คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 16 ตุลาคม 2022
เรื่อง “หนังสือเอเฟซัส” ตอน 17
โดย วราพร คงล้วน
วันนี้เรามาต่อในหนังสือเอเฟซัส บทที่ 3 ข้อที่ 4 บอกไว้อย่างนี้ว่า …
เอเฟซัส 3:4-6 “4 เมื่อท่านอ่านแล้ว จะสามารถเข้าใจถึงความรู้แจ้งของข้าพเจ้า ในข้อลี้ลับของพระคริสต์ 5 ซึ่งในยุคก่อนๆ ไม่ได้ทรงเปิดเผยแก่มนุษย์ เหมือนที่บัดนี้ ทรงสำแดงโดยพระวิญญาณแก่เหล่าอัครทูต และผู้เผยพระวจนะผู้บริสุทธิ์ของพระเจ้า 6 ข้อลี้ลับนี้ คือโดยทางข่าวประเสริฐนั้น คนต่างชาติก็เป็นทายาทร่วมกับชนอิสราเอล เป็นอวัยวะร่วมในกายเดียวกัน และเป็นผู้มีส่วนร่วมในพระสัญญาในพระเยซูคริสต์”
ในหนังสือเอเฟซัส ตั้งแต่เริ่มบทที่ 1 อาจารย์เปาโลได้พูดถึงความลี้ลับที่พระเจ้าได้ทรงมีแผนการไว้ตั้งแต่วันแรกที่มนุษย์ล้มลงในความบาป พระเจ้าก็วางแผนไว้เรียบร้อยแล้วว่าพระองค์จะประทานพระบุตรของพระองค์มาเป็นพระมาซีฮาห์ มาเป็นพระผู้ช่วยให้รอด ที่จะช่วยมนุษยชาติทั้งหมดบนโลกใบนี้ ให้สามารถคืนดีกับพระเจ้าได้ ดังนั้น แผนการตรงนี้ตั้งแต่เริ่มต้น พระเจ้าก็ทรงเลือกชนชาติหนึ่งขึ้นมา คือชนชาติอิสราเอล ที่เรารู้จักกัน ที่เรียกว่าชนชาติยิว เป็นแบบอย่างของความรอด โดยผ่านทางความเชื่อ ให้กับมนุษยชาติก่อน ก็คือเลือกพวกยิวก่อน เพราะเหตุที่พระองค์ทรงเลือกพวกยิวก่อน พวกยิวก็เลยมีความรู้สึกภาคภูมิใจ เหมือนเป็นอภิสิทธิ์ชน พระเจ้าเลือกสรรเขา
ฉะนั้น เขาก็จะมองคนต่างชาติ ซึ่งไม่ใช่ยิว เป็นเหมือนคนละระดับ หรือในความคิดของคนยิว เขาถือว่าคนต่างชาติ เหมือนสุนัขตัวหนึ่ง ซึ่งใช้ไม่ได้เลย เป็นคนบาปที่พระเจ้าไม่เลือกเขา อะไรอย่างนี้ แต่ว่าสิ่งที่พระเจ้าได้เปิดเผย ให้เราเห็นชัดเจน ก็คือพระเจ้าวางแผนไว้ล่วงหน้าแล้ว เป็นแผนการลี้ลับ ที่พระเจ้าปิดเอาไว้ ตั้งแต่เริ่มต้น ในสมัยพระคัมภีร์เดิม พระเจ้าก็ปิดซ่อนไว้ ไม่ให้คนรับรู้ แม้แต่คนยิว เขาก็ไม่รับรู้เรื่องนี้เลยว่าพระเจ้าเลือกคนต่างชาติด้วย เขายังเข้าใจผิดมาตลอดเลย ทุกยุคทุกสมัย จนถึงยุคของพระเยซูคริสต์ที่พระเยซูมาประกาศข่าวประเสริฐของพระเจ้า คนยิวก็ยังเข้าใจผิดในเรื่องนี้อยู่ว่าเขาเป็นชนชาติเดียวเท่านั้น ที่มีอภิสิทธิ์ หรือเขาเรียกว่าอภิสิทธิ์ชนนั่นแหละ เป็นประเทศเดียวที่พระเจ้าเลือกสรรไว้ ซึ่งคนอื่นไม่เกี่ยว ไม่สามารถมารับความรอด ผ่านทางพระเจ้าได้ ไม่สามารถเป็นประชากรของพระเจ้าได้ นี่คือสิ่งที่คนยิว เขาคิดมาตลอด แต่พระเยซูบอกหรือเผยให้กับคนยิวได้รับรู้ผ่านทางอัครทูต คือผ่านทางเปาโล
ตอนที่พระเยซูมาประกาศ ช่วงเวลานั้น ที่พระเยซูยังมีชีวิตอยู่ เดินอยู่ท่ามกลางคนยิว 3 ปีกว่า พระองค์ประกาศกับคนยิวจริงๆ ก็คือคนต่างชาติไม่เกี่ยว คนต่างชาติอาจจะมาฟังบ้าง? อะไรบ้าง? แต่เป้าหมายหลักของพระเยซูคริสต์ ก็คือประกาศกับคนยิว แล้วเราจะเห็นในหนังสือพระกิตติคุณทั้ง 4 เล่ม มัทธิว มาระโก ลูกา ยอห์น เป็นการประกาศของพระเยซูคริสต์กับคนยิวเท่านั้น ซึ่งไม่เกี่ยวอะไรกับผู้เชื่อในปัจจุบัน คือพวกเราไม่เกี่ยวกันเลย แต่เราเข้าใจผิดมาตั้งแต่อดีต มาจนถึงปัจจุบัน จนถึง ณ เวลานี้ เราเคยเข้าใจผิดมาตลอด คิดว่าพระกิตติคุณทั้ง 4 เล่ม ที่พระเยซูตรัสสั่งว่า “จง” อย่างนี้ “จง” อย่างนั้น ต้องทำอย่างนี้ ต้องทำอย่างนั้น เป็นการสั่งให้คริสเตียนหรือผู้เชื่อในปัจจุบันทำ แต่ความเป็นจริง คือไม่เกี่ยวกันเลย ตอนที่พระเยซูประกาศกับคนยิว ณ เวลานั้น ก็คือคนเหล่านั้นทั้งหมด ไม่ว่าคนอิสราเอล หรือคนต่างชาติที่มาแอบฟังด้วย ยังเป็นคนบาปอยู่ ยังไม่ได้เชื่อพระเจ้า ยังไม่ได้บังเกิดใหม่ ยังอยู่ในเผ่าพันธุ์เดียวกันทั้งหมดเลย ทั้งคนยิวและคนต่างชาติ คืออยู่ในเผ่าพันธุ์ของอาดัม คืออยู่ใน DNA บาป ซึ่งคนยิวก็ไม่เข้าใจ คิดว่าตัวเองวิเศษกว่าคนอื่น ที่เขาวิเศษกว่าคนอื่น ไม่ใช่เพราะเขารักษากฎบัญญัติ แต่เพราะเขาเชื่อตามพันธสัญญาเดิมที่พระเจ้าได้ให้ไว้กับอับราฮัม ที่พระเจ้าทำสัญญากับอับราฮัม ให้ทำพิธีเข้าสุหนัต ให้อับราฮัมเอาแกะมาถวาย และเอาเลือดมาปะพรมที่แท่นบูชา มาจนถึงยุคของโมเสสที่พระเจ้าให้ตั้งเป็นเต็นท์นัดพบ ให้เลือกชาวเลวีออกมา พระเจ้าก็เริ่มทำเป็นรูปร่างให้คนอิสราเอลได้เห็น หรืออีกนัยหนึ่ง ก็คือให้มนุษยชาติทั้งหมดที่พวกเรา ในยุคของพระคัมภีร์ใหม่ เราเป็นผู้เชื่อ เราได้รับรู้ความจริงตรงนี้ ก็คือเราได้เรียนรู้ก่อนหน้านั้น แต่ตอนที่พระเยซูประกาศกับคนยิว คนยิวเขาก็ยังไม่รู้ เขาไม่เข้าใจในสิ่งที่พระเยซูประกาศ เขาก็ยังคงเข้าใจผิด คิดว่าเขาเป็นชนชาติพิเศษที่พระเจ้ารักมาก พระเจ้าเลือกเขาชนชาติเดียวเลย เพื่อที่จะได้เป็นลูกของพระองค์ ไม่ใช่ลูกนะ ตอนนั้นเขาไม่กล้าคิดว่าตัวเองจะเป็นลูกของพระเจ้า เรียกว่าเป็นประชากรของพระองค์ เขาจะเรียกพระเจ้าว่าเจ้านาย เขาจะไม่กล้าเรียกพระเจ้าว่าพระบิดา
