วารสาร Holy  News   ฉบับที่ 1395

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  25  ธันวาคม  2022

เรื่อง “ความจริง คือพระเยซูคริสต์เป็นพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์ ท่านเชื่อหรือไม่?” ตอน 1

โดย นคร  เวชสุภาพร

            วันนี้  เป็นวันคริสตมาส หัวข้อเรื่อง ก็คือ “ความจริง คือพระเยซูคริสต์เป็นพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์ ท่านเชื่อหรือไม่?” พระเยซูเป็นผู้ประกาศด้วยตัวของพระองค์เอง ไม่ใช่เรามาสรุปกันเองนะ พระองค์ประกาศด้วยตัวของพระองค์เอง ตอนที่มาเดินอยู่บนโลกใบนี้ ประกาศแก่มวลประชาชนในที่สาธารณะด้วย อย่างเปิดเผยชัดเจน มั่นใจเลยว่าพระองค์เป็นพระเจ้า พระบุตร ซึ่งสำคัญตรงที่ว่าพระบุตรพระเจ้า  พระเจ้าพระบุตร หมายถึงพระองค์เป็นพระเจ้า ในภาคของพระบุตร ที่พระเจ้าทรงสัญญาไว้ว่าจะทรงมาเกิดเป็นมนุษย์ เพื่อช่วยเหลือมนุษย์ ให้รอดพ้นจากความบาป ความพินาศ หลังความตาย ประกาศให้เชื่อและวางใจพระองค์ว่าพระองค์เป็นพระเจ้าจริงๆ พูดอย่างนี้เลยนะ พระองค์เป็นพระเจ้าจริงๆ  เพราะฉะนั้น หัวใจของคริสตมาส คือพระเยซูเป็นพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์จริงๆ นี่คือหัวใจของข่าวประเสริฐ วันคริสตมาส ถ้าบอกว่า Merry Christmas หรือพูดถึงคริสตมาสเมื่อไร? ต่อไปนี้ ท่านต้องจำไว้เลยว่าเนื้อหาสาระของคริสตมาส สั้นที่สุด ก็คือวันที่พระเยซูคริสต์เป็นพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์

            หัวใจสำคัญของคริสตมาส คือพระเยซูคริสต์เป็นพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์ มันต้องคล่องปากมากเลยนะ  เพราะมันเป็นหัวใจของคริสตมาส ใครถามท่านว่าคริสตมาส คืออะไร? ท่านตอบสั้นๆ เลย พระเยซูเป็นพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์ หรือพระเจ้ามาเกิดเป็นมนุษย์ ชื่อพระเยซู

            ท่านจำอะไรไม่ได้ปีนี้ ไม่เป็นไร ขอให้จำได้แค่นี้เองว่าคริสตมาส คือพระเจ้ามาเกิดเป็นมนุษย์ พระเยซูหรืออะไรก็ได้ ให้อยู่ในลักษณะอย่างนี้

            สมมติว่าตอนนี้ มีคนมาประกาศในที่สาธารณะเหมือนที่พระเยซูประกาศ ถ้ามีใครมาประกาศตอนนี้ว่าตัวเขาเอง เป็นพระเจ้า เราจะเชื่อไหม? มีคนประกาศลงยูทูปเลยว่าตอนนี้เป็นพระเจ้า ท่านคงไม่เชื่อแน่นอน และถ้าท่านไม่เชื่อ ท่านจะพูดหรือคิดว่าคนที่กำลังประกาศว่าตัวเขาเอง เป็นพระเจ้านั้น เป็นคนอย่างไร?  มโน บ้า เสียสติ แน่นอน ทุกคนต้องตอบอย่างนี้ ถูกไหมครับ? และพระเยซูคริสต์ประกาศด้วยตนเอง เมื่อ 2,000 ปีก่อน พระองค์เป็นพระเจ้า เป็นภาคหนึ่งของพระเจ้า พระเจ้ามี 3 พระภาค พระเจ้าพระบิดา พระเจ้าพระบุตร พระเยซู พระเจ้าพระวิญญาณบริสุทธิ์ พระองค์ประกาศว่าตัวตนของพระองค์เป็นแค่ภาคพระบุตร มาเกิดเป็นมนุษย์ ท่านคิดดูสิพระองค์เป็นพระเจ้า มีสถานะเป็นบุตรของพระเจ้า เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์  พระเยซูประกาศด้วยตนเองว่าพระองค์เป็นพระเจ้า และมวลมนุษย์ทั้งหลายจะสามารถเข้าสวรรค์ได้ ต้องผ่านทางพระองค์ผู้เดียวเท่านั้น พระองค์บอกมนุษย์ทั้งปวงจะไปสวรรค์ได้ พ้นจากโทษ หลังความตายได้ โดยผ่านทางพระองค์ ผู้เดียวเท่านั้น ท่านถามตนเองสิว่าถ้าท่านได้ยินอย่างนี้ ท่านเชื่อหรือไม่? เดี๋ยวจะมีคำตอบ  ผมจะยกตัวอย่างให้ท่านเห็นว่าพระเยซูประกาศด้วยตัวพระองค์เอง ในยอห์น 14:6 …

        ยอห์น 14:6  “พระเยซูตรัสกับเขาว่า “เราเป็นทางนั้น เป็นความจริงและเป็นชีวิต ไม่มีใครมาถึงพระบิดาได้ นอกจากจะมาทางเรา”

            เด็ดเดี่ยว เด็ดขาด มั่นคง มั่นใจ ใครกล้าพูดอย่างนี้ได้ว่า …

            “เราเป็นทางนั้น เป็นความจริงและเป็นชีวิต ไม่มีใครมาถึงพระบิดาได้ ไม่มีใครมาถึงสวรรค์ของพระบิดาได้ นอกจากจะมาทางเรา”

            คิดในใจเมื่อสักครู่นี้ ที่ผมบอก ถ้าปัจจุบัน มีคนพูดอย่างนี้ ท่านคิดว่าอย่างไร? ตอนนี้เราย้อนดู เมื่อ 2,000 ปีที่ผ่านมา ที่พระเยซูคริสต์พูด คนฟังในขณะนั้น เขาคิดอย่างไร? มาดูอีกข้อหนึ่ง ยอห์น 10:30-33 ความมั่นใจของผู้ประกาศ  ความมั่นใจของผู้ที่มีพระนามว่าพระเยซูคริสต์ พูดไว้ว่าอย่างไร? ประกาศแก่ที่สาธารณะนะ ไม่ใช่แอบๆ ประกาศอยู่ในห้อง มีคนไม่กี่คน  ที่สาธารณะทั่วๆ ไปเลย ตลอด 3 ปี พระองค์ประกาศอย่างนี้แหละ …

        ยอห์น 10:30-33 “30 พระเยซูตรัสว่า “เรากับพระบิดา เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน” 31 พวกยิวจึงหยิบก้อนหินขึ้นมาอีก จะขว้างพระองค์ให้ตาย 32 พระเยซูจึงตรัสกับพวกเขาว่า “เราแสดงให้ท่าน เห็นการดีหลายอย่างของพระบิดา  พวกท่านหยิบก้อนหิน จะขว้างเราให้ตาย เพราะการดีข้อไหน?” 33 พวกยิวทูลตอบพระองค์ว่า “เราจะขว้างท่าน ไม่ใช่เพราะการดีใดๆ แต่เพราะการพูดหมิ่นประมาทพระเจ้า  เพราะท่านเป็นเพียงมนุษย์ แต่ตั้งตัวเป็นพระเจ้า”

            “เรากับพระบิดาเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน” เป็นหนึ่งเดียวกันเลย  และอีกคำหนึ่งสุดท้าย

            ชาวยิวทูลตอบพระองค์ว่า “เราจะขว้างท่าน จะฆ่าท่านให้ตาย ไม่ใช่เพราะการดีใดๆ ที่ท่านทำแต่เพราะการพูดหมิ่นประมาทพระเจ้า เพราะท่านเป็นเพียงมนุษย์ แต่ตั้งตัวเป็นพระเจ้า”

