วารสาร Holy  News   ฉบับที่ 1386 

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  16  ตุลาคม  2022

เรื่อง “หนังสือเอเฟซัส” ตอน 17

โดย วราพร  คงล้วน

            วันนี้เรามาต่อในหนังสือเอเฟซัส บทที่ 3 ข้อที่ 4 บอกไว้อย่างนี้ว่า …

        เอเฟซัส 3:4-6 “4 เมื่อท่านอ่านแล้ว จะสามารถเข้าใจถึงความรู้แจ้งของข้าพเจ้า ในข้อลี้ลับของพระคริสต์ 5 ซึ่งในยุคก่อนๆ ไม่ได้ทรงเปิดเผยแก่มนุษย์ เหมือนที่บัดนี้ ทรงสำแดงโดยพระวิญญาณแก่เหล่าอัครทูต และผู้เผยพระวจนะผู้บริสุทธิ์ของพระเจ้า 6 ข้อลี้ลับนี้ คือโดยทางข่าวประเสริฐนั้น คนต่างชาติก็เป็นทายาทร่วมกับชนอิสราเอล เป็นอวัยวะร่วมในกายเดียวกัน และเป็นผู้มีส่วนร่วมในพระสัญญาในพระเยซูคริสต์”

            ในหนังสือเอเฟซัส ตั้งแต่เริ่มบทที่ 1 อาจารย์เปาโลได้พูดถึงความลี้ลับที่พระเจ้าได้ทรงมีแผนการไว้ตั้งแต่วันแรกที่มนุษย์ล้มลงในความบาป พระเจ้าก็วางแผนไว้เรียบร้อยแล้วว่าพระองค์จะประทานพระบุตรของพระองค์มาเป็นพระมาซีฮาห์ มาเป็นพระผู้ช่วยให้รอด ที่จะช่วยมนุษยชาติทั้งหมดบนโลกใบนี้ ให้สามารถคืนดีกับพระเจ้าได้  ดังนั้น แผนการตรงนี้ตั้งแต่เริ่มต้น พระเจ้าก็ทรงเลือกชนชาติหนึ่งขึ้นมา คือชนชาติอิสราเอล ที่เรารู้จักกัน ที่เรียกว่าชนชาติยิว เป็นแบบอย่างของความรอด  โดยผ่านทางความเชื่อ ให้กับมนุษยชาติก่อน ก็คือเลือกพวกยิวก่อน เพราะเหตุที่พระองค์ทรงเลือกพวกยิวก่อน พวกยิวก็เลยมีความรู้สึกภาคภูมิใจ  เหมือนเป็นอภิสิทธิ์ชน พระเจ้าเลือกสรรเขา

            ฉะนั้น เขาก็จะมองคนต่างชาติ ซึ่งไม่ใช่ยิว เป็นเหมือนคนละระดับ หรือในความคิดของคนยิว เขาถือว่าคนต่างชาติ เหมือนสุนัขตัวหนึ่ง ซึ่งใช้ไม่ได้เลย เป็นคนบาปที่พระเจ้าไม่เลือกเขา อะไรอย่างนี้ แต่ว่าสิ่งที่พระเจ้าได้เปิดเผย ให้เราเห็นชัดเจน ก็คือพระเจ้าวางแผนไว้ล่วงหน้าแล้ว เป็นแผนการลี้ลับ ที่พระเจ้าปิดเอาไว้ ตั้งแต่เริ่มต้น ในสมัยพระคัมภีร์เดิม พระเจ้าก็ปิดซ่อนไว้ ไม่ให้คนรับรู้ แม้แต่คนยิว เขาก็ไม่รับรู้เรื่องนี้เลยว่าพระเจ้าเลือกคนต่างชาติด้วย เขายังเข้าใจผิดมาตลอดเลย ทุกยุคทุกสมัย จนถึงยุคของพระเยซูคริสต์ที่พระเยซูมาประกาศข่าวประเสริฐของพระเจ้า คนยิวก็ยังเข้าใจผิดในเรื่องนี้อยู่ว่าเขาเป็นชนชาติเดียวเท่านั้น ที่มีอภิสิทธิ์ หรือเขาเรียกว่าอภิสิทธิ์ชนนั่นแหละ เป็นประเทศเดียวที่พระเจ้าเลือกสรรไว้ ซึ่งคนอื่นไม่เกี่ยว ไม่สามารถมารับความรอด ผ่านทางพระเจ้าได้  ไม่สามารถเป็นประชากรของพระเจ้าได้ นี่คือสิ่งที่คนยิว เขาคิดมาตลอด  แต่พระเยซูบอกหรือเผยให้กับคนยิวได้รับรู้ผ่านทางอัครทูต คือผ่านทางเปาโล

            ตอนที่พระเยซูมาประกาศ  ช่วงเวลานั้น ที่พระเยซูยังมีชีวิตอยู่ เดินอยู่ท่ามกลางคนยิว 3 ปีกว่า พระองค์ประกาศกับคนยิวจริงๆ ก็คือคนต่างชาติไม่เกี่ยว คนต่างชาติอาจจะมาฟังบ้าง? อะไรบ้าง? แต่เป้าหมายหลักของพระเยซูคริสต์ ก็คือประกาศกับคนยิว แล้วเราจะเห็นในหนังสือพระกิตติคุณทั้ง 4 เล่ม มัทธิว มาระโก ลูกา ยอห์น เป็นการประกาศของพระเยซูคริสต์กับคนยิวเท่านั้น ซึ่งไม่เกี่ยวอะไรกับผู้เชื่อในปัจจุบัน คือพวกเราไม่เกี่ยวกันเลย  แต่เราเข้าใจผิดมาตั้งแต่อดีต มาจนถึงปัจจุบัน จนถึง ณ เวลานี้ เราเคยเข้าใจผิดมาตลอด คิดว่าพระกิตติคุณทั้ง 4 เล่ม ที่พระเยซูตรัสสั่งว่า “จง” อย่างนี้ “จง” อย่างนั้น ต้องทำอย่างนี้ ต้องทำอย่างนั้น เป็นการสั่งให้คริสเตียนหรือผู้เชื่อในปัจจุบันทำ แต่ความเป็นจริง คือไม่เกี่ยวกันเลย ตอนที่พระเยซูประกาศกับคนยิว ณ เวลานั้น ก็คือคนเหล่านั้นทั้งหมด ไม่ว่าคนอิสราเอล หรือคนต่างชาติที่มาแอบฟังด้วย ยังเป็นคนบาปอยู่  ยังไม่ได้เชื่อพระเจ้า  ยังไม่ได้บังเกิดใหม่ ยังอยู่ในเผ่าพันธุ์เดียวกันทั้งหมดเลย ทั้งคนยิวและคนต่างชาติ คืออยู่ในเผ่าพันธุ์ของอาดัม คืออยู่ใน DNA บาป ซึ่งคนยิวก็ไม่เข้าใจ คิดว่าตัวเองวิเศษกว่าคนอื่น  ที่เขาวิเศษกว่าคนอื่น ไม่ใช่เพราะเขารักษากฎบัญญัติ แต่เพราะเขาเชื่อตามพันธสัญญาเดิมที่พระเจ้าได้ให้ไว้กับอับราฮัม  ที่พระเจ้าทำสัญญากับอับราฮัม ให้ทำพิธีเข้าสุหนัต ให้อับราฮัมเอาแกะมาถวาย และเอาเลือดมาปะพรมที่แท่นบูชา มาจนถึงยุคของโมเสสที่พระเจ้าให้ตั้งเป็นเต็นท์นัดพบ ให้เลือกชาวเลวีออกมา พระเจ้าก็เริ่มทำเป็นรูปร่างให้คนอิสราเอลได้เห็น หรืออีกนัยหนึ่ง ก็คือให้มนุษยชาติทั้งหมดที่พวกเรา ในยุคของพระคัมภีร์ใหม่ เราเป็นผู้เชื่อ เราได้รับรู้ความจริงตรงนี้ ก็คือเราได้เรียนรู้ก่อนหน้านั้น  แต่ตอนที่พระเยซูประกาศกับคนยิว คนยิวเขาก็ยังไม่รู้ เขาไม่เข้าใจในสิ่งที่พระเยซูประกาศ เขาก็ยังคงเข้าใจผิด คิดว่าเขาเป็นชนชาติพิเศษที่พระเจ้ารักมาก พระเจ้าเลือกเขาชนชาติเดียวเลย เพื่อที่จะได้เป็นลูกของพระองค์ ไม่ใช่ลูกนะ ตอนนั้นเขาไม่กล้าคิดว่าตัวเองจะเป็นลูกของพระเจ้า เรียกว่าเป็นประชากรของพระองค์ เขาจะเรียกพระเจ้าว่าเจ้านาย เขาจะไม่กล้าเรียกพระเจ้าว่าพระบิดา

            แต่พอมาถึงยุคของพระเยซูคริสต์ พระเยซูบอกว่าในวันที่พระองค์เดินทางไปที่แดนประหารก็คือยอมถูกตรึงไว้บนไม้กางเขน ให้พระโลหิตของพระองค์หลั่งลงมา ตามที่พระเจ้าได้สัญญาไว้กับคนยิว และมนุษยชาติทั้งหมดว่าจะส่งพระมาซีฮาห์ พระผู้ช่วยให้รอดมาให้กับชนชาติอิสราเอลให้กับมนุษยชาติด้วย เมื่อพระเยซูทำสำเร็จ ในวันที่พระเจ้าสั่งให้โมเสสพาชนชาติ อิสราเอลทั้งหมด ทำพิธีปัสกา ก็คือจะเป็นภัยพิบัติครั้งที่ 10 ที่พระเจ้าจะทำในอียิปต์ ก็คือประหารบุตรหัวปี แล้วพระเจ้าก็เริ่มต้นพิธีปัสกานี้ ในคืนนั้นแหละ คืนที่พระเจ้าส่งทูตมรณะมาประหารบุตรหัวปีของชาวอียิปต์ทั้งหมด  แต่ก่อนที่พระเจ้าจะส่งทูตมรณะมา พระเจ้าก็สั่งโมเสสบอกให้ชนชาติอิสราเอลทั้งหมด ให้อยู่แต่ในบ้าน แล้วก็ให้ทำพิธีนี้ ให้ฆ่าแกะ และเอาเลือดมาทาที่วงกบประตู เมื่อทูตมรณะผ่านมา ที่บ้านใด แล้วเห็นเลือดที่วงกบประตู ทูตมรณะก็จะผ่านเว้นไป เขาเรียกว่า Pass over ก็คือผ่านไป บ้านหลังนี้ก็จะปลอดภัย บุตรหัวปีของบ้านหลังนี้ ก็จะไม่ตาย

            ฉะนั้น พิธีนี้พระเจ้าเริ่มต้นให้ชนชาติอิสราเอลได้เห็นเป็นเงา ในอนาคตข้างหน้าว่าเมื่อถึงเวลากำหนดที่พระเจ้าส่งพระผู้ช่วยให้รอด พระบุตรของพระเจ้า องค์เดียว คือพระเยซูคริสต์ ที่เป็นทั้งมนุษย์และเป็นทั้งพระเจ้า มาตายแทนมนุษยชาติ บนไม้กางเขน หลั่งพระโลหิตเหมือนกัน และโดยโลหิตของพระเยซูคริสต์  จะเป็นโลหิตที่จะชำระล้างมนุษยชาติทั้งหมดบนโลกใบนี้   นี่ไม่ใช่ชนชาติยิวอย่างเดียวนะ ทั้งหมดบนโลกใบนี้ ให้สามารถหลุดพ้น  จากความบาป  และใครก็ตามที่เชื่อในสิ่งที่พระเยซูคริสต์กระทำ และยอมรับความช่วยเหลือจากพระเจ้า เขาก็จะได้รับการบังเกิดใหม่  ก็คือเข้ามาเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเจ้า พระบิดา พระบุตร พระวิญญาณบริสุทธิ์ ในพระคัมภีร์ใช้คำว่าเป็นพิธีบัพติศมาในพระวิญญาณ ไม่ใช่บัพติศมาในน้ำอย่างที่เราทำกัน นั่นเป็นแค่เงาให้เราเห็นว่าในอนาคตข้างหน้า พระเจ้าจะเอาวิญญาณของผู้เชื่อ ไม่ว่าคนนั้นจะเป็นยิวหรือคนต่างชาติก็ตาม ถ้าเชื่อในสิ่งที่พระเยซูคริสต์กระทำ เปิดใจยอมรับความช่วยเหลือจากพระเจ้าปุ๊บ พระวิญญาณบริสุทธิ์ทำการงานของพระองค์ทันทีในโลกวิญญาณ ซึ่งเรามองไม่เห็น

            ตอนที่เรารับเชื่อ เราไม่รับรู้อะไร? อธิษฐานเสร็จ คือเราเชื่อพระเจ้าแล้วใช่ไหม? เราเป็นคริสเตียนแล้วใช่ไหม? ก็คือเราไม่ได้รู้สึกอะไร? แต่ใช้ความเชื่อเอา ตามที่ถ้อยคำของพระเจ้าบอกไว้ว่าทันทีที่เราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดปุ๊บ ในโลกวิญญาณ จะมีขบวนการเคลื่อนไหวอย่างอัศจรรย์ที่เรามองไม่เห็น  แต่ถ้อยคำของพระเจ้าบอกเอาไว้ การอัศจรรย์นี้ยิ่งใหญ่มากๆ อย่างที่พระเยซูคริสต์บอกว่า …

            “ถ้าเจ้าเชื่อ เจ้าจะเห็นความยิ่งใหญ่ของพระเจ้า ถ้าเจ้าเชื่อ เจ้าจะสามารถสั่งภูเขาให้ลงทะเลได้” แล้วภูเขานั้น ก็จะลงทะเลด้วย

            นี่เป็นคำอุปมา ที่พระเยซูยกตัวอย่าง ซึ่งไม่รู้ว่าจะยกตัวอย่างอย่างไร? สมัยของพระเยซูคริสต์ ตอนที่เดินอยู่บนโลกใบนี้ ตัวอย่างนี้ คือสุดยอดแล้วล่ะ ณ เวลานั้น มันไม่มีระเบิดปรมณู มีแค่ถ้าใครสามารถที่จะเคลื่อนภูเขาลงทะเล คือสุดยอดแล้ว คือมหัศจรรย์ใหญ่ แต่ว่าสิ่งที่พระเยซูสื่อ ไม่ได้เป็นไปตามความหมาย หรือตัวอักษรตรงๆ ว่าถ้าเราเชื่อ เราสามารถสั่งภูเขาให้ลงทะเลได้ ไม่ใช่  แต่พระเยซูกำลังบอกว่า …

            “ถ้าเจ้าเชื่อ เจ้าเห็นความยิ่งใหญ่ของพระเจ้า ยิ่งใหญ่ขนาดไหน? ยิ่งใหญ่ขนาดที่ในโลกวิญญาณ พระเจ้าได้ทำการงานของพระองค์ คือเอาวิญญาณเก่าของเรา ที่เป็นวิญญาณบาปเข้าไปอยู่ในพระเยซูคริสต์ ไปถูกตรึงพร้อมกับพระเยซู ฝังพร้อมกับพระเยซู และเป็นขึ้นมาใหม่พร้อมกับพระเยซู ด้วยฤทธิ์เดชอำนาจของพระวิญญาณบริสุทธิ์  ที่เราเรียกว่าเป็นการบังเกิดใหม่ นี่คืออัศจรรย์ที่ยิ่งใหญ่มากๆ มหาศาล เหมือนระเบิดปรมณู ที่มันบูมที่ มันเกิดขึ้นทันทีในโลกวิญญาณ ซึ่งตรงนี้เรามองไม่เห็น  เราสัมผัสไม่ได้ เราไม่ได้รู้สึกอะไร?  แต่เรารับรู้ ความเชื่ออยู่ข้างใน พระเยซูถึงบอกว่าในขณะที่เราอยู่บนโลกใบนี้ เราต้องดำเนินชีวิตด้วยความเชื่อ เชื่อในสิ่งที่ถ้อยคำของพระเจ้าบอก เชื่อในสิ่งที่พระเยซูบอกเรา ต้องใช้ความเชื่อ แต่ในอนาคตข้างหน้า เมื่อวิญญาณเราออกจากร่างปุ๊บ เราไม่ต้องใช้ความเชื่อแล้ว คริสเตียนในขณะที่เราอยู่บนโลกใบนี้

            ในหนังสือโครินธ์บอกว่ามีความเชื่อ ความหวังใจ  แล้วก็ความรัก  3 อย่าง และอาจารย์เปาโลบอกว่าความรักใหญ่สุด

            ใหญ่สุดตรงไหน? ความรัก คือตัวตนจริงๆ ของผู้เชื่อ พอเราเชื่อวางใจในพระเจ้าปุ๊บ ในถ้อยคำของพระเจ้า พระเจ้าบอกทันทีที่เราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดปุ๊บ  พระเจ้าได้บัพติศมาเราในวิญญาณ ข้างในวิญญาณเราได้รับการเปลี่ยนแปลงที่มหัศจรรย์ คือพระเจ้าเปลี่ยนวิญญาณใหม่ให้กับผู้เชื่อทุกคน เปลี่ยนวิญญาณใหม่ตามหนังสือในพระคัมภีร์เดิมที่เผยพระวจนะไว้ว่าวันหนึ่งข้างหน้า เราจะให้ใจใหม่ ให้วิญญาณใหม่ให้กับเจ้า หมายความว่าพระเจ้าไม่ได้มาซ่อมแซมเราให้ดีขึ้น แต่คือรื้อหมดเลย เอาวิญญาณเก่าที่เป็นบาปเราไปตายพร้อมกับพระเยซู แล้วให้บังเกิดใหม่ เป็นพันธุ์ใหม่ที่เป็นพันธุ์อมตะเหมือนพระเจ้า เหมือนพระเยซูคริสต์เลย

            ฉะนั้น ณ เวลานี้ ผู้เชื่อที่ยังตัวเป็นๆ เดินบนโลกใบนี้อยู่ วิญญาณข้างในเราได้รับการเปลี่ยนแปลงใหม่ เป็นเหมือนพระเจ้าเป๊ะเลย วิญญาณเราเป็นวิญญาณที่สะอาดบริสุทธิ์ หมดจด ไม่มีบาปเลย ทำบาปไม่เป็น แล้วเป็นวิญญาณแห่งความรักด้วย ไม่ต้องพยายามรัก เชื่อปุ๊บข้างในเรารักเลย รักซึ่งกันและกัน ที่พระเยซูตรัสว่าเราให้บัญญัติใหม่แก่เจ้า คือให้เจ้าทั้งหลายรักซึ่งกันและกัน

            บัญญัติใหม่ตรงนี้ พระเจ้าใส่เข้ามาในวิญญาณเรา ในโลกวิญญาณทันที ที่เราเชื่อพระเจ้าปุ๊บ เรารักซึ่งกันและกันเลยในวิญญาณ ก็คือไม่ว่าคริสเตียนหรือผู้เชื่อคนนั้น อยู่ที่ไหนก็ตาม  อยู่โบสถ์เราด้วยกัน อยู่คนละโบสถ์ อยู่คนละประเทศ อยู่โน่น ขั้วโลกเหนืออยู่กันคนละที่  แต่ถ้าคนนั้นเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดปุ๊บ เรากับเขา เป็นหนึ่งเดียวกันเลย ในโลกวิญญาณ เรารักเขาเลยในโลกวิญญาณ ทั้งๆ ที่เราไม่รู้จักเขาด้วยซ้ำไปว่าคนนั้นเป็นใคร? มาจากไหน? ชื่ออะไร? อยู่ตรงไหน? เชื่อเมื่อไร? อยู่มุมไหนของโลกใบนี้ ไม่รู้ แต่ข้างในวิญญาณ เรารักเขาแล้ว ข้างในวิญญาณเราเป็นหนึ่งเดียวกันกับเขาแล้ว โดยมีพระเยซูคริสต์เป็นศีรษะของเรา แล้วพวกเราทุกคนเป็นอวัยวะทุกส่วน ในร่างกายนี้ โดยที่แต่ละคน พระเจ้าเป็นผู้กำหนดว่าเราจะเป็นชิ้นส่วนไหนในร่างกายนี้

            ฉะนั้น เรารับรู้ความจริงตรงนี้ว่าเราเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเจ้าพระบิดา พระบุตร พระวิญญาณบริสุทธิ์ เป็นหนึ่งเดียวกับผู้เชื่อทั้งหมดบนโลกใบนี้เลย ทันทีที่เราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด  ทันทีที่เราบัพติศมาในวิญญาณทันทีที่เราได้บังเกิดใหม่  สิ่งต่างๆ เหล่านี้ ได้เกิดขึ้นเลย ในโลกวิญญาณ ความคิดจิตใจของเรา ถูกเปลี่ยนใหม่เลย ในโลกวิญญาณ คือเราคิดชั่วไม่เป็น วิญญาณเราทำสิ่งที่ตรงกันข้ามกับพระประสงค์ของพระเจ้าไม่ได้เลย ก็คือเป็นวิญญาณที่เชื่อฟังพระเจ้าเลย เพราะว่าเป็นวิญญาณที่พระเจ้าใส่เข้ามาในวิญญาณใหม่ เป็นวิญญาณแห่งการเชื่อฟัง

            มันจะมีความคิดอยู่ 2 อัน ความคิดจิตใจเราถูกเปลี่ยนใหม่ก็จริง แต่มันจะมีความคิดในสมอง เมื่อก่อนเราไม่แยกชัดเจนว่าความคิดจิตใจเราใหม่ ทำไมเรายังมีความคิดที่จะคล้อยตามระบบของโลกนี้อยู่ นี่คือความคิดในสมองที่มีโปรแกรมเดิมที่มันยังอยู่ในตัวเรา ในขณะที่ร่างกายของเรายังอยู่ในโลกใบนี้อยู่ ก็คือร่างกายเรายังอยู่ในกฎของความบาปและความตายอยู่

            ความคิดในสมองของเรา สามารถที่จะคล้อยตามระบบของโลกนี้ หรือเราสามารถที่จะคล้อยตามพระเจ้าได้ อันนี้มันเป็นตัวแปร แต่ความคิดจิตใจเราไม่ใช่ตัวแปร พระเจ้าเปลี่ยนใหม่ เหมือนพระเจ้าเลย คล้อยตามพระเจ้าเลย เชื่อฟังพระเจ้าเลย รักพระเจ้าเลย รักซึ่งกันและกันเลย  อันนั้น คือจบตรงนั้นเลย แต่ตรงนี้แหละ  ความคิดตรงสมองที่พระเจ้าบอกไว้ในพระธรรมโรม บทที่ 12 ว่าเมื่อเราได้รับการบัพติศมา ได้มีวิญญาณใหม่ ได้เป็นผู้เชื่อแล้ว ก็ให้เราเปลี่ยนแปลงความคิดในสมองเสียใหม่

            ในพระคัมภีร์ใช้คำว่าความคิดจิตใจ ซึ่งมันไม่ถูกนะ ความคิดจิตใจเราไม่ต้องทำอะไรแล้ว ได้รับการเปลี่ยนใหม่เรียบร้อยแล้ว ให้เราเปลี่ยนแปลงความคิด ในสมองของเรา ให้เราถวายความคิดตรงนี้ ให้กับพระเจ้า ก็คือระบบความคิด ตา หู จมูก ลิ้น กาย ความคิด สมองของเรา ที่ยังเป็นอยู่บนโลกใบนี้ ให้ถวายให้กับพระเจ้า เพื่อพระเจ้าจะใช้เราได้  ให้ทำตามน้ำพระทัยของพระองค์

            พอเราแยกตรงนี้ชัดเจนปุ๊บ เราก็จะรู้ว่ามีกลไกในร่างกายของเรา ที่มันเป็น 2 ระบบ ซึ่งมารก็จะเอาตรงนี้แหละมาเป็นจุดอ่อนของคริสเตียน ที่จะมากล่าวโทษเรา พอคริสเตียนทำผิดปุ๊บ เขาก็จะกล่าวโทษเลย

            “เห็นไหม? เธอเชื่อพระเจ้า ทำไมเธอยังทำอย่างนี้ อย่างนี้ไม่รอดนะ พระเจ้าไม่รักนะ  เพราะว่าพระเจ้าต้องการให้เธอทำตามน้ำพระทัยของพระเจ้า ทำไมเธอไม่ทำตามน้ำพระทัยของพระเจ้า อย่างนี้ เธอเสร็จแน่เลย เดี๋ยวเกิดเธอจากโลกนี้ไป  สงสัยยังไม่รู้เลยว่าเธอจะได้ไปอยู่กับพระเจ้าบนสวรรค์หรือเปล่า?”

