วารสาร Holy  News   ฉบับที่ 1402

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  5  กุมภาพันธ์  2023

เรื่อง “อัศจรรย์เกิดขึ้นทันที เมื่อฉันเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์”

ตอน 2 “ได้บังเกิดใหม่ โดยพระวิญญาณของพระเจ้า”

โดย นคร  เวชสุภาพร

            “อัศจรรย์เกิดขึ้นทันที เมื่อฉันเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์” นี่คือซีรี่ย์ที่เรากำลังเรียนรู้กันอยู่ ในขณะนี้  เราคุ้นกันบ่อย โดยเฉพาะคนไทยคุ้นมาก จริงๆ มนุษย์ทุกคนบนโลกนี้ ก็คุ้นกับคำนี้มาตั้งนานแล้วว่า …

            “อย่าทำบาปทำกรรมนะ เดี๋ยวตกนรก อย่าทำชั่วนะ เดี๋ยวตกนรก”

            ถูกไหม? มันชินปากเลย  แล้วพูดอย่างเป็นธรรมชาติเลย  เวลาเราพูดว่า … “อย่าทำบาปทำกรรม เดี๋ยวตกนรก”

            อยากถามว่าคนที่พูดคิดว่ามนุษย์เรา ต้องทำบาปกี่ครั้งถึงจะตกนรก ที่พูดไปนั้น เราย้อนกลับมาคิดไหมว่าเราพูดไป “อย่าทำบาปนะ เดี๋ยวตกนรก” หมายถึงทำกี่ครั้งถึงตกนรก

            อยากถามว่า “คนตกนรก เขาตกนรก เพราะการกระทำของเขาใช่ไหม?”

            นี่คือความคิดของเรา โดยพื้นฐานของมนุษย์ทั่วๆ ไป ที่ยังไม่ได้เป็นคริสเตียน หรืออาจจะเป็นคริสเตียนแล้ว ก็มีบ้าง แต่ส่วนใหญ่แล้ว มนุษย์ทุกคนจะตอบคำถามนี้ว่าทำหลายๆ ครั้ง

            เราจะบอกว่า … “ทำบาปทำชั่วหลายครั้งไม่รู้จักกลับใจเสียที ไม่รู้จักเลิกละ การทำชั่ว ทำบาปเหล่านั้น  เดี๋ยวก็ตกนรกหรอก” จริงไหม?

            ก็แสดงว่าเรากำลังตอบว่าทำหลายๆ ครั้ง ไม่ยอมกลับใจใหม่ นั่นแหละ คือตกนรก ฟังให้ดีๆ นะ พอมาเป็นคริสเตียนแล้ว ก็จะตอบว่าทำครั้งเดียว ก็ตกนรกแล้ว  บางคนก็ตอบว่าทำบาปครั้งเดียว ไม่สารภาพ ก็ตกนรกแล้ว

            นี่คือคนที่เป็นคริสเตียน ซึ่งคำตอบเหล่านี้ เป็นการตัดสินจากการมองเห็น  การกระทำ และคิดตัดสินแบบมนุษย์ คือตามที่ตามองเห็น  แต่สำหรับพระเจ้าแล้ว  พระองค์ตัดสิน ตามความจริงในโลกวิญญาณเท่านั้น ตามกฎที่พระองค์วางไว้ในโลกวิญญาณเท่านั้น  ดังนั้น เราต้องใช้ความเชื่อตามถ้อยคำพระเจ้า ซึ่งเป็นความจริงของพระเจ้า ที่บอกเรา  และคำตอบที่ถูกต้องของคำถามนี้ ตามพระเจ้า ตอบว่าอย่างไร? พระเจ้าตอบเราในโลกวิญญาณ เป็นความจริงตามกฎของพระองค์ว่า …

            “ไม่ต้องทำอะไรเลย ก็บาปแล้ว”

            เพราะความจริง คือมนุษย์เรา เป็นคนบาป โดยกำเนิดเกิดมาเป็น เอเมน อันนี้เอเมนได้ มันเรื่องจริง ตกใจ ไม่กล้าเอเมน มนุษย์เราเป็นคนบาป เกิดมาเป็นคนบาป  ไม่ทำอะไรเลย ก็บาปอยู่แล้ว ถ้าในปัจจุบัน ก็จะบอกว่ามาจาก DNA ทางวิญญาณ สืบทอดมาจากบรรพบุรุษ มนุษย์เรามีแนวโน้มที่จะตัดสินอะไรก็ตามที่เราเห็นตามการกระทำที่เห็นได้  เพราะเราตาบอดทางวิญญาณไง ตาบอดทางวิญญาณ ก็สื่อให้เห็นว่าเพราะเราเป็นคนบาป จึงไม่สามารถเข้าใจโลกฝ่ายวิญญาณได้นั่นเอง

            ความจริงในถ้อยคำพระเจ้าบอกเราว่าปัญหาของมนุษย์อยู่ที่วิญญาณภายใน ที่ตายจากความดีงามของพระเจ้า ไม่ใช่การกระทำภายนอกที่เราเห็น พระเจ้าจึงตรัสว่ามนุษย์นั้น มองที่ภายนอก ดูการกระทำ แต่พระเจ้าดูที่วิญญาณภายใน  และมนุษย์เกิดมาตายอยู่ เป็นบาปอยู่ ในโรม 3:20 บอกไว้ชัดเจนว่า …

        โรม 3:20 “ฉะนั้น ไม่มีใครได้ชื่อว่าเป็นผู้ชอบธรรม ในสายพระเนตรของพระเจ้าโดยการรักษาบทบัญญัติ บทบัญญัติเพียงแต่ทำให้เรา รู้ตัวว่ามีบาป”

            “เป็นผู้ชอบธรรม” หมายถึงเป็นผู้ดีงาม รู้ตัวว่าเป็นคนบาป รู้ตัวว่ามีบาป เราบอกผู้อื่นว่า … “อย่าทำชั่วนะ เดี๋ยวตกนรก” คือเรารู้อยู่แล้วว่ามนุษย์ทุกคนเป็นคนบาป ต้องได้รับโทษ คือนรก มันจึงพูดอย่างนั้นออกมา ชัดเจนมาก

            เพราะตั้งแต่วันที่อาดัม บรรพบุรุษของเผ่าพันธุ์มนุษย์ นำพาเผ่าพันธุ์มนุษย์ทั้งหมด ตกลงไปในความบาป สูญเสียพระสิริ และพระฉายของพระเจ้าไป ตาวิญญาณก็เริ่มบอด ไม่สามารถรับรู้และเห็นความจริงในโลกวิญญาณได้ มนุษย์บนโลกใบนี้ จึงดำเนินชีวิตด้วยตามองเห็น สัมผัสได้เท่านั้น ตัดสินจากการกระทำภายนอก  ไม่สามารถรับรู้เรื่องโลกวิญญาณ ซึ่งเป็นอยู่จริงๆ มากกว่าโลกวัตถุที่จับต้องมองเห็นได้ด้วยซ้ำไป มนุษย์จึงสามารถยอมรับและยอมจำนนต่อพระเจ้าได้เท่ากันกับความจริงที่พระเจ้าบอก แล้วเขาใช้ความเชื่อศรัทธาว่านี่พระเจ้าบอก มันจริง เขายอมรับ เขาเอเมน มันจริง ทั้งๆ ที่ตาเขา หูเขาอาจจะได้ยินเสียงคนอื่น หรือความคิดเขาอาจจะคิดตามภาษามนุษย์แล้วว่ามันแย้งกัน แต่เขายังฝืนที่จะเชื่อ ยอมรับ ยอมจำนนในความจริงของพระเจ้าอยู่  เราเรียกกันว่าความเชื่อศรัทธา  นี่คือวิธีการที่จะทำให้มนุษย์สามารถรับรู้เรื่องโลกวิญญาณได้ ก็คือใช้ความเชื่อศรัทธาเท่านั้น

            พระเจ้าบอกว่ามนุษย์สืบเชื้อสายมาจากบรรพบุรุษอาดัมที่เป็นบาป จึงตกลงไปในความบาปด้วยกัน มนุษย์สืบเชื้อสายทางร่างกายและวิญญาณมาพร้อมๆ กัน

            อย่างที่บอกเมื่อตะกี้นี้ว่าเราเป็นคนบาป เราจึงไม่เห็นวิญญาณว่ามันสืบเชื้อสายมาอย่างไร? แต่ร่างกายเราสามารถที่จะเห็นและยอมรับความจริงตามถ้อยคำพระเจ้าได้ว่าสืบเชื้อสายมา ใช่ จริงๆ ถูกไหม? นี่แหละคือปัญหา

            ก่อนที่จะเกิดเป็นมนุษย์ เราอยู่ในไหนทางฝ่ายร่างกาย เราก็อยู่ในพ่อ ก่อนหน้านั้น เราก็อยู่ในปู่ อยู่ในทวด อยู่ในก๋งงงง ไล่เรื่อยไป จนบนสุด ก็คืออาดัม นี่คือเราเห็น เราสามารถรับรู้ได้ทางฝ่ายร่างกาย เราได้ลักษณะทางร่างกายที่มี DNA ทางกายภาพ เหมือนพ่อแม่ ปู่ย่า ตายาย DNA ที่ได้รับสืบทอดมา ก็จะทำให้เราเหมือนพ่อเรา พ่อเราก็เหมือนปู่ เราบางครั้ง ก็เหมือนปู่นิดหนึ่ง ได้รับจากย่าไปนิดหนึ่ง อะไรอย่างนี้ เราจะเห็นภาพชัดเจน นั่นคือลักษณะพันธุกรรม ทางร่างกายที่เรามองเห็น ในทางวิญญาณ DNA ทางวิญญาณ ก็ลักษณะเดียวกันเลย  เพียงแต่เรามองไม่เห็น  แต่พระเจ้าสามารถบอกความจริงเราได้  และถ้าเราใช้ความเชื่อศรัทธาในพระเจ้า เราก็สามารถเอเมนว่ามันเป็นจริงตามนั้นแหละ ทั้งๆ ที่เรามองไม่เห็น

            DNA ทางฝ่ายวิญญาณ เช่นอาดัม บรรพบุรุษของเรา เป็นคนบาป เป็นบาป เราก็เป็นบาปด้วย เห็นไหม? พระคัมภีร์บอกเราว่าอาดัมตายจากพระเจ้า เราก็ตายจากพระเจ้าด้วย อาดัมถูกพิพากษาลงโทษให้ถึงตาย  ถูกพิพากษาลงโทษให้พินาศอยู่ในนรก เราก็ถูกพิพากษาลงโทษด้วย นี่คือ DNA ทางวิญญาณ เหล่านี้ คือรากเหง้าของปัญหาทั้งปวงของมนุษยชาติ  คือบาปที่อยู่ในวิญญาณของเรา  คือกำเนิด เกิดมาด้วย DNA ทางวิญญาณ ที่เป็นบาป ที่ตายจากพระเจ้า อยู่ในอาดัม ตายอยู่ในบาป ตายอยู่ในความชั่วร้าย ไม่มีพระเจ้านั่นเอง คือรากเหง้าของมนุษย์ ตายอยู่ ทางวิญญาณ มนุษย์มองไม่เห็น แต่พระเจ้ากำลังบอกว่าปัญหาใหญ่ของมนุษย์อยู่ตรงนี้ ไม่ได้อยู่ที่การกระทำ ไม่ได้อยู่ที่คนทำบาป แต่อยู่ที่คนเป็นบาป คนที่ตายอยู่

            ผมยกตัวอย่างนี้ให้เห็นชัดเจนว่าคนกำลังตาย เขาต้องการอะไร? สมมติว่าคนกำลังหัวใจวายตาย  เพราะว่าพฤติกรรมการทานอาหารไม่ถูกต้อง การไม่ออกกำลังกาย แล้วเราก็รีบวิ่งไปเอาคู่มือการรับประทานอาหาร และการออกกำลังกายอย่างถูกต้อง วิ่งไปที่รถ แล้วก็เอาหนังสือนี้มาสอนเขา มาอ่านให้เขาฟัง ซึ่งช่วยได้ไหม? ช่วยไม่ได้ สอนเขาว่าอย่าทำอันนี้ อย่ากินอันนี้เยอะ ออกกำลังกายบ้าง เพราะเขาตายอยู่ สิ่งที่เขาจำเป็นต้องได้รับตอนนั้น ไม่ใช่การพัฒนาอุปนิสัยความประพฤติให้ดี ให้ถูกต้อง แต่เป็นชีวิต การเป็นขึ้นจากความตาย การบังเกิดใหม่ การช่วยเหลือให้เขามีชีวิตขึ้นมาใหม่ต่างหาก ที่เขาต้องการ ถูกไหม?

            หลักการของข่าวประเสริฐในพระเยซูคริสต์ หรือคริสเตียนก็เช่นเดียวกัน ในพระคัมภีร์บันทึกเอาไว้ หลักการของข่าวประเสริฐในพระเยซูคริสต์ไม่ได้ประกาศเน้นถึงการพัฒนาอุปนิสัยและความประพฤติให้ดีขึ้นก่อน แต่เน้นประกาศถึงการอัศจรรย์ยิ่งใหญ่ของพระเจ้า ที่ได้เกิดขึ้นในพระเยซูคริสต์ นั่นก็คือการตายจากตัวเก่า ที่เป็นคนบาป การได้รับชีวิตใหม่ การเป็นขึ้นจากความตาย การเกิดใหม่ในวิญญาณนั่นเอง เอเมนไหม? นี่คือข่าวประเสริฐ นี่คือข่าวดี

            หลักการของข่าวประเสริฐในพระเยซูคริสต์ของคริสเตียน นั่นก็คือการรักษาสิ่งที่เสียหาย สูญเสียไปในอดีต ในบรรพบุรุษอาดัม ให้กลับคืนสู่สภาพดี  จากอาดัมที่ตายอยู่ ให้กลับมามีชีวิตในพระเจ้า นี่คือหัวใจของข่าวประเสริฐ และข่าวดีที่สุด ก็คือพระเยซูคริสต์ได้กระทำสิ่งเหล่านี้สำเร็จ เรียบร้อยแล้ว 2,000 ปีมาแล้ว เพียงแค่ใครก็ตามที่เปิดใจต้อนรับสิทธิของเขาตรงนี้ ในพระเยซูคริสต์ เขาก็จะได้รับสิ่งนี้ไปเลย คือชีวิตนิรันดร์ของพระเจ้า เอเมน นี่คือข่าวดีที่สุด  และการได้รับชีวิตนิรันดร์ ได้รับชีวิตใหม่ในพระเยซูคริสต์ ที่บอกให้เปิดใจ ไม่ใช่รอให้หมดลมหายใจก่อน แล้วถึงจะได้รับ ไม่ใช่ ได้รับทันทีเลย เพราะว่ามันตายอยู่ กำลังตายอยู่บนโลกใบนี้ ต้องการชีวิตเดี๋ยวนี้เลย ถ้ารอให้ตายก่อน หมดลมหายใจก่อน มันก็สายไปเสียแล้ว

            ครั้งที่แล้ว เราได้เรียนรู้เรื่องนี้ไป ในหัวข้ออัศจรรย์เกิดขึ้นทันที เมื่อฉันเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ ตอนที่ 1 วิญญาณเก่าที่ต้องคำสาปได้ตายไปแล้ว

            วันนี้ อัศจรรย์เกิดขึ้นทันที เมื่อฉันเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ ตอนที่ 2 ชื่อเรื่องว่าได้บังเกิดใหม่ โดยพระวิญญาณของพระเจ้า

            ขั้นตอนของการบังเกิดใหม่ คืออะไร? พระคัมภีร์บอกไว้ ขั้นตอนของอัศจรรย์การเกิดใหม่ ที่บอกว่าเมื่อเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ แล้วอัศจรรย์นี้เกิดขึ้น คือการบังเกิดใหม่ ย่อๆ คร่าวๆ ขั้นตอน อันดับแรก คือต้องยอมรับก่อน ยอมรับที่จะให้พระเจ้า เข้ามาช่วยเหลือ ให้เราบังเกิดใหม่  ถูกไหม? พระเจ้าไม่ใช่มาบีบบังคับเรา มาหักคอเรา ต้องเกิดใหม่นะเดี๋ยวนี้  ถ้าทำอย่างนั้นได้ ก็จะดีมากเลยนะ  แต่ไม่ได้ พระองค์เป็นผู้พิพากษาที่ยุติธรรม  ไม่บังคับสิ่งใดเลย แม้ว่าพระเจ้าจะสร้างสรรพสิ่งเหล่านั้น ก็ตาม  รวมทั้งมนุษย์ด้วย เพราะฉะนั้น มนุษย์ต้องยินยอม ให้พระเจ้าเข้ามาทำการอัศจรรย์นั้น ก็คือเปิดใจ ยอมรับสิทธิ ยอมรับพระเยซูคริสต์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอด

            พอเปิดใจแล้ว ขั้นตอนต่อไป ก็เป็นหน้าที่ของพระเจ้าเองทั้งหมดแล้ว ไม่ใช่หน้าที่ของเราแล้ว  พอเปิดใจปุ๊บ พระวิญญาณของพระเจ้า ก็จะเข้ามาเริ่มต้นการอัศจรรย์ เราเรียกกันว่าผ่าตัดวิญญาณของเรา จากที่อยู่ใน DNA ของอาดัม นึกภาพออกแล้วนะ นึกไปถึงโลกวิญญาณ พระวิญญาณบริสุทธิ์ ก็เข้ามาในเรื่องโลกวิญญาณ เข้ามาที่วิญญาณของเรา วิญญาณเราอยู่ใน DNA ของอาดัม เข้ามาผ่าตัด เพื่อย้ายเรา ที่อยู่ใน DNA ของอาดัม มาอยู่ในพระเยซูคริสต์ บนไม้กางเขน เข้าสู่ขบวนการของการตาย แล้วฝัง แล้วเป็นขึ้นจากความตาย คือบังเกิดใหม่นั่นเอง ซึ่งคือขบวนการของข่าวดีของพระเยซูคริสต์ แค่นี้เองสั้นๆ คือการถูกตรึงที่ไม้กางเขน หลั่งพระโลหิต เพื่อชำระบาปให้กับเรา  แล้วสิ้นพระชนม์ ตายที่ไม้กางเขน  เพื่อเรา แล้วถูกฝังไว้ในอุโมงค์ แล้วเป็นขึ้นจากความตายในวันที่ 3 มีแค่นี้ข่าวดี

            ขบวนการ เมื่อเปิดใจปุ๊บ พระวิญญาณนำเราเข้าสู่ขบวนการนี้ทันที  บันทึกไว้อย่างชัดเจนในหนังสือโรม บทที่ 6 ผมจะเริ่มจากข้อ 3 ก่อนนะ

        โรม 6:3  “ท่านไม่รู้หรือว่าเราทั้งปวงที่เชื่อ (พระเยซู) ก็ได้ (รับบัพติศมา โดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า) ถูกนำเข้าไป เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเยซูคริสต์ ก็ได้เข้าส่วนร่วม ในความตายของพระองค์ (ที่ไม้กางเขน) ในการบัพติศมานั้น”

            “ท่านไม่รู้หรือว่า …” ก็หมายถึงท่านควรจะรู้ เพราะนี่เรื่องจริงที่เกิดขึ้น

            “เราทั้งปวงที่เชื่อพระเยซู” ก็คือเปิดใจเมื่อสักครู่ที่บอกนะ “เราทั้งปวงที่ได้เชื่อพระเยซู ได้เปิดใจแล้ว ก็ได้รับบัพติศมา โดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า”

            ผมอธิบายให้ฟังก่อนหน้านี้แล้วว่าพอเราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ปุ๊บ พระวิญญาณบริสุทธิ์เข้ามาทันที เข้ามาทำอะไร? ผ่าตัดวิญญาณ ก็คือเข้ามาบัพติศมา … บัพติศมา ก็คือเหมือนกับการผ่าตัดวิญญาณ

            บัพติศมา แปลว่าใส่เข้าไป จุ่มเข้าไป ย้ายเข้าไป นำพาเข้าไป  บัพติศมาแปลว่าอย่างนี้ โดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า เรานั้นได้รับบัพติศมา ก็คือได้ถูกนำเข้าไป เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเยซูคริสต์ ผ่าตัดวิญญาณ เอาวิญญาณเราย้ายออกมาจาก DNA ในอาดัมเข้ามาอยู่ในพระเยซูคริสต์ บนไม้กางเขน เพราะในนี้บอกแล้วว่าเข้ามาเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเยซูคริสต์ ได้เข้าส่วนร่วมในการตายของพระองค์บนไม้กางเขน ในการบัพติศมานั้น ก็คือบัพติศมาเราเข้าไปในพระเยซู ตอนที่พระเยซูคริสต์ถูกตรึงอยู่ที่ไม้กางเขน และกำลังตายอยู่

            กำลังตาย คือกำลังเป็นบาป ตายจากพระเจ้า กลายเป็นคนบาป เหมือนกับเราทั้งหลายมนุษย์ทั่วๆ ไป ที่เป็นคนบาป พระเยซูคริสต์ถูกตรึงตายอยู่ที่ไม้กางเขนนั้น  เป็นคนบาป เป็นคนตายไปแล้ว วิญญาณของพระองค์ ชีวิตของพระองค์ จากพระเจ้า สว่างๆ เป็นแสงสว่างมาบนโลก บัดนี้ อยู่บนไม้กางเขน เป็นความมืด เหมือนอาดัม อาดัมตายอยู่ในบาป พวกมนุษย์ทั้งหลายตายอยู่ในบาป อยู่ในความมืด ถ้าเปรียบความมืดให้เห็นชัดๆ บอกความมืดอาจจะมองไม่เห็น จับต้องไม่ได้ มนุษย์เราต้องยกตัวอย่างอะไรที่มองเห็น จับต้องได้ ถึงนึกภาพออกว่าอ๋อ!

            อาดัมอยู่ในบาป อยู่ในความตาย อยู่ในความมืด มนุษย์ทั้งหลายอยู่ในความบาป อยู่ในความตาย อยู่ในความมืด … ความมืดที่เห็นๆ ก็คือเป็นก้อนเฉาก๊วยก็แล้วกัน เหมือนเฉาก๊วย เฉาก๊วยสีดำ ท่านก็นึกถึงภาพ มนุษย์ทั้งปวง คือเผ่าพันธุ์เดียว ครอบครัวเดียว ก้อนเดียว เป็นก้อนสีดำ มนุษย์เป็นเฉาก๊วยสีดำ พระเยซูเป็นพระเจ้า เป็นสีขาว แต่มายอมตายที่บนไม้กางเขน แบกเอาบาปของมนุษย์ทั้งหลายไว้ ตายจากพระเจ้า มาเป็นเหมือนมนุษย์เลย คือตายเหมือนมนุษย์ เป็นเฉาก๊วยเหมือนมนุษย์เลย อยู่บนไม้กางเขน มันถึงเข้ากันได้ไง

            ถ้าพระเจ้า พระเยซูอยู่บนไม้กางเขนนั้น เป็นแสงสว่าง พระวิญญาณไม่สามารถเอาเราเข้าไปอยู่ในพระเยซูคริสต์ได้ เพราะพระเยซูคริสต์เป็นแสงสว่าง เข้ากันไม่ได้ ดำกับขาวเข้ากันไม่ได้ เพราะฉะนั้น พระเจ้าต้องทำให้พระเยซูเป็นเฉาก๊วย เพื่อว่ามนุษย์ที่เป็นเฉาก๊วยจะได้สามารถเข้าไปอยู่ในพระเยซูคริสต์ได้ เฉาก๊วยก็เลยเข้าไปอยู่ในเฉาก๊วย เป็นหนึ่งเดียวกันกับเฉาก๊วย เป็นเฉาก๊วยก้อนใหญ่ๆ ก้อนหนึ่ง มีผู้นำ ก็คือพระเยซู มืดหมดเลย พอมองภาพเห็นไหม? นี่แหละ เรียกว่าบัพติศมา คือการเข้าไปเป็นหนึ่งเดียวกัน ร่วมเป็นหนึ่งเดียวกันในความตายของพระองค์

            ความตายของพระองค์ คือความมืด เหมือนเฉาก๊วย เห็นภาพแล้วนะ พระองค์ยอมตาย ยอมเป็นเฉาก๊วย เพื่อมนุษย์จะได้สามารถเข้าไปเป็นหนึ่งเดียวกับพระองค์ได้ เป็นเฉาก๊วยด้วยกัน ถ้าพระองค์เป็นเต้าฮวยอยู่ มันเข้ากับเฉาก๊วยไม่ได้

            ตอนนี้พระเยซูอยู่ที่ไม้กางเขน เป็นเฉาก๊วยหรือเต้าฮวย? เฉาก๊วย ถูกต้อง  เพื่อว่าพระวิญญาณสามารถเอามนุษย์ เข้าไปเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์ได้ เพราะว่าแต่เดิมมา มนุษย์ทั้งหลาย เป็นผู้ที่อยู่ในอาดัม ก็คือบัพติศมาอยู่ในอาดัม ก็คือบัพติศมาอยู่ในเฉาก๊วย อยู่ในความดำ อยู่ในความมืด ความบาป อาดัมเป็นอย่างไร? เผ่าพันธุ์ของมนุษย์ ก็เป็นอย่างนั้น เหมือนกันหมด ซึ่งตอนที่เราย้ายมาจากอาดัม พระวิญญาณได้ย้ายเรามาบัพติศมาอยู่ในพระเยซูคริสต์ มาร่วมเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเยซูคริสต์ ถูกไหม? ย้ายเราออกมา

            เพราะฉะนั้น พระคริสต์เป็นอย่างไร? พระคริสต์ตายและเป็นบาปอยู่ตอนนี้  เป็นเฉาก๊วยอยู่ตอนนี้  เราก็เป็นอย่างนั้นด้วยเช่นเดียวกัน  เหมือนกันไม่มีผิด

            นี่คือภาพของพระเยซูคริสต์ที่สิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน เป็นเฉาก๊วยที่พวกเราทั้งหลาย ได้ถูกพระวิญญาณบริสุทธิ์บัพติศมาเรา  นำเราเข้าไปเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์ คือตายร่วมกับพระองค์ คือเป็นเฉาก๊วยด้วยกัน เห็นภาพแล้วนะ

            คราวนี้มาดูขั้นตอนต่อไปเกิดอะไร? แผนการของพระเจ้าวางไว้ โรม 6:4 …

        โรม 6:4  “ดังนั้น เราจึงได้ถูกฝังไว้กับพระองค์ โดยการได้บัพติศมาเข้าส่วนร่วมในความตาย เพื่อว่าเราเอง ก็จะได้มีชีวิตใหม่ (บังเกิดใหม่) เช่นเดียวกับที่พระเจ้าได้ทรงให้พระคริสต์เป็นขึ้นจากตาย (บังเกิดใหม่) โดยฤทธิ์อำนาจแห่งพระวิญญาณ และพระเกียรติสิริของพระบิดา”

            “ดังนั้น เมื่อเราบัพติศมาเข้าส่วนร่วม” บัพติศมา แปลว่าเข้าส่วนร่วม เข้าไปเป็นหนึ่งเดียวกัน เป็นก้อนเดียวกันกับพระเยซูคริสต์แล้ว “ดังนั้น เราจึงได้ถูกฝังไว้กับพระองค์” ก็คือพอพระองค์สิ้นพระชนม์ปุ๊บ  เขาก็ปลดร่างพระองค์ลงมา ฝังไว้ในอุโมงค์ เราอยู่ที่ไหนตอนนั้น?  เราอยู่ในพระเยซูคริสต์ถูกไหม? เราบัพติศมาเข้าส่วนร่วมเดียวกันกับพระเยซูคริสต์ เพราะฉะนั้น เมื่อพระเยซูอยู่ในอุโมงค์ เราก็อยู่ในอุโมงค์ด้วย

            นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นในโลกวิญญาณจริงๆ เราก็อยู่ในอุโมงค์นั้นด้วย เป็นเฉาก๊วยเหมือนพระเยซู อยู่ในอุโมงค์เดียวกัน ในนี้บอกว่าอยู่เพื่ออะไร? เพื่อว่าเราเองก็จะได้มีชีวิตใหม่ บังเกิดใหม่เช่นเดียวกันกับที่พระเจ้าได้ทรงให้พระเยซูคริสต์เป็นขึ้นจากความตาย บังเกิดใหม่ โดยฤทธิ์อำนาจแห่งพระวิญญาณ พระเกียรติสิริของพระบิดา ก็คือเมื่อพระองค์ทรงถูกฝังไว้ในอุโมงค์ พระเจ้าได้บันทึกไว้ในพระคัมภีร์ว่าด้วยฤทธิ์เดชอำนาจของพระองค์ได้ให้พระวิญญาณบริสุทธิ์ ซึ่งเป็นฤทธิ์อำนาจของพระองค์ มาชุบพระเยซูที่อยู่ในอุโมงค์ ที่เป็นเฉาก๊วยนั้น ให้เป็นขึ้นจากความตาย ด้วยฤทธิ์เดชอำนาจอันยิ่งใหญ่ของพระองค์ แล้วเกิดอะไรขึ้น เมื่อเฉาก๊วยได้กลายเป็นเต้าฮวยแล้วคราวนี้  ข้อ 5 ต่อมาได้บันทึกไว้อย่างนี้ …

        โรม 6:5  “ฉะนั้น ถ้าเราได้มีส่วนร่วม เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์ในการตาย แน่นอนเราจะมีส่วนร่วมเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์ในการเป็นขึ้นจากตาย (บังเกิดใหม่) ด้วยเช่นกัน”

            ฉะนั้น ถ้าเรายอม จำได้ใช่ไหม ที่ผมบอกว่าเริ่มต้นจากการยอม จะได้บังเกิดใหม่ ยอมเข้าสู่ขบวนการนี้ตั้งแต่แรก คือยอมเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด เข้าสู่ขบวนการ การผ่าตัดวิญญาณนี้ ในข้อที่ 5 บอกว่าฉะนั้น ถ้าเรามีส่วนร่วมเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์ ก็คือยอมให้พระวิญญาณบริสุทธิ์ ย้ายเราเข้ามาร่วมเป็นหนึ่งเดียวกัน เข้าไปอยู่ในร่างกายของพระเยซูคริสต์ เป็นหนึ่งเดียวกัน เป็นก้อนเดียวกันเมื่อไร? ในนี้บอกถ้าเราได้มีส่วนร่วมเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์ ในการตายที่ไม้กางเขน แน่นอนเราจะมีส่วนร่วม เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์ในการเป็นขึ้นจากความตาย บังเกิดใหม่ด้วยเช่นเดียวกัน ก็คือเมื่อพระองค์จากเฉาก๊วยแล้วตอนนี้ เป็นขึ้นจากความตาย กลายเป็นเต้าฮวย เราก็เลยกลายเป็นเต้าฮวยไปด้วยเลย ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้ ก่อนที่จะยอมรับเชื่อ เราอยู่ในอาดัม เราเป็นเฉาก๊วย ดำปี๋เลย ตอนนี้กลายเป็นเต้าฮวย สะอาด ใส ขาวเลย

            เกิดขึ้นได้อย่างไร? พระคัมภีร์บันทึกว่าเกิดจากฤทธิ์เดชอำนาจ อันยิ่งใหญ่ของพระเจ้า พระองค์เป็นผู้ที่ทรงชุบพระเยซูให้เป็นขึ้นจากความตาย ด้วยฤทธิ์เดชอำนาจของพระองค์ ผ่านทางพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า เอเฟซัส 1:20-23 ได้บันทึกถึงฤทธิ์อำนาจอันยิ่งใหญ่นี้ว่าใหญ่ขนาดไหน? …

        เอเฟซัส 1:20-23  “20 ซึ่งเป็น ฤทธิ์เดชอำนาจ พลังที่ยิ่งใหญ่มหาศาลเดียวกันกับที่พระเจ้าได้กระทำ ในพระเยซู เมื่อตอนที่พระองค์ ได้ชุบพระเยซู ให้เป็นขึ้นจากความตาย และได้แต่งตั้ง ให้พระเยซู นั่งอยู่ที่เบื้องขวาของพระองค์ ในย่านฟ้าอากาศ (สวรรค์) ต่างๆ  ในโลกฝ่ายวิญญาณ 21 ในตำแหน่งนี้ พระเยซูมีสิทธิอำนาจยิ่งใหญ่สูงสุด เหนือเหล่าวิญญาณ ที่ปกครองอยู่ใน สถานที่ต่างๆ บนโลกนี้ เหนือเหล่าวิญญาณ ที่ใช้สิทธิอำนาจต่างๆ เหนือพลังอำนาจการครอบครอง ไม่ว่าจะผ่านทางทูตสวรรค์ต่างๆ หรือทางมนุษย์ก็ตาม เหนือทุกนาม หรือชื่อที่ตั้งขึ้น สิทธิอำนาจ และฤทธิ์เดชที่ยิ่งใหญ่สูงสุดของพระเยซูนี้ จะคงอยู่ตลอดไป ไม่ใช่แค่ในยุคปัจจุบัน บนโลกนี้เท่านั้น แต่รวมถึงยุคต่อๆ ไปในอนาคตด้วย 22 และพระเจ้าได้ให้สิ่งสารพัดทั้งในโลกวัตถุและโลกวิญญาณ อยู่ใต้เท้าของพระเยซูคริสต์ และพระเจ้าได้แต่งตั้งพระเยซูคริสต์ ให้เป็นผู้ยิ่งใหญ่สูงสุด มีสิทธิอำนาจสูงสุด เหมือนเป็นศีรษะ อยู่เหนือทุกสิ่ง ในคริสตจักร (ผู้ที่เชื่อและใช้สิทธิ์ในการไถ่บาป ที่พระเยซูคริสต์ได้ทำให้) 23 ที่เหมือนร่างกายของพระองค์ ซึ่งเป็นความสมบูรณ์ครบถ้วน ของพระเยซูคริสต์ ผู้ทรงเติมเต็มความบริสุทธิ์ สมบูรณ์แบบ ให้กับเหล่าผู้ที่เชื่อ และใช้สิทธิ์ในการไถ่บาป ที่พระเยซูได้ทำให้”

            และพระเจ้าได้ให้สิ่งสารพัดทั้งหมด ในโลกวัตถุและโลกวิญญาณ คือทั้งหมดเลย อยู่ใต้เท้าของพระเยซูคริสต์ และพระเจ้าได้แต่งตั้งพระเยซูคริสต์ให้ยิ่งใหญ่สูงสุด มีสิทธิอำนาจสูงสุด เป็นเหมือนศีรษะอยู่เหนือทุกสิ่งในคริสตจักร ใครอยู่กับพระเยซูคริสต์ด้วย ก็คือเราผู้ที่เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอด ผู้ที่ยอมรับบัพติศมาเข้าไปเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์ ตั้งแต่อยู่ที่ไม้กางเขน ตายพร้อมพระองค์แล้ว นี่คือสถานะของเราด้วยเช่นเดียวกัน อัศจรรย์ ฤทธิ์เดชอำนาจอันยิ่งใหญ่นี้ อยู่ในตัวเราทั้งหลายผู้เชื่อ ซึ่งเปรียบเสมือนร่างกายของพระองค์ คือพระเยซูคริสต์ ซึ่งเป็นความสมบูรณ์ครบถ้วนของพระเยซูคริสต์ ผู้ทรงเติมเต็มความบริสุทธิ์ สมบูรณ์แบบให้กับเราผู้ที่เชื่อ  และใช้สิทธิในการไถ่บาปของพระเยซูคริสต์ ก็คือเราทั้งหลายที่ยอมเปิดใจนั้น ขบวนการนี้เป็นของเรา ฤทธิ์อำนาจอันยิ่งใหญ่นี้ อยู่ในตัวพวกเราทั้งหลาย ผู้เชื่อศรัทธา หรือเรียกว่าคริสเตียนแล้ว  อยู่ในตัวเราแล้ว  และจะอยู่ตลอดไป เอเมน เอเฟซัส 2:6 บันทึกไว้อย่างนี้ว่า …

        เอเฟซัส 2:6 “และพระองค์ได้ทรงให้วิญญาณของเราเป็นขึ้นมา (บังเกิดใหม่) กับพระคริสต์ และในพระเยซูคริสต์ พระเจ้าได้ทรงให้เรานั่งในสวรรคสถานกับพระคริสต์”

            “พระเจ้าได้ให้เรานั่งอยู่ในสวรรคสถานกับพระคริสต์” พอเราเป็นขึ้นจากความตายร่วมกับพระเยซูคริสต์ พระเยซูคริสต์ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นผู้สำเร็จราชการของพระเจ้า ปกครองอยู่เหนือทุกสิ่งทุกอย่าง ในโลกวิญญาณทั้งหมด ในสวรรค์ทั้งหมดเลย บนโลกก็ดี ทั้งหมดเลย  และเราอยู่ในพระคริสต์ มันหมายถึงอย่างนั้น

            และพระองค์ได้ทรงให้วิญญาณของเรา เป็นขึ้นจากความตาย บังเกิดใหม่ร่วมกับพระคริสต์ และในพระเยซูคริสต์ พระเจ้าได้ทรงให้นั่งในสวรรคสถานกับพระองค์ทันที เดี๋ยวนี้เลย เมื่อเราเปิดใจรับ พระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด  อัศจรรย์เกิดขึ้นทันที ปุ๊บปั๊บ  กระพริบตาปั๊บ ก็เป็นอย่างนี้ พอเราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ พระวิญญาณบริสุทธิ์เข้าไปกระทำการงานทั้งหมด ทั้งขบวนการนี้แล้ว ที่เรียกว่าข่าวดีนี้ มันจะเกิดขึ้นทันที ในการดำเนินชีวิตของคนๆ นั้น ไม่ว่าเขาจะรู้สึกหรือไม่รู้สึกก็ตาม ไม่ว่าเขาจะเห็นหรือไม่เห็นก็ตาม ไม่ว่าเขาจะสัมผัสแตะต้องได้หรือไม่ก็ตาม แต่ความจริงในโลกวิญญาณ ก็จะเป็นอย่างนี้แหละ แล้วเราจะต้องใช้อะไรถึงจะรู้ได้  ต้องใช้ความเชื่อศรัทธา  และมันเป็นจริงตามนั้น เราดำเนินชีวิตไปแล้วเราใช้ความเชื่อศรัทธา ก็จะเริ่มสัมผัสได้  โดยพิสูจน์ได้ทางวิญญาณของเรา คือเราจะรู้อยู่ข้างใน รู้อาจจะไม่หมด รู้อาจจะไม่ลึก  แต่เรารู้อยู่ อธิบายไม่ถูกว่าทำไมถึงรักพระเจ้า ทำไมถึงเข้าใจพระเจ้า ทำไมเดี๋ยวนี้ ตั้งแต่เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เลิกแสวงหาอะไรต่างๆ ที่จะมาเป็นเรื่องเกี่ยวกับฤทธิ์อำนาจทางโลกวิญญาณที่จะมาช่วยให้เรารอดจากความบาป รอดจากความพินาศหลังความตาย รอดจากชีวิตความมืด หลังความตาย ไม่กลัวตายอีกแล้ว มันรู้อยู่ข้างในเอง โรม 6:6 จึงบันทึกอย่างนี้ว่า …