            เห็นไหมครับ? แสดงว่าพระองค์พูดชัดเจนว่าพระองค์เป็นพระเจ้า ทั้งๆ ที่คนปฏิเสธ พระองค์ก็ยังยืนยันว่าพระองค์เป็นพระเจ้าอยู่นั่นแหละ ซึ่งชาวยิวบางคน ฟาริสีบางคนพูดหนักกว่านั้นอีก บอกอย่าไปฟังเขาเลย คนนี้เป็นคนเสียสติ เป็นคนบ้า  เหมือนกับที่ตะกี้นี้ท่านตอบว่าถ้าในปัจจุบันมีคนมาพูดอย่างนี้ ก็คงคิดอย่างเดียวกันกับฟาริสี และยิวบางคน บอกว่าเขาเป็นบ้า เสียสติไปแล้ว

            ซึ่งในสมัยนั้น 2,000 ปีก่อน ยังไม่มีคำพยาน ที่เป็นตัวบุคคล คือยังไม่มีคริสเตียนเกิดขึ้น คริสเตียนเกิดขึ้นหลังจากที่พระเยซูประกาศ 3 ปีแล้วก็ทำงานสำเร็จเสร็จสิ้น เมื่อถูกตรึงที่ไม้กางเขน ไถ่บาปให้กับมวลมนุษย์ แล้วเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่ 3 ยังไม่มีคริสเตียนที่เป็นพยาน  เพราะฉะนั้น คำพยานจะยืนยันว่าพระองค์เป็นพระเจ้า ก็มีแค่พระองค์สำแดงด้วยตัวของพระองค์เอง  ด้วยคำพูดว่าพระองค์เป็นพระเจ้า  และประกอบไปด้วยที่เราเรียกว่าอัศจรรย์นั่นเอง อัศจรรย์ที่พระองค์ทรงกระทำ ตอนที่เดินอยู่บนโลกใบนี้ 3 ปี เพื่อยืนยันว่าพระองค์ทรงเป็นพระมาซีฮาห์ เป็นพระเจ้ามาเกิดเป็นมนุษย์จริงๆ

            ในหนังสือยอห์นเขียนว่าทำเยอะขนาดไหน? เยอะจนกระทั่งไม่มีกระดาษที่จะเขียนถึงสิ่งที่พระองค์ทรงกระทำอัศจรรย์เหล่านั้น ไม่เพียงพอเลย อัศจรรย์บางอย่าง ชุบคนตายให้เป็นขึ้นจากความตาย รู้ล่วงหน้าอะไรต่างๆ เหล่านั้นเยอะแยะมากมายไปหมด ตลอด 3 ปีเลย ทำการอัศจรรย์เหล่านั้น แต่ก็ไม่สามารถทำให้ชาวยิวเหล่านั้น ยอมรับสิ่งที่เป็นจริง ที่พระเยซูพูดได้ ยังคงไม่เชื่อพระองค์ ทั้งๆ ที่เห็นหมายสำคัญอัศจรรย์เหล่านั้นแล้ว แต่เราลองคิดดูนะว่ามาถึงทุกวันนี้ มันต่างกัน แป๊บเดียวผ่านมา 2,000 ปี จากวันที่พระเยซูพูดเมื่อตะกี้ ที่เราได้ดูข้อพระคัมภีร์และได้ฟังว่าพระองค์ประกาศว่าอย่างไร?  และมีคนต่อต้านอย่างไร?

            มาถึงวันนี้ 2,000 ปีแล้ว  ถ้าเผื่อพระเยซูเป็นเพียงมนุษย์ที่อุปโหลกตัวเองว่าเป็นพระเจ้า แล้วทำไมมีผู้คนมากมาย นับไม่ถ้วนตลอดระยะเวลา 2,000 ปีนี้ ที่เชื่อคำพูดของพระองค์ว่าทรงเป็นพระบุตรพระเจ้า  ทรงเป็นพระเจ้าพระบุตร มาเกิดเป็นมนุษย์  ทำไมยังเชื่ออยู่ 2,000 ปีมาแล้ว แล้วยังฉลองวันเกิดให้พระองค์ด้วยซ้ำไป อย่างพวกเรา เราก็ฉลองวันเกิด คือวันคริสตมาส และไม่ใช่ฉลองวันเกิดเท่านั้น ในระยะ 2,000 ปีมานี้ ยังฉลองการตาย และการทรงพระชนม์อยู่ของพระองค์ด้วย ก็คือเทศกาลอีสเตอร์ เท่านั้นยังไม่พอทุกวันอาทิตย์ทั่วโลก มีกลุ่มคนที่เชื่อในคำพูดของพระองค์ว่าพระองค์เป็นพระเจ้า ที่เรียกตัวเองว่าคริสเตียน เข้ามารวมตัวกันในโบสถ์ ในคริสตจักรต่างๆ ทั่วโลก เพื่อสรรเสริญ ขอบคุณพระเยซูคริสต์ที่ได้มาเกิดเป็นมนุษย์ ตายที่ไม้กางเขน เป็นขึ้นจากความตาย  ช่วยให้เขาทั้งหลาย ที่เชื่อในคำพูดของพระองค์ สามารถเข้าไปอยู่ในสวรรค์ได้ ตลอด 2,000 ปีเป็นมาอย่างนี้ตลอด แล้วยังมีคริสเตียนผู้เชื่อในพระเยซูคริสต์อีกมากมาย นับไม่ถ้วน บนโลกใบนี้ ตลอดระยะเวลา 2,000 ปีนี้ ที่ยอมถูกข่มเหงรังแก ถูกฆ่าตาย เพราะความเชื่อว่าพระเยซูเป็นพระเจ้า ตั้งแต่เริ่มต้นโน้น 2,000 ปี ทุกวันนี้ก็ยังมี ท่านลองคิดตามไปเรื่อยๆ

            มีคริสเตียนผู้เชื่อในพระเยซูคริสต์ อีกมากมาย ที่ประสบผลสำเร็จในหลายๆ ด้าน ในชีวิตบนโลกใบนี้ ที่เราได้ยินได้ฟัง ท่ามกลางเราก็มี อย่างเช่นนักปราชน์หลายคน นักวิทยาศาสตร์หลายคนที่มีชื่อเสียงดีๆ พอเป็นคริสเตียน ก็เชื่อว่าพระเยซูคริสต์ ที่พระองค์บอกว่าพระองค์เป็นพระเจ้านั้น เป็นจริง เมื่อ 2,000 ปีก่อน อ่านดูเมื่อตะกี้ พระคัมภีร์บันทึกว่ามีหลายคนที่บอกว่าพระองค์เป็นบ้า เสียสติอ้างตัวเอง และนี่ผ่านมา 2,000 ปีแล้ว แล้วท่านคิดว่าคริสเตียนที่เล่ามาเมื่อสักครู่นี้ทั้งหมด ผู้คนเหล่านี้ที่เชื่อในคำพูดของพระเยซูคริสต์ว่าพระองค์เป็นพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์ คริสเตียนเหล่านี้ถูกหลอกอย่างนั้นหรือ? หรือโง่เขลา หรือถูกจ้างมา ลองคิดถึงตัวเองก็ได้ ท่านลองคิดตามไปเรื่อยๆ โดยเฉพาะคนที่ยังไม่ได้พบกับสันติสุข หรือความสงบทางใจจริงๆ น่าคิดเรื่องนี้นะ

            วันนี้คริสตมาส เป็นวันที่ระลึกถึงความจริงนี่แหละ คือพระเยซูคริสต์ เป็นพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์จริงๆ ที่เขาฉลองกันทั่วโลก คือพระเจ้ามาเกิดเป็นมนุษย์ ชื่อพระเยซูคริสต์ คือ คริสตมาสนั่นเอง วันคริสตมาส คือวันที่เราระลึกถึงพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์ ชื่อพระเยซู จะได้ไม่ลืม