แต่พอมาถึงยุคของพระเยซูคริสต์ พระเยซูบอกว่าในวันที่พระองค์เดินทางไปที่แดนประหารก็คือยอมถูกตรึงไว้บนไม้กางเขน ให้พระโลหิตของพระองค์หลั่งลงมา ตามที่พระเจ้าได้สัญญาไว้กับคนยิว และมนุษยชาติทั้งหมดว่าจะส่งพระมาซีฮาห์ พระผู้ช่วยให้รอดมาให้กับชนชาติอิสราเอลให้กับมนุษยชาติด้วย เมื่อพระเยซูทำสำเร็จ ในวันที่พระเจ้าสั่งให้โมเสสพาชนชาติ อิสราเอลทั้งหมด ทำพิธีปัสกา ก็คือจะเป็นภัยพิบัติครั้งที่ 10 ที่พระเจ้าจะทำในอียิปต์ ก็คือประหารบุตรหัวปี แล้วพระเจ้าก็เริ่มต้นพิธีปัสกานี้ ในคืนนั้นแหละ คืนที่พระเจ้าส่งทูตมรณะมาประหารบุตรหัวปีของชาวอียิปต์ทั้งหมด แต่ก่อนที่พระเจ้าจะส่งทูตมรณะมา พระเจ้าก็สั่งโมเสสบอกให้ชนชาติอิสราเอลทั้งหมด ให้อยู่แต่ในบ้าน แล้วก็ให้ทำพิธีนี้ ให้ฆ่าแกะ และเอาเลือดมาทาที่วงกบประตู เมื่อทูตมรณะผ่านมา ที่บ้านใด แล้วเห็นเลือดที่วงกบประตู ทูตมรณะก็จะผ่านเว้นไป เขาเรียกว่า Pass over ก็คือผ่านไป บ้านหลังนี้ก็จะปลอดภัย บุตรหัวปีของบ้านหลังนี้ ก็จะไม่ตาย
ฉะนั้น พิธีนี้พระเจ้าเริ่มต้นให้ชนชาติอิสราเอลได้เห็นเป็นเงา ในอนาคตข้างหน้าว่าเมื่อถึงเวลากำหนดที่พระเจ้าส่งพระผู้ช่วยให้รอด พระบุตรของพระเจ้า องค์เดียว คือพระเยซูคริสต์ ที่เป็นทั้งมนุษย์และเป็นทั้งพระเจ้า มาตายแทนมนุษยชาติ บนไม้กางเขน หลั่งพระโลหิตเหมือนกัน และโดยโลหิตของพระเยซูคริสต์ จะเป็นโลหิตที่จะชำระล้างมนุษยชาติทั้งหมดบนโลกใบนี้ นี่ไม่ใช่ชนชาติยิวอย่างเดียวนะ ทั้งหมดบนโลกใบนี้ ให้สามารถหลุดพ้น จากความบาป และใครก็ตามที่เชื่อในสิ่งที่พระเยซูคริสต์กระทำ และยอมรับความช่วยเหลือจากพระเจ้า เขาก็จะได้รับการบังเกิดใหม่ ก็คือเข้ามาเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเจ้า พระบิดา พระบุตร พระวิญญาณบริสุทธิ์ ในพระคัมภีร์ใช้คำว่าเป็นพิธีบัพติศมาในพระวิญญาณ ไม่ใช่บัพติศมาในน้ำอย่างที่เราทำกัน นั่นเป็นแค่เงาให้เราเห็นว่าในอนาคตข้างหน้า พระเจ้าจะเอาวิญญาณของผู้เชื่อ ไม่ว่าคนนั้นจะเป็นยิวหรือคนต่างชาติก็ตาม ถ้าเชื่อในสิ่งที่พระเยซูคริสต์กระทำ เปิดใจยอมรับความช่วยเหลือจากพระเจ้าปุ๊บ พระวิญญาณบริสุทธิ์ทำการงานของพระองค์ทันทีในโลกวิญญาณ ซึ่งเรามองไม่เห็น
ตอนที่เรารับเชื่อ เราไม่รับรู้อะไร? อธิษฐานเสร็จ คือเราเชื่อพระเจ้าแล้วใช่ไหม? เราเป็นคริสเตียนแล้วใช่ไหม? ก็คือเราไม่ได้รู้สึกอะไร? แต่ใช้ความเชื่อเอา ตามที่ถ้อยคำของพระเจ้าบอกไว้ว่าทันทีที่เราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดปุ๊บ ในโลกวิญญาณ จะมีขบวนการเคลื่อนไหวอย่างอัศจรรย์ที่เรามองไม่เห็น แต่ถ้อยคำของพระเจ้าบอกเอาไว้ การอัศจรรย์นี้ยิ่งใหญ่มากๆ อย่างที่พระเยซูคริสต์บอกว่า …
“ถ้าเจ้าเชื่อ เจ้าจะเห็นความยิ่งใหญ่ของพระเจ้า ถ้าเจ้าเชื่อ เจ้าจะสามารถสั่งภูเขาให้ลงทะเลได้” แล้วภูเขานั้น ก็จะลงทะเลด้วย
นี่เป็นคำอุปมา ที่พระเยซูยกตัวอย่าง ซึ่งไม่รู้ว่าจะยกตัวอย่างอย่างไร? สมัยของพระเยซูคริสต์ ตอนที่เดินอยู่บนโลกใบนี้ ตัวอย่างนี้ คือสุดยอดแล้วล่ะ ณ เวลานั้น มันไม่มีระเบิดปรมณู มีแค่ถ้าใครสามารถที่จะเคลื่อนภูเขาลงทะเล คือสุดยอดแล้ว คือมหัศจรรย์ใหญ่ แต่ว่าสิ่งที่พระเยซูสื่อ ไม่ได้เป็นไปตามความหมาย หรือตัวอักษรตรงๆ ว่าถ้าเราเชื่อ เราสามารถสั่งภูเขาให้ลงทะเลได้ ไม่ใช่ แต่พระเยซูกำลังบอกว่า …
“ถ้าเจ้าเชื่อ เจ้าเห็นความยิ่งใหญ่ของพระเจ้า ยิ่งใหญ่ขนาดไหน? ยิ่งใหญ่ขนาดที่ในโลกวิญญาณ พระเจ้าได้ทำการงานของพระองค์ คือเอาวิญญาณเก่าของเรา ที่เป็นวิญญาณบาปเข้าไปอยู่ในพระเยซูคริสต์ ไปถูกตรึงพร้อมกับพระเยซู ฝังพร้อมกับพระเยซู และเป็นขึ้นมาใหม่พร้อมกับพระเยซู ด้วยฤทธิ์เดชอำนาจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ ที่เราเรียกว่าเป็นการบังเกิดใหม่ นี่คืออัศจรรย์ที่ยิ่งใหญ่มากๆ มหาศาล เหมือนระเบิดปรมณู ที่มันบูมที่ มันเกิดขึ้นทันทีในโลกวิญญาณ ซึ่งตรงนี้เรามองไม่เห็น เราสัมผัสไม่ได้ เราไม่ได้รู้สึกอะไร? แต่เรารับรู้ ความเชื่ออยู่ข้างใน พระเยซูถึงบอกว่าในขณะที่เราอยู่บนโลกใบนี้ เราต้องดำเนินชีวิตด้วยความเชื่อ เชื่อในสิ่งที่ถ้อยคำของพระเจ้าบอก เชื่อในสิ่งที่พระเยซูบอกเรา ต้องใช้ความเชื่อ แต่ในอนาคตข้างหน้า เมื่อวิญญาณเราออกจากร่างปุ๊บ เราไม่ต้องใช้ความเชื่อแล้ว คริสเตียนในขณะที่เราอยู่บนโลกใบนี้
ในหนังสือโครินธ์บอกว่ามีความเชื่อ ความหวังใจ แล้วก็ความรัก 3 อย่าง และอาจารย์เปาโลบอกว่าความรักใหญ่สุด
