วารสาร Holy  News   ฉบับที่ 1394 

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  18  ธันวาคม  2022

เรื่อง “พระเยซูผู้เปิดประตูสวรรค์ให้กับมวลมนุษย์”

โดย นคร  เวชสุภาพร

            ชื่อหัวข้อเรื่องในวันนี้ “พระเยซูผู้เปิดประตูสวรรค์ให้กับมวลมนุษย์” จำตรงนี้ได้ไหม? “ขอให้ท่านได้พบสันติสุขและความสงบทางใจ จากการเสียสละของพระเยซูคริสต์ ที่ได้ทรงไถ่บาปให้ท่าน” คุ้นๆ แล้วนะ ก็เป็นคำอธิบายในวันนี้ ตั้งแต่เริ่มต้นเลยว่า “ขอให้ท่านได้พบสันติสุขและความสงบทางใจ จากการเสียสละของพระเยซูคริสต์ ที่ได้ทรงไถ่บาปให้ท่าน” ลองถามคนข้างๆ สิว่าท่านพบแล้วหรือยัง? ผมก็อยากจะถามพี่น้องที่อยู่ทางบ้าน ใครก็ได้ที่ฟังคำบรรยายนี้อยู่ว่าแล้วท่านพบแล้วหรือยังครับ?

            ท่านได้พบกับสันติสุขและความสงบทางใจนี้แล้วหรือยัง?  ถามคนข้างๆ อีกครั้งหนึ่ง จะได้จำไปอวยพรด้วยไง  มาจากไหนรู้ไหม? มาจากคำที่เราคุ้นเคยกันในเทศกาลคริสตมาสทุกแห่ง ทั้งโลกเลย ใครๆ ก็รู้จักหมด ไม่ว่าจะลูกเด็กเล็กแดง ก็จำได้ คือคำว่า “Merry Christmas”

            คำว่า “Merry Christmas” นี้ มาจากคำภาษาอังกฤษโบราณที่อ่านว่า “Christer Maesse” ที่แปลเป็นภาษาไทย แปลว่า “มิสซาของพระคริสต์” หรือแปลอีกนัยหนึ่ง คือ “การเสียสละของพระเยซูคริสต์ ในการไถ่บาปให้มนุษย์” แปลเป็นไทยยาวหน่อย “Merry” แปลว่า “สันติสุขและความสงบทางใจ” ที่เขาอวยพรกัน ในภาษาอังกฤษโบราณ

            เพราะฉะนั้น เมื่อคำว่า “Merry Christmas” คำอวยพรนี้ จึงมีความหมายว่า “ขอให้ท่านได้พบสันติสุขและความสงบทางใจ จากการเสียสละของพระเยซูคริสต์ ที่ได้ทรงไถ่บาปให้ท่าน”

            ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป โดยเฉพาะสัปดาห์หน้า ที่เรารับประทานอาหารร่วมกัน Merry Christmas แล้วก็แปลเป็นไทยให้เขาเลยนะ

            วันคริสตมาส หรือ Merry Christmas นี้ เขามีการเฉลิมฉลองกันใหญ่โต ทั้งโลกเลย เป็นเวลานาน เป็นพันๆ ปีมาแล้วนะ ทุกคนก็ทราบและรู้ว่าคริสตมาส เป็นการระลึกถึงวันประสูติของพระเยซูคริสต์ พระบุตรของพระเจ้าที่มาเกิดเป็นมนุษย์ ถูกไหม? ใครๆ ก็รู้ จำได้ว่า Merry Christmas คืออะไร? มีหลักฐานทางประวัติศาสตร์มากมายที่บันทึกเรื่องราวของพระเยซูคริสต์ในขณะที่ทรงเป็นมนุษย์ เดินอยู่บนโลก เมื่อ 2,000 ปีก่อน  โดยทั่วไป ผู้คนยอมรับว่าพระเยซูคริสต์มีจริงๆ แต่สิ่งที่มีการถกเถียงกันมากที่สุด จนถึงทุกวันนี้ ก็คือสถานภาพที่แท้จริงของพระเยซูคริสต์นั้น คืออะไร?

            ในขณะที่พระเยซูทรงตระเวนประกาศ สั่งสอนผู้คน เมื่อ 2,000 ปีก่อน ในเรื่องเกี่ยวกับอาณาจักรสวรรค์กำลังมาตั้งอยู่ พระองค์นำอาณาจักรสวรรค์มาตั้งอยู่บนโลกใบนี้ และตรัสด้วยตัวพระองค์เองว่าพระองค์ทรงเป็นพระบุตรของพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์ พูดง่ายๆ ว่าพระเยซูประกาศด้วยตัวของพระองค์เองว่า …

            “เราคือบุตรของพระเจ้า เราคือพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์ อยู่ในร่างมนุษย์ เพื่อช่วยท่านทั้งหลายนี่แหละ” … พูดด้วยตัวพระองค์เองเลยนะ

            แต่ก็ยังมีคนจำนวนหนึ่งออกมาพูดบอกว่าพระเยซูคริสต์มีจริงๆ  แต่พระองค์ไม่ใช่พระเจ้า เป็นแค่ผู้เผยพระวจนะ หรือผู้นำทางศาสนาคนหนึ่งเท่านั้น ตั้งแต่วันที่พระเยซูคริสต์พูดเมื่อ 2,000 ปีก่อน จนถึงวันนี้ ก็มีคนแย้งอย่างนี้แหละ CS.Lewis นักเขียนคริสเตียนผู้หนึ่ง ผู้มีชื่อเสียงมาก เขียนหนังสือเรื่อง “Mere Christianity” ได้เขียนไว้อย่างนี้ว่า …

            “ข้าพเจ้าพยายามทำทุกอย่าง ที่จะไม่ให้ใครพูดโง่ๆ เกี่ยวกับพระคริสต์ เช่นบอกว่า “ฉันยอมรับว่าพระเยซูมีจริง และเป็นนักสอนศาสนาที่ดี แต่ไม่เชื่อในเรื่องการอ้างว่าทรงเป็นพระเจ้า”

            นี่คือคำพูดที่โง่มาก CS.Lewis เขียนไว้ต้นของหนังสือเล่มนี้ คำถาม ก็คือถ้าใครสักคนมาพูดโกหก และพูดแอบอ้างตัวเองว่าเป็นพระเจ้า  เรายังจะคิดว่าคนๆ นั้นเป็นคนดี หรือเรียกเป็นผู้เผยพระวจนะ หรือเป็นผู้สอนศาสนาได้อยู่อีกหรือ? นี่ CS.Lewis ตั้งข้อคิด ตรรกะแบบมนุษย์ให้เห็นชัดๆ ว่าถ้าคนนั้นแอบอ้าง ก็คือพระเยซูแอบอ้างว่าพระองค์เป็นพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์ แล้วเราไม่เชื่อว่าพระองค์เป็นพระเจ้า แต่เราเชื่อว่าพระองค์เป็นศาสดา เป็นผู้เผยพระวจนะที่ดีคนหนึ่ง นึกนะ เราควรจะเรียกคนนั้นว่าอย่างไร? ถ้าเป็นอย่างนั้น คนเสียสติ คนบ้ามากกว่า ถูกไหม? นี่คิดตามเหตุผล คนหนึ่งอ้างว่าตัวเองเป็นพระเจ้า แล้วบอกว่าไม่เชื่อ ที่คุณพูดโกหก แล้วเราก็บอกว่าคุณเป็นแค่ศาสดาของศาสนา  ศาสดาของศาสนาดีทุกคน  ทุกท่านบนโลกใบนี้

            แสดงว่า … “ผมเชื่อว่าคุณเป็นคนดีมากเลย”

            คนดีอะไรมาโกหกว่าตัวเองเป็นพระเจ้า  นี่คือตรรกะที่ CS.Lewis ได้ยกขึ้นมาให้เราได้เห็น เพราะฉะนั้น ถ้าพระเยซูไม่ใช่พระบุตรของพระเจ้าจริงๆ ตามที่เราเชื่อ หรือเข้าใจ ก็ต้องเป็นมนุษย์จอมโกหกหลอกลวง หรือเป็นคนเสียสติ คนบ้าคนหนึ่งเท่านั้น ถูกไหม? คิดตามนะ  และถ้าเป็นเช่นนั้น คำถามที่ตามมา ก็คือจนเวลาผ่านมา 2,000 กว่าปีแล้ว พิสูจน์ได้ ทำไมจำนวนผู้เชื่อพระเยซูคริสต์ถึงได้มีมากขึ้นและมากขึ้นขนาดนั้น

            2,000 ปีมีคนเชื่อ คนบ้าเยอะขึ้นเรื่อยๆ เหรอ? ไม่ใช่แล้วสิ น่าคิดใช่ไหม? คำตอบ ก็คือเพราะยังมีการถกเถียง ยังมีการโต้แย้ง ยิ่งมีการขุดคุ้ยหาหลักฐานว่าจริงหรือไม่? ใช่หรือไม่? ก็ยิ่งได้ค้นพบความจริงที่ชัดเจนขึ้นว่าพระเยซูคริสต์ทรงเป็นหรือมีสภาพเป็นพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์จริงๆ นั่นเอง ยิ่งค้นยิ่งเจอความจริง ใช้เวลา แรกๆ เมื่อ 2,000 ปีก่อน แย้งมาอย่างนั้น ยังไม่มีหลักฐานอะไรมากมาย แต่ 2,000 ปีมาแล้ว มีมากขึ้นทุกวันๆท่านเห็นไหมว่าเอาแค่เราในปัจจุบันนี้ ผ่านมา 2,000 ปีแล้ว ถามว่าแต่ละปี มาย้อนกลับไป คริสตมาสฉลองกันมากขึ้นหรือน้อยลงทั่วโลก? มากขึ้นและเห็นชัดๆ เยอะขึ้นเรื่อยๆ มาก แล้วอย่างนี้จะไปบอกว่าคนเหล่านี้ที่เชื่อ เชื่อคนเสียสติหรือว่าเขาเป็นพระเจ้า แสดงว่าเขาเป็นพระเจ้าจริงๆ นอกจากค้นพบทางประวัติศาสตร์อะไรต่างๆ หลักฐานต่างๆ เหล่านั้นแล้ว ยังค้นพบ เห็นชัดๆ ก็คือคนที่มาเชื่อว่าพระเยซูคริสต์เป็นพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์ และตาย ไถ่บาปเขา ชีวิตเขาอัศจรรย์เปลี่ยนแปลงไปหมดเลย ถูกไหม? เยอะขึ้นหรือน้อยลง? เยอะขึ้น ทุกวันนี้ เฉพาะตอนนี้ที่หายใจอยู่ สองพันล้านคนทั่วโลก  ชีวิตเขาเปลี่ยนไป อัศจรรย์เกิดขึ้นในชีวิตเขาจริงๆ  เพราะว่าพระเยซูคริสต์เป็นพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์จริงๆ พิสูจน์ได้ เห็นชัดเจน เอเมนไหม?

            ไม่ใช่อัศจรรย์ในชีวิตเฉพาะที่ชีวิตเปลี่ยนไป ที่มองไม่เห็น หมายถึงมองไม่เห็นชัดเจน ก็คือนิสัยเปลี่ยนไป ชีวิตเปลี่ยนไป อะไรต่างๆ ความหวังเปลี่ยนไป แต่อัศจรรย์แบบที่เห็นๆ ก็มี อย่างเช่น คนป่วยได้รับการรักษาให้หาย คนที่มีปัญหาอะไรมากมายได้รับการปลดปล่อยให้เป็นอิสระอะไรต่างๆ เหล่านั้น เยอะแยะมากมายไปหมด แสดงให้เห็นว่าพระเยซูคริสต์พูดเมื่อ 2,000 ปีก่อนว่า …

            “เราคือผู้นั้น เราคือผู้ที่พระเจ้าทรงส่งมา เราคือพระบุตรของพระเจ้าที่มาเกิดเป็นมนุษย์ มาตายแทนท่านที่ไม้กางเขน เพื่อช่วยท่านทั้งหลายให้มีชีวิตใหม่ และได้รับชีวิตอัศจรรย์นั้น เป็นเรื่องจริงๆ”

            อาณาจักรสวรรค์ของพระเยซูคริสต์บนโลกใบนี้ ได้ถูกแผ่ขยายออกไปเรื่อยๆ มากขึ้น ตามที่ได้เขียนไว้ในหนังสือพระคัมภีร์ล่วงหน้า เป็นพันๆ ปี ก่อนที่พระเยซูคริสต์จะบังเกิดอีกด้วยซ้ำไป ไม่ใช่ประกาศข่าวดีเฉพาะตอนที่พระเยซูคริสต์มาเกิดเป็นมนุษย์แล้วเท่านั้น ก่อนพระองค์จะมาเกิด ย้อนกลับไป 5-6 พันปีก่อน ก็เขียนถึงพระเยซูคริสต์แล้วว่าพระองค์จะมาเกิด มีหลักฐานชัดเจนว่าพระองค์มาเกิดจริงๆ ตามที่ได้บอกไว้เยอะแยะมากมายไปหมด นี่คือหลักฐานอีกอันหนึ่ง

            เหมือนอย่างทุกวันนี้เราได้ยินเพลงคริสตมาส บางเพลงเป็น 100 กว่าปี ถามว่าเพลงเหล่านี้ประกาศเรื่องพระเยซูเป็นพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์ นำเอาสวรรค์มาตั้งอยู่ เพลงเหล่านี้ ฟังแล้วฟังอีก ทุกปีๆ เขาเรียกว่าฮิตตลอดกาล เป็นเพลงฮิตที่นานที่สุดในโลกนี้เลย มีเพลงอะไรฮิตขนาดนี้ ฮิตมาเป็นพันๆ ปี เราฟังอยู่ทุกปี ขนาดก่อนที่ผมจะเชื่อ หรือก่อนที่ท่านจะเชื่อในเรื่องพระเยซูคริสต์ ท่านฟังดูแล้วมีความสุขไหม? ท่านรู้ไหมว่าเขาแปลว่าอะไร?  ไม่รู้ แต่รู้ว่าพอเทศกาลคริสตมาสทีไร มันมีความสุข บรรยากาศมันดี  เป็นบรรยากาศแห่งการให้ รู้สึกมีความสุขสบาย ทั่วโลกเป็นอย่างนี้ใช่ไหม? เขาเรียกว่าฤดูแห่งความสุข ทั้งๆ ที่ไม่รู้เรื่องเลยว่าแปลว่าอะไร? อย่างเช่นเพลง Silent Night และเพลง Oh Holy night วันนี้ผมจะเอาเพลง Oh Holy night มาให้ท่าน เพลงนี้ท่านคุ้นเคยอยู่แล้ว ดูว่าความหมายคืออะไร? ก็คือว่าพระเยซูคริสต์เป็นพระเจ้ามาเกิดเป็นมนุษย์ นำสวรรค์ลงมาตั้งอยู่บนโลกใบนี้นั่นเอง ที่ตะกี้นี้เราร้องกัน Holy night ภาษาไทย ลองดูภาษาอังกฤษนะ ความหมายมันจะละเอียดนิดหนึ่ง …

                        Oh holy night, The stars are brightly shining

                        ในค่ำคืนอันแสนศักดิ์สิทธิ์   เหล่าดวงดาวส่องประกายจรัสแสง

                        It is the night Of my Dear Savior’s birth

                        เพราะเป็นค่ำคืน ที่พระผู้ช่วยให้รอด  ได้เสด็จลงมาประสูติ

                        Long lay the world in Sin and error pining

                        เป็นเวลายาวนานมากแล้ว  ที่โลกนี้ ต้องตกอยู่ภายใต้ความบาป

                        Till He appeared and the soul felt its worth

                        จนวันที่พระองค์ได้ทรงปรากฏ  และชุบจิตวิญญาณของเรา (มนุษย์ทั้งหลาย) ให้มีค่าขึ้นมา

                        A thrill of hope The Weary world rejoices

                        เป็นความตื่นเต้นกับความหวังใหม่  เมื่อโลกที่เสื่อมสลายไปแล้ว

                        เพราะความบาป ได้กลับมา  มีความชื่นชมยินดีอีกครั้ง

                        For yonder breaks a New and glorious morn

                        สิ่งเก่าๆ จะล่วงไป และความรุ่งโรจน์จะเกิดขึ้น

                        และเต็มไปด้วยเสียงร้องสรรเสริญ คือสวรรค์มาตั้งอยู่นั่นเอง

                        Fall on your knees, oh hear the angel voices

                        จงคุกเข่าลง  แล้วตั้งใจฟังเสียงของเหล่าทูตสวรรค์ (ตามพระคัมภีร์บันทึกเลย)

                        Oh night divine, Oh night,  When Christ was born

                        Oh night divine Oh night  Oh Holy night

                        ค่ำคืนนี้  ช่างเป็นค่ำคืนที่เจิดจรัสด้วยแสง  เมื่อพระคริสต์ ได้ถือกำเนิดเกิดขึ้น

                        เป็นค่ำคืนอันศักดิ์สิทธิ์ขององค์พระผู้เป็นเจ้า

            ให้เราคุกเข่าลง ยอมรับความจริงเหล่านี้ เพราะมันเกินความเข้าใจของมนุษย์ที่จะเข้าใจว่าพระเจ้ามาเกิดเป็นมนุษย์ได้อย่างไร? เป็นไปได้อย่างไร? เราไม่เข้าใจ แต่มันเป็นเรื่องจริง เพราะฉะนั้น ในตอนนี้ก็ต้องบอกว่า Fall on your knees คือให้เรายอมจำนนต่อความจริงนี้ แล้วก็ตั้งใจฟังเสียของทูตสวรรค์ เริ่มต้นประกาศว่ามาแล้ว พระเจ้ามาเกิดเป็นมนุษย์  ตามสัญญาแล้ว

            เพราะว่าพระเจ้าเสด็จมา โดยการกำเนิดเป็นมนุษย์ เพื่อช่วยเหลือมนุษย์ทั้งหลายให้พ้นจากความบาปและคำสาปแช่งต่างๆ กลับคืนสู่สวรรค์นั่นเอง เอเมนไหม?

            ทุกวันนี้ ก็ยังเปิดเพลงเหล่านี้อยู่  นอกเหนือจากเพลงนี้ เรายังมีเพลงอื่นๆ เพลงคริสตมาส เป็นเพลงที่ไม่เคยเก่า ไม่เคยล้าสมัย ฮิตมากขึ้นทุกวัน  มีแต่คนเปิดมากขึ้นทุกวัน ขนาดไฟกระพริบๆ นี้ ก็เปิดเพลงไม่มีเนื้อ  แต่ก็บรรเลงเพลงเหล่านี้  เราก็ได้ยินคุ้นหูเลย  ไม่เชื่อลองร้องท่อนแยกสิ ร้องได้ทุกคนแหละ

                        ** ข้าฯขอบูชา วันทา กราบไหว้พระเยซู

                             เพราะว่า  ในวันนั้น  ทรงธรรมเสด็จลงมา

                             เพื่อเปิด  หนทาง  สวรรค์  ให้แก่ประชา **

            คำว่า “Oh Holy Divine” ที่แปลว่าค่ำคืนที่เจิดจรัสด้วยแสง ความหมาย ก็คือเป็นค่ำคืนที่แสงจากสวรรค์ได้ส่องลงมาบนโลก เป็นครั้งแรก พระเยซูตรัสว่าพระองค์ทรงเป็นพระบุตรของพระเจ้า ทรงเป็นแสงสว่าง ที่ส่องเข้ามา บนโลกใบนี้ ตั้งแต่วันนั้นแหละ 2,000 ปีก่อน เพราะเป็นเวลานานมาแล้วที่โลกตกอยู่ภายใต้ความบาป เป็นอาณาจักรแห่งความมืด และในค่ำคืนคริสตมาสอย่างนี้ ที่พระผู้ช่วยให้รอด ได้มาประสูติ  ทำให้แสงจากสวรรค์สามารถส่องลงมาได้ เป็นแสงสว่าง เป็นหนทางที่จะนำพามนุษย์ ไปสู่แสงสว่างนั้น ก็คือไปสู่อาณาจักรสวรรค์ของพระเจ้าพระบิดานั่นเอง พูดง่ายๆ การเปิดประตูสวรรค์ให้กับมนุษย์ทั้งหลาย สามารถมาเข้าสวรรค์ได้แล้วนั่นเอง

            มันเป็นข่าวดี เป็นความจริง ที่ได้ถูกประกาศมาแล้ว 2,000 ปี ซึ่งว่ากันตามจริง อย่างที่บอก ประกาศก่อน 2,000 ปีด้วยซ้ำ หลายพันปีมาแล้ว ก่อนหน้านั้น ว่าพระองค์จะมาเกิด ว่าพระมาซีฮาห์ ที่พระเจ้าสัญญาไว้ว่าจะมาช่วยเหลือมนุษย์ ตามที่พระองค์ทรงบอกไว้นั้น จะมาเกิด แล้วก็มาเกิดจริงๆ เมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว วันคริสตมาสแรกของโลกนี้

            เพราะฉะนั้น ยอมรับความจริง คือพระเยซูคริสต์ แม้ความคิดจะไม่เข้าใจ แล้วอัศจรรย์ยิ่งใหญ่จะเกิดขึ้นในวิญญาณของท่านทั้งหลาย ที่ได้ยินได้ฟัง  ความจริงในโลกวิญญาณที่ตามนุษย์มองไม่เห็น หูไม่ได้ยิน คิดไม่ถึง ไม่เข้าใจ คือถ้อยคำพระเจ้าที่บอกไว้นั้น ก็คือเรื่องของข่าวดีของพระเยซูคริสต์ พระเจ้าประกาศอยู่ตลอดเวลา เป็นพันๆ ปีมาแล้ว บอกว่าสิ่งที่ตามองไม่เห็น หูไม่ได้ยิน ก็หมายถึงว่ามนุษย์ไม่สามารถที่จะใช้ ตามนุษย์ธรรมดา หรือหูธรรมดาของเราที่จะเข้าใจสิ่งเหล่านี้ได้  เพราะมันเป็นความจริงในโลกวิญญาณนั่นเอง

            บทสรุปของเรื่องราวเหล่านี้ ของข่าวดีเหล่านี้ ทั้งหมด คือยอห์น 3:16 เริ่มต้น ลองอ่านดู ท่านจะเห็นภาพชัดเจน …

        ยอห์น 3:16 “พระเจ้าทรงรักมนุษย์และโลกยิ่งนัก ถึงกับได้ประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ คือพระเยซูคริสต์ เพื่อทุกคนที่วางใจ (พึ่งพา) ในพระบุตรนั้น จะไม่พินาศ (ตายนิรันดร์ อยู่ในความบาป) แต่ได้รับการบังเกิดใหม่ มาเป็นลูกของพระองค์ มีชีวิตนิรันดร์ ที่เป็นของพระองค์ เหมือนพระองค์”

            นี่คือสาระสำคัญของข่าวดี สรุปสั้นๆ แค่นี้เอง ก็คือพระเจ้าทรงรักมนุษย์ยิ่งนัก บนโลกใบนี้ แล้วจึงประทานพระบุตรของพระองค์ ซึ่งเป็นพระเจ้า ก็คือพระเยซูคริสต์มาเกิดเป็นมนุษย์ เพื่อช่วย และใครก็ตามที่เชื่อ ยอมรับความจริงเหล่านี้ วางใจในพระบุตร คือพระเยซูคริสต์ว่าเป็นพระเจ้าจริงๆ ช่วยได้จริงๆ เขาคนนั้นจะรอด จากการถูกพิพากษา ได้รับการบังเกิดใหม่ มาเป็นลูกของพระเจ้า มีชีวิตนิรันดร์ทันที ในข้อ 17 ต่อไป บันทึกไว้อย่างนี้ว่า …

        ยอห์น 3:17 “เพราะว่าพระเจ้าทรงให้พระบุตรเข้ามาในโลก ไม่ใช่เพื่อพิพากษาลงโทษมนุษย์และโลก แต่เพื่อช่วยกู้มนุษย์และโลก ให้รอดจากการถูกพิพากษาลงโทษนั้น โดยทางการวางใจ พึ่งพาในพระบุตร คือพระเยซูคริสต์”

            พระเยซูมา เพื่อช่วยกู้มนุษย์ให้รอดจากการถูกพิพากษาลงโทษนั้น โดยการวางใจพึ่งพาในพระเยซูคริสต์ พระบุตรของพระเจ้านั่นเอง และถ้าไม่วางใจ อยู่ในสภาพเช่นไร? ในข้อ 18 ตามมา ก็คือ …

        ยอห์น 3:18 “คนที่วางใจพึ่งพาในพระบุตร คือพระเยซูคริสต์ จะไม่ถูกพิพากษาลงโทษให้พินาศ ส่วนคนที่ไม่ได้วางใจ ก็ถูกพิพากษาลงโทษ อยู่ในความพินาศ ในความตาย ในความบาปเหมือนเดิมอยู่แล้ว เพราะเขาไม่ได้วางใจ พึ่งพาในพระนามพระเยซูคริสต์ พระบุตรองค์เดียวของพระเจ้า”

            ส่วนคนที่ไม่ได้วางใจในพระบุตร คือพระเยซูคริสต์ ไม่ได้วางใจ แปลว่าอะไร? ก็คือไม่ได้วางใจว่าพระองค์เป็นพระบุตรของพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์ เป็นเรื่องจริง ไม่เชื่อว่าพระองค์พูดเป็นเรื่องจริง เชื่ออาจจะเหมือนที่บอกตะกี้นี้ ตรรกะตอนแรกๆ ที่ CS.Lewis ยกมาให้เราได้คิด คืออาจจะแค่วางใจ เชื่อว่าพระองค์เป็นศาสดาของคริสเตียนที่ดี 1 คน ก็คือไม่ไว้วางใจนั่นเอง ถ้าวางใจในพระเยซูคริสต์ ตามข้อนี้ นั่นหมายถึงว่าวางใจ พระเยซูบอก …

            “ให้ท่านวางใจในเรา ว่าที่เราพูดจริงๆ เราเป็นผู้นั้น ผู้นั้น เป็นใคร?  เราคือผู้นั้น ที่พระเจ้าสัญญาไว้ ตั้งแต่หลายพันปีก่อนแล้วว่าจะส่งเรามาช่วยเหลือมนุษย์ทั้งหลายให้พ้นจากบาป และเวรกรรม ช่วยให้ท่านเข้าสู่สวรรค์ได้ โดยผ่านทางเรา (เรา คือผู้นั้น) ถึงเวลาแล้ว ถึงกำหนดแล้ว พระเจ้าส่งเรามาเกิดแล้ว เราคือพระบุตรของพระเจ้าที่พระองค์ทรงสัญญาไว้”

            ที่ภาษาเดิม ภาษาฮีบรูเรียกว่า “พระเมสิยาห์” หรือ “มาซีฮาห์” แปลว่าพระผู้ช่วยให้รอด ที่พระเจ้าทรงสัญญาไว้ว่าจะมาช่วย แต่งตั้งไว้เรียบร้อยแล้ว ก่อนที่จะมาเกิดเป็นมนุษย์ และตอนนี้มาแล้ว ให้ท่านวางใจในเราว่าเราคือผู้นั้น จริงๆ เราคือพระเจ้า ที่พระองค์ทรงสัญญา มาเกิดเป็นมนุษย์แล้วจริงๆ เชื่อในเรา วางใจในเรา จึงจะได้รับความรอด จึงจะเข้าสู่สวรรค์ เพราะผ่านทางเราเท่านั้น ท่านจึงสามารถเข้าไปอยู่ในสวรรค์ได้

            เพราะฉะนั้น ถ้าไม่วางใจว่าพระเยซูคริสต์เป็นพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์ ก็คือไม่วางใจนั่นเอง จะวางใจว่าพระองค์เป็นศาสดาที่ดี หรือเป็นครูสอนที่ดี หรือเป็นผู้เผยพระวจนะที่ดี หรือเป็นผู้รับใช้พระเจ้าที่ดี หรือเป็นอะไรก็ตามที่ท่านพูดว่าดีๆ ก็มีค่าเท่ากันกับว่าท่านไม่ได้วางใจ ไม่ได้เชื่อว่าที่พระองค์พูดนั้นจริง มีค่าเท่ากับคนที่ไม่เชื่อว่าพระองค์พูดจริง ก็คือใส่ร้ายพระองค์ว่าพระองค์เป็นคนเสียสติ เป็นคนบ้า ซึ่งมีจำนวนหนึ่ง คิดอย่างนั้นจริงๆ ตอนเริ่มต้นที่ทรงประกาศ เดินอยู่บนโลกใบนี้ เมื่อ 2,000 ปีก่อน ก็มีกลุ่มคนกลุ่มหนึ่ง ที่เป็นชาวยิว พวกฟาริสี พวกคงแก่เรียน ในการศาสนายิว ก็กล่าวหาว่าพระองค์ทรงเป็นบ้า ทรงเสียสติ อย่างที่ตะกี้นี้ตรรกะที่บอกไว้ว่าถ้าเราไม่เชื่อพระองค์ เรามีสิทธิ์ที่จะนึกว่าพระองค์เป็นคนบ้าจริงๆ อยู่ดีๆ มาประกาศว่าเราเป็นพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์ เดินอยู่บนโลกใบนี้ มาช่วยเหลือมนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้เลย มันเกินกว่าความคิดของมนุษย์ที่จะเข้าใจจริงๆ มันเหลือเชื่อจริงๆ ถูกไหม? เราต้องเข้าใจ

            เพราะฉะนั้น คนที่มั่นใจในตัวเองอย่างสูง อย่างเช่นฟาริสี หรือคงแก่ศาสนาในยิว ในสมัยเมื่อ 2,000 ปีก่อน ไม่ยากเลยที่จะตัดสินว่าเขาเป็นคนเสียสติ เพราะยังไม่มีอะไรที่จะมาพิสูจน์กันมากมายนัก เพราะว่าพระองค์ยังไม่ได้ทำงานสำเร็จ ยังเดินอยู่บนโลกใบนี้ ยังไม่ได้ไปตายที่ไม้กางเขน และเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่ 3 มีอัศจรรย์ที่พระองค์ทรงกระทำบ้าง ตอนเดินอยู่บนโลกใบนี้ 3 ปีนั้น เท่านั้นเอง ไม่พอสำหรับพวกเขา แต่สำหรับพวกเราผ่านมา 2,000 ปี เห็นชัดเจนมากขึ้นเลยว่าอะไรบางอย่างที่เกิดขึ้นจากข่าวดีนี้ที่ถูกประกาศมา ตั้งแต่วันนั้น ถึงวันนี้ มันเจริญขึ้นไป เติบโตมากขึ้นทุกวันๆ อาณาจักรสวรรค์ที่พระเยซูคริสต์นำมาบนโลกใบนี้ มันขยาย เจริญเติบโตมากขึ้นทุกวัน  มีคริสเตียนตามพระเยซูคริสต์มากขึ้นทุกวันๆ แต่ในสมัยนั้น ไม่ได้มีอย่างนี้ ต้องเข้าใจเขา ในทิตัส 3:5 ได้บันทึกไว้อย่างนี้ …

        ทิตัส 3:5 “พระองค์ได้ช่วยให้เรารอด ไม่ใช่เพราะเราทำดี แต่เป็นเพราะความเมตตากรุณาของพระองค์ต่างหาก พระองค์ได้ชำระล้างเรา ซึ่งทำให้เราเกิดใหม่ และถูกสร้างขึ้นมาใหม่ ด้วยฤทธิ์เดชของพระวิญญาณบริสุทธิ์”

            นี่ก็เป็นสิ่งหนึ่ง ที่ทำให้คนสมัยนั้น เชื่อพระเยซูยากมาก เพราะอะไร? เพราะเราอ่านในนี้ พระองค์ทรงช่วยให้เขารอดจากความบาป โดยที่ไม่ต้องทำอะไรเลย  โดยที่ไม่ต้องประพฤติอะไรเลย  โดยที่ไม่ต้องรักษาความดีงามอะไรต่างๆ นี้ ได้เข้าสวรรค์ โดยไม่ต้องประพฤติ เรียกว่าให้เข้าสู่สวรรค์ฟรีๆ โดยความเชื่อเท่านั้นเอง ไม่ต้องทำอะไรเลยสักอย่างหนึ่ง ที่พระคัมภีร์เรียกว่าพระคุณ

            ดังนั้น โอกาสที่เขาจะไม่เชื่อว่าพระเยซูพูดจริงมีเยอะมากเลย  เราก็เข้าใจเขาในสมัยนั้น และยังแถมพระองค์สามารถชำระล้างบาปให้กับคนนั้น และทำให้คนนั้นบังเกิดใหม่ได้ด้วย ยิ่งไม่รู้จะหาทางเข้าใจได้อย่างไรเลย จึงมีผู้ที่ไม่เข้าใจ กล่าวหาพระองค์เสียๆ หายๆ อยู่ แต่ปัจจุบันไม่ควรจะเป็นอย่างนั้นเลย  เพราะว่ามีข้อพิสูจน์มากมาย มีผู้คนติดตามพระองค์และเชื่อ ชีวิตเปลี่ยนไปมากมาย รุ่นแล้วรุ่นเล่ามา 2,000 ปีนี้ เยอะมากเลย ที่ได้พระคุณจากพระเจ้า และได้บังเกิดใหม่  เห็นชัดๆ ชีวิตที่ได้เปลี่ยนไป ยังมีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ก็ 2,000 กว่าล้านคน  และที่ในอดีต นับไม่ถ้วน

            ผู้คนเหล่านี้เป็นคำพยานอันดีจริงๆ ว่าพระเยซูคริสต์นำเอาสวรรค์มาให้กับมนุษย์ โดยที่มนุษย์ไม่ต้องพึ่งพาการกระทำของตนเองเลย เพื่อจะได้เข้าสวรรค์ เพียงแค่พึ่งพาพระเยซูคริสต์อย่างเดียว พูดง่ายๆ วางใจว่าพระเยซูคริสต์เป็นพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์ เท่านั้นเอง ได้รับความรอดไปสวรรค์แล้ว ทำไมมันง่ายอย่างนี้ เรียกว่าพระคุณ รอดโดยพระคุณ ไม่ใช่การกระทำดี ซึ่งในอดีตมาตลอดเวลาเลย หลายพันปีมาจนถึงทุกวันนี้ มนุษย์คิดตามภาษามนุษย์ เข้าใจตามภาษามนุษย์ว่าถ้าไปสวรรค์มันต้องพึ่งพาการกระทำความดี แต่พระองค์มาถึง เป็นผู้เดียวที่ประกาศอย่างนี้ เป็นผู้เดียวในโลกนี้เลย ที่บอกว่าไปสวรรค์ได้ โดยไม่ทำความดีก็ได้ ให้มาเชื่อในตัวเราเท่านั้นเอง รับได้อย่างไร? ความเข้าใจของมนุษย์ไม่มีทางเข้าใจเลย พูดง่ายๆ พระคุณนี้ เหมือนอะไรรู้ไหม? ผมจะยกตัวอย่างอันนี้ ชัดเจนเลย

            มนุษย์ทั้งหลายอยู่บนโลกใบนี้ ที่เป็นคนบาป เปรียบเหมือนนักโทษ รอการประหาร พอเกิดมาเป็นมนุษย์ อยู่บนโลกใบนี้ ก็คือเป็นนักโทษ อยู่ใต้คำพิพากษาไปแล้วว่าต้องถูกประหารชีวิต รอตะแลงแกงเสร็จเท่านั้นเอง รอวันที่เขาจะนำไปประหารชีวิต นึกภาพนะ อยู่ในเรือนจำ รอวันที่เขาจะนำไปยิงเป้า ประหารชีวิต แล้วจู่ๆ ก็มีพระราชา มีกษัตริย์บอกว่า …

            “ปีนี้เราให้อภัยทั้งหมดเลย ให้พระกรุณาทั้งหมด  ให้นักโทษที่ถูกตัดสินให้ประหารทั้งหมดทุกคน ได้เป็นอิสระ จากโทษทัณฑ์นั้น ไม่ต้องถูกประหารแล้ว นึกภาพออกไหม? ใครก็ตามที่อยากได้ พระกรุณาธิคุณนี้ ให้ยกมือขึ้น” แค่นั่นเอง  ไม่ต้องทำอะไรเลย

            ยกมือขึ้น ก็ออกจากเรือนจำทันที เพราะว่าเป็นอิสระแล้ว ไม่มีโทษแล้ว เรียกว่าพระกรุณา พระเมตตา พอออกมาจากเรือนจำปุ๊บ เป็นอิสระแล้ว แต่ก็เป็นอดีตนักโทษอยู่ ถูกไหม?

            พระคุณ คือให้เป็นอิสระออกมาข้างนอกแล้ว ไม่ต้องถูกประหารชีวิต แค่นั้นไม่พอ พระราชาบอกว่าให้นักโทษคนนั้นที่ออกมาแล้ว เข้ามาอยู่ในวัง  ก่อนจะเข้ามาอยู่ในวัง  จับไปผ่าตัดให้เรียบร้อย เอาอดีต ความเป็นนักโทษออกไปซะ เปลี่ยนชีวิตใหม่ เปลี่ยนหัวใจใหม่ เปลี่ยนอะไรต่างๆ ใหม่ รับเข้ามาอยู่ในวัง มาเป็นรัชทายาท

            รัชทายาท ก็คือผู้ที่จะปกครองมรดกของพระราชาในอนาคต เป็นรัชทายาท เชื่อได้ไหม? จะบ้าไปแล้วหรือไง? เป็นไปได้อย่างไร? แต่ในพระคัมภีร์ ในโลกวิญญาณ มันเป็นอย่างนั้นจริงๆ เรียกว่าพระคุณ จึงเชื่อยากไง? จึงเข้าใจว่าทำไมเขาเชื่อยาก

            อิสยาห์ 55:8-9 จึงได้บันทึกอย่างนี้ พระเจ้าทราบดี พระเจ้าก็จะเตือนอย่างนี้อยู่เรื่อยๆ เรียกว่า …

            “ถ้าเจ้าใช้ความคิดของเจ้า ใช้ปัญญาของเจ้า ใช้ตรรกะแบบเป็นมนุษย์ ไม่มีวันที่จะเข้าใจ พระคุณที่เราทำอยู่นี้เลย มันเป็นไปไม่ได้เลย เจ้าต้องใช้วิธีอื่นในการตัดสินใจเรื่องนี้”

            ก็คือเดี๋ยวรู้เองว่าใช้อะไร?  ลองอ่านดูก่อนว่าพระเจ้าเตือนไว้อย่างไร? นี่คือหนึ่งในจำนวนคำเตือนของพระเจ้าในความจริงนี้ว่าท่านจะรับความจริง ในเรื่องข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์ได้ด้วยวิธีใด? มนุษย์ทั้งหลาย …

        อิสยาห์ 55:8-9 พระเจ้าตรัสว่า “8 “เพราะความคิดของเราไม่เป็นความคิดของเจ้า ทั้งวิถีทางของเจ้าไม่เป็นวิถีทางของเรา” 9 องค์พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนั้น “ฟ้าสวรรค์สูงกว่าแผ่นดินโลกฉันใด วิถีของเรา ก็สูงกว่าทางของเจ้า และความคิดของเราก็สูงกว่าความคิดของเจ้า ฉันนั้น”

            “ฟ้าสวรรค์สูงกว่าแผ่นดินโลกเท่าใด วิถีของเรา ก็สูงกว่าทางของเจ้า  และความคิดของเรา ก็สูงกว่าความคิดของเจ้าฉันนั้น” เอเมน

            พูดง่ายๆ ว่าถ้าเจ้าใช้ความคิดและใช้ปัญญาของตนเอง จบข่าว ต้องใช้ความไว้วางใจในเราเท่านั้นว่ามันเป็นเรื่องจริง เพราะฉะนั้น อย่ารอให้เข้าใจด้วยเหตุผล ความคิดของมนุษย์ของตนเอง ตามตรรกะของมนุษย์ของตนเองก่อน แล้วค่อยตัดสินใจ ยอมรับความจริง ในเรื่องการวางใจในพระเยซูคริสต์ ถูกไหม? อย่ารอให้เข้าใจก่อน แล้วค่อยมาเชื่อพระเยซู เพราะว่ามันเป็นไปไม่ได้ ไม่มีวันเข้าใจหรอก ที่เรานั่งกันอยู่ทุกวันนี้  ที่เราเป็นผู้เชื่อ เป็นคริสเตียนแล้ว เราก็เริ่มต้นด้วยวางใจในความจริงนี้ ด้วยข้างใน ด้วยวิญญาณของเรา ไม่ใช่ด้วยความคิดของเราคิดว่ามันใช่ เพราะว่าถ้าเรารอ หาเหตุผล หรือความเข้าใจเสียก่อน มันจะสายเกินไป เพราะมันเป็นไปไม่ได้ มันตายก่อน ที่จะรู้ พูดง่ายๆ ให้ลองใช้จิตวิญญาณส่วนลึกภายในจิตใจของท่าน แสวงหาดู ทุกคนในนี้ที่ได้รับ ได้รู้ ได้มีประสบการณ์จริงๆ แล้ว แสวงหาด้วยการใช้จิตวิญญาณทั้งสิ้น ไม่ได้มาด้วยความคิดเลย ผมเองก็หนึ่งคนแล้ว ท่านเองก็เหมือนกัน ถูกไหม? เรามาจากการที่เราไม่เข้าใจ พอเราไม่เข้าใจ  เราทำอย่างไร? …

            “พระเจ้ามันเรื่องจริงหรือ? ไม่เข้าใจเลย”

            อย่างที่ผมยกตัวอย่าง พระเยซูอยู่ไหน? พระเยซูที่เขาประกาศ  อยากรู้จัก แต่ไม่เข้าใจ  เขาพูดอะไรกัน  แต่ก็อยากจะรู้นะ เริ่มต้นด้วยวิธีนี้ ก็เจอ เพราะเริ่มด้วยวิญญาณข้างใน  ไม่ใช่ด้วยเหตุผล มีใครในที่นี้มาเชื่อแบบจิตวิญญาณบ้าง? ลองเป็นพยานสักคนหนึ่งสิ มีไหม? มีทุกคน ของท่านเป็นอย่างไรบ้าง?