            ฉลองกันอยู่ทุกปีๆ บางทีลืมไปว่าเราฉลองอะไรคริสตมาส เป็นของขวัญ เลยลืมไป จะบอกว่าเป็นความรอดของพระเจ้า ก็ถูก แต่จะให้ฟันธงเป๊ะๆ สั้นๆ คือพระเยซูคริสต์ พระเจ้ามาเกิดเป็นมนุษย์ เรามาฉลอง ระลึกถึงวันนี้กัน ดังนั้น เขาจึงบอก Merry Christmas  คือขอให้ท่านพบกับสันติสุขและความสงบทางใจ จากการเสียสละของพระเยซูคริสต์ที่ได้ทรงไถ่บาปให้กับท่าน เพราะว่าพระเยซูคริสต์ คือพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์นั่นเอง ก็คือ Merry Christmas เพราะฉะนั้น วันนี้จึงให้หัวข้อเรื่อง ว่าความจริง คือพระเยซูคริสต์เป็นพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์ จำไว้

            ที่ผมเติมคำว่า “ท่านเชื่อหรือไม่?” มันเป็นการท้าทาย เราที่เป็นคริสเตียนแล้วด้วยว่าท่านเชื่อหรือไม่? ถ้าท่านเชื่อว่าพระเยซูคริสต์เป็นพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์  นั่นคือหัวใจของคริสเตียนเช่นเดียวกัน  เพราะเป็นหัวใจของข่าวประเสริฐ การที่เชื่อว่าพระเจ้ามาเกิดเป็นมนุษย์  และมาสถิตอยู่กับเราข้างใน มันเป็นอะไรที่ล้ำเลิศมากที่สุดแล้ว จึงอยากให้ถามตัวเอง  แล้วก็ถามคนข้างๆ ด้วยว่าท่านเชื่อไหม?  เจอเพื่อน ถามเพื่อนเลย  ไม่ต้องให้เขาตอบก็ได้ ไปคิดดูก็ได้ว่าคริสตมาส คือวันที่พระเจ้ามาเกิดเป็นมนุษย์ ชื่อพระเยซูคริสต์ คุณเชื่อไหม?

            เราลองถามเพื่อนเราสิว่า … “คริสตมาส คือวันที่พระเจ้ามาเกิดเป็นมนุษย์ ชื่อพระเยซูคริสต์ คุณเชื่อไหม?”

            หันไปถามคนข้างๆ ฝึกไว้ “พระเจ้ามาเกิดเป็นมนุษย์ ชื่อพระเยซูคริสต์ ท่านเชื่อไหม?”

            “คุณเชื่อไหม?”

            ทั้งๆ ที่รู้ว่าเขาเชื่อแล้ว ก็ถามได้  เพื่อให้เกิดความมั่นใจ เกิดการย้ำยืนยันในตัวของเขาว่าพระเยซูคริสต์เป็นพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์ ที่ช่วยให้ท่านรอดจริงๆ

            กาลาเทีย 4:4 คือที่มาของวันคริสตมาส ชัดเจนมาก ยกมาอ่านวันนี้ …

        กาลาเทีย 4:4 “แต่เมื่อถึงกำหนด พระเจ้าได้ทรงส่งพระบุตรของพระองค์ (พระเยซู) มาประสูติจากครรภ์ของผู้หญิง ถือกำเนิดภายใต้บทบัญญัติ”

            “แต่เมื่อถึงกำหนด” กำหนด หมายถึงแต่เมื่อถึงวันนัด ง่ายๆ นิดเดียว วันนัดหมาย ใครนัดหมายกับใคร? พระเจ้านัดหมายกับมวลมนุษยชาติ เพราะว่าสัญญากับมวลมนุษยชาติมาหลายพันปีแล้ว บอกว่า …

            “วันหนึ่ง เราจะส่งบุตรของเรามาเกิดเป็นมนุษย์ เพื่อช่วยเจ้า มวลมนุษยชาติเอ๋ย ผู้ตกลงไปในความบาป”

            วันหนึ่งคือวันไหน? ไม่รู้วันไหน? และเมื่อครบกำหนดวันนี้ ก็คือวันคริสตมาสแรกของโลก เมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว เมื่อถึงกำหนดวันนัดหมาย พระเจ้าได้ส่งพระบุตรของพระองค์ ก็คือพระเยซูคริสต์ ผู้ทรงเป็นพระเจ้า พระบุตร ประสูติจากครรภ์ของผู้หญิง ถือกำเนิดภายใต้บทบัญญัติ พระเจ้ามาเกิดเป็นมนุษย์ เหมือนกับเรานั่นเอง เหมือนกับเราตรงไหน? เพราะไม่มีใครในโลกนี้ ที่เกิดมาจากกระบอกไม้ไผ่  เกิดจากต้นไม้ ไม่มี ต่างก็เกิดมาจากครรภ์ของหญิง ถูกไหม?

            พระเยซูเป็นพระเจ้าจุติก็ได้ หรือจากวิญญาณของพระเจ้า เข้าไปอยู่ในครรภ์ของแมรี่ เพื่อเกิดเป็นมนุษย์เหมือนกับเรา  เพื่อเป็นตัวแทนของเรานั่นเอง  ตะกี้นี้บอกว่าถือกำเนิดภายใต้บทบัญญัติ  พระเจ้า ก็คือมาเกิดอยู่ในกฎบัญญัติ เหมือนกับมาอยู่ในที่จำกัด ความยิ่งใหญ่ของพระองค์ผู้ทรงเป็นพระเจ้า มีอิสรภาพทุกอย่าง ต้องมาอยู่ในที่จำกัด  คืออยู่ในร่างของมนุษย์นั่นเอง ซึ่งจำกัดจำเขี่ยมากเลย มาเกิดเป็นมนุษย์ จากครรภ์ของหญิง เพื่อเป็นตัวแทนของมนุษย์ เพราะว่ามนุษย์เท่านั้น ที่เกิดจากครรภ์ของหญิง พระองค์มาเกิดในหญิง ก็เพื่อที่จะเป็นเหมือนเรา ก็คือเป็นพี่น้องกับเรา เป็นมนุษย์คนหนึ่ง  แต่เป็นมนุษย์คนหนึ่งที่ไม่ได้เป็นคนบาป  แต่เป็นมนุษย์คนหนึ่งที่มาจากความบริสุทธิ์ของวิญญาณของพระเจ้า เข้ามาเกิดเป็นมนุษย์นั่นเอง กาลาเทีย 4:5 ต่อไป …

        กาลาเทีย 4:5 “เพื่อไถ่คนทั้งปวง ซึ่งอยู่ใต้บทบัญญัติ เพื่อเราจะได้รับสิทธิของบุตร  (เป็นลูกของพระเจ้าได้) อย่างสมบูรณ์”

            มาเกิดเป็นมนุษย์ เป็นตัวแทนของเรา เป็นพี่น้องร่วมกับมวลมนุษยชาติ เป็นมนุษย์คนหนึ่ง ที่แตกต่างจากมนุษย์ทั้งหมดบนโลกใบนี้ ที่มีมา และจะมีต่อไป จนกระทั่งสิ้นยุคของมนุษย์ทั้งหลาย เป็นมนุษย์คนหนึ่งที่แตกต่าง คือเป็นมนุษย์ที่เกิดมาจากพระเจ้า เกิดจากหญิงอย่างเดียว ไม่ได้เกิดจากชายเลย เพราะไม่มีการสมสู่จากพ่อและแม่ที่เป็นมนุษย์ แต่เกิดจากวิญญาณของพระเจ้า ที่เรียกว่าวิญญาณบริสุทธิ์ ที่เขาเรียกว่าแปลสภาพลงมาเป็นเซลล์แรกในครรภ์ของแมรี่นั่นเอง เพื่อจะเกิดมาเป็นมนุษย์ มีเนื้อหนัง เหมือนเรา เพื่อไถ่คนทั้งปวง คือไถ่มวลมนุษยชาติ ที่เป็นพี่น้องร่วมกับพระองค์ ซึ่งอยู่ใต้บทบัญญัติ เพื่อมนุษย์ทั้งปวง ที่อยู่ใต้บทบัญญัติ