            นั่นเป็นกลลวงของมาร พยายามส่งข้อมูลพวกนี้เข้ามาในความคิดของเรา พี่น้องจำเป็น ที่ในถ้อยคำของพระเจ้าบอกว่าจดจ่อ ให้รับรู้ความจริงว่าวันที่เราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดนั้น พระเจ้าได้ให้เราเป็นลูกของพระองค์  เราได้บังเกิดใหม่เข้ามาอยู่ในอาณาจักรของพระเจ้าเรียบร้อยไปแล้ว ในโลกวิญญาณ ณ เวลานี้ ตัวตนของเรานั่งอยู่ที่นี่ แต่วิญญาณของเราได้นั่งอยู่ที่เดียวกันกับพระเยซูคริสต์ ที่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้า ที่สวรรค์สถานเรียบร้อยไปแล้ว เป็นลูกของพระเจ้าเรียบร้อยไปแล้ว  อย่างที่บอก ที่เราต้องคุยกันทุกอาทิตย์ เกิดแล้วเกิดเลย เป็นลูกพระเจ้าเป็นแล้วเป็นเลย ไม่มีอะไรบนโลกใบนี้ ที่จะสามารถแยกเราจากความรักของพระเจ้าได้ ไม่มีสิ่งใดสามารถแยกเราออกไปจากการเป็นลูกของพระเจ้าได้ ไม่ว่าเราจะทำอะไรบนโลกใบนี้ก็ตาม แต่สิ่งที่สำคัญ คือเมื่อเราเชื่อและวางใจในพระเจ้า พระวิญญาณบริสุทธิ์เข้ามาอยู่ในเราทันที ร่างกายของเราเป็นวิหารของพระเจ้า  พระวิญญาณบริสุทธิ์เข้ามาอยู่ในเรา พระเจ้าพระบิดา พระเจ้าพระเยซูคริสต์เข้ามาอยู่ในเรา แล้วพระวิญญาณบริสุทธิ์ก็จะโน้มนำ ผ่านทางถ้อยคำของพระเจ้าที่เราได้ยินได้ฟัง  ได้เรียนรู้ ได้รับรู้ว่า …

            “พอเราเชื่อพระเจ้าแล้ว พระเจ้าบอกว่าเป็นอย่างนี้ ตอนนี้เราเป็นความรัก ตอนนี้เราเป็นสันติสุข ตอนนี้เราเป็นลูกของพระเจ้า  ตอนนี้เรามีธรรมชาติใหม่ที่เป็นเหมือนพระเจ้า”

            ฉะนั้น เราต้องรับรู้ความจริงตรงนี้ เพื่อเราจะไม่โดนหลอก พอข้อมูลของโลกนี้ส่งเข้ามาในความคิด ในสมองของเรา ที่ตรงกันข้ามกับถ้อยคำของพระเจ้า หรือความเป็นจริงในลักษณะใหม่  คุณสมบัติใหม่ของเรา ที่เป็นเหมือนพระเจ้าแล้ว  มันตรงกันข้ามปุ๊บ ตอนนี้แหละ คือช่วงเวลาที่เราต้องตัดสินใจ  พระเจ้าไม่เคยบังคับหรือเคี่ยวเข็ญเราว่าพอเราเชื่อพระเจ้าปุ๊บ เราต้องทำโน่นทำนี่  เพื่อพระเจ้า ถ้าไม่ทำ เดี๋ยวพระเจ้าไม่รัก ถ้าไม่ทำ เราอาจจะไม่ได้รับความรอด ก็ได้ นั่นเป็นการหลอกลวงทั้งหมด แต่พระเยซูคริสต์กำลังบอกความจริงในโลกวิญญาณว่าเมื่อเราเชื่อวางใจในพระเจ้าปุ๊บ ในโลกวิญญาณ เราเข้ามาเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเจ้าแล้ว แล้วไม่มีสิ่งใด บนโลกใบนี้ สามารถแยกเรา หรือแย่งเราไปจากพระหัตถ์ของพระเจ้าได้ ไม่มีทางเลย

            แล้วในขณะที่เราดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ พระวิญญาณบริสุทธิ์ที่อยู่ในเรา จะคอยให้กำลังเรา ที่เราจะสามารถทำตามน้ำพระทัยของพระเจ้าได้ ในแต่ละวันเรามีการตัดสินใจเยอะแยะมากมาย ทุกวัน ยิ่งเราออกไปข้างนอก เจอผู้คนเยอะแยะมากมาย ทุกอย่างเราจำเป็นจะต้องตัดสินใจว่าเหตุการณ์นี้  เราจะตัดสินใจอย่างไร? เราตัดสินใจว่าเราจะให้ความรักออกไป ตามธรรมชาติใหม่ของเรา หรือเราตัดสินใจ ไม่ได้ เรื่องนี้มันต้องให้ถึงที่สุด  เราไม่ยอม เราเสียเปรียบไม่ได้ นั่นคือการตัดสินใจที่ตรงกันข้ามกับการนำของพระวิญญาณบริสุทธิ์  แต่ไม่ว่าเราตัดสินใจตามระบบของโลกนี้ ที่โน้มนำให้เราทำตามมัน หรือเราตัดสินใจตามพระวิญญาณก็ตาม สิ่งต่างๆ เหล่านี้ไม่มีผลอะไรกับวิญญาณของเรา วิญญาณเราก็ยังเป็นลูกของพระเจ้า วิญญาณเราก็ยังรอดอยู่ เราได้อยู่ที่สวรรคสถานเรียบร้อยไปแล้ว ณ เวลานี้ เราก็ยังอยู่ที่เดิม ก็คืออยู่ที่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้ากับพระเยซูคริสต์

            นี่คือความจริงในโลกวิญญาณที่เราต้องเกาะตรงนี้ไว้เลยว่าพระเจ้าบอกเราอย่างนี้ แล้วเราเชื่อตามนั้น ดำเนินชีวิตด้วยความเชื่อ  เริ่มต้นด้วยความเชื่อ จบลงด้วยความเชื่อ เชื่ออะไร? เชื่อว่าเมื่อเราวางใจในพระเจ้า  พระเจ้าได้ให้เราเป็นลูกของพระองค์แล้ว เมื่อเราเป็นลูกของพระองค์แล้ว เราอยู่ในพระเยซูคริสต์เรียบร้อยไปแล้ว ฉะนั้น เมื่อเราอยู่ในพระเยซูคริสต์แล้ว ก็ไม่มีใครสามารถแยกเราออกจากในพระเยซูคริสต์ได้เลย นี่คือความจริงทั้งหมด ยืนหยัดอยู่ตรงนี้ เราต้องพูดบ่อยๆ เพราะพวกเราผู้เชื่อ เรายังอยู่ในโลกของการหลอกล่อ หลอกลวงทุกรูปแบบ และระบบของโลกใบนี้ พยายามส่งข้อมูลให้เราพยายามทำด้วยกำลังของเราเอง คือรู้สึกว่าเราต้องทำ เราถึงจะรับพระพร แต่พระเยซูคริสต์บอกเราว่า …

            “ไม่ต้องทำอะไรเลย เธอก็ได้รับพระพรแล้ว”

            พูดต่างกันนะ ตอนที่พระเยซูคริสต์มาประกาศกับชาวยิว พระเยซูพยายามบอกเขาว่าสิ่งที่บอกมาทั้งหมด ซึ่งเมื่อก่อน สมัยที่ดิฉันเชื่อใหม่ๆ ดิฉันก็ถูกสอนมาอย่างนี้ พระคัมภีร์ทุกตอน เป็นถ้อยคำที่พระเจ้าพูดตรงถึงเรา เราต้องรับหมดเลย ตรงถึงเรา โดยที่เราไม่เข้าใจว่าตรงถึงเราหมดเหรอ แล้วเราก็รับจริงๆ แล้วพอมาถึงเราปุ๊บ เรื่องมันหินมาก  เพราะบางเรื่องเราทำไม่ได้ ไม่ใช่บางเรื่องนะ เกือบทุกเรื่อง เราทำตามไม่ได้ อย่างที่พระเยซูบอกให้เราให้อภัย 7×70 … 490 ครั้งต่อความผิดของคนอื่น ที่มาทำกับเรา เราต้องอภัยให้ได้ คืออภัยอย่างไม่มีข้อแม้ เราทำไม่ได้ พระเยซูกำลังบอกว่าพวกเธอทำไม่ได้ ทำไมถึงทำไม่ได้? เพราะว่าคนยิว ณ เวลานั้น ยังเป็นคนบาปอยู่ข้างใน ไม่มีความดีงามอะไรเลย ไม่มีกำลังพอที่จะทำตามที่พระเยซูบอกได้ จนกระทั่ง พระเยซูคริสต์ได้ทำภารกิจของพระองค์สำเร็จ สิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน และถูกฝัง เป็นขึ้นมาจากความตายปุ๊บ ใครก็ตามที่เชื่อในสิ่งที่พระเยซูคริสต์กระทำปุ๊บ เขาเข้ามาอยู่ในพระเยซูคริสต์ ณ เวลานั้น คือมันเป็นเลย สิ่งที่พระเยซูคริสต์บอกทั้งหมด ในหนังสือมัทธิว ในโลกวิญญาณ วิญญาณเราเป็นอย่างนั้นเลย วิญญาณเราเป็นความรัก วิญญาณเราเป็นการให้อภัย วิญญาณเราเกลียดชังใครไม่เป็น วิญญาณเราเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเยซูคริสต์ และเป็นหนึ่งเดียวกันกับผู้เชื่อเลย โดยที่เราไม่ต้องพยายามทำให้เป็นหนึ่งเดียวกัน

            เราจะเห็นคำในพระคัมภีร์ มีหลายคำ เช่น ให้เราติดสนิทกับพระเจ้า บางทีฟังแล้วดูดีนะ

            “พี่น้องทุกคน ให้เรามาอธิษฐาน เราต้องพยายามติดสนิทกับพระเจ้าไว้ ติดสนิทกับพระเจ้าด้วยวิธีอะไร? ด้วยวิธีอธิษฐาน ด้วยวิธีอ่านถ้อยคำของพระเจ้า ด้วยวิธีมาโบสถ์เป็นประจำ ด้วยวิธีมากลุ่ม ถ้าโบสถ์มีกลุ่ม โบสถ์มีอธิษฐานก็ให้มานะ เราจะได้ติดสนิทกับพระเจ้ามากขึ้น”

            ฟังดูดีไหม? ดีเนอะ แต่ที่พูดมาทั้งหมด คือเราต้องทำด้วยแรงและกำลังของเราเอง

            ความหมายที่พูดนี้ แปลว่า … “ถ้าเธอไม่ทำตามนี้ เธอจะไม่ติดสนิทกับพระเจ้า” พี่น้องว่าจริงไหม?

            “ให้มาโบสถ์นะ เราต้องพยายามติดสนิทกับพระเจ้า”

            แปลว่าถ้าพี่น้องคนไหนไม่มาโบสถ์ พี่น้องคนนั้นก็ไม่ติดสนิทกับพระเจ้า จริงหรือไม่จริง? ความหมายตามนี้นะ หรือพี่น้องที่ไม่อธิษฐาน ก็ไม่ติดสนิทกับพระเจ้า ความหมายตามนี้เลยนะ คือเราต้องทำ เราถึงได้ แต่พระเยซูบอกว่า …

            “เธอไม่ต้องทำอะไรเลย ฉันทำให้หมดแล้ว เธอได้แล้ว”

            ได้ตรงไหน? ได้ตรงเธอกับฉันเป็นหนึ่งเดียวกัน คำว่าเป็นหนึ่งเดียวกัน สนิทยิ่งกว่าสนิทอีก

            ในพระคัมภีร์ใหม่ ในหนังสือเอเฟซัส ซึ่งจากนี้ต่อไป ในบทที่ 4 บทที่ 5 อาจารย์เปาโลจะยกตัวอย่างของสามีภรรยา พอพูดถึงสามีภรรยาปุ๊บ ในพระคัมภีร์ ตั้งแต่เริ่มต้น ปฐมกาล ถ้อยคำของพระเจ้าบอกว่าอาดัมกับเอวา เป็นสามีภรรยา แล้วเขาทั้งสองคนเปลือยกาย โดยไม่อายกัน ตอนช่วงที่อาดัมกับเอวายังไม่ได้ทำบาป บริสุทธิ์มาก เหมือนทุกวันนี้ ที่เราเชื่อพระเจ้า คือวิญญาณเราสะอาดบริสุทธิ์ ทำบาปไม่เป็น สะอาดเทียบเท่ากับพระเจ้า บริสุทธิ์เทียบเท่ากับพระเจ้า อาดัม ณ เวลานั้น เป็นอย่างนั้นจริงๆ แล้วเขาก็ไม่ต้องใส่เสื้อผ้า เพราะมีพระสิริของพระเจ้าปกคลุมกายเขาอยู่ แล้วเขาทั้งสองเป็นเนื้อเดียวกัน นี่คือถ้อยคำของพระเจ้าบอกไว้ เนื้อเดียวกัน ก็คือเป็นหนึ่งเดียวกัน เป็นขนมปังก้อนเดียวกัน สามัคคีธรรมด้วยกัน

            ฉะนั้น ไม่ว่าจะเป็นคำ “ติดสนิทกัน” “เป็นหนึ่งเดียวกัน” “สามัคคีธรรมกัน” “รักซึ่งกันและกัน” หรือ “บัพติศมาเป็นหนึ่งเดียวกัน” คำพูดทั้งหมด รวมความแล้ว เป็นความหมายเดียวกัน ตรงที่ใครก็ตามที่เชื่อวางใจในพระเยซูคริสต์เข้ามาเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเจ้า บัพติศมาในวิญญาณปุ๊บ ทั้งหมด ทั้งมวลที่พูดถึงเป็นของเราเรียบร้อยไปแล้ว ก็คือ ณ เวลานี้ ผู้เชื่อกับพระเจ้าติดสนิทกัน เป็นหนึ่งเดียวกัน เป็นเนื้อเดียวกัน แกะไม่ออกเลย

            แล้วเมื่อเราติดสนิทกับพระเจ้าขนาดนี้ ยังต้องให้เรามาติดสนิทกับพระเจ้าไหม? ถ้าเราพูดว่าให้เรามาติดสนิทกับพระเจ้า แปลว่า ณ เวลานี้ ผู้เชื่อกับพระเจ้ายังไม่สนิทกัน

            “เราแยกกัน พวกเธอต้องมาทำอะไรบางอย่าง เพื่อที่จะได้มาอยู่กับพระเจ้าด้วยกัน”

            มันจะกลับไปที่เดิม ก็คือระบบของโลกนี้ พยายามที่จะเสี้ยมให้คริสเตียนทำอะไรบางอย่าง ด้วยกำลังของเราเอง แต่พระเยซูกำลังบอกเราว่า …

            “พวกเธอได้หมดแล้ว ฉันทำให้เสร็จหมดแล้ว เธอไม่ต้องทำอะไรเลย เธอเป็นลูกของฉัน เธอสนิทกับฉัน เป็นหนึ่งเดียวกันกับฉันแล้ว เธอเป็นความรักเหมือนฉันเลย ฉันรักเธอที่สุดแล้ว เธอไม่ต้องทำอะไร เพื่อให้ฉันรักเธอมากขึ้นอีกแล้ว”

            คือไม่ต้องทำอะไรแล้ว พระเจ้าทำให้เสร็จหมด แล้วอย่างนี้ ผู้เชื่อไม่ต้องทำอะไรเลยหรือ? จะมีคำถามป้อนเข้ามา

            “แล้วอย่างนี้พวกเราทำอะไร?”

            อย่างที่บอกไง เราเป็นทูตของพระเจ้า เราเป็นหนึ่งเดียวกับพระเจ้า พระเจ้าเข้ามาอยู่ในเราแล้วใช่ไหม? พอพระเจ้าเข้ามาอยู่ในเรา ในพระธรรมกาลาเทียบอกว่าเราไม่มีชีวิตอยู่ต่อไป แต่พระคริสต์มีชีวิตอยู่ในเรา คือตัวตนจริงๆ อันเก่าของเราตายไปแล้ว แต่ ณ ปัจจุบัน ชีวิตที่เราดำรงอยู่ คืออยู่ในพระเยซูคริสต์ แล้วพระเยซูเป็นผู้นำเรา แล้วไม่ว่าเราทำอะไร? เราทำในนามของพระเยซูคริสต์ เหมือนเราเป็นทูตของพระเจ้า พระเจ้าส่งทูตไป ให้ทูตไปทำอะไร? พระเจ้าจะบอกทูตว่า …    

            “ตรงนี้เธอทำอย่างนี้นะ ฉันสั่งแค่นี้ เธอทำแค่นี้ จบ อย่าทำเกินกว่านี้นะ ถ้าทำเกินกว่านี้ ไม่ใช่คำสั่งของฉัน เป็นการคิดด้วยตัวของเธอเอง เนื้อหนังของตัวเอง ที่คิดว่าทำอย่างนี้น่าจะเวิร์คกว่า พระเจ้าๆ น่าจะทำอย่างนี้ เวิร์คกว่าเนอะ”

            พระเจ้าบอก “ไม่ต้องมาแนะนำ ฉันว่าแค่นี้พอแล้ว เธอทำแค่นี้พอ”

            ถ้าเมื่อไรก็ตาม ที่เราทำล้ำหน้าพระเจ้า แปลว่าพระเจ้าไม่ได้นำเรา เรานำพระเจ้าไปแล้ว แล้วทุกวันนี้ ส่วนใหญ่คริสเตียน ก็จะทำล้ำหน้าพระเจ้าตลอดเวลา แล้วเราคิดว่านี่คือสิ่งที่ถูกต้อง เราต้องรับใช้พระเจ้า ซึ่งพระเยซูบอกว่างานของพระองค์ คือให้เชื่อและวางใจในพระองค์ เมื่อพระเจ้าอยู่ในเรา พระเจ้าจะทำงานในชีวิตของเรา เราอย่าคิดว่าเราอยู่เฉยๆ ได้ ไม่มีทาง พระวิญญาณจะนำเรา ในแต่ละวันว่าเราจะทำอะไร? แล้วพระวิญญาณนำเราปุ๊บ เราก็ไปทำ ทำแบบง่ายๆ ธรรมดา ธรรมชาติ

            ดังนั้น ชีวิตของเราอยู่ในพระองค์ เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์ ไปด้วยกันกับพระองค์ พระองค์นำหน้า อย่างที่เพลงบอก “พระคริสต์นำหน้า” เราตามหลัง แต่ทุกวันนี้ส่วนใหญ่ เราก็จะนำหน้าพระองค์

            “พระเจ้าเดินตามลูกมานะพระเจ้า ลูกไปแล้ว”

            ไปก่อน ซึ่งเราชอบกลับหัวกลับหาง เพราะเราถูกหลอกไง  โดยที่ธรรมชาติเดิม ก็คือชอบพึ่งพาตัวเอง เราคิดเอาเองว่าเราควรจะทำอย่างนี้ ควรจะทำอย่างนั้น มันถึงจะดี

            ยกตัวอย่างอีกตัวอย่างหนึ่ง สมมติว่าในนามของพระเยซูคริสต์ คิดนะ พอพูดถึงในนามของพระเยซู แปลว่าเราเป็นทูตของพระเจ้า ไปในนามของพระเจ้า ถ้าไปในนามของพระเจ้าปุ๊บ หมายความว่าเราไม่ได้เป็นคนตัดสินใจเองนะว่าเราจะทำอะไร? แต่เราจะทำตามที่พระเจ้าบอกว่าพระเจ้าให้เราทำอะไร?

            ณ เวลานี้ สมมติว่าพระเจ้าบอกเราว่าตอนนี้เธอเป็นทูตของเรานะ เราจะส่งเธอไป ให้เธอไปประกาศที่แห่งหนึ่ง ประกาศตรงนี้แหละ  พระเจ้าใช้เธอไป แล้วที่แห่งนี้ ที่พระเจ้าใช้ไป มีคนนิดเดียวเอง มีอยู่ไม่กี่สิบคนเอง กับอีกที่หนึ่ง  ที่ตาเรามองเห็น สมมติว่าพระเจ้าให้เรามาประกาศที่กรุงเทพ ในโบสถ์อภิสุทธิสถาน มีคนอยู่ 5, 6 คนเอง สมมตินะ เรามีความรู้สึกว่ามาประกาศซะเหนื่อยเลย มีคนฟังแค่ 5, 6 คนเอง ข่าวประเสริฐของพระองค์ก็ไปไม่ถึงไหน? แต่พระเจ้า พระเยซูคริสต์บอกเราข้างในว่า …

            “ฉันให้เธอมาประกาศที่นี่”

            แต่ความคิดของเรา เรานำพระเจ้าไป เราก็มองอีกแบบหนึ่ง เราไปประกาศอีกโบสถ์หนึ่งดีกว่า เพราะโบสถ์นั้นคนเป็นพันเลย ถ้าเราได้ไปพูดเรื่องราวของพระเจ้า พระเจ้าจะพอใจมากเลย เพราะว่าเราได้ประกาศพระนามของพระองค์ให้คนเป็นพันได้ยิน เรื่องราวของพระเจ้า พระเจ้าต้องพอใจกว่าแน่ๆ เลย เราเปลี่ยนแผนกลางอากาศเลย พระวิญญาณข้างในนำเราว่าให้ประกาศที่นี่ ซึ่งมีคนอยู่ไม่กี่คน? แต่ในไม่กี่คนนี้ พระเจ้าอาจจะเลือกสักคนหนึ่งว่า …

            “คนนี้ฉันเลือกเอาไว้แล้วล่ะ ถ้าเขาได้ยินเรื่องของฉัน เขาจะเปิดใจต้อนรับฉัน แค่นั้นฉันพอแล้ว”

            แต่แผนของเรา ที่ตาเรามองเห็น ความคิด เราคิดเอาเองว่าพระเจ้าคำนวณผิดหรือเปล่า? ตรงนี้น้อยมากเลย มันไม่คุ้มกับการที่เราลงแรง พูดเรื่องราวของพระเจ้า  เราอยากเป็นเหมือนเปโตร  ประกาศทีหนึ่งคนเชื่อ 3,000 คน เราเปลี่ยนแผนกลางอากาศดีกว่า  เราก็ไปเลย ทูตของพระเจ้า แต่ไม่ทำตามพระเจ้าบอก  เราก็ไปอีกที่หนึ่ง ซึ่งมีคนเป็นพันเลย เราก็ไปประกาศ แล้วเราก็รู้สึกมีความสุขมาก  พระเจ้าต้องพอใจแน่ๆ ในการตัดสินใจของเราตรงนี้ว่าเราไปประกาศข่าวประเสริฐของพระองค์ ได้ยินเป็นพันๆ คนเลย

            แต่พระเจ้าจะบอกว่า … “เราไม่ได้สั่ง สิ่งที่เธอทำมันไม่มีประโยชน์อะไร? ไม่ได้อยู่ในนามของเรา  แต่กลายเป็นในนามของเธอเอง”

            เธออยากจะไปประกาศกับคนเป็นพัน เป็นหมื่น รู้สึกเท่ห์กว่าในนามของพระเยซูคริสต์

            พระองค์บอกว่า … “ให้เธอมาประกาศแค่ 5, 6 คน นั่นคือความต้องการของฉัน”

            พี่น้องเห็นภาพชัดเจนไหม? แยกให้เห็นชัดเจนตรงที่ว่าส่วนใหญ่เราใช้ความคิดของเราเองนำพระเจ้า แต่พระเจ้าบอกไม่ต้อง เราไม่ต้องช่วยพระเจ้า ผู้ที่ทำให้สำเร็จ คือพระเจ้า ไม่ว่าเราไปประกาศที่ไหน? มีคนรับเชื่อ 1 คน 10 คน 20 คน  1,000 คน  10,000 คน  100,000 คน ไม่ใช่ผลงานของเราเลย แต่พระเจ้าเป็นผู้กระทำ พระวิญญาณบริสุทธิ์ที่อยู่ในเรา เป็นผู้กระทำ เป็นผู้ทำให้คนเหล่านั้น ได้เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เราไม่ได้มีเอี่ยวอะไรด้วย เราไม่ต้องรับผิด ไม่ต้องรับชอบด้วย  เราแค่ทำตามที่พระเจ้าบอกเท่านั้นเอง นี่คือความหมายของคำว่า “ในนามของเรา”

            “ในนามของเรา ท่านจะทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่านี้ ในนามของเรา ท่านสามารถอธิษฐานขออะไร ท่านจะได้อย่างนั้น ในนามของเรา”

            พอ “ในนามของเรา” ก็คือเราเดินตามพระเจ้าต้อยๆ พระเยซูคริสต์ไปไหน? เราไปด้วย

            “พระองค์เจ้าข้า พระองค์ให้เราทำอะไร?  เราก็จะทำด้วย พระองค์บอกว่าให้เราหยุดพัก เราก็จะหยุดด้วย”

            เราก็นิ่งๆ เฉยๆ คนอาจจะมอง ผู้รับใช้โฮลี่ ขี้เกียจน่าดูเลย วันๆ ไม่ทำอะไรเลย แต่ว่าเราเชื่อและวางใจในพระเจ้า ผู้ที่ทำ คือพระเจ้าไม่ใช่เรา

            เมื่อพระวิญญาณบริสุทธิ์นำเราเมื่อไร? แม้เป็นสิ่งเล็กๆ มันจะเกิดผลอย่างอัศจรรย์ ที่พระเจ้าได้ให้เราทำ

            เหมือนกับยกตัวอย่างอันหนึ่งในพระคัมภีร์เดิม ตอนที่พระเจ้าสั่งให้โยชูวาไปรบกับเมืองเยรีโค ในโยชูวา 6:1-11, 16-17 …

            “ที่เมืองเยรีโคเจ้าไม่ต้องทำอะไร? เจ้าทำแค่นี้ วันแรกให้เอาชนชาติอิสราเอล รวมทั้งคนเลวี เป่าแตร ร้องเพลง เดินรอบเมืองเยรีโค 1 รอบ แล้วกลับไปนอน”

            นี่คือคำสั่ง วันที่สองทำเหมือนกัน วนหนึ่งรอบ กลับไปนอน ถึงวันที่ 6 ทำเหมือนกัน พอวันที่ 7 พระเจ้าบอกว่าเที่ยวนี้วน 7 รอบ พอครบ 7 รอบปุ๊บ ให้ตะโกนดังๆ เลย เมืองเยรีโคล้มลง ด้วยฤทธิ์เดชของพระเจ้า พระเจ้าเป็นผู้ทำ

            ถ้าโยชูวาไม่เชื่อฟัง เหมือนกับเราปัจจุบัน … “พระเจ้าน้อยไป เรายังมีพลังอยู่เลย นี่วันแรกนะ  เดินแค่รอบเดียว เรามีพลังเยอะมากเลย เราขอเดิน 2 รอบได้ไหม?”