ใหญ่สุดตรงไหน? ความรัก คือตัวตนจริงๆ ของผู้เชื่อ พอเราเชื่อวางใจในพระเจ้าปุ๊บ ในถ้อยคำของพระเจ้า พระเจ้าบอกทันทีที่เราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดปุ๊บ พระเจ้าได้บัพติศมาเราในวิญญาณ ข้างในวิญญาณเราได้รับการเปลี่ยนแปลงที่มหัศจรรย์ คือพระเจ้าเปลี่ยนวิญญาณใหม่ให้กับผู้เชื่อทุกคน เปลี่ยนวิญญาณใหม่ตามหนังสือในพระคัมภีร์เดิมที่เผยพระวจนะไว้ว่าวันหนึ่งข้างหน้า เราจะให้ใจใหม่ ให้วิญญาณใหม่ให้กับเจ้า หมายความว่าพระเจ้าไม่ได้มาซ่อมแซมเราให้ดีขึ้น แต่คือรื้อหมดเลย เอาวิญญาณเก่าที่เป็นบาปเราไปตายพร้อมกับพระเยซู แล้วให้บังเกิดใหม่ เป็นพันธุ์ใหม่ที่เป็นพันธุ์อมตะเหมือนพระเจ้า เหมือนพระเยซูคริสต์เลย
ฉะนั้น ณ เวลานี้ ผู้เชื่อที่ยังตัวเป็นๆ เดินบนโลกใบนี้อยู่ วิญญาณข้างในเราได้รับการเปลี่ยนแปลงใหม่ เป็นเหมือนพระเจ้าเป๊ะเลย วิญญาณเราเป็นวิญญาณที่สะอาดบริสุทธิ์ หมดจด ไม่มีบาปเลย ทำบาปไม่เป็น แล้วเป็นวิญญาณแห่งความรักด้วย ไม่ต้องพยายามรัก เชื่อปุ๊บข้างในเรารักเลย รักซึ่งกันและกัน ที่พระเยซูตรัสว่าเราให้บัญญัติใหม่แก่เจ้า คือให้เจ้าทั้งหลายรักซึ่งกันและกัน
บัญญัติใหม่ตรงนี้ พระเจ้าใส่เข้ามาในวิญญาณเรา ในโลกวิญญาณทันที ที่เราเชื่อพระเจ้าปุ๊บ เรารักซึ่งกันและกันเลยในวิญญาณ ก็คือไม่ว่าคริสเตียนหรือผู้เชื่อคนนั้น อยู่ที่ไหนก็ตาม อยู่โบสถ์เราด้วยกัน อยู่คนละโบสถ์ อยู่คนละประเทศ อยู่โน่น ขั้วโลกเหนืออยู่กันคนละที่ แต่ถ้าคนนั้นเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดปุ๊บ เรากับเขา เป็นหนึ่งเดียวกันเลย ในโลกวิญญาณ เรารักเขาเลยในโลกวิญญาณ ทั้งๆ ที่เราไม่รู้จักเขาด้วยซ้ำไปว่าคนนั้นเป็นใคร? มาจากไหน? ชื่ออะไร? อยู่ตรงไหน? เชื่อเมื่อไร? อยู่มุมไหนของโลกใบนี้ ไม่รู้ แต่ข้างในวิญญาณ เรารักเขาแล้ว ข้างในวิญญาณเราเป็นหนึ่งเดียวกันกับเขาแล้ว โดยมีพระเยซูคริสต์เป็นศีรษะของเรา แล้วพวกเราทุกคนเป็นอวัยวะทุกส่วน ในร่างกายนี้ โดยที่แต่ละคน พระเจ้าเป็นผู้กำหนดว่าเราจะเป็นชิ้นส่วนไหนในร่างกายนี้
ฉะนั้น เรารับรู้ความจริงตรงนี้ว่าเราเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเจ้าพระบิดา พระบุตร พระวิญญาณบริสุทธิ์ เป็นหนึ่งเดียวกับผู้เชื่อทั้งหมดบนโลกใบนี้เลย ทันทีที่เราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด ทันทีที่เราบัพติศมาในวิญญาณทันทีที่เราได้บังเกิดใหม่ สิ่งต่างๆ เหล่านี้ ได้เกิดขึ้นเลย ในโลกวิญญาณ ความคิดจิตใจของเรา ถูกเปลี่ยนใหม่เลย ในโลกวิญญาณ คือเราคิดชั่วไม่เป็น วิญญาณเราทำสิ่งที่ตรงกันข้ามกับพระประสงค์ของพระเจ้าไม่ได้เลย ก็คือเป็นวิญญาณที่เชื่อฟังพระเจ้าเลย เพราะว่าเป็นวิญญาณที่พระเจ้าใส่เข้ามาในวิญญาณใหม่ เป็นวิญญาณแห่งการเชื่อฟัง
มันจะมีความคิดอยู่ 2 อัน ความคิดจิตใจเราถูกเปลี่ยนใหม่ก็จริง แต่มันจะมีความคิดในสมอง เมื่อก่อนเราไม่แยกชัดเจนว่าความคิดจิตใจเราใหม่ ทำไมเรายังมีความคิดที่จะคล้อยตามระบบของโลกนี้อยู่ นี่คือความคิดในสมองที่มีโปรแกรมเดิมที่มันยังอยู่ในตัวเรา ในขณะที่ร่างกายของเรายังอยู่ในโลกใบนี้อยู่ ก็คือร่างกายเรายังอยู่ในกฎของความบาปและความตายอยู่
ความคิดในสมองของเรา สามารถที่จะคล้อยตามระบบของโลกนี้ หรือเราสามารถที่จะคล้อยตามพระเจ้าได้ อันนี้มันเป็นตัวแปร แต่ความคิดจิตใจเราไม่ใช่ตัวแปร พระเจ้าเปลี่ยนใหม่ เหมือนพระเจ้าเลย คล้อยตามพระเจ้าเลย เชื่อฟังพระเจ้าเลย รักพระเจ้าเลย รักซึ่งกันและกันเลย อันนั้น คือจบตรงนั้นเลย แต่ตรงนี้แหละ ความคิดตรงสมองที่พระเจ้าบอกไว้ในพระธรรมโรม บทที่ 12 ว่าเมื่อเราได้รับการบัพติศมา ได้มีวิญญาณใหม่ ได้เป็นผู้เชื่อแล้ว ก็ให้เราเปลี่ยนแปลงความคิดในสมองเสียใหม่
ในพระคัมภีร์ใช้คำว่าความคิดจิตใจ ซึ่งมันไม่ถูกนะ ความคิดจิตใจเราไม่ต้องทำอะไรแล้ว ได้รับการเปลี่ยนใหม่เรียบร้อยแล้ว ให้เราเปลี่ยนแปลงความคิด ในสมองของเรา ให้เราถวายความคิดตรงนี้ ให้กับพระเจ้า ก็คือระบบความคิด ตา หู จมูก ลิ้น กาย ความคิด สมองของเรา ที่ยังเป็นอยู่บนโลกใบนี้ ให้ถวายให้กับพระเจ้า เพื่อพระเจ้าจะใช้เราได้ ให้ทำตามน้ำพระทัยของพระองค์
พอเราแยกตรงนี้ชัดเจนปุ๊บ เราก็จะรู้ว่ามีกลไกในร่างกายของเรา ที่มันเป็น 2 ระบบ ซึ่งมารก็จะเอาตรงนี้แหละมาเป็นจุดอ่อนของคริสเตียน ที่จะมากล่าวโทษเรา พอคริสเตียนทำผิดปุ๊บ เขาก็จะกล่าวโทษเลย
“เห็นไหม? เธอเชื่อพระเจ้า ทำไมเธอยังทำอย่างนี้ อย่างนี้ไม่รอดนะ พระเจ้าไม่รักนะ เพราะว่าพระเจ้าต้องการให้เธอทำตามน้ำพระทัยของพระเจ้า ทำไมเธอไม่ทำตามน้ำพระทัยของพระเจ้า อย่างนี้ เธอเสร็จแน่เลย เดี๋ยวเกิดเธอจากโลกนี้ไป สงสัยยังไม่รู้เลยว่าเธอจะได้ไปอยู่กับพระเจ้าบนสวรรค์หรือเปล่า?”