            ไม่เข้าใจเลย เพื่อนทำไมพูดแต่เรื่องพระเยซู เราก็ไม่เข้าใจ แต่เราเริ่มต้นอยากรู้ ก็จะใช้วิธีไม่เข้าใจ ก็จะพูดแล้ว พูดกับใคร? ก็พูดกับพระเจ้า พูดกับพระเยซูไงว่าไม่เข้าใจ จะพูดแบบผมหรือไม่ ก็ไม่รู้ แต่ในที่สุด ก็คือก็อยากรู้ เขาพูดมาตั้งนานแล้ว เริ่มสนใจ  แต่ไม่เข้าใจ เริ่มพูดกับพระเยซูโดยไม่เข้าใจ ในที่สุด ก็เข้าใจ เพราะว่าเริ่มต้นนั้น มันเริ่มต้นด้วยจิตวิญญาณ มาถูกทางแล้ว เพราะฉะนั้น พี่น้องทั้งหลายที่ฟังอยู่ เริ่มต้นดูสิครับ เริ่มด้วยจิตวิญญาณของท่าน ในส่วนลึก ภายในจิตใจของท่านแหละ พูดกับพระองค์เลย ไม่เข้าใจ ก็บอกว่าไม่เข้าใจ …

            “ลูกไม่เข้าใจ อยากจะรู้จัก มีปัญหามากมายในชีวิต อยากจะให้พระองค์ทรงช่วย เหมือนกับคนนั้นที่พระองค์ช่วยไปแล้ว ทำอย่างไร?”

            นี่แหละ คือสิ่งที่เรียกว่ามาจากจิตวิญญาณข้างใน ไม่ต้องไปนั่งลึกซึ้งมาก วิญญาณข้างในมันต้องเป็นอย่างนี้ ต้องเข้าสู่ที่สงบ ต้องไปปลีกวิเวก ไม่ใช่อย่างนั้นเลย เข้าใจผิด จิตวิญญาณ ก็คือไม่เข้าใจ  ไม่เข้าใจ ก็พูดไปสิ ไม่เข้าใจ ก็พูดไปเรื่อย

            “อยากรู้จักจัง ฉันอยากรู้จักข่าวประเสริฐนี้ ฉันก็อยากจักรู้จักพระเจ้า” … แค่นั้นเอง

            และถ้าท่านลองแสวงหาอย่างนั้นไปด้วยจิตวิญญาณของท่าน ท่านเจอแน่ เพราะว่ามันเป็นเรื่องจริง คริสตมาสปีนี้ ท่านอาจจะได้ยิน ท่านแสวงหาอย่างที่ผมอธิบายให้ฟังเมื่อตะกี้นี้  อย่างที่คนเป็นพยานเมื่อสักครู่นี้ว่าใช้วิญญาณ ใช้จิตใจส่วนลึกของท่าน พูดด้วยความตรงไปตรงมา คริสตมาสปีนี้ ท่านอาจได้ยินเสียงของพระเจ้าก็ได้ เสียงของพระเจ้าท่ามกลางบรรยากาศแห่งการให้ของขวัญ ในวันคริสตมาส บรรยากาศแห่งความสุขสงบและความชื่นชมยินดีทั้งโลก พระเจ้าจะพูดกับท่านว่า …

            “กลับบ้านเราเถิดลูก พ่ออภัยให้หมดแล้ว พ่อเตรียมทุกสิ่งที่ดีเลิศไว้ให้กับลูกแล้ว พ่อรออยู่นะ รักลูกมากๆ”

            คืออะไร? ก็คือประโยคที่ทุกคนในโลกใบนี้ ที่ยังมีชีวิตอยู่ทุกวันนี้ 2,000 กว่าล้านคนที่เป็น คริสเตียนผู้เชื่อแล้วนั้น ได้รับเสียงนี้จากพระเจ้า เมื่อวันที่เขาเปิดใจ ใช้วิญญาณเขาแสวงหาพระองค์ด้วยวิญญาณ เขาเจอแน่ มันเป็นของจริง พระเจ้าดีใจมาก รออยู่แล้วว่าทุกคนได้รับอย่างนี้เช่นเดียวกันหมด

            “กลับบ้านเถิดลูกเอ๋ย พ่อรักลูกมากนะ”

            การเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ หรือเรียกว่าพระเมสิยาห์ พระคริสต์เข้ามาในชีวิต ก็เหมือนกับการตัดสินใจกลับบ้านของพระบิดา คือสวรรคสถานนั่นเอง สวรรคสถานเป็นที่สำหรับมนุษย์อยู่อาศัยเท่านั้นไม่ได้เตรียมไว้ให้กับวิญญาณ หรืออะไรต่างๆ เหล่านั้นเลย แต่เตรียมไว้ให้กับมนุษย์บนโลกใบนี้เท่านั้น ลงมาตั้งอยู่ เพื่อมนุษย์ทั้งหลายจะเข้าสู่สวรรค์ได้ และเมื่อถึงสวรรค์ เมื่อถึงบ้านแล้ว พระบิดาก็จะต้อนรับด้วยความตื่นเต้น  ด้วยความยินดี จัดงานเลี้ยงฉลองรับเรากลับมาเป็นลูก เป็นเจ้าของบ้านร่วมกับพระเยซูคริสต์ทันที รออยู่แล้วว่าท่านเปิดใจ แสวงหาเท่านั้นเอง อย่าใช้ความคิด อย่าใช้ความเข้าใจ บ้านก็คือสวรรค์ของพระบิดา เมื่อเป็นลูก อยู่ในบ้านของพระเจ้าแล้ว โดยพระคุณ ไม่ต้องทำอะไรเลยนะ พระคุณที่ได้ให้กำเนิด  รับเราเป็นลูก ด้วยท่าทีแห่งความรักของพระเจ้า รับเราเป็นลูกของพระองค์ ด้วยพระคุณ

            ในท่าทีแห่งความรัก ด้วยพระคุณของพระเจ้าอย่างนี้ เช่นเดียวกัน  ที่พระเจ้าจะใช้ความรักอย่างนี้ ลักษณะอย่างนี้ของพระองค์ พอรับเราเป็นลูกแล้ว ก็จะฝึกสอนเราด้วยความรัก  แบบอากาเป้ แบบไม่มีเงื่อนไขอย่างนี้  ด้วยความทะนุถนอม เพื่อให้เราเริ่มต้นประพฤติตัวให้สมกับเป็นลูกของพระเจ้า อยู่ในบ้านนี้ โดยย้ำยืนยันกับลูกๆ บ่อยๆ ในวิญญาณข้างในว่า …

            “พ่อรักลูกมากนะ”

            นี่อยากจะให้ผู้ที่เป็นลูกของพระเจ้าแล้ว ที่วางใจในพระเยซูคริสต์ ได้บังเกิดใหม่แล้ว ได้ยินได้ฟังด้วย สำหรับผู้ที่ยังไม่ได้บังเกิดใหม่ กำลังแสวงหาอยู่ ถ้าท่านใช้จิตวิญญาณของท่านแสวงหา ท่านก็จะได้พบกับความจริงนี้ และท่านก็จะได้รับเสียงนี้จากพระเจ้า เช่นเดียวกัน เพราะท่านเป็นลูกแล้ว พระเจ้าก็จะบอกเรา บอกบ่อยๆ เลย ลูกของพระเจ้าทั้งหลาย คริสเตียนทั้งหลาย ที่ได้บังเกิดใหม่แล้ว พระเจ้าก็จะพูดกับเราบ่อยๆ ในจิตใจ ในวิญญาณของเรา ส่วนลึกๆ ว่า …

            “พ่อรักลูกมากนะ ไม่เป็นไรนะ พ่ออภัยให้เสมอ (เวลาเราทำอะไรผิดพลาดไป) ลูกบริสุทธิ์ สะอาด ดีพร้อมเหมือนพ่อเลย อย่ากลัวเลย พ่ออยู่กับลูกเสมอ พ่อไม่เคยละลูก ทิ้งลูกให้อยู่ลำพังนะ  ไม่มีใครที่ไหนจะสามารถทำอันตราย ทำร้ายลูกได้เลย พ่อจะดูแลเอง พ่ออยู่กับเจ้า จงพัก หายเหนื่อยและเป็นสุข  สงบในสวรรค์ บ้านของเรานี้ ลูกจะอยู่กับพ่อตลอดไป ไม่ต้องกลัวว่าพ่อจะทิ้งเจ้าไปไหนเลยนะลูก จงมั่นใจในความรักของพ่อ”

            นี่แหละ มันจะเป็นอย่างนี้ตลอดเลย ใครมีหูจงฟังเถิด ใครมีตา จงมองให้เห็นเถิด พระวิญญาณของพระเจ้าตรัสดังนี้แหละ พ่อของเรารอคอยเรากลับบ้าน ถ้ากลับบ้านแล้ว พระองค์มีท่าทีกับเราอย่างนี้ อย่างที่ตะกี้นี้อ่านให้ฟัง อย่างนี้เลย ตามพระคัมภีร์เลย พระวิญญาณของพระเจ้าจึงบอกว่าใครมีหูจงฟังเถิด ใครมีตาจงมองให้เห็นเถิด ถ้าได้บังเกิดใหม่แล้ว วางใจในพระเยซูคริสต์ได้เข้าสู่สวรรค์แล้ว หูตาฝ่ายวิญญาณก็จะเปิดออกกว้างขึ้น ก็จะได้ยินเสียงเหล่านี้แหละ คือเสียงของพระเจ้า  ที่บอกมนุษย์ทั้งหลาย  โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้คนที่เป็นมนุษย์ ที่ยังไม่ได้รู้จักพระองค์ พระองค์รอคอยท่านอยู่ มนุษย์ทั้งหลาย กลับบ้านเราเถิด พระเจ้ากำลังพูดกับท่านอย่างนั้น มนุษย์ทั้งหลายกลับบ้านเราเถิด ประตูสวรรค์เปิดรอท่านอยู่ และพ่อแห่งฟ้าสวรรค์กำลังรอคอย ต้อนรับท่านอยู่ ด้วยความรัก ด้วยความตื่นเต้น ที่ได้พบกับท่าน และด้วยความยินดีที่จะฉลองเลี้ยงท่าน  เพราะท่านได้กลับมาสู่บ้านที่พระองค์ทรงจัดเตรียมไว้ให้เรียบร้อยแล้ว คือสวรรคสถาน ผ่านทางพระเยซูคริสต์ ก็เพียงแค่เปิดใจยอมรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดจากบาปเท่านั้น ท่านจะได้เข้าสู่สวรรค์ทันที

            ให้เราพูดพร้อมกันว่า … “ทันที ไม่ต้องรอเลย”

            ก็แสดงให้เห็นว่าเราสามารถพิสูจน์ได้ นี่แหละ คือสิ่งที่พิสูจน์ว่าพระเยซูคริสต์เป็นพระเจ้ามาเกิดเป็นมนุษย์จริงๆ พิสูจน์ได้ทันที มันไม่ใช่ว่ารอพิสูจน์กันตอนตายไปแล้ว จึงจะรู้ว่าพระเยซูคริสต์เป็นพระเจ้า นั่นมันสายเกินไปแล้ว ผู้ที่เชื่อ มีความหวังใจ ในสวรรค์นั้น ก็คือผู้ที่เข้าสู่สวรรค์แล้วทันที โดยที่อยู่บนโลกใบนี้ ดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ ที่เขาอยู่ในสวรรค์แล้ว  และดำเนินต่อไป ร่างกายเดิมนี้ จนกระทั่งร่างกายเดิมนี้สูญสิ้น จบ หมด สลายไป วิญญาณออกจากร่าง ก็อยู่ในสวรรค์ที่เดิม  แต่ได้เปลี่ยนร่างกายใหม่ เป็นร่างกายสวรรค์ เป็นร่างกายที่เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์ที่มิติฝ่ายวิญญาณ  ที่เห็นชัดเจน ไม่มีอะไรขวางกั้นเลย  เห็นพระเจ้าหน้าต่อหน้า เห็นตัวเองเต็มด้วยสง่าราศี เหมือนพระเจ้า นี่คือความจริงในโลกวิญญาณที่มนุษย์ไม่สามารถที่จะเข้าใจ ไม่สามารถคิดหาเหตุผลได้ แต่สามารถพิสูจน์ได้ พระคัมภีร์บอกว่าจงมาชิมพระเจ้าดูสิ แล้วท่านจะรู้ว่าพระองค์ทรงดี และดีงามที่สุด

            คำว่า “ชิมดู” คือให้มารู้จักพระเจ้าอยู่บนโลกใบนี้เลย แล้วท่านก็จะรู้ว่าพระเจ้าดี รู้เมื่อไร? รู้ตอนดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้เลย ไม่ใช่ว่ารอให้ตายไป จึงเห็นว่าพระเจ้าดี ไม่ใช่ ทุกสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นทันที บนโลกใบนี้ ตอนที่ดำเนินชีวิตอยู่ แต่มันเกิดขึ้นในโลกวิญญาณเท่านั้น เพราะฉะนั้น ความจริงในโลกวิญญาณ ที่มนุษย์ไม่สามารถเข้าใจ ไม่สามารถคิดหาเหตุผลได้ คือพระเยซูคริสต์ไม่ใช่เป็นเพียงแค่ศาสดาของศาสนาคริสต์ ตามที่เรามนุษย์คิดเท่านั้น  แต่พระเยซูคริสต์ทรงเป็นพระเจ้า ผู้ทรงสร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก สร้างสรรพสิ่งทั้งหลายทุกสิ่ง ทั้งที่มองเห็น คือในโลกวัตถุ และในโลกวิญญาณที่มองไม่เห็น ทรงมีฤทธานุภาพอำนาจปกครองสูงสุด ทั้ง 2 โลกเลย ทั้งโลกวิญญาณและโลกวัตถุ เพราะพระองค์เป็นผู้สร้างสรรพสิ่งทั้งหลาย ด้วยตัวของพระองค์เอง และพระองค์เอง ก็คือพระเยซูคริสต์ พระองค์เสด็จมาเกิดเป็นมนุษย์  เพื่อจุดประสงค์เพียงสิ่งเดียว ก็คือช่วยเหลือมนุษย์ทุกคน ก็คือช่วยเหลือท่าน ที่เราได้ยินได้ฟังข่าวประเสริฐในวันนี้ ให้พ้นจากความพินาศในนรก หลังความตายนั่นเอง พ้นจากการถูกพิพากษาให้ตาย ซึ่งจะถูกสำเร็จโทษ หลังจากที่วิญญาณของท่านออกจากร่าง ก็คือหลังจากตายนั่นเอง ท่านจะได้ไม่ต้องถูกพิพากษาลงโทษ  และพระเจ้าพ่อในฟ้าสวรรค์ ก็ได้พยายามประกาศข่าวดีเรื่องนี้ ด้วยความขะมักเขม่น เพื่อข่าวดีนี้จะได้ไปถึงมนุษย์ทั้งปวง ให้รู้ความจริงในโลกวิญญาณ ก่อนที่จะตายจากโลกนี้ แล้วค่อยมาพบความจริงทีหลัง ซึ่งสายเกินไปแล้ว  พระองค์ต้องการให้เรารู้จักความจริงนี้ ก่อนที่จะตายจากโลกนี้ไป  เพราะว่าถ้าคอย จนพบความจริง หลังจากตายแล้ว ถึงรู้ความจริง ตอนนั้น มันก็สายไปแล้ว เพราะประตูสวรรค์จะปิดลง เหมือนกับประตูเรือโนอาห์ ที่พระเยซูคริสต์ยกตัวอย่าง ให้เห็นภาพชัดเจนว่าพระองค์ทรงเตือนแล้วว่าวันหนึ่งจะเกิดน้ำท่วมใหญ่ และคนก็ไม่เชื่อว่ามันเป็นไปได้ ฝนไม่เคยมีตกลงมาบนโลกใบนี้ ในสมัยนั้น แต่พระองค์บอกแล้วว่าน้ำจะท่วมโลก มนุษย์จะตายหมด ใครที่เชื่อฟังพระองค์เข้ามาสู่เรือโนอาห์ ก็จะได้รับความรอด คนที่ไม่เชื่อ ก็จะถูกน้ำท่วม กวาดไปหมด

            พระองค์ทรงยกตัวอย่างเรื่องนี้มาให้เห็นว่าในโลกวิญญาณ ในสมัยที่พระเยซูคริสต์มาก็เช่นเดียวกัน ถ้าท่านไม่เปิดใจ ไม่ค้นหาความจริงในเรื่องพระเยซูคริสต์นี้  และไม่ได้บังเกิดใหม่แล้ว จนถึงวันหนึ่ง เมื่อท่านจากโลกนี้ไปนั้น หมายถึงประตูสวรรค์ที่พระเยซูคริสต์เปิดไว้นั้น มันจะปิดลง ท่านไม่มีโอกาสเข้าไปอีกแล้ว เพราะท่านจะได้รับการพิพากษาลงโทษหลังความตาย ไปสู่ความพินาศอย่างแน่นอน ตามที่ได้ระบุไว้ในหนังสือกฎระเบียบของพระองค์ ในพระคัมภีร์ไบเบิ้ลนี้ พระเจ้าอวยพรครับ

*****************

จากใจคณะศิษยาภิบาล

            ความหวังที่จะได้เป็นขึ้นจากความตาย  คือความหวังจะได้สวมร่างกายใหม่  หลังจากที่กายฝ่ายโลกของเรานี้  สิ้นสุดลง

            ร่างกายของผู้เชื่อสะอาด  ได้รับการชำระล้างด้วยพระโลหิตของพระเยซู  เป็นที่สามารถรับได้ของพระเจ้าแล้ว  ไม่สกปรกโสโครกแล้ว เพราะบาปได้รับการอภัยแล้ว

            แต่เป็นร่างกายดินแบบโลก ที่ต้องเสื่อมโทรมและสูญสิ้นไป  เพราะถูกสาปแช่งไปแล้ว  จึงอ่อนแอ  สภาพเหมือนกับภาชนะดิน  ที่ไม่สามารถรองรับชีวิตแบบสวรรค์ได้  เป็นร่างกายแบบดิน  ที่ไม่สามารถเข้าสวรรค์หรือมีส่วนในอาณาจักรสวรรค์ของพระเจ้าได้

            เมื่อถึงเวลาจะเข้าไปอยู่ในสวรรค์  จึงต้องได้รับร่างกายใหม่  ซึ่งพระเจ้าจัดเตรียมไว้ให้เรียบร้อยแล้ว  เป็นร่างกายที่เหมือนพระเยซูตอนเป็นขึ้นจากความตาย  เป็นร่างกายแบบสวรรค์  ร่างกายดินที่ต้องตาย  ที่สามารถตายได้  ต้องเปลี่ยนเป็นร่างกายที่ไม่สามารถตายได้  เป็นร่างกายอมตะ  ที่เป็นนิรันดร์เรียกว่าร่างกายสวรรค์

            ร่างกายดินแบบโลก  ที่เราดำเนินชีวิตอยู่บนโลกในขณะนี้นั้นทุกส่วน คือตา  หู  จมูก  ลิ้นกาย  ความคิดจิตใจ  สมอง  ได้รับการชำระให้สะอาด  เป็นที่ยอมรับได้ของพระเจ้าแล้ว  แต่ความคิดจิตใจ  และสมอง ยังมีข้อมูล  กับความเคยชินในชีวิตเดิมอยู่  และยังสามารถได้รับอิทธิพลจากภายนอก  คือระบบของโลกนี้  ซึ่งครอบครองโดยบาป  คอยล่อลวงให้ทำบาปเหมือนชีวิตเดิม  ซึ่งเป็นการต่อต้านพระเจ้าที่อยู่ในใจเรา  อิทธิพลของโลกแห่งความบาปนี้  มันไม่ใช่ตัวเรา  ไม่ใช่ส่วนหนึ่งของร่างกายของเรา  แต่เป็นพลังอิทธิพลแห่งความบาปและความตาย  ซึ่งสามารถเข้ามาล่อลวงกระตุ้น ให้สมองและความคิดของเราเชื่อฟังมันได้  มันเหมือนพยาธิ  ปรสิตที่แอบซ่อนอยู่ในร่างกาย

            ความหวังที่จะได้เป็นขึ้นจากความตาย  หมายถึงการได้รับกายใหม่  หลังจากที่กายฝ่ายโลกของเรานี้   เสื่อมสลายลง ซึ่งพระคัมภีร์เรียก “กายใหม่” นี้ว่า  “กายสวรรค์”

            1 โครินธ์ 15:40 …  “กายก็มีทั้งแบบสวรรค์  และแบบฝ่ายโลกเช่นกัน  แต่สง่าราศีของกายแบบสวรรค์ก็อย่างหนึ่ง  และสง่าราศีของกายแบบฝ่ายโลกก็อีกอย่างหนึ่ง”

            การได้รับกายใหม่  คือกายสวรรค์  หลังจากที่กายแบบโลกของเราเสื่อมสลายลง  (ตาย) ก็คือการได้รับชีวิตนิรันดร์  ที่ครบถ้วนบริบูรณ์ (แบบ Full Option) ตรงนี้แหละ  คือสิ่งที่เรายังไม่มี   และเป็นความหวัง  ที่พวกเรารอคอยด้วยความอดทน  พระเจ้าอวยพรครับ

วารสาร Holy  News   ฉบับที่ 1393 

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  11  ธันวาคม  2022

เรื่อง “มนุษย์จัดเตรียมสิ่งต่างๆ สำหรับลูกที่กำลังจะคลอดออกมาอย่างไร?

พระบิดาในสวรรค์ทรงจัดเตรียมมากยิ่งกว่า”

โดย นคร  เวชสุภาพร

            วันนี้หัวข้อเรื่อง คือ “มนุษย์จัดเตรียมสิ่งต่างๆ สำหรับลูกที่กำลังจะคลอดออกมาอย่างไร? พระบิดาในสวรรค์ทรงจัดเตรียมมากยิ่งกว่า”

            พ่อแม่ที่เป็นมนุษย์ ยังรู้จักจัดเตรียมสิ่งต่างๆ พ่อแม่ที่เป็นมนุษย์เราก็รู้แล้วว่าเราจัดเตรียมทุกสิ่งทุกอย่างให้กับลูกๆ ที่กำลังจะคลอดออกมา ด้วยความรัก ด้วยความตื่นเต้น พระเจ้าทรงจัดเตรียมมากยิ่งกว่านั้นสักเท่าไร? ตื่นเต้นไหมล่ะ ลองคิดถึงพ่อแม่ที่เป็นมนุษย์จัดเตรียมให้กับลูกอย่างไร? พระเจ้าจัดเตรียมให้กับเรามากยิ่งกว่านั้นอีก เยอะเลย

            เพราะฉะนั้น ก่อนอื่น เราก็มาดูสิว่าพ่อแม่ที่เป็นมนุษย์ เตรียมอย่างไร?  อย่างที่ตะกี้เราตะโกนกันขึ้นมาบอกว่าตื่นเต้น ดีใจ ชื่นชมยินดี ทั้งๆ ที่ลูกคลอดออกมาหรือยัง? เกิดหรือยัง อยู่ที่ไหน? อยู่ที่ไหนไม่รู้? บางคนตื่นเต้นตั้งแต่ยังไม่ได้ท้องเลย ไปเช็คดูวันนี้ ปรากฏว่าไม่ท้อง เดือนหน้าเช็คใหม่ ถามว่าตื่นเต้นไหม? ตื่นเต้น ชื่นชมยินดีไหม? ชื่นชมยินดี กับลูกที่หวังว่าจะเกิดมา เกิดมาหรือยัง? ยังไม่ได้เกิดเลย แต่ชื่นชมยินดีไปเรียบร้อยแล้ว แล้วลูกที่ยังไม่คลอดเลยนั้น พ่อแม่ทำอะไร? เตรียมให้หมดทุกอย่าง เหมือนกับเขาคลอดแล้วเลย คือจัดเตรียม จัดหา ซื้ออะไรต่างๆ เหล่านั้นขึ้นมา แค่รู้วันแรกนะ หมอบอกว่าเธอตั้งครรภ์ ทันทีทันใดนั้น ยังไม่เห็นตัวตนเลยนะ ทำอะไรก่อน กลับมาเตรียมตัว ซื้ออันโน้น ซื้ออันนี้ เตรียมอันนั้น แล้วแต่กำลังของแต่ละคน ถูกไหม? เพื่อเราจะได้เห็นภาพชัดเจน ถ้าเราเห็นภาพมนุษย์ที่รักลูกของเขา ทั้งๆ ที่ยังมองไม่เห็นอย่างไร? เตรียมให้เขาอย่างไร? เราจะได้เห็นพระเจ้าเตรียมให้กับเรามากยิ่งกว่านั้นสักเท่าไร?

            ลูกยังไม่ได้ทำอะไรเป็นการกตัญญู ทำดีต่อเราเลย ที่เป็นพ่อแม่ เราก็จัดเตรียมหมดทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว ถูกหรือไม่ถูก? เรามาดูสิว่ามีตัวอย่างอะไร? อย่างตะกี้ที่บอกไว้แล้วว่าแค่รู้ข่าวว่าท้องแล้ว เกิดอะไรขึ้น ตื่นเต้น ยินดี เตรียมไปซื้อโน่นซื้อนี่ สิ่งหนึ่งที่เห็นชัดที่สุด เตรียมอันดับแรกเลย  ก็คือเตรียมรักสุดหัวใจ ถูกไหม? การไปซื้อของ การชื่นชมยินดีนั้น ตามมาจากความรักก่อน นั่นแหละ เขาเรียกว่าทำจากใจ  เพราะเขายังไม่ได้ทำอะไรให้กับเราแม้แต่นิดเดียวเลย ยังไม่ได้เห็นหน้ากันเลย ไม่ได้กตัญญูอะไรต่อเรา แต่เราเตรียมทั้งหมดแล้ว เพราะว่ารัก แล้วเราเตรียมอะไรอีก เตรียมสิ่งต่างๆ ที่จะให้เขาได้ดี คิดไว้ล่วงหน้าเลยว่าเขาเกิดมาต้องใช้อะไร? นมอย่างนี้อย่างนั้น ถามว่าทุกคนเตรียมสิ่งเหล่านี้ เพื่อตัวเองหรือเปล่า? ไม่ใช่ เพื่อจะรักเขา

            เพราะฉะนั้น มนุษย์ทั้งหลายมีลูกเพื่ออะไร? เพื่อเขาจะได้มาดูแลเราตอนแก่? ไม่ใช่ นึกภาพออกไหม?  ไม่มีใครคิดอย่างนั้นเลย มีลูกเพื่ออะไร? เพื่อเราจะได้รู้ว่าพระเจ้ามีเราเพื่ออะไร? เหมือนกันเลย พูดใบ้ๆ ให้ฟัง เหมือนกับพระเจ้าเลย พ่อแม่ที่จะมีลูก มีเลือดเนื้อเชื้อไข ต้องการมีไว้ รักเขาและเชยชม ไม่รู้จะพูดคำไหน? ชื่นชม แค่พอเริ่มอยู่ในท้อง เดี๋ยวนี้สมัยใหม่เขามีอัลตร้าซาว์น ดูหน้าดูตา …

            “อันนี้เหมือนเธอนะ อันนี้เหมือนฉัน นี่เหมือนพ่อ นี่เหมือนแม่ ดูสิๆ กระดุ๊กกระดิ๊ก”

            อย่างนี้เขาเรียกว่าเชยชมด้วยความรัก นี่คือหัวใจของพ่อที่เป็นมนุษย์และมาจากพระเจ้า  พระเจ้าจะรักเราอย่างนี้แหละ และเตรียมอะไรอีกนอกจากนั้น เดี๋ยวนี้สมัยใหม่ เตรียมสถานที่ให้อยู่  เตรียมเตียง ห้องพัก อะไรต่างๆ แล้วอะไรอีก เตรียมความปลอดภัย เตรียมที่เรียนหนังสือ บางคนยังไม่ทันเกิดเลยนะ ไปดูโรงเรียนให้ลูกแล้ว  แล้วแต่กำลังและความสามารถของพ่อแม่ เตรียมหมดเลย เดี๋ยวนี้เตรียมหนักกว่านั้น เรียนชั้นประถมที่ไหน? จากประถมจะไปเรียนอะไร? วางแผนให้เสร็จเรียบร้อย นึกภาพสิ่งเหล่านี้ เดี๋ยวจะเอามาเทียบกับพระเจ้าของเราว่าพระองค์ทรงจัดเตรียมอะไรไว้ให้กับเราบ้าง ที่เราจะคลอดออกมาเป็นลูกของพระองค์ นึกถึงภาพ

            สมัยปัจจุบันเขาหนักกว่านั้น เขาเตรียมถึงขนาด ลูกจะแข็งแรงได้อย่างไร? เตรียมอาหารการกิน เตรียมกินอย่างนั้น กินอย่างนี้  เดี๋ยวนี้เขามีเทคโนโลยีใหม่ เขาเรียกว่าสเต็มเซลล์ คือลูกออกมา หมอบอกว่าให้เก็บสเต็มเซลล์ของลูกเอาไว้ เพื่อฝากธนาคารสเต็มเซลล์ไว้ กี่บาทต่อปี? ไม่รู้ เพื่อสเต็มเซลล์นี้จะเอาไปรักษาลูก ตอนลูกโตๆ อายุมากขึ้น อาจจะป่วยเป็นมะเร็ง เป็นอะไร? อันนี้จะไปรักษาเขาให้หายได้ เอาไปฝากไว้ เห็นอะไรบางอย่างไหม? ยิ่งเจริญเติบโต เทคโนโลยีมากเท่าไร? มนุษย์ก็จะทุ่มเทสิ่งเหล่านี้ให้ลูก มากกว่าให้ตัวเองอีก พระเจ้าก็อย่างนี้แหละ นี่คือตัวอย่างของการจัดเตรียมสิ่งต่างๆ ให้กับลูกที่เป็นมนุษย์ ที่กำลังจะคลอดออกมา  ยังไม่ได้คลอดเลย เตรียมไว้ก่อนแล้ว

            คราวนี้เราจะมาคุยกันในเรื่องนี้ว่าถ้าเทียบกับพระเจ้าผู้เป็นพ่อของเรา ในสวรรค์แล้ว พระองค์เตรียมมากสักเท่าไร? เตรียมให้กับใคร? ที่คลอดออกมา พระเยซูบอกว่าก็เตรียมให้กับคนตาย อยู่ในบาป ก่อนคลอดออกมา เป็นลูกนั่นเอง มนุษย์ทั้งหลายเหมือนตายจากพระเจ้าไปแล้ว ไม่ได้เป็นลูกของพระเจ้า แต่เขาสามารถที่จะกลับมาเป็นลูกของพระเจ้าได้ เพราะพระเจ้าจัดเตรียมทางไว้ให้เขา ก็คือต้องการให้ลูกกลับมาหาพระองค์ หัวใจพระองค์เตรียมไว้อย่างนั้นเลย โดยวิธีการเตรียมของพระองค์ พระองค์จะมีลูก คือมนุษย์ทั้งหลายมาเป็นลูกของพระองค์ได้ พระองค์ทรงเตรียมอะไรไว้ก่อนเลย

            อันดับแรก ก็คือเตรียมหนทางที่จะมาเป็นลูกของพระองค์ ถูกไหม? และเตรียมหนทางนั้น ก็คือเจ้าของวันคริสตมาส ผู้ที่จะมาเกิดในวันคริสตมาส ก็คือเตรียมพระเมสิยาห์ หมายถึงผู้ที่พระเจ้าจัดเตรียมไว้ พูดสั้นๆ ง่ายๆ เอง จัดเตรียมไว้ เพื่อให้มนุษย์ได้มาเป็นลูกของพระองค์ จัดเตรียมไว้ เพื่อให้มนุษย์จะได้คลอด เพราะฉะนั้น คลอดผ่านทางความไว้วางใจ เชื่อในพระเมสิยาห์  พระผู้ช่วยให้รอดนี้ แล้วได้มาเป็นลูกของพระองค์ ที่ทรงจัดเตรียมไว้อย่างนี้แหละ ชัดเจนเลย

            พระเยซูตอนเดินอยู่บนโลกใบนี้  พระองค์มาถึงปุ๊บ ประกาศเรื่องนี้เลย เรื่องความตื่นเต้นของพระเจ้า พ่อกำลังตื่นเต้นมากเลย ที่จะมีลูกแล้ว เหมือนกับเด็กในครรภ์ เริ่มต้นแล้ว เรารู้ได้อย่างไร? ก็พระคัมภีร์บันทึกไว้ไง วันที่พระเมสิยาห์มาเกิดบนโลกใบนี้นั้น ทูตสวรรค์ร้องบรรเลง ที่เราร้องเพลงกัน ชื่นชมยินดี ตื่นเต้น สรรเสริญพระเจ้า ใครเป็นผู้กำหนดทั้งหมด พระเจ้าเป็นผู้กำหนดทั้งหมด กำลังฉลองดีใจ เหมือนกับมนุษย์บอกว่าไปเช็คมาแล้ว หมอบอกว่าวันนี้ ที่ตรวจครรภ์มาแล้ว ขึ้น 2 ขีด วันนี้เรามาเลี้ยงกันเลย

            นั่นแหละ ทูตสวรรค์ร้องบรรเลง ตื่นเต้น พระเจ้าดีใจ เพราะถึงกำหนดเวลา พระเจ้านึกในใจ รอมาตั้งนานแล้ว ถึงกำหนดเวลา ที่จะมีลูกๆ เอาไว้รักและชื่นชม จำตรงนี้ไว้เลย

            พระเยซูยกอุปมาในลูกา บทที่ 15 อย่างนี้ให้เห็นชัดเลยว่าพระองค์ตื่นเต้น ดีใจอย่างไรบ้าง? ท่าทีของพระองค์ ลูกา 15:3-10 …

        ลูกา 15:3-10 “3 พระเยซูจึงตรัสคำอุปมาให้พวกเขาฟังว่า 4 “สมมุติว่าพวกท่านคนหนึ่งมีแกะหนึ่งร้อยตัวและตัวหนึ่งหายไป เขาจะไม่ละแกะทั้งเก้าสิบเก้าตัวไว้กลางทุ่ง แล้วไปตาม หาแกะตัวที่หายไปนั้น จนกว่าจะพบหรือ? 5  เมื่อเขาพบแล้ว ก็แบกแกะนั้นใส่บ่าด้วยความชื่นชมยินดี 6  และกลับบ้าน จากนั้นเขาก็เรียกมิตรสหายและเพื่อนบ้านมาพร้อมกัน และกล่าวว่า ‘มาร่วมยินดีกับเราเถิด เราได้พบแกะตัวที่หายไปนั้นแล้ว’ 7 เราบอกท่านว่าทำนองเดียวกัน ในสวรรค์จะมีความชื่นชมยินดี ในคนบาปคนหนึ่งซึ่งกลับใจใหม่ มากยิ่งกว่าในคนชอบธรรมเก้าสิบเก้าคน ซึ่งไม่ต้องการกลับใจใหม่ 8 หรือสมมุติว่าหญิงคนหนึ่งมีเหรียญเงินสิบเหรียญ และหายไปเหรียญหนึ่ง หญิงนั้นจะไม่จุดตะเกียงกวาดเรือน และค้นหาอย่างถี่ถ้วน จนกว่าจะพบหรือ? 9 และเมื่อพบแล้ว นางก็เรียกมิตรสหายและเพื่อนบ้านมาพร้อมหน้ากันและกล่าวว่า ‘มาร่วมยินดีกับเราเถิด เราได้พบเหรียญที่หายไปนั้นแล้ว’ 10 เราบอกท่านว่าในทำนองเดียวกัน จะมีความชื่นชมยินดีท่ามกลางเหล่าทูตสวรรค์ของพระเจ้า ในคนบาปคนเดียวซึ่งกลับใจใหม่”

            ฟังบรรยายวันนี้ไป นึกถึงความรักและการจัดเตรียมให้กับลูกๆ ที่กำลังจะคลอดของบรรดามนุษย์ พ่อและแม่บนโลกใบนี้ ไปด้วยกัน เพื่อจะได้เห็นชัดขึ้น เพื่อจะรู้สึกชัดเจนยิ่งขึ้น

            “สมมติว่าพวกท่านคนหนึ่งมีแกะหนึ่งร้อยตัว และตัวหนึ่งหายไป” พระเยซูกำลังเน้นว่าพระเจ้ารักเราแต่ละคน ไม่ใช่รักเป็นกลุ่มหนึ่ง มวลมนุษยชาติ แต่รักเราพิเศษ ดูแลเราแต่ละคนเลย พระองค์บอกว่าเส้นผมทุกเส้นของเราแต่ละคน พระองค์ทรงนับไว้เรียบร้อยแล้ว รู้ว่ามีกี่เส้น? ร่วงไปกี่เส้นบ้าง?

