผู้เชื่อทุกคน คือไม่มีความปรารถนาที่จะทำบาปเลย นี่คือความจริงในโลกวิญญาณ

            ฉะนั้น เวลาเราทำผิดพลาดไป คือเราถูกหลอก เราแพ้การล่อลวงของระบบบนโลกใบนี้ ในขณะที่เราดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ เรายังอยู่ภายใต้กฎของความบาป และความตาย และร่างกายเรายังอยู่ในเนื้อหนังเก่าอยู่ โอกาสที่เราจะถูกหลอกมี แต่ว่าไม่ว่าเราจะถูกหลอก หรือไม่ว่าเราจะเดินตามพระวิญญาณบริสุทธิ์ก็ตาม ตรงนี้ไม่ได้เป็นสิ่งสำคัญ สิ่งสำคัญอยู่ที่ว่าเราเป็นใคร? ตอนนี้ ณ เวลานี้เราอยู่ในไหน? ผู้เชื่อ ณ เวลานี้  เราเป็นลูกของพระเจ้า เป็นผู้ชอบธรรม เป็นผู้สะอาด บริสุทธิ์เหมือนพระเจ้าเลย วิญญาณเราได้รับการเปลี่ยนใหม่ ชีวิต จิตใจเราได้รับการเปลี่ยนใหม่เรียบร้อยไปแล้ว และในขณะนี้ พอเราเป็นปุ๊บ คำว่า “เป็น” มันเปลี่ยนแปลงไม่ได้แล้ว เป็นลูกของพระเจ้า

            อย่างที่บอก พี่น้องต้องจำให้ได้ว่า “เป็นแล้ว เป็นเลย” ไม่ได้ หมายความว่าวันนี้เป็นลูกของพระเจ้า วันนี้เกิดเราออกจากโบสถ์ปุ๊บ เราไปโดนคนชนหกล้ม แล้วเราก็ลุกขึ้นมาด่าเขาเลย ความคิดเรา หรือโลกนี้ เขาส่งข้อมูลมา …

            “เห็นไหม? เธอนิสัยไม่ดี เธอจะสะอาดบริสุทธิ์เหมือนพระเจ้าได้อย่างไร? ไม่จริงหรอก เธอยังสกปรกอยู่เลย เธอยังบาปอยู่เลย”

            ความคิดนี้มันจะเข้ามา แต่เราต้องยอมรับความจริง ต้องยืนกรานความจริงในโลกวิญญาณว่า …

            “ไม่ พระเจ้าบอกฉันว่าวิญญาณฉันสะอาด บริสุทธิ์ หมดจดเหมือนพระเจ้าแล้ว พระเจ้าได้เปลี่ยนวิญญาณใหม่ให้ฉันแล้ว ฉันไม่ได้เป็นคนบาปแล้ว ฉันเป็นผู้ชอบธรรม ฉันเป็นลูกของพระเจ้า ฉันเป็นทายาทร่วมกับพระเยซูคริสต์ ฉันได้เข้ามาอยู่ในพระเยซูคริสต์เรียบร้อยไปแล้ว ชีวิตของฉัน ณ เวลานี้ที่ดำเนินอยู่ทุกวันๆ ฉันดำเนินโดยพระเยซูคริสต์ พระวิญญาณที่อยู่ในฉัน พระองค์จะนำฉันในแต่ละวัน ฉันจะค่อยๆ พัฒนาเป็นเหมือนพระเจ้ามากขึ้นทุกวันๆ ค่อยๆ พัฒนา”

            “ความเชื่อ” “การเป็นลูกพระเจ้า” ไม่ต้องพัฒนา คือเปิดใจต้อนรับพระเจ้าปุ๊บ เป็นลูกเลย ไม่ใช่ต้องค่อยๆ พัฒนา ทำความดี เพื่อเราจะได้เป็นลูก ไม่ใช่ เราเป็นลูกแล้ว เป็นแล้วเป็นเลย  แต่หลังจากที่เป็นลูกของพระเจ้า เราก็ค่อยๆ พัฒนาบุคลิกใหม่ ที่พระเจ้าให้กับเรา ให้เจริญเติบโตมากขึ้น สำแดงความรักที่อยู่ในเราแล้ว ไม่ต้องไปหาที่ไหน?  ไม่ต้องพยายามที่จะทำให้มันเกิด เพราะว่าอย่างไร เราก็ไม่มีความสามารถที่จะทำให้มันเกิดหรอก พระเจ้าทำให้มันเกิดขึ้นแล้ว ความรักที่พระเจ้าใส่เข้ามาในวิญญาณของเรา มันมีเรียบร้อยแล้ว แค่เรารู้ไหมว่าข้างในเราเป็นความรัก ถ้าเรารู้ว่าข้างในเราเป็นความรัก เรามีสมบัติอยู่ในร่างกายของเรา อยู่ในวิญญาณของเรา พระพรนานับประการที่พระเจ้าได้ทำให้กับเราเรียบร้อยไปแล้ว พอเรารับรู้ความจริงปุ๊บ เราก็ค่อยๆ เปิดตู้คลังสมบัติของเรา ค่อยๆ หยิบสมบัติทีละชิ้น ที่พระเจ้าให้เราเรียบร้อยไปแล้ว ออกมาแจกจ่าย สมบัติที่พระเจ้าให้กับเรา คือความรัก ออกมาแจกจ่าย ความดีงามออกมาแจกจ่าย ผลของพระวิญญาณบริสุทธิ์ทั้ง 9 อย่างออกมา ค่อยๆ แจกจ่าย แล้วผลของพระวิญญาณบริสุทธิ์ มีอันหนึ่ง คือการรู้จักบังคับตนเอง เพราะฉะนั้น พอเราเชื่อ วางใจในพระเจ้า  เราจะมีผลตรงนี้อยู่ พอเราเชื่อใหม่ๆ เราอาจจะไม่สามารถบังคับตนเองได้ดีเท่าไร? เราก็ค่อยๆ รับรู้ความจริงว่าตรงนี้มีอยู่ในเรา เราก็ไปหยิบมันออกมาใช้ เรียนรู้ที่จะบังคับตนเองให้เพิ่มพูนมากขึ้น เรียนรู้ที่จะอดทนมากขึ้น