            คำว่า “อยู่ใต้บทบัญญัตินั้น” ก็หมายถึงอยู่ใต้ความบาป  … ความบาป หมายถึงการพึ่งพาตนเอง ในการดำรงชีวิตอยู่ เพื่อที่จะทำดี เพื่อที่จะได้ไปสวรรค์ ซึ่งทำไม่ได้เลย เพราะถ้าไม่มีพระเจ้าอยู่ในชีวิตของคนๆ นั้น ก็จะไม่มีวันที่จะทำดีได้เลย เพราะกฎบัญญัติของพระเจ้า คือแม้ทำบาปเพียงครั้งเดียว ก็คือเป็นคนบาป ทำบาปครั้งเดียวก็ผิด ก็ถูกลงโทษอยู่แล้ว ไม่มีใครที่จะไม่ได้เป็นคนบาปเลย ทุกคนก็เป็นคนบาปหมด พระเยซูมา เพื่อไถ่คนนั้น มวลมนุษย์คนนั้น คนที่เป็นคนบาปคนนั้น ที่รู้ตัวเป็นคนบาป ให้พ้นจากบาปนั่นเอง เพื่อเราจะได้รับสิทธิของบุตร คือได้สิทธิในการเป็นลูกของพระเจ้า ได้อย่างสมบูรณ์ คือถ้าพ้นจากบาปแล้ว หลุดออกจากบาปแล้ว ก็กลายเป็นผู้บริสุทธิ์ ก็คือพระเจ้าสามารถเข้ามาสถิตอยู่กับเขา เขามาเป็นลูกของพระเจ้าได้นั่นเอง

            คำว่า “กฎบัญญัติ” ที่บอกว่าไถ่บาป คนเหล่านั้นที่อยู่ใต้บทบัญญัติ คือก่อนหน้านี้ ตั้งแต่วันแรกที่มนุษย์ตกลงไปในความบาป หลายพันปีก่อน จนมาถึงวันกำหนด ที่พระเจ้าเสด็จมาเกิดเป็นมนุษย์  เพื่อช่วยให้เขาหลุดพ้นจากบาป ก่อนหน้านี้ทั้งหมด จนมาถึงวันที่พระเยซูคริสต์มาเกิด แล้วจะตายบนไม้กางเขน เพื่อช่วยให้มนุษย์หลุดพ้นออกจากกฎของความบาปและความตาย ตรงนี้มนุษย์ตกเป็นทาส อยู่ใต้กฎบัญญัติ กฎบัญญัตินี้ก็คือกฎแห่งกรรม กฎแห่งการทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว  กฎแห่งศีลธรรมนั่นเอง ซึ่งก็คือข้อห้ามทำ และข้อให้ทำ ให้ทำอะไร? ให้ทำดี ไม่ให้ทำอะไร? ไม่ให้ทำชั่ว แล้วมนุษย์อยู่ใต้กฎเหล่านั้น เพราะว่ามนุษย์ต้องพึ่งพาตนเอง ในการกระทำ และมีมนุษย์หน้าไหนที่ไม่ทำชั่วเลย มีไหม? ไม่มีเลย เป็นการยืนยันว่ามนุษย์เป็นคนบาปจริงๆ ซึ่งพระเจ้าทราบดี แล้วก็ให้โมเสส เขียนกฎเหล่านี้ บางส่วนนะ ขึ้นมา 600 กว่าข้อ เพื่อผู้ที่ปฏิบัติตามได้ จะได้เป็นคนดี เป็นคนชอบธรรม ไม่ถูกลงโทษ

            ปรากฎว่าไม่มีใครทำได้ ไม่มีใครสามารถรักษากฎระเบียบเหล่านี้ได้ครบถ้วนบริบูรณ์เลย สักคนหนึ่ง ก็คือไม่เคยมีใครไม่ทำผิดเลยสักข้อเดียว มันเป็นไปไม่ได้เลย เพื่อยืนยันว่ามนุษย์เป็นคนบาป ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้จริงๆ ให้กฎระเบียบขึ้นมา โดยให้โมเสสเขียน เพราะมนุษย์ทุกคนมีธรรมชาติของบาปอยู่ในตัว อยู่ในใจ อยู่ในวิญญาณ ความสกปรก เป็นเชื้อของความบาป ซึ่งตกทอดมาจากบรรพบุรุษ คืออาดัม บาป ก็คือไม่บริสุทธิ์ ไม่ได้มีความดีงามอยู่ในใจ อยู่ในวิญญาณ ซึ่งเป็นศัตรูต่อ ต้านไม่สามารถเข้ากันได้กับพระเจ้า ซึ่งเป็นผู้บริสุทธิ์ เป็นผู้ดีงาม อยู่ตรงข้ามกัน และบทบัญญัติเหล่านี้ ก็คือกฎแห่งการกระทำ ถึงจะไม่ใช่ชาวยิว มนุษย์ทุกคนได้รับบทบัญญัติเหล่านั้นเขียนไว้ในใจ ไว้ในวิญญาณอยู่แล้วว่าอะไรมันชั่ว อะไรมันดี ถูกไหม? ไม่ใช่ชาวยิว ก็ต้องรู้ในใจมันฟ้องว่าไม่ดี ไปฆ่าคนตาย ไปขโมยของเขา ไปรังแกเขา ในใจมันรู้ว่าแลว ไม่ต้องมีใครมาเขียนหรอก แต่การที่พระเจ้าให้เขียนขึ้นมา ให้มันชัดเจนยิ่งขึ้นว่ามนุษย์เป็นคนบาปจริงๆ เขียนขึ้นมาในใจ เพื่อให้มนุษย์ได้รู้ว่ามนุษย์ทุกคนเป็นคนบาป ตัวเองนั้นเป็นคนบาป ไม่สามารถรักษาบทบัญญัติที่เขียนไว้ได้ครบถ้วนบริบูรณ์ไม่ว่าจะเขียนไว้ในบทบัญญัติ ในหนังสือ หรือเขียนไว้ในใจด้วยก็ตาม มันแย้ง มันฟ้องตลอดเวลาว่า …

            “เธอโกหก เธอทำบาปแล้ว”

            ถึงไม่ได้เขียนไว้ในหนังสือบทบัญญัติ แต่ในใจเขาบอกว่ามันไม่ดี มันไม่ถูกต้อง นี่แหละคือคำว่าบัญญัติที่เขียนไว้ในใจ ไม่มีใครสามารถทำได้ครบถ้วนบริบูรณ์ ตามนั้น พระคัมภีร์บอกว่ามนุษย์เป็นคนอ่อนแอ เป็นผู้ป่วยในวิญญาณ พระเยซูบอก ต้องได้รับการช่วยเหลือ ต้องรักษาให้หายจากอาการบาปนี้ วิญญาณสกปรกนี้ ต้องหาย ช่วยตัวเองไม่ได้หรอก เพราะว่ามันอ่อนแอเกินกว่าที่จะรักษาบทบัญญัติ ไม่มีใครสักคนหนึ่งเลยที่จะเชิดหน้าชูตามนุษยชาติ …

            “ฉันเป็นคนบริสุทธิ์ ไม่เคยทำบาปเลย”

