วารสาร Holy  News   ฉบับที่  1406

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  5  มีนาคม  2023

เรื่อง “หนังสือเอเฟซัส”  ตอน 22

โดย วราพร  คงล้วน

            ขอบคุณพระเจ้า สำหรับถ้อยคำของพระองค์ สัปดาห์ที่แล้วเราก็เรียนไปแล้วในเอเฟซัส 3:9-10  อาจารย์เปาโลพูดถึงพระพรของพระเจ้าที่ได้จัดเตรียมไว้สำหรับคนต่างชาติ มันเป็นแผนการลี้ลับของพระเจ้า ตั้งแต่วันแรกที่มนุษย์ล้มลงในความบาป พระองค์ก็เตรียมแผนว่าวันหนึ่งข้างหน้าพระเจ้าจะทำให้ชนชาติอิสราเอลกับชนต่างชาติที่ไม่ใช่อิสราเอล ให้มาเป็นหนึ่งเดียวกัน ในพระเยซูคริสต์

            ฉะนั้น จดหมายฉบับนี้ อาจารย์เปาโลเขียนไปถึงคนต่างชาติ เขาไม่กล้าที่จะเสนอตัวว่าเขาเป็นลูกของพระเจ้าแล้ว เขามีความรู้สึกว่า …

            “ฉันเป็นลูกของพระเจ้าแล้วหรือ? ฉันสามารถเข้ามาเป็นหนึ่งเดียวกันกับคนยิวหรือ?”

            เพราะชนชาติยิวใครๆ ก็รู้ว่าเป็นชนชาติของพระเจ้า เป็นชนชาติพิเศษที่พระองค์เลือกไว้ แต่อาจารย์เปาโลก็ยังคงย้ำยืนยันว่าเป็นเรื่องจริง พระเจ้าได้เตรียมไว้ตั้งแต่วันแรกที่มนุษย์ล้มลงในความบาปแล้ว แล้วแผนการนี้ก็ค่อยๆ ต่อเนื่องมาจนถึงวันที่พระเยซูคริสต์ได้กระทำภารกิจของพระองค์สำเร็จ ได้สิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน  ถูกฝัง และเป็นขึ้นมาจากความตาย  อยู่กับคนอิสราเอล 40 วัน แล้วก็ลอยขึ้นไปบนฟ้าเลย ให้คนอิสราเอลได้เห็นกับตาเลยว่าพระองค์เสด็จขึ้นสู่สวรรค์ แล้วอีก 10 วัน พระเจ้าส่งพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระองค์ลงมา เป็นครั้งแรกที่พระเจ้าเข้ามาสถิตอยู่กับมนุษย์

            แล้วจากวันนั้น ก็มีจุดเริ่มต้นที่พระองค์วางแผนที่จะประกาศความรอด ให้กับคนต่างชาติ แล้วพระองค์ก็ทรงเลือกอาจารย์เปาโลให้ทำอย่างนั้น พี่น้องนึกดูว่าแผนการลี้ลับนี้ พระเจ้าปิดซ่อนไว้ ไม่มีใครรับรู้เรื่องนี้เลย ทุกคนก็มีความรู้สึกว่าเฉพาะชนชาติยิวเท่านั้นที่พระเจ้าเลือกสรร เฉพาะชนชาติยิวเท่านั้น ที่เป็นประชากรของพระเจ้า

            เราพูดถึงคำว่า “ประชากร” สมัยก่อนคนยิวภูมิใจในการเป็นประชากรของพระเจ้า ประชากร หมายถึงเป็นพลเมืองของพระเจ้า ถ้าเปรียบประเทศไทย เราเป็นพลเมืองของประเทศไทย เราเป็นคนไทย โดยชอบธรรม เราสามารถที่จะรับสิทธิต่างๆ ที่ถูกกำหนดไว้ในประเทศไทย อย่างครบถ้วนสมบูรณ์  แต่ว่าเรายังเป็นแค่พลเมืองเท่านั้น  เป็นประชาชนเท่านั้น  แต่พิเศษกว่านั้น คือพระเจ้าได้เตรียม ไม่ใช่เฉพาะเราเป็นพลเมืองของประเทศไทยเท่านั้น หรือพลเมืองของพระเจ้าเท่านั้น แต่พระเจ้าเตรียมให้เราเข้ามาเป็นลูกของพระองค์ เป็นทายาทร่วมกับพระเยซูคริสต์ มันวิ่งขึ้นไปอีกระดับหนึ่ง กับการที่เป็นคนไทย กับการถูกรับให้เป็นลูกของกษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ นึกภาพออกไหมค่ะ? จะเป็นภาพที่ให้เราเห็นชัดเจนว่าพระเจ้าไม่เพียงแต่ชำระความผิดบาป ให้กับมนุษยชาติเท่านั้น พระองค์ยังเตรียมแผนการให้มนุษย์ได้บังเกิดใหม่ เข้ามาในอาณาจักรของพระเจ้า  เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของพระเยซูคริสต์ เป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรพระเจ้า  ที่พระเยซูคริสต์บอกว่า … “เรารู้จักเจ้า” รู้จักตั้งแต่ตอนที่เรายังอยู่บนโลกใบนี้  คือเราได้เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอด เข้ามาเป็นหนึ่งเดียวกัน โดยการบัพติศมาในวิญญาณ

            นี่คือขบวนการทั้งหมด สิ่งเหล่านี้ เราไม่สามารถมองเห็นด้วยตาของเรา ต้องใช้ความเชื่อเอา เชื่อตามที่พระเจ้าบอกเรา เชื่อตามที่พระองค์บอกว่าวันที่เราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ทันที เราได้บังเกิดใหม่ ขบวนการในโลกวิญญาณได้กระทำการงานของพระองค์ สำเร็จตั้งแต่วันแรก แล้ววิญญาณเราก็ได้รับการเปลี่ยนใหม่ เป็นวิญญาณใหม่เอี่ยมอ่อง เหมือนกับพระเยซูคริสต์ ความคิดจิตใจเราก็ถูกเปลี่ยนใหม่ ร่างกายเราถูกชำระให้สะอาดบริสุทธิ์  เป็นที่สถิตของพระเจ้าทั้งสามพระภาคได้ นี่คือความจริงที่เราต้องรับรู้และกระแทกมันเข้าไป ให้ถ้อยคำเหล่านี้ กระแทกเข้าไปในวิญญาณ เข้าไปในความคิด เข้าไปในจิตใจ ทุกอนูเนื้อของเรา ให้รับรู้ความจริงตรงนี้ เพื่อมารจะได้หลอกเราไม่ได้  ไม่อย่างนั้นมารก็จะคอยหลอกเรา ในขณะที่เราดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ มีโอกาสเผลอตัว ไปทำตามระบบของโลกนี้

            ฉะนั้น ความจริงตรงนี้แหละ จะทำให้เราสามารถมีอิสรภาพในการดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ ยืนกราน ตามถ้อยคำของพระเจ้าที่พระเยซูคริสต์บอกเราว่าเราสะอาด เราบริสุทธิ์ เราชอบธรรมแล้ว เราเป็นมนุษย์พันธุ์ใหม่ เหมือนกับพระเยซูคริสต์แล้ว ร่างกายของเราสะอาด บริสุทธิ์ เหมือนกับพระเยซูคริสต์เลย ร่างกายเราก็สะอาดนะ มันยากตรงที่ร่างกายเรามองเห็น แล้วระบบของโลกใบนี้ก็ส่งข้อมูล สะอาดตรงไหน? ยังทำผิดอยู่เลย ฉะนั้น เราต้องยืนกรานตามถ้อยคำของพระเจ้า ที่บอกเราว่าร่างกายเราได้รับการชำระให้สะอาดจริงๆ พระเจ้าทั้ง 3 พระภาคเข้ามาอยู่ในเราจริงๆ แล้ววิญญาณเรา เป็นวิญญาณที่ถูกเปลี่ยนใหม่จริงๆ

            นี่คือแผนการตั้งแต่เริ่มต้น จนถึงทุกวันนี้ ที่คนต่างชาติ อาจารย์เปาโลบอกว่าให้รับรู้ตรงนี้เอาไว้ แล้วกล้าๆ หน่อยที่จะเข้ามารับพระคุณตรงนี้ คือเขาเชื่อพระเจ้าแล้วล่ะ แต่เขาไม่กล้าไง มีความรู้สึกว่า …

            “ได้เหรอ ฉันได้เป็นลูกของพระเจ้าจริงหรือ? แค่รับเชื่อ ฉันได้รับมรดกจากพระเจ้าจริงหรือ?”

            ดังนั้น อาจารย์เปาโลย้ำยืนยันตามที่พระเยซูคริสต์ได้ตรัสไว้ว่าเขาได้รับจริงๆ ตามนั้น ให้กล้าที่จะเข้ามารับเอา รับรู้ความจริงว่าเขาสามารถเข้ามาเป็นลูกของพระเจ้า ตอนนี้ไม่ใช่ประชากรแล้วนะ เป็นลูกของพระเจ้าร่วมกับคนยิว เป็นหนึ่งเดียวกันร่วมกับคนยิว

            แล้วในข้อ 10 สัปดาห์ที่แล้วเราอ่านไปไม่ได้อธิบาย เดี๋ยวอธิบายก่อนนะ ในข้อ 10 บอกว่า …

        เอเฟซัส 3:10 “เพื่อบัดนี้เหล่าเทพผู้ครองและเทพผู้ทรงอำนาจในสวรรคสถาน จะได้เห็นถึงพระปรีชาญาณอันลึกซึ้งของพระเจ้าผ่านทางคริสตจักร”

            ตรงนี้หลายคนอาจจะเข้าใจผิด คิดว่าเป็นพวกผู้ครอง ศักดิเทพ อิทธิเทพ เป็นพวกผี หรืออะไร? ไม่ใช่นะ เทพผู้ครองกับเทพผู้ทรงอำนาจในสวรรคสถาน มารซาตาน เขาไม่มีสิทธิ์ขึ้นสวรรค์นะ เขาขึ้นไปก็เฉียดๆ ไปฟ้องเรากับพระเจ้าตลอดเวลา แต่ว่าตรงนี้พูดถึงผู้คนในอดีต ที่เชื่อ วางใจในสิ่งที่พระเจ้า พระบิดาบอกไว้ ตอนนั้นพระเยซูคริสต์ยังไม่มา  แต่ว่าใครก็ตามที่เชื่อตามที่พระเจ้าตั้งกฎไว้ อย่างเช่น อับราฮัม โมเสส เขาเชื่อตามที่พระเจ้าบอกว่าให้นำแพะ หรือแกะ มาถวายเป็นเครื่องบูชาไถ่บาป ปีต่อปี ทุกปี คนอิสราเอลต้องทำแบบนี้  เพื่อเป็นพันธสัญญาระหว่างคนอิสราเอลกับพระเจ้า ตอนนั้นเป็นพระเจ้านะ  พระเจ้า พระบิดา พระยะโฮวาห์ พระคัมภีร์เดิม พอพระเจ้าทำพันธสัญญากับคนอิสราเอล ณ เวลานั้น พระเจ้าไม่ได้เข้ามาอยู่ในชนชาติอิสราเอล  ไม่ได้เข้ามาอยู่ในคนกลุ่มนั้น  แค่อยู่รอบๆ  ปกคลุมอยู่ เวลาที่ต้องการจะใช้ใคร?  ทำอะไร? พระองค์ก็มาสถิตอยู่ด้วย แล้วก็ให้กำลัง ให้เขาทำ พอทำเสร็จ พระเจ้าก็ออกไป คนสมัยเดิม เป็นอย่างนั้น ไม่อย่างนั้น กษัตริย์ดาวิดจะอธิษฐานว่า …

            “พระองค์เจ้าข้า โปรดอย่าละข้าพระองค์ไป เวลาข้าพระองค์ทำบาป พระองค์ก็ละข้าพระองค์ไป”

            นึกออกไหม? มันเป็นภาพ เพราะว่าพระเจ้าไม่ได้อยู่ในชนชาติอิสราเอล ในอดีต พระเจ้าก็จะทำการงานของพระองค์ และพระสัญญาที่พระเจ้าให้กับชนชาติอิสราเอลเป็นเงาในอนาคตข้างหน้าที่จะเล็งถึงพระผู้ช่วยให้รอด แกะปัสกาตัวสุดท้าย ซึ่งเต็มไปด้วยฤทธิ์เดชอำนาจที่พระเจ้าเตรียมไว้ ตั้งแต่เริ่มต้นปฐมกาล คือพระเยซูคริสต์ ที่ปฐมกาล 3:15 บอกว่า …

            “พงศ์พันธุ์ของหญิงจะทำให้หัวของเจ้าแหลก”

            พงศ์พันธุ์ของหญิงเล็งถึงพระเยซูคริสต์ ผู้ทรงมาเกิดเป็นมนุษย์ แต่เป็นมนุษย์ผู้เดียวที่ไม่มีเชื้อบาป  แล้วเป็นมนุษย์ผู้เดียวที่สามารถมาตายแทนมนุษยชาติทั้งหลายได้ มาใช้หนี้แทนได้  มนุษย์บนโลกใบนี้ ไม่มีใครใช้หนี้แทนใครได้ เพราะว่าเป็นคนบาปหมดเลย อยู่ใน DNA บาป เกิดมาก็บาปเลย  ไม่มีใครมีความสามารถพอที่จะใช้หนี้ให้ใคร?

            ฉะนั้น พระเจ้าได้เตรียมพระเยซูคริสต์ ผู้เดียวเท่านั้น เป็นแกะ ในอนาคตข้างหน้า เมื่อถึงกำหนดเวลา พระเยซูคริสต์ก็เดินทางไปที่แดนประหาร ตอนที่พระเยซูคริสต์ถูกจัดเตรียมให้มาเกิดบนโลกใบนี้ พระเจ้าก็ไม่ได้บังคับพระเยซูคริสต์ว่าต้องทำตามที่พระเจ้าต้องการ  พระเจ้าของเราไม่เคยบังคับใครให้ทำตามที่พระองค์ต้องการ  พระองค์ให้อิสรภาพในการตัดสินใจ  ในการเลือกตั้งแต่พระเยซูคริสต์ มาจนถึงคนอิสราเอลในยุคก่อน พระเจ้าก็ให้อิสรภาพ ถ้าคนอิสราเอล คนไหนได้ยิน ที่พระเจ้าบอกว่าให้มาทำพันธสัญญากับเราด้วยเลือด เราจำคำนี้ไว้ “เลือดแห่งพันธสัญญา” ถ้าไม่มีการหลั่งโลหิต ก็จะไม่มีการอภัยโทษบาป ในพระคัมภีร์เขียนไว้อย่างนั้น

            ฉะนั้น เลือด คือชีวิต เลือด คือสัญลักษณ์ที่พระเจ้าได้ทำกับคนอิสราเอล เมื่อคนอิสราเอลคนหนึ่งคนใดเชื่อตามนี้ เมื่อถึงปี เขาก็เอาแกะที่ไร้ตำหนิมาให้กับปุโรหิต แล้วปุโรหิตก็ทำพิธีฆ่าแกะนั้น แล้วก็เอาเลือดไปปะพรมแท่นบูชา เท่ากับว่าเขาได้มาถวายเครื่องบูชา แล้วคนๆ นั้น ที่ทำตามกฎที่พระเจ้าบอก เขาก็จะได้รับการปกคลุม คือได้รับการลบล้างบาปชั่วคราว ก็คือตลอดปีนี้ พระเจ้าคลุมเขาอยู่ แล้วปีหน้า คนอิสราเอลคนนั้น ไม่ใช่สบาย ฉลุย ไม่ต้องทำอะไร? มาใหม่ ปีหน้า ก็ต้องไปหาแกะตัวใหม่ที่ไร้ตำหนิ มาถวายให้พระเจ้า ปีแล้วปีเล่า ครั้งแล้วครั้งเล่า ที่ปุโรหิตต้องยืนถวายเครื่องบูชา อยู่ตรงนั้นแหละตลอด ทำไมถึงต้องถวายเครื่องบูชาตลอด  เพราะว่าการลบล้างบาปด้วยเลือดของสัตว์ ไม่ทำให้ใจข้างในเรารู้สึกบริสุทธิ์สะอาด เรายังรู้สึกว่าเรายังบาปอยู่เลย ปีหน้าเราก็มาทำใหม่

            พอมาถึงพระเยซูคริสต์ เลือดของพระเยซูคริสต์ที่สะอาดบริสุทธิ์ ชำระเรา ในพระคัมภีร์บอกว่าครั้งเดียวเป็นพอ  ก็คือหลั่งพระโลหิตครั้งเดียว เราได้รับการชำระปุ๊บ ข้างในวิญญาณเรารู้สึกเราเป็นไทเลย  เราไม่ต้องมาคอยชำระบาปทุกปีๆ ไม่ต้อง ดังนั้น วิญญาณข้างในเราจะรับรู้ว่าเราหยุดที่จะแสวงหา พี่น้องสังเกตไหมก่อนหน้าที่เราจะมาเชื่อพระเจ้า เราจะคอยแสวงหาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เพื่อทำให้เรารู้สึกว่าเราจะได้หลุดพ้นจากกฎแห่งกรรม กฎที่มันฝังอยู่ในความคิดของเราว่าทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว เราทำดีกับชั่วมันก้ำกึ่งกันมาก แล้วต่อให้ทำดีมากกว่าทำชั่ว ต่อให้ก้ำกึ่งกัน เราก็ยังมีความรู้สึกข้างในมันฟ้องผิด นี่คือปกติ เพราะว่าตัวตนข้างในเรายังเป็นบาปอยู่ ดังนั้น พอเรามาเชื่อพระเจ้าปุ๊บ ข้างในเราไม่บาปแล้วนะ  เราถูกเปลี่ยนจากสถานะเดิม ก็คือเป็นคนบาป มาเป็นผู้ชอบธรรมของพระเจ้า เปลี่ยนจากอยู่ในอาณาจักรของความมืดเข้ามาอยู่ในอาณาจักรแห่งแสงสว่างของพระเจ้า เปลี่ยนจากการเป็นคนบาป  มาเป็นผู้ชอบธรรมของพระเจ้า นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นในโลกวิญญาณ

            ฉะนั้น ในข้อ 10 ที่บอกว่าเทพผู้ทรงอำนาจในสวรรคสถาน หมายถึงบุคคลต่างๆ ที่เชื่อในพันธสัญญาเดิม ที่พระเจ้าบอกไว้ว่าให้ถวายแกะเป็นเครื่องบูชา เอาเลือดมาถวาย  คนเหล่านั้น แม้พระเยซูคริสต์ยังไม่มาเกิดเป็นมนุษย์ แต่เขาเชื่อตามพันธสัญญาเดิม พอเชื่อตามพันธสัญญาเดิมปุ๊บ พระเจ้าบอกว่าเขาชอบธรรม

            อับราฮัมมีความเชื่อ พระเจ้าถือว่าเขาเป็นผู้ชอบธรรม ในพระคัมภีร์ไม่ได้บอกว่าอับราฮัมประพฤติดี พระเจ้าถือว่าเขาเป็นผู้ชอบธรรม มันต่างกันเนอะ การประพฤติกับความเชื่อให้แยกจากกัน มนุษย์ไม่สามารถประพฤติดี จนทำให้ตัวเองเป็นผู้ชอบธรรมได้ มีเพียงวิธีเดียวเท่านั้น คือเชื่อตามพระสัญญาของพระเจ้า ฉะนั้น บุคคลต่างๆ ในอดีต เขาได้เชื่อตามที่พระยะโฮวาห์บอก แล้วเขาก็เป็นผู้ชอบธรรมของพระเจ้า เมื่อเขาตายจากไป เขาก็ไปอยู่กับพระเจ้าบนสวรรค์ เพราะว่าเขาได้ทำตามเงื่อนไขของพระคัมภีร์เดิม ก่อนที่พระเยซูคริสต์มาเกิด ตรงนี้พี่น้องเอาให้ชัดๆ

            หลังจากนั้น คนเหล่านี้อยู่ข้างบน เขาเชียร์เรา เขาไม่รู้ด้วยซ้ำไปว่าพระเจ้าวางแผนไว้อย่างไร? พอถึงเวลา ก็ตื่นเต้นว่าพระเจ้าเลือกชนชาติอิสราเอลใช่ไหม? พอพระเยซูคริสต์ได้มาเกิดเป็นมนุษย์ มาสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน  แล้วพระองค์ได้เป็นขึ้นมาจากความตาย ข่าวประเสริฐของพระองค์ไปถึงคนต่างชาติ  เขาก็ตื่นเต้นมากเลย ไม่ใช่เฉพาะคนยิวเท่านั้น แต่คนต่างชาติที่เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เขาสามารถเข้ามาเป็นหนึ่งเดียวกันกับพวกเรา พวกเรา ก็คือพวกธรรมิกชนทั้งหลาย ที่จากโลกนี้ไปแล้ว เขาก็ตื่นเต้นไง เชียร์ใหญ่ เชียร์อยู่บนสวรรค์

            นี่คือภาพให้เราเห็นว่าคนที่จากโลกนี้ไป ก่อนที่พระเยซูคริสต์มาเกิดเป็นมนุษย์ คนเหล่านั้น  ถ้าทำตามเงื่อนไข พันธสัญญาเดิม เขาได้ไปอยู่กับพระเจ้า ฉะนั้น พอมาถึงยุคพระคัมภีร์ใหม่ ยุคที่พระเยซูคริสต์มาเกิดเป็นมนุษย์  และทำภารกิจของพระองค์สำเร็จ ตอนนี้เปลี่ยนแล้วนะ พระเยซูมาประกาศกับคนยิวว่าเขาไม่สามารถรักษากฎบัญญัติ ที่พระเจ้าตั้งไว้ให้ครบถ้วนสมบูรณ์ ทุกจุด ทุกขีด  ถ้าเขาต้องการที่จะพึ่งพากำลังของตนเอง ที่จะประพฤติ ทำให้เป็นผู้ชอบธรรมได้ มีวิธีเดียว คือให้ดีพร้อม เหมือนพระเจ้า

            ดีพร้อมเหมือนพระเจ้า หมายความว่าเขาต้องทำตามกฎที่พระเจ้าตั้งไว้ แม้แต่จุดนิดหนึ่งก็ไม่ให้พลาด ตลอด 24 ชั่วโมง  คิดก็ไม่ได้ พระเยซูบอกแค่คิดชั่ว ก็บาปแล้ว แล้วพระคัมภีร์ก็บอกว่าต่อให้มนุษย์ผู้นั้น ทำดีมาเป็นพันครั้ง หมื่นครั้ง ล้านครั้ง แต่ถ้าเขาทำผิดแค่ครั้งเดียว ถือว่าเขาผิด  ถือว่าเขาบาป นี่คือกฎ ที่พระเจ้าตั้งไว้

            ฉะนั้น ไม่มีมนุษย์คนไหนสามารถใช้กำลังของตนเอง ที่จะทำให้ตนเองชอบธรรมได้ นี่คือเหตุผล ที่พระเจ้าส่งพระเยซูคริสต์มา  แล้วตอนที่พระเยซูคริสต์ยังอยู่บนโลกใบนี้ พระเยซูคริสต์ก็บอกกับคนยิวว่าพวกท่านทำไม่ได้หรอก ไม่ได้มาสอนให้ทำนะ เมื่อก่อนเราเข้าใจผิด ดิฉันก็เข้าใจผิดมาเป็น 30 กว่าปีนะ คิดว่าพระเยซูมาสอนให้เราทำ  แล้วเราก็พยายามทำ ทำแล้วทำอีก เรียกว่าหัวชนฝาทำ แต่ทำเสร็จ มันก็ไม่ครบถ้วนสมบูรณ์ แล้วเราทำไม่พอ เราก็ไปสอนคนอื่นให้ทำ แต่ความจริงคือ …

            พระเยซูบอก … “ไม่ได้มาสอนให้เธอทำ ฉันกำลังมาบอกเธอว่าเธอทำไม่ไหว ฉันมาทำให้สำเร็จ เธอแค่มาเชื่อฉัน” จบ

            ง่ายไหม? ง่าย แต่เรื่องง่ายๆ มนุษย์รับไม่ค่อยได้ ฉะนั้น เมื่อพระเยซูคริสต์บอกว่ามนุษย์ไม่สามารถทำได้ พระองค์มา วันที่พระเยซูคริสต์สิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน วันที่พระองค์ถูกฝังในอุโมงค์ แล้ววันที่พระองค์ทรงเป็นขึ้นมาจากความตาย พระเยซูว่าอย่างไร?

            พี่น้องจำวันที่พระเยซูอยู่บนไม้กางเขน ตอนบ่าย 3 โมงได้ไหม?  พระเยซูตะโกนคำว่า … “สำเร็จแล้ว” นั่นหมายความว่าทุกอย่างที่พระเจ้า พระบิดาเตรียมไว้  สำหรับมนุษยชาติ ความรอดนิรันดร์ได้สำเร็จแล้วในพระเยซูคริสต์ และในพระคัมภีร์ยังบอกอีกว่าขณะที่พระองค์ตะโกนว่า “สำเร็จแล้ว” ม่านในวิหารขาดเป็น 2 ท่อน ม่านในวิหารตรงนี้ เป็นม่านที่กั้นระหว่างวิสุทธิสถานกับอภิสุทธิสถาน อภิสุทธิสถาน คือสถานที่ที่มนุษย์ธรรมดาเข้าไปไม่ได้  เข้าไปปุ๊บ ตายเลย  แล้วไม่ใช่ปุโรหิตทุกคนเข้าไปได้ด้วย ต้องมหาปุโรหิต ผู้เดียวเท่านั้นที่พระเจ้าเจิมตั้งไว้  แล้วมหาปุโรหิตในยุคของพระคัมภีร์เดิม ก็จะเป็นเผ่าพันธุ์ของอาโรน พระเจ้าก็จะมีส่งไม้ต่อ ไม้ผลัด เขาจะมีเวรว่าปีหนึ่งครั้งหนึ่ง เข้าไปถวายเครื่องบูชา

            ฉะนั้น มหาปุโรหิตผู้เดียวเท่านั้นสามารถเข้าไปในอภิสุทธิสถาน เพื่อถวายเลือดให้กับพระเจ้า เพื่อเป็นการชำระบาปให้ชนชาติอิสราเอล  แล้วมหาปุโรหิตคนนั้น ถ้าถึงเวรที่เขาต้องทำ  จากเริ่มต้น คือมหาปุโรหิตต้องชำระความผิดบาปของตัวเองก่อน คือต้องถวายเครื่องบูชาสำหรับตัวเองก่อน ต้องสารภาพบาปกับพระเจ้าก่อน แล้วก็เอาแกะที่ไร้ตำหนิมาฆ่าถวาย เอาเลือดมาปะพรมที่แท่นบูชา ให้ตัวเองสะอาดพอที่จะเข้าไปหาพระเจ้าได้ นี่คือกฎสมัยเดิม ถ้ามหาปุโรหิตคนนั้น ลืมชำระตัวเอง ให้สะอาด มีบาปติดตัว เข้าไปปุ๊บ เขาตายเลยนะ เพราะว่าความสะอาดของพระเจ้ากับความสกปรกของมนุษย์อยู่ด้วยกันไม่ได้ เข้าไปปุ๊บ ตาย

            นี่คือเหตุผลหนึ่งในพระคัมภีร์บอกว่ามหาปุโรหิตทุกคน ก่อนที่เข้าไปหลังม่าน ก็คืออภิสุทธิสถาน เขาจะเอาเชือกผูกข้อเท้าเขาไว้ แล้วชุดของมหาปุโรหิต ที่พระเจ้าสั่งให้โมเสสทำ ก็คือมีกระพรวนอยู่รอบตัวเลย เวลาเดินไปไหนมาไหน เหมือนเราทำพิธี เราเดินไปเดินมา กุ๊งกิ๊งๆ ตลอดเวลา เหมือนเด็กรุ่นใหม่ ใส่รองเท้าดังปี๊บๆ เวลาเด็กมาวิ่งๆ เราจะได้ยินเสียงปี๊บๆ พ่อแม่ก็รู้ว่ายังอยู่ใกล้ๆ เรา ถ้าปี๊บๆ หายไป เราก็มอง ลูกเราเดินหายไปไหน? ประมาณนั้น

            เพราะฉะนั้น มหาปุโรหิตก็ต้องชำระตัวเองให้สะอาด  พอไม่สะอาด เข้าไปปุ๊บตาย แล้วเกิดอะไรขึ้น คือเสียงกุ๊งกิ๊งมันจะหายไปไง นิ่งเงียบ  ถ้ามีการเดินไปเดินมา ถวายเครื่องบูชา  มันต้องเสียงกุ๊งกิ๊งๆ ตลอดเวลา  พอเงียบปุ๊บ แปลว่ามหาปุโรหิตคนนั้นตายเรียบร้อย คนข้างนอก ก็ต้องดึงเชือกออกมา เข้าไปไม่ได้นะ เข้าไปก็ตาย ดึงออกมา แล้วส่งคนใหม่เข้าไป มันเป็นภาพอย่างนี้จริงๆ นะ ในสมัยเดิม ในพระคัมภีร์ก็เขียนว่าปุโรหิต ต้องถวายเครื่องบูชาวันแล้ววันเล่า ไม่จบสิ้น  เพราะว่าถวายอย่างไร บาปของมนุษย์ก็ไม่ถูกลบล้างให้หมดไป ดังนั้น วันที่พระเยซูคริสต์สิ้นพระชนม์ ที่พระองค์บอกสำเร็จแล้ว ก็คือม่านขาดออกมา มนุษย์ทุกคนสามารถเข้าไปที่หลังม่านได้ สามารถเข้าไปในอภิสุทธิสถานได้ พวกเราผู้เชื่อทุกคน ทุกวันนี้ เราเข้าไปเฝ้าพระเจ้าที่สถานที่ลึกที่สุด ก็คือในวิญญาณของเราเป็นอภิสุทธิสถาน  เป็นที่ที่พระเจ้าทรงสถิตอยู่

            นี่คือความแตกต่างระหว่างพระคัมภีร์ใหม่กับพระคัมภีร์เดิม ณ ยุคปัจจุบัน เมื่อพระเยซูคริสต์ทรงกระทำ การงานของพระองค์สำเร็จแล้ว จึงไม่ต้องมีปุโรหิตอีกต่อไป ไม่ต้องหาคนมาช่วยถวายเครื่องบูชา เพื่อพวกเรา เพราะว่าพระเยซูคริสต์มาถวายเครื่องบูชาให้กับพวกเราครั้งเดียว จบ ในพระคัมภีร์บอกครั้งเดียวเป็นพอ หลั่งพระโลหิต ครั้งเดียวก็พอ ชำระล้างความผิดบาปของเราตั้งแต่อดีต ปัจจุบัน จนถึงอนาคต ก็คือจบสิ้นขบวนการ  นี่คือสิ่งที่เราจำเป็นจะต้องรับรู้ นี่คือความจริง ไม่อย่างนั้น เราก็จะถูกหลอก  ผู้เชื่อที่เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ บังเกิดใหม่จริงๆ ถูกหลอก แล้ววิญญาณเขากระเทือนไหม? ไม่กระเทือน วิญญาณเขายังอยู่กับพระเจ้าอยู่ ถ้าเขาจากโลกนี้ไป เขาก็ยังไปอยู่กับพระเจ้าอยู่ แต่ถ้าเราถูกหลอกบนโลกใบนี้ เราก็อยู่แบบผวาอยู่ตลอดเวลา  นึกภาพออกไหม? อยู่แบบไม่เป็นอิสระ

            อยู่แบบ … “วันนี้ฉันทำอย่างนี้ ตกลงฉันจะรอดหรือไม่รอด”

            มารก็คอยส่งข้อมูล … “เธอไม่รอดแล้ว เธอทำอย่างนี้ เธอตายแน่ๆ พระเจ้าไม่เอาเธอ”

            ความจริง คือเราต้องยืนกราน … “ฉันเกิดแล้วเกิดเลย ฉันรอดแล้ว รอดเลย ไม่มีมนุษย์คนไหนแยกฉันไปจากพระหัตถ์ของพระเจ้าได้” นี่คือความจริง