            ฉะนั้น ในยุคของอาจารย์เปาโล อาจารย์เปาโลไม่ได้หนุนใจอะไร? หนุนใจผู้เชื่อในยุคนั้นว่าให้อดทน รอคอย เฝ้ามองดูพระเจ้า รับรู้ความจริงว่าสิ่งที่พระเยซูคริสต์กระทำให้กับพวกเราเรียบร้อยไปแล้ว  มันเป็นเรื่องที่ยิ่งใหญ่มาก ซึ่งมันเป็นอภิอัครสมบัติที่มหาศาลยิ่งใหญ่เหลือเกิน ที่พระเจ้าได้กระทำให้กับมนุษยชาติเรียบร้อยไปแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้เชื่อ คือพวกเราทุกคนได้เปิดใจรับเอาสมบัตินี้เข้ามาอยู่ในตัวเราเรียบร้อยไปแล้ว ตรงนี้แหละ คือสิ่งที่สำคัญที่ผู้เชื่อจำเป็นจะต้องรับรู้ เรามาดูว่าอาจารย์เปาโลอธิษฐานอย่างไร? …

        เอเฟซัส 3:17-18 “17 เพื่อพระคริสต์จะสถิตในใจของท่านโดยทางความเชื่อ และข้าพเจ้าอธิษฐานว่าเมื่อท่านหยั่งรากและตั้งมั่นคงในความรักแล้ว 18 ตัวท่านพร้อมกับประชากรทั้งหมดของพระเจ้า จะได้สามารถหยั่งถึงความรักของพระคริสต์ว่ากว้างยาวสูงลึกปานใด”

            เมื่อพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระองค์เข้ามาอยู่ในเรา พระองค์จะทรงเปิดให้เราเห็นถึงความรักที่ยิ่งใหญ่ ที่พระเจ้าได้กระทำการงานของพระองค์ผ่านทางพระเยซูคริสต์ ที่ทำให้กับเราเรียบร้อยไปแล้ว  และโดยความรักนี้ เมื่อพระเยซูตรัสว่าสำเร็จแล้ว หมายความว่าแผนการทั้งหมดที่พระเจ้าได้ทรงจัดเตรียมไว้ สำหรับมนุษยชาตินั้น ได้กระทำเรียบร้อยไปแล้ว  แล้วเราผู้เชื่อ ก็ได้เข้าสู่ศักราชใหม่ของพระเจ้า คือเข้ามาสู่ปีแห่งความโปรดปรานของพระเจ้า เข้ามารับพระคุณจากพระเจ้า โดยที่เราไม่ได้กระทำดีใดๆ เพื่อรับพระพรนี้

            ในพระคัมภีร์เอเฟซัส 2:8-9 บอกว่าเรารอด โดยความเชื่อ  ไม่ใช่เป็นการประพฤติของผู้หนึ่งผู้ใด  ที่จะพยายามกระทำความดี  เพื่อที่จะได้รับความรอด แต่ความรอดนี้ เป็นของประทานซึ่งมาจากพระเจ้า เป็นของประทานที่เกิดขึ้น ในวิญญาณของพวกเราผู้เชื่อ ใครก็ตามที่ได้ยินได้ฟังเรื่องราวของพระเจ้า แล้วตัดสินใจ เราทุกคนต้องการการตัดสินใจ ซึ่งพวกเราที่นั่งอยู่ตรงนี้ เราได้ตัดสินใจเรียบร้อยไปแล้ว ที่จะยอมรับความช่วยเหลือ จากพระเจ้า พระเยซูคริสต์ เมื่อคนหนึ่งคนใดยอมรับความช่วยเหลือ ตัดสินใจ แล้วก็บอกพระเจ้าว่า …

            “พระองค์เจ้าข้า ช่วยลูกด้วย ลูกอยากได้รับความรอด ลูกอยากเข้าสวรรค์ ลูกอยากเป็นลูกของพระองค์ ลูกไม่อยากอยู่ในทางเดิมอีกแล้ว ลูกไม่อยากอยู่ในอาดัมอีกแล้ว ลูกรู้ตัวว่าเป็นคนบาป  ลูกต้องการความช่วยเหลือ”

            แล้วใครก็ตามเปิดใจ บอกพระเจ้าอย่างนี้ ทันทีทันใด พระเจ้าก็เข้ามาบัพติศมา ผ่าตัดวิญญาณเรา เปลี่ยนวิญญาณใหม่ให้กับเรา ความคิดจิตใจใหม่ให้กับเรา  ชำระร่างกายของผู้เชื่อทุกคนให้สะอาดบริสุทธิ์  พร้อมให้พระเจ้าทั้ง 3 พระภาคเข้ามาสถิตอยู่ในเรา และบัดนี้ พวกเราทุกคนที่นั่งอยู่ตรงนี้ ในโลกวิญญาณ พระเจ้าพระบิดา พระเจ้าพระบุตร พระเจ้าพระวิญญาณบริสุทธิ์ ทั้ง 3 พระภาคเข้ามาสถิตอยู่ในเรา เรากับพระเจ้าเป็นหนึ่งเดียวกัน ไม่ว่าเราทำอะไร พระเจ้าเป็นผู้นำเราทำ แต่การที่พระเจ้านำเราไปทำ พระเจ้าไม่บังคับ  อย่างที่บอก เราอยากให้พระเจ้าบังคับมากๆ เลย เพื่อเราจะได้ไม่ต้องออกนอกลู่นอกทาง เอาโซ่มาล่ามเราไว้ก็ได้ เราจะได้เชื่อฟังพระองค์ แต่พระเจ้าไม่ได้เลี้ยงเราเหมือนวัวเหมือนควาย ไม่ใช่ เอาโซ่มาล่าม เอากรงมาขัง เอาไม้มาตี เพื่อจะได้กำหลาบเราให้อยู่มือ  นั่นไม่ใช่ลักษณะของพระเจ้า พระเจ้าเป็นความรัก พระองค์ทรงเมตตา  ทรงรักเราดั่งแก้วตาดวงใจ เป็นลูกที่พระองค์ทรงรักมาก ฉะนั้น พระองค์ก็ให้อิสรภาพกับเรา ในการตัดสินใจ แม้ว่า ณ เวลานี้เราเชื่อพระเจ้าแล้ว ชีวิตของเราไม่ได้เป็นของเราเองแล้ว ชีวิตเก่าของเราได้ตายไปพร้อมกับพระเยซูคริสต์แล้ว แล้วชีวิตใหม่ที่เราดำรงอยู่ ณ ขณะนี้ พระเจ้าซื้อเราด้วยชีวิตของพระเยซูคริสต์ ฉะนั้น เมื่อซื้อเราด้วยชีวิตของพระเยซูคริสต์ ในพระคัมภีร์บอกว่าเราไม่ใช่เจ้าของตัวเราเองอีกต่อไป แต่พระเยซูคริสต์ทรงเป็นเจ้าของชีวิตของเรา  แต่เราขอบคุณพระเจ้า แม้พระเยซูคริสต์ พระเจ้าพระบิดาเป็นเจ้าของชีวิตของเรา พระองค์ก็ยังไม่บังคับเราเหมือนเดิม เป็นลักษณะของพระองค์ พระองค์ก็ยังคงให้อิสรภาพกับผู้เชื่อ ลูกของพระองค์ ให้เขาตัดสินใจด้วยตัวเขาเอง ตัดสินใจว่าเขาจะดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ โดยการเชื่อฟังพระวิญญาณ หรือตัดสินใจจะดื้อกับพระเจ้า ไม่ยอมเชื่อฟังพระวิญญาณ  เป็นคริสเตียนดื้อได้อยู่นะ แต่ถ้าดื้อ เราก็เจ็บตัว พระคัมภีร์บอก เจ็บตัวตรงไหน?  เจ็บตัวแค่บนโลกใบนี้เท่านั้น แต่วิญญาณเราก็ยังอยู่กับพระเจ้าเหมือนเดิม นี่คือความจริงในโลกวิญญาณ