            ไม่มีเลย มีอยู่ท่านเดียวเท่านั้นเอง คือพระเยซูคริสต์ ที่เป็นผู้ทำบทบัญญัติเหล่านี้ได้หมดเลย เพราะข้างในใจนั้น ในวิญญาณนั้น เป็นมาจากพระเจ้า ท่านเห็นไหม? แต่ข้างนอกเป็นมนุษย์ ก็คือเป็นมนุษย์ผู้เดียวที่บริสุทธิ์ สะอาด เพราะมนุษย์ทั้งปวง ที่เหลืออยู่ทั้งหมดนั้น ตกอยู่ใต้ความบาป ตั้งนานแล้ว ตั้งแต่บรรพบุรุษแล้ว แล้วพระเจ้าก็สัญญาไว้ตลอดเวลา หลายพันปี ตั้งแต่วันแรกเลย ตั้งแต่มนุษย์ตกลงไปในความบาปว่าพระองค์จะมาช่วยรักษาให้หายจากอาการบาป มาช่วยให้พ้นจากการเป็นทาสของบทบัญญัติ เป็นทาสของกฎแห่งกรรม เป็นทาสของการพึ่งพาตนเอง ซึ่งทำไม่ได้ เป็นทาสของความอ่อนแอนั้น พระองค์สัญญาว่าจะมาช่วย โดยประทานพระบุตรของพระองค์ ก็คือพระเยซูคริสต์มาเกิดเป็นมนุษย์ เป็นตัวแทนให้กับมวลมนุษย์ ช่วยมวลมนุษย์ให้หลุดพ้น ออกจากการเป็นทาส นี่หมายถึงตรงนั้น ที่บอกว่ามาช่วยให้เราพ้น จากการเป็นทาส ตกอยู่ใต้กฎบัญญัตินี้ มันแปลว่าอย่างนั้น

            และเมื่อถึงกำหนดเวลา  ก็คือเมื่อถึงวันคริสตมาส เมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว พระเจ้าก็ส่งพระบุตร คือพระเยซูคริสต์มาเกิดในหญิงพรหมจารี เพื่อรับบาปแทนมนุษยชาติ  เพื่อเป็นตัวแทนของมวลมนุษยชาติ มารับโทษแทนมนุษย์ทั้งปวงเลย เอาบาปออกไปจากมนุษย์ทั้งปวง คือลบล้างบาปออกไปจากมวลมนุษยชาติจนหมดสิ้น ตั้งแต่วันนั้นมามนุษย์จึงสามารถบังเกิดใหม่ได้ เมื่อบาปไม่มีแล้วก็สามารถบังเกิดใหม่ได้ ทั้งวิญญาณและจิตใจใหม่ ก็กลายเป็นคนดี คนชอบธรรม กลายเป็นนะ กลายเป็นคนดี  เป็นคนชอบธรรม ไม่ต้องถูกลงโทษ ไม่ใช่ด้วยการกระทำดีของตนเองแล้ว แต่โดยการพึ่งพาในการกระทำดีของตัวแทนของเรา คือพระเยซูคริสต์ คือพระองค์ทรงกระทำแทนเรา เราไม่ต้องทำเองเลย พึ่งพาในการกระทำของพระองค์เท่านั้น ไม่ต้องพึ่งพากฎระเบียบทางศีลธรรม ตามกฎแห่งกรรม ซึ่งจะทำได้ครบถ้วนบริบูรณ์ ทำไม่ได้อยู่แล้ว เดี๋ยวก็ทำผิดๆ แต่ในการพึ่งในพระเยซูคริสต์ ผู้ได้ทรงเอาบาปเราออกไป ตรงนี้มากกว่า เพราะมันเป็นเป้าหมายเดียวของพระเจ้า ที่ต้องการ ก็คือให้มนุษย์นั้น บริสุทธิ์ สะอาด ดีพร้อม เพื่อจะมาอยู่กับพระองค์ได้ และตอนนี้ พระเยซูคริสต์เป็นตัวแทน ทำให้ได้เรียบร้อยแล้ว มนุษย์จึงไม่จำเป็นต้องทำด้วยตนเองอีกต่อไป ไม่ต้องพยายามทำให้ตัวเองได้ดี ได้สะอาด บริสุทธิ์  เพื่อจะได้เข้าไปอยู่ในสวรรค์กับพระเจ้า ซึ่งทำไม่ได้อยู่แล้ว ก็ไม่ต้องทำ มาพึ่งในพระเยซูคริสต์แทน เพื่อจะได้สามารถเข้ากับพระเจ้าได้ เป็นลูกของพระเจ้า มีชีวิตนิรันดร์เหมือนพระเจ้า ไม่ได้เป็นศัตรูกับพระเจ้าอีกต่อไป ซึ่งเราเรียกตรงนี้ว่า “การบังเกิดใหม่”

            การบังเกิดใหม่ ก็คือตัวเก่าของเรา ที่ติดอยู่ใต้กฎของความบาปและความตาย ใต้กฎบัญญัติต่างๆ เหล่านั่น เป็นศัตรูกับพระเจ้า ได้ตายไปแล้ว และได้บังเกิดใหม่ในพระเยซูคริสต์ ซึ่งเป็นตัวแทนของเรานั้นเอง กาลาเทีย 4:6 ต่อมา จึงได้บันทึกอย่างนี้ ผลของพระเจ้ามาเกิดเป็นมนุษย์ คือพระเยซูคริสต์ นี่คือผล …

        กาลาเทีย 4:6 “และเพราะท่านเป็นบุตรของพระเจ้าแล้ว พระองค์จึงทรงใช้พระวิญญาณแห่งพระบุตรของพระองค์ เข้ามาในใจของเราร้องว่า “อับบา” คือพระบิดา เหตุฉะนั้น โดยพระเจ้า ท่านจึงไม่ใช่ทาสอีกต่อไป แต่เป็นบุตร และถ้าเป็นบุตรแล้ว ท่านก็เป็นทายาทด้วย”

            เพราะฉะนั้น นี่คือเป้าหมายของพระเจ้าที่ต้องการ ทำไมถึงต้องส่งพระเยซูคริสต์มาเกิดเป็นมนุษย์ ก็คือต้องการให้มนุษย์ทั้งหลายได้สามารถบังเกิดใหม่ เป็นบุตรของพระเจ้าได้ แล้วพระองค์จึงทรงใช้พระวิญญาณ แห่งพระบุตรของพระองค์เข้ามาในใจของเรา  คือบังเกิดใหม่ เป็นบุตรของพระเจ้าแล้ว พระวิญญาณของพระคริสต์ คือพระวิญญาณของพระเจ้า ก็เข้ามาสถิตอยู่กับเราภายใน พระเยซูคริสต์บอกว่าเมื่อเราเชื่อวางใจในพระองค์แล้ว ร่างกายเราจะเป็นวิหารของพระองค์ คือพระองค์จะมาสถิตอยู่กับเรา ในใจ และพระวิญญาณมาอยู่ในใจเรา จะเป็นพยานยืนยันบอกว่าเราเป็นลูกของพระเจ้าแล้ว เราไม่ได้เป็นทาสของกฎของความบาปและความตายแล้ว เราได้เกิดใหม่แล้ว เกิดใหม่โดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า ผ่านทางพระเยซูคริสต์ที่เราเชื่อ ทำให้เราเกิดใหม่ เป็นลูกและมาสถิตอยู่กับเราด้วย  เพื่อยืนยันว่าเราเป็นลูกจริงๆ บริสุทธิ์ดีพร้อม เหมือนกับพ่อเลย และแถมไม่ได้เป็นลูกอย่างเดียว แต่เป็นทายาทด้วย เป็นลูกของพระเจ้าเลยทันที ในการดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ พอเชื่อพระเยซูปั๊บ ก็ได้กลายเป็นลูกของพระเจ้า และมีมรดกเตรียมไว้ให้กับเรา เมื่อจากโลกนี้ไปด้วย มรดกนั้นก็คือร่างกายสวรรค์ ร่างกายใหม่ที่เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์ที่เต็มด้วยสง่าราศีของพระเจ้า ที่เราจะสวม เมื่อออกจากร่างเดิมนี้แล้ว ขณะที่ไปอยู่ในสวรรค์หลังความตายแล้ว เรายังได้ครอบครองอาณาจักรสวรรค์ และโลกใหม่ สรรพสิ่งใหม่ๆ ที่พระองค์ทรงสร้างไว้ทั้งสิ้น ร่วมกับพระเยซูคริสต์อีกต่างหาก