            พวกที่จากไปก่อน เขาก็เชียร์เรา ฉะนั้น แผนการที่พระเจ้าเตรียมไว้ สำหรับมนุษย์ในยุคนี้ เลิศสุดแล้ว เราขอบคุณพระเจ้า ที่เราได้รับสิ่งที่ดีที่สุด แล้วเมื่อมีพันธสัญญาใหม่ปุ๊บ  พระเยซูก็บอกกับคนยิว เพราะคนยิวรับพันธสัญญาเดิมเต็มๆ  พวกเราคนต่างชาติไม่รู้เรื่องพันธสัญญาเดิม เพราะคนต่างชาติ เราไม่เคยเอาแกะไปถวาย เป็นเครื่องบูชาให้กับพระเจ้า ฉะนั้น คนต่างชาติไม่เกี่ยวเลย พอรับรู้ความจริงในข่าวประเสริฐของพระเจ้า เราก็รับมาเลย แต่คนยิว เหมือนข้อมูลในสมองเขา เขามีความรู้สึกว่าพระเจ้าให้เขาทำตามกฎ และทุกวันนี้ ก็ยังมีคนเข้าไปในวิหาร  เพื่อถวายเครื่องบูชาเหมือนเดิม แล้วคิดว่าสิ่งที่เขาทำ สามารถที่จะลบล้างความผิดบาปของเขาได้ สามารถที่จะเป็นคนชอบธรรมในสายพระเนตรของพระเจ้าได้  แต่พระเยซูบอกไม่ได้ กฎเก่า พระเจ้ายกเลิกไปแล้ว ตอนนี้เป็นกฎใหม่

            กฎใหม่มีทางเดียวที่พวกเธอจะเป็นผู้ชอบธรรม แล้วสามารถเข้าไปอยู่ในสวรรค์กับพระเจ้าได้ ก็คือเธอต้องเปลี่ยนจากการพึ่งพาในการกระทำของตนเอง  คือพึ่งพาในการถวายเครื่องบูชา  พึ่งพาในการกระทำตามกฎบัญญัติที่พระเจ้าตั้งไว้ ให้เปลี่ยนจากการพึ่งพาตรงนั้น ให้มาพึ่งพาสิ่งที่พระเยซูคริสต์กระทำเพื่อเราบนไม้กางเขน สำเร็จแล้ว แค่นั้นเอง เปิดใจต้อนรับ เชื่อปุ๊บ ได้ทุกอย่างเลย มาเป็นขบวนเลย มาเป็นหีบ มาเป็นห่อ มาเยอะแยะ ที่พระองค์บอกว่าพระองค์ทำให้สำเร็จแล้ว

            ฉะนั้น คริสเตียนทุกคนมีหน้าที่อย่างเดียว คือมาชื่นชมยินดีในผลสำเร็จที่พระเจ้าได้กระทำให้กับพวกเราเรียบร้อยไปแล้ว ฮาเลลูยา  นี่คือความจริง แล้วเราต้องเอเมนตามนั้น พระเจ้าบอกเราอย่างนั้น ในโลกวิญญาณมันเป็นอย่างนั้น ฉะนั้น อย่าให้ระบบของโลกนี้ หรือการหลอกลวงทุกรูปแบบที่ส่งข้อมูลเข้ามา โดยผ่านทางมาร มันพยายามลัก ฆ่า ทำลาย มันพยายามหลอกคริสเตียนให้เชื่อตามมัน หลอกเรา บอกว่า …

            “พระเยซูยังทำไม่สำเร็จหรอก  พวกเธอต้องทำเพิ่ม ต้องทำอีก ถ้าไม่ทำนะ ไม่สำเร็จแน่ๆ เลย พระเยซูไม่ได้ชำระบาปของเธอตั้งแต่อดีต ปัจจุบัน อนาคตหรอก ชำระแค่ในอดีตเท่านั้น ในปัจจุบัน ถ้าเธอทำ เธอต้องไปสารภาพกับพระเจ้านะ”

            แต่ถ้อยคำของพระเจ้าบอกว่าทันทีที่เราเผลอ ต้องใช้คำว่าเผลอนะ เพราะว่าตอนนี้ธรรมชาติใหม่ วิญญาณใหม่ของคริสเตียน คือทำบาปไม่เป็น คิดชั่วไม่เป็น ร่างกายเราก็สะอาดบริสุทธิ์ ไม่ทำชั่วอยู่แล้ว เราพร้อมที่จะเชื่อฟังพระเจ้า แต่เหตุผล คือเรายังอยู่ในระบบของโลกนี้  อยู่ภายใต้กฎของความบาปและความตาย มีโอกาสเผลอที่จะไปทำตาม  ถ้าเผลอเมื่อไร การประพฤติของเรา ไม่ได้เป็นไปตาม คือให้สมกับที่เป็นลูกของพระเจ้า ในพระคัมภีร์อาจารย์เปาโลบอกว่าให้เราประพฤติตนให้สมกับที่เป็นลูกของพระเจ้า หรืออีกนัยหนึ่ง เหมือนกับเวลาที่เราว่าเด็กๆ ทำตัวให้เหมือนมนุษย์มนาหน่อย เด็กบางคน เดินก็ไม่เดิน ชอบคลานๆ คือโตแล้ว ก็ยังอยากเล่น อยากคลาน พ่อแม่ดูแล้วก็ โอ้โห ทำตัวให้เหมือนมนุษย์มนาหน่อย ตอนนี้ไม่คลานแล้ว ให้ลุกขึ้นมาเดิน แต่ว่าถ้าเขายังพอใจที่จะคลาน เขาก็ยังเป็นลูกเราอยู่นะ นึกภาพออกไหม? คริสเตียนเหมือนกัน บางทีเราก็เผลอ ไปทำอะไรที่มันไม่เหมือนกับพระเจ้า เราเป็นลูกพระเจ้า เราก็ทำเหมือนพระเจ้านั่นแหละ

            ฉะนั้น ในพระคัมภีร์ทุกบททุกตอน ที่เขียนไว้ เล็งถึงเรื่องของโลกวิญญาณ บอกเราว่าธรรมชาติใหม่ของเราเป็นแบบนี้ เราเป็นความรักแล้ว ไม่ได้สอนเราว่าเราต้องพยายามประพฤติให้รักคนอื่น  แต่บอกเราว่าธรรมชาติใหม่ เราเป็นความรักแล้ว แล้วเราก็รับรู้ความจริงตรงนี้ แล้วความรักที่อยู่ในเราจะเจริญเติบโต พอเราโตมากเท่าไร ความรักมันจะส่งผลออกไปเอง เป็นธรรมชาติ ไม่ได้ให้เราต้องพยายามไปจ้องว่า …

            “ฉันเป็นความรัก ฉันต้องๆ”

            ไม่ใช่นะ ถ้าเราฝืนทำด้วยกำลังของเราเอง  เราก็พลาด เราทำไม่ได้อยู่แล้ว ฉะนั้น พระเจ้าบอกเราว่าธรรมชาติใหม่เราเป็นแบบนี้ รับรู้เอาไว้นะลูก ลูกเป็นความรักนะ พอรับรู้ โตๆ ขึ้น ธรรมชาตินี้มันก็จะออกไป แบบอัตโนมัตินั่นแหละ ที่พระวิญญาณบริสุทธิ์จะโน้มนำเรา พระวิญญาณบริสุทธิ์ก็จะบอกเราว่าลูกเอ๋ย  ตอนนี้ ลูกเป็นความรักนะ เมื่อกี้ถ้าลูกประพฤติ เกลียดอันนั้น ไม่ใช่ตัวลูกนะ เราก็ใช่ๆ อันนั้นไม่ใช่ฉัน ฉันก็กลับลำมา

            ฉะนั้น การอยู่ในพระเจ้า มันมีสงครามที่สู้กันอยู่ตรงความคิดที่เราคุยกัน ความคิดเป็นสิ่งที่สำคัญ ความคิดของมนุษย์ที่เชื่อ วางใจในพระเจ้าแล้ว เราสามารถคิดตามพระวิญญาณได้ หรือเราจะคิดตามระบบของโลกนี้ ก็ได้ พี่น้องสังเกตสิ ความคิดเราอยู่ไม่นิ่ง มันจะคิดไปเรื่อยๆ ข้อมูลมันจะเข้ามาเรื่อยๆ ฉะนั้น ความคิดตามแบบของพระเจ้า เมื่อเราคิดตามพระวิญญาณนำ  ความคิดจะสั่งร่างกายเรา ให้ทำตามนั้น  เราอาจจะคิดว่าไม่จริงหรอก บางคนด่าไป ฉันยังไม่ทันคิดเลย  ไม่จริงหรอก คือความคิดมันเป็นอัตโนมัติ ความคิดจากความคิดเดิมๆ ที่มีความรู้สึกว่าใครมาทำเราปุ๊บ เราต้องโต้กลับไปทันที นั่นคือความคิดเดิมๆ ที่มันอัตโนมัติไปแล้ว แต่พระเจ้าให้เราจดจ่อในถ้อยคำของพระเจ้า ที่ความคิดใหม่ แนวใหม่ที่เราเป็นไปแล้ว  เราเป็นเหมือนพระเจ้าเรียบร้อยไปแล้ว  แค่เราจดจ่อ รับรู้ความจริงว่าเราเป็นอย่างไรในพระเยซูคริสต์ แล้วเมื่อความคิดเราจดจ่ออยู่ที่ถ้อยคำของพระเจ้าปุ๊บ ความคิดมันก็จะสั่งสมอง  สั่งลงมาที่ร่างกายของเรา ให้เราทำตามน้ำพระทัยของพระเจ้า แต่ถ้าเราไม่ได้จดจ่อกับธรรมชาติใหม่ว่าเป็นแบบไหน แล้วเราก็ปล่อยให้ระบบของโลกนี้ อิทธิพล อะไรเยอะแยะมากมาย ส่งเข้ามาๆ แล้วเราก็คิดตามด้วย พอส่งเข้ามาเยอะๆ เราคิดตาม

            สมมติว่าเรากับนาย ก. ไม่เคยมีเรื่องกันเลยนะ  เราเป็นเพื่อนรักกัน  แต่ถ้ามีคนใดคนหนึ่งพยายามสร้างสถานการณ์ทำให้เรากับนาย ก. ผิดใจกัน เขาใช้วิธีไหน? ส่งข้อมูลไง ส่งข้อมูลเข้ามา พยายามบอกเราว่า …

            “เธอรู้ไหม นาย ก. เนี้ย เวลาลับหลังเธอ เขานินทาเธอให้ฉันฟัง นินทาทุกวันเลย ทุกครั้งด้วย เจอหน้ากัน นินทาทุกทีเลย”

            จากความคิดที่เรากับนาย ก. รักกันอยู่ พอข้อมูลเข้ามาเยอะๆ เราเริ่มคล้อยตาม ความคิดคล้อยตามปุ๊บ ใช่ ทำไมนิสัยอย่างนี้  แอบนินทาฉันลับหลังได้อย่างไร? นั่นแหละ ความคิดก็สั่ง ร่างกายให้ทำงาน ตอนนี้ประพฤติ ปฏิบัติแบบไหน? พอมองหน้านาย ก. จากเดิมที เจอหน้าปุ๊บ โผเข้าใส่เลย ไปกอด คิดถึงจังเลย กลายเป็นมองหน้า อย่ามายุ่งกับฉันนะ ไปไกลๆ เลย ความคิดมันเริ่มสั่งนึกออกไหม? มันเป็นการทำงาน แค่นี้เอง มารไม่มีอำนาจนะ  แค่ใช้อิทธิพลของความบาป และความตาย ส่งเข้ามาในความคิดของเรา แล้วมันก็จะแย่งชิงตรงนี้แหละ สนามรบ ว่าเราจะคิดคล้อยตามมัน หรือคิดคล้อยตามพระเจ้า  แค่นั้นเอง ง่ายๆ แต่มันไม่ง่าย ในขณะที่เราดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ รอบข้างเราเป็นความบาปหมดเลย

            อาจารย์นครยกตัวอย่าง เวลาเราเปิดไลน์กลุ่ม พี่น้องเห็นไหม? หน้าเราจะอยู่ในวงกลม แล้วข้างๆ เป็นสีดำหมดเลย เป็นภาพที่ให้เราเห็นชัดเจนในโลกวิญญาณว่าเราอยู่ในวงกลม คืออยู่ในการปกป้องคุ้มครองของพระเจ้า  เมื่อเราเชื่อวางใจในพระเจ้าแล้ว พระเจ้าปกป้องคุ้มครองวิญญาณเรา ความคิดจิตใจ และร่างกายเรา ปกคลุมอยู่แล้ว  แต่รอบข้างเราเป็นสีดำหมดเลย  ก็คือระบบของโลกนี้  ตราบใดที่เรายังอยู่ในวงกลมนี้ อยู่ในการดูแลของพระเจ้า ไม่หลุดออกไปไหน?  เราก็ยังได้รับการคุ้มครองอยู่ ระบบของโลกนี้ ก็เข้ามาแตะเราไม่ได้ นอกจากเราเปิดโอกาสให้มันทะลุทะลวงเข้ามา หรือบางทีเราอยู่ในพระเจ้า เราก็แอบออกไป

            พอเราเห็นภาพนี้ เรามาเปรียบเทียบกับพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า ที่อยู่ในเรา พระองค์ปกคลุมเราอยู่แล้ว เราอยู่ในพระองค์ หรือบางครั้งเราเผลอออกนอกวง ถูกหลอกล่อ หลอกลวง ให้เราเผลอไปทำตามระบบของโลกใบนี้ เราก็ยังคงเป็นลูกของพระเจ้าอยู่ พระเจ้ายังทรงมาช่วยเราทันอยู่แล้ว พระองค์ก็ทรงชำระเราทันที  ในพระคัมภีร์บอกว่าโลหิตของพระเยซูคริสต์หลั่งมาครั้งเดียว คือทุกอย่างจบ ทันทีที่ผู้เชื่อทำบาป หรือทำผิดปุ๊บ พระโลหิตชำระเลย ทันทีแหมือนกัน  มันเป็นสิ่งที่พระเจ้าบอกเราไว้ในพระคัมภีร์ แล้วเราจำเป็นจะต้องรับรู้ ไม่อย่างนั้น เราก็จะไม่สามารถมีสันติสุข ในขณะที่เราดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้

            อย่างที่บอกมารพยายามหลอกล่อให้เราไปทำผิด  พอเราทำผิดปุ๊บ มันก็มาชี้หน้าว่าเรา …

            “แกๆ ไม่ดี แกชั่ว แกคิดไม่ดี แกทำผิด เห็นไหมพระเจ้าไม่รักแก”

            อะไรอย่างนี้ ก็คือซ้ำเติม … พระเจ้ากับมารต่างกันมากเลย เวลาเราทำผิด พระเจ้าเล้าโลมเรา พระเจ้าปลอบโยนเรา พระเจ้าให้กำลังใจเรา …

            “พระเจ้าบอกไม่เป็นไรนะลูก ลุกขึ้นมาสู้ใหม่”

            แต่ถ้าเป็นมาร จะเหยียบซ้ำให้ตายเลย

            นี่คือระบบในการทำงานจริงๆ ในโลกวิญญาณที่เรามองไม่เห็น แต่ว่ามันเป็นเรื่องจริง ฉะนั้น ตราบใดที่เรายังอยู่ในการดูแลของพระเจ้า ที่พระเจ้าบอกเรา หลุดไป ก็ไม่เป็นไร พระเจ้าคุ้มครองเราอยู่แล้ว แล้วพระองค์จะนำพาเราไปจนถึงจุดหมายปลายทาง ในพระคัมภีร์บอกพระเจ้าผู้ทรงเริ่มต้นการงานดีของพระองค์ พระองค์จะทรงนำพาเราไปจนถึงวินาทีสุดท้าย จนถึงผลสำเร็จ

            ฉะนั้น ล้มลุกคลุกคลานบ้างไม่เป็นไร ในขณะที่เราอยู่บนโลกใบนี้  โลกที่สกปรก ยังไง เผลอๆ เราออกไปข้างนอก แบบเดินออกไปไม่ทันระวัง รถวิ่งมาอย่างแรง ขี้โคลนก็สาดใส่ตัวเรา เลี่ยงไม่ได้ แต่เราสามารถกลับไปบ้าน ไปเปลี่ยนเสื้อผ้า อาบน้ำ กลับมาเหมือนเดิม นี่คือสิ่งที่ถ้อยคำของพระเจ้าบอกไว้

        เอเฟซัส 3:11 “ตามพระประสงค์นิรันดร์ของพระองค์ ซึ่งได้ทรงกระทำให้สำเร็จในพระเยซูคริสต์เจ้าของเรา”

            พระประสงค์นิรันดร์ของพระเจ้าคืออะไร? พระประสงค์ของพระเจ้า อยู่ในยอห์น 3:16-18 ที่พระเจ้าบอกว่าเพราะพระเจ้าทรงรักโลกนี้ยิ่งนัก จนได้ประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ เพื่อผู้ที่วางใจในพระบุตรนั้นจะไม่พินาศ  แต่มีชีวิตนิรันดร์  ใครก็ตามที่วางใจในพระบุตรของพระองค์ คือวางใจในพระเยซูคริสต์ เขาจะไม่พินาศ  เพราะว่ามนุษย์ทุกคนอยู่ในความพินาศอยู่แล้ว เมื่อเขาเปลี่ยนขั้วมาเชื่อ วางใจในพระเยซูปุ๊บ  เขาไม่พินาศ แต่มีชีวิตนิรันดร์  คือพระเจ้าให้ชีวิตนิรันดร์ ให้กับผู้เชื่อ เราได้รับชีวิตที่ครบถ้วนบริบูรณ์ เป็นเหมือนพระเจ้าเป๊ะๆ ในโลกวิญญาณ ขณะนี้เราได้รับเรียบร้อยไปแล้ว  แล้วพระประสงค์นี้แหละ ที่พระองค์ได้ทรงวางแผนไว้ แล้วพระเยซูคริสต์ก็ได้ทำให้สำเร็จเรียบร้อยไปแล้ว  ที่บนไม้กางเขน วันที่พระเยซูคริสต์ได้เป็นขึ้นมาจากความตาย นี่แหละทำให้พระประสงค์ของพระองค์สำเร็จนิรันดร์

            อนาคตข้างหน้าใครก็ตามที่ได้ยินได้ฟังข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์ แล้วเขาเปิดใจต้อนรับพระองค์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอด เขาก็จะได้รับเหมือนพวกเรา

            ฉะนั้น ถ้าคริสเตียนถูกหลอก ข่าวประเสริฐถูกปิดบังมากเท่าไร? เราก็ใช้ชีวิตบนโลกใบนี้แบบถูลู่ถูกังมากเลย สันติสุขก็ไม่เต็มเปี่ยม ไม่สามารถชื่นชมยินดีกับความสำเร็จที่พระเจ้าทำให้กับเราเรียบร้อยไปแล้ว ได้อย่างเต็มที่ ถ้าเรารับรู้ความจริง เราก็สามารถสรรเสริญ ขอบคุณพระเจ้า สำหรับผลสำเร็จเหล่านั้นได้อย่างเต็มที่

        เอเฟซัส  3:12 “ในพระองค์และโดยความเชื่อในพระองค์ เราจึงเข้ามาหาพระเจ้าได้ด้วยเสรีภาพและความมั่นใจ”

            อันนี้อาจารย์เปาโลยังยืนยันกับคนต่างชาติ  แล้วก็ยืนยันกับพวกเราทุกคน  พวกเราทุกคนก็เป็นคนต่างชาติ ใช่ไหม? ให้เรามั่นใจในความเชื่อของเรา แล้วกล้าที่จะเข้ามาหาพระเจ้า

            หลายคน เวลาทำสิ่งที่ไม่ถูกต้อง  ไม่กล้าเข้ามาหาพระเจ้า กลัวพระเจ้าด่า กลัวพระเจ้าดุ กลัวพระเจ้าตี กลัวพระเจ้าทำโทษ มารก็หลอกเราไปเรื่อยๆ แหละ …

            “นี่ๆ พระเจ้าไม่เอาเธอแล้ว”

            ยิ่งหนักเข้าไปใหญ่เลย ห่างจากพระเจ้าไปเรื่อยๆ  แต่คำว่าห่างจากพระเจ้าไปเรื่อยๆ ก็ไม่ได้หมายความว่าทำให้ความรอดของเราหายไปนะ ความรอดยังอยู่ แต่ชีวิตเรารันทด นึกออกไหม? แทนที่เราพลั้งไป เราวิ่งเข้ามาหาพระเจ้า  พระเจ้าก็ให้กำลังเรา  เราถูกหลอกว่าพระเจ้าไม่เอาเธอแล้ว เธอต้องหนีไปไกล ยิ่งหนักเข้าไปใหญ่  มารมันก็ซ้ำเติมเราได้

            ฉะนั้น อาจารย์เปาโลยังยืนยันกับคนต่างชาติว่าให้กล้าๆ หน่อยที่จะเข้ามาหาพระเจ้า ที่ประทานเสรีภาพให้กับพวกเรา มนุษยชาติผู้ที่ได้เปิดใจต้อนรับพระองค์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอด และให้มีความมั่นใจในความรักที่พระเจ้ามีให้กับเรา มั่นใจในพระสัญญาที่พระองค์ได้ทรงกระทำเรียบร้อยไปแล้วบนไม้กางเขน มั่นใจว่าสิ่งที่พระองค์ทรงสัญญาไว้ มันเป็นจริงแน่นอน ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงไม่ว่าเราจะไปประพฤติอะไรก็ตาม ก็ไม่สามารถทำให้เราหลุดจากความรักของพระเจ้าได้ แค่ประพฤติไม่ดี ก็กินผลของมันบนโลกใบนี้เท่านั้น เท่านั้นจริงๆ ตรงนี้แหละ คือความจริงในโลกวิญญาณ ที่พระเยซูและถ้อยคำของพระองค์พยายามบอกเรา

            การที่เราบอกว่าการประพฤติไม่เกี่ยว ไม่สำคัญ  ไม่ได้หมายความว่าเราไปส่งเสริมให้คนไปทำสิ่งที่ชั่ว ไม่ใช่เลยนะ แต่พี่น้องนึกภาพออกไหม? พอเราเป็นลูกพระเจ้าปุ๊บ  ใจข้างในเราไม่อยากทำสิ่งที่ชั่วอยู่แล้ว จริงหรือไม่จริง? สมัยก่อนเราไม่เชื่อพระเจ้า บางทีเราทำสิ่งที่ไม่ดี เราก็เฉยๆ เนอะ แต่พอเรามาเชื่อพระเจ้า ทำสิ่งที่ไม่ดีปุ๊บ ข้างในทุกข์ เรารู้สึกไม่สบายกาย ไม่สบายใจ เพราะว่าข้างใน วิญญาณเราสะอาดบริสุทธิ์ เหมือนพระเจ้าแล้ว พอเราไปทำสิ่งสกปรกปุ๊บ ข้างในเรารู้สึกไม่สบาย มันแพ้ นึกออกไหม? คริสเตียนแพ้ความบาปนะ ทำบาปไม่ขึ้น อะไรประมาณนั้นแหละ แค่ว่าเราลืม เผลอ หลงไปทำมันปุ๊บ เราจะเด้งขึ้นมาทันทีเลย เด้งกลับมา แล้วเราก็มาตั้งต้นใหม่กับพระเจ้า

            ดังนั้น ธรรมชาติใหม่ของผู้เชื่อ  คือความดีงาม เราพร้อมที่จะทำดี ตามธรรมชาติใหม่ที่พระเจ้าใส่ให้กับเรา ไม่ใช่ทำดี เพราะเราพยายามด้วยกำลังของเราเอง ไม่ใช่ เราไม่พยายามพึ่งพาการกระทำของเราเอง  แต่เราเชื่อวางใจในพระเจ้า  แล้วไม่ว่าผลออกมา เราจะทำดีได้มากน้อยแค่ไหน? ก็ตาม ก็ไม่เป็นไร พระเจ้าบอกไม่เป็นไรเลย  ทำเท่าที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระองค์นำ  พระเจ้าไม่ได้ให้เราว่าเราต้องไปช่วยเหลือคนทั้งโลก ไม่ใช่

            บอกว่าพระเจ้าเป็นความรัก เราต้องไปสรรหา ไปช่วยทุกคน บนโลกใบนี้ มันไม่ใช่นะ เรากำลังถูกหลอก พระเจ้าเป็นความรัก แล้วความรักมันอยู่ข้างในเรา ถ้าพระเจ้าจะให้เราสำแดงความรักให้กับผู้ใด พระองค์จะบอกเราเองข้างในวิญญาณ  พระเจ้าไม่ได้ให้เราต้องไปพยายามทำให้ตัวเองเดือดร้อน  เพื่อไปช่วยเหลือคนอื่น มันไม่ใช่แล้วล่ะ ถ้าพระเจ้าจะให้เราทำอะไรก็ตาม หรือช่วยเหลือใครก็ตาม หมายความว่ากำลังเรามีพอ  เราทำไป แล้วเรามีความสุข ที่พระวิญญาณนำเรา แล้วเราทำเสร็จ เราจบ เพราะว่าพระเจ้าเป็นผู้นำเรา แล้วไม่เดือดร้อนถึงเราด้วย ถึงตัวเรา ถึงครอบครัวของเรา สามีของเรา ลูกของเรา ต้องไม่เดือดร้อนด้วย  ถ้าเมื่อไรที่เราทำๆ  แล้วทำให้ทุกคนในครอบครัว เดือดร้อนอันนั้น เราไม่ได้ทำตามพระวิญญาณ  แต่เราทำตามเนื้อหนัง  ทำตามความอยากของเราเอง  ที่เราอยากทำ  ทำแล้วมันได้หน้า นึกออกไหม? แต่ถ้าตามพระวิญญาณ เราไม่อยากได้หน้า เราทำ แล้วเราก็จบ ขอบคุณพระเจ้าที่ให้โอกาสเรา  แค่นั้นเอง

            นี่คือความแตกต่าง ซึ่งมันเล็กน้อยมาก  แต่ว่าพี่น้องลองสังเกตดีๆ จากตัวเรา เราจะรู้เลย ถ้าเราทำเพราะตัวเราเอง  เวลาทำ ไม่มีผลตอบสนองกลับมา เราจะเคืองอยู่ข้างใน  เราจะอะไรอ่ะ  แต่โดยพระวิญญาณนำ  ไม่ว่าผลตอบสนองเป็นอย่างไร คนจะชื่นชมเรา ไม่ชื่นชมเรา  เราก็แฮปปี้ มีความสุข สันติสุขเปี่ยมล้น  นี่คือความจริงในโลกวิญญาณ  พี่น้องลองสังเกตตัวเองดีๆ อย่าให้ระบบโลกนี้หลอกเรา ให้เราคิดว่าสิ่งนี้มาจากพระเจ้า  แล้วเราพยายามทำดีกับทุกคน เพื่อจะได้ผลตอบแทนกลับมา อันนั้นไม่ใช่แน่นอน พระเจ้าอวยพรค่ะ

*********************

จากใจคณะศิษยาภิบาล

            คำถาม : “ต้องทำบาปกี่ครั้ง พระเจ้าถึงจะนับว่าเป็นคนบาป?”

            คำตอบ :  “0 ครั้ง”

            โรม 5:12 … “12 ฉันนั้น  เช่นเดียวกับที่บาปเข้ามาในโลก  เพราะมนุษย์คนเดียว  และบาปนำความตายมา  และโดยทางนี้เอง  ความตายจึงมาถึงมวลมนุษย์  เพราะทุกคนได้ทำบาป”

            มวลมนุษย์มีรหัสพันธุกรรม (DNA) จากอาดัมบรรพบุรุษที่ติดเชื้อบาป

            ดังนั้น  อยู่ในครรภ์มารดาก็เป็นคนบาปแล้ว

            โรม 5:15-16 “15 แต่ของขวัญที่พระเจ้าให้เปล่าๆ นั้น  มันแตกต่างกัน  เพราะในทางหนึ่ง  ขณะที่ความผิดของคนๆ หนึ่ง  คืออาดัม  ทำให้คนจำนวนมากต้องตาย  แต่ในอีกทางหนึ่ง  ความเมตตากรุณาของพระเจ้าและของขวัญ  ที่ผ่านมาทางความเมตตาของคนๆ เดียว  คือพระเยซูคริสต์นั้น  ก็เป็นประโยชน์กับคนมากมาย 16 แน่นอน  ผลจากของขวัญนั้น  แตกต่างอย่างมาก  จากผลของความผิดที่อาดัมได้ทำ  เพราะการทำผิดเพียงครั้งเดียว (ของอาดัม)  ทำให้ทุกคนต้องถูกตัดสินว่าผิด  แต่ของขวัญ (การบังเกิดใหม่) นั้น  ทำให้คนเราได้รับการตัดสินว่าไม่ผิด  ทั้งๆ ที่ทำผิดหลายครั้ง”

            เพราะอาดัมบรรพบุรุษต้นกำเนิดของมนุษยชาติไม่เชื่อฟังพระเจ้า เรียกว่าทำบาปเพียงครั้งเดียว ผลคือมวลมนุษย์ทั้งปวงตกลงไปในความบาป เป็นคนบาป ตายจากความสัมพันธ์กับพระเจ้า เป็นศัตรูกับพระเจ้า ไม่มีชีวิตของพระเจ้าในวิญญาณ

            มนุษย์ทุกคนที่เกิดมาจึงเป็นเชื้อสายของคนบาป  เป็นศัตรูกับพระเจ้า  โดยยังไม่ได้กระทำบาปเลยสักอย่าง และต้องอยู่ในสภาพเช่นนี้  คือตายจากวิญญาณนิรันดร์ของพระเจ้า

            แต่ด้วยพระคุณความรักเมตตาของพระเจ้า ได้โปรดประทานของขวัญ  คือพระบุตรพระเยซูคริสต์มา  เพื่อมนุษย์ทั้งหลาย จะได้ย้ายตัวเองมารับการบังเกิดใหม่ในวิญญาณในพระเยซูคริสต์โดยผ่านทางความเชื่อ ในการไถ่บาปมวลมนุษย์ของพระเยซูคริสต์บนไม้กางเขน และบังเกิดใหม่เป็นขึ้นจากความตายในวันที่สาม

            มนุษย์ผู้ใดที่เชื่อในการกระทำของพระเยซูคริสต์ ก็ได้รับความรอดพ้นจากการเป็นคนบาป และการตายนิรันดร์ในวิญญาณ ทันทีที่ตัดสินใจเชื่อตอนดำเนินชีวิตอยู่บนโลกนี้ โดยยังไม่ได้ทำดีอะไรเลยสักอย่าง

            และแน่นอน  ผลจากความเชื่อและรับของขวัญนี้  แตกต่างอย่างมาก  จากผลของความผิดบาปที่อาดัมได้ทำ  เพราะการทำผิดบาปเพียงครั้งเดียว (ของอาดัม)  ทำให้มวลมนุษยชาติต้องถูกตัดสินว่าเป็นคนบาป ต้องได้รับโทษในวิญญาณในวันพิพากษามนุษย์หลังความตาย แต่ของขวัญ (การบังเกิดใหม่) นั้น  ทำให้คนที่เชื่อ ในการกระทำการไถ่บาปของพระเยซูคริสต์ ได้รับการตัดสินว่าไม่ได้เป็นคนบาป  แต่เป็นคนชอบธรรม ไม่ต้องได้รับโทษในวิญญาณในวันพิพากษามนุษย์หลังความตาย ทั้งๆ ที่ขณะที่ดำเนินชีวิตอยู่บนโลกนี้ ได้ทำผิดบาปหลายครั้ง ทั้งก่อนเชื่อ ก่อนบังเกิดใหม่ และหลังเชื่อ หลังบังเกิดใหม่ก็ตาม

            อย่างนี้แหละเรียกว่าโอ้….! พระคุณความรักของพระเจ้านั้นยิ่งใหญ่ มหึมา มโหฬารมากมาย กว้างขวาง ไม่มีขอบเขตเหลือคณานับ ดีมาก เลิศ ยอดเยี่ยม เกินกว่ามนุษย์จะเข้าใจ