            ข้อที่ 5 “เมื่อเขาพบแล้ว ก็แบกแกะนั้นใส่บ่า ด้วยความชื่นชมยินดี” ไปหาแกะที่หายไป พอเจอปุ๊บ มีความชื่นชมยินดี พอชื่นชมยินดี ก็บอกให้สหาย เพื่อนๆ มาเลี้ยงฉลองกัน เพราะว่าได้แกะตัวที่หลงหายไปกลับมาแล้ว “ร่วมยินดีกับเราเถิด” เราได้พบแกะตัวที่หายไปแล้วนั้น

            พระเยซูอุปมาเหล่านี้ แล้วบอกว่าในสวรรค์จะมีความชื่นชมยินดีในคนบาปคนหนึ่ง ซึ่งกลับใจใหม่ ตะกี้นี้ที่บอก คนเดียว คลอดออกมาเป็นลูกของพระเจ้า กลับใจใหม่ เชื่อในพระมาซีฮาห์ พระเยซูคริสต์ มีการฉลองใหญ่ในสวรรค์ นี่พระเยซูยกตัวอย่าง

            อีกตัวอย่างหนึ่งเช่นเดียวกัน เรื่องเกี่ยวกับเหรียญสิบเหรียญนั้น ในข้อที่ 9 บอก “และเมื่อได้พบแล้ว นางก็เรียกมิตรสหาย เพื่อนบ้านมาพร้อมหน้ากัน แล้วกล่าวว่า …

            “มาร่วมยินดีกับเราเถิด เราได้พบเหรียญที่หายไปแล้วนั้น”

            ลักษณะเดียวกัน พระเยซูอุปมาเรื่องนี้

            ข้อ 10 บอก … “เราบอกท่านในทำนองเดียวกัน กับเมื่อตะกี้นี้เรื่องลูกแกะหลงหาย จะมีความชื่นชมยินดีท่ามกลางเหล่าทูตสวรรค์ของพระเจ้า ในคนบาปคนเดียว ซึ่งกลับใจใหม่

            จะมีความชื่นชมยินดีท่ามกลางทูตสวรรค์ของพระเจ้า คือในสวรรค์พระเจ้าจัดงานเลี้ยงใหญ่โต ยินดีมากเลย คนเดียว บางทีเราเข้าใจว่าพระเจ้าดูแลเราเป็นกลุ่ม ไม่รู้สึกซาบซึ้ง เหมือนเราคนเดียว แต่พ่อแม่ที่เป็นมนุษย์ เวลามีความรู้สึกรักลูกที่ยังไม่คลอดออกมา คนเดียวหรือเปล่า? คนเดียว  ไม่ได้เป็นกลุ่ม เหมือนกัน ลักษณะเดียวกันกับพระเจ้า

            อยากจะมาอธิบายตรงนี้นิดหนึ่ง จะมีคนเข้าใจผิดนิดหนึ่ง คำว่า “ในคนบาป คนเดียว ซึ่งกลับใจใหม่” ท่านคิดว่าอย่างไร? บางคนไม่เข้าใจ ไปเข้าใจผิด ตรงนี้ “คนบาปคนเดียว” ซึ่งกลับใจใหม่ตรงนี้ การกลับใจของคนบาป หมายถึงกลับใจ จากการพึ่งพาการกระทำดีของตนเอง เพื่อจะรอดพ้นจากโทษของความบาปและความตาย หลังความตายจากร่างกายนี้ มันหมายถึงตรงนั้น มันหมายถึงความรอด ทางวิญญาณ โดยไม่ต้องโดนลงโทษ ไปสู่ความพินาศ ได้รับความรอด ไปอยู่ในสวรรค์นิรันดร์

            เขากลับใจ  จากการพึ่งพาการกระทำดีของตนเอง หันมาพึ่งพาการกระทำของพระเมซิยาห์  พระเยซูคริสต์ เพื่อที่จะได้รับความรอด คือได้รับการคลอดออกมาในโลกวิญญาณ เป็นลูกของพระเจ้า มันหมายถึงตรงนี้ ไม่ใช่การกลับใจจากการประพฤติชั่ว หันมาประพฤติดี เช่น เลิกดื่มเหล้าเมายา เป็นพาลเกเรโกหก รังแก ข่มเหงชาวบ้าน คิดเป็นเยอะแยะมากมาย พูดง่ายๆ ว่าไม่ได้กลับใจหันจากการทำชั่ว ความประพฤติต่างๆ เหล่านั้น แต่หันจากการพึ่งพาการกระทำดีของตนเอง หมายถึงสิ่งที่ดีด้วยนะ  ก็คือการรักษากฎศีลธรรม กฎบัญญัติ จริยธรรมอย่างดีงาม พึ่งตรงนี้ เพื่อจะสั่งสมไปสวรรค์หลังความตาย เขาหันหลังกลับ ไม่พูดแล้ว พึ่งพระเยซูดีกว่า เพราะพระเยซูประกาศแล้วว่าถ้าเขาพึ่งพาการกระทำดีของตนเอง  เขาไม่สามารถรักษากฎบัญญัติ ศีลธรรมถูกต้องดีงามนั้นได้ครบถ้วนบริบูรณ์ เขาทำไม่ได้หรอก

            เพราะฉะนั้น เมื่อเขาทำไม่ได้ เขาก็จะไม่พ้นจากการถูกลงโทษหลังความตาย  มีทางเดียวเท่านั้นที่หลังความตายจะพ้นจากโทษได้ ก็คือการเชื่อวางใจในพระเยซูคริสต์ ที่ได้ไถ่เขาที่ไม้กางเขน ตรงนี้จึงเป็นสิ่งที่สำคัญ ที่เราควรเข้าใจ

            ขณะที่มนุษย์คนหนึ่งกลับใจใหม่ จากความผิดบาปของเขา  หมายถึงความผิดบาป ตัวเขาเองเป็นคนบาป  เขาไม่สามารถที่จะลบความบาปนี้ออกไปจากเขาได้ นอกจากพระเจ้าทำให้เท่านั้น ไม่ได้หมายถึงว่าเขากลับใจใหม่จากความชั่วร้าย เลิกทำชั่ว  แล้วพระเจ้าจะจัดการฉลองในสวรรค์ให้เขา ไม่ใช่ เพราะจะเลิกจากการประพฤติแล้ว ก็ยังคงถูกลงโทษอยู่ดี เพราะว่าเขาไม่สามารถที่จะทำดีได้อย่างครบถ้วน 100% ตามมาตรฐานของพระเจ้า เอเมน เห็นชัดไหม? อย่างที่ตะกี้นี้บอก พระเจ้าติดต่อกับมนุษย์ มีความรู้สึกรักมนุษย์ แต่ละคนๆ เลย  พระองค์ทรงกระทำ เพราะว่าพระเจ้าได้บอกไว้อย่างนั้นว่าพระเจ้าของเราสามารถอยู่ในทุกหนทุกแห่ง ทุกสถานที่ได้พร้อมกัน เราไม่สามารถที่จะเข้าใจได้ ในสดุดี 139 บอก มันเกินกว่าความคิด ความสามารถของมนุษย์ที่จะเข้าใจว่าพระเจ้าทำได้อย่างไร? ความรักของพระเจ้าเกินกว่าความเข้าใจ อย่างนี้แหละ พระเจ้าสามารถอยู่กับเราได้ ทุกหนทุกแห่ง อยู่ในแต่ละคนจริงๆ ไม่ต้องไปถามว่า …

            “พระเจ้าอยู่กับฉันที่นี่ เธออยู่ที่แอฟริกา แล้วจะอยู่พร้อมกันได้อย่างไร?”

            ไม่ต้องคิด เพราะพระคัมภีร์บอกมาแล้วว่าคิดไป ก็ไม่มีประโยชน์  เพราะไม่มีทางที่จะเข้าใจหรอก ฟ้าสวรรค์ สูงกว่าแผ่นดินโลกเท่าไร ความคิดของท่านก็ห่างจากความคิดของพระเจ้าเท่านั้น ตะวันออกห่างไกลจากตะวันตกเท่าไร?  ก็คือวิถีทางของท่านและวิถีทางของพระเจ้า ก็ไม่เหมือนกันเลย คิดไม่ถึงหรอก แต่พระองค์ว่าอย่างไร? ก็ต้องเชื่อตามนั้น มันเป็นอย่างนั้นจริงๆ

            พระเจ้าต้องการมีความสัมพันธ์กับมนุษย์ทุกคน เป็นการส่วนตัวแต่ละคนเลย พระองค์สามารถที่จะอยู่ทุกหนทุกแห่งในเวลาเดียวกันได้ สามารถที่จะอยู่ในฉันและในเธอได้ พร้อมๆ กัน จงเชื่อเถิด ในลูกา 15:20-23 …

        ลูกา 15:20-23 “20 ดังนั้น เขาจึงลุกขึ้น กลับไปหาบิดาของเขา แต่เมื่อเขายังอยู่แต่ไกล บิดาเห็นเขาก็สงสาร จึงวิ่งมาหาบุตรชาย แล้วสวมกอดและจูบเขา 21 เขากล่าวกับบิดาว่า ‘บิดาเจ้าข้า ข้าพเจ้าทำบาปต่อสวรรค์และต่อท่านด้วย ข้าพเจ้าไม่คู่ควรจะได้ชื่อว่าเป็นบุตรของท่านอีกต่อไป’ 22 แต่บิดาสั่งคนรับใช้ว่า ‘เร็วเข้า! จงนำเสื้อผ้าที่ดีที่สุดมาให้เขาสวมใส่ เอาแหวนมาสวมนิ้วของเขา และเอารองเท้ามาสวมให้เขา 23 จงนำลูกวัวขุนมาฆ่า ให้เราจัดงานเลี้ยงฉลอง”

            คนบาปคนนี้ทำชั่วมาตลอด ถูกไหม? ประพฤติไม่ดีมาตลอด ได้ทำอะไรดีหรือยัง? ต่อพระเจ้า กตัญญูต่อพระเจ้าหรือยัง? ไม่ได้ทำอะไรเลยสักอย่าง แถมคิดในใจด้วยว่าตัวเองแย่ ตัวเองเลว ตะกี้ มนุษย์คิดต่อลูกของตนเอง เขายังไม่ได้คลอดออกมา ยังไม่ได้ทำอะไรดี หรือร้าย หรือชั่วต่อเราเลย เรารักเขาแล้ว

            “ดังนั้น เขาจึงลุกขึ้นกลับไปหาบิดาของเขา” ก็คือคนบาปกลับใจใหม่ แปลว่ากลับใจจากการพึ่งพาการกระทำดีของตนเอง เพื่อจะไปสวรรค์ เพื่อจะไปอยู่บ้านพระเจ้านั้น เขากลับใจใหม่ไปหาพระบิดาดีกว่า

            “แต่เมื่อเขายังอยู่แต่ไกล บิดาเห็นเขาก็สงสาร” ก็คือรัก เห็นไหม? รักก่อนจะเป็นลูก นี่ยังไม่ได้เป็นลูกเลยนะ เขาเป็นคนบาปอยู่

            “จึงวิ่งมาหาบุตรชาย แล้วสวมกอดและจูบเขา” วิ่งมา ก็ตื่นเต้นแล้วนะ ดีใจ ชื่นชมยินดี สวมกอด จูบเขา  เหมือนไหม? เหมือนตะกี้นี้ที่เราคุยกันถึงความรักของพ่อแม่ที่มีต่อลูกที่กำลังจะกำเนิด กำลังอยู่ในครรภ์ จะคลอดออกมา ชัดเจน

            “เขากล่าวกับบิดาว่า “บิดาเจ้าข้า ข้าพระเจ้าทำบาปต่อสวรรค์และต่อท่านด้วย ข้าพเจ้าไม่คู่ควรจะได้เป็นบุตรของท่านอีกต่อไป” แต่บิดาสั่งคนรับใช้ว่า “เร็วเข้า จงนำเสื้อผ้าที่ดีที่สุด มาให้เขาสวมใส่ เอาแหวนมาสวมนิ้วให้เขา”

            ทั้งหมดนี้ เตรียมไว้ก่อนแล้ว ถูกไหม? มีแล้ว ใช่ไหม? เขากลับมาหรือยัง? ยังไม่กลับ แต่เตรียมสิ่งเหล่านี้ไว้เรียบร้อยแล้ว

            “เอารองเท้ามาสวมให้เขา จงนำลูกวัวมาฆ่า ให้เราจัดงานเลี้ยงฉลองกันดีกว่า” สิ่งเหล่านี้ทั้งหมด เป็นสิ่งที่เตรียมไว้ให้เรียบร้อยแล้ว ก่อนเขาจะกลับใจใหม่อีก ใช่หรือไม่?  ไม่ใช่บอกว่าเรียกคนรับใช้มาบอกว่าออกไปซื้อเสื้อผ้า ซื้อแหวนมาให้เขาหน่อย ไม่ใช่ เขามีของอยู่แล้ว ไปหยิบมา ทำบาป ทำชั่วมาตลอด ยังไม่ได้กระทำความดีเลย  ยังไม่ได้กตัญญูต่อพระเจ้าเลย พระเจ้าให้เรียบร้อยไปแล้ว แล้วมากกว่านั้นสักเท่าไร? ใครที่หลังจากเป็นลูกแล้ว มาอยู่กับพระเจ้าแล้ว มีไหม?  ที่พระเจ้าจะไล่เขาออกจากบ้าน นี่ขนาดยังไม่มาเป็นลูกเลย ทำบาป ทำชั่วอยู่เลย พระองค์จัดเตรียมสิ่งที่ดีๆ ให้เรียบร้อยแล้ว  ก็แสดงว่าขนาดทำบาปยังทำให้อย่างนี้เลย พอกลับมาเป็นลูกพระเจ้าแล้ว เป็นลูกของเราดีแล้ว มากกว่านั้นสักเท่าใด ยิ่งเทให้ใหญ่เลย ถูกไหม?  มันก็ควรจะเป็นอย่างนั้น

            นี่คือความปรารถนาของพระเจ้าแห่งฟ้าสวรรค์ ที่จะมีมนุษย์เป็นของพระองค์ เอาไว้รักและชื่นชม  เหมือนพ่อแม่ที่เป็นมนุษย์  เช่นเดียวกันเลย  พ่อแม่ที่เป็นมนุษย์มาดูรูปในอัลตร้าซาว์ด  ตรงนี้กระดุ๊กกระดิ๊กแล้ว ก็ดูไปเรื่อยๆ ตื่นเต้น เหมือนแม่เหมือนพ่อ แล้วพระเจ้าทำอย่างไร? เปิดอัลตร้าซาว์ด

            นึกถึงภาพนี้กันดีกว่า จะได้เห็นภาพว่าพระเจ้ารักเราขนาดไหน? เราจะได้สบายใจไง ลูกเราจะไม่สบายใจ ลูกมนุษย์จะไม่สบายใจ เมื่อเขาไม่สามารถสัมผัส หรือไม่สามารถไว้วางใจในความรักของพ่อแม่ ถ้าเขามีความเชื่อใจ มั่นใจในความรักของพ่อแม่ เขาจะเป็นเด็กที่เต็มไปด้วยความสุข และเต็มไปด้วยความดีงามมากเลย นิสัยใจคอจะเป็นคนที่รู้สึกปลอดภัย รู้สึกอบอุ่น ไม่ขาดความรัก พูดง่ายๆ พระเจ้าก็ต้องการให้เราเป็นอย่างนั้น เรากับพระเจ้าก็เหมือนกัน พระเจ้าจะรักเราสุดหัวใจอยู่แล้วแน่นอน เพราะว่าพระองค์เป็นพระเจ้า ทำได้ทุกสิ่ง สมบูรณ์หมดทุกอย่างด้วยความดีพร้อม ด้วยความบริสุทธิ์ แต่เราไม่สามารถที่จะสัมผัสความรักของพระเจ้าอย่างนั้นได้ ถ้าเราสัมผัสอย่างนั้นได้ เราเห็นภาพ ลักษณะเดียวกัน เราจะรู้สึกอบอุ่น ปลอดภัยในพระทรวงของพระองค์ ในความรักของพระองค์ เหมือนกัน

            ให้เรานึกถึงภาพ เห็นภาพว่าขณะที่เรากำลังจะรอด กำลังจะคลอดมาเป็นลูกของพระเจ้า กำลังจะหันกลับมาหาพระเจ้า กำลังจะเชื่อพระเจ้านั่นนะ เชื่อพระเยซูนั่นนะ พระเจ้ามองเราแล้ว เตรียมไว้เรียบร้อยแล้ว อาจจะดูกันใน 3 พระภาค พระเจ้าพระบิดา พระเจ้าพระบุตร พระเจ้าพระวิญญาณบริสุทธิ์ หัวหน้าทูตสวรรค์มานั่ง คุยกันทุกเสี้ยววินาที ตรงนี้เหมือนพระบิดา เป็นผู้ที่ตรงไปตรงมา  เป็นผู้พิพากษา ตรงนี้เหมือนพระวิญญาณเลย มีกำลังกล้าแข็ง เข้มแข็งมาก ตรงนี้เหมือนพระบุตรเลย มีเมตตา อ่อนโยน สุภาพ ตรงนี้คล้ายๆ ทูตสวรรค์ ซนเหลือเกิน นึกถึงพระเจ้า  พระเจ้าคุยกับเราแต่ละคนอย่างนี้ ให้เห็นภาพให้ชัดเจน เพื่อจะได้ซาบซึ้งถึงความรักของพระเจ้าที่มีต่อเราแต่ละคน แต่ละคนจึงเป็นคนพิเศษ

            สำหรับพระเจ้าทุกคนเป็นคนพิเศษ เวลาเราประกาศ เราชอบบอกว่ามวลมนุษย์ มันถูกมวลมนุษย์ แต่จริงๆ แล้วพระองค์ทรงสัมพันธ์ติดต่อกับเรา เป็นพิเศษ แต่ละคนพิเศษเท่าๆ กัน ทั้งหมด พระองค์ทรงเลือกเรา เรียกเราเป็นลูกของพระองค์แต่ละคนไม่เหมือนกัน

            นึกถึงตอนที่ผมถูกเลือกมา 30 กว่าปีก่อน เหมือนกัน ก็จากข้อพระคัมภีร์ข้อนี้แหละ ในลูกา บทที่ 15 อธิษฐานกับพระเยซู พระเยซูเป็นใคร? เราไม่รู้จักเลย เราอยากจะรู้จักเหมือนกัน เขาบอกว่าพระองค์มีชีวิตอยู่ พระองค์ทรงเป็นพระเจ้าแห่งความรัก  ประกาศมาตั้งนาน ฟังมาตั้งนานแล้ว ไม่รู้จักเลย อยากรู้จักๆ พูดแค่นี้ พูดทุกคืนๆ อยากรู้จัก มีอยู่คืนหนึ่ง มีคนให้พระคัมภีร์มา เปิดพระคัมภีร์ซี้ซั๊วเปิด พระเยซูไหนลองพิสูจน์สิว่าพระองค์มีชีวิตอยู่ เปิดออกมาหน้านี้แหละ ลูกา บทที่ 15 อ่านไปแค่ไม่กี่ประโยค? สัมผัสถึงความรัก ยังไม่รู้เลย ไม่มีความเข้าใจ ไม่มีความรู้ถึงเรื่องของพระเจ้าสักอย่างเลย มีอย่างเดียว คือความรู้สึกข้างในลึกๆ มากกว่ารู้สึกว่าพระเจ้ากำลังคุยกับเราอย่างนี้ …

            “เจ้าเป็นคนพิเศษ”

            เจ้านะ คนเดียว เรามีความรู้สึกทำไมเรามีค่ามากมายมหาศาลอย่างนั้น พระเจ้าคุยกับเราเลย พระเจ้าคุยกับเราพิเศษ คนเดียวเลยเหรอ ตอนนั้นนะ เจ้าเป็นคนพิเศษสำหรับเรา มันสัมผัสได้ถึงตรงนั้นแหละว่าเจ้าคือลูกแกะที่หลงหาย เจ้าคือคนนี้ คนที่เรากำลังจะเลี้ยงฉลอง เพราะเจ้ากลับมาแล้ว ลักษณะเดียวกันอย่างนี้ เอเฟซัส 1:3-7 ได้บันทึกไว้อย่างนี้ว่า …

        เอเฟซัส 1:3-7 “3 สรรเสริญเทิดทูนพระเจ้าพระบิดาขององค์พระเยซูคริสต์เจ้า พระผู้ช่วยให้รอดของเรา ผู้ได้ทรงประทานพระพรฝ่ายวิญญาณนานัปการในพระคริสต์ แก่เราทั้งหลายในสวรรค์สถาน 4 เพราะพระองค์ได้ทรงเลือกเราไว้ในพระคริสต์ ตั้งแต่ก่อนทรงสร้างโลกให้บริสุทธิ์ปราศจากที่ติในสายพระเนตรพระองค์ ด้วยความรัก 5 พระองค์ได้ทรงกำหนดไว้ล่วงหน้า ที่จะรับเราเป็นบุตรของพระองค์ ผ่านทางพระเยซูคริสต์ตามพระประสงค์อันดีของพระองค์ 6  เพื่อเป็นการสรรเสริญพระคุณสูงส่ง ซึ่งพระองค์ประทานให้เราเปล่าๆ อย่างเหลือล้นในพระองค์ผู้ทรงเป็นที่รักของพระเจ้า 7 ในพระเยซู เราได้รับการไถ่บาป โดยพระโลหิตของพระองค์ คือได้รับการอภัยโทษบาป ตามพระคุณอันอุดมของพระเจ้าแล้ว”

            “พระองค์ได้ทรงเลือกเราไว้ในพระคริสต์ ด้วยความรัก” นั่นแหละ ที่ผมอธิบาย แล้วยกตัวอย่างคำพยานของผม ก็เพราะความรักตรงนี้ มันเกิดมา เพราะความรัก ไม่ได้อัศจรรย์อะไรใหญ่โตเลย สำหรับสิ่งที่จับต้องมองเห็นได้ในชีวิตของผม แต่สิ่งที่อัศจรรย์ ก็คือความรักมันสัมผัสเข้ามา ทำให้จำได้ว่าวันที่ 18 มิถุนายน ปี 1988 บนห้องชั้นบน ไม่มีการพูดภาษาแปลกๆ หมายถึงไม่มีอัศจรรย์อะไรเลย แต่ความรักของพระเจ้าได้ท่วมเข้ามาสัมผัส แตะต้อง เป็นพิเศษ นี่แหละ มันหมายถึงอย่างนั้น เพราะพระองค์ทรงเลือกเราไว้เป็นลูกของพระองค์ ความรักอย่างนี้ มันทำให้สัมผัสเรา แล้วเราก็ได้เกิดใหม่ในวันนั้น ด้วยความรัก

            พระเจ้าพระบิดาแห่งฟ้าสวรรค์ ตั้งใจ วางแผนที่จะมีมนุษย์ทุกๆ คนเป็นลูกๆ ของพระองค์ ตั้งแต่ก่อนสร้างโลก และสร้างสรรพสิ่งทั้งหลาย ด้วยท่าทีที่ให้เปล่าๆ ให้ฟรีๆ ที่เราเรียกกันว่าพระคุณ ความรักอันเหลือล้น จึงได้ประทานการบังเกิดใหม่ให้กับเรา โดยผ่านทางพระบุตรของพระองค์ คือพระเยซูคริสต์ เพื่อมนุษย์ทุกคนจะได้สามารถบังเกิดใหม่ คลอดออกมาเป็นลูกของพระองค์ได้ ผ่านทางพระบุตรนี้

            ในข้อ 5 ที่ตะกี้บอกว่า … “พระองค์ได้ทรงกำหนดไว้ล่วงหน้าที่จะรับเราเป็นบุตรของพระองค์ผ่านทางพระเยซูคริสต์ ตามพระประสงค์อันดีของพระองค์”

            ก็คือกำหนดไว้ล่วงหน้าแล้วว่าจะมีลูก คือพระเยซูคริสต์ “เรา” หมายถึงใคร? อ่านแล้วอย่าไปคิดตามที่เคยคิดว่า “เรา” หมายถึงมวลมนุษย์ ซึ่งมันก็ใช่  แต่นี่เราหมายถึงใส่คำว่า “ฉัน” คนเดียว

            “พระองค์ได้ทรงกำหนดไว้ล่วงหน้า ที่จะรับฉันคนเดียว พิเศษ เป็นลูกของพระองค์ ผ่านทางพระเยซูคริสต์ ตามพระประสงค์อันดีงามของพระองค์”

            ต่างกันไหม? มันต่างกันจริงๆ เห็นไหม? พอใส่ชื่อเราเข้าไปปุ๊บ ชัดเจนเลย ในเอเฟซัส 1:3 ตะกี้นี้ ที่เราอ่านกันบอกว่า …

        เอเฟซัส 1:3 “พระเจ้าพระบิดาขององค์พระเยซูคริสต์และเป็นพระบิดาของเราด้วย ได้ทรงประทานพระพรฝ่ายวิญญาณนานัปการในพระคริสต์ (ในบ้านในครอบครัวพระเจ้า) ให้แก่เราทั้งหลายแล้วในสวรรค์สถาน”

            ในพระคริสต์ หมายถึงในบ้าน ในครอบครัวของพระเจ้า ในสวรรค์ให้กับเราเรียบร้อยไปแล้ว จัดเตรียมไว้เรียบร้อยแล้ว ตั้งแต่ก่อนสร้างโลก ก็คือก่อนเราจะเกิดด้วยซ้ำไป ก่อนเราจะรับเชื่อพระเยซู อยู่ในทางของเรา พึ่งพาตนเอง ไม่รู้ไม่ชี้ อยู่ในบาปนั้น  พระองค์จัดเตรียมสิ่งเหล่านี้ให้กับเราเรียบร้อยแล้ว โดยผ่านทางพระเยซูคริสต์ เรามาดูสิ่งต่างๆ ที่พ่อของเรา  ที่อยู่ในฟ้าสวรรค์จัดเตรียมไว้ให้เราก่อนเกิดดีกว่า ที่เรียกว่าพระพรนานัประการต่างๆ ในโลกวิญญาณ ที่เราได้รับแล้วในฐานะเป็นลูกของพระเจ้าว่าพระองค์ทรงเตรียมอะไรให้กับเราบ้าง? ตั้งแต่ก่อนเกิด สำหรับมนุษย์ทุกคน แต่ละคน ตั้งแต่ก่อนเกิด ถ้าเกิดแล้ว มันก็จะเป็นของเราทันทีทันใด เพราะมันจัดเตรียมไว้เรียบร้อยแล้ว มันจะเป็นของเราทันที ณ วินาทีแรก ที่เราคลอดออกมา โดยผ่านทางพระเยซูคริสต์ พระองค์ทรงตรัสไว้เป็นคำล้ำลึกในโลกฝ่ายวิญญาณว่ามนุษย์ทุกคน จะเข้ามาหาพระเจ้า มาเป็นลูกพระเจ้าได้ เขาต้องคลอดอีกครั้ง เป็นครั้งที่ 2  พูดกับนิโคเดมัส

            คลอดครั้งแรก ก็คือคลอดผ่านทางมดลูก ครรภ์ของมารดา ถูกไหม? ออกมาจากครรภ์ของมารดา ซึ่งเต็มไปด้วยน้ำคร่ำ มนุษย์ทุกคนต้องคลอดอย่างนี้หมด  แต่เขาไม่สามารถที่จะเข้าสู่สวรรค์ ไม่สามารถมาเป็นลูกพระเจ้าได้ จนกว่าเขาจะได้รับการทำคลอด อีกครั้งหนึ่ง ฝ่ายวิญญาณ เมื่อเขาคลอดครั้งที่สอง คลอดทางฝ่ายวิญญาณ เขาจะไม่มีทางเป็นบุตรของพระเจ้า เข้าไปมีส่วนในครอบครัวของพระเจ้า  และเขาก็จะครอบครองในสิ่งต่างๆ  ที่พระเจ้าจัดเตรียมไว้ ให้กับลูกของพระองค์ ก่อนที่จะคลอดไง เอเมน มาดูว่ามีอะไรบ้าง? เพื่อจะได้รู้ว่าเตรียมอะไรไว้ให้กับเราเยอะแยะหมดเลย สำหรับเราที่เป็นลูกของพระเจ้าแล้ว จะได้ชื่นชมยินดีว่าเป็นลูกของพระเจ้าแล้ว สำหรับคนที่ฟังแล้ว ยังไม่ได้คลอด ก็จะได้รู้ว่าพระเจ้าเตรียมอะไรไว้ให้กับท่าน …

            1. เราได้รับการอภัยโทษจากบาปทั้งสิ้น ตลอดไปด้วยพระโลหิตของพระเยซูคริสต์ได้ชำระเราสะอาดบริสุทธิ์ตลอดไป เราได้เป็นลูกของพระเจ้าแล้ว ได้บังเกิดใหม่อาศัยอยู่ในสวรรค์ในพระคริสต์ ทันทีทันใด เพราะว่าพระองค์ทรงจัดเตรียมไว้ตั้งแต่ก่อนเราจะคลอดแล้ว และตอนนี้เราคลอดแล้ว เป็นของเราแล้วด้วย ได้เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์

            2. เราได้รับชีวิตนิรันดร์แล้ว ชีวิตของพระเยซูคริสต์เป็นชีวิตของเรา ชีวิตของพระเยซูคริสต์ คือชีวิตของพระเจ้านั่นเอง

            คำว่า “ชีวิตนิรันดร์” ไม่ได้หมายถึงเฉพาะชีวิตที่มีความยาวต่อเนื่อง ไม่ตายอีกต่อไปเท่านั้น  ไม่ใช่แค่นั้น แต่หมายถึงชีวิตที่มี DNA มีลักษณะชีวิตที่เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์เลย เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเยซูคริสต์เลย เป็นหนึ่งเดียวกันกับชีวิตของพระเจ้าพระบิดา มีพระลักษณะของพระเจ้าอยู่ใน DNA ของพวกเรา เหมือนพ่อและแม่ มีลูก ยีนส์ทั้งหมด  DNA ทั้งหมด ก็มาจากพ่อและแม่เช่นเดียวกัน ลักษณะเดียวกัน ซึ่งพระเจ้าเตรียมไว้ให้กับลูกเรียบร้อยแล้วว่าลูกคลอดออกมา ก็จะเป็นอย่างนี้

            ถามว่าได้รับเมื่อไร? ได้รับเมื่อคลอดออกมา แล้วประพฤติดีๆ มากๆ ให้มาโบสถ์เป็นประจำ  ให้อ่านพระคัมภีร์เป็นประจำ ไม่ใช่ผมต่อต้านการมาโบสถ์ การอ่านพระคัมภีร์นะ ส่งเสริมให้มาโบสถ์ อ่านพระคัมภีร์ แต่ผลที่จะได้จากการมาโบสถ์และอ่านพระคัมภีร์ คนละเรื่องกันกับเรื่องนี้ เรื่องนี้ได้มาฟรีๆ ให้ฟรีๆ ลูกเรา ลูกเรา จะคลอดมาเป็นลูกเรา  เขาไม่ต้องทำอะไร เขาก็เป็นลูกเราแล้ว คลอดออกมา เขาจะทำดีหรือไม่ดี กตัญญูต่อเรา หรือไม่กตัญญู เราอยากให้เขาเชื่อฟังต่อเรา มันดี แต่มันคนละเรื่องกันกับที่เราให้เขาคลอดออกมา เราก็คอยชื่นชมเขา  คนละอย่างกัน

            ลูกของพระเจ้าก็เช่นเดียวกัน  พระเจ้าเตรียมไว้ให้กับลูกของพระองค์เรียบร้อยแล้ว  พอคลอดปุ๊บ ก็ได้ปั๊บ เพราะว่าเตรียมไว้ก่อนคลอด นึกภาพนะ พูดง่ายๆ ก็คือเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอดทันทีปุ๊บ ได้ปั๊บทันทีเลย เพราะมันเป็นของเรา วางอยู่นั่นแล้ว คลอดปุ๊บ ได้ปั๊บ เอเมนไหม? ลูกมนุษย์คลอดปุ๊บ ก็เป็นลูกแล้ว  อยู่ในครรภ์ก็เรียกว่าลูกแล้ว คลอดออกมา ก็ยังเป็นลูกอยู่ ไม่ต้องทำอะไร ก็ได้เป็นลูกเช่นเดียวกัน

            3. พระเจ้าทรงสถิตอยู่ในเราตลอดเวลา พระเจ้าบินเคียงข้างเรายามเราสุข ยามเราทุกข์ซุกเราไว้ใต้ปีกของพระองค์ทันทีเลย นี่คือสิ่งที่จัดเตรียมไว้เรียบร้อยแล้ว  ก่อนเราจะเกิด ก่อนเราจะคลอด พูดง่ายๆ คือพระเจ้าบอกว่าก่อนคลอด ก่อนที่เราจะหันกลับมาหาพระเจ้า พระเจ้าจะมาสถิตอยู่กับเราก่อนคลอด ก่อนเชื่อวางใจในพระเยซู

            หลังคลอดแล้ว คำว่า “จะ” หายไป ถูกแล้ว หลังคลอดแล้ว คำว่าจะ จะต้องหายไปสิ หลังคลอดแล้ว พระเจ้าทรงสถิตอยู่ด้วยตลอดเวลานั่นเอง  เพราะฉะนั้น ถ้าเราไม่คลอดออกมาเป็นลูก พระเจ้าก็ไม่ได้สถิตอยู่กับเราตลอดเวลา เราก็เดินคนเดียวบนโลกใบนี้ ต้องเผชิญกับสิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นบนโลกใบนี้ด้วยตัวของเราเพียงคนเดียว และต้องเผชิญกับชีวิตหลังความตาย ซึ่งน่ากลัวมาก ลำพังเราคนเดียว เราไหวไหมล่ะ มีพระเจ้าอยู่กับเราด้วย มันดีกว่าตั้งเยอะ แค่คิดแค่นี้ก็อบอุ่นใจแล้ว

        สดุดี 17:7-8 “7 พระเจ้าสำแดงความมหัศจรรย์แห่งความรักอันยิ่งใหญ่ของพระองค์ พระองค์ช่วยบรรดาผู้ที่วางใจในพระองค์ ให้พ้นจากศัตรูของเขาโดยพระหัตถ์ขวาของพระองค์ 8 ปกป้องรักษาข้าพระองค์ดั่งแก้วตาของพระองค์ ซ่อนข้าพระองค์ไว้ใต้ร่มปีกของพระองค์”

            “มหัศจรรย์ความรักอันยิ่งใหญ่ของพระองค์” ก็คือพระองค์ทรงช่วยบรรดาผู้ที่วางใจในพระองค์ คือวางใจในพระมาสิฮาห์ พระบุตร พระเยซูคริสต์ให้เขาพ้นจากศัตรู ศัตรูของเขาก็คือความบาป กฎของความบาปและความตายนั่นเอง พอพ้นปุ๊บ ก็จะรักเขา ปกป้องเขาดังแก้วตาดวงใจของพระองค์

            ดูต่อไปว่าพระองค์เตรียมอะไรไว้ให้เราอีก ก่อนที่เราจะคลอด ก่อนที่เราจะเชื่อ

            4. เรามีมรดกในสวรรค์ร่วมกับพระเยซูคริสต์   พระคัมภีร์บอกว่าเราเป็นทายาทร่วมกับพระเยซูคริสต์ ได้ครอบครองร่วมกับพระเยซูคริสต์นิรันดร์

            มันเป็นของเราแล้ว มันเป็นของลูกแล้ว เตรียมไว้ให้ เตรียมมรดก เตรียมทรัพย์สมบัติไว้ให้เรียบร้อยแล้ว คลอดออกมา ก็เป็นของเขา จริงๆ เป็นของเขาก่อนที่จะคลอดด้วยซ้ำไป ก่อนที่จะเชื่อ ก็เป็นของเขาแล้ว เขามาเชื่อ ก็เท่ากับเขาใช้สิทธิของเขาเท่านั้น  เพราะฉะนั้น มนุษย์ทุกคนก็เป็นผู้ที่มีมรดก ที่พระเจ้าจัดเตรียมไว้ให้ มีมรดก สำหรับลูกๆ ของพระเจ้าที่จัดเตรียมไว้เรียบร้อยแล้ว  แต่มนุษย์ต้องใช้สิทธิ์ในการเป็นลูกของพระเจ้า ผ่านทางการวางใจในพระเยซูคริสต์เสียก่อน ก่อนจะคลอดออกมาเป็นลูก ใช้สิทธิของตนเอง

            5. เราได้เป็นผู้ชอบธรรมแล้ว เป็นธรรมิกชน บริสุทธิ์ สะอาด ปราศจากบาปไม่มีที่ติเลยแม้แต่นิดเดียว สะอาดบริสุทธิ์เหมือนพระเยซูเลย

            มั่นใจในสิ่งนี้ว่าพระองค์ทรงจัดเตรียมไว้ให้เรียบร้อยแล้ว เราสะอาด หมดจด เราไม่ได้เป็นคนบาป สกปรก เราไม่ได้เป็นคนชั่ว แม้ว่าบางครั้ง เราจะประพฤติชั่วก็ตาม

            “เราเป็นผู้บริสุทธิ์สะอาด ดีพร้อม เหมือนพระเจ้า เพราะเป็นลูกพระเจ้า  แต่บางครั้งอาจประพฤติไม่สมควรกับการเป็นลูกของพระเจ้า” การ “เป็น” กับการ “ประพฤติ” มันไม่เหมือนกัน ซึ่งเราเรียนรู้เรื่องนี้ไปบ่อยๆ

            การจัดเตรียมของพระเจ้า ที่พระเยซูประกาศว่าพระองค์ทรงเตรียมไว้ให้เรียบร้อยแล้วทั้งหมด ประกาศดังลั่นเลย ที่ไม้กางเขนว่า “สำเร็จแล้ว” ทั้งหมดนี้สำเร็จแล้ว  พระเจ้าเตรียมและพร้อมแล้ว ที่จะมีลูก เหมือนมนุษย์ที่เตรียมครอบครัวจนพร้อมแล้ว เอาล่ะ พร้อมแล้วที่จะมีลูก พระเจ้าก็เตรียมทุกอย่างมาตั้งหลายพันปี จนกระทั่งถึงพระเยซูคริสต์สิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน  และประกาศว่าพร้อมแล้วที่จะมีลูก พระองค์ประกาศว่าสำเร็จแล้ว

            6. เราได้เป็นลูกของพระเจ้า อยู่ในครอบครัวของพระเจ้า ผู้ทรงสร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก เราได้เป็นสมาชิกคนหนึ่งในครอบครัวของพระเจ้า ที่พระองค์ทรงรักเราเท่ากับรักพระเยซูเลย พระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่สูงสุดในมหาจักรวาลนี้ ไม่มีใครเทียบเทียมพระองค์ได้ พระองค์เป็นพ่อส่วนตัวของเราเลย  เอเมน

            พ่อส่วนตัว คืออย่าไปนึกถึงพระเจ้าเป็นพ่อ แล้วมีความรู้สึกว่าเป็นพ่อของทุกคน อันนั้นก็ใช่ แต่ให้มีความรู้สึกว่าพระองค์เป็นพ่อของฉัน พระเจ้าเป็นพ่อของฉัน พ่อส่วนตัว คือพระองค์พร้อมแล้วที่จะเป็นที่พึ่งของเรา พร้อมเสมอ

            7. พระเจ้าทรงรักเราและโปรดปรานเรา ดั่งแก้วตาดวงใจของพระองค์ เหมือนพระเยซูคริสต์เลย

            รักเราเหมือนรักพระเยซูคริสต์ รักพระเยซูคริสต์เท่าไร? ก็รักเราเท่านั้น ต้องการที่จะมีเราเอาไว้เป็นผู้รับใช้ ใช้เรา ดีใจจังทุกคนส่ายหน้า ไม่ใช่

            พระองค์ตั้งใจที่จะมีเรา ให้เรามาเชื่อ เพื่อเราจะได้ประกาศข่าวประเสริฐของพระองค์ มีส่วนนิดๆ แต่ไม่ได้เป็นความตั้งใจจริงๆ

            พระองค์ตั้งใจมีเราเป็นลูก คลอดเราออกมา เพื่อให้เรากตัญญูต่อพระองค์ ไม่ใช่

            พระองค์ตั้งใจมีเรา คลอดออกมาในพระเยซูคริสต์ เพื่อจะรักและชื่นชม นอกเหนือจากนั้นเป็นของแถมหมดเลย

            ใครที่คิดว่ามาเชื่อพระเจ้า แล้วจะมารับใช้พระองค์ ทดแทนพระคุณพระองค์ ดีอยู่แหละ ด้วยความปรารถนาอันดับแรกๆ ของพระเจ้า พระเจ้าต้องการแค่เธอเป็นลูกฉัน ฉันก็ดีใจแล้ว  ก็เห็นเธอน่ารัก ฉันทำให้เธอเรียบร้อยแล้ว สะอาดหมดจด ดีมาก รักฉัน ฉันสามารถทำได้ แค่นั้นเอง คนจะทำดี ก็ดีใจด้วย

            8. เราเป็นความรักเป็นแสงสว่างเหมือนพระเยซูคริสต์ พระเจ้าทรงเป็นความรักเป็นความสว่าง พระเยซูก็ทรงเป็นความรักเป็นความสว่าง เราก็เป็นความรักเป็นความสว่างด้วย ด้วยวิญญาณและใจใหม่ของเรา เราจึงสามารถรักพระเจ้า รักพระเยซู รักพี่น้องในพระคริสต์ได้อย่างสบายๆ เป็นไปตามธรรมชาติของความรักภายในเรา

            9. เรากำลังนั่งอยู่ที่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้า    มีสิทธิอำนาจสูงสุดในโลกวิญญาณในสวรรค์สถาน ร่วมกับพระเยซูคริสต์ ไม่ว่าเราจะรู้สึกอย่างไรบนโลกใบนี้  ไม่ว่าเราจะเจอสถานการณ์เช่นไรบนโลกใบนี้ ให้เรารับรู้ว่านี่คือสิ่งที่พระองค์จัดเตรียมให้กับเราเรียบร้อยไปแล้ว พร้อมแล้ว สำเร็จแล้ว ที่ไม้กางเขน ก่อนที่เราจะคลอด  ก่อนที่เราจะเชื่อ ก่อนที่เราจะวางใจในพระองค์ เป็นลูกด้วยซ้ำไป