            สิ่งเหล่านี้ คือผลของคริสตมาส และที่ถามว่าเชื่อหรือไม่นั้น ท่านไม่มีวันที่จะเชื่อได้เลย คำตอบ ก็คือท่านเชื่อหรือไม่? ต้องตอบทุกคนเลยว่าไม่มีทางเชื่อเลย เป็นไปไม่ได้เลย ความเชื่อจะบังเกิดขึ้น ก็ต่อเมื่อท่านบังเกิดใหม่แล้วเท่านั้นแหละ ท่านจึงจะเชื่อ

            อีกทีหนึ่ง ที่ตะกี้นี้ถามตั้งแต่ตอนแรกว่าท่านเชื่อหรือไม่? ถ้ามีคนมาตอบว่า “เชื่อ” แสดงว่าคนนั้นได้บังเกิดใหม่แล้ว เขาจึงจะรู้จากภายในจิตใจเขา เขาไม่ได้เชื่อ เพราะว่าความคิดของเขา เขาไม่ได้เชื่อ เพราะว่าเหตุผลของเขา เขาไม่ได้เชื่อ เพราะผู้คนรอบข้าง แต่เขาเชื่อ เพราะเขาบังเกิดใหม่ในวิญญาณแล้วต่างหาก

            เพราะฉะนั้น เราจึงเข้าใจว่าทำไมฟาริสี ชาวยิวจึงบอกว่าพระองค์เป็นคนบ้า และมองไม่เห็นเลย แม้กระทั่งพระองค์ทำการอัศจรรย์ยิ่งใหญ่ เยอะแยะมากมายตลอด 3 ปี เห็นกับตา เขาก็ไม่เชื่อ แม้กระทั่งสาวกของพระองค์เอง  ก็ไม่ได้เชื่อ แค่เริ่มสนใจ  เริ่มวางใจในพระองค์เท่านั้น จนกระทั่งเขาได้บังเกิดใหม่จริงๆ พระวิญญาณบริสุทธิ์ได้เข้าไปสถิตอยู่กับเขาจริงๆ เขาจึงได้เกิดใหม่ เขาจึงเริ่มต้นเชื่อว่าพระเยซูเป็นพระเจ้าจริงๆ เราทั้งหลาย ก็เหมือนกันแหละ ผมจึงถามท่านไงว่าท่านลองถามตัวเองสิว่าท่านเชื่อไหมว่าพระเจ้า พระเยซูคริสต์มาบังเกิดเป็นมนุษย์ หรือพระเยซูคริสต์เป็นพระเจ้ามาเกิดเป็นมนุษย์ ถ้าท่านเชื่อจริงๆ ท่านก็เป็นคริสเตียนของแท้จริงๆ แต่ถ้าท่านยังไม่เข้าใจตรงนี้ หรือว่าไม่เชื่อตรงนี้ ผมก็ไม่รู้นะ พูดตามพระคัมภีร์เท่านั้น

            ในช่วงที่พระเยซูเดินอยู่บนโลกใบนี้ มีคนฟังพระเยซูและถามพระเยซูว่า … “ข้าพเจ้าจะต้องทำอะไรถึงจะเข้าสู่สวรรค์ได้”

            ก็เหมือนกับมนุษย์ทั้งหลายทั้งปวงนั่นแหละ  อยากจะไปสวรรค์ก็อยากจะรู้ว่าเข้าไปได้อย่างไร? เห็นพระเยซูทำการอัศจรรย์ยิ่งใหญ่ ก็เลยเริ่มต้นสนใจเหมือนกัน ก็ถามคำถามเดียวกันกับมนุษย์ทั้งปวงนั่นแหละ ปัจจุบันก็ยังถามอย่างนี้  ถ้าคนยังไม่รู้จักพระเยซูคริสต์จริงๆ ก็จะถามเหมือนกันว่าแล้วจะไปสวรรค์ต้องทำอย่างไร? ต้องรักษาบทบัญญัติ รักษากฎหมายศีลธรรม รักษากฎแห่งกรรมอย่างไร? ต้องทำดีมากเท่าไรถึงจะได้ไปสวรรค์? ทำบุญมากเท่าไรถึงจะได้ไปสวรรค์? ถูกไหม? เหมือนกัน คนเหล่านั้น ก็ถามพระเยซูตอนพระเยซูเดินอยู่บนโลกใบนี้  3 ปี

            พระเยซูตอบว่า … “ไม่ต้องทำอะไรเลย”

            คนถามคิดว่า … “ต้องรักษากฎสักกี่ข้อ? 30 ข้อ 60 ข้อ 80 ข้อ 100 ข้อ 600 ข้อ”

            พระเยซูบอก … “ไม่ต้องทำอะไรเลย  ไม่ต้องรักษากฎ แต่จงวางใจในเรา และรับการบังเกิดใหม่”

            บอกว่า “จงวางใจในเรา แล้วเกิดใหม่” ไม่ได้บอกว่า “จงเชื่อในเรา” นะ

            คำที่พระองค์พูด แปลความหมายมา ไม่ได้ใช้คำว่าเชื่อหรอก คำว่า “วางใจ” วางใจ คืออะไร? คือเริ่มต้นฟัง และสนใจ ใฝ่หา ในความจริงที่พระเยซูพูดต่างหาก  ไม่ใช่ให้เชื่อ เชื่อไม่ไหวหรอก ใครจะไปเชื่อไหว  พระเจ้ามาเกิดเป็นมนุษย์ งงเลย เป็นไปไม่ได้ ไม่มีใครสามารถเชื่อได้หรอก แต่พระเยซูกำลังบอกให้วางใจในสิ่งที่พระองค์พูด ไม่ใช่ให้เชื่อ ให้วางใจ ก็คือให้สนใจ อย่าทิ้งนะๆ และให้ติดตามไปเรื่อยๆ เดี๋ยวจะเจอเอง ใครเป็นคนทำให้เจอ พระเจ้าจะทำให้เจอเอง ถ้าท่านไม่ลดละความพยายามตรงนั้น

            และสิ่งที่พระองค์ทรงบอกว่าวางใจในพระองค์ และคนนั้นจะได้บังเกิดใหม่ ตอนที่เดินอยู่บนโลกใบนี้ พระองค์พูดล่วงหน้าไว้ มันยังไม่สำเร็จตอนนั้น พระองค์ยังไม่ได้ทำงานจนสำเร็จ คือยังไม่ได้ไถ่บาปให้กับมวลมนุษย์ ไม่ได้สิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน และยังไม่ได้เป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่ 3 ซึ่งเป็นขบวนการการบังเกิดใหม่ ให้มนุษย์ทั้งมวลเลย คือพระองค์บังเกิดใหม่ มนุษย์ทั้งปวง ก็มีพระองค์เป็นตัวแทน  ก็จะได้บังเกิดใหม่ร่วมกับพระองค์ไปด้วย

            ซึ่งทั้งหมดนี้  พระเยซูได้ทำสำเร็จแล้ว สำเร็จหมดเลย คือพระองค์ได้ทรงตายที่ไม้กางเขน และเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่ 3 เป็นตัวแทนของมนุษยชาติ ที่ตายที่ไม้กางเขน และเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่ 3 เรียกว่าบังเกิดใหม่

            นี่คือขบวนการการบังเกิดใหม่ ที่พระเยซูบอกวางใจในเรา แล้วจะได้บังเกิดใหม่ เมื่อพระองค์ทำสำเร็จแล้วที่ไม้กางเขน คือการเป็นขึ้นมาจากความตายในวันที่ 3 ทำให้มวลมนุษยชาติได้สามารถบังเกิดใหม่พร้อมกับพระองค์ เป็นขึ้นมาใหม่พร้อมกับพระองค์ได้ด้วย คือการยอมรับ ชูมือขึ้นมา แล้วก็ยอมรับว่า …

            “ใช่แล้ว พระเยซูคริสต์เป็นพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์  เป็นตัวแทนของมวลมนุษยชาติ ซึ่งเป็นตัวแทนของฉันด้วยเช่นเดียวกัน ฉันรับพระเยซูคริสต์เป็นตัวแทนด้วย”