            พระเจ้าอวยพรครับ

วารสาร Holy  News   ฉบับที่ 1405

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  26  กุมภาพันธ์  2023

เรื่อง “หนังสือเอเฟซัส” ตอน 21

โดย วราพร  คงล้วน

            วันนี้เรามาต่อในเอเฟซัส 3:9-10 บอกไว้ว่า …

        เอเฟซัส 3:9-10 “9 และได้แสดงให้คนทั้งปวงเห็นถึงภารกิจแห่งข้อล้ำลึกนี้อย่างชัดเจน ซึ่งตลอดยุคที่ผ่านๆ มาได้ถูกปิดซ่อนไว้ในพระเจ้าผู้ทรงสร้างสรรพสิ่ง 10 เพื่อบัดนี้เหล่าเทพผู้ครองและเทพผู้ทรงอำนาจในสวรรคสถาน จะได้เห็นถึงพระปรีชาญาณอันลึกซึ้งของพระเจ้า ผ่านทางคริสตจักร”

            ในหนังสือเอเฟซัส เราจำได้ใช่ไหมค่ะ พื้นฐาน ก็คือเปาโลกำลังประกาศกับคนต่างชาติ  ก็คือคนที่ไม่ได้เป็นยิวโดยกำเนิด แล้วข่าวประเสริฐของพระเจ้า ก็ผ่านทางอาจารย์เปาโลไปประกาศกับคนต่างชาติว่า …

            “ตอนนี้พวกเธอมีสิทธิ์ที่จะเลือกแล้ว พวกเธอสามารถที่จะเข้ามารับพระคุณ จากพระเจ้าได้แล้ว”

            สมัยก่อนคนต่างชาติเขามีความรู้สึกว่าตัวเองด้อยมาก เพราะว่าคนยิว มีความภาคภูมิใจว่าเขาเป็นชนชาติของพระเจ้า  เขาก็จะดูถูกคนที่ไม่ใช่ยิว คือคนพวกนี้ไม่มีระดับ  ไม่สามารถที่จะเข้ามาหาพระเจ้าได้  แต่พอข่าวประเสริฐของพระองค์ ถูกประกาศออกไป เมื่อวันที่พระเยซูคริสต์ได้ทรงกระทำภารกิจของพระองค์สำเร็จ แล้วพระองค์อยู่กับสาวกของพระองค์ 40 วัน แล้วเสด็จขึ้นสวรรค์ ให้ทุกคนได้เห็นจะๆ เลยว่าพระองค์ลอยขึ้นสวรรค์ แล้วอีก 10 วัน พระเจ้าได้ส่งพระวิญญาณบริสุทธิ์เข้ามาสถิตอยู่ในผู้เชื่อ เป็นครั้งแรก ตรงนั้นเขาเรียกว่าวันเพ็นเตคอส

            ดังนั้น การที่พระองค์เข้ามาสถิตอยู่กับผู้เชื่อ หมายถึงสิ่งที่พระเจ้าพระบิดาได้ทรงสัญญาไว้ตั้งแต่พระคัมภีร์เดิมว่าเราจะๆ  เวลาเราอ่านพระคัมภีร์เดิมจะมีคำว่า “จะ” ตลอดเวลา ก็คือพระเจ้ากำลังบอกถึงสิ่งที่พระองค์จะทำในอนาคตข้างหน้า คืออะไร?  พระองค์ทรงเตรียมพระบุตรของพระองค์ พระมาซีฮาห์ เตรียมพระผู้ช่วยให้รอดให้กับมนุษยชาติ เมื่อถึงวันเวลาที่กำหนด พระองค์ก็ส่งพระเยซูคริสต์มา  แล้วเมื่อวันที่พระเยซูคริสต์เดินไปที่แดนประหาร ถูกโบยตี เฆี่ยนตี โลหิตหลั่งออก แล้วก็สิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน  ถูกฝังและเป็นขึ้นมาจากความตาย ทุกอย่างที่พระเจ้าได้ทรงสัญญาไว้ตั้งแต่ปฐมกาล ได้สำเร็จในตัวพระเยซูคริสต์ หมายความว่าพระเยซูคริสต์ได้มาชดใช้หนี้บาปให้กับมนุษยชาติทั้งหมดบนโลกใบนี้ เรียบร้อยไปแล้ว ตั้งแต่ 2,000 ปีที่แล้ว

            เราคุยกันบ่อย พี่น้องที่นี่ก็คงจะเข้าใจว่ามิติของโลกวิญญาณไม่สามารถนับเวลาได้ โลกวิญญาณ คือเดี๋ยวนี้ ปัจจุบันนี้ทันที แต่มนุษย์เราก็จะนับว่าเมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว พระเยซูคริสต์สิ้นพระชนม์ เพื่อเรา แต่มิติโลกวิญญาณ คือพระองค์ยังคงทำการงานของพระองค์อยู่ ใครก็ตามที่เชื่อในสิ่งที่พระเยซูคริสต์กระทำ ได้ยิน ได้ฟังข่าวประเสริฐของพระองค์ แล้วเปิดใจยอมรับ วางใจ ให้พระเจ้าเข้ามาช่วยเหลือทันทีในโลกวิญญาณ พระเจ้าได้เอาวิญญาณเก่าของคนๆ นั้น วิญญาณเก่าที่อยู่ในความบาปและความตาย วิญญาณเก่าที่เป็นทาสของกฎบนโลกใบนี้ ก็คือกฎของการพึ่งพาตัวเอง ในการทำดี ละชั่ว

            หลายคนอาจจะคิดว่าเราทำบาป ทำสิ่งที่ไม่ดี เราถึงเรียกว่าบาป แต่ความหมายในถ้อยคำของพระเจ้า พระเจ้าไม่ได้หมายถึงอย่างนั้น พระเจ้าหมายถึงความบาป คืออะไรก็ตามที่เราทำผิดจากเป้าหมายของพระเจ้า พระบิดา พระเจ้าสร้างมนุษยชาติบนโลกใบนี้ ให้มาพึ่งพาในพระองค์ มาเชื่อในพระองค์ แต่ถ้าผิดจากตรงนั้นปุ๊บ ต่อให้คนนั้นจะทำดีขนาดไหน ก็ไม่สามารถได้รับความรอดได้ เพราะว่าพื้นฐานเดิมของคนๆ นั้น ยังอยู่ใน DNA บาป คืออยู่ในอาดัมอยู่

            ดังนั้น ความจริงในโลกวิญญาณเหล่านี้ เราจำเป็นต้องเรียนรู้ เพื่อเราจะได้สามารถเข้าใจหลักการของพระเจ้าว่าวิธีการที่พระเจ้ามองมนุษย์ พระเจ้ามองอย่างไร? พระเจ้าไม่ได้มองดูมนุษย์ว่าเขาทำอะไร?  เพราะว่ามนุษย์ทุกคนอยู่ในความบาปอยู่แล้ว ต่อให้ทำดีขนาดไหน? ก็ไม่ได้ถึงมาตรฐานของพระเจ้า แต่พระเจ้ามองดูว่ามนุษย์คนนั้นอยู่ในไหน? อยู่ที่ไหน? ถ้ามนุษย์คนนั้น ทำดีได้ประมาณหนึ่ง  ไม่มีมนุษย์คนไหนทำดีได้ 100% แน่นอน ทำดีได้ประมาณหนึ่ง แล้วเขาอยู่ในพระเยซูคริสต์ด้วย คนนั้นฉลุเลย ก็คือวิญญาณเขาได้บังเกิดใหม่แล้ว เขาอยู่ในอาณาจักรของพระเจ้าแล้ว เขาได้รู้จักพระเยซูคริสต์แล้ว ในขณะที่เขาดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้  ไม่ว่าเขาจะทำดี หรือบางครั้ง เขาเผลอไปทำสิ่งที่ไม่ดีก็ตาม แต่พระเจ้าไม่ได้ดูการประพฤติของเขา เพราะว่าความรอดของมนุษย์ไม่ได้อยู่ที่การประพฤติ แต่ขึ้นอยู่กับว่าวิญญาณเขาตั้งอยู่ที่ไหน? วิญญาณของคนๆ นี้อยู่ในพระเยซูคริสต์ แม้ว่าเขาเผลอไปทำผิด ทำบาป พระโลหิตของพระเยซูคริสต์ก็ชำระเขา สะอาดหมดจด ในพระคัมภีร์บอกชัดเจนว่าพระเยซูหลั่งพระโลหิตครั้งเดียวเป็นพอ แปลว่าไม่ต้องหลั่งบ่อยๆ ทำทีเดียวจบสิ้นขบวนการ ที่พระเยซูบอกสำเร็จแล้ว

            หมายความว่าพระโลหิตของพระเยซูคริสต์สามารถที่จะเกิดผลในทุกเวลา ทุกสถานการณ์ ก็คือใครก็ตามที่เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด เขาเป็นลูกของพระองค์ เขาได้รู้จักกับพระเยซูคริสต์แล้วอีกนัยหนึ่ง คือเขาได้รู้จักกับพระเจ้าพระบิดา พระเจ้าพระวิญญาณบริสุทธิ์ด้วย ฉะนั้น คนๆ นั้น รู้จักพระองค์แล้ว  แล้วในโลกวิญญาณ คนๆ นั้น วิญญาณเก่าที่เป็นบาป ได้ตายไปพร้อมกับพระเยซูคริสต์แล้ว แล้ว ณ ปัจจุบันที่เรามานั่งอยู่ที่นี่ ร่างกายเรายังเป็นตัวเดิมอยู่ ดำก็ดำเหมือนเดิม  ขาวก็ขาวเหมือนเดิม เตี้ยก็เตี้ยเหมือนเดิม สูงก็สูงเหมือนเดิม ไม่มีเปลี่ยน ไม่ใช่ว่าพอมาเชื่อพระเจ้าปุ๊บ จากคนเตี้ยก็กลายเป็นคนสูง จากคนดำกลายเป็นคนขาว มันไม่ใช่นะ เพราะว่าลักษณะของมนุษย์ทุกคนยังคงเหมือนเดิม แต่สิ่งที่ไม่เหมือนเดิม คือร่างกายนี้ที่ยังอยู่ในกฎของความบาปและความตาย พระเจ้าได้ชำระให้สะอาดบริสุทธิ์ สามารถที่จะเป็นที่สถิตของพระวิญญาณบริสุทธิ์ได้

            เพลงที่ตะกี้ที่เราร้อง ที่ซึ่งพระวิญญาณทรงสถิต เรามีเสรี และที่นั่น ก็คือพวกเรา ร่างกายของพวกเราได้เป็นวิหารของพระเจ้า ได้เป็นที่อยู่ของพระวิญญาณบริสุทธิ์เรียบร้อยไปแล้ว แล้วในขณะที่เรายังอยู่บนโลกใบนี้ ร่างกายเรายังเป็นร่างกายเก่า แต่ว่าถูกชำระให้สะอาด รอเวลา หมดอายุขัย พระเจ้าจะให้ใครอยู่นานขนาดไหน?  บางครั้งพระเจ้าก็ให้อยู่นิดเดียว มาเชื่อพระเจ้า อายุแค่ 10 กว่า พระเจ้าก็บอกว่าโอเค กลับบ้านได้  เขาก็กลับบ้านไป บางคนมาอยู่นานมากเลย 90 แล้ว พระเจ้ายังใช้เขาอยู่  พระเจ้าบอกยังไม่ถึงเวลา ยังไม่หมดอายุขัย ก็อยู่ไป แต่อยู่แบบเต็มล้นไปด้วยความชื่นชมยินดี อยู่แบบ ผู้ที่มีความหวังใจ  อยู่แบบผู้ที่มีชัยชนะ  เพราะเขารับรู้ความจริงไง ในเรื่องนี้ รับรู้ความจริงว่าร่างกายของเขา รอแป๊บเดียวเอง แป๊บเดียวจริงๆ อยู่บนโลกใบนี้ อาจจะเจ็บไข้ได้ป่วย  เดี๋ยวปวดโน่นปวดนี่  เป็นเรื่องธรรมดา ถ้อยคำพระเจ้าบอกว่านี่เป็นเรื่องธรรมดามาก แต่ว่าความหวังใจของคริสเตียน ไม่ได้มองที่ร่างกายของเรา  แต่เรามองดูสิ่งที่พระเยซูคริสต์ได้กระทำให้เราสำเร็จแล้ว ก็คือความหวังใจที่เรามองไปข้างหน้า รอที่จะไปรับรางวัล รับมรดกอย่างครบถ้วนบริบูรณ์ ที่พระเจ้าได้ให้กับพวกเราแล้ว

            จริงๆ แล้วในโลกวิญญาณตอนนี้เรารับรางวัลทุกอย่าง พระพรนานัปการ มรดกที่พระเจ้าให้กับเรา คือชีวิตนิรันดร์  อยู่บนโลกใบนี้ เราได้รับแล้วในโลกวิญญาณ แต่ว่าเรารอคอยอีกนิดหนึ่ง คือหลังจากที่เราทิ้งร่างกายนี้ ร่างกายที่มันต้องสูญสิ้นไป  เพราะมันยังอยู่ในกฎของความบาปและความตาย ยังไงก็ต้องตายนั่นแหละ  เราจะไปอยู่ค้ำฟ้า มันเป็นไปไม่ได้ เพราะว่ากฎที่พระเจ้าตั้งไว้ มันยังคงอยู่

            ฉะนั้น ต่อให้เราเชื่อพระเจ้า หรือไม่เชื่อพระเจ้า เราก็ยังดำเนินชีวิตอยู่บนโลกนี้ แบบนี้แหละ เพราะว่าถูกสาปแช่งไปแล้ว เราอย่าให้ใครหลอก พอมาเป็นคริสเตียนปุ๊บ เราต้องแข็งแรงตลอดชีวิต ถ้าคริสเตียนคนไหนไปหาหมอ แปลว่าความเชื่อเขาไม่ถึง อย่าให้ใครหลอกเด็ดขาด คริสเตียนป่วยเป็นนะ คริสเตียนก็ยังคงต้องไปหาหมอ ถ้าป่วยจริงๆ อย่าดันทุรัง

            จะเล่าให้ฟัง ตอนที่โบสถ์เราใหม่ๆ ความเชื่อเราเป๋มากเลย  เราใช้ความเชื่อแบบสุดโด่งมาก

            “ในนามพระเยซู โดยรอยแผลเฆี่ยนของพระเยซูคริสต์ ทำให้เราหายโรค”

            แล้วเราก็เอาถ้อยคำตรงนี้มา ไม่ได้สิ เราเป็นคริสเตียน เราต้องป่วยไม่เป็น เราป่วยไม่ได้ รอยแผลเฆี่ยนของพระเยซูคริสต์จะทำให้หายโรค พอเราป่วยปุ๊บ เราก็เอาข้อพระคัมภีร์นี้มาท่องๆ คือบางทีบังเอิญ พระเจ้าจะรักษาเรา ท่องไปท่องมา เราหายจริงๆ ไม่ต้องไปหาหมอ แต่ไม่ใช่ทุกครั้งที่เราท่องปุ๊บ พระเจ้าจะรักษาเราหาย จริงหรือไม่จริง? คือถ้าไม่ไหว เราก็ต้องไปหาหมอ

            มีอยู่ครั้งหนึ่งเหงือกบวม บวมตุ่ยเลย เป็นลูกซาลาเปา แล้วก็กลับบ้านไป เจอพี่สาว พี่สาวบอกเป็นอย่างนี้ไปหาหมอ เราก็บอกไม่ ในนามพระเยซู พระเจ้ารักษาฉันหาย แล้วนึกออกไหม?

            คือพอเราหันกลับไปดู เราก็ขำตัวเอง  เราสามารถมีความเชื่อสุดโต่งขนาดนั้น  เราสามารถถูกหลอกได้ขนาดนั้น  แล้วพอเราถูกหลอกมากๆ เราก็คิดว่านี่คือความจริงนะ เรามาเชื่อพระเจ้า เราต้องแข็งแรงสิ ไม่อย่างนั้นเสียชื่อพระเจ้าแย่เลย บอกคริสเตียนป่วย อ้าว! คริสเตียนป่วยเป็นมะเร็งตายด้วย ยิ่งเสียชื่อพระเจ้าใหญ่เลย พระเจ้าเป็นแพทย์ผู้ประเสริฐไง พระเจ้าปล่อยให้เราเป็นมะเร็งตายได้อย่างไร? นั่นแหละเรามองด้วยสายตาของเรา เราใช้ความคิด คิดแบบมนุษย์ แต่พระเจ้าบอกว่าอะไร?  พระเยซูคริสต์มาเพื่อรักษาโรคเดียวที่ไม่มีหมอคนไหน บนโลกใบนี้สามารถรักษาเราหายได้  ก็คือโรคบาป โรคบาปที่บรรพบุรุษของเราเอาเข้ามาในโลกนี้  แล้วก็เอาเชื้อบาปนี้  ส่งต่อ DNA มาให้มนุษยชาติทั้งหมดบนโลกใบนี้ ทำให้เราติดเชื้อบาปหมดเลย มนุษย์ทุกคนเกิดมาไม่ต้องทำอะไร ก็บาปแล้ว หลายคนอาจจะคิดว่ารอให้เราไปทำอะไรบาป แล้วค่อยเรียกว่าเป็นคนบาป แต่ความจริงในถ้อยคำของพระเจ้า คือมนุษย์ทุกคนพอลืมตาดูโลกปุ๊บ ไม่ต้องทำอะไรเลย เขาบาปแล้ว เพราะว่าเขาติดเชื้อบาป

            เหมือนลูกที่พ่อแม่เป็นโรคเอดส์ เขาไม่ต้องทำอะไรเลยนะ คลอดออกมา เขาก็ติดเอดส์เลย ถามว่าเด็กคนนี้ไปทำอะไรไม่ดีไหม?  ทำไมถึงติดเอดส์ เขาไม่ได้ทำอะไรเลยนะ เขาอยู่เฉยๆ  เขาก็ติดเอดส์มาเลย  นี่คือความจริงในโลกวิญญาณ ที่ในถ้อยคำของพระเจ้าพยายามที่จะอธิบายให้เราเข้าใจถึงความจริงตรงนี้ ถ้าเราเข้าใจความจริงตรงนี้ปุ๊บ เราจะสามารถเข้าใจความจริงเรื่องความรอด  หรือเรื่องการไถ่ของพระเยซูคริสต์ได้ชัดเจนมากขึ้น พอมนุษย์ไม่ต้องทำอะไร เกิดมาปุ๊บ ก็บาปเลย

            อีกนัยหนึ่ง พอเรามาเชื่อพระเจ้า พระเยซูคริสต์บอกว่าแค่เปิดใจ เชื่อในสิ่งที่พระเยซูคริสต์กระทำเพื่อเราบนไม้กางเขน แค่นี้เรารอดแล้ว ไม่ต้องทำอะไรเหมือนกัน ไม่ต้องทำดีหรือทำชั่ว เราก็เป็นผู้ชอบธรรม พออย่างนี้ รับไม่ได้ พระเจ้าขอทำนิดหนึ่งได้ไหม? อย่างน้อยเป็นคนดีหน่อยเนอะ มันโอเค แต่ความเป็นจริง คือพระเจ้าบอกไม่ต้องทำอะไร? คือทำอยู่อย่างเดียว ก่อนที่เราเชื่อพระเจ้า คือเปิดใจ วางใจในสิ่งที่พระเยซูคริสต์กระทำ เพื่อเราบนไม้กางเขน

            พอเราต้อนรับพระเยซูคริสต์ปุ๊บ ทันทีในโลกวิญญาณที่เรามองไม่เห็น เพราะเรามองไม่เห็น เราเลยต้องคุยกันบ่อยๆ  เพราะว่าเรามองไม่เห็น แล้วเราจะลืม พี่น้องโฮลี่ก็จะคุ้นชินกับคำว่า “บัพติศมาในวิญญาณมาก” เพราะว่าศิษยาภิบาลทุกคนขึ้นมา จะต้องมาตรงนี้แหละ ถ้าไม่มาตรงนี้ ไปไม่ถึงจริงๆ

            ฉะนั้น เราต้องรับรู้ความจริงว่าในโลกวิญญาณมี 2 อาณาจักร อาณาจักรของความมืด และอาณาจักรของความสว่าง ก่อนหน้าที่พระเยซูคริสต์มาทำการงานของพระองค์สำเร็จ โลกใบนี้มีอาณาจักรเดียว คืออาณาจักรความมืด มนุษย์ไม่มีตัวเลือก มนุษย์ยังไงเกิดมา ก็อยู่ภายใต้อำนาจของกฎของความบาปและความตาย มนุษย์ทุกคนเกิดมา พยายามต้องการทำดี ไม่ใช่ต้องการทำบาปนะ พี่น้องอาจจะคิดว่าเขาเป็นคนบาป เขาพยายามต้องการทำบาป เปล่า มนุษย์ทุกคนไม่ได้ต้องการทำบาป เขาต้องการที่จะทำดี  ต้องการที่จะละสิ่งที่ชั่ว ด้วยกำลังของเขาเอง  แล้วพระเจ้าบอกว่าไม่มีมนุษย์คนไหนสามารถทำได้  ก่อนหน้าที่อาดัมจะล้มลงในความบาป  เขามีชีวิตของพระเจ้าอยู่ในตัวเขา พระสิริของพระเจ้าปกคลุมอยู่ที่ตัวเขา เขามีชีวิต เขามีความดีของพระเจ้า เป็นเหมือนพระเจ้าเลย เขาจึงสามารถที่จะทำดีได้ แต่เมื่อล้มลงในความบาป ความดีของพระเจ้าหายไป พอความดีของพระเจ้าหายไป เหลือแต่อะไร? ถ้าความดีไม่มี ก็เหลือแต่ความชั่ว ต่อให้มนุษย์คนนั้นดูเหมือนว่าจะทำสิ่งที่ดี ก็ยังอยู่ในธรรมชาติ หรืออยู่ใน DNA บาปของอาดัมเหมือนเดิมไม่มีผิดเลย ถ้าเรามอง สมัยก่อนไม่เข้าใจความจริงลึกๆ แบบนี้  เราก็คิดตามความคิดของเราเองว่า …

            “เพื่อนเราคนนี้เขาดีมากเลย  เขานิสัยดี เขาเป็นคนที่โอบอ้อมอารีย์ ทำทุกอย่างดีหมดเลย  ทำไมพระเจ้าไม่เลือกเขา เขาน่าจะมาเชื่อพระเจ้า”

            แต่ความเป็นจริงในโลกวิญญาณ ถ้อยคำของพระเจ้าบอกว่าพระเจ้าทรงรักโลกนี้ จนประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ เพื่อผู้ที่วางใจ จะไม่พินาศ แต่มีชีวิตนิรันดร์ โลกนี้คือมนุษยชาติทั้งหมดบนโลกใบนี้ พระเจ้าเลือกไว้แล้ว คือพระเยซูคริสต์สิ้นพระชนม์บนไม้กางเขนครั้งเดียวเป็นพอ ในพระคัมภีร์บอกอย่างนั้น หลั่งพระโลหิต ก็ครั้งเดียวเป็นพอ คือทำเสร็จ ครั้งเดียว พระเยซูบอกว่าสำเร็จแล้ว คือจบสิ้นทุกอย่าง แล้วตอนนี้ มนุษย์ทุกคนได้รับตรงนี้ไปเรียบร้อยแล้ว อยู่ที่ว่าเขารู้ไหม? เมื่อรู้แล้ว เขาจะยอมถ่อมใจมารับความช่วยเหลือจากพระเยซูมั๊ย?

            สมัยก่อนเรายังไม่เชื่อพระเจ้า เราไม่รู้ใช่ไหม? เราก็ดำเนินชีวิตตามโลกใบนี้ ใครว่าอะไรดี เราก็ไป  เราอยากจะทำดี เราพยายามแล้ว พยายามอีก  แต่พยายามให้ขนาดไหน? ข้างในวิญญาณเรา ก็ยังรู้สึกว่าเราดีไม่พอ เราควรจะดีกว่านี้  แต่พอเรามาเชื่อพระเจ้าปุ๊บ เราไม่ต้องพยายามแล้ว เพราะถ้อยคำของพระเจ้าบอกว่าเราดีพร้อม บริสุทธิ์ สะอาด ชอบธรรมเหมือนพระเจ้าเลย นี่คือความจริง

            แล้วมารก็จะพยายามส่งข้อมูล มาหลอกเรา … “เธอดีพร้อมตรงไหน? เมื่อกี้ฉันยังเห็นเธอทำอะไรไม่ดีเลย  เธอไปค้อนเขา”

            แอบค้อนเขา เขาไม่เห็นเนอะ แต่เรารู้ เราเกิดหมั่นไส้นิดหน่อย แอบค้อนนิดหนึ่ง หรือความคิดเราก็คิดสิ่งที่ไม่ดี ไปแล้ว

            มารก็จะส่งข้อมูล … “เห็นไหม? เธอยังทำอย่างนี้อยู่เลย เธอจะบอกว่าตัวเองเป็นผู้ชอบธรรมได้อย่างไร? สะอาดบริสุทธิ์เหมือนพระเจ้าได้อย่างไร?”

            แต่ถ้อยคำพระเจ้าบอกเราว่าอย่างไร?  ตรงนี้สำคัญกว่า เมื่อเรามาเชื่อพระเจ้า เราต้องยืนยัน ถ้อยคำของพระองค์ อย่างที่บอก การนมัสการพระเจ้า ก็คือการยอมรับความจริงที่พระเจ้าบอกว่าเราเป็นใคร? ตอนนี้เราได้รับอะไรแล้ว? ตอนนี้สถานะของเราเป็นอย่างไร?  พระเจ้าบอกชัดเจนมาก สถานะของเรา เราเป็นผู้ชอบธรรม เราเป็นคนดีพร้อม เราเป็นที่รักของพระเจ้า  พระเจ้ารักเราดังแก้วตาดวงใจ  นี่คือความจริงทั้งหมด เราต้องรับรู้ตรงนี้ แล้วก็ยึดตรงนี้เอาไว้ อย่าให้ระบบของโลกใบนี้ หรือการหลอกล่อ หลอกลวงทุกรูปแบบที่ส่งข้อมูลเข้ามาหลอกเรา ให้ไขว้เขว เรายังเป็นมนุษย์บนโลกใบนี้อยู่ เวลาเราทำผิด เรารู้สึกฟ้องผิดไหม? มารก็จะใส่ฟ้องผิดๆ แต่พระเจ้าบอกไม่ต้องฟ้องผิด ทันทีที่ผู้เชื่อทำผิดปุ๊บ พระโลหิตของพระเยซูคริสต์ ก็ชำระเราทันที ฉะนั้น ผู้ที่ทำไม่ถูกต้อง อย่างที่บอกไง ตรงนี้มันยากมาก พยายามขอพระคุณพระเจ้า ขอสติปัญญาของพระเจ้า ที่จะให้เราสามารถเข้าใจ และแยกตรงนี้ให้ชัดเจน มันยากมากสำหรับตาที่เรามองเห็นว่าเรากำลังทำสิ่งที่ไม่ถูกต้อง แต่ถ้อยคำของพระเจ้าบอกว่า …

            “ฉันยังสะอาด ชอบธรรม เป็นลูกที่พระเจ้าทรงรักอยู่”

            ฉะนั้น ข้อมูลบนโลกใบนี้ ก็พยายามใส่ๆ เข้ามา … “เธอสะอาดตรงไหน? ยังทำไม่ดี?”