นั่นเป็นกลลวงของมาร พยายามส่งข้อมูลพวกนี้เข้ามาในความคิดของเรา พี่น้องจำเป็น ที่ในถ้อยคำของพระเจ้าบอกว่าจดจ่อ ให้รับรู้ความจริงว่าวันที่เราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดนั้น พระเจ้าได้ให้เราเป็นลูกของพระองค์ เราได้บังเกิดใหม่เข้ามาอยู่ในอาณาจักรของพระเจ้าเรียบร้อยไปแล้ว ในโลกวิญญาณ ณ เวลานี้ ตัวตนของเรานั่งอยู่ที่นี่ แต่วิญญาณของเราได้นั่งอยู่ที่เดียวกันกับพระเยซูคริสต์ ที่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้า ที่สวรรค์สถานเรียบร้อยไปแล้ว เป็นลูกของพระเจ้าเรียบร้อยไปแล้ว อย่างที่บอก ที่เราต้องคุยกันทุกอาทิตย์ เกิดแล้วเกิดเลย เป็นลูกพระเจ้าเป็นแล้วเป็นเลย ไม่มีอะไรบนโลกใบนี้ ที่จะสามารถแยกเราจากความรักของพระเจ้าได้ ไม่มีสิ่งใดสามารถแยกเราออกไปจากการเป็นลูกของพระเจ้าได้ ไม่ว่าเราจะทำอะไรบนโลกใบนี้ก็ตาม แต่สิ่งที่สำคัญ คือเมื่อเราเชื่อและวางใจในพระเจ้า พระวิญญาณบริสุทธิ์เข้ามาอยู่ในเราทันที ร่างกายของเราเป็นวิหารของพระเจ้า พระวิญญาณบริสุทธิ์เข้ามาอยู่ในเรา พระเจ้าพระบิดา พระเจ้าพระเยซูคริสต์เข้ามาอยู่ในเรา แล้วพระวิญญาณบริสุทธิ์ก็จะโน้มนำ ผ่านทางถ้อยคำของพระเจ้าที่เราได้ยินได้ฟัง ได้เรียนรู้ ได้รับรู้ว่า …
“พอเราเชื่อพระเจ้าแล้ว พระเจ้าบอกว่าเป็นอย่างนี้ ตอนนี้เราเป็นความรัก ตอนนี้เราเป็นสันติสุข ตอนนี้เราเป็นลูกของพระเจ้า ตอนนี้เรามีธรรมชาติใหม่ที่เป็นเหมือนพระเจ้า”
ฉะนั้น เราต้องรับรู้ความจริงตรงนี้ เพื่อเราจะไม่โดนหลอก พอข้อมูลของโลกนี้ส่งเข้ามาในความคิด ในสมองของเรา ที่ตรงกันข้ามกับถ้อยคำของพระเจ้า หรือความเป็นจริงในลักษณะใหม่ คุณสมบัติใหม่ของเรา ที่เป็นเหมือนพระเจ้าแล้ว มันตรงกันข้ามปุ๊บ ตอนนี้แหละ คือช่วงเวลาที่เราต้องตัดสินใจ พระเจ้าไม่เคยบังคับหรือเคี่ยวเข็ญเราว่าพอเราเชื่อพระเจ้าปุ๊บ เราต้องทำโน่นทำนี่ เพื่อพระเจ้า ถ้าไม่ทำ เดี๋ยวพระเจ้าไม่รัก ถ้าไม่ทำ เราอาจจะไม่ได้รับความรอด ก็ได้ นั่นเป็นการหลอกลวงทั้งหมด แต่พระเยซูคริสต์กำลังบอกความจริงในโลกวิญญาณว่าเมื่อเราเชื่อวางใจในพระเจ้าปุ๊บ ในโลกวิญญาณ เราเข้ามาเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเจ้าแล้ว แล้วไม่มีสิ่งใด บนโลกใบนี้ สามารถแยกเรา หรือแย่งเราไปจากพระหัตถ์ของพระเจ้าได้ ไม่มีทางเลย
แล้วในขณะที่เราดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ พระวิญญาณบริสุทธิ์ที่อยู่ในเรา จะคอยให้กำลังเรา ที่เราจะสามารถทำตามน้ำพระทัยของพระเจ้าได้ ในแต่ละวันเรามีการตัดสินใจเยอะแยะมากมาย ทุกวัน ยิ่งเราออกไปข้างนอก เจอผู้คนเยอะแยะมากมาย ทุกอย่างเราจำเป็นจะต้องตัดสินใจว่าเหตุการณ์นี้ เราจะตัดสินใจอย่างไร? เราตัดสินใจว่าเราจะให้ความรักออกไป ตามธรรมชาติใหม่ของเรา หรือเราตัดสินใจ ไม่ได้ เรื่องนี้มันต้องให้ถึงที่สุด เราไม่ยอม เราเสียเปรียบไม่ได้ นั่นคือการตัดสินใจที่ตรงกันข้ามกับการนำของพระวิญญาณบริสุทธิ์ แต่ไม่ว่าเราตัดสินใจตามระบบของโลกนี้ ที่โน้มนำให้เราทำตามมัน หรือเราตัดสินใจตามพระวิญญาณก็ตาม สิ่งต่างๆ เหล่านี้ไม่มีผลอะไรกับวิญญาณของเรา วิญญาณเราก็ยังเป็นลูกของพระเจ้า วิญญาณเราก็ยังรอดอยู่ เราได้อยู่ที่สวรรคสถานเรียบร้อยไปแล้ว ณ เวลานี้ เราก็ยังอยู่ที่เดิม ก็คืออยู่ที่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้ากับพระเยซูคริสต์
นี่คือความจริงในโลกวิญญาณที่เราต้องเกาะตรงนี้ไว้เลยว่าพระเจ้าบอกเราอย่างนี้ แล้วเราเชื่อตามนั้น ดำเนินชีวิตด้วยความเชื่อ เริ่มต้นด้วยความเชื่อ จบลงด้วยความเชื่อ เชื่ออะไร? เชื่อว่าเมื่อเราวางใจในพระเจ้า พระเจ้าได้ให้เราเป็นลูกของพระองค์แล้ว เมื่อเราเป็นลูกของพระองค์แล้ว เราอยู่ในพระเยซูคริสต์เรียบร้อยไปแล้ว ฉะนั้น เมื่อเราอยู่ในพระเยซูคริสต์แล้ว ก็ไม่มีใครสามารถแยกเราออกจากในพระเยซูคริสต์ได้เลย นี่คือความจริงทั้งหมด ยืนหยัดอยู่ตรงนี้ เราต้องพูดบ่อยๆ เพราะพวกเราผู้เชื่อ เรายังอยู่ในโลกของการหลอกล่อ หลอกลวงทุกรูปแบบ และระบบของโลกใบนี้ พยายามส่งข้อมูลให้เราพยายามทำด้วยกำลังของเราเอง คือรู้สึกว่าเราต้องทำ เราถึงจะรับพระพร แต่พระเยซูคริสต์บอกเราว่า …
“ไม่ต้องทำอะไรเลย เธอก็ได้รับพระพรแล้ว”