            ตรงนี้หมายถึงอย่างนั้น เมื่อรับพระเยซูคริสต์เป็นตัวแทน ก็คือรับสิทธิที่พระเยซูเป็นตัวแทนทำให้ทั้งหมด พระเยซูคริสต์เป็นตัวแทนของเราชนะ เราก็ชนะด้วย เหมือนประเทศที่มีตัวแทนไปรบ แทนเรา ถ้าเขาชนะ เราก็ชนะด้วย ถ้าคนไทยไปรบกับประเทศอะไรก็ตาม แล้วคนไทยชนะสงคราม เราคนไทยไม่ได้ไปรบด้วย อยู่ในบ้านเมือง เราก็ได้เป็นคนชนะด้วย ลักษณะเดียวกัน

            เพราะฉะนั้น การเปิดใจต้อนรับพระเยซูว่าเป็นพระผู้ช่วยให้รอดของเราแต่ละคนต่างหาก การเปิดใจนี้ ไม่ได้หมายถึงให้ท่านเชื่อว่าพระเยซูเป็นพระเจ้า มาเป็นตัวแทนของท่าน มาเกิดเป็นมนุษย์  เพราะท่านไม่มีทางเชื่อได้หรอก แต่ให้ท่านเริ่มต้น เปิดใจ สนใจ วางใจในสิ่งที่พระองค์พูดต่างหาก สนใจ เปิดใจว่าไม่ใช่คนบ้า ไม่ใช่เสียสติ แล้วยังไง ก็ไม่เข้าใจสิ ให้ท่านสนใจ วางใจว่า …

            –  สิ่งที่พูดนั้น อาจจะเป็นจริงก็ได้

            –  หรือว่าเป็นจริง จริงๆ

            –  น่าจะใช่มั้ง

            ยอมรับเลยว่าเราไม่มีทางเชื่อได้ ถ้าไม่ได้บังเกิดใหม่ เพราะฉะนั้น แค่วางใจ สนใจ เปิดใจเรื่องเกี่ยวกับพระเยซูคริสต์ ต้อนรับความจริงนี้เท่าที่ทำได้ ทั้งๆ ที่ไม่เข้าใจ คิดไม่ถึง ยังไงก็คิดไม่ถึง ยังไงก็ไม่เข้าใจว่าพระเจ้ามาเกิดเป็นมนุษย์ได้ไง จุติลงมาอยู่ในครรภ์แมรี่ได้อย่างไร? เชื่อได้ไหม? ไม่มีทางเชื่อได้หรอก ไม่ต้องเชื่อ สนใจเท่านั้นเอง เพราะมันเป็นหนทางเดียว ที่จะเข้าสวรรค์ได้  โดยผ่านทางพระเยซูคริสต์ คือได้บังเกิดใหม่เท่านั้น  เพราะฉะนั้น ไม่มีทางที่เข้าใจ เมื่อไม่เข้าใจ เพียงแต่สนใจ วางใจ แล้วใช้จิตวิญญาณ ทุกคนในที่นี้ ที่มาเป็นคริสเตียนแล้ว ก็ใช้วิธีนี้ คือใช้จิตวิญญาณ ในการแสวงหา ในการวางใจพระเยซูคริสต์ก่อนเท่านั้น ก่อนที่จะบังเกิดใหม่ แล้วค่อยมาเชื่อทีหลัง

            มนุษย์ใช้จิตวิญญาณง่ายนิดเดียว คือเหมือนกับพวกเราที่เคยทำมาแล้ว ก็คืออธิษฐาน คำว่า “อธิษฐาน” มันยอดเยี่ยมมากเลย

            อธิษฐาน คือการใช้จิตวิญญาณแล้ว เกินความคิดแล้ว คุ้นเคยหมด ทุกคน จะอธิษฐานด้วยคำพูด เขาเรียกว่าอธิษฐาน จะคิด ก็อธิษฐาน จะเขียนเอา ก็อธิษฐาน อธิษฐานคืออะไร? ที่เราคุ้นๆ กัน อธิษฐานจิตๆ ก็คือจะใช้จิตวิญญาณในการอธิษฐาน ไม่เข้าใจ จึงต้องใช้คำอธิษฐาน ถ้าเข้าใจ ก็ไม่ต้องอธิษฐานหรอก 5+5 =10 ต้องอธิษฐานหรือ? ไม่ต้อง เข้าใจอยู่แล้ว เพราะฉะนั้น ใช้คำอธิษฐาน คิดเลย พูดเลย พูดกับใคร? ก็พูดกับเจ้าของคำพูดนี้ว่าเขาบอกว่าเขาเป็นพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์ มาช่วยเราให้รอด ช่วยเหลือเราได้ทุกอย่าง จะมาสถิตอยู่กับเรา ไม่เข้าใจ แต่สนใจครับ ไม่เข้าใจ แต่วางใจครับ ไม่เข้าใจ แต่เริ่มน่าสนใจ ถูกไหม? คือได้เริ่มต้นอะไรบางอย่างด้วยการอธิษฐาน ผมเองก็เริ่มต้นด้วยวิธีนี้แหละ  ผมเองก็อธิษฐาน พระเยซูเป็นใคร? เขามาประกาศให้ว่าดีอย่างนั้นดีอย่างนี้ เราก็ไม่รู้เป็นอะไร? บอกพระเยซูเป็นพระเจ้ามาช่วย ให้รอดได้ ช่วยได้ทุกเรื่อง เราไม่รู้จัก แต่เราเริ่มสนใจ เราก็อยู่ในห้องอธิษฐาน พระเยซูเป็นใคร?  อยากรู้จักจริงๆ พูดไปทุกคืน ทุกวัน นึกขึ้นได้ ก็คิด เป็นใคร? จนกระทั่งไปอ่านพระคัมภีร์ แล้วในที่สุด ก็พบจริงๆ พบกับความจริงจริงๆ

            เพราะฉะนั้น พระเยซูเป็นพระเจ้า ที่ให้เราแสวงหา เคาะ ขอ แล้วประตูก็จะเปิดให้กับเรา ต้องใช้จิตวิญญาณอย่างเดียวเท่านั้น แล้วไม่จำเป็นต้องไปที่โบสถ์ หรือคริสตจักร เพราะว่าพระองค์ทรงเป็นพระเจ้า อยู่ทุกหนทุกแห่ง ไม่จำเป็นว่ามาคริสตจักร จึงจะได้มาเชื่อพระเยซู มาเรียนรู้ ท่านสามารถอยู่ที่ไหนก็ได้ ตอนที่ผมพบ ก็อยู่ที่บ้าน แล้วพบแล้ว จึงไปหาคริสตจักร ก็คือตามพระวิญญาณนำ ไปแล้วตอนนั้น

            แน่นอน ไม่ได้หมายถึงคริสตจักรไม่ได้สำคัญ คริสตจักรเป็นที่รวมตัวกันของผู้ที่บังเกิดใหม่แล้ว ผู้ที่เชื่อแล้ว กับผู้ที่ยังไม่เชื่อ อยากจะแสวงหา ก็มาฟังต่อเนื่อง แต่อาจจะยังไม่เข้าใจ อาจจะยังไม่เชื่อ ไม่เป็นไร? ฟังไปเรื่อยๆ เพราะว่าพระองค์ทรงอยู่ในทุกสถานที่ คอยเคาะประตูหัวใจของท่าน พร้อมที่จะเข้าไปช่วยเหลือท่าน ให้ท่านสามารถเข้าใจได้ โดยการบังเกิดใหม่ ให้ท่านสามารถได้เข้าสวรรค์ได้ โดยที่ตัวท่านเองรู้ว่าท่านอยู่ในสวรรค์แล้ว เพราะความเชื่อมันเกิดขึ้น เพราะท่านได้บังเกิดใหม่จริงๆ ในวิญญาณ ตามที่พระองค์ได้ทรงบอกไว้ว่าไม่ต้องทำอะไรเลย วางใจในเราว่าเรา คือผู้นั้น คือพระเจ้ามาเกิดเป็นมนุษย์ เพราะพระองค์ได้ทรงกระทำสิ่งเดียว คือนำสวรรค์มาตั้งอยู่บนโลกใบนี้แล้ว และประตูสวรรค์ได้ถูกเปิดออกแล้ว โดยที่พระองค์ทรงตายที่ไม้กางเขน และเป็นขึ้นจากความตาย นั่นแหละ เป็นวันที่สวรรค์ลงมาตั้งอยู่ เป็นวันที่ประตูสวรรค์เปิดรับมนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้แล้ว เพราะว่ามันถึงเวลาที่พระเจ้ากำหนดแล้ว ถึงเวลากำหนดที่มนุษย์จะแสวงหาพระเจ้า ตามที่พระเยซูประกาศไว้ เมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว ก่อนที่จะทำงานสำเร็จนั้น พระองค์ประกาศว่าถึงกำหนดแล้ว ที่มนุษย์จะแสวงหาพระเจ้าด้วยจิตวิญญาณและความจริง ก็คือด้วยจิตวิญญาณ และความจริงที่พระองค์ทรงพูดนั่นแหละ