            ฉะนั้น ถ้าเราดื้อปุ๊บ พระเจ้าก็ลุ้น พี่น้องนึกออกไหม? เหมือนกับพ่อแม่ทุกคน ถ้าลูกเราเป็นเด็กดี เชื่อฟัง เป็นเด็กน่ารัก ไปถึงไหนใครก็รัก พ่อแม่ก็ปลื้ม ปลื้มทำไม ไม่เกี่ยวอะไรกับเราเลย  แต่ทำไมเราปลื้ม เพราะเขาเป็นลูกเราไง พอคนมาชมลูกให้เราฟัง ปลื้มอ่ะ ปลื้มมากเลย  …

            “ลูกน่ารักนะ ลูกเป็นเด็กดี มีสัมมาคารวะ”

            ปลื้มมาก ยิ้มแก้มปริกเลย นี่คือความรู้สึกของพ่อแม่  แต่ถ้าลูกเราไม่ดี ลูกเราดื้อ ลูกเราเป็นอันตพาล ชอบไปหาเรื่องชาวบ้าน  แล้วคนอื่นเขาก็มาฟ้องเรา มาบอกเรา …

            “ทำไมลูกเธอเป็นอย่างนี้ นิสัยไม่ดี เรียนก็ไม่เรียน เกเร ไปคบพวกอันตพาลอีก”

            เรารู้สึกอย่างไร? เศร้าเนอะ เรารู้สึกเสียใจ ที่ลูกเราทำไมถึงเป็นแบบนั้น แล้วเราอยากให้ลูกเราเป็นแบบนั้นไหม? ไม่อยาก แต่ลูกเราเป็นแล้ว เป็นแล้วทำไง เราก็ต้องค่อยๆ ให้กำลังใจเขา บอกเขาว่าเรารักเขาขนาดไหน? นี่คือวิธีเดียวที่สามารถทำให้เด็กที่ดื้อ เด็กที่ออกนอกลู่นอกทาง สามารถกลับเข้าสู่ร่องสู่รอย ที่เป็นเด็กดีได้ วิธีเดียวเท่านั้น คือบอกเขาว่าเรารักเขาขนาดไหน? อย่าไปด่าเขา อย่าไปไล่เขา เพราะว่าการด่า การไล่ เท่ากับเราผลักเขาออกจากชีวิตของเรา แต่ถ้าเราบอกเขาตลอดเวลา …

            “ลูก พ่อแม่รักลูกมากเลยนะ ลูกทำอย่างนี้ พ่อแม่เสียใจ ลูกทำอย่างนี้ พ่อแม่ก็วิตกกังวล เพราะไม่รู้ว่าเมื่อไร วันไหนลูกจะไปหัวร้างข้างแตกอยู่ตรงไหน? อย่างไร? แต่ต่อให้ลูกหัวร้างข้างแตก ลูกก็ยังเป็นลูกที่รักของพ่อแม่อยู่นะ”

            นี่คือความจริง เป็นความจริงที่เราเลี่ยงไม่ได้  เพราะว่าเขาเป็นลูกของเรา  เขาเป็นเชื้อสายของเรา  เขาเป็นเลือด เป็นเนื้อของเรา เรามองภาพ นี่แค่มนุษย์ธรรมดาที่พระเจ้าบอกว่ามนุษย์ที่เป็นคนบาป ยังรู้จักที่จะรักลูกของตัวเอง ยิ่งกว่านั้นสักเท่าใด พระเจ้าพระบิดาผู้ทรงสถิตอยู่ในสวรรค์ จะไม่รักเรามากกว่านั้นอีกหรือ? พระเจ้าเป็นผู้ให้กำเนิดมนุษย์ ทุกๆ คนบนโลกใบนี้ ด้วยวิญญาณของพระองค์ เมื่อลูกของพระองค์ทำผิดทำบาป ไม่เชื่อฟัง ดื้อกับพระเจ้า ก็คืออาดัม เอวาดื้อกับพระเจ้า พระเจ้าเสียใจ พระเจ้าไม่อยากให้เขาต้องรับทุกข์ทรมาน  แต่กฎก็คือกฎ พระเจ้าก็ต้องปล่อยมือ ปล่อยมือแล้วทำอย่างไร? พระเจ้าก็วางแผนการช่วยกู้ ให้ลูกเราได้มีโอกาสกลับคืนดีกับพระองค์ กลับเข้ามาอยู่สวรรค์เหมือนเดิมกับวันแรกที่พระเจ้าทรงสร้างเขามา นี่คือแผนการทั้งหมดที่พระเจ้าวางไว้ ถ้าเราเห็นภาพนี้  ที่พระเจ้าทรงรักเราขนาดนี้ เราจะสามารถที่จะยอมจำนนกับพระเจ้า พี่น้องนึกออกไหม? พระเจ้าต้องการให้เรายอมจำนน โดยตัวเราเอง ไม่ใช่ถูกบังคับ  ไม่ใช่ว่าพระเจ้าบอกต้องๆ จริงๆ แล้วหลังจากที่พระเยซูคริสต์ได้กระทำการงานของพระองค์สำเร็จ คำว่า “ต้อง” ไม่มีอีกแล้วในพจนานุกรมของพระเจ้า มีแต่ …