            แต่พระเจ้าบอกว่า … “ฉันสั่งเธอรอบเดียว”

            ถ้าโยชูวาไม่ทำตามคำสั่งของพระเจ้า ก็คือพระเจ้าสั่ง 1 รอบ โยชูวาบอกเรายังมีเรี่ยวแรงอยู่ ทหารๆ เดินรอบ 2 อัศจรรย์จะไม่เกิดขึ้น นี่พระคัมภีร์เดิมนะ ปัจจุบันเหมือนกัน พระเจ้าที่อยู่ในเรา ถ้าเราทำตามพระองค์ เราก็ไม่ต้องทำเยอะ พระองค์บอกให้ทำแค่ไหน? ทำแค่นั้น เชื่อและวางใจ ฟังพระเจ้า ก็คือพระเจ้าทำงานอยู่ในเรา ถ้าพระเจ้าจะให้เราทำ พี่น้องอยู่นิ่งไม่ได้หรอก  มันจะไปเอง  เพราะว่าพระเจ้าเป็นผู้นำเราไป  และทุกอย่างที่เราทำ ก็คือพระเจ้าเป็นผู้ทำ ผ่านทางร่างกายของเรา แล้วพระเจ้าสั่งแค่ไหน? แค่นั้น มันเป็นพระพร

            นี่คือเรื่องจริงในโลกวิญญาณที่เราจำเป็นต้องรับรู้ และถ้าเรารับรู้ความจริงตรงนี้ปุ๊บ เราจะหายเหนื่อย และเป็นสุข เราจะไม่ต้องซกๆ หรือไม่ต้องทำอะไรให้มันลิ้นห้อย ด้วยกำลังของเราเอง ซึ่งพระเยซูบอกแล้ว …

            “ลูกเอ๋ย ไปทำทำไมให้มันเหนื่อย ฉันทำให้เธอเสร็จหมดทุกอย่างแล้ว”

            แค่ว่าในขณะที่เราอยู่บนโลกใบนี้  พระเจ้าต้องการให้สำแดงตัวตนแท้ๆ ของเรา ก็คือความเป็นเหมือนพระเยซูคริสต์ออกไป สำแดงความรักออกไป สำแดงความสว่างของพระเจ้าออกไป ให้คนรอบข้างได้เห็น

            “ถ้าเจ้าทั้งหลายรักกัน เขาจะได้รู้ว่าเจ้าเป็นสาวกของเรา”

            นี่คือสิ่งที่พระเยซูคริสต์บอก ตอนที่พระเยซูประกาศกับคนยิว คนยิวยังไม่รับเชื่อเลย เขารักไม่ได้หรอก เพราะว่าธรรมชาติข้างในเขาเป็นบาป  เป็นความเกลียดชัง รักไม่ได้ แต่เมื่อเขาเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ปุ๊บ ธรรมชาติใหม่ของเขา คือความรัก เขาไม่ต้องดิ้นรน เพื่อที่จะรักคนอื่น คือในวิญญาณเขารักเลย เหมือนกับปลาว่ายน้ำเป็นเลย เกิดมาว่ายน้ำเป็นเลย ออกมาเป็นลูกน้ำ ก็ว่ายเลย ปลาไม่ต้องพยายามดิ้นรนว่า …

            “ฉันต้องว่ายๆ”

            ไม่ต้อง เขาเกิดมา เขาว่ายน้ำเป็นเลย  แค่เขาพัฒนาการเป็นปลาของเขา ให้ว่ายคล่องขึ้น นึกออกไหม? เหมือนกัน นกเกิดมาในตัวตนของนก คือเขาบินได้เลย  แต่เขาจะพัฒนา พ่อแม่จะค่อยๆ ฝึกฝนเขา ให้ปีกเขาแข็งแรง พอถึงเวลาที่เขาจะบิน เขาก็จะบินขึ้นเองเลย แล้วเขาก็จะฝึกฝนพัฒนาการบินให้ดีขึ้น ลูกของพระเจ้าเหมือนกัน เราไม่ต้องพยายามที่จะทำอะไรให้มันเหนื่อยแรง

            แต่พระเจ้าบอก … “ธรรมชาติใหม่ของเธอ คือเป็นเหมือนฉัน เป็นความรัก เป็นแสงสว่าง เธอแค่รับรู้ความจริงตรงนี้  แล้วก็ปล่อยให้ธรรมชาติใหม่ของเธอฉายออกมา พัฒนาขึ้นมาเรื่อยๆ เพื่อเธอจะได้ฉายแสงให้กับคนอื่นได้เห็นถึงความรักที่ยิ่งใหญ่ของพระเจ้าที่อยู่ภายในเธอ”

            พระเจ้าอวยพรค่ะ

***********************

จากใจคณะศิษยาภิบาล

            ความจริงในโลกวิญญาณที่มนุษย์ทุกคนควรใส่ใจ ใคร่ครวญ รับรู้ ให้เข้าถึง

            มนุษย์ทุกคนได้อาศัยอยู่ใน DNA ของอาดัม บรรพบุรุษคนแรก  ซึ่งพระเจ้าให้กำเนิด  เป็นลูกที่รักของพระองค์  มี DNA ของชีวิตที่เต็มไปด้วยพระสิริเหมือนพระเจ้า  อยู่ในบ้าน  คือสวรรค์ของพระองค์  ทุกสิ่งดีสมบูรณ์แบบไม่มีที่ติ  เพราะถูกสร้างด้วยความรัก  ด้วยพระสิริของพระองค์

            ครั้นอาดัม  ซึ่งมีเราทั้งหลายมนุษยชาติอยู่ใน DNA  ตัดสินใจตามการยุแยงของมาร  ไม่เชื่อฟังพระเจ้า  ออกจากบ้าน  ออกจากสวรรค์  มาอยู่ตามลำพัง  พึ่งพาการกระทำของตนเอง  แทนที่จะพึ่งพาการกระทำของพระเจ้า

            การกระทำของอาดัมนี้  เรียกว่าบาป  คือไม่ได้เป็นไปตามเป้าหมาย  แผนการของพระเจ้าตั้งแต่เริ่ม คือให้พึ่งพาในพระเจ้าทุกสิ่ง  ไม่ใช่พึ่งพาในตนเอง ซึ่งเป็นไปไม่ได้  เพราะพระเจ้าทรงสร้างมนุษย์ให้พึ่งพาพระองค์ในทุกสิ่ง

            ผลจากความบาปนี้ คือความตายจาก DNA ของชีวิต  ที่เต็มไปด้วยพระสิริเหมือนพระเจ้า  จากการอยู่ในบ้าน  คือสวรรค์ของพระองค์  ทุกสิ่งดีสมบูรณ์แบบไม่มีที่ติ  กลายเป็นมาอยู่นอกสวรรค์ที่ไม่มีพระเจ้า  ต้องอยู่ด้วยการพึ่งพาการกระทำของตนเอง  คือทำดีได้ดี  ทำชั่วได้ชั่ว  ซึ่งมนุษย์โดยลำพังแล้ว ไม่สามารถกระทำได้สมบูรณ์  เมื่อปราศจาก DNA ชีวิตของพระเจ้า  ที่เรียกว่าพระสิริ

            ผลจากความบาปนี้  กระทบมาถึงมนุษย์ทุกคน เพราะมนุษย์ทุกคนอาศัยอยู่ใน DNA ของอาดัม

            พอมนุษย์ทุกคนเกิดในครรภ์มารดา  ก็ตกอยู่ในความตาย  และความบาป  คือตายจากพระสิริของพระเจ้า  ตายจากความดีงามที่สมบูรณ์แบบของพระเจ้า  และอยู่ในกฎแห่งการพึ่งพาการกระทำของตนเอง ในการกระทำดีละชั่ว  เพื่อให้ดีพร้อมบริสุทธิ์เหมือนพระเจ้า  ซึ่งมนุษย์ไม่มีใครสามารถทำได้เลย

            พระเจ้าจึงต้องทำให้มนุษย์บังเกิดใหม่ซะ!

            ยอห์น 3:3-8 “3  พระเยซูตรัสตอบโดยประกาศว่า “เราบอกความจริงแก่ท่านว่า “ไม่มีใครเห็นอาณาจักร (สวรรค์) ของพระเจ้าได้ ถ้าเขาไม่บังเกิดใหม่” 4 นิโคเดมัสทูลถามว่า “คนจะเกิดใหม่ได้อย่างไร  เมื่อเขาแก่แล้ว  แน่นอนเขาไม่อาจเข้าไปในครรภ์มารดาเป็นครั้งที่สอง เพื่อเกิดออกมาใหม่” 5 พระเยซูตรัสตอบว่า “เราบอกความจริงแก่ท่านว่าไม่มีใครสามารถเข้าอาณาจักรของพระเจ้าได้  ถ้าเขาไม่ได้เกิดจากน้ำ (ในครรภ์ คือเป็นมนุษย์) และ (เกิดใหม่ทางวิญญาณ) โดยพระวิญญาณ 6 มนุษย์ให้กำเนิดมนุษย์ แต่พระวิญญาณให้กำเนิดวิญญาณ 7 ท่านไม่ควรแปลกใจ ที่เราบอกว่า “ท่านต้องเกิดใหม่” 8 ลมพัดไปที่ไหนก็ได้ตามใจชอบ ท่านได้ยินเสียงลม แต่ท่านไม่อาจบอกว่าลมมาจากไหน หรือจะไปที่ไหน ทุกคนที่เกิดจากพระวิญญาณก็เช่นกัน”

            พระเจ้าอวยพรครับ

วารสาร Holy  News   ฉบับที่ 1385 

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  9  ตุลาคม  2022

เรื่อง “คำประกาศของพระเยซู ที่มักมีการเข้าใจผิด” ตอน 8

“คำเทศนาบนภูเขา” EP.7

“ทรัพย์สมบัติในโลก ต้องเหน็ดเหนื่อยหาเอง แต่ทรัพย์สมบัติในสวรรค์ พระเจ้าให้ฟรีๆ”

โดย นคร   เวชสุภาพร

            เรายังอยู่ในซีรี่ย์ชุด “คำประกาศของพระเยซู ที่มักมีการเข้าใจผิด” วันนี้เป็นตอนที่ 8 และเป็น Ep.7 ของเรื่อง “คำเทศนาบนภูเขา”

ตอนที่ 1  จงแสวงหาอาณาจักรของพระเจ้า และความชอบธรรมของพระองค์ก่อน

ตอนที่ 2  คำเทศนาบนภูเขา  Ep 1 : คนป่วยต้องการหมอ  คนบาปต้องการพระเยซู

ตอนที่ 3  คำเทศนาบนภูเขา  Ep 2 : พระเยซูถูกกล่าวหาว่ามาล้มล้างกฎบัญญัติ

ตอนที่ 4  คำเทศนาบนภูเขา  Ep 3 : กฎแห่งกรรม ทำบาปเพียงครั้งเดียว ก็ไม่ได้ไปสวรรค์

ตอนที่ 5  คำเทศนาบนภูเขา Ep 4 : มนุษย์มองที่ความประพฤติภายนอก แต่พระเจ้ามองที่   

วิญญาณข้างใน

ตอนที่ 6  คำเทศนาบนภูเขา Ep 5 : บริสุทธิ์ดีพร้อม เหมือนพระบิดาของท่านในสวรรค์

ตอนที่ 7 คำเทศนาบนภูเขา Ep 6 : ท่านต้องอภัยให้ผู้อื่นก่อน แล้วพระเจ้าถึงจะอภัยให้ท่าน

ตอนที่ 8 (วันนี้) คำเทศนาบนภูเขา Ep 7 : ทรัพย์สมบัติในโลกต้องเหน็ดเหนื่อยหาเอง  แต่ทรัพย์

สมบัติในสวรรค์   พระเจ้าให้ฟรีๆ

            ทั้งหมดรวมวันนี้ 8 ตอน อยากให้ไปทบทวนของเก่าๆ ท่านจะได้เข้าใจพื้นฐาน เบื้องหลังต่างๆ จะได้รู้ว่าพระเยซูมาประกาศ 3 ปี พระองค์มาทำอะไร?  เป้าหมาย คืออะไร? เพื่อจะเป็นพื้นฐานของท่านใน การศึกษาพระคัมภีร์  และดำเนินชีวิตด้วยความเชื่อในพระเยซูคริสต์อย่างถูกต้องตลอดไป

            เรามาทบทวนในบริบท คำเทศนาบนภูเขา พระเยซูกำลังพูดถึงเรื่องอะไร? กับใคร? พระเยซูพูดถึงเรื่องสวรรค์กำลังมาตั้งอยู่กับชาวยิว เป้าหมายการประกาศบนภูเขาของพระเยซู ก็คือพระองค์ต้องการประกาศเรื่องอาณาจักรสวรรค์ที่กำลังจะมาตั้งอยู่ในไม่ช้านี้ ให้กับชาวยิว โดยเฉพาะอย่างยิ่งชาวยิว ที่เป็นฟาริสี สะดูดี  และธรรมาจารย์ที่เย่อหยิ่ง ทะนงตน ภูมิใจนักหนาในความชอบธรรมจอมปลอมของตัวเอง ที่ตัวเองสร้างขึ้นมา นี่คือเบื้องหลัง

            สิ่งที่พระองค์ทรงเน้น ในการประกาศนี้ ก็คืออย่าหน้าซื่อใจคด ปฏิเสธพระมาซีฮาห์ พระผู้ช่วยให้รอด คือพระองค์เอง ทั้งๆ ที่รู้อยู่แก่ใจว่าตัวเองไม่สามารถรักษาบัญญัติได้ครบถ้วนบริบูรณ์ ต้องถูกพิพากษาลงโทษ ให้พินาศหลังความตายอย่างแน่นอน ทั้งๆ ที่รู้ ก็ ยังปฏิเสธ เขาเรียกว่าหน้าซื่อใจคด  พระเยซูมาชี้ บอกทำไม่ได้  แต่ก็ยังฝืนอยากจะทำให้ได้

            พระเยซูกำลังชี้บอกว่ามนุษย์เป็นบาปอยู่ ปัญหาของท่านมันอยู่ที่วิญญาณข้างใน ไม่ได้อยู่ที่การรักษาบทบัญญัติ การกระทำบาปภายนอกหรอก ไม่ได้อยู่ที่ความประพฤติ การกระทำบาปภายนอก ซึ่งการกระทำภายนอก เป็นแค่อาการของบาปที่ข้างใน ซึ่งเป็นอาการที่มองเห็นได้  คือมองเห็นว่าทำบาป ปัญหาใหญ่ของมนุษย์อยู่ที่ภูเขาน้ำแข็งใต้น้ำ ไม่ได้อยู่ที่ยอดภูเขาน้ำแข็งบนน้ำ ที่มองเห็นได้

            ยอดน้ำแข็งบนน้ำ ก็คือเรามองเห็นได้ การกระทำ ความประพฤติ อย่างนี้เรียกว่าบาป แต่ใต้น้ำเรามองไม่เห็น ใหญ่กว่าข้างบนยอด บนน้ำอีกตั้งเยอะ มองไม่เห็น นั่นคือบาปที่อยู่ในวิญญาณของเรา

            เป้าหมายของพระเยซูมาประกาศ 3 ปีนี้ นี่คือหนึ่งส่วนในนั้น เพราะฉะนั้น การแก้ไข จึงต้องรักษา แก้ไขที่ต้นเหตุของมัน ก็คือไปที่ภูเขาน้ำแข็งใต้น้ำ  ก็คือบาปที่อยู่ในใจ ในวิญญาณของมนุษย์เท่านั้น จึงจะรักษาให้หายขาดได้ ก็คือมนุษย์ต้องบังเกิดใหม่เท่านั้น วิญญาณที่บาปอยู่นั้นยังอยู่ มนุษย์ไม่มีอิสระเลย วิญญาณที่ยังเป็นบาปอยู่นั้น ต้องถูกฆ่าให้ตาย ต้องถูกกำจัดออกไป แล้วเปลี่ยนวิญญาณให้ใหม่เท่านั้น นี่คือสิ่งที่พระองค์ทรงพูด 3 ปีนี้ ท่านต้องย้ายวิญญาณ จากการอยู่ในความตาย มาสู่ชีวิตในพระคริสต์ พูดง่ายๆ ซึ่งในอดีต พระเจ้าทรงเมตตาช่วยเหลือ ผ่านทางโลหิตของสัตว์ แห่งพันธสัญญา เรียกว่าสัตวบูชาลบบาปปีละ 1 ครั้ง จนกว่าจะถึงกำหนดเวลาที่จะทรงประทานพระบุตรมาเป็นเครื่องบูชาลบบาปตลอดไป และบัดนี้ พระบุตรก็ได้มาเกิดแล้ว

            นี่คือสิ่งที่พระองค์กำลังประกาศ 3 ปีนี้ แล้วพระบุตรพร้อมแล้ว ที่จะเป็นเครื่องบูชาลบบาปตลอดไปให้กับมวลมนุษย์ พระองค์พูดกับชาวยิวก็จริง แต่การลบบาปนี้ พระองค์จะแถมลงไปว่ามนุษย์ทั้งปวง ก็คือมนุษย์คนใดก็ตาม ที่วางใจในพระองค์ จะได้รับชีวิตนิรันดร์ พ้นจากความพินาศ พ้นจากการถูกพิพากษาลงโทษ พระเจ้าพระบิดากำลังจะยกเลิกพันธสัญญาเดิม วิธีเดิม คือทางสัตวบูชา ถวายเลือดสัตว์ เปลี่ยนมาเป็นพันธสัญญาใหม่ โดยโลหิต หรือเลือดของพระเยซูคริสต์ พระบุตรของพระเจ้า ที่จะสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน เพื่อมนุษย์ทั้งปวงนั่นเอง

            นี่คือสิ่งที่พระองค์กำลังประกาศ พระเยซูประกาศเตือนชาวยิวที่เย่อหยิ่งจองหองเป็นพิเศษว่าถึงเวลาแล้วที่มนุษย์จะแสวงหา นมัสการพระเจ้า ด้วยวิญญาณและความจริง ไม่ได้นมัสการที่วิหาร ที่สร้างด้วยมือมนุษย์อีกต่อไปแล้ว

            การนมัสการ ก็คือการยอมถ่อมตน  แล้วก็เข้าไปหาพระเจ้า ในอดีต ต้องผ่านทางเลือดสัตว์ ถึงจะเข้าไปได้ แต่พระองค์กำลังบอกว่าการนมัสการเข้าหาพระเจ้า เพื่อขอการอภัยบาป ในวิหารที่สร้างด้วยมือมนุษย์นั้น พิธีกรรมนี้จะถูกทำลาย ออกไปแล้ว หลังจากที่พระบุตรของพระเจ้า คือพระองค์เอง สิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน ถูกฝังไว้ในอุโมงค์ แล้วเป็นขึ้นจากความตาย ในวันที่ 3 พระเจ้าก็จะยกเลิกของเก่า แบบเดิมออกไปหมดเลย ซึ่งพระองค์ได้ทรงพูดเอาไว้ในหนังสือยอห์น 4:21-26 เราลองอ่านดูนะ ซึ่งพูดกับหญิงสะมาเรีย … สะมาเรีย ก็คือชาวยิว ที่เป็นยิวลูกผสม แต่เขาก็นมัสการพระเจ้าที่วิหารเหมือนกัน แต่วิหารของเขาอยู่ที่สะมาเรีย เป็นวิหารที่ถูกทำลายไปแล้ว โดยกองทัพอัสซีเรีย แต่วิหารที่เยรูซาเล็มยังมีอยู่ ยังตั้งอยู่ พระเยซูกำลังพูดว่าแห่งแรกยกเลิกไปแล้ว แต่แห่งที่สอง ในเยรูซาเล็ม ก็จะยกเลิกในไม่ช้านี้ “ยกเลิก” คือการถวายสัตวบูชาในวิหาร เปลี่ยนเป็นวิธีใหม่ ลองอ่านดูนะ …

        ยอห์น 4:21-26  “21 พระเยซูประกาศว่า “หญิงเอ๋ย เชื่อเราเถิด ใกล้ถึงเวลาแล้ว เมื่อพวกท่าน จะนมัสการพระบิดา ไม่ใช่ที่ภูเขานี้ หรือที่กรุงเยรูซาเล็ม 22 พวกท่าน ชาวสะมาเรีย นมัสการสิ่งที่ท่านไม่รู้จัก ส่วนเรานมัสการสิ่งที่เรารู้จัก เพราะความรอดมาจากพวกยิว 23 กระนั้น ก็ใกล้ถึงเวลาแล้ว และบัดนี้ ก็ถึงเวลาแล้ว ที่ผู้นมัสการอย่างถูกต้อง จะนมัสการพระบิดา ด้วยจิตวิญญาณและความจริง เพราะพวกเขาเป็นผู้นมัสการ แบบที่พระบิดาทรงแสวงหา 24 พระเจ้าทรงเป็นพระวิญญาณ ผู้ที่นมัสการพระองค์ ต้องนมัสการด้วยจิตวิญญาณและความจริง” 25 หญิงนั้นทูลว่า “ดิฉันรู้ว่าพระเมสสิยาห์ (ที่เรียกว่าพระคริสต์) กำลังเสด็จมา เมื่อพระองค์เสด็จมาแล้ว จะทรงอธิบายทุกสิ่งแก่เรา” 26 แล้วพระเยซูทรงประกาศว่า “เราที่พูดอยู่กับเจ้า คือผู้นั้น”

            “เมื่อพวกท่านจะนมัสการพระบิดา เข้าไปหาพระเจ้า ไม่ใช่ที่ภูเขานี้ หรือที่กรุงเยรูซาเล็มอีกต่อไปแล้ว”

            ที่ภูเขานี้ ก็คือวิหารที่อยู่ในสะมาเรีย … ที่กรุงเยรูซาเล็ม ก็คือวิหารที่กรุงเยรูซาเล็ม ที่ชาวยิวทั้งสองพวกนี้ ทำพิธีนี้อยู่ แล้วพระองค์บอกว่าอย่างไร? ข้อ 20 พระองค์บอกว่า … “แล้วพระเยซูทรงประกาศว่า …” นี่คือสิ่งที่เป็นหัวใจของการประกาศของพระเยซู 3 ปีนี้

            ประกาศว่า “เราผู้ที่พูดอยู่กับเจ้า คือผู้นั้น” เราที่พูดอยู่กับเจ้า คือพระเมสิยาห์  พระเมษโปดกของพระเจ้า ที่จะทรงประทานให้กับมนุษย์ตามพันธสัญญาไว้นั่นเอง นี่คือเป้าหมายของการประกาศของพระเยซู

            พระองค์กำลังบอกว่า เพราะฉะนั้น ท่านฟาริสี สะดูสี ธรรมาจารย์ อย่าเย่อหยิ่งทะนงตน จองหอง จงกลับใจเสียใหม่ จากการแสวงหาความชอบธรรมด้วยตนเอง โดยการรักษาบทบัญญัติอย่างเคร่งครัดนั้น ท่านทำไม่ได้หรอก พระองค์ทรงยกตัวอย่างเหมือนเอาอูฐลอดรูเข็ม ท่านทำไม่ได้ พระเจ้าช่วยท่านให้เป็นผู้ชอบธรรมได้ ท่านทำด้วยตนเองไม่ได้หรอก จงกลับใจใหม่ หันมาวางใจในพระองค์ คือในพระเยซูคริสต์ พระเมษโปดก พระเมสิยาห์ แล้วท่านจะได้รับการบังเกิดใหม่

            นี่ก็อยู่ในบริบทที่พระเยซูประกาศ ท่านจะได้บังเกิดใหม่ วิญญาณของท่านจะเป็นผู้ชอบธรรม บริสุทธิ์ ดีพร้อมที่พระเจ้าสามารถเข้ามาสถิตอยู่ภายในท่านได้  ท่านจะเป็นวิหารที่มองไม่เห็น  ที่ไม่ได้สร้างด้วยมือมนุษย์ แต่ด้วยฤทธิ์เดชอำนาจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า ทำให้ท่านได้บังเกิดใหม่ เป็นวิหารของพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์ ภายในท่าน แล้วท่านก็จะสามารถนมัสการพระเจ้าด้วยวิญญาณและความจริงได้ ด้วยวิธีใหม่นี้ ก็คือต้องวางใจในพระเยซูเท่านั้น นี่ปูพื้นให้ท่าน

            แล้วพระเยซูก็ยกข้อบัญญัติต่างๆ ที่ชาวยิวคุ้นเคย มาวิเคราะห์ให้ดูว่าเป็นอย่างไรบ้าง? เป็นตัวอย่าง ที่จะชี้ให้เห็นว่าท่านทำไม่ได้หรอก ตามมาตรฐานของพระเจ้า ที่อ่านมา ท่านทำไม่ได้ทั้งหมด ที่พระองค์ทรงยกตัวอย่าง ไม่ใช่ ให้พวกยิวไปทำ  แต่ยกตัวอย่างว่าท่านทำไม่ได้หรอก เพราะว่าบาปมันอยู่ในใจของท่าน

            ยกตัวอย่างอย่างเช่นครั้งที่แล้วเราจบลงที่มัทธิว 6:12-15 เราลองมาทวนนิดหนึ่งว่าท่านทำไม่ได้หรอก ทำอะไรไม่ได้ นี่คือหนึ่งในตัวอย่างที่ทำไม่ได้ คือ …

        มัทธิว 6:12, 14-15  “12 ขอทรงโปรดยกบาปผิดของข้าพระองค์ เหมือนข้าพระองค์ยกโทษ (ไม่เอาความ ไม่โกรธไม่เคืองเลย 70×7) ผู้ที่ทำผิดต่อข้าพระองค์นั้น 14 เพราะว่าถ้าท่านยกความผิดของเพื่อนมนุษย์ พระบิดาของท่านผู้ทรงสถิตในสวรรค์ จะทรงโปรดยกความผิดของท่านด้วย 15 แต่ถ้าท่านไม่ยกความผิดของเพื่อนมนุษย์ (ยังโกรธเคือง รำคาญใจ) พระบิดาของท่านจะไม่ทรงโปรด ยกความผิดของท่านเหมือนกัน (ผล ก็คือพินาศในนรก เพราะบาป พันธสัญญาเดิมก็ถูกยกเลิกไปแล้วด้วย  พระบิดารับเฉพาะพระโลหิตของพระบุตร พระเมษโปรดกของพระเจ้าเท่านั้น)”