        โรม 6:6 “เพราะเรารู้ว่าตัวเก่าของเรา (ที่อยู่ในบาปในอาดัม) ได้ถูกตรึงไว้กับพระองค์แล้ว เพื่อตัวบาปเก่านั้น จะได้ถูกขจัดไป (ตายจากบาป) เพื่อเราจะไม่เป็นทาสบาปอีกต่อไป”

            “เพราะเรารู้ว่า …” มันเกิดขึ้นแล้ว เรารู้อยู่ในใจแล้วว่าตัวเก่าของเรา ก็คือทั้งวิญญาณ จิตใจ และร่างกาย ที่เราได้เรียนไปครั้งที่แล้ว มันตายไปหมดแล้ว  และเราได้บังเกิดใหม่ในพระเยซูคริสต์แล้วทั้งหมดนี้ คือทั้งวิญญาณ จิตใจและร่างกาย ได้บังเกิดใหม่แล้ว เอเมน รู้สึกไหม? ไม่รู้สึก เห็นไหม? ไม่เห็น เข้าใจไหม? ไม่เข้าใจ  แต่ถามว่าเชื่อศรัทธาไหม? ตอบว่า “เอเมน” เพราะถ้าเราไม่เชื่อ คงไม่มานั่งอยู่ตรงนี้ และถ้าไม่เชื่อ ก็คงจะแสวงหาฤทธิ์อำนาจทางวิญญาณ ความเชื่อต่างๆ ที่ช่วยเราให้รอดจากการพิพากษาลงโทษ หลังความตายใช่หรือไม่? แต่ตอนนี้เราเชื่อศรัทธา เรารู้ได้อย่างไร? เราหยุดแล้ว เราไม่ไปแสวงหาอะไรอีกแล้ว หยุดอยู่ที่พระเยซูคริสต์แล้ว 2 โครินธ์ 5:17 จึงได้บันทึกไว้อย่างนี้ชัดเจนว่า …

        2 โครินธ์ 5:17 “ฉะนั้น  ถ้าผู้ใดอยู่ในพระคริสต์ เขาก็เป็นคนที่ถูกสร้างใหม่ สิ่งเก่าๆ ทั้งหมดได้ล่วงไป สูญสิ้นไป ได้ตายไปแล้ว จงมองให้เห็นเถิด ทุกสิ่งทั้งหมด เป็นใหม่ทั้งสิ้น”

            “ฉะนั้น ถ้าผู้ใดอยู่ในพระคริสต์” เห็นหรือยัง?  ถ้าผู้ใดยอมรับบัพติศมา โดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ เข้าไปร่วมเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเยซูคริสต์ เข้าสู่ขบวนการการผ่าตัดวิญญาณ  เข้าสู่ขบวนการการเป็นขึ้นจากความตาย ขบวนการข่าวประเสริฐของพระเจ้า ขบวนการที่พระเจ้ามาเกิดเป็นมนุษย์ ตายที่ไม้กางเขน ถูกฝังไว้ในอุโมงค์ และเป็นขึ้นจากความตาย เข้าสู่ขบวนการนี้ ถูกย้ายเข้ามาอยู่ในพระคริสต์เมื่อไร? เรียกว่าถูกบัพติศมาเมื่อไร? เขาคนนั้น ก็จะเป็นคนที่ถูกสร้างใหม่ ก็คือเกิดใหม่นั่นเอง เกิดใหม่ทั้งหมด วิญญาณ ร่างกาย จิตใจ สิ่งเก่าๆ ทั้งหมด ได้ล่วงไป

            ภาษาเดิมตรงนี้บอกว่าสิ่งเก่าๆ ทั้งหมดได้ล่วงไป ได้สูญสิ้นไป ได้ตายไปแล้ว ตัวเก่าที่อยู่ในอาดัม ตัวเก่าที่เป็นเฉาก๊วย ตัวเก่าที่ต้องได้รับโทษหลังความตาย ต้องได้รับความพินาศ หลังความตายชั่วนิรันดร์นั้น มันตายไปแล้ว มันจบไปแล้ว เดี๋ยวนี้ได้บังเกิดใหม่ ทั้งหมดแล้ว วิญญาณ จิตใจและร่างกาย เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์ใหม่เอี่ยมเลย มองเห็นไหม? ไม่เห็น ตามนุษย์มองเห็นไหม? ไม่เห็น เอามือสัมผัสแตะต้องได้ไหม? เกิดใหม่ ไม่เห็น ถูกไหม? มองในกระจกเห็นไหม? ไม่เห็น คิดได้ไหมตามเหตุผล? ไม่ได้ เข้าใจไหม? ไม่เข้าใจ

            เพราะฉะนั้น พระเจ้าจึงบอกว่าต้องใช้ความเชื่อศรัทธา จึงจะมองเห็น พระองค์จึงเขียนอย่างนี้ว่า … “เพราะฉะนั้น จงมองให้เห็นเถิด”  สิ่งที่ตามองไม่เห็น หูไม่ได้ยิน สัมผัสแตะต้องไม่ได้  คือสิ่งที่พระเจ้าได้จัดเตรียมไว้ให้กับมนุษย์ ผู้ที่เชื่อศรัทธาในพระองค์ “จงมองให้เห็นเถิด” ก็คือใช้ความเชื่อศรัทธามองให้เห็น ก็จะเห็น อย่างพวกเราทั้งหลายที่เชื่อแล้วก็จะเห็น  เพราะเรามีความเชื่อศรัทธาในใจของเราแล้ว

            จงมองให้เห็นเถิด ทุกสิ่งทั้งหมด เป็นใหม่ทั้งสิ้น ไม่ว่าวิญญาณ จิตใจหรือว่าร่างกายเป็นใหม่ทั้งสิ้น  ไม่ได้บัพติศมาอยู่ในอาดัมอีกต่อไปแล้ว ตอนนี้บัพติศมาอยู่ในพระคริสต์

            “ฉันไม่ได้บัพติศมาอยู่ในอาดัมแล้ว ฉันบัพติศมาอยู่ในพระคริสต์”

            บัพติศมา แปลว่าเข้าร่วมเป็นหนึ่งเดียวกัน อดีตฉันเป็นหนึ่งเดียวกันกับอาดัม โดย DNA ทางวิญญาณ  ปัจจุบันฉันเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระคริสต์ โดยมี DNA ชีวิตนิรันดร์ของพระเจ้า ใหม่ทั้งหมด ทั้งวิญญาณ ความคิดจิตใจและร่างกาย  ซึ่งบันทึกไว้ในหนังสือ 1 ยอห์น 4:17 ชัดเจนว่าเดี๋ยวนี้มันเป็นอย่างนี้จริงๆ  ฉันจึงมีความมั่นใจชีวิตหลังความตาย เราจึงไม่เรียกกันว่าคริสเตียน มีการตายได้ เมื่อคริสเตียนจากโลกนี้ไป เรียกว่า “ล่วงหลับ” หลับไป พอหลับไปปุ๊บ ตื่นขึ้นมา ก็คือได้รับร่างกายใหม่ เหมือนพระเยซูคริสต์ครบถ้วนบริบูรณ์ 1 ยอห์น 4:17 บันทึกไว้อย่างนี้ว่า …

        1 ยอห์น 4:17  “ในการเข้าส่วนร่วมเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระคริสต์นี้ (บังเกิดอีกครั้ง ทางฝ่ายวิญญาณ ในพระคริสต์) ความรัก (อากาเป้แบบพระเจ้า)  จึงได้เกิดขึ้นอย่างสมบูรณ์ครบถ้วน ในตัวเรา (วิญญาณเรา) เราจึงมีความมั่นใจในวันพิพากษา (มั่นใจว่าไม่ถูกพิพากษา ตัดสินลงโทษ ให้พินาศหลังความตาย) ที่เรามีความมั่นใจอย่างเต็มเปี่ยม  ก็เพราะชีวิต จิตวิญญาณ  ที่ได้บังเกิดใหม่ ที่เรามีขณะที่อยู่ในโลกนี้นั้น เป็นชีวิตจิตวิญญาณ ที่เหมือนกับชีวิตจิตวิญญาณของพระคริสต์”

            “ในการเข้าส่วนร่วมเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระคริสต์นี้” ก็คือในการบัพติศมาเข้าส่วนร่วม ก็คือบัพติศมาในพระเยซูคริสต์ ย้ายจากบัพติศมาในอาดัม ย้ายมาบัพติศมาในพระเยซูคริสต์นี้ เมื่อทำไปแล้ว จึงได้รับการบังเกิดใหม่อีกครั้งหนึ่ง ทางวิญญาณในพระคริสต์ ความรักแบบอากาเป้ แบบพระเจ้า จึงได้เกิดขึ้นอย่างสมบูรณ์  ก็คือพระเจ้าเป็นวิญญาณแห่งความรัก

            ความรักตรงนี้ไม่ได้หมายถึงเป็นกิริยาในการรัก แบบมนุษย์ แต่เป็นคุณภาพ เป็นลักษณะของวิญญาณของพระเจ้า  ตอนนี้เราเป็นวิญญาณที่เป็น DNA ของพระเจ้าอยู่ เราจึงมีความรักสมบูรณ์แบบของพระเจ้าอยู่ในวิญญาณของเรา มันหมายถึงอย่างนั้น

            เราจึงมีความมั่นใจในวันพิพากษา  มั่นใจว่าอะไร? มั่นใจว่าไม่ถูกพิพากษาตัดสินลงโทษให้พินาศ หลังความตาย หลังการล่วงหลับไปอย่างแน่นอน  เพราะเรารู้อยู่ในใจของเรา ในวิญญาณเราได้เกิดใหม่ ในใจเราได้เกิดใหม่ ในนี้บอกว่าที่เรามีความมั่นใจอย่างเต็มเปี่ยมนั้น ก็เพราะอะไร เราจึงมีความมั่นใจ ไม่ไปแสวงหาอะไรอีกแล้ว ซึ่งในอดีตเราแสวงหาใหญ่เลย ไปโน่นไปนี่ ไปนั่นไปโน้น อันนี้ช่วยได้ ไป พอมาเจอพระเยซูช่วยได้ปุ๊บ เราจบอยู่ที่พระเยซู แล้วไม่ได้ไปไหนอีกเลย ทำไมเรามีความมั่นใจอย่างนั้น ก็เพราะชีวิต จิตใจ วิญญาณ ที่ได้บังเกิดใหม่ ที่เรามีขณะที่อยู่บนโลกนี้นั้น เป็นชีวิตจิตวิญญาณที่เหมือนกับชีวิต จิตวิญญาณของพระเยซูคริสต์เลย คือเราเป็นหนึ่งเดียวกับพระเยซูคริสต์ เราเป็นอวัยวะชิ้นหนึ่งในร่างกายของพระเยซูคริสต์

            นี่พระคัมภีร์ยกตัวอย่างให้ฟัง พระเยซูคริสต์เป็นศีรษะ เราเป็นอวัยวะชิ้นหนึ่ง  เราเป็นเซลๆ หนึ่งในร่างกาย สมมติเราเป็นนิ้วก้อย เป็นอวัยวะชิ้นหนึ่ง พระเยซูคริสต์เป็นศีรษะ เมื่อเราเรียกพระเยซูคริสต์เป็นศีรษะ นิ้วพระเยซูคริสต์ ก็เป็นพระเยซูคริสต์เช่นเดียวกัน  เหมือนตัวเราเอง ตัวเราเอง หมายถึงทั้งตัวใช่ไหม? ตาก็เป็นคุณนคร หัวแม่เท้าก็เป็นคุณนคร เหมือนกัน เราเป็นหนึ่งเดียวกับพระเยซูคริสต์ เราเป็นวิญญาณเดียวกันกับพระเยซูคริสต์เลย เรานั่งอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้าร่วมกับพระเยซูคริสต์ เหมือนกันเลย ตั้งแต่เดี๋ยวนี้ ทันที คือขณะที่ดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ก็เป็นอย่างนี้แล้ว เพียงแต่เรามองไม่เห็น  เพราะมันเกี่ยวกับเกิดขึ้นในโลกวิญญาณนั่นเอง อัศจรรย์เหล่านี้ เกิดขึ้นทันที

            วิญญาณกับจิตใจ เกิดขึ้นในโลกวิญญาณ เป็นเหมือนพระเยซูทันที ขณะที่ดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ และท่านลองคิดดูว่าร่างกายล่ะ ที่เรายังเห็นอยู่ มันยังเหมือนเดิม ไม่เหมือนเดิม ลองอ่านนี่ดูโรม 8:11 ดูสิร่างกายเป็นอย่างไร? …

        โรม 8:11 “ถ้าพระวิญญาณของพระองค์ ผู้ทรงให้พระเยซูเป็นขึ้นมาจากตายสถิตอยู่ในท่านทั้งหลาย พระองค์ผู้ทรงให้พระเยซูคริสต์เป็นขึ้นมาจากตายแล้วนั้น จะทรงทำให้กาย ซึ่งต้องตายของพวกท่านเป็นขึ้นมาใหม่ โดยพระวิญญาณของพระองค์ ซึ่งสถิตอยู่ในท่าน

            “ถ้าพระวิญญาณของพระองค์ ผู้ทรงให้พระเยซูเป็นขึ้นจากตายสถิตอยู่ในท่านทั้งหลาย” ก็คือวิญญาณที่อยู่ในเราแล้วตอนนี้ ที่เป็นผู้ที่เข้ามาตั้งแต่แรกเลย เป็นผู้เข้ามาผ่าตัดวิญญาณเรานั่นเอง “พระองค์ผู้ทรงให้พระเยซูคริสต์เป็นขึ้นมาจากตาย” ก็หมายถึงพระบิดา พระเจ้าผู้ทรงสถิตในสวรรค์ “จะทรงทำให้กาย ซึ่งต้องตายของพวกท่านเป็นขึ้นมาใหม่ โดยพระวิญญาณของพระองค์ ซึ่งสถิตอยู่ในท่านนั่นแหละ” ก็คือวิญญาณเดียวกันกับที่ชุบพระเยซูให้เป็นขึ้นจากความตาย  ที่ตอนนี้สถิตอยู่ในเราทั้งหลาย ที่ต้องตาย ที่กำลังดำเนินชีวิตอยู่ เป็นพี่เลี้ยงเรา พระคัมภีร์บอก  พระวิญญาณองค์เดียวกันนี่แหละจะเป็นผู้ชุบให้เราเป็นขึ้นจากความตาย เมื่อวันที่เราล่วงหลับ วันที่เราสิ้นสุดการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ คือร่างกายนี้สิ้นสุดลง ร่างกายนี้ดับสูญลง ร่างกายนี้ล่วงหลับไป  พระวิญญาณนี้ก็จะจัดเตรียมให้เราสวมทันที แค่พริบตา เราก็จะสวมร่างกายใหม่ ที่เป็นร่างกายที่เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์ ตอนที่พระองค์ทรงเป็นขึ้นจากความตาย  เพราะเราเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์เรียบร้อยไปแล้ว เอเมน

            นั่นหมายถึงอะไร? หมายถึงเราไม่ต้องเป็นห่วงอะไรอีกเลย แม้แต่นิดเดียว วิญญาณตอนนี้ใหม่เอี่ยม จิตใจใหม่เอี่ยม เหมือนพระเยซูคริสต์เลย ร่างกายล่ะ กำลังเดินทาง โดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่สถิตอยู่กับเราด้วย คอยประคับประคองร่างกายนี้ค่อยๆ ไป จนกระทั่งถึงสิ้นอายุขัยของเรา แล้วก็เข้าไปสู่การเปลี่ยนแปลง สวมร่างกายใหม่ที่เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์ ที่ไม่ต้องเจ็บ ไม่ต้องปวด ไม่ต้องมีไข้ ตัวร้อน เจ็บป่วยด้วยโรคอะไรอีก ไม่มีความกลัว ไม่มีโรคภัยไข้เจ็บ ไม่มีความขาดแคลน  ไม่มีความเจ็บปวด ไม่มีความทุกข์ อีกต่อไป นิรันดร์ เห็นภาพอะไรไหม?

            นี่คืออัศจรรย์ยิ่งใหญ่ที่เกิดขึ้น เพียงแค่ใครก็ตาม มนุษย์คนไหนก็ตามที่เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด จากบาปของเขา พระวิญญาณบริสุทธิ์จะเข้าไปกระทำขบวนการเหล่านี้ เรียกว่าขบวนการการบังเกิดใหม่ และมันก็จะไม่มีการเปลี่ยนแปลงอีกเลย  เพราะบังเกิดใหม่แล้ว ก็จะอยู่ในพระหัตถ์ทรงฤทธิ์ของพระเจ้า พระวิญญาณก็เข้ามาปกป้องคุ้มครองดูแลเราตลอดเวลา วิญญาณได้เกิดใหม่แล้ว เกิดแล้วเกิดเลย  ไม่มีวันเปลี่ยนแปลงอะไรอีกแล้ว  ไม่ว่าจะใครก็ตาม ไม่มีใครสามารถที่จะเอาเราออกไปจากพระหัตถ์อันทรงฤทธิ์ของพระเจ้า หรือตำแหน่งของเราที่อยู่ในพระคริสต์ อยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้าในสวรรคสถาน ตรงนี้ได้เลย เราเป็นแล้ว เราเกิดแล้ว เราอยู่แล้ว และจะอยู่ตลอดไปชั่วนิรันดร์กาล นี่คืออัศจรรย์ยิ่งใหญ่สูงสุด  พระเจ้าอวยพรครับ

********************

จากใจคณะศิษยาภิบาล

            เมื่อไหร่จะหมดเวรหมดกรรมเสียทีนะ?

            คำตอบ : เมื่อพึ่งในการกระทำของพระเยซูคริสต์บนไม้กางเขน

            เราไม่สามารถชดใช้หนี้บาปเวรกรรม  โดยพึ่งการกระทำดี ตามกฎศีลธรรม  กฎแห่งการทำดีละชั่ว  ซึ่งพระเจ้าเขียนไว้อยู่ในจิตใต้สำนึกของมนุษย์ทุกคน  เพราะพระคัมภีร์บันทึกเอาไว้ว่ามนุษย์เป็นคนบาป  ตั้งแต่กำเนิด  เป็นวิญญาณบาปที่ตายจากพระสิริของพระเจ้า  ตายจากชีวิตที่บริสุทธิ์ดีงามเหมือนพระเจ้า  จึงไม่สามารถทำดีได้ครบถ้วนบริบูรณ์ตลอดรอดฝั่ง โดยไม่ละเมิดกฎแห่งศีลธรรมนี้เลยแม้แต่ครั้งเดียว

            โรม 8:3 … “เพราะสิ่ง (ความบริสุทธิ์  ดีพร้อม) ที่กฎบัญญัติ (กฎศีลธรรม  กฎแห่งการทำดีละชั่ว ตามมาตรฐานของพระเจ้า) ทำไม่ได้  เนื่องจากวิสัยบาป  ทำให้อ่อนแอ (กฎบัญญัติไม่สามารถทำให้มนุษย์บริสุทธิ์  ดีพร้อม  พ้นจากบาปได้  เพราะมนุษย์อ่อนแอ  ไม่สามารถรักษากฎบัญญัติได้อย่างครบถ้วนบริบูรณ์  ไม่ละเมิดเลย แม้แต่ข้อเดียว  เนื่องจากวิญญาณเป็นบาป) พระเจ้าทรงกระทำแล้ว โดยส่งพระบุตรของพระองค์เองมาในสภาพเช่นเดียวกับมนุษย์  ที่เป็นคนบาป  เพื่อเป็นเครื่องบูชาไถ่บาป โดยการกระทำเช่นนี้ (ที่พระเยซูมาเป็นเครื่องบูชาไถ่บาป  รับบาปแทนเราบนไม้กางเขน) พระองค์ได้ตัดสินลงโทษบาป ในมนุษย์ที่เป็นคนบาป (พระบิดาได้ตัดสินว่าบาปของมนุษย์ได้รับการชดใช้จบสิ้นแล้ว   โดยที่พระเยซูคริสต์สิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน  ได้ชดใช้บาปแทนเรามวลมนุษยชาติเรียบร้อยไปแล้ว)”

            พระเจ้าอวยพรครับ

วารสาร Holy  News   ฉบับที่ 1401

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  29  มกราคม  2023

เรื่อง “อัศจรรย์เกิดขึ้นทันที เมื่อฉันเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์”

ตอน 1 “วิญญาณเก่าที่เป็นคนบาป ต้องคำสาป ได้ตายไปแล้ว”

โดย นคร  เวชสุภาพร

            หัวข้อเรื่องในวันนี้ คือ “อัศจรรย์เกิดขึ้นทันที เมื่อฉันเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์” ตอนที่ 1 “วิญญาณเก่าที่เป็นคนบาป ต้องคำสาป ได้ตายไปแล้ว” พระคัมภีร์ไบเบิ้ลบอกความจริงกับเรา ในเรื่องโลกวิญญาณ ถึงความเป็นมาของมนุษยชาติ บนโลกใบนี้ ตั้งแต่โน้น ก่อนประวัติศาสตร์ของมนุษย์ที่จะบันทึกด้วยซ้ำไปว่ามนุษย์เราเกิดมา ประกอบไปด้วย 3 ส่วนของตัวตนของเรา มนุษย์ทุกคนมีวิญญาณ ความคิดจิตใจ และร่างกาย ซึ่งวิญญาณและความคิดจิตใจมองไม่เห็น เห็นแต่ร่างกาย แต่พระคัมภีร์ได้บันทึกไว้อย่างนั้น และทั้ง 3 ส่วนนี้ เกิดจากเชื้อหรือเรียกว่าหน่อเชื้อ ที่ภาษาปัจจุบันเรียกว่า DNA ที่อยู่ในบรรพบุรุษ มนุษย์คู่แรก ที่เรียกว่าในอาดัม บรรพบุรุษของมนุษย์ทั้งปวง ก็คือใน DNA ของอาดัม ซึ่งในพระคัมภีร์จะใช้คำนี้ว่าในอาดัม เกิดในอาดัม หมายถึงอย่างนี้

            ซึ่งหน่อเชื้อนี้ ในอาดัม มีลักษณะของชีวิต แบบนี้ คือเป็นลักษณะของชีวิตที่เรียกว่าตกลงไปในความบาป  อยู่ในความบาป ต้องคำสาป  ก็คือถูกสาปแช่ง ตายจากพระเจ้า เป็นหนี้บาป ต้องชดใช้ ต้องรับโทษ ต้องถูกลงโทษให้พินาศตลอดไปนิรันดร์  เพราะว่าการเป็นหนี้บาป เป็นศัตรูกับพระเจ้า  อยู่คนละขั้วกัน  ไม่สามารถที่จะเข้ากับพระเจ้า ซึ่งเป็นผู้บริสุทธิ์ดีพร้อม และเป็นผู้พิพากษาของมหาจักรวาล

            นี่คือความจริงในโลกวิญญาณที่พระคัมภีร์ได้บันทึกเอาไว้  ก่อนประวัติศาสตร์ที่มนุษย์จะเขียนไว้ด้วยซ้ำ ที่บอกไว้ พระเจ้าเป็นผู้ให้กำเนิดมนุษย์ ตามพระฉาย ด้วยความรัก ดังแก้วตาดวงใจ  แต่ขณะเดียวกันนั้น นอกจากพระองค์จะเป็นพ่อที่รักมนุษย์ยิ่งนัก พระองค์ทรงเป็นผู้พิพากษาของมหาจักรวาลด้วย พระองค์ต้องการช่วยเหลือมนุษย์ จึงวางแผนไว้ว่าจะชดใช้หนี้บาปแทนมนุษย์ อย่างถาวร ผ่านทางพระบุตรของพระองค์ คือพระเยซูคริสต์ นี่การวางแผนของพระองค์ที่จะช่วย พระเจ้าดูแลทุกสิ่งทุกอย่างอย่างยุติธรรม เพราะว่าเป็นผู้พิพากษาของมหาจักรวาลและเป็นผู้ที่ปกครองสรรพสิ่งทั้งหลายที่พระองค์ทรงสร้าง ด้วยความยุติธรรม ในพระคัมภีร์บอกอย่างนั้น  คือไม่ลำเอียง ปกครองด้วยวิธีใด?

            เมื่อมีคำว่า “ปกครอง” มันก็ต้องมีกฎ มีระเบียบ ซึ่งมนุษย์เรียกกันว่า “ธรรมชาติ” นั่นเอง  มันเป็นธรรมชาติ เป็นกฎระเบียบ ที่พระเจ้าวางเอาไว้ สำหรับปกครองสรรพสิ่งทั้งหลายที่พระองค์ทรงสร้าง แม้กระทั่งลูก คือมนุษย์ทั้งหลายที่พระองค์ทรงรักดังแก้วตาดวงใจ  ทำผิดกฎ ผิดธรรมชาติ ก็ต้องได้รับโทษจากการกระทำผิดนั้น ไม่มีลำเอียง พอจะนึกภาพออกไหม? เหมือนที่ผมเคยยกตัวอย่าง เหมือนพลังงานไฟฟ้า ธรรมชาติของพลังงานไฟฟ้า มีอำนาจอยู่ข้างใน มีพลังอยู่ข้างใน ไม่ว่าคนชั่วหรือคนดี ละเมิดกฎของไฟฟ้านี้ มันมีพลังอยู่ ไม่เคารพกฎนี้ เอามือไปจับโดยไม่มีชนวนในสายไฟฟ้าแรงสูง ก็ถูกสายไฟฟ้าแรงสูง พิโรธ โกรธเกรี้ยว ลงโทษถึงตายใช่หรือไม่? ซึ่งทั้งหมดนี้ ใครเป็นคนดูแล ปกครองให้เป็นไปตามกฎ คือพระเจ้าผู้ยุติธรรมนั่นเอง  จะไปบอกว่า …

            “เขาเป็นคนดีนะ พระเจ้าอย่าไปทำเขา  มันไม่ได้ มันเป็นกฎระเบียบอย่างนั้น เนื่องจากไม่รู้ถึงไปทำ แต่พระเจ้าทรงรักมนุษย์ยิ่งนัก พยายามหาทางแก้ไขให้กับมนุษย์ และในช่วงที่รอแผนการนั้น  คือรอช่วงที่จะส่งพระบุตร พระเยซูคริสต์มากระทำการช่วยเหลือมนุษย์ให้สำเร็จนั้น พระเจ้าในฐานะของผู้พิพากษาแล้วนะ ไม่ใช่ในฐานะพ่อ ไม่ใช่ในฐานะผู้ให้กำเนิด แต่ในฐานะของผู้พิพากษาของมหาจักรวาล ยุติธรรม พระองค์ได้ประกาศเป็นพันธสัญญา

            นึกถึงภาพพันธสัญญา … พันธสัญญาก็เหมือนกับเราไปที่ธนาคาร แล้วมีการเซ็นสัญญาอะไรบางอย่าง นี่เขาเรียกว่าพันธะ … พันธะ คือสัญญาที่มีพันธะ มีการผูกพันกันระหว่าง 2 ฝ่าย

            พระองค์ได้ทรงประกาศพันธสัญญาที่เรียกว่าพันธสัญญาเดิม ถามว่าทำไมเรียกพันธสัญญาเดิม ก็เพราะว่าที่เรากำลังพูดอยู่นี้ เลยช่วงเวลานั้นมาหลายพันปี มีพันธสัญญามาแทนที่  เรียกว่าพันธสัญญาใหม่ เพราะฉะนั้น ตรงนี้จึงเป็นพันธสัญญาเดิม แต่ในตอนที่ประกาศตอนนั้น ไม่มีพันธสัญญาเดิมหรอก มีแต่ว่าประกาศพันธสัญญาในช่วงนั้น ก่อนที่จะมีพันธสัญญาใหม่ เป็นพันธสัญญาฉบับแรก ก่อนที่จะมีฉบับที่ 2 ประกาศให้กับมนุษย์ และสรรพสิ่งทั้งหลายที่พระองค์ทรงสร้าง และได้เห็นชัดเจนเลยว่านี่กระทำผิดอย่างนี้ ต้องได้รับโทษอย่างนี้ๆ

            นี่เป็นการประกาศพันธสัญญาให้กับมนุษย์ว่าให้มนุษย์นำเลือดสัตว์บริสุทธิ์ ไร้ตำหนิ มลทินใดๆ มาถวายบูชา ชำระหนี้บาป ที่ได้กระทำไปนั้น ปีต่อปี เพื่อจะได้รับการอภัยโทษ พ้นจากคำพิพากษาลงโทษ และสามารถกลับคืนดีกับพระเจ้าได้ และอยู่ในสวรรค์กับพระเจ้าได้ ไม่ต้องตายต่อพระเจ้า คือไม่ต้องตายจากพระเจ้านิรันดร์ รวมไปถึงหลังความตาย ฝ่ายร่างกายด้วย คือพูดง่ายๆ ว่าไม่ต้องถูกพิพากษานิรันดร์ หลังจากประกาศพันธสัญญากับมวลมนุษย์ไปเรียบร้อยแล้ว

            หลายพันปีต่อมา เมื่อครบกำหนดเวลา ตามแผนการที่พระองค์ทรงวางไว้ วางไว้เพื่อจะช่วยมนุษย์ให้หลุดพ้นออกมาจากหนี้บาป ที่ได้กระทำผิดไปนั้น เมื่อครบกำหนดเวลา ตามแผนการที่วางไว้ พระเจ้าก็ได้ประทานพระบุตร คือพระเยซูคริสต์มากำเนิดในหญิงพรหมจรรย์ เพื่อช่วยเหลือมนุษย์ที่พระองค์ทรงรัก พระคัมภีร์บันทึกไว้ชัดเจนเลยว่าพระเยซูคริสต์มา เพื่อช่วย ไม่ได้มาเพื่อพิพากษาลงโทษ แต่มาเพื่อช่วยให้ผู้ที่ถูกพิพากษาลงโทษอยู่แล้วนั้น ได้รับการอภัยโทษ รอดพ้นจากการถูกพิพากษาลงโทษ

            พระเยซูคริสต์มาเกิดในหญิงพรหมจรรย์ เรารู้กันอยู่แล้ว บันทึกว่าชื่อแมรี่ เมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว เพื่อเป็นตัวแทนของมวลมนุษย์ หมายถึงว่าใครเป็นมนุษย์ พระเยซูคริสต์ก็เป็นตัวแทนของผู้นั้น

            “เพราะฉะนั้น พระเยซูเป็นตัวแทนของฉันด้วย”

            ถูกไหม? ถูก ฉันเป็นหนี้ พระเยซูคริสต์ก็มาเป็นตัวแทนชดใช้หนี้บาปทั้งหมดให้ฉัน พระองค์ไม่ได้เป็นหนี้กับเขาด้วยนะ พระองค์มาเกิดเป็นมนุษย์ จากหญิงพรหมจรรย์ ตัดขาดเชื้อสายการเป็นหนี้เป็นสิน เป็นมนุษย์เหมือนกับเรา แต่เป็นมนุษย์คนละพันธุ์กับเรา เพราะว่าหน่อเชื้อของพระองค์ไม่ได้มาจากอาดัม  แต่หน่อเชื้อของพระองค์มาจากพระเจ้า เอเมน เรียกกันว่าหน่อเชื้อของพระคริสต์ เรียกกันในภาษาพระคัมภีร์ว่าในพระคริสต์ จำได้ไหม ตะกี้นี้ของเก่า เราอยู่ในอาดัม ตอนนี้พระเยซูคริสต์มา กำลังจะมาบอกว่าพระองค์อยู่ในพระคริสต์ เป็นตัวแทนของมนุษย์ เพื่อจะชดใช้บาปให้กับมวลมนุษย์ทั้งปวง ด้วยเลือดและชีวิตของพระองค์เอง ซึ่งเป็นเลือดที่บริสุทธิ์ ไม่มีมลทิน ไม่มีตำหนิใดๆ  เพราะพระองค์เป็นพระเจ้า  ที่บังเกิดเป็นมนุษย์

            เห็นอะไรไหม? จากเลือดสัตว์ที่บริสุทธิ์ ไร้มลทิน ตอนนี้เป็นเลือดของมนุษย์ผู้หนึ่ง ที่มาเป็นตัวแทนของเรา เกิดจากพระเจ้า แต่ลงมาเกิดในร่างกายมนุษย์ เหมือนเรา ยอมสละโลหิตและชีวิตของพระองค์ ซึ่งไร้มลทิน คือไร้ความผิด  ไม่มีหนี้ ไม่เป็นหนี้ใครสักหน่อยเลย  เพื่อมาเป็นตัวแทนชดใช้หนี้ให้กับมวลมนุษย์ รวมทั้งเราด้วย ตัวฉันด้วยนั่นเอง

            พระเจ้าผู้พิพากษาของมหาจักรวาล จึงได้ประกาศ เมื่อหลายพันปีก่อน  ประกาศพันธสัญญาเดิมแล้ว ตอนนี้ หลังจากที่พระเยซูได้กระทำสำเร็จเรียบร้อยแล้ว พระเจ้าผู้พิพากษาของมหาจักรวาล จึงได้ประกาศยกเลิกพันธสัญญาแรก พันธสัญญาเดิม ซึ่งมันอ่อนแอ ซึ่งมันไม่สมบูรณ์ เพราะใช้เลือดสัตว์เท่านั้น ผ่อนส่งปีต่อปี  โดยประกาศยกเลิก และหันมาใช้พันธสัญญาใหม่  ผ่านทางพระเยซูคริสต์ที่กระทำสำเร็จเรียบร้อยแล้วบนไม้กางเขน เมื่อ 2,000 ปีก่อนนั้นนั่นเอง

            ใน 1 เปโตร 2:24 ได้บันทึกอย่างชัดเจนเลย ถึงเรื่องนี้ เมื่อ 2,000 ปีก่อน นี่เป็นการประกาศของพระเจ้าว่าพันธสัญญาใหม่ คืออย่างนี้ …

        1 เปโตร 2:24  “พระองค์เอง (พระเยซู) ทรงรับแบกบาปของเราทั้งหลายไว้ที่พระกาย บนไม้กางเขนนั้น (ยอมมอบชีวิตพระองค์เองแด่พระเจ้า เพื่อเป็นเครื่องบูชาลบล้างบาป เป็นแพะรับบาปให้มวลมนุษย์) เพื่อเราจะได้ตายต่อบาป (เป็นอิสระจากหนี้บาปเวรกรรม) และสามารถกลายมาเป็นผู้ชอบธรรมของพระเจ้า ด้วยบาดแผล (การตายด้วยความทุกข์ทรมาน) ของพระองค์ พวกท่าน (ผู้ที่เชื่อ) ได้รับการรักษาให้หาย (จากบาป)”

            ผมมีภาพให้ท่านดู เพื่อท่านจะฟังไปด้วยและดูไปด้วย วิญญาณเป็นสีดำ ความคิดจิตใจเป็นสีดำ ร่างกายเป็นสีดำ

            ตายต่อบาป คือตายจากบาป ได้เกิดใหม่ เป็นลูกผู้ชอบธรรมของพระเจ้า

            อันนี้ คือรูปที่รักษาหายแล้ว

            ตายต่อบาป แปลว่าตายจากบาป  ภาษาเดิม สามารถแปลตรงนี้ได้ 2 อัน ก็คือตายต่อบาป หรือตายจากบาป เหมือนกัน  ให้ความหมายเดียวกัน คือตายจากความเป็นคนบาป ตายจากการเป็นคนบาป ตายต่อบาป หมายถึงอย่างนี้ ในอดีตที่มนุษย์เกิดมา  เราเป็นคนบาป เห็นไหมครับ จิตใจและวิญญาณของเราเป็นบาป ร่างกายเป็นบาป พระเยซูมาทำให้เรากลับคืนดี ตามข้อพระคัมภีร์เมื่อสักครู่นี้ คือทำให้เราตายต่อบาป พระองค์เอง คือพระเยซูทรงรับแบกบาปของเราทั้งหลายไว้ ที่พระกาย บนไม้กางเขน ก็คือยอมมอบชีวิตของพระองค์เอง แด่พระเจ้า ทั้งพระโลหิตของพระองค์ เพื่อเป็นเครื่องบูชา ลบล้างบาป เป็นแพะรับบาปให้มวลมนุษย์ เพื่อเราจะได้ตายต่อบาป ก็คือตายจากบาป ก็คือเราเป็นคนบาปอยู่ก่อน ตายจากบาป

            บาป คือเราเป็นหนี้เป็นสิน จำได้ใช่ไหมครับ ตายต่อบาป คือเป็นอิสระจากหนี้บาป เวรกรรมทั้งหมด ได้บันทึกไว้อย่างนี้ และได้สามารถกลายมาเป็นผู้ชอบธรรมของพระเจ้า คืออีกภาพหนึ่ง  ภาพเมื่อสักครู่นี้

            ตายต่อบาป บาปหายไป กลายมาเป็นผู้ชอบธรรม มืดบอดหายไป กลายเป็นความคิดจิตใจที่เป็นผู้ชอบธรรม ร่างกายตายต่อบาป ก็คือไม่ได้เป็นบาปอีกต่อไป สะอาดบริสุทธิ์นั่นเอง

            อันนี้ คือตอนที่เราเกิดมาใหม่ๆ มนุษย์ทุกคนเกิดมาอยู่ในภาพนี้ ตามที่เราได้อ่านเมื่อสักครู่นี้ ที่พระเจ้าอธิบายให้เราตั้งแต่เริ่มต้นปฐมกาล มนุษย์ทุกผู้ทุกนามอยู่ในอาดัม อยู่ในบาป เกิดมาเป็นคนบาป เพราะว่าเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขจากอาดัม ซึ่งเป็นบาป

            คำว่า “เป็นบาป” ตรงนี้ ก็คือวิญญาณตายต่อพระเจ้า หรือตายจากพระเจ้า คือไม่มีพระเจ้า เข้ากับพระเจ้าไม่ได้ วิญญาณมืด พระเจ้าสว่าง วิญญาณชั่ว พระเจ้าดี  พอเห็นภาพไหมครับ เกิดมาอยู่ในวิญญาณที่ตายต่อพระเจ้า และจิตใจก็มืดบอดต่อพระเจ้า ดื้อต่อพระเจ้า มองเห็นพระเจ้าไม่ชัดเจน ร่างกายล่ะ ร่างกายก็ตายต่อพระเจ้า พุ่งตรงแต่จะทำอะไรก็ตามที่ตรงกันข้ามกับพระเจ้า พระเจ้าบอกดี ร่างกายก็พยายามจะแย้ง จะพยายามทำสิ่งที่ตรงกันข้ามกับพระเจ้า เป็นธรรมชาติ  เพราะฉะนั้น ธรรมชาติของมนุษย์ที่เกิดมาบนโลกใบนี้ เกิดอยู่ในอาดัม ก็จะมีวิญญาณที่ตายต่อพระเจ้า ความคิดจิตใจที่มืดต่อพระเจ้า ร่างกายที่ตายต่อพระเจ้านั่นเอง ซึ่งพระเยซูมาทำการไถ่บาป เป็นตัวแทนให้กับมนุษย์ ช่วยเหลือมนุษย์ให้กลับมาเป็นลูก