            ทั้งหมดที่พูดมานี้ 9 อย่าง เราได้รับเรียบร้อยไปแล้วในโลกวิญญาณ เมื่อเราได้คลอดและบังเกิดใหม่ โดยผ่านทางความเชื่อ เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยรอด ได้มาเป็นลูกของพระองค์ มันเตรียมไว้เรียบร้อยไปหมดแล้ว เราไม่ต้องทำอะไรเพิ่มเลย เราได้รับทั้งหมดนี้ เรียบร้อยแล้วในพระเยซูคริสต์ เราไม่ต้องร้องขอ หรือพยายามกระทำอะไร? เพื่อจะให้มีมากขึ้น  ไม่ต้องพยายามทำอะไรให้เป็นลูกพระเจ้ามากขึ้น เพราะเป็นลูก็คือเป็นลูก  ไม่ต้องไปพยายามอะไรให้มีคุณสมบัติจะเป็นลูกของพระเจ้ามากขึ้น ไม่ต้อง และไม่ต้องมาขอความรักจากพระเจ้าให้มากขึ้น เพราะพระเจ้า พ่อแห่งฟ้าสวรรค์ ได้ทรงประทานทั้งหมดเหล่านี้เรียบร้อยไปแล้ว ทุกอย่างที่จำเป็นในการเป็นลูกของพระเจ้า ในการดำเนินชีวิตที่บริสุทธิ์ ดีพร้อมเหมือนพระเจ้า พระองค์ทรงเตรียมไว้เรียบร้อยแล้ว เตรียมตั้งแต่เมื่อไร? เริ่มตั้งแต่ให้วิญญาณและใจใหม่กับเรา ตอนบังเกิดใหม่ รวมทั้งร่างกายที่เราได้รับการชำระด้วยพระโลหิตของพระเยซูคริสต์ให้สะอาด หมดจด เรียบร้อยไปแล้ว แม้ว่าจะเป็นร่างกายเดิมก็ตาม และพระองค์ก็เข้ามาสถิตอยู่ภายในร่างกายนี้ได้แล้ว สะอาดหมดจดแล้ว เป็นที่พอพระทัยของพระเจ้าแล้วนั่นเอง  พระเจ้าสามารถรับเราเข้าไปอยู่ในสวรรค์กับพระองค์ได้แล้ว เสร็จแล้ว เป็นลูกของพระองค์ที่บริสุทธิ์ สะอาดแล้ว

            ย้ำอีกที เป็นลูกของพระองค์ที่บริสุทธิ์ สะอาดแล้ว ตลอดไป ชั่วนิรันดร์ ไม่มีวันเปลี่ยนแปลง ไม่มีใครสามารถพรากเราออกไปจากความรักของพระเจ้านี้ได้เลย ย้ำอีกทีว่าไม่มีใครจะมาเปลี่ยนแปลงสถานะนี้ได้แล้ว พ่อแม่ที่เป็นมนุษย์ก็เหมือนกัน เรามีลูกแล้ว ลูกเราออกมาไม่ว่าเขาจะชั่ว จะดี จะกตัญญูหรือไม่กตัญญูอะไรต่างๆ เขาก็เป็นลูกเรา ต่อให้เราไล่เขาออกจากบ้าน เพราะพ่อแม่ที่เป็นมนุษย์ อาจจะไม่ได้ดีพร้อมเหมือนพระเจ้า เราใช้อารมณ์อะไรต่างๆ เหล่านั้น ลูกเราก็ยังคงเป็นลูกเรา เราบอกไม่สนใจแล้ว เราเป็นคนบาป สายเลือด ตัดขาดออกจากการเป็นพ่อเป็นลูกไปแล้ว ตัดได้ไหม? พูดได้ ความรู้สึกได้ แต่จริงๆ ตัดไม่ได้ เขาเป็นลูก เขาก็เป็นลูกตลอดไป พระเจ้าเป็นพ่อของเรา ก็เป็นพ่อตลอดไป ตราบใดที่เราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด และคลอดออกมาเป็นลูกของพระเจ้าแล้ว เราเป็นลูกของพระองค์ตลอดไป และพ่อรักและหวงแหนเรามากด้วย มากตลอดไป ไม่ว่าเราจะประพฤติตัวเช่นไร? ก็ยังคงรักเราเหมือนเดิมตลอดไป ใครมาแตะเรา มารังแกเรา ก็เหมือนทำกับพ่อของเรา รักเราขนาดนี้ บอกเลย ใครมาทำอะไรเรา พ่อเจ็บด้วย

            เพราะฉะนั้น สิ่งเดียวที่พ่อของเราทำให้เราไม่ได้ ก็คือให้เรามากกว่านี้ไม่ได้แล้ว  รักเราสุดๆ แล้ว หรือขออะไรต่างๆ ที่พระองค์ทรงให้หมดแล้ว พระองค์ก็บอกว่า …

            “พ่อให้ไม่ได้แล้ว เพราะว่าให้ไปแล้ว”

            เหมือนลูกเรา มาขอเรา พ่อบอกว่าให้ไปแล้ว อยู่ในกระเป๋า สมมติขอเงินสักพันหนึ่ง ก็อยู่ในกระเป๋าแล้ว จะให้ได้อย่างไร? ก็มันอยู่ในกระเป๋าแล้ว  ก็มีอยู่แล้ว พระเจ้าก็เช่นเดียวกัน ไม่สามารถให้อะไรกับเรา ที่เราจะขอเพิ่มพูนมากขึ้น  เพราะพระองค์ทรงจัดเตรียมให้กับเราเรียบร้อยแล้ว ก่อนเกิด ทุกสิ่งทุกอย่างที่จำเป็น ในการเป็นลูกของพระองค์ ดำเนินชีวิตให้กับเราเรียบร้อยแล้วอย่างครบถ้วนบริบูรณ์ในพระเยซูคริสต์ ทั้งหมดเรียบร้อยแล้ว รักเรามากสุด เตรียมทุกสิ่งทุกอย่างให้กับเราครบถ้วนบริบูรณ์ เรียบร้อย ก่อนที่เราจะคลอดด้วยซ้ำ  พระเยซูประกาศที่ไม้กางเขนว่าสำเร็จแล้ว ก่อนที่เราจะเกิดด้วยซ้ำไป ก่อนเราจะเกิดเป็นมนุษย์ พระองค์บอกสำเร็จเรียบร้อยแล้ว นั่นแหละคือความสมบูรณ์ เพราะว่าทั้งหมดนี้ พระเจ้าจัดเตรียมไว้ให้กับท่าน กับเราทั้งหลายที่มาเป็นลูกของพระองค์เรียบร้อยแล้ว  สำเร็จแล้ว

            จบสุดท้าย วันนี้ ก็คือสิ่งสำคัญที่พระเจ้าต้องการให้เราทำ คือไม่ต้องทำอะไรเลย ทำให้หมดเรียบร้อยทุกอย่าง จบ แต่มีสิ่งเดียวที่เป็นหน้าที่ของมนุษย์ที่เป็นลูกของพระองค์ อันเดียวที่พระองค์ต้องการมากที่สุด นอกนั้น ไม่ต้องทำอะไรแล้ว  ไม่ต้องพึ่งพาอะไรแล้ว เราแค่นิดเดียวเอง คือจงเปิดใจ วางใจในพระเมซิยาห์  เพราะเป็นทางเดียวที่ท่านจะเข้าไปสู่การเป็นลูก เป็นทางเดียวที่ท่านจะสามารถคลอดเข้าไปเป็นลูกของพระเจ้า และได้รับสิ่งที่เรากำลังพูดกันมาทั้งหมดนี้ได้ทันที เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เมื่อไร ท่านได้รับทันที กำเนิด เกิดมาเป็นลูกของพระเจ้าฝ่ายวิญญาณทันที เป็นลูกของพระองค์ทันที อยู่ในสวรรค์ทันที เอเมน พระเจ้าอวยพรครับ

********************

จากใจคณะศิษยาภิบาล

            ด่วน! มนุษย์ทุกคนสามารถเข้ามาอาศัยอยู่ในสวรรค์กับพระเจ้าได้  ทันทีเดี๋ยวนี้เลย เพียงแค่ใช้สิทธิ์ที่พระเยซูคริสต์ได้ไถ่ท่านแล้ว

            1 เปโตร 1:18-19 …  “18 ท่านจำเป็นต้องรู้  และระลึกอยู่เสมอว่าท่านได้รับการไถ่  จากการดำเนินชีวิตแบบไร้ประโยชน์  ไร้ค่า (อยู่ในความพินาศ ในความบาป  และในความตาย)  ซึ่งเป็นสิ่งที่ตกทอด  มาจากบรรพบุรุษของท่าน (ตั้งแต่อาดัม)  และการไถ่นี้  มิใช่การไถ่ด้วยสิ่งที่สูญสลายได้  เช่นเงินหรือทอง 19 แต่ท่านถูกซื้อ  ด้วยพระโลหิตอันล้ำค่าของพระเยซูคริสต์  พระเมสิยาห์  ผู้เปรียบเสมือนลูกแกะบูชา  ที่ปราศจากตำหนิ  และจุดด่างพร้อยใดๆ”

            เราจะดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้  ด้วยความท้อแท้เศร้าสร้อย  ไร้ความหวัง  ไร้ที่พึ่ง  ไร้ผู้ช่วยเหลือ  ต้องเผชิญกับความทุกข์ยากลำบากอย่างมากมาย ซึ่งหลีกเลี่ยงไม่ได้บนโลกใบนี้  และยังต้องเผชิญกับความกลัวความตาย  เพราะไม่มั่นใจในชีวิตหลังความตาย  เราจะอยู่ในความกลัว  และความวิตกกังวลอย่างนี้อีกทำไม ในเมื่อเรามีสิทธิ์ที่จะได้รับชีวิตใหม่  รับการไถ่ของพระเยซู  เข้ามาอยู่ในสวรรค์กับพระเจ้าได้เลยทันที  เพียงแค่เปิดใจต้อนรับสิทธิของตนเอง  ที่พระเยซูคริสต์ได้ทรงกระทำให้สำเร็จเรียบร้อยไปแล้ว  ที่ไม้กางเขนเท่านั้น  แล้วพระเจ้าจะเข้าไปสถิตอยู่ในท่าน  จะคอยช่วยเหลือนำพาท่าน  ผ่าน อุปสรรคปัญหาต่างๆ ในชีวิตทันที  ตั้งแต่เดี๋ยวนี้ไปจนกระทั่งถึงชีวิตนิรันดร์หลังความตาย

            พระเจ้ารักท่านมาก  และกำลังรอคอยให้ท่านเปิดใจยอมรับพระองค์  พระเจ้าอวยพรครับ

วารสาร Holy  News   ฉบับที่ 1392 

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  4  ธันวาคม  2022

เรื่อง “พระเจ้าพ่อแห่งฟ้าสวรรค์ รักเรามากแค่ไหน?”

โดย นคร  เวชสุภาพร

            วันนี้เป็นวันสำคัญอีกวันหนึ่ง ที่ช่วงปลายปีเราจะระลึกถึงสิ่งเหล่านี้ หลังจากอาทิตย์ที่ 4 ของเดือนพฤศจิกายน เราก็เริ่มต้นเทศกาลระลึกถึงพระเจ้า  ขอบคุณพระเจ้า เมื่อ 2 สัปดาห์ที่แล้ว หลังจากขอบคุณพระเจ้าแล้ว เราก็มาขอบคุณพระเจ้าเหมือนกัน แต่ขอบคุณพระเจ้า สำหรับพ่อ เขาเรียกว่าวันพ่อ ซึ่งพอพูดถึงวันพ่อวันแม่ เราก็คู่กัน พ่อแม่มีส่วนคนละครึ่ง พอบอกวันพ่อ ก็มีวันแม่ครึ่งหนึ่ง พอบอกวันแม่ ก็มีวันพ่อครึ่งหนึ่ง และหลังจากนั้น ก็เป็นวันพระบุตรแล้ว คือวันพระเยซูคริสต์ที่เราร่วมกันระลึกถึงความรอดของเราที่ได้รับจากพระเจ้า ทรงประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ลงมาเกิดเป็นมนุษย์ ก็คือวันคริสตมาส

            สุขสันต์วันพ่อ วันนี้เราก็ต้องมารำลึกถึงความรัก ความดีงาม และขอบพระคุณพ่อที่เป็นมนุษย์ และพ่อซึ่งอยู่ในสวรรค์ ก็คือพระเจ้า ถ้าเราเห็นความรักของพระเจ้า พ่อแห่งฟ้าสวรรค์มากเท่าไร? เราก็จะเห็นความรักของพ่อที่เป็นมนุษย์มากเท่านั้น หรือจะกลับกันก็ได้ว่าถ้าเราเห็นความรักของพ่อเรา ที่เป็นมนุษย์ ซึ่งรวมทั้งแม่ด้วย วันพ่อก็มีวันแม่ครึ่งหนึ่ง วันแม่ก็มีวันพ่อครึ่งหนึ่ง ทั้งสองเป็นผู้ร่วมกัน เป็นผู้ให้กำเนิด เพราะฉะนั้น เห็นความรักของพระเจ้า พ่อในสวรรค์ ก็จะเห็นความรักของพ่อและแม่ที่เป็นมนุษย์เท่านั้น ใครเห็นมาก ก็สัมผัสได้มาก ใครเห็นน้อยก็สัมผัสได้น้อย หนังสือสดุดี 103:10-13 ได้ประกาศให้ทั้งโลกได้รู้ว่า …

        สดุดี 103:10-13 “10 พระองค์ไม่ได้ทรงกระทำแก่เราอย่างสาสมกับบาปของเรา หรือลงโทษอย่างสาสมกับความชั่วช้าของเรา 11 เพราะว่าฟ้าสวรรค์สูงเหนือแผ่นดินเพียงใด ความรักของพระองค์ที่มีต่อผู้ที่ยำเกรงพระองค์ ก็ยิ่งใหญ่เพียงนั้น 12 ตะวันออกไกลจากตะวันตกเพียงใด พระองค์ก็ทรงยกเอาการล่วงละเมิดของเราออกไปไกลเพียงนั้น 13 บิดาเอ็นดูสงสารบุตรของตนฉันใด องค์พระผู้เป็นเจ้า ก็ทรงเอ็นดูสงสารผู้ที่ยำเกรงพระองค์ฉันนั้น”

            พระเจ้าไม่ได้ลงโทษเราให้สาสมกับความเป็นคนบาปของเรา

            ข้อ 11 บอกว่า … “เพราะว่าฟ้าสวรรค์สูงเหนือแผ่นดินโลกเท่าไร เราเห็นฟ้าสวรรค์ แผ่นดิน มองไปสุดลูกหูลูกตา  ความรักของพระองค์ที่มีต่อผู้ที่ยำเกรงพระองค์ ก็ยิ่งใหญ่เพียงนั้น”

            ข้อ 12 … “ตะวันออกไกลจากตะวันตกเพียงใด” ไกลเท่าไร? ตะวันออกไกลจากตะวันตกเท่าไร? ต้องหันหน้าบอกว่าไม่รู้ ไม่มีที่สิ้นสุด ถูกไหม? ตะวันออกห่างไกลจากตะวันตก ไม่มีที่สิ้นสุด

            ข้อ 13 … “บิดาเอ็นดูสงสารบุตรของตนฉันใด องค์พระผู้เป็นเจ้า ก็ทรงเอ็นดูสงสารผู้ที่ยำเกรงพระองค์ฉันนั้น” บิดา คือบิดาที่เป็นมนุษย์ สงสารรักลูกของตนเองเท่าไร? พระเจ้าก็ทรงเอ็นดูสงสาร ผู้ที่ยำเกรงพระองค์ฉันนั้น ขอบคุณและสรรเสริญพระเจ้า

            ตะวันออกห่างไกลจากตะวันตกเพียงใด พระเจ้านำเอาการละเมิดของเราออกไปไกลเพียงนั้น พระคัมภีร์เขียนไว้อย่างนั้นนะ

            จริงๆ ข้อ 12 มันตกไป “ตะวันออกห่างไกลจากตะวันตกเพียงใด พระเจ้าเอาการบาปของเราหลุดออกไปจากเราฉันนั้น” ไกลเท่านั้น ไม่เจอกันอีกเลย คือบาปกับเราไม่เจอกันอีกเลย มันตกไปนิดหนึ่ง

            มารู้จักความรักของพระเจ้า พ่อแห่งฟ้าสวรรค์กันวันนี้ เพื่อเราจะได้รู้ว่าความรักของพ่อที่เป็นมนุษย์ เป็นอย่างไรด้วย  พระเยซูพยายามอธิบายเรื่องนี้ เป็นอุปมาให้กับชาวยิว ซึ่งคุ้นเคยกับพระเจ้าในลักษณะของพระเจ้าที่เป็นเจ้านาย ที่เข้มงวด ดุ เจ้าอารมณ์ ลงโทษอย่างรุนแรง ดูแลพวกเขาเหมือนกับทาส ทำดีก็ได้ดี ทำไม่ดี หรือทำชั่ว ไม่เชื่อฟัง ก็ถูกตีสอนอย่างรุนแรง นี่ความรู้สึกของเขา เขามองพระเจ้าเป็นอย่างนั้น ไม่มีการให้อภัยแบบเปล่าๆ ต้องมีของแลก ทำอันนี้ ได้อันนั้น ทำอันนั้น ได้อันนี้ ทำผิดต้องแลกด้วยอะไร ก็ว่าไป ทำผิดบาปอย่าง ต้องแลกด้วยชีวิต สั่งไว้แล้วอย่าทำ ทำ ต้องแลกด้วยชีวิต เขาเรียกว่ามองพระเจ้า ดูแลพวกเขาเป็นแบบตาต่อตา ฟันต่อฟัน คือระเบียบต้องเป๊ะเลย

            ผมจะยกตัวอย่างให้ดู นี่คือพระคัมภีร์เดิม ซึ่งพระเจ้าดูแลมนุษย์ ผ่านทางตัวแทนของมนุษย์ ก็คืออิสราเอล และเป็นอย่างนั้นจริงๆ ไม่มีวันที่จะเข้าใจได้เลย  ตัวอย่างยกมาอันหนึ่งให้เห็นชัดเลยว่านี่คือการดูแลของพระเจ้า ผู้ได้บอกว่าพระองค์เป็นพ่อ ที่ตะกี้เราอ่านในสดุดี บทที่ 103 ว่าพ่อรักเรามากๆ เลย รักแล้วทำไมทำอย่างนี้ ชาวยิวสมัยก่อน เขาก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน  เราเองก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน วันนี้จะทำให้เราเข้าใจมากขึ้น เรียนรู้วันนี้แล้ว ทำให้ความรักเราที่มีต่อพระเจ้าจะเปี่ยมล้นมากขึ้น เราจะเข้าใจพ่อที่เป็นพระเจ้าในฟ้าสวรรค์มากขึ้น และเข้าใจพ่อแม่ที่เป็นมนุษย์มากขึ้นด้วย มันต้องคู่กันมา

            ตัวอย่างเห็นชัดเลย คือ 2 ซามูเอล 6:1-8  ในสมัยอิสราเอลที่ดาวิดเป็นกษัตริย์อยู่จะไปเชิญหีบพันธสัญญา ซึ่งเล็งถึงการทรงสถิตของพระเจ้า มาตั้งอยู่ที่กรุงเยรูซาเล็ม ดูสิว่าอะไรเกิดขึ้น …

        2 ซามูเอล 6:1-8 “1 แล้วดาวิดนำพลอิสราเอลที่เลือกสรรแล้ว สามหมื่นคน 2 ไปยังบาอาลาห์ แห่งยูดาห์ เพื่ออัญเชิญหีบพันธสัญญาของพระเจ้า ซึ่งเรียกตามพระนาม คือพระยาห์เวห์ ผู้ทรงฤทธิ์ ผู้ประทับระหว่างเครูบนหีบนั้น 3 พวกเขาตั้งหีบพันธสัญญาของพระเจ้าบนเกวียนใหม่ และนำลงมาจากบ้านของอาบีนาดับ ซึ่งอยู่บนภูเขา โดยมีอุสซาห์กับอาหิโยบุตรอาบีนาดับเป็นผู้นำเกวียน 4 ที่บรรทุกหีบพันธสัญญาของพระเจ้าและอาหิโยเดินนำหน้า 5 ดาวิดและปวงชนอิสราเอลเฉลิมฉลองอย่างเต็มที่ ต่อหน้าองค์พระผู้เป็นเจ้า มีการขับร้องและบรรเลงดนตรีด้วยพิณเขาคู่ พิณใหญ่ รำมะนา กรับและฉาบ 6 เมื่อพวกเขามาถึงลานนวดข้าวของนาโคน วัวสะดุดเสียหลัก อุสซาห์ยื่นมือออกไปยึดหีบพันธสัญญาของพระเจ้าไว้ 7 พระพิโรธขององค์พระผู้เป็นเจ้า จึงพลุ่งขึ้นต่ออุสซาห์ และทรงประหารเขาที่บังอาจทำอย่างไม่ยำเกรงพระองค์ เขาตายอยู่ข้างหีบพันธสัญญาของพระเจ้า 8 ดาวิดไม่พอพระทัยเพราะองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงพระพิโรธอุสซาห์ ที่แห่งนั้นจึงได้ชื่อว่า เปเรศอุสซาห์จวบจนบัดนี้”

            หีบพันธสัญญา คือสัญลักษณ์ของการทรงสถิตอยู่ของพระเจ้า พระเจ้าบริสุทธิ์และศักดิ์สิทธิ์  พระเจ้ายิ่งใหญ่ เต็มด้วยฤทธานุภาพอำนาจ ตะกี้ที่เราอ่าน เรื่องราว เห็นไหมว่ากษัตริย์ดาวิดและอิสราเอลเคารพยำเกรงพระเจ้ามากๆ พระเจ้าสั่งไว้อย่างไร ก็ทำตามหมด บอกว่าถ้าจะไปเชิญหีบพันธสัญญา จะต้องทำขบวนการใหญ่เลยนะ ต้องใช้คน 30,000 คน ไปอัญเชิญหีบพันธสัญญามา ด้วยความชื่นชมยินดี โดยมีอุสซาห์และอาหิโย บุตรของอาบีนาดับเป็นผู้นำเกวียนไป เอาเกวียนไปขนมา นึกภาพตามนี้ มีการขับร้องและบรรเลงดนตรีด้วยพิณเขาคู่ พิณใหญ่ รำมะนา กรับและฉาบ นี่คือสิ่งที่พระเจ้าบอกไว้ เป็นพิธีที่ต้องทำ ตอนที่จะเชิญหีบพันธสัญญาไปไหนก็ตาม ต้องนำด้วยการนมัสการอย่างนี้ ให้ทำตามแล้วกัน เขาก็ทำตาม เห็นอะไรบางอย่างไหมว่าเป็นระเบียบที่พระเจ้าวางไว้ เขาก็ทำตาม แต่เกิดอุบัติเหตุ วัวสะดุดเสียหลัก ความผิดของมนุษย์ไหม? ไม่ ความผิดของวัวหรือเปล่า? น่าจะเป็นความผิดของวัว พูดเล่นๆ จะได้จำได้

            ใครเป็นคนเดินนำหน้า อุสซาร์ ถ้าจำให้ดี ก็คืออุตส่าห์ พอวัวสะดุดปุ๊บ เรานึกภาพเกวียน เอียงข้างปุ๊บ หีบก็จะเคลื่อนที่ล้มลงมา อุสซาร์เขาอุตส่าห์หวังดี เป็นเรา เราก็ต้องทำ ถูกไหม? เขาจะไม่ทำ มันจะล้ม อย่าว่าแต่หีบพันธสัญญาเลย ต่อให้เป็นหีบทรัพย์สมบัติของมนุษย์ธรรมดา เราก็ยังไปประคองไว้ ยื่นมือไปประคองหีบพันธสัญญา ที่กำลังจะล้มลงมานั้น

            ฟังให้ดีตรงนี้ “พระพิโรธของพระเจ้าพลุ่งขึ้นต่ออุสซาร์ พระเจ้าโกรธมากเลย พระเจ้าโกรธได้หรือ? ไม่ใช่ความผิดของอุสซาร์สักหน่อย วัวยังไม่ผิดด้วยซ้ำไป พระเจ้าของเราทำไมเป็นอย่างนี้ ทำไม? ก็ไม่เหมือนกัน

            “พระพิโรธ” คืออะไร? คือความโกรธของพระเจ้า ผู้ทรงบริสุทธิ์ สะอาด ศักดิ์สิทธิ์ เต็มไปด้วยฤทธานุภาพ อำนาจยิ่งใหญ่ เปรียบเสมือนพลังงานปรมาณู พลังงานไฟฟ้า เมื่อพลังปรมาณูรั่วออกมา ไม่ว่าคนนั้นจะเดินอยู่ที่ไหน? เขาได้รับอันตรายไหม? ถ้าเผื่อไฟฟ้าแรงสูงรั่วออกมา คนไปแตะต้อง อันตรายต่อเขาไหม? เพราะฉะนั้น เราต้องบอกว่าพระพิโรธของปรมาณู พระพิโรธของพลังงานไฟฟ้าแรงสูงนั้น ฆ่าคนเหล่านั้นที่ไม่รู้อีโหน่อีเหน่ ไปแตะต้อง ถูกไหม? เพราะมันเป็นกฎธรรมชาติความบริสุทธิ์ของพระเจ้า เป็นฤทธิ์เดช เป็นอำนาจ

            ในนี้บันทึกต่อว่า … “และทรงประหารเขาที่บังอาจทำอย่างไม่ยำเกรงพระองค์” คนที่ไปแตะไฟฟ้าแรงสูง ก็บังอาจที่จะไปแตะต้องไฟฟ้าแรงสูง เป็นพันๆ โวลต์ เป็นหมื่นๆ โวลต์ที่วิ่งอยู่ข้างบน การไฟฟ้าอุตส่าห์ไปขึงไว้ข้างบนสูงๆ มากๆ แล้ว บังอาจปีนขึ้นไป สมมติว่ามันขาดลงมา จะปีนขึ้นไปแก้ไข ไม่ได้เคารพยำเกรง คือไม่ได้ระวังตัวให้ดีๆ ไปแตะต้องมัน ไม่ว่าเขาจะเป็นคนดีหรือคนชั่ว เขาหวังดีหรือไม่หวังดี ก็ตาม เขาก็ได้รับฤทธิ์อำนาจจากไฟฟ้าแรงสูง ฆ่าเขาให้ตายเช่นเดียวกัน  เห็นภาพอะไรไหม?

            ยกตัวอย่างเมื่อตะกี้ ก็คือเขาตาย ขณะที่กำสายไฟฟ้าแรงสูงอยู่ในมือ เห็นภาพนะ ถามว่าผู้คนในสมัยนั้นเข้าใจไหม? ไม่เข้าใจ ทำไมเรารู้ว่าไม่เข้าใจ  เพราะบันทึกต่อไปบอกว่า “ดาวิดไม่พอพระทัยที่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงพระพิโรธอุสซาห์และฆ่าเขาจนตาย” ถูกไหม?

            เราเอามาเทียบกันในปัจจุบันก็ได้ ถ้ามีใครคนหนึ่งเผอิญเอามือไปแตะเสาไฟฟ้าแรงสูง แล้วมันรั่วมา แล้วคนนั้นตาย  แล้วคนนั้นเป็นคนดีด้วย เราโมโหไหม? โมโห สมมตินะ สมมติเราไม่ได้เป็นคริสเตียน  เราโมโห …

            “เขาเป็นคนดี ทำไมไฟฟ้าแรงสูงไปฆ่าเขาตาย”

            นี่ยกตัวอย่างเพื่อให้ท่านเอาไปคิดดู แล้วสมัยก่อน เขาจะคิดอย่างไร? พระเจ้าที่เขานับถือ พระเจ้าที่เขาดูแลตลอด พระเจ้าที่สัญญากับเขาว่าจะรักมาก แล้วทำไมทำอย่างนี้ ดาวิดกำลังจะพูดว่าอะไร? ก็คือดาวิดไม่เข้าใจว่าทำไมๆ เหมือนตะกี้ที่ผมยกตัวอย่าง ถ้าเป็นปัจจุบัน …

            “เขาเป็นคนดีมากเลย ทำไมเขาต้องตกลงมาตายด้วย ถูกไฟฟ้าดูด ฟ้าสวรรค์ควรจะเห็นความดีงามของเขา อย่าทำเขา เขาเป็นคนปรารถนาดี ไม่ใช่ความผิดเขาสักหน่อยเลย”

            เหมือนกัน ดาวิดกำลังถามพระเจ้าว่า … “ทำไม?  ฉันไม่เข้าใจ ฉันเสียใจ”

            แต่พระเยซูอธิบายต่อให้ฟังว่าพระเจ้าเป็นพ่อนะ มาบอกกับอิสราเอลว่าในอดีตท่านมีความสัมพันธ์กับพระเจ้า แบบลักษณะอย่างนี้ใช่ไหม? พระองค์ก็อธิบายต่อว่าไม่ใช่อย่างนั้นเลย มาให้เห็นภาพพระเจ้าจริงๆ ตามที่พระเจ้าเป็นจริงว่าพระเจ้าเป็นเช่นไร? พระเจ้าเป็นพ่อที่เต็มด้วยความรักพวกท่าน คือชาวยิว และมนุษย์ยิ่งนัก ดังแก้วตาดวงใจของพระองค์เลย เป็นพ่อที่เต็มไปด้วยความเมตตา กรุณา อภัยให้กับลูกๆ เสมอ ไม่ว่าจะความผิดร้ายแรงแค่ไหนก็ตาม เช่น อุปมาเรื่องที่พระองค์ทรงยกขึ้นมา ให้เห็น นี่แหละพระเจ้าผู้เป็นพ่อของเรา มีพระลักษณะของพระองค์อย่างนี้ ให้ชาวยิวและมนุษย์ทั้งหลาย หันมาเข้าใจว่าพ่อกระทำสิ่งต่างๆ ที่เราไม่เคยเข้าใจเลย  ทำเพราะอะไร? เพราะรัก

            ในลูกา 15:11-24 พระองค์ก็ทรงยกคำอุปมาเรื่องบุตรที่หลงหาย  เพื่อให้เขาเห็นว่านี่คือภาพของพระเจ้าจริงๆ ที่ท่านมองไม่เห็น ที่กษัตริย์ดาวิดสงสัย นี่คือภาพของพระเจ้าจริงๆ เป็นอย่างนี้ พระองค์มีความปรารถนาในใจอย่างนี้สำหรับมนุษย์ทั้งหลาย ไม่ว่าท่านจะเข้าใจอย่างไรก็ตาม พระองค์มีพระลักษณะ มีความต้องการอย่างนี้ มีความรักต่อมนุษย์อย่างนี้ …

        ลูกา 15:11-24 “คำอุปมาเรื่องบุตรน้อยที่หลงหาย “11 พระเยซูตรัสต่อไปว่า “ชายคนหนึ่งมีบุตรชายสองคน 12 บุตรชายคนเล็กพูดกับบิดาว่า ‘บิดาเจ้าข้า ขอยกสมบัติส่วนของข้าพเจ้าให้ข้าพเจ้าเถิด’ ดังนั้น บิดาจึงแบ่งทรัพย์สมบัติของตนให้บุตรทั้งสอง 13 “ต่อมาไม่นาน บุตรชายคนเล็กนี้ก็รวบรวมสมบัติทั้งหมดของตนแล้วไปเมืองไกล และผลาญทรัพย์ของตนด้วยการใช้ชีวิตเสเพล 14 พอเขาหมดตัว ก็เกิดการกันดารอาหารอย่างหนักทั่วแถบนั้น และเขาเริ่มขัดสน 15 ดังนั้น เขาจึงไปรับจ้างชาวเมืองคนหนึ่ง และคนนั้นใช้เขาออกไปเลี้ยงหมูในทุ่งนา 16 เขาอยากจะอิ่มท้องด้วยฝักถั่วที่หมูกิน แต่ไม่มีใครให้อะไรเขากิน 17 “เมื่อเขาคิดขึ้นได้จึงกล่าวว่า ‘บิดาของเรามีลูกจ้างหลายคน พวกเขามีอาหารเหลือเฟือ แต่นี่เรากำลังจะอดตาย! 18 เราจะกลับไปหาบิดาของเราและกล่าวกับท่านว่า “บิดาเจ้าข้า ข้าพเจ้าทำบาปต่อสวรรค์และต่อท่านด้วย 19 ข้าพเจ้าไม่คู่ควรจะได้ชื่อว่าเป็นบุตรของท่านอีกต่อไป ให้ข้าพเจ้าเป็นเหมือนลูกจ้างคนหนึ่งของท่านเถิด’ 20 ดังนั้น เขาจึงลุกขึ้น กลับไปหาบิดาของเขา “แต่เมื่อเขายังอยู่แต่ไกล บิดาเห็นเขาก็สงสาร จึงวิ่งมาหาบุตรชายแล้วสวมกอดและจูบเขา 21 “เขากล่าวกับบิดาว่า ‘บิดาเจ้าข้า ข้าพเจ้าทำบาปต่อสวรรค์และต่อท่านด้วย ข้าพเจ้าไม่คู่ควรจะได้ชื่อว่าเป็นบุตรของท่านอีกต่อไป’ 22 “แต่บิดาสั่งคนรับใช้ว่า ‘เร็วเข้า! จงนำเสื้อผ้าที่ดีที่สุดมาให้เขาสวมใส่ เอาแหวนมาสวมนิ้วของเขา และเอารองเท้ามาสวมให้เขา 23 จงนำลูกวัวขุนมาฆ่า ให้เราจัดงานเลี้ยงฉลอง 24 เพราะบุตรชายคนนี้ของเราได้ตายไปแล้วและกลับเป็นขึ้นมาอีก เขาหายไปแล้วและได้พบกันอีก’ ดังนั้นเขาทั้งหลายจึงเริ่มเฉลิมฉลองกัน”

            อุปมานี้ ก็คือมนุษย์เป็นคนบาป ที่ต้องการจะอยู่ด้วยตนเอง  ต้องการที่จะพึ่งพาตนเอง ไม่พึ่งพาพ่อแล้ว ออกจากบ้าน ก็คือออกจากสวรรค์ จะอยู่ด้วยลำแข้งของตนเอง พึ่งพาตนเอง เรียกว่าบาป  ไม่ตรงกับเป้าหมายที่พระเจ้าวางไว้ ที่ให้มนุษย์เกิดมา เพื่อจะอยู่กับพระองค์ เพื่อพึ่งพระองค์ ทุกสิ่งทุกอย่างที่พระองค์ทรงจัดเตรียมไว้ แต่พ่อก็ไม่สามารถที่จะบังคับเคี่ยวเข็ญได้ เพราะรักไง รักแบบไม่มีบังคับ เพราะถ้ามนุษย์ตัดสินใจว่า …

            “ฉันจะไป” … พระเจ้าก็ต้องให้เขาไป

            บุตรน้อยหลงหาย ก็เล็งถึงมนุษย์ ก็คือเริ่มต้นจากอาดัมและเอวา ที่ต้องการจะอยู่ด้วยตนเอง พระเจ้าบอกให้อยู่ด้วย ไม่อยู่ …

            “ฉันจะพึ่งพาตนเอง ฉันจะรับผิดชอบการกระทำของฉันเอง ฉันจะทำดีละชั่ว ด้วยตัวฉันเองเพื่อจะได้ทำดีให้เยอะๆ ละชั่วให้มากๆ” อะไรประมาณนั้น

            ก็เปรียบเหมือนบุตรชายคนเล็กนี้ กำลังรวบรวมสมบัติทั้งหมดของตนและจากไปเมืองไกล นึกออกใช่ไหมครับ?

            บอก … “พ่อ ลูกไปแล้วนะ”

            และผลาญทรัพย์สมบัติของตนด้วยการใช้ชีวิตเสเพล ก็คือเป็นคนบาปไง  พอออกจากบ้าน ออกจากสวรรค์ไป ก็กลายเป็นคนบาป คนบาป ก็คือพระสิริไม่มี ความดีงาม ฤทธิ์อำนาจในการทำความดี ให้ครบถ้วนบริบูรณ์ มันไม่มีแล้ว ก็เลยกลายเป็นคนบาป

            ในข้อ 17 บอกว่า “เมื่อเขาคิดขึ้นได้ จึงกล่าวว่า … “บิดาของเรามีลูกจ้างมากมายหลายคน พวกเขามีอาหารเหลือเฟือ แต่เรากำลังจะอดตาย”

            พูดง่ายๆ ว่าเมื่อเขาคิดขึ้นได้ ก็คือเมื่อเขาได้ยินข่าวประเสริฐของพระเจ้า และเขากลับใจใหม่ กลับไปหาพ่อดีกว่า กลับไปหาพระเจ้าดีกว่า และในใจเขาคิดอย่างไร? คิดว่าตนเองผิดอย่างร้ายแรง คือยอมรับตนเองว่าเป็นคนบาป ในนี้เขียนว่า …

            “บิดาเจ้าข้า ข้าพเจ้าทำบาปต่อสวรรค์และต่อท่าน”

            นึกภาพนะ เขายอมรับว่าเขาเป็นคนบาปแล้ว เขาจึงกลับมาหาพระเจ้า แต่ในใจเขาคิดว่าเมื่อเขากลับมาหาพระเจ้า ยอมรับว่าเป็นคนบาป เขาต้องโดนลงโทษให้สมกับที่เขาได้ทำเลวทรามต่างๆ เหล่านั้น ที่เขาไม่เข้าใจพระเจ้า ที่เขาดูถูกพระเจ้า ต่อต้านพระเจ้ามาตลอด  เขาคิดอย่างนั้นว่าแค่พ่ออภัยให้เขา แค่เขาได้อยู่เป็นคนรับใช้ อยู่ในบ้านพ่อ ก็ดีใจแล้ว ขอให้กลับไปเถอะ จะลงโทษเขาอะไรก็ยอมทั้งสิ้น  ถูกไหม? เขาคิดอย่างนี้ เตรียมพร้อมเลยว่า …

            “วันที่ไปเจอพ่อ เดินทางกลับไป ฉันจะเตรียมจด list เอาไว้เลย ฉันจะสารภาพบาปตรงนี้ว่าฉันเคยโกหก ฉันเคยว่าพ่อมาก่อน ฉันเคยทำไม่ดี ฉันเคยทำบาปตรงนี้ตรงนั้นเยอะแยะ ฉันจะสัญญาต่อพ่อว่าต่อไปนี้ ฉันจะไม่ทำแล้ว และฉันจะสัญญาว่าฉันจะขออยู่แค่เล็กๆ น้อยๆ ในบ้านปลายนาเล็กๆ ของพ่อ ปลายสวรรค์ก็ได้ ฉันจะขอนอนอยู่กับพื้นในสวรรค์ก็พอแล้ว เขาคิดอย่างนี้”

            แต่ปรากฏว่าพอถึงจริงๆ … “แต่เมื่อเขายังอยู่แต่ไกล บิดาเห็นเขาก็สงสาร”

            พระเจ้าไม่ได้คิดอย่างนั้นเลย แม้แต่นิดเดียว ไม่ได้คิดเหมือนกับลูกชายที่เป็นคนบาป ที่คิดอยู่นั้นเลย พระองค์ทำอะไร? มองเห็นลูกตั้งแต่อยู่ไกล แปลว่าจำลูกได้  แสดงว่าคิดถึงเขาอยู่ตลอดเวลา มาก่อนหน้านี้แล้ว  อยากให้เขากลับบ้าน โผล่มานิดหนึ่ง มาแล้ว ไม่ใช่ …

            “เอ๊ะ! ใช่หรือเปล่านะ นั่นใช่ลูกฉันหรือเปล่า?”

            มาใกล้ๆ มาถึงหน้า “เอ๊ะ! เธอใช่ลูกฉันเหรอ” ดูแผล ปาน … “ใช่ ลูกฉัน” ไม่ต้องดูแผล ปานเลย ไม่ต้องดูว่าหน้าตาเหมือนไหม? ดูไกลๆ ก็จำได้แล้ว แสดงว่าจิตใจของพระเจ้าผู้เป็นพ่อ เป็นอย่างไร?

            “บิดาเห็นเขาก็สงสาร”

            เห็นไหม? มีเมตตา คงทุกข์ยากลำบาก ดีใจเหลือเกินกลับมา ตรงกันข้ามกับความคิดของเขา ที่เขาเป็นคนบาป  สงสารแล้วทำอย่างไร? บิดาจึงวิ่งมาหาบุตรชาย รักไหม? วิ่งมาหา แล้วสวมกอดด้วยความดีใจ และจูบเขา ไม่ได้คิดถึงว่าทำผิดอะไรมา อย่างโน้นอย่างนี้ อย่างนั้น เหมือนกับลูก กำลังคิดอยู่เลย ถูกไหม?