พูดต่างกันนะ ตอนที่พระเยซูคริสต์มาประกาศกับชาวยิว พระเยซูพยายามบอกเขาว่าสิ่งที่บอกมาทั้งหมด ซึ่งเมื่อก่อน สมัยที่ดิฉันเชื่อใหม่ๆ ดิฉันก็ถูกสอนมาอย่างนี้ พระคัมภีร์ทุกตอน เป็นถ้อยคำที่พระเจ้าพูดตรงถึงเรา เราต้องรับหมดเลย ตรงถึงเรา โดยที่เราไม่เข้าใจว่าตรงถึงเราหมดเหรอ แล้วเราก็รับจริงๆ แล้วพอมาถึงเราปุ๊บ เรื่องมันหินมาก เพราะบางเรื่องเราทำไม่ได้ ไม่ใช่บางเรื่องนะ เกือบทุกเรื่อง เราทำตามไม่ได้ อย่างที่พระเยซูบอกให้เราให้อภัย 7×70 … 490 ครั้งต่อความผิดของคนอื่น ที่มาทำกับเรา เราต้องอภัยให้ได้ คืออภัยอย่างไม่มีข้อแม้ เราทำไม่ได้ พระเยซูกำลังบอกว่าพวกเธอทำไม่ได้ ทำไมถึงทำไม่ได้? เพราะว่าคนยิว ณ เวลานั้น ยังเป็นคนบาปอยู่ข้างใน ไม่มีความดีงามอะไรเลย ไม่มีกำลังพอที่จะทำตามที่พระเยซูบอกได้ จนกระทั่ง พระเยซูคริสต์ได้ทำภารกิจของพระองค์สำเร็จ สิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน และถูกฝัง เป็นขึ้นมาจากความตายปุ๊บ ใครก็ตามที่เชื่อในสิ่งที่พระเยซูคริสต์กระทำปุ๊บ เขาเข้ามาอยู่ในพระเยซูคริสต์ ณ เวลานั้น คือมันเป็นเลย สิ่งที่พระเยซูคริสต์บอกทั้งหมด ในหนังสือมัทธิว ในโลกวิญญาณ วิญญาณเราเป็นอย่างนั้นเลย วิญญาณเราเป็นความรัก วิญญาณเราเป็นการให้อภัย วิญญาณเราเกลียดชังใครไม่เป็น วิญญาณเราเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเยซูคริสต์ และเป็นหนึ่งเดียวกันกับผู้เชื่อเลย โดยที่เราไม่ต้องพยายามทำให้เป็นหนึ่งเดียวกัน
เราจะเห็นคำในพระคัมภีร์ มีหลายคำ เช่น ให้เราติดสนิทกับพระเจ้า บางทีฟังแล้วดูดีนะ
“พี่น้องทุกคน ให้เรามาอธิษฐาน เราต้องพยายามติดสนิทกับพระเจ้าไว้ ติดสนิทกับพระเจ้าด้วยวิธีอะไร? ด้วยวิธีอธิษฐาน ด้วยวิธีอ่านถ้อยคำของพระเจ้า ด้วยวิธีมาโบสถ์เป็นประจำ ด้วยวิธีมากลุ่ม ถ้าโบสถ์มีกลุ่ม โบสถ์มีอธิษฐานก็ให้มานะ เราจะได้ติดสนิทกับพระเจ้ามากขึ้น”
ฟังดูดีไหม? ดีเนอะ แต่ที่พูดมาทั้งหมด คือเราต้องทำด้วยแรงและกำลังของเราเอง
ความหมายที่พูดนี้ แปลว่า … “ถ้าเธอไม่ทำตามนี้ เธอจะไม่ติดสนิทกับพระเจ้า” พี่น้องว่าจริงไหม?
“ให้มาโบสถ์นะ เราต้องพยายามติดสนิทกับพระเจ้า”
แปลว่าถ้าพี่น้องคนไหนไม่มาโบสถ์ พี่น้องคนนั้นก็ไม่ติดสนิทกับพระเจ้า จริงหรือไม่จริง? ความหมายตามนี้นะ หรือพี่น้องที่ไม่อธิษฐาน ก็ไม่ติดสนิทกับพระเจ้า ความหมายตามนี้เลยนะ คือเราต้องทำ เราถึงได้ แต่พระเยซูบอกว่า …
“เธอไม่ต้องทำอะไรเลย ฉันทำให้หมดแล้ว เธอได้แล้ว”
ได้ตรงไหน? ได้ตรงเธอกับฉันเป็นหนึ่งเดียวกัน คำว่าเป็นหนึ่งเดียวกัน สนิทยิ่งกว่าสนิทอีก
ในพระคัมภีร์ใหม่ ในหนังสือเอเฟซัส ซึ่งจากนี้ต่อไป ในบทที่ 4 บทที่ 5 อาจารย์เปาโลจะยกตัวอย่างของสามีภรรยา พอพูดถึงสามีภรรยาปุ๊บ ในพระคัมภีร์ ตั้งแต่เริ่มต้น ปฐมกาล ถ้อยคำของพระเจ้าบอกว่าอาดัมกับเอวา เป็นสามีภรรยา แล้วเขาทั้งสองคนเปลือยกาย โดยไม่อายกัน ตอนช่วงที่อาดัมกับเอวายังไม่ได้ทำบาป บริสุทธิ์มาก เหมือนทุกวันนี้ ที่เราเชื่อพระเจ้า คือวิญญาณเราสะอาดบริสุทธิ์ ทำบาปไม่เป็น สะอาดเทียบเท่ากับพระเจ้า บริสุทธิ์เทียบเท่ากับพระเจ้า อาดัม ณ เวลานั้น เป็นอย่างนั้นจริงๆ แล้วเขาก็ไม่ต้องใส่เสื้อผ้า เพราะมีพระสิริของพระเจ้าปกคลุมกายเขาอยู่ แล้วเขาทั้งสองเป็นเนื้อเดียวกัน นี่คือถ้อยคำของพระเจ้าบอกไว้ เนื้อเดียวกัน ก็คือเป็นหนึ่งเดียวกัน เป็นขนมปังก้อนเดียวกัน สามัคคีธรรมด้วยกัน
ฉะนั้น ไม่ว่าจะเป็นคำ “ติดสนิทกัน” “เป็นหนึ่งเดียวกัน” “สามัคคีธรรมกัน” “รักซึ่งกันและกัน” หรือ “บัพติศมาเป็นหนึ่งเดียวกัน” คำพูดทั้งหมด รวมความแล้ว เป็นความหมายเดียวกัน ตรงที่ใครก็ตามที่เชื่อวางใจในพระเยซูคริสต์เข้ามาเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเจ้า บัพติศมาในวิญญาณปุ๊บ ทั้งหมด ทั้งมวลที่พูดถึงเป็นของเราเรียบร้อยไปแล้ว ก็คือ ณ เวลานี้ ผู้เชื่อกับพระเจ้าติดสนิทกัน เป็นหนึ่งเดียวกัน เป็นเนื้อเดียวกัน แกะไม่ออกเลย
แล้วเมื่อเราติดสนิทกับพระเจ้าขนาดนี้ ยังต้องให้เรามาติดสนิทกับพระเจ้าไหม? ถ้าเราพูดว่าให้เรามาติดสนิทกับพระเจ้า แปลว่า ณ เวลานี้ ผู้เชื่อกับพระเจ้ายังไม่สนิทกัน
“เราแยกกัน พวกเธอต้องมาทำอะไรบางอย่าง เพื่อที่จะได้มาอยู่กับพระเจ้าด้วยกัน”
มันจะกลับไปที่เดิม ก็คือระบบของโลกนี้ พยายามที่จะเสี้ยมให้คริสเตียนทำอะไรบางอย่าง ด้วยกำลังของเราเอง แต่พระเยซูกำลังบอกเราว่า …
“พวกเธอได้หมดแล้ว ฉันทำให้เสร็จหมดแล้ว เธอไม่ต้องทำอะไรเลย เธอเป็นลูกของฉัน เธอสนิทกับฉัน เป็นหนึ่งเดียวกันกับฉันแล้ว เธอเป็นความรักเหมือนฉันเลย ฉันรักเธอที่สุดแล้ว เธอไม่ต้องทำอะไร เพื่อให้ฉันรักเธอมากขึ้นอีกแล้ว”
คือไม่ต้องทำอะไรแล้ว พระเจ้าทำให้เสร็จหมด แล้วอย่างนี้ ผู้เชื่อไม่ต้องทำอะไรเลยหรือ? จะมีคำถามป้อนเข้ามา
“แล้วอย่างนี้พวกเราทำอะไร?”