            เราต้องยืนกราน เพราะว่าพระเจ้าบอกอย่างนั้น  เรายืนกรานอย่างนั้น  ที่เราทำสิ่งที่ไม่ดีออกไป  เพราะว่าร่างกายเราอ่อนแอ เราโดนหลอกด้วยระบบของโลกใบนี้ที่พยายามส่งข้อมูลให้เราต่อต้านพระเจ้า ให้เราทำสิ่งที่ตรงกันข้ามกับพระเจ้า  แล้วเราเผลอ เราก็ทำมันไป  พอทำไป แล้วทำอย่างไร? ทำไป แล้วไม่ใช่เรานั่งจุมปุ๊ก แล้วก็ร้องห่มร้องไห้ …

            “พระองค์เจ้าข้า ลูกเป็นคนบาป ลูกเสียใจ”

            ไม่มี เราไม่ใช่คนบาปอีกต่อไป เมื่อก่อนเป็นนะ เมื่อก่อนเรายังไม่รับรู้ความจริง ดิฉันก็เป็น พอทำผิดปุ๊บ …

            “พระองค์เจ้าข้า ยกโทษให้ลูกด้วย ลูกเป็นคนบาป”

            ณ เวลานี้ เราเชื่อพระเจ้าแล้ว เรายังบอกว่าเราเป็นคนบาป  แปลว่าเรากำลังบอกพระเยซูว่าสิ่งที่พระเยซูทำ เพื่อเราบนไม้กางเขน ยังทำไม่สำเร็จ  เรายังต้องช่วยตัวเอง ทำให้มันดี เพื่อที่จะไม่ได้เป็นคนบาป จริงหรือไม่จริง?  ถ้าเราเชื่อตามที่พระคัมภีร์บอกว่าเราเป็นผู้ชอบธรรมแล้ว  แปลว่าพระเจ้าบอกทุกอย่าง ทำสำเร็จแล้ว …

            “ถ้าเธอทำผิดเมื่อไร? โลหิตของฉันชำระเธอทันที เธอไม่ได้เป็นคนบาป”

            ทำไมรู้ว่าไม่ได้เป็นคนบาป เพราะว่าวิญญาณเราได้รับการเปลี่ยนแปลงใหม่เรียบร้อยไปแล้ว เปลี่ยนใหม่เลยนะ เปลี่ยนเป็นวิญญาณใหม่ที่เป็นเหมือนพระเจ้า บาปมาแตะต้องเราไม่ได้

            ความคิดจิตใจของเราก็ถูกเปลี่ยนใหม่ ก็เข้ามายุ่งกับเราไม่ได้ แล้วร่างกายเราในพระคัมภีร์ พระเยซูคริสต์บอกว่าพระองค์ทรงปกปักษ์ พิทักษ์รักษาคุ้มครองป้องกันเราไว้ คือคลุมเราหมดเลย คลุมเราทั้ง 3 อย่าง ก็คือทั้งวิญญาณ ความคิดจิตใจ และร่างกาย ฉะนั้น มารมันมายุ่งกับเราไม่ได้เลย ความเป็นจริง คือมันยุ่งกับเราไม่ได้  แต่มันก็หลอกเราไง สามารถหลอกให้เราคิดตามมันได้ แต่เราต้องรับรู้ความจริงว่ามันยุ่งกับเราไม่ได้ เราก็จะถูกหลอกน้อยลง

            ดิฉันชอบประเทศไทย เวลาสงกรานต์ คนก็จะออกไปเล่นน้ำ บังเอิญเราเจอโควิดหลายปี การเล่นน้ำ ก็เลยซาไป เพราะว่ามันไม่ปลอดภัย แต่ถ้าเป็นเมื่อก่อน  เราจะเห็นช่วงสงกรานต์ ถ้าเราขับรถออกไปข้างนอก เราก็จะเห็น 2 ข้างทาง เด็กๆ เอาถังมาตั้งไว้ คอยเลย รถมาปุ๊บ สาดเลย ดิฉันเคยอยู่บนรถเมล์ โดนถุงน้ำ รถเมล์ร้อน มันไม่ได้ปิดกระจก ถุงน้ำเหวี่ยงเข้ามา บางครั้ง เคยโดนแบบฟาดลงไปอย่างเต็ม แต่ว่าหลายครั้ง เราอยู่ในรถที่มีกระจกอย่างดี รถเมล์แอร์หรือรถส่วนตัว แต่ตาเรามองเห็น ดูวิวทิวทัศน์อย่างดี  เห็นเด็กเขากำลังทำท่าจะสาดน้ำเข้ามา ถามว่าเขาสาดโดนเราไหม? มันไม่โดนอยู่แล้ว เพราะว่ามีกระจกกั้น แต่พอเขาสาดมาปุ๊บ เราทำไง หลบ ทันที  มันเป็นอัตโนมัติ มันคือธรรมชาติ มันคือปกติของมนุษย์ ที่เราอยู่ในธรรมชาตินี้มานานแล้ว นานมาก เราก็เลยถูกหลอกไง ถูกหลอกว่าน้ำสามารถกระเด็นใส่เราได้ ความเป็นจริง คือมันไม่ได้

            ดังนั้น ในโลกความเป็นจริง ในโลกวิญญาณ พระเจ้าก็บอกเราอย่างนี้แหละ  มารมันทำอะไรเราไม่ได้ มันไม่มีอำนาจเลย มันแค่ใช้อิทธิพลของโลกใบนี้ อิทธิพลของความบาปและความตาย พยายามส่งเข้ามาในความคิดของเรา เพื่อให้ผู้เชื่อพยายามพึ่งพาการกระทำดีของตัวเอง พอพูดอย่างนี้ คนรับไม่ได้นะ อย่างนี้คริสเตียนไม่ต้องทำดีหรือ? ทำดีโดยธรรมชาติของเรา จากข้างในวิญญาณ

            คริสเตียนธรรมชาติ  ไม่ทำสิ่งที่ไม่ดีอยู่แล้ว แน่นอนเลย เพราะว่าพระเจ้าเราเป็นความดี พระเจ้าเราเป็นความรัก ธรรมชาติใหม่ของเรา คือเกลียดคนไม่เป็น  ถ้าวันไหนเราเกลียดใคร แปลว่านี่ไม่ใช่ฉันนะ  เราต้องรับรู้ว่าไม่ใช่ฉันนะ อันนี้ ฉันกำลังถูกหลอกให้เกลียดคนโน้นคนนี้ เราก็จะรู้ตัวไง …

            “ไม่เอาๆ ฉันไม่ทำตามเธอ ธรรมชาติใหม่ของฉัน คือเป็นความรัก  เกลียดคนไม่เป็น เป็นความดี เป็นผู้ชอบธรรม”

            นี่คือความจริงในโลกวิญญาณทั้งหมด

            เหตุผลที่พระเจ้าบอกให้เราจดจ่อสิ่งที่อยู่เบื้องบน จดจ่อว่า ณ เวลานี้ พระเจ้าได้ทำให้เราเป็นอะไรแล้ว จดจ่อว่าอะไรที่พระเยซูคริสต์ได้กระทำสำเร็จเรียบร้อยไปแล้ว  จดจ่อว่า ณ เวลานี้ เรามีหน้าที่อย่างเดียว คือชื่นชมยินดี รับเอาผลสำเร็จ ซึ่งเราไม่ต้องลงทุนลงแรงอะไรเลย พระเยซูคริสต์ทำให้เราสำเร็จแล้ว เราก็ฮาเลลูยา สรรเสริญพระเจ้า ขอบคุณพระองค์ นี่คือการนมัสการพระเจ้าด้วยจิตวิญญาณและความจริง ถ้าเราพยายามใช้ความคิด ไม่ได้ เราอยู่เฉยๆ ไม่ได้ เราต้องช่วยพระเจ้านิดหนึ่ง เดี๋ยวงานพระองค์ไม่เสร็จ เราต้องไปประกาศนะ เดี๋ยวงานพระองค์ไม่เสร็จ  จริงๆ พระเจ้าให้เราทำแบบธรรมชาติ คือถ้า ณ เวลาไหนที่พระเจ้าต้องการให้เราประกาศ พระองค์ก็พาเราไปเจอเอง แล้วมันออกมาแบบเนียนๆ พี่น้องนึกออกไหม? ก็คือไม่ได้ตั้งท่าว่าวันนี้ออกไป ฉันตั้งเป้าแล้วว่าฉันจะไปประกาศกับคนนี้ ฉันก็คอยจ้อง ใครๆๆ ขอชะแว๊บเข้าไปคุยเรื่องพระเจ้านิดหนึ่ง พอคุยเสร็จ สบายใจ นี่ได้รับใช้พระเจ้าแล้ว มันจริงหรือเท็จ เรากำลังถูกหลอก หลอกให้พึ่งพาความดีงามของตัวเอง เราภูมิใจไง วันนี้เราได้ทำความดีแล้ว ภูมิใจจริงๆ แต่พระเจ้าบอกว่านี่คือ Holy flesh มันเป็นเนื้อหนังที่มันเป็นโฮลี่ ไปประกาศเรื่องของพระเจ้าให้คนอื่น มัน Holy ไหม? เหมือนเราได้รับใช้พระเจ้าเลยนะ ภาคภูมิใจในการกระทำของเรา ณ เวลานั้น

            แต่ถ้าการประกาศของเราที่มาจากข้างในวิญญาณ ที่พระเจ้าให้เราทำ มันออกมาเนียนๆ เลย  เราก็พูดง่ายๆ เรื่องของพระเยซูคริสต์ว่าพระองค์เป็นใคร? มาจากไหน? ทำอะไร? บังเอิญมีคนมาถาม เราก็เล่าให้เขาฟัง เล่าเสร็จ เราก็ขอบคุณพระเจ้า ฝากเขาไว้กับพระองค์ เขาจะเชื่อหรือไม่เชื่อ เราหมดหน้าที่แล้ว ไม่ใช่หน้าที่ของเรา ไปคอยจ้องว่าเขาจะเชื่อหรือเปล่า? พอเขาเชื่อ ภูมิใจ อันนั้นแหละ Holy flesh อีก นึกออกไหม? พอเชื่อ แล้วภูมิใจ ภูมิใจ เพราะอะไร?

            “ฝีมือฉัน เพราะฉันเป็นคนไปประกาศให้เขารู้เรื่องของพระเจ้า”

            มันเป็นเรื่องละเอียดอ่อนมาก เล็กๆ  ซึ่งเราไม่ทันสังเกต แล้วเราก็เลยตกหลุมของมารที่พยายามทึ้งเรา …

            “พยายามให้พึ่งพาตัวเองเยอะๆ เราก็จะพึ่งพาพระเจ้าน้อยลง แต่ถ้อยคำพระเจ้าบอกว่าพระเจ้าต้องการให้เราพึ่งพาในพระองค์เท่านั้น  เท่านั้นจริงๆ  อย่าพึ่งพาความรอบรู้ของตัวเราเอง แต่จงรับรู้พระเจ้าในทุกทาง ทุกเรื่องของพระองค์ ให้พระวิญญาณนำเรา ใช้ชีวิตแบบปกติ ถ้าวันนี้บังเอิญ เราไม่อธิษฐาน เราก็ไม่ฟ้องผิด

            มีพี่น้องคนไหนที่ไม่อธิษฐาน แล้วฟ้องผิดอยู่ มีไหม? สมัยก่อน ตอนเชื่อพระเจ้าใหม่ๆ วันไหนที่ดิฉันไม่อธิษฐาน ดิฉันฟ้องผิดน่าดูเลย เศร้า วันนี้เราแย่เลย เราทำไมถึงเป็นอย่างนี้ วันไหนขี้เกียจอ่านพระคัมภีร์ ฟ้องผิดอีก กลายเป็นว่าเราไม่ได้เป็นอิสระ เราเป็นทาส ทาสของกฎ กฎที่มนุษย์ตั้งไว้ว่าเธอต้อง … ต้องอธิษฐาน ต้องอ่านพระคัมภีร์ ต้องมาโบสถ์ ต้องถวายทรัพย์ ต้องๆๆๆๆ นี่คือกฎ แต่พระเจ้าไม่ต้องการให้เราอยู่ใต้กฎ พระเจ้าต้องการให้เราอยู่ตามพระวิญญาณนำ แล้วเวลาพระวิญญาณนำเรา แบบสบายมาก เราอยากอ่านพระคัมภีร์ พระวิญญาณนำ เราก็อ่าน เราอยากอธิษฐาน พระวิญญาณนำเรา เราก็อธิษฐาน เราอยากถวายทรัพย์ พระวิญญาณนำเรา เราก็ถวายทรัพย์ มันเป็นอะไรที่ออกมาจากใจ พระวิญญาณบอกเราว่าเมื่อเราทำทุกอย่าง ให้เราทำออกจากใจ ที่พระวิญญาณข้างในนำเรา  แล้วพี่น้องไม่ต้องกลัวหรอกว่าพอเราไม่อธิษฐาน เดี๋ยวพระเจ้าจะตำหนิเรา

            พระเจ้าบอก … “ลูกคนนี้มันขี้เกียจ ไม่รักแล้ว”

            ไม่จริงนะ อย่าให้โดนหลอก เพราะว่าพระเจ้ารักเราสุดๆ แล้ว จบแล้ว พระเจ้า พระเยซูคริสต์ทำให้เราสะอาด ดีพร้อม ทุกอย่าง เรียบร้อยไปแล้ว ไม่มีการลงโทษใดๆ สำหรับผู้ที่อยู่ในพระเยซูคริสต์ เพราะกฎของพระวิญญาณแห่งชีวิต ได้ทำให้ท่านพ้นจากกฎของความบาปและความตาย  ถ้าเมื่อไรเรายังรู้สึกฟ้องผิด แปลว่าเราวิ่งเข้าไปอยู่ภายใต้กฎของความบาปและความตาย พระเจ้าอวยพรค่ะ

**********************

จากใจคณะศิษยาภิบาล

            ท่านมั่นใจและพอใจมากกว่าหรือ? ที่จะไปจากร่างกายนี้ และอาศัยอยู่กับองค์พระผู้เป็นเจ้า

            2 โครินธ์ 5:6-8 … “6 เพราะฉะนั้น เรามั่นใจอยู่เสมอ และรู้แล้วว่าขณะที่อาศัยอยู่ในร่างกายนี้ เราอยู่ห่างจากองค์พระผู้เป็นเจ้า 7 เพราะว่าเราดำเนินโดยความเชื่อ ไม่ใช่โดยสิ่งที่มองเห็น 8 และเรามั่นใจและพอใจ ที่จะไปจากร่างกายนี้ และอาศัยอยู่กับองค์พระผู้เป็นเจ้ามากกว่า”

            แม้ความจริงของพระเจ้าจะบอกเราว่าทันทีที่เราบังเกิดใหม่  วิญญาณของเราได้เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์เลย  สะอาด  บริสุทธิ์เต็มด้วยสง่าราศีของพระเจ้า พระเจ้าพระบิดา พระบุตร พระวิญญาณบริสุทธิ์สถิตอยู่ในเรา เราได้นั่งอยู่ที่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้าแล้ว สิ่งเหล่านี้เป็นความจริงในโลกวิญญาณ ซึ่งเกิดขึ้นเรียบร้อยแล้ว ทันทีที่เราเชื่อ แต่เนื่องจากตาเนื้อเรามองไม่เห็น มือเราสัมผัสไม่ได้ แต่เรารับรู้ในวิญญาณ เราจึงต้องใช้ความเชื่อ

            เชื่อตามที่พระเจ้าบอกเรา ในถ้อยคำของพระองค์ แน่นอน เมื่อเรารู้ความจริงเหล่านี้ ถ้าเลือกได้ เราก็อยากกลับไปอยู่กับพระเจ้า ซึ่งดีกว่าเยอะเลย แต่ที่พระเจ้ายังให้เราอยู่บนโลกนี้ ก็เพื่อรับใช้พระองค์ สำแดงความรักของพระองค์ที่อยู่ภายในเราเรียบร้อยแล้วออกมา ประกาศฤทธานุภาพแห่งข่าวดีของพระเยซู ดำเนินชีวิตให้เป็นไปด้วยกันกับความจริงที่เราเป็นอยู่

            มอบอวัยวะทุกส่วนในร่างกายให้พระเจ้าใช้ เปลี่ยนโปรมแกรมความคิดเดิมที่เราเคยชิน มาเป็นโปรแกรมความคิดใหม่ตามถ้อยคำพระเจ้า   แล้วบุคลิกลักษณะของเราก็จะถูกเปลี่ยนใหม่  เป็น เหมีอนพระเจ้า พ่อของเรามากขึ้น

            1 ยอห์น 4:17-18 … “17 ในการได้เข้าส่วนร่วมเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระคริสต์นี้ ความรัก (อากาเป้ แบบพระเจ้า) จึงได้เกิดขึ้นอย่างสมบูรณ์ครบถ้วนในตัวเรา เราจึงมีความ มั่นใจ ในวันพิพากษา ที่เรามีความมั่นใจอย่างเต็มเปี่ยม ก็เพราะชีวิตจิตวิญญาณ ที่เรามีขณะที่อยู่ในโลกนี้นั้น เป็นชีวิตจิตวิญญาณ ที่เหมือนกับ ชีวิตจิตวิญญาณของพระคริสต์ 18 ไม่มีความกลัวในความรัก (อากาเป้ แบบพระเจ้า) แต่ความรัก (อากาเป้ แบบพระเจ้า) ที่สมบูรณ์ครบถ้วน (ภายในเรา) ขจัดความกลัวออกไปจนหมดสิ้น เพราะความกลัว (ไม่มั่นใจในความชอบธรรมของตนเอง) ทำให้เกิดความคิดฟ้องผิด (ว่าถูกตัดสินลงโทษ) ดังนั้นผู้ที่ยังกลัวอยู่ (ไม่มั่นใจในความชอบธรรมของตนเอง กลัวการถูกลงโทษในวันพิพากษา) คือผู้ที่ยังไม่มีความรัก (อากาเป้แบบพระเจ้า) ที่สมบูรณ์ครบถ้วนภายในเขา”

            พระเจ้าอวยพรครับ

วารสาร Holy  News   ฉบับที่ 1404

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  19  กุมภาพันธ์  2023

เรื่อง “อัศจรรย์เกิดขึ้นทันที เมื่อฉันเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์”

ตอน 4 “พระเจ้าเข้ามาสถิตอยู่ด้วยภายในร่างกาย”

โดย นคร  เวชสุภาพร

            “อัศจรรย์เกิดขึ้นทันที เมื่อฉันเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์”

            ตอนที่ 1 “วิญญาณเก่าที่เป็นคนบาป ต้องคำสาป ได้ตายไปแล้ว”

            ตอนที่ 2 “ได้บังเกิดใหม่ โดยพระวิญญาณของพระเจ้า”

            ตอนที่ 3 “ได้เป็นลูกของพระเจ้า ที่ทรงรักดังแก้วตาดวงใจแล้ว”

            สิ่งเหล่านี้ทั้งหมด เกิดขึ้นทันที เมื่อเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เราที่นี่ส่วนใหญ่ก็เปิดใจกันเรียบร้อยแล้ว  เพราะฉะนั้น สามารถพูดตามนี้ได้ ทบทวน 3 ตอน ก็สามารถพูดได้ว่า …

            “ฉันไม่ได้เป็นคนบาป ฉันตายแล้ว” คนบาปตายไปแล้ว

            “ฉันบังเกิดใหม่แล้ว และฉันเป็นลูกพระเจ้าแล้ว”

            สรุป 3 ตอน เป็นแค่นี้ ง่ายนิดเดียว ตายแล้ว เกิดใหม่แล้ว เป็นลูกของพระเจ้าแล้ว อัศจรรย์ใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ตอนที่ 4 “พระเจ้าเข้ามาสถิตอยู่ด้วย ภายในร่างกายของฉันทันที” เมื่อเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอด

            พื้นฐานของเรื่องพระเจ้าที่เราคุยกันทั้งหมด พื้นฐานของเรื่องข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์ เป็นเรื่องเกี่ยวกับโลกวิญญาณทั้งสิ้น และมิติโลกวิญญาณนี้ มีเพียงแค่ 2 อาณาจักร 2 สถานที่เท่านั้น เราได้เรียนรู้แล้ว พระคัมภีร์ได้บอกชัดเจน ตั้งแต่เริ่มต้น พระคัมภีร์เดิมจนพระคัมภีร์ใหม่ และมนุษย์ ซึ่งเป็นสิ่งมีชีวิต ที่เป็นวิญญาณ มีจิตใจ และอาศัยอยู่ในร่างกายนี้เท่านั้น

            ต้องเรียนรู้ตรงนี้ให้ได้ว่านี่คือโลกวิญญาณ นี่คือความจริง ทางวิญญาณต้องอยู่ในที่ใดที่หนึ่ง ใน 2 แห่งนี้เท่านั้น คือมีมิติวิญญาณที่เป็น 2 สถานที่นี้ ที่วิญญาณมนุษย์จะอาศัยอยู่เท่านั้น คือ …

            –  มีอาณาจักรแห่งความจริงของพระคริสต์  และอาณาจักรแห่งความเท็จ หลอกลวงของมาร

            –  มีอาณาจักรแห่งแสงสว่างและมีอาณาจักรแห่งความมืด

            –  มีอาณาจักรแห่งชีวิตนิรันดร์ และมีอาณาจักรแห่งความตายนิรันดร์

            นี่คือพื้นฐานของเรื่องพระเจ้าที่เราต้องใส่ใจ และจับเอาไว้ตลอด เพื่อจะเรียนรู้จักเรื่องถ้อยคำพระเจ้า ต้องเอาตรงนี้เป็นฐานอยู่ในความคิด อยู่ในสมองของเราเสมอ เราได้เรียนรู้จาก 3 ตอนที่แล้วมนุษย์เราเกิดมา ได้อาศัยอยู่ในอาณาจักรแห่งความมืด แห่งความตาย จึงจำเป็นต้องย้ายอาณาจักรในทางวิญญาณนี้  โดยผ่านขบวนการอัศจรรย์ทางข่าวดีของพระเยซูคริสต์ คือการบัพติศมาเข้าส่วนร่วมการตาย การถูกฝังไว้ในอุโมงค์ การเป็นขึ้นจากความตาย การบังเกิดใหม่ เป็นลูกของพระเจ้าร่วมกับพระเยซูคริสต์ เรียกว่าขบวนการการบังเกิดใหม่ ถ้าผู้ที่ยังไม่ได้ติดตาม 3 ตอนที่แล้วมา อาจจะยังไม่เข้าใจ กลับไปทบทวนฟัง 3 ตอนที่แล้ว จะเข้าใจการบังเกิดใหม่นี้

            ขบวนการการบังเกิดใหม่ด้วยพระคุณนี้ “ด้วยพระคุณ” หมายถึงเราไม่สามารถทำเองได้ โดยความประพฤติของเรา เราได้รับพระคุณ ก็คือพระเจ้าทำให้เราฟรีๆ ในขบวนการการบังเกิดใหม่ด้วยพระคุณนี้  ทำให้ทั้งวิญญาณ จิตใจและร่างกายของเรามนุษย์นั้น บริสุทธิ์ ดีพร้อม ไร้ตำหนิ ไม่มีมลทินใดๆ เลย จริงๆ นี่พระเจ้าได้ประกาศความจริงนี้ให้เราได้ยินได้ฟังอย่างนี้จริงๆ ในเรื่องเกี่ยวกับโลกวิญญาณ บริสุทธิ์ ดีพร้อม  ทั้งตัวเลย ทั้งวิญญาณ จิตใจและร่างกายด้วย ทางวิญญาณและจิตใจ ถ้อยคำพระเจ้าที่ยกมา เราได้เรียนรู้แล้วว่านี่คือความจริงที่พระเจ้าบอกเราว่าทางวิญญาณและจิตใจ เมื่อผ่านขบวนการการบังเกิดใหม่ด้วยพระคุณนี้แล้ว เกิดอะไรขึ้น สะอาดบริสุทธิ์อย่างไร? 1 ยอห์น 4:17 ทบทวนอีกนิดหนึ่ง …

        1 ยอห์น 4:17  “ในการได้เข้าส่วนร่วมเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระคริสต์นี้ ความรัก​​ (อากาเป้ แบบพระเจ้า) จึงได้เกิดขึ้นอย่างสมบูรณ์ครบถ้วนในตัวเรา (ทั้งวิญญาณและจิตใจ) เรา​จึง​มี​ความ​มั่นใจใน​วัน​พิพากษา ที่​เรา​มี​ความ​มั่นใจ​อย่าง​เต็มเปี่ยม ​ก็​เพราะวิญญาณและจิตใจของเรา  ขณะที่อยู่ในโลก​นี้นั้น เป็นวิญญาณและจิตใจ ที่​เหมือน​กับวิญญาณและจิตใจของ​พระคริสต์”

            ขณะที่อยู่ในโลกนี้นั้น เป็นวิญญาณและจิตใจที่เหมือนกับวิญญาณและจิตใจของพระคริสต์ บริสุทธิ์แค่ไหน? ท่านคิดเอาเองก็แล้วกัน แล้วทางร่างกาย จะยกข้อพระคัมภีร์เหล่านี้ออกมาให้เห็นชัดเจนว่าผ่านขบวนการการบังเกิดใหม่ เป็นลูกของพระเจ้าด้วยพระคุณนี้ ทั้งร่างกาย ความคิดจิตใจและวิญญาณของเราได้สะอาดบริสุทธิ์ ดีพร้อมแล้วจริงๆ โรม 12:1 …

        โรม12:1 “เหตุฉะนั้น พี่น้องทั้งหลาย เพื่อเห็นแก่พระคุณความเมตตาของพระเจ้าที่มีต่อเราทั้งหลาย ข้าพเจ้าขอร้องท่าน ให้ยอมมอบอวัยวะทุกส่วนในร่างกายพร้อม (สมอง) ความคิดและสติปัญญาของท่าน ให้สมกับการที่พระเจ้าได้กระทำให้เป็นเครื่องบูชาที่มีชีวิตอยู่ บริสุทธิ์ สะอาดศักดิ์สิทธิ์ (เป็นสมบัติส่วนตัวของพระเจ้า ที่พระเจ้าสามารถรับได้) และเป็นที่โปรดปรานพอใจของพระเจ้าแล้วนั้น ซึ่งเป็นการกตัญญูต่อพระเจ้าที่สมควร ในวิญญาณของเรา ที่ได้บังเกิดใหม่ โดยพระคุณพระเจ้า และเป็นการนมัสการพระเจ้า ด้วยวิญญาณและความจริง”

            พระเจ้าได้กระทำให้เรานั้น เป็นเครื่องบูชาที่มีชีวิตอยู่ บริสุทธิ์ สะอาด ศักดิ์สิทธิ์ เป็นสมบัติส่วนตัวของพระเจ้า ที่พระเจ้าสามารถรับได้แล้ว และเป็นที่โปรดปรานพอใจของพระเจ้าแล้ว

            “พระเจ้าได้กระทำให้ฉันเป็นเครื่องบูชาที่มีชีวิตอยู่ บริสุทธิ์ สะอาด ศักดิ์สิทธิ์ เป็นสมบัติส่วนพระองค์ ที่พระองค์สามารถรับได้แล้ว  และเป็นที่โปรดปรานพอใจของพระองค์แล้ว”

            ฉันไม่ได้ทำเองเลย ใช่ ใครทำให้ พระเจ้าเป็นผู้กระทำให้สำเร็จเรียบร้อยหรือยัง อ่านเมื่อตะกี้นี้ ทำให้แล้วหรือยัง? ทำให้แล้ว แล้วที่อ่านบทที่ 12 ข้อ 1 ที่บอกว่าให้ประพฤติ ให้มันสมกับที่พระองค์ทรงกระทำให้แล้ว เหมือนเรามีลูก ก็บอกทำให้มันเหมือนกับลูกพ่อหน่อย  เป็นลูกเราหรือยัง? เป็นเพราะประพฤติเหมือนเราหรือ? ไม่ใช่ เขาเกิดก่อนการประพฤติ

            พระองค์ทรงกระทำผ่านทางฤทธิ์เดชอำนาจของพระโลหิตของพระเยซูคริสต์ และชีวิตของพระองค์บนไม้กางเขนนั่นแหละ

            นี่เรากำลังพูดถึงเรื่องอะไร? ความบริสุทธิ์ ส่วนไหน? ส่วนที่เป็นร่างกาย ที่เรามองเห็นอยู่นี้ ร่างกายที่เมื่อวานเพิ่งจะโกหก ร่างกายที่ตะกี้ยังคิดเกลียดเขา คิดอิจฉาริษยาเขาอยู่เลย นี่เหรอบริสุทธิ์ เรามาดูกันต่อไปว่าการชำระด้วยพระโลหิตของพระเยซูคริสต์ ในร่างกายเดิมนี้ ทำให้ร่างกายเดิม ที่เป็นบาปอยู่นั้น มันบริสุทธิ์สะอาด มีชีวิตเดินเหิน บริสุทธิ์ พระเจ้าบอกบริสุทธิ์  เราก็บอกบริสุทธิ์

            และคำว่าบริสุทธิ์ตรงนี้ พระองค์ทรงกระทำด้วยวิธีใด ผมพยายามอธิบายให้ท่านเห็นชัดเจนขึ้น คือคำว่า “ถูกชำระให้บริสุทธิ์” ที่ตะกี้เราอ่านเป็นเครื่องบูชาที่มีชีวิตอยู่ ที่บริสุทธิ์สะอาด คือการชำระด้วยพระโลหิตของพระเยซูคริสต์ ชำระตรงนี้มาจากคำว่า Sanctify แปลว่าแยกส่วนออกมา ให้เป็นทรัพย์สมบัติส่วนพระองค์ ตรงนี้แปลว่าชำระให้บริสุทธิ์ คือชำระเราให้เป็นทรัพย์สมบัติส่วนพระองค์ ส่วนตัวของพระเจ้าพระบิดา พระบิดาสามารถรับได้ ก็คือพระบิดาสามารถติดต่อกับเราได้  พอใจแล้ว  เพราะว่าพระองค์ทรงบริสุทธิ์สะอาด สิ่งของที่อยู่ในบ้านของพระองค์ อยู่ในพระนิเวศน์ของพระองค์ จะต้องสะอาดบริสุทธิ์เท่านั้น มีเชื้อบาปนิดหนึ่งก็ไม่ได้เลย นี่คือคำว่าชำระให้บริสุทธิ์ สะอาด ถูกแยกส่วนออกมาเป็นทรัพย์สมบัติของพระเจ้า เราได้ถูกชำระโดยพระโลหิตของพระเยซูคริสต์ อย่างนั้นแหละ กำลังพูดถึงที่ไหน?  ไม่ใช่ที่วิญญาณ ไม่ใช่ที่ใจ เพราะ 2 อย่างนั้นเราได้เห็นแล้วตะกี้นี้ จากถ้อยคำพระเจ้าว่าเป็นเหมือนพระเยซูคริสต์แล้ว มันมองไม่เห็นทางด้านตาฝ่ายเนื้อหนัง แต่ตาฝ่ายวิญญาณมันเห็น แต่ตอนนี้ ร่างกายมันเห็นๆ อยู่ ก็บริสุทธิ์สะอาดแล้วจริงๆ พระเจ้าจะได้สามารถเข้ามาอาศัยอยู่ได้ในร่างกายนี้ บางคนบอกว่ามาเชื่อพระเจ้าแล้ว ร่างกายฉันยังสกปรกอยู่เลย …

            “พระเจ้าเมตตาลูกด้วย ลูกเป็นคนสกปรก เป็นคนบาป”

            บาปที่ไหนเล่า? ตรงไหนบาป วิญญาณท่านบาปไหม? ไม่บาป เหมือนพระเยซู จิตใจท่านบาปไหม? ไม่บาป เหมือนพระเยซู ร่างกายบาปไหม? ไม่บาป เพราะถูกชำระด้วยพระโลหิตพระเยซูคริสต์แล้ว พระโลหิตพระเยซูคริสต์เต็มด้วยฤทธิ์เดชอำนาจ อยู่ตลอดเวลา และอยู่ตลอดไป ทุกวินาที ท่านทำอะไรก็ตาม พระโลหิตชโลมอยู่ตลอดเวลา ที่ร่างกายของท่าน เอเมนไหม?  ไม่อย่างนั้นเราจะเรียกอัศจรรย์ ได้อย่างไร? นี่แหละคืออัศจรรย์  พระเจ้าได้เข้ามาอยู่อาศัยกับเราแล้ว อยู่ได้อย่างไรในร่างกายที่เต็มไปด้วยความบาป นั่นนะสิ มันอยู่ไม่ได้อยู่แล้ว แล้วฉันทำบาปล่ะ พระโลหิตของพระเยซูได้ชำระให้เรียบร้อยแล้ว ครั้งเดียวเป็นพอ  แปลว่าพระองค์ทรงตายที่ไม้กางเขน ครั้งเดียวลบล้างบาปทั้งสิ้น บาปในอดีต บาปในปัจจุบัน บาปในอนาคต เมื่อไรก็ตามท่านทำ มันล้างออกตลอดเวลา เมื่อตะกี้คิดชั่ว ก็ล้างไปแล้ว เมื่อตะกี้ว่าเขา ก็ล้างไปแล้ว เอเมนไหม? พระเจ้าถึงอยู่ได้ไง ไม่อย่างนั้นอยู่อย่างไร?

            เวลาอธิษฐานก็บอกพระเจ้าสถิตอยู่ด้วย ขอบคุณพระเจ้า  เสร็จแล้วก็บอกว่าฉันยังเป็นคนบาป มันบาปที่ไหน?