            “ควรทำ, ทำเถิดลูก ทำอย่างนี้ลูกจะได้ดีนะ ถ้าลูกทำตามพระวิญญาณ ลูกจะได้ดีนะ ถ้าลูกทำตามเนื้อหนัง หรือทำตามความต้องการของตัวเอง ลูกจะได้รับความไม่สุขสบาย ไม่สุขกาย ไม่สุขใจ คืออย่างไรก็ต้องรับผลตามที่พระเจ้าได้กำหนดไว้ แต่เป็นผลของโลกใบนี้เท่านั้น”

            เราขอบคุณพระเจ้า สำหรับความรักที่ยิ่งใหญ่ ที่พระเจ้าได้ทรงกระทำการงานผ่านทางพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ คือพระเยซูคริสต์ดังนั้น อาจารย์เปาโลอธิษฐานว่าเพื่อเราทั้งหลายจะได้สามารถหยั่งรากลึกลงไปในความรักของพระเจ้า รับรู้ว่าพระเจ้ารักเราขนาดไหน? ขนาดที่ยอมสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน เพื่อเรา พระเยซูยอม ต้องยอม ถ้าพระเยซูไม่ยอม ไม่มีใครทำอะไรพระองค์ได้ เหมือนพวกเราทุกวันนี้  เราก็ต้องยอม ถ้าเราไม่ยอม ก็ไม่มีใครทำอะไรเราได้เหมือนกัน พระเจ้าก็ทำอะไรเราไม่ได้เลย เพราะพระเจ้าให้สิทธิ เสรีภาพ ให้กับมนุษยชาติ  ให้มีสิทธิที่จะเลือกทางเดินของตัวเอง แต่พระเจ้าลุ้นไหม?  ลุ้นตัวโก่งเลย …

            “ลูกๆ นี่เหวนะ ลูกๆ อย่าเดินไปนะ ตกเหวนะ เจ็บนะลูก”

            มันลักษณะแบบนี้เลย  อาจารย์เปาโลจึงอธิษฐาน ให้ตาฝ่ายวิญญาณสว่าง เพื่อผู้เชื่อจะได้สามารถรับรู้ถึงความรักของพระเยซูคริสต์ว่ากว้าง ยาว สูง ลึกปานใด มันมีมิติ ที่มันอัศจรรย์มาก

            เราขอบคุณพระเจ้า ที่พอเรารับรู้ความจริงเกี่ยวกับเรื่องราวในคืนวันศุกร์ประเสริฐ ที่พระเยซูคริสต์ยอมพระองค์ยอมนะ พระองค์ไปอธิษฐาน 3 ครั้ง ทำไมต้องอธิษฐานถึง 3 ครั้ง  เพราะว่า ณ เวลานั้น พระองค์ยังเป็นมนุษย์อยู่ มีเนื้อหนังเหมือนมนุษย์ พระองค์กลัว อธิษฐานถามพระเจ้าว่าได้ไหม?  ที่ถาม รู้ทั้งรู้ว่ายังไงก็ไม่ได้ นึกออกไหม? เหมือนพวกเราแหละ ทุกวันนี้ ผู้เชื่อ บางทีเราก็อธิษฐานถามพระเจ้าว่าทำอย่างนี้ได้ไหม? ซึ่งข้างในใจเรามีคำตอบอยู่แล้วแหละว่ามันไม่ได้อยู่แล้ว แต่เราก็อยากอธิษฐานถามพระเจ้า เผื่อพระเจ้าจะใจอ่อน

            บอก … “โอเคๆ ลูกไปทำเถอะ”

            หรือบางครั้งก็มาถามศิษยาภิบาลอีก “ทำอย่างนี้ได้ไหม?”

            รู้คำตอบอยู่แล้วว่ายังไง ก็ไม่ได้ เป็นเรื่องที่มันผิดกฎหมาย สมมติ มาถามศิษยาภิบาลว่า …

            “ตอนนี้ร้อนเงินมาก ขอไปขายยาบ้าได้ไหม?”

            ท่านคิดว่าศิษยาภิบาลจะตอบท่านว่า … “ไปทำเถอะ ไปขายเถอะ จะได้เงินมาใช้”

            มีไหม? ไม่มีแน่นอน  เราก็ต้องแนะแนวให้กับท่านว่า … “อย่าไปทำเลย อธิษฐานกับพระเจ้าให้พระเจ้าประทานสติปัญญา  ประทานหนทางว่าเราน่าจะ หรือควรจะทำอะไรอย่างไร? ในการทำมาหากินที่สุจริต จะทำให้เราสบายใจนะ เราทำอย่างนี้ มันไม่โอเค”

            ซึ่งพระเจ้าก็จะคุยกับเราแบบนี้แหละ เหมือนกัน ซึ่งตอนที่เราไปถาม เรารู้ไหมว่ามันไม่ได้ รู้แหละ เผื่อฟลุ๊ค เผื่อศบ.ลืมตัว

            “โอเคๆ เดี๋ยวจะช่วยอธิษฐานให้นะว่าผ่านไปด้วยดี แล้วปิดตาของตำรวจที่จะไม่จับเรา”

            ถ้าเป็นดิฉัน ดิฉันจะอธิษฐานให้ตำรวจจับท่านไป  ใจร้ายไหม? ใจร้ายเนอะ จับท่านไป เพื่อท่านจะได้รู้ว่าอันนี้ไม่ดี วันหลังจะได้ไม่ทำ นึกออกไหม?

            ฉะนั้น เป็นอะไรที่ง่ายๆ ซึ่งพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่อยู่ในเรา พระองค์จะทรงเปิดให้เราเห็น  ให้เรารับรู้ความจริงว่า ณ เวลานี้ เราเป็นเหมือนพระเจ้าแล้ว เป็นความดีงาม สะอาด บริสุทธิ์ ดีพร้อมเหมือนพระเจ้าเลย ไม่ว่าเราตัดสินใจอะไร? หรือผิดพลาดอย่างไร? ล้มลง ไปทำสิ่งที่ไม่ได้ตรงตามความเป็นจริง ในตัวตนใหม่ของเราก็ตาม พระเจ้าก็ยังเห็นเราสะอาด บริสุทธิ์ หมดจด ดีพร้อม เป็นทายาทของพระเจ้า เป็นผู้ชอบธรรมของพระองค์ในโลกวิญญาณเหมือนเดิม อย่าให้มารหลอกเรา ให้ทำสิ่งที่ไม่ถูกต้อง  พอหลังจากที่เราทำแล้ว มันก็เอาไม้มาตีหัวเรา …

            “เห็นไหม? ทำสิ่งที่ไม่ดี พระเจ้าไม่รักเธอแล้ว เธอเป็นคนบาป” อะไรต่อมิอะไร?