อย่างที่บอกไง เราเป็นทูตของพระเจ้า เราเป็นหนึ่งเดียวกับพระเจ้า พระเจ้าเข้ามาอยู่ในเราแล้วใช่ไหม? พอพระเจ้าเข้ามาอยู่ในเรา ในพระธรรมกาลาเทียบอกว่าเราไม่มีชีวิตอยู่ต่อไป แต่พระคริสต์มีชีวิตอยู่ในเรา คือตัวตนจริงๆ อันเก่าของเราตายไปแล้ว แต่ ณ ปัจจุบัน ชีวิตที่เราดำรงอยู่ คืออยู่ในพระเยซูคริสต์ แล้วพระเยซูเป็นผู้นำเรา แล้วไม่ว่าเราทำอะไร? เราทำในนามของพระเยซูคริสต์ เหมือนเราเป็นทูตของพระเจ้า พระเจ้าส่งทูตไป ให้ทูตไปทำอะไร? พระเจ้าจะบอกทูตว่า …
“ตรงนี้เธอทำอย่างนี้นะ ฉันสั่งแค่นี้ เธอทำแค่นี้ จบ อย่าทำเกินกว่านี้นะ ถ้าทำเกินกว่านี้ ไม่ใช่คำสั่งของฉัน เป็นการคิดด้วยตัวของเธอเอง เนื้อหนังของตัวเอง ที่คิดว่าทำอย่างนี้น่าจะเวิร์คกว่า พระเจ้าๆ น่าจะทำอย่างนี้ เวิร์คกว่าเนอะ”
พระเจ้าบอก “ไม่ต้องมาแนะนำ ฉันว่าแค่นี้พอแล้ว เธอทำแค่นี้พอ”
ถ้าเมื่อไรก็ตาม ที่เราทำล้ำหน้าพระเจ้า แปลว่าพระเจ้าไม่ได้นำเรา เรานำพระเจ้าไปแล้ว แล้วทุกวันนี้ ส่วนใหญ่คริสเตียน ก็จะทำล้ำหน้าพระเจ้าตลอดเวลา แล้วเราคิดว่านี่คือสิ่งที่ถูกต้อง เราต้องรับใช้พระเจ้า ซึ่งพระเยซูบอกว่างานของพระองค์ คือให้เชื่อและวางใจในพระองค์ เมื่อพระเจ้าอยู่ในเรา พระเจ้าจะทำงานในชีวิตของเรา เราอย่าคิดว่าเราอยู่เฉยๆ ได้ ไม่มีทาง พระวิญญาณจะนำเรา ในแต่ละวันว่าเราจะทำอะไร? แล้วพระวิญญาณนำเราปุ๊บ เราก็ไปทำ ทำแบบง่ายๆ ธรรมดา ธรรมชาติ
ดังนั้น ชีวิตของเราอยู่ในพระองค์ เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์ ไปด้วยกันกับพระองค์ พระองค์นำหน้า อย่างที่เพลงบอก “พระคริสต์นำหน้า” เราตามหลัง แต่ทุกวันนี้ส่วนใหญ่ เราก็จะนำหน้าพระองค์
“พระเจ้าเดินตามลูกมานะพระเจ้า ลูกไปแล้ว”
ไปก่อน ซึ่งเราชอบกลับหัวกลับหาง เพราะเราถูกหลอกไง โดยที่ธรรมชาติเดิม ก็คือชอบพึ่งพาตัวเอง เราคิดเอาเองว่าเราควรจะทำอย่างนี้ ควรจะทำอย่างนั้น มันถึงจะดี
ยกตัวอย่างอีกตัวอย่างหนึ่ง สมมติว่าในนามของพระเยซูคริสต์ คิดนะ พอพูดถึงในนามของพระเยซู แปลว่าเราเป็นทูตของพระเจ้า ไปในนามของพระเจ้า ถ้าไปในนามของพระเจ้าปุ๊บ หมายความว่าเราไม่ได้เป็นคนตัดสินใจเองนะว่าเราจะทำอะไร? แต่เราจะทำตามที่พระเจ้าบอกว่าพระเจ้าให้เราทำอะไร?