            “ฉันทำบาป แต่ฉันไม่ได้เป็นคนบาป ฉันประพฤติสิ่งที่เป็นบาป  แต่ฉันไม่ได้เป็นบาป”

            เพราะบาป แปลว่าการพึ่งพาตนเอง การทำตามความคิดของตนเอง

            “ฉันทำตามความคิดของตนเอง แต่ในวิญญาณของฉัน ฉันเชื่อฟังพระเจ้า ฉันเป็นลูกที่เชื่อฟังพระเจ้า เอเมน”

            1 โครินธ์ 6:19-20 ให้เราเห็นชัดเจนว่าพระเจ้าเข้ามาอยู่ในเราได้แล้วจริงๆ  และในอดีตเปาโลก็มีคนถามอย่างนี้

            “เรายังทำบาปอยู่”

            เปาโลบอกว่า … “ไม่ ท่านไม่ได้เป็นคนทำบาปอะไรเลย พระเจ้าเข้าไปสถิตอยู่กับท่านแล้ว พระเจ้าชำระท่านจนสะอาดหมดจด โดยพระโลหิตของพระองค์แล้ว ไม่เชื่อหรือ? ท่านเชื่อเราเถอะ ท่านจงรับรู้เถิดว่าพระเจ้าสถิตอยู่ในท่าน”

            1 โครินธ์ 6:19-20 จึงได้พูดอย่างนี้ว่า …

        1 โครินธ์ 6:19-20 “19 ท่านไม่รู้หรือว่าร่างกายของท่าน เป็นวิหารของพระวิญญาณบริสุทธิ์ ผู้สถิตในท่าน ซึ่งท่านได้รับจากพระเจ้า 20 ท่านไม่ใช่เจ้าของตัวท่านเอง พระเจ้าทรงซื้อท่านไว้ ด้วยราคาสูง เหตุฉะนั้น จงถวายเกียรติแด่พระเจ้าด้วยร่างกายของท่านเถิด”

            “ท่านไม่รู้หรือว่า” ก็คือท่านควรจะรู้ว่าพระเจ้าชำระท่านด้วยพระโลหิตของพระเยซูคริสต์ ในชีวิตของพระเยซูคริสต์บนไม้กางเขนแล้ว ท่านบริสุทธิ์สะอาดทั้งร่างกาย ความคิดจิตใจ และวิญญาณ ร่างกายของท่านบริสุทธิ์ ถึงขนาดสามารถเป็นที่อาศัย วิหาร หรือว่าบ้าน วิหาร ก็คือบ้านของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่สุด ในทางโลกวิญญาณ เรียกว่าวิหาร ถ้าในทางวัตถุต่างๆ เราเรียกกันวิหาร ก็คือบ้าน บ้านทางวิญญาณนั่นเอง เป็นบ้านทางวิญญาณที่บริสุทธิ์ สะอาด ศักดิ์สิทธิ์ที่สุด ที่พระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ในมหาจักรวาล ผู้สูงสุด ที่มีเพียงพระองค์เดียวนั้น เข้ามาสถิตอยู่ได้แล้ว บริสุทธิ์ขนาดไหน? คิดดู ร่างกายของท่านเป็นวิหาร ก็คิดดู คือร่างกายของท่านเป็นอภิสุทธิสถาน ที่อยู่ที่แพรกษา ไม่ใช่อันนี้เป็นวัตถุ แต่ในโลกวิญญาณท่านเป็นอภิสุทธิสถานที่พระเจ้าสถิตอยู่แล้ว ร่างกายของผู้เชื่อ ผู้ที่เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด  อัศจรรย์เกิดขึ้นทันที  คือร่างกายเขา กลายเป็นอภิสุทธิสถานที่พระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่สูงสุดเข้ามาสถิตอยู่ด้วยแล้ว สะอาดบริสุทธิ์เพียงใด ลองคิดดูสิ แล้วทำอย่างไรถึงเป็นอย่างนั้นได้

            ในนี้บอกว่าพระเจ้าได้จ่ายราคามหาศาลเลย  เพื่อจะสร้างบ้านหลังนี้ ให้บริสุทธิ์ ดีพร้อม  เพื่อจะสามารถเข้ามาอาศัยอยู่ สถิตอยู่ได้ คือให้บริสุทธิ์ ดีพร้อมทั้งวิญญาณ จิตใจ และร่างกาย ให้พร้อมกับการเป็นบ้านของพระองค์ด้วย เอเมนไหม? ทำเสร็จหรือยัง? เสร็จแล้ว จ่ายราคาหรือยัง? ในยอห์น 14:23 พระเยซูตรัสดังนี้ว่า …

        ยอห์น 14:23  “พระเยซูตรัสตอบว่า “ถ้าผู้ใดรักเรา เขาจะเชื่อฟังคำสอนของเรา (วางใจในพระองค์ว่าเป็นพระเมสิยาห์ พระคริสต์พระผู้ช่วยให้รอด) พระบิดาของเราจะทรงรักเขา พระบิดากับเราจะมาหาเขาและอยู่กับเขา”

            “ถ้าผู้ใดรักเรา เขาจะเชื่อฟังคำสอนของเรา”

            คำสอนของพระเยซูมีอันเดียว คือจงวางใจในเรา ผู้ที่พระเจ้าพระบิดาได้ส่งมา คือเราเป็นพระเมสิยาห์ มาช่วยเจ้าให้รอดจริงๆ ไม่ได้มาสอนเรื่องความประพฤติ  ไม่ได้มาสอนบอกให้ท่านทำดีนะ ทำอันโน้นอันนี้นะ ทำอย่างเดียวเอง คือจงวางใจในเรา  เพราะถ้าท่านพึ่งพาการกระทำของตนเอง จะทำดี เพื่อจะไปสวรรค์ มันเป็นไปไม่ได้ จงเชื่อฟังคำสอนของเรา  คือวางใจในพระองค์ คือพระเยซูคริสต์ พระเมสิยาห์ พระคริสต์  พระผู้ช่วยให้รอด ที่พระบิดาเจ้าทรงส่งมาช่วยท่านทั้งหลาย

            ถ้าท่านทำอย่างนี้ ก็คือท่านวางใจในเรา คือเชื่อและวางใจในพระเยซูคริสต์ว่าเป็นพระเมสิยาห์  ท่านก็เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด พอเปิดใจแล้วเกิดอะไรขึ้น? พระบิดาของเราจะทรงรักเขา พระบิดากับเราจะมาหาเขาและอยู่กับเขา

            ภาษาเดิมตรงนี้ แปลอย่างนี้ว่า “เรากับพระเจ้า พระบิดา จะมาสร้างบ้านอยู่ในเขา”

            นี่คือภาษาเดิม “เรากับพระบิดาจะมาทำบ้านของเรา ในเขา อยู่กับเขา” ก็คือมาสถิตอยู่กับเขา แล้วทำได้อย่างไร? โดยเรายอมตาย พระเจ้าจ่ายราคา คือชีวิตของพระเยซูคริสต์ เพื่อนำเราเข้ามาอาศัยอยู่ในพระคริสต์ ตามขบวนการ การบังเกิดใหม่นั้น ที่เราได้เรียนรู้แล้ว เมื่อเราเข้ามาอาศัยอยู่ในพระคริสต์แล้ว และเมื่อเราได้อยู่ในพระคริสต์แล้ว  เราก็บริสุทธิ์สะอาด ศักดิ์สิทธิ์แล้วทั้งหมด ทั้งความคิด จิตใจ และวิญญาณ แล้วพระคริสต์ก็สามารถเข้ามาอยู่อาศัยในเราได้นั่นเอง  แผนการของพระองค์ชั้นเยี่ยมเลย ทำให้เรานั้น สามารถที่จะพูดได้ เรานั้นอยู่ในพระเยซูคริสต์ เป็นชีวิตนิรันดร์ที่เกิดจากพระเจ้า เป็นวิญญาณนิรันดร์ แล้วพระคริสต์ก็สามารถเข้ามาสถิตอยู่ในฉัน เราจึงสามารถพูดว่า …

            “ฉันอยู่ในพระคริสต์ เป็นชีวิตนิรันดร์ และพระคริสต์อยู่ในฉัน เป็นความหวังแห่งพระเกียรติสิริ เราเป็นหนึ่งเดียวกัน”

            “ฉันเป็นชีวิตนิรันดร์” คือฉันเป็นเชื้อสาย หน่อเชื้อ ที่เกิดจาก DNA ในวิญญาณของพระเจ้า พอสะอาดบริสุทธิ์ เป็น DNA จากวิญญาณของพระเจ้าปุ๊บ ก็เป็นวิหารของพระเจ้า เป็นอภิสุทธิสถานของพระเจ้า พระเยซูคริสต์ก็เข้ามาสถิตอยู่ในฉันได้ ในพระคัมภีร์บอกว่าเข้ามาสถิตอยู่ในฉัน เป็นความหวังแห่งพระเกียรติสิริ คือเข้ามายืนยันให้ฉันได้รับรู้ในใจว่าฉันได้เป็นลูกของพระเจ้า สะอาดหมดจด บริสุทธิ์แล้ว แล้วอนาคตฉันจะไปอยู่ที่ไหน? ฉันอยู่ในสวรรค์แล้วนั่นเอง เพื่อยืนยัน คือความหวังแห่งพระสิริ คือความหวังที่จะได้อยู่ในสวรรค์ มันเกิดขึ้นทันที เพราะว่าพระองค์เข้ามาสถิตอยู่ในเรา มายืนยันในใจของเรา เพราะถ้าพระองค์ไม่เข้ามา เราก็ถูกหลอกไปเรื่อย ทั้งๆ ที่เกิดใหม่แล้ว เห็นไหม? พูดง่ายๆ ก็คือนึกถึงในโลกวิญญาณ  มิติวิญญาณ เราได้ย้ายเข้ามาอยู่ในพระคริสต์ อยู่ในสวรรค์ ถูกไหมในโลกวิญญาณ ที่เรามองไม่เห็น เราได้ย้ายเข้ามาอยู่ในพระคริสต์ ในสวรรค์แล้ว ส่วนในโลกวัตถุ พระคริสต์ผู้เป็นพระเจ้า เข้ามาอาศัยอยู่ในเรา พอมองออกไหม?

            ในวิญญาณเกิดขึ้นจริงๆ คือวิญญาณ จิตใจและร่างกายเรา ทั้งหมดเลย เข้าไปอยู่ในมิติของโลกวิญญาณ อยู่ในพระคริสต์ อยู่ในสวรรค์แล้วทันที ส่วนในโลกวัตถุที่เรามองเห็น ก็คือร่างกายเดิมที่เรายังมองเห็นอยู่ พระคริสต์ย้ายเข้ามาสถิตอยู่ภายในร่างกายของเรา มันมหาอัศจรรย์มาก เกิดขึ้นเมื่อไร?  เมื่อเราตัดสินใจเลือกที่จะเปิดใจ วางใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอด ก็คือเราต้องการที่จะย้ายเข้ามาอยู่ในอาณาจักรสวรรค์ของพระคริสต์ ในโลกวิญญาณ ก็จะเกิดการเปลี่ยนแปลงทันที คือเราได้ถูกย้ายเข้ามาอาศัยอยู่ที่แห่งใหม่ในโลกวิญญาณ เราได้มีที่พำนัก บ้านของเรา แห่งใหม่ในโลกวิญญาณ คือย้ายมาอยู่ในพระคริสต์ ก็คืออยู่ในสวรรค์แล้ว

            และพระเยซูคริสต์ก็ได้ย้ายมาอาศัยอยู่ในร่างกายของเรานี้ด้วยเช่นเดียวกัน  ทันทีเหมือนกัน เพื่อเป็นพยานยืนยัน ให้กับเราว่าเราเป็นลูกของพระองค์จริงๆ มันเกิดขึ้นจริงๆ ทั้งหมด ในโลกวิญญาณนี้  พระองค์เข้ามาสถิตในเรา เพื่อยืนยัน และปกป้อง ดูแล นำพาวิญญาณของเรา นี่คือถ้อยคำพระเจ้าที่บอกไว้

            พระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเยซูคริสต์ พระวิญญาณของพระเจ้าที่สถิตอยู่ในเรา จะเป็นผู้ยืนยันว่าเราได้อาศัยอยู่ที่นี่แล้ว ที่ในพระคริสต์ ที่ในสวรรค์แล้ว เพราะฉะนั้น เราไม่ต้องพยายามกระเสือกกระสนทำอะไรต่างๆ อีกแล้ว เพื่อจะได้อาศัยอยู่ในสวรรค์ อยู่ในพระคริสต์นี้มากขึ้น เพราะมันเกิดขึ้นแล้ว มันเป็นแล้ว พระวิญญาณจะยืนยันกับเราข้างใน ถึงความจริงเหล่านี้ และเปิดเผยเป็นถ้อยคำของพระองค์ อยู่ในพระคัมภีร์เยอะแยะไปหมด ในพระคัมภีร์ใหม่ เพื่อไม่ให้เราถูกหลอกว่ามันยังไม่เกิดขึ้น  เพื่อให้เราไม่รู้ความจริง พระวิญญาณบอกว่าท่านไม่รู้หรือ? ท่านควรจะรู้ นั่นคือคำพูดของพระวิญญาณ ท่านไม่รู้หรือ? นี่คือความจริง

            เพราะฉะนั้น เราแค่ตอบว่าฉันควรจะรู้ ฉันคิดว่าที่แล้วมา ฉันเป็นคนบาปอยู่

            ท่านไม่รู้หรือว่า? เอ้อ! ฉันควรจะรู้ เพราะฉะนั้น ก็หมายความว่าพระวิญญาณกำลังบอกว่าให้เราแค่รับรู้ความจริงเหล่านี้ แล้วประพฤติตัวให้เหมาะกับ … ให้สมกับ … ให้สอดคล้องกับ … สถานที่ที่เราอยู่อาศัย  คือในสวรรค์นั้น  ในฝ่ายวิญญาณนั้น คือเราอยู่ในพระคริสต์ อยู่ในสวรรค์แล้ว ในขณะนี้ ให้เราประพฤติตน ให้สมกับเป็นพลเมืองสวรรค์ เป็นพลเมืองของพระเจ้า  เป็นประชากรของพระองค์ ที่บริสุทธิ์ สะอาด ดีพร้อม เรียบร้อยแล้วนั้น ที่พระเจ้า พระบิดาผู้ทรงสถิตอยู่ในสวรรค์ อยู่ในเราด้วย รักดังแก้วตาดวงใจ ตลอดไป ไม่มีวันเปลี่ยนแปลง พอใจในเราแล้ว ดูเราสะอาดหมดจดแล้ว ท่านไม่รู้หรือ! นี่เป็นความจริง ก็แสดงว่าท่านควรจะรับรู้ พระวิญญาณกำลังพูดกับเรา รับรู้ว่าอย่างไร? ว่าอดีตในโลกวิญญาณ เราเคยอาศัยอยู่ในอาดัม ในอาณาจักรของความมืด ในความพินาศ ไม่รู้จักพระเจ้า แต่ตอนนี้ท่านควรจะรับรู้ได้ว่าท่าน หรือเราได้ย้ายมาอยู่ในพระคริสต์ ในอาณาจักรสวรรค์แล้ว

            และพระคริสต์พระเจ้า ทั้ง 3 พระภาค ก็ได้มาอาศัยอยู่ในเราแล้วเช่นเดียวกัน  ไม่มีทางเปลี่ยนแปลงเป็นอื่น  ไม่มีการอยู่ตรงกลาง  อยู่ทั้งสองแห่ง ไม่มี อยู่ที่ไหน ก็ที่นั่นแหละ  หรือไม่มีการไปๆ มาๆ ชั่วโมงนี้อยู่ในพระคริสต์ ฮาเลลูยา สวรรค์เปิด ขอบคุณพระเจ้า นมัสการ น้ำหู น้ำตาไหล

            เดินออกไปข้างนอก ถูกรถเฉี่ยว โอ๊ย! เหมือนนรกเลย ด่าว่าเขาอะไรต่างๆ … “ลูกเป็นคนบาปๆ”

            ตะกี้นมัสการพระเจ้า บอกว่า … “ลูกบริสุทธิ์ๆ” ไปๆ มาๆ อยู่นั่นแหละ

            ท่านไม่รู้หรือว่าท่านบริสุทธิ์สะอาด  พระเจ้าอยู่ในท่านตลอดเวลาจริงๆ ท่านควรจะรับรู้ว่าท่านได้ย้ายเข้ามาอยู่ในสวรรค์ อยู่กับพระเจ้า และพระเจ้าก็อยู่กับท่านเรียบร้อยแล้ว ไม่มีการย้ายไปย้ายมา พระเจ้าประกาศให้เราเช่นนั้น เราได้ถูกย้ายออกมาจากอาณาจักรแห่งความมืด อาณาจักรแห่งความพินาศ อาณาจักรแห่งการเป็นคนบาปเรียบร้อยแล้ว ย้ายแล้วย้ายเลย ย้ายด้วยการเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดแล้ว อัศจรรย์เหล่านี้จะเกิดขึ้นกับท่านทันที โรม 8:38-39  ได้พูดอย่างชัดเจนว่าไม่มีใครที่จะเอาท่านออกไปจากตรงนี้ได้อีกแล้ว ตรงท่านอยู่ในสวรรค์แล้วกับพระเจ้า  พระเจ้าก็อยู่กับท่าน โอบกอดท่านอยู่ตลอดเวลา …

        โรม 8:38-39 “เพราะข้าพเจ้าเชื่อมั่นว่าไม่ว่าความตายหรือชีวิต ไม่ว่าทูตสวรรค์หรือวิญญาณชั่ว ไม่ว่าปัจจุบันหรืออนาคต หรือฤทธิ์อำนาจใดๆ  ไม่ว่าเบื้องสูงหรือเบื้องลึก หรือสิ่งอื่นใด ในสรรพสิ่งที่พระเจ้าทรงสร้าง  ล้วนไม่สามารถพรากเราไปจากความรักของพระเจ้า ซึ่งมีอยู่ในพระเยซูคริสต์ องค์พระผู้เป็นเจ้าของเราได้”

            ล้วนไม่สามารถพรากเราไปจากความรักของพระเจ้า ซึ่งมีอยู่ในพระเยซูคริสต์ ในสวรรค์ ในพระคริสต์ที่ท่านได้ย้ายมาอยู่แล้วนั่นแหละ ใครพูด? พระเจ้าบอกอย่างนั้นแหละ ยืนยันอีก ท่านควรจะรับรู้ว่าท่านได้ย้ายเข้ามาร่วมเป็นหนึ่งเดียวกัน เป็นครอบครัวของพระเจ้าแล้ว พระเจ้ารักท่านมาก พระเจ้าไม่ยอมให้ใครมาเอาเราออกไปจากครอบครัวของพระองค์ จากพระหัตถ์อันทรงฤทธิ์ของพระองค์แน่นอน เอเมนไหม? ท่านเชื่อไหมว่าพระเจ้าทำได้ ผู้พูดผู้นี้ คือพระเจ้าผู้ทรงสร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก  พระเจ้าองค์เดียว ที่เป็นพระเจ้าที่แท้จริง นอกจากพระองค์ ไม่มีพระเจ้าอื่นใดอีกแล้ว พระองค์ประกอบกิจการงานใด ไม่มีใครขวางได้ พระองค์ประกาศเสมอ ตลอดเวลา ทั้งเล่มของพระคัมภีร์เดิมและพระคัมภีร์ใหม่ หนาขนาดนี้ว่าพระองค์เป็นพระเจ้าผู้เดียว  นอกจากพระองค์ ไม่มีพระเจ้าอื่นใดแล้ว พระองค์ทรงฤทธิ์อำนาจสูงสุด  แล้วพระองค์ทรงสถิตอยู่ในเรา  ท่านควรจะรับรู้ ไม่อย่างนั้น แสดงว่าตอนนั้นยังไม่รู้ ลืมไป 1 ยอห์น 4:4 บันทึกอย่างนี้ว่า …

        1 ยอห์น 4:4 “ลูกทั้งหลาย​เอ๋ย พวกท่าน​เป็น​ของ​พระเจ้า และได้​มี​ชัยชนะ​เหนือ​พวกเหล่านั้น ที่เป็น​ศัตรู​ต่อต้านพระคริสต์  เพราะ​พระเจ้า​ที่​อยู่​ใน​พวก​ท่านนั้น​ยิ่งใหญ่​กว่า​มาร ​ที่​อยู่​ใน​โลกนี้”

            “พระเจ้าที่อยู่ในฉันนั้น ยิ่งใหญ่กว่ามารที่อยู่ในโลก”

            เพราะฉะนั้น ไม่ต้องไปกลัวผีสางนางไม้ วิญญาณที่ไหน? ใดๆ อีกแล้ว เอเมนไหม? มันหลอกเรา ให้เรากลัว  แต่พระเจ้าบอกว่าท่านไม่รู้หรือว่าใครอยู่ในตัวท่าน แล้วพระเจ้าผู้นี้หวงแหนลูกๆ ของพระองค์มาก  พระองค์ไม่มีทางยอม แบ่งปันบ้านหลังนี้ คือร่างกายนี้ให้กับใคร? ที่ไหนอีกแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ผีมารซาตานนางไม้ที่ไหน? แม้ว่าเทวดาที่ไหนก็ตาม ไม่แบ่งปัน เพราะรักเราดังแก้วตาดวงใจ  นี่คือบ้านของพระเจ้า ผู้ยิ่งใหญ่สูงสุด เป็นอภิสุทธิสถานของพระเจ้า เดินไปไหน ผีมันวิ่งหนีหมด นอกจากว่าท่านจะไม่รู้ความจริง  ถูกหลอก  และพระเจ้าก็ถามท่านว่าท่านไม่รู้หรือว่าความจริงคืออะไร?

            เพราะฉะนั้น สิ่งที่เราควรจะทำ ก็คือรับรู้ความจริง ความจริงจะทำให้เราเป็นอิสระจากการหลอกลวง ยอห์น 17:23 พระเยซูอธิษฐานกับพระบิดาว่า …

        ยอห์น 17:23  “ให้ข้าพระองค์อยู่ในพวกเขา และพระองค์อยู่ในข้าพระองค์ เพื่อพวกเขาจะได้ถูกทำให้ (บริสุทธิ์ดีพร้อม) สมบูรณ์ เป็นหนึ่งเดียวกันกับเรา และเพื่อโลกจะได้รู้ว่าพระองค์ทรงส่งข้าพระองค์มา และทรงรักพวกเขาเหมือนที่พระองค์ทรงรักข้าพระองค์”

            เพื่อพวกเขาจะได้ถูกทำให้บริสุทธิ์ ดีพร้อม สมบูรณ์ เพื่อพวกเขา ก็คือพวกเขาที่เชื่อ และวางใจในพระเยซูคริสต์ ในเรานั้น จะได้ถูกทำให้บริสุทธิ์ ดีพร้อมและสมบูรณ์ เพื่อทั้ง 3 พระภาคจะได้เข้ามาอยู่อาศัยด้วยได้ เพราะว่าข้าพระองค์ คือพระเยซูอยู่ในพระองค์ อยู่ในพระบิดา และพระบิดาอยู่ในข้าพระองค์ เราเป็นหนึ่งเดียวกัน  และพระวิญญาณบริสุทธิ์  ผู้ที่พระบิดาทรงประทานให้  มาสถิตอยู่กับเรา เป็นพี่เลี้ยงเราในวิญญาณ พระเจ้าพระบิดา พระเจ้าพระบุตร พระเจ้าพระวิญญาณบริสุทธิ์ ทั้ง 3 พระภาคเข้ามาอยู่อาศัย ทำบ้าน อยู่ในร่างกายของผู้เชื่อทั้งหมด ผู้ที่เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด เข้าสู่ขบวนการการบังเกิดใหม่ ได้ถูกทำให้บริสุทธิ์ ดีพร้อม สมบูรณ์แล้วนั้น  เพื่อเป็นบ้านของพระเจ้าได้ สิ่งนี้เกิดขึ้นทันที อัศจรรย์ไหม? อัศจรรย์ ไม่รู้จะบอกว่าอัศจรรย์เท่าไรเลยนะ

            ทั้ง 3 พระภาคเข้ามาสถิตอยู่ด้วยทันที เมื่อใครก็ตามเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ แค่นั้น ไม่ได้ทำอะไร? ถึงเป็นเรื่องอัศจรรย์อย่างมาก  พระเจ้าเข้ามาสถิตอยู่ด้วย ภายในร่างกาย  ที่เราคิดว่ามันสกปรก  ที่เราคิดว่าเราไม่ดีงาม ไม่สมบูรณ์เลย แต่พระเจ้าบอกสมบูรณ์แล้ว  เราพอใจแล้ว พอใจด้วยอะไร? ด้วยพระโลหิต  และชีวิตของพระเยซูคริสต์บนไม้กางเขน  จงมองตรงนั้น  จงมองให้เห็นเถิด  มันเป็นตรงนั้นจริงๆ

            ทั้ง 3 พระภาคทำอะไร? คอยยืนยันกับเราว่าเรื่องทั้งหมดนี้ เป็นเรื่องจริง  และคอยทำอะไรอีก คอยนำพาให้กำลังเรา ที่จะอดทนต่อความทุกข์ยากลำบาก ในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ให้สติปัญญากับเราในการตัดสินใจ ในการเผชิญกับทุกๆ ปัญหา ให้ความรัก ปลอบโยนจิตใจกับเราตลอดเวลา เป็นสันติสุข เป็นความหวัง เป็นความสงบของเราตลอดเวลา คอยนำพาชีวิตเราในทุกเสี้ยววินาที ไปจนถึงนิรันดร์

            นี่คือสิ่งที่พระคัมภีร์บันทึกเอาไว้เยอะแยะว่าอย่างนั้น ดูแลเรา อยู่กับเรา ในร่างกายนี้ จนถึงเมื่อไร? จนวันที่เราจะออกจากร่างนี้ วันที่จากโลกนี้ เข้าสู่มิติวิญญาณ ถ้าพูดตามภาษามนุษย์  ตามตามองเห็น เรียกว่าตาย ในทางพระคัมภีร์  เราจะไม่ใช้คำนั้นกับคนที่เป็นคริสเตียน เราเรียกว่าล่วงหลับไป จนถึงวันนั้น วันที่เราจากร่างนี้ไป  พระองค์คอยอยู่ดูแลเราตลอดเวลา พระเจ้าผู้สถิตอยู่กับเราทั้ง 3 พระภาคในเรานี้ จะเป็นผู้ที่ชุบเราให้เป็นขึ้นจากความตาย เพื่อสวมร่างกายใหม่ เรียกว่าร่างกายสวรรค์ ในชั่วพริบตาเดียว  ในวันหรือวินาทีที่เราทิ้ง จากร่างกายเดิมนี้  เราจะได้เข้าไปสวมร่างกายใหม่ ซึ่งเป็นวิหารของพระเจ้า ที่แท้จริงเลย ใหม่เอี่ยมเหมือนพระเยซูคริสต์เลย คราวนี้เหมือน 100% ด้วยร่างกายใหม่ ไม่ใช่ถูกชำระเฉยๆ  และเป็นร่างกายเดิม  แต่ถูกชำระด้วย และเป็นร่างกายใหม่ที่เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์ ที่เรียกว่าร่างกายฝ่ายวิญญาณ ร่างกายสวรรค์ โรม 8:11 บันทึกไว้อย่างชัดเจนเลย …

        โรม 8:11 “ถ้าพระวิญญาณของพระองค์ ผู้ทรงให้พระเยซูเป็นขึ้นมาจากตาย สถิตอยู่ในท่านทั้งหลาย พระองค์ผู้ทรงให้พระเยซูคริสต์ เป็นขึ้นมาจากตายแล้วนั้น จะทรงทำให้กาย ซึ่งต้องตายของพวกท่านเป็นขึ้นมาใหม่ โดยพระวิญญาณของพระองค์ ซึ่งสถิตอยู่ในท่าน”

            เป็นขึ้นมาใหม่ด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์  ที่สถิตอยู่ด้วยภายใน  ถูกไหม? โดยพระวิญญาณของพระองค์ ซึ่งสถิตอยู่ในท่าน  พูดเมื่อไร? พูดเมื่อตอนที่เราอยู่บนโลกนี้  พระวิญญาณบริสุทธิ์ที่อยู่ในท่านแล้วตอนนี้  พระเจ้าที่อยู่ในท่านแล้วตอนนี้  จะเป็นผู้ชุบให้ท่านเป็นขึ้นจากความตาย ก็คือไม่มีการตายแล้ว ชุบให้ท่านเป็นขึ้นจากความตาย เมื่อท่านล่วงหลับไปปั๊บ เปลี่ยนร่างกายใหม่เท่านั้นเอง พระคัมภีร์บอกว่าแค่พริบตาเดียว  วันที่ลมหายใจออกจากร่าง ท่านหลับตาปั๊บ  พริบตาเดียว ตื่นขึ้นมา ก็ได้ร่างกายใหม่ ทุกอย่างก็ยังเหมือนเดิม เอเมนไหม?  ท่านก็จะได้อยู่ในสวรรค์ทั้งวิญญาณ ใจใหม่ที่เหมือนพระเยซู และร่างกายใหม่ที่เป็นเหมือนพระเยซูด้วย  คราวนี้ครบถ้วนบริบูรณ์เลย และได้ร่วมครอบครองกับพระเยซูในสวรรคสถาน  ทุกสิ่งที่เป็นของพระเยซูทั้งหมดที่พระเจ้าพระบิดาประทานให้ เรามีส่วนด้วยเช่นเดียวกัน เรียกว่ามรดก รวมไปถึงโลกใหม่ที่พระเจ้าจะสร้างขึ้นใหม่ในอนาคต โลกใหม่ สรรพสิ่งในโลกใหม่ๆ ทุกอย่างใหม่หมด ต้นไม้ใบหญ้า ภูเขา ลำธารใหม่เอี่ยมหมด สัตว์ก็ใหม่เอี่ยมหมด นกที่ท่านเลี้ยงไว้ นกที่ท่านชอบ สุนัขที่ท่านเลี้ยงไว้  แมวที่ท่านเลี้ยงไว้  ถูกสร้างใหม่เอี่ยมหมด ในพระคัมภีร์บอกเช่นนั้น และเราได้ร่วมครอบครองสิ่งเหล่านี้กับพระเยซู ในสวรรค์ ไม่ใช่พันปี  ไม่ใช่ร้อยปี  ไม่ใช่หมื่นปี  เพราะในมิติวิญญาณ  ไม่มีการนับจำนวนปี เป็นนิรันดร์  ก็คือครอบครองร่วมกับพระเยซูคริสต์นิรันดร์

            เมื่อครอบครองร่วมกับพระเยซูคริสต์ ในพระคัมภีร์บอกพระเยซูคริสต์ เป็นทั้งอัลฟาและโอเมกา เป็นอยู่วานนี้ วันนี้และสืบๆ ไปเป็นนิตย์ เราร่วมครอบครองกับพระเยซูคริสต์สืบๆ ไปเป็นนิตย์ เอเมน และขณะที่อยู่บนโลกใบนี้  ท่านควรรับรู้ว่าร่างกายของท่านเป็นวิหารของพระเจ้า เป็นอภิสุทธิสถานของพระเจ้า วิญญาณของท่านเป็นเหมือนพระเยซู ใจของท่านเป็นเหมือนพระเยซู ทั้งสิ้นเป็นใหม่ทั้งหมด เมื่อท่านอยู่ในพระคริสต์  ท่านเป็นชีวิตที่ถูกสร้างขึ้นใหม่แล้ว

            จงมองให้เห็นเถิด ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นใหม่ทั้งสิ้น ใหม่หมดเลย ทั้งร่างกาย ความคิดจิตใจ และวิญญาณ ใหม่เอี่ยมเลย เพียงแต่ร่างกายเป็นร่างกายเดิม  ที่ถูกชำระ ท่านเลยถูกหลอกได้ง่าย บางคนฟังไปแล้ว ก็อาจจะถามพระเจ้าว่าในเมื่อตัวเก่าที่เป็นบาป ต้องคำสาป เป็นทาสบาป ได้ตายไปแล้ว ถูกไหม? ทั้งวิญญาณ จิตใจ และร่างกายบริสุทธิ์ ดีพร้อมแล้ว ใช่ไหมพระเจ้า  แล้วพระองค์ทั้ง 3 พระภาค ก็เข้ามาสถิตอยู่ด้วย  ยิ่งบริสุทธิ์สะอาดใหญ่เลย  แล้วทำไมลูกหรือคริสเตียนที่เป็นอย่างนี้แล้ว ที่บังเกิดใหม่แล้ว ยังประพฤติบาปอยู่เลย  ต้องมีคนถามแน่นอน

            อันดับแรก อธิบายให้นิดหนึ่ง คำว่าบาป คือการกระทำอะไรก็ตาม ที่ไม่ตรงกับความจริงของพระเจ้า เรียกว่าบาป คือไม่ตรงกับสิ่งที่พระเจ้าต้องการ  ไม่ตรงกับกฎระเบียบ ที่พระเจ้าวางไว้  เขาเรียกว่าบาปทั้งสิ้น บาปไม่ได้ หมายถึงการทำชั่วอย่างเดียว บาปตามสายตามนุษย์ว่าทำดี แต่ไม่ได้อยู่ในน้ำพระทัย ไม่ได้อยู่ในที่ของพระเจ้า  ก็เรียกว่าบาปเหมือนกัน บาป คือการพึ่งพาตนเอง  ในความคิด ความรอบรู้ของตนเอง

            เพราะฉะนั้น ยกตัวอย่างการไม่เชื่อว่ามีพระเจ้า ก็เป็นบาปแล้วเพราะถ้อยคำพระเจ้า ความจริงของพระเจ้า คือพระเจ้ามีอยู่จริงๆ แล้วพระองค์บอกพระองค์ทรงพระชนม์อยู่  แล้วเราก็ใช้ความคิด ไม่มีพระเจ้า บนโลกนี้ นั่นก็คือบาปแล้ว แค่คิด แค่นั้น ก็บาปแล้ว บาป คือการผิดเป้าหมาย จากพระเจ้า พระเจ้าสร้างมนุษย์มา เพื่อมนุษย์จะได้ พึ่งพาในพระเจ้าเท่านั้น  แต่มนุษย์บอกว่าฉันจะพึ่งพาความคิด ความรอบรู้ของตนเอง นี่แหละ เรียกว่าบาป ต้นเหตุของบาป อยู่ตรงนี้

            เรามาดูกันว่าพระเจ้าจะตอบเราว่าอย่างไร? ทำไมคนที่บังเกิดใหม่แล้ว สะอาด บริสุทธิ์แล้ว ยังทำบาปอยู่ ก็เพราะเรายังอาศัยอยู่ในร่างกายเดิม ที่มันต้องตายอยู่ อาศัยอยู่บนโลกใบนี้ด้วย คิดให้ดีๆ นะ ซึ่งโลกใบนี้ปกคลุมไปด้วยพลังอำนาจของความบาปและความตาย  เรียกว่ากฎของความบาปและความตาย  กฎเหล่านี้มันยังอยู่ ปกคลุมอยู่เหนือโลกใบนี้