            แล้วลูกคิดอย่างไร? พอถูกจูบ ถูกอะไรต่างๆ นั้น ลูกยังคิดอยู่ บอกว่า … “บิดาเจ้าข้า ข้าพเจ้าทำบาปต่อสวรรค์และต่อท่าน” ยังคิดอยู่เหมือนเดิม “ข้าพเจ้าไม่คู่ควร ที่จะได้เป็นลูกของท่านต่อไปอีกแล้ว” ยังพูดซ้ำอยู่ที่เดิม

            แต่บิดาสั่งคนรับใช้ว่า … “ไปเอาไม้เรียวมา” หรือ “ไปเอาสัญญามาให้ลูกเซ็นต์ต่อไปนี้ จะไม่ทำอย่างนั้นอีก” ไม่ใช่

            แต่บิดาสั่งคนรับใช้ว่า … “เร็วเข้า จงนำเสื้อผ้าที่ดีที่สุดมาให้เขาสวมใส่ เอาแหวนมาสวมนิ้วให้เขา”

            บิดาไม่ได้คิด ตำหนิ ว่ากล่าว ดุ ในอดีตที่ลูกๆ ไปทำอะไรมาเลย ไม่มองด้วยซ้ำไป แต่เอาความชอบธรรม เอาความดีงาม เอาชีวิตที่เกิดใหม่ สิ่งที่ดีๆ สวมให้เลย โดยไม่คิดเรื่องอดีตเลย พูดง่ายๆ ไม่จดจำความบาปผิดในอดีตของคนบาปเลย พระคัมภีร์ก็บันทึกอย่างนั้น พระองค์ไม่จดจำความบาปในอดีตเลย ตะวันออกห่างไกลจากตะวันตกเท่าไร? พระเจ้าทรงเอาบาปของเราออกไปจากเราฉันนั้น หมดเลย เรานั่นเองที่ไปคิด พระองค์ไม่ได้คิดเลยแม้แต่นิดเดียว

            แล้วยังแถมบอกว่า … “จงนำลูกวัวขุนมาฆ่า มาเลี้ยงฉลอง”

            ดีใจมาฉลองกันดีกว่า  ไม่ได้คิดถึงอดีตอะไรต่างๆ ที่เรากระทำเลย ลืมไปซะ

            “เพราะบุตรชายคนนี้ของเรา เหมือนกับตายไปแล้วล่ะ หลุดจากสวรรค์แล้ว และตอนนี้กลับมาใหม่แล้ว เขาหายแล้ว หายจากความบาป กลับคืนดีสู่สวรรค์แล้ว”

            ใครไปรักษาเขา ก็คือพระเยซูคริสต์ พระบุตรของพระเจ้า เป็นผู้ที่พระเจ้าทรงส่งมา และเป็นผู้ที่เล่าอุปมานี้ขึ้นมาให้กับชาวยิว และเล็งไปถึงมนุษย์ทั้งปวงได้รู้ว่าความรักของผู้เป็นพ่อ ที่เรียกว่าพ่อในสวรรค์ พระเจ้าเป็นเช่นไร?            และในลูกา 15:10 ที่เราไม่ได้อ่านก็ยังบอกไว้ว่า …

        ลูกา 15:10 “เราบอกท่านว่าในทำนองเดียวกัน จะมีความชื่นชมยินดีท่ามกลางเหล่าทูตสวรรค์ของพระเจ้าในคนบาปคนเดียว ซึ่งกลับใจใหม่”

            ซ้ำลงไปอีกว่าความรักยิ่งใหญ่ขนาดไหน? คนเดียวก็ทำให้แล้ว ที่ดีใจตะกี้นี้ ไม่ใช่ดีใจว่ามนุษย์ทั้งปวงมาหาพระองค์ กลับบ้านแล้ว ดีใจจังเลย นี่กำลังพูดถึงคนๆ เดียว เพราะฉะนั้น ใครก็ตามที่กลับใจใหม่ มาเชื่อพระเยซู พระผู้ช่วยให้รอด กลับมาหาพระบิดา พ่อของเขา ที่อยู่ในสวรรค์  ทูตสวรรค์ฆ่าวัวฝ่ายวิญญาณ  ในสวรรค์มีการจัดเลี้ยงมโหฬาร ดีใจมากเลย ที่คนๆ เดียวกลับมาเชื่อพระเยซูคริสต์

            พระเจ้า พ่อแห่งฟ้าสวรรค์ เป็นพ่อที่เตรียมแผนการที่ดีๆ และดีที่สุด ให้กับมวลมนุษย์เสมอ ซึ่งมนุษย์เหล่านั้น พระองค์ทรงรับเขาเข้ามา เป็นลูกของพระองค์ ผ่านทางพระบุตรของพระองค์ คือพระเยซูคริสต์ พระผู้ช่วยให้รอด เพราะเหตุเดียว  ก็คือเพราะรักมนุษย์ยิ่งนัก

            พระเยซูเปรียบเทียบกับมนุษย์ทั้งหลาย ซึ่งเป็นคนบาปว่ายังรู้จักรักและให้สิ่งที่ดีที่สุดกับลูกของตนเอง พระองค์อธิบายต่อว่าอาจจะไม่เข้าใจใช่ไหม? ลองนึกถึงตัวเองสิ ตัวเองเป็นคนบาป ยังรู้จักรักลูกของตนเอง แล้วพระเจ้าพระบิดาผู้สถิตอยู่ในสวรรค์ จะรักเราและเตรียมสิ่งที่ดีที่สุดให้กับเรามากกว่านั้นอีกสักเท่าใด?

            โดยยกตัวอย่างว่าถ้าท่านผู้เป็นคนบาป ถ้าลูกเราขอปลา เราผู้เป็นพ่อจะให้งูหรือ? หรือถ้าลูกขอขนมปัง เราจะให้ก้อนหินหรือ? ทุกคนก็ตอบง่าย ต่อให้เป็นพ่อที่เป็นมนุษย์ ที่ไม่ดีอย่างไง หรือพ่อแม่มนุษย์ที่ไม่สมบูรณ์แบบ เป็นบาปอย่างไร ก็ไม่ทำอย่างนี้หรอก ยกเว้นจะไม่สบายทางจิต

            พ่อที่เป็นมนุษย์นั้น ทั้งๆ ที่รัก แต่ก็ไม่สามารถสำแดงความรักอย่างที่ตั้งใจอยากจะทำได้ เพราะว่าเป็นคนบาป อ่อนแอ จริงๆ เขาก็อยากจะทำความรักเหล่านั้น แต่มันทำไม่ได้  เพราะตัวเองก็เป็นคนบาป เพราะว่าทั้งโลกตกอยู่ใต้คำสาปแช่งของความบาป จึงไม่สามารถแสดงธรรมชาติของความรัก การเป็นพ่อได้อย่างครบถ้วนสมบูรณ์ การเป็นแม่ได้อย่างครบถ้วนสมบูรณ์ พระเยซูจึงตรัสอธิบายให้ฟังอย่างนี้ เคยได้ยินใช่ไหม? มนุษย์ไม่สามารถเรียกมนุษย์กันเองได้ว่าเป็นพ่อ (ที่แท้จริง) ท่านไม่สามารถเรียกใครว่าเป็นพ่อได้เลย พระเยซูบอกอย่างนั้นนะ เพราะพ่อที่แท้จริง  ที่สามารถสำแดงความรักชนิดของพ่อผู้ให้กำเนิด อย่างครบถ้วนสมบูรณ์แบบได้นั้น มีเพียงพระเจ้า พระบิดาผู้สร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก ผู้เดียวเท่านั้น  ที่เป็นพ่อของแท้ สำแดงความรักอย่างแท้จริง ให้กับบรรดาทุกสิ่งที่พระองค์ทรงให้กำเนิด  โดยเฉพาะอย่างยิ่งมนุษย์ทั้งหลายบนโลกใบนี้  ตามธรรมชาติของการเป็นบิดา  การเป็นพ่อผู้ให้กำเนิดนั่นเอง พระเจ้าเท่านั้น จึงเป็นผู้เดียวที่สมควรได้รับคำว่า “พ่อ” หรือ “พระบิดา” ผู้ให้กำเนิด  นี่คือพระเจ้าบอก

            ท่านอย่าเรียกใครว่า “พ่อ” เพราะไม่มีใครทำได้หรอก นอกจากพระเจ้าเท่านั้น นี่หมายถึงธรรมชาติ ไม่ใช่ พระองค์กำลังมาบอกว่าให้เราไม่ให้เกียรติพ่อ ไม่เลย กลับกัน พระเจ้า ให้เราให้เกียรติพ่อแม่ บิดามารดา ให้เรารักบิดามารดา เชื่อฟังบิดามารดาชัดเจน แต่บิดามารดาที่เป็นมนุษย์นั้น ไม่สามารถทำตรงนี้ได้ครบถ้วนบริบูรณ์ กำลังพูดยกตัวอย่างให้มนุษย์ได้เห็นว่าพระเจ้าเท่านั้น ที่มีความรักชนิดที่เป็นผู้ให้กำเนิด มีความรักต่อมนุษย์ผู้ที่ให้กำเนิด ก็คือลูกๆ ของพระองค์

            พระเยซูอธิบายต่อว่าในขณะเดียวกันนั้นกับที่พระองค์เป็นพระเจ้า  ผู้เป็นพ่อของเรา ผู้รักเราอย่างมากมายนั้น พระองค์ก็ทรงเป็นผู้พิพากษาที่ยุติธรรมของมหาจักรวาลด้วย ตรงไปตรงมา รักษารายละเอียดของทุกสิ่ง ดูแล ครอบครองด้วยความชอบธรรมในทุกสิ่ง ที่พระองค์ทรงสร้างขึ้น ทุกสิ่งนะ  ไม่ว่าสิ่งนั้นจะอยู่ในโลกวิญญาณ  หรือโลกวัตถุก็ตาม ไม่ว่าจะเป็นมนุษย์ หรือเป็นสัตว์ เป็นต้นไม้ เป็นวัตถุสิ่งของต่างๆ ทั้งหมด  ที่พระองค์ทรงสร้าง ล้วนอยู่ในกฎ อยู่ในระเบียบ อยู่ในการควบคุมดูแลของพระองค์ ซึ่งเป็นผู้พิพากษาของมหาจักรวาล

            ดังนั้น พระเจ้าผู้พิพากษา ต้องทำอะไร? พระเจ้าเป็นผู้พิพากษาที่ยุติธรรม ต้องตัดสินทุกสิ่ง ให้เป็นไปตามกฎหมาย  เป็นไปตามระเบียบที่พระองค์ทรงเป็นผู้กำหนดขึ้นมานั้น ไม่ลำเอียง แม้จะรักเราดังแก้วตาดวงใจ เป็นลูกก็ตาม แต่ไม่ลำเอียง ลำเอียงไม่ได้  เพราะพระองค์ดูแลทุกสิ่ง ถ้าพระองค์ลำเอียงและเกิดวันหนึ่ง

            ดวงอาทิตย์บอกว่า  … “พระองค์ยังลำเอียงได้ วันนี้ฉันขี้เกียจ ฉันไม่ขึ้นทางทิศตะวันออก ฉันจะไปโผล่ทางทิศตะวันตกได้ไหม?”

            ถ้าเผื่อโผล่มาทางทิศตะวันตก มันจะกระทบไปถึงโน้น ดวงดาว ดวงจันทร์ น้ำขึ้นน้ำลง แกนโลกหมุน อยู่บนโลกไม่ได้ มันวุ่นวายไปหมดเลย มันไม่ได้  พระเจ้าจะควบคุมทุกอย่าง ต้องเป๊ะหมด ดวงอาทิตย์หมุนรอบตัวเองนานเท่าไร? ต้องเป๊ะ ดวงจันทร์ขึ้นเมื่อไรต้องเป๊ะ แกนโลกต้องเอียงเท่าไร ต้องเป๊ะ เพราะฉะนั้น ใครที่ทำผิดกฎ ก็ต้องโดนเป๊ะเหมือนกัน เป๊ะไปตามผิด

            ยกตัวอย่างดวงอาทิตย์ก็ทำงานของดวงอาทิตย์ ในพระคัมภีร์บอกว่าดวงอาทิตย์ส่องมา ให้กับคนอธรรม คนบาป และคนชอบธรรม เหมือนกันไหม? เหมือน เห็นไหมครับ? ไม่ใช่ว่าเป็นคนดีแล้วก็จะไม่ถูกเผา คนชั่วถูกแดด จะถูกเผา ไม่ใช่  ก็เผาทั้งหมด เพราะว่าเป็นไปตามกฎเหล่านั้น  ถ้าเราไม่ระวัง  แรงดึงดูดของโลกก็เหมือนกัน ลงไปในน้ำ ก็จม ถ้าเราไม่ระวัง ถ้าเราคิดว่าเราแน่ แข็งแรงจริง ไม่ระวัง ก็ถูกดูด จมน้ำตาย ถึงเป็นคนดีอย่างไร ก็จมน้ำตาย  เพราะเราต้องเคารพกฎที่พระเจ้าวางไว้ มีแรงดึงดูดของโลกจริงๆ

            ยกตัวอย่าง เหมือนกับเรื่องอุสซาร์ที่อุตส่าห์หวังดี  แล้วเราไม่เข้าใจ ตอนนี้รู้แล้วใช่ไหม? เพราะกฎต้องเป็นกฎ กฎที่พระเจ้าวางไว้ คือคนบาปไม่สามารถแตะต้องสิ่งที่บริสุทธิ์ศักดิ์สิทธิ์ ที่เป็นของพระเจ้าได้เลย  แม้แต่สิ่งของเล็กนิดเดียว  หรือการทรงสถิตของพระองค์ยิ่งสำคัญมากกว่านั้นอีก ทำผิดนิดเดียว ต้องได้รับโทษ ตามกฎระเบียบที่ได้วางไว้ ในหนังสือสดุดี 36:5-7  ประกาศดังนี้ไว้ว่า …

        สดุดี 36:5-7 “5 ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า ความรักมั่นคงของพระองค์ยิ่งใหญ่เทียมฟ้าสวรรค์ ความซื่อสัตย์ของพระองค์สูงถึงท้องฟ้า 6 ความชอบธรรมของพระองค์ดั่งขุนเขา ความยุติธรรมของพระองค์ประดุจห้วงลึก ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้าพระองค์ทรงปกป้องดูแลทั้งมนุษย์และสัตว์ 7 ความรักมั่นคงของพระองค์ประเมินค่าไม่ได้! มวลมนุษยชาติต่างก็ลี้ภัยอยู่ใต้ร่มปีกพระองค์”

            ความรักของพระองค์ยิ่งใหญ่เทียมฟ้าสวรรค์ เห็นไหม? ประกาศอันดับแรกเลย ความรักของพระองค์ยิ่งใหญ่จริงๆ ความสัตย์ซื่อของพระองค์สูงเทียมฟ้า ก็คือพระองค์ตรงไปตรงมา ใช่ก็บอกใช่ ไม่ใช่ก็บอกไม่ใช่  ผิดก็บอกว่าผิด ถูกก็บอกว่าถูก ทุกอย่างอยู่ในระเบียบทั้งสิ้น  ความชอบธรรมของพระองค์ดั่งขุนเขา ความดีงามของพระองค์ไม่ลำเอียงเลย ตัดสินทุกอย่าง เป็นไปตามเนื้อผ้า ดุจดั่งขุนเขา คือมหึมา ความยุติธรรมของพระองค์ดุจห้วงลึก ไม่สามารถที่จะมาเถียงพระองค์ว่า …

            “ไม่ยุติธรรมเลยๆ ทำไมต้องไปฆ่าเขาด้วย ทำไมเขาต้องตาย”

            เราไม่เข้าใจเอง ดาวิดไม่เข้าใจเอง พระเจ้าบอก … “ดาวิด เจ้าไม่รู้เอง เราไม่ได้เป็นอย่างนั้นเลย เรารักเจ้าจะตาย เราห่วงใยเจ้า”

            “ทำไมต้องส่งเราไปโรงเรียนด้วย เราอยู่บ้านเล่นสนุกๆ อยู่แล้ว ทำไมส่งเราไปเรียน ดูสิ ตอนเช้าอยู่ดีๆ มาส่งเรา เราเพิ่งจะ 4 ขวบเอง แล้วทิ้งเราเลย ปล่อยให้เราร้องไห้ เรารู้นะ แอบดูเราอยู่ เรานึกว่าเราร้องไห้ จะมารับเรากลับ เปล่าเลย หายไปเลย เราต้องอยู่ตรงนั้นถึงบ่าย 2 โมง ถึงจะกลับมารับเรา เราร้องไห้ทุกวัน ก็ไม่ยอมที่จะให้เราอยู่บ้าน”

            เด็กเข้าใจไหม? เหมือนกัน

            พระองค์เป็นพระเจ้า ทรงปกป้องดูแล ทั้งหมนุษย์และสัตว์ เห็นไหม?  ทั้งสิ่งที่มองเห็นและสิ่งที่มองไม่เห็น ทุกอย่าง พระองค์ทรงดูแลทั้งหมด ด้วยความรักที่ยุติธรรม  ที่เป็นผู้พิพากษาด้วย อย่าลืมว่า …

            “พระเจ้าเป็นพ่อของเรา อยู่ในสวรรค์และเป็นผู้พิพากษาอยู่ในสวรรค์ด้วย”

            “มวลมนุษยชาติต่างก็ลี้ภัยอยู่ใต้ร่มปีกของพระองค์” ร่มปีกของพระองค์ที่เต็มไปด้วยระเบียบ และความดีงาม  ที่พระองค์ทรงดูแลอยู่ และพระองค์ต้องการให้มนุษย์ได้ดี ก็เลยพยายามอธิบาย พยายามนำพา ให้เราเข้าไปอยู่ในระเบียบเหล่านั้น  จะช่วยให้เรารอดพ้นจากความบาป ก็ทำตามกฎระเบียบที่พระองค์ทรงวางไว้ ไม่ใช่อยู่ดีๆ

            “นั่นลูกของฉัน ฉันไม่สนใจใครแล้ว ฉันจะช่วยลูกของฉันออกมาจากนรก  ช่วยลูกฉันออกมาจากความบาป วันนี้เลย”

            ทำได้ไหม? ไม่ได้ ต้องวางแผน วางระเบียบต่างๆ ให้ทำตามขั้นตอนที่พระองค์เป็นพระเจ้า ผู้ยุติธรรม

            นี่คือสาเหตุที่ต้องดูแลเราอย่างเฉียบขาด เหมือนบังคับเรา ก็เพราะเรามนุษย์เป็นคนบาปอยู่ ในช่วงพระคัมภีร์เดิม ก่อนที่พระเยซูจะมา มนุษย์เป็นคนบาป … คนบาป คือเหมือนกับคนป่วยทางจิตใจอย่างรุนแรง  ไม่สามารถควบคุมตนเองได้ เป็นโรคจิต พระเจ้าจึงจำเป็นต้องปฏิบัติต่อเราอย่างนั้น เพราะเราไม่รู้เรื่อง เหมือนเด็ก ที่ไม่รู้อีโหน่อีเหน่ เหมือนคนเป็นโรคจิตที่ไม่สามารถเข้าใจอะไรได้เลย ต้องบังคับเราอยู่ในกรอบ  เหมือนกับส่งเราไปอยู่ในสถานบำบัด รู้จักใช่ไหมสถานบำบัด บำบัดคนที่เป็นโรคจิต อาจจะเกิดมาจากการสูญเสียสติอย่างรุนแรง จากการกระทบกระทั่ง การเสียใจ อย่างรุนแรง การถูกข่มเหงอย่างรุนแรง หรือจากยาเสพติดก็ตาม มันเสียสติไปแล้ว ต้องเข้าไปบำบัดให้หาย  คือมันป่วย พูดง่ายๆ ก็เพื่อที่จะรักษาลูกๆ ของพระองค์ ก็เหมือนส่งลูกไปสถานบำบัด และอธิบายให้ลูกเข้าใจได้ไหม? ไม่ได้ เพราะป่วยอยู่ จะเข้าใจได้อย่างไร? ไปอยู่ในสถานบำบัด เพื่อรักษาลูกของพระองค์  ที่ทรงรักดังแก้วตาดวงใจให้หาย ก็คือหายจากอาการบาป หายจากสติฟั่นเฟือนเหล่านั้น ด้วยความรัก ความห่วงใย และพระองค์ก็รอวันเวลาที่ลูกๆ ทั้งหลายเหล่านั้น ที่ป่วยอยู่นั้น จะหายจากโรค จะพ้นจากบาป หายป่วย สามารถกลับมาควบคุมตนเองได้ กลับมาเป็นปกติ เป็นลูกที่น่ารัก น่ากอด และเป็นลูกที่สามารถที่จะเชื่อฟังพระองค์ เข้าใจพระองค์ได้เหมือนเดิม

            ผมมีตัวอย่างให้ นี่เป็นคำพยาน ที่เกิดขึ้นในคริสตจักรเรา เป็นพยานที่ดีเลย  นึกถึงเรื่องนี้เลย พี่น้องของเราคนหนึ่งมาเชื่อพระเจ้า ก่อนเชื่อ มีปัญหา ถูกเอาเปรียบทางด้านการงาน และธุรกิจ อย่างรุนแรง คือถูกกระทบกระทั่งทางความคิดจิตใจ อย่างรุนแรง เสียใจอย่างรุนแรง ตกใจ ทำไมทำอย่างนี้กับเรา เสียสติไป และแม่ที่เชื่อพระเจ้าแล้ว  ที่เป็นสมาชิกของเรา ก็ให้เรามาช่วยอธิษฐาน แล้วก็ช่วยไปดูแลให้ ตอนที่เขายังไม่เชื่อ และป่วยอยู่ แม่คอยดูแลเขาตลอดเวลาเลย แต่เนื่องจากจิตเขาเพี้ยนไป  ก็คือดูอะไรเป็นเรื่องร้ายไปหมด อย่างเช่น เป็นภาพหลอนว่าแม่เป็นศัตรู หรือว่าจะมีคนไปทำร้ายแม่ มันมั่วไปหมด

            แม่ก็เลยทำอย่างนี้แหละ ถึงขนาดแม่ต้องไปตามตำรวจ ตอนแรกๆ ตามพวกศิษยาภิบาลก่อน ศิษยาภิบาลเอาไม่อยู่ เพราะว่าเราก็เหมือนพ่อแม่ทางฝ่ายวิญญาณ ไปอธิษฐาน ไปด้วยความรัก แต่คนป่วย เขาไม่เข้าใจแล้วตอนนั้น เขาป่วยหนักแล้ว เขาไม่รู้เรื่อง เขาไม่ฟังอะไรเราทั้งสิ้น เราจะอธิษฐานอะไร ก็เป็นเรื่องโลกวิญญาณ แต่ตัวเขาเอง เขาก็ยังคงปฏิบัติ เป็นคนที่เสียสติอยู่เหมือนเดิม เพราะฉะนั้น เราก็เอาไม่อยู่  เราจะอธิบายให้เขาฟังได้อย่างไรว่าแม่รักเขานะ พ่อรักเขานะ เขาน่าจะเข้าใจความรักของแม่  อย่าปฏิบัติตัวอย่างนั้นเลย เขาทำไม่ได้ เพราะว่าจิตเขาป่วยอยู่ จนกระทั่ง ศิษยาภิบาลเอาไม่อยู่ ก็เลยให้คำแนะนำไปว่า …

            “อย่างนี้พี่ต้องให้ถึงมือของเจ้าหน้าที่ คือเจ้าหน้าที่สถานที่บำบัดคนที่เป็นโรคจิต เป็นโรคเพี้ยนนั้น แล้วถ้าเผื่อเขาไม่ยอมทำตาม ถ้าเขายังทำเรื่องวุ่นวายอย่างนี้ พี่ต้องแจ้งตำรวจ ให้ตำรวจมาจับ จับเพื่อจะนำเขาส่งโรงพยาบาล”

            เข้าใจไหม?  เมื่อวานนี้ผมก็โทรไปถามคนป่วยนี้ บอกตอนนั้นที่ทำ เข้าใจไหม? ไม่เข้าใจหรอก เข้าใจจะไปทำได้อย่างไร?  ไม่รู้เรื่อง  แล้วถามว่าเขามีความรู้สึกอย่างไร? เขาก็เหมือนกษัตริย์ดาวิดพูด ทำไม …

            “ทำไมมาส่งเขาที่โรงพยาบาลอย่างนี้”

            จะไม่ส่งได้อย่างไร? เขาไปนั่งอยู่กลางถนน แล้วเอะอะโวยวาย ชาวบ้านตกใจกลัว จะฆ่าคนโน้นคนนี้  ไม่รู้จะทำอย่างไร? จะคุยก็ไม่รู้เรื่อง  ก็ต้องใช้กำลังบังคับ ตามองเห็นเรียกว่ารักไหม? พ่อแม่ตนเอง เรียกตำรวจมาจับลูกตนเอง ไปขัง เหมือนขังคุก ไม่ใช่คุกที่โรงพัก แต่เป็นคุกที่โรงพยาบาล ทำไมไม่คุยกับเขาดีๆ ทำไมไม่รักเขา กอดเขา เดี๋ยวเขาก็ดี คนธรรมดาทั่วไป เขาจะคิดอย่างนี้ใช่ไหม?

            นี่แหละ ตัวอย่าง  พอเขาไปอยู่สถานบำบัดปุ๊บ ก็อย่างที่บอก รู้สึกดีขึ้นนิดหนึ่ง อยากจะกลับ พ่อแม่ก็ปรึกษากับหมอ ปรึกษากับศิษยาภิบาล ถ้าหมอบอกยังไม่สามารถกลับได้ ก็ควรจะเชื่อหมอนะ เพราะเดี๋ยวจะรักษาครึ่งๆ กลางๆ

            แม่เขาก็บอกว่า … “แต่สงสารเขาจริงๆ เลย ไปเยี่ยมเขา เขาจำเราได้แล้ว เขาอยากจะกลับบ้าน เขามองตาเราละห้อยเลย เวลาจะจากกัน ทารุณมาก ทำอย่างไรดี”

            ก็บอก … “พี่ก็ต้องอดทน เราพาเขามารักษาแล้ว ก็ต้องเชื่อในขบวนการรักษา”

            เห็นไหม? เห็นความรักของพ่อแม่มากเท่าไร? ก็เห็นความรักของพระเจ้า เหมือนกันไหม?  เหมือนกันไม่มีผิดเลย มองด้วยสายตาภายนอก ลูกไม่เข้าใจเลย ลูกหายแล้วๆ ลูกจะกลับบ้าน แต่แม่ต้องเดินหันหลังกลับ และไม่มอง แต่ในความหวัง ก็คือลูกต้องหาย แล้ววันนั้นถึงจะรับกลับ ให้หายดีเสียก่อนลูกเอ๋ย  แต่ลูกไม่เข้าใจ

            สรุปเรื่องสั้นลง ก็อดทนถึง 3, 4 เดือน  แล้วมีอยู่ครั้งหนึ่ง ยิ่งชัดใหญ่เลย …

            “แม่ไปเห็น แม่ทนไม่ไหว”

            คือขบวนการรักษาทางด้านจิต เขามีการช๊อตด้วยไฟฟ้า คือปรับสมดุลของสารเคมีในสมอง โดยการใช้ไฟฟ้าช๊อต แล้วแม่ก็ไปเห็น การเห็นเหล่านั้น ก็คือเห็นลูกเราถูกผ่าตัด กำลังฉีดวัคซีน ร้องจ๊าก แต่นี่หนักกว่านั้นอีก ต้องมัดมือ มัดอะไรต่างๆ ทนไม่ไหว อยากจะพาลูกกลับ ไม่อยากให้ทำเลย  แต่อย่างที่บอก ปรึกษากันเรียบร้อย ในที่สุดก็ต้องทน มันเป็นขบวนการรักษา  เป็นความรักที่เราต้องการให้ลูกเราหาย ก็ต้องยอมให้เป็นไปตามนั้น ขอบคุณพระเจ้า ในที่สุด ไม่กี่เดือนก็หายจริงๆ กลับมาอยู่บ้านแล้วก็ค่อยๆ ดีขึ้น

            พอค่อยๆ ดีขึ้น แม่ก็พามาโบสถ์ ในขณะที่แม่พามาโบสถ์ เพื่อนๆ หลายคนก็กลับมาเยี่ยมก็จะพาไปที่โน่นที่นี่ ที่ความเชื่ออื่นๆ เยอะแยะไปหมด ก็ไปตามเพื่อน เพื่อนเขาหวังดี ก็พาไปโน่นไปนี่ ไปที่เขาว่าดี ช่วยรักษาให้หาย เพราะว่าเขาหายดีขึ้นแล้ว แต่เขาต้องกินยาอยู่  แต่การกินยา เมื่อมันยังไม่หายดี มันรบกวนมาก สมองมันแบบปวด เวียนหัวทั้งวันทั้งคืน ก็พาไปโน่นไปนี่ ไม่หายสักที แม่ก็พามาโบสถ์ ก็ไม่อยากมา เป็นที่สุดท้ายแล้วที่จะมา ในที่สุด ก็มาโบสถ์ พออธิษฐานให้ก็ค่อยๆ ดีขึ้น เขาเล่าให้ฟังว่าดีเป็นอาทิตย์เลย วันอาทิตย์มาทีหนึ่ง เริ่มต้นรับเชื่อ กลับไป รู้สึกดีขึ้น สมมตินะ ดีขึ้น 10% มันดีขึ้น อาทิตย์ต่อไปมา ดีขึ้นเป็น 20 อาทิตย์ต่อไป ดีขึ้นเป็น 30  มันค่อยๆ ดีขึ้น จนกระทั่งดีขึ้น 50% ก็ตัดสินใจ บอกว่า …

            “แม่ … รับเชื่อแล้ว รู้สึกดีขึ้นจริงๆ นะ มาโบสถ์ทีไร รู้สึกดีขึ้น ไม่รู้เป็นอะไร”

            พอรับเชื่อเสร็จ  หลังจากรับบัพติศมาในน้ำเสร็จ เขาบอกว่าคราวนี้ หายเกือบ 100%  เลย หายเลย  ดีหมดเลย ทุกอย่าง มีความสุข ดีมากเลย แล้วก็รู้แล้วว่าความรักของแม่ดีกับเขาอย่างไร? และรู้ว่าพระเจ้ามีอยู่จริงๆ เช่นไร? รักเขาขนาดไหน? เดี๋ยวนี้ เขาก็นั่งอยู่แถวๆ นี้แหละ แต่หายแล้ว ไม่ต้องตกใจ หายนานแล้ว หลายปีแล้ว

            พระเจ้าก็เป็นอย่างนั้นแหละ เราไม่เข้าใจ พ่อและแม่ก็อย่างนั้นแหละ เราไม่เข้าใจพ่อและแม่เรา พระเยซูก็เลยประกาศเรื่องนี้แหละ พระองค์ ก็คือพระเจ้านั่นแหละ พระองค์มาพูดว่าพระลักษณะของพระองค์เป็นอย่างไร? พระองค์ก็ประกาศต่อ ให้กับชาวยิว และเล็งไปถึงมนุษย์ทุกคนว่าตอนที่พระองค์ทรงมาเกิดนะ  เดินอยู่บนโลกใบนี้ พระองค์ก็ทรงประกาศต่อว่าวันนั้น ที่พระเจ้ารอคอย  วันที่มนุษย์จะได้รับการรักษาให้หายจากบาป กลับคืนสู่พระเจ้านั้น มาถึงแล้ว ก็คือวันที่พระเยซูมาเกิดเป็นมนุษย์  พระองค์ประกาศว่าวันนั้นมาถึงแล้ว  ด้วยความตื่นเต้นชื่นชมยินดีของพ่อที่เฝ้ารอคอยวันนั้นมาตั้งนาน เฝ้ามองว่าเมื่อไรลูกจะกลับบ้านสักที  คือการที่พระองค์ถึงเวลากำหนด ได้ทรงประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ คือพระเมซิยาห์ คือองค์พระเยซูคริสต์เอง ผู้พูดเอง มาเยียวยารักษาให้ท่านทั้งหลาย ชาวยิวและมนุษย์ทั้งปวง  ได้รับการรักษาให้หายจากโรคบาป ผิดปกตินี้  กลับเป็นลูกของพระเจ้าที่เป็นพระเจ้า พระบิดาของเขา ที่อยู่ในสวรรค์ ที่เต็มไปด้วยความรัก อันสุดที่จะหาอะไรเปรียบได้  ที่รักมนุษย์ยิ่งนัก  โดยพระบิดาสำแดงความรักให้เห็นแล้ว  โดยการทรงประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ ที่ทรงรักมากมาย  มาสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน  อย่างทุกข์ทรมาน ให้กับเราทั้งหลาย  เพื่อมนุษย์ทั้งหลายจะได้รับการรักษาเยียวยา  นำพามนุษย์ทั้งหลายกลับมาคืนดีกับพระเจ้า พ่อแห่งฟ้าสวรรค์ กลับคืนสู่สถานะ ลูกของพระเจ้า ผู้บริสุทธิ์ดีพร้อมเหมือนพระองค์ กลับมาอยู่ในบ้าน ในสวรรค์ของพระองค์ คือในสวรรค์ที่พระองค์ทรงสถิตอยู่ และต้องการให้ลูกๆ มาอยู่ด้วยกัน มาเป็นลูกของพระองค์ที่อยู่ในสวรรค์และรักพระองค์ ผู้เป็นพระบิดา ผู้อยู่ในสวรรค์ เหมือนกับที่พระองค์ทรงรักเขา ที่เป็นลูกของพระองค์ ที่อยู่ในสวรรค์ ท่านเข้าใจใช่ไหมครับ?

            ถ้าเขาไม่หายจากโรคนั้น เขาจะไม่สามารถรักพระบิดาผู้สถิตในสวรรค์ หรือรู้จักพระองค์ได้เลย แต่นี่พระองค์ทรงประทานพระเยซูคริสต์รักษาเขาให้หาย  เพื่อเขาจะได้กลับสู่สติ และกลับคืนสู่ความรักดั้งเดิม  เขาจะได้สามารถรักและรู้จัก  พระเจ้าในสวรรค์ที่รักเขามากเช่นกัน  ซึ่งความรักแบบพระเจ้า แบบพ่ออย่างนี้ ก็อยู่ในมนุษย์ทุกคนเช่นเดียวกัน  เพียงแต่มนุษย์ตกลงไปในความบาป ถูกทำให้เสียหาย จึงไม่สามารถที่จะสำแดงความรักอย่างนี้กับลูกๆ ของตนได้อย่างครบถ้วนบริบูรณ์ จงเข้าใจอย่างนี้เถิด เพราะฉะนั้น จากนี้ต่อไป ฟังบรรยายนี้แล้ว ท่านจะสามารถรักพ่อและแม่ เข้าใจพ่อและแม่ได้มากขึ้น ไม่ว่าพ่อแม่ท่านทำอะไร ท่านจะเข้าใจหรือไม่เจ้าใจ ก็ตาม ท่านรับรู้สิ่งนี้ไว้ ซึ่งเราจะเห็นได้ว่าพ่อแม่รักลูกของตนมากมายเท่าไร? แต่ก็ไม่สามารถที่จะสำแดงความรักนั้น ให้เป็นไปตามความต้องการของพ่อและแม่ที่เป็นมนุษย์ได้ ใช่ไหม? ถูกไหม? เราเห็นอยู่กับตา เราเอง ก็เป็นอย่างนั้นแหละ และหลายๆ ครั้ง ลูกๆ เอง ก็ไม่สามารถเข้าใจความรักของพ่อและแม่ที่มีต่อเขาได้เช่นกัน  ถูกหรือไม่ถูก? ถูก ก็เพราะการแสดงความรักต่อพ่อแม่นั้น ไม่สมบูรณ์นั่นเอง  เพราะเราไม่สมบูรณ์ แม้เราจะได้รับการรักษาให้หาย จากบาปแล้ว แต่เราก็ยังอยู่ในเนื้อหนังร่างกายเดิม เราไม่สมบูรณ์แบบ

            สำหรับลูกๆ เองนั้น ก็ไม่สามารถมีความรักต่อพ่อแม่ได้สมบูรณ์ ไม่พร้อมในการที่จะเชื่อฟังและเข้าใจถึงความรักของพ่อแม่ได้สมบูรณ์แบบ เหมือนที่พระเจ้ากระทำให้กับเราเช่นเดียวกัน คือทั้งพ่อแม่และลูกที่เป็นมนุษย์ ก็เหมือนกัน ต่างคนต่างอ่อนแอทั้งคู่ เป็นคนบาป แล้วยังอยู่ในร่างกายเดิมอยู่ ถ้ายังไม่เชื่อพระเจ้าก็เป็นคนบาป อย่างครบถ้วนบริบูรณ์เลย เพราะฉะนั้น ไม่สามารถที่จะเข้าใจความรัก หรือสัมผัสความรักแท้ๆ ซึ่งกันและกัน หรือสำแดงความรักแบบพระเจ้าซึ่งกันและกันได้ ไม่มีทางเลย จึงทำให้เกิดความแตกแยก ความไม่เข้าใจกันระหว่างพ่อแม่และลูกๆ บนโลกใบนี้อย่างแน่นอน เข้าใจมาก เข้าใจน้อย ซึ่งความตั้งใจ คือตั้งใจจะมีความสัมพันธ์ด้วยความรัก เป็นสายเลือด เกิดจากกันและกันในครอบครัว มันเป็นธรรมชาติ ซึ่งสิ่งเหล่านี้จำเป็นต้องได้รับการช่วยเหลือ รักษาความสัมพันธ์นี้ให้กลับคืนดีกันและกันเหมือนเดิม

            เหมือนพระเจ้ากับมนุษย์คืนดีกันในความสัมพันธ์ เพียงทางเดียว ก็คือโดยผ่านทางพระเยซูคริสต์ พระผู้ช่วยให้รอดจากบาป ด้วยการวางใจในพระเมซิยาห์ พระบุตรของพระเจ้า พระเยซูคริสต์เท่านั้น ที่มาสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน เพื่อเรา เพื่อรักษาเราให้หายบาป หายจากการเป็นคนดื้อ เป็นคนที่ไม่เชื่อฟังพระเจ้า กลับมาเป็นคนเชื่อฟังพระเจ้า เชื่อฟังความดีงาม เมื่อเชื่อฟังพระเจ้า พ่อในสวรรค์ได้ ก็จะเชื่อฟังพ่อแม่ที่เป็นมนุษย์ได้เช่นเดียวกัน ถูกหรือไม่ถูก? มันเป็นต้นตอ ต้นกำเนิด เป็นพลัง เป็นความจริง ถ้าเรายังไม่สามารถกลับคืนดีกับพระเจ้าได้ เราก็จะไม่เข้าใจความรักของพ่อและแม่ของเราเท่าที่ควร

            เพราะฉะนั้น หนทางเดียวที่จะทำให้ครอบครัวของมนุษย์บนโลกใบนี้ กลับคืนสมบูรณ์ได้ในความรักกันและกัน ในความสัมพันธ์ ความเข้าใจกันในระหว่างพ่อแม่ลูก กลับคืนดีกัน เป็นครอบครัว แบบเดียวกับครอบครัวในสวรรค์ ที่พระเจ้ากลับคืนดีกับมนุษย์ ลูกๆ ของพระองค์นั้น มีทางเดียว คือผ่านทางการวางใจ เชื่อในพระเยซูคริสต์เท่านั้น แล้วหัวใจจะได้เปลี่ยนไปไง เราจะได้เข้าใจถึงความรักแบบพระเจ้า

            ความรักแบบพระเจ้า มันสร้างไม่ได้ มันต้องเกิดมาเป็น  เราเกิดเองก็ไม่ได้ ต้องผ่านพระเยซู ผ่านความเชื่อในพระเยซู จะได้บังเกิดใหม่ เพื่อพระเจ้าจะให้ใจใหม่กับเรา ใจใหม่ที่ให้กับเรานั้น เต็มไปด้วยความรัก ชนิดที่เป็นแบบพระเจ้า เหมือนพระเยซูเลย แล้วเราจึงมีความรักชนิดนี้อยู่ในใจของเรา สามารถที่จะสัมผัสความรักของพระเจ้า ที่เป็นชนิดเดียวกันได้ และสามารถถ่ายเท หรือถ่ายทอด สำแดงความรักนี้แก่บรรดาผู้คนรอบข้างได้ โดยเฉพาะที่กำลังพูดถึงนี้ ก็คือแสดงความรักนี้ ต่อพ่อและแม่ของเรา  หรือสำแดงความรักนี้ต่อลูกของเรานั่นเอง