ณ เวลานี้ สมมติว่าพระเจ้าบอกเราว่าตอนนี้เธอเป็นทูตของเรานะ เราจะส่งเธอไป ให้เธอไปประกาศที่แห่งหนึ่ง ประกาศตรงนี้แหละ พระเจ้าใช้เธอไป แล้วที่แห่งนี้ ที่พระเจ้าใช้ไป มีคนนิดเดียวเอง มีอยู่ไม่กี่สิบคนเอง กับอีกที่หนึ่ง ที่ตาเรามองเห็น สมมติว่าพระเจ้าให้เรามาประกาศที่กรุงเทพ ในโบสถ์อภิสุทธิสถาน มีคนอยู่ 5, 6 คนเอง สมมตินะ เรามีความรู้สึกว่ามาประกาศซะเหนื่อยเลย มีคนฟังแค่ 5, 6 คนเอง ข่าวประเสริฐของพระองค์ก็ไปไม่ถึงไหน? แต่พระเจ้า พระเยซูคริสต์บอกเราข้างในว่า …
“ฉันให้เธอมาประกาศที่นี่”
แต่ความคิดของเรา เรานำพระเจ้าไป เราก็มองอีกแบบหนึ่ง เราไปประกาศอีกโบสถ์หนึ่งดีกว่า เพราะโบสถ์นั้นคนเป็นพันเลย ถ้าเราได้ไปพูดเรื่องราวของพระเจ้า พระเจ้าจะพอใจมากเลย เพราะว่าเราได้ประกาศพระนามของพระองค์ให้คนเป็นพันได้ยิน เรื่องราวของพระเจ้า พระเจ้าต้องพอใจกว่าแน่ๆ เลย เราเปลี่ยนแผนกลางอากาศเลย พระวิญญาณข้างในนำเราว่าให้ประกาศที่นี่ ซึ่งมีคนอยู่ไม่กี่คน? แต่ในไม่กี่คนนี้ พระเจ้าอาจจะเลือกสักคนหนึ่งว่า …
“คนนี้ฉันเลือกเอาไว้แล้วล่ะ ถ้าเขาได้ยินเรื่องของฉัน เขาจะเปิดใจต้อนรับฉัน แค่นั้นฉันพอแล้ว”
แต่แผนของเรา ที่ตาเรามองเห็น ความคิด เราคิดเอาเองว่าพระเจ้าคำนวณผิดหรือเปล่า? ตรงนี้น้อยมากเลย มันไม่คุ้มกับการที่เราลงแรง พูดเรื่องราวของพระเจ้า เราอยากเป็นเหมือนเปโตร ประกาศทีหนึ่งคนเชื่อ 3,000 คน เราเปลี่ยนแผนกลางอากาศดีกว่า เราก็ไปเลย ทูตของพระเจ้า แต่ไม่ทำตามพระเจ้าบอก เราก็ไปอีกที่หนึ่ง ซึ่งมีคนเป็นพันเลย เราก็ไปประกาศ แล้วเราก็รู้สึกมีความสุขมาก พระเจ้าต้องพอใจแน่ๆ ในการตัดสินใจของเราตรงนี้ว่าเราไปประกาศข่าวประเสริฐของพระองค์ ได้ยินเป็นพันๆ คนเลย
แต่พระเจ้าจะบอกว่า … “เราไม่ได้สั่ง สิ่งที่เธอทำมันไม่มีประโยชน์อะไร? ไม่ได้อยู่ในนามของเรา แต่กลายเป็นในนามของเธอเอง”
เธออยากจะไปประกาศกับคนเป็นพัน เป็นหมื่น รู้สึกเท่ห์กว่าในนามของพระเยซูคริสต์
พระองค์บอกว่า … “ให้เธอมาประกาศแค่ 5, 6 คน นั่นคือความต้องการของฉัน”
พี่น้องเห็นภาพชัดเจนไหม? แยกให้เห็นชัดเจนตรงที่ว่าส่วนใหญ่เราใช้ความคิดของเราเองนำพระเจ้า แต่พระเจ้าบอกไม่ต้อง เราไม่ต้องช่วยพระเจ้า ผู้ที่ทำให้สำเร็จ คือพระเจ้า ไม่ว่าเราไปประกาศที่ไหน? มีคนรับเชื่อ 1 คน 10 คน 20 คน 1,000 คน 10,000 คน 100,000 คน ไม่ใช่ผลงานของเราเลย แต่พระเจ้าเป็นผู้กระทำ พระวิญญาณบริสุทธิ์ที่อยู่ในเรา เป็นผู้กระทำ เป็นผู้ทำให้คนเหล่านั้น ได้เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เราไม่ได้มีเอี่ยวอะไรด้วย เราไม่ต้องรับผิด ไม่ต้องรับชอบด้วย เราแค่ทำตามที่พระเจ้าบอกเท่านั้นเอง นี่คือความหมายของคำว่า “ในนามของเรา”
“ในนามของเรา ท่านจะทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่านี้ ในนามของเรา ท่านสามารถอธิษฐานขออะไร ท่านจะได้อย่างนั้น ในนามของเรา”
พอ “ในนามของเรา” ก็คือเราเดินตามพระเจ้าต้อยๆ พระเยซูคริสต์ไปไหน? เราไปด้วย
“พระองค์เจ้าข้า พระองค์ให้เราทำอะไร? เราก็จะทำด้วย พระองค์บอกว่าให้เราหยุดพัก เราก็จะหยุดด้วย”
เราก็นิ่งๆ เฉยๆ คนอาจจะมอง ผู้รับใช้โฮลี่ ขี้เกียจน่าดูเลย วันๆ ไม่ทำอะไรเลย แต่ว่าเราเชื่อและวางใจในพระเจ้า ผู้ที่ทำ คือพระเจ้าไม่ใช่เรา
เมื่อพระวิญญาณบริสุทธิ์นำเราเมื่อไร? แม้เป็นสิ่งเล็กๆ มันจะเกิดผลอย่างอัศจรรย์ ที่พระเจ้าได้ให้เราทำ
เหมือนกับยกตัวอย่างอันหนึ่งในพระคัมภีร์เดิม ตอนที่พระเจ้าสั่งให้โยชูวาไปรบกับเมืองเยรีโค ในโยชูวา 6:1-11, 16-17 …
“ที่เมืองเยรีโคเจ้าไม่ต้องทำอะไร? เจ้าทำแค่นี้ วันแรกให้เอาชนชาติอิสราเอล รวมทั้งคนเลวี เป่าแตร ร้องเพลง เดินรอบเมืองเยรีโค 1 รอบ แล้วกลับไปนอน”
นี่คือคำสั่ง วันที่สองทำเหมือนกัน วนหนึ่งรอบ กลับไปนอน ถึงวันที่ 6 ทำเหมือนกัน พอวันที่ 7 พระเจ้าบอกว่าเที่ยวนี้วน 7 รอบ พอครบ 7 รอบปุ๊บ ให้ตะโกนดังๆ เลย เมืองเยรีโคล้มลง ด้วยฤทธิ์เดชของพระเจ้า พระเจ้าเป็นผู้ทำ
ถ้าโยชูวาไม่เชื่อฟัง เหมือนกับเราปัจจุบัน … “พระเจ้าน้อยไป เรายังมีพลังอยู่เลย นี่วันแรกนะ เดินแค่รอบเดียว เรามีพลังเยอะมากเลย เราขอเดิน 2 รอบได้ไหม?”