            กฎของความบาปและความตาย  พลังอำนาจของความบาปและความตาย  ก็คือกฎ กฎเหล่านี้ใครเป็นคนเอาเข้ามา คืออาดัมบรรพบุรุษของเรา ตัดสินใจที่จะอยู่ด้วยตัวเอง นี่แหละ คือกฎของความบาปและความตาย  คือกฎของการกระทำ พึ่งพาในตนเอง  ซึ่งกฎของความบาปและความตาย  พลังอำนาจของความบาปและความตาย บนโลกใบนี้ มีอิทธิพลต่อความคิด ต่อสมอง ต่อร่างกายเดิมของเรา ร่างกายของเรา มนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้  ซึ่งพระคัมภีร์ใช้เรียกพลังอำนาจนี้ อิทธิพลนี้ว่ากิเลสตัณหา โลกียตัณหาของโลก หรือโลกียตัณหาของเนื้อหนังของโลกนี้ มันยังอยู่  มันมีอิทธิพล ส่งอิทธิพลเข้ามาที่ความคิดในสมองของมนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้ รวมทั้งผู้ที่บังเกิดใหม่แล้วด้วย มันก็ยังอยู่ในอิทธิพลนั้นอยู่ หรือว่าผู้ที่บังเกิดใหม่แล้ว เดินไป ตายังมองเห็นอยู่ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ความคิด ยังคิดได้อยู่  ยังดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้อยู่

            ซึ่งเจ้าตัวกิเลสตัณหา โลกียตัณหาของเนื้อหนังบนโลกนี้ มันจะคอยเป็นศัตรูกับพระเจ้า มันจะคอยผลักดันให้มนุษย์พึ่งพาตนเอง  อยู่ในกฎนี้แหละ มันจะคอยหลอกลวงและกระตุ้นให้เราทำตามมัน  “มัน” ในที่นี้ ก็คือพลังอำนาจของความบาปและความตาย ความเคยชินของเรา  ที่จะทำตามความคิดของตนเอง ก็คือความบาป  เหมือนที่เคยทำตอนที่เป็นทาสของมันอยู่ ก็คือตอนที่ยังอยู่ในโลกวิญญาณเดิม ก็คืออยู่ในอาดัม อยู่ในสถานที่ที่มนุษย์ไม่มีพระเจ้าอยู่ ตายอยู่ในบาป  มันก็ทำเหมือนเดิม มาคอยหลอกลวง กระตุ้นให้เราทำในสิ่งที่เคยทำมาก่อน  เคยพึ่งมาก่อน  ก่อนที่เราจะมาเป็นคริสเตียน มาบังเกิดใหม่  นึกภาพออกนะ

            ดังนั้น ด้วยความเคยชิน ที่เป็นข้อมูลที่บันทึกไว้ อยู่ในสมอง อยู่ในความคิดเก่าๆ ของเรา ร่างกายของเรา ยังเป็นร่างกายเดิมอยู่ ก่อนเชื่อพระเจ้า เป็นความดันอยู่ เป็นคนขี้หงุดหงิดอยู่ มาเชื่อพระเจ้า บังเกิดใหม่แล้ว อันนี้มันก็ยังอยู่นะ แต่ร่างกายได้ถูกชำระเรียบร้อยแล้ว  โดยพระโลหิตพระเยซูคริสต์ เพราะฉะนั้น เรายังอาจที่จะเผลอ ถูกหลอกล่อ ให้ทำตามมันได้  เพราะเราไม่รู้ความจริง เพราะเราถูกหลอกแล้ว หลอกเล่า ซึ่งผลออกมา ก็คือเราก็เป็นทุกข์ เสียใจ ไม่สบายใจ  เพราะมันขัดแย้งกับความต้องการจริงๆ ในวิญญาณของเราที่บริสุทธิ์ สะอาด ดีพร้อมแล้วนั้น ถูกไหม? วิญญาณเราเหมือนพระเยซู จิตใจเราเหมือนพระเยซู แต่ความคิดเก่า อิทธิพล การดำเนินบนโลกใบนี้ มันแย้งอยู่ พอเราพลาดเผลอไปทำตามความคิดเดิมปุ๊บ จิตใจที่เป็นเหมือนพระเยซู มีพระวิญญาณบริสุทธิ์อยู่ ก็กระตุ้นอย่างนี้ไม่ถูก เราก็ไม่สบายใจ

            สิ่งหนึ่งที่เราต้องเรียนรู้ เห็นชัดๆ เลย ก็คือความคิดไม่ใช่ตัวตนของเราที่แท้จริงๆ  เพราะเราสามารถคิดไปเรื่อยเปื่อย คิดไปตามตา หู จมูก ลิ้น กาย สมองคิดได้ตลอดเวลาว่าเป็นอย่างนี้ๆ มันสร้างความคิดขึ้นมาตลอดเวลา  เราเรียกว่าสร้างฝัน บางครั้ง เราคิด อาจไปตรงกันกับพระวิญญาณ เรื่องความจริงของพระเจ้าข้างใน

            ยกตัวอย่าง เช่น เราคิดว่ามีพระเจ้าจริงๆ เผอิญมันตรงพอดี สมัยเรายังไม่ได้บังเกิดใหม่ ยังไม่ได้เชื่อพระเจ้า ก็มีโอกาสคิดอย่างนี้เหมือนกันนะ ความคิดไม่ใช่ตัวตนของเรา ความคิด คือความคิด แล้วมันไม่ได้ติดตัวเราไปตลอด วันหนึ่งเรากลับไปอยู่ในสวรรค์ ความคิดก็ไม่ได้ตามตัวเรา ไป ความคิด คือความคิด

            ซึ่งความคิด อาจจะไม่ตรงกับความจริง และส่วนใหญ่ไม่ตรงความจริง เพราะมันเป็นความคิดเดิม และเป็นความคิดที่อยู่บนโลกใบนี้ ซึ่งมีพลังอำนาจ อิทธิพลของความบาป และความตายปกคลุม ส่งกระแสมาตลอดเลย กระแสเหล่านั้น คือกระแสต่อต้านพระเจ้า กระแสให้เราพึ่งพาความคิด ความรอบรู้ของตนเอง พระคัมภีร์จึงบอกว่าอย่านึกว่าตัวเองฉลาด  แต่จงวางใจในพระเจ้า ในทุกหนทาง แต่ความคิดมันจะแย้งตลอดเวลา เพราะว่ามันดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ มันเป็นอย่างนั้น เป็นศัตรูกับพระเจ้า

            เพราะฉะนั้น ความจริงของพระเจ้า คือวิญญาณ จิตใจที่เป็นตัวตนของเราจริงๆ  ไม่อยากจะทำตรงนั้นเลย  แต่ที่ทำไป เราถูกหลอกให้ทำตามความคิดของโลกใบนี้  อิทธิพลของโลกใบนี้ ซึ่งเป็นเหตุให้พระเจ้าทรงทราบแล้ว เตรียมรับมือไว้เรียบร้อยแล้ว  เหมือนที่ตะกี้เราเรียน ฤทธิ์อำนาจโลหิตพระเยซูคริสต์ได้ชำระเราให้สะอาดหมดจด ครั้งเดียวตลอดไป  อดีต ปัจจุบัน อนาคต คือแม้กระทั่งไม่เชื่อฟัง ในอนาคต ก็ถูกลบออกด้วยโลหิตพระเยซูคริสต์ตลอดไป เมื่อเราเผลอไปทำตามความคิดเดิม  ตามกิเลสตัณหา ทางฝ่ายเนื้อหนังเดิม เรียกว่าทำบาปปุ๊บ  พอทำปั๊บ อะไรเกิดขึ้น? สะอาดปุ๊บ ท่านไม่รู้หรือ? คือท่านรู้ไหมเมื่อตะกี้นี้เราเรียนมาตั้งแต่ต้นว่าเราบริสุทธิ์แล้วจริงๆ อย่างนั้น ถ้าท่านเชื่ออย่างนั้นจริงๆ ตามถ้อยคำพระเจ้าจริงๆ ท่านก็ต้องยอมรับว่าอันนี้ก็เป็นจริงด้วย แต่ท่านอาจจะรับไม่ได้ เพราะว่าความคิดของท่าน สมองของท่านมันมีข้อมูลเดิมอยู่ และตามันก็เห็นอยู่

            “อ้าว! คนนี้เขาทำบาปชัดๆ เลย ยังบอกว่าถูกลบ อย่างนี้ก็สบายสิ ต่อไปนี้ก็ทำบาปได้สบายสิ มารู้จักพระเจ้า ทำบาปได้สบาย”

            ใครบอกเล่า ทำบาปได้สบาย ก็ธรรมชาติมันเปลี่ยนไปแล้ว วิญญาณ จิตใจและร่างกายเป็นเหมือนพระเยซูคริสต์ พระเจ้าก็มาสถิตอยู่ด้วย  แล้วคุณจะไปทำบาปอย่างมีความสุขหรือ? มันเป็นไปไม่ได้ เห็นอะไรบางอย่างหรือยัง?  เพราะฉะนั้น ในขณะที่เราดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้  ความจริง ก็คือเราไม่ทำบาปแล้ว เราแพ้ด้วย  เราทำไม่ได้ด้วย เราทำไปแล้ว รู้สึกเสียใจมากกว่าเดิม มากกว่าสมัยก่อนอีก

            เหมือนเรากินอาหาร อะไรแพ้ เรายิ่งงด อันนี้เราแพ้นะ เพราะธรรมชาติเราไม่ได้เป็นตามนั้นแล้ว แล้วพระเจ้าผู้สถิตอยู่ด้วยกันกับเราก็จะทำอะไร? ปล่อยทิ้งไว้อย่างนี้หรือ? ไม่ใช่ พระคัมภีร์บอกว่าพระองค์ที่สถิตอยู่ในเรา ทั้ง 3 พระภาค ก็จะคอยฝึกสอน ให้เรารับรู้ความจริง รู้เท่าทันการหลอกลวง ล่อลวง และค่อยๆ พัฒนาชีวิตของเราให้สมบูรณ์แบบ สมกับที่เป็นลูกของพระเจ้ามากขึ้นเรื่อยๆ  ด้วยความรักและทำให้เรา มีความฉลาดมากขึ้น ระวังตัวมากขึ้น ในที่สุด ก็พึ่งพาความคิด ความรอบรู้ของตัวเองน้อยลง ก็คือทำบาปน้อยลง รู้เท่าทันความคิดว่าอันนี้ไม่ได้มาจากพระเจ้า  ไม่ได้มาจากตัวเรา

            เพราะฉะนั้น พระเยซูจึงบอกว่า … “ให้เรานมัสการพระเจ้าด้วยจิตวิญญาณ และความจริง”

            นมัสการพระเจ้าด้วยความจริง คือสยบ ถ่อมใจ เชื่อฟังความจริง ถ้อยคำพระเจ้าว่าเราบังเกิดใหม่ เป็นลูกของพระเจ้าที่บริสุทธิ์ ดีพร้อมแล้ว พระเจ้าสถิตอยู่กับเรา ตลอดเวลาแล้วจริงๆ เป็นอัศจรรย์ที่เกิดขึ้นทันที เดี๋ยวนี้และไม่มีวันเปลี่ยนแปลงเด็ดขาด พูดกับตัวเอง จงเชื่อในพระเจ้าเถิดว่ามันเป็นอย่างนั้น นี่แหละ คือการนมัสการพระเจ้าด้วยวิญญาณและความจริง คือนมัสการพระเจ้า นมัสการความจริง  นมัสการ คือยอมถ่อมตน เชื่อฟัง เหมือนดังเป็นทาส คือไม่รู้ ใครจะพูดอะไรต่างๆ ถ้อยคำพระเจ้าพูดไว้อย่างนี้ ฉันเชื่อตามนั้น เราก็จะไม่ถูกหลอก ให้เชื่อฟังคำของพระเจ้า  เชื่อฟังถ้อยคำของพระเจ้า ถ้าเราเชื่อฟังตัวเอง เราก็กลับมาพึ่งพาในตนเอง พึ่งพาในตนเองแล้วเกิดอะไรขึ้น? ตัวเราเองอาจจะถูกล่อลวง ให้หวั่นไหว แน่นอนเลย เราดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ร่างกายเราเป็นร่างกายเดิม เราถูกล่อลวงให้หวั่นไหว อ่อนแอแน่นอน แล้วก็ล้มลงไปในการทำตามความคิด ความรอบรู้ ความฉลาดของตนเอง ก็คือทำบาป แต่พระเจ้าผู้ทรงสถิตอยู่ในเรานั้น พระองค์บอกพระองค์ยังคงเหมือนเดิม วันนี้ วานนี้และสืบๆ ไปเป็นนิตย์  พระองค์ไม่เปลี่ยนแปลงในความรัก พระองค์ไม่เปลี่ยนแปลงในสิ่งต่างๆ ที่ดำเนินชีวิตผ่านทางชีวิตของเรา

            ท่านลองคิดดูว่าความคิดและความรู้สึกของเรา มันขึ้นๆ ลงๆ ในขณะนาทีนี้ ที่เราฟังถ้อยคำพระเจ้าอยู่  เดี๋ยวออกไปที่รถ  แดดร้อน ลูกร้อง คนมาเฉี่ยวอีก ท่านก็หงุดหงิดแล้ว ใช่หรือไม่? ถ้าท่านพึ่งพาความคิดของตนเอง มันขึ้นๆ ลงๆ ในความไว้วางใจในความเชื่อฟังพระเจ้า เพราะว่ามันเกิดความสงสัย วิตกกังวล กลัวในสถานการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นรอบตัว ที่มองเห็นอยู่ ที่ร่างกายรับรู้อยู่ รู้สึกได้อยู่ มันเห็นๆ อยู่ มันกระตุ้น  มันก็อาจจะทำตามที่ถูกกระตุ้นนั้น แต่พระคริสต์ ผู้ทรงสถิตอยู่ในเรานั้น เต็มไปด้วยฤทธิ์อำนาจมั่นคง พระองค์มั่นใจ 1000% ในการช่วยเหลือเรา นำพาเราผ่านทุกๆ สถานการณ์เหล่านั้นได้ อย่างแน่นอน พระองค์ยืนยันว่าพระองค์พาผ่านได้อย่างแน่นอน ไม่ต้องกลัว พลาดไปก็ไม่เป็นไร เดี๋ยวพระองค์ทรงกระทำได้ทุกอย่าง นำพาเราได้ เอเมนไหม? พระองค์ทรงเริ่มต้นการงานดีในเราแล้ว พระองค์จะทรงกระทำต่อไปจนกระทั่งสำเร็จ  ไม่ต้องพึ่งเราก็ได้ เอเมนไหม?

            เพราะฉะนั้น ไม่ว่าเราจะสงสัยหรือเราจะล้มลงในการสัตย์ซื่อ ไม่เชื่อฟัง ในการไว้วางใจในพระเจ้า หรือเชื่อฟังในพระเจ้า  ทำบาปสักกี่ครั้งก็ตาม พระองค์ยังคงสัตย์ซื่อ ไม่เปลี่ยนแปลงเลย แม้แต่นิดเดียว ยังคงยืนยันอยู่ในวิญญาณของเรา ในร่างกายของเรา อย่างนั้นตลอดเวลาด้วยว่า …

            “พระองค์ไม่เปลี่ยนแปลง ลูกเอ๋ย พระองค์ไม่เปลี่ยนแปลง โลหิตของเรายังคงฤทธิ์เดชอำนาจ อภัยให้เจ้าอยู่เสมอ”

            และเหล่านี้คืออัศจรรย์ยิ่งใหญ่ คือข่าวประเสริฐของพระเจ้า ข่าวประเสริฐแห่งพระคุณ เป็นความรักของพระเจ้าในพระเยซูคริสต์  ที่มีมาถึงมนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้ โรม 8:31 เราลองอ่านนิดหนึ่ง …

        โรม 8:31 “เรา​จะ​ว่า​อย่างไร​ดี ​เกี่ยวกับ​เรื่องนี้ ถ้า​พระเจ้า​อยู่​ฝ่าย​เรา ใคร​จะ​ต่อต้าน​เรา​ได้”

            จำคำนี้ไว้เลยนะ พระเจ้าบอกเราว่า … “เราจะว่าอย่างไรดี เกี่ยวกับเรื่องนี้ เราที่ตะกี้นี้ที่บอกว่ายังเป็นคริสเตียน แล้วยังคงทำบาปอยู่เลย อะไรอย่างนี้  ถ้าพระเจ้าอยู่ฝ่ายเรา ใครจะต่อต้านเราได้”

            หมายถึงว่าถ้าพระเจ้าอยู่ข้างเรา อยู่ฝ่ายเรา แบบตะกี้นี้ที่บอกมา รักเราขนาดนี้ และทำให้เราเป็นอย่างที่ความจริงที่เราได้เรียนรู้มาทั้งหมดแล้ว ตัวเก่าตายไปแล้ว ตัวใหม่ก็เกิดขึ้นใหม่ เป็นลูกพระเจ้า สะอาดหมดจด พระองค์เข้ามาสถิตอยู่ทั้ง 3 พระภาคแล้ว บริสุทธิ์สะอาดแล้ว  ใครจะมาต่อต้านเราได้  พระเจ้าอยู่ฝ่ายเรา อย่าให้ใครมาหลอกลวงเรา ก็คืออย่าให้มารใช้ใครก็ตามมาพูดกับเรา   ใช้ข้อมูลใดก็ตามมาใส่สมองเรา  แม้กระทั่งตัวเราเองพยายามคิดเองก็ตาม จากข้อมูลเดิมก็ตาม    ไม่มีทางหรอกเรื่องเหล่านี้    ไม่สามารถที่จะมาต่อต้าน  หรือมากล่าวหาเราได้ 1 ยอห์น 5:18 บันทึกไว้อย่างนี้ว่า …

        1 ยอห์น 5:18  “เราทั้งหลายรู้ว่าคนที่เกิดจากพระเจ้า  ไม่มีธรรมชาติของการทำบาป แต่พระบุตรของพระเจ้า ได้ทรงคุ้มครองรักษาเขา (การทรงสถิตอยู่ของพระคริสต์ภายในเขา ปกปักษ์คุ้มครอง ดูแลเขา)  และมารร้าย  ไม่สามารถแตะต้องเขา”

            ชัดไหม? ยิ่งชัดใหญ่เลย … “เราทั้งหลายรู้ไหมคนที่เกิดจากพระเจ้า มาเกิดใหม่แล้ว ไม่มีธรรมชาติในวิญญาณของเขา ในร่างกายของเขา ในชีวิตของเขา ตัวตนแท้ๆ ของเขา ในการทำบาปเลยแม้แต่นิดเดียว แค่นั้นไม่พอ  แต่พระบุตรของพระเจ้า คือพระเยซูคริสต์ ผู้ทรงสถิตอยู่ในเขา ได้ทรงคุ้มครองรักษาเขา ด้วยการทรงสถิตของพระเจ้า ของพระคริสต์ปกปักษ์ คุ้มครองดูแลเขา มารร้าย ไม่สามารถแตะต้องเขาได้ เพราะพระคริสต์จะปกป้องคุ้มครองดูแลเราจากมารร้าย ที่คอยกล่าวหาฟ้องร้องเรา พอเราทำผิด มันก็ฟ้องเรา พระคัมภีร์บอกว่ามารร้ายเหล่านี้ ไม่มีอำนาจเลย มันใช้กฎของความบาปและความตาย อิทธิพลเหล่านั้น  ที่เป็นธรรมชาติของการอยู่บนโลกใบนี้ เอามาหลอกเรา  มันจึงได้แค่คำราม หลอกลวง โกหก ด้วยวิธีการชกเรา 2 หมัด เอาคริสเตียนก่อนเลย ง่ายๆ หมัดแรก คือมันหลอกเรา ล่อลวงเรา ด้วยตา หู จมูก ลิ้น กาย ให้เราทำบาป ทำสิ่งที่ไม่ตรงกับถ้อยคำพระเจ้า

            ยกตัวอย่างเช่น  พระเจ้าบอกให้อภัย  เราบอกว่าแค้นนี้ต้องชำระ ไม่ได้หรอก มันกี่ครั้งแล้ว  มันอภัยไม่ได้แล้ว  ต้องทำอย่างนี้ๆ สมมติให้ฟัง แล้วเราก็ทำไป ทำไป แล้วเราก็ไม่สบายใจ แทนที่จะ …

            “โอ้! พระเจ้าขอทรงช่วยให้ลูกมีกำลังมากขึ้น ที่จะทำตามน้ำพระทัยของพระองค์ได้มากขึ้น ลูกถูกหลอกไปอีกแล้ว”

            แทนที่จะเป็นอย่างนี้ มันชกหมัด 2 หมัดหนึ่งมันเป็นคนนำพาเราทำใช่ไหม? หมัดหนึ่ง คือมันให้ข้อมูลความคิด จากกิเลสตัณหาทางฝ่ายเนื้อหนังที่อยู่ในโปรแกรมเก่า ในความคิดของเรา ให้เราตัดสินใจเอาร่างกายนี้ ชกตอบ พอชกตอบปุ๊บ กลับมาถึง แทนที่ตะกี้บอกว่าระลึกถึงความจริงว่าเราถูกหลอกไปแล้ว พลาดไปแล้ว ส่วนโลกใบนี้ที่ต้องชดใช้ ก็ว่าไป  แต่ในทางวิญญาณ มันชกหมัด 2 มา ให้เรารู้สึกเสียใจว่าเราเป็นคนบาป ทำไมเราชั่วอย่างนี้  ทำไมเราเลวอย่างนี้ เมื่อไรมันจะดีสักที  เราเลวที่ไหน?  เราควรจะกลับมาที่เดิม เราเป็นลูกพระเจ้าที่สะอาดหมดจด เพียงแต่เผลอไปทำบาป เพราะฉะนั้น  เดี๋ยวพระเจ้าจะนำพาเรา ที่จะมีกำลังขึ้น ต่อสู้กับการทดลองเหล่านี้มากขึ้น เห็นไหม? นี่แหละคือกลเม็ดเด็ดพรายของมาร พยายามโกหกหลอกลวง และใช้ 2 หมัดนี้  ทำร้ายเรา และใครปกป้องคุ้มครองดูแลเรา มันไม่มีทางเกิดในวิญญาณของเราได้เลย  เพราะในนี้บอกไว้ว่าพระคริสต์ผู้อยู่ภายในเรา  ปกปักษ์คุ้มครองดูแลเรา พระบุตรของพระเจ้าได้คุ้มครองรักษาเขา ก็คือพระเยซูคริสต์ยังคงสถิตอยู่ในเรา ปกป้องคุ้มครองดูแลเรา ให้อยู่ในความจริงของพระองค์นั่นเอง เอเมนไหม?

            ทั้งหมดในวันนี้ พระเจ้าได้ประกาศให้มนุษย์ทั้งหมดได้รู้ว่านี่คือปัญหาของมนุษย์  แก้ไขทางพระเจ้าได้ง่ายนิดเดียว คือมนุษย์เอ๋ย จงเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ แล้วอัศจรรย์เหล่านี้จะเกิดขึ้นทันทีในร่างกาย จิตใจ และวิญญาณของท่าน เอเมน  พระเจ้าอวยพรครับ

***********************

จากใจคณะศิษยาภิบาล

            มันเป็นธรรมชาติ ไม่เป็นภาระที่คริสเตียน จะแบ่งปันความรัก ให้เพื่อนมนุษย์ด้วยกัน เพราะท่านได้บังเกิดใหม่ในพระคริสต์ พระคริสต์เป็นความรัก  ท่านก็เป็นความรักด้วยเช่นกัน

            1 ยอห์น 4:17 …  “ในการได้เข้าส่วนร่วมเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระคริสต์นี้  (คือการบังเกิดใหม่ในวิญญาณ) ความรัก (อากาเป้ แบบพระเจ้า) จึงได้เกิดขึ้นอย่างสมบูรณ์ครบถ้วนในตัวเรา (ทั้งวิญญาณและจิตใจ) เราจึงมีความมั่นใจในวันพิพากษา ที่เรามีความมั่นใจอย่างเต็มเปี่ยม ก็เพราะวิญญาณและจิตใจของเรา  ขณะที่อยู่ในโลกนี้นั้น  เป็นวิญญาณและจิตใจที่เหมือนกับวิญญาณและจิตใจของพระคริสต์”

            พระเยซูคริสต์จึงตรัสไว้ในยอห์น 13:34​ ว่า … “เราให้บัญญัติใหม่ไว้แก่เจ้าทั้งหลาย  คือให้เจ้ารักซึ่งกันและกัน  เรารักเจ้าทั้งหลาย   (ด้วยวิญญาณและความจริงใจ) มาแล้วอย่างไร  เจ้าจงรักกันและกันด้วยอย่างนั้น”

            เมื่อเราบังเกิดใหม่ ได้เป็นความรักเหมือนพระเจ้าแล้ว  เราจึงแบ่งปันความรักที่เหมือนพระเจ้านี้   โดยธรรมชาติของวิญญาณ​และจิตใจใหม่  ที่พระเจ้าประทานให้​  ตอนบังเกิดใหม่ให้แก่คนอื่นได้  อย่างเป็นธรรมชาติ​  ไม่รู้สึกเป็นภาระหนักเหมือนในอดีต​  ก่อนบังเกิดใหม่  ที่ต้องพยายามรักผู้อื่น​ ในขณะที่วิญญาณและจิตใจข้างในเป็นวิญญาณแห่งความเกลียดชัง  เป็นศัตรูกับพระเจ้าผู้เป็นความรัก

            1 ยอห์น 5:3​ … “เพราะนี่แหละ​ เป็นความรัก   (ด้วยวิญญาณและความจริงใจ) ต่อพระองค์  คือที่เราทั้งหลายประพฤติตามพระบัญญัติของพระองค์  (ซึ่งใส่ไว้ในวิญญาณและจิตใจใหม่ของเราแล้ว) และพระบัญญัติของพระองค์นั้น (คือให้เรารักกันและกันด้วยวิญญาณและใจจริง)​ ไม่เป็นภาระ”

            ไม่เป็นภาระ  เพราะเป็นธรรมชาติใหม่ของตัวตน ที่ได้บังเกิดใหม่แล้วในวิญญาณ  เป็นลูกของพระเจ้าเป็นความรักเหมือนพระเจ้า

            พระเจ้าอวยพรครับ

วารสาร Holy  News   ฉบับที่ 1403

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  12  กุมภาพันธ์  2023

เรื่อง “อัศจรรย์เกิดขึ้นทันที เมื่อฉันเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์”

ตอน 3 “ได้เป็นลูกของพระเจ้า ที่ทรงรักดังแก้วตาดวงใจแล้ว”

โดย นคร  เวชสุภาพร

            ซีรี่ย์ “อัศจรรย์เกิดขึ้นทันที เมื่อฉันเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์” ซึ่งมาจากถ้อยคำแห่งความจริงในพระคัมภีร์ทั้งเล่ม ที่ได้พูดถึงรากเหง้าของปัญหาของมนุษยชาติบนโลกใบนี้ คือเกิดเหตุที่วิญญาณนั้น ตกอยู่ในความบาป นี่คือรากเหง้าของปัญหาของมนุษย์ทั้งหมดเลย มันเกิดขึ้นที่ในวิญญาณของเขา ซึ่งมนุษย์มองไม่เห็น ไม่สามารถเข้าใจได้ พระเจ้าจึงได้บอกมนุษย์ แจ้งความจริงให้กับมนุษย์ทราบมาเป็นพันๆ ปีว่าปัญหา รากเหง้าของมนุษย์ มาจากวิญญาณข้างใน ที่ตกลงไปในความบาป เพราะฉะนั้น มนุษย์ไม่มีทางแก้ไขอะไรได้เลย โดยการกระทำของเขา เพราะมนุษย์ตกลงไปในความบาป ไม่สามารถที่จะช่วยเหลือตัวเองได้ แต่มนุษย์ก็พยายามที่จะหาทาง แก้ไขตนเอง  โดยวิธีทำอะไรต่างๆ เยอะแยะมากมายไปหมด ยกตัวอย่างเช่น ทำดีตามศีลธรรม ความดีงามอะไรต่างๆ ซึ่งเราเรียกกันว่าศาสนา เรียกกันว่าความเชื่อ  กฎแห่งกรรม กฎแห่งการกระทำดี ซึ่งมันก็ช่วยได้บ้าง แต่มันเป็นการช่วยแค่บรรเทาอาการ  แต่โรคมันไม่ได้หายขาด 

            เพราะฉะนั้น มนุษย์จึงเป็นเหมือนเรา อย่างที่เราเห็นทุกวันนี้ มีแต่ปัญหาวุ่นวาย อันโน้นอันนี้ เหมือนกับว่ามนุษย์ทำชั่วมากขึ้นทุกวันๆ จริงๆ มันชั่วเท่าเดิม มันไม่ได้มากขึ้นกว่านี้หรอก  แต่ว่าคนมันเยอะขึ้น และการพัฒนาความคิด สติปัญญาของมนุษย์เอง มีมากขึ้น มีเทคโนโลยีมากขึ้น เราก็เลยมีความรู้สึกว่ามีความชั่วร้ายมากขึ้น แต่จริงๆ มันเท่าเดิม มาตั้งแต่อดีตแล้ว มาตั้งแต่สมัยโบราณ ปฐมกาลบันทึกเอาไว้แล้ว ถึงบางครั้ง พระเจ้าต้องใช้วิธีพิเศษ คือกำจัดออกไปบ้าง คือน้ำท่วมโลก อะไรอย่างนี้ ยกตัวอย่าง

            เพราะมนุษย์พยายามที่จะแก้ไขตนเอง ด้วยวิธีการของตนเอง แต่มันทำไม่ได้ ก็คือการพึ่งในการกระทำดีของตนเอง แล้วก็นึกว่ามันจะช่วยได้ เพราะว่ามันได้ผลบ้าง อาการมันดีขึ้น

            สมมติว่าเราเป็นเนื้องอกในสมอง ทำให้เราปวดหัวอย่างมาก เป็นไมเกรน เรากินยาแก้ปวด มันดีขึ้น เราก็นึกว่ายาแก้ปวด ก็ช่วยเราได้ เราก็กินไปเรื่อยๆ แล้วมันหายไหม? มันไม่หาย เพราะว่ามันเป็นเหตุมาจากเนื้องอกในสมอง วิธีรักษา คือต้องให้หมอผ่าตัดเอาเนื้องอกออกไป อย่างนี้เป็นต้น

            นี่แหละ คือปัญหารากเหง้าของมนุษยชาติ ซึ่งถ้าไม่รู้ความจริงในข่าวประเสริฐขององค์พระเยซูคริสต์ ไม่มีทางหรอกที่มนุษย์จะแก้ได้ ปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้น ที่เห็นอยู่ทุกวันนี้ว่าทำไมมนุษย์ทำชั่วขนาดนี้ ทำไมไม่ทำดี แล้วก็พยายามไปสอน ให้เขาพยายามทำดี สอนให้เขาพยายามให้เขาระลึกถึงสิ่งที่ดี ซึ่งมันช่วยได้ไหม? ได้ แต่ได้แค่บรรเทาอาการ ดูรู้สึกทำท่าดี เดี๋ยวมันก็เป็นขึ้นอีกแล้ว เหมือนเอาก้อนหินทับหญ้าไว้ เหมือนมันตายไปแล้ว อีกไม่กี่วัน มันก็แทรกก้อนหินนั้น ขึ้นมาข้างๆ รกเหมือนเดิม นี่คือรากเหง้าของปัญหา

            เรารู้ได้อย่างไร พระเจ้าบอกเราตั้งแต่เริ่มต้น หนังสือพระคัมภีร์เดิมจนมาถึงพระคัมภีร์ใหม่ ตั้งแต่ปฐมกาลจนจบวิวรณ์ พูดถึงเรื่องนี้แหละ รากเหง้าของปัญหามนุษย์ทั้งปวง

            นี่คือจุดที่มา ที่ผมเริ่มซีรี่ย์นี้ว่าอัศจรรย์เกิดขึ้นทันที เมื่อเราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เพราะเป็นเรื่องเกี่ยวกับรากเหง้าของปัญหาของมนุษย์ทั้งปวง โดยที่พระเจ้าเป็นผู้แนะนำให้เรา  และทำสำเร็จแล้ว ที่พระเยซูคริสต์ บนไม้กางเขนนั่นเอง ฮาเลลูยา ขอบคุณพระเจ้า

            ทบทวน “อัศจรรย์เกิดขึ้นทันที เมื่อเราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์”

            ตอนที่ 1 “วิญญาณเก่าที่เป็นคนบาป ต้องคำสาป ได้ตายไปแล้ว” นี่คือหัวข้อเรื่องตอน 1

            ตอนที่ 2 “ได้บังเกิดใหม่ โดยพระวิญญาณของพระเจ้า” นี่คือตอนที่ 2

            และวันนี้ “อัศจรรย์เกิดขึ้นทันที เมื่อฉันเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์” เกิดขึ้นเมื่อไร? ทันที วันนี้ตอนที่ 3 ชื่อเรื่อง “ได้เป็นลูกของพระเจ้า ดังแก้วตาดวงใจแล้วทันที

            อยากให้เน้นคำว่า “ทันที” เพราะว่าซีรี่ย์นี้ คืออัศจรรย์เกิดขึ้นทันที เมื่อฉันเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เมื่อเราเปิดใจปั๊บ ได้เป็นลูกของพระเจ้าทันที ที่พระเจ้ารักดังแก้วตาดวงใจแล้ว ทันที ยอห์น 1:12-13 พระเจ้าบอกความจริงเราอย่างนี้ว่า …

        ยอห์น 1:12-13 “ส่วนคนทั้งปวงที่ยอมรับพระองค์ ผู้ที่เชื่อในพระนามของพระองค์  พระองค์ก็ประทานสิทธิ (ฤทธิ์เดช) ให้เป็นบุตรของพระเจ้า คือเป็นบุตรที่ไม่ได้เกิดจากการสืบเชื้อสายตามธรรมชาติ  หรือจาก การตัดสินใจของมนุษย์  หรือจากเจตจำนงของสามี แต่เกิดจากพระเจ้า”

            ส่วนคนที่ยอมรับ ยอมเปิดใจ คนทั้งปวง คือมนุษย์ทั้งปวง ใครก็ได้นั่นเอง ที่ยอมรับ ต้อนรับพระเยซูคริสต์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอด พระเยซูก็ทรงประทานสิทธิ ฤทธิ์เดชให้ สิทธิ ฤทธิ์เดชนี้คืออะไร? ภาษามนุษย์ ก็คือปาฏิหาริย์ ก็คืออัศจรรย์ พระองค์ก็ทรงประทานการอัศจรรย์ให้ ให้เป็นบุตรของพระเจ้าอย่างอัศจรรย์ เมื่อไร? ทันที แล้วก็เปรียบเทียบให้เราจากข้อนี้ว่าเป็นบุตร หรือเป็นลูกที่ไม่ได้เกิดจากการสืบเชื้อสายแบบธรรมชาติ หรือการตัดสินใจของมนุษย์ หรือเจตจำนงของสามี แต่เกิดขึ้นจากพระเจ้า ต้องการเปรียบเทียบให้เราว่าเกิดแบบนี้แหละ แบบเหมือนมนุษย์เกิด แต่นี่เกิดจากวิญญาณ ซึ่งเป็นตัวตนแท้ๆ จริงๆ จากพระเจ้า ซึ่งเป็นวิญญาณ แต่กลัวว่าเราจะไม่เข้าใจ ก็เลยอธิบายเปรียบเทียบให้เห็นว่าเวลาเราเกิดเป็นมนุษย์ หรือเรามีลูกที่เป็นมนุษย์ เป็นลักษณะเช่นใด?  เรารักเขาขนาดไหน?