            รูปที่ 2 เมื่อสักครู่นี้แหละ ก็คือกลายเป็นตายต่อบาป  คือตายจากบาป ได้เกิดใหม่ เป็นลูกผู้ชอบธรรมของพระเจ้า ด้วยการกระทำของพระเยซูคริสต์ คือหลั่งพระโลหิตของพระองค์ มอบชีวิตของพระองค์ให้เป็นเครื่องไถ่บาปให้กับเรา พ้นจากการเป็นหนี้เป็นสิน พ้นจากการถูกลงโทษนั่นเอง ด้วยเลือดของพระองค์

            จำที่พระเยซูคริสต์สั่งได้ไหม? สั่งก่อนที่จะเสด็จเข้าสู่สวรรค์ อยู่ในสวรรค์แล้ว ยังสั่งต่อ ให้มนุษย์ทั้งหลาย โดยเฉพาะผู้ที่เชื่อแล้ว ให้ทำพิธีมหาสนิทบ่อยๆ จะได้ไม่ลืม เพื่อระลึกถึงโลหิตแห่งพันธสัญญาใหม่ ที่พระองค์ทรงกระทำ จะได้ไม่ลืมเลือดของพระองค์ที่บริสุทธิ์ ที่หลั่งลงมา เพื่อมนุษย์ทั้งปวง เพื่อจะได้รับการอภัยโทษ จากพระเจ้า ไม่ต้องถูกลงโทษนั่นเอง พอจะเห็นภาพนะ

            นอกจากพระเจ้าจะอภัยให้กับมนุษย์ อภัยในโทษความบาปผิดของมวลมนุษย์เรียบร้อยแล้วนั้น แค่นั้นไม่พอ ในข้อความเมื่อสักครู่นี้ พระองค์ยังทรงรักษาเขาให้หาย หายจากการเป็นคนบาป นึกภาพออกไหม? อภัยให้ไม่พอ รักษาให้หาย หายจากโรคที่เป็นคนบาป หายจากการเป็นคนบาป ด้วยวิธีเปลี่ยนร่าง ก็คือขจัดหรือกำจัดตัวเก่าที่เป็นบาปนั้นไปเลย ไม่ใช่ยกเครื่อง แต่เปลี่ยนเครื่องใหม่ คนที่ขับรถจะรู้ ไม่ใช่ยกเครื่องใหม่ แต่เปลี่ยนเครื่องใหม่ให้ แล้วเครื่องเก่าล่ะ เอาออกไปเลย พูดง่ายๆ ว่าพระเจ้ากระทำ โดยวิธีการฆ่าตัวเก่าเราให้ตายซะ

            “ฆ่าตัวเก่าฉันให้ตาย แล้วให้ตัวใหม่ คือบังเกิดใหม่ เปลี่ยนแปลงวิญญาณและใจใหม่”

            ก็คือเปลี่ยนแปลงเมื่อสักครู่นี้ เปลี่ยนแปลงวิญญาณและความคิดจิตใจ ในวงสีขาวกับวงสีเหลืองนั่นแหละ เปลี่ยนให้ใหม่เลย แล้ววงสีแดงล่ะ คือร่างกาย เปลี่ยนใหม่ด้วยครับ

            เพราะว่ามนุษย์ต้องประกอบไปด้วย 3 สิ่งนี้ คือวิญญาณ ความคิดจิตใจและร่างกาย วิญญาณเปลี่ยนแล้ว ด้วยพระโลหิตของพระเยซูคริสต์ และการเป็นขึ้นจากความตาย คือชีวิตของพระองค์ ที่ตายแล้ว และเป็นขึ้นจากความตายนั้น ทำให้วิญญาณได้รับการเปลี่ยนแปลงใหม่ ความคิดจิตใจได้รับการเปลี่ยนแปลงใหม่เลยทันที ส่วนร่างกายเปลี่ยนใหม่ เหมือนพระเจ้าเหมือนกัน เปลี่ยนใหม่เลย แต่อยู่ในขบวนการเปลี่ยนเมื่อไร? เริ่มต้นแล้ว เมื่อเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด อัศจรรย์นี้เกิดขึ้นทันที คือวิญญาณเปลี่ยนใหม่ ความคิดจิตใจเปลี่ยนใหม่ 100% สะอาด บริสุทธิ์ ผุดผ่อง ร่างกายเริ่มต้นเปลี่ยน โดยพระวิญญาณ เริ่มต้นเตรียมพร้อม และจะได้ครบถ้วนบริบูรณ์ เมื่อวันที่วิญญาณและความคิดจิตใจนั้นออกจากร่าง คือวันที่สิ้นสุดร่างกายเดิมนี้ พอหมดร่างกายเดิมนี้เมื่อไร? ร่างกายเดิมนี้สูญสิ้นเมื่อไร? หมดลมหายใจเมื่อไร? แค่พริบตาเดียวเท่านั้น จบแล้ว ได้แล้ว ร่างกายใหม่เป็นของท่านทันที เอเมน ขอบคุณพระเจ้า

            นี่เป็นข่าว (ขอโทษนะ) ข่าวโคตรดีเลย ไม่ใช่ข่าวดีธรรมดา พระองค์ประกาศมา 2,000 ปี ก็คือข่าวดีนี่แหละ คืออัศจรรย์ของข่าวดีนี่แหละ มันเกิดขึ้นทันที คนสมัยนั้น เขาจึงไม่ได้คิดอะไรมากมาย มนุษย์เราเดี๋ยวนี้ฉลาดมาก ด้วยตนเอง จนกระทั่งความรู้ท่วมหัว เอาตัวไม่รอด

            สมัย 2,000 ปีก่อน ที่ข่าวดีนี้ เพิ่งประกาศใหม่ๆ พันธสัญญาเพิ่งเริ่มต้น ตอนที่พระเยซูคริสต์สิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน แล้วบอกว่าสำเร็จแล้วนั้น ตั้งแต่นั้นมา ประกาศ มันไม่ได้ยากเย็นอะไรเหมือนทุกวันนี้เลย เขาเชื่อกันง่ายๆ แบบนี้แหละ  เขารู้กันง่ายๆ แบบนี้แหละ เขาบอกให้อดทน รอชั่วขณะหนึ่งนะ  อดทน แป๊บเดียวนะ แป๊บเดียว เรากำลังไปรับร่างกายใหม่ เรารับร่างกายใหม่อีกไม่กี่วันนี้ เรารับร่างกายใหม่ เขาถูกข่มเหงรังแก เขาก็บอกว่าอดทนนะ ชั่วขณะเดียวเอง เดี๋ยวเราก็รับร่างกายใหม่แล้ว เมื่อไร? เมื่อวิญญาณออกจากร่าง ตายจากร่างกายนี้เมื่อไร วิญญาณและความคิดจิตใจนี้ ก็จะไปสวมร่างกาย ที่เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์ เรียกว่าเข้าส่วนร่วมพระสิริกับพระคริสต์ อย่างครบถ้วนบริบูรณ์ เรียกว่ามงกุฎแห่งชีวิตนิรันดร์ ที่พระองค์ทรงจัดเตรียม รอไว้ให้กับเราเรียบร้อยแล้ว พร้อมทั้งมรดกนิรันดร์หลังความตาย หลังสิ้นสุดร่างกายนี้เท่านั้นนั่นเอง นี่คือความหวังใจ

            เพราะฉะนั้น ขณะที่รอร่างกายใหม่ อย่างครบถ้วนบริบูรณ์นี้อยู่ วิญญาณใหม่ไหม? ใหม่ ความคิดจิตใจใหม่ไหม? ใหม่ ตัวเก่ายังอยู่ไหม? ตัวเก่าตายไปแล้ว ถูกไหม? ตัวเก่าที่เป็นคนบาป อยู่ในความพินาศ ต้องชดใช้หนี้กรรม เวรกรรมต่างๆ เหน็ดเหนื่อยเหลือเกิน ที่เต็มไปด้วยความกลัวต่างๆ เหล่านั้น ยังอยู่ไหม? ไม่อยู่แล้ว ตายไปแล้ว ที่อยู่ทุกวันนี้ คือตัวใหม่เอี่ยมเลย เห็นไหม? ไม่เห็น สิ่งที่ตามองไม่เห็น และหูไม่ได้ยิน คือสิ่งที่พระเจ้าทรงจัดเตรียมไว้ให้กับลูกๆ ของพระองค์  ตอนดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ คือ …

            “จงมองเห็นเถิดลูกเอ๋ย พระวิญญาณบริสุทธิ์ที่สถิตอยู่กับลูกนั้นจะเป็นผู้บอกลูก ให้ลูกรู้อยู่ในใจ ใช้ตาฝ่ายวิญญาณจะเห็นจากถ้อยคำของพระเจ้า ที่บันทึกไว้ในพระคัมภีร์”

            “จะเห็นชัดเจนว่านี่คือถ้อยคำแห่งความจริงของพระเจ้าว่าตัวเก่าฉันตายไปแล้ว ฉันจะมองในกระจกอย่างไร? ฉันก็เห็นตัวเก่าฉันตายไปแล้ว แม้ว่าฉันมองในกระจก แล้วเห็นตัวเองรูปร่างเหมือนเดิม แก่ไปเหมือนเดิม  แต่ถ้อยคำพระเจ้าบอกแล้วว่าวิญญาณฉันเกิดใหม่แล้ว ตัวเก่าถูกขจัดออกไปแล้ว ตัวที่อยู่ในอาดัมถูกจัดการฆ่าให้ตายแล้ว ตัวที่อยู่ในอาดัมถูกขจัดออกไปแล้ว”

            พระคัมภีร์จะพูดอย่างนี้เสมอ พระองค์ทรงกระทำอย่างนี้ เพื่อเราจะได้กลับคืนดี สู่สภาพดี เป็นลูกของพระเจ้า ที่มีสง่าราศี เหมือนตอนที่พระเจ้าสร้างมนุษย์ใหม่ๆ ก่อนที่อาดัมจะล้มลงไป ไม่เชื่อฟังต่อพระเจ้า นำพาพวกเราทั้งหลาย ลูก หลาน เหลน โหลน ตระกูลของมวลมนุษยชาติตกลงไปในความบาป คำสาปแช่งนั่นเอง พระองค์นำเรากลับคืนมาสู่สภาพดี เป็นลูกพระเจ้าที่เต็มด้วยสง่าราศีเหมือนเดิม และไม่ใช่เหมือนเดิมธรรมดา ดีกว่าเดิมตั้งเยอะเลย ดีกว่าเดิม กว่าตอนที่สร้างเราใหม่ๆ ด้วยซ้ำ ซึ่งทั้งหมดนี้ ได้กระทำสำเร็จแล้ว พันธสัญญาใหม่ได้เริ่มต้นแล้ว เมื่อไร? เมื่อเลือดได้หลั่งออกมา ถ้าไม่มีเลือด ก็ไม่มีการอภัยโทษ พระคัมภีร์บันทึกอย่างนั้น ทั้งหมดนี้ได้กระทำสำเร็จแล้วด้วยโลหิตของพระเยซูคริสต์ที่หลั่งออก และชีวิตของพระเยซูคริสต์ที่สิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน  เพื่อเราจะได้บังเกิดใหม่ ซึ่งพระองค์หลั่งโลหิตและถวายชีวิตของพระองค์เอง  เพื่อถวายเป็นเครื่องบูชา แด่พระเจ้านั่นเอง

            เพราะฉะนั้น จากประวัติอันดึกดำบรรพ์ของมวลมนุษย์ ที่เล่ามาทั้งหมด ที่ไบเบิ้ลได้บอก เราจะสามารถเห็นได้ชัดว่าการถวายเลือด เป็นเรื่องจริง เราจะมาลองวิเคราะห์กันดูว่ามันเป็นเรื่องจริงอย่างไร? มันเป็นความจริงในเรื่องเกี่ยวกับการถวายสัตว์ ถวายเลือด ภาษาไทยเราเรียกกันว่าบูชายันต์ ฟังดูแล้วน่ากลัว ฟังดูแล้วโหดร้ายทารุณ แต่พอวิเคราะห์ตามประวัติศาสตร์ที่พระคัมภีร์ได้บันทึกไว้ มันเป็นเรื่องจริงที่เกิดขึ้นเกี่ยวกับโลกวิญญาณ ถูกหรือไม่?

            การถวายเลือดสัตว์ที่บริสุทธิ์ บูชาแด่พระเจ้า ผู้ครอบครอง ผู้พิพากษาแห่งสวรรค์ของมหาจักรวาลนี้ ก็เพื่อชดใช้หนี้บาป เพื่อจะได้พ้นจากการถูกลงโทษ ถูกสาปแช่ง เป็นพิธีกรรมทางวิญญาณของมวลมนุษย์ ตั้งแต่ยุคเริ่มต้นมาแล้ว ทุกยุค ทุกสมัย ทุกเผ่า ทุกชาติ ทุกความเชื่อ มาจนกระทั่งถึงปัจจุบัน และมันก็จะต่อๆ จนกระทั่งถึงสิ้นโลกนี้ เพราะมันยังคงวนเวียนอยู่ในจิตใต้สำนึกของมนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้นั่นเอง เพียงแต่เขาจะรู้ความจริงเรื่องพันธสัญญาใหม่หรือไม่? มันจะวนเวียนอยู่ตลอด  เพราะมันมีพื้นฐาน มูลเหตุมาจากความเป็นจริงนั่นเอง มันเรื่องจริงที่เราฟังมา พระคัมภีร์ไบเบิ้ลได้พูดให้เราฟัง ตั้งแต่เริ่มต้นอาดัม มันเรื่องจริง

            เผ่าพันธุ์มนุษย์รุ่นแรก หลังจากอาดัมตกลงไปในความบาป ชื่อคาอินกับอาแบล ก็รู้เรื่องนี้แล้ว  พระเจ้าบอกอาแบลว่าเขาดีแล้ว เขาเชื่อฟังเรา  เพราะว่าเขาถวายเลือดสัตว์ที่บริสุทธิ์  ส่วนพี่ชาย คือคาอิน พระเจ้าไม่รับ เขาทำชั่วอะไร? เขายังไม่ได้ทำชั่วอะไรเลย เขาเพียงแต่ไม่ได้ถวายเลือด  แต่เขาถวายผลทางการเกษตรที่ยอดเยี่ยมด้วยนะ  เขาคัดผลทางการเกษตรที่ดีเลิศ  ไม่มีที่ติเลย ยกตัวอย่าง สมมติว่าเป็นข้าวโพด เป็นข้าว เขาเอาข้าวและข้าวโพดอย่างดี ยอดเยี่ยมที่เป็นผลผลิตของเขามา ถวายแด่พระเจ้า  เพื่อลบบาป  พระเจ้าไม่รับ เขาไม่ได้ทำชั่วอะไรสักหน่อยเลยนะ

            พระเจ้าบอกว่า … “ถ้าเจ้าทำดีเราก็รับไม่ใช่หรือ?”

            เขาทำอะไรไม่ดี เขาถวายเหมือนกัน แต่เขาถวายไม่เชื่อฟัง พระองค์บอกให้ใช้เลือด เขาไม่ใช้ เขาอาจจะคิดก็ได้ว่าสงสารสัตว์ นี่คิดเอาเองนะ  เขาอาจจะบอกว่าทารุณมัน โอ๊ยไม่เอา ทำไมโหดร้ายอย่างนี้

            แต่อาแบล พระเจ้าบอกว่า … “เขาได้พร เพราะเขาเชื่อฟังเรา เรารับ ทำไมเจ้าไม่ยอมเชื่อฟัง เพราะเจ้าคิดของเจ้าเองใช่ไหมว่ามันอย่างนี้”

            “ฉันสงสารมัน เลี้ยงมันมา ฆ่ามันทำไม? อันโน้นอันนี้”

            มันเรื่องของพระเจ้า  หลายสิ่งหลายอย่างเราทำ เรานึกว่าเราไม่ควรทำหรอกอย่างนี้  เราคิดเอง  เราพึ่งพาตนเอง เราคิดว่าอย่างนี้ดี แต่พระเจ้าบอกว่าอย่างนี้ถูกต้องตามกฎทางวิญญาณ มันถึงเกิดผล แม้กระทั่งทุกวันนี้ เราก็ยังไม่รู้เลย  เหตุอะไร ทำไมถึงต้องใช้สัตว์ เราก็รู้เท่าที่พระคัมภีร์บันทึกไว้  แล้วพระวิญญาณอธิบายให้เราฟัง  เท่าที่ทำได้  เท่าที่สติปัญญามนุษย์ และโดยพระวิญญาณจะสามารถเปิดตาพอจะให้เราเข้าใจได้บ้าง เราไม่มีทางเข้าใจได้หมดหรอกว่าวิธีการของพระเจ้า จะทำวิธีใด อย่างไร?  ในชีวิตของเราเอง ในปัจจุบัน เอามาเทียบก็ได้  ไม่ว่าเราจะทำอะไร? ธุรกิจ ถ้าเราใช้เหตุผลของเราเข้าไปผสม จะเละเลย  นี่แหละเรียกว่าความเชื่อ  เพราะว่าเขาเชื่อในพันธสัญญาเดิมบอกว่าใช้โลหิต เขาก็ใช้โลหิต เขาก็คัดผลผลิตของเขา แกะตัวงามๆ ไร้ตำหนิ ไม่ขาเป๋ ดีที่สุด  เขาก็ฆ่าเอาเลือดถวายบูชาแด่พระเจ้า พระเจ้าถือว่าโอเค อภัยโทษบาป 1 ปี

            ส่วนพี่ชายคัดข้าว ข้าวโพดอย่างดีเยี่ยมเลย เอาฟักใหญ่ๆ เมล็ดใหญ่ๆ ถวายพระเจ้า พระเจ้าไม่รับ พอพระเจ้าไม่รับ งอนพระเจ้าอีก โกรธพระเจ้าอีก

            “ลำเอียงนี่”

            เป็นซะอย่างนั้นแหละ พระเจ้าเลยบอกว่า … “อย่าให้บาปครอบงำเจ้า เชื่อในเราสิ ทำตามซะ”

            สิ่งเหล่านี้ คือพื้นฐานความจริงทั้งสิ้น  เพราะฉะนั้น พิธีกรรมทางวิญญาณนี้ ในทุกวันนี้ ก็ยังมีผู้ที่พยายามที่จะมาบิดเบือนความจริง พยายามที่จะใส่ร้ายให้ความเท็จกับเรื่องนี้ พยายามต่อต้านบิดเบือนความจริงทั้งหมดนี้ คือเรื่องพิธีกรรมทางวิญญาณนี้ ผลทางวิญญาณนี้ โดยใช้เหตุผลของมนุษย์เข้ามา แทรกเข้ามา บ้างก็บอกว่าทารุณ ป่าเถื่อน ใช่ไหม? โบราณเหลือเกิน ใช่ไหม? ล้าสมัย  ไม่ศิวิไลท์เลย หนักถึงขนาดมีการโจมตีว่าศาสนาคริสต์ เป็นศาสนาที่ทารุณโหดร้ายมากเลย คือเชื่อในการบูชายันต์พระเยซูคริสต์ มีอย่างนี้จริงๆ เป็นศาสนาที่มีความเชื่อแบบป่าเถื่อน ทุกวันนี้เราป่าเถื่อนกันไหม? เฮกัน ทำมหาสนิท ทำกันบ่อยๆ พระเยซูบอกให้ทำกัน ทำอะไร? ระลึกถึงเลือดของพระองค์ที่หลั่งที่ไม้กางเขน ท่านไม่เคยคิดเหรอว่าท่านเป็นคนน่าโหดร้ายขนาดนี้ เราไม่คิดเลย เพราะเราเชื่อแล้ว เรารู้ว่ามันคืออะไร? แต่สำหรับคนที่ไม่เชื่อ  และไม่เข้าใจสิ่งเหล่านี้ ฟังดู แล้วไม่โหดร้ายเหรอ ประกาศมา 2,000 ปีแล้ว เลือดของพระเยซูคริสต์ ในพระคัมภีร์ใหม่เขียนถึงโลหิตพระเยซูคริสต์และชีวิตพระเยซูคริสต์ที่ถูกสังเวย ถูกบูชายันต์ นี่คือความจริงทั้งนั้นเลย

            เพราะว่าเขาต้องการ เขาหมายถึงมาร ต้องการปิดบังความจริงเรื่องนี้ มาตั้งแต่เริ่มต้นแล้ว พยายามใส่ร้ายให้มนุษย์คิดตาม ก็บอกว่ามันไม่ศิวิไลท์ อย่างที่บอก พยายามขัดขวางข่าวประเสริฐนี้ เพราะฉะนั้น หัวใจข่าวประเสริฐของข่าวประเสริฐ คือพระโลหิตของพระเยซูคริสต์และชีวิตของพระองค์ ซึ่งถูกบูชายันต์ที่ไม้กางเขน เพื่อมวลมนุษย์ทั้งปวงจะได้หลุดพ้นออกจากความบาปและความตาย ความพินาศ ซึ่งอยู่ในอาดัมอยู่แล้ว นอกจากโจมตีอย่างนี้แล้ว ยังโจมตีอย่างไรอีก นี่ยิ่งหนักใหญ่เลย ตั้งแต่ 2,000 ปี หรือก่อนหน้า 2,000 ปีอีก พยายามที่จะทำให้เรื่องจริงในเรื่องนี้มันเสียหาย ไม่เป็นไปตามจุดประสงค์ที่พระเจ้าวางไว้ เพื่อจะลบความศักดิ์สิทธิ์ของพิธีกรรมการถวายโลหิต เพื่อชำระบาปให้กับมนุษย์ ซึ่งมนุษย์ทั้งหมดบนโลกใบนี้ ทำมาตั้งนานแล้ว เขาเชื่อถูกแล้ว ก่อนมีพระเยซูเขาก็ถวายกันหมดแล้ว คนที่ไม่รู้จักพระเจ้า เขาก็รู้ว่ามีสิ่งศักดิ์สิทธิ์อยู่เบื้องบนอยู่ในสวรรค์ เขาก็ถวายบูชายันต์เป็นหัวหมูบ้าง? เป็นอะไรต่างๆ ไป เป็นเป็ด เป็นไก่บ้าง? เรียกกันว่าบูชาพระเจ้า หรือเรียกกันว่าไหว้เจ้า ง่ายๆ คือบูชาแก่สิ่งศักดิ์สิทธิ์ ในโลกวิญญาณใครไม่รู้ ขออภัยโทษ เพื่อจะได้รับพระพรปีละ 1 ครั้ง ถวายหมู หัวหมู เป็ด ไก่ มีเลือดเข้ามาเกี่ยวข้อง คือพันธสัญญาเดิมนั่นเอง มาหลายพันปี ก่อนที่พระเยซูจะทำเสร็จด้วยซ้ำไป

            ท่านมองเห็นภาพไหมว่ามันมาอย่างนี้ พอพระเยซูมาทำให้สำเร็จ มันก็ปิดบังความจริงอีกว่าพระเยซูทำให้สำเร็จ มีพันธสัญญาใหม่แล้ว เปลี่ยนเป็นไม่ต้องถวายเลือดสัตว์แล้ว ใช้เลือดของมนุษย์แทนเลย ใช้ความเชื่อในพระเยซูคริสต์ที่เป็นตัวแทน ต่อไปนี้ไม่ต้องแล้ว พระเยซูถวายตัวเป็นเครื่องบูชายันต์ครั้งเดียวเองเป็นพอ ในพระคัมภีร์บอก รายละเอียดของพระคัมภีร์ใหม่ ก็คือครั้งเดียวเป็นพอ ไม่ต้องแล้ว ให้พระเยซูเป็นตัวแทนเลย เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ ใช้สิทธิ์นี้ ให้พระเยซูเป็นตัวแทน ในการถวายเลือดที่บริสุทธิ์ ครั้งเดียวเป็นพอ เลือดใคร? เลือดตัวแทน ก็คือเลือดพระเยซูคริสต์ พอแล้ว มันก็ปิดบังเรื่องนี้อีกว่าไม่พอ ไม่ใช่ๆ ไม่ถูกหรอก ไม่จริงหรอก ต้องถวายสัตว์อยู่ พาเราไปอยู่พระคัมภีร์เดิม พันธสัญญาเดิมอยู่นั่นแหละ นั่นคือการพยายามจะทำให้ความจริงของพระเจ้าเสื่อมเสีย แล้วก็ไม่เกิดผล ก็คือพยายามปิดบังตามนุษย์นั่นเอง นอกจากวิธีนี้ ก็ยังปิดบังตาด้วยวิธีใดอีก

            ตะกี้นี้คือไม่เชื่อในพระโลหิต หาว่าป่าเถื่อน ตอนนี้ผลัก คือวิธีทำของมาร คือลบความจริงด้วยวิธีการทำให้ความจริงนั้น ด้อยค่าลงกับผลักให้ความจริงนั้น มันเว่อร์ไป คือไม่ให้เชื่อ หรือไม่ก็เชื่อแบบผิดๆ แบบเว่อร์ไปเลย คือไม่สมดุลนั่นเอง

            วิธีทำให้เว่อร์ คือ … “นี่พระเจ้าบอกแล้วใช่ไหม? บอกให้ถวายสัตว์”

            นี่ก่อนพระเยซูจะมา “ถวายสัตว์ใช่ไหม? ถวายเลย ดีแล้ว ถวายเยอะๆ เลย เป็นหมื่นตัว พระเจ้ายิ่งพอใจใหญ่เลย”

            พระเจ้าบอกตัวเดียวก็พอแล้ว แต่นี่ถวายหมื่นตัว

            “นี่ถ้าเธอถวายเลือดสัตว์นะ พระเจ้าพอใจมาก ให้รางวัลมาก”

            จริงๆ  ให้รางวัลเท่ากัน อภัยในโทษบาป 1 ปี ละเว้นโทษ 1 ปี

            “ถ้าเธอถวายเยอะๆ พระเจ้าจะพอใจมาก ฉะนั้น เธอต้องทำให้ดีขึ้น คือเครื่องถวายโลหิตนั้น เธอเอาคนสิ เอาคน ถ้าเอาคนนะ พระเจ้าพอใจใหญ่เลย”

            ก็แทนที่จะเลือกเอาสัตว์ที่บริสุทธิ์ที่สุด มาถวายแด่พระเจ้า ก็ถูกหลอกให้เอาคน ไปบูชายันต์ ซึ่งก็มีมาตลอด ทุกวันนี้ก็ยังมี เพื่อพิธีกรรมทางศาสนานี้ เพื่อพิธีกรรมทางวิญญาณนี้จะได้ เกิดผลมากๆ มันก็ถูกหลอกเข้าไปอีก  ทำให้ความจริงมันถูกบิดเบือน กลายเป็นเรื่องไร้สาระ เรื่องป่าเถื่อน เรื่องน่าหวาดเสียว หวาดกลัวไปเลย จริงๆ มันไม่มีอะไรเลย คือพระคัมภีร์เดิมใช้เลือดสัตว์ที่บริสุทธิ์ พระคัมภีร์ใหม่ใช้เลือดพระเจ้าที่มาเกิดเป็นมนุษย์ที่บริสุทธิ์ แค่นี้เอง โดยฐานของการกระทำนี้ คือความรัก ความเมตตา การช่วยเหลือกฎหมาย ทางโลกวิญญาณนั่นเอง เห็นภาพไหม? จากของดีๆ ทำให้มันเสียหาย  และใครเป็นคนทำ ก็ศัตรูของพระเจ้านั่นเอง ก็คือมารและสมุนของมัน  ที่ปกคลุมทำการงานอยู่บนโลกใบนี้ ไม่มีอำนาจ ไม่มีฤทธิ์อะไร? ทำได้อย่างเดียว คือขัดขวางความจริง บิดเบือนความจริง  ปิดบังความจริง เพราะมันไม่มีอำนาจ มันถึงโกหกอย่างเดียว แล้วอะไรทำให้มนุษย์เป็นอิสระได้จากมัน ความจริงไง?

            พระเยซูจึงบอกว่าความจริงทำให้ท่านเป็นไท ความจริงจะทำให้ท่านเป็นอิสระ ไม่ใช่ฤทธิ์อำนาจทำให้ท่านเป็นอิสระ เพราะเป็นอิสระแล้ว พระเยซูมาตายที่ไม้กางเขน หลั่งพระโลหิตเรียบร้อยแล้ว ชัยชนะเป็นของมวลมนุษย์แล้ว  ท่านต้องรู้ความจริง  ไม่ต้องทำอะไรแล้ว

            รับรู้ความจริง เสร็จแล้ว จากนั้นต้องทำอะไรต่อไป  ก็รับรู้ความจริงต่อไปอีกสิ รับรู้ความจริง แล้วทำอะไรอีก ต้องสู้กับมาร  ไม่ต้องสู้ ก็รับรู้ความจริงไปเรื่อยๆ  อย่าให้มันหลอก อย่าให้มันปิดบังตาก็แล้วกัน

            ความจริงที่พระเจ้าบอกในโลกวิญญาณ ในอดีต ก็คือมวลมนุษย์ตกอยู่ในคำสาปแช่ง ต้องโทษคำสาป  เนื่องจากความบาป ไม่เชื่อฟัง  ละเมิดกฎของพระเจ้า ผลออกมา ก็คือวิญญาณตายต่อพระเจ้า ความคิดจิตใจมืดบอดต่อพระเจ้า ร่างกายตายต่อพระเจ้า นี่คือความจริงในโลกวิญญาณ

            ในอดีตก่อนพระเยซูคริสต์จะมาเกิด มวลมนุษย์ต้องตกอยู่ในคำสาปแช่ง  นี่คือความจริงในโลกวิญญาณ  คือมวลมนุษย์ทุกคนตกอยู่ในคำสาปแช่ง  ต้องโทษคำสาป เนื่องจากความบาป  ไม่เชื่อฟัง ละเมิดกฎของพระเจ้า วิญญาณตายต่อพระเจ้า ความคิดจิตใจมืดบอดต่อพระเจ้า ร่างกายตายต่อพระเจ้า อยู่ภายใต้กฎของความบาปและความตาย ต้องพึ่งพาในการกระทำดีของตนเอง ซึ่งถูกเรียกว่าเป็นคนบาปอยู่ นี่คือในอดีต ก่อนที่พระเยซูคริสต์จะมาเกิดและกระทำให้สำเร็จ คือช่วยเหลือมนุษย์ 2,000 ปี จนกระทั่งถึงปัจจุบัน

            ปัจจุบัน พระคริสต์มาแก้ไขให้มวลมนุษยชาติเรียบร้อยแล้ว มวลมนุษย์ หมายถึงมนุษย์ทุกคน  ปัจจุบันพระคริสต์มาแก้ไขให้มนุษย์ทุกคน หรือมวลมนุษยชาติกลับคืนดี พ้นจากคำสาปแช่งแล้ว ก็คือวิญญาณตายต่อบาป ความคิดจิตใจมืดบอดต่อบาป ร่างกายตายต่อบาปแล้ว โดยผ่านทางพระโลหิต และการสิ้นพระชนม์ของพระเยซูคริสต์บนไม้กางเขนนั่นเอง มวลมนุษย์ได้อยู่ภายใต้กฎของวิญญาณแห่งชีวิตในพระเยซูคริสต์ ตามพันธสัญญาใหม่ที่พระเจ้าได้ประทานให้ แทนพันธสัญญาเดิม หรือพันธสัญญาเก่าเรียบร้อยไปแล้ว ซึ่งพันธสัญญาเก่า ก็คือกฎของความบาปและความตาย กฎของคำสาปแช่ง มนุษย์ได้หลุดพ้นจากกฎเหล่านี้เรียบร้อยแล้ว นี่คือความจริงในโลกวิญญาณที่เกิดขึ้นกับมวลมนุษย์ทุกคน พูดง่ายๆ ก็คือมนุษย์ทุกคนตอนนี้ อยู่ในกฎของวิญญาณแห่งชีวิตขององค์พระเยซูคริสต์แล้ว มนุษย์ทุกคนตอนนี้ วิญญาณเขาได้ตายต่อบาปแล้ว ไม่ได้เป็นคนบาปอีกต่อไปแล้ว ความคิดจิตใจมืดบอดต่อบาป ไม่ได้คิดแต่ความชั่วตลอดเวลาอยู่แล้ว ร่างกายตายต่อบาป ร่างกายไม่ต้องการกระทำสิ่งที่ชั่วร้ายอีกแล้ว โดยผ่านทางพระโลหิตพระเยซูคริสต์ที่หลั่งที่ไม้กางเขนเรียบร้อยไปแล้ว เพียงแต่เขารู้ความจริงหรือไม่เท่านั้นเองเขาอยู่ที่นี่แล้ว เขาแค่ยกมือว่า …

            “ใช่ ฉันรับด้วย”

            เขาก็ได้สิทธิของเขา พระเยซูทำให้เขาแล้ว ทำให้มนุษย์ทุกคน มวลมนุษย์ทั้งปวง  ไม่ใช่ผู้เชื่อเท่านั้น  ผู้เชื่อ คือผู้ที่เข้ามารับสิทธิ์ มวลมนุษย์ทั้งปวง คือผู้ที่พระเจ้าได้กระทำให้ เขาเรียบร้อยแล้ว เพียงแต่เขาเข้ามารับสิทธิ์เท่านั้นเอง แต่ถ้าเขาไม่มารับสิทธิ์ มันก็เสียไปฟรีๆ พระเจ้าไม่ได้เลือกปฏิบัติ รักมนุษย์ทุกคน ช่วยเหลือมนุษย์ทุกคน และช่วยไปหรือยัง? ช่วยแล้ว แต่เราต้องรับสิทธิ์ของเรา รัฐบาลจ่ายให้คนละ 700 บาททุกคน จ่ายให้หรือยัง? จ่ายแล้ว แต่คนนั้นต้องเดินทางไปรับ

            พระเจ้าประกาศความจริงนี้มา 2,000 กว่าปีแล้ว มนุษย์ทุกคน เพียงแต่ใช้สิทธิของตนเอง มายอมรับความจริงนี้เท่านั้น พอได้ยินคำประกาศของพระเจ้าแล้ว แค่บอกว่า …

            “โอ้ พระเจ้า อัศจรรย์เหลือเกิน ขอบคุณพระเจ้า ลูกรับเอา ขอบคุณพระเจ้า ลูกไม่ได้เป็นคนบาปอีกต่อไปแล้ว”

            นี่มันเป็นอย่างนี้มาตั้งแต่เริ่มต้น เมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว  ประกาศข่าวดีอย่างนี้ เขาเชื่อกันไม่ยากเลย  ไม่ต้องคิดมากเลย แต่ทุกวันนี้ พอประกาศข่าวดีนี้ …

            “มันเป็นไปได้อย่างไร? คนตายบนไม้กางเขน แล้วมันเกี่ยวอะไรกับเรา”

            กาลาเทีย 3:13 จึงบันทึกไว้อย่างนี้ว่า …

        กาลาเทีย 3:13 “พระคริสต์ได้ทรงไถ่เราพ้นจากคำสาปแช่งของบทบัญญัติ โดยทรง รับคำสาปแช่งแทนเรา เนื่องจากมีเขียนไว้ว่า “ผู้ใดถูกแขวนบนต้นไม้ ก็ถูกแช่งสาปแล้ว”

            “ถูกแขวนบนต้นไม้” ก็คือถูกตรึงอยู่บนไม้กางเขนนั่นเอง

            “ตัวเก่าของฉันเป็นอิสระจากคำสาปแช่ง ไม่ต้องคำสาปอีกต่อไปแล้ว อาเมน ฮาเลลูยา”

            มนุษย์มีเพียงแค่ เอเมนเท่านั้นเอง พระเจ้าจึงเป็นพระเจ้าของคริสเตียน ที่บอกว่าเอเมน พระเจ้าแห่งเอเมน ก็คือพระองค์ทรงกระทำทั้งหมดสำเร็จเรียบร้อยแล้ว  เอเมน แปลว่าใช่  ไม่ใช่ต้องทำอย่างโน้นอย่างนี้ ไม่ใช่  อ่านแล้ว ข่าวดีอยู่ในพระคัมภีร์ อ่านแล้วทำไม? เอเมน ใช่

            “ตัวเก่าของฉัน เป็นอิสระจากคำสาปแช่งแล้ว ตัวเก่าของฉันมันตายไปแล้ว ฉันเกิดใหม่ เป็นอิสระจากคำสาปแช่งแล้ว”

            ตอนนี้ รู้แล้วใช่ไหม ทำไมเวลามาชุมนุมรวมกันของคริสเตียนจึงได้ยินคำว่า “เอเมน” บ่อยๆ รู้แล้วใช่ไหม? เพราะรับด้วย เอาด้วย มันถูกต้อง ถูกไหม?