            สรุปวันนี้ ก็คือจงเชื่อและวางใจพ่อแห่งฟ้าสวรรค์ แม้จะไม่เข้าใจทุกสิ่งว่าพ่อแห่งฟ้าสวรรค์นั้น เป็นพ่อที่ดี และดีตลอดเวลา  ไม่ว่าสถานการณ์ที่เราเผชิญจะดีหรือร้ายก็ตาม พ่อมีความสามารถที่จะทำให้ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นกับเรานั้น ไม่ว่ามันจะดีหรือร้าย ในสายตาของเรา ให้มันเกิดผลอันดีกับชีวิตของเรา ซึ่งเป็นลูกของพระองค์ ซึ่งพระองค์ทรงรักดังแก้วตาดวงใจได้ พระองค์มีกำลังที่จะทำได้อย่างแน่นอน เหมือนเปาโลที่บอกว่า …

            “ข้าพเจ้ารู้จักพระเจ้าที่ข้าพเจ้าเชื่อ และเชื่อมั่นว่าพระองค์ทรงฤทธิ์เดชอำนาจ สามารถที่จะรักษาสิ่งสารพัด ที่ข้าพเจ้ามอบไว้ ฝากไว้ที่พระองค์ได้ จนกว่าจะถึงวันนั้น” เอเมน

            สิ่งที่พระเจ้าพระบิดาของเรา ทำไม่ได้มีอันเดียวเท่านั้นเอง ท่านก็ทราบแล้ว  พระองค์ทรงกระทำได้ทุกสิ่ง พระองค์ทรงเป็นพระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ ทรงฤทธานุภาพอำนาจยิ่งใหญ่ ครอบครองและควบคุมเหนือทุกสิ่ง ไม่มีอะไรที่จะขวางพระองค์ได้เลย สิ่งเดียวที่พระองค์ทำไม่ได้ คือพระองค์ทรงรักเรามากกว่านี้ไม่ได้แล้ว เราจะขอให้พระองค์ทรงรักมากกว่านี้ ก็ไม่ได้เลย ในพระเยซูคริสต์ พระองค์ทรงรักเรามากที่สุด แล้วก็ทำให้เราสมบูรณ์ที่สุดแล้ว ไม่ต้องขอ เพียงแต่รับรู้ๆ ว่ามันใช่ มันเป็นอย่างนี้แหละ มันรับรู้ยาก  เพราะอะไร? นี่คือความจริงในโลกวิญญาณ

            เราจึงจำเป็นต้องมาเรียนรู้กันทุกๆ สัปดาห์  เราจึงต้องอธิษฐานขอบคุณพระเจ้าทุกๆ สัปดาห์ สำหรับความรักของพระองค์ และทุกๆ วันของเรา สำหรับพระองค์ เพราะอะไรทำไมเราต้องมาย้ำยืนยันตรงนี้อยู่เรื่อยๆ ว่าพระองค์ทรงรักเราๆ เพราะแม้ว่าเราจะได้รับการรักษาให้หายจากบาปแล้ว เป็นคนใหม่ ได้วิญญาณใหม่ ได้ใจใหม่  ที่เต็มไปด้วยความรัก เข้าใจพระเจ้าแล้วก็ตาม  แต่เรายังอาศัยอยู่ในร่างกายเดิมนี้อยู่ มันเป็นอุปสรรค ทำให้เราไม่เห็นในโลกฝ่ายวิญญาณ อย่างครบถ้วนบริบูรณ์ สมบูรณ์จริงๆ มันต้องรอให้วันหนึ่งที่เราทิ้งร่างนี้ และได้รับร่างกายใหม่เท่านั้น

            ฉะนั้น ขณะนี้ ที่เราดำเนินอยู่บนโลกใบนี้ แม้เราจะรู้ความจริงเหล่านี้ ก็ตาม  แต่กายเรา มันจะขวางเราอยู่ ทำให้เราไม่เข้าใจมากนัก ฉะนั้น เราไม่มีทางที่จะเข้าใจ การกระทำทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นกับเราอย่างแน่นอน  ไม่มีทางเข้าใจได้เลย  อย่านึกว่าเราจะเข้าใจพระเจ้าได้หมด ไม่มีทาง เราเริ่มต้นเข้าใจได้บ้าง เมื่อเราเปิดใจรับเชื่อพระเยซู ต้อนรับพระเยซูเป็นพระผู้ช่วยให้รอดแล้วก็ตาม เราจะไม่เข้าใจสิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นบางเรื่อง เราจะคิดเหมือนกษัตริย์ดาวิด ทำไมๆ เหมือนกัน …

            “ทำไมพระเจ้าอนุญาตให้สิ่งนี้เกิดขึ้นกับชีวิตของเราได้ล่ะ ทำไมพระเจ้าอนุญาตให้สิ่งไม่ดีเหล่านี้เกิดขึ้นกับเรา ทั้งที่รักเรา”

            เรามีโอกาสคิดได้ และคิดแน่นอน  แต่เราสามารถวางใจได้ว่าพระองค์บอกว่าพระองค์เป็นพ่อที่ดีพร้อม ที่รักเรามากดังแก้วตาดวงใจ  ซึ่งพิสูจน์แล้ว โดยประทานพระเยซูคริสต์มาสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน เพื่อเรา ในขณะที่เรายังเป็นคนบาป เป็นศัตรู ต่อต้าน ต่อว่า ทุบตีจิตใจของพ่อของเรา ในสวรรค์ ไม่เข้าใจความรักของพ่อของเราอยู่  เราสามารถจำตรงนี้ให้ได้ แล้วก็วางใจในพระเจ้าเลย

            พ่อแห่งฟ้าสวรรค์พูดกับลูกๆ ทุกคนว่า … “พ่อให้สัญญาว่าพ่อจะไม่ทอดทิ้งเจ้า เหมือนเด็กๆ ที่กำพร้า พ่อจะไม่ละเจ้าให้อยู่ตามลำพัง แต่จะอยู่กับเจ้าทุกลมหายใจเข้าออก เมื่อเจ้ามีความสุข พ่อก็จะบินอยู่เคียงข้างเจ้า เมื่อเจ้ามีความทุกข์ พ่อก็จะซุกเจ้าไว้ใต้ปีกของพ่อ

            เมื่อมีความทุกข์ เราก็จะไม่บอกว่าทำไมๆ ทำไมต้องเป็นความทุกข์ ไม่ต้อง เราไม่มีวันเข้าใจหรอก ทำไม ต้องมีความทุกข์ รักเรา แล้วก็ทำอะไรก็ได้ ปล่อยให้เรามีความทุกข์  เราไม่ต้องสนใจหรอก สนใจอย่างเดียว เมื่อมีความทุกข์ ขณะนั้น พ่อกำลังซุกเราไว้ใต้ปีกของพ่อ อบอุ่น อยู่ในพระทรวงของพ่อ เมื่อยามมีความสุข มองไม่เห็นพ่อ ก็รู้ว่าพ่อบินอยู่ข้างๆ เอเมนไหม? เอเมน ไม่ต้องไปเอาความเข้าใจ ไม่ต้องเอาสมองเห็นด้วยว่ารู้ว่าเป็นอย่างไร? ไม่ต้องรู้ เพราะขืนไปมองด้วยตา คิดด้วยความคิดของตนเอง ตกม้าตายแน่นอน จำถ้อยคำพระเจ้าที่สัญญาไว้กับเราอย่างนี้ก็แล้วกัน พระเจ้าอวยพรครับ

*******************

จากใจคณะศิษยาภิบาล

            เพียงแค่ยินยอมเท่านั้น  ก็เข้าสวรรค์ได้ทันที! พิสูจน์ได้เลยเดี๋ยวนี้! ไม่ต้องรอให้ตายก่อน

            โคโลสี 1:13-14 “13 เพราะพระองค์ได้ทรงช่วยเรา ให้พ้นจากอาณาจักรของความมืด  และทรงนำเรา ย้ายเรา เข้ามาสู่อาณาจักรของพระบุตร  (พระเยชูคริสต์) ที่รักของพระองค์ 14 ในพระบุตร (พระคริสต์นี้ ) เราได้รับการไถ่บาป คือการอภัยโทษบาปของเรา”

            การผ่าตัดทางวิญญาณของพระเจ้า ก็คือการย้ายวิญญาณของผู้ที่เชื่อในข่าวดีของพระเยซูคริสต์  ออกจากที่เดิม  คือในอาดัมมาสู่ในพระคริสต์  จากอยู่ในความตาย  มาอยู่ในชีวิตในพระเยซูคริสต์  จากการเป็นทาสมาเป็นลูกของพระเจ้า  ออกจากอาณาจักรแห่งความมืด  มาสู่อาณาจักรสว่างของพระบุตร  พระเยชูคริสต์ที่รักของพระองค์  ก็คืออาณาจักรสวรรค์

            ทั้งหมดนี้ได้เกิดขึ้นเรียบร้อยแล้วในโลกวิญญาณ  เพียงแค่เราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์  เป็นพระผู้ช่วยให้รอดของเรา  ซึ่งเท่ากับว่าเรายินยอมให้พระเจ้าเข้ามาผ่าตัดวิญญาณของเรา  ย้ายเราเข้ามาอาศัยอยู่ในพระคริสต์  ซึ่งเรียกว่ายินยอมรับการบัพติศมาเข้าส่วนร่วม  เป็นหนึ่งเดียวกันในพระเยซูคริสต์  เข้าสู่กระบวนการการบังเกิดใหม่  โดยตายพร้อมพระเยซูคริสต์ที่กางเขน  ถูกฝังในอุโมงค์พร้อมพระองค์  และเป็นขึ้นจากความตายพร้อมพระองค์  นั่งอยู่ที่ขวามือของพระเจ้าร่วมกับพระองค์ในสวรรคสถาน

            พระเจ้าอวยพรครับ

วารสาร Holy  News   ฉบับที่ 1391 

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  27  พฤศจิกายน  2022

เรื่อง “คริสเตียนที่บังเกิดใหม่แล้ว เราเป็นลูกนกอินทรี ไม่ใช่ไก่งวง”

โดย นคร  เวชสุภาพร

            วันพฤหัสที่ผ่านมาเป็นวันขอบคุณพระเจ้า ก็ต้องบอกว่า …

            “สวัสดีครับ สุขสันต์วันขอบคุณพระเจ้าย้อนหลัง”

            ทุกวันพฤหัสที่ 4 ของเดือนพฤศจิกายน เป็นวันขอบคุณพระเจ้า ซึ่งวันพฤหัสที่ผ่านมา ก็เป็นวันขอบคุณพระเจ้า คริสเตียนทั่วโลก ส่วนใหญ่เขาก็เฉลิมฉลองกันด้วยการมารับประทานอาหาร ขอบคุณพระเจ้าร่วมกัน และอาหารมื้อพิเศษหรือเป็นเมนูหลักของการขอบคุณพระเจ้านี้  ที่เรารู้กันทั่วโลก คือไก่งวง

            นึกถึงไก่งวง นึกถึงภาพอะไร? ไก่กำลังเดินเหรอ หรือไก่กำลังกกไข่ พอบอกว่าไก่งวงปุ๊บ นึกถึงภาพอบเกรียมอยู่บนโต๊ะเลยนะ ไม่เห็นหัวเลย  เพราะฉะนั้น เพื่อให้เข้ากับบรรยากาศ หัวข้อเรื่องในวันนี้ จึงมีชื่อว่า “คริสเตียนที่บังเกิดใหม่แล้ว เราเป็นลูกนกอินทรี ไม่ใช่ไก่งวงอบเกรียมในเตา”

            เมื่อถึงวันขอบคุณพระเจ้าทีไร เรานึกถึงอะไร? นึกถึงนกอินทรี ไม่ใช่ เราก็นึกถึงไก่งวงตลอด แล้วนึกถึงไก่งวงก็เห็นภาพนั้น ทุกคนถามไปว่ารู้จักไก่งวงไหม? รู้จัก หน้าตาเป็นอย่างไร? อยู่ในจาน อยู่ในเตาอบ ใช่หรือเปล่า? เกรียมๆ อันนี้มันเอกฉันท์ทั่วโลก พอนึกถึงไก่งวง แต่พอนึกถึงนกอินทรี เห็นภาพอะไร? ในเตาอบไหม? ไม่ใช่ เคยเห็นนกอินทรีถอดขนไว้เรียบร้อยไหม? ไม่มี เห็นนกอินทรีทีไร มันเหินบินอย่างสง่างาม ทุกรูปเลย ใช่หรือไม่ใช่? นั่นแหละ เพราะฉะนั้น เราทั้งหลายผู้เป็นคริสเตียน ที่บังเกิดใหม่แล้ว จงบินเหินฟ้าอย่างสง่างาม ให้สมศักดิ์ศรีการเป็นนกอินทรี ไม่ใช่เป็นไก่งวง คอตก ไม่มีคอ ที่รอให้เขาเอาไปอบ ย่างกิน ฉลองใน 2 เปโตร 1:4 บันทึกไว้อย่างนี้ว่า …

        2 เปโตร 1:4 “โดยสิ่งเหล่านี้ พระองค์ได้ประทานพระสัญญาอันยิ่งใหญ่และล้ำค่าของพระองค์แก่เรา เพื่อว่าโดยทางพระสัญญาเหล่านี้ พวกท่านจึงได้มีส่วนในพระลักษณะของพระเจ้า  (บังเกิดใหม่เป็นลูกพระเจ้า) และพ้นจากความเสื่อมทรามในโลก ซึ่งเกิดจากตัณหาชั่ว (ความบาป)”

โดยสิ่งเหล่านี้ คืออะไร? โดยการรับรู้ความจริงเกี่ยวกับพระเยซูคริสต์ เริ่มต้นเปิดใจรับเชื่อพระเยซูคริสต์นั่นเอง เราจึงได้เข้ามีส่วนร่วมในพระลักษณะของพระเจ้า ก็คือวิญญาณนิรันดร์ของพระเจ้า  ได้บังเกิดใหม่ เป็นลูกของพระเจ้า  ถ้าเราเปรียบเทียบในพระคัมภีร์ เขาชอบเปรียบเทียบพระเจ้าในพระคัมภีร์เดิม เป็นนกอินทรี บินอยู่สูง เพราะฉะนั้น เราได้บังเกิดใหม่ เป็นลูกนกอินทรี บินอยู่เบื้องบน ในนี้บอกว่าพ้นจากความเสื่อมโทรม เสื่อมทรามในโลก ซึ่งเกิดจากตัณหาความบาป เราได้บังเกิดใหม่ เป็นลูกของพระเจ้า พ้นจากความบาปชั่วในวิญญาณ ก็คือเราได้บังเกิดใหม่ เป็นลูกนกอินทรีที่บินอยู่เบื้องบน พ้นจากการเป็นไก่งวงอบเกรียม บนโลก ตายอยู่ ให้มารคอยกัดกิน

            การรับรู้ความจริงตรงนี้ ทำให้เรารู้ว่าเราเป็นใคร? เมื่อเราบังเกิดใหม่แล้ว เราเป็นลูกของพระเจ้า เราเป็นลูกนกอินทรี เราไม่ใช่ไก่งวงอบตาย รอเขาย่าง การรับรู้ความจริงมากขึ้น เริ่มต้นจากความจริง เริ่มแรกว่าพระเยซูคริสต์เป็นใคร? เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอด นั่นเป็นการเริ่มต้นรับรู้ความจริง  แต่ความจริงนี้มีลึกซึ้งเข้าไปกว่านั้นอีกว่าเมื่อท่านเปิดใจต้อนรับแล้ว ท่านเป็นใคร? แล้วเป็นอย่างไร? การรับรู้ความจริงตรงนี้ มากขึ้นว่าเราเป็นลูกพระเจ้า เป็นลูกนกอินทรี ไม่ใช่ไก่งวงตรงนี้  ความจริงนี้จะทำให้ท่านเป็นอิสระ ตามที่พระเยซูบอก  คือเป็นอิสระ บินอยู่เหนือปัญหาความทุกข์ยากทั้งปวง  บนโลกใบนี้นั่นเอง เป็นเริ่มต้นชัยชนะเลย และรู้ความจริงมากยิ่งขึ้น  ก็มีชัยชนะมากขึ้นเรื่อยๆ เอเฟซัส 1:18-19 บันทึกไว้อย่างนี้ว่า …

        เอเฟซัส 1:18-19 “18 ข้าพเจ้ายังอธิษฐานขอพระเจ้าให้ตาของวิญญาณ (ซึ่งเป็นตัวจริงๆ ของท่าน) สว่าง เพื่อจะได้รับการสำแดงความรู้ จากพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า เพื่อท่านจะได้รับรู้ถึงความหวัง และมีความมั่นใจในเรื่องเกี่ยวกับสวรรค์ของพระเจ้า ที่พระองค์ได้เรียกท่านเข้ามานั้น และรับรู้เรื่องมรดก ที่เต็มไปด้วยสง่าราศี อันยิ่งใหญ่รุ่งเรือง และมีค่าที่สุดของพระองค์ ที่ได้ทรงจัดเตรียมไว้ให้กับท่าน ผู้ซึ่งได้เป็นประชากรที่บริสุทธิ์ชอบธรรมของพระเจ้าแล้ว (โดยผ่านทางการเชื่อและรับสิทธิ์ของท่าน ที่พระเยซูได้ไถ่บาปให้) 19 เพื่อท่านจะได้เริ่มต้นเรียนรู้ถึง ฤทธิ์เดชอำนาจยิ่งใหญ่มหาศาลที่ไม่มีขีดจำกัดและหาที่เปรียบไม่ได้ของพระเจ้า ซึ่งเป็นฤทธิ์เดชอำนาจ พลังที่ยิ่งใหญ่มหาศาลทางฝ่ายวิญญาณ ที่กระทำการงานอยู่ภายในเรา และเพื่อเราผู้ซึ่งได้เชื่อ (รับสิทธิ์ของเรา ที่พระเยซูได้ไถ่บาปให้)”

            อัครทูตเปาโลได้กำชับ และบอกถึงความสำคัญของการรู้ความจริงว่าเมื่อท่านเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด เป็นคริสเตียนแล้ว บังเกิดใหม่เรียบร้อยแล้ว สิ่งที่ท่านต้องทำ ก็คือท่านต้องเรียนรู้ว่าท่านเป็นใครแล้วตอนนี้ เกิดใหม่แล้วเป็นอะไร? อะไรคือความหวังใจของท่าน  อะไรเกิดขึ้นในวิญญาณของท่าน ท่านต้องเรียนรู้สิ่งเหล่านี้ อะไรคือมรดก ที่เป็นสิ่งสำคัญมาก และจะเรียนรู้ได้อย่าง? จากพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่ทำให้ท่านบังเกิดใหม่ แล้วเข้ามาสถิตอยู่กับท่านแล้ว ตั้งแต่ตอนเริ่มต้น เปิดใจต้อนรับความจริงนี้

            อาจารย์เปาโลจึงอธิษฐาน วิงวอนขอต่อพระเจ้า ให้พระเจ้าเปิดตาฝ่ายวิญญาณ ประทานสติปัญญา ประทานวิญญาณแห่งความรู้เรื่องราวเกี่ยวกับโลกวิญญาณ เรื่องราวเกี่ยวกับถ้อยคำพระเจ้า ที่เป็นความจริงในเรื่องพระเยซูคริสต์ให้กับผู้เชื่อใหม่ ผู้ที่บังเกิดใหม่ ได้รู้ว่าเขาเป็นใคร? เขาเป็นนกอินทรี ไม่ใช่ไก่งวงอบ รอย่างให้ตาย และรับรู้เรื่องมรดกที่เต็มด้วยสง่าราศี อันยิ่งใหญ่รุ่งเรือง และมีค่าที่สุดของพระองค์ที่ได้ทรงจัดเตรียมไว้ให้ท่าน  ที่ได้บังเกิดใหม่นั้น

            ในข้อ 19 บอกว่าเพื่อท่านจะได้เริ่มต้นเรียนรู้ถึงฤทธิ์เดชอำนาจอันยิ่งใหญ่ มหาศาล ที่ไม่มีขีดจำกัด หาที่เปรียบไม่ได้ ฤทธิ์เดชอำนาจนั้นอยู่ในตัวท่าน  ที่บังเกิดใหม่แล้วนั้น แล้วท่านจะรู้ได้อย่างไร? เริ่มต้นเรียนรู้ เริ่มต้นบินไปกับพระเจ้า บินไปกับพระวิญญาณบริสุทธิ์ แล้วก็เรียนรู้ไปกับพระองค์ นี่หมายถึงอย่างนั้น ตาฝ่ายวิญญาณค่อยๆ เปิดออก ค่อยๆ เรียนรู้ไปเรื่อยๆ รู้มากเท่าไร? ก็เป็นอิสระมากเท่านั้น มีชัยชนะมากเท่านั้น ในเอเฟซัส 2:6 ได้บันทึกไว้อย่างนี้อีกว่า …

        เอเฟซัส 2:6 “และพระองค์ได้ทรงให้วิญญาณของเราเป็นขึ้นมา (บังเกิดใหม่) กับพระคริสต์  และในพระเยซูคริสต์ พระเจ้าได้ทรงให้เรา นั่งในสวรรคสถานกับพระคริสต์”

            “ให้เรานั่งอยู่ในสวรรค์สถานกับพระคริสต์” มันคืออะไร? ทำไม? ให้เรานั่งแล้วเป็นอย่างไร?  เราอยู่ที่ไหนแล้วขณะนี้ ในโลกวิญญาณ ที่เราบังเกิดใหม่แล้ว มันเป็นความจริงที่เราต้องเรียนรู้  และเป็นความจริงที่มารพยายามที่จะขโมยออกไปจากเรา โดยหลอกเรา พูดความเท็จใส่เรา เพราะฉะนั้น อย่าให้มารหรือใครที่ไหน มาหลอก หรือขโมยเอาความจริงนี้จากเราไปได้  ที่ได้บังเกิดใหม่ เป็นนกอินทรีแล้ว ไม่ใช่เป็นไก่งวงอบ

            ความจริงที่อาจารย์เปาโลพูดตะกี้ ก็คือเราได้บังเกิดใหม่ เป็นลูกของพระเจ้า ผู้ยิ่งใหญ่สูงสุดในมหาจักรวาล ผู้ทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งหลาย และพระเจ้าผู้นี้ได้เข้ามาสถิตอยู่กับเรา เป็นหนึ่งเดียวกันกับเราในวิญญาณของเรา  พระเจ้าผู้ทรงสถิตอยู่ในเรานี้ เป็นใหญ่กว่ามารและวิญญาณชั่วทั้งหลายบนโลกใบนี้ทั้งหมด และเราสะอาด บริสุทธิ์ ดีพร้อมเหมือนพระเจ้า เราไม่ได้เป็นคนบาปชั่ว สกปรกอีกต่อไปแล้ว แต่เราได้เกิดใหม่ในพระเยซูคริสต์ เป็นผู้ชอบธรรม บริสุทธิ์ ดีพร้อมเหมือนพระเจ้าเลย เรียบร้อยไปแล้ว เป็นรัชทายาท มีมรดก เตรียมครอบครองอาณาจักรสวรรค์และโลกใหม่ ไม่ได้เป็นทาสเลี้ยงหมู กินอาหารหมู ไม่มีอนาคตอีกต่อไปแล้ว เอเมนไหม? เราเป็นลูกนกอินทรี ไม่ใช่ไก่งวง ที่รอวันขอบคุณพระเจ้า นึกออกไหม? เพราะวันขอบคุณพระเจ้า ไก่งวงเหล่านั้นจะถูกพิพากษา เข้าเตาอบ แล้วก็ถูกย่าง เพลงอะไรนะที่เวลาเขาเข้าค่ายแล้วเขาชอบร้องกัน

                        “ไก่ย่างถูกเผา ไก่ย่างถูกเผา  มันจะถูกไม้เสียบ

                        เสียบตูดซ้าย เสียบตูดขวา ร้อนจริงๆๆๆ”

            แล้วอดีตเราเป็นอย่างนั้น ร้อนไหม ชีวิตที่ไม่มีพระเจ้า  ที่ไม่ได้บังเกิดใหม่ ร้อน แต่บัดนี้ เราได้บังเกิดใหม่  โดยการเชื่อในพระเยซูคริสต์ เราเป็นลูกนกอินทรี บินอยู่ข้างบนแล้ว บินอยู่เหนือปัญหาต่างๆ เราไม่ใช่ไก่งวงรอให้เขามาย่างกิน รอให้มารมากัดกินอีกต่อไปแล้ว ให้เราขอบคุณพระเจ้าของเรา นี่แหละ คือการขอบคุณพระเจ้า

            นึกถึงวันขอบคุณพระเจ้าเมื่อไร? นึกถึงตรงนี้เลยว่าขอบคุณพระเจ้าที่เราไม่ใช่ไก่งวงอีกแล้ว ขอบคุณพระเจ้า

            เมื่อใครก็ตามเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอดจากบาป เขาก็จะได้รับการอัศจรรย์ยิ่งใหญ่สูงสุดแล้ว  และนี่คืออัศจรรย์ที่มนุษย์ทั้งหลายเรียกร้องหา แสวงหา  และเป็นอัศจรรย์เดียว โดยผ่านทางพระเยซูคริสต์เท่านั้นที่กระทำได้ ไม่มีใครทำได้เลย  อัศจรรย์ด้วยฤทธิ์เดชอำนาจของพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์อยู่นั้น  ได้ทำให้ผู้นั้นบังเกิดใหม่ด้วยหน่อเชื้อ เชื้อจากวิญญาณจากพระเจ้าที่เรียกว่าชีวิตนิรันดร์ของพระเจ้า  แล้วได้มาเป็นลูกของพระเจ้า  ที่มีวิญญาณและใจใหม่ ที่เป็นผู้ชอบธรรมบริสุทธิ์ดีพร้อมเหมือนพระเจ้าเลยทีเดียวเชียว  แต่ยังคงดำเนินชีวิตอยู่ในร่างกายเดิมบนโลกนี้ ซึ่งปกคลุมไปด้วยอิทธิพลของความบาป ซึ่งต่อต้านความดีงาม ต่อต้านความจริงของพระเจ้า คอยหลอกล่อ หลอกลวงให้คริสเตียนผู้นั้นประพฤติตัวไม่เหมาะสมกับธรรมชาติ ตัวตนแท้จริงของเขา ที่ได้บังเกิดใหม่ เป็นลูกพระเจ้าที่บริสุทธิ์ดีพร้อมแล้วนั้น เป็นนกอินทรีแล้วนั้น มันจะมาหลอกเราว่าเราเป็นไก่งวง …

            “แกเป็นไก่งวงๆ แกเป็นไก่งวงอยู่ แกรอย่าง แกถูกอบ ร้อนๆ”

            นั่นคือการโกหกมดเท็จทั้งปวง เราได้บังเกิดใหม่ เป็นลูกนกอินทรีแล้ว เราบินอยู่กับพระเจ้า เราบินอยู่กับพระองค์ตลอดเวลา  และพระเจ้าผู้เป็นพ่อแห่งฟ้าสวรรค์ ที่ได้เข้ามาสถิตอยู่กับเรา ภายในแล้ว ก็จะฝึกสอนเราด้วยความรัก  ศัตรูจะเข้ามาขโมยความจริง พระเจ้าจะมาสอนเรา ให้เรารู้ทันการโกหกหลอกลวงนั้น แล้วให้เรารู้จักการปฏิเสธ ไม่ประพฤติตามการโกหกหลอกลวงนั้น ไม่ประพฤติตาม ไม่คิดตามอิทธิพลการหลอกล่อ  หลอกลวงคำเท็จเหล่านั้นของมาร ซึ่งจะใช้อะไรทั้งปวงบนโลกใบนี้ ใช้ใครก็ได้ ใช้อะไรก็ได้  ที่จะพยายามมาหลอกล่อ หลอกลวงเรา  พระเจ้าจะสอนเราว่ามันไม่ใช่ ปฏิเสธมันซะ ไม่ยอมคิดตาม ไม่ยอมทำตาม 1 ยอห์น 3:7 จึงบันทึกไว้อย่างนี้ว่า …

        1 ยอห์น 3:7 “เด็กผู้ชาย (หนุ่มๆ) อย่าให้ใครมาหลอกลวง และนำคุณให้หลงทาง ผู้ที่ฝึกฝน ประพฤติความชอบธรรม (ตามธรรมชาติภายใน ที่เป็นผู้ชอบธรรม จากการบังเกิดใหม่ในพระคริสต์) ก็เป็นผู้ชอบธรรมเหมือนพระองค์ (พระเยซู) ผู้ทรงเป็นความชอบธรรม”

            “เด็กผู้ชายหนุ่มๆ” เฉพาะตรงนี้ เขียนอย่างนี้ มันหมายถึงรวมทั้งคริสเตียนทั้งหมดนะ อย่านึกว่าเราไม่ได้เป็นผู้ชายหนุ่มๆ เราไม่เป็น โดนหมดครับ  จะโดนคนละอย่าง  แล้วแต่

            ในนี้บอกว่า … “อย่าให้ใครมาหลอกลวง และนำคุณให้หลงทาง ผู้ที่ฝึกฝนประพฤติความชอบธรรม ก็เป็นผู้ชอบธรรมเหมือนพระองค์ คือเหมือนพระเยซูคริสต์ ผู้ทรงเป็นความชอบธรรม พูดง่ายๆ ว่าผู้ที่บังเกิดใหม่ เป็นนกอินทรีแล้ว เขาจะฝึกฝน บินเหมือนนกอินทรี ฝึกฝน ประพฤติความชอบธรรม ก็คือการกระทำ ถูกไหม? ถ้าเราเทียบกับนกอินทรี ก็คือฝึกฝนการบิน ตามธรรมชาติเหมือนพ่อ  พ่อเป็นผู้ชอบธรรม เราก็ดำเนินชีวิต ประพฤติเป็นผู้ชอบธรรม พ่อเปรียบเทียบเป็นนกอินทรี เราก็บินเหมือนพ่อเรา เป็นนกอินทรีเหมือนพ่อเรา

            จะสังเกตให้เห็นชัดๆ ตรงนี้ว่าฝึกฝน ประพฤติความชอบธรรม ฝึกฝนบิน ตามธรรมชาติที่เหมือนพ่อ ฝึกฝนประพฤติ คือบิน คือการกระทำ ประพฤติ คือการกระทำ ถูกไหม?

            ฝึกฝนการกระทำ ให้เป็นธรรมชาติเหมือนพ่อ การเหมือนพ่อ ประพฤติได้ไหม? ไม่ได้ เป็นเหมือนพ่อ มันเป็น ผมกำลังจะชี้ให้ท่านเห็นว่าฝึกฝนการกระทำ ฝึกฝนการประพฤติ แต่ไม่ได้ฝึกฝนการเป็นธรรมชาติเหมือนพ่อ เอาใหม่อีกที  ฝึกฝนการกระทำ ไม่ได้ฝึกฝนเป็น เป็นมันเป็นมาจากพระคุณ โดยความเชื่อของเรา ใช้สิทธิที่พระเยซูทำให้กับเรา เราได้บังเกิดใหม่ เป็นนกอินทรี เป็นเหมือนพ่อ ถูกไหม? ไม่ได้ประพฤติอะไรเลย แค่เชื่ออย่างเดียว ใช้สิทธิ์อย่างเดียว พอเป็นแล้ว ค่อยมาเริ่มฝึกฝนความประพฤติการกระทำ เพราะฉะนั้น การกระทำไม่มีผลต่อการเป็น เป็นมาจากความเชื่อ การบังเกิดใหม่  โดยการเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ ทิตัส 2:12 ได้บันทึกไว้อย่างนี้ว่า …

        ทิตัส 2:12 “พระคุณนี้สอนเราที่จะฝึกฝน ปฏิเสธการทำบาป ไม่ทำตามกิเลสโลกียตัณหาของเนื้อหนัง และดำเนินชีวิตในโลกปัจจุบันนี้ อย่างมีสติสัมปชัญญะ (ตามพระวิญญาณ) ตามทางพระเจ้า สมกับเป็นผู้ชอบธรรม (เป็นลูกที่บริสุทธิ์ดีพร้อมเหมือนพระเจ้า)”

            “พระคุณนี้สอนเรา” ก็คือพระคุณแห่งความรอด เมื่อเรารู้ว่าเราเป็นลูกของพระเจ้าแล้ว  เราบังเกิดใหม่ โดยพระคุณของพระเจ้านี้ พระเจ้าก็จะสอนเรา

            “สมกับเป็นผู้ชอบธรรม” เห็นหรือยังว่าสมกับเป็นผู้ชอบธรรม คือความประพฤติที่สมกับการเป็นผู้ชอบธรรม สม คือการประพฤติ เป็น คือการเป็น คนละอันกัน สมกับการเป็นผู้ชอบธรรม ก็คือสมกับการเป็นนกอินทรี ไม่ใช่ไก่งวงรอย่าง ภาพชัดไหม?  ปฏิบัติตัวให้เป็นนกอินทรี ไม่ใช่เป็นไก่งวงรอเขาย่าง หมดอาลัยตายอยาก  ขอบคุณพระเจ้าที่ให้เรากำเนิดมา อยู่ในพระองค์ โดยที่พระองค์ทรงสัญญาว่าจะไม่ทิ้งเราให้อยู่ตามลำพัง  แต่จะคอยฝึกฝนเรา ให้เราบินเหมือนพระองค์ ประพฤติให้สมกับความชอบธรรม ก็คือบินให้เหมือนพระเจ้า  ประพฤติให้สมกับที่เราเป็นเหมือนลูกพระเจ้าแล้วเป็นน้องพระเยซู เป็นหนึ่งเดียวกับพระองค์ คือถ้าเปรียบพระองค์เป็นดั่งพญานกอินทรี เราก็จะบินเป็นเหมือนพญานกอินทรี  ไม่ใช่ไก่งวงเดินต๊อกๆ รอวันขอบคุณพระเจ้า เห็นภาพนะ ขอบคุณพระเจ้ามาเมื่อไร ถูกย่าง โคโลสี 3:1-2 …

        โคโลสี 3:1-2 “1 ในเมื่อทรงให้ท่านทั้งหลายเป็นขึ้นกับพระคริสต์แล้ว ก็จงให้ใจของท่าน จดจ่อกับสิ่งที่อยู่เบื้องบน ที่ซึ่งพระคริสต์ประทับอยู่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้า 2 จงให้ความคิดของท่านจดจ่ออยู่กับสิ่งเบื้องบน ไม่ใช่สิ่งฝ่ายโลก”

            นี่คือการฝึกฝนของพระเจ้า พ่อของเรา ฝึกเราในการบินกับพระองค์ ซึ่งวันนี้อย่างที่ผมบอกนะว่าเนื่องจากเทศกาลวันขอบคุณพระเจ้า ก็เลยมาเทียบกับวันขอบคุณพระเจ้า ที่เราได้คุ้นเคยกันว่าขอบคุณพระเจ้าก็นึกถึงไก่งวง เลยเอาเทียบกับพญานกอินทรี ซึ่งพระคัมภีร์เดิมใช้เป็นสัญลักษณ์พูดถึงพระเจ้า

            จดจ่อที่ความจริงอย่างนี้ว่าในพระเยซูคริสต์ เราเป็นดั่งนกอินทรี อยู่เบื้องบน บินอยู่บนฟ้า ไม่ใช่ไก่งวงบนดิน โคโลสี 3:1-2 ที่อ่านเมื่อสักครู่นี้ สรุปง่ายๆ ก็คือจดจ่อที่ความจริงว่า …

            “ฉันเป็นนกอินทรีนะ  ฉันไม่ใช่ไก่งวงอีกแล้ว ฉันไม่ใช่ไก่งวงที่รอวันขอบคุณพระเจ้า แต่ฉันเป็นนกอินทรี ที่รอวันขอบคุณพระเจ้า” เอเมน

            นึกถึงนกอินทรี แล้วนึกถึงภาพนะ สง่างามมากเลย ถ้าใครก็ตามที่ได้เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์  พระคริสต์ก็จะเข้าไปอยู่ในท่าน และท่านก็จะอยู่ในพระคริสต์ ทั้งสองวิญญาณผูกพันเป็นหนึ่งเดียวกัน ในโรม บทที่ 6 ได้บันทึกไว้อย่างนี้ ชัดเจนเลย และไม่มีใครที่ไหนสามารถแยกท่านออกจากกันได้อีกเลย เป็นหนึ่งเดียวกันตลอดเลย  โคโลสี 2:6 บันทึกไว้อย่างนี้ นึกถึงการเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเยซูคริสต์ แล้วบินไปกับพระองค์ ตั้งแต่วันนั้นแหละ วันแรกที่เรารับเชื่อในพระเยซูคริสต์ ทันทีทันใด เราเรียนรู้ความจริงนี้ว่ามันเกิดขึ้นอย่างนี้แล้ว ก็คือ เราเข้าไปอยู่ในพระเยซูคริสต์ บินอยู่กับพระองค์ เบื้องบน บนฟ้า ก็คือในสวรรค์นั่นเอง โคโลสี 2:6 …

        โคโลสี 2:6  “ดังนั้น ในเมื่อท่านได้ต้อนรับพระเยซูคริสต์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอดแล้ว ก็จงดำเนินชีวิต เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์ ในพระองค์ต่อไป”

            พระคริสต์อยู่ที่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้า ในสวรรคสถานเบื้องบน  แล้วเราอยู่ที่ไหน? เราอยู่ในพระคริสต์ เราก็อยู่ที่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้าเช่นเดียวกัน เราก็อยู่ที่นั่นแหละ ความหมายที่อาจารย์เปาโลพูดถึงง่ายๆ ก็คือเมื่อเราบังเกิดใหม่ในวิญญาณแล้ว พระเยซูคริสต์ทรงเป็นพระผู้ช่วยให้รอดของเราแล้ว ก็ให้เรามีชีวิต อยู่ในร่างกายนี้ โดยการรับรู้ความจริงว่าวิญญาณข้างในของเรา เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเยซูคริสต์แล้ว พระเยซูคริสต์เข้ามาสถิตอยู่ในเราแล้ว แล้วเราก็อยู่ในพระองค์แล้ว การดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ ก็ให้เราเรียนรู้ความจริงนี้ตลอดเวลาว่าพระเยซูคริสต์เดินอยู่กับเราด้วย ทำอะไร ก็ให้รู้ว่าพระเยซูคริสต์อยู่ในเรา  และพระองค์จะไม่ไปไหนอีก จริงๆ เลย พระองค์ทรงสถิตอยู่ในเราตลอดเวลา และตลอดไป บินอยู่กับเราตลอดเวลา ไม่ว่าเราจะรู้สึกหรือไม่รู้สึก ไม่ว่าเรามีความรู้สึกว่ามันเป็นอย่างนี้หรือไม่? ก็ไม่สำคัญ ความจริงคือความจริง ไม่ใช่ความรู้สึก  ไม่ว่าตอนนั้นเราจะคิดว่าใช่หรือไม่ใช่?  เราคิดว่าเราเป็นไก่งวง แต่ความจริง ก็คือเราเป็นนกอินทรี พอนึกออกไหมครับ?