แต่พระเจ้าบอกว่า … “ฉันสั่งเธอรอบเดียว”
ถ้าโยชูวาไม่ทำตามคำสั่งของพระเจ้า ก็คือพระเจ้าสั่ง 1 รอบ โยชูวาบอกเรายังมีเรี่ยวแรงอยู่ ทหารๆ เดินรอบ 2 อัศจรรย์จะไม่เกิดขึ้น นี่พระคัมภีร์เดิมนะ ปัจจุบันเหมือนกัน พระเจ้าที่อยู่ในเรา ถ้าเราทำตามพระองค์ เราก็ไม่ต้องทำเยอะ พระองค์บอกให้ทำแค่ไหน? ทำแค่นั้น เชื่อและวางใจ ฟังพระเจ้า ก็คือพระเจ้าทำงานอยู่ในเรา ถ้าพระเจ้าจะให้เราทำ พี่น้องอยู่นิ่งไม่ได้หรอก มันจะไปเอง เพราะว่าพระเจ้าเป็นผู้นำเราไป และทุกอย่างที่เราทำ ก็คือพระเจ้าเป็นผู้ทำ ผ่านทางร่างกายของเรา แล้วพระเจ้าสั่งแค่ไหน? แค่นั้น มันเป็นพระพร
นี่คือเรื่องจริงในโลกวิญญาณที่เราจำเป็นต้องรับรู้ และถ้าเรารับรู้ความจริงตรงนี้ปุ๊บ เราจะหายเหนื่อย และเป็นสุข เราจะไม่ต้องซกๆ หรือไม่ต้องทำอะไรให้มันลิ้นห้อย ด้วยกำลังของเราเอง ซึ่งพระเยซูบอกแล้ว …
“ลูกเอ๋ย ไปทำทำไมให้มันเหนื่อย ฉันทำให้เธอเสร็จหมดทุกอย่างแล้ว”
แค่ว่าในขณะที่เราอยู่บนโลกใบนี้ พระเจ้าต้องการให้สำแดงตัวตนแท้ๆ ของเรา ก็คือความเป็นเหมือนพระเยซูคริสต์ออกไป สำแดงความรักออกไป สำแดงความสว่างของพระเจ้าออกไป ให้คนรอบข้างได้เห็น
“ถ้าเจ้าทั้งหลายรักกัน เขาจะได้รู้ว่าเจ้าเป็นสาวกของเรา”
นี่คือสิ่งที่พระเยซูคริสต์บอก ตอนที่พระเยซูประกาศกับคนยิว คนยิวยังไม่รับเชื่อเลย เขารักไม่ได้หรอก เพราะว่าธรรมชาติข้างในเขาเป็นบาป เป็นความเกลียดชัง รักไม่ได้ แต่เมื่อเขาเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ปุ๊บ ธรรมชาติใหม่ของเขา คือความรัก เขาไม่ต้องดิ้นรน เพื่อที่จะรักคนอื่น คือในวิญญาณเขารักเลย เหมือนกับปลาว่ายน้ำเป็นเลย เกิดมาว่ายน้ำเป็นเลย ออกมาเป็นลูกน้ำ ก็ว่ายเลย ปลาไม่ต้องพยายามดิ้นรนว่า …
“ฉันต้องว่ายๆ”
ไม่ต้อง เขาเกิดมา เขาว่ายน้ำเป็นเลย แค่เขาพัฒนาการเป็นปลาของเขา ให้ว่ายคล่องขึ้น นึกออกไหม? เหมือนกัน นกเกิดมาในตัวตนของนก คือเขาบินได้เลย แต่เขาจะพัฒนา พ่อแม่จะค่อยๆ ฝึกฝนเขา ให้ปีกเขาแข็งแรง พอถึงเวลาที่เขาจะบิน เขาก็จะบินขึ้นเองเลย แล้วเขาก็จะฝึกฝนพัฒนาการบินให้ดีขึ้น ลูกของพระเจ้าเหมือนกัน เราไม่ต้องพยายามที่จะทำอะไรให้มันเหนื่อยแรง
แต่พระเจ้าบอก … “ธรรมชาติใหม่ของเธอ คือเป็นเหมือนฉัน เป็นความรัก เป็นแสงสว่าง เธอแค่รับรู้ความจริงตรงนี้ แล้วก็ปล่อยให้ธรรมชาติใหม่ของเธอฉายออกมา พัฒนาขึ้นมาเรื่อยๆ เพื่อเธอจะได้ฉายแสงให้กับคนอื่นได้เห็นถึงความรักที่ยิ่งใหญ่ของพระเจ้าที่อยู่ภายในเธอ”
พระเจ้าอวยพรค่ะ
***********************
จากใจคณะศิษยาภิบาล
ความจริงในโลกวิญญาณที่มนุษย์ทุกคนควรใส่ใจ ใคร่ครวญ รับรู้ ให้เข้าถึง
มนุษย์ทุกคนได้อาศัยอยู่ใน DNA ของอาดัม บรรพบุรุษคนแรก ซึ่งพระเจ้าให้กำเนิด เป็นลูกที่รักของพระองค์ มี DNA ของชีวิตที่เต็มไปด้วยพระสิริเหมือนพระเจ้า อยู่ในบ้าน คือสวรรค์ของพระองค์ ทุกสิ่งดีสมบูรณ์แบบไม่มีที่ติ เพราะถูกสร้างด้วยความรัก ด้วยพระสิริของพระองค์
ครั้นอาดัม ซึ่งมีเราทั้งหลายมนุษยชาติอยู่ใน DNA ตัดสินใจตามการยุแยงของมาร ไม่เชื่อฟังพระเจ้า ออกจากบ้าน ออกจากสวรรค์ มาอยู่ตามลำพัง พึ่งพาการกระทำของตนเอง แทนที่จะพึ่งพาการกระทำของพระเจ้า
การกระทำของอาดัมนี้ เรียกว่าบาป คือไม่ได้เป็นไปตามเป้าหมาย แผนการของพระเจ้าตั้งแต่เริ่ม คือให้พึ่งพาในพระเจ้าทุกสิ่ง ไม่ใช่พึ่งพาในตนเอง ซึ่งเป็นไปไม่ได้ เพราะพระเจ้าทรงสร้างมนุษย์ให้พึ่งพาพระองค์ในทุกสิ่ง
ผลจากความบาปนี้ คือความตายจาก DNA ของชีวิต ที่เต็มไปด้วยพระสิริเหมือนพระเจ้า จากการอยู่ในบ้าน คือสวรรค์ของพระองค์ ทุกสิ่งดีสมบูรณ์แบบไม่มีที่ติ กลายเป็นมาอยู่นอกสวรรค์ที่ไม่มีพระเจ้า ต้องอยู่ด้วยการพึ่งพาการกระทำของตนเอง คือทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว ซึ่งมนุษย์โดยลำพังแล้ว ไม่สามารถกระทำได้สมบูรณ์ เมื่อปราศจาก DNA ชีวิตของพระเจ้า ที่เรียกว่าพระสิริ
ผลจากความบาปนี้ กระทบมาถึงมนุษย์ทุกคน เพราะมนุษย์ทุกคนอาศัยอยู่ใน DNA ของอาดัม
พอมนุษย์ทุกคนเกิดในครรภ์มารดา ก็ตกอยู่ในความตาย และความบาป คือตายจากพระสิริของพระเจ้า ตายจากความดีงามที่สมบูรณ์แบบของพระเจ้า และอยู่ในกฎแห่งการพึ่งพาการกระทำของตนเอง ในการกระทำดีละชั่ว เพื่อให้ดีพร้อมบริสุทธิ์เหมือนพระเจ้า ซึ่งมนุษย์ไม่มีใครสามารถทำได้เลย
พระเจ้าจึงต้องทำให้มนุษย์บังเกิดใหม่ซะ!
ยอห์น 3:3-8 “3 พระเยซูตรัสตอบโดยประกาศว่า “เราบอกความจริงแก่ท่านว่า “ไม่มีใครเห็นอาณาจักร (สวรรค์) ของพระเจ้าได้ ถ้าเขาไม่บังเกิดใหม่” 4 นิโคเดมัสทูลถามว่า “คนจะเกิดใหม่ได้อย่างไร เมื่อเขาแก่แล้ว แน่นอนเขาไม่อาจเข้าไปในครรภ์มารดาเป็นครั้งที่สอง เพื่อเกิดออกมาใหม่” 5 พระเยซูตรัสตอบว่า “เราบอกความจริงแก่ท่านว่าไม่มีใครสามารถเข้าอาณาจักรของพระเจ้าได้ ถ้าเขาไม่ได้เกิดจากน้ำ (ในครรภ์ คือเป็นมนุษย์) และ (เกิดใหม่ทางวิญญาณ) โดยพระวิญญาณ 6 มนุษย์ให้กำเนิดมนุษย์ แต่พระวิญญาณให้กำเนิดวิญญาณ 7 ท่านไม่ควรแปลกใจ ที่เราบอกว่า “ท่านต้องเกิดใหม่” 8 ลมพัดไปที่ไหนก็ได้ตามใจชอบ ท่านได้ยินเสียงลม แต่ท่านไม่อาจบอกว่าลมมาจากไหน หรือจะไปที่ไหน ทุกคนที่เกิดจากพระวิญญาณก็เช่นกัน”
พระเจ้าอวยพรครับ