            ถ้าท่านได้ยินผมอธิษฐานว่า … “ข้าแต่พระเจ้า ลูกเป็นคนบาป ลูกไม่สมควรเป็นลูกของพระองค์เลย”

            ทุกคนพูดคำว่า … “เอเมน” ไหม? อย่าพูดเด็ดขาด

            “โอ้! ข้าแต่พระเจ้า ลูกเป็นคนบาป ลูกไม่สมควรเป็นลูกของพระองค์เลย”

            อันนั้นมันตอนก่อนจะเชื่อ ถ้าท่านเป็นคริสเตียนแล้ว ท่าน …

            “โอ้! ลูกเป็นคนบาป ลูกไม่สมควรเป็นลูกของพระองค์เลย”

            ไม่เอเมน … ไม่เอเมน เพราะท่านเป็นคริสเตียนแล้วไง แต่ถ้าท่านยังไม่ได้เป็นคริสเตียน ท่านอาจจะเอเมน มันก็ผิดอีกแหละ เพราะว่าท่านสมควรไหม? ไม่สมควร เพราะว่าพระองค์ตายเพื่อท่านไปเรียบร้อยแล้ว พอเข้าใจไหม? ไม่มีโอกาสที่จะอธิษฐานแบบนี้ ที่ไหนเลย เพราะว่าจะไปให้คนที่เป็น คริสเตียนฟัง หรือไม่ใช่คริสเตียนฟัง ก็ไม่ถูกหมดแหละ ถึงแม้ไม่ใช่คริสเตียน ก็ไม่ใช่เป็นคนบาป  ที่พระเจ้าบอกว่าไม่สมควร เป็นคนบาปที่พระเจ้าบอกสมควรได้ช่วยเหลือเรียบร้อยแล้ว และเป็นคนดีไปเรียบร้อยแล้ว  เพียงแต่เจ้าไม่รู้เท่านั้นเอง ถูกปิดบังตา 2 โครินธ์ 5:21 ได้บันทึกไว้อย่างนี้ว่า …

        2 โครินธ์ 5:21 “พระเจ้าทรงกระทำพระองค์ (พระเยซู) ผู้ปราศจากบาป ให้เป็นบาป เพื่อเรา เพื่อในพระองค์ เราจะกลายเป็นความชอบธรรมของพระเจ้า”

            เราเป็นผู้ชอบธรรมแล้ว เอเมน เอเมนในใจไว้ก่อน เราเป็นผู้ชอบธรรมแล้ว ไม่ได้เป็นคนบาปอีกต่อไป  โดยการตายพร้อมกับพระเยซูคริสต์ที่ไม้กางเขน และได้เป็นขึ้นมาใหม่พร้อมกับพระเยซูคริสต์ บังเกิดใหม่มาเรียบร้อยแล้ว 2,000 ปีแล้ว เอเมน

            พระเจ้าบอกว่าเราในทางวิญญาณเราได้พ้นจากคำแช่งสาป ได้เกิดใหม่แล้ว เมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว ก่อนที่เราจะเกิดจากครรภ์มารดาด้วยซ้ำไป ถูกหรือไม่ถูก เพราะว่าพระเยซูคริสต์สิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน เพื่อมนุษย์ทั้งปวง เพื่อตัวเราด้วย ถูกไหม? โลหิตนั้นหลั่งมา เพื่อตัวเราด้วย  ก็คือเราได้รับไปแล้วตั้งแต่ 2,000 ปีที่แล้ว เพราะฉะนั้น จงเชื่อและมั่นใจว่าขณะนี้เราไม่มีเชื้อบาปอยู่ในวิญญาณและในใจใหม่ของเราอีกแล้ว เพราะตัวเก่าเราได้ตายไปแล้ว เอเมน

            เพราะฉะนั้น จึงไม่มีการที่จะทำบาป ภายในตัวของเราได้อีกเลย เอเมนไหม? ชักจะยากขึ้นแล้วนะ …

            “ฉันยังอยากทำอยู่เลย”

            เดี๋ยวฟังต่อไป จึงไม่มีความต้องการที่จะทำบาป ภายในตัวตนของเราได้อีกเลย มีแต่ความดีงามบริสุทธิ์ดีพร้อมของพระเจ้าอยู่  ภายในเรา เอเมนไหม? ฟังไปเรื่อยๆ นะ ความดีพร้อมของพระเจ้า สิ่งเหล่านี้จะกระตุ้นให้เรา ต้องการที่จะทำแต่ความดี ความชอบธรรม ความบริสุทธิ์ดีพร้อม ตามลักษณะธรรมชาติของเราภายในที่ได้บังเกิดใหม่ เป็นเหมือนพระเจ้าพ่อแห่งฟ้าสวรรค์ของเราแล้ว  ถูกหรือไม่ถูก? เอเมนไหม?

            เพราะว่าเราได้ตายจากการเป็นทาสบาปไปแล้ว เราได้ตายต่อการเป็นทาสบาป ต้องถูกบังคับให้เชื่อฟังมัน อยู่ภายใต้อิทธิพลของบาป คือการพึ่งพาตนเอง  ตัวเองเป็นใหญ่  เราได้ตายต่อสิ่งเหล่านี้ไปหมดแล้ว  เราได้ตายจากการเป็นศัตรูต่อต้าน ดื้อต่อพระเจ้าแล้ว  ตายจากการเป็นทาสบาปแล้ว ได้กลายมาเป็นบังเกิดใหม่ มาเป็นทาสของความชอบธรรม  เป็นลูกที่เชื่อฟังพ่อหรือพระเจ้า เป็นลูกที่เชื่อฟังต่อพระเจ้า  เหมือนดั่งทาส  ไม่ได้ถูกบังคับให้เป็นทาสนะ  แต่โดยพระคุณความรักเป็นดั่งทาส มันตรงกันข้ามกับที่เราเป็นคนบาป ตอนนี้เราเป็นผู้ชอบธรรม โดยธรรมชาติแล้ว เราเป็นเหมือนดั่งทาสเลย  อยากจะทำแต่สิ่งที่ดี

            เห็นภาพเลยนะว่า … “ในอดีตฉันตายต่อพระเจ้า  ดำเนินชีวิตอยู่ในบาป ในการพึ่งพาตนเอง  เดี๋ยวนี้ตายต่อบาป ตายจากการพึ่งพาบาป พึ่งพาตนเอง มาเกิดใหม่ ชีวิตอยู่ในพระคริสต์ พึ่งพาในพระเยซูคริสต์ 100% เอเมน”

            นี่คืออัศจรรย์ที่ยิ่งใหญ่ ที่เกิดขึ้นในพวกเราทั้งหลาย ผู้ที่เชื่อในพระเยซูคริสต์ ที่ได้เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์มาเป็นพระผู้ช่วยให้รอด ซึ่งสามารถพิสูจน์ได้ มันเกิดขึ้นทันที พิสูจน์ได้ภายในวิญญาณของเราทันทีเลย  เพราะเรารู้  เรารู้ เพราะอยู่ในใจของเรา

            เพราะฉะนั้น พี่น้องทั้งหลายที่ได้ฟังคำประกาศเรื่องราววันนี้ เปิดใจแค่นั้น  แล้วอัศจรรย์ยิ่งใหญ่จะเกิดขึ้นทันที ในขณะดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ซึ่งสามารถพิสูจน์ได้ด้วย เพราะท่านจะรู้และรู้อยู่ในวิญญาณภายในของท่าน เพราะพระเจ้าจะเข้าไปสถิตอยู่กับท่าน และจะเริ่มต้นอธิบาย สอนท่านด้วยตัวตนของพระองค์เอง  พระเจ้าอวยพรครับ

**********************

จากใจคณะศิษยาภิบาล

            เป็นอุปทาน หรือความเชื่อกันแน่?

            มีคำสอน มีทฤษฎีมากมาย บอกว่าถ้ามีความเชื่อมากพอ  จะสามารถเปลี่ยนสถานการณ์ทุกอย่างได้ แต่ความจริง คือพระเจ้าไม่เคยสัญญาว่าจะเปลี่ยนสถานการณ์  แต่พระองค์สัญญาว่าจะประทานความคิดใหม่  ที่เหมือนพระคริสต์ตามพันธสัญญาใหม่  ท่ามกลางสถานการณ์เดิมๆ  ที่ทุกข์ยากลำบากอยู่บนโลกนี้

            สถานการณ์ต่างๆ อาจเปลี่ยน  หรืออาจไม่เปลี่ยน  แต่สิ่งที่ควรเปลี่ยน คือเราควรเปลี่ยนความคิด  เปลี่ยนความต้องการของเรา  ที่จะเปลี่ยนแปลงสถานการณ์ ให้เป็นไปตามที่เราต้องการ แล้วมอบสถานการณ์เหล่านั้นให้พระเจ้า  เป็นผู้นำพาเรา  แล้วเราจะรับรู้และเข้าใจอย่างลึกซึ้ง  ถึงพระคุณและฤทธิ์อำนาจที่แท้จริงของพระเจ้า  ผู้ซึ่งอยู่ในเราตลอดเวลา  ไม่ว่าสถานการณ์รอบด้าน จะเป็นเช่นใดก็ตาม

            ไม่ว่าสถานการณ์จะเป็นอย่างไรก็ตาม  พระเจ้าต้องการเป็นที่พึ่ง  เป็นที่ปรึกษา  เป็นผู้นำทางของเรา  พระเจ้าต้องการให้เราซึมซับเอาพระประสงค์ของพระเจ้าตรงนี้  เข้ามาเปลี่ยนแปลงความคิดจิตใจเดิมของเรา  ให้เข้าใจอย่างถ่องแท้  ถึงพระคุณความรักของพระเจ้า

            ไม่ว่าสถานการณ์รอบด้านที่เผชิญอยู่จะเป็นอย่างไร  วันนี้ หรือวันข้างหน้า  จะเกิดอะไรขึ้น  ให้ความคิดเหล่านี้  ฝังรากลึกลงไปในความคิดจิตใจของเราว่าพระเจ้า  คือที่พึ่ง  ที่ปรึกษา  และเป็นผู้ที่สามารถนำพาเราผ่านไปได้  ท่ามกลางทุกสถานการณ์

            เปาโลอธิษฐานขอพระเจ้าถึง 3 ครั้ง  ที่จะให้เอาหนามในเนื้อออกไป  แต่พระเจ้าบอกว่าให้หนามอยู่อย่างนั้นแหละ   แต่พระคุณและฤทธิ์อำนาจของเรา  จะเพียงพอที่จะนำพาเจ้าผ่านไปได้

            2 โครินธ์ 12:8-10 … “8 ข้าพเจ้าทูลวิงวอนองค์พระผู้เป็นเจ้า 3 ครั้ง ให้ทรงเอาหนามนี้ออกไปจากข้าพเจ้า 9 แต่พระองค์ตรัสกับข้าพเจ้าว่า “พระคุณของเราเพียงพอสำหรับเจ้า  เพื่อว่าฤทธิ์อำนาจของเรา  จะได้ปรากฏเต็มที่ในความอ่อนแอ” ฉะนั้น ข้าพเจ้าจึงอวดความอ่อนแอของตนด้วยความยินดี   เพื่อฤทธิ์อำนาจของพระคริสต์จะได้อยู่ในข้าพเจ้าอย่างเต็มบริบูรณ์ 10 ด้วยเหตุนี้แหละเพื่อพระคริสต์  ข้าพเจ้าจึงชื่นชมในความอ่อนแอ ในการสบประมาท ในความยากลำบาก ในการกดขี่ข่มเหง ในความยุ่งยาก  เพราะเมื่อใดที่ข้าพเจ้าอ่อนแอ  เมื่อนั้นข้าพเจ้าก็เข้มแข็ง”

            ความเชื่อของอาจารย์เปาโลไม่พออย่างนั้นหรือ? หรืออาจารย์เปาโลไม่มีอุปทานที่สร้างขึ้นด้วย กิเลสตัณหาฝ่ายเนื้อหนัง  ตามกระแสระบบของโลก  ที่ตรงกันข้ามและเป็นศัตรูกับทางของพระเจ้า และน้ำพระทัยของพระเจ้า

            พระเจ้าอวยพรครับ

วารสาร Holy  News   ฉบับที่ 1400

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  22  มกราคม  2023

เรื่อง “หนังสือเอเฟซัส” ตอน 19

โดย วราพร  คงล้วน

            วันนี้เรามาดูเอเฟซัส 3:8 คราวที่แล้วเราเรียนไป 1 ข้อ วันนี้เรามาต่อ …

        เอเฟซัส 3:8 “แม้ข้าพเจ้าต่ำต้อยกว่าผู้เล็กน้อยที่สุดในประชากรทั้งหมดของพระเจ้า ข้าพเจ้าก็ได้รับพระคุณนี้ คือได้ประกาศแก่คนต่างชาติถึงความไพบูลย์อันสุดจะหยั่งได้ของพระคริสต์”

            คำพูดตรงนี้เป็นคำพูดของอาจารย์เปาโล จดหมายฉบับนี้ อาจารย์เปาโลเป็นผู้เขียนถึงคริสตจักรชาวเอเฟซัส  ที่เป็นคนต่างชาติเหมือนพวกเรา  ที่ไม่ใช่คนอิสราเอล แล้วเมื่อพวกเรามาเชื่อวางใจในพระเจ้าปุ๊บ เราก็กลายเป็นอิสราเอลในวิญญาณ ตอนนี้เราเป็นหนึ่งเดียวกันกับชนชาติอิสราเอลเรียบร้อยไปแล้ว ฉะนั้น อาจารย์เปาโล ถูกเลือกพิเศษให้ไปประกาศเรื่องข่าวดีของพระเยซูคริสต์ ถึงคนต่างชาติ คือคนที่ไม่ใช่ยิว

            ก่อนที่อาจารย์เปาโลจะถูกเรียกมาเป็นผู้รับใช้ของพระเจ้า อาจารย์เปาโลเป็นยิวอยู่ในกลุ่มพวกฟาริสี พวกธรรมาจารย์ ที่เคร่งครัดบทบัญญัติมาก แล้ว ณ เวลานั้น ก่อนที่เขากลับใจใหม่ มาเชื่อพระเจ้า  เขามีความรักในพระเจ้า  ในพระยะโฮวาห์มากๆ แล้วเชื่อในกฎบัญญัติของโมเสสมากๆ ต้องถือกฎทุกระเบียดนิ้วเลย แล้วเมื่อตอนที่พระเยซูคริสต์ มาประกาศแผ่นดินสวรรค์ บอกว่า …

            “แผ่นดินสวรรค์มาแล้ว คือเราเอง เราคือผู้นั้น  เราคือพระมาซีฮาห์ เรากับพระเจ้าเป็นหนึ่งเดียวกัน”

            อาจารย์เปาโลเคือง พวกฟาริสี พวกธรรมาจารย์เคืองมาก รับไม่ได้ คนนี้เป็นใคร ชื่อเยซู อยู่ดีๆ มาประกาศตัวเอง เทียบเท่าพระเจ้า  หมิ่นประมาทมากเลย  ไม่ได้ต้องจัดการ  แล้วหลังจากที่พระเยซูถูกตรึงที่ไม้กางเขน และเป็นขึ้นมาจากความตาย อยู่กับผู้ที่ติดตามพระองค์ 40 วัน ขณะนั้น พระเยซูคริสต์ได้สำแดงตัวพระองค์เองให้คนที่ติดตามพระองค์ได้รับรู้ว่าพระองค์เป็นพระเจ้าจริงๆ พระองค์ได้สิ้นพระชนม์จริงๆ และเป็นขึ้นมาใหม่จริงๆ ด้วย ก็คือตอนที่พระองค์เป็นขึ้นมาใหม่ เป็นกายใหม่ที่เต็มด้วยสง่าราศี  แต่พระองค์ยังให้คนที่ติดตามพระองค์ได้เห็นภาพชัดเจนว่ามือของพระองค์มีรอยตะปูอยู่ สีข้างของพระองค์ก็มีรอยถูกแทง

            มีผู้ติดตามคนหนึ่งที่ชื่อโธมัสเขาไม่เชื่อว่าพระเยซูคริสต์ได้เป็นขึ้นมาจากความตาย เขาบอกว่าไม่เชื่อหรอก ใครๆ ก็บอกว่าพระเจ้าของเราเป็นขึ้นมาใหม่แล้ว  เขาไม่เชื่อ  เขาจะเชื่อต่อเมื่อเขาเอานิ้วแหย่ที่รอยตะปู ที่มือและที่เท้าของพระเยซูคริสต์ หรือเอานิ้วไปแหย่ที่สีข้างของพระเยซูที่ถูกหอก ถูกทวนแทง เขาถึงจะเชื่อว่าพระองค์เป็นพระเจ้าจริงๆ

            แล้วตอนที่เขาพูดกับเพื่อนๆ พระเยซูไม่ได้อยู่ด้วย  แต่พอพระเยซูเสด็จมา ณ เวลานั้น พระเยซูมีกายทิพย์ กายทิพย์ตรงนี้เป็นกายเดียวกันกับในอนาคตข้างหน้าที่พวกเราผู้เชื่อจะได้ไปรับ หลังความตาย หลังจากวิญญาณเราออกจากร่างนี้ หลังจากที่ภารกิจบนโลกใบนี้ ที่พระเจ้าบอกว่า …

            “พอแล้ว สำเร็จแล้ว ฉันให้เธอทำแค่นี้ กลับบ้านได้”

            วิญญาณเราออกจากร่างปุ๊บ เราจะไปรับกายใหม่ ที่เต็มด้วยสง่าราศี เหมือนพระเยซูคริสต์เลย  กายใหม่ของพวกเราทุกๆ คนถูกจัดเตรียมไว้เรียบร้อยไปแล้ว  รอเวลา ที่เราไปสวมกายใหม่นั้น  นี่คือความหวังใจของผู้เชื่อทุกๆ คน ในขณะที่เราดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ อย่างที่อาจารย์เปาโลบอก …

            “ตายก็ดีกว่าอยู่”

            เมื่อเรามาเชื่อพระเจ้า  ทุกคนมีความคิดแบบนี้ ตายก็ดีกว่าอยู่ เพราะเราอยู่ก็เพื่อรับใช้ ในพระคัมภีร์ใช้คำว่า “อยู่เพื่อรับใช้” สมัยก่อนเราก็เข้าใจว่าอยู่เพื่อรับใช้ เราต้องพยายามทำโน่นทำนี่ ทำนั่นให้พระเจ้า ต้องไปรับใช้ ต้องไปประกาศ ต้องไปพาคนมารับเชื่อ ต้องๆๆๆๆ ต้องทุกอย่าง แบบเหนื่อยมาก

            แต่คำว่า “อยู่เพื่อรับใช้” ในถ้อยคำที่อาจารย์เปาโลพูดถึง คืออยู่เพื่อที่จะรับรู้ว่าเรากับพระเจ้าเป็นหนึ่งเดียวกัน เพื่อที่จะรับรู้ว่าทุกวินาที การดำเนินชีวิตของเรา ไม่ว่ายามหลับยามตื่น พระเจ้าอยู่ในเรา แล้วพระเจ้าเป็นผู้นำเรา ตามที่อาจารย์เปาโลบอก …

            “ข้าพเจ้าไม่มีชีวิตอยู่ต่อไป แต่ ณ เวลานี้ ชีวิตที่อยู่ในข้าพเจ้านั้น คือพระเยซูคริสต์ พระเจ้าอยู่ในเรา”

            ชีวิตเก่าที่เป็นความบาปของเราตายไปพร้อมๆ กับพระเยซูคริสต์แล้ว ฉะนั้น ผู้เชื่อทุกคนไม่มีบาปเลย ชีวิตเก่าที่เป็นคนบาปได้ตายไปพร้อมกับพระเยซูคริสต์แล้ว อย่าให้ใครหลอกเราว่าเรายังเป็นคนบาปอยู่

            “เธอยังเป็นคนบาปอยู่ เธอต้องสารภาพบาปนะ เธอทำอันโน้นไม่ถูกต้อง เธอต้องรีบสารภาพบาปกับพระเจ้านะ ถ้าไม่สารภาพเดี๋ยวเธอตายไป เธอไม่ได้ขึ้นสวรรค์แน่ๆ เลย”

            เมื่อก่อนเราถูกสอนแบบนี้ พอถูกสอนแบบนี้ปุ๊บ เวลาเราทำไม่ดีปุ๊บ เรากลัว

            ดิฉันจะเป็นพยานให้เรื่องหนึ่ง คือจริงๆ แล้วดิฉันไม่มีของประทานในการประกาศ  แต่ตอนที่ดิฉันเชื่อใหม่ๆ ก็คือถูกสอนว่าต้องประกาศ  ต้องประกาศไม่พอนะ ไปเรียนเรื่องการประกาศว่าเราต้องออกไปหาคน เราต้องไปคุยเรื่องพระเจ้าให้เขาฟัง ซึ่งมันไม่ได้เป็นตัวตนที่พระเจ้าสร้างดิฉันมา  แล้วมันฝืนมาก ในพระคัมภีร์บอกว่าพวกเราทุกคนเป็นร่างกายของพระเยซูคริสต์ใช่ไหม? พระเยซูคริสต์จะสร้างอวัยวะทุกส่วนให้มันเหมาะสม ก็คือแล้วแต่น้ำพระทัย

            บางคนพระเจ้าสร้างมาให้เป็นปาก บางคนพระเจ้าสร้างให้เป็นตา เป็นจมูก เป็นหู เป็นมือ เป็นเท้า เป็นตับ ไต ไส้ พุง คือแต่ละคนถูกสร้างมาไม่เหมือนกัน แล้วอวัยวะในร่างกาย แต่ละชิ้นส่วน ก็ทำหน้าที่ไม่เหมือนกัน ดังนั้น เราจะไปทำหน้าที่เหมือนกันทุกคน เป็นไปไม่ได้  เราจะเอาขามามองแทนตาไม่ได้  เราจะเอามือมาเดินแทนขาไม่ได้ เราจะเอาจมูกมาทานข้าวแทนปากไม่ได้ ก็คือแต่ละชิ้นส่วนที่พระเจ้าสร้างมนุษย์มา  พระองค์มีจุดประสงค์ มีเป้าหมายของพระองค์ว่าให้อวัยวะแต่ละส่วนทำงานอะไร?  แล้วอวัยวะส่วนนั้น ถ้าทำงานของตัวเองได้ตามความเหมาะสม ร่างกายนั้น ก็จะสมบูรณ์ ไม่รวน แต่ถ้าอวัยวะส่วนไหนในร่างกายเรารวน ไม่ยอมทำหน้าที่ ร่างกายเราก็ป่วย นึกภาพออกใช่ไหม?

            อย่างหัวใจฟอกเลือด หัวใจวันนี้รวน ฉันไม่ฟอก ฉันจะอยู่เฉยๆ เลือดไม่ถูกการฟอก ร่างกายเราก็รวน เจ็บป่วย ดังนั้น การที่เราเจ็บป่วย เกิดจากอวัยวะในร่างกายเรา ไม่ทำงานตามหน้าที่ ที่ควรจะเป็น

            ฉะนั้น ถ้อยคำของพระเจ้าบอกเราชัดเจนว่าเราแต่ละคนถูกเรียกมาในจุดประสงค์ที่ต่างกัน แล้วให้เรารับรู้ว่าจุดประสงค์ที่พระเจ้าเรียกเราแต่ละคนเป็นแบบไหน? อย่างไร? แล้วทำตามนั้น

            มือมีหน้าที่ใช้หยิบจับของ ใช้ถือช้อน ตักข้าวเข้าปาก แค่นั้น  นั่นคือหน้าที่ของมือ

            ปากมีหน้าที่ คือทานข้าว แล้วก็พูดในเวลาที่เหมาะสม ที่พระเจ้านำให้เราพูด

            จมูกมีหน้าที่หายใจ ฉะนั้น บางครั้งเราคัดจมูกปุ๊บ เราก็ใช้ปากช่วยหายใจ ได้นะ ช่วยได้บ้างนิดหน่อย แต่ถ้าเราใช้ปากช่วยหายใจสักพักหนึ่ง คอเราจะแห้ง แล้วเราจะรู้สึกอึดอัด เพราะว่ามันไม่ใช่หน้าที่ของปาก ที่จะทำแบบนั้น

            เหมือนกัน ลักษณะของผู้เชื่อ หลายคนเราเข้าใจว่ามาเชื่อพระเจ้า เราต้องรับใช้ ต้องๆๆๆๆ ทุกอย่างต้องทำโน่นต้องทำนี่ แล้วถูกสอนมา ดิฉันตอนเชื่อพระเจ้าใหม่ๆ ถูกสอนมาว่าต้องประกาศ เจอใครก็ได้ เราต้องฉวยทุกโอกาส ทั้งมีโอกาสและไม่มีโอกาส เจอปุ๊บ เราต้องเอาเรื่องพระเจ้าไปคุยให้เขาฟัง

            พี่น้องเชื่อไหม? ดิฉันเคยนั่งอยู่ที่ป้ายรถเมล์ แล้วดิฉันก็คอยจ้อง คนที่นั่งข้างๆ เรา เราอยากจะประกาศกับเขา เพราะถูกสอนมา จนแล้วจนรอด จนคนนั้นเขาลุกขึ้นรถเมล์ไป ดิฉันยังอ้าปากไม่ได้เลย มันไม่ได้ คือไม่ใช่ของประทานเรา หรือบางทีขึ้นแท็กซี่  เรียกแท็กซี่ นั่งไกล นั่งมาตั้งครึ่งชั่วโมง 45 นาที ตั้งแต่ขึ้นไปนั่ง คิดๆ …

            “เราจะประกาศกับแท็กซี่ได้อย่างไร? เราจะประกาศกับคนนี้ได้อย่างไร?  เราจะพาเขามารับเชื่อได้อย่างไร?”

            คือลุ้นจนเสร็จ จนถึงที่หมาย ลงจากรถแท็กซี่ ยังไม่มีคำพูดสักคำเดียวออกจากปากของดิฉัน เพราะว่ามันไปไม่ได้ ยังไงก็ไปไม่ได้ พูดได้คำเดียว คือลงจากรถ “ขอพระเจ้าอวยพรนะคะ” พูดได้แค่นั้นแหละ ให้เขารู้ว่าฉันเป็นคริสเตียนนะ แต่ฉันประกาศไม่เป็นอะไรประมาณนั้น

            ฉะนั้น แต่ละคน พระเจ้าไม่ได้มีเป้าหมายที่จะให้เราต้องทำโน่น ต้องทำนี่ แต่ว่าถ้าถึงเวลาที่พระเจ้าอนุญาตให้เราทำ มันจะออกมาเอง คือลักษณะอยู่ดีๆ ไปคุยกับเขาเรื่องพระเจ้าไม่เป็น แต่อย่าให้ใครมาถามเรื่องพระเจ้ากับดิฉัน ฟังหูชาเลยนะ นึกออกไหม? สามารถเล่าได้ ต้องมีคนเกริ่นนำ  มาถาม แล้วดิฉันเล่าได้ อยู่ดีๆ ให้ดิฉันไปนั่งเล่าเรื่องพระเจ้าให้เขาฟัง ดิฉันทำไม่ได้ คือมันไม่ใช่ไง

            ฉะนั้น เราก็ขอบคุณพระเจ้า ที่พอเรารู้ความจริงว่าพระเจ้าไม่ได้ต้องการให้เราทำอะไรเลย พระเยซูคริสต์บอกสิ่งเดียวที่พระเจ้าต้องการให้เราทำ คือเชื่อและวางใจในพระเยซูคริสต์ ที่พระเจ้าส่งมา แล้วพวกเราก็ได้เชื่อวางใจในพระเยซูคริสต์แล้ว จากนั้น ชีวิตของพวกเรา พระองค์จะเป็นผู้นำเรา เมื่อถึงจังหวะที่พระเจ้าต้องการให้เราประกาศกับใคร? พระเจ้าก็ให้เรามีโอกาสนั่นแหละ เขาเกิดอยากจะถามขึ้นมา ดิฉันก็จะมีโอกาสคุยเรื่องพระเจ้าให้เขาฟัง

            หรือในอีกนัยหนึ่ง  ก็คือทุกโอกาสพระเจ้าสามารถทำได้ พระเจ้าสามารถที่จะให้เราไปอธิษฐาน วางมือให้คนเจ็บคนป่วย  แล้วคนเหล่านั้นหายโรค พระเจ้าก็ทำได้ แต่มันไม่ใช่ฝีมือเรา ไม่ใช่เพราะเราทำให้คนๆ นั้นหายป่วย ไม่ใช่ เพราะเราที่ไปประกาศเรื่องราวของพระเจ้า แล้วทำให้คนนั้นรับเชื่อ ไม่ใช่  เราเป็นเพียงเครื่องมือของพระเจ้า ที่พระเจ้าใช้ในแต่ละจังหวะเวลาของพระองค์  ที่พระเจ้าจะใช้เรา แล้วเกิดผล พอเกิดผล แล้วทำอย่างไร? ขอบคุณพระเจ้า จบไม่ต้องเอามาคิด เป็นพยานนะ …

            “เห็นไหม? วันนั้น พี่ไปวางมือให้คนนั้นหายโรคเลยนะ แล้วเราก็มาเป็นพยานทุกครั้งกับทุกคน”

            เท่ากับเรากำลังบอกกับทุกคนว่าอย่างไร? … “ฝีมือฉัน ฉันไปวางมือ แล้วเขาหายโรค”

            มันเป็นเรื่องเดียวกัน ฉะนั้น เรื่องนี้มันละเอียดอ่อนมาก เราต้องคอยระวัง คอยดูท่าทีในใจของเราว่าท่าทีของเราตอนนี้ เราเริ่มรู้สึกภาคภูมิใจ  ในสิ่งที่พระเจ้าให้เราทำแล้ว ไม่ใช่ฝีมือพระเจ้าแล้ว ตอนนี้เป็นฝีมือเรา อันนี้อันตราย

            ตรงนี้ อาจารย์เปาโลก็บอกกับผู้เชื่อในเอเฟซัสว่า … “ข้าพเจ้าต่ำต้อยกว่าผู้เล็กน้อยที่สุด”

            ทำไมอาจารย์เปาโลรู้สึกอย่างนั้น  เพราะว่าตอนที่อาจารย์เปาโลยังไม่กลับใจใหม่ อาจารย์เปาโลเป็นตัวเอ้เลยที่พยายามไล่ล่าผู้เชื่อ ใครก็ตามที่เชื่อวางใจในพระนามของพระเยซูคริสต์ปุ๊บ อาจารย์เปาโลรู้สึกไม่ได้ ฉันต้องจัดการ เพราะว่าเกลียดชังคนเหล่านั้น เปล่า เพราะว่าฉันกำลังรักษาเกียรติของพระเจ้า คนพวกนี้ลบหลู่เกียรติของพระเจ้า คนพวกนี้แทนที่จะมาเชื่อพระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่สูงสุด  คือพระบิดาที่เราเชื่อตั้งแต่ไหนแต่ไร อยู่ดีๆ มาเชื่อคนที่ชื่อว่าเยซู ซึ่งใครก็ไม่รู้ อยู่ดีๆ มาอ้างตัวเองเป็นพระเจ้า ไม่ได้ๆ ฉันต้องจัดการกับคนเหล่านี้

            ถึงขนาดอาจารย์เปาโลได้ยินข่าวว่าผู้เชื่ออยู่ที่ไหน? อาจารย์เปาโลก็จะขอทหารไปจัดการจับคนเหล่านี้มาทำโทษ จับมาติดคุก จับมาเฆี่ยนตี จับมา แล้วแต่ว่าจะทำอะไร แล้วตอนที่อาจารย์เปาโลเจอพระเจ้า อาจารย์เปาโลกำลังนำทหารไป เพื่อที่จะไปจับผู้เชื่อที่เมืองดามัสกัส  แล้วเป็นช่วงจังหวะ พี่น้องจะเห็นการต้อนรับพระเจ้าของแต่ละคน จังหวะไม่เท่ากัน บางคนพระเจ้าเรียกเขาตั้งแต่ตัวเล็กๆ บางคนพระเจ้าเรียกเขา อายุเยอะแล้ว กำลังใกล้ไป  อีกไม่กี่วันเขาจากไปอยู่กับพระเจ้าแล้ว พระเจ้าก็ให้เขาเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด

            อย่างโจรบนไม้กางเขน เขามาเชื่อพระเจ้า พระเจ้าให้เขารับใช้แค่นั้น  ก็คือเขาอยู่ข้างๆ ถูกตรึงพร้อมกับพระเยซูคริสต์ แล้วเขาบอกพระเยซูคริสต์ว่า …

            “พระองค์เจ้าข้า ถ้าถึงแผ่นดินสวรรค์ ขอรับลูกด้วย”

            แปลว่าเขาเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เขายอมรับว่าพระองค์เป็นพระเจ้าจริงๆ แล้วพระเยซูคริสต์บอกกับเขาว่า …

            “วันนี้เราจะได้เจอกันที่แผ่นดินสวรรค์”

            เขารับใช้พระเจ้าแค่นี้เอง สั้นมาก ในช่วงเวลาไม่กี่ชั่วโมง เขาเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ แล้วเขาก็ได้ไปอยู่กับพระเจ้าบนสวรรคสถาน โจรคนนี้  ทำหน้าที่แค่ไม่กี่ชั่วโมง แต่เรื่องราวของโจรคนนี้ถูกประกาศตั้งแต่เมื่อ 2,000 กว่าปีที่แล้ว  ใครที่อ่านพระคัมภีร์จะรู้จักโจรคนนี้ โจรคนนี้จะเป็นที่กล่าวขานถึงตลอด ช่วงเวลา 2,000 กว่าปีเขาได้รับใช้พระเจ้า เขาได้ประกาศพระนามของพระองค์ เขาได้ประกาศความยิ่งใหญ่ของพระเจ้าว่าไม่เกี่ยวอะไรกับเวลา เกี่ยวกับตรงที่ว่าตามเงื่อนไขที่พระเจ้าบอกว่าถ้าใครก็ตามเชื่อวางใจในสิ่งที่พระเยซูคริสต์กระทำ เพื่อเขาที่บนไม้กางเขน  โดยไม่พึ่งพาการกระทำของตนเอง  คนนั้นจะได้รับความรอด  แล้วคนนั้นจะได้ไปอยู่กับพระเจ้าในแผ่นดินสวรรค์ทันทีเลยนะ ถ้าโจรคนนั้นยังไม่ตาย เขาก็ได้อยู่ในสวรรค์เรียบร้อยไปแล้วในโลกวิญญาณ เหมือนพวกเราทุกวันนี้  เราได้อยู่กับพระเจ้าเรียบร้อยไปแล้ว  ในโลกวิญญาณที่เราสัมผัสไม่ได้  เราไม่สามารถรับรู้ด้วยตา หู จมูก ลิ้น กายของเรา แต่เรารับรู้ด้วยวิญญาณของเรา …

                        “ข้ารู้ เพราะอยู่ในใจ”

            คือในใจยืนยันว่าเราเชื่อพระเจ้า ในใจยืนยันว่าเราเป็นผู้ชอบธรรมแล้ว ในใจพระวิญญาณบริสุทธิ์บอกว่าเรารอดแล้ว ชีวิตที่อยู่บนโลกใบนี้ ให้พระเจ้านำเรา พระองค์บอกว่าทันทีที่เราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ พระองค์จะเริ่มต้นนำเรา ตามในหนังสือฟีลิปปีบอกเรา

            ฟีลิปปี 1:6 บอกว่า “พระเจ้าผู้ทรงเริ่มต้นการงานดีไว้ในชีวิตของท่าน พระองค์จะทรงกระทำให้สำเร็จ จนถึงวันแห่งพระเยซูคริสต์”

            ก็คือวันแรกที่พี่น้องเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ปุ๊บ พระวิญญาณบริสุทธิ์เข้ามาอยู่ในวิญญาณของเรา พระเจ้าพระบิดา พระเจ้าพระบุตร พระเจ้าพระวิญญาณบริสุทธิ์เข้ามาอยู่ในวิญญาณของเรา ทันทีทันใด พระเจ้าเริ่มต้นการงานดีไว้ในชีวิตของคนๆ นั้นแล้ว แล้วพระองค์ก็นำพาเขา ประคับประคองเขา คอยช่วยเหลือเขา คอยแนะนำเขาคอยให้กำลังใจให้กับคนๆ นั้น อย่างที่บอก ยามที่เราทุกข์ พระเจ้าก็แบกเราเดิน ยามที่เราสุข พระเจ้าก็เกี่ยวก้อยเราเดิน  ไม่ว่าสุขหรือทุกข์ พระเจ้าไม่เคยทิ้งเราไปไหน? พระองค์ทรงสถิตอยู่ในเรา

            พี่น้องจำตรงนี้ให้ได้ว่าพระคริสต์สถิตอยู่ในท่าน เป็นสง่า เป็นเกียรติ เป็นสิริ ที่ยิ่งใหญ่ที่สุด  ไม่มีใครสามารถที่จะนำเอาสิ่งนี้ ออกไปจากชีวิตของเราได้ เมื่อเราเชื่อพระเจ้าแล้ว บังเกิดใหม่แล้ว เป็นลูกของพระเจ้าแล้ว เป็นผู้ชอบธรรมแล้ว  เป็นแล้วเป็นเลย  ไม่มีใคร หรือไม่มีมนุษย์หน้าไหนบนโลกใบนี้จะสามารถพรากเราไปจากความรักของพระเจ้าได้ ไม่สามารถทำให้เราจากเป็นผู้ชอบธรรม กลายเป็นคนบาปได้  ไม่มีทาง แต่หลายครั้งเราก็ถูกหลอก ด้วยระบบของโลกใบนี้  พยายามหลอกเราว่า …

            “เธอทำอย่างนี้บาปแล้วๆ พระเจ้าไม่รักแล้ว เป็นคริสเตียนแล้ว ทำไมถึงนิสัยแบบนี้”

            ไม่เกี่ยวอะไรเลย เมื่อเราเชื่อวางใจในพระเจ้า วิญญาณเราสะอาดบริสุทธิ์หมดจด ไม่มีบาปเลย ตัวตนจริงๆ ของผู้เชื่อ เป็นผู้ชอบธรรมเรียบร้อยไปแล้ว

            นี่คือความจริง ทำไมถ้อยคำของพระเจ้า อาจารย์เปาโลถึงบอกว่าให้เราจดจ่ออยู่ที่เบื้องบน แล้วรับรู้ความจริงว่าเราเป็นใครในพระเยซูคริสต์ พระเยซูได้ทำอะไรให้กับเราเรียบร้อยแล้ว นี่เป็นเรื่องสำคัญ พอเรารับรู้ความจริงตรงนี้ รับรู้ความจริงมากเท่าไร เราก็ถูกหลอกน้อยลง นึกออกไหม? ถ้าเรารู้ความจริงน้อย  เราก็ถูกหลอกมาก แค่นั้นเอง …

                        “รู้ความจริงเยอะ ถูกหลอกน้อย  รู้ความจริงน้อย ถูกหลอกเยอะ”

            แล้วคริสเตียน ถ้าถูกหลอก วิญญาณเรากระทบกระเทือนไหม? ไม่กระทบ ถ้าเราถูกหลอกมาก โดยที่เราไม่รับรู้ความจริงเยอะ ไม่กระทบกระเทือนถึงวิญญาณของเรา เพราะว่าเรารอดแล้ว รอดเลย  แต่มันจะกระเทือนถึงการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ แทนที่เราจะมีความสุขกับสิ่งที่พระเจ้าทำให้เราเรียบร้อยไปแล้ว สันติสุขที่อยู่ในใจ ที่เราจะสามารถสำแดงออกมาได้เต็มที่ มันก็สำแดงออกมาไม่เต็มที่ เพราะว่าเราถูกขวางด้วยความโกหกหลอกลวง ที่พยายามส่งเข้ามาในความคิดของเรา