            มันจะเป็นแบบนี้อยู่ตลอดเวลา ฉะนั้น ผู้เชื่อจำเป็นจะต้องรู้กลของมาร แล้วจำเป็นจะต้องรู้ความจริงในโลกวิญญาณ ที่พระเจ้าบอกว่าอะไรบ้างที่พระเยซูคริสต์ทำสำเร็จแล้ว ให้กับพวกเราทั้งหลาย ยืนกรานความสำเร็จที่พระเยซูคริสต์ได้กระทำ เพื่อเราบนไม้กางเขนเรียบร้อยไปแล้ว นี่คือสิ่งที่ผู้เชื่อจะทำ ในขณะที่ดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ แล้วเราจะได้สามารถอยู่แบบหายเหนื่อยและเป็นสุข ตามที่พระเยซูคริสต์บอก

            ทำไมมนุษย์เหนื่อย  มนุษย์ดิ้นรน พยายามไขว่คว้า พยายามแสวงหาอะไรก็ตาม พยายามทำสิ่งดีงาม เพื่อเราจะได้หลุดพ้นจากความบาป เพราะเรารู้ว่าเราบาป  เพื่อเราจะได้มีโอกาสเข้าสู่สวรรค์บ้าง แต่ไม่มีหลักประกัน สมัยก่อนไม่ว่าเราจะแสวงหาอะไร? ทำดีขนาดไหน? เราก็ไม่เคยมีความรู้สึกข้างในว่าเราดีพอที่จะขึ้นสวรรค์ได้ แต่ ณ บัดนี้ เราไม่ต้องทำเอง

            พระเยซูบอก … “ฉันทำให้เธอเสร็จแล้ว  เธอแค่เชื่อ  เธอก็จะดีพร้อม พระเจ้ารับเธอได้ เธอขึ้นสวรรค์ได้  เข้าไปอยู่ในสวรรค์กับฉันได้”

            และ ณ ปัจจุบัน พวกเราทุกคนก็ไปนั่งอยู่ในที่เดียวกันกับพระเยซูคริสต์ ที่สวรรคสถาน ณ เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้าเรียบร้อยไปแล้ว ในโลกวิญญาณ พระคัมภีร์บอกไว้อย่างนั้น

            ฉะนั้น ผู้ชอบธรรมจำเป็นจะต้องดำเนินชีวิตด้วยความเชื่อ เชื่ออะไร? เชื่อในสิ่งที่พระเยซูคริสต์บอกเราว่าพระองค์ทำสำเร็จแล้ว แล้วเข้ามารับ แค่นั้นเอง รับแบบรู้เรื่องบ้าง? ไม่รู้เรื่องบ้าง?  ไม่รู้ล่ะ พระองค์ว่าอย่างไร? ลูกว่าตามนั้นแหละ นั่นคือความเชื่อศรัทธา ที่เราจะดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ จนถึงวินาทีสุดท้าย ลมหายใจออกจากร่าง เราก็ยังคงเชื่อและเรามั่นใจว่าเมื่อเราเชื่อแล้ว พระเจ้าจะดูแลวิญญาณจิต ที่เราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอด จนกว่าวินาทีสุดท้ายของชีวิต อย่างไรเราก็ไม่หลุดออกจากความรักของพระเจ้าได้ ไม่ว่าเราจะไปทำอะไรก็ตาม พระเจ้าบอกไม่มีทางหลุดออกจากความรักของพระเจ้าได้เลย พระเจ้าได้รักเราเรียบร้อยไปแล้ว รับเราเป็นบุตรแล้ว เป็นทายาทของพระเยซูคริสต์แล้ว แค่เป็นทายาทที่ไม่รับรู้ความจริง แล้วเป็นทายาทที่เกเร ชอบทำตัวไม่ดี  แล้วก็ทำให้ตัวเองเดือดร้อน ทำให้ชาวบ้านเดือดร้อน ทำให้ตัวเองไม่มีความสุขพอ หรือเพียงพอในขณะที่ดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้เท่านั้น เราเคยเห็นไหม? ทายาทที่เกเร แทนที่จะมีความสุข

            พระเจ้าบอก … “เธอเป็นลูกฉัน ดีพร้อม สะอาด ทุกอย่างพระเจ้าทำให้เสร็จแล้ว”

            แล้วถ้าเราเกเรเราเป็นทายาทอยู่ไหม? เป็นเหมือนเดิมนะพี่น้อง ยังเป็นลูกที่พระองค์ทรงรักไหม? เหมือนเดิม ไม่มีเปลี่ยนแปลง เพียงแต่ว่าพระองค์รัก แต่พระองค์ลุ้น พอเราทำสิ่งที่ไม่ถูกต้อง เรารับผลมัน พระเจ้าบอก พระองค์ทรงเป็นผู้ครอบครอง ควบคุมกัลปจักรวาลนี้  กฎทุกอย่าง พระองค์เป็นผู้สร้าง ทั้งกฎฝ่ายวิญญาณ และกฎฝ่ายร่างกาย ที่อยู่บนโลกใบนี้ กฎเหล่านี้มันจะมีผล สำหรับชีวิตของทุกคน ไม่ว่าคนนั้นจะเชื่อหรือไม่เชื่อพระเจ้าก็ตาม

            ฉะนั้น ผู้เชื่อ เมื่อทำผิดกฎ ก็รับผลของมัน แต่พระเจ้าอยากให้เราทำไหม? พระองค์ไม่อยาก แน่นอน ไม่อยากให้ลูกของพระองค์ต้องเจ็บตัว แต่พระองค์ก็ให้อิสรภาพเราในการตัดสินใจว่าจะเชื่อพระองค์หรือไม่เชื่อ แล้วพระองค์ก็ลุ้นเราทุกวันนั่นแหละ ทุกวินาทีด้วยซ้ำไป  พี่น้องเคยรู้สึกไหมว่าทุกวินาทีความคิดของเราเปลี่ยนไปเรื่อยๆ คิดอย่างนี้ คิดปุ๊บ ไม่เอา คิดใหม่ ไม่เอา คิดใหม่ อยากจะช่วยคนนั้น ไม่เอาแล้ว ไม่ช่วยแล้ว อะไรอย่างนี้ นั่นคือความคิดที่เรายังอยู่บนโลกใบนี้อยู่ เรายังถูกควบคุมอยู่ แต่เราสามารถจดจ่อ รับรู้ความจริงว่าตอนนี้เราเป็นแบบนี้นะ แล้วโน้มนำความคิดของเรา เข้าไปอยู่ในการเชื่อฟังพระเจ้า เรามีสิทธิ์ตัดสินใจว่า …