            นึกภาพเวลาเรามีลูกเล็กๆ เราดูแลเขาอย่างไร? เราให้ความรักเขาขนาดไหน? ภาพนั้นแหละ ที่พระเจ้าต้องการให้เราเห็นว่าเมื่อเราเกิดในฝ่ายวิญญาณ ก็เช่นเดียวกัน เมื่อเราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ ทันทีปุ๊บ อัศจรรย์เกิดขึ้น เราได้เป็นลูกของพระเจ้า แล้วพระเจ้าก็ดูแล เหมือนเรามีลูกเพิ่งคลอดออกจากครรภ์ ประคบประหงมอย่างดีมากเลย

            เมื่อเราได้บังเกิดเป็นลูกแล้ว โดยความรัก โดยพระคุณของพระเจ้า อย่างที่ไม่มีเงื่อนไข เป็นแบบอากาเป้ของพระเจ้า เราจึงไม่ต้องทำอะไรเพิ่มเติม เพื่อจะให้พระเจ้ารักเรามากขึ้น เพราะรักเรามากที่สุดแล้ว เหมือนตอนที่เรามีลูกไหม? เพิ่งคลอดออกจากครรภ์ไหม? ดูอะไรก็น่ารักไปหมดทุกอย่างเลย นั่นแหละ รักแบบอากาเป้

            เพราะฉะนั้น เราทำอะไร พอเราคลอดออกมาทางวิญญาณ เป็นลูกของพระเจ้าแล้ว เราเพียงแค่รับรู้ ด้วยความเชื่อศรัทธา ที่มั่นคงแข็งแกร่งตามถ้อยคำพระเจ้า และจงมองให้เห็นเถิด เพราะมันเกิดขึ้นในโลกวิญญาณ มองไม่เห็น

            พระเจ้าจึงบอกว่าจงมองให้เห็นเถิดว่าลูกได้บังเกิดใหม่ เป็นลูกของพระเจ้าแล้ว จงมองให้เห็นเถิดว่าอัศจรรย์ยิ่งใหญ่ ได้บังเกิดขึ้นในชีวิตของลูกแล้ว ในโลกวิญญาณ ได้บังเกิดอุแว้ออกมาเป็นลูกของพระเจ้าแล้ว  และเป็นลูกคนที่พิเศษ ที่ไม่มีใครเหมือน และไม่เหมือนใคร? มีบุคลิกลักษณะ เอกลักษณ์ เฉพาะตัวที่ยอดเยี่ยม ไม่ต้องเลียนแบบใครอีกแล้ว ต้องมองให้เห็นตรงนี้ให้ได้ว่ามันเป็นอย่างนั้น ไม่ต้องเลียนแบบใคร ให้รู้ตัวเองว่าเราเป็นคนพิเศษสำหรับพระเจ้าแล้ว เพราะว่าในพระคัมภีร์บอกว่าพระองค์ทรงพึงพอใจมาก พึงพอใจใคร? เราผู้ที่เพิ่งบังเกิดใหม่ เป็นลูกของพระองค์ ทรงรักดังแก้วตาดวงใจ เป็นลูกที่พ่อยืนอยู่เคียงข้างตลอดเวลา คอยดูแลเอาใจใส่ ทะนุถนอม ไม่ละสายตาเลย ปกป้องด้วยความหวงแหนอย่างใกล้ชิด เหมือนไหม มันเหมือนจริงๆ เลยนะ ยิ่งตอนนี้มีหลานยิ่งเห็นชัดใหญ่เลย ตอนมีลูกยังไม่ค่อยเห็น เพราะทำงานเยอะ ตอนนี้เกษียณแล้ว เห็นหลาน พ่อแม่เขาดูแล เราเป็นปู่เรายังเข้าไปช่วยดูแล เห็นพ่อแม่เขา เป็นอย่างนี้จริงๆ พระเยซูยกตัวอย่าง ท่านทั้งหลายเป็นมนุษย์ ยังทำอย่างนี้เลย แล้วพระเจ้าผู้ทรงสร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก พ่อแห่งฟ้าสวรรค์จะทำมากกว่านั้นอีกสักเท่าใด? ผมทุกเส้นยังนับไว้เลย ผมยังไม่กล้านับผมของหลานเลยนะ นับไม่ถ้วน รู้เพียงแต่ว่าสั้นหรือยาว แต่พระเจ้านับผมทุกเส้นของเราเลย

            สายตาของพ่อของเราในสวรรคสถาน พ่อแห่งฟ้าสวรรค์ของเรา มองดูเราด้วยความชื่นชมยินดี ภูมิใจในความสมบูรณ์ดีพร้อม บริสุทธิ์ ไร้เดียงสา ที่เราคุ้นกันว่าอินโนเซ้นท์ มันจริงนะ เราดูลูกของเรา คลอดมา ภูมิใจไหม? ภูมิใจ ลูกฉันน่ารัก พอมีรูปของเด็กทารกสัก 10 รูป เราจะดูรูปของใครก่อน? เราจะดูรูปของคนอื่นก่อนไหม? ไปเยี่ยมที่โรงพยาบาล มีคนคลอดอยู่ 10 คน เราวิ่งไปที่ตู้ ที่เขาวางเด็กไว้ เรามองใคร? เราถามหาใคร? ถามหาลูกเรา พระเจ้ามากกว่านั้นอีกสักเท่าใด? มากขนาดไหน? ท่านอยากรู้ไหม? พระเจ้าทรงรักเรา แล้วทรงเขียนไว้ในพระคัมภีร์อย่างชัดเจน หลายแห่ง แต่ผมยกมาแห่งเดียว ชัดเจนเลย พระองค์พูดด้วยตัวพระองค์เอง พระองค์ทรงรักเราเท่าๆ กับที่พระองค์ทรงรักพระเยซูคริสต์ พระเจ้าพระบุตร ไม่ใช่บุตรของพระเจ้า เหมือนอย่างเรา พระเจ้าพระบุตร

            สิ่งเหล่านี้มันเป็นอัศจรรย์ เกิดขึ้นทันที โดยที่เราซึ่งเป็นลูกนั้น ยังไม่ได้ทำอะไรดีสักอย่าง นอกจากอย่างเดียว คือรับสิทธิ ยอมรับเท่านั้นเองว่าพระองค์ทรงทำให้ ไม่ได้ทำอะไรเลย สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นแล้ว ในยอห์น 17:23 บันทึกไว้อย่างนี้ชัดเจนว่า ..

        ยอห์น 17:23  “ให้ข้าพระองค์อยู่ในพวกเขา และพระองค์อยู่ในข้าพระองค์ เพื่อพวกเขาจะได้ถูกทำให้ (บริสุทธิ์ดีพร้อม) สมบูรณ์ เป็นหนึ่งเดียวกันกับเรา และเพื่อโลกจะได้รู้ว่าพระองค์ทรงส่งข้าพระองค์มา และทรงรักพวกเขา เหมือนที่พระองค์ทรงรักข้าพระองค์”

            นี่พระเยซูอธิษฐานขอด้วยพระองค์เอง ขอกับพระบิดาว่าอย่างนี้ ท่านเห็นไหม? …

            “ให้ข้าพระองค์อยู่ในพวกเขา” คือพระเยซูอยู่ในเรา “และข้าพระองค์อยู่ในพระองค์” พระบิดา พระเจ้าอยู่ในพระเยซูอยู่แล้ว เป็นหนึ่งเดียวกันอยู่แล้ว  “เพื่อเขา” คือพวกที่เชื่อในพระองค์ ที่ได้บังเกิดใหม่ เป็นลูกของพระองค์ “จะได้ถูกทำให้บริสุทธิ์ ดีพร้อม สมบูรณ์” เห็นหรือยัง? ทำให้เกิดใหม่ และบริสุทธิ์ ดีพร้อม สมบูรณ์ “เพื่อจะได้เป็นหนึ่งเดียวกันกับเรา” หมายถึงพระเจ้าพระบิดา พระเจ้าพระบุตร พระเยซู และพระวิญญาณ 3 พระภาค เราเข้าไปเป็นหนึ่งเดียวกันในนั้นแล้ว

            ลองอ่านตรงนี้ด้วยกัน “เพื่อฉันจะได้ถูกทำให้บริสุทธิ์ ดีพร้อม สมบูรณ์ เป็นหนึ่งเดียวกันกับ 3 พระภาค”

            หยุดสักนิดหนึ่ง แล้วคิดถึงสิ่งที่พูดไปเมื่อสักครู่นี้ ตอนนี้มันเกิดขึ้นแล้ว เพราะว่าเราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นผู้ช่วยให้รอดแล้ว เราได้เข้าไปเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์แล้ว

            มาถึงตอนที่สำคัญ “และทรงรักพวกเขา เหมือนที่พระองค์ทรงรักข้าพระองค์” รักพวกเขา คือมนุษย์ที่เกิดใหม่ มาเป็นลูกของพระเจ้า รักเขาทั้งหลาย รักฉันที่ได้เกิดใหม่แล้ว เป็นลูกของพระเจ้าแล้ว รักเท่าไร? รักเท่าข้าพระองค์ คือรักเท่าพระเยซูคริสต์

            ที่ไม้กางเขน พระเจ้าได้สำแดงความรัก อันอัศจรรย์ของพระองค์ เป็นความรักแบบอากาเป้ ไม่มีเงื่อนไขให้แก่มวลมนุษยชาติ โดยการยกเลิกหนี้บาปเวรกรรมที่ชดใช้อย่างไรก็ไม่มีหมด ให้กับมนุษย์ทุกคน นอกจากที่พระองค์ได้สำแดงความรัก ต่อมนุษย์ทั้งหลาย ด้วยการยกหนี้บาปแล้ว แค่นั้นยังไม่พอ ยังทรงรับเราทั้งหลาย เป็นลูกของพระองค์ด้วย ในหนังสือ 1 ยอห์น 3:1 ได้บันทึกไว้อย่างนี้ …

        1 ยอห์น 3:1  “ดูสิ จงมองให้เห็นเถิด! ความรักที่พระบิดามีต่อพวกเรานั้น มันมากมายมหาศาลแค่ไหน  ถึงขนาดได้เรียกเราว่าเป็นลูกของพระองค์ และเราก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ โลกนี้ ไม่รู้จักพระองค์ ซึ่งเป็นเหตุที่โลกไม่รู้จักเราเหมือนกัน”

            “ดูสิ จงมองให้เห็นเถิด!” แปลว่ามันเกิดขึ้นแล้วในโลกวิญญาณ ต้องผ่านทางความเชื่อศรัทธา ในฝ่ายวิญญาณ จงคิดตามนั้น

            “จงมองให้เห็นเถิด ความรักที่พระบิดามีต่อพวกเรานั้น มากมายมหาศาลแค่ไหน? ถึงขนาดเรียกเราว่าเป็นลูกของพระองค์ แล้วเราก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ เป็นการเน้นย้ำ เราเป็นอย่างนั้นจริงๆ อาจารย์ยอห์นเน้นย้ำว่าเป็นอย่างนั้นจริงๆ ก็แสดงว่าหลายครั้ง บางทีเรามีความรู้สึกว่าเราเป็นลูกหรือ? เรายังสกปรก เรายังทำอันนั้นไม่ดี อันนี้ไม่ดีเลย แต่ในทางวิญญาณ เราเป็นลูกของพระองค์ มีสถานะอย่างนั้นจริงๆ จึงเน้นให้เราว่าเป็นอย่างนั้นจริงๆ เราไม่ใช่ทาสของความบาปอีกต่อไป เราไม่ได้มาเป็นคนรับใช้ในบ้านของพระเจ้าในสวรรค์ แต่เป็นลูกของพระเจ้า 

            เราอาจจะบอกตัวเองว่าเราเป็นผู้รับใช้พระเจ้า แต่จริงๆ เราเป็นผู้รับใช้ที่เป็นในฐานะเป็นลูกของพระเจ้า กาลาเทีย 4:6 จึงบันทึกไว้อย่างนี้ว่า …

        กาลาเทีย 4:6 “และเพราะท่านเป็นบุตรของพระเจ้าแล้ว พระองค์จึงทรงใช้พระวิญญาณแห่งพระบุตรของพระองค์ เข้ามาในใจของเรา  ร้องว่า “อับบา”  คือพระบิดา  เหตุฉะนั้น  โดยพระเจ้า ท่านจึงไม่ใช่ทาสอีกต่อไป  แต่เป็นบุตร  และถ้าเป็นบุตรแล้ว  ท่านก็เป็นทายาทด้วย”

            สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นในโลกวิญญาณ มองไม่เห็น แต่มันเป็นจริง พระคัมภีร์จึงบันทึกว่าจงมองให้เห็นเถิด  และพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่พระเจ้าส่งเข้ามา ให้เข้ามาอยู่ภายในวิญญาณของเรา เป็นพี่เลี้ยงของเรา ก็จะช่วยยืนยันภายในใจของเรา ให้เรารับรู้ด้วยว่าเรื่องนี้มันเรื่องจริง คือเราเป็นลูกของพระเจ้าจริงๆ และพระวิญญาณนี้จะเป็นพยานย้ำยืนยันในใจของเรา ตอนที่เราเกิดเป็นลูกแล้ว นอกจากเป็นพี่เลี้ยงเราแล้ว ยังคอยยืนยันว่าเราเป็นลูกและยืนยันว่าเราไม่ใช่เป็นลูกธรรมดานะ พระเจ้ารักเรามากนะ แล้วเราเป็นลูกที่เป็นทายาท คือมีมรดกตระเตรียมไว้ให้กับเราด้วย นอกจากอภัยในความบาปผิดของเราแล้ว โดยพระคุณของพระองค์ที่ไม่มีจำกัดแล้ว พระเจ้ายังได้ทำให้เราได้บังเกิดใหม่ เป็นสมาชิก เป็นทายาทคนหนึ่งในครอบครัวของพระเจ้า มีทรัพย์สมบัติ มีมรดกของพระเจ้าตระเตรียมไว้ให้กับเราเรียบร้อยไปแล้วในสวรรคสถาน ที่เรามองไม่เห็น แต่จงมองให้เห็นเถิด

            “จงมองให้เห็นเถิด”

            เมื่อเกิดเป็นลูกของพระเจ้าแล้ว ที่พระเจ้าทรงรักดังแก้วตาดวงใจ เกิดแล้วเกิดเลย ไม่มีวันเปลี่ยนแปลงไปเป็นตายอีกต่อไป ไม่มีวันกลับไปที่เดิม เป็นไปไม่ได้ เราบังเกิดใหม่ด้วยเชื้อพันธุ์อมตะ พระคัมภีร์เขียนไว้อย่างนั้น คือเชื้อพันธุ์ของพระเจ้า คือชีวิตนิรันดร์ของพระเจ้า

            ชีวิตนิรันดร์ของพระเจ้าคืออะไร? บางคนบอกว่าชีวิตนิรันดร์ของพระเจ้า คือไม่มีจุดจบเลย มีอยู่ตลอดไป นั่นไม่ใช่ชีวิตนิรันดร์ของพระเจ้า เพราะเราอาจจะอยู่ตลอดไป อยู่ในความตายตลอดไป อยู่ในความพินาศตลอดไป ก็ได้ แต่ชีวิตนิรันดร์ของพระเจ้า คือไม่มีที่สิ้นสุด และไม่มีที่เริ่มต้น เป็นโอเมก้าและอัลฟ่า ไม่มีจุดเริ่มต้น ไม่มีที่สิ้นสุด คือวิญญาณของพระเจ้าที่เป็นวิญญาณนิรันดร์ มาเป็นวิญญาณของเรา หน่อเชื้อ เลือดเนื้อเชื้อไขทางวิญญาณของพระเจ้า มาเป็นตัวของเรานั่นเอง ซึ่งเราเรียกกันว่าวิญญาณนิรันดร์ของพระเจ้า หรือภาษาอังกฤษเขาเรียกว่า life eternal หรือ Eternal life คือชีวิตที่เป็นแบบของพระเจ้า ไม่มีจุดเริ่มต้น ไม่มีจุดจบ นั่นคือตัวตนของเรา ที่เราเรียกว่าเป็นลูกของพระเจ้าแล้ว  ใน 1 เปโตร 1:23 ได้บันทึกอย่างชัดเจน ให้เราเห็นความเป็นจริงในโลกวิญญาณว่าเมื่อเราเกิดในโลกวิญญาณ เป็นลูกของพระเจ้าแล้ว เราเกิดด้วยลักษณะอย่างไร จากอะไร? 1 เปโตร 1:23 …

        1 เปโตร 1:23 “เพราะท่านได้บังเกิดใหม่แล้ว  ไม่ใช่เกิดจากเมล็ดพันธุ์ (DNA ทางวิญญาณ) อันเสื่อมสลายได้ แต่จากเมล็ดพันธุ์ (DNA ทางวิญญาณ) อันไม่รู้เสื่อมสลาย  เป็นอมตะนิรันดร์  ไม่มีวันเปลี่ยนแปลง  คือพระวจนะของพระเจ้า (คือพระเยซูคริสต์) อันทรงชีวิต และยืนยงถาวร (เป็นอมตะนิรันดร์ ไม่มีการเปลี่ยนแปลง)”

            “ฉันเกิดแล้ว  เป็นลูกของพระเจ้าแล้ว เป็นไปตลอดเลย ไม่มีวันเปลี่ยนแปลง ฉันเกิดแล้ว เป็นลูกของพระเจ้าแล้ว”

            เมื่อไร? ทันที แสดงว่าเดี๋ยวนี้ ที่เราดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ เราเป็นลูกของพระเจ้าแล้ว

            DNA ก็คือภาษายุคปัจจุบัน ภาษายุคในอดีต ใช้คำนี้ว่าเมล็ดพันธุ์ ก็คือหน่อเชื้อ  ก็คือเลือดเนื้อเชื้อไข แต่ในยุคปัจจุบัน เทคโนโลยีเราสืบเสาะไป เราก็ใช้คำนี้ว่ามาจาก DNA ก็คือ DNA ทางฝ่ายวิญญาณ ที่ผมใช้คำนี้ ในนี้บอกว่าเป็น DNA ทางฝ่ายวิญญาณ อันไม่รู้เสื่อมสลาย เป็นอมตะนิรันดร์ไม่มีวันเปลี่ยนแปลง เกิดแล้วเกิดเลย ไม่มีวันเปลี่ยนแปลง เพราะ DNA มาจากพระเจ้า

            หัวใจสำคัญของข่าวดี ข่าวประเสริฐในพระเยซูคริสต์ ก็คือขบวนการ แห่งการทำให้มนุษย์บังเกิดใหม่นั่นเอง อย่างที่เราได้เรียนรู้จากความจริง ถ้อยคำพระเจ้า เมื่อสักครู่นี้ ทั้งหมดนั้น นั่นคือหัวใจสำคัญของข่าวดี ข่าวประเสริฐ ใครจะประกาศข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์ ต้องประกาศ หัวใจตรงนี้แหละ คือหัวใจการบังเกิดใหม่ โดยการบัพติศมา ซึ่งแปลว่าเข้าส่วนร่วมในพระเยซูคริสต์ ที่พระเจ้าได้สถาปนาขึ้นนั้น ทุกวันนี้ ยังคงกระทำการงานอย่างต่อเนื่อง ในโลกวิญญาณอยู่ คือกระบวนการการบังเกิดใหม่ ข่าวประเสริฐที่เราได้ไปประกาศ

            ความหมายของการบังเกิดใหม่นี้ เป็นขบวนการ คือการตาย ถูกฝัง  และการเป็นขึ้นจากความตาย ร่วมกับพระเยซูคริสต์ ได้เป็นลูกของพระเจ้า นั่งที่เบื้องขวาของพระองค์ ร่วมกับพระเยซูคริสต์ ในสวรรคสถาน นี่คือขบวนการของการบังเกิดใหม่ ขบวนการของข่าวดีของพระเจ้า ที่มาถึงมนุษย์ทุกคน ซึ่งทุกวันนี้ยังคงทำงานอยู่ ยังคงดำเนินต่อไป  และมีผลอยู่เสมอ ในโลกวิญญาณ อยู่ถึงทุกวันนี้ เพราะเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นในมิติทางฝ่ายวิญญาณ ซึ่งมิติทางฝ่ายวิญญาณนั้น ไม่มีกาลเวลามากำหนด มันยังคงเป็นอยู่วานนี้ วันนี้ และสืบๆ ไปเป็นนิตย์ คือพระเยซูคริสต์ยังคงมีสภาพตายบนไม้กางเขน แล้วถูกฝังไว้ในอุโมงค์ และเป็นขึ้นจากความตาย ในวันที่ 3

            สิ่งเหล่านี้ ที่เกิดขึ้น เป็นปัจจุบันเสมอ ในมิติทางฝ่ายวิญญาณ ไม่ใช่แบบมนุษย์คิดว่ามันเป็นอดีต 2,000 ปีมาแล้ว เพราะว่ามนุษย์คำนวณเวลาตามระบบของโลกใบนี้ ตามที่พระเจ้าให้มีเวลาอยู่บนโลกใบนี้ ดวงอาทิตย์ขึ้น ดวงอาทิตย์ตก ดวงจันทร์ขึ้น ดวงจันทร์ตก หมุนรอบ อะไรต่างๆ เหล่านี้ นี่เป็นเวลา แต่พอเข้าไปในมิติวิญญาณ ไม่มีเวลา อะไรที่เกิดในโลกวิญญาณ ไม่มีเวลา คือมันเกิด คือเกิดเลย พระเจ้าเป็นผู้สร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก เป็นผู้ดูแลกฎเหล่านี้อยู่ ว่ามันมีกฎเหล่านี้อยู่ ใครก็ตามที่ทำตามกฎเหล่านี้ ถูกต้อง ได้รับไปเลย เพียงแต่รู้ไหมว่ามันมี

            กฎเหล่านี้อยู่ในโลกวิญญาณ เหมือนกับกฎของแรงดึงดูดของโลก มันมีอยู่จริง แต่มีอยู่เฉพาะบนโลกใบนี้ ที่พระเจ้าทรงสร้างให้กฎนี้อยู่ พอเลยไปถึงดวงจันทร์ ไม่มีแรงดึงดูดของโลกแล้ว หลุดพ้นออกจากแรงดึงดูดของโลกใช่ไหม? มันก็ไม่มีแรงดึงดูดของโลกบนดวงจันทร์ แต่ตราบใดที่ยังอยู่บนโลก และตราบใดที่โลกยังอยู่ ยังมีกฎแห่งแรงดึงดูดของโลกอยู่ และกฎนี้ พระเจ้าผู้สร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลกเป็นผู้ครอบครอง และดูแลอยู่ ใครประพฤติตาม ถูกกฎ ก็ได้ตามกฎ ใครเชื่อฟัง ตามกฎนี้ เคารพกฎนี้ ยอมขึ้นเครื่องบิน ก็ได้ความสะดวกสบาย  ใครไม่เคารพกฎนี้ เผลอไปทำ ไม่มีเซฟตี้ เดินขึ้นไปบนที่สูง ตัดต้นไม้ไม่ระวังตัว หล่นลงมา ก็เจ็บตัว ไม่ว่าเขาเป็นคนดีหรือไม่ดีก็ตาม พระเจ้าดูแลเป็นไปตามกฎ พระองค์ทรงเป็นผู้ควบคุมดูแลกฎเหล่านี้ทั้งหมด

            เพราะฉะนั้น ขบวนการการบังเกิดใหม่ในพระเยซูคริสต์ ที่กำลังทำการงานอยู่ในโลกวิญญาณ ในขณะนี้ คือการตาย ฝัง เป็นขึ้นจากความตาย บังเกิดใหม่เป็นลูกของพระเจ้า  มันก็ยังคงเป็นอยู่ และพระเจ้าเป็นผู้ดูแลขบวนการนี้ ให้มันเกิดผลด้วยตัวของพระองค์เอง อย่างแน่นอน มันจึงต้องเกิดผลเสมอ ไม่มีทางเป็นอื่นไปได้ เมื่อมนุษย์คนใดได้ฟังข่าวประเสริฐนี้ แล้วเชื่อว่ามีกฎนี้ เชื่อในกฎนี้ วางใจในพระเยซู แล้วเปิดใจยอมรับทันที ผลมันเกิดขึ้นทันที เขาได้ตาย ฝัง เป็นขึ้นจากความตาย เกิดเป็นลูกของพระเจ้า นั่งอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้าในสวรรคสถาน ร่วมกับพระเยซูคริสต์ทันที  ที่เราได้เรียนรู้ไปแล้ว

            จะเปรียบเทียบให้ท่านเห็น เช่นเดียวกับกฎของความบาปและความตาย ก็คือกฎแห่งการกระทำ กฎแห่งกรรม กฎแห่งคำสาปแช่งในโลกวิญญาณ ที่บันทึกไว้ในพระคัมภีร์ว่ามีกฎนี้อยู่ ซึ่งปกคลุมอยู่เหนือโลกใบนี้  กระทำการงานอยู่บนโลกนี้ และมนุษย์บนโลกใบนี้ทุกคนอยู่ภายใต้กฎเหล่านี้ ทั้งสิ้น เรียกว่ากฎแห่งกรรม กฎแห่งการทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว กฎแห่งศีลธรรมนั่นเอง มนุษย์ก็รู้ว่ามีกฎเหล่านี้อยู่ เมื่อไรมันจะหมดเวรหมดกรรมสักที ลึกๆ ในใจมนุษย์ก็รู้แหละ ซึ่งกฎเหล่านี้  พระเจ้าผู้พิพากษามหาจักรวาล เป็นผู้ดูแลกฎเหล่านี้มีอยู่จริงๆ ปกคลุมอยู่เหนือโลกใบนี้อยู่ ไม่ว่าจะรู้หรือไม่รู้? ยอมรับหรือไม่ยอมรับ? มันมีอยู่จริงๆ  และมันจะกระทำการงานในมนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้  ถ้าเผื่อเขาไม่ย้ายออกจากกฎนี้ เขาก็ยังอยู่ในกฎนี้ นี่คือความเป็นจริง นี่คือข่าวประเสริฐ และใครเป็นคนทำให้เขาอยู่ในกฎนี้? ก็คือพระเจ้า เป็นผู้ดูแลให้เป็นไปตามกฎแห่งกรรมนี้เหมือนกัน

            พอเข้าใจไหม? ผมพยายามอธิบายให้ท่านเห็น 2 แง่มุม ให้ชัดๆ พระองค์เป็นพระเจ้า ผู้ทรงดูแลทุกกฎ ให้เป็นไปตามกฎระเบียบ ที่พระองค์ทรงสร้าง เมื่อโลกอยู่ในคำสาปแช่ง อยู่ในความบาปและความตาย ถ้าไม่ย้ายออกมา ก็ยังอยู่ในที่เดิม กฎของความบาปและความตาย พระคัมภีร์บันทึกไว้ มันจะหมดไป จะสูญสิ้นเมื่อไร? เมื่อโลกสูญสิ้นไป จบ

            เหมือนตะกี้นี้ผมยกตัวอย่างว่ากฎของแรงดึงดูดของโลกจะหมดไปเมื่อไร? สำหรับมนุษย์นะ นี่พูดตามภาษามนุษย์ปัจจุบัน หมดไปเมื่อเราขึ้นจรวด หลุดออกไปจากโลก แรงดึงดูดของโลก ทางวัตถุก็หายไป กลายเป็นไร้แรงดึงดูดของโลก เหมือนในดวงจันทร์

            เพราะฉะนั้น ถ้ามนุษย์รู้อย่างนี้ เข้าใจถึงความจริงตามที่พระเจ้าบอกอย่างนี้  มนุษย์เพียงแค่ยอมเปิดใจให้พระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้าของพระคริสต์ เข้ามาในวิญญาณของตน เพื่อผ่าตัดวิญญาณ ย้ายวิญญาณนั้น เข้ามาอยู่ในมิติวิญญาณ เข้ามาสู่กระบวนการบัพติศมาเข้าเป็นส่วนหนึ่งของพระเยซูคริสต์ เข้าสู่ขบวนการการบังเกิดใหม่ เป็นลูกของพระเจ้า แค่นั้นเอง เห็นไหม? มันถึงเป็นข่าวดีมากไง ข่าวดีเหลือเกินเลย

            และขบวนการการย้าย ทำงานอยู่ตลอดเวลา ตอนนี้ สำหรับภาษามนุษย์ บอกว่าทำงานมา 2,000 ปีแล้ว แต่สำหรับพระเจ้า มันทำงานอยู่ เพราะในมิติวิญญาณ มันไม่มีวันเวลา มันเกิดอยู่แล้ว เหมือนพระเจ้าสร้างเครื่องๆ หนึ่งขึ้นมา นี่สมมติ เอาแบบที่จับต้องได้ มองเห็นได้ เพื่อเรามนุษย์พอจะมองเห็นภาพว่าขบวนการการบังเกิดใหม่ของพระเจ้า เหมือนขบวนการการสร้างรถ