            “ยกบาปผิดของข้าพระองค์ เหมือนข้าพระองค์ยกโทษ ไม่เอาความ ไม่โกรธเคืองเลยกับคนที่ทำผิดต่อข้าพระองค์นั้น”

            ถ้าเราไม่ยกโทษ ไม่อภัยให้กับผู้อื่น แม้นิดเดียว แค่โกรธเคือง ก็ไม่ยกโทษแล้ว พระเจ้าก็จะไม่ยกโทษให้กับเราด้วย ท่านเห็นอะไรไหม? ทำได้ไหม? ชาวยิวก็ยังไม่เข้าใจ เพราะนี่เป็นเรื่องของความจริงในโลกวิญญาณ ที่พระเยซูประกาศ บอกให้เขาฟังว่าพระองค์มาเพื่ออะไร? ไม่อย่างนั้นเขาโดนลงโทษ พิพากษาแน่นอน เพราะเขาทำไม่ได้ ไม่ใช่ให้เขาพยายามไปยกโทษมนุษย์คนอื่นๆ ไม่ใช่ เพราะเขาทำไม่ได้อยู่แล้ว เมื่อเขาทำไม่ได้ เมื่อเขายกโทษให้คนอื่นไม่ได้  พระเจ้าก็ไม่อภัยบาปให้เขา เขาก็ลงนรก เขาก็ติดบาปอยู่ ก็ไม่ได้ไปสวรรค์ แล้วชาวยิวก็ไม่เข้าใจ รู้ได้อย่างไรไม่เข้าใจ? ก็ขนาดสาวกอยู่ใกล้ๆ ได้ยิน ได้ฟัง ก็ตกใจ แต่ก็ยังวางใจในพระเยซู ยกตัวอย่างเช่น เปโตรและพวกสาวกใกล้ชิด ถามพระเยซูว่า …

            “ถ้าอย่างนั้น คำว่าต้องยกโทษให้คนอื่นกี่ครั้ง”

            จำได้ใช่ไหม? 7 ครั้งหรือ? 7 ครั้งมันเยอะแล้วนะ แต่ยังพอทำได้ไหม? พอได้อยู่ 7 ครั้ง เขาก็คิดในใจว่าพระเยซูกำลังมาสอนให้เขาทำ โดยเฉพาะเปโตรเป็นผู้แรกเลย เพราะว่าเปโตรหุนหันพลันแล่นมาก เดี๋ยวก็โกรธ เดี๋ยวก็อะไร? เขาก็คงหยวนน่า อาจจะยากกว่านี้หน่อย สัก 7 ครั้งได้ไหมพระองค์?  พระองค์ตอบว่าท่านทำไม่ได้หรอก  ไม่ใช่ 7 ครั้ง แต่ถ้าท่านจะทำให้ได้นั้น คือต้อง 70×7 ครั้งต่อความผิดครั้งเดียว ถ้าเขาเหยียบเท้าท่าน ท่านต้องอภัยให้เขา ไม่เคืองอะไรเลย ต้องให้เขาเหยียบ 490 ครั้ง ทำได้หรือเปล่า? พระองค์สรุป พูดง่ายๆ คือทำไม่ได้ นี่คือเป้าหมาย  พูดง่ายๆ ก็คือท่านจะรักษาบทบัญญัติให้ครบถ้วน 100% ด้วยตนเองนั้น ท่านทำไม่ได้หรอก พันธสัญญาเดิม  ก็ไม่มีแล้ว ในอนาคตอันใกล้นี้

            วิหารก็จะไม่มีอีกแล้ว เพราะถูกทำลายไปแล้ว เลือดสัตว์ พระเจ้าไม่รับแล้ว ก็เหลือเพียงทางเดียวเท่านั้น ก็คือทางพระเมสิยาห์ พระบุตรของพระเจ้า ลูกแกะของพระเจ้า โลหิตของพระบุตรของพระเจ้า คือพระเยซูคริสต์เท่านั้นที่จะช่วยท่านให้รอด รับการอภัยบาปได้ จงกลับใจใหม่เถิด นี่คือเป้าหมายของการประกาศของพระเยซู 3 ปี มาอยู่ตรงนี้ทั้งหมด นี่คือสิ่งเดียวที่พระเจ้าพระบิดาประสงค์ให้ท่านทำ ฟังให้ดีๆ การอภัยให้คนอื่น ไม่ใช่สิ่งที่พระบิดาต้องการให้ท่านทำ หรือบอกให้ท่านทำ ไม่ใช่อภัยให้คนอื่น ไม่ใช่ไม่ฆ่าคน ไม่ใช่ไม่โกรธคน ไม่ใช่ไม่ล่วงประเวณี ไม่ใช่ว่าไม่โลภ แต่พระองค์ตรัสว่าสิ่งที่พระบิดาต้องการให้ทำ มีสิ่งเดียวเท่านั้นเอง จะบอกให้ประกาศให้หมดเลย พวกนั้นบอกเราต้องรักษา 613 ข้อ บทบัญญัติพระบิดาให้เรามาบอกให้ท่าน ท่านได้รับความรอดจากนี้ต่อไป พระบิดาต้องการให้ท่านทำอย่างเดียวพอ ก็คือการวางใจในเรา เอเมนไหม? นี่ประกาศดังลั่น

            พระประสงค์ของพระบิดา “จงวางใจในเรา  ผู้ที่พระบิดาส่งมา” พูดง่ายๆ จงวางใจในเรา  ผู้เป็นพระเมสิยาห์ ที่จะมาช่วยท่านให้รอดนั่นเอง นี่คือหัวใจของการประกาศ 3 ปีนี้ อย่าเข้าใจผิด

            เรามาต่อวันนี้ มัทธิว 6:16-34 เราเริ่มที่มัทธิว 6:16-18 ก่อน …

        มัทธิว 6:16-18 “16 เมื่อท่านถืออดอาหาร อย่าทำหน้าเศร้า เหมือนคนหน้าซื่อใจคด เพราะเขาปั้นหน้า เพื่อให้คนเห็นว่าพวกเขากำลังถืออดอาหาร เราบอกความจริงแก่ท่านว่าเขาได้รับบำเหน็จของตนเต็มที่แล้ว 17 ส่วนท่านเมื่อถืออดอาหาร จงล้างหน้า เอาน้ำมันชโลมศีรษะ 18 เพื่อจะไม่เป็นที่สะดุดตาใครว่าท่านกำลังถืออดอาหาร นอกจากพระบิดาของท่าน ผู้ไม่ปรากฏแก่ตา และพระบิดาของท่าน ผู้ทรงเห็นสิ่งที่ทำเป็นการลับจะประทานบำเหน็จแก่ท่าน”

            ย้อนกลับมาที่ตะกี้นี้ ที่ปูพื้นไว้ เป้าหมาย คือท่านทำได้ไหม? ที่เขียนนี้ ที่สั่งนี้ ไม่ใช่มาสอนให้ท่านไปอดอาหาร ไม่ใช่ อดอาหารแล้วอย่าหน้าซื่อใจคด อดอาหารให้มันดีๆ นะ ให้มันมีท่าทีที่ถูกต้อง ไม่ใช่ กำลังบอกท่านทำไม่ได้ๆ เพราะวิญญาณข้างในท่าน เป็นบาป ท่านจะมีท่าทีที่ไม่ถูกต้องแน่นอน คือการอดอาหาร จะเป็นประเพณีวัฒนธรรม ตามศาสนาของยิวเท่านั้นนะ เป็นการแสดงการถ่อมใจ ของประชากรชาวยิวมาตั้งแต่อดีต เป็นวัฒนธรรมของเขา

            การถ่อมใจ  ก็คือการอดอาหารต่อหน้าพระเจ้าว่านี่ฉันถ่อมใจ เชื่อในพระองค์  แสดงออกทางด้านปฏิบัติ แต่ฟาริสี สะดูสี ธรรมาจารย์ในใจจริงๆ มันเย่อหยิ่งจองหอง มันทำไม่ได้หรอก มันอดที่จะอดอาหาร แล้วโชว์ให้คนอื่นรู้ มันอดไม่ได้ มันเป็นไปไม่ได้ เดี๋ยวคนอื่นยกย่องไม่ได้ แล้วข้อสำคัญ ก็คือในหนังสือพันธสัญญาใหม่ ในจดหมายฝาก ที่เขียนถึงคริสเตียน ที่ไม่ใช่ชาวยิว ทีหลังนั้น ไม่มีการกล่าวถึง หรือแนะนำให้อดอาหารเลยแม้แต่นิดหนึ่ง ไม่มีเลย เพราะว่าต่างชาติที่เป็นคริสเตียน เขาไม่รู้เรื่อง เขาไม่ได้อยู่ในประเพณีวัฒนธรรมนี้ นี่เป็นเรื่องราวของคนยิว โดยเฉพาะคนยิวที่เคร่งศาสนา  เหมือนฟาริสี ธรรมาจารย์ สะดูสีที่กำลังพูดถึงอยู่นี้ เพราะว่าพวกฟาริสี พวกนี้มักทำการนี้ ก็คือมักอดอาหารอย่างนี้ ตามวัฒนธรรมของยิว ให้ถ่อมใจเฉยๆ แต่คนเหล่านี้ ทำด้วยท่าทีที่ผิด คือทำเพื่อแสวงหาความชอบธรรมของตนเองว่าฉันทำแล้ว ฉันจะชอบธรรมขึ้น แสวงหาลาภ ยศ สรรเสริญบนโลกใบนี้ ก็คือทำ แล้วมีคนยกย่องสรรเสริญว่าเก่ง ว่าดี มีบารมี ยกตัวเองว่าตนเองทำได้เยอะ ทำได้ดี มีบารมีสูงกว่าคนอื่นที่ทำไม่ได้เท่าตนเองทำ

            “ฉันอดอาหารอาทิตย์ละ 1 ครั้ง เธอไม่ได้อดอาหารเลย เธอปีละ 1 ครั้ง อย่ามาเทียบ คนละรุ่นๆ” … นึกภาพออกไหม?

            ถามว่าที่เขาคิดอย่างนี้ ท่าทีในใจเป็นอย่างนี้ เพราะอะไร? เพราะในใจเป็นบาปอยู่ เป็นหลุมศพอยู่ เขาคิดพึ่งพาตนเอง อยู่ในใจนั่นแหละ พอพึ่งพาตนเอง ทำแล้วมีความรู้สึกว่าอยากจะได้ดี ทำได้มากกว่าคนอื่น  เพราะฉะนั้น เขาจึงคิดว่าการทรมานตนเองเยอะๆ แล้วพระเจ้าก็จะโปรดปรานมากกว่าคนอื่นที่ทรมานตนเองน้อยๆ เพราะเขาพึ่งการกระทำของตนเอง

            “ฉันกระทำได้มาก ฉันก็เป็นที่โปรดปรานของพระเจ้าได้พรมาก” คุ้นๆ ไหม?

            มากกว่าคนอื่นที่กระทำได้น้อยกว่า พูดง่ายๆ เขาเน้นเรื่องการกระทำ มากกว่าเรื่องจิตวิญญาณข้างใน ความเมตตาข้างใน แต่ว่าน่าเสียดาย พระเจ้าดูที่ใจ พระเจ้าดูที่ข้างใน พระเจ้าดูที่ภูเขาน้ำแข้งใต้น้ำ พระองค์ไม่ได้ดูที่ตามองเห็น เหมือนกับพวกเขา นี่คือสิ่งที่พระเยซูกำลังชี้ ต่อไปข้อ 19-21 …

        มัทธิว 6:19-21 “19 อย่าสะสม (แสวงหาที่จะมี) ทรัพย์สมบัติเก็บไว้ สำหรับตนในโลก ที่ซึ่ง แมลงและสนิมอาจทำลายได้ และที่ซึ่งโจรอาจงัดแงะเข้าไปขโมยได้ 20 แต่จงแสวงหาที่จะมีทรัพย์สมบัติเก็บไว้ สำหรับตนในสวรรค์ ที่ซึ่งแมลงและสนิมไม่อาจทำลายได้ และที่ซึ่งโจรไม่อาจงัดแงะเข้าไปขโมยได้  21 เพราะทรัพย์สมบัติของท่าน เก็บไว้อยู่ที่ไหน ใจของท่าน ก็อยู่ที่นั่นด้วย”

            ก่อนอื่นต้องมาอธิบายเกี่ยวกับถ้อยคำตรงนี้ก่อน คำว่า “อย่าสะสม” ผมวงเล็บให้ว่า “แสวงหาที่จะมี” คำว่า “อย่าสะสม” มันน่าจะแปลว่าแสวงหาที่จะมีทรัพย์สมบัติเก็บไว้ เพราะว่าอย่าสะสมทรัพย์สมบัติไว้ สำหรับตนในโลก ปรากฏว่าก็มีคนไปแปลผิด ไปหมายความผิด มันไม่ได้หมายความถึงว่าความคิดของมนุษย์ ที่พึ่งพาตนเองว่าทำดีมากๆ บริจาค

            ยกตัวอย่างเช่น บริจาค รักษาบัญญัติให้ถูกต้อง เป็นการสะสมทรัพย์ไว้ในสวรรค์ ซึ่งมนุษย์ทั่วๆ ไป ก็คิดอย่างนี้ทั้งสิ้น ถูกไหม? เขาคิดว่าการทำดี การทำบุญสุนทาน บริจาคเยอะๆ เท่ากับเก็บทรัพย์สมบัติไว้ในสวรรค์ เขาคิดอย่างนี้ ซึ่งมันไม่ถูก มันไม่ใช่ เดี๋ยวเราจะไปดูว่ามันไม่ใช่เพราะอะไร? มันไม่ใช่สะสมทีละนิดทีละหน่อย ทำดีไป จะได้ทรัพย์ นั่นเป็นของคนที่วิญญาณยังไม่ได้บังเกิดใหม่ ยังพึ่งพาการกระทำของตนเอง เพราะนึกว่าทำไปมากๆ ก็ได้เก็บเกี่ยวมากๆ ทำไปเยอะๆ ผลของวิญญาณก็ได้เยอะๆ ทำดีเยอะๆ ในสวรรค์ ก็มีเยอะๆ เขาคิดอย่างนั้น เพราะข้างในยังบาปอยู่  แต่ถ้ามาเป็นคริสเตียนแล้ว ได้บังเกิดใหม่แล้ว จะไม่คิดอย่างนี้ แล้วคิดอย่างไร? มาดูกัน

            พระองค์กำลังพูดถึงเรื่องอะไร? ถ้าไม่ใช่อย่างที่ตะกี้นี้บอกว่าพระองค์ไม่ได้มาสอนให้เราทำดี จะได้สะสมแต้มไว้ในสวรรค์ ถ้าไม่ใช่ แล้วพระองค์กำลังพูดถึงอะไร? พระองค์เปรียบเทียบทรัพย์สมบัติบนโลกที่มองเห็นได้กับทรัพย์สมบัติในสวรรค์ที่มองไม่เห็น พูดง่ายๆ กำลังเปรียบเทียบ ยอดภูเขาน้ำแข็งบนน้ำกับภูเขาน้ำแข็งมหึมาใต้น้ำ  กำลังเปรียบเทียบสิ่งที่มองเห็นกับสิ่งที่มองไม่เห็น

            ทรัพย์สมบัติในโลก ซึ่งเป็นของปลอม ต้องเหน็ดเหนื่อยหาเอง แต่ทรัพย์สมบัติในสวรรค์เป็นของจริง พระเจ้าให้ฟรีๆ นี่สรุปสั้นๆ ทรัพย์สมบัติในโลกนี้ ที่จับต้องมองเห็นได้ ซึ่งเป็นของปลอม เพราะอยู่ไม่นาน มด ปลวก ขโมยๆ เอาไปได้ เป็นของปลอม ไม่จีรังยั่งยืน ต้องเหน็ดเหนื่อยหากันเองนะ ถูกหรือไม่ถูก อันนี้ชัดเจนเลย แต่ทรัพย์สมบัติในสวรรค์ที่พระองค์ทรงสัญญาไว้ เป็นของจริง อยู่ตลอดชั่วนิรันดร์ พระเจ้าให้ฟรี

             ทรัพย์สมบัตินี้คืออะไร? การถูกนับว่าเป็นผู้ชอบธรรม บริสุทธิ์ ดีพร้อมในโลก ฟังให้ดีๆ การถูกนับว่าเป็นผู้ชอบธรรม บริสุทธิ์ ดีพร้อมในโลก ต้องเหน็ดเหนื่อย หาเอง พึ่งพาตนเอง เป็นภาระหนัก เพราะทำไม่ได้  แต่การถูกนับว่าเป็นผู้ชอบธรรม  บริสุทธิ์ ดีพร้อมในสวรรค์ พระเจ้าให้ฟรีๆ แค่เชื่อวางใจในพระเมสิยาห์ พระเยซูคริสต์ พระองค์เท่านั้น ไม่ต้องทำอะไรเลย เป็นพระคุณ เอเมน ให้เราขอบคุณพระเจ้า

            พระองค์กำลังมาชี้ให้กับชาวยิวเห็น และขณะเดียวกัน อนาคตก็จะชี้ให้กับคนไม่ใช่ยิวเห็นด้วย ทรัพย์สมบัติในโลกนี้ เป็นของจอมปลอม คือลาภ ยศ เกียรติที่สร้างขึ้นมาด้วยตนเอง จากการพยายามทำดี สะสมไว้ในใจ ใจก็จดจ่ออยู่ที่ของที่มองเห็นได้ เพราะนึกว่าการกระทำอย่างนั้น มันทำให้ตนเองเป็นผู้ชอบธรรม พระเจ้าพอใจ ก็จดจ่ออยู่อย่างนั้น จดจ่อที่สิ่งของที่จับต้องมองเห็นได้ บนโลกใบนี้ ซึ่งบนโลกใบนี้ พระเยซูก็บอกว่ามันมืดทั้งนั้น มันเป็นบาปทั้งสิ้น ไปจดจ่ออยู่ที่บาป ก็ไม่จีรังยั่งยืน ความชอบธรรมนั้น ก็ไม่จีรังยั่งยืน ทรัพย์สมบัตินั้น ก็กลายเป็นของปลอม คือเดี๋ยวมันก็หายไปแล้ว มันไม่สามารถติดตัวไป ตอนตายจากโลกนี้ เข้าไปสู่มิติวิญญาณ เข้าไปพบพระเจ้า มันไม่สามารถติดตัวไปได้เลย แม้แต่นิดเดียว

            แต่ทรัพย์สมบัติในโลกวิญญาณ ในสวรรค์ เป็นของจริงที่คงอยู่ตลอดไปนิรันดร์ มด ปลวก หรือขโมยก็งัดแงะเอาไปไม่ได้ เห็นภาพชัดไหม? พระเยซูคริสต์เป็นพระมาสิฮาห์ ก็คือทรัพย์สมบัติในโลกวิญญาณ ก็คือตัวพระองค์นั่นเอง พระเยซูคริสต์เป็นทรัพย์สมบัติอันมหาศาล ใครได้พระเยซูคริสต์ไป ก็ได้หมดทุกอย่าง ไม่ต้องทำให้เหน็ดเหนื่อย แค่เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด ก็ได้ทรัพย์สมบัติทุกอย่างที่ต้องการแล้ว นี่พระองค์ต้องการมาชี้ให้เห็นอย่างนี้

            ยกตัวอย่างให้ท่านเห็นผู้หนึ่ง เหมือนครั้งที่แล้วยกตัวอย่างให้เห็น อาจารย์เปาโล คือฟาริสีผู้เย่อหยิ่ง จองหอง และกำลังฟังที่พระเยซูกำลังพูดอยู่นี้ ในอดีต ก่อนที่เขาจะเชื่อในพระเยซูคริสต์ ก่อนที่เขาจะเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เขาเป็นพยานให้รู้ว่าเขาเหน็ดเหนื่อยมากที่ต้องปรับปรุงตนเองตลอดเวลาให้ทำตามบทบัญญัติ ด้วยการพยายามรักษาบทบัญญัติ ที่ยังทำไม่ได้ครบถ้วน เดี๋ยวพลาดโน่นพลาดนี่ มันทำไม่ได้ในใจจะฟ้องอยู่ตลอดเวลา  พยายามที่จะรักษาบทบัญญัติ ที่ยังทำไม่ได้ครบถ้วน  ที่อยู่ในหนังสือบทบัญญัติ ระบุไว้ และอยู่ในใจของเขาที่ระบุไว้ว่าอันนี้ก็ทำไม่ถูก อันนี้ก็ไม่ได้ ที่พระเยซูยกตัวอย่างมาทั้งหมด พอยิ่งทำไม่ได้ ยิ่งพยายามทำ ก็ยิ่งรู้ว่าทำไม่ได้ใหญ่เลย ยิ่งเคร่งเท่าไร? ก็ยิ่งรู้ว่าไม่ได้ ยิ่งเหน็ดเหนื่อยมากขึ้น ยิ่งเหน็ดเหนื่อยมากขึ้นเท่าไร? ยิ่งรู้ว่าตัวเองเป็นคนบาป ต้องการความช่วยเหลือ ยิ่งรู้ว่าความชอบธรรมของตนเองนั้น เป็นของจอมปลอม ก็ยิ่งหมดหวังในการทำสิ่งต่างๆ เหล่านี้ แต่อนิจจา ฟาริสีและคนอื่นๆ มีมากมายที่อาจจะยังไม่ได้ ถ่อมใจ ยังไม่ยอมรับความจริงนี้ ยังคงหน้าซื่อใจคด ทั้งๆ ที่ยังทำไม่ได้ ขอบคุณอาจารย์เปาโลที่พระเยซูคริสต์ช่วยให้เขาได้เห็นถึงสิ่งต่างๆ เหล่านี้ แล้วเขาก็มาเป็นพยานให้ฟังว่านี่มันเป็นอย่างนี้แหละ  ต่อไปข้อ 22-23 …

        มัทธิว 6:22-23 “22 ดวงตา คือประทีปของกาย หากตาของท่านดี ทั้งกายของท่านก็จะเต็มไปด้วยความสว่าง 23 แต่ถ้าตาของท่านเสีย ทั้งกายของท่าน ก็จะเต็มไปด้วยความมืด หากความสว่างในท่าน เป็นความมืดมน ความมืดนั้น จะหนาทึบสักเพียงใด”

            ทำได้ไหม? ทำไม่ได้ เพราะเป็นคนบาป อยู่ในความมืด มองอะไรก็มืดหมด ท่านคิดว่าการรักษาบทบัญญัติ ให้ได้มากๆ นั้น เป็นความสว่าง เป็นความชอบธรรมให้กับท่าน ในตัวของท่าน  ท่านคิดว่าความประพฤติของท่าน ที่พยายามทำให้ถูกต้อง ตามบทบัญญัตินั้น เป็นแสงสว่าง ให้กับชีวิตท่าน ทั้งๆ ที่ใจของท่าน และวิญญาณของท่านอยู่ในบาป อยู่ในความมืดมน แต่ท่านก็คิดว่าอยู่ในความสว่างแล้ว แล้วอย่างนี้ใครเล่าจะช่วยท่านได้ ท่านก็จะไม่แสวงหาพระผู้ช่วยให้รอด เพราะท่านคิดว่าท่านไม่ป่วย ทั้งๆ ที่ป่วย ท่านก็จะไม่เปลี่ยนใจของท่าน นึกว่าตัวเองทำได้ เพราะท่านไปจดจ่ออยู่ที่ความชอบธรรม ที่จะสร้างขึ้นมาด้วยตนเองนั่นเอง  เห็นไหม?