            “คิดอย่างนี้ มันไม่ใช่ มันไม่ได้มาจากพระเจ้า ฉันไม่เอา … ความคิดนี้ มาจากพระเจ้า ฉันเอา”

            พี่น้องนึกภาพนะ เมื่อเราคิดอะไร สมองมันจะสั่งการให้ร่างกายเราทำตามความคิดของเรา แล้วทำไมพระเจ้าถึงให้เรายอมมอบถวายความคิด สติปัญญา ทั้งร่างกาย ตา หู จมูก ลิ้น กายของเรา ให้พระเจ้าใช้ เพราะว่าพระเจ้าไม่บังคับเราไง เราต้องยอมไง มอบให้พระเจ้าใช้ เมื่อพระเจ้าใช้ ความคิดเราก็ไปแปะอยู่ที่ความคิดของพระเจ้า ตามน้ำพระทัยของพระเจ้า

            เมื่อคิดตามพระเจ้าปุ๊บ ผลมันจะออกมาเป็นการกระทำ ที่เป็นเหมือนพระเจ้า  แต่ถ้าความคิดเราไปแปะอยู่ที่โลกนี้ การส่งข้อมูลเข้ามา ตรงกันข้ามกับความเป็นจริง ในโลกวิญญาณ ความคิดนี้ ก็จะส่งมา ให้เราประพฤติปฏิบัติตามมัน มันมาหลอกเรา พอคนเหยียบขาปุ๊บ ความคิดสั่ง …

            “เขาเหยียบเธอ หันไปด่าเลย”

            หันไปด่าไม่พอ ยังไม่สะใจ เหยียบเขาคืนเลย  นั่นแหละ คือความคิดของโลกใบนี้  แต่ความคิดของพระเจ้า คืออะไร? ถ้าเขามาเหยียบขาเรา แล้วเขาขอโทษเรา หรือแม้แต่เขาไม่ขอโทษ พระเจ้าจะโน้มนำเราว่า …

            “เขาไม่ได้ตั้งใจหรอก ยกโทษให้เขาเถอะลูก อย่าไปเอาเรื่องเอาราวเลย”

            ในความเป็นเนื้อหนัง เราไม่ยอมนะ แต่บางทีเราก็ยอม มันเป็นอย่างนั้น

            ฉะนั้น ให้เราขอบคุณพระเจ้าสำหรับสิ่งที่พระเยซูคริสต์ยอมเสียสละ เพื่อพวกเราเรียบร้อยไปแล้ว พระองค์ยอมมาเป็นคนบาป  เพื่อจะได้เป็นหนึ่งเดียวกันกับเรา ยอมเป็นคนบาป วิญญาณบาปของเราจะได้สามารถเข้าไปอยู่ เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์บนไม้กางเขน  ถ้าพระองค์ไม่ยอมเป็นคนบาป  ไม่ยอมรับเอาความบาปของมนุษยชาติมาไว้ที่พระองค์ พระองค์เป็นมนุษย์คนเดียวที่ไม่มีบาป สะอาด บริสุทธิ์เหมือนพระเจ้าเลย  ถ้าพระองค์ไม่ยอมปุ๊บ ความสะอาดบริสุทธิ์ของพระเจ้า มนุษย์เข้ามาอยู่ด้วยไม่ได้ ด้วยประการทั้งปวง  ไม่ว่าด้วยวิธีอะไร มนุษย์ก็ไม่สามารถเข้ามาอยู่ในพระเยซูคริสต์ได้ เพราะว่าเป็นคนละพวกกัน แต่เนื่องจากความรักที่พระเจ้าพระบิดาทรงมีต่อมนุษย์ ก็เลยทรงให้พระเยซูคริสต์ยอมที่จะเป็นคนบาป ยอมที่จะรับเอาความบาปของมนุษยชาติ มาไว้ที่ตัวพระองค์เอง แล้วเมื่อพระองค์ทรงเป็นคนบาปปุ๊บ ก็เลยสามารถดูดเอาคนบาป เข้ามาอยู่ที่ตัวพระองค์

            พระเยซูคริสต์ตรัสว่าเมื่อเราถูกยกขึ้น เราจะนำพาคนทั้งหลายเข้ามาหาเรา ถูกยกขึ้นบนไม้กางเขน ยอมเป็นคนบาป เพื่อดูดเอามนุษยชาติที่เป็นคนบาปด้วยกันเข้ามาเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์ เมื่อเราเป็นหนึ่งเดียวกับพระองค์ในความเป็นคนบาปแล้ว  เราจะได้ตายพร้อมกับพระองค์บนไม้กางเขน ตายพร้อมกันนะ ที่พูดทั้งหมดนี้ เป็นเรื่องของโลกวิญญาณหมดเลย พี่น้องลำดับภาพ แล้วก็มองให้เห็น  ในพระคัมภีร์ชอบใช้คำว่า …

            “จงมองให้เห็นเถิด”

            “คนที่มีตา จงดูเถิด”

            “คนที่มีหู จงฟังเถิด”

            พระเยซูไม่ได้บอกว่าเราไม่มีหูนะ เรามีหู 2 ข้าง หูเนื้อไม่เกี่ยวกัน หูเนื้อ เราไม่สามารถรับรู้เรื่องราวของโลกวิญญาณได้ ตาเนื้อเราไม่สามารถมองเห็นเรื่องในโลกวิญญาณได้ ฉะนั้น ตาและหูฝ่ายวิญญาณ ให้พระเจ้าเป็นผู้เปิดให้เราเห็น  เมื่อเราเชื่อวางใจในพระเจ้าแล้ว พระองค์จะค่อยๆ เปิดให้เราเห็นภาพชัดเจนว่าพระองค์ทำอะไรเพื่อเราแล้ว  เมื่อเราถูกดูดเข้าไปเป็นหนึ่งเดียวกัน ถูกตรึงบนไม้กางเขน ตายพร้อมกับพระเยซูคริสต์ปุ๊บ  พระองค์ก็นำเราไปฝังพร้อมกับพระองค์อีก  เพื่อว่าตัวบาปของเราจะได้ตายไปพร้อมกับพระเยซูคริสต์ เพื่อเราจะได้หลุดพ้นจากกฎของโลกใบนี้  กฎของความดีและความชั่ว กฎบัญญัติที่พยายามบังคับ เราว่าต้องทำอย่างนั้น ไม่ให้ทำอย่างนี้ กฎตรงนี้เราหลุดไปแล้ว เมื่อวิญญาณเราตายไปพร้อมกับพระองค์ แล้วเมื่อเราเป็นขึ้นมาจากความตาย ร่วมกับพระเยซูคริสต์ เป็นวิญญาณใหม่ที่สะอาดบริสุทธิ์ เราไม่ได้อยู่ภายใต้กฎอีกแล้ว