            ขบวนการการสร้างรถเขามี 1, 2, 3, 4 ก่อนสร้างรถ เขาจะออกแบบรถว่ามันเป็นแบบนี้ มีอย่างนี้ เครื่องอย่างนี้ ใช้ไฟฟ้าอย่างนี้ ใช้น้ำมันอย่างนี้ สมมตินะ ออกแบบก่อน จนได้ครบบริบูรณ์ เช็คดูแล้วโอเค ดีหมดเลย แล้วจึงเริ่มขบวนการผลิต เริ่มตั้งแต่ออกแบบตัวถัง คัดเลือกวัสดุที่ใช้ จนได้เป็นต้นแบบ เขาเรียกว่าโมเดล  แล้วเริ่มขบวนการการผลิต  ประกอบชิ้นส่วนต่างๆ จนได้เป็นตัวรถ แล้วก็เข้าสู่ขบวนการการทดสอบ เรื่องสมรรถนะของรถ และความปลอดภัย ต้องผ่านทุกขั้นตอนทั้งหมดนี้ เรียกว่าขบวนการ จึงจะนำรถออกมาจำหน่ายได้ ซึ่งรถที่ผลิตออกมาขายได้นั้น เป็นเหมือนรถต้นแบบแรกๆ ที่สร้างขึ้นมา ต้นแบบแรกๆ คือพระเยซูคริสต์ ต้นแบบ คือความสมบูรณ์ในพระเยซูคริสต์ พระองค์ทรงเตรียมไว้เรียบร้อยแล้ว

            ท่านมองไม่เห็น ผมจะยกตัวอย่างอีกอันหนึ่ง ท่านจะได้เห็นชัดขึ้น เหมือนแก้วรีไซเคิล ไม่ว่าจะเป็นขวดแก้ว หรือแก้วแตกอะไรต่างๆ  เขาสามารถเอาไปรีไซเคิลให้เป็นแก้วใสๆ สวยๆ ได้ โดยการเอาแก้วแตก แก้วสกปรกไปรวมๆ กัน แล้วคัดแยกทางด้านเคมี ให้เทคโนโลยีคัดแยกออกมา แล้วก็เอาไปหลอมใหม่ จนกระทั่งเป็นแก้ว เป็นกระจก เป็นอะไรต่างๆ ใหม่เอี่ยม เป็นรูปร่างตามที่เขาต้องการ ซึ่งเราเรียกกันว่ารีไซเคิล คล้ายๆ อย่างนั้น แต่ขบวนการของพระเจ้า ไม่ใช่รีไซเคิล คล้ายๆ กัน เอาวิญญาณของเรา เป็นวิญญาณที่ตายแล้ว สกปรกโสโครกโสมมเหลือเกิน เอาไปรวมกับพระเยซูคริสต์และเข้าไปสู่ขบวนการการผลิตขึ้นมาใหม่ เป็นวิญญาณใหม่ วิญญาณเก่าตายไปแล้ว ตามที่เราเรียนตอนที่ 1 ตอนที่ 2 ตอนนี้ตอนที่ 3 เป็นวิญญาณใหม่เอี่ยม เหมือนต้นแบบ คือเหมือนพระเยซู

            เพราะฉะนั้น คริสเตียน คือผู้ที่เปิดใจ ยอมให้ย้ายจากกฎเดิม มาอยู่กฎใหม่แล้ว  ย้ายจากกฎของความบาปและความตายมาอยู่ในกฎของพระเยซูคริสต์ กฎแห่งชีวิตแล้ว คริสเตียนเมื่อถึงวันที่ตามภาษามนุษย์ว่าตาย คริสเตียนตายจากโลกนี้ จึงไม่ใช้คำว่าตาย แต่ใช้คำว่าล่วงหลับ หลับไป หรือไม่ก็ใช้คำว่าจากร่างกายนี้ ไม่ใช้คำว่าตาย ไม่มีคำว่าตายในพระคัมภีร์ใหม่ ตายในพระคัมภีร์ใหม่ ส่วนใหญ่จะพูดถึงเรื่องของการตายจากพระเจ้าทางวิญญาณ วิญญาณตายอยู่ แต่ตอนที่จะออกไปสู่มิติหนึ่ง จะใช้คำว่าจากร่างกายที่เป็นวัตถุนี้ ไปสู่พระเจ้า จากโลกนี้ไปสู่อีกมิติหนึ่ง หรือไม่ก็เรียกว่าล่วงหลับไป เพราะว่าวิญญาณของเขาอยู่ในสวรรค์ทันทีแล้ว ตั้งแต่อยู่บนโลกใบนี้ เขาเพียงแต่ล่วงหลับไป ก็คือจากมิติ โลกวัตถุนี้ปุ๊บ ตื่นขึ้นมาอีกที เข้าไปสู่มิติโลกฝ่ายวิญญาณ เห็นพระเจ้า อยู่กับพระเจ้าใกล้ๆ เห็นๆ ชัดๆ เลย โดยการได้สวมร่างกายใหม่ เรียกว่าร่างกายสวรรค์ที่เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์ ตาฝ่ายวิญญาณในร่างกายใหม่นี้ สามารถเห็นมิติฝ่ายวิญญาณ อย่างชัดเจน เรียกว่าตาวิญญาณที่ถูกเปิดออก พอนึกภาพออก

            นี่เป็นเรื่องจริงทั้งหมด จะเห็นความเป็นจริงทั้งหมดในมิติโลกฝ่ายวิญญาณของสิ่งที่เกิดขึ้น ตามความเป็นจริง ซึ่งไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงจากที่เป็นอยู่ ก่อนที่เขาจะเปลี่ยนมิติไปสู่โลกวิญญาณ คือตอนที่ดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ มันก็เป็นอย่างนั้นอยู่แล้ว จึงไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง นอกจากได้รับร่างกายใหม่ ร่างกายสวรรค์ ร่างกายที่เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์ มาแทนที่ร่างกายที่เป็นความดันอยู่นี้ ร่างกายที่เป็นเบาหวานอยู่ ร่างกายที่เป็นมะเร็งอยู่ ร่างกายที่เป็นโรคโควิดอยู่ เป็นร่างกายที่เจ็บๆ ปวดๆ เป็นร่างกายที่ทุกข์อยู่ เขาได้รับร่างกายใหม่ ที่เป็นร่างกายสวรรค์ ที่เป็นเหมือนพระเยซูแล้วคราวนี้ แต่ในโลกฝ่ายวิญญาณ เขาเป็นวิญญาณที่เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์ และใจใหม่ที่เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์ ที่พระเจ้าให้ไว้ตั้งแต่ตอนดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ ก็ยังอยู่ที่เดิม  ทุกสิ่งยังคงเหมือนเดิม เหมือนกับตอนที่ยังอยู่ในร่างกายเดิมที่อยู่ในโลกใบนี้ ยังอยู่ในโลกวัตถุนี้ ก่อนที่จะล่วงหลับไป ก่อนที่จะจากไป

            พระคัมภีร์บันทึกไว้ อาจารย์เปาโลจึงบอกว่า … “ข้าพเจ้าเห็นอย่างนี้ชัดเจนมากเลย ข้าพเจ้ายังตัดสินใจยากมากเลย ถ้ายังอยู่ในร่างกายนี้อยู่ มันก็เป็นประโยชน์ เพราะคุยกันรู้เรื่องกับพี่น้อง มาเทศนา มาบรรยาย  มาประกาศข่าวดีให้กับผู้ที่ยังไม่เชื่อ ได้ยิน ได้ฟังข่าวประเสริฐของพระเจ้า มันก็เป็นประโยชน์อยู่ แต่ข้าพเจ้าเห็นแล้วว่าถ้าให้เปลี่ยนมิติไป ทิ้งร่างกายนี้ไป มันเจ็บปวด มันไม่สบาย มันทำอันนั้นก็ไม่คล่อง ทำอันนี้ก็ไม่ค่อยดี อันนี้ก็เจ็บออดๆ แอดๆ  ถ้าไปได้ร่างกายใหม่ มันดีกว่าเยอะเลย ได้เห็นพระเจ้าหน้าต่อหน้า ทุกวันนี้ต้องใช้ความเชื่อ เห็นบ้าง ไม่เห็นบ้าง ความรู้สึกต่อต้าน แย้งบ้างอะไรต่างๆ เหล่านี้”

            ตามภาษาของการดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ ซึ่งเป็นศัตรูกับพระเจ้า ไปอยู่ในมิติสวรรค์สบายกว่าเยอะเลย ตัดสินใจ ไม่ถูกเลย แล้วแต่พระเจ้าก็แล้วกัน

            นี่คนที่มองเห็นความเป็นจริงอย่างนี้ เป็นผู้ที่มีอิสรภาพเรียบร้อยแล้วนั่นเอง เพราะฉะนั้น เราจึงเห็นความจริงชัดตรงนี้ว่าเพียงแค่รับร่างกายใหม่ เปลี่ยนมิติไปอยู่ในโลกวิญญาณเท่านั้น สำหรับคนที่เป็นคริสเตียนแล้ว ย้ายมาอยู่ในโลกวิญญาณเรียบร้อยแล้ว บังเกิดใหม่ เป็นลูกของพระเจ้าแล้ว วันหนึ่งข้างหน้า เพียงแค่ล่วงหลับไป ย้ายมิติ สวมร่างกายใหม่ ร่างกายสวรรค์ที่เป็นเหมือนพระเยซู เข้าสู่มิติโลกฝ่ายวิญญาณเท่านั้น ผมจะให้ท่านอ่านความจริงที่พระเจ้าบอกไว้ในพระคัมภีร์ เพื่อที่จะย้ำยืนยันให้ท่านว่าท่านสบายใจได้ ท่านมีความสุขได้ ท่านคิดเหมือนอาจารย์เปาโลได้ทันทีเลย 1 ยอห์น 3:2 เป็นอย่างนี้ …

        1 ยอห์น 3:2  “ท่านที่รักทั้งหลาย เดี๋ยวนี้  ขณะนี้  บนโลกนี้  (ในโลกวิญญาณ) เราเป็นลูกของพระเจ้าก็จริง  เราก็ยังไม่สามารถเข้าใจว่าเป็นอย่างไร แต่เรารู้ว่าในเวลาที่พระองค์จะเสด็จมาปรากฏนั้น  เราจะเป็นเหมือนอย่างพระองค์ (ได้สวมร่างกายใหม่  ที่เป็นขึ้นจากตาย) เพราะว่าเราจะสามารถ เห็นพระองค์จริงๆ อย่างที่พระองค์ทรงเป็นอยู่นั้น”

            “ท่านที่รักทั้งหลาย” ก็คือพี่น้องคริสเตียน “เดี๋ยวนี้ ขณะนี้ บนโลกนี้ แต่ในโลกวิญญาณ เราเป็นลูกของพระเจ้าก็จริง” หมายถึงในโลกวิญญาณ เราเป็นลูกของพระเจ้าจริงๆ แต่บนโลกนี้ ในเมื่อเราเป็นลูกของพระเจ้าในโลกวิญญาณด้วย  เราก็ยังไม่สามารถ ที่จะเข้าใจว่าเป็นอย่างไร? การเป็นลูกของพระเจ้าในโลกวิญญาณด้วย มันเป็นอย่างไร? การดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ แต่เรารู้ว่าในเวลาที่พระองค์จะปรากฏ หมายถึงเวลาที่ได้พบพระเยซู

            การพบพระเยซูในที่นี้ มี 2 ทางที่ได้พบ อันดับแรก ส่วนใหญ่คนที่เป็นคริสเตียนจะรู้จักกันดี ก็คือวันที่พระเยซูคริสต์เสด็จกลับมา ก็คือวันสิ้นโลก คือวันพิพากษา วันที่จบโลกใบนี้แล้ว ที่พระองค์ทรงกำหนดไว้ วันนั้นพระเยซูจะกลับมา เราจะเห็นพระเยซูหน้าต่อหน้า แล้ววันที่จะเห็นพระเยซูหน้าต่อหน้า วันไหนอีก? หนึ่งในนั้น คือวันที่พระเยซูกลับมา  แล้วถ้าพระเยซูยังไม่กลับมา เราหมดอายุขัยไป  เราย้ายมิติ ที่ตะกี้นี้บอก เราล่วงหลับไป เราจากร่างกายเดิมนี้ไป เข้าสู่มิติโลกฝ่ายวิญญาณ เราก็ได้เห็นพระเยซูเหมือนกัน  ปรากฏ คือมี 2ทาง คือปรากฏโดยที่พระเยซูมา หรือไม่เราก็ไปหาพระเยซู มี 2 ทาง ไม่ว่าทางใดทางหนึ่ง แต่วันนั้น วันที่เราเห็นพระเยซู ไม่ว่าจะทางใดทางหนึ่งก็ตาม ไม่ว่าพระเยซูจะกลับมา หรือว่าเราจะกลับไป ย้ายมิติเข้าไปสู่โลกวิญญาณ ครบถ้วน 100% เลยจริงๆ ในนี้บันทึกไว้ว่าเราจะเป็นเหมือนอย่างพระองค์

            คือเมื่อตะกี้ที่ผมบอก เราจะเป็นเหมือนอย่างพระองค์ ก็คือขณะที่เราดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ วิญญาณเรา จิตใจใหม่เราเป็นเหมือนพระเยซูคริสต์อยู่แล้ว  เราได้เรียนรู้เมื่อตอนที่ 2 แล้ว  แต่วันที่เราล่วงหลับไป แค่พริบตา เรียกว่าล่วงหลับไป ลืมตามาอีกที วิญญาณ ที่เหมือนพระเยซู ใจใหม่ที่เหมือนพระเยซูอยู่แล้ว ออกจากร่างแค่พริบตา ได้สวมร่างใหม่ ที่เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์ เป็นร่างที่พระคัมภีร์เรียกว่าร่างแบบสวรรค์ มีตาสวรรค์ มีตาแบบพระเยซูที่มองในโลกวิญญาณ ได้เห็นชัดเจน ไม่มีอะไรมาขวางกั้นแล้ว เราจะเห็นพระเยซูปรากฎหน้าต่อหน้าทันที และเห็นตัวเองด้วย คือเราจะปรากฏด้วย

            ปรากฏ คือการแสดงออกมาให้เห็น ตอนนี้ไม่ปรากฏ เพราะว่าเห็นไม่ได้ เพราะเราอยู่ในโลกวัตถุ อยู่ในร่างกายซึ่งมันอ่อนแอนี้ ไม่สามารถเห็นเข้าไปสู่มิติของฝ่ายวิญญาณได้ แต่เมื่อวันนั้นมาถึง เราจะเห็น เพราะร่างกายเราเป็นร่างกายใหม่แล้ว เป็นร่างกายเหมือนพระเยซู ร่างกายสวรรค์แล้ว ตาวิญญาณเราจะเห็นความเป็นจริงในโลกวิญญาณ เราจะเห็นพระเยซูคริสต์หน้าต่อหน้า เห็นพระเจ้าพระบิดาหน้าต่อหน้า เห็นพระวิญญาณบริสุทธิ์หน้าต่อหน้า และจะเห็นตัวเราเองหน้าต่อหน้าตามความเป็นจริงด้วย เราเรียกว่าสิ่งเหล่านี้ จะปรากฏหมดเลย รวมทั้งพี่น้องของเรา ที่ได้จากไปก่อนหน้านี้แล้ว

            สบายใจแล้วนะ สำหรับผู้ที่บังเกิดใหม่ เป็นคริสเตียนแล้ว เป็นลูกของพระเจ้าแล้ว ไม่ต้องมาเป็นห่วงกังวลว่าตายแล้วจะเป็นอย่างไร? จะอย่างนี้อย่างนั้น เพราะว่าอยู่บนโลกนี้ ท่านก็เป็นตามที่พระคัมภีร์บอกแล้ว ไม่ต้องรอให้ตายก่อน ไม่ต้องรอให้จากโลกนี้ไปก่อน อยู่บนโลกใบนี้ทางวิญญาณ ท่านก็ได้เป็นตามนั้นแล้ว เอเมนไหม? นี่ยืนยันตามถ้อยคำพระเจ้าใน 1 ยอห์น 3:2 จึงเป็นข้อความที่เราควรจะสังเกต ควรจะอ่าน ควรจะจำให้ได้ เพราะว่าอยู่บนโลกใบนี้ เราก็เป็นเหมือนพระเจ้าแล้ว จากโลกนี้ไป ก็เพียงแต่เปลี่ยนร่างกายใหม่เท่านั้นเอง นอกนั้นมันยังคงเดิม ผมจึงย้ำอยู่เรื่อยๆ ว่าอัศจรรย์เหล่านี้ จากการเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์นี้ มันเกิดขึ้นทันที เดี๋ยวนี้ ขณะที่ดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ เปิดใจปุ๊บ ได้ทันที

            คราวนี้สำหรับผู้ที่ยังไม่ได้เปิดใจยอมรับ เกิดอะไรขึ้น ก็ทันทีเหมือนกัน สำหรับผู้ที่ยังไม่ได้เปิดใจยอมรับ ก็คือไม่ยอมรับการเปลี่ยนแปลง ย้ายสถานที่ ไม่ยอมรับว่านี่คือความจริง  ก็คือยังไม่ได้บัพติศมาเข้าส่วนร่วมในพระเยซูคริสต์ บนไม้กางเขน ไม่ได้เข้าสู่ขบวนการการบังเกิดใหม่ เห็นไหม? มันเป็นวิทยาศาสตร์เลยนะ เขาก็ยังคงอยู่ในอาดัม อยู่ในความมืด ที่เรียกว่าความพินาศ วิญญาณตายอยู่ ในสถานที่ที่ไม่มีพระเจ้า เมื่อตายจากร่างกายนี้ ไม่ใช่ล่วงหลับแล้วนะ เมื่อตายจากร่างกายนี้ ก็ยังอยู่ที่เดิม คือตายในโลกวิญญาณด้วยเช่นเดียวกัน เพราะวิญญาณตายอยู่ พอวิญญาณออกจากร่างทันที ก็ตายอยู่เหมือนกัน ไม่สามารถเข้ากับพระเจ้าในสวรรค์ได้ พูดง่ายๆ อยู่ในสวรรค์กับพระเจ้าไม่ได้นั่นเอง ยังคงอยู่ที่เดิม คืออยู่ในความบาป ถูกพิพากษาลงโทษ เนื่องจากเป็นคนบาปเหมือนเดิมนั่นเอง พระเยซูเตือนเรื่องนี้แล้ว เราอ่านดูนิดหนึ่งว่าพระองค์ทรงเตือนว่าอย่างไร? ยอห์น 3:16-18 พระเยซูคริสต์เตือนและตรัสด้วยตัวพระองค์เองเลย อย่างนี้ว่า …

        ยอห์น 3:16-18 “เพราะว่าพระเจ้าทรงรักโลก จนได้ประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ เพื่อทุกคนที่เชื่อในพระบุตรนั้นจะไม่พินาศ แต่มีชีวิตนิรันดร์  เพราะพระเจ้าไม่ได้ทรงส่งพระบุตรของพระองค์มาในโลก  เพื่อพิพากษาลงโทษโลก  แต่เพื่อช่วยโลกให้รอด โดยทางพระบุตรนั้น  ผู้ใดที่เชื่อในพระองค์ก็ไม่ถูกพิพากษา  แต่ผู้ใดที่ไม่เชื่อ  ก็ถูกพิพากษาอยู่แล้ว  เพราะเขาไม่เชื่อในพระนามของพระบุตรองค์เดียวของพระเจ้า”

            นี่พระเยซูเตือนแล้ว  “ผู้ใดที่เชื่อในพระองค์ ก็ไม่ถูกพิพากษา แต่ผู้ใดปฏิเสธไม่ยอมรับความจริง ผู้ใดที่ไม่เชื่อ ก็ถูกพิพากษาอยู่แล้ว” ก็คือตอนที่ดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้  ก็อยู่ในการลงโทษอยู่ อยู่ในความตายอยู่แล้ว  เพราะเขาไม่เชื่อ ในพระนามของพระเยซูคริสต์ ก็คือเพราะเขาไม่ยอมรับความจริงเรื่องนี้

            เพราะฉะนั้น เราจึงเห็นชัดเจนว่าในมิติของวิญญาณ มีแค่ 2 สถานที่เท่านั้นบนโลกใบนี้ ที่มวลมนุษย์อาศัยอยู่ มวลมนุษย์ทั้งหมดบนโลกใบนี้ ในโลกวิญญาณอยู่ที่ใดที่หนึ่งของ 2 ที่นี้ คือเขาอยู่ในอาดัม  หรือไม่ก็ย้ายมาอยู่ในพระคริสต์แล้ว ที่เราเห็นเดินเป็นมนุษย์อยู่บนโลกใบนี้ ในโลกวิญญาณ วิญญาณเขาอยู่ที่ไหน? อยู่ในอาดัมหรืออยู่ในพระคริสต์ ท่านลองคิดดูว่าท่านอยู่ที่ไหน?  …

            –  ในอาดัม หรือในพระคริสต์

            –  ในความบาป หรือในความชอบธรรม

            –  อยู่ภายใต้กฎของความบาปและความตาย หรืออยู่ใต้กฎแห่งชีวิต ในองค์พระเยซูคริสต์

            –  เป็นลูกแห่งการกบฏไม่เชื่อฟังพระเจ้า หรือเป็นลูกแห่งการเชื่อฟังพระเจ้า

            –  เป็นศัตรูกับพระเจ้า หรือเป็นลูกที่รักของพระเจ้า

            –  พินาศอยู่ในความมืด หรืออยู่ในความสว่าง

            –  อยู่ในที่ที่ไม่มีพระเจ้า หรืออยู่ในสวรรค์กับพระเจ้าแล้ว

            สิ่งเหล่านี้ มันเกิดขึ้นเดี๋ยวนี้ทันที ถ้าย้ายก็ทันที  ถ้าไม่ย้ายก็เป็นอยู่อย่างนี้ เหมือนกัน 2 เปโตร 1:4 จึงบันทึกไว้อย่างนี้ว่าข่าวประเสริฐ ข่าวดีของพระเจ้าเหล่านี้ ทำให้เกิดอะไรขึ้นตามพันธสัญญาที่พระเจ้าวางไว้ …

        2  เปโตร 1:4  “โดยสิ่งเหล่านี้  พระองค์ได้ประทานพระสัญญาอันยิ่งใหญ่  และล้ำค่าของพระองค์แก่เรา เพื่อว่าโดยทางพระสัญญาเหล่านี้ พวกท่านจึงได้มีส่วนในพระลักษณะของพระเจ้า (บังเกิดใหม่เป็นลูกพระเจ้า) และพ้นจากความเสื่อมทราม (ความพินาศในวิญญาณ ) ในโลก  ซึ่งเกิดจากตัณหาชั่ว (ความบาปในวิญญาณ)”

            พวกท่านจึงได้มีส่วนในพระลักษณะของพระเจ้า คือได้บังเกิดใหม่เป็นลูกของพระเจ้า เหมือนพระเจ้าเลย และพ้นจากความเสื่อมทราม หมายถึงพ้นจากความพินาศในวิญญาณที่ผมบอกเมื่อตะกี้นี้พ้นจากการตายในอาดัม ซึ่งเกิดจากตัณหาชั่ว หมายถึงเกิดจากการเป็นคนบาป ที่เกิดมาเป็นนั่นเอง ไม่ใช่เกิดจากการประพฤติชั่ว แต่เป็นวิญญาณที่ตายอยู่ ที่ชั่วอยู่ นี่เห็นไหมรากเหง้าของปัญหาของมนุษย์ คืออย่างนี้ คือเราถูกหลอก นึกว่าการตกนรกนั้น เพราะการประพฤติชั่ว ประพฤติไม่ดี อันนั้นมันอาการ มันไม่ได้ทำให้ตกนรกหรอก มันไม่ได้ทำให้ถูกพิพากษาลงโทษให้พินาศหรอก แต่มันถูกพิพากษาลงโทษอยู่แล้ว เนื่องจากวิญญาณมันเป็นความชั่วร้าย เป็นความบาปนั่นเอง

            เมื่อตะกี้เราได้บอกว่าเราได้เป็นลูก ที่มีลักษณะเหมือนกับพระเจ้า เข้าส่วนร่วมพระลักษณะของพระเจ้าในวิญญาณ แล้วจะไปอยู่ที่ไหน? เป็นลูกพระเจ้า ก็อยู่กับพระเจ้าในสวรรคสถานนั่นเอง สำหรับผู้ที่ตอบรับข่าวดีของพระเจ้าแล้ว คือเป็นคริสเตียนแล้ว ฟังอย่างนี้ ก็สบายใจ และหน้าที่ของคริสเตียน ก็คือเพ่งมองไปที่พระเยซูคริสต์ ผู้เป็นความสำเร็จ สมบูรณ์ ครบถ้วนของความเชื่อของเรา เพ่งมองที่ได้รับบัพติศมาเข้าส่วนร่วมเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์ บนไม้กางเขนแล้ว เพ่งมองว่าเราได้บังเกิดใหม่แล้ว เราได้เข้าสู่ขบวนการการเปลี่ยนแปลงแล้ว การสร้างใหม่เรียบร้อยแล้ว เป็นลูกแล้วอย่างตะกี้นี้ที่บอก เราได้เข้าสู่ขบวนการตั้งแต่ตาย ถูกฝัง และเป็นขึ้นจากความตาย  เป็นลูกของพระเจ้า นั่งอยู่กับพระเยซูคริสต์ที่เบื้องขวาของพระเจ้า มีอำนาจยิ่งใหญ่สูงสุด ร่วมกับพระเยซูคริสต์ทันทีแล้ว

            “ฉันเป็นลูกของพระเจ้าที่สมบูรณ์ ครบถ้วนบริบูรณ์ทุกอย่างแล้ว  ไม่ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นบนโลกใบนี้ก็ตาม ไม่ว่าจะทำอะไรผิดพลาดมากขนาดไหนก็ตาม จงมองให้เห็นเถิดว่า “ฉันสำเร็จครบถ้วนบริบูรณ์ โดยพระเยซูคริสต์แล้ว”

            มองให้เห็นและด้วยความเชื่อที่เต็มล้นไปด้วยถ้อยคำของพระเจ้า ที่เป็นความจริงเหล่านี้ว่าความสำเร็จ อันสมบูรณ์ครบถ้วนของเรานั้น พระเยซูคริสต์เป็นผู้กระทำให้เรียบร้อยแล้ว ไม่ใช่ตัวฉันเองเป็นผู้ทำ แต่ฉันพึ่งพาการกระทำของพระเยซูคริสต์ อย่าให้ใครมาหลอกให้ฉันจดจ่อที่การประพฤติ การกระทำของตนเองว่าฉันทำดีอย่างนี้ๆ ขณะเดียวกันก็อย่าให้ใครมาหลอกให้เราจดจ่อว่าฉันกระทำผิดอย่างโน้นอย่างนี้  ฉันแย่อย่างนั้นอย่างนี้ อย่าให้ใครมาหลอกเราไปจดจ่อเหมือนเดิม เหมือนกับชีวิตเดิมของเราที่จดจ่ออยู่กับการพึ่งพา การกระทำของตนเอง ทำดี ละชั่ว แต่ให้มองไปที่พระเยซูคริสต์ ทุกสิ่งสมบูรณ์ครบถ้วนที่พระเยซูคริสต์บอก พระองค์บอกสำเร็จแล้วๆ เราเป็นลูกพระเจ้า แล้วพระเจ้าสถิตอยู่ในเรา พระองค์จะทรงนำเราเองในทุกอย่าง พระองค์เชื่อมั่นในตัวเราว่าตัวเราเป็นคนดีพร้อม สะอาด บริสุทธิ์แล้ว  แล้วเรายังจะไปเชื่อใครดี

            คราวนี้ สำหรับผู้ที่ยังไม่ได้เปิดใจต้อนรับข่าวดี วันนี้ก็อย่างที่พระเยซูบอก รีบตัดสินใจเถอะ พระเจ้า เชื้อเชิญ ขอร้อง วิงวอนให้ท่านกลับบ้าน  พระองค์ได้เตรียมทุกสิ่งทุกอย่างไว้ให้กับท่านเรียบร้อยแล้ว ทั้งวิธีการที่จะทำให้ท่านบังเกิดใหม่ อย่างสมบูรณ์ครบถ้วนในพระเยซูคริสต์ ก็คือขบวนการการเป็นขึ้นจากความตาย  มาเป็นผู้ชอบธรรม บริสุทธิ์ สะอาด ดีพร้อม มาเป็นลูกของพระองค์ อยู่ในสวรรค์กับพระองค์ชั่วนิรันดร์เถิด พระเจ้าอวยพรครับ

********************

จากใจคณะศิษยาภิบาล

            คริสเตียนบังเกิดใหม่แล้ว จิตวิญญาณ 100% บริสุทธิ์ แต่กำลังเปลี่ยนแปลงซอฟต์แวร์ความคิดใหม่ ให้เป็นไปด้วยกันกับจิตวิญญาณใหม่  ที่บริสุทธิ์ 100% แล้วนั้น

            2 โครินธ์ 5:17 … “เหตุฉะนั้น  ถ้าผู้ใดอยู่ในพระคริสต์  ผู้นั้นก็เป็นคนที่ถูกสร้างใหม่แล้ว  สิ่งเก่าๆ ก็ล่วงไป  ดูเถิด สิ่งสารพัดกลายเป็นสิ่งใหม่ทั้งนั้น”

            เมื่อเราเกิดใหม่แล้ว  ตัวตนจริงๆ ของเรา คือวิญญาณและจิตใจ  เป็นใหม่ทั้งสิ้น  และร่างกายของเราก็ได้รับการชำระด้วยพระโลหิตของพระเยซูคริสต์ ถูกแยกส่วนเป็นของใช้ส่วนตัวของพระเจ้า  เพราะฉะนั้น ให้เรายอมมอบถวาย อวัยวะทุกส่วนในร่างกายใหม่นี้  คือตาหู จมูก ลิ้น กาย ความคิด สมองให้กับพระเจ้า  ผู้สถิตอยู่กับเราในวิญญาณของเรา

            อย่าเผลอยอมให้ศัตรู คือบาป  มีอิทธิพลผ่านทางโปรแกรมซอฟต์แวร์  ความคิดและการกระทำที่เคยชินเก่าๆ  มาครอบงำ  กระตุ้น ให้เรายอมมอบอวัยวะในร่างกายนี้  กระทำตามกิเลสตัณหาทางฝ่ายเนื้อหนัง  เหมือนเมื่อก่อนที่เคยเป็นทาสมันอยู่

            ดังนั้น  พระเยซูจึงขอร้องให้เรา ให้ความร่วมมือในการอัพเดตซอฟต์แวร์ใหม่อยู่เสมอ  จะได้รับรู้ตัวตนแท้จริงของเราในโลกวิญญาณว่าเราเป็นใคร  มีสถานะอย่างไรในพระเยซูคริสต์  พร้อมให้พระเจ้าใช้งานได้อย่างดี  ทุกฟังก์ชั่นมีคุณสมบัติดีสมราคา  ที่พระเจ้าทรงซื้อเรามาด้วยราคาแพงมาก

            พระเจ้าจะได้ใช้เรา ให้สมกับเป็น มนุษย์พันธุ์ใหม่ล่าสุด สเปคครบ – สเปคแรง ฟังก์ชั่นครบ บริสุทธิ์ คุ้มราคา  เพื่อสำแดงสง่าราศี  ความยิ่งใหญ่และความรักอันไม่มีจำกัดของพระองค์ ให้กับมนุษย์ทั้งโลกได้เห็น

            เพราะฉะนั้น ขอความร่วมมือ  อัพเดตซอฟต์แวร์ใหม่ด้วยครับ! พระเยซูได้ทำให้เรา  เป็นมนุษย์พันธุ์ใหม่ล่าสุด สเปคครบ – สเปคแรง  ฟังก์ชั่นครบ  บริสุทธิ์  คุ้มราคา

            พระเจ้าอวยพรครับ