            แล้วพระเยซูบอกว่ามันจะมืดขนาดไหน? คนที่อยู่ในความมืด แล้วรู้ตัวเองว่ามืด มีโอกาสได้รับความรอด คนที่อยู่ในความมืด แล้วนึกว่าตัวเองอยู่ในความสว่างอันนี้ หมดความหวังเลย ข้อ 24  …

        มัทธิว 6:24 “ไม่มีใครเป็นข้าสองเจ้าบ่าวสองนายได้ เขาย่อมเกลียดนายคนหนึ่ง และรักนายอีกคนหนึ่ง หรือภักดีต่อนายคนหนึ่ง และดูหมิ่นนายอีกคนหนึ่ง  ท่านจะรับใช้ ทั้งพระเจ้าและเงินทอง ไม่ได้”

            คือต่อจากเมื่อตะกี้นี้ พระองค์กำลังพูดว่าเพราะใจของท่านไปจดจ่ออยู่ที่ความประพฤติ การกระทำ ใจท่านไปจดจ่ออยู่ที่นั่น จะพึ่งพาตนเอง ท่านจะพึ่งพระเจ้า ก็คือพึ่งพาเชื่อฟังพระเจ้า และขณะเดียวกัน จะพึ่งพาเชื่อฟังตัวเองพร้อมๆ กันได้ไหม? ไม่ได้ ถ้าท่านเย่อหยิ่ง เชื่อฟังตนเอง มั่นใจในการกระทำดีของตนเอง ท่านก็ไม่เชื่อฟังพระเจ้าหรอก เพราะท่านคิดว่าจะไปเชื่อพระเจ้าทำไม? แต่ถ้าท่านเชื่อในพระเจ้า ท่านเองจะเป็นแสงสว่าง ท่านจะรู้ทันทีว่าท่านจะไม่พึ่งตนเองอีกต่อไปแล้ว เพราะท่านได้รับความสว่างแล้ว ทั้งหมดอยู่ที่ใจ ใจท่านต้องเปลี่ยน เปลี่ยนได้ด้วยวิธีอะไร?  มาวางใจในเรา เชื่อในพระเมสิยาห์ แล้วท่านจะได้บังเกิดใหม่ ฟาริสี สะดูสี ธรรมาจารย์ ที่เข้าใจผิดเอ๋ย ที่หน้าซื่อใจคดเอ๋ย ท่านจงอย่าเย่อหยิ่ง ไม่ถ่อมใจ ท่านรักทรัพย์สินเงินทอง ลาภ ยศ สรรเสริญบนโลกใบนี้ มันอยู่ในใจของท่าน ท่านรักที่จะสร้างความชอบธรรมของตนเอง ขึ้นมาด้วยตนเอง ด้วยใจที่สกปรก ไม่ชอบธรรม สร้างขึ้นมา เพื่อข่มเหงผู้อื่น เอาเปรียบผู้อื่น เราจะบอกความจริงให้กับท่าน เราจะแทงใจท่านว่าสิ่งเหล่านี้ เป็นผลจากความบาป ที่อยู่ในใจของท่านทั้งสิ้น ท่านไม่รู้หรือ? อย่าเย่อหยิ่งยอมรับเถอะ เรารู้ความจริงในใจของท่านว่าท่านคิดอะไรอยู่ ทำดีเอาหน้า รักษาบทบัญญัติ แต่ข้างในสกปรกมาก และท่านเป็นทาสของบาปนี้อยู่ คือท่านรับใช้มันอยู่ เป็นทาสมัน ไม่มีทางหลุดออกมาเลย มีผู้เดียวที่จะช่วยท่านได้ คือพระเจ้าช่วยท่านหลุดออกมา ท่านทำให้ตาย อย่างไรก็เป็นทาสมันอยู่ดี เพราะฉะนั้น จงกลับใจใหม่เถิด เพื่อท่านจะได้เข้าสู่สวรรค์ กลับมาเป็นลูกของพระเจ้า เพราะว่าถ้าทรัพย์อยู่ที่ไหน? ของมีค่าของท่านอยู่ที่ไหน? ใจท่านก็อยู่ที่นั่นด้วย ถ้าท่านพึ่งพาตนเอง ใจท่านก็อยู่ที่การพึ่งพาตนเอง ไม่ได้อยู่ในการพึ่งพระเจ้า

            ถ้าท่านพึ่งพระเจ้า ใจท่านก็จะอยู่ที่พึ่งพระเจ้า ไม่ได้พึ่งพาตนเอง ต้องเลือกเอา ของใหม่ของเก่าเอามาปะปนกันไม่ได้ ไม่อันใดอันหนึ่ง ก็ต้องชนะ ท่านจะเป็นข้าสองเจ้าบ่าวสองนายไม่ได้ ลึกซึ้งนะตรงนี้ แต่มันเป็นเรื่องจริง

            ท่านลองคิดดู เอาท่านเป็นตัวอย่าง พอท่านเลิกเย่อหยิ่ง เลิกพึ่งพาตนเอง มาวางใจในพระเยซูคริสต์ เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด ได้บังเกิดใหม่แล้ว ถามว่าตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ท่านพึ่งพระเจ้าหมด ถูกไหม? ท่านบอกว่าท่านเชื่อพระเยซู ได้ไปสวรรค์แล้ว นั่นคือการพึ่งพระเจ้า นี่หมายถึงอย่างนั้น ท่านจะไม่ทำเหมือนเดิมอีกแล้วว่าทำดี เพื่อสะสมไว้ว่าจะได้ไปสวรรค์ แต่ท่านมั่นใจว่าได้ไปสวรรค์แล้ว แต่มีบางคนเท่านั้นเองที่เป็นคริสเตียนแล้วยังทำดีอยู่ เพื่อหวังว่าจะได้ทรัพย์สมบัติมากขึ้นในสวรรค์ แต่ไปสวรรค์ไหม? ไปสวรรค์ก็ไปอยู่แล้ว ก็มั่นใจอยู่แล้ว แต่ถามว่าทำดี เพื่ออะไร? เพื่อจะได้ไปสวรรค์ และได้ตำแหน่งดีๆ หน่อย เดี๋ยวรู้ ดูพระเยซูสอน ต่อไปยาวเลย เรื่องอย่าวิตกกังวล ข้อ 25-32 …

        มัทธิว 6:25-32  “25 เพราะฉะนั้น เราบอกท่านว่าอย่าวิตกกังวล เกี่ยวกับชีวิตของท่านว่าจะเอาอะไรกิน หรือเอาอะไรดื่ม หรือพะวงเกี่ยวกับร่างกายของท่านว่าจะเอาอะไรนุ่งห่ม ชีวิตสำคัญยิ่งกว่าอาหาร และร่างกายสำคัญยิ่งกว่าเครื่องนุ่งห่มไม่ใช่หรือ 26 จงดูนกในอากาศ มันไม่ได้หว่าน หรือเก็บเกี่ยว หรือสะสมไว้ในยุ้งฉาง แต่พระบิดาของท่านในสวรรค์ทรงเลี้ยงดูหมู่นก ท่านไม่ล้ำค่ายิ่งกว่านกเหล่านั้นหรือ 27 ใครบ้างในพวกท่านที่กังวล แล้วต่ออายุตัวเอง ให้ยืนยาวออกไป อีกสักชั่วโมงหนึ่งได้ 28 “แล้วทำไมท่านจึงกังวลเรื่องเครื่องนุ่งห่ม จงดูว่าดอกไม้ในท้องทุ่งงอกงามขึ้นอย่างไร มันไม่ได้ลงแรงหรือปั่นด้าย 29 กระนั้น เราบอกท่านว่าแม้แต่กษัตริย์โซโลมอน เมื่อทรงบริบูรณ์ ด้วยความโอ่อ่าตระการ  ก็ยังไม่ได้ทรงเครื่องงามสง่า  เท่าดอกไม้เหล่านี้  สักดอกหนึ่ง  30 ในเมื่อพระเจ้า ทรงตกแต่งต้นหญ้าในท้องทุ่ง ถึงเพียงนั้น ต้นหญ้า ซึ่งอยู่ที่นี่วันนี้  และพรุ่งนี้  ก็จะถูกโยนลงในไฟ โอ ท่านผู้มีความเชื่อน้อย พระองค์จะไม่ทรงตกแต่งท่าน มากยิ่งกว่า นั้นหรือ 31 ฉะนั้น อย่ากังวลว่า ‘เราจะเอาอะไรกิน?’ หรือ ‘เราจะเอาอะไรดื่ม?’ หรือ ‘เราจะเอาอะไรนุ่งห่ม’ 32 เพราะคนที่ไม่มีพระเจ้า ขวนขวายหาสิ่งเหล่านี้ และพระบิดาของท่านในสวรรค์ ทรงทราบว่า ท่านจำเป็นต้องมีสิ่งเหล่านี้”

            ตรงนี้เป้าหมายของพระเยซูกำลังบอกว่าท่านทำไม่ได้หรอก ทำอะไรไม่ได้ตรงนี้ รวมบริบทนี้นะ คือคำแรกเลย “อย่าวิตกกังวล เกี่ยวกับชีวิตของท่านว่าจะเอาอะไรกิน เอาอะไรดื่มต่างๆ เหล่านั้น อย่าวิตกกังวล พูดๆ ไปตอนจบสุดท้าย ก็บอกว่าเพราะฉะนั้น ท่านอย่ากังวลว่าจะเอาอะไรกิน เน้นอีกแล้ว พระองค์กำลังเน้นว่าท่านอย่ากังวล จงเชื่อ ถ่อมใจ วางใจในพระบิดา นึกออกไหม? ทั้งอย่ากังวล ทั้งวางใจในพระบิดา ทำได้ไหม? ทำไม่ได้ มนุษย์ที่ไม่บังเกิดใหม่ ที่ไม่มีพระเยซูคริสต์สถิตอยู่ข้างในนั้น วิตกกังวลทุกคนแหละ ยอมรับหรือไม่เท่านั้น มากหรือน้อยเท่านั้นเอง

            อย่าวิตกกังวล ให้วางใจในพระบิดา ทุกเรื่อง ทุกอย่าง ไม่ว่าจะเรื่องโลกวิญญาณหรือโลกวัตถุ การกิน การอยู่บนโลกใบนี้ หรือการไปสวรรค์หรือไม่ หรือการเป็นคนชอบธรรมหรือเปล่านั่นแหละ ให้วางใจในพระบิดา เชื่อได้ว่าเป็นพระบิดา เมื่อเชื่อไม่ได้ ก็ทำไม่ได้ เพราะฉะนั้น ไม่สามารถเชื่อว่าพระเจ้าเป็นพระบิดา ไม่สามารถจะไม่วิตกกังวล และวางใจในพระองค์ได้ ในทุกเรื่อง ในทุกสิ่ง ทำไม่ได้

            ทำไม่ได้ เพราะข้อนี้บอกไว้ว่าท่านทั้งหลายเป็นผู้มีความเชื่อน้อย  คำว่า “ความเชื่อน้อย” หมายถึงไม่มีความเชื่อ ไม่ใช่เชื่อน้อย ไร้ความเชื่อ ก็คือท่านยังไม่ได้เกิดใหม่ วางใจในพระบุตร คือพระเยซูคริสต์ พระเมสิยาห์ ท่านไม่ได้วางใจในพระเยซูคริสต์ มีความเชื่อในพระเยซูคริสต์ ท่านทำไม่ได้หรอก หมายถึงที่อ่านมาทั้งหมดพระเยซูยกตัวอย่าง

            ทั้งหมดนี้ ท่านไม่มีทางทำได้หรอก ถ้าขาดพระมาซีฮาห์ คือพระคริสต์ ที่จะช่วยท่านให้บังเกิดใหม่ แล้วพระคริสต์จะเข้าไปสถิตอยู่ในใจของท่าน อยู่กับท่าน จูงท่านเดิน ท่านจึงสามารถวางใจในพระองค์ได้ พระคริสต์ทรงอยู่ในฉัน ท่านจึงวางใจได้ ต้องได้รับการบังเกิดใหม่เท่านั้น ท่านไม่สามารถวางใจ เชื่อและมอบทุกสิ่งทุกอย่างไว้กับพระบิดาได้เลย ถ้าท่านไม่ได้บังเกิดใหม่ ท่านทำไม่ได้หรอก เห็นหรือยัง? บริบทนี้ก็จบตรงนี้อีกแหละว่า …

            “ท่านชาวยิวทั้งหลาย ท่านทำไม่ได้หรอก”

            ไม่กังวลท่านทำไม่ได้หรอก จะเอาอะไรกิน? เอาอะไรดื่ม? แม้แต่ตัวท่านเอง ก็เห็น พระเจ้าดูแลนกในอากาศอย่างไร? พระองค์ทรงดูแล ตกแต่ง กษัตริย์ซาโลมอน ทุกอย่าง มาจากพระองค์ทั้งสิ้น แต่ท่านไม่สามารถเชื่อพระองค์ได้ถึงขนาดนั้นหรอก เพราะว่าท่านยังไม่ได้เกิดใหม่ ท่านไม่สามารถเชื่อว่าพระองค์เป็นพระบิดา ท่านต้องเกิดใหม่เท่านั้น ท่านถึงจะเรียกพระองค์ว่าพระบิดา เพราะพระวิญญาณบริสุทธิ์จะเข้ามาสถิตอยู่ แล้วช่วยท่านให้เริ่มต้นเรียกพระองค์ว่าพระบิดา เพราะรู้จักพระองค์ในวิญญาณแล้ว แต่ถ้าท่านไม่บังเกิดใหม่ ท่านไม่สามารถเรียกพระองค์ว่าพระบิดาได้  ความสัมพันธ์ท่านเรียกพระองค์ว่าเจ้านายๆ พระเจ้า คือเจ้านายของท่าน มันไม่ลึกซึ้งเท่ากันกับพระบิดา และท่านสามารถฝากผีฝากไข้ได้ทุกอย่าง ได้หมดทุกเรื่อง ทั้งเรื่องไปสวรรค์ ทั้งอยู่บนโลกนี้ จะไปทำอะไร ได้แต่ร้อง …

                        “พระคริสต์นำหน้า พระคริสต์นำหน้า” … ก็ว่ากันไป

            คราวนี้มาหัวใจของบริบทนี้ ก็คือมัทธิว 6:33 …

        มัทธิว 6:33 “แต่จงแสวงหาอาณาจักรของพระเจ้า และความชอบธรรมของพระองค์ก่อน และพระองค์จะประทานสิ่งทั้งปวงเหล่านี้แก่ท่านด้วย”

            เห็นอะไรไหม? “แต่” ก็คือทั้งหมดนั้น ท่านทำไม่ได้หรอก แต่สิ่งที่ท่านทำได้ ก็คือจงแสวงหาอาณาจักรของพระเจ้าและความชอบธรรมของพระองค์ก่อน แล้วสิ่งทั้งปวงเหล่านี้  คือที่พูดมาทั้งหมด คือแล้วลาภ ยศ สรรเสริญ ทุกสิ่งที่ท่านแสวงหาบนโลกใบนี้ อะไรที่อยากได้บนโลกใบนี้ ไม่ว่าจะเป็นความร่ำรวย ความแข็งแรง มีชื่อเสียง คนยกย่อง สรรเสริญ ไม่วิตกกังวล ไม่ทะเลาะเบาะแว้ง เต็มไปด้วยความรัก หลับสบาย เต็มไปด้วยสันติสุข แล้วอีกจิปาถะที่อยากได้ทั้งหมด บนโลกใบนี้ พระเจ้าก็จะมอบทุกสิ่งเหล่านี้ให้กับท่าน แถมอีกด้วย คือให้ฟรีๆ แถมให้หมดเลย ทุกสิ่งที่ท่านแสวงหาบนโลกใบนี้ แต่แถมที่ไหน? โลกวิญญาณ แถมที่ในสวรรค์ ไม่ใช่บนโลกใบนี้

            ทรัพย์สมบัติ พระองค์จะเก็บไว้ในสวรรค์ให้กับท่าน ตรงกับเมื่อตะกี้นี้ไหม? ที่บอกว่าไม่ใช่สั่งสม เก็บเอาไว้ให้กับท่าน มันไม่ใช่ของท่านทำเอง แต่เป็นพระองค์ให้กับท่าน แถมฟรีๆ แล้วเก็บไว้ให้ท่านที่ไหน? ที่ในสวรรค์ เพราะสิ่งเหล่านี้ ที่ท่านแสวงหา ถ้าแสวงหาอยู่บนโลกใบนี้ ที่ท่านกำลังแสวงหาอยู่ สิ่งเหล่านี้ มันเป็นของโลกนี้ มันไม่จีรังยั่งยืน ถูกไหม? ทั้งที่ตะกี้นี้ที่เราบอกมา ไม่ว่าจะเป็นความร่ำรวย ก็ไม่จีรังยั่งยืน ความแข็งแรง ก็ไม่จีรังยั่งยืน ชื่อเสียง คนยกย่องสรรเสริญ ไม่จีรังยั่งยืนทั้งสิ้นเลย ตายไป ก็เอาไปไม่ได้ด้วย สิ่งที่แสวงหาบนโลกใบนี้

            แต่สิ่งเหล่านี้ที่พระเจ้าแถมให้กับท่านในสวรรค์ คือทรัพย์สมบัติเหล่านี้ มันอยู่ถาวรนิรันดร์ ในสวรรค์เมื่อวันหนึ่งที่ท่านไปอยู่ในสวรรค์ ท่านจะแข็งแรงนิรันดร์ ร่ำรวยนิรันดร์ มีชื่อเสียงนิรันดร์ คนสรรเสริญ สรรเสริญกันเอง แล้วมีทูตสวรรค์ยกย่องมากมาย สง่าราศีของธรรมิกชนเหล่านี้ งดงามขนาดไหน? นี่ทูตสวรรค์สรรเสริญเรา  แล้วมันอยู่นิรันดร์ เป็นถาวรนิรันดร์เลย

            ความหมาย ก็คือนอกจากจะได้รับการบังเกิดใหม่ เป็นลูกของพระเจ้า ได้อยู่ในสวรรค์กับพระองค์แล้ว ได้เป็นผู้ชอบธรรม บริสุทธิ์ ดีพร้อมเหมือนพระองค์ทันทีแล้ว

            “ได้อยู่ในสวรรค์กับพระองค์แล้ว ได้เป็นผู้ชอบธรรมแล้ว”

            สองอันนี้ ได้โดยการแสวงหา  คือเปิดใจต้อนรับพระเยซูปุ๊บ แสวงหาความชอบธรรม ก็ได้ความชอบธรรม แสวงหาอาณาจักรสวรรค์ ก็ได้สวรรค์ ได้อยู่ในสวรรค์ ได้เป็นผู้ชอบธรรมแล้วทันที ที่เปิดใจรับเชื่อ เปิดใจต้อนรับพระมาซีฮาห์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอด ได้ 2 อันนี้แล้ว ได้ 1 ได้ 2 แล้ว แถมยังได้ลาภ ยศ สรรเสริญ ทรัพย์สมบัติที่จีรังยั่งยืนอยู่เป็นนิรันดร์ ที่พระเจ้าเก็บเอาไว้ให้กับท่าน อยู่ในสวรรคสถาน รอวันคืนที่ท่านจะมารับเมื่อออกจากร่างกายเดิมนี้ คืออย่างที่ตะกี้นี้บอก ร่างกายเดิมนี้ ตายลง วิญญาณออกจากร่าง นั่นแหละ ทรัพย์สมบัติของท่านอยู่ที่นั่น เต็มไปหมดเลย ร่ำรวย แข็งแรง ลาภ ยศ สรรเสริญในวิญญาณ เป็นนิรันดร์ทั้งสิ้น ทรัพย์สินในสวรรค์ มันหมายถึงอย่างนี้ ซึ่งทรัพย์สมบัติในสวรรค์อันมีค่ามหาศาล ที่เก็บให้กับท่านในสวรรคสถาน คืออะไร? เรามาวิเคราะห์กันดู

            ที่ตะกี้บอกแข็งแรงตลอดไป ไม่เจ็บปวดตลอดไป นั่นเขาเรียกว่านิดหน่อยเท่านั้นเอง ที่อยากได้ ร่ำรวยตลอดไป อยากได้มาก ไปอยู่ในสวรรค์ได้เลย เป็นของแถมนิดหน่อย แต่ทรัพย์สมบัติที่มีค่ามหาศาลที่ท่านได้รับแถมนี้ ก็คือเกียรติ สิริ สง่าราศี ร่างกายใหม่ ร่างกายสวรรค์ ที่เป็นเหมือนพระเยซู ที่มีค่ามากมายสูงสุด เกินกว่าที่จะพรรณนาได้

            และแค่นั้นไม่พอ  และได้เข้าครอบครองกับพระเยซูคริสต์ ในสรรคสถานทั้งหมดเลย ครอบครองทั้งในสวรรค์ บนโลกใหม่ที่พระเจ้าสร้างขึ้นใหม่เอี่ยม อย่างดีเยี่ยมให้กับธรรมิกชนทั้งหลาย คือผู้เชื่อทั้งหลาย ลูกๆ ของพระองค์ได้อยู่อาศัยนิตย์นิรันดร์

            นี่คือทรัพย์สมบัติอันมีค่ามหาศาลในสวรรคสถาน ที่ดีกว่าทรัพย์สมบัติในโลกใบนี้มากยิ่งนัก เอเมนไหม? โอเคไหมที่จะตั้งหน้าตั้งตามองไปที่ทรัพย์สมบัติในสวรรค์ ต้องตอบว่าโอเคเลย

            เปาโลจึงบอกว่า … “ข้าพเจ้าทิ้งทุกสิ่งทุกอย่าง มองไปที่ข้างหน้า ทุกสิ่งทุกอย่าง ที่ข้าพเจ้าได้มา มีมาในอดีต ทิ้งหมดทุกอย่างแล้วไปมองเอารางวัลข้างหน้า คือมรดก คือมงกุฎแห่งชีวิต ที่ข้าพเจ้าจะไปรับ” ก็คือสวรรค์นี่แหละ

            เมื่อแสวงหาอาณาจักรสวรรค์ และความชอบธรรมของพระองค์ก่อน และได้พบแล้ว ก็จะมีทรัพย์สมบัติมากมาย ได้ครอบครองแถมอีกต่างหากด้วย

            นี่คือสิ่งที่พระเจ้าจะเพิ่มเติมให้ นอกเหนือจากการได้เป็นผู้ชอบธรรม อยู่ในสวรรค์กับพระองค์แล้วทันที เนื่องจากแสวหาจนเจอ เปิดใจต้อนรับพระเยซูแล้ว แล้วพระเจ้าก็แถมให้ฟรีๆ ไม่ต้องทำอะไรเลย แค่แสวงหาทางเข้าสวรรค์เท่านั้น พอเข้าสวรรค์ได้ ก็จะได้รับทรัพย์สมบัติมากมายในสวรรค์ พร้อมด้วยเลยทันที เป็นพระคุณจริงๆ เอเมน? เป็นพระคุณ ให้ฟรีๆ เลย

            ดังนั้น ทุกคนที่เข้าสวรรค์ ก็เลยได้เท่ากันไหม? คิดตามเหตุผลก็พอแล้ว เพราะฉะนั้น ทุกคนก็ได้เท่ากันหมด เพราะว่ามันเป็นของแถมฟรีๆ ให้กับเราจากพระเจ้า แถมฟรีๆ แปลว่าไม่ได้ให้กับเรา แลกกับการทำงานอะไรของเราเลย

            ฉะนั้น คริสเตียนที่ยังไม่เข้าใจ อย่าหวังลมๆ แล้งๆ ว่าจะได้มากกว่าคนอื่นเขา เมื่อไปสวรรค์ จะได้อยู่ที่ดีกว่าเขา จะมีทรัพย์สมบัติมากกว่าเขา No ไม่เลย แล้วก็ไม่ต้องตกใจกลัว สำหรับคริสเตียนที่ยังไม่เข้าใจ นึกว่าเราทำนิดๆ หน่อยๆ ขอแค่เข้าไปนอนที่พื้นบนสวรรค์ก็ยังเอา อย่าไปคิดอย่างนั้น มันไม่ใช่

            “ฉันได้น้อย อาจจะพอใจว่าได้แค่นี้ ก็พอใจ ไปอยู่ในสวรรค์ อยู่บ้านเล็กๆ ก็พอแล้ว คงไม่เท่ากันกับศิษยาภิบาลได้หลังเบ้อเริ่มเทิ่มเลย”

            อย่าไปคิดอย่างนั้น เพราะได้เท่ากันหมด แต่ละท่าน พระเยซูยกตัวอย่างเจ้าของสวน จำได้ไหม? ทุกคนได้ 1 เดนาริอันเท่าๆ กันหมด ไม่ว่ารักษาบทบัญญัติความประพฤติได้มากหรือน้อย ทุกคนก็ได้เท่ากันหมด เอเมนไหม? เพราะมันไม่ได้ มาด้วยการประพฤติ การกระทำของเรา มันเป็นของแถม เป็นของฟรี ที่พระเจ้าให้เราฟรีๆ โดยพระคุณ ก็ต้องได้เท่ากันสิ สุดท้ายมัทธิว 6:34 …

        มัทธิว 6:34 “เพราะฉะนั้น อย่าวิตกกังวลเกี่ยวกับพรุ่งนี้ เพราะพรุ่งนี้ ก็จะมีเรื่องวิตกกังวล  เกี่ยวกับพรุ่งนี้เอง แต่ละวัน ก็มีความเดือดร้อนของมัน พออยู่แล้ว”

            เพราะฉะนั้น เลิกที่จะพึ่งพาตนเอง จงกลับใจใหม่ หันมาพึ่งพา วางใจในพระมาซีฮาห์ คือพระเยซูคริสต์ดีกว่า จะได้ไม่ต้องวิตกกังวล ถึงวันพรุ่งนี้ จะได้มาบังเกิดใหม่ และพระเยซูก็เข้าไปสถิตอยู่ด้วย พระวิญญาณก็ทรงนำ แล้วเราก็สามารถที่จะมอบทุกสิ่งทุกอย่างไว้กับพระองค์ ในแต่ละวัน ให้พระองค์ทรงนำไปได้ เอเมน ให้กลับใจใหม่ซะ เพราะการบังเกิดใหม่ เป็นลูกของพระเจ้า ที่อยู่ในสวรรค์กับพระเจ้านั้น มันเกิดขึ้นทันทีบนโลกใบนี้ มันไม่ใช่รอไปรับทรัพย์สมบัติแถมๆ ฟรีๆ ในสวรรค์ หลังความตาย อันนั้นเป็นทรัพย์สมบัติ แต่ความชอบธรรม การเป็นลูกของพระเจ้า  การเข้าในสวรรค์นั้น ที่เราแสวงหา มันได้ทันที การบังเกิดใหม่ เกิดขึ้นทันทีบนโลกใบนี้ พระเจ้าเข้ามาสถิตด้วยทันที ที่เรากำลังดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้

            และนี่แหละคือสิ่งที่พระเจ้า พระเยซูกำลังชี้ให้เห็นว่าจากนี้ต่อไป ท่านก็ไม่วิตกกังวลถึงวันพรุ่งนี้แล้ว เพราะแต่ละวันพระเยซูคริสต์ก็ทรงนำหน้าท่านอยู่ นำหน้าไปถึงไหน? 10 ปี 20 ปี No นำหน้าท่านไปจนถึงนิรันดร์ จนถึงวันที่ท่านหลับตา วิญญาณออกจากร่าง พระองค์ก็ทรงอยู่ด้วย ขณะที่เฮือกสุดท้าย ในการหายใจของท่านจะจากโลกนี้ไป พระเยซูก็อยู่ด้วย พอวิญญาณท่านออกจากร่างปุ๊บ ไปสวมร่างกายใหม่ พระเยซูก็อยู่ด้วย ท่านก็ไม่ต้องกังวลถึงวันพรุ่งนี้แล้ว มีแต่วันนี้ๆ

                        “วันนี้เป็นวัน วันนี้เป็นวัน ที่พระเจ้าอวยพร”

            เพราะฉะนั้น พระองค์จึงตรัสว่า …

            “ผู้ใดแบกภาระหนักและเหน็ดเหนื่อย ดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ด้วยความเหนื่อยยาก วิตกกังวล จงมาหาเรา เราจะให้ผู้นั้นหายเหนื่อยและเป็นสุข”