            ในพระธรรมโรม บทที่ 8 บอกว่า … “เหตุฉะนั้น จึงไม่มีการลงโทษใดๆ สำหรับผู้ที่อาศัยอยู่ (ใช้คำว่า “อาศัยอยู่” นะ เข้ามาอยู่ในพระเยซูคริสต์) เพราะว่ากฎของพระวิญญาณแห่งชีวิตในพระเยซูคริสต์ได้ทำให้ท่านพ้นกฎของความบาปและความตาย”

            นี่คือความจริงในโลกวิญญาณ  ฉะนั้น ณ เวลานี้เราอยู่ภายใต้กฎของวิญญาณแห่งชีวิตแล้ว กฎของความบาปความตาย ไม่มีอิทธิพล ไม่มีผลกับชีวิตของผู้เชื่อเลย แม้แต่นิดเดียว  อย่าให้มันหลอกเราได้ …

        เอเฟซัส 3:19-21 “19 และซาบซึ้งในความรักนี้ซึ่งเหนือกว่าความรู้ เพื่อท่านจะบริบูรณ์ด้วยความสมบูรณ์ทั้งสิ้นของพระเจ้า 20 บัดนี้ ขอเทิดพระเกียรติพระองค์ผู้ทรงสามารถกระทำเกินกว่าที่เราจะทูลขอหรือคาดคิด ได้ตามฤทธานุภาพของพระองค์ ซึ่งกระทำการอยู่ภายในเรา 21 ขอพระเกียรติสิริมีแด่พระองค์ในคริสตจักร และในพระเยซูคริสต์ตลอดทุกชั่วอายุสืบๆ ไปเป็นนิตย์! อาเมน”

            พระเจ้า พระวิญญาณบริสุทธิ์  พระเจ้าทั้ง 3 พระภาค ผู้ประกอบกิจอยู่ในเรา ฉะนั้น ทุกวันนี้  เราทำอะไร ก็เท่ากับพระเยซูทำ เอาเป็นอย่างนี้ พระเยซูทำอะไร ก็เท่ากับเราทำ เพราะว่าเราเป็นวิหารของพระเจ้า เมื่อพระเยซูนำเราทำอะไร เราก็ทำตามพระองค์ เพราะว่าตอนนี้ เราไม่มีชีวิตอยู่ต่อไป เพราะว่าชีวิตเราซ่อนอยู่ในพระเยซูคริสต์ เราขอบคุณพระเจ้ามากๆ สำหรับศักราชใหม่ที่พระเจ้าให้กับพวกเรา ให้เราสามารถหายเหนื่อยและเป็นสุข ให้เราไม่ต้องพยายามดิ้นรน ที่จะทำความดี เพื่อเราจะได้รับความรอด เหนื่อยนะ การพยายามทำความดี  ทำแล้วทำอีก ทำทุกบ่อยๆ แต่ข้างในวิญญาณเราไม่เคยรู้สึกว่าเราได้รับความรอด  เราไม่พอๆ เราต้องทำเพิ่ม แล้วก็เหนื่อย เหนื่อยแทบจะตาย จนเราตายจากไป  เราก็ยังไม่รู้สึกว่าเราหลุดพ้น จากความบาปสักที ซึ่งพระเจ้าบอกชัดเจนอยู่แล้ว ไม่มีมนุษย์คนไหนสามารถทำได้ ต้องมาพึ่งพระเยซูคริสต์เท่านั้น แล้วสิ่งที่พระเยซูคริสต์ทำ ก็ทำสำเร็จแล้ว สำหรับมนุษยชาติทั้งหมดเลยนะพี่น้อง ไม่ใช่เฉพาะคริสเตียน ทั้งหมด เรียบร้อยไปแล้ว บนโลกใบนี้ อยู่ตรงว่าคนนั้นได้ยินไหม? แล้วได้ยิน เขาตัดสินใจอย่างไร?  ได้ยินแล้ว เขาไม่สนใจ …

            “ฉันไม่เห็นต้องพึ่งพระเจ้าเลย ฉันก็ดีออกขนาดนี้  ฉันทำแต่ความดี ฉันส่ำสมความดีไว้ตั้งเยอะ ฉันไม่ต้องพึ่งพระเจ้าหรอก คนนั้น เขาก็ไม่เอาพระเจ้า”

            ดังนั้น ในพระคัมภีร์ พระเยซูคริสต์บอกว่ามีบาปเดียวที่พระเจ้ายกโทษให้ไม่ได้ บาปเดียวนั้น คือไม่เชื่อ วางใจคนที่พระเจ้าส่งมา  คือไม่เชื่อคนที่จะช่วยท่าน พระองค์จะมาช่วยท่าน แล้วท่านไม่รับความช่วยเหลือ ก็เท่ากับจบกัน  ใครก็ช่วยท่านไม่ได้  เพราะว่าพระเจ้าก็บีบคอให้ท่านมาเชื่อ วางใจในพระเจ้าไม่ได้ ก็เท่ากับจบกัน เมื่อคนนั้นไม่ยอมเชื่อ วางใจในสิ่งที่พระเยซูคริสต์กระทำ เพื่อเขาบนไม้กางเขน ไม่ยอมเข้ามารับความช่วยเหลือ คนนั้นก็ยังอยู่ที่เดิม  ที่เดิม คืออยู่ในอาดัม อยู่ในความบาป อยู่ในคำสาปแช่งนิรันดร์ เมื่อวิญญาณเขาออกจากร่าง เขาก็อยู่ที่เดิม  ก็คือในที่ที่ไม่มีพระเจ้า  พระคัมภีร์เขียนว่าที่ที่ขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน แล้วพระเจ้าก็จะโยนเขาไปในที่ที่อยู่ในความมืดนิรันดร์กาล

            นี่คือความรักของพระเจ้าที่บอกว่าพระองค์พยายามบอก …

            “กลับมาเถิด กลับมาคืนดีกับพระเจ้าเถิด เปิดใจต้อนรับเราเถิด เราทำให้แล้ว แค่มารับก็ได้ไปเลย อย่าดื้อเลย อย่าเย่อหยิ่งเลย  อย่าคิดว่าตัวเองสามารถทำได้ มันไม่มีทางอยู่แล้ว พระเจ้าบอกไม่มีทาง”