            ฉะนั้น อาจารย์เปาโลจึงบอกว่าให้เราเปลี่ยนแปลงความคิดจิตใจเสียใหม่ เพื่อเราจะรับรู้ว่าอะไรดี อะไรดียอดเยี่ยม พอเรารับรู้เยอะๆ  เราสามารถ เรามีกำลัง เพราะ ณ เวลานี้ผู้เชื่อมีพระเจ้าทั้ง 3 พระภาคอยู่ในเรา มีกำลังพอที่จะต่อต้าน ขัดขืนมัน “มัน” คือระบบของโลกใบนี้ การล่อลวงทุกรูปแบบที่จะพาเราหลงเจินออกนอกลู่ นอกทางของพระเจ้า เราสามารถขัดขืนมันได้  แต่ไม่ได้หมายความว่าพอเราสามารถขัดขืน เราจะขัดขืนได้ตลอด  บางทีร่างกายเรา ก็อ่อนแอ เราก็ล้ม แต่ล้มไม่เป็นไร ล้มก็ลุกขึ้นมาใหม่  ล้มแล้วก็ไม่ต้องมารู้สึกถูกฟ้องผิด  …

            “เธอแย่แล้ว เธอบาป เธอเป็นคนบาปอีกแล้ว”

            ไม่ใช่เลย พี่น้องต้องจำตรงนี้ให้ได้ ไม่ว่าเราจะล้มลงกี่ครั้ง เรายังเป็นผู้ชอบธรรมของพระเจ้า ยังสะอาดบริสุทธิ์ ดีพร้อมเหมือนพระเจ้า ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงตรงนี้ ไปจากความจริงในชีวิตของเราได้

            ฉะนั้น ตรงนี้แหละ อาจารย์เปาโลรู้สึกว่าตัวเองเป็นผู้เล็กน้อย เพราะว่าไปทำพระเจ้าไว้เยอะ ไปทำกลุ่มของพระเยซูคริสต์ไว้เยอะ ไปต่อต้านพระเยซูคริสต์ไว้เยอะ ไปต่อต้านผู้เชื่อเยอะ แต่เราขอบคุณพระเจ้า ตรงนี้ อาจารย์เปาโลบอกว่า …

            “ข้าพเจ้าก็ได้รับพระคุณ”

            พระเจ้า พระเยซูคริสต์ไม่ได้มองสิ่งที่อาจารย์เปาโลทำก่อนหน้านั้นว่า …

            “ตาคนนี้ต่อต้านเราทุกรูปแบบ เอาทหารมาจับลูกๆ ของเราไปทรมาน ไปอะไร ตาคนนี้เราหมายหัวเอาไว้ ต่อให้มาเชื่อพระเจ้า ไม่ใช้เขาแน่นอน”

            พระเจ้าไม่ได้มีอุปนิสัยแบบนั้น  โดยพระคุณ พระเจ้าเลือกอาจารย์เปาโลไว้แล้ว โดยพระคุณ เมื่อถึงเวลาที่อาจารย์เปาโลจะบังเกิดใหม่  พระเจ้าก็มีวิธีการทำให้เขาบังเกิดใหม่  พอหลังจากที่เขาบังเกิดใหม่ปุ๊บ อาจารย์เปาโลจะรู้ความจริงทั้งหมดอย่างรวดเร็ว เพราะว่าอาจารย์เปาโลมีพื้นฐานของเรื่องราวของพระเจ้าชัดเจนมากๆ ก็คือรู้อยู่แล้ว  แค่คลิ๊กนิดเดียวว่าต่อให้เธอรู้ อย่าพึ่งพาความรู้ของตัวเอง  อย่าพึ่งพาการกระทำของตัวเอง ความชอบธรรมของตัวเอง มาพึ่งพาฉัน เธอพึ่งพาความชอบธรรมของตัวเอง  พึ่งพาอย่างไร เธอก็ทำไม่ได้  ครบถ้วนสมบูรณ์ 100% มาพึ่งพาฉัน  แค่นั้นเอง  พออาจารย์เปาโลเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ปุ๊บ ไปไกลเลย เพราะว่าบทบัญญัติแน่นอยู่ในตัวของอาจารย์เปาโล พระเจ้าแค่เปิดให้เห็นว่าเธอทำมาตั้งนาน เธอช่วยตัวเองไม่ได้หรอก เธอมาพึ่งฉัน ก็พอ  แล้วอาจารย์เปาโลพึ่งพระเยซูคริสต์ แล้วรับรู้ว่าเขาเป็นคนบาปจริงๆ

            จริงๆ อาจารย์เปาโลคิดว่าตัวเองชอบธรรมมากเลย กับพวกฟาริสีธรรมาจารย์ คิดว่าตัวเองชอบธรรมมาก  ทำเยอะกว่าคนอื่น  รักษากฎบัญญัติได้เยอะกว่าคนอื่น แต่พระเยซูคริสต์กำลังให้เขาเห็นว่ารักษากฎบัญญัติได้มากแค่ไหนเธอก็ยังเป็นคนบาปอยู่ดี

            เพราะว่าพื้นฐานในวิญญาณไม่ได้รับการเปลี่ยนแปลง มนุษย์จำเป็นจะต้องได้รับการเปลี่ยนแปลงในวิญญาณ จากวิญญาณที่เป็นคนบาป อยู่ในอาดัม  อยู่ในบรรพบุรุษเดิม อยู่ใน DNA บาป ต้องได้รับการเปลี่ยนแปลง ผ่าตัดวิญญาณ ต้องถูกฆ่าให้ตาย เพื่อจะได้เกิดใหม่ เข้ามาใน DNA ใหม่ของพระเจ้า ฉะนั้น พวกเราทุกคนที่เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ ขบวนการนี้มันได้เกิดขึ้นตั้งแต่วินาทีแรกที่เราอธิษฐานกับพระเจ้า ขบวนการนี้ เราไม่สามารถสัมผัสได้ด้วยมือ ไม่สามารถเห็นด้วยตา ได้ยินด้วยหู แต่ใจเรารับรู้ รับรู้ว่ามันมีการเปลี่ยนแปลง เริ่มต้นจากข้างในวิญญาณ เราเปลี่ยนแปลง เรารับรู้ ข้างในวิญญาณเราเป็นความรัก เมื่อก่อนเรารักพระเจ้าไม่ได้  แต่ทันทีที่เราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด วิญญาณเราเป็นความรัก เรารักพระเจ้าเลย

            ถามว่าอยู่ดีๆ เรารักพระเจ้าได้อย่างไร?  มันเป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว เมื่อก่อนเราไม่เชื่อพระเจ้า เราต่อต้านพระเยซูคริสต์จะตาย ใครอย่ามาคุยเรื่องพระเยซูคริสต์ เราจะเถียงหัวชนฝาเลย อะไรประมาณนี้ แต่พอเราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ปุ๊บ ข้างในวิญญาณเราถูกเปลี่ยนใหม่เป็นความรัก ความรักแบบพระเจ้าเลย แล้วเราก็รักพระองค์ เราเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์เลย โดยเราไม่ต้องทำอะไรเลย ไม่ใช่ฝีมือเราเลย ไม่ได้เป็นความสามารถของเราเลย แต่พระเจ้าเป็นผู้เปลี่ยนเรา พระเจ้าใส่ความรักลงมาในวิญญาณใหม่ของเรา โดยที่เราไม่ต้องไปพยายามฝืนที่จะรักคนโน้น รักคนนี้ หรือพยายามฝืนที่จะรักพระเจ้า เรารักเลย  วิญญาณตรงนี้พระเจ้าให้มา

            ฉะนั้น มนุษย์ธรรมดาก่อนที่จะบังเกิดใหม่ เราไม่สามารถรักพระเจ้าได้เลยแน่นอน ต่อให้เรามีความรู้สึกว่าฉันรักพระเจ้ามาก มันเป็นไปไม่ได้ วิญญาณเราบาปอยู่ วิญญาณบาป มีแต่ความเกลียดชัง ไม่มีความรัก

            ตรงนี้แหละ คือสิ่งที่พระเจ้าได้บอกเรา พระคัมภีร์ได้พยายามบอกเรา ให้เรารับรู้ความจริงตรงนั้น แล้วความจริงเหล่านี้จะทำให้เราเป็นไท คือเป็นอิสรภาพเลย ความจริงเหล่านี้จะทำให้เราไม่ถูกผูกมัด หรือไม่ถูกหลอกลวง  ไม่ถูกกระแทกด้วยเสียงอะไรไม่รู้ ที่อยู่รอบข้างเรา ที่พยายามบอกว่า …

            “เธอบาปๆ  เธอทำสิ่งนี้ เธอบาป พระเจ้าไม่รักเธอ เธอแย่แล้ว”

            สวนกลับไปเลย … “พระเจ้ารักฉันดังแก้วตาดวงใจ พระเจ้าไม่เคยเปลี่ยนแปลงความรักของพระองค์ ความรักของพระองค์อยู่ในฉัน และฉันเป็นความรักด้วย ฉันกับพระเจ้าเป็นหนึ่งเดียวกัน ฉันกับพระเจ้าสนิทสนมกัน ฉันไม่ต้องทำอะไร เพื่อให้สนิทสนม”

            ทันทีที่เราวางใจในพระเยซูคริสต์ปุ๊บ พระเจ้าทำให้เราเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์ พระเจ้าเข้ามาสถิตอยู่ในเรา เป็นก้อนเดียวกัน คือสนิทกว่านี้ ไม่มีอีกแล้ว ไม่ต้องพยายามไปทำตัวให้สนิทด้วย คือมันสนิทโดยอัตโนมัติในโลกวิญญาณ แต่ในโลกวัตถุเราก็พัฒนา พระเจ้าพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่อยู่ข้างในเรา จะค่อยๆ สอนเรา ให้เราสามารถที่จะทำตามธรรมชาติใหม่ ที่เราบังเกิดใหม่แล้ว ที่เหมือนพระเจ้าแล้วให้มากขึ้น ตรงนั้นเขาเรียกว่าผลของพระวิญญาณ มันจะค่อยๆ สำแดงออกมา บางคนก็สำแดงได้เยอะ บางคนก็สำแดงได้น้อย ก็แล้วแต่ว่าคนนั้น จะยอมให้พระเจ้าใช้เยอะหรือน้อย    แค่นั้นเอง   แต่ไม่มีผลกระทบกับความรอดของเราเลย  เรายังเป็นลูกพระเจ้า  ที่พระองค์ทรงรักดังแก้วตาดวงใจ   เรายังเป็นผู้ชอบธรรมอยู่   เรายังสะอาด   บริสุทธิ์   หมดจด   เหมือนพระเจ้าทุกกระเบียดนิ้ว  เรายังได้นั่งอยู่ที่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้า ร่วมกับพระเยซูคริสต์ ณ เวลานี้ในโลกวิญญาณ  ก็คือไม่มีการเปลี่ยนแปลงทุกอย่างเลย มันเป็นอย่างนั้น

            ฉะนั้น ความจริงเหล่านี้ ให้พี่น้องพยายามฝัง ฟังเรื่อยๆ ทำไมอาจารย์จะย้ำเราให้ไปฟัง อย่างฟังเทศน์ ฟังเที่ยวเดียวท่านจำไม่ได้หรอก ท่านฟังตอนนี้ จะใช่ๆ ออกไป ก็ลืมแล้ว อย่าว่าแต่ท่านลืมเลย ดิฉันพูดเอง ดิฉันยังลืมเลย ต้องไปทบทวน ไปเปิดฟัง ฟังๆ พระวิญญาณบริสุทธิ์จะค่อยๆ เปิดเผยสำแดง พระวิญญาณบริสุทธิ์จะนำเรา จะเปิดเผยให้เราเข้าใจมากขึ้น จะทำให้เรามีกำลังมากขึ้น จะทำให้เรารับรู้ความจริงมากขึ้น …

            “ใช่เลย ตอนนี้เราเป็นลูกพระเจ้าแล้ว ลักษณะของพระเจ้าเป็นแบบนี้ วันนี้ฉันไปทำแบบนี้ แปลว่าฉันทำไม่ได้เหมือนกับตัวตนจริงๆ ของฉันนี่นา ไม่ใช่ ตัวตนจริงๆ ฉันไม่ได้เป็นแบบนี้”

            เราก็เอาใหม่ๆ แค่นั้นเอง เอาใหม่ๆ คราวหน้า พระเจ้าให้กำลังเราด้วย แล้วเราก็จะสามารถเอาชนะมันได้ ทีละเล็กทีละน้อย  เราสามารถที่จะทำตามพระวิญญาณได้มากขึ้น  เมื่อเรายอมจำนน ให้กับพระเจ้า เมื่อเรายอมมอบอวัยวะทุกส่วนในร่างกายเรา คือพระเจ้าไม่ได้บังคับเรานะ ต่อให้พระเจ้า ณ เวลานี้ จะเรียกว่าพระเจ้าเป็นเจ้าของชีวิตเราก็ได้ ก็คือพระเจ้าซื้อชีวิตของเราด้วยชีวิตของพระองค์เอง เราไม่ได้เป็นเจ้าของแล้วนะ แต่พระเจ้าก็ยังให้เกียรติเรา ที่จะตัดสินใจว่า …

            “ทุกวัน เธอเดินกับฉัน เธอจะตัดสินใจอย่างไร? อ้าว! เรื่องนี้เธอตัดสินใจอย่างไร? ถ้ามีเรื่องกับใคร เธอจะตัดสินใจอย่างไร? เธอจะตัดสินใจตามธรรมชาติใหม่ของเธอ เธอเป็นความรัก ให้อภัยเขา อดทนนาน”

            “โอเคนะคะ ไม่เป็นไร”

            หรือเธอจะไม่ยอมทำตามที่พระเจ้านำเรา ไม่ได้ๆ โปรแกรมเก่ายังมีอยู่ วนเวียนอยู่แถวนี้ พยายามที่จะจ่อเข้ามา เขาก็จะเสี้ยมเราว่า …

            “ไม่ได้ๆ เธอจะไปยอมเขาได้อย่างไร ไม่ได้มันต้องจัดการ ไม่งั้นเดี๋ยวเขาได้ใจ”

            เท่ากับเราตอนนี้ทำตามเนื้อหนัง ทำตามการนำของระบบโลกนี้ พอเราทำตาม เราก็รับผล ผลตรงนี้ คือผลของโลกใบนี้นั่นแหละ เหมือนเราไปตบหน้าเขา ถ้าเขาแรงมาก เขาก็ตบหน้าเรากลับ รับผลไหม? รับผล หรือว่าเราไปตีหัวใคร เขาไปแจ้งความ เราก็ถูกปรับ แค่นั้นเอง  คือรับผลตรงนั้น

            แต่ผลในด้านวิญญาณ เรายังคงเป็นลูกของพระเจ้าอยู่ ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้เลย เพราะว่าพระเจ้าบอกว่าพระองค์รับเราเป็นลูกแล้ว  ต่อให้เราหัวหกก้นขวิดขนาดไหน? พระเจ้าก็ไม่ทิ้งเรา  พระองค์จะนำพาเรา พระองค์จะคอยแนะนำเรา ให้สติปัญญาเรา พระองค์มีเหตุผลเนอะ บางทีพระองค์บอกว่าให้ทำอย่างนี้เถอะลูก เราไม่ยอมๆ พระเจ้าก็จะโน้มน้าวจิตใจเรา หาเหตุผลมาให้เรา เห็นไหมอย่างโน้นอย่างนี้ดีกว่านะ

            พระเจ้าไม่ได้บีบคอ ไม่ได้เธอต้องเชื่อฉัน  ไม่ใช่ ทรงโน้มนำเรา ให้เรายอมทำตามน้ำพระทัยของพระองค์ แล้วเมื่อเรายอม เราก็ได้รับกำลัง สันติสุขมีอยู่แล้ว มันก็จะเพิ่มพูนมากขึ้น สันติสุข พระเจ้าให้กับเรา พระองค์ไม่เรียกคืนนะ มันอยู่ข้างในเรา  เราก็จะมีเพิ่มขึ้น  พัฒนามากขึ้น ความดีงามชนิดแบบพระเจ้า มันก็จะเพิ่มมากขึ้น  ความอดทนนาน มันก็จะเพิ่มมากขึ้น ความรักที่มันมีอยู่แล้ว  เราก็จะสามารถสำแดงออกได้มากขึ้น นี่คือการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้  แล้วพระเจ้าก็จะนำพาเราทุกย่างก้าวเลย พระเจ้าอวยพรค่ะ

***************************

จากใจคณะศิษยาภิบาล

            เมื่อเราเปิดใจต้อนรับ พระเยซูคริสต์  ชีวิตจิตวิญญาณที่​เรา​มี​  ขณะที่อยู่ในโลก​นี้นั้น เป็นชีวิตจิตวิญญาณ  ที่​เหมือน​กับ​ชีวิตจิตวิญญาณของ​พระคริสต์

            แม้ความจริงของพระเจ้าจะบอกเราว่าทันทีที่เราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์  เป็นพระผู้ช่วยให้รอดจากโทษของบาป  และได้บังเกิดใหม่  วิญญาณของเรา  ได้เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์เลย สะอาด  บริสุทธิ์  เต็มด้วยสง่าราศีของพระเจ้า พระเจ้าพระบิดา  พระบุตร  พระวิญญาณบริสุทธิ์สถิตอยู่ในเรา  เราได้นั่งอยู่ที่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้าในสวรรค์แล้ว  สิ่งเหล่านี้เป็นความจริงในโลกวิญญาณ  ซึ่งเกิดขึ้นเรียบร้อยแล้วทันทีที่เราเชื่อ   แต่เนื่องจากตาเนื้อเรามองไม่เห็น  มือเราสัมผัสไม่ได้  แต่เรารับรู้ได้ในวิญญาณ  เราจึงต้องดำเนินชีวิตด้วยความเชื่อ

            เชื่อตามที่พระเจ้าบอกเรา ในถ้อยคำของพระองค์ แน่นอน   เมื่อเรารู้ความจริงเหล่านี้  ถ้าเลือกได้  เราก็อยากกลับไปอยู่กับพระเจ้า  ซึ่งดีกว่าเยอะเลย แต่ที่พระเจ้ายังให้เราอยู่บนโลกนี้  ก็เพื่อรับใช้พระองค์  สำแดงความรักของพระองค์  ที่อยู่ภายในเราเรียบร้อยแล้วออกมา  ประกาศฤทธานุภาพแห่งข่าวดีของพระเยซู  ดำเนินชีวิตให้เป็นไปด้วยกันกับความจริงที่เราเป็นอยู่  มอบอวัยวะทุกส่วนในร่างกายให้พระเจ้าใช้  เปลี่ยนโปรแกรม  ความคิดเดิมที่เราเคยชิน  มาเป็นโปรแกรมความคิดใหม่  ตามถ้อยคำพระเจ้า  แล้วบุคลิกลักษณะของเราก็จะถูกเปลี่ยนใหม่  เป็นเหมือนพระเจ้า พ่อของเรามากขึ้น  และประพฤติตัวสมกับที่เป็นลูกของพระเจ้า  ผู้บริสุทธิ์ยิ่งใหญ่สูงสุดมากขึ้น

            1 ยอห์น 4:17-18 …  “17 ในการได้เข้าส่วนร่วมเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระคริสต์นี้ ความรัก​​ (อากาเป้ แบบพระเจ้า) จึงได้เกิดขึ้นอย่างสมบูรณ์ครบถ้วนในตัวเรา  เรา​จึง​มี​ความ​มั่นใจ​ใน​วัน​พิพากษา  ที่​เรา​มี​ความ​มั่นใจ​อย่าง​เต็มเปี่ยม​  ก็​เพราะชีวิตจิตวิญญาณที่​เรา​มี​ขณะที่อยู่ในโลก​นี้นั้น  เป็นชีวิตจิตวิญญาณที่​เหมือน​กับ​ชีวิตจิตวิญญาณของ​พระคริสต์ 18 ไม่มีความกลัวในความรัก (อากาเป้ แบบพระเจ้า) แต่ความรัก ((อากาเป้ แบบพระเจ้า)) ที่สมบูรณ์ครบถ้วน (ภายในเรา) ขจัดความกลัวออกไปจนหมดสิ้น  เพราะความกลัว (ไม่มั่นใจในความชอบธรรมของตนเอง) ทำให้เกิดความคิดฟ้องผิด (ว่าถูกตัดสินลงโทษ) ดังนั้น ผู้ที่ยังกลัวอยู่ (ไม่มั่นใจในความชอบธรรมของตนเอง กลัวการถูกลงโทษในวันพิพากษา) คือผู้ที่ยังไม่มีความรัก (อากาเป้ แบบพระเจ้า) ที่สมบูรณ์ครบถ้วนภายในเขา”

            พระเจ้าอวยพรครับ

วารสาร Holy  News   ฉบับที่ 1399

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  15  มกราคม  2023

เรื่อง “จงเลียนแบบพระเจ้า เหมือนเด็กเล็กๆ เลียนแบบพ่อแม่”

โดย นคร  เวชสุภาพร

            หัวข้อการบรรยายในวันนี้ คือ “จงเลียนแบบพระเจ้า เหมือนเด็กเล็กๆ เลียนแบบพ่อแม่” สุขสันต์วันเด็กได้แล้วใช่ไหม?  เพราะสำหรับพระเจ้าแล้ว ไม่ว่าอายุท่านจะเท่าไรแล้วก็ตาม ผมขาวกี่เส้นแล้วก็ตาม จะเลข 7 เลข 8 ขึ้นต้นก็ตาม ท่านก็ยังเป็นเด็กเล็กๆ ของพระเจ้าแห่งฟ้าสวรรค์ ก็คือพ่อแห่งฟ้าสวรรค์ของท่านอยู่ ขอบคุณพระเจ้า เป็นเด็กตลอดเวลาเลย เพราะฉะนั้น เราสามารถที่จะพูดกันเองในที่นี้ว่าเราสามารถมี หรือฉลองวันเด็กได้ทุกวัน ทุกวินาทีเลย เพราะเราเป็นเด็กนั่นเอง เป็นเด็กเล็กๆ ของพระเจ้า เอเฟซัส 5:1-2 เราเริ่มต้นด้วยถ้อยคำของพระเจ้าในวันนี้ …

        เอเฟซัส 5:1-2 “ดังนั้น จงเลียนแบบพระเจ้า และทำตามแบบอย่างของพระองค์ เหมือนเด็กเล็กๆ ที่พ่อรัก ที่เลียนแบบพ่อของพวกเขา”

            “เหมือนเด็กเล็กๆ ที่พ่อรัก ที่เลียนแบบพ่อของพวกเขา” คือเมื่อเราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอด เราก็บังเกิดใหม่ ตั้งแต่วันนั้นมา เราก็เป็นลูกของพระเจ้า  ไม่ใช่เด็กเล็กๆ ธรรมดา แต่ถ้าเผื่อมาเริ่มต้นรู้จักพระเจ้าใหม่ๆ อาจจะเดือนหนึ่ง สองเดือน หรือปีหนึ่ง เราเป็นทารกเลยนะ เราก็จะได้รับน้ำนมอันบริสุทธิ์ คือเลี้ยงดูเราเจริญเติบโตขึ้น  เราอาจจะมารู้จักพระเจ้า 2-3 ปี เราก็เริ่มเป็นเด็กเล็กๆ แล้วค่อยๆ เตาะแตะๆ ไปจนถึงอายุ 80 เราก็ยังเป็นเด็กที่โตหน่อย อายุ 90 ก็ยังเป็นเด็กที่โตขึ้นไปอีกนิดหนึ่ง เป็นเด็กวันยังค่ำ จนกว่าวันหนึ่งเราจะจากโลกนี้ไป พระคัมภีร์บอกเราเป็นเหมือนทายาทที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะ ที่จะได้รับมรดก ที่พระเจ้าเตรียมไว้ในสวรรค์นั่นเอง  เพราะฉะนั้น เรายังคงเป็นเด็ก และพระเจ้าปฏิบัติต่อเราด้วยความรัก แบบอากาเป้ ซึ่งเราต้องเรียนรู้ เพื่อจะได้ทำตามแบบอย่างของพระเจ้า ในความรักแบบอากาเป้นี้  เพื่อเราจะได้แบ่งปันความรักแบบอากาเป้นี้ ไปให้กับเด็กๆ หรือลูกๆ ของเรา ที่เป็นมนุษย์ ที่เดินอยู่บนโลกใบนี้เช่นเดียวกัน นึกภาพออกใช่ไหม? พระเจ้าจึงอยากให้เราเลียนแบบพระองค์ว่าพระองค์ดูแลเราอย่างไร? เราก็ดูแลลูกๆ หลานๆ และเด็กๆ บนโลกใบนี้อย่างนั้น เช่นเดียวกัน

            ตามแบบอย่างของพระเจ้า ก็คือตามแบบอย่างที่พระเจ้าปฏิบัติ เลี้ยงดูลูกเล็กๆ ก็คือพวกเรา ผู้เชื่อทั้งหลาย เราก็ดูแลเลี้ยงดูลูกๆ ของเรา เด็กๆ ของเราบนโลกใบนี้ ด้วยความรักแบบพระเจ้า แล้วเราก็ต้องเรียนรู้ใช่ไหมว่าความรักแบบพระเจ้า ที่ว่าไว้ มันเป็นอย่างไร? พระเจ้าเลี้ยงดูเราแบบความรักของพระองค์อย่างไร? เราต้องรู้ รู้เพื่อเราจะได้เลียนแบบได้ ถูกไหมครับ? เอเฟซัส 6:4 ได้บันทึกอย่างนี้ว่าเป็นลักษณะอย่างไร? …

        เอเฟซัส 6:4  “บิดา (พ่อแม่) ทั้งหลายอย่าใช้อารมณ์ ยั่วยุให้บุตรธิดาของท่านขุ่นเคือง โกรธ แต่เลี้ยงดูพวกเขาอย่างอ่อนโยน ในการอบรมสั่งสอน ฝึกวินัย ตลอดจนให้คำแนะนำ คำปรึกษา และคำตักเตือน ตามหลักการของพระเจ้า”

            พระเจ้าต้องการให้เราเลียนแบบ พระเจ้าแนะนำเรา สอนเราบอกว่าบิดา คือพ่อแม่ทั้งหลาย อย่าใช้อารมณ์ยั่วยุให้บุตรธิดาของท่านขุ่นเคือง โกรธ แต่เลี้ยงดูพวกเขาอย่างอ่อนโยน ในการอบรมสั่งสอน ฝึกวินัย  ตลอดจนให้คำแนะนำ คำปรึกษา คำตักเตือน ตามหลักการของพระเจ้า ก็คือตามแบบอย่างของพระเจ้าถูกไหม? ทำอย่างไร? อย่าใช้อารมณ์ อย่ายั่วยุ แต่ดูแลพวกเขาอย่างอ่อนโยน ฝึกวินัยเขา ให้คำแนะนำ ตักเตือน แบบอย่างพระเจ้าเลย

            เราก็จะมาดูว่าในนี้แบบอย่างพระเจ้าเป็นอย่างไร? ก็คือแบบอย่างที่พระเจ้าบอกไว้ว่าเราเป็นอย่างนี้ ก็คือ …

            1. พระเจ้าไม่ใช้อารมณ์ยั่วยุบุตรธิดาของพระองค์ให้ขุ่นเคือง โกรธ แต่พระเจ้าเลี้ยงดูพวกเขาอย่างอ่อนโยนในการอบรมสั่งสอน ฝึกวินัย ซึ่งภาษาอังกฤษตรงนี้ดีมาก เขาใช้คำว่า “Discipline” คือฝึกวินัย มาจากคำว่า “ฝึกสอนสาวก” สาวกของพระเยซู คือตรงนี้

            2. ให้คำแนะนำ คำปรึกษา และคำตักเตือน ตามหลักการของความรักแบบพระเจ้า  แบบไม่มีเงื่อนไข “Biqqoret (To inquire deeply)

            เรารู้แล้วว่ามี 2 อย่าง ฝึกวินัยกับให้คำแนะนำ ปรึกษา ตักเตือน ตามหลักการของความรักแบบพระเจ้า แล้วดูเป็นอย่างไร? เพื่อเราจะได้รู้ว่าพระเจ้าดูแลเราอย่างไร ถ้าเราไม่รู้ว่าพระเจ้าดูแลเราอย่างไร? ไม่รู้ท่าทีของพระเจ้าดูแลเราอย่างไร?  เราก็ไม่มีทางที่จะเอาลักษณะของพระเจ้าไปดูแลลูกหลานเราได้เลย เราก็ดูแลตามความคิดของเรา ตามในใจของเรา นึกว่ามันควรจะเป็นอย่างไร? ซึ่งพระเจ้าไม่ต้องการอย่างนั้น มันไม่มีประโยชน์ มันไม่ได้รับผล ถ้าได้ผลจริงๆ คือตามแบบอย่างพระเจ้าที่ดูแลเรา

            พระคัมภีร์สอนให้เราเลียนแบบพระเจ้า แปลว่าพระเจ้ายอดเยี่ยม ดีเลิศ พระเจ้าทำอย่างไร? เราทำตามอย่างนั้นหมด ฉะนั้น ท่านลองคิดตามนะว่าในขณะที่พวกเรา ซึ่งเป็นพ่อแม่ที่เป็นมนุษย์  ที่อ่อนแอและมีข้อจำกัดมากมาย เรายังพยายามอย่างมาก ที่จะดูแลลูกของเรา รักลูกของเรามากขนาดไหน? ลองคิดดู พระเจ้าซึ่งเป็นพระเจ้าแห่งฟ้าสวรรค์ ผู้ยิ่งใหญ่สูงสุด และเป็นพ่อของเราทั้งหลาย พระองค์ทรงรักพวกเราที่เป็นลูกๆ ของพระองค์มากกว่านั้นอีกสักเท่าใด  เพราะว่าพระองค์ทรงเป็นพระเจ้าผู้บริสุทธิ์  แต่เราทั้งหลายเป็นอดีต คนบาป ที่ไม่สมบูรณ์ ครบถ้วน ในอุปนิสัยใจคอ เพราะเป็นมนุษย์ยังอยู่ในร่างกายเดิม อยู่บนโลกใบนี้อยู่

            พระเยซูยกตัวอย่างให้เห็นชัดๆ เปรียบเทียบให้เราเห็น บอกว่าเราซึ่งเป็นคนบาป ยังรู้จักรักลูกของตนเองเลย เราพ่อแม่ซึ่งเป็นคนบาปยังรู้จักรักลูกของตนเองเลย ลูกเราขอปลา จะให้งูหรือ? ลูกเราขอขนมปัง จะให้ก้อนหินหรือ? เรายังอยากจะรู้ว่าลูกของเราต้องการอะไร? อะไรที่ดีที่สุด สำหรับเขา และมากกว่านั้นสักเท่าใดที่พระองค์จะเตรียมสิ่งที่ดีที่สุดไว้ให้กับเรา ที่ทูลขอ ร้องขอต่อพระองค์ และข้อสำคัญ พระองค์บอกว่าพระองค์รู้ก่อนด้วยซ้ำไปว่าในใจของเรา อะไรที่มันดี ที่เราสมควรจะได้รับ เราเองเราไม่รู้ตัวเลย แต่พระองค์ทรงรู้ว่าเราสมควรได้รับอะไร? แล้วเราอยากได้อะไรมาก พระองค์รู้ก่อนเราขอด้วยซ้ำ นี่พระเยซูยกตัวอย่างอย่างนั้น

            พระเยซูกำลังเปรียบเทียบให้เราเห็นภาพระหว่างความรักของพ่อแม่ ที่เป็นคนบาป ที่เป็นมนุษย์ ที่พยายามที่สุด ที่จะคอยอบรมสั่งสอนให้ลูกได้ดีที่สุดเท่าที่ทำได้กับความรักและพระคุณของพระเจ้า ที่คอยอบรม สั่งสอน ฝึกวินัย ให้เราทั้งหลาย ลูกๆ ของพระองค์ได้ดี และพระเจ้าทรงชันสูตร แสวงหาเข้าไปในใจของเราลึกๆ ในชีวิตของลูกๆ แต่ละคนของพระองค์ เพื่อจะได้เข้าไปอบรม สั่งสอน นิสัยใจคอ ขอให้ลูกสามารถที่จะรับได้ในสิ่งที่พระองค์ทรงสอน ให้เขาสามารถเชื่อฟัง ให้รู้ว่าต้องคุยกับเขาในท่าไหนดี อะไรอย่างนี้ เห็นไหมครับ?

            ยกตัวอย่าง พระเยซูบอกว่าพระองค์ทรงสืบเสาะเข้าไปหา ละเอียดขนาดไหน? ชันสูตรเข้าไปในจิตใจของลูกๆ แต่ละคนขนาดไหน? ขนาดเส้นผมทุกเส้น บนศีรษะของเรานั้น พระองค์ทรงนับไว้แล้ว พระองค์ทรงรู้ว่ามีกี่เส้น และร่วงไปกี่เส้นเมื่อวานนี้ วันนี้ เอเมนไหม นี่เห็นภาพชัด พระเยซูยกตัวอย่าง ขาดลอยเลยนะ  อุปมาอันนี้อันเดียวรู้ทันทีว่าพระเจ้าทรงรักลูกแต่ละคนขนาดไหน? ลึกซึ้งขนาดไหน? ขนาดเข้าไปนับผมทีละเส้นๆ ว่ามีกี่เส้น นี่ชัดเจน พระองค์ทรงทราบว่าเขาคิดอะไรอยู่ ขณะนี้เราคิดยังไง และมันมีประโยชน์ต่อชีวิตเราไหม? แล้วเราควรจะแก้ไขความคิดเหล่านั้นอย่างไร? เราควรจะได้รับสิ่งที่เราปรารถนาด้วยวิธีใด? พระองค์ทรงทราบก่อนล่วงหน้าทั้งหมดแล้ว เราเป็นคนลักษณะไหน? นิสัยใจคอเราเป็นอย่างไร? แล้วพระองค์ก็จะอดทนนานด้วยความรัก ค่อยๆ สอนเราด้วยความอ่อนโยน นำพาเราด้วยพระคุณ ไม่ใช่ด้วยพระเดช

            ด้วยพระคุณ เราสามารถเริ่มต้นเรียนรู้ พระเจ้าดูแลเราอย่างนี้ แล้วเราก็ใช้วิธีการนี้ในการเลี้ยงดูบุตรหลานของเราต่อไป ดูแลเด็กๆ บนโลกใบนี้ต่อไป ตามเอเฟซัส 6:4 ที่เราอ่านไปสักครู่นี้ การสอนของพระเจ้าที่ทำให้เราต้องมาเรียนรู้ และทำตามแบบอย่างเหมือนพระองค์นั้น สามารถแยกแยะออกเป็นส่วนๆ มี 2 ส่วนที่เป็นหลัก ก็คือ …

            1. อบรมสั่งสอน ฝึกวินัย นี่คือการเลี้ยงดูเด็กๆ ของพ่อ ของพระเจ้า ที่มีต่อเรา  และเราควรจะเรียนรูที่จะเลียนแบบอย่างนี้ ในการเลี้ยงดูบุตรหลานของเราบนโลกใบนี้

            2. ให้คำแนะนำ คำปรึกษา และคำตักเตือน

            นี่คือ 2 หลักในวิธีการแบบอย่างของพ่อ คือพระเจ้า มาดูข้อแรกก่อน …

            ข้อแรก วิธีการของพระเจ้าในการอบรม สั่งสอน ฝึกวินัยลูกๆ ของพระองค์  การอบรม สั่งสอน ฝึกวินัยแบบพระเจ้า คืออะไร? คราวนี้เรามาเรียนรู้แล้วนะ เรียนรู้จากพระคัมภีร์บอกเรา ฝึกวินัยแบบพระเจ้า ก็คือพระเจ้าของเรา เป็นผู้ฝึกสอนเรา ซึ่งเป็นลูกด้วยความรัก ไม่ใช่เป็นผู้คุม แบบโหดร้าย เหมือนเราเป็นนักโทษ หรือเหมือนเราเป็นทาส แต่พระองค์เป็นพ่อ ที่เป็นเหมือนครูฝึก ภาษาเดิม แปลคำนี้ชัดเจนมาก คือคำว่าเทรนเนอร์ (Trainer) หรือครูฝึก เป็นเทรนเนอร์ หรือเป็นครูฝึกที่ดีที่สุดของเรา ลูกของพระองค์ นี่ภาพต้องเป็นอย่างนั้น

            ความหมายของคำว่า “เทรนเนอร์” มันดีมาก หรือภาษาไทยเขาเรียกว่า “ครูฝึก” หรือ “ผู้ฝึกสอน” ฝึกวินัยดีมาก เทรนเนอร์ที่เรารู้จักบนโลกใบนี้ เป็นอย่างไร? หมายถึงใคร? เทรนเนอร์ก็จะคอยดูแล แนะนำ ฝึกสอนให้เราทำ ยกตัวอย่างเช่น ออกกำลังกาย เล่นกีฬา โดยเฉพาะในยุคปัจจุบัน ชัดมาก คำว่า “เทรนเนอร์” เยอะแยะไปหมด ไปฟิตเนสอะไรต่างๆ ก็มีเทรนเนอร์ ฝึกสอนเรา พอมองเห็นภาพ เป็นนักกีฬาอาชีพ นักกีฬาแข่งขัน ระดับชาติ ระดับไหนก็ตาม ก็จะมีครูฝึก มีเทรนเนอร์ เทรนเนอร์ก็จะฝึกให้เราออกกำลังกาย หรือเล่นกีฬา ตามความถนัดของเรา เพื่อเสริมสร้างสุขภาพให้เราแข็งแรง มีบุคลิกร่างกายดี ประสบความสำเร็จในการเล่นกีฬาต่างๆ เหล่านั้น แล้วแต่จะเล่น เพื่ออะไร? เทรนเนอร์ไม่ใช่ฝึกสอน ฝึกเรา เพื่อจะลงโทษเรา หรือจะฆ่าเราให้ตายถูกหรือไม่ถูก? นั่นแหละ นึกถึงภาพพระเจ้า เทรนเนอร์ คืออย่างนั้นแหละ

            แต่แน่นอน เวลาเรามีเทรนเนอร์ ตอนที่เราฝึกอยู่นั้น เราต้องอดทนต่อความทุกข์ยากลำบาก เช่น ความขี้เกียจ ความเหมื่อยล้า ต้องต่อสู้อดทนกับความเจ็บปวดกล้ามเนื้อบ้าง เส้นเอ็นตึง ยึดบ้าง แต่ครูฝึกหรือเทรนเนอร์ จะรู้ระดับขนาดที่เราแต่ละคนมีไม่เท่ากัน และรู้ว่าเราสามารถรับได้ ทนได้แค่ไหน? ที่เหมาะสมกับเราแต่ละคน เพื่อทำให้เกิดประโยชน์ในร่างกายเรามากที่สุด เท่าที่ทำได้  เพื่อจะสำเร็จตามเป้าหมายที่ได้วางไว้ ตั้งแต่ตอนเริ่มต้น