            ถ้าเขาไม่บังเกิดใหม่ เขาหายเหนื่อยไหม? ถ้าเขายังพึ่งพาตนเองอยู่ ไม่ว่าอะไรก็ตาม เขาไม่หายเหนื่อย แต่ถ้าเขาพึ่งพระเยซูคริสต์ ใจเขาจดจ่อแต่ที่พระเยซูคริสต์ ใจเขาไปพักที่พระองค์ อยู่ที่ทรัพย์สินที่พระองค์ทรงจัดเตรียมไว้ในโลกฝ่ายวิญญาณ เขาจะหายเหนื่อยและเป็นสุข พระองค์กำลังพูดกับใคร? พระองค์กำลังพูดกับชาวยิว แต่เราสามารถเอาตรงนี้มาใช้กับคนที่ไม่ใช่ยิว ก็ได้ด้วยเช่นเดียวกัน

            เพราะว่าพระองค์ทรงพูดกับชาวยิว เพื่อให้ชาวยิว ได้รู้ว่าการพึ่งพาตนเองนั้น มันไปไม่รอด  เขาต้องมาหาพระเจ้า ต้องมาแสวงหาแผ่นดินของพระเจ้า และอาณาจักรของพระองค์และความชอบธรรมของพระองค์เสียก่อน  ความชอบธรรมของเขาที่ทำด้วยตนเอง ด้วยความประพฤติของตนเอง มันของจอมปลอม มันไม่จริง ตายไป ก็เอาไปไม่ได้ แต่ความชอบธรรมที่มาจากพระเจ้า เป็นของพระเจ้า มันติดตัวไปได้  และเป็นความชอบธรรมที่สามารถที่เกิดขึ้นได้ทันที ขณะดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้เลยทีเดียว ขอบคุณและสรรเสริญพระเจ้า  พระเจ้าอวยพรครับ

****************

จากใจคณะศิษยาภิบาล

            ข่าวดี คือมนุษย์เลือกที่จะเกิดอีกครั้งในวิญญาณได้  เดี๋ยวนี้ทันที

            โรม 8:9 “โดยความเป็นจริง  ถ้าพระวิญญาณของพระเจ้าได้สถิตอยู่ในพวกท่าน (โดยการเกิดใหม่) แล้ว ท่านก็ไม่ได้กำลังอาศัยอยู่ในบาป  อยู่ในเนื้อหนังในอาดัม  แต่ท่านได้กำลังอาศัยอยู่ในพระวิญญาณในพระคริสต์  ใครก็ตามที่ไม่มีพระวิญญาณของพระคริสต์สถิตอยู่ภายใน  คนนั้นก็ไม่ได้ (บังเกิดใหม่) เป็นของพระองค์”

            ตัวตนแท้จริงของมนุษย์  คือวิญญาณจะต้องอยู่ในสถานที่ใดที่หนึ่งในโลกวิญญาณ  ที่มองไม่เห็น  จับต้องไม่ได้  แต่เป็นอยู่จริง  จริงกว่าโลกวัตถุที่มองเห็นจับต้องได้ด้วยซ้ำ

            พระเจ้าบอกความจริงกับเราว่ามนุษย์ทั้งหลายเกิดมาจากครรภ์มารดา  ร่างกายอยู่บนโลกวัตถุ ที่จับต้องมองเห็นได้  แต่วิญญาณภายใน  อยู่ในโลกวิญญาณ  อาศัยอยู่ในอาณาจักรแห่งความมืดในความบาป ในอาดัมบรรพบุรุษ  อยู่ภายใต้กฎแห่งการทำดีละชั่ว  พยายามพึ่งพาการกระทำดีด้วยตนเอง  เพื่อจะได้เข้าไปอยู่ในอาณาจักรแห่งความสว่างในสวรรค์กับพระเจ้า    ซึ่งพระเยซูตรัสว่ามันไม่มีทางดีพร้อม 100% ได้เลย  ต้องบังเกิด อีกครั้งหนึ่ง  คือนอกจากเกิดจากครรภ์มารดาแล้ว  ต้องเกิดใหม่ในวิญญาณจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ด้วย  จึงจะสามารถบริสุทธิ์ดีพร้อม  เข้าไปอยู่ในอาณาจักรแห่งความสว่างในสวรรค์ของพระเจ้าได้

            ข่าวดี  คือมนุษย์เลือกที่จะเกิดอีกครั้งในวิญญาณได้  เพียงแค่เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์  มาเป็นพระผู้ช่วยให้รอดเท่านั้น  แล้วพระวิญญาณของพระคริสต์  จะเข้าไปในร่างกายของท่าน  ทำอัศจรรย์ให้ท่านเกิดอีกครั้งทันที

            พระเจ้าอวยพรครับ

วารสาร Holy  News   ฉบับที่ 1384

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  2  ตุลาคม  2022

เรื่อง “คำประกาศของพระเยซู ที่มักมีการเข้าใจผิด” ตอน 7

“คำเทศนาบนภูเขา” EP.6

“ท่านต้องอภัยให้ผู้อื่นก่อน แล้วพระเจ้าถึงจะอภัยให้ท่าน”

โดย นคร   เวชสุภาพร

            เราก็ยังอยู่ในซีรี่ย์ชุด “คำประกาศของพระเยซู ที่มักมีการเข้าใจผิด” ผ่านมาแล้ว 6 ตอน วันนี้เป็นตอนที่ 7 และเป็น Ep.ที่ 6 ของเรื่อง “คำเทศนาบนภูเขา” ย้ำกันอีกครั้งหนึ่ง …

            ตอนที่ 1  จงแสวงหาอาณาจักรของพระเจ้า และความชอบธรรมของพระองค์ก่อน

            ตอนที่ 2  คำเทศนาบนภูเขา  Ep.1 : คนป่วยต้องการหมอ  คนบาปต้องการพระเยซู

            ตอนที่ 3  คำเทศนาบนภูเขา  Ep.2 : พระเยซูถูกกล่าวหาว่ามาล้มล้างกฎบัญญัติ

            ตอนที่ 4  คำเทศนาบนภูเขา  Ep.3 : กฎแห่งกรรม ทำบาปเพียงครั้งเดียว ก็ไม่ได้ไปสวรรค์

            ตอนที่ 5  คำเทศนาบนภูเขา Ep.4 :   มนุษย์มองที่ความประพฤติภายนอก       แต่พระเจ้ามองที่วิญญาณข้างใน

            ตอนที่ 6  คำเทศนาบนภูเขา Ep.5 : ต้องบริสุทธิ์ ดีพร้อม เหมือนพระบิดาของท่านในสวรรค์

            ตอนที่ 7 คำเทศนาบนภูเขา Ep.6 : ท่านต้องอภัยให้ผู้อื่นก่อน แล้วพระเจ้าถึงจะอภัยให้ท่าน

            เราได้เรียนรู้กันแล้วในบริบทคำเทศนาบนภูเขา  ซึ่งพระเยซูกำลังชี้ให้ชาวยิวได้เห็นถึงความเป็นไปไม่ได้เลย ที่เขาทั้งหลายจะรักษาบทบัญญัติ กฎหมายทางศีลธรรมของพระเจ้าได้อย่างครบถ้วน บริบูรณ์ ไม่พลาดเลยสักข้อเดียว อย่าลืมตรงนี้เด็ดขาดว่านี่คือเป้าหมายที่พระเยซูกำลังพูดในบริบทคำเทศนาบนภูเขา พระเยซูกำลังประกาศข่าวประเสริฐ เรื่องแผ่นดินสวรรค์ที่กำลังจะมาตั้งอยู่ว่าจะเข้าสวรรค์ได้อย่างไร? ประกาศให้กับชาวยิว บนพื้นฐานของศาสนายิว ที่รักษาบทบัญญัติตามประเพณียิว วัฒนธรรมของยิว การดำเนินชีวิตแบบยิวเท่านั้น ไม่ได้เกี่ยวกับคนอื่นเลย ไม่อย่างนั้นจะเข้าใจบริบทผิด ต้องรู้หัวใจรวมตรงนี้ก่อน

            สรุปย่อๆ ของเรื่องราว ก็คือพระเจ้าได้เตรียมพันธสัญญาใหม่ ให้กับชาวยิวแล้ว และไม่ใช่จากชาวยิวอย่างเดียว แต่ให้กับมนุษย์ทั้งหลายทั่วไปด้วย หลังจากชาวยิวก่อน

            เบื้องหลัง ก็คือคนยิวยังหลงผิด คิดว่าพวกเขาจะสามารถเป็นผู้ชอบธรรม รอดจากความพินาศ ในนรกได้  เพราะเขารักษาบทบัญญัติ ตามบรรพบุรุษอย่างเคร่งครัด  คือคิดว่าทำให้ได้มากที่สุด พระเจ้าพอใจแล้ว ได้ไปสวรรค์แน่นอน เขาหลงผิดไป แต่จริงๆ แล้ว ไม่ใช่โดยการประพฤติตามบัญญัติของเขา ที่เขาบอกว่าเขาทำได้เยอะ ซึ่งไม่มีใครทำได้ครบถ้วนบริบูรณ์ใช่ไหม? จริงๆ แล้ว เป็นพระเมตตาของพระเจ้าที่ทรงอภัยบาป ให้กับเขาผ่านทางการถวายบูชาเลือดสัตว์ ซึ่งเรียกว่าแกะปัสกา ตามพันธสัญญาเดิม บัญญัตินั้น มีไว้ เพื่อแสดงให้เห็นว่าพวกเขาเป็นคนบาป ต้องการได้รับการช่วยเหลือ เท่านั้น ไม่ใช่ ให้เขาเอาไว้เพื่อยึดถือว่าเขาทำได้เยอะ แล้วก็ได้รับความรอด ใครทำไม่ได้ ก็ตกนรก  เพราะไม่มีใครทำได้ครบถ้วนบริบูรณ์สักคนหนึ่ง นี่เขาหลงผิด คิดไปอย่างนั้น

            แล้วพระเยซูกำลังบอกอะไร? บอกว่าพระเจ้าได้สัญญามาตลอดว่าวันหนึ่งข้างหน้า จะทำพันธสัญญาใหม่ ซึ่งดีกว่าพันธสัญญาเดิมนี้ พันธสัญญาเดิม ก็คือใช้เลือดสัตว์ ลบบาป

            พระเจ้าสัญญาไว้ว่าจะทำพันธสัญญาใหม่ให้ดีกว่าเดิมอย่างมาก บอกไว้ล่วงหน้าแล้ว ตั้งแต่บรรพบุรุษของเขา บอกทางผู้เผยพระวจนะ เล็งให้เห็นถึงว่าพันธสัญญาใหม่ที่ดีกว่าเดิมนั้น ผ่านทางพระบุตร ก็คือพระเยซูคริสต์ พระเมสิยาห์ ภาษาของยิว  นี่เรากำลังเรียนรู้เรื่องราวของคนอื่นเขา ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับเรานะ มันเกี่ยวทางอ้อม ไม่ได้เกี่ยวโดยตรง พระเยซูกำลังพูดกับคนยิว ซึ่งพระเมสิยาห์ ตอนนี้พระองค์ก็อยู่ที่นี่แล้ว กำลังพูดอยู่นี่แหละ

            “ฉัน คือคนนั้นแหละ ที่พระเจ้าสัญญาไว้”

            เพราะฉะนั้น จงกลับใจใหม่ หันมาเชื่อและวางใจในเรา หรือพระเยซูคริสต์ หรือในตัวพระองค์ดีกว่า

            นี่คือหัวใจ ปูพื้นไว้ว่าเรากำลังเรียนบริบท คำเทศนาบนภูเขา พระเยซูกำลังพูดเรื่องอะไร? พระเยซูกำลังชี้ให้เห็นถึงแผนการของพระเจ้าในโลกวิญญาณว่าวันปัสกา คือวันแห่งการยกโทษบาป ตามพันธสัญญาเดิม ปีหนึ่งเขามีครั้งหนึ่ง ตามประเพณีวัฒนธรรม ตามศาสนายิว ในอีกไม่ช้า อีกไม่เกิน 3 ปีนี้ ถ้าพระเยซูพูดเรื่องนี้ตอนปีแรก แห่งการประกาศ ก็หมายถึงอีก 3 ปี จะเป็นวันสุดท้าย ถ้าพระเยซูพูดเรื่องนี้ปีที่ 2 ก็เหลืออีก 2 ปี ถ้าพระเยซูพูดในปีที่เขาจะจับพระเยซูไปตรึง ก็เหลืออีก 1 ปี ถ้าพระเยซูพูดก่อนที่เขาจะตรึงพระองค์ไม่กี่วัน วันปัสกาที่จะถึงนี้ จะเป็นปัสกาสุดท้ายของพวกท่านชาวยิวเอ๋ย

            นี่คือเป้าหมายของพระเยซูที่ประกาศทั้งหมดเลย ประกาศออกมาภายใน 3 ปี ให้กับชาวยิว ไม่ใช่ชาวต่างชาติ เหมือนพวกเรา จะเป็นปัสกาครั้งสุดท้ายของพวกเขา ชาวยิว เราเคยถวายปัสกาไหม?  ไม่เคย ไม่เกี่ยวอะไรกับเรา เรากำลังอ่านเรื่องราวของพวกเขาอยู่ มันจะเป็นปัสกาครั้งสุดท้ายของพวกเขา คือพวกชาวยิว หลังจากที่ชาวยิวได้ทำปัสกาอย่างนี้ ตามบรรพบุรุษของเขามาแล้ว เป็นเวลาตั้ง 1,500 กว่าปี ตั้งแต่สมัยโมเสส ทำมาตลอด เพราะพระเจ้าสั่ง สอนลูก สอนหลานว่าทุกปีต้องทำปัสกาถวายแกะลบล้างบาป

            ปัสกา คือการละเว้นจากโทษของความบาป ทำปีละหนึ่งครั้ง โดยที่หัวหน้าครอบครัว ชาวยิว มีหน้าที่ที่จะถวายแกะหรือแพะ ที่บริสุทธิ์ เป็นเครื่องบูชาลบบาปให้กับตนเอง และครอบครัวทั้งหมด ในครอบครัวของเรา ในบ้านของเรา

            ถึงเวลาที่พระเจ้าจะทำพันธสัญญาใหม่ ก็คือท่านทั้งหลาย ที่เป็นคนยิว ลองคิดนะ พระเจ้าผ่านทางพระเยซูคริสต์ประกาศให้เขาฟังว่าตอนนี้มันถึงเวลาแล้ว ที่พระเจ้าจะเปลี่ยนปัสกาตามที่สัญญาไว้ ปัสกา ก็คือพันธสัญญาเดิม ถวายเลือดสัตว์ ตอนนี้พระองค์จะเปลี่ยนแล้ว โดยส่งพระเยซูคริสต์มา ถึงเวลาที่พระเจ้าจะทำพันธสัญญาใหม่ ซึ่งท่าน … ท่านคือชาวยิวทั้งหลาย จะเป็นตัวแทนของครอบครัวของมวลมนุษย์ นี่มุมใหญ่มาแล้วนะ ตะกี้นี้ครอบครัวเล็กๆ ที่เรียกว่าชาวยิว ตอนนี้ครอบครัวมวลมนุษย์แล้ว ชาวยิวจะเป็นตัวแทนของครอบครัวมวลมนุษย์ที่จะถวายพระเยซูคริสต์ พระบุตรของพระเจ้า เป็นแกะปัสกาไถ่บาปให้กับมวลมนุษย์ ซึ่งจะทำแค่ครั้งเดียวเป็นพอ คือทำวันที่เป็นประเพณี วัฒนธรรมศาสนาของยิว  ปีหนึ่งครั้งหนึ่ง  เขาจะมีวันของเขา แต่ที่เรารู้ ก็คือครั้งเดียว ในปี ค.ศ.33 มีจดบันทึกไว้เลย คือในปีที่พระเยซูถูกตรึงที่ไม้กางเขน และเป็นขึ้นจากความตายในวันที่ 3 นั่นแหละ เป็นครั้งสุดท้าย  หลังจากนั้นแล้ว ไม่มีปัสกาอีกแล้ว คือพระเจ้าเปลี่ยนจากพระเมตตา คือปัสกา ใช้เลือดสัตว์เรียกว่าพระเมตตา แต่ตอนนี้ใช้พระบุตร เรียกว่าเปลี่ยนจากพระเมตตา มาเป็นพระคุณแล้ว นี่มันหมายถึงอย่างนั้น

            ดังนั้น เวลาพระเยซูพูดทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นเทศนาบนภูเขา หรือลงจากภูเขาแล้ว อยู่ในบ้าน หรืออยู่ในบ้านคนอื่นเขาเชิญไป หรือพูด ก็เกี่ยวกับเรื่องเหล่านี้ทั้งหมด เกี่ยวกับเรื่องการเปลี่ยนจากพระเมตตา มาเป็นพระคุณ บทบัญญัติที่เขียนไว้ในหนังสือม้วนของชาวยิว  หรือเขียนไว้ในจิตใจของเขาด้วย ทั้งชาวยิวและไม่ใช่ชาวยิว เป็นบทบัญญัติ ที่ถูกเขียนขึ้นมา เพราะเนื่องจากความบาป และความตายยังคงอยู่ตลอดไป จนสิ้นโลกนี้นั่นเอง เพราะว่าเขาทั้งหลายตกอยู่ในความบาปและความตายในวิญญาณ เขาต้องดำเนินชีวิตตามกฎของวิญญาณที่เต็มไปด้วยความบาปและความตาย แต่การช่วยให้รอด คือการลบบาป เปลี่ยนวิถีใหม่ ให้พันธสัญญาใหม่ ก็คือผ่านทางโลหิตพระเยซูคริสต์เท่านั้น ยกเลิกโลหิตของสัตว์ นี่คือพันธสัญญาใหม่  จากนี้ต่อไป การวางใจ เชื่อในการสิ้นพระชนม์ ขอพระเยซูคริสต์ การไถ่บาปของพระเยซูคริสต์ จึงเป็นทางเดียวเท่านั้น มวลมนุษย์ในภายหลัง ที่ชาวยิวและมวลมนุษย์ จะได้รับความรอดจากการถูกพิพากษาหลังความตาย  และสามารถเข้าไปอยู่ในสวรรค์ได้ทันทีเลย

            นี่คือสิ่งที่พระเยซูกำลังจะมาประกาศ และกำลังประกาศให้กับชาวยิวก่อน เรากำลังเรียนรู้ คำที่พระองค์กำลังประกาศให้กับชาวยิว พระเยซูอธิบายให้ฟัง เพราะเหตุว่ามวลมนุษย์เกิดมาก็อยู่ในบาป  อยู่ใต้กฎของความบาปและความตายอยู่แล้ว เป็นทาสของการกระทำตามบทบัญญัติ กฎแห่งกรรม ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว เป็นทาสอยู่ใต้กฎนี้ทุกคน ซึ่งไม่สามารถที่จะทำดีได้อย่างครบถ้วนบริบูรณ์ ต้องได้รับโทษ จุดเล็กๆ ทำไม่ได้ ก็โดนลงโทษเท่ากับจุดใหญ่ๆ เหมือนกันหมด เพราะข้างในมันเป็นบาป ทำไม่ได้ครบถ้วนบริบูรณ์หรอก

            ไม่ว่าจะเป็นยิวหรือเป็นต่างชาติ ก็ต้องมาวางใจในพระเยซูคริสต์ เข้ามาอยู่ในกฎแห่งพระคุณ กฎแห่งพระคุณนี้แหละ ซึ่งเป็นกฎวิญญาณแห่งชีวิต เพื่อจะได้รับความรอดจากความพินาศ หลังความตายนั่นเอง นี่คือเป้าหมายบริบทที่พระเยซูตั้งใจมาประกาศ เริ่มต้นให้กับชาวยิวก่อน  ก็คือรอดด้วยความเชื่อในพันธสัญญา กำลังบอกชาวยิวว่า …

            “ท่านรอดด้วยความเชื่อในพันธสัญญานะ ไม่ใช่ด้วยการกระทำตามบทบัญญัติที่ท่านคิด  ซึ่งท่านกระทำไม่ได้ครบอยู่แล้ว  ซึ่งแม้แต่อับราฮัม บิดาแห่งความเชื่อ บิดาของชนชาติยิวเอง ยังบันทึกเอาไว้เลยว่าได้รับความรอด โดยความเชื่อ ไม่ใช่โดยความประพฤติเหมือนกัน ท่านไม่เข้าใจหรือ? บิดาของท่าน ที่ท่านบอกท่านนับถือนักหนานั่นนะ  ท่านทำไมไม่ทำตามบรรพบุรุษนั้น”

            นี่คือสิ่งที่พระเยซูเล่า นี่ผมปูเบื้องหลังให้ท่าน ท่านจะได้ศึกษาคำพูดของพระเยซู คำประกาศของพระเยซูบนภูเขาได้ชัดเจนขึ้น  จะได้ลึกซึ้ง เพราะตรงนี้สำคัญกว่าที่ไปอ่านข้อความในนั้น เพราะท่านอ่าน ไม่ได้ปูพื้น มันจะงง เพราะเราไม่ใช่ยิว พระเยซูไม่ได้พูดกับเรา  เราแอบไปอ่านหนังสือของคนอื่นเขา ซึ่งในปัจจุบัน มันผิดกฎหมาย เราไปแอบอ่าน ต้องคิดอย่างนี้

            เพราะฉะนั้น กำลังบอกกับชาวยิวว่า … “พวกนายอย่าหยิ่งทะนงตน เหมือนพวกฟาริสี ธรรมาจารย์ที่คิดว่าตัวเองทำดีได้มากแล้ว อย่าไปคิดอย่างนั้น  แต่จงถ่อมใจยอมรับว่าตัวเองเป็นคนบาป เป็นคนป่วย ไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้ และหันมาวางใจในพระองค์ ให้เป็นพระผู้ช่วยให้รอด”

            ตรงนี้แหละ เป็นจุดประสงค์ใหญ่ของพระเยซูที่ประกาศให้ทั้งหมด จะไปแปล จะไปอ่าน จะไปฟังเลยว่าใครจะอธิบายอย่างไร? ต้องวิ่งมาตรงนี้ว่าเขาแปลเสร็จแล้ว อธิบายเสร็จแล้วพุ่งมาตรงนี้หรือไม่? กำลังอธิบายกับชาวยิวว่าอย่าทะนงตน  เราทะนงตนอย่างนั้นหรือเปล่า? เราก็ไปคิดเอาเองแล้วกัน  เราไปแอบอ่านของเขา

            พระองค์ชี้ให้พวกเขาเห็นว่าไม่ว่าท่านจะเคร่งครัดกับบทบัญญัติ กฎศีลธรรมในศาสนายิวมากเท่าไรก็ตาม ความประพฤติภายนอกนั้น ก็ไม่สามารถเยียวยารักษาเชื้อบาปสกปรก ที่อยู่ในใจ ในวิญญาณของท่านได้หรอก ต่อให้ท่านเคร่งครัดในการตัดกิเลส ตัณหาทางฝ่ายเนื้อหนัง ที่ชักจูง ผลักดันให้ท่านทำบาป ถึงขนาดตัดแขน ตัดขา ควักลูกตาออก ท่านก็จะตายไปพร้อมกับความบาป ที่อยู่ในใจ ในวิญญาณของท่าน ซึ่งเกิดมาเป็นคนบาป กำลังพูดกับคนยิว  เพราะคนยิวเคร่งบัญญัติมาก มากจนกระทั่งเลยไป

            พระเยซูบอก มาตรฐานของพระเจ้า คือคิด โกรธ เคืองคนอื่น ดูถูกคนอื่นว่าไอ้โง่ ก็มีค่าเท่ากับฆ่าคนตาย  โทษเท่ากับฆ่าคนตาย คิดกำหนัดในใจ ก็เท่ากับล่วงประเวณี  เห็นหรือยัง นี่คือมาตรฐานที่พระเยซูคริสต์ กำลังชี้ให้เห็นว่าท่านทำได้ไหม? ตัดแขนตัดขาแล้ว ก็ยังฆ่าคนตายได้ไหม? ตามที่พระเยซูยกมา ยังฆ่าคนตายได้  เพราะว่าแค่คิดเท่านั้น ก็เท่ากับฆ่าเขาตายแล้ว ควักลูกตาออก ก็ยังล่วงประเวณีได้ไหม?  ไม่เห็นแล้วนะ

            เพราะกำหนัดในใจ ถ้ามองภายนอกแล้ว มันต้องเห็นภาพ แต่นี่ไม่เห็นเลย ตาบอดไปแล้ว ควักลูกตาออกเลย ชอบมองนัก ควักออกแล้วยังล่วงประเวณีได้ แค่คิดเท่านั้น เพราะพระเจ้าดูที่ใจ ที่วิญญาณข้างใน ไม่คิดได้ไหม?  ได้ ก็คือตาย  … ตายไปพร้อมกับความบาปที่อยู่ในใจ เห็นไหม? พระเยซูตอกย้ำยืนยันว่าถ้าท่านยังยึดถือกระทำตามบทบัญญัติ ท่านจะสอบไม่ผ่านแน่นอน เมื่อสอบไม่ผ่าน ก็ต้องตกนรกแน่นอน พูดกับใคร? พูดกับชาวยิว ฉะนั้น จงถ่อมใจยอมรับเถิดว่าตนเอง ยังทำไม่ได้ครบถ้วนบริบูรณ์อย่างแน่นอน แล้วจงกลับใจใหม่ หันมาทางใหม่ ทางแห่งพระคุณดีกว่า คือต้อนรับพระเยซูคริสต์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอด  จากโทษของความบาป ซึ่งเป็นทางเดียวเท่านั้นที่จะช่วยให้ท่านเข้าสู่สวรรค์ได้ ที่พระเจ้าได้วางไว้ แล้วส่งพระเยซูมา สัญญาไว้ตั้งนานแล้ว ตั้งแต่บรรพบุรุษของท่านว่าพระมาซีฮาห์จะมากระทำอย่างนี้