            แต่ก่อนนี้จะแสวงหาพระเจ้า ให้พระองค์ช่วย ต้องไปที่วิหาร ในเยรูซาเล็ม พระเจ้าอยู่ที่นั่น ตั้งแต่พระเยซูคริสต์ทำสำเร็จแล้ว พระองค์ทรงอยู่ทุกหนทุกแห่ง เพราะว่าสวรรค์ลงมาตั้งอยู่แล้ว ก่อนหน้านี้ สวรรค์ยังไม่ได้ลงมาตั้งอยู่ สวรรค์อยู่ที่กรุงเยรูซาเล็มที่วิหารในเต็นท์ชั้นใน เข้าไปยากมากเลย ลำบาก ต้องพึ่งพาการกระทำของตนเอง ดังนั้น ถึงเวลาแล้ว ที่มนุษย์ทั้งปวง แสวงหาพระเจ้า ด้วยจิตวิญญาณและความจริงเท่านั้น ถึงจะพบได้ และวิธีการ ก็คืออย่างที่ผมบอกไป ไม่ใช่ด้วยเหตุผลของมนุษย์ ไม่ใช่ด้วยตรรกะ ความคิดที่ตะกี้ผมพูดเกริ่นมาตอนแรกว่าอัศจรรย์ มีคริสเตียนเยอะแยะ ต่อให้มีคริสเตียนเยอะแยะมากมายบนโลกใบนี้ ที่ผมพูดไป มีคริสเตียนที่มีชื่อเสียงมากมาย มีคริสเตียนที่ประสบผลสำเร็จมากมาย มีคริสเตียน ที่ได้รับการช่วยเหลือจากพระเจ้ามากมายในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ มันไม่ได้ช่วยให้ท่านเชื่อหรอก มันเป็นไปไม่ได้เลย ถ้าท่านคอยคิดแต่ตรงนั้น คำพยานตรงนี้ สิ่งเหล่านั้นทั้งหมด เป็นเพียงแค่บอกท่านว่าท่านน่าจะยังไม่ทิ้งเรื่องนี้ ไม่มีวันที่ท่านจะเริ่มต้นเชื่อได้เลย ถ้าท่านไม่เริ่มต้นสนใจ วางใจ และเข้ามาชิมดูก่อน โดยการอธิษฐาน พูดคุยกับพระองค์เลย อะไรที่ไม่เข้าใจ พูดเลย พูดกับพระเยซู นี่แหละ คือการเริ่มสนใจ ที่ได้ยินมาจริงไหม? แล้วก็พูดไป

            อย่างที่บอกไม่ต้องไปโบสถ์ก็ได้ ไปที่ไหนก็ได้ อยู่ที่ไหนก็พูดได้ทันที นึกขึ้นมาได้ที่ไหน ก็พูดออกมาเลย พูดเหมือนที่เราเคยพูดอยู่ในวัด ในโบสถ์ ในวิหาร ที่เราแสวงหาสิ่งศักดิ์สิทธิ์นั่นแหละ พูดเหมือนกันแหละ แต่เที่ยวนี้พูดกับพระเยซูคริสต์ พระเจ้าผู้เที่ยงแท้แต่เพียงพระองค์เดียวเท่านั้น ก็คือสนใจ วางใจ เริ่มต้นแสวงหา แม้จะไม่เข้าใจ เริ่มต้นชิมดู แล้วท่านจะรู้ว่าพระเยซูเป็นพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์จริงๆ เป็นของขวัญคริสตมาส ที่พระบิดาผู้สถิตอยู่ในสวรรคสถานมอบให้กับมวลมนุษย์จริงๆ รวมทั้งท่านด้วย เอเมน พระเจ้าอวยพรครับ

********************

จากใจคณะศิษยาภิบาล

            มนุษย์ไม่สามารถทำได้ครบถ้วนสมบูรณ์  ดีพร้อม  ตามบัญญัติทั้งสิ้นของพระเจ้า  โดยไม่ละเมิดเลย  แม้แต่จุดเดียว

            โคโลสี 2:13-14 … “13 และท่านทั้งหลาย (คนต่างชาติที่ไม่ใช่ยิว) ซึ่งก่อนเชื่อนั้น  ได้ตายอยู่แล้วทางวิญญาณ  เพราะวิญญาณเป็นบาป  อยู่ในบาป  จึงทำบาป  คือการละเมิดกฎทั้งหลายของพระเจ้า (ที่ได้จารึกอยู่ในใจของท่านแล้ว) และในการไม่ได้เข้าสุหนัตในเนื้อหนังของพวกท่าน  ตอนนี้ท่านรับเชื่อในข่าวดีแล้ว  พระเจ้าได้ทรงทำให้พวกท่านมีชีวิตบังเกิดใหม่ในพระคริสต์  เช่นเดียวกันกับเรา (ชาวยิว)  และได้ทรงให้อภัยในการละเมิดกฎทั้งหลายของพวกเรา (ทั้งยิวและต่างชาติ) 14 พระองค์ทรงยกเลิก  กฎแห่งการกระทำ  ตามธรรมบัญญัติที่บันทึกไว้  ในหนังสือธรรมบัญญัติ  (หนังสือธรรมบัญญัติ  ที่พระเจ้าได้ประทาน  ให้กับชาวยิว  ผ่านทางโมเสส  และสำหรับคนที่ไม่ใช่ยิว  หนังสือธรรมบัญญัติ  บันทึกไว้ในใจของมนุษย์ทุกคน)   ซึ่งมีระบุไว้ว่าเราต้องทำตามทุกจุด  ทุกขีด  ทุกข้อในหนังสือบทบัญญัติ  อย่างสมบูรณ์ครบถ้วน  ไม่มีการละเมิดเลยแม้จุดๆ เดียว  กฎแห่งการกระทำนี้  จึงเป็นศัตรูต่อต้านชีวิตเรา  คอยกล่าวโทษเราว่าเราทำผิดกฎ  ละเมิดกฎ  คือทำบาป  ต้องได้รับโทษ  คือความพินาศในวิญญาณ  (เพราะมนุษย์เรา  ไม่สามารถทำได้ครบถ้วนสมบูรณ์  บริบูรณ์ดีพร้อม  ตามบัญญัตินั้นได้  โดยไม่ละเมิดเลย  แม้แต่จุดเดียว)  พระองค์ได้ทรงเอาหนังสือธรรมบัญญัตินี้  ตรึงไว้แล้วบนไม้กางเขน  (เพื่อว่าการสิ้นพระชนม์ของพระเยซูคริสต์บนไม้กางเขน  จะได้เป็นตัวแทนของเรา  มวลมนุษย์  ในการตายจากชีวิตเดิม  ร่วมกับพระองค์  จากชีวิตเดิม  ซึ่งเป็นหนี้บาป  ต้องชดใช้เวรกรรม อยู่ภายใต้กฎแห่งกรรม  กฎแห่งการกระทำ  ตามบทธรรมบัญญัตินี้)”

            พระเจ้าอวยพรครับ