            ความคิด ไม่ใช่ตัวเรา ความรู้สึก ไม่ใช่ตัวเรา ตัวเราเป็นจริงอย่างไร? มันก็เป็นจริงอย่างนั้นในโลกวิญญาณ อย่าให้ใครมาหลอกเรา อย่าให้มารมาหลอกเรา  โดยเอาความรู้สึก เอาสิ่งที่ตามองเห็น เอาความคิดอะไรต่างๆ เหล่านั้น ที่แย้งกับความจริงเหล่านี้ แล้วก็มาบอกเรา เรารู้สึกอย่างนี้ใช่ไหม? เธอยังคิดเลยว่าไม่มีพระเจ้า เธอยังคิดว่าเธอเป็นไก่งวงอยู่เลย เรายังคิดว่าเรายังแย่อยู่เลย เราลำบากอยู่เลย ยังคิดเราเดินอยู่บนโลกใบนี้อยู่เลย  เธอยังคิดว่าเธอยังเป็นคนบาป สกปรกอยู่เลย จะคิดอย่างไรก็ตามไม่สำคัญ  ความจริงในวิญญาณของท่านเป็นอะไร? มันก็เป็นอย่างนั้น มันแก้ไม่ได้แล้ว เพียงแต่ท่านจะไม่มีสันติสุข  ไม่มีความสุข ในการดำเนินชีวิต บนโลกใบนี้ บินอยู่ มีความรู้สึกเหมือนเดิมอยู่บนโลกใบนี้นั่นเอง โคโลสี 2:9-10 ยิ่งบันทึกอย่างนี้ชัดเจนว่าท่านอยู่บนยอดของฟ้า เหินอยู่บนฟ้ากับพระเยซูคริสต์ มองลงมาข้างล่าง คนละระดับกันเลย โคโลสี 2:9-10 …

        โคโลสี 2:9-10 “9 เพราะในพระคริสต์ พระลักษณะทั้งสิ้นของพระเจ้า (คือชีวิตนิรันดร์ของพระเจ้า) ดำรงอยู่อย่างบริบูรณ์ ในพระกายของพระองค์  (คือในวิญญาณของคริสเตียน ผู้เชื่อทั้งหลาย) 10 แล้วเมื่อท่านอยู่ในพระคริสต์ ท่านก็เป็นชีวิตนิรันดร์ที่เต็มบริบูรณ์เหมือนกัน ดังนั้น พระคริสต์เป็นศีรษะมีอำนาจ เหนือกฎบัญญัติกฎศีลธรรมต่างๆ (ที่กล่าวโทษเรา) เหนือพวกผู้ครอบครองบนโลกนี้ (คือผู้นำทางศาสนา ที่ใช้กฎบัญญัติโจมตี กล่าวโทษเรา) และเหนือเหล่าพวกวิญญาณชั่ว หรือวิญญาณดีทั้งสิ้น ที่มีฤทธิ์อำนาจในจักรวาล ท่านก็มีอำนาจเหนือเช่นเดียวกัน”

            “เพราะในพระคริสต์ พระลักษณะทั้งสิ้นของพระเจ้า คือชีวิตนิรันดร์ของพระเจ้า ดำรงอยู่อย่างบริบูรณ์ในพระกายของพระองค์ คือในวิญญาณของคริสเตียนผู้เชื่อทั้งหลาย”

            ก็คือเราทั้งหลาย เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์ แล้วเมื่อท่านอยู่ในพระเยซูคริสต์ ท่านก็เป็นชีวิตนิรันดร์ที่เต็มบริบูรณ์เหมือนกัน เหมือนกับพระเยซูคริสต์ ดังนั้น พระคริสต์เป็นศีรษะ มีอำนาจเหนือกฎบัญญัติ  กฎศีลธรรมต่างๆ ที่กล่าวโทษเรา  เหนือผู้ครอบครองบนโลกนี้ คือเหนือเหล่าผู้นำทางศาสนา  หมายถึงผู้นำในทางความเชื่อต่างๆ ที่สอนวิธี สอนศีลธรรมอะไรต่างๆ เหล่านั้น เวลาเราทำผิดทำบาป ก็บอกอย่างนี้ตกนรก อย่างนี้ไม่ดีอะไรต่างๆ เหล่านั้น พระเยซูคริสต์ครอบครองอยู่เหนือเหล่านี้ และเหนือเหล่าวิญญาณชั่วหรือวิญญาณดี คือโลกวิญญาณทั้งหมด ที่มีฤทธิ์อำนาจในจักรวาล ดังนั้น เมื่อพระคริสต์เหนือเหล่านี้  เราอยู่ในพระคริสต์ ท่านก็มีอำนาจเหนือเช่นเดียวกัน

            พูดง่ายๆ ว่าดังนั้น พระเยซูคริสต์อยู่เหนือสิ่งต่างๆ เหล่านี้ เหนือกฎศีลธรรม กฎหมายต่างๆ เหนือวิญญาณชั่ว วิญญาณดี เหนือสรรพสิ่งทั้งหลายทั้งหมดเลย สูงสุดเลย  เราอยู่ในพระเยซูคริสต์ เราก็อยู่เหนือสิ่งเหล่านี้เช่นเดียวกัน เอเมนไหม? พูดง่ายๆ ว่าพระเยซูคริสต์เป็นดั่งนกอินทรี ลอยอยู่เหนือโลกใบนี้ทั้งหมด เราก็เป็นดั่งนกอินทรีเหมือนพระองค์ เพราะเราอยู่ในพระองค์อีกทีหนึ่ง เราบินอยู่กับพระเยซูคริสต์ที่เบื้องบน บินอยู่กับพระองค์ มองลงมาบนโลกเบื้องล่าง และรับรู้ว่าเรามีชัยชนะอยู่เหนือโลกใบนี้ทั้งหมด อยู่เหนือทุกสิ่งบนโลกใบนี้  ไม่ว่าจะกฎระเบียบอะไรต่างๆ  เราอยู่เหนือ ในโลกวิญญาณ เราอยู่เหนือแล้ว โลกนี้พยายามที่จะฟ้องเรา บอกเราว่าแย่ ทำอย่างนั้นแย่ ทำอย่างนี้แย่

            “เธอยังเป็นคนบาป”

            “ฉันไม่ ฉันอยู่ในกฎของวิญญาณชีวิต ฉันอยู่ในพระเยซูคริสต์ อยู่บนฟ้าแล้ว” พูดง่ายๆ

            บนโลกนี้มีแต่ความสกปรกโสโครก โลกที่มีแต่ความทุกข์ยากลำบาก  ความสับสน ไม่แน่นอน  แล้วก็ยังมีความหวังหลังความตาย ที่เป็นลมๆ แล้งๆ  พูดง่ายๆ ว่าเป็นโลกที่ไม่มีความหวังเลย ไม่ว่าจะเป็นความหวังบนโลกใบนี้ หรือความหวังหลังความตาย บนโลกใบนี้ ไม่มีความหวังเหล่านั้นเลย แต่เราทั้งหลายอยู่บนโน้น หลุดออกจากโลกใบนี้แล้ว และพ่อแห่งฟ้าสวรรค์กำลังฝึกเรา ที่เป็นลูกๆ ของพระองค์นั้น ฝึกเราทำไม? ฝึกเราให้บินอยู่ข้างบน แล้วก็มองมาจากเบื้องบน ด้วยสายตาที่เป็นเหมือนพ่อ มองลงมาบนโลก คือบินเหนือปัญหาต่างๆ ทุกเรื่องบนโลกใบนี้ ทุกปัญหา ไม่ว่าจะเป็นปัญหาเรื่องสุขภาพ บนโลกใบนี้ เขาก็แสวงหาสุขภาพ เจ็บป่วย ทุกข์ทรมาน รับเวร รับกรรม  แต่เราอยู่เหนือปัญหาเหล่านั้น อีกทีหนึ่ง ปัญหาของสุขภาพมาทำให้เรากลัวไม่ได้ เราอยู่เหนือปัญหาสุขภาพ ปัญหาการกินการอยู่ ปัญหาความสัมพันธ์กัน ปัญหาการแตกแยกกัน การถกเถียงกัน ทะเลาะวิวาทอะไรต่างๆ เหล่านี้ แม้กระทั่งปัญหาเรื่องเกี่ยวกับความรอด ห่วงชีวิตตัวเองในภายภาคหน้าว่า …

            “ตายไปแล้ว ฉันจะไปไหน? ฉันจะไปสวรรค์หรือไม่?”

            เราหลุดออกจากเหล่านี้ไปแล้ว เพราะเราอยู่ในสวรรค์เรียบร้อยแล้ว ขณะที่ดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ มันหมายถึงอย่างนั้น พระเจ้ากำลังสอนเราเรื่องเหล่านี้แหละ ให้เราดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้  บินอยู่บนฟากฟ้า บินอยู่กับพระองค์ แล้วมองลงมาเบื้องล่าง  ปัญหาความทุกข์ยากอะไรต่างๆ ที่เกิดขึ้น เป็นเรื่องธรรมดาบนโลกใบนี้ เรามีสิทธิอำนาจ เราอยู่เหนือ ไม่ใช่จะอยู่เหนือ เราอยู่เหนือแล้วด้วย ให้เราเรียนรู้ รับรู้ความจริงเหล่านี้ว่าพระเจ้ากำลังนำพาลูกๆ ของพระองค์ไปที่จุดนี้ ซึ่งสำคัญที่สุด ในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้  คือจุดที่จะวางใจพ่อ วางใจพระเจ้า บินไปด้วยกันกับพระองค์เลย  แล้วก็พึงพอใจในทุกสิ่งที่มีอยู่ ที่เป็นอยู่ ที่เกิดขึ้นบนโลกใบนี้  ไม่ว่าจะมองดูด้วยตาบนโลกใบนี้ ไม่ว่าใครจะบอกว่าดีหรือร้ายก็ตาม แม้ว่าสิ่งที่เขาบอกบนโลกใบนี้เป็นสิ่งที่ร้าย เช่น เจ็บป่วย หรือไม่ประสบผลสำเร็จในการทำธุรกิจ การงาน ขัดสน หรือทะเลาะเบาะแว้ง มีคนเกลียดชังต่างๆ ก็ตาม เราไม่ได้สนใจตรงนั้นเลย  แต่เราวางใจในพ่อ พ่อเราบอกว่าเราร่ำรวยมหาศาล เราก็บอกว่าเราร่ำรวย  เราอยู่ในพ่อของเรา ซึ่งก็คือสันติสุข การมีสันติสุข ซึ่งเกินกว่าความคิดของมนุษย์ที่จะเข้าใจ  เป็นสภาวะที่จะทำให้ความคิดจิตใจของเรานั้นสงบ และมีความมั่นใจในความรอด ผ่านทางพระเยซูคริสต์ที่ได้รับมาแล้ว  คือมีความมั่นใจในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ว่าพระเจ้าสถิตอยู่กับเรา เราอยู่เหนือปัญหาต่างๆ เหล่านี้แล้ว และมั่นใจว่าขณะนี้เราก็อยู่ในสวรรค์แล้ว เราไม่กังวลว่าหลังความตายเราจะไปไหน? เพราะตอนนี้เราอยู่ในสวรรค์แล้ว แล้วหลังความตายจะไปไหนเล่า ก็อยู่ที่เดิม อยู่ในสวรรค์แล้ว

            ซึ่งความคิดเหล่านี้ สันติสุขเหล่านี้จะส่งผลให้เราไม่หวั่นไหว ไม่กลัวสิ่งใดๆ บนโลกใบนี้อีกแล้ว ไม่กลัวเหตุการณ์ต่างๆ บนโลกใบนี้อีกแล้ว พระเจ้าจะฝึกเราบินอย่างนี้แหละ  และทำให้เรามีความพึงพอใจในทุกสิ่ง ที่มี ที่เป็นอยู่ ที่เกิดขึ้นบนโลกนี้ ซึ่งให้เรามองเห็นชัดเจนว่าโลกใบนี้ ซึ่งอยู่เพียงชั่วคราวเท่านั้น ไม่ว่ามันจะดีหรือร้ายก็ตาม มันอยู่เพียงชั่วคราวเท่านั้น บนโลกใบนี้ มันแป๊บเดียว มันก็ผ่านไปแล้ว แต่ชีวิตที่เราบินอยู่กับพระองค์บนฟ้านั้น มันเป็นนิรันดร์ครับ พระองค์จะคอยแนะนำให้เรามองไปที่สิ่งที่เรามีอยู่ เป็นอยู่แล้วในโลกวิญญาณที่เรียกว่าสวรรคสถาน ที่เรียกว่าเบื้องบน ซึ่งเราได้เป็นและเราได้อยู่และได้มีเรียบร้อยไปแล้วในพระเยซูคริสต์ เป็นปัจจุบันเลย และเป็นในอนาคต เป็นไปตลอดกาล ให้เราจดจ่อที่ความจริงตรงนี้ เอเฟซัส 1:3 ได้บันทึกอย่างนี้ว่า …

        เอเฟซัส 1:3 “สรรเสริญ เทิดทูนพระเจ้า พระบิดาขององค์พระเยซูคริสต์เจ้า พระผู้ช่วยให้รอดของเรา ผู้ได้ทรงประทานพระพรฝ่ายวิญญาณนานัปการในพระคริสต์แก่เราทั้งหลายแล้วในสวรรคสถาน”

            ลองคิดดูนะว่าพระพรในโลกวิญญาณ ในสวรรคสถานเบื้องบน ในขณะนี้ เราเป็นใคร? เราได้มีอะไรแล้วบ้าง? เราได้เป็นอะไรบ้าง? เรียบร้อยแล้ว เมื่อตะกี้ที่เราอ่านในเอเฟซัส 1:3 สำคัญคำนี้ คือ “ผู้ได้ทรงประทาน” แปลว่าให้หรือยัง? ให้แล้ว ก็คือมีแล้ว ได้รับเรียบร้อยแล้ว เพียงแต่รู้หรือเปล่าเท่านั้นเอง พ่อให้แล้ว แต่เรารู้หรือไม่ว่าพ่อให้แล้ว หรือเราไม่รู้ ไม่รู้ ก็เหมือนกับไม่ได้ใช้สอยเลย แต่ถ้าเรารู้ เราก็เอามาใช้สอย ชีวิตเราก็จะบินอยู่บนฟ้ากับพระเจ้าของเรา

            –  เราลองมาดูสิว่าในโลกวิญญาณ ในสวรรค์เบื้องบน ในขณะนี้ เราเป็นใคร? เราได้มีอะไร? เราได้เป็นอะไรบ้าง? สรุปให้คร่าวๆ …

            –  เราได้บังเกิดใหม่ อาศัยอยู่ในพระคริสต์

            –  เราเป็นชีวิตนิรันดร์ ที่เป็นชีวิตของพระเยซูคริสต์ ที่เป็นเหมือนพระเจ้า

            –  เรามีพระเจ้าสถิตอยู่ด้วยกันกับเราตลอดเวลา บินอยู่ข้างๆ เรา ยามเราสุข ยามเราทุกข์ ซุกเราไว้ใต้ปีกของพระองค์ บินอยู่ข้างๆ เราตลอดเวลา ยามเรามีสุข บินโฉบดูนกดูไม้ ดูวิวทิวทัศน์สวยงาม คือมาเดินอยู่บนโลกใบนี้ ไม่มีอะไรสวยเลย โพลูชั่นก็เยอะ  ฝุ่น PM 2.5 ก็เยอะ คนฆ่ากัน แทงกัน ตีกัน วุ่นวายไปหมดเลย แต่พาเราบินอยู่ข้างบน มองมาทำไมมันสวยอย่างนี้ทั้งโลก ยามเราสุข แต่พอยามเราทุกข์ทำอะไร? มองอะไรก็ไม่เห็น มองในโลกวิญญาณไม่เห็นเลย เห็นแต่บนโลกใบนี้ ทุกข์เหลือเกิน พระเจ้าบอกปิดตาซะๆ ปิดไม่ได้ เอาเราซุกไว้ใต้ปีกของพระองค์ เราไม่เห็นอะไรแล้วตอนนี้ เห็นแต่อะไรไม่รู้อุ่นๆ เห็นไออุ่น ความรักของพระเจ้า แล้วเรามีอะไรอีก

            –  เรามีความสามารถพูดคุยกับพระองค์ได้ตลอด 24 ชั่วโมง ยิ่งกว่า 7-11 เพราะ 7-11 เปิดอยู่ แต่เราหลับอยู่ เราก็ไม่ได้ไป แต่นี่ ถึงแม้เราหลับ พระองค์ก็ยังทรงตื่นอยู่ เฝ้าเราอยู่ เรามีมรดกร่วมกับพระเยซูคริสต์ ที่จะครอบครองร่วมกับพระองค์  เราเป็นผู้ชอบธรรม เป็นธรรมิกชน บริสุทธิ์ ดีพร้อมปราศจากความบาป ไม่มีที่ติ เหมือนกับพระเยซูเลย เราเป็นลูกของพระเจ้า เป็นทายาทร่วมอยู่ในครอบครัวของพระเจ้า มีพระเจ้าผู้สร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก เป็นพ่อของเรา ซึ่งเป็นพระบิดาของพระเยซู เราได้เป็นที่รักและโปรดปรานของพระเจ้า ดังแก้วตาดวงใจของพระองค์ เหมือนพระเยซูเลย คือพระบิดารักพระเยซูเท่าไร? ก็รักเราเท่านั้น เราได้เป็นแสงสว่างเหมือนพระเยซูคริสต์ เรากำลังอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้าร่วมกับพระเยซูคริสต์ในสวรรคสถาน เรากำลังนั่งอยู่นะ ไม่ใช่จะ รอให้ตายก่อน ไม่ใช่ ไม่รู้จะเกิดขึ้นหรือเปล่า ไม่รู้ แต่เกิดขึ้นเลยเดี๋ยวนี้ พิสูจน์ได้เลย เรากำลังนั่งอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้าร่วมกับพระเยซูในสวรรคสถานแล้ว  เรากำลังรอรับร่างกายใหม่ ที่เป็นเหมือนพระเยซู หลังความตาย  หลังออกจากร่างนี้ เราก็รับร่างกายใหม่  เรากำลังรอโลกใหม่ ฟ้าใหม่ สรรพสิ่งที่ทรงสร้างใหม่ ที่เตรียมไว้ให้กับเราและเราจะร่วมครอบครองโลกใหม่ ฟ้าใหม่ สวรรค์ใหม่นี้กับพระเยซูคริสต์ชั่วนิรันดร์

            สิ่งเหล่านี้ทั้งหมด เราได้เป็นและเรามีเรียบร้อยแล้ว ในพระคริสต์ ในสวรรคสถานเบื้องบน มีแล้ว เป็นแล้ว  เป็นอยู่อย่างนั้นแหละ มันเป็นความจริง ดังนั้น จงมีความชื่นชมยินดี  พึงพอใจ มีความสุข มีความหวังในสิ่งที่มีอยู่ และเป็นอยู่นี้ ที่ได้รับแล้วนี้ตลอดเวลา ให้พระเจ้าพาเราไปจดจ่อตรงนี้ สอนเรา ฝึกเรา ให้เราเฝ้ามอง จดจ่อ จดจำจนขึ้นใจ เหมือนเป็นสิ่งที่สามารถจับต้องมองเห็นได้เลย จดจ่อมากๆ เหมือนกับวัตถุที่เราจับต้องมองเห็นได้  พูดง่ายๆ เหมือนเรามีที่ดิน ที่ดินเราอยู่ต่างจังหวัด  เราอยู่ในกรุงเทพ เราเอาโฉนดที่ดินแปะไว้ที่หน้ากระจกเลย เรามองทุกวัน ที่ดินนี้เป็นของเราๆ เหมือนกัน สิ่งที่พูดมาทั้งหมด ให้เราจดจ่อ หลับตาเมื่อไร เราก็จะเห็นสิ่งเหล่านี้ทั้งหมด เป็นจริงทั้งหมด

            นี่แหละ ที่เรียกว่าลูกพระเจ้า ลูกนกอินทรี ผู้ชอบธรรม ผู้ดำเนินชีวิตด้วยความเชื่อศรัทธา ไม่ใช่ตามองเห็น เขาจะบินสูงอยู่เบื้องบน เพราะรู้ว่าตนเป็นนกอินทรี ไม่ใช่ไก่งวง

            “ฉันจะบินสูงอยู่เบื้องบน เพราะรู้ตนว่าเป็นนกอินทรี ไม่ใช่ไก่งวง”

            พูดกับความคิดของตัวเอง ที่ชอบคิดแบบโลก คิดแบบถูกเขาหลอก แล้วก็ตามเขาไป

            “แย่จริงๆ เลย เจอปัญหาโควิด เจอปัญหาเศรษฐกิจ เจอปัญหาโน้นปัญหานี้  ฉันเป็นเหมือนไก่งวง แย่แล้ว”

            ไม่แย่ แย่ที่ไหน? เจอปัญหาสุขภาพ ติดโควิด ฉันก็บินอยู่บนฟ้า เจอปัญหาเรื่องการงาน ตกงาน ฉันก็บินอยู่บนฟ้าอยู่ เจอปัญหาการทำผิดทำบาป  ล้มลงไปบ้าง? โกรธเขา เกลียดเขา อะไรต่างๆ บ้าง?

            “แกเป็นคนบาปแล้ว แกทำดีสู้คนนั้นไม่ได้เลยเห็นไหม?”

            ไม่ฟัง “ฉันเป็นผู้ชอบธรรม เป็นลูกของพระเจ้า บินอยู่บนฟ้า เป็นนกอินทรี”

            พูดกับตัวเอง พูดกับคนอื่นไม่ได้  พอรู้อย่างนี้ทำอย่างไร?  แล้วก็บากบั่น อาจารย์เปาโลบอกบากบั่น วิ่งไป แต่วันนี้พิเศษ ผมจะเปลี่ยนให้เข้ากับบรรยากาศ นกอินทรีกับวันขอบคุณพระเจ้า ให้เราบากบั่น บิน เหินไป จดจ่อ จดจ้อง ไม่กระพริบตา นึกออกไหม? บินอยู่บนฟ้า จดจ่อ จอจ้อง ไม่กระพริบตาเลย เพื่อไปรับรางวัลเพิ่มเติม คือร่างกายใหม่ที่เต็มด้วยสง่าราศีเหมือนพระเยซู ได้พักผ่อน มีความสุขนิรันดร์กาลในสวรรคสถาน ชั้นสูงสุด ตอนนี้อยู่ในสวรรค์แล้ว บินอยู่แล้ว แต่เพ่งไปข้างหน้า บากบั่นบินขึ้นไป รับรางวัลสุดท้าย ซึ่งเมื่อรู้ความจริงอย่างนี้แล้ว ก็เต็มใจดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ที่มันทุกข์แค่ชั่วคราว มันลำบากแค่ชั่วคราว ถ้ามันจะเจ็บป่วย มันก็จะเจ็บป่วยแค่ชั่วคราว  ถ้ามันจะยากจนขัดสน มันก็ยากจน ขัดสนแค่ชั่วคราว  ถ้ามันจะมีปัญหา ดำเนินชีวิตบนโลกนี้ ซึ่งเป็นเรื่องธรรมดาของมนุษย์ทั้งหลายทั้งปวง ไม่ว่าจะเป็นนกอินทรีหรือไก่งวง มันก็มีปัญหาทั้งนั้นแหละ สำหรับเราที่เป็นนกอินทรีแล้ว ก็เป็นแค่ชั่วคราวเท่านั่นเอง ก็สามารถดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ได้ ด้วยความอดทน เต็มไปด้วยความหวัง และการประพฤติตัวและการบินให้สมกับที่ได้รับ ได้มี ได้เป็น สิ่งเหล่านี้แล้วทั้งหมด ก็คือเป็นนกอินทรีที่ได้ครอบครองมรดกต่างๆ เหล่านี้ทั้งหมดเรียบร้อยแล้ว ในนามพระเยซูนั่นเอง

            สรุป ก็คือเราก็สามารถที่จะชื่นชมยินดี มีความสุข พึงพอใจกับสิ่งที่มีอยู่ ที่เป็นอยู่ ที่ได้รับแล้ว ในโลกฝ่ายวิญญาณทั้งหมด ที่ตะกี้เราได้เรียนรู้ความจริงทั้งหมดแล้ว  เราก็มีความยินดี มีความสุข ด้วยการขอบคุณพระเจ้าตลอดเวลา  เพราะฉะนั้น คนที่เป็นคริสเตียนที่บังเกิดใหม่แล้ว เขาก็จะมีวันขอบคุณพระเจ้า ทุกๆ วันก็เป็นวันขอบคุณพระเจ้าทั้งหมดเลย ปีหนึ่ง มาเทศนาครั้งหนึ่งก็จริง แต่ในใจของเขา ทุกวันเป็นวันขอบคุณพระเจ้า  ทุกวันมองเห็นอะไร? ขอบคุณพระเจ้า  เห็นอะไรล่ะ? เห็นไก่งวง แล้วขอบคุณพระเจ้า จากไก่งวงเป็นนกอินทรีแล้ว  ทุกวันเป็นวันขอบคุณพระเจ้า  ทุกวันเห็นไก่งวง ฉันไม่ได้เป็นไก่งวงอีกต่อไปแล้ว ขอบคุณพระเจ้าเหลือเกิน ตอนนี้เป็นนกอินทรีแล้ว ขอบคุณพระเจ้า  เต็มไปด้วยความหวังตลอดเวลา

            เพราะฉะนั้น ทุกวันสามารถเป็นวันขอบคุณพระเจ้าได้ แล้วทำอะไรต่อ ก็ให้พระเจ้าฝึกฝนไปกับพระองค์ ฝึกฝนบินขึ้นไปเรื่อยๆ กับพระเยซูคริสต์ บินขึ้นไป ค่อยๆ ฉายแสงสว่าง ให้ความรักกับคนข้างๆ  ก็คือให้ความรักกับเพื่อนบ้าน เหมือนรักตนเอง  เห็นภาพไหม? บินไปกับพระองค์ กับพระเยซูคริสต์ เป็นผู้ให้อภัย แบ่งปัน ช่วยเหลือ แจกจ่ายด้วยความรัก บริสุทธิ์จากภายในใจออกมา สง่าราศีออกมาแล้ว เพราะมันเป็นอยู่แล้ว มันมีอยู่แล้ว เพียงแต่มันไม่รู้ความจริง ให้พระเยซูคริสต์ ให้พระเจ้าสอนความจริงเหล่านี้ พอรู้ความจริงมากขึ้นเหล่านี้ เราก็จะบินขึ้นไป สูงขึ้นไป อาการต่างๆ นั้น ก็จะออกมา จากภายในแล้ว จากธรรมชาติ แล้วเราก็จะมีชีวิตอยู่ ไม่ยึดติด จดจ่อ จดจ้องอยู่กับโลกียตัณหา หรือความทุกข์ยากลำบากต่างๆ บนโลกใบนี้ ซึ่งเป็นเรื่องธรรมดา บนโลกใบนี้ ซึ่งมันอยู่เพียงชั่วคราว ชั่วขณะหนึ่งเท่านั้น  และมันทำให้เกิดความกลัว ความวิตกกังวล ความกระวนกระวาย ความทุกข์มากขึ้น ถ้าเรายิ่งไปจดจ่อกับมันมาก มันก็จะทุกข์มากกว่าเดิม  แต่ถ้าเราไม่จดจ่อมันเลย เราก็ทุกข์น้อย แล้วเราเอาสายตาการจดจ่อนั้น มาจดจ่อที่เบื้องบน ที่พระคริสต์สถิตอยู่ ที่เราเป็นนกอินทรีที่บินอยู่กับพระองค์ ที่เราเป็นนกอินทรีที่พระเจ้าได้ทรงสอนเรา ฝึกเราอยู่  อยู่เคียงข้างเราตลอดเวลา จดจ่อ จดจ้องอยู่กับความคิด ความจริงตรงนี้ว่า …

            “ฉันได้บังเกิดใหม่แล้ว เป็นลูกของพระเจ้าแล้ว เป็นนกอินทรีแล้ว กำลังนั่งอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้า ร่วมกับพระเยซูคริสต์ในสวรรคสถานเบื้องบน เป็นนกอินทรี บินอยู่กับพระองค์บนฟ้า เหนือปัญหาใดๆ เอเมนไหม? ให้เรารู้ว่าเราเป็นนกอินทรีบินอยู่กับพระเจ้า อยู่เหนือปัญหาบนโลกใบนี้ ปัญหาอยู่ที่ไหน? ปัญหาอยู่บนโลก ในสวรรค์ไม่มีปัญหา บนฟ้าไม่มีปัญหา ลงมาเดินบนดินเมื่อไร? มีปัญหา เราจะเดินบนดินไหม? เราไม่เดิน เพราะเราได้บังเกิดใหม่ ขึ้นไปอยู่บนฟ้าแล้ว แม้ว่าร่างกายเดิมเราจะเดินอยู่บนดิน แต่จิตใจภายใน ตัวตนของเราจริงๆ นั้น เป็นนกอินทรีบินอยู่บนฟ้า  เพราะฉะนั้น เราอยู่เหนือปัญหาทุกๆ อย่างบนโลกใบนี้  ไม่ว่าจะเป็นปัญหาเรื่องอะไรก็ตาม ทุกอย่าง ทุกปัญหา เราอยู่เหนือในพระคริสต์ เราบินอยู่เหนือปัญหาต่างๆ เหล่านั้น

            เพราะฉะนั้น อาจารย์เปาโลจึงบอกว่าเราสามารถเผชิญทุกสิ่งได้ โดยพระองค์ผู้ทรงเสริมกำลังให้กับเรา นึกภาพนะ ที่เราเคยร้องเพลงกันมา …

                        “ข้าผจญทุกสิ่ง โดยพระองค์ผู้ทรงเสริมกำลัง

                        ข้าเผชิญทุกๆ อย่างได้ ด้วยความหวังในทางพระองค์”

            จำได้ใช่ไหม? แล้วร้องได้ไหม? ได้ พี่น้องทางบ้านร้องได้ กำลังร้องกันอยู่

                        “ข้าผจญทุกสิ่ง โดยพระองค์ผู้ทรงเสริมกำลัง

                        ข้าเผชิญทุกๆ อย่างได้ ด้วยความหวังในทางพระองค์

                        ข้าผจญทุกสิ่ง จะดีจะร้ายเท่าใด

                        ข้ายินดีและสุขใจ ในทางพระองค์เสมอ

                        ข้ายินดีและสุขใจ จะบินไปกับพระองค์”

            เอเมนไหม? ขอบคุณพระเจ้า นี่แหละที่พระเยซูบอก ชีวิตถ้ายังเป็นไก่งวงอยู่ มันเหนื่อย มันลำบาก แล้วมันไปสู่การตายลูกเดียว ไม่มีความหวัง ผู้ใดที่แบกภาระหนักและเหน็ดเหนื่อย ยังเป็นไก่งวงอยู่นั้น จงมาหาเรา เราจะให้ผู้นั้นบังเกิดใหม่ เป็นนกอินทรี หายเหนื่อยและเป็นสุข สุขสันต์วันขอบคุณพระเจ้าครับ  พระเจ้าอวยพรครับ

***********************

จากใจคณะศิษยาภิบาล

            ความหวังของคริสเตียน ที่ได้บังเกิดใหม่แล้ว

            1 เปโตร 1:13 “เพราะฉะนั้น (เมื่อได้รู้ตัวตนที่แท้จริงในวิญญาณของท่าน  ที่ได้บังเกิดใหม่โดยพระคุณ  ด้วยฐานะอันสูงส่ง  คือเป็นลูกของพระเจ้าแล้ว  ซึ่งไม่มีวันเปลี่ยนแปลงเป็นอื่น)  ก็จงเตรียมความคิดจิตใจให้พร้อม  จงรู้จักบังคับตนเอง (เตรียมโดยการเปลี่ยนแปลงความคิดจิตใจเดิมแบบเนื้อหนังของตนเอง ให้เหมือนความคิดจิตใจแบบพระเยซูอยู่เสมอๆ  เตรียมพร้อมโดยแสดงความประพฤติ  ที่จะมีต่อทุกสถานการณ์ที่เผชิญบนโลกวัตถุ  ที่จับต้องมองเห็นได้  ที่ชั่วร้ายนี้  ด้วยความดี  ด้วยความอ่อนโยน  อ่อนสุภาพ  เต็มไปด้วยความรัก สันติสุขและการให้อภัย)  จงตั้งความหวังแน่วแน่ในพระคุณความรอดที่ครบถ้วนบริบูรณ์  ซึ่งจะประทานแก่ท่าน  เมื่อพระเยซูคริสต์เสด็จมาปรากฏ”

            คริสเตียนที่บังเกิดใหม่แล้ว  พระเจ้า 3 พระภาคเข้ามาสถิตอยู่ภายในร่างกายแล้ว  จะดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้  ด้วยท่าที  ด้วยความหวังในความรอดที่ครบถ้วนบริบูรณ์อย่างนี้

            คือหวังในการสวมร่างกายใหม่  ร่างกายที่เป็นขึ้นจากความตายเหมือนพระเยซูคริสต์  ร่างกายที่เรียกว่าร่างกายสวรรค์  ที่เต็มไปด้วยสง่าราศี  และพระสิริของพระเจ้า  ซึ่งพระเจ้าได้เตรียมพร้อมไว้ให้แล้ว  และเราจะได้รับหลังจากที่ร่างกายเดิมนี้สิ้นสุดลงคือตาย  หรือในวันที่พระเยซูคริสต์เสด็จกลับมาพิพากษาโลก) และเราจะได้อาศัยอยู่กับพระเจ้า ในสวรรค์สถานนิรันดร์ ในโลกที่พระเจ้าได้ทรงสร้างขึ้นใหม่  ไม่มีความทุกข์  ไม่มีโรคภัยไข้เจ็บ  ไม่มีความบาปความชั่วร้าย  ไม่มีความเสียใจ  ไม่มีความสูญเสีย  ไม่มีน้ำตา  ไม่มีความเกลียดชังอีกต่อไป  มีแต่ความรัก  และความสุขกับพระเจ้านิรันดร์

            พระเจ้าอวยพรครับ

วารสาร Holy  News   ฉบับที่ 1390 

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  20  พฤศจิกายน  2022

เรื่อง “หนังสือเอเฟซัส” ตอน 18

โดย วราพร  คงล้วน

            ขอบคุณพระเจ้าสำหรับความจริงของพระองค์ เราเป็นมนุษย์ที่ถูกคำสาปแช่งเรียบร้อยไปแล้ว  ตั้งแต่บรรพบุรุษของเรา  ที่ล้มลงในความบาป  แม้ว่าเราเชื่อพระเจ้าแล้ว วิญญาณเราได้รับการบังเกิดใหม่แล้ว ได้ไปอยู่กับพระเจ้าในสวรรคสถานเรียบร้อยไปแล้ว แต่ว่าในขณะที่ร่างกายเรายังอยู่บนโลกใบนี้ เรายังต้องเผชิญกับความทุกข์ยากลำบาก เรื่องของร่างกาย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการกินการอยู่ การใช้ชีวิต การเจอโรคภัยไข้เจ็บ เวลาเราเป็นคริสเตียน  ไม่ได้หมายความว่าเราจะแข็งแรงตลอดชีวิต โดยที่เราไม่เจ็บ ไม่ป่วย ไม่จริงนะ อย่าให้ใครหลอกเรา เพราะว่าอันนี้คือกฎที่พระเจ้าตั้งไว้ เมื่อมนุษย์ล้มลงในความบาป วิญญาณเราตายจากพระเจ้า ร่างกายเราก็ตายด้วย  ร่างกายของมนุษย์ทุกคนเกิดมาปุ๊บ ก็เดินทางไปสู่ความตาย แต่สิ่งที่เราไม่เหมือนคนอื่น เมื่อเรามาเชื่อวางใจในพระเจ้า ก็คือวิญญาณเราได้รับความรอดแล้ว ได้รับการคืนดีกับพระเจ้าเรียบร้อยไปแล้ว  เราไม่ต้องกังวลว่าหลังความตายวิญญาณเราจะต้องไปชดใช้หนี้เวรกรรมอีกต่อไป ไม่ต้อง ก็คือวิญญาณเราได้อิสรภาพ เป็นวิญญาณนิรันดร์เหมือนพระเจ้าเลย หลังจากวิญญาณเราออกจากร่างปุ๊บ เราก็ไปอยู่ที่เดิม ก็คือที่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้าร่วมกับพระเยซูคริสต์

            นี่คือหลักประกันที่พระเจ้าให้กับพวกเราผู้เชื่อ จากนั้นพระเจ้าก็บอกว่าพระองค์จะทรงดูแลชีวิตของเราในขณะที่อยู่บนโลกใบนี้ ที่เราดำเนินในแต่ละวัน เราอาจจะเจอความทุกข์ยากลำบาก ในเรื่องของสภาพร่างกาย ในเรื่องของสิ่งแวดล้อมหรืออะไรก็ตาม แต่สิ่งที่พระเจ้าให้และสัญญากับเรา คือพระองค์ทรงสถิตอยู่ในเรา และพระองค์จูงมือเราเดิน พาเราผ่านไปได้ ไม่ว่าเราจะเผชิญกับอะไรก็ตาม  พระเจ้าไม่เคยทิ้งเรา นี่คือพระสัญญา แต่ว่าพระเจ้ายังไม่เคยสัญญาว่าพอมาเชื่อพระเจ้าปุ๊บ คริสเตียนทุกคนจะอยู่ดีมีสุข หรือจะแข็งแรงตลอดชีวิต อันนี้ไม่ได้อยู่ในพันธสัญญาของพระเจ้า เราต้องรับรู้ความจริงตรงนี้ เพื่อเราจะได้ไม่ถูกหลอกจากคำพูดอะไรก็ตาม ที่ทำให้ เรารู้สึกสงสัยในพระเจ้า …

            “เราเป็นคริสเตียนทำไมถึงป่วยได้ล่ะ ศบ.ยังป่วยเลย” ประมาณนั้น

            นี่คือความจริงที่เราต้องรับรู้ ในพระคัมภีร์อาจารย์เปาโลบอกว่าแม้ร่างกายภายนอก เราจะอ่อนแอลง แต่ว่าจิตใจภายในเราเข้มแข็งมากขึ้นทุกวัน ได้รับการเสริมใหม่ทุกวัน จากพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่อยู่ภายในเรา

            วันนี้มาต่อในหนังสือเอเฟซัส 3:7 บอกว่า …

        เอเฟซัส 3:7 “ข้าพเจ้าได้เป็นผู้รับใช้แห่งข่าวประเสริฐนี้ โดยพระคุณ ซึ่งพระเจ้าประทานแก่ข้าพเจ้า ผ่านทางการทำงานของฤทธิ์อำนาจของพระองค์”

            อาจารย์เปาโลบอกว่าเป็นผู้รับใช้แห่งข่าวประเสริฐของพระเจ้า โดยพระคุณ ซึ่งพระเจ้าเป็นผู้ประทานให้ พระองค์ทรงเรียกอาจารย์เปาโลมา เพื่อจะประกาศกับคนต่างชาติ ซึ่งก็คือพวกเรานี่แหละ ที่ไม่ได้เป็นคนยิว

            ในยุคที่พระเยซูคริสต์มาเกิดเป็นมนุษย์  พระเยซูได้ประกาศกับคนยิวเท่านั้น คนต่างชาติไม่เกี่ยวเลยนะ ในอดีตพระเจ้าได้ทรงเลือกชนชาติยิว เพื่อเป็นแบบอย่างในเรื่องของความรอด ที่พระเจ้าจะประทานให้ แต่แผนการจริงๆ ที่พระเจ้าเตรียมไว้ตั้งแต่มนุษย์ล้มลงในความบาป คือพระเจ้าวางแผนไว้ให้มนุษยชาติทั้งหมดบนโลกใบนี้ ไม่ว่ายิวหรือคนต่างชาติ ให้มีโอกาสได้รับความรอด ผ่านทางสิ่งที่พระเยซูคริสต์ได้กระทำเพื่อเขาบนไม้กางเขน

            และในหนังสือเอเฟซัสนี้ ก็คือสิ่งที่พระเยซูคริสต์ได้กระทำสำเร็จ เรียบร้อยไปแล้ว แล้วแผนการล้ำเลิศนี้ พระเจ้าก็ทรงเปิดเผยสำแดงให้คริสตจักรได้รับรู้ ผ่านทางอาจารย์เปาโล ทำไมอาจารย์เปาโลมาเชื่อพระเจ้า แล้วประกาศข่าวประเสริฐ ถึงต้องถูกไล่ล่าฆ่า ที่คนยิวเคืองมาก เคืองอาจารย์เปาโลไปประกาศเรื่องของพระเยซูคริสต์ คือพระเยซูคริสต์เขาไม่เชื่ออยู่แล้วว่าเป็นพระบุตรของพระเจ้า แล้วเขาก็ไม่เชื่อว่าพระเยซูคริสต์ คือพระมาซีฮาห์ ที่พระเจ้าทรงประทานมาให้ แล้วเปาโลเป็นพวกฟาริสี พวกธรรมาจารย์ พวกผู้รู้เรื่องราวกฎบัญญัติของพระเจ้า ตั้งแต่อดีต รู้มากเลย แล้วอยู่ดีๆ ก็เหมือนแปรพักตร์ไป แทนที่จะมาทำตามกฎบัญญัติของโมเสสที่ได้สั่งไว้ อยู่ดีๆ ไปประกาศพระนามของพระเยซูคริสต์เฉยเลย เขาก็เลยไล่ล่าที่จะฆ่าอาจารย์เปาโล แต่อาจารย์เปาโลไม่เคยสนใจ เพราะว่าเมื่ออาจารย์เปาโลได้รับพระคุณจากพระเจ้า ได้เจอพระเยซูคริสต์กลางทาง ระหว่างที่เดินทางไปดามัสกัส ที่จะไปไล่ล่าพวกคริสเตียน หรือพวกที่ติดตามเชื่อวางใจในพระเยซูคริสต์ แล้วพระเยซูคริสต์ก็เปิดให้อาจารย์เปาโลได้เห็นความจริง ได้เห็นพระคุณ แล้วอาจารย์เปาโลก็กลับใจใหม่ ได้บังเกิดใหม่เข้ามาในอาณาจักรของพระเจ้า แล้วพระเจ้าก็เรียกใช้อาจารย์เปาโล ให้ไปประกาศกับคนต่างชาติ ซึ่งข่าวประเสริฐนี้ พระเจ้าวางแผนการไว้เรียบร้อยไปแล้วว่าจะให้ทั้งคนยิวและคนต่างชาติ ได้รับความรอดผ่านทางฤทธิ์เดชอำนาจแห่งถ้อยคำของพระเจ้า