            แต่เราก็จะเถียงพระเจ้า … “ยังไง ฉันก็ว่ามีทาง”

            แต่พอถึงวินาทีสุดท้ายของชีวิต เหมือนเศรษฐีกับลาซารัส เชื่อว่าตอนที่ลาซารัสมีชีวิตอยู่ ลาซารัสคงคุยเรื่องพระเจ้าให้เศรษฐีฟัง  แต่ว่าเศรษฐีไม่สนใจ เพราะว่า …

            “ฉันรวยแล้ว ฉันมีทุกอย่างแล้ว ฉันไม่เห็นต้องพึ่งพระเจ้าเลย”

            นี่เป็นการยกตัวอย่าง  ที่พระเยซูยกให้ฟังนะ เพราะว่า ณ เวลานั้น  พระเยซูยังทำอะไรไม่สำเร็จ   พระเยซูยกว่าเมื่อลาซารัสตาย ลาซารัสไปอยู่ที่อกของอับราฮัม  ณ เวลานั้น ผู้ที่เชื่อเหมือนอับราฮัม เขาก็ได้รับความรอด ในกฎเก่า เขาเรียกว่าพันธสัญญาเดิม  ที่พระเจ้าทำไว้กับคนยิว  ซึ่งคนต่างชาติไม่เกี่ยวเลยนะ มีคนยิวเท่านั้น ถ้าคนยิวคนไหนยังเชื่อฟังสิ่งที่โมเสสบอก ที่พระเจ้าบอกโมเสสว่าปีต่อปีให้เอาแกะมาถวาย  เอาเลือดมาถวาย  ถ้าทำผิดอะไร ก็มาสารภาพบาปกับพระเจ้า แล้วให้เชื่อว่าพระองค์เป็นพระเจ้าผู้เดียวสามารถช่วยให้รอดได้ ถ้าใครเชื่อ เขาก็ได้รับความรอดเหมือนกัน แต่พอถึงยุคพระคัมภีร์ใหม่ พระเจ้าบอกว่ากฎพระองค์เปลี่ยนแล้วนะ ตอนนี้กฎเดิม ยกเลิกไปแล้ว  ถ้าคนยิวยังไปถวายเครื่องบูชาเหมือนเดิมอีก เขาก็ไม่ได้รับความรอดนะ เพราะพระเจ้าบอกว่ากฎใหม่มาแล้ว อันนั้นจบแล้ว เครื่องบูชาเดิมๆ จบแล้ว มีเครื่องบูชาใหม่ คือแกะปัสกาที่พระเยซูคริสต์ได้มาสิ้นพระชนม์ เพื่อเราบนไม้กางเขน ตอนนี้คนยิวหรือไม่ยิว หรือคนต่างชาติ หรือใครก็ตาม จำเป็นจะต้องเดินมาอยู่จุดนี้ คือมาเชื่อวางใจในพระเยซูคริสต์เท่านั้น  เขาจะได้รับความรอด  พระเจ้าอวยพรค่ะ

************************

จากใจคณะศิษยาภิบาล

            คำสัญญาและสาบานที่พระเจ้าให้   สำเร็จแล้ว  โดยพระเยซูคริสต์สิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน

            คำสัญญาและสาบานนั้น คือ …

            เอเสเคียล 36:25-27 … “25 เราจะปะพรมน้ำ ชำระลงบนเจ้า แล้วเจ้าจะสะอาด เราจะชำระล้างเจ้าจากมลทินโสโครกทั้งปวง และจากรูปเคารพทั้งปวงของเจ้า 26 จะให้จิตใจใหม่แก่เจ้า  และใส่วิญญาณใหม่ในเจ้า เราจะขจัดใจหินออกจากเจ้า  และให้เจ้ามีใจเนื้อ 27 เราจะใส่วิญญาณของเรา ไว้ในเจ้า โน้มนำเจ้าให้ปฏิบัติตามกฎหมายของเรา และใส่ใจรักษาบทบัญญัติของเรา”

            เมื่อมนุษย์ผู้ใดเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด และได้บังเกิดใหม่แล้ว พระเจ้ามิได้ให้พระวิญญาณของพระองค์สถิตอยู่กับเราเท่านั้น

            แต่พระองค์ได้ทรงให้วิญญาณใหม่กับเราด้วย  เพราะมนุษย์ถูกสร้างประกอบไปด้วยร่างกายจิตใจและวิญญาณตัวตนจริงๆ ของเรา คือวิญญาณและใจที่อาศัยอยู่ในเรือนดิน คือร่างกายนี้

            มนุษย์ที่เกิดมาในโลกนี้  เป็นวิญญาณที่ตายจากพระเจ้า  ดำเนินชีวิตอยู่ในบาป อยู่ใต้อำนาจบังคับของบาป

            เมื่อเราต้อนรับพระเยซูคริสต์  พระเจ้าก็เข้ามาผ่าตัดวิญญาณของเรา บัพติศมาเข้าส่วนร่วมในพระเยซูคริสต์  เพื่อตายพร้อมพระองค์ และเป็นขึ้นจากความตาย  บังเกิดใหม่ร่วมกับพระองค์ ด้วยวิญญาณใหม่และใจใหม่ที่เป็นเหมือนพระองค์ ความต้องการภายในจิตใจ แรงจูงใจภายในจิตใจใหม่ทั้งสิ้นเหมือนพระเจ้า

            วิญญาณและใจใหม่ของเรามีการเปลี่ยนแปลงอย่างอัศจรรย์จากเดิม  กลายเป็นเหมือนพระเจ้า พระเยซูคริสต์มีความต้องการ มีความดีงาม มีความบริสุทธิ์เหมือนพระเยซู เมื่อสะอาดบริสุทธิ์ไร้ตำหนิแล้ว  พระวิญญาณของพระองค์ก็สามารถเข้ามาสถิตอยู่ในร่างกายของเรา  รวมเป็นหนึ่งกับวิญญาณของเราที่เกิดใหม่นั้น  ได้ทันที

            เราจึงกลายเป็นอภิสุทธิสถานของพระเจ้า  และเป็นวิหารของพระเจ้า แม้กระทั่งร่างกายของเราก็ได้รับการชำระด้วยโลหิตของพระเยซูคริสต์ให้บริสุทธิ์  ที่พระเจ้าสามารถรับได้แล้วเดี๋ยวนี้ จึงสามารถเข้ามาสถิตอยู่กับเรา

            พระเจ้าอวยพรครับ