            มาตรฐานของพระเจ้าคืออะไร? คือท่านต้องชอบธรรม บริสุทธิ์ ดีพร้อม เหมือนพระเจ้าเท่านั้น จึงจะผ่านประตูสวรรค์ได้  ก็คือต้องเกิดใหม่เท่านั้น พระเยซูยกตัวอย่าง บัญญัติต่างๆ ของพวกชาวยิว  ชาวต่างชาติคุ้นเคยไหม? ไม่คุ้นเคย อ่านก็ไม่รู้เรื่อง เพราะที่พระเยซูยกมาบอกว่า …

            “ท่านเคยได้ยิน มีคำเขียนไว้ว่า …”

            กำลังพูดถึงวัฒนธรรมทางศาสนาของยิวทั้งนั้น ไม่เกี่ยวอะไรกับเราเลย เราไปอ่านพิธีไม่รู้เรื่องหรอก เพราะฉะนั้น พระเยซูยกตัวอย่างอุปมาอะไรต่างๆ เหล่านั้น ประกาศอะไรต่างๆ เหล่านั้น ให้กับพวกยิว ซึ่งคุ้นเคยกับประเพณีเหล่านั้นดี  และชาวยิวเหล่านั้น ที่พระองค์ทรงเน้นในขณะนั้น ก็คือผู้ที่เคร่งครัด รักษาบทบัญญัติ ตามประเพณี ตามศาสนา อย่างเคร่งครัด รักษาอยู่ แล้วพระเยซูก็นำมาเปิดเผยความจริงว่าที่ท่านได้ยินมานั้น มันเป็นอะไร? จากในวิญญาณของท่าน มันไม่ใช่ กำลังบอกเขาจริงๆ ว่าปากกับใจเขาไม่ตรงกัน

            แล้วพระองค์ก็พูดยกตัวอย่างให้เขาด้วยความรักว่าอย่างนี้เขาเรียกว่าหน้าซื่อใจคด ก็คือปากกับใจไม่ตรงกัน การกระทำข้างนอกกับข้างในมันไม่ตรงกันเลย เพราะฉะนั้น ท่านอย่าวางใจในการกระทำภายนอก เพราะว่าท่านจะเป็นคนหน้าซื่อใจคด  ทำไม่ได้ ก็บอกว่าไม่ได้สิ ทั้งๆ ที่รู้ว่าทำไม่ได้ แต่เย่อหยิ่งบอกว่า …

            “ฉันทำได้ ฉันเป็นผู้ชอบธรรม”

            มันชอบธรรมที่ไหน? ในใจเขาเขียนไว้แล้ว  เราทำไม่ได้ พระองค์จึงยกระดับมาตรฐานของความบริสุทธิ์ของพระเจ้าขึ้นมาให้เขาเห็น เปรียบเทียบให้เขาเห็นว่าไม่ได้จริงๆ ถ้าเป็นพระเจ้า พระเจ้าต้องการถึงขนาดคิดก็ไม่ได้นะ  ท่านบอกว่าท่านทำแค่นี้ โอเคแล้ว  ไม่ล่วงประเวณี ไม่ฆ่าคนตาย พอแล้ว แต่มาตรฐานของพระเจ้า คิดก็ไม่ได้นะ เพื่อยกให้เขาเห็นว่าเขาทำไม่ได้จริงๆ เขาเป็นคนบาปจริงๆ  เพื่อว่าเขาจะได้ถ่อมใจยอมรับความจริงตรงนี้ เมื่อถ่อมใจยอมรับความจริง สวรรค์ก็เป็นของเขาเหมือนกับกลุ่มคนแรกในมัทธิว บทที่ 5 กลุ่มคนที่เป็นคนที่ถ่อมใจ  พระเยซูต้องการชี้ให้เขาเห็นแค่นี้

            ซึ่งเราเริ่มต้นตั้งแต่บทที่ 5 ข้อ 1-16 ซึ่งพูดเน้นที่คนถ่อมใจ เขาจะได้รับสวรรค์เป็นของเขา มาข้อที่ 17-48 ที่เราเรียนรู้ไป เน้นถึงคนไม่ถ่อมใจ เรียกว่าพวกเย่อหยิ่งจองหอง ทะนงตน  ก็คือพวกฟาริสี ธรรมาจารย์ พูดเพื่อให้เขาได้ถ่อมใจ คนที่ถ่อมใจอยู่แล้ว พระองค์บอกว่าดี จะได้พร คนที่เย่อหยิ่งจองหอง พระองค์บอกว่ากลับใจใหม่เถอะ มาถ่อมใจซะ เห็นภาพอะไรไหม? ปูพื้นให้ท่านเห็นภาพชัดเจนขึ้น พระองค์กำลังชี้เริ่มต้นเลย เป้าหมายของการมีกฎบัญญัติ ที่ท่านพยายามเคร่งครัดรักษาอยู่นั้น บทบัญญัติมีไว้เพื่อแสดงให้เห็นว่ามนุษย์เป็นคนบาป อยู่ข้างใน ต้องได้รับความช่วยเหลือจากพระเจ้า จงถ่อมใจยอมรับเถิดว่าท่านเป็นคนป่วย ต้องการหมอ ท่านไม่สามารถรักษาตนเองได้ นี่คือเป้าหมาย

            วันนี้มาต่อครั้งที่แล้ว ถึงข้อที่ 48 วันนี้มาต่อบทที่ 6 ข้อ 1-15 … เริ่มข้อ 1 ก่อน …

        มัทธิว 6:1 “จงระวังอย่าทำดีเพื่อเอาหน้า ถ้าทำเช่นนั้น ท่านจะไม่ได้รับบำเหน็จจากพระบิดาของท่านในสวรรค์”

            พูดกับใคร? ชาวยิว แล้วเขาทำได้ไหม  “จงระวังอย่าทำดีเพื่อเอาหน้า” ทำได้ไหม? พระเยซูมาสอนให้เขาพยายามทำใช่ไหม?

            ฟังอีกที พระเยซูกำลังสอนให้พวกชาวยิวกระทำอย่างนี้ หรือไม่ เป้าหมาย ไม่ใช่ แต่กำลังชี้ความจริงว่าเขาทำไม่ได้

            พระองค์กำลังบอกว่า … “นายทำไม่ได้หรอก”

            ไม่ใช่บอกว่า … “ให้นายพยายามทำ”

            ก็ผลักดันให้เขาไปรักษาบัญญัติใหญ่เลย ไม่ใช่ กำลังจะบอกว่าท่านทำไม่ได้ ล้มเลิกความตั้งใจซะ ยอมรับความจริงว่าเราทำไม่ได้ เพราะมันเป็นธรรมชาติของบาปที่อยู่ในตัวของท่าน ข้างในของท่านเป็นบาปอยู่ ข้างในของท่านเป็นโลงศพอยู่ เพราะฉะนั้น ท่านทำดี ในใจท่านก็ชอบให้คนยกย่อง จริงไหม? พูดเบาๆ สิ เดี๋ยวเขาได้ยิน  ท่านทำดี ท่านบอกว่า …

            “ฉันไม่เอาหน้าเอาตา ไม่ต้องมายกยอฉัน”

            แต่ในใจลึกๆ มันกระหยิ่มยินดี … “เฮ้อ! ฉันได้ทำอันนี้แล้วนะ ฉันได้ช่วยเหลือคนจน  ตามที่พระเจ้าบอกแล้ว  พระเจ้าพอใจฉันมาก”

            คุ้นๆ ไหม? นี่มันอยู่ในใจของใคร? ของชาวยิวที่กำลังพูดอยู่นี้

            คราวนี้เราลองเอามาใช้กับเรา  ที่ไม่ใช่ยิวปัจจุบันอยู่ในใจเราบ้างไหม? ท่านเป็นคริสเตียนไม่ได้อยู่ในใจเราแล้ว เราได้รับใจใหม่  ถามว่าแล้วมันยังอยู่ในความคิดเดิมๆ เราก่อนเชื่อพระเจ้า ซึ่งมันค้างอยู่ในโปรแกรม ในสมอง ยังอยู่ไหม? เราชอบไหม? ที่เวลาเราทำแล้วมีคนมาชม ได้พระพรจากพระเจ้ามากเลย เอเมนไหม? เอาไปคิดเอาเองแล้วกัน

            กลับมาหาพวกชาวยิวดีกว่า ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับเรานะ

            พูดกับชาวยิว ทำไมต้องพูดอย่างนี้ ชาวยิวอธิษฐาน ตามบทบัญญัติวันละ 3 ครั้ง แล้วเท่ห์ไหม?  3 ครั้ง พระเยซูยกตัวอย่าง ท่านบอกคนอื่น บอกว่าเราอธิษฐานวันละ 3 ครั้ง พวกนั้น พวกคนบาป ไม่ได้เข้าสักครั้งหนึ่งเลย ใช่หรือไม่? อย่างนี้เขาเรียกว่าทำดีเพื่อเอาหน้า ข้างนอกดูดีไหม? อธิษฐาน 3 ครั้ง ไม่เกี่ยวอะไรกับเรา เกี่ยวกับชาวยิว นี่คือประเพณีทางศาสนายิว

            อ่านพระคัมภีร์ สมมติว่ามีบางคนเท่านั้น ที่เขาอ่านได้ นี่ยิวในอดีต ที่เขาอ่านภาษาออก พระคัมภีร์ไม่ได้มีทุกบ้าน พระคัมภีร์มีไว้ในวิหาร อาทิตย์หนึ่งมาอ่านครั้งหนึ่ง คนที่อ่านได้เท่านั้น หรือคนที่ต้องการศึกษาไปวันธรรมดาก็ได้  แต่คนที่เป็นผู้ศึกษา เป็นพวกธรรมาจารย์ พวกฟาริสี คงแก่เรียน ตั้งใจศึกษาพระคัมภีร์ ศึกษาไป ศึกษามา เท่ห์ คนก็สรรเสริญ คนนี้ปรมาจารย์ …

            “ฉันอ่านพระคัมภีร์ตั้งเยอะ ศึกษาตั้งเยอะ ฉันชอบธรรมมากกว่าเธอที่เป็นคนบาป”

            จริงๆ ก็เป็นคนบาปเท่ากัน เห็นไหม? พระเยซูกำลังพูดอะไร? ต่อข้อ 2-4 …

        มัทธิว 6:2-4 “2 ดังนั้น เมื่อท่านให้ทานแก่คนขัดสน อย่าตีฆ้องร้องป่าว เหมือนที่คนหน้าซื่อใจคด ทำในธรรมศาลาและตามถนนหนทาง เพื่อให้ผู้คนยกย่องชมเชย เราบอกความจริงแก่ท่านว่าเขาได้รับบำเหน็จของตนเต็มที่แล้ว 3 แต่เมื่อท่าน หยิบยื่นแก่คนขัดสน อย่าให้มือซ้ายรู้ สิ่งที่มือขวาทำ 4 เพื่อการให้ของท่านเป็นความลับ แล้วพระบิดาของท่าน ผู้ทรงเห็นสิ่งที่ทำเป็นการลับ จะประทานบำเหน็จแก่ท่าน”

            ถามจริงๆ เขาทำได้ไหม? พระเยซูสอนให้เขาทำไหม?  ไม่ใช่  พระเยซูกำลังมาบอก  เขาทำไม่ได้หรอก  ที่อ่านมาทั้งหมดนี้ คุณทำไม่ได้ เพราะมันเป็นธรรมชาติของความคิดของคนบาป ข้างในมันบาป  ก็คิดแบบเนื้อหนัง ตามระบบของบาป ระบบของการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้  ที่ต่อต้านพระเจ้า ข้างในท่านมันต่อต้านพระเจ้า มันทำอย่างนี้ไม่ได้หรอก ท่านไม่บริสุทธิ์เหมือนพระเจ้า ท่านไม่สามารถทำอย่างนี้ได้หรอก ถูกไหม?   เราอ่านอย่างนี้ทั้งหมด เราฟังแล้วดูเหมือนดี เพราะแรงจูงใจของพวกฟาริสี  ที่เคร่งครัดทำดีตามบทบัญญัติ เหล่านี้ทั้งหมด มากกว่านี้อีก  ไม่ใช่ เพราะว่าเขามีแรงจูงใจ ที่จะทำสิ่งที่ชั่วร้าย ถูกไหม? เขาทำสิ่งที่ดีนะ การช่วยเหลือคนขัดสนอะไรต่างๆ ดีหมด แต่การบังคับตนเองให้ทำตามบทบัญญัตินั้น กฎบัญญัติเปิดโปงในใจเขาว่าเขาทำไม่ได้ครบถ้วนบริบูรณ์  เขาไม่ได้มีเมตตาจริงๆ ข้างในเขาต้องรู้ตัวเอง  เพราะฉะนั้น เขาเป็นคนหน้าซื่อใจคด เป็นหลุมศพฉาบปูนขาว  ถ้าภาษาไทยเขาเรียกว่าข้างนอกดูสดใส ข้างในต๊ะติ๊งโหน่ง เขารู้ แต่เขาไม่ยอมรับ เขารู้ว่าเขาเป็นคนตายอยู่ในบาป เป็นคนบาปในวิญญาณ ไม่สามารถทำตามบัญญัติเหล่านี้ได้ครบถ้วนบริบูรณ์ ตามที่ในใจเขาฟ้องได้

            ในใจเขาฟ้องว่าอย่างนี้มันไม่ถูก แต่เขาทำไม่ได้ แล้วพอไม่ได้ แล้วยังไง พระเยซูจึงมาชี้ให้เขาเห็นว่าทั้งๆ ที่รู้ว่าทำไม่ได้แล้ว ท่านก็ยังเย่อหยิ่งจองหอง ไม่ถ่อมใจ ยอมรับความจริงว่าท่านทำไม่ได้ ฉันทำไม่ได้ และจำเป็นต้องได้รับการช่วยเหลือ คือเป็นคนป่วยไง  ไม่ยอมรับ ต้องได้รับการช่วยเหลือให้บังเกิดใหม่จากพระเจ้าเท่านั้น  เพื่อจะได้เป็นผู้ชอบธรรม บริสุทธิ์ ดีพร้อมเหมือนพระเจ้า  นี่คือสิ่งที่พระเยซูกำลังพูด

            ตัวอย่างเห็นชัดๆ เลย ตัวอย่างฟาริสี ตัวเอ้ ที่ทำอย่างนี้ ก็คืออาจารย์เปาโล พูดด้วยตัวเองว่าก่อนที่จะมาเชื่อพระเจ้า  ใครๆ ก็ยกย่องเขาว่าเขาเป็นคนรักษาบัญญัติมากเลย เคร่งที่สุดแล้ว ไม่มีใครเคร่งเท่านี้อีกแล้ว และเขารู้ตัวเขาเคร่ง  แต่เขาบอกว่า …

            “สิ่งที่ข้าพเจ้าอยากทำ ข้าพเจ้าก็ไม่ได้ทำ สิ่งที่ข้าพเจ้าไม่อยากจะทำ  ข้าพเจ้าก็ทำ โอ๊ย! ข้าพเจ้าเป็นคนน่าสมเพชขนาดไหน? ใครจะช่วยข้าพเจ้าได้”

            นี่คือสิ่งที่พระเยซูกำลังจะชี้ให้พวกเย่อหยิ่งจองหอง ฟาริสี ธรรมาจารย์เหล่านั้นได้เห็นเหมือนที่เปาโลได้เห็น และกลับใจใหม่ซะ เหมือนกัน ชัดเลย พระองค์กำลังชี้ให้เห็น ไม่มีทางเลย ที่ท่านจะทำตามข้อความเหล่านี้ได้หรอก มันเป็นไปไม่ได้ ท่านทำไป มันไม่ใช่แรงจูงใจที่ถูกต้อง ท่านทำได้ ข้างนอกมองเห็น  ทำเหมือนๆ กัน แต่มันไม่ได้มาจากแรงจูงใจข้างในที่ถูกต้อง  ที่เป็นความรักแท้

            ท่านไม่สามารถทำสิ่งเหล่านี้ได้ ด้วยแรงจูงใจที่ถูกต้อง  ท่านไม่สามารถไม่เป็นคนหน้าซื่อใจคดได้เลย นอกจากท่านจะได้รับการอัศจรรย์ บังเกิดใหม่ด้วยวิญญาณ และใจใหม่ โดยวางใจในพระเยซูคริสต์เท่านั้น ท่านจึงจะเลิกหน้าซื่อใจคด เป็นหลุมศพฉาบปูนขาว  ท่านจะเลิกได้ มีทางเดียวเท่านั้น เลิกจากข้างนอกสดใส ข้างในต๊ะติ๊งโหน่ง ทำได้ทางเดียวเท่านั้น คือเชื่อและวางใจในพระเยซู และก็บังเกิดใหม่เท่านั้น นี่คือเป้าหมายที่พระเยซูพูดทั้งหมด  ต่อข้อที่ 5 …

        มัทธิว 6:5  “และเมื่อท่านอธิษฐาน อย่าเป็นเหมือนคนหน้าซื่อใจคด เพราะพวกเขาชอบยืนอธิษฐานในธรรมศาลา และตามมุมถนน เพื่อให้คนเห็น เราบอกความจริงแก่ท่านว่าพวกเขาได้รับบำเหน็จของตนเต็มที่แล้ว”

            พระเยซูกำลังมาสอนให้อธิษฐานใช่ไหม? ไม่ใช่ พระเยซูกำลังมาประกาศว่าเขาทำไม่ได้ มาตรฐานตามที่พระเจ้ากำหนดไว้ เขาทำไม่ได้หรอก เมื่อท่านอธิษฐาน อย่าเป็นเหมือนคนหน้าซื่อใจคด ท่านไม่หน้าซื่อใจคด มีทางไหม? ไม่มีทาง คือมันเป็นไปไม่ได้นั่นเอง

            อธิษฐานอย่าเป็นเหมือนคนหน้าซื่อใจคด  เพราะพวกเขาชอบยืนอธิษฐานในธรรมศาลา คือ กำลังพูดแทงใจดำพวกเขาเองนั่นแหละ การอธิษฐานจริงๆ  คือการคุยกับพระเจ้า  อธิษฐานโชว์คน มันก็คืออธิษฐานให้คนยกย่อง ยกตัวเองขึ้นมาว่าฉันเป็นคนชอบธรรม เป็นคนดี  เห็นหรือยัง? ต่างกันไหม? อธิษฐานแบบสวยๆ ให้คนได้ยินได้ฟัง ก็คือแรงจูงใจในการอธิษฐานที่ไม่ถูกต้อง  กำลังชี้ให้เขาเห็นว่าข้างในใจเขาคิดอะไรอยู่

            ฟาริสีพวกนี้ อาจจะอย่างนี้ก็ได้  อาจจะถึงเวลาอธิษฐาน … “โอ้! ข้าแต่พระเจ้า ผู้ยิ่งใหญ่สูงสุด ข้าพระองค์ทั้งหลายเป็นเหมือนดังทาส ดังหนอน แย่มาก เลวที่สุดเลย พระองค์ยิ่งใหญ่เหลือเกิน”

            ฟังยืดยาวเลย คนฟัง ใช้ภาษาแบบฮีบรู สมมตินะ ผมก็ไม่รู้หรอก เดาเอา ใช้ภาษาฮีบรู แบบที่เปโตร คนธรรมดา ชาวประมงไม่ค่อยเข้าใจ ภาษาสูง ภาษาพระคัมภีร์  เพราะว่าตั้งใจจะให้ประชาชนฟัง แล้วยกย่องว่าเขาเป็นปรมาจารย์ของผู้รับใช้ หรือเป็นปรมาจารย์ของผู้เชี่ยวชาญในทางถ้อยคำพระเจ้า ที่พระเจ้าทรงรักมาก …

            “เป็นผู้มีความชอบธรรมมากกว่าพวกเธอเยอะ พวกเธอต้องมายกย่องฉัน พวกเธอต้องมาซูฮกฉัน พวกเธอต้องมาคารวะฉัน  เอาของมาให้ อะไรต่างๆ มาให้ เพราะฉันมีเกียรติสูงกว่าเธอ”

            ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับเราเลย ถ้าจะเอามาเกี่ยวได้ไหม? มีไหมปัจจุบัน  มีคริสเตียนที่เป็นอย่างนี้ไหม? อันนี้พูดเล่นๆ ลองคิดดู มีคริสเตียนที่เป็นแบบนี้ อธิษฐาน เพื่อคนฟังจะได้รู้สึกว่าเราใช้ภาษาสวยมาก

            “พระบิดาผู้สถิตในสวรรคสถาน ข้าพระองค์ทั้งหลายขอกราบขอบพระคุณพระองค์”

            อันนี้ไม่ได้พูดเพื่อประชดนะ กำลังจะชี้ให้ท่านเห็นว่าพระเยซูกำลังมาแทงใจดำคนยิว ที่เคร่งบัญญัติต่างๆ เหล่านั้นได้รู้ว่าเขาทำไม่ได้ หน้าซื่อใจคด ยอมรับความจริง แล้วพระองค์จะเข้าไปช่วยเหลือเขา แล้วพระองค์มาแล้ว เพื่อช่วยเหลือ ต่อไปข้อที่ 6 …

        มัทธิว 6:6  “เมื่อท่านอธิษฐาน จงเข้าไปในห้อง ปิดประตูและอธิษฐานต่อพระบิดาของท่าน ผู้ไม่ปรากฏแก่ตา แล้วพระบิดาของท่าน ผู้ทรงเห็นสิ่งที่ทำอย่างลับๆ จะประทานบำเหน็จแก่ท่าน”

            นี่ก็พูดถึงคนยิวอีก  เขาทำได้ไหม? ทำไม่ได้ เพราะประเพณีวัฒนธรรมของคนยิว เวลาเขาจะอธิษฐาน  เขาจะมีห้องพิเศษ คือห้องส่วนตัวของเขา เป็นห้องลับ แล้วในห้องนั้น เขาจะทำสัญลักษณ์ไว้ หันหน้าไปที่กรุงเยรูซาเล็ม ทุกวันนี้ชาวยิวบางพวกก็ยังยึดถืออย่างนี้อยู่เลย ต้องหันหน้าไปกรุงเยรูซาเล็ม เหมือนกับบรรพบุรุษในอดีตทำ เป็นบัญญัติว่าอธิษฐานต่อหน้าพระเจ้า ก็คือต่อหน้าวิหาร หันทิศไปทางวิหาร  ไม่ได้เกี่ยวกับเราสักหน่อย เกี่ยวกับชาวยิวเท่านั้น พระองค์กำลังชี้ให้เขาเห็นว่าท่าทีในใจ ในการอธิษฐาน ก็คือพูดกับพระเจ้า  ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับมนุษย์คนอื่นเลย ไม่ต้องได้ยินหรอก มีพระเจ้ากับเราสองคนได้ยิน ซึ่งทำได้ไหม? ทำไม่ได้ แต่ถ้าเผื่อได้บังเกิดใหม่ มาวางใจในพระองค์ เชื่อในพระองค์แล้ว พระองค์เข้ามาสถิตอยู่ในใจ ทำได้ไหมตอนนี้ ทำได้เลย ทำที่ไหนก็ได้  ไม่ต้องมีห้องแล้ว นี่พระเยซูกำลังมาชี้อย่างนั้น บังเกิดใหม่แล้วจะทำที่ไหนก็ได้

            นี่บัญญัติบอกให้คุณทำอยู่ในห้อง คุณก็ต้องอยู่ในห้อง  แต่แล้วคุณก็ทำไม่ได้ เพราะในใจคุณอยากให้คนอื่นสรรเสริญ คุณก็อ้างอันนั้นอันนี้ต่างๆ แล้วก็มาอธิษฐานหน้าวิหาร นอกห้อง ดังๆ ให้คนอื่นเขาได้ยิน  เพื่อคนอื่นเขาจะได้สรรเสริญ บูชา แล้วก็ยกท่าน มีบารมี แล้วก็ซูฮกท่าน นี่พูดกับใคร? ชาวยิว ไม่เกี่ยวกับเรา เกี่ยวทางอ้อมนิดหนึ่ง ต่อไปข้อ 7-8 …

        มัทธิว 6:7-8  “7 และเมื่อท่านอธิษฐาน ไม่ต้องพูดพร่ำซ้ำซากเหมือนคนต่างชาติ เพราะเขาคิดว่าพูดมากๆ พระจึงจะได้ยิน 8 อย่าทำอย่างเขาเลยเพราะพระบิดาของท่าน ทรงทราบว่าท่านต้องการอะไรก่อนที่ท่านจะทูลขอต่อพระองค์”

            เพราะพวกฟาริสี ธรรมาจารย์เหล่านี้ เขาจะบอกคนตามที่เขาคิดอยู่ในใจ ที่เขาคิดว่าเขาทำได้ แล้วก็บอกให้คนทำตามเขา ยกตัวอย่างเช่นต้องจำบทสวดตรงนี้ให้ได้ แล้วสวดให้เป็นประจำ ท่องเลย นี่เรียกว่าอธิษฐานกับพระเจ้า ถูกไหมล่ะ ไม่ถูก อธิษฐานกับพระเจ้า คือต่างคนต่างพูดกับพระเจ้า พูดพระเจ้าเป็นใคร? เราเป็นใคร ก็พูดไป ไม่ต้องมาท่องเป็นบทสวด ในพระคัมภีร์ตอนนี้ พระเยซูบอกว่าบทสวดนั้น เหมือนคนต่างชาติพูดพร่ำซ้ำซาก ก็คือท่องบทสวดซ้ำไปซ้ำมาทุกวัน ท่านทำตัวแบบนั้น พระเจ้าให้ท่านอธิษฐานคุยกับพระองค์  ไม่ได้ให้ท่านสวดแบบคนที่อยู่นอกศาสนายิว แล้วคนอยู่นอกศาสนายิว ท่องเป็นบทสวด แล้วก็สวดซ้ำ ยิ่งซ้ำนานๆ ความรู้สึกมันจะเป็นจริงตามนั้น ขลังดี แล้วท่านก็ทำตัวอย่างนั้น มันก็เหมือนกับชนต่างชาติ พูดไปเรื่อยๆ แล้วมันจะเกิดขึ้น …