            ยกตัวอย่างเราไปฟิตเนต เราจะไปทำอะไร? เทรนเนอร์ก็จะมาคุยกับเราว่าเป้าหมายของเรา คืออยากจะมีกล้ามสวยๆ มีพุงแฟ๊บๆ ใช่ไหม? โอเค วางโปรแกรมไว้ ออกกำลังกายอย่างนี้นะ รับประทานอาหารอย่างนี้ แล้วก็คอยดูแลเรา สัปดาห์นี้ถึงไหนแล้ว โอเค อยากมีกล้ามสวยๆ ต้องยกเยอะๆ มันเจ็บ มันปวดใช่ไหม? เมื่อยใช่ไหม? แต่เป้าหมาย คือรูปร่างจะได้สวย  ร่างกายจะได้แข็งแรง อย่างนี้เป็นต้น นี่คือหน้าที่ หรือการฝึกของเทรนเนอร์

            พระเจ้าเป็นพ่อของเรา เป็นเทรนเนอร์ที่ยอดเยี่ยม เอาใจใส่เราในทุกกระเบียดนิ้ว เข้าใจเราทุกอย่าง มากกว่าตัวเราเข้าใจตัวเราเองด้วยซ้ำไป พระองค์รู้จุดอ่อนจุดแข็งของเรา อยู่ตรงไหน? พระองค์ฝึกฝนเรา  เพื่ออนาคตที่ดี เพราะเป็นเทรนเนอร์ที่ดี ไม่มีเทรนเนอร์ที่ไหนหรอกที่จะมา เพื่อจะลงโทษเรา เนื่องจากอดีตเรา ไปทำไม่ดีมา

            บอกให้ออกกำลังกาย สมมติว่าให้ยกน้ำหนักอย่างนี้ๆ 10 เชต เชตละ 10 ที วันละ 5 ครั้งทุกวัน สัปดาห์ต่อไป ไม่ทำ ไม่เอาแล้ว ไม่สนใจแล้ว ไม่สอนแล้ว หรือลงโทษ ไม่ใช่ เขาก็จะมาศึกษาต่อว่าที่เราไม่ทำ เพราะอะไร? เทรนเนอร์ก็อาจจะเห็นว่าที่เราไม่ทำ เพราะอาจจะเยอะเกินไป หรือเราไปทำอย่างอื่นผิด เพราะฉะนั้น ลดการวิ่งลงไหม? แล้วมายกน้ำหนัก ให้ได้ตามที่เราตั้งใจ ที่เทรนเนอร์สอน ที่เทรนเนอร์แนะนำ พอเราลดการวิ่ง ความเหนื่อยมันก็น้อยลง เราก็สามารถมายกน้ำหนักได้ ตามที่เทรนเนอร์วางไว้ให้

            เห็นไหม? จะมองภาพเห็นว่าเทรนเนอร์ต้องทำอะไร? เทรนเนอร์ต้องเข้าไปศึกษาอย่างลึกซึ้งว่าคนๆ นี้ เขาทำได้แค่ไหน? เขาควรจะทำอะไร เพื่อเป้าหมายนั้น เป้าหมายต้องการให้ท้องแฟ๊บ ทำอย่างไร? ไปวิ่งออกแต่หัวใจอย่างเดียว ท้องไม่แฟ๊บหรอก อะไรอย่างนี้เป็นต้น นี่จริงอย่างนี้หรือเปล่า เราก็ไม่รู้นะ ยกตัวอย่างให้เห็น เพราะกำลังฮิต กำลังดังมาก เรื่องเทรนเนอร์หรือครูฝึกนี้

            แล้วพระองค์จะคุยกับเราอย่างไร? เทรนเนอร์ที่เป็นพระเจ้า คุยกับเราเสมอตามถ้อยคำพระเจ้าที่บอกไว้ว่าพระเจ้าตรัสกับเรา เสมอว่าพระองค์ได้เริ่มต้นแผนการดี ในเราแต่ละคนแล้ว แผนการดี คือให้เราได้เริ่มต้นเกิดใหม่ เป็นลูกของพระเจ้าแล้ว พระองค์จะทรงกระทำต่อไป ฝึกฝน สอนเราต่อไป จนกระทั่งสำเร็จเป็นไปตามเป้าหมาย ก็คือเจริญเติบโตเป็นผู้ใหญ่ในฝ่ายวิญญาณ เข้าไปสู่ในโลกวิญญาณ จนถึงได้รับชีวิตนิรันดร์ในที่สุด นั่นเอง นี่คือเป้าหมาย

            แล้วพระองค์บอกว่าพระองค์ทำสำเร็จแน่นอน เพราะพระองค์ทรงเริ่มต้นทำ เราเป็นลูกของพระองค์แล้ว ก็เป็นลูกเลย ไม่มีทางเปลี่ยนเป็นอย่างอื่น นั่นแหละ หน้าที่ของพระองค์ ก็คือกำลังสอนเราเป็นลูกของพระองค์ และไม่มีทางเปลี่ยนเป็นอย่างอื่น เป้าหมาย คือเป็นลูกของพระองค์ที่สง่างาม  และอยู่บนโลกใบนี้ อย่างมีสันติสุขและความสุขมากที่สุด เท่าที่ทำได้  นี่คือข้อ 1 คือการฝึกฝน อบรม ฝึกวินัยให้กับลูกๆ ของพระองค์ ซึ่งเราเลียนแบบ เอาไปฝึกให้กับลูกๆ ของเราได้

            มาข้อที่ 2 ที่พระเจ้าต้องการให้เราเลียนแบบ ก็คือการให้คำแนะนำ คำปรึกษา คำตักเตือน แบบพระเจ้า แบบพระเจ้า คือไม่ใช่แบบมนุษย์คิด หรือแบบมนุษย์เราทำกันทั่วๆ ไป เช่น พอลูกทำผิด หรือเด็กๆ ที่ทำผิด …

            “บอกกี่ครั้งไม่เชื่อสักทีหนึ่ง ไปตายซะ บอกกี่ครั้งไม่รู้จักฟัง สักทีหนึ่ง”

            เห็นไหม? ใช้อารมณ์ ยั่วยุให้เขาเกิดความกระด้างกระเดื่อง รับไม่ได้ แทนที่จะให้คำแนะนำ ให้คำปรึกษา ให้คำตักเตือนแบบพระเจ้า แบบพระเจ้า คือภาษาฮีบรูเดิม เขาใช้คำว่าบิ๊กโกเร้นท์ (Biqqoret) ภาษาอังกฤษ คือ To inquire deeply หรือ Search deeply ซึ่งแปลเป็นไทย คือการค้นหา ชันสูตรเข้าไปในจิตใจ อย่างละเอียดลึกซึ้ง เรียนรู้จุดอ่อนจุดแข็งของลูกแต่ละคน มันแปลว่าอย่างนี้ มนุษย์ส่วนใหญ่ให้คำแนะนำ คำปรึกษา คำตักเตือนกับลูกๆ แบบนี้ไหมว่าให้เข้าไปค้นหา ชันสูตรจิตใจของลูกคนนั้นอย่างละเอียดลึกซึ้งว่าเป็นคนนิสัยอย่างไร? จุดอ่อนจุดแข็งเป็นอย่างไร? พูดอย่างไร เขาถึงจะรับได้ ลูกคนโตไม่ค่อยจะพูด พูดน้อย คิดเยอะ ลูกคนเล็กเป็นคนพูดมาก คิดน้อย เราควรจะพูดอย่างไร? ที่เขาจะสามารถรับได้ เข้าใจได้ ไม่เข้าใจเราผิด เอเมนไหม? เพราะเขาเป็นเด็กเล็กๆ อยู่

            แทนที่จะทำแบบนั้น เราทำแบบมนุษย์ ให้คำแนะนำ ปรึกษาแบบใจเราต้องการ เราต้องการอย่างนี้ ใช้อารมณ์

            “ไม่ได้ ต้องทำอย่างนี้สิ ต้องทำอย่างนั้นสิ ต้องไปเรียนหมอ ต้องไปเรียนอันโน้น”

            เราไม่เข้าใจเขา เขาอยากจะทำอย่างนี้  เพราะเขาถนัดอย่างนี้

            เราบอก … “อย่างนี้ได้อย่างไร อย่างนี้ไม่ถูกต้อง ไปทำอย่างนี้ดีกว่า พ่ออยากให้เป็นอย่างนี้ แม่อยากให้เป็นอย่างนี้”

            นี่คือตรงกันข้ามกับแบบพระเจ้า

            เนื่องจากคำว่า “Biqqoret” ในภาษาฮีบรู ได้มีการเอามาใช้บัญญัติเป็นคำศัพท์ใหม่ เรียกว่าในภาษาฮีบรูใหม่ มีการนำคำว่า Biqqoret  มาใช้เรียกเครื่องมือชนิดหนึ่ง ซึ่งใช้เฆี่ยนตี ลงโทษ ให้ถึงตาย ของนักโทษประหาร และใช้คำภาษาอังกฤษว่า Scourging ที่แปลว่าการลงโทษ เฆี่ยนตีให้ถึงตาย จึงมีข้อพระคัมภีร์บางแห่งที่แปลความหมายตรงนี้ให้ไม่ตรงตามบริบทที่ควรจะเป็น นึกออกแล้วใช่ไหม? Biqqoret ควรจะเป็นอย่างที่ตะกี้นี้บอกว่าค้นหาเข้าไปลึกๆ ชันสูตรเข้าไปในจิตใจลึกๆ อย่างละเอียดของลูกๆ  เพื่อที่จะได้รู้จุดอ่อน จุดแข็งของเขา เพื่อที่จะเลี้ยงดูเขา ให้คำแนะนำ คำปรึกษากับเขา แต่อันนี้ นำมาใช้เรียกเครื่องมือหนึ่งเรียกว่าเฆี่ยนตี จนตาย เป็นการลงโทษ ต่างกันลิบเลย  ถามว่าทำไมเอาใช้ ต่างกันลิบ ก็เพราะว่า Biqqoret แปลว่าการเจาะเข้าไปอย่างลึกซึ้งเข้าไปจิตใจ นี่คือเริ่มต้นของศัพท์คำนี้ แล้วก็นำศัพท์คำนี้  เมื่อคำว่าเจาะลึกซึ้ง  มาทำเป็นศัพท์ใหม่ ภายหลังจากมีการสร้างเครื่องมือ การเฆี่ยนตีนี้ขึ้นมา เอาคำนี้มาใช้ เหมือนกับเราใช้คำว่าโทรทัศน์อย่างนี้

            โทรทัศน์ ก็มาจากคำเดิม ก่อนนี้ ไม่มีคำว่าโทรทัศน์ มีแต่คำว่าโทร คือการติดต่อกัน ระยะการติดต่อ โทรทัศน์คือการติดต่อกัน ที่เห็นภาพ รวมกันเป็นโทรทัศน์ รู้แล้วว่าโทรทัศน์เป็นอะไร โทรทัศน์มาจากคำว่าโทร จากคำว่าติดต่อกันทางไกล อย่างนี้เป็นต้น

            เพราะฉะนั้น จึงมีการนำข้อพระคัมภีร์บางแห่งในพระคัมภีร์ ที่ใช้คำว่า Biqqoret ในการแปลความหมาย ที่ผิดไปจากบริบท ที่ควรจะเป็น ซึ่งพอมันแปลผิดปุ๊บ มันเกิดอะไรขึ้น เข้าใจผิดเกิดขึ้น ซึ่งเป็นความเข้าใจผิดอย่างใหญ่หลวง ต่อพ่อที่เป็นพระเจ้า ผู้เป็นพระบิดาผู้สถิตในสวรรค์ ผู้ทรงเป็นความรัก ที่ดำรงเป็นนิตย์ ที่รักมนุษย์มาก ดังแก้วตาดวงใจของพระองค์ พระองค์ไม่ได้กระทำอย่างนั้นเลย แต่ถูกเข้าใจผิด วันนี้เลยจะมาทำให้ท่านเข้าใจถูก เพื่อเราเข้าใจในทางของพระเจ้าถูกแล้ว เราจะได้เลียนแบบ เอามาดูแล ลูกๆ ของเรา เด็กๆ ของเราบนโลกใบนี้  ในฮีบรู 12:5-6 เป็นข้อที่ชัดเจนมาก ที่ทำให้เข้าใจพ่อแห่งฟ้าสวรรค์ของเราผิดไปเยอะเลย บันทึกไว้อย่างนี้ ซึ่งมันผิดบริบท …

        ฮีบรู 12:5-6 “5 ท่านได้ลืมถ้อยคำให้กำลังใจ ซึ่งมีมาถึงท่าน ในฐานะบุตรว่าลูกเอ๋ย อย่าละเลย การตีสอนขององค์พระผู้เป็นเจ้า อย่าท้อใจ เมื่อพระองค์ทรงตำหนิท่าน 6 เพราะองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงตีสอนผู้ที่พระองค์ทรงรัก และทรงลงโทษทุกคนที่ทรงรับเป็นบุตร”

            “ท่านได้ลืมถ้อยคำให้กำลังใจ ซึ่งมาถึงท่าน ในฐานะบุตรว่าลูกเอ๋ย อย่าละเลย การตีสอนขององค์พระผู้เป็นเจ้า

            ท่านรู้แล้วตรงนี้ แปลมาจากคำว่า Scourges ซึ่งหมายถึงเฆี่ยนตีให้ถึงตาย  และอย่างนี้จะเป็นถ้อยคำให้กำลังใจไหม? ท่านอย่าละเลย การเฆี่ยนให้ตายขององค์พระผู้เป็นเจ้า ที่กำลังเฆี่ยนท่านให้ถึงตาย เป็นกำลังใจตรงไหน?

            “อย่าท้อใจ เมื่อพระองค์ทรงตำหนิท่าน เพราะองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงตีสอน ผู้ที่พระองค์ทรงรัก

            ก็คือมาจากคำว่า “พระองค์ทรงเฆี่ยนตีให้ถึงตายกับผู้ที่พระองค์ทรงรัก” เป็นไปได้ไหม? พูดเองก็ได้  มันเป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว นี่แหละความเข้าใจผิด

            “และทรงลงโทษทุกคนที่ทรงรับเป็นบุตร” ก็คือเมื่อเราบังเกิดใหม่ คริสเตียนแล้ว เป็นลูกของพระองค์แล้ว พระองค์จะลงโทษเราอย่างนี้ มันถูกบริบทไหม? ไม่ถูกแน่นอน เรารู้แล้ว

            พระเจ้าไม่ตีสอน ผู้ที่พระองค์ทรงรัก และไม่ลงโทษทุกคนที่อาศัยอยู่ในพระคริสต์ เอเมนไหม? เพราะว่าพระองค์ทรงได้รับเขาทั้งหลายเหล่านั้น เป็นของพระองค์แล้ว ในพระเยซูคริสต์ พระองค์เป็นพ่อของพวกเขา เขาเป็นบุตรของพระองค์แล้ว  พระองค์ไม่ลงโทษทุกคนที่อาศัยอยู่ในพระคริสต์อย่างแน่นอน เอเมน เพราะพระเยซูรับโทษบาปไปเรียบร้อยแล้ว ผ่านทางพระโลหิตของพระองค์ เอเมนไหม? ชัดเจนเลย

            คำว่า “ตีสอน” ตรงนี้ ภาษาฮีบรู ก็คือตะกี้นี้ Biqqoret  คำว่าตีสอนตรงนี้ พระคัมภีร์ภาษาอังกฤษส่วนใหญ่ ก็เข้าใจผิด ก็จะใช้คำว่า Scourges คือคำที่มาจาก Biqqoret ที่รวมคำเป็นสมัยใหม่ แปลว่าเฆี่ยนตี  ที่มักใช้กับการลงโทษในสมัยโรมัน คือใช้แส้ ที่ทำด้วยหนัง เป็นเส้นๆ คล้ายหางม้า มีกระดูกสัตว์ หรือของมีคมติดอยู่ที่แส้ แล้วก็เฆี่ยนไป เพื่อที่จะให้กระดูกที่เป็นแหลมๆ เหล่านั้น เจาะลึกเข้าไป ในเนื้อกระชากออกมา เพื่อให้นักโทษนั้น ได้รับการลงโทษอย่างสาสม เพราะเป็นนักโทษประหารชีวิตนั่นเอง นี่คือคำว่า Scourges ท่านพอจะนึกออกแล้วใช่ไหมว่าตรงนี้น่าจะแปลว่าอะไร?  และคำว่า Scourges เป็นคำเดียวกันกับตอนที่ทหารโรมันเฆี่ยนตีพระเยซู ก่อนที่จะจับไปตรึงที่ไม้กางเขน พระองค์ถูกเฆี่ยน ถูกตี ด้วยความโกรธ เกลียดชัง เยาะเย้ยของทหารโรมัน กระชากเนื้อของพระองค์ออกมาทีละนิดๆ ออกมาเรื่อยๆ  เพื่อให้พระองค์สิ้นพระชนม์ แต่ยังไม่ถึงเวลาในการทนทุกข์เพียงพอ  พระองค์ยังไม่สิ้นพระชนม์ ยังไม่ถึงเวลา

            เพราะฉะนั้น “พระผู้เป็นเจ้าทรงตีสอน หรือ Scourges นี้ ผู้ที่พระองค์ทรงรัก เมื่อตะกี้ที่เราอ่าน  และทรงลงโทษทุกคนที่ทรงรับเป็นบุตรนั้น” จึงไม่ใช่อย่างแน่นอน ถูกไหม? มันขัดกับถ้อยคำพระเจ้าอื่นๆ ในพระคัมภีร์มากมายเลยที่บอกว่าพระเจ้าเป็นความรัก ประทานพระเยซูมา พระเยซูแบกรับเอาความบาป ถูกเฆี่ยน ถูกตี เพื่อเราทั้งหลาย  ไม่ใช่ให้เราถูกเฆี่ยนตี

            โรม 8:1 บอกว่าไม่มีการลงโทษใดๆ แล้ว สำหรับผู้ที่อยู่ในพระคริสต์ ผู้ที่อยู่ในพระคริสต์ คือผู้ที่เป็นลูกของพระเจ้าแล้ว ไม่มีการลงโทษอีกแล้ว แล้วนี่ไปเอาโทษมาจากไหน? เห็นไหม?

            ถ้าคำว่า Scourges หรือการตีสอน หมายถึงการเฆี่ยน แบบที่ผมเล่าให้ฟังเมื่อสักครู่นี้ ท่านลองนึกภาพว่าจะมีพ่อแม่ มนุษย์คนไหนบ้างไหมที่รักลูก แล้วเฆี่ยนตีลูกอย่างนั้น  พ่อแม่ที่เป็นมนุษย์ เป็นคนบาปยังไม่ทำอย่างนั้นเลย แล้วพระเจ้าจะทำอย่างนั้นกับเราได้อย่างไร? พระองค์บอกให้เราเลียนแบบพระองค์อย่างที่ถูกต้อง “อย่างที่ถูกต้อง” คือแบบ Biggoret ที่เป็นความหมายเดิมของภาษาฮีบรูนั่นเอง ที่เราเรียนรู้ไปเมื่อตะกี้นี้ ในพระคัมภีร์เดิม ในหนังสือสุภาษิตก็มีคำนี้อีก คำว่า Biggoret นี้ ที่เขียนไว้ สุภาษิต 3:11-12 …

        สุภาษิต 3:11-12  “11 ลูกเอ๋ย อย่าดูหมิ่นการตีสั่งสอนขององค์พระผู้เป็นเจ้า อย่าขุ่นข้องหมองใจ เมื่อพระองค์ทรงว่ากล่าวตักเตือน 12 เพราะองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงตีสั่งสอน ผู้ที่พระองค์ทรงรัก ดั่งพ่อตีสั่งสอนลูกที่ตนชื่นชม”

            ลักษณะเดียวกัน “อย่าดูหมิ่น การตี สั่งสอน ฆ่าให้ตายขององค์พระผู้เป็นเจ้า เพราะองค์พระผู้เป็นเจ้าตีสั่งสอน เฆี่ยนให้ตายผู้ที่พระองค์ทรงรัก ดั่งพ่อที่เฆี่ยนลูกที่ตัวเองรักและชื่นชม” อย่างนั้นหรือ? มันไม่ใช่ มันไม่ถูกแล้ว

            คำว่า “ตีสั่งสอน” ที่ใช้ในหนังสือสุภาษิตข้อนี้ ภาษาอังกฤษใช้คำว่า “Correct” ปรับปรุงแก้ไข ซึ่งก็มีรากศัพท์จากภาษาเดิมคำเดียวกัน คือ Biggoret เหมือนกันกับเมื่อสักครู่นี้  เพราะเป็นภาษาฮีบรูเดิมนั่นเอง ก่อนคำว่าเฆี่ยนจนฆ่าให้ตายจะบังเกิดขึ้น  เครื่องมือนี้จะถูกสร้างขึ้นมา แล้วมีศัพท์คำใหม่ เกิดขึ้นมาว่า Scourges เฆี่ยนตี Biggoret แปลว่าชันสูตร ค้นเข้าไปลึกๆ ด้วยความรัก

            ถ้าย้อนไปดูพระคัมภีร์ต้นฉบับ ภาษาเดิม คือฮีบรู คำว่า “ตีสอน” หรือ “Biggoret” อันนี้ จะใช้คำที่มีความหมายว่า “Inquire deeply” หรือ “Search deeply” ซึ่งแปลว่าการค้นหา ชันสูตรอย่างลึกซึ้งเข้าไปลึกๆ ในใจ เพื่อทำให้มันดี เหมือนกับเอามาใช้กับคำว่า “ไถ หว่าน” สภาพของการไถหว่าน ไถเพื่อหวังดี เพื่อให้เกิดผล  ไถหว่าน คือเข้าไปลึกๆ ของดิน เพื่อมันซุย เพื่อเขาจะรับสารอาหารได้ มันเป็นท่าทีที่ดี  ไม่ใช่คำศัพท์ใหม่ที่เขาเอามาใช้กับเครื่องมือการลงโทษ นักโทษประหาร แส้เข้าไปลึกๆ ลงโทษเข้าไปลึกๆ เฆี่ยนเข้าไปลึกๆ เพื่อให้ผู้คนรอบข้างเห็นและหลาบจำว่านักโทษประหาร ทำผิด แล้วถูกลงโทษ อย่างนี้ๆ ลึกเหมือนกัน แต่มันเป็นศัพท์คำใหม่

            ความหมายของข้อนี้ คือพระเจ้าทรงชันสูตรชีวิต และจิตใจของเราอย่างละเอียด ลึกซึ้ง และฝึกฝนเรา ปรับปรุงแก้ไขเรา ลูกเล็กๆ ของพระองค์ อย่างทะนุถนอม ด้วยความรักที่ไม่มีเงื่อนไข ด้วยความอดทนนนนนนน เพราะฉะนั้น เราเลียนแบบพ่อของเรา เราจะต้องดูแลเด็กๆ ลูกๆ ของเรา และลูกๆ ของคนอื่นด้วย  เด็กๆ ทั้งหลาย เราก็ต้องดูแลเลี้ยงดูเขา ด้วยการอดทนนาน

            อย่างเมื่อวานเห็นชัดเลย เด็กจะเอาระเบียบอะไรมากมายนัก เราก็ต้องอดทน ให้เข้าแถว ก็เข้ามาเป็นหมู่ แถวเรียงหมู่มีที่ไหนเล่า  ก็ต้องสอนเขา ค่อยๆ ทีละนิด ทีละหน่อย อดทนนาน ใช่ไหม? พระเจ้าก็ทำอย่างนั้นแหละ อดทนนาน เพื่อให้เราที่เป็นลูกเล็กๆ ของพระองค์นั้น ได้เกิดผลตามธรรมชาติ วิสัยของเรา คือเราได้เกิดเป็นลูกของพระเจ้าแล้ว  เกิดจากหน่อเชื้อทางวิญญาณของพระเจ้า เป็นเหมือนพระเจ้าเลย มีธรรมชาติ วิสัยเป็นผู้ชอบธรรม บริสุทธิ์ ดีพร้อม เหมือนพระเจ้าเลย พระเจ้าก็จะอดทนนาน และเข้าไป Biggoret เข้าไปค้น ชันสูตร จิตใจ ความคิด ส่วนลึก นิสัย ใจคอของเรา ของลูกแต่ละคน อย่างลึกซึ้ง เพื่อที่จะให้นิสัยใจคอ ธรรมชาติของการเป็นลูกพระเจ้า ที่บริสุทธิ์สะอาด ดีพร้อมนั้น มันเกิดออกมาเป็นนิสัยของเด็ก  เกิดเป็นความประพฤติ ซึ่งเขาอยากทำอยู่แล้ว  แต่ไม่มีใครสอนเขา ไม่มีใครบอกเขา ไม่มีใครชี้ให้เขาเห็น เพราะเขาไม่เห็น เพราะว่าเข้าไปผิดหลักการ  ก็คือเข้าไปไม่ถูกต้อง คือไม่รู้พูดภาษาอะไร พูดแล้วเขาไม่เข้าใจ

            พ่อแม่พูด แล้วเด็กไม่เข้าใจ  ทำอย่างไรเราพูดกับลูกๆ แล้วลูกๆ เข้าใจได้ เวลาพูดกับลูกไม่เข้าใจ ถามว่าทำอย่างไรให้เขาเข้าใจ บังคับเขาหรือ? ยิ่งไปกันใหญ่ เราต้องอดทนนานนนน ไม่ใช่อดทนอย่างเดียว อดทนนานแล้วก็ศึกษา ค้นคว้า ชันสูตรเข้าไปในจิตใจของเขาว่าเขาต้องการอะไร? เขาเป็นอย่างไร? ต้องพูดท่าไหนเขาถึงจะเข้าใจ เขาถึงจะถนัด ไม่ใช่เอะอะอะไรก็ไปว่าๆ เอาสิ่งที่เราต้องการ สิ่งที่เขาต้องการคืออะไร? เขาก็อยากจะได้ดี เขาก็อยากจะเชื่อฟัง ที่เขาไม่เชื่อฟัง เพราะอะไร? คิดดูใหม่อีกทีหนึ่งสิ มันอาจจะเพราะเราเองก็ได้ ที่ทำให้เขาไม่เข้าใจ เพราะว่าเราพูด แล้วเขาไม่รับ เมื่อเขาไม่รับรู้ เขาเรียกว่า Communication breakdown เขาเรียกว่าการสื่อสารเสียหาย  ไม่เกิดผล เขาก็ไม่รับรู้อะไร? ไม่ใช่เขาไม่เชื่อฟัง  เพราะเขาไม่ได้รับรู้ว่าเราสื่ออะไรกับเขา

            เพราะฉะนั้น ถ้าจะแปลให้ถูกต้อง ตามความเป็นจริงตามบริบท ข้อพระคัมภีร์ตรงนี้ ควรจะแปลว่าอย่างนี้ คือ …

        สุภาษิต 3:11-12  “11 บุตรชาย (หญิง) ของเราเอ๋ย อย่าลบหลู่ ดูแคลนการฝึกวินัยของพระเจ้า หรือเบื่อหน่ายต่อการตักเตือนของพระองค์ 12 เพราะพระเจ้าทรงชันสูตรอย่างลึกซึ้ง ผู้ที่พระองค์ทรงรัก ดังบิดาตักเตือนบุตรผู้ที่เขาปีติชื่นชม”

            ทุกคนพูดพร้อมกันว่า … “เอเมน”

            “บุตรชายหญิงของเราเอ๋ย อย่าลบหลู่ ดูแคลนการฝึกวินัยของพระเจ้า” เอเมนไหม? เอเมน

            “หรือเบื่อหน่ายต่อการตักเตือนของพระองค์ เพราะพระเจ้าทรงชันสูตรอย่างลึกซึ้งเข้าไปในจิตใจ ชีวิตของเรา  ผู้ที่พระองค์ทรงรัก ดังบิดาตักเตือนบุตร ผู้ที่เขาปิติชื่นชม”

            เอเมน อย่างนี้มันใช่เลย  เราก็จะเลียนแบบอย่างนั้นแหละ เราจะดูแลลูกของเราอย่างนี้แหละ เอเมนไหม? เพื่อว่าลูกของเราจะได้ ไม่เบื่อหน่ายต่อการขี้บ่นของเรา ในนี้บอกเบื่อหน่ายต่อคำตักเตือน ตักเตือนอะไร พูดซ้ำๆ ซากๆ ทุกวัน ถูกไหม? เขารู้แล้ว รู้แล้วก็จะบ่นอย่างนี้แหละ พูดไปเรื่อยเปื่อย

            “แกอย่างนี้ เหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่อแน่เลย การบ้านก็ไม่รู้จักทำ หนังสือก็ไม่รู้จักท่อง สอบตกทุกปี ทุกเทอม แกทำอะไรไม่ขึ้น ไม่จำเริญแน่นอน”

            พูดทุกวันๆ ลูกๆ ของเรา หลานๆ ของเราชอบฟังไหม? เบื่อหน่ายไหม? พอเบื่อหน่าย

            เราก็ … “ลงโทษเลย บอกให้ฟัง ยังไม่ฟังอีก จะหนีไปไหน? มานั่งฟังก่อน”

            มันเป็นอย่างนี้ แทนที่เราจะ ไม่ได้ผลวิธีนี้ ทำอย่างไร? อดทนนาน แล้วก็แสวงหา ค้นคว้า ชันสูตรจิตใจเด็กคนนั้น ลูกเราคนนั้น ซึ่งไม่เหมือนลูกคนโต ลูกคนที่ 5 นี่ลูกคนเล็ก มันต้องคุยกับเขาอย่างไร? คนนี้เขาแปลกกว่าคนอื่นเขา ตอนพี่ใหญ่เขาได้ยินอย่างนี้ เขายังรู้ เขายังเข้าใจ ลูกคนเล็กไม่เข้าใจ ต้องทำอย่างไร?  เขาขาดอะไรไหม? เขาป่วยหรือเปล่า ร่างกายและจิตใจเขาพร้อมไหม? อะไรอย่างนี้ มันคือหน้าที่ของพ่อแม่ ไม่ใช่เอะอะอะไร ฉันจะเอาอย่างนี้ เขาต้องได้ผลอย่างนี้ เอาผลมาก่อนไม่ได้ ต้องเอาเหตุ เหตุไม่ดี แล้วผลมันจะดีได้อย่างไร? เหตุเราทำไม่ถูกต้อง แล้วผลมันจะดีได้อย่างไร? มันเป็นไปไม่ได้ เพราะว่าเขาไม่รับ สิ่งที่เราพูดดี แต่เขาไม่รับ มันก็ไม่ได้ผลดี  เพราะฉะนั้น เราต้องเปลี่ยนวิธีคิดเสียใหม่นี่แหละ

            และในหนังสือฮีบรู 12:5-6 ที่เมื่อตะกี้นี้ ที่เราเริ่มต้นที่บอกว่า … “ท่านได้ลืมถ้อยคำให้กำลังใจ ซึ่งมีมาถึงท่านในฐานะบุตรว่าลูกเอ๋ย อย่าละเลยการตีสอนขององค์พระผู้เป็นเจ้า อย่าท้อใจ เมื่อพระองค์ทรงตำหนิท่าน” ก็น่าจะแปลอย่างถูกต้อง อย่างนี้ว่า …

        ฮีบรู 12:5-6  “5 ในฐานะเป็นลูกแล้ว จำไม่ได้หรือ! ถ้อยคำแห่งกำลังใจ ที่พระเจ้าตรัสกับเรา ในฐานะบุตรว่า “ลูกเอ๋ย จงอย่าละเลย ต่อความรักของพ่อ ที่คอยฝึกฝน ปรับปรุงแก้ไข เพื่อให้ลูกได้ดี และอย่าท้อใจ เวลาที่ประสบกับความทุกข์ยากลำบาก ในการดำเนินชีวิตบนโลกนี้ ซึ่งเป็นเรื่องธรรมดาที่ต้องเกิดขึ้น 6 แต่จงจำไว้ว่าพ่ออยู่ด้วยเสมอ พ่ออยู่ฝ่ายเจ้า และกำลังนำพาฝึกสอนลูก”

            พูดพร้อมกันว่า “เอเมน” ดังๆ ให้ดังก้องไปถึงฟ้าสวรรค์เลย ช่วยพ่อของเราหน่อยเถอะ เข้าอยู่ข้างพ่อของเราหน่อยเถอะ  พ่อเราถูกเข้าใจผิดมาตั้งนานแล้ว นี่คือสิ่งที่ถูกต้อง นี่คือหัวใจของพ่อ ที่มีต่อเราทั้งหลายผู้เชื่อ และผู้ที่ยังไม่เชื่อ ก็เป็นลูกๆ ของพระองค์นั่นเอง พระองค์รักเราขนาดนี้ เราเข้าใจพระองค์ผิดมาตลอดใช่ไหม? ปีนี้ ได้รู้แล้ว น่าจะเปลี่ยนความคิดจิตใจของเราเสียใหม่ และมันเป็นประโยชน์ต่อชีวิตของเราด้วย เมื่อท่าทีเราถูกต้องกับพ่อของเรา เรารู้ว่าพ่อของเรามีท่าทีอย่างไร? เราก็เลียนแบบได้ถูกต้องไง

            เพราะฉะนั้น ตั้งใจฟังตรงนี้ให้ดี ซึ่งมันผิดมาตั้งเยอะ วันนี้ เราจะมาช่วยแก้ความคิดของเรา ที่มีต่อพ่อแห่งฟ้าสวรรค์ของเราให้ถูกต้อง อย่างนี้นั่นเอง ตั้งใจฟังเลยนะ ช่วงนี้ถือว่าเป็นช่วงที่พ่อ คือพระเจ้า ผู้ทรงสร้างฟ้าสวรรค์กำลังบอกเราว่าพระองค์ทรงมีความรักต่อเราทั้งหลาย ลูกๆ ของพระองค์อย่างไร? ปฏิบัติต่อเราอย่างไร?  เพื่อว่าเมื่อเรารู้แล้ว เราจะได้ซึมซับการปฏิบัติอย่างนี้ ไปปฏิบัติต่อลูกๆ ของเราที่เป็นเด็กๆ และลูกๆ ของคนอื่น ก็เหมือนลูกๆ ของเรา คือเป็นเด็กๆ บนโลกใบนี้เช่นเดียวกัน ให้มันสมกับวันนี้เป็นวันเด็กสักหน่อย เข้าใจพ่อของเราบ้าง

            ฮีบรู 12:5-6  “ในฐานะเป็นลูกแล้ว จำไม่ได้หรือ! ถ้อยคำแห่งกำลังใจ ที่พระเจ้าตรัสกับเรา ในฐานะบุตรว่า “ลูกเอ๋ย จงอย่าละเลย ต่อความรักของพ่อ ที่คอยฝึกฝน ปรับปรุงแก้ไข เพื่อให้ลูกได้ดี และอย่าท้อใจ เวลาที่ประสบกับความทุกข์ยากลำบาก ในการดำเนินชีวิตบนโลกนี้ ซึ่งเป็นเรื่องธรรมดาที่ต้องเกิดขึ้น แต่จงจำไว้ว่าพ่ออยู่ด้วยเสมอ พ่ออยู่ฝ่ายเจ้า และกำลังนำพาฝึกสอนลูก กำลังให้คำแนะนำ คำปรึกษาและคำตักเตือนแบบพ่อ  คือแบบพระเจ้า คือแบบ Biggoret ซึ่งภาษาอังกฤษใช้คำว่า To inquire deeply ภาษาไทย ก็คือด้วยการค้นหา ชันสูตรเข้าไปในใจลึกๆ อย่างละเอียดลึกซึ้ง ด้วยความอดทนนานของพ่อ ผ่านทางความทุกข์ยากลำบากเหล่านั้น อดทนไว้นะลูก พ่ออยู่ด้วย  พ่อเป็นฝ่ายเจ้า พ่ออยู่เคียงข้างเจ้าเสมอ พ่อเข้าใจลูกเสมอ พ่อรักลูกมาก ถึงมากที่สุด ในยามสุข พ่อเป็นผู้ที่อยู่เคียงข้างเจ้า บินอยู่เคียงข้างเจ้า ในยามเจ้าทุกข์ พ่อซุกเจ้าไว้ใต้ปีกของพ่อ พ่อรู้จักเจ้าอย่างลึกซึ้ง มากกว่าเจ้ารู้จักตัวเจ้าเองด้วยซ้ำไป จงวางใจในพ่อเถิด เจ้าเป็นลูกของพ่อนะ ไม่ใช่ทาส นี่คือความจริงของความรู้สึกและท่าที หลักการแบบพระเจ้าที่มีต่อพวกเราทั้งหลาย มนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้

            สำหรับพ่อแม่ที่เป็นมนุษย์ เราก็เลียนแบบพ่ออย่างนี้แหละ ท่านที่เป็นพ่อแม่ ท่านจงใช้ความรักที่อดทนนาน ฝึกวินัยบุตรหลานและจงหมั่นค้นหาชันสูตร จิตใจส่วนลึกของบุตรหลานของท่าน ของเด็กๆ ของท่านที่ดูแลอยู่ เพื่อที่จะได้เข้าใจเขา พูดภาษาเดียวกับเขา อยู่เคียงข้างเขา ให้เขามั่นใจและวางใจในท่าน  ท่านจะได้เป็นที่ปรึกษา  แนะนำตักเตือน ให้เขาสามารถรับคำปรึกษา  รับคำที่ดีเหล่านั้นได้ ซึ่งมันต้องใช้เวลานาน และอดทนที่จะอยู่เคียงข้างเขาด้วยความรักนั่นเอง

            พ่อแม่ที่เป็นมนุษย์ทั้งหลาย เวลาที่ให้กับลูก สำคัญกว่าทรัพย์สิ่งของมากมายนัก เวลาที่พระเจ้าให้กับเรา สำคัญกว่าทรัพย์สมบัติบนโลกใบนี้ ที่เราคิดว่าเราต้องการ มากมายนัก  และเวลาที่พระเจ้าให้กับเรานั้น พระองค์บอกว่าเราจะไม่ละทิ้งท่านเหมือนเด็กกำพร้า เราจะไม่ละท่านให้อยู่ตามลำพัง เราอยู่กับท่านตลอดเวลาเสมอและตลอดไป  เจ้าหลับ เราก็ไม่หลับ เราจะคอยดูแลเจ้าอยู่ตลอดเวลา

            นี่คือพระองค์ทรงให้เวลากับลูกๆ ของพระองค์ทุกคน ที่เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอด

            อันดับแรกเลย พระองค์ทรงให้เราบังเกิดใหม่ทันที

            อันดับที่สอง สำคัญเท่าๆ กัน คือพระองค์เข้ามาอยู่ในเราทันทีเลย คือให้เวลากับเราเลยทันที ตั้งแต่วินาทีแรกที่เราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด คือวินาทีแรกที่เราบังเกิดใหม่  อุแว้เป็นลูกของพระองค์ เป็นทารกของพระองค์ พระองค์เข้ามาให้เวลากับเรา 24 ชั่วโมง ตลอดไป เอเมน  เราก็ต้องเลียนแบบพระองค์แบบนี้แหละ ให้เวลากับบุตรหลานของท่านมากที่สุด เท่าที่ทำได้ และจงจำไว้เสมอว่าเวลานั้นสำคัญกว่าทรัพย์สมบัติ ท่านให้ทรัพย์สมบัติอะไรไป ไม่มีค่า ไม่มีประโยชน์อะไรเลย ถ้าท่านไม่มีเวลาให้กับเขา  เขาจะไม่มีวันเข้าใจสิ่งต่างๆ ที่ท่านต้องการให้เขาได้รู้ เขาจะไม่มีวันเข้าใจในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ว่าจะต้องทำตัวอย่างไร?  เพราะทรัพย์สมบัติเหล่านั้น ไม่สามารถสอนเขาได้ในการดำเนินชีวิตอย่างถูกต้อง และดีงามบนโลกใบนี้ ท่านต้องทำเหมือนพระเจ้า ท่านต้องเลียนแบบเหมือนพระเจ้า เหมือนพระเจ้าดูแลเอาใจใส่ อย่างละเอียด ถี่ถ้วน ในเรามนุษย์แต่ละคนเป็นพิเศษ ทุกคนเป็นคนพิเศษ ทุกคนเป็นลูกที่พิเศษของพระเจ้า 1 ต่อ 1 เสมอ  เพราะพระเจ้าทรงเป็นพระเจ้าผู้ทรงสถิตอยู่กับมนุษย์ทุกคนได้ พระเจ้าทรงเป็นพระเจ้าที่อยู่ในทุกหนทุกแห่งพร้อมๆ กันได้ เราคิดไม่ถึงหรอก แต่พระคัมภีร์บอกไว้อย่างนั้นว่าพระเจ้าทรงอยู่กับเราแต่ละคน ดูแลเราส่วนตัวแต่ละคน เป็นที่ปรึกษาเราในแต่ละคน คุยกับเราส่วนตัวในแต่ละคน ไม่ใช่คุยกับเราเป็นกลุ่มเป็นก้อน คุยกับเราแต่ละคนเป็นการส่วนตัว พระองค์ทรงรู้ว่าแต่ละคนมีนิสัยอย่างไร? ต้องฟังอะไรอย่างไรถึงจะเข้าใจ ต้องได้รับอะไรถึงจะเจริญเติบโตง่าย พระองค์ทรงเข้าใจแต่ละคน และดูแลทุกคนเป็นพิเศษ เป็นลูกคนพิเศษ  …

            “ฉันเป็นลูกของพระเจ้า  ที่เป็นคนพิเศษของพระองค์ ที่ทรงรักดังแก้วตาดวงใจ”

            พระเจ้าอวยพรครับ

*********************

จากใจคณะศิษยาภิบาล

            วิธีเข้าสวรรค์ จงเข้าไปทางประตูแคบ เพราะว่าประตูใหญ่และทางกว้างนั้น  นำไปถึงความพินาศ

            พระเยซูประกาศวิธีที่จะเข้าสู่สวรรค์ ให้กับชาวยิวที่เคร่งครัดในการรักษากฎบัญญัติตามศาสนายิว  จนเข้าใจผิดคิดว่าการกระทำของตนจะช่วยให้ตนเองบริสุทธิ์  ชอบธรรม  สามารถเข้าสวรรค์อยู่กับพระเจ้าได้  ซึ่งพระเยซูได้ประกาศว่าไม่มีผู้ใดที่จะเข้าสวรรค์ได้ โดยการพึ่งพาการกระทำของตนเอง  นอกจากเชื่อและวางใจในพระองค์ที่พระเจ้าทรงประทาน ให้กับมนุษย์เท่านั้น  พระเยซูเท่านั้นที่เป็นประตูสู่สวรรค์  สู่ความรอดจากความพินาศ

            มัทธิว 7:13-14 … “พระเยซูบอกว่า … “จงเข้าไปทางประตูแคบ  เพราะว่าประตูใหญ่และทางกว้างนั้น  นำไปถึงความพินาศ  และคนที่เข้าไปทางนั้นมีมาก  เพราะว่าประตูซึ่งนำไปถึงชีวิตนั้น  ก็คับและทางก็แคบ  ผู้ที่หาพบก็มีน้อย”

            คนที่เข้าประตูคับทางแคบ คือคนที่พึ่งการกระทำของพระเยซูคริสต์  ไม่พึ่งในการกระทำดีตามกฎด้วยตนเอง

            ประตูคับทางแคบ คือถ้าเชื่อและวางใจในพระเยซูคริสต์แล้ว  ก็จะถูกกดดัน ถูกดูหมิ่น ถูกหัวเราะเยาะ  ถูกข่มเหงจากสังคมภายนอก  จากระบบของโลกนี้  ที่ต่อต้านความจริงของพระเจ้า  แต่ภายในใจเต็มไปด้วยสันติสุข  ความสงบ  พักผ่อน  หายเหนื่อย  หมดภาระ  หมดเวรหมดกรรมแล้ว ได้อาศัยอยู่ในสวรรค์แล้ว  และมั่นใจในชีวิตหลังความตาย

            คนที่เข้าประตูใหญ่ทางกว้าง คือคนที่พึ่งการกระทำดีตามกฎระเบียบด้วยตนเอง ไม่พึ่งในการกระทำของพระเยซูคริสต์

            ประตูใหญ่ทางกว้าง คือได้รับเกียรติ ได้รับการยกย่องสรรเสริญสนับสนุนจากสังคมภายนอก จากระบบของโลกนี้  แต่ภายในใจเต็มไปด้วย ความเหน็ดเหนื่อยแบกภาระหนัก ไม่รู้เมื่อไหร่จะหมดเวรหมดกรรมสักที ไม่มั่นใจในชีวิตหลังความตาย

            พระเจ้าอวยพรครับ

วารสาร Holy  News   ฉบับที่ 1398

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  8  มกราคม  2023

เรื่อง “เชื่อและวางใจในพระคริสต์ ผู้สถิตอยู่ในท่าน”

โดย นคร  เวชสุภาพร

            วันนี้หัวข้อเรื่องในการบรรยาย ผมให้ชื่อเรื่องว่า “เชื่อและวางใจในพระคริสต์ ผู้สถิตอยู่ในท่าน” ลองถามตัวเอง ทำไมต้องเชื่อและวางใจในพระคริสต์ เพราะคำว่าเชื่อและวางใจ ส่วนใหญ่เราจะใช้กันตอนไหน? และวางใจตอนไหน? ตอนที่ขับรถหวาดเสียว แล้วเรานั่งอยู่ใกล้ๆ จะไปรอดไหมเนี้ย แล้วเพื่อนก็บอกไม่ต้องกลัว ตายแน่ พูดอย่างนี้นะ เพื่อนที่ขับอยู่ ก็บอกเชื่อฉันสิ วางใจสิ ไม่ต้องห่วง ปลอดภัยแน่ นี่หมายถึงผู้ขับรถนะ

            แสดงว่าตอนที่เราต้องการคำว่า “เชื่อเถอะ วางใจในเราเถอะ” ก็คือตอนที่เราไม่ค่อยมั่นใจ เรากลัวไง ถ้านึกภาพตอนสมัยเราเด็ก ยิ่งชัดนะ พ่อจะฝึกเราในการขี่จักรยาน เริ่มต้นจาก 4 ล้อก่อน แล้วพอโตขึ้นหน่อยก็ค่อยมาฝึกเป็น 2 ล้อ ตอนใหม่ๆ กลัว ขึ้นไปนั่ง มี 2 ล้อต้องพยุงตัว แล้วพ่ออยู่ที่ไหน? พ่ออยู่ข้างหน้าได้ไหม? ไม่ได้ พ่อต้องอยู่ข้างหลัง จับอานหรือด้านหลังของจักรยานไว้ และให้เราขี่ ฝึกการทรงตัวไม่ให้ล้ม เราก็ร้อง ไม่เอาๆ เพราะเรากลัวล้ม กลัวเจ็บ พ่อเราก็จะบอกว่าไม่เป็นไร? วางใจพ่อที่อยู่ข้างหลัง พ่อกำลังจับอยู่ ไปเลย เพราะว่าลูกกลัว ลูกไม่กล้าขี่ พ่อเลยบอกว่าเชื่อเถอะ วางใจในพ่อ พ่ออยู่ข้างหลัง จับอยู่

            พระคัมภีร์ย้ำและให้เราวางใจในพระเยซูคริสต์ ก็เพราะว่าถึงแม้เราจะเชื่อในพระเยซูคริสต์แล้วก็ตาม พระเยซูสถิตอยู่ในเราแล้วก็ตาม  แต่เราดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ เราต้องอยู่กับความไม่มั่นใจ ความกลัว ความวิตกกังวล อยู่ตลอดวันเวลาเสมอ ที่ยังมีลมหายใจอยู่บนโลกใบนี้ เป็นเรื่องธรรมดา พระเยซูบอกว่าท่านอยู่บนโลกใบนี้ ท่านต้องพบกับความทุกข์ยากลำบาก เป็นเรื่องธรรมดา พูดง่ายๆ ว่าท่านจะมาเชื่อพระเจ้า หรือไม่เชื่อ ท่านก็ต้องพบกับความทุกข์ยากลำบาก เป็นเรื่องธรรมดา ต้องพูดกับตัวเองอย่างนั้นนะ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงเวลานี้ เราจะเห็นเลย ทุกข์จริงๆ และทุกช่วงเวลาของมนุษย์ บางทีเรามานึกถึงในปัจจุบัน มีแต่ความทุกข์ยากลำบากบนโลกใบนี้มากมายแล้วนะ มันไม่เหมือนแต่ก่อนนี้ ไม่จริงหรอกครับ ทุกช่วงของโลกใบนี้ เริ่มต้นอาดัมและเอวา บรรพบุรุษของมนุษยชาติที่ตกลงไปในความบาป ต้องการจะออกจากบ้านของพระเจ้า มาดำเนินชีวิตตามลำพัง เขาเรียกว่าตกลงไปในความบาป ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา โลกนี้ หล่นไปในความเสียหาย อยู่ในคำสาปแช่ง อยู่ในความทุกข์ยากลำบาก มนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้ รวมทั้งทุกสิ่งบนโลกใบนี้ ไม่ว่าสัตว์หรือสิ่งของ หรือต้นไม้ใบหญ้าทุกอย่าง อยู่ในความสูญสิ้น อยู่ในความทุกข์ยากลำบากทั้งนั้น เหมือนกัน เพียงแต่เราไม่รู้ เราก็มองย้อนกลับไป เพราะว่าเราไม่ได้รู้สึกอย่างนั้น  ตอนที่เรามีชีวิตอยู่ ณ ปัจจุบัน  เราก็รู้สึกว่าปัจจุบันทุกข์กว่าแต่ก่อน

            คนเมื่อ 100 ปีก่อนนี้ เขาก็ทุกข์ เขาก็บอกว่าเขาทุกข์มากกว่าคนที่ 200 ปีก่อนนั้นตั้งเยอะ เรามามีชีวิตอยู่ในปัจจุบัน  เราก็บอกเรามีทุกข์มากกว่าคนที่ 100 ปีก่อน ไม่จริง ทุกข์เท่ากันหมด ตราบใดที่ยังอยู่บนโลกใบนี้ ตราบนั้นมีความทุกข์ทั้งสิ้นนะ เพราะฉะนั้น พระคัมภีร์จึงย้ำบอกว่าให้เราเชื่อและวางใจในพระเยซูคริสต์ เพราะว่าเรายังดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ เราเกิดความไม่มั่นใจ เกิดความวิตกกังวลอยู่ตลอดเวลา

            โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงเวลาขณะนี้ ที่เราดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ อะไรที่น่ากลัวที่สุด โรคระบาด เห็นไหม? โควิดมาเกือบจะ 3 ปีแล้ว 2 ปีกว่าแล้ว แล้วก็ไม่รู้ว่ามันจะหายไปจริงๆ หรือเปล่า หรือจะมาอีก โรคระบาดมีมาตั้งแต่สมัยโบราณแล้ว ก็เหมือนเดิม แต่เรารู้สึกว่าน่ากลัว พอโรคระบาดหายไป อะไรตามมา ข้าวยากหมากแพง การกินการอยู่ ลำบากทำมาหากินยาก นี่คือสิ่งที่ตามมา นี่คือปัญหาเศรษฐกิจ ปัญหาปากท้อง กลัวจะขาดรายได้ ทำงานแล้ว มีเงินไม่พอใช้จ่าย คนที่มีครอบครัวยิ่งกังวลมาก ยิ่งห่วง ผู้ที่ดูแลรับผิดชอบ อยู่ในครอบครัว ก็ยิ่งเป็นห่วงว่าจะเอาที่ไหนมาใช้จ่ายอะไรต่างๆ เหล่านี้ มันเครียดไปหมด ซึ่งจริงๆ แล้วความกลัว เป็นเรื่องธรรมดาที่เกิดขึ้นในชีวิตบนโลกใบนี้ทั้งหมด พระคัมภีร์บันทึกไว้อย่างนั้น

            โลกใบนี้เต็มไปด้วยความกลัว ตราบใดที่โลกใบนี้ ยังอยู่ในคำสาปแช่ง อยู่ในบาป อยู่ในการควบคุมของมารซาตาน จริงๆ แล้วมารไม่มีอำนาจนะ แต่เนื่องจากมนุษย์เป็นผู้มอบอำนาจให้มารเอง มอบโดยวิธีใด ก็มนุษย์เป็นเจ้าของโลกใบนี้ทั้งใบ เจ้าของทั้งหมดเลย พระเจ้าสร้างขึ้นมาสำหรับมนุษย์ครอบครอง แล้วมนุษย์ก็หนีออกจากบ้านของพระเจ้า ทิ้งพระเจ้ามาอยู่ตัวคนเดียว มาพึ่งพาตนเอง  ไม่พึ่งพาพระเจ้า เอาทรัพย์สมบัติออกมาหมดเลย  แล้วดูแลทรัพย์สมบัติด้วยตนเอง จริงๆ ดูไม่ได้ ไม่มีกำลังเพียงพอที่จะดูได้ เพราะพระเจ้าทรงเป็นชีวิต เป็นทุกสิ่ง เป็นกำลัง เป็นสติปัญญาของมนุษย์ เมื่อมนุษย์ไม่มีพระเจ้า  ก็เลยไม่มีสติปัญญา ไม่มีอะไรต่างๆ ไม่มีความดีงาม ตรงกันข้ามกับความดีงาม  ก็คือมีแต่ความชั่วร้าย นั่นแหละ มารจึงเข้ามาแทรกแซง ไม่ใช่มีอำนาจอยู่เหนือมนุษย์  แต่เนื่องจากมนุษย์ไม่มีสติปัญญาเพียงพอที่จะรู้เท่าทันกลเม็ดเด็ดพราย เขาเรียกว่ากลยุทธการโกหก หลอกลวง การขโมย ฆ่าและทำลายของมารได้ เพราะไม่มีพระเจ้าอยู่  ไม่มีพระสิริของพระเจ้าอยู่ เพราะฉะนั้น มารจึงหลอกลวง หลอกล่อมนุษย์  เจ๊งไปหมด ทรัพย์สมบัติที่มีอยู่นั้น ถูกหลอก ถูกขโมยเอาไปใช้หมด มนุษย์จึงตกลงไปในความลำบาก  โลกใบนี้ทั้งใบ จึงตกอยู่ในคำสาปแช่ง โดยการนำอย่างไม่ซื่อ โดยการนำอย่างศัตรู โดยมารและสมุนของมัน นี่แหละ ทำให้โลกใบนี้ตกไปในความทุกข์ยากลำบากต่างๆ นานา เป็นเรื่องธรรมดา

            ในยอห์น 10:10 ได้บอกไว้ มารมาเพื่อขโมย ฆ่า และทำลาย แสดงว่ามันไม่มี มันไม่ได้เป็นเจ้าของ มันไม่มีสิทธิอำนาจอะไรเลย เราไปยอมให้มันเอง เพราะเราไม่รู้ไง  เพราะความรู้ความจริง อยู่ที่พระเยซูคริสต์ อยู่ที่พระเจ้า เมื่อไม่มีพระเจ้า ก็ไม่รู้ความจริง เมื่อไม่รู้ความจริง มันก็หลอกเราไปเรื่อยๆ ที่เราพูดกันตามภาษาไทย ที่ยอดเยี่ยมที่สุดเลย ต่างประเทศเขาไม่ค่อยมีคำนี้นะ คือคำว่า “ผีหลอก” ผีหลอกมันเรื่องจริงๆ ผีหลอก ก็คือในโลกวิญญาณมีมารซาตาน ซึ่งเราเรียกว่าเป็นผี ซึ่งเป็นวิญญาณ มันคอยหลอกล่อเรา หลอกแสดงว่ามันไม่มีอำนาจบังคับเรา มันหลอกเรา หลอกให้เรากลัว หลอกให้เรายอมมอบให้กับมัน ทั้งๆ ที่เราไม่ยอมก็ได้  แต่ถ้าเราไม่มีพระเยซูคริสต์สถิตอยู่กับเรา เราไม่สามารถจะต่อต้าน การหลอกลวงของมันได้ ไม่มีทางเลย พระเยซูจึงมาบอกว่าพระองค์ทรงเป็นความจริง เป็นชีวิต ถ้าเรามีพระเยซูอยู่ เราก็มีความจริงอยู่ มารมันกลัวที่สุด ก็คือกลัวความจริง  เพราะมันโกหกไง ง่ายๆ นิดเดียว

            และเราสามารถที่จะเชื่อและวางใจในพระเยซูคริสต์ได้อย่างไร? ก็เพราะว่าพระองค์ทรงสถิตอยู่ในเรา ก็คือความจริง เมื่อพระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่สูงสุด ได้เข้ามาสถิตอยู่ในตัวเรา ที่เป็นผู้เชื่อ เราก็จะมีอำนาจอยู่เหนือความกลัวใดๆ เพราะเรามีความจริงอยู่ในตัวเรา พระเยซูคริสต์อยู่ในตัวเรา เราก็สามารถมีกำลังต่อต้านกับความไม่จริง กับความกลัว ที่เป็นเรื่องปกติธรรมดาของโลกใบนี้ ที่ปกคลุมไปด้วยความบาป ความไม่จริง ความเท็จของมารซาตาน ซึ่งเราทั้งหลายในที่นี้ ที่มีพระคริสต์สถิตอยู่ด้วย ก็คือเราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เข้ามาอยู่ในชีวิตของเรา เมื่อเราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ พระเยซูก็เข้ามาสถิตอยู่กับเรา พอพระเยซูเข้ามาสถิตอยู่กับเรา ความจริงก็อยู่ในตัวเรา เราก็สามารถที่จะชนะความไม่จริง ความเท็จนั้นได้ ชนะความกลัวได้ นี่เองเป็นเหตุและเป็นผลว่าความกลัวจะหายไปได้อย่างไร? จะชนะความกลัวที่เป็นปกติ นิสัยของมนุษย์บนโลกใบนี้ได้อย่างไร? ก็โดยที่มีพระเยซูคริสต์สถิตอยู่ในเรา เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์สิ ในฮีบรู 13:5 ได้บันทึกไว้อย่างนี้ …

        ฮีบรู 13:5 “จงให้อุปนิสัยและความประพฤติของท่าน ห่างไกลจากการรักเงินและความโลภทั้งสิ้น จงพอใจในทุกสิ่ง ทุกสถานการณ์ที่มีอยู่ และเป็นอยู่ในขณะนี้ (ทั้งในโลกวิญญาณ และโลกวัตถุนี้ จงเชื่อและวางใจในพระเจ้า) เพราะพระเจ้าได้ตรัสว่า “เราจะไม่มีวันทอดทิ้งเจ้า (เหมือนเป็นลูกกำพร้า) เราจะไม่มีวันละทิ้งเจ้า (ปล่อยให้อยู่ตามลำพัง) เราจะไม่ทำให้เจ้าต้องผิดหวังอย่างแน่นอน”

            “จงให้อุปนิสัยและความประพฤติของท่าน ก็คือการดำเนินชีวิตของท่าน ห่างไกลจากการรักเงิน และความโลภทั้งสิ้น” ภาษาเดิมมันลึกซึ้งกว่านี้ จงให้อุปนิสัยการดำเนินชีวิตของท่าน ความประพฤติของท่านนั้น ห่างไกลจากระบบของโลกใบนี้นั่นเอง ที่เต็มไปด้วยคำสาปแช่ง  เต็มไปด้วยความโกหกหลอกลวง ที่มนุษย์รู้จักกันในนามของคำว่าลาภ ยศ สรรเสริญ สิ่งเหล่านี้มันเป็นของชั่วคราวทั้งหมดของโลกใบนี้ มันเป็นของเท็จทั้งหมดเลย มันหลอกล่อ หลอกลวง ให้เราไปติดยึด ไปรักสิ่งต่างๆ เหล่านี้ ซึ่งเราเรียกว่าความโลภ

            โลภ คือไม่พอ ยังไงก็ไม่พอ เมื่อไม่พอ ก็ยิ่งกลัวขึ้นๆ ใครเป็นคนชักจูง ก็คือมารและสมุนของมัน ที่มาพยายามโกหกหลอกลวงเราว่าสิ่งเหล่านี้ ที่เรารัก คือระบบของโลกใบนี้ มันเป็นสิ่งสำคัญในชีวิตนะ มันก็เกิดความทุกข์ใหญ่เลย ลำบากใหญ่เลย

            “จงพอใจในทุกสิ่ง ในทุกสถานการณ์ ที่มีอยู่ และเป็นอยู่ในขณะนี้” นี่กำลังพูดกับคนที่มีความจริงในชีวิต ก็คือมีพระเยซูคริสต์สถิตอยู่ในตัวของเรา มีพระเยซูคริสต์ดำเนินชีวิตอยู่กับเราภายในนั้น เชื่อและวางใจในพระองค์ พระองค์บอกว่าเราอยู่กับนายนะ เราอยู่กับเจ้านะ ในทุกเมื่อ จงพอใจในทุกสิ่ง ทุกสถานการณ์ ที่กำลังดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้  ไม่ว่าจะรู้สึกอย่างไร? ระบบของโลกนี้จะบอกว่าเสื่อมลาภ เสื่อมยศ เสื่อมสรรเสริญ ในโลกนี้ เขาอาจจะชี้เราบอกอย่างนั้น แต่เรามีพระเยซูคริสต์อยู่ เราพอใจแล้ว ลาภแค่นี้ เราก็พอใจ ยศเท่านี้เราก็พอใจ สรรเสริญแค่นี้เราก็พอใจแล้ว เพราะว่าเรามีพระคริสต์สถิตอยู่ในเรา  แค่นี้เพียงพอแล้ว นี่มันหมายถึงอย่างนั้น ให้เรามีความพึงพอใจในทุกสถานการณ์ ที่มีอยู่ เป็นอยู่ในขณะนี้ ทั้งในโลกวิญญาณและโลกวัตถุ จงเชื่อและวางใจในพระเจ้า ทั้งในโลกวิญญาณและโลกวัตถุ ในโลกวัตถุจะเห็นชัดใช่ไหม?

            ในโลกวิญญาณ คือพึงพอใจ …

            “รู้ว่าฉันไปอยู่ในสวรรค์แน่ ตอนนี้ฉันก็อยู่ในสวรรค์แล้ว ขอบคุณพระเจ้าแล้ว ฉันไม่ได้พึ่งพาความดีงามของฉัน เพื่อจะไปสวรรค์ เพราะเป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว ที่มนุษย์ทุกคนจะไม่มีใครทำบาปเลยแม้แต่ครั้งเดียว  ฉันขอบคุณพระเจ้า ด้วยความรอด โดยพระคุณของพระเจ้า โดยการพึ่งพาในการกระทำของพระเยซูคริสต์ ฉันรอดแล้ว ฉันอยู่ในสวรรค์แล้ว ตายจากโลกนี้ ก็อยู่ในสวรรค์”

            อย่างนี้มันก็สงบแล้ว นี่เรียกว่าพึงพอใจ ทั้งโลกวิญญาณและโลกวัตถุ เพราะในนี้บอกว่าเพราะพระเจ้า เพราะพระเยซูคริสต์ได้พูดไว้ว่า … สัญญาไว้ว่า … “เราจะไม่มีวันทอดทิ้งเจ้า เหมือนลูกกำพร้า

            พระเยซูที่สถิตอยู่กับเรา ที่เรามองไม่เห็น แต่เป็นจริง อยู่ในโลกวิญญาณนั้น  พระองค์พูดกับเราตลอดเวลา 24 ชั่วโมงเลย  เราควรจะได้ยินนะ

            พระองค์บอกว่า “เราจะไม่มีวันที่จะทอดทิ้งเจ้าเลย ไม่มีวันที่เจ้าจะเป็นเหมือนลูกกำพร้า”

            ลูกกำพร้าก็ไม่มีพ่อแม่ นึกถึงลูกกำพร้าที่ถูกทอดทิ้ง วางอยู่บนฟุตบาต อุแว้ๆ มดกัด ยุงกัด

            พระองค์บอกว่า … “เราจะไม่ทอดทิ้งเจ้า เราจะอยู่กับเจ้า  เราจะไม่มีวันละทิ้งเจ้า”

            ตะกี้บอกว่า … “เราจะไม่มีวันทอดทิ้งเจ้าเหมือนเป็นลูกกำพร้า”

            ตอนนี้ละเอียดกว่านั้น บอกว่า … “เราจะไม่มีวันละทิ้งเจ้า ปล่อยให้เจ้าอยู่ลำพัง” คือไม่ทอดทิ้ง ให้เป็นลูกกำพร้าอย่างเดียว แต่ว่าบางช่วงขณะ ก็ออกไปทำธุระแล้วปล่อยเราอยู่ลำพัง แป๊บหนึ่งอะไรอย่างนี้ ไม่ใช่ จะอยู่กับเราตลอดเวลา 24 ชั่วโมงเลย

            “อยู่กับเราตลอดเวลา สัญญาโดยคำนี้ว่า “เราจะไม่มีวันละทิ้งเจ้า ปล่อยให้เจ้าอยู่ลำพังเลย” ไม่ปล่อยให้อยู่ลำพังเลย “เราจะไม่ทำให้เจ้าต้องผิดหวังอย่างแน่นอน”

            ย้ำแล้วย้ำอีก พระเจ้าตรัสว่าพระองค์จะไม่ละเราให้อยู่ลำพัง  ไม่ทอดทิ้งเราให้เป็นลูกกำพร้า  แต่ก่อนนี้ ก่อนที่เราจะต้อนรับพระเยซูคริสต์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอด  ก่อนที่เราเป็นคริสเตียน เมื่อก่อนเราเป็นคนบาป  เราไม่มีพระเจ้าสถิตอยู่กับเรา แต่ตอนนี้เราเป็นลูกของพระเจ้าแล้ว พระองค์จะไม่ทอดทิ้งเรา เป็นเหมือนลูกกำพร้า แล้วก็จะไม่ละเราให้อยู่ตามลำพัง พระองค์จะดูแลเอาใจใส่เรา ประคับประคองเราตลอดเวลา 24 ชั่วโมง เหมือนเด็กเล็กๆ คนหนึ่ง เด็กเล็กๆ ที่ยังไม่ถึงขวบ เห็นชัดเจนเลย มีใครไหมที่เขามีลูก แล้วเขารักลูก แล้วก็ทิ้งลูก

            รักลูก ไม่ทอดทิ้งลูก ก็คือให้ลูกมาอยู่กับบ้าน อยู่กับพ่อแม่ อย่างนี้เรียกว่าไม่ทอดทิ้ง และไม่ละเขาอยู่ลำพัง คือเขายังเด็กอยู่ ไม่ละเลย ถ้าจะไปห้องน้ำ ก็ฝากใครไว้ดูแล ถ้าจะไปธุระข้างนอกบ้าน ก็ฝากญาติไว้ดูแล ไม่ละเลย ยิ่งถ้าอุ้มอยู่นะ ยิ่งเห็นชัดเลย อุ้มเด็ก ไม่ละเขาอยู่ลำพังเลย ถ้าจะปล่อยเขาคลาน ก็จะปล่อย แล้วมองดูว่าเขาไปไหนอย่างไร? คอยดูอยู่ อย่างนี้เรียกว่าไม่ปล่อยให้เขาอยู่ลำพังเลย พอเขาร้องไห้ ทำอะไร? อุ้มเขาขึ้นมา ภาพนี้ คือภาพที่พระเจ้ากำลังบอกเรา ไม่ละเราอยู่ลำพัง ดังนั้น จึงให้เรามีความพึงพอใจ

            พอใจ แปลว่ามีความสุขได้ ท่ามกลางความทุกข์ยากลำบากบนโลกใบนี้ ซึ่งเป็นเรื่องธรรมดา เพราะว่าพระเจ้าหรือพระคริสต์สถิตอยู่ในใจฉัน ในใจเรา ในใจของคนๆ นั้น คนๆ นั้น ก็มีความพึงพอใจ เพราะว่ามีพระคริสต์อยู่ มีพระเจ้าสถิตอยู่ ก็เท่ากับมีทุกสิ่งทุกอย่าง เพราะพระเจ้ากระทำทุกสิ่งทุกอย่างได้ วางใจในพระองค์ เหมือนเด็กเล็กๆ คนหนึ่งที่วางใจในพ่อแม่เขา พ่อแม่อุ้มเขาอยู่ เขาก็รู้สึกอุ่นใจ สบายใจ เพราะเขารู้ว่าถ้าเขาหิว เขาก็มีกิน ถ้ายุงกัดเขา พ่อแม่ก็จะช่วยปัดให้ อย่างนี้เป็นต้น

            ดังนั้น ขณะที่เราดำเนินชีวิตอยู่บนโลกนี้ อาจจะพบกับความทุกข์ยากลำบากเป็นเรื่องธรรมดา แต่ให้มีความพึงพอใจในชีวิตว่าพระเจ้าสถิตอยู่กับเรา และเรารออีกแป๊บเดียวเอง ความทุกข์ยากลำบากที่เราเผชิญอยู่บนโลกใบนี้ มันแป๊บเดียวเอง พระเยซูคริสต์กำลังบอกเราในใจว่า …

            “ลูกเอ๋ย รออีกแป๊บเดียวนะ”

            อีกแป๊บเดียว คือมันอาจจะเหมือนกับยุงกัดอยู่ เดี๋ยวกำลังจะไปเอายามาทา เดี๋ยวก็หาย สำหรับเราที่มีพระเจ้าสถิตอยู่กับเราแล้ว พระเยซูหรือพระเจ้าสถิตอยู่กับเรา บอกว่า …

            “รออีกแป๊บเดียวลูก อยู่บนโลกใบนี้อีกแป๊บเดียว ทุกข์บนโลกใบนี้แน่นอน แต่ชั่วขณะเดียวเท่านั้นเอง อดทนหน่อยนะลูก รอคอยที่จะได้รับเกียรติสิริ”

            พระคัมภีร์บอกว่ารอคอยที่จะได้รับพระเกียรติสิริ ร่วมกับพระเยซูคริสต์อย่างครบถ้วนบริบูรณ์ หลังจากออกจากร่างนี้แล้วนั่นเอง คือหลังจากตายแล้วนั่นเอง  รออีกแป๊บเดียวเอง ก็จะไปรับร่างกายใหม่ นี่พระคัมภีร์บอกชั่วขณะเดียวเท่านั้นเอง ในโรม 8:18 ได้บันทึกอย่างนี้ชัดเจนเลยว่าพระเจ้าให้เรารอแป๊บหนึ่ง เชื่อพระองค์เถิด วางใจในพระองค์เถิด พระคริสต์สถิตอยู่ในท่าน ไม่ละท่านให้อยู่ตามลำพัง ไม่ละท่านให้เป็นเด็กกำพร้า กำลังนำพาท่านอยู่ เชื่อเถอะๆ แล้วก็ระบุไว้อย่างนี้ว่า …

        โรม 8:18  “และด้วยความเชื่อ ข้าพเจ้าจึงเห็นว่าความทุกข์ยากลำบาก ที่เราได้รับอยู่ในปัจจุบันนั้น ไม่สามารถเปรียบเทียบได้เลยกับพระเกียรติสิริ ซึ่งได้ทรงสำแดงในเรา”

            “และด้วยความเชื่อ ข้าพเจ้าจึงเห็นว่าความทุกข์ยากลำบาก ที่เราได้รับอยู่ในปัจจุบันนั้น มันไม่สามารถเปรียบเทียบได้เลยกับพระเกียรติสิริ ซึ่งได้ทรงสำแดงให้เรา” ก็หมายถึงพระเกียรติสิริ ก็คือสง่าราศี ความยิ่งใหญ่ ความงดงามของพระเยซูคริสต์ พระเจ้าที่สถิตอยู่ในเราแล้วนั้น ขณะที่เราดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ขณะที่เราต้องประสบกับความทุกข์ยากลำบาก ขณะเดียวกันนั้น วิญญาณของเราที่อยู่กับพระเจ้าภายในนั้น สะอาด บริสุทธิ์  เต็มด้วยพระสิริของพระเจ้า  พระเจ้าดูแลเรา เป็นลูกของพระองค์ ที่เรียกว่าชีวิตนิรันดร์นั้น อยู่ในเราอยู่แล้ว  และจะสำแดงออกไปเรื่อยๆ ก็คือจะแสดงตัวตนออกไปเรื่อยๆ จนกระทั่งถึงวันสุดท้าย ในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ คือออกจากร่างเมื่อไร?  เราก็จะได้รับร่างกายใหม่ ที่เหมือนพระเยซูคริสต์เลย ไม่มีผิดเลย  และตาฝ่ายวิญญาณเราก็จะเปิดออก มองเห็นโลกฝ่ายวิญญาณ เห็นสวรรค์ชัดเจน

            เพราะฉะนั้น ในขณะที่ดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ รออีกแป๊บเดียว ขณะที่รออีกแป๊บเดียว จงเชื่อและวางใจว่าข้างในเรา วิญญาณตัวตนแท้ๆ จริงๆ ของเรา เป็นเหมือนพระเยซูแล้ว  และสำแดงต่อไปเรื่อยๆ จนกระทั่งถึงวันหนึ่งที่ร่างกายหมดอายุขัย เรามีร่างกายใหม่ ที่เหมือนพระเยซูเช่นเดียวกับร่างกายพระเยซูที่เป็นขึ้นจากความตายนั้น เหมือนกันเลย พระเจ้าเตรียมไว้ให้กับเราเรียบร้อยแล้ว เมื่อเราทิ้งจากร่างกายนี้ เราก็ไปสวมร่างกายใหม่  ก็จะครบถ้วนบริบูรณ์ในพระสิริ พระเกียรติของพระเจ้าที่เราเป็นเหมือนพระเจ้าเลย ก็คือเป็นลูกของพระเจ้า เหมือนพระเยซูไม่มีผิด เอเมนไหม? ถ้าเรามองเห็นอย่างนี้ เราเชื่ออย่างนี้ได้ เราก็ทุกข์น้อย ไม่ใช่ไม่ทุกข์ ทุกข์น้อย ทุกข์แป๊บเดียว เพราะเรามองเห็นชัดเจนว่านี่คือความจริงที่พระเจ้าบอกเรา เพราะฉะนั้น ขณะที่เราดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้  เมื่อความจริงนี้ปรากฏ เมื่อเราจดจ่ออยู่ในความจริงนี้ เราก็จะรู้ด้วยความเชื่อในใจว่ามันเป็นอย่างนี้ รู้เพราะอะไร? รู้เพราะมันอยู่ในใจของเรา

            ผู้ที่ยังไม่เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด ยังไม่มีพระเยซูคริสต์ ไม่มีพระเจ้าสถิตอยู่ภายในเขา ไม่มีทางรู้หรอก แต่ในทางตรงกันข้าม เราทั้งหลาย  ที่เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด พระเยซูเข้ามาอยู่ในตัวเราจริงๆ ไม่ใช่เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์แล้ว มาเชื่อในพระเยซูแล้ว บอกว่าพระเยซูจะอยู่สวรรค์คอยช่วยเรา  หรืออยู่ข้างๆ ตัวเรา คอยช่วยเรา  เดินไปไหนกับเราด้วย ไม่ใช่ แต่พอเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ พระเยซูเข้ามาอยู่ในร่างกายของเรา มาอยู่ในวิญญาณของเรา มาเป็นหนึ่งเดียวกับวิญญาณของเราเลยทันที เอเมน ขอบคุณพระเจ้า ตัวนี้แหละสำคัญมาก แล้วเราจะรู้ทันทีเลย  รู้เพราะเห็นหรือ? ไม่ใช่ รู้เพราะสัมผัสได้หรือ? ไม่ใช่ รู้เพราะฝันถึงหรือ? ไม่ใช่ รู้เพราะพระคัมภีร์บันทึกหรือ? ก็ไม่ใช่อีก รู้เพราะว่ามันอยู่ในใจ มันรู้ คิดอย่างไรก็รู้  ขณะที่มีความทุกข์  พอคิดถึงในใจปุ๊บ พระเยซูอยู่กับเรา  พระเจ้าสถิตอยู่กับเรา แม้บางครั้ง มันจะบางๆ ก็ตาม  แต่บางครั้งมันก็ชัดเจน เข้มๆ

            ใน 2 โครินธ์ 4:16-18 จึงได้บันทึกไว้อย่างนี้ ให้เราได้เห็นชัดเจนว่าในการดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ เราอาจจะพบกับความทุกข์ยากลำบาก เป็นเรื่องธรรมดา ชาวโลก มนุษย์ทุกคนก็พบอย่างนี้ทั้งนั้นแหละ แต่เราแตกต่างจากเขาตรงไหน? …

        2 โครินธ์ 4:16-18 “16 ฉะนั้น เราไม่ท้อถอย (ผิดหวัง เสียใจ กลัว) แม้ว่ากายภายนอกของเรากำลังทรุดโทรมไป แต่ตัวตนภายใน (วิญญาณและจิตใจที่ได้บังเกิดใหม่แล้ว ในพระคริสต์) ของเรา กำลังได้รับการเลี้ยงดู เสริมสร้างขึ้นใหม่ ให้เจริญเติบโตขึ้นทุกวัน 17 เพราะความทุกข์ยากลำบาก ที่เราได้รับอยู่ในขณะนี้นั้น เป็นเพียงสิ่งชั่วคราว และเป็นเพียงสิ่งเล็กน้อย ที่กำลังเสริมสร้าง หล่อหลอม และจัดเตรียมเรา เข้าไปสู่สง่าราศี พระสิริอันยิ่งใหญ่ สมบูรณ์นิรันดร์ ที่ไม่มีสิ่งใด สามารถเปรียบได้เลย 18 ดังนั้น เราจึงไม่จับตามองดู สิ่งที่มองเห็นอยู่ แต่จับตามองดู สิ่งที่มองไม่เห็น เพราะสิ่งที่มองเห็นอยู่นั้น เป็นเพียงชั่วคราว เดี๋ยวมันก็ผ่านไป ไม่ยั่งยืน (เหมือนเงา) แต่สิ่งที่มองไม่เห็นนั้น เป็นถาวรนิรันดร์”