            “ในนามพระเยซู พระเยซูแบกรับเอาความบาปผิดของเราไปแล้ว ในร่างกายของพระองค์ ที่ไม้กางเขน  เราหายโรคแล้ว ฉันหายจากโรคมะเร็งแล้ว เพราะว่าพระเยซูแบกรับเอามะเร็งออกไป จากร่างกายฉันแล้ว”

            แล้วมันจะหายนะ คุ้นๆ ไหม? อันนี้ไม่เกี่ยวอะไรกับเราอีกแล้วนะ นี่พูดถึงคนยิวในอดีต พอนึกออกใช่ไหม? ก็คือพูดง่ายๆ ว่าเขาก็ทำไม่ได้อยู่ดี เพราะในใจมันเป็นเหมือนคนต่างชาติ ไม่ต่างกันเลย ต่อไปข้อ 9-11 …

        มัทธิว 6:9-11 “9 ฉะนั้น ท่านควรจะอธิษฐานดังนี้ว่าข้าแต่พระบิดาของข้าพระองค์ทั้งหลายผู้สถิตในสวรรค์ ขอให้พระนามของพระองค์เป็นที่เทิดทูนสักการะ 10 ขอให้อาณาจักรของพระองค์ได้รับการสถาปนาไว้ ขอให้พระประสงค์ของพระองค์สำเร็จในโลกเช่นเดียวกับในสวรรค์ 11 ขอโปรดประทานอาหารประจำวันแก่ข้าพระองค์ทั้งหลายในวันนี้”

            สรุปตรงนี้ คือให้พวกเขารู้ตัวว่าหน้าซื่อใจคด  และให้เขาถ่อมใจ ยอมรับความจริงตรงนี้ โดยให้รู้ว่าพระเจ้าที่ท่านอธิษฐาน ที่พระองค์ทรงสัญญานั้น พระองค์เป็นพ่อของท่านนะ พวกเขาไม่เคยคิดว่าพระเจ้าเป็นพ่อของเขาเลย มาตั้งแต่อดีต เขาถือพระเจ้าเป็นเจ้านายของเขา เจ้านายแห่งชีวิตของเขา เขาไม่สามารถสนิทกับพ่อของเขา ไม่สามารถนับว่าพระเจ้าเป็นพ่อ พระเยซูกำลังชี้ให้เขาเห็น พระเจ้าเป็นพ่อ หวังดีต่อเขามาก ให้เขากลับใจใหม่ ให้เขาถ่อมใจเถิด และบอกด้วยซ้ำว่าทุกสิ่งทุกอย่างอยู่ที่พระเจ้าทั้งสิ้น ให้เขามีท่าทีที่ถ่อมใจต่อพระเจ้า ต้องการที่จะพึ่งพระองค์ในทุกสิ่งเท่านั้น นี่คือสรุป 3 ข้อนี้ ต่อไปข้อ 12-15 …

        มัทธิว 6:12-15 “12 ขอทรงยกโทษความผิดบาปให้ข้าพระองค์ทั้งหลาย เหมือนที่ข้าพระองค์ทั้งหลายได้ยกโทษให้ (ไม่เอาความไม่โกรธเคือง) ผู้ที่กระทำผิดบาปต่อข้าพระองค์ทั้งหลายแล้วนั้น 13 และขออย่าให้ข้าพระองค์ทั้งหลายล้มลงเมื่อถูกทดลอง แต่ขอทรงช่วยข้าพระองค์ทั้งหลายให้พ้นจากความชั่วร้าย เหตุว่าราชอำนาจ และฤทธิ์เดช และพระสิริเป็นของพระองค์สืบๆ ไปเป็นนิตย์ อาเมน 14 เพราะถ้าท่านอภัยให้ผู้ที่ทำผิดต่อท่าน พระบิดาของท่านในสวรรค์จะทรงอภัยให้ท่านด้วย 15 แต่ถ้าท่านไม่ยอมอภัยบาปผิดของผู้อื่น พระบิดาก็จะไม่อภัยบาปผิดของท่านเช่นกัน”

            ตรงนี้ต้องสำคัญมาก ต้องเน้นมากเป็นพิเศษ พระเยซูประกาศว่าถ้าพวกท่านยังคงยึดถือบัญญัติ กฎแห่งกรรม กฎแห่งการกระทำ กฎแห่งตาต่อตา ฟันต่อฟัน เพื่อเป็นผู้ชอบธรรมเข้าสู่สวรรค์ได้ด้วยตนเอง ท่านก็ต้องอธิษฐานกับพระเจ้าอย่างนี้

            สรุปแล้ว อธิษฐานอย่างนี้ ท่านทำได้ไหม? ทำไม่ได้  ไม่ได้มาสอนให้กระทำตามนี้  แต่กำลังมาสอนว่าทำตามนี้ไม่ได้ ไม่มีทาง

            “ขอทรงโปรดยกบาปผิดของข้าพระองค์ เหมือนข้าพระองค์ยกโทษ ผู้ที่ทำผิดต่อข้าพระองค์”

            ก็คือไม่เอาความ ไม่โกรธเคืองเลย

            “เพราะว่าถ้าท่านยกความผิดของเพื่อนมนุษย์ พระบิดาของท่านผู้สถิตในสวรรค์ จะทรงยกความบาปผิดของท่านด้วย  แต่ถ้าท่านไม่ยกความผิดบาปของเพื่อนมนุษย์ ยังโกรธเขา ยังเคืองรำคาญใจอยู่ พระบิดาของท่านจะไม่ทรงโปรดยกความบาปผิดของท่านเหมือนกัน”

            ทำได้ไหม?  พระเยซูกำลังชี้ให้ชาวยิวได้เห็นว่าถ้าเขายังคงเชื่อมั่นในการปฏิบัติตามบทบัญญัติเดิม พวกเขาจะไม่สามารถทำครบถ้วน บริบูรณ์ตามเกณฑ์มาตรฐานของพระเจ้าได้หรอก  เป็นไปไม่ได้อีกแล้ว เตือนอย่างนี้อีกแล้ว ไม่สามารถที่จะเป็นผู้ชอบธรรม บริสุทธิ์ ดีพร้อม เหมือนพระเจ้าได้ พระองค์จึงมาช่วย เปิดทางใหม่ให้กับพวกเขาไง

            ทางเก่า คือจงอภัยให้ผู้อื่นก่อน แล้วพระเจ้าจึงจะอภัยให้กับท่าน

            ทางใหม่ คือพระเจ้าได้ทรงอภัยให้ท่านก่อน นี่คือพันธสัญญาใหม่ อันนี้เราเข้าใจดี เพราะว่าเราอยู่ในพันธสัญญาใหม่ เราคริสเตียน

            ทางใหม่ ก็คือพระเจ้าได้ทรงอภัยให้กับท่านก่อน แล้วท่านจึงจะฝึกฝนแบ่งปันอภัยให้กับผู้อื่น เหมือนที่พระเจ้าได้ทรงอภัยให้กับท่านแล้วนั้น เอเมนไหม?

            นี่พระเยซูกำลังประกาศข่าวประเสริฐให้กับชาวยิวที่ยังไม่ได้เกิดใหม่ ไม่รู้เรื่อง ไม่ได้อยู่ในพันธสัญญาใหม่ ให้รู้ว่านี่คือความจริง ไม่ใช่ให้ท่านทำตามนี้ แต่ให้ท่านรู้ความจริงแล้วรีบหันกลับมาหาพระองค์ แล้วมาอยู่ในทางใหม่  เพื่อจะได้บังเกิดใหม่

            ทางใหม่ คือพระเจ้าอภัยความผิดบาปให้กับเราก่อนแล้ว โดยพระคุณ ความรักที่ไม่มีเงื่อนไข  เป็นความรักแบบอากาเป้  และไม่ใช่อภัยให้เรา ที่ไม่มีเงื่อนไขเฉยๆ แต่ได้เปลี่ยนวิญญาณ และใจใหม่ให้กับเราด้วย ให้เป็นวิญญาณและจิตใจใหม่ที่เป็นเหมือนพระองค์ คือบริสุทธิ์ ดีพร้อม เหมือนพระองค์ เป็นผู้ชอบธรรมเหมือนพระองค์ เป็นความรักเหมือนพระองค์ เป็นความสว่างเหมือนพระองค์ เป็นความดีงามเหมือนพระองค์ เอเมนไหม? ทั้งวิญญาณและใจใหม่

            ผู้ที่อยู่ในพันธสัญญาใหม่  ที่ได้ใจใหม่ เพราะฉะนั้น เราจึงสามารถที่จะให้อภัยในความบาปผิดให้กับผู้อื่นได้ ด้วยความรักแบบอากาเป้ ที่เหมือนพระเจ้า ซึ่งเป็นลักษณะธรรมชาติของวิญญาณ และใจใหม่นี้ เมื่อเราวางใจในพระเยซูและได้บังเกิดใหม่  พระเจ้าเข้ามาสถิตอยู่กับเรา แล้วจะฝึกสอนเราให้ดำเนินชีวิตไปตามธรรมชาติภายในวิญญาณและจิตใจที่เกิดใหม่ บริสุทธิ์สะอาด เป็นผู้ชอบธรรมเหมือนพระเจ้าแล้วนั้น เอเมนไหม?

            นี่คือการประกาศของพระเยซูคริสต์ ให้พวกเขาได้รู้ว่าเขาจะต้องมาวางใจในพระองค์เท่านั้น เหมือนกับเราทั้งหลาย ที่ได้เป็นคริสเตียน วางใจในพระองค์ มาอยู่ในกฎใหม่เท่านั้น มาอยู่ในทางใหม่ ในทางของพระองค์ ในทางแห่งพระคุณเท่านั้น

            ในฐานะที่เราเป็นผู้ที่อยู่ในกฎใหม่ มาดูว่ากฎใหม่เขียนว่าอย่างไร? ทางใหม่ที่พระเยซูประกาศให้กับชาวยิว ตั้งแต่เริ่มต้น มันคืออะไร? โคโลสี 3:13 จะเห็นชัดเจนเลยว่านี่คือทางใหม่ที่พระเยซูเสนอให้กับฟาริสี ธรรมาจารย์และชาวยิวทั้งหลาย …

        โคโลสี 3:13  “จงผ่อนหนักผ่อนเบาซึ่งกันและกัน และถ้าแม้ว่าผู้ใดมีเรื่องราวต่อกัน ก็จงยกโทษให้กันและกัน องค์พระผู้เป็นเจ้าได้ทรงโปรดยกโทษให้ท่านฉันใด ท่านจงกระทำอย่างนั้น เหมือนกัน”

            “องค์พระผู้เป็นเจ้าได้ทรงโปรดยกโทษให้ท่านฉันใด” ยกโทษให้ก่อนแล้ว ท่านจงกระทำอย่างนั้นเหมือนกัน ท่านก็จงไปยกโทษให้คนอื่นเขาเหมือนกัน อีกข้อหนึ่ง เอเฟซัส 4:32 …

        เอเฟซัส 4:32 “และท่านจงเมตตาต่อกัน มีใจเอ็นดูต่อกัน และอภัยโทษให้กัน เหมือนดังที่พระเจ้าได้ทรงโปรดอภัยโทษให้แก่ท่านในพระคริสต์นั้น”

            “และอภัยโทษให้กัน เหมือนดังที่พระเจ้าได้ทรงโปรด ได้ทำแล้ว คืออภัยโทษให้แก่ท่านในพระคริสต์นั้น”

            เอเมน ชัดเจนเลย พระคัมภีร์บอก ในขณะที่เราเป็นคนบาป ชั่ว เลวทราม พระองค์ พระคริสต์ได้ทรงสิ้นพระชนม์เพื่อเรา ให้อภัยเรา ในขณะที่เราเป็นคนบาป  เพราะฉะนั้น เราต้องซึมซับ เอาตรงนี้เข้ามาอยู่ในวิญญาณของเรา เรียกว่าวิญญาณแห่งความรัก ซึมซับความจริงตรงนี้ว่าเราเป็นใคร? เราเป็นความรัก เราอยู่ในพระคริสต์ เราเป็นเหมือนพระคริสต์  แล้วเราก็จะสามารถอภัยให้กับคนอื่น ที่ทำผิดบาปต่อเราได้ แบบไม่มีเงื่อนไข เหมือนกับพระเจ้าได้ จากวิญญาณข้างใน

            ข้อสำคัญ ก็คือกระทำออกมา โดยความประพฤติ ได้มากหรือได้น้อยก็ตาม ก็ไม่มีผลต่อความรอดของเราในวิญญาณเลยแม้แต่นิดเดียว เพราะพระเจ้าอภัยในความบาปผิดให้กับเราก่อนหน้าเรียบร้อยแล้ว เอเมน  ในขณะที่เราบาปอยู่ พระองค์ทรงอภัยให้เราแล้ว  อภัยให้กับเราแล้ว ก็ยังประพฤติบาปอยู่ แต่วิญญาณ สะอาดหมดจด เรียบร้อยแล้ว พระเจ้าก็ค่อยๆ เข้ามาสอนเรา ฝึกเรา ให้ปฏิบัติ ให้สมกับเป็นลูกพระเจ้าที่ดีงามนั้น  แต่เราทำไม่ได้ครบถ้วนบริบูรณ์หรอก จนตายก็ทำไม่ได้ครบถ้วนบริบูรณ์ตามที่พระเยซูกำลังชี้ให้ชาวยิวได้เห็นว่าเขาทำไม่ได้ตามบทบัญญัติหรอก แต่วิญญาณสามารถที่จะบังเกิดใหม่ในพระเยซูคริสต์ได้ พระองค์ทรงมาช่วยแล้ว

            ทางเก่า ก็คือเมื่อท่านไม่ได้เกิดใหม่ ปราศจากวิญญาณใหม่ ปราศจากใจใหม่ ท่านก็ไม่มีความรักแท้แบบพระเจ้า อยู่ข้างในตัวท่านเลย นึกให้ดีๆ นะ ข้างในเป็นบาป เป็นความเกลียดชัง เป็นผู้ฆ่า ขโมยและทำลาย ท่านจึงไม่สามารถที่จะอภัยความบาปผิด ให้กับคนอื่นจริงๆ โดยพระคุณความรัก แบบไม่มีเงื่อนไขได้เลย แม้แต่นิดเดียว  เพราะท่านไม่มีอยู่ในวิญญาณของท่าน ซึ่งผล ก็คือท่านอภัยข้างนอกได้ แต่ในใจท่านยังเคืองอยู่ ข้างนอกบังคับให้ทำ เหมือนที่เปาโลบอก …

            “อยากอภัยให้หมดเลย ยกโทษให้ก็ได้ ไม่เอาความหรอก”

            แต่ในใจก็ยังคิดแค้นอยู่ … “นี่กี่ครั้งแล้ว ไม่รู้กี่ครั้ง กี่หนแล้ว”

            ถ้าตามบัญญัติเดิมที่พระเยซูเตือน ในทางเก่า ท่านทำไม่ได้  อภัยให้คนอื่นไม่ได้ ยังโกรธเคืองคนอื่นอยู่  ผลก็คือพระเจ้าก็จะไม่ให้อภัยในความบาปผิดของท่านด้วยเช่นเดียวกัน  ก็คือท่านก็ต้องตกนรก เพราะไม่ได้รับการอภัยจากพระเจ้า เห็นหรือยัง?

            สรุป ก็คือพระเยซูกำลังบอกว่าท่านทำไม่ได้หรอก ด้วยการกระทำจากกำลังของตนเองที่จะทำให้ตัวเองบริสุทธิ์ สะอาด ดีพร้อมเหมือนพระเจ้าได้ เลิกล้มความเย่อหยิ่ง ความทะนงตนว่าตนเองนั้นสามารถพึ่งพาการกระทำของตน ให้ชอบธรรม ตามมาตรฐานของพระเจ้าได้ เลิกล้มเถิด ท่านทำไม่ได้จริงๆ อย่าเย่อหยิ่ง อย่าทำหน้าซื่อใจคด

            ดังนั้น จงกลับใจใหม่ ถ่อมใจลง  พูดกับคนยิวตามบริบทนี้ แต่สามารถเอามาใช้กับมนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้ได้เช่นเดียวกัน จงกลับใจใหม่ ถ่อมใจลง หันมาพึ่งพระเยซูคริสต์ วางใจในพระองค์ เพื่อจะได้บังเกิดใหม่ ได้รับวิญญาณใหม่ ใจใหม่ที่เป็นเหมือนพระเจ้า  ได้เป็นผู้ชอบธรรม บริสุทธิ์ ดีพร้อมเหมือนพระองค์  เข้าสู่สวรรค์ได้เลยทันที ก่อนอย่างอื่นเลย ก่อนที่ท่านจะไปปฏิบัติอะไรก็ตาม ท่านได้เข้าสวรรค์แล้ว  ปฏิบัติตัวมาทีหลัง

            “เข้าสวรรค์แล้ว มาปฏิบัติตัวทีหลัง”

            เข้าสู่สวรรค์ก่อน  แล้วพระเจ้าก็จะเข้ามาสถิตอยู่ในท่าน ถูกไหม?  แล้วเราจึงยอมให้พระองค์ ที่เข้ามาสถิตอยู่ในเรา สอนเรา นำเรา ด้วยความรัก  ด้วยพระคุณของพระองค์ ให้เราประพฤติดี ตามมาตรฐานของพระองค์  ตามสายตาของพระองค์ ไม่ใช่ตามมาตรฐาน สายตาของเราเอง คิดเอง เออเองว่ามันดี เห็นภาพชัดเจนไหม? ซึ่งชาวยิวเหล่านั้นจะเห็นชัดกว่าเราอีก เพราะว่าของเก่าของเขาต้องเอาเลือดสัตว์ไปถวาย แต่พระเยซูกำลังมาบอกว่าหมดแล้วนะ วิหารก็จะไม่มีแล้ว การถวายเลือดสัตว์ พระเจ้ายกเลิกแล้ว แล้วท่านจะได้รับการอภัยโทษจากพระเจ้าได้อย่างไร? ไม่มีแล้วนะ ท่านจะหลงไป คิดว่าบัญญัตินี้จะทำให้ท่านรอดจากการถูกพิพากษา ลงนรกได้ มันไม่ใช่  มันมาจากพันธสัญญาของเลือดสัตว์ต่างหาก บูชาด้วยเลือดสัตว์ แต่ตอนนี้พระองค์จะยกเลิกการรับเลือดสัตว์แล้ว พระองค์ทำพันธสัญญาใหม่ รับเลือดของพระบุตรของพระองค์แทน ซึ่งครั้งเดียวพอ และถ้าท่านปฏิเสธเลือดของพระองค์ ของพระบุตร พระเยซูคริสต์ ท่านก็ไม่มีอะไรเหลืออยู่แล้วนะ ชาวยิวเอ๋ย

            พวกเราไม่ใช่ชาวยิว พวกเราเลยง่ายหน่อย เพราะเราไม่เคยทำการถวายสัตว์บูชา เป็นเครื่องลบบาปอยู่แล้ว พอเรามาเจอพันธสัญญาใหม่ เราก็แค่เชื่อว่าพระเยซูคริสต์เป็นผู้ไถ่บาปให้กับเรา ที่พระเจ้าส่งมาแค่นั้น แต่ชาวยิวได้ 2 ต่อ คือเห็นชัดๆ เลยว่าวิหารก็ไม่มีแล้วนะ พระเจ้าทำลายวิหารของพระองค์แล้ว โดยม่านฉีกออก 2 ท่อน ในวันที่พระเยซูคริสต์สิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน ปี ค.ศ.33 หมดสิ้นปัสกาเสียที  ไม่มีการทำปัสกาอีกแล้ว ปัสกาสุดท้าย คือพระโลหิตของพระเจ้า คือพระเยซูคริสต์บนไม้กางเขนนั้น ชาวยิวรู้ดีเลย  ถ้าชาวยิวถ่อมใจลง เข้าใจปุ๊บ ชัดเจนกว่าเราอีก เพราะเริ่มต้นที่ชาวยิว  แล้วมาจบลงที่ชาวต่างชาติอีกทีหนึ่ง คือข่าวประเสริฐ

            เพราะฉะนั้น ทั้งยิวและไม่ใช่ยิว ก็คือพวกเราทั้งหลาย สิ่งที่เราต้องทำ ก็คือไม่ใช่เราต้องทำ ความดี  เพื่อจะไปสวรรค์ แต่เราจะต้องวางใจในพระเยซูคริสต์ เพื่อไปสวรรค์ แล้วค่อยมาทำดีทีหลัง  เอเมน สำคัญมากเลย สดุดี 37:3 บันทึกไว้อย่างนี้ว่า …

        สดุดี 37:3 “จงวางใจในพระเจ้าและกระทำความดี ท่านจึงอาศัยอยู่ในแผ่นดินและชื่นบานอยู่กับความปลอดภัย”

            ผมจะแปลให้ท่านแบบชัดๆ “จงวางใจในพระเยซูคริสต์ พระบุตรของพระเจ้า ผู้ช่วยให้รอด และจะเกิดใหม่ และพระเจ้าก็จะเข้าไปสถิตอยู่ในท่าน แล้วท่านก็จะกระทำความดี ตามที่พระวิญญาณบริสุทธิ์สถิตอยู่ในท่าน มานำท่าน พาท่าน สอนท่านให้ดำเนินชีวิต ให้สมกับเป็นลูกของพระเจ้า เอเมนไหม? สุภาษิต 3:5-7 ก็พูดในทำนองเดียวกันว่า …

        สุภาษิต 3:5-7 “5 จงวางใจในพระเจ้าด้วยสุดใจของเจ้า และอย่าพึ่งพาความรอบรู้ของตนเอง 6 จงยอมรับรู้พระองค์ในทุกทางของเจ้า และพระองค์จะทรงกระทำให้วิถีของเจ้าราบรื่น อย่าคิดว่าตนฉลาด 7 จงยำเกรงพระเจ้า และหันจากความชั่วร้าย (คือการพึ่งตนเอง ก็คือบาป)”

            ความชั่วร้าย ก็คือการพึ่งพาตนเอง ก็คือบาป  ก็คือพลาดเป้าหมาย  พระเจ้าสร้างมนุษย์ทั้งหลายบนโลกใบนี้มา เพื่อให้พึ่งพระองค์ ถ้าอยู่นอกพระองค์  ไปไม่รอดแน่นอน อยู่นอกพระองค์ ไม่มีพระองค์ เรียกว่าบาปทั้งสิ้น เพราะฉะนั้น อย่าคิดว่าตัวเองฉลาด  ทำได้ด้วยตนเอง อยู่ในบาปแล้ว ทำอย่างไรก็ไม่ได้

            “จงยำเกรงในพระเจ้า” คือจงยำเกรงในกฎบัญญัติ ที่พระเจ้าวางไว้ ราชอาณาจักร และพระสิริ และพระเกียรติเป็นของพระองค์สืบๆ ไปเป็นนิตย์

            นี่หมายถึงการยกย่องว่าพระเจ้า เป็นผู้พิพากษาของมหาจักรวาล ดูแลกฎระเบียบทุกอย่าง  ถ้าท่านทำถูกกฎระเบียบ ท่านต้องได้ตามนั้นแน่นอน แต่ท่านต้องรู้ความจริงของกฎระเบียบนั้น และเลือกทางที่ถูกต้อง ถ้าท่านเลือกพระเยซูคริสต์ ท่านไปรอดแน่นอน ไม่ว่าหลังจากที่ท่านเกิดใหม่แล้ว ท่านจะมีความประพฤติได้ดีมากขึ้นขนาดไหนก็ตาม  ไม่ได้เกี่ยวกับความรอดของท่านเลย เพราะพระเจ้า เป็นผู้พิพากษาของมหาจักรวาล เป็นผู้ดูแลชีวิตของท่าน จงยำเกรงในพระเจ้า หมายถึงอย่างนี้ เอเมนไหม?

            พระเจ้าอวยพรครับ

**********************

จากใจคณะศิษยาภิบาล

            บังเกิดใหม่เป็นลูกพระเจ้าก็เช่นเดียวกัน​ บางครั้งอาจประพฤติตัวไม่สมฐานะ

            ยอห์น​ 3:3-8​ …

            พระเยซูตรัสตอบโดยประกาศว่า​ …“เราบอกความจริงแก่ท่านว่าไม่มีใครเห็นอาณาจักรของพระเจ้าได้ ถ้าเขาไม่บังเกิดใหม่”

            นิโคเดมัสทูลถามว่า … “คนจะเกิดใหม่ได้อย่างไร เมื่อเขาแก่แล้ว? แน่นอน เขาไม่อาจเข้าไปในครรภ์มารดาเป็นครั้งที่สอง​ เพื่อเกิดออกมาใหม่!”

            พระเยซูตรัสตอบว่า … “เราบอกความจริงแก่ท่านว่าไม่มีใครสามารถเข้าอาณาจักรของพระเจ้าได้​ ถ้าเขาไม่ได้เกิดจากน้ำ​ (ในครรภ์ คือเป็นมนุษย์) และ  (เกิดใหม่ทางวิญญาณ) โดยพระวิญญาณ มนุษย์ ให้กำเนิดมนุษย์ แต่พระวิญญาณ ให้กำเนิดวิญญาณ ท่านไม่ควรแปลกใจที่เราบอกว่าท่านต้องเกิดใหม่ ลมพัดไปที่ไหนก็ได้ตามใจชอบ ท่านได้ยินเสียงลม แต่ท่านไม่อาจบอกว่าลมมาจากไหนหรือจะไปที่ไหน ทุกคนที่เกิดจากพระวิญญาณก็เช่นกัน”

            พระเจ้าอวยพรครับ