            “ฉะนั้น เราไม่ท้อถอย ผิดหวัง เสียใจ หรือกลัว แม้ว่ากายภายนอกของเรา ที่เรามองเห็นอยู่นี้ กำลังทรุดโทรมไป  กายภายนอกเรากำลังแก่ เจ็บ ตาย มารโกหกเราบอกว่าเราไม่แก่  ไม่เจ็บ ไม่ตาย มันขโมยความจริง เราต้องยอมรับความจริง นี่คือความจริง หนีไม่พ้น  แต่เราสามารถชนะความจริงที่เป็นความทุกข์เหล่านี้ได้ โดยพระเยซูคริสต์บอกความจริงในโลกฝ่ายวิญญาณให้เรารับทราบ รับรู้ว่าเราชนะสิ่งเหล่านี้แล้ว ชนะความแก่ ความเจ็บ และความตาย ชนะด้วยระบบของโลกนี้หรือ? เปล่า ชนะด้วยระบบของโลกนี้ ก็คือเอายามาทาให้มันแก่ช้า เอายามากิน ดูแลสุขภาพร่างกายให้มันเจ็บน้อย พยายามทุกวิถีทางที่จะไม่ให้ตาย มันทำได้ไหม? ไม่ได้ มันเพิ่มความทุกข์ด้วยซ้ำไป แต่ไม่ได้หมายถึงไม่ต้องดูแลร่างกาย ไม่ใช่อย่างนั้นนะว่ากันไปตามสมควร นี่กำลังพูดถึงเว่อร์ๆ เราต้องยอมรับความจริงว่าพระเจ้ากำลังบอกเราว่าร่างกายของเรากำลังทรุดโทรมไป  ก็คือกำลังแก่ กำลังเจ็บ และกำลังเข้าสู่ความตาย  เราต้องเตรียมพร้อมไว้สำหรับโลกฝ่ายวิญญาณว่าตายแล้ว เราจะไปไหน? ตายแล้วเราจะอยู่อย่างไร? ตายแล้วเราจะเป็นอย่างไร?  ซึ่งเมื่อเราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์แล้ว เราจบแล้ว เราโอเคเลย จริงๆ แล้วในทัศนคติของคริสเตียน ตายดีกว่าอยู่ พระคัมภีร์บันทึกไว้อย่างนั้นเลย อยู่ ก็อยู่ให้พระคริสต์นำพาในชีวิต ใช้เราในชีวิต ตายก็ได้กำไร คือตายดีกว่าอยู่นั่นเอง  เพราะฉะนั้น ถ้าไม่มีพระเยซูคริสต์ ในชีวิตเดิม เราอาจจะกลัว … กลัวแก่ ใครไม่กลัวแก่ยกมือขึ้น ไม่มี แล้วก็กลัวเจ็บ กลัวเจ็บไข้ได้ป่วย ใครไม่กลัวเจ็บไข้ได้ป่วย ยกมือขึ้น  ไม่มี โดยเฉพาะคนมีอายุ ทุกคนก็กลัวตาย พระคัมภีร์บอกไว้เลย ทุกคนกลัวตาย  แต่เมื่อมาเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอดแล้ว พระคริสต์สถิตอยู่ในเราแล้ว เราไม่ท้อแท้ ไม่ท้อถอย ไม่ผิดหวัง ไม่เสียใจ  ไม่กลัวสิ่งเหล่านี้เลยว่า มันกำลังเสื่อมไป  เสื่อมไปยิ่งดีใหญ่เลย ไม่ใช่ยิ่งดี ให้มันเจ็บปวดเยอะขึ้น ไม่ใช่  แต่ยิ่งดี เรากำลังใกล้สู่การพักผ่อนนิรันดร์ของเรา ในสวรรคสถาน ใกล้ที่เราจะได้รับร่างกายใหม่แล้ว

            ในนี้จึงได้บันทึกไว้ว่าเราไม่กลัว ไม่ท้อแท้ ไม่เสียใจว่ากายภายนอกของเรากำลังทรุดโทรมไป อันที่ทรุดโทรมไป มันภายนอก มันแค่เสื้อผ้า ตัวตนของเราจริงๆ คือตัวตนภายใน คือวิญญาณและจิตใจของเรา ที่ได้บังเกิดใหม่ เป็นลูกของพระเจ้าในพระเยซูคริสต์แล้วนั้น จงมองให้เห็นเถิด ถ้ามองไม่เห็น ไปมองในกระจก แล้วมองทะลุกระจกเข้าไปเลยว่าที่เราเห็นนั้น คือเสื้อผ้า แต่ตัวตนของเราที่อยู่ข้างใน คือวิญญาณของเรา และจิตใจของเรานั้นเหมือนพระเยซูเลย อุแว้ออกมา ตั้งแต่เราเริ่มต้นเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ และตัวตนของเราจริงๆ ตรงนี้ กำลังได้รับการเลี้ยงดู เสริมสร้างขึ้นใหม่ ให้เจริญเติบโตขึ้นทุกวันๆ

            ขณะที่ร่างกายภายนอก ที่เรามองดูกระจก ที่เห็นตัวเรานั้น สิวขึ้น ฝ้าขึ้น ผมขาวขึ้น เจ็บป่วยมากขึ้น แก่มากขึ้น หนังเหี่ยวขึ้น ใกล้ความตายเข้าไปมากขึ้น วิญญาณข้างในเจริญเติบโตใหม่ขึ้นทุกวัน พระคริสต์สถิตอยู่กับเรา คอยเลี้ยงดู ส่งเสริม ประคบประหงมตัววิญญาณของเราจริงๆ ที่จะอยู่กับพระองค์ไปนิรันดร์ ให้เจริญเติบโตขึ้นทุกวัน ทุกวินาที พระคัมภีร์บอกทุกลมหายใจ  เพราะว่าเราเกิดใหม่ในพระเยซูคริสต์แล้ว เราเป็นวิญญาณที่เป็นหนึ่งเดียวกัน แยกกันไม่ออกเลย

            ข้อ 17 จึงบันทึกว่า “เพราะความทุกข์ยากลำบากที่เราได้รับอยู่ ในขณะที่เราดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ เนื้อหนังร่างกายนี้จะได้รับความทุกข์ยากลำบากจากระบบของโลกใบนี้ เป็นเรื่องธรรมดานั้น เป็นสิ่งเล็กน้อย มันเป็นชั่วคราวเอง ขอบคุณพระเจ้าที่มีชีวิตอยู่แค่ 80 ปี 90 ปี 100 ปี ขอบคุณพระเจ้า ถ้าเกิดมนุษย์ทั่วๆ ไป เหมือนมนุษย์ในอดีต หลายพันปี อาดัมมีอายุ 900 กว่าปี

            “ตายแน่ฉัน ชั่วขณะหนึ่งของฉันคงลำบาก ชั่วขณะหนึ่งในการดำเนินชีวิตอยู่บนโลกนี้”

            ในความทุกข์ยากลำบาก 900 ปีเอาไหม? ไม่เอา จะไปทุกข์อย่างนี้ 900 ปีหรือ? มันไม่ได้สุขจริง ที่ว่าอยู่บนโลกใบนี้ มีความสุข จะอยู่นานๆ ไปถามดูได้เลย ไม่มีใครมีความสุขจริงสักคนหนึ่ง  เขาไม่อยากตาย เพราะเขากลัวตาย แต่คริสเตียนผู้ที่เชื่อในพระเจ้า พระเจ้าสถิตอยู่กับเขา เรียบร้อยแล้ว ตายก็ได้กำไร ไม่กลัวตาย ความทุกข์ยากลำบากบนโลกใบนี้ บอก 80, 90 ปี จึงเป็นเรื่องแป๊บเดียว เป็นเพียงสิ่งชั่วคราว  ที่ในความทุกข์ยากลำบาก ในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้แค่ 80 ปี 90 ปีเท่านั้น  และมันเป็นเพียงสิ่งเล็กน้อยเท่านั้นเอง อะไรทุกข์ลำบาก เรียกว่าสิ่งเล็กน้อยหรือ? เล็กน้อยสิ เพราะมันไม่กี่ปีเท่านั้น มันจะมาเทียบกันกับชีวิตหลังความตาย ที่เราจะได้สวมร่างกายสวรรค์ ร่างกายใหม่ที่เหมือนพระเยซูคริสต์ตลอดชั่วนิรันดร์หรือ? 90 ปี 100 ปี กับนิรันดร์กาลปี  มันคนละเรื่องกันเลยนะ นี่ยังไม่ได้พูดถึงชีวิตนิรันดร์ ที่เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์ ในสวรรคสถาน ชัดเจน แจ่มใส และในนี้บอกว่าเป็นสิ่งชั่วคราว และเป็นสิ่งเล็กน้อย ซึ่งความทุกข์ยากลำบากเหล่านี้ กำลังเสริมสร้าง หล่อหลอมและจัดเตรียมเราเข้าไปสู่สง่าราศี พระสิริอันยิ่งใหญ่ สมบูรณ์นิรันดร์ ไม่มีสิ่งใดสามารถเปรียบได้เลย ก็หมายถึงชีวิตหลังความตายของคริสเตียน ที่จะสวมร่างกายใหม่  ที่เหมือนพระเยซูและครอบครองในโลกวิญญาณ ในสวรรค์ใหม่  ในสรรพสิ่งทุกอย่างใหม่ ร่วมกับพระเยซูคริสต์ หลังความตายนั้น  เป็นนิรันดร์กาลปีเลย ไม่มีโรคภัยไข้เจ็บ  เป็นนิรันดร์กาลปี ไม่มีความแก่ เป็นนิรันดร์กาลปี  ไม่มีความทุกข์ เป็นนิรันดร์กาลปี  ไม่มีความชั่วร้ายใดๆ เป็นนิรันดร์กาลปี อยู่กับพระเจ้า เต็มไปด้วยความสุข นิรันดร์กาลปี  แล้วมันเทียบกันกับไม่กี่ปีบนโลกใบนี้ ที่จะทนทุกข์ลำบาก  มันหมายถึงอย่างนั้น จะเห็นชัดเลย มันเป็นการจัดเตรียมให้เราพร้อม  เราจะได้รับร่างกายใหม่ ที่เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์ ก็ต่อเมื่อร่างกายเก่าที่เราดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ มันสิ้นสุดลง มันจะสิ้นสุดลงได้ ก็เมื่อเราแก่ แล้วก็เจ็บ แล้วก็ตาย

            เพราะฉะนั้น   ความแก่   ความเจ็บ   ความตาย    ความทุกข์ยากลำบากเหล่านี้    จึงเป็นการเตรียมตัวให้เราเดินทางไปสู่โลกนิรันดร์ สู่สวรรคสถานนิรันดร์กาลปี  พักผ่อนกับพระองค์นิรันดร์ ในพระคัมภีร์จะบันทึกไว้อย่างนี้ตลอด เพราะฉะนั้น จงมองให้เห็นเถิดว่าความแก่ ความทุกข์ยากลำบาก ความเจ็บป่วย ความตายนั้น ก็คือการเตรียมตัวเราให้เข้าไปสู่การพักผ่อนนิรันดร์กาลปีในสวรรคสถาน นิรันดร์กับพระเจ้านั่นเอง มันจึงเป็นสิ่งที่น่ายินดี

            ข้อ 8 ในนี้จึงบอกต่อไปว่า … “ดังนั้น เราจึงไม่จับตามองดู สิ่งที่มองเห็นอยู่” คือเพราะฉะนั้น เมื่อเราเห็นภาพอย่างนี้แล้ว เรารู้เรื่องราวเป็นอย่างนี้แล้ว เราจึงไม่จับตามองดูอยู่บนโลกใบนี้  ระบบของโลกใบนี้ที่ตะกี้บอก เราจึงไม่รักเงินทอง คือไม่รักระบบของโลกนี้  ไม่รักสิ่งของที่อยู่บนโลกใบนี้  ไม่รักลาภ ยศ สรรเสริญ ไม่ติดอยู่กับลาภ ยศ สรรเสริญ เห็นไหม? พอหลุดจากสิ่งเหล่านี้ ก็เห็นชัดแล้วว่าเพราะเราไม่ได้อยู่เพื่อลาภ ยศ สรรเสริญบนโลกใบนี้อีกต่อไปแล้ว  เราอยู่ เพื่อเป้าหมายของเรา คือ เราอยู่เพื่อหลังความตายมากกว่า

            ดังนั้น เราจึงไม่จับตามองสิ่งที่มองเห็นอยู่ ก็คือระบบของโลกนี้ แต่กลับกัน แต่จับตามองดู สิ่งที่มองไม่เห็น สิ่งที่มองไม่เห็น คือโลกวิญญาณครับ จับตามองดูสิ่งที่โลกมองไม่เห็น ตามนุษย์มองไม่เห็น จับต้องไม่ได้ คือโลกวิญญาณ คือสวรรคสถาน ซึ่งอยู่ภายในใจเราแล้ว  พระคริสต์สถิตอยู่ในใจเรา  วิญญาณเราเกิดใหม่  เป็นหนึ่งเดียวกับพระองค์ นี่คือสวรรค์แล้ว เพียงแต่รอวันหนึ่งที่วิญญาณเราออกจากร่างนี้เมื่อไร? เราไปสวมร่างกายใหม่ ที่เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์ และครอบครองร่วมกับพระเยซูคริสต์ในสวรรคสถานร่วมกับพระเจ้าพระบิดา และธรรมิกชนทั้งหลาย ก่อนหน้าเรา หรือไปพร้อมๆ กับเรา ในโลกใหม่ที่พระเจ้าสร้างขึ้นใหม่แทนโลกใบนี้ และสรรพสิ่งต่างๆ ใหม่ๆ ที่แทนโลกใบนี้ ที่เราจะได้ครอบครองอยู่กับพระเยซูคริสต์ในสวรรค์นั้นนิรันดร์

            นี่เราจึงจะจับตามองไปตรงนี้มากกว่า ซึ่งบนโลกใบนี้ เขามองไม่เห็น เราก็มองไม่เห็น แต่เรารู้ว่าเป็นจริง เพราะเรารู้อยู่ในใจของเรา เราเห็นอยู่ในวิญญาณของเราว่านี่คือความจริง นี่คือเป้าหมาย การดำเนินชีวิตของเราบนโลกใบนี้  เพราะสิ่งที่มองเห็นอยู่นั้น  เป็นเพียงชั่วคราว สิ่งที่เห็น ก็คือตะกี้นี้ที่บอก ก็คือระบบของโลกนี้  ลาภ ยศ สรรเสริญบนโลกใบนี้  ความสุขบนโลกใบนี้ มันอยู่ชั่วคราวทั้งหมด ไปยึดถือ มันก็ตายลูกเดียว แล้วมารมันทำหน้าที่อะไร? มันไม่ได้ทำอะไรเลย มันพยายามหลอกล่อ หลอกลวง ให้เรายึดติดอยู่กับสิ่งที่มองเห็นนี้ ลาภ ยศ สรรเสริญ ความไม่แก่ ยึดอยู่นี่ ยิ่งทุกข์ใหญ่เลย  แต่เราทั้งหลายไม่ยึด เพราะสิ่งที่มองเห็นอยู่นั้นมันเป็นเพียงชั่วคราว  เดี๋ยวมันก็ผ่านไป  ไม่ยั่งยืน เหมือนเงา แป๊บเดียวเอง  ยึดไม่แก่ แก่ก็เหมือนเงา เดี๋ยวมันก็ผ่านไปแล้ว ยึดไหมเจ็บป่วย ต้องไม่เจ็บ ไม่ป่วย ต้องแข็งแรง มันป่วย มันก็แป๊บเดียว เดี๋ยวมันก็ไป เราไม่กลัวตาย  เพราะตายของเรา ก็คือการบังเกิดใหม่ในวิญญาณ เข้าไปสู่โลกวิญญาณ ชีวิตใหม่ในวิญญาณ ครบถ้วนบริบูรณ์ 100% อย่างนี้เป็นต้น

            มันไม่ยั่งยืนเหมือนเงา แต่สิ่งที่มองไม่เห็นนั้น เป็นถาวรนิรันดร์ เห็นหรือยัง  บนโลกใบนี้มันเป็นเงา ทั้งโลกเลย เป็นเงา ร่างกายเราที่เห็นอยู่ ก็ถูกสร้างมาจากโลกใบนี้ ก็เป็นเงา ที่ถูกสาปแช่งอยู่ ก็เป็นเงา ความแก่ของร่างกาย ความเจ็บป่วยของร่างกาย ความตายจากร่างกายนี้ ก็เป็นเหมือนเงาทั้งสิ้นเลย วันหนึ่งร่างกายนี้ ก็ต้องหมดไป ตายไป วันหนึ่ง โลกใบนี้ ก็ต้องสูญไป  แต่โลกวิญญาณที่มองไม่เห็น ก็คือวิญญาณภายในของเรา มนุษย์ทุกคน มันจะอยู่ตลอดไปถาวรนิรันดร์ เรากำลังพูดถึงวิญญาณภายในของผู้ที่มีพระคริสต์สถิตอยู่ บังเกิดใหม่ โดยการเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เข้ามาสถิตอยู่แล้ว ชีวิตนิรันดร์ เป็นนิรันดร์อยู่ในสวรรคสถานนิรันดร์กาล แต่ถ้ายังไม่เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ ยังไม่มีพระเยซูคริสต์อยู่ในตัว วิญญาณอยู่นิรันดร์ไหม? อยู่นิรันดร์เหมือนกัน แต่ไม่ได้อยู่ในสวรรค์นิรันดร์  แต่อยู่ในความพินาศนิรันดร์

            นี่คือสิ่งที่จะต้องตั้งใจคิดต่างหาก และถ้าเราตัดสินใจเรียบร้อยแล้วว่าเราอยู่ในพระเยซูคริสต์ เราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เรารู้อยู่ในใจว่าพระคริสต์สถิตอยู่ในเรา เราได้บังเกิดใหม่แล้ว  เราก็มีความมั่นใจ  100 % ว่าถาวรนิรันดร์ของเรา ในชีวิตนิรันดร์ของเรานั้น  คืออยู่ในสวรรค์กับพระเจ้า ไม่ได้อยู่ในความพินาศอีกต่อไป หลังความตาย เพราะฉะนั้น เราจึงไม่กลัว เรื่องความตาย

            ในอดีต ก่อนที่เราจะเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เรากลัวใช่ไหม? เรากลัวความตาย เพราะเรา รู้อยู่ในใจเหมือนกันว่าชีวิตไม่ได้จบลงตรงที่ความตาย วิญญาณเรายังต้องดำเนินต่อไป  แต่เราไม่ได้อยู่ในสวรรค์ เราไม่แน่ใจ เราไม่รู้จะอยู่ที่ไหน?  อย่างนี้ชัดเจน

            พอเราเห็นความจริงอย่างนี้แล้ว เราอาจจะนึกว่าความทุกข์ยากลำบากบนโลกใบนี้ มันมีแต่เรื่องร้ายๆ ทั้งสิ้น จริงๆ แล้วมันมีแง่มุมดีด้วย ขณะที่เราอ่านเมื่อสักครู่นี้ใน 2 โครินธ์ 4:16-18 ที่บอกว่าความทุกข์ยากลำบากที่เกิดขึ้นกับเรานั้น จะมีประโยชน์ในการจัดเตรียมให้เรา เข้าสู่สง่าราศีอันยิ่งใหญ่ของพระเจ้า ที่สมบูรณ์แบบด้วย ก็คือให้มองความทุกข์ยากลำบากในแง่ดี ซึ่งไม่ใช่ว่าความทุกข์ยากลำบากที่เกิดขึ้นกับเรา จะไม่มีประโยชน์อะไรเลย มันก็ไม่ใช่ มันมีประโยชน์บ้าง เพราะฉะนั้น ในตรงนี้จึงบอกว่าความทุกข์ยากลำบากที่เราได้รับอยู่นั้น ถึงแม้ว่าจะเป็นเพียงชั่วคราวเล็กน้อย ก็ตาม แต่ก็เป็นสิ่งที่กำลังเสริมสร้าง หล่อหลอม และจัดเตรียมเราให้เข้าไปสู่สง่าราศี           พระสิริอันยิ่งใหญ่       สมบูรณ์แบบนิรันดร์ในสวรรคสถาน หล่อหลอม จัดเตรียมเรา เสริมสร้างเราอย่างไร? ยิ่งมีความทุกข์เท่าไร เรายิ่งอยากจะจากไปเท่านั้น เราไม่อยากจะอยู่บนโลกใบนี้แล้ว เห็นชัดเลย หล่อหลอมไหม? หล่อหลอม ยิ่งมีความทุกข์เท่าไร? ยิ่งละจากการรักเงินทอง รักโลก ความโลภ ลาภ ยศ สรรเสริญละมากเท่านั้น เพราะความทุกข์ลำบากเสริมสร้างเรา อยากไปอยู่ในสวรรค์ ไม่รักโลกใบนี้  พร้อมที่จะไป โดยไม่มีเยื่อใย นี่คือประโยชน์ของความทุกข์ยากลำบาก ที่เผชิญอยู่บนโลกใบนี้

            เพราะฉะนั้น  เราสามารถเผชิญกับปัญหาต่างๆ   บนโลกใบนี้ได้   ด้วยความคิดหรือคอนเชป ในการคิด ในชีวิตอย่างนี้ ต่อความทุกข์ยากลำบากที่เกิดขึ้น เราสามารถเผชิญปัญหาต่างๆ บนโลกใบนี้ ไม่ว่าจะเป็นความทุกข์ยากเรื่องสุขภาพ เรื่องโรคภัยไข้เจ็บ เรื่องทำมาหากิน  เรื่องครอบครัว เรื่องอุบัติเหตุ เรื่องภัยธรรมชาติต่างๆ เรื่องทะเลาะเบาะแว้ง เข้าใจผิดกัน อะไรต่างๆ เหล่านั้น ที่มันเกิดขึ้นบนโลกใบนี้ มาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ทุกวันนี้ก็มี ไม่ได้มีมากขึ้นหรอก มันก็มีอย่างนี้แหละ คนมันมากขึ้น เราเลยมีความรู้สึกมากขึ้น แต่จริงๆ การเกิดขึ้นมันมีมาตั้งแต่โน้น หลายพันปีแล้ว เราจึงสามารถเผชิญกับความทุกข์ยากลำบากเหล่านี้ได้ ในขณะที่ในใจเรา มีสันติสุขในพระเยซูคริสต์ เพราะพระองค์ทรงสถิตอยู่ภายใน ลึกๆ เรารู้ และมีความมั่นใจในการทรงสถิตของพระเจ้า  พระคริสต์ที่สถิตอยู่กับเรา ไม่กลัวตาย  เพราะเรารับรู้ความจริงแล้วว่าชีวิตหลังความตาย มีจริง และร่างกายใหม่ที่สมบูรณ์แบบ เหมือนพระเจ้า เหมือนพระเยซู ที่ได้เป็นขึ้นจากความตายนั้น มีอยู่จริง และเตรียมไว้ให้กับเราทุกคน  ที่เชื่อและวางใจในพระเยซู และมีพระเยซูคริสต์สถิตอยู่กับเราภายในแล้ว ร่างกายใหม่นี้ ที่เป็นเหมือนพระเยซู ที่เต็มด้วยสง่าราศีนี้ ได้ถูกจัดเตรียมไว้ให้กับเราเรียบร้อยไปแล้ว หลังความตาย เอเมน

            ไม่ใช่ได้รับร่างกายใหม่เท่านั้นเอง หลังจากตายแล้ว แถมยังมีมรดกสวรรค์ที่พระเจ้าสัญญาไว้ อีกด้วย มรดกในสวรรค์ ก็คือได้รับร่างกายใหม่ ที่เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์ แล้วได้ครอบครองโลกใหม่ที่พระเจ้าสร้างขึ้นแทนโลกใบนี้ที่จะสูญสิ้นไป และครอบครองสรรพสิ่งทั้งหลายบนโลกใหม่นั้น  ที่พระเจ้าสร้างขึ้นใหม่หมดเลย ทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นสัตว์ เป็นต้นไม้ เป็นภูเขา เป็นฟ้า ใหม่ทั้งหมด  พระคัมภีร์บันทึกว่าเราจะร่วมครอบครองสิ่งใหม่ๆ เหล่านี้ร่วมกับพระเยซูคริสต์และธรรมิกชนทั้งหลายร่วมกัน นิรันดร์กาลปี

            นิรันดร์กาล คือไม่มีที่สิ้นสุด อยู่กับพระเจ้านิรันดร์ ที่นั่นไม่มีน้ำตา ไม่มีความทุกข์ ไม่มีความเจ็บปวด  ไม่มีเรื่องเศร้า ไม่มีความบาป บันทึกไว้อย่างนั้นชัดเจน  แค่นั้นยังไม่พอ  ยังมีของแถมเพิ่มอีก คือในขณะที่เรายังมีชีวิตดำเนินอยู่ บนโลกใบนี้ เดี๋ยวนี้ ขณะนี้ อยู่ท่ามกลางความทุกข์ยากลำบากเดี๋ยวนี้ เรายังมีพระเจ้าสถิตอยู่กับเราตลอดเวลา ทุกลมหายใจเข้าออก ซึ่งคนที่ยังไม่เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด ไม่มี ในอดีตเราไม่มี เราต้องเดินลำพังตัวเองคนเดียว  แต่ตอนนี้เราเดินคนเดียว แล้วยังมีพระเจ้าพระบิดา พระเจ้าพระบุตร พระเจ้าพระวิญญาณบริสุทธิ์ 3 พระภาคเดินอยู่กับเรา  ภายในเรา เอเมนไหม? นี่คือของแถมเพิ่มอีกนะเนี้ย

            เพราะฉะนั้น เราจึงมีกำลังพิเศษที่จะอดทน ฟันฝ่าอุปสรรคปัญหาต่างๆ บนโลกใบนี้ ที่ตะกี้เราพูดถึงความทุกข์ยากลำบากบนโลกใบนี้ เราจึงมีกำลังพิเศษตลอด 24 ชั่วโมง จากพลังภายใน จนถึงวันเวลาที่จะจากโลกนี้ จากร่างกายนี้ไปอยู่ในสวรรค์อย่างครบถ้วนบริบูรณ์นิรันดร์นั่นเอง

            นี่ของแถมเต็มไปหมดเลย  เพราะฉะนั้น ให้เราดำเนินชีวิตด้วยการตระหนักและระลึกอยู่เสมอว่าพระคริสต์สถิตอยู่ในเรา เป็นความหวังแห่งเกียรติและสิริชั่วนิรันดร์ โคโลสี 1:27 บันทึกเอาไว้ …

        โคโลสี 1:27 “สำหรับพวกเขา พระเจ้าได้ทรงประสงค์ ที่จะสำแดงความมั่งคั่งอันทรงเกียรติสิริของข้อล้ำลึกนี้ ในหมู่คนต่างชาติ คือพระคริสต์สถิตในท่านทั้งหลาย ซึ่งเป็นความหวัง แห่งเกียรติสิริ”

            “สำหรับพวกเขา” หมายถึงสำหรับพวกอิสราเอลหรือชาวยิว  ซึ่งเขารู้จักพระเจ้าก่อนเราเยอะ พระเจ้าเตรียมประชาชนอิสราเอลไว้ เพื่อเป็นที่มาของพระผู้ช่วยให้รอด คือพระเยซูคริสต์บังเกิดในชุมชนอิสราเอล คือชาวยิวนั่นเอง  เพื่อความรอดจะได้มาถึงคนที่ไม่ใช่เป็นอิสราเอล คือไม่ได้เป็นชาวยิว พระเจ้าทรงประสงค์ที่จะสำแดงความมั่งคั่ง อันทรงเกียรติสิริของข้อล้ำลึกนี้ในหมู่คนต่างชาติ คือพระเจ้าสำแดงให้กับคนยิวได้เห็นว่าพระเจ้าที่เขารู้จักนั้น ตระเตรียมแผนการนี้ไว้เรียบร้อยแล้ว คือให้พระเยซูคริสต์ พระบุตรของพระเจ้า พระผู้ช่วยให้รอดเข้ามาสถิตอยู่กับคนต่างชาติ คนที่ไม่ใช่ยิว ทั้งหมดเลย ไม่ใช่ให้แก่ชาวยิวเท่านั้น แต่ให้กับชาวยิวและชาวไม่ใช่ยิว ก็ให้หมดเลย ให้อะไร? ให้โอกาส ที่เขาจะเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เข้าไปสถิตอยู่ในเขา ซึ่งเมื่อพระเยซูคริสต์เข้าไปสถิตอยู่ในเขาแล้ว พระเยซูคริสต์จะเป็นความหวังและเกียรติสิริของเขานั่นเอง พระเยซูคริสต์สถิตอยู่ในเขา เป็นความหวังที่จะได้รับชีวิตนิรันดร์หลังจากความตาย ได้รับร่างกายใหม่ เต็มด้วยสง่าราศีเหมือนพระเยซูคริสต์ตอนเป็นขึ้นจากความตาย แล้วจะได้ครอบครองสวรรค์โลกใหม่ที่ตะกี้นี้ผมอธิบายให้ฟังร่วมกับพระองค์นิรันดร์ เรียกว่าเกียรติและสิริ เป็นความหวังของคนที่ไม่ใช่ยิว คือความหวังของเราด้วย ที่ไม่ใช่ยิว และเราต้อนรับพระเยซูคริสต์แล้ว พระเยซูคริสต์สถิตอยู่ในเราแล้ว จึงเป็นความหวังของเราที่จะครอบครองอาณาจักรร่วมกับพระเยซูคริสต์ ในสวรรคสถาน ที่เรียกว่าพระเกียรติและพระสิริของพระเจ้าร่วมกับพระองค์

            “เพราะฉะนั้น พระคริสต์สถิตอยู่ในฉัน อยู่ในเรา เป็นความหวังที่จะได้รับเกียรติสิริร่วมกับพระองค์ เมื่อฉันจากโลกนี้ไปแล้ว”

            นี่คือความหวังสูงสุดของมนุษย์ผู้หนึ่งที่เกิดบนโลกใบนี้ แล้วจะมีความหวังอะไรที่มันยิ่งใหญ่กว่านี้มีอีกไหม? ถามตัวเองก็ได้ มีอีกไหม? จะให้รวยมหาศาลบนโลกใบนี้ จะให้มีชื่อเสียงล้นฟ้าบนโลกใบนี้  จะให้คนรักบนโลกใบนี้  จะให้คนสรรเสริญบนโลกใบนี้ทั้งหมดเลย  ใหญ่บ้าง สูงบ้าง ดีมากเลยเอาไหม? แลกกับชีวิตหลังความตายนิรันดร์ที่จะร่วมครอบครองมรดกนิรันดร์  ครอบครองสวรรค์ร่วมกับพระเยซูคริสต์ พระเจ้าพระบิดา พระเจ้าพระบุตร พระเจ้าพระวิญญาณบริสุทธิ์

            พระคริสต์สถิตในใจ จะนำพาฉันผ่านทุกสถานการณ์บนโลกใบนี้  เพราะว่าขณะที่ฉันรอวันที่จะจากโลกนี้ไป ดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ พระเยซูก็อยู่กับฉันแล้วด้วย เอเมน  ผมเคยบอกใช่ไหมว่าถ้าท่านเป็นคริสเตียน เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดแล้ว พระเยซูสถิตอยู่ในท่านแล้ว ในยามสุข พระองค์ทรงบินอยู่ข้างๆ ท่านใช่ไหม? แต่ในยามทุกข์ พระองค์ทรงซุกท่านไว้ใต้ปีกของพระองค์ แล้วฉันจะกลัวอะไร? ซึ่งในการเดินบนโลกใบนี้มันมีทั้งยามสุขยามทุกข์  ยามสุขก็บินอยู่ข้างๆ คอยมอง ลูกคลานไป ก็ปล่อยลูกคลาน สนุก พอลูกคลานไปพลาด หัวฟาดพื้นนิดหนึ่ง พ่อรีบอุ้มขึ้นมาเลย ไม่เป็นไรนะลูก นั่นแหละซุกไว้ใต้ปีกของพระองค์

            เพราะฉะนั้น พระคริสต์สถิตอยู่ในฉัน ในขณะดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ฉันจึงไม่กลัว …

            –  พระคริสต์สถิตอยู่ในฉัน ฉันจะไม่กลัว

            –  พระคริสต์สถิตในฉัน ฉันจะไม่วิตกกังวลในเรื่องใดๆ เลย

            –  พระคริสต์สถิตในฉัน ฉันจึงสามารถมีความสุข และมีความชื่นชมยินดีภายในจิตใจอยู่เสมอ ท่ามกลางความทุกข์ยากลำบากบนโลกใบนี้  ฉันเผชิญได้ โดยพระเยซูคริสต์ผู้สถิตอยู่ในฉัน เอเมน

            เพราะฉะนั้น นี่คือความจริงของคนที่เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด ที่เรียกว่าคริสเตียนแล้ว สำหรับผู้ที่ยังไม่มีพระคริสต์สถิตอยู่ในใจ ก็ไม่ยากเลย ง่ายนิดเดียว  ก็คือแค่เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เข้ามาเป็นพระผู้ช่วยให้รอด เข้ามาเป็นพระเจ้าประจำตัวเท่านั้นเอง พระเจ้าคอยมองท่านอยู่ตลอดเวลาอยู่แล้วทุกวันนี้ เคาะประตูใจท่านตลอดเวลา …

            “เปิดเถิดเราช่วยเจ้าได้ เปิดเถิดๆ”

            เปิดใจท่านเถิด ก่อนที่มันจะสายไป ก่อนที่มันจะถึงวาระที่ต้องจากโลกนี้ไป ท่านจะจากไปคนเดียวโดดๆ โผล่ออกไปในโลกวิญญาณหลังความตาย เจอความมืดเลย หรือท่านจะดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ มีพระเยซูคริสต์ดำเนินอยู่ด้วย และเมื่อถึงวันที่จากโลกนี้ไป เมื่อท่านตาย วิญญาณออกจากร่าง พระเยซูคริสต์ก็ประคองท่านออกจากร่างไป พร้อมกับแสงสว่าง เพราะว่าพระองค์ทรงเป็นแสงสว่าง และท่านก็เป็นแสงสว่างแล้ว ไม่ใช่ความมืดอีกต่อไป

            เพราะฉะนั้น เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ตอนนี้ มันปลอดภัยมากกว่าเยอะเลย อย่างที่บอกว่าเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ตอนนี้ สิ่งที่ได้เห็นชัดๆ เลย ในทันทีเดี๋ยวนี้เลย ก็คือวิญญาณท่านได้บังเกิดใหม่เข้าไปอยู่ในสวรรค์ทันที  และพระเจ้าก็เข้ามาสถิตอยู่กับท่าน ในร่างกายของท่านทันที รอคอยวันที่จะได้รับร่างกายใหม่หลังความตาย ขณะที่ยังรอคอยอยู่นั้น กำลังดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ ท่ามกลางความทุกข์ยากลำบากที่ต้องเกิดขึ้นกับท่านอย่างแน่นอนตลอดเวลา ในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้นั้น พระเยซูสถิตอยู่กับท่าน พระเจ้าบอกว่าในขณะที่กำลังดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ในยามสุขนั้น เราจะดูเจ้า เราจะมองเจ้า เราจะบินอยู่เคียงข้างเจ้า แต่ในยามเจ้าเผชิญกับความทุกข์ยากลำบากบนโลกใบนี้  เราจะซุกเจ้าไว้ใต้ปีกของเรา  เอเมน พระเจ้าอวยพรครับ

********************

จากใจคณะศิษยาภิบาล

            เพราะท่านได้บังเกิดใหม่ในพระคริสต์ พระคริสต์เป็นความรัก  ท่านก็เป็นความรักด้วยเช่นกัน

            1 ยอห์น 4:17 …  “ในการได้เข้าส่วนร่วมเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระคริสต์นี้  (คือการบังเกิดใหม่ในวิญญาณ) ความรัก (อากาเป้ แบบพระเจ้า) จึงได้เกิดขึ้น อย่างสมบูรณ์ครบถ้วนในตัวเรา (ทั้งวิญญาณ และจิตใจ) เราจึงมีความมั่นใจในวันพิพากษา  ที่เรามีความมั่นใจอย่างเต็มเปี่ยม  ก็เพราะวิญญาณและจิตใจของเรา   ขณะที่อยู่ในโลกนี้นั้น  เป็นวิญญาณและจิตใจที่เหมือนกับวิญญาณและจิตใจของพระคริสต์”

            พระเยซูคริสต์จึงตรัสว่า …

            ยอห์น 13:34​ … “เราให้บัญญัติใหม่ไว้แก่เจ้าทั้งหลาย  คือให้เจ้ารักซึ่งกันและกัน  เรารักเจ้าทั้งหลาย  (ด้วยวิญญาณและความจริงใจ) มาแล้วอย่างไร  เจ้าจงรักกันและกันด้วยอย่างนั้น”

            เมื่อเราบังเกิดใหม่ ได้เป็นความรักเหมือนพระเจ้าแล้ว เราจึงแบ่งปันความรักที่เหมือนพระเจ้านี้   โดยธรรมชาติของวิญญาณ​ และจิตใจใหม่  ที่พระเจ้าประทานให้​  ตอนบังเกิดใหม่ให้แก่คนอื่นได้  อย่างเป็นธรรมชาติ​ ไม่รู้สึกเป็นภาระหนักเหมือนในอดีต​ก่อนบังเกิดใหม่ ที่ต้องพยายามรักผู้อื่น​ ในขณะที่วิญญาณและจิตใจข้างในเป็นวิญญาณแห่งความเกลียดชัง เป็นศัตรูกับพระเจ้าผู้เป็นความรัก

            1 ยอห์น 5:3​ …  “เพราะนี่แหละ​ เป็นความรัก  (ด้วยวิญญาณและความจริงใจ) ต่อพระองค์  คือที่เราทั้งหลายประพฤติตามพระบัญญัติของพระองค์  (ซึ่งใส่ไว้ในวิญญาณและจิตใจใหม่ของเราแล้ว) และพระบัญญัติของพระองค์นั้น (คือให้เรารักกันและกันด้วยวิญญาณและใจจริง)​ ไม่เป็นภาระ”

            ไม่เป็นภาระ  เพราะเป็นธรรมชาติใหม่ของตัวตนที่ได้บังเกิดใหม่แล้วในวิญญาณ  เป็นลูกของพระเจ้าเป็นความรักเหมือนพระเจ้า

            พระเจ้าอวยพรครับ