            การทำงานของพระเจ้า พระวิญญาณบริสุทธิ์เป็นฤทธิ์เดชอำนาจ ดังนั้น การเชื่อวางใจในพระเจ้าเป็นฤทธิ์เดชอำนาจ ไม่เกี่ยวอะไรกับการกระทำของมนุษย์คนหนึ่งคนใด หรือว่าไม่เกี่ยวอะไรกับความดีงาม การพยายามที่จะพึ่งพาการกระทำของตัวเอง หรือพยายามรักษากฎบัญญัติ ที่พระเจ้าให้ไว้ เพื่อทำให้ตัวเองได้รับความรอด ซึ่งในพระคัมภีร์ พระเจ้า พระเยซูคริสต์ก็บอกชัดเจนแล้วว่าไม่มีมนุษย์คนไหนสามารถที่จะได้รับความรอด ผ่านทางการประพฤติของตัวเอง

            ดังนั้น มาตรฐานของพระเจ้า ที่พระเยซูคริสต์ได้บอกไว้เป็นมาตรฐานที่สูงมาก สมัยก่อน เวลาเราอ่านหนังสือพระกิตติคุณ อ่านหนังสือมัทธิว มาระโก ลูกา ยอห์น เราก็เข้าใจว่าพระเยซูมาสอนให้เราทำ ยิ่งคำเทศนาบนภูเขาที่อาจารย์นครเพิ่งเทศนาไป ก็คือสมัยที่ดิฉันเชื่อพระเจ้าใหม่ๆ ดิฉันก็เข้าใจว่าสิ่งที่ในหนังสือมัทธิวสอน คำเทศนาบนภูเขา ก็คือสอนให้ผู้เชื่อทำตามนั้น ซึ่งมันเป็นการเข้าใจผิด พอเข้าใจผิด เราก็สอนคนอื่นด้วย สอนสมาชิกมาตลอด สอนผู้เชื่อมาตลอด 30 กว่าปีที่เราเข้าใจผิดมาเยอะมาก ก็ไม่รู้จะทำอย่างไร? เมื่อเราถูกสอนมา เราก็สอนต่อไป ซึ่งข้างในวิญญาณเราก็รู้อยู่แล้วว่าสิ่งที่ในหนังสือมัทธิวบอกเรา เราทำไม่ได้ แล้วเราก็ฝืน พยายามที่จะดำน้ำไปว่า …

            “อ้าว! ก็พระเยซูบอกแล้วไง เราต้องพยายามทำมันให้ได้ ก็ได้มากที่สุดเท่าที่ทำได้นั่นแหละ ตามนั้น” อะไรอย่างนี้

            แต่ว่าพอเรามารับรู้ความจริงในเรื่องราวข่าวประเสริฐ ก็คือพระเยซูบอกว่าไม่มีมนุษย์คนไหนทำได้เลย แล้วพระเยซูไม่ได้มาสอนให้ทำ มาแค่บอกว่าพวกเธอทำไม่ได้ แล้วเมื่อทำไม่ได้ ก็ต้องมาพึ่งฉันไง พึ่งการกระทำของพระเยซูคริสต์เท่านั้น ถึงจะสามารถได้รับความรอดได้

            แล้วในหนังสือพระกิตติคุณ พระเยซูก็ไม่ได้สอนผู้เชื่อด้วย อันนี้สำคัญมาก คือสอนผู้ที่ยังไม่เชื่อ  คนที่ยังไม่ได้บังเกิดใหม่ ซึ่งเป็นชนชาติยิวที่รักษากฎบัญญัติที่พระเจ้าให้ไว้อย่างเคร่งครัด ซึ่งคนยิวในยุคนั้น รู้อยู่แล้วว่าตัวเองไม่มีความสามารถที่จะทำได้ครบถ้วนสมบูรณ์ แต่ความรู้สึกข้างในเหมือนมนุษย์ทั่วไปแหละ ที่เราคิดว่าทำให้ดีที่สุด ก็แล้วกัน ทำให้ตัวเองรู้สึกสบายใจ ทำเต็มที่แล้ว อะไรประมาณนั้น แต่เราขอบคุณพระเจ้าที่พระองค์เปิดให้เราเห็น ก็คือความเป็นจริงในโลกวิญญาณที่พระเยซูกำลังบอกเราว่า …

            “พวกเธอทำไม่ได้หรอก ทำให้ตาย ก็ทำไม่ได้ครบถ้วนสมบูรณ์ อย่างที่มาตรฐานของพระเจ้าได้ตั้งไว้”

            มาตรฐานของพระเจ้า ท่านต้องเป็นคนดีรอบคอบ เหมือนกับพระบิดาของเรา ซึ่งเป็นผู้ดีรอบคอบ ในสวรรคสถาน ซึ่งมีมนุษย์คนไหนบนโลกใบนี้ สามารถเป็นผู้ดีรอบคอบ เหมือนกับพระเจ้าพระบิดา บนสวรรค์ ไม่มีทาง แต่พอคนไหนก็ตามที่เปิดใจต้อนรับ คือได้ยินได้ฟังเรื่องราวของพระเจ้า แล้วก็วางใจ พอวางใจ เปิดใจต้อนรับปุ๊บ ขบวนการ การบังเกิดใหม่ มันเกิดขึ้นในโลกวิญญาณ ซึ่งเราไม่รู้หรอก เราไม่เข้าใจ เราไม่สามารถสัมผัสจับต้องได้ แต่เรารับเอาด้วยความเชื่อ เมื่อขบวนการนี้เกิดขึ้นปุ๊บ ความเป็นจริง คือมนุษย์ทุกคนที่เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ วิญญาณเรา ได้เป็นวิญญาณใหม่เหมือนกับพระเจ้า เป็นวิญญาณที่สะอาดบริสุทธิ์ ดีพร้อมเหมือนพระเจ้าเลย โดยที่เราไม่ต้องทำอะไร? เหมือนที่เราคุยกัน เด็กคนนั้นคลอดออกมาปุ๊บ เป็นลูกของบ้านนี้เลย โดยที่ไม่ต้องทำอะไร? ไม่ต้องทำดีหรือทำชั่ว เขาก็เป็นลูกของบ้านนี้

            ดังนั้น เมื่อเราได้บังเกิดใหม่  เข้ามาในอาณาจักรของพระเจ้า โดยไม่ได้เกี่ยวอะไรกับการทำดีหรือทำชั่วของเราเลย แต่เกี่ยวกับที่เรายอมรับความจริงว่าเราเป็นคนบาป เราช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ เราต้องการความช่วยเหลือจากพระเจ้า แล้วเราก็เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เข้ามาเป็นพระผู้ช่วยให้รอดของเรา

            นี่คือความจริงทั้งหมด แล้วพวกเราผู้เชื่อวางใจในพระเจ้าปุ๊บ เราก็รับความจริงตรงนี้เข้ามา แล้วพระเจ้าก็บอกว่าเราเป็นคนสะอาด ดีพร้อม ในสายพระเนตรของพระเจ้า ณ เวลานี้ ผู้เชื่อทุกคนเป็นผู้ชอบธรรมของพระเจ้า เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์ เป็นทายาทร่วมกับพระเยซูคริสต์ ได้รับการบังเกิดใหม่ ก็คือได้รับชีวิตนิรันดร์ ที่ครบถ้วนบริบูรณ์ ที่พระเจ้าได้ทำให้กับเราเรียบร้อยไปแล้ว เพียงแต่ว่า ณ เวลานี้ เราผู้เชื่อที่ยังดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ เราได้รับไปส่วนหนึ่ง แล้วเราทุกคนก็รอคอยส่วนที่ 2 ที่เราจะไปรับหลังความตาย

            ส่วนที่ 2 ที่เราจะไปรับหลังความตาย ก็คือเรายังต้องดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้อยู่ใช่ไหม? แต่ละคนก็มีอายุขัยของแต่ละคน ที่พระเจ้ากำหนดไว้ แล้วการดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ เราต้องเจอกับความทุกข์ยากแน่นอน ไม่ว่าจะเป็นความทุกข์ยากในเรื่องที่เมื่อเราเชื่อวางใจในพระเจ้าปุ๊บ เราก็เป็นศัตรูกับโลกนี้เลย ทันทีที่วิญญาณเราเชื่อพระเจ้าปุ๊บ ความจริงในโลกวิญญาณ คือเรากับโลกนี้เป็นศัตรูกัน ทันทีเลยนะ เราไม่ต้องทำอะไรเลย อยู่เฉยๆ เรากับโลกนี้เป็นศัตรูกัน ก็คือโลกนี้อยู่ในความมืด เราเข้ามาอยู่ในความสว่างแล้ว ความสว่างกับความมืด เข้ากันไม่ได้ ในโลกวิญญาณมันเป็นอย่างนั้น เราก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน

            สมัยก่อน ก่อนที่เรามาเชื่อพระเจ้า พอเราได้ยินคำว่าคริสเตียน หรือได้ยินคำว่าพระเยซู เราไม่ชอบเลย เราก็ไม่เข้าใจว่าทำไมเราถึงไม่ชอบ แต่ในโลกวิญญาณ พระเยซูบอกเราแล้ว เราเป็นศัตรูกัน ยังไงเราก็ไม่ชอบ แต่พอเรามาเชื่อพระเจ้าปุ๊บ ได้ยินว่าใครเป็นคริสเตียน เราชอบเลย เรารักเลย ไม่เข้าใจเหมือนกัน  แต่ความจริงในโลกวิญญาณ คือเมื่อเราเชื่อวางใจในพระเจ้า เรากับพี่น้องคนอื่นรักกันเลย เป็นหนึ่งเดียวกันเลย เป็นครอบครัวเดียวกันเลย นี่คือความจริงในโลกวิญญาณ ซึ่งเมื่อก่อนเราไม่เข้าใจ แต่ว่าพอพระเจ้าเปิดให้เราเห็น มันเป็นอย่างนี้นี่เอง ในโลกวิญญาณ เรากับโลกนี้เป็นศัตรูกัน เมื่อเราเข้ามาอยู่ในความสว่างของพระเจ้าปุ๊บ โลกนี้เป็นความมืด เราเข้ากันไม่ได้แล้ว อยู่กันคนละพวกเลย โดยปริยาย

            หรือพอเรามาเชื่อพระเจ้า เรากับพี่น้องคริสเตียน ไม่ว่าคนนั้นจะอยู่โบสถ์เรา อยู่โบสถ์ไหน? อยู่ประเทศไหนก็ไม่รู้ เรารักกันเลย ข้างในวิญญาณเรารักเขา นี่คือความเป็นจริงในโลกวิญญาณ ที่พระเจ้า พระเยซูคริสต์กำลังบอกเรา ฉะนั้น อาจารย์เปาโลพยายามบอกความจริงในโลกวิญญาณ ให้กับมนุษยชาติได้รับรู้ เหมือนกับคนสมัยโบราณตอนที่เขาถูกข่มเหงเยอะๆ มีคนยิวที่กลับใจมาเชื่อพระเยซูคริสต์จะถูกข่มเหงหนักมาก  เพราะว่าคนยิวที่เชื่อในบทบัญญัติเดิม เขาถือว่าคนที่มาเชื่อพระเยซูคริสต์กบฏกับพระเจ้า เขาไม่ได้เชื่อเลยว่าพระเยซูคริสต์คือผู้ที่พระเจ้าส่งมา เป็นพระมาซีฮาห์ที่พระเจ้าได้ทรงสัญญาไว้ว่าจะประทานให้กับพวกเขา

            พอเขาไม่เชื่อ เขาก็เลยจับพระเยซูไปตรึง เขาคิดว่าพระเยซูมาทำตัวเสมอพระเจ้า อย่างนี้บังอาจ อภัยให้ไม่ได้เลย เพราะว่าพระเจ้าของเขายิ่งใหญ่สูงสุด เขายกสูงมากเลย แต่คนนี้ใครก็ไม่รู้ อยู่ดีๆ มาอ้างตัวว่าเป็นพระเจ้า มาอ้างตัวว่าตัวเองเทียบเท่าพระเจ้า คนยิวก็เลยจับพระเยซูไปตรึงบนไม้กางเขน

            ฉะนั้น แผนการนี้ พระเจ้าได้วางไว้ตั้งแต่เริ่มต้นแล้ว อย่างที่เราบอกไง แผนการพระเจ้ามันลี้ลับจนไม่มีใครสามารถเข้าใจหรอกว่าทำไมมันถึงออกมา เป็นแบบนี้ ขออ่านพระคัมภีร์นิดหนึ่ง ในหนังสือ 1 โครินธ์ 2:6-9 บอกว่า …

        1 โครินธ์ 2:6-9 “6 เรากล่าวถึงเรื่องปัญญาในหมู่คนที่เป็นผู้ใหญ่แล้วก็จริง แต่มิใช่เรื่องปัญญาของยุคนี้ หรือเรื่องปัญญาของอำนาจครอบครองในยุคนี้ ซึ่งจะเสื่อมสูญไป 7 แต่เรากล่าวถึงเรื่องพระปัญญาของพระเจ้าซึ่งเป็นข้อลับลึก คือพระปัญญาซึ่งทรงซ่อนไว้นั้น และซึ่งพระเจ้าได้ทรงกำหนดไว้ก่อนปฐมกาล เพื่อให้เราถือศักดิ์ศรีของเรา 8 ไม่มีอำนาจครอบครองใดๆ ในยุคนี้ได้รู้จักพระปัญญานั้น เพราะว่าถ้ารู้แล้ว จะมิได้เอาองค์พระผู้เป็นเจ้าแห่งพระสิริ ตรึงไว้ที่กางเขน 9 ดังที่มีเขียนไว้ในพระคัมภีร์ว่า “สิ่งที่ตาไม่เห็น หูไม่ได้ยิน และสิ่งที่มนุษย์คิดไม่ถึง คือสิ่งที่พระเจ้าได้ทรงจัดเตรียมไว้ สำหรับคนที่รักพระองค์”

            ในหนังสือ 1 โครินธ์อาจารย์เปาโลได้พูดถึงพระปัญญาที่พระเจ้าได้จัดเตรียมไว้ ปัญญานี้ คือความลึกลับที่พระเจ้าปิดซ่อนไว้ ตั้งแต่เริ่มต้นปฐมกาลว่าพระองค์ได้เตรียมผู้คนของพระองค์ เริ่มต้นจากยิว แล้วจากนั้นจะเป็นคนต่างชาติ ฉะนั้น พระเจ้าเตรียมไว้ตั้งแต่เริ่มต้น แล้วพระองค์ก็ปิดบังไว้ ไม่เปิดเผยสำแดง จนถึงวันที่พระเยซูคริสต์ได้มาเกิดเป็นมนุษย์ แล้ววันที่พระเยซูมาเกิดเป็นมนุษย์ พระองค์ก็ยังเปิดเผยสำแดง ได้เผยพระวจนะ ได้ประกาศว่าแผ่นดินสวรรค์มาถึงแล้ว แล้วตัวพระองค์เอง คือแผ่นดินสวรรค์ ซึ่งคนยิวรอคอยให้แผ่นดินของพระเจ้ามาตั้งอยู่ ซึ่งพระเยซูบอกว่า …

            “ฉันไงๆ ฉันคือแผ่นดินสวรรค์ แล้วฉันมาตั้งอยู่แล้ว”

            แต่คนยิวก็ไม่เชื่อ พอไม่เชื่อ แผนการนี้ พระเจ้าปิดซ่อนไว้ ไม่ให้คนยิวได้เห็น เขาก็เลยเอาพระเยซูคริสต์ไปตรึงบนกางเขน ทำให้แผนการที่พระเจ้าวางไว้ สำเร็จด้วย ถ้าพระเยซูคริสต์ไม่ถูกตรึง แผนการนี้ ก็ไม่สำเร็จ  ก็คือไม่ได้สิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน เพื่อมนุษยชาติ  เพราะฉะนั้น แผนการทั้งหมด พอพระเจ้าปิดซ่อนไว้ เลยทำให้มนุษย์ไม่สามารถเข้าใจ แล้วเขาก็ได้ตรึงพระเยซูคริสต์

            ในข้อที่ 9 ที่บอกว่า “ที่มีเขียนไว้ว่า “สิ่งที่ตามองไม่เห็น หูไม่ได้ยิน คือสิ่งที่พระเจ้าจัดเตรียมไว้ สำหรับผู้ที่รักพระองค์”

            ใครล่ะ รักพระองค์ คือคนที่ยอมรับว่าพระเยซูคริสต์เป็นพระบุตรของพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์ มาตายแทนเราบนไม้กางเขน และได้เป็นขึ้นมาจากความตาย ผู้นั้นแหละ คือผู้ที่รักพระองค์ พอคนที่รักพระองค์ เปิดใจต้อนรับพระองค์ปุ๊บ พระเจ้าก็รู้จักเขา สมัยก่อน เราก็ไม่เข้าใจคำว่า “รู้จัก” คืออะไร? พอคนที่เปิดใจต้อนรับพระองค์ บัพติศมาเข้ามาเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเยซูคริสต์ปุ๊บ คนนั้นได้รู้จักพระองค์เลย รู้จักพระองค์ตั้งแต่อยู่บนโลกใบนี้ ไม่ใช่รอจนตาย แล้วค่อยไปรู้จัก

            เราเริ่มรู้จักกับพระเยซูคริสต์ ตั้งแต่วันแรกที่เราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เข้ามา เป็นพระผู้ช่วยให้รอดของเรา จากวันนั้น พระเจ้า พระบิดา ก็รู้จักเราด้วย พระเจ้า พระเยซูคริสต์ก็รู้จักเราด้วย  รู้จักมักคุ้น เป็นครอบครัวเดียวกัน  เข้ามาเป็นหนึ่งเดียวกัน สามัคคีธรรมร่วมกัน รู้จักว่าเราเป็นความรัก คนที่พระเยซูบอกว่าผู้นั้น ก็จะรักเรา แล้วก็รู้จักเรา ฉะนั้น ความรักตรงนี้ ไม่มีมนุษย์คนไหนที่สามารถรักพระเจ้าได้เลย ไม่มีทาง นอกจากความรักที่พระเจ้าใส่เข้ามาในวิญญาณของคนนั้น ที่เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ปุ๊บ ความรักตรงนี้แหละ ทำให้เราสามารถรักพระเจ้าด้วยสุดจิต สุดใจ สุดกำลัง สุดความคิด และทำให้เราสามารถรักเพื่อนบ้านเหมือนรักตัวเอง โดยไม่ต้องฝืน ไม่ต้องเป็นภาระ เพราะว่ามันเป็นธรรมชาติใหม่ของผู้เชื่อ ที่เป็นความรัก รักพระเจ้าเลย ก็คือพอเราบังเกิดใหม่ปุ๊บ เรารักพระเจ้าเลย ไม่ต้องใช้แรงหรือพลังอะไรทั้งสิ้น นี่คือฤทธิ์อำนาจที่พระจ้าได้ทรงกระทำการงานในชีวิตของพวกเรา

            เรื่องของความรอดในพระเยซูคริสต์ เป็นเรื่องของฤทธิ์เดชอำนาจ ไม่ใช่เป็นเรื่องของการประพฤติใดๆ ดังนั้น ฤทธิ์เดชอันนี้ ทำให้เกิดความอัศจรรย์มากมาย ที่พระเจ้าได้กระทำการงานในชีวิตของพวกเรา มนุษย์แสวงหาอัศจรรย์ใช่ไหม? พอเรามาเชื่อพระเจ้า เราอยากได้อัศจรรย์ อัศจรรย์มันหน้าตาเป็นอย่างไร?  เราอยากจะเห็นอะไรที่มันหวือหวา พออธิษฐานอย่างนี้ พระเจ้าให้อย่างอัศจรรย์เลย มันเป็นของแถมมากๆ เลย แต่อัศจรรย์ที่ยิ่งใหญ่ ที่พระเยซูคริสต์พูดถึงในสมัยยุคของพระคัมภีร์ ตอนที่พระเยซูคริสต์อยู่ พระเยซูบอกว่าถ้าท่านมีความเชื่อเท่าเมล็ดมัสตาร์ดเมล็ดหนึ่ง ท่านสามารถสั่งภูเขาให้เลื่อนลงทะเลได้ แล้วภูเขานั้น ก็จะเลื่อนลงทะเล ยุคของพระเยซูคริสต์ ถ้าสั่งภูเขาเลื่อนลงทะเล นี่อัศจรรย์ยิ่งใหญ่มาก เพราะสมัยนั้น ยังไม่มีระเบิดปรมาณู ใช่ไหม? แค่ภูเขาเลื่อนลงทะเลยิ่งใหญ่มากเลย พระเยซูก็พยายามที่จะยกตัวอย่าง ที่มันใหญ่โตมโหฬารที่คนยุคนั้น สามารถเข้าใจได้ แต่ว่าอัศจรรย์ที่พระเยซูพูดถึง ที่ยิ่งใหญ่กว่านั้น ก็คือยิ่งกว่าระเบิดปรมาณู อัศจรรย์ที่พระเจ้าทำให้คนๆ หนึ่งได้บังเกิดใหม่  เข้ามาอยู่ในอาณาจักรของพระเจ้าได้ นั่นคืออัศจรรย์ที่ยิ่งใหญ่ ที่ไม่มีมนุษย์คนไหนสามารถกระทำได้ ยกเว้นพระเจ้าผู้เดียวเท่านั้น

            การที่ได้เข้ามาอยู่ในอาณาจักรสวรรค์ การที่เราได้รับชีวิตนิรันดร์แบบพระเจ้า การที่เราได้เข้ามาเป็นลูกของพระเจ้าร่วมกับพระเยซูคริสต์ การที่เราได้เป็นทายาทร่วมกับพระองค์ การที่เราได้รับพระพรนานับประการในโลกวิญญาณ ที่ปัจจุบัน เราได้รับหมด นี่คือยิ่งใหญ่ที่สุดแล้ว  ถ้าเทียบกับสิ่งที่พระเจ้าให้กับเรากับความทุกข์ยากบนโลกใบนี้ ที่บางทีเราก็เจ็บ บางทีเราก็ป่วย บางทีเราก็โศกเศร้า บางทีคนที่เรารักไม่สบาย หรือคนที่เรารักจากไป เราทุกข์มากเลย ถ้าเทียบกับสิ่งที่พระเจ้าให้กับเรา มันเทียบไม่ได้เลย ฉะนั้น การที่เราได้รู้ความจริงเหล่านี้ จะทำให้เราสามารถยอมรับ อดทนกับความทุกข์ยากลำบาก ที่เราต้องเผชิญอยู่บนโลกใบนี้ ไม่ว่าเรื่องนั้นจะลำบากขนาดไหน? แต่ว่าความหวังใจของผู้เชื่อ มองไปที่โลกหน้า มองไปที่รางวัลที่พระเจ้าได้ทรงจัดเตรียมไว้ สำหรับพวกเราทุกๆ คน รางวัลที่เรายังไม่ได้รับ ที่เราได้รับ ได้รับไปแล้ว เป็นเหมือนพระเจ้า นั่งอยู่ที่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้า ได้รับพระพรนานัปการ ได้มีชีวิตนิรันดร์เหมือนพระเยซูคริสต์ นั่นเราได้รับหมดแล้วนะ ในโลกวิญญาณ

            แต่รางวัลที่เรายังเฝ้ารอคอยอยู่ที่เรายังไม่ได้รับ เราจะรอไปรับเมื่อวิญญาณเราออกจากร่างกายนี้ เมื่ออายุขัยเราหมดจากโลกนี้  ก็คือตาย ตายเมื่อไร เราก็ได้ไปรับร่างกายใหม่จากพระเจ้า เป็นร่างกายใหม่ที่พระเจ้าทรงสัญญา  เป็นร่างกายที่เต็มไปด้วยสง่าราศี เหมือนกับพระเยซูคริสต์ตอนที่พระองค์ได้ทรงเป็นขึ้นมาจากความตาย แล้วเป็นร่างกายใหม่ที่พระเจ้าเตรียมไว้เรียบร้อยแล้ว แค่รอเราไปสวม แล้วความหวังใจของผู้เชื่อ ก็คือเราจะได้พบกับพระเจ้าหน้าต่อหน้า มันเป็นความหวังใจที่เราอยากเจอ ตอนนี้เราพบพระเจ้าหน้าต่อหน้า ไม่ได้ เพราะว่าเรายังอยู่ในร่างกายนี้อยู่ เราอาจจะเห็นพระเจ้าสลัวๆ โดยผ่านทางความเชื่อ ในพระคัมภีร์บอกว่าพระเจ้าเป็นอย่างไร? เราก็เชื่อตามนั้น แต่พอถึงวันนั้น เราไม่ต้องใช้ความเชื่อแล้ว วันที่เราไปเจอพระเจ้าหน้าต่อหน้า แล้วรับร่างกายใหม่ คือเราจะเห็นพระเจ้าไม่พอ  เราจะเห็นร่างกายใหม่ที่พระเจ้าเตรียมไว้ให้กับพวกเราด้วย เราจะได้ไปพบเจอกับญาติโกโหติกาที่เรารัก ที่เขาจากเราไปก่อน แล้วเราจะไปรอคอยพี่น้องของเราที่ยังไม่หมดอายุขัยว่าเดี๋ยวเขาจะตามๆ กันมา นี่คือความยิ่งใหญ่ที่พระเจ้าได้จัดเตรียมไว้สำหรับพวกเรา

            ฉะนั้น ในพระคัมภีร์บอกว่ามันมีอยู่ 3 สิ่ง คือความเชื่อ ความหวังใจและความรัก แต่ความรักใหญ่ที่สุด ความรักใหญ่ตรงไหน? เพราะว่าความรัก คือธรรมชาติใหม่ของผู้เชื่อทุกๆ คน ความรักจะไม่สูญสลายไป ความรักจะเป็นอันเดียวที่ติดตามเราไป  พอเราขึ้นไปอยู่บนโลกใหม่  เราไม่ต้องใช้ความหวัง  เพราะว่าเราได้เจอแล้ว คือเจอพระเจ้าแล้ว ไม่ต้องหวัง เจอร่างกายใหม่แล้ว ไม่ต้องหวัง แล้วเราก็ไม่ต้องใช้ความเชื่อเลย เพราะว่าเจอหน้าต่อหน้า แต่ว่าความรักก็ยังคงติดตามเราไป นี่คือความจริงในโลกวิญญาณที่เราจำเป็นจะต้องรู้ เพื่อว่าเราจะได้สามารถอดทนรอคอย เวลาเราเจอความทุกข์ยากลำบาก เราก็จะสามารถอดทนได้

            อย่างผู้เชื่อในสมัยโบราณ เขาทุกข์กว่าเราเยอะเลยเนอะ ตอนที่เขาเชื่อใหม่ๆ เขาจะถูกไล่ล่า ถูกข่มเหงทุกรูปแบบเลย แต่ที่เขาสามารถอยู่ได้ เพราะความหวังใจนี้แหละ เพราะว่าความหวังใจที่เขาได้รับ ข่าวประเสริฐแท้ๆ จากคำประกาศข่าวดีของอัครทูตในยุคนั้น  ไม่ได้ประกาศอะไรเยอะแยะมากมาย ไม่ได้เอาอะไรมาหว่านล้อม ไม่ต้อง บอกแค่ว่าพระเยซูรักเขา พระเยซูได้ทำอะไรเพื่อเขา  แล้วเขาได้รับอะไรบ้าง? เขาได้รับกำลังจากความจริงในข่าวประเสริฐของพระเจ้าจริงๆ แล้วเขามีความอดทน ไม่ว่าเขาจะต้องถูกฆ่าตาย เขาก็ไม่หวาดกลัว เพราะเขารู้ว่าความตายเป็นประตูที่จะนำเขาไปสู่มิติแห่งความเป็นจริงที่เขาจะได้รับ

            คนสมัยก่อนเขาทุกข์กว่าเราเยอะ แต่เขาสามารถอยู่ได้ เพราะว่าไม่มีอะไรเจือปน เขาได้รับข่าวประเสริฐเพียวๆ ล้วนๆ เป็นนมที่ไม่มีสารปรอท ไม่มีสารตกค้าง ไม่มีอะไรมาล่อลวง ให้หันซ้ายหันขวา เป้าหมายของเขา คือมองไปที่พระเจ้าอย่างเดียว แล้วเขาก็รอคอยวันนั้นแหละ วันแห่งความหวังใจ ที่พระเจ้าบอกว่า …

            “แป๊บเดียวเองลูก อึดใจเดียวเอง พอหมดลมหายใจ เจ้าก็ได้ไปอยู่กับเราถาวรนิรันดร์กาลบนสวรรค์”

            พวกเราเหมือนกัน ในยุคปัจจุบัน อดทนรอคอยแป๊บเดียวเอง เราสบายกว่าเขาเยอะ ในยุคสมัยเดิม ฉะนั้น อย่าให้ความทุกข์ยากใดๆ ทำให้สั่นคลอนความเชื่อวางใจที่เรามีอยู่ในพระเยซูคริสต์ ที่พระเจ้าได้ทรงกระทำให้กับเราเรียบร้อยไปแล้ว ฉะนั้น การที่เราได้ไปอยู่กับพระเจ้า อย่างที่บอก เวลาผู้เชื่อจะจากไป พระเยซูจะมารับเรา สมมติว่าเราจากไปก่อนที่พระเยซูเสด็จกลับมา พระเยซูก็มารับเราส่วนตัวไปอยู่กับพระองค์ แต่ถ้าเรายังไม่จากไป เราอยู่จนถึงวันนั้น วันที่พระเยซูกลับมารับหมู่เลย เราก็จะได้ไปพร้อมกัน ยังไงพระเยซูก็มารับเรา

            ทำไมเรารู้ว่าพระเยซูมารับเรา? ดิฉันเคยเห็นผู้เชื่อเยอะแยะมากมาย อยู่ในโบสถ์นี้ก็จะ 30 ปีแล้ว แล้วก่อนหน้านั้น ดิฉันไปรับร่างกายของผู้เชื่อ ที่จากไป นับครั้งไม่ถ้วน  แต่ภาพที่ดิฉันเห็น วันที่เขาจากไป เป็นภาพที่สวยงามมาก ก็คือเหมือนคนนอนหลับ ไม่ได้น่ากลัวนะ คือสมัยก่อนถ้ามีคนตาย ดิฉันกลัวมาก ตอนก่อนมาเชื่อพระเจ้ากลัวภาพติดตา แต่พอเรามาเชื่อพระเจ้า เราเห็นความจริงในโลกวิญญาณอย่างหนึ่ง คือทุกคนที่จากไปอยู่กับพระเจ้า ก่อนจากอาจจะดูเหมือนทุรนทุราย เพราะว่าด้วยความเจ็บปวด แต่พอหลังจากไปปุ๊บ เขาหลับเหมือนคนนอนหลับ แล้วหน้าเต็มไปด้วยสง่าราศี  คือเห็นชัดๆ เลยว่าเขาไม่มีความกลัวอะไรเลย เขาหลับไปเฉยๆ แล้วดิฉันยังเชื่อว่าความเป็นจริงในโลกวิญญาณตอนที่เขาจากไป พระเยซูมารับเขาไป แล้วเขาก็มีความสุข  เขารู้ว่าเขาไปในที่ปลอดภัย ฉะนั้น ทุกร่างที่ดิฉันไปรับ เขาจะนอนหลับ ยิ้ม ไม่ได้รู้สึกเลยว่าเป็นคนตาย นึกภาพออกไหม?

            พอเห็นภาพที่ได้ไปรับร่างกายของพี่น้องของเราที่จากไปอยู่กับพระเจ้าก่อน ทุกครั้งทำให้เรามีกำลังใจ แล้วเรารู้ว่าขอบคุณพระเจ้านะ เขาไปดีมาก เขาไปอย่างมีความสุข เขาหลับพริ้มเลย อยู่ในอ้อมพระหัตถ์ของพระเจ้าเรียบร้อยไปแล้ว เขาไม่ต้องดิ้นรนต่อสู้เหมือนพวกเราอีกต่อไป เขาไม่ต้องมานั่งทุกข์ทรมานอีกต่อไป แต่เขาได้ไปอยู่ในที่ที่ปลอดภัยที่สุด คือในพระทรวงของพระเจ้า

            นี่คือกำลังใจที่เราได้รับ แล้วก็ขอหนุนใจพี่น้องทุกๆ คน ในขณะที่เราดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ ไม่ว่าเราจะเผชิญกับความทุกข์ยากลำบากขนาดไหนก็ตาม ให้เราเชื่อมั่นว่าพระเจ้าไม่เคยทิ้งเรา พระเจ้าสถิตอยู่กับเรา พระองค์ทรงนำพาย่างเท้าของเรา จูงมือเราเดินตลอดเวลา เมื่อไรที่เราอ่อนแรงพระเจ้าจะแบกเราไป  จนถึงจุดหมายปลายทาง จนถึงวินาทีสุดท้ายของชีวิตของเรา  เพื่อเราจะได้ไปรับร่างกายใหม่ที่เต็มไปด้วยสง่าราศี ได้ไปอยู่ในโลกใบใหม่ ที่พระเจ้าทรงสร้างไว้ให้กับพวกเราทุกๆ คน พระเจ้าอวยพรค่ะ

******************

จากใจคณะศิษยาภิบาล

            ถ้าท่านยินยอม! ท่านสามารถเป็นวิหารของพระเจ้า  และพระวิญญาณของพระเจ้า จะสถิตอยู่ในท่าน

            เมื่อเราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์  เข้ามาเป็นพระผู้ช่วยให้รอดแล้ว  จะมีอัศจรรย์เกิดขึ้น  ทั้งในโลกฝ่ายวิญญาณ  และโลกฝ่ายร่างกาย

            ➢ โลกฝ่ายวิญญาณ  คือพระวิญญาณจะเข้ามาทำกระบวนการการบังเกิดใหม่  ทำให้เราบริสุทธิ์  กลับคืนดีกับพระเจ้า  ย้ายวิญญาณของเรามาอยู่ในสวรรค์

            ➢ โลกฝ่ายร่างกาย คือพระเจ้าทั้ง 3 พระภาค พระบิดา  พระบุตร  พระวิญญาณบริสุทธิ์  ก็จะเข้ามาอาศัยอยู่ในร่างกายเราทันที เพื่อคอยช่วยเหลือเรา  ในระหว่างดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้

            มีสถานที่หนึ่งในร่างกายของเรา  ที่เป็นอภิสุทธิสถาน  ที่พระเจ้าสถิตอยู่   และเป็นที่ศักดิ์สิทธิ์มาก  ที่นั่น ก็คือวิญญาณที่บังเกิดใหม่ของเรา

            1 โครินธ์ 3:16 “ท่านทั้งหลาย (คริสเตียนที่ได้บังเกิดใหม่แล้ว) รู้แล้วไม่ใช่หรือว่าพวกท่านเป็นวิหารของพระเจ้า และพระวิญญาณของพระเจ้าสถิตอยู่ในพวกท่าน”

            พระเจ้าสถิตอยู่  เพื่อดูแล  รักษาวิญญาณ  ที่พระองค์ได้ทรงไถ่  ทรงให้บังเกิดใหม่เป็นลูกของพระองค์แล้วนั้น  ด้วยฤทธิ์เดชอำนาจของพระองค์เอง  ด้วยความรักดั่งแก้วตาดวงใจของพระองค์

            พระเจ้าอวยพรครับ

วารสาร Holy  News   ฉบับที่ 1389 

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  13  พฤศจิกายน  2022

เรื่อง “คำประกาศของพระเยซู ที่มักมีการเข้าใจผิด” ตอน 11

“คำเทศนาบนภูเขา” Ep.10

“สร้างบ้านบนศิลา คือชีวิตพึ่งพาพระคริสต์ สร้างบ้านบนทราบ คือความตายพึ่งพาตนเอง”

โดย นคร   เวชสุภาพร

            วันนี้เรามาต่อ ถ้อยคำพระเจ้า ซึ่งเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด เพราะคริสตจักรก็มีไว้ เพื่อประกาศข่าวดีของพระเยซูคริสต์ เป็นอาหารทางฝ่ายวิญญาณให้กับบรรดาผู้ที่เชื่อแล้ว  ที่เรียกว่าคริสเตียน และเป็นข่าวดีให้กับบรรดามนุษย์ทุกคนที่ยังไม่เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เพราะฉะนั้น ถ้อยคำพระเจ้ามีอยู่ 2 ทาง ทางหนึ่งให้กับผู้คนที่เป็นคริสเตียนแล้ว ก็เป็นอาหารทางฝ่ายวิญญาณให้กับเขา เจริญเติบโตขึ้นไป ในการเป็นลูกของพระเจ้า ในความจริงว่าเป็นลูกของพระเจ้าแล้ว ส่วนคนที่ยังไม่ต้อนรับพระเยซูคริสต์ เรียกว่ายังไม่ได้เป็นคริสเตียน ไม่เชื่อนั้น ถ้อยคำพระเจ้าที่ประกาศนี้เป็นข่าวดีที่จะให้ท่านได้รับความรอดนั่นเอง

            เรายังอยู่ในซีรี่ย์ชุด “คำประกาศของพระเยซู ที่มักมีการเข้าใจผิด” ซึ่งวันนี้เป็นตอนที่ 11  และเป็น EP.10 ของเรื่อง “คำเทศนาบนภูเขา” วันนี้ให้ชื่อเรื่อง EP.10 นี้ว่า “สร้างบ้านบนศิลา คือชีวิต  พึ่งพาพระคริสต์ สร้างบ้านบนทราย คือความตาย พึ่งพาตนเอง” เราเรียนกันมา 10 ตอนแล้ว รู้แล้วใช่ไหมครับว่าพระเยซูกำลังประกาศให้กับชาวยิว ที่ยังไม่เชื่อ ยังไม่ได้เป็นคริสเตียน  ยังไม่ได้เกิดใหม่ ในวิญญาณ ถ้าเรานำสิ่งเหล่านี้ ที่พระองค์ทรงประกาศนี้ มาใช้กับคริสเตียนที่บังเกิดใหม่แล้ว มันจะเกิดผลเสียหาย เกิดผลไม่ดี เพราะว่าคริสเตียนได้อยู่ในสวรรค์แล้ว และได้อยู่ในสวรรค์ตลอดไปด้วย

            เพราะฉะนั้น ถ้าเผื่อเราเอาคำประกาศเหล่านี้ไปใช้กับคนที่เป็นคริสเตียน ซึ่งพระเยซูประกาศกับชาวยิว และคนที่ไม่ได้เป็นคริสเตียน ก็จะทำให้คนที่เป็นคริสเตียนนั้น ลังเลใช่ไหม? …

            “ตกลงเราอยู่ในสวรรค์หรือเปล่าเนี้ย”

            พระเยซูบอกสำเร็จแล้ว แต่นี่มันสำเร็จหรือไม่? แทนที่จะมีความมั่นใจ หายเหนื่อยและเป็นสุข ดำเนินกับพระเยซูต่อไปด้วยความปิติยินดี ในความรอดเรียบร้อยแล้ว รอดตลอดไป ก็กลายเป็นมาลุ้นว่าหลังความตาย จะยังอยู่ในสวรรค์ไหม? พอลุ้นในความตาย อยู่ในสวรรค์ไหม? ก็แสดงว่าขณะที่ดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ ยิ่งลุ้นใหญ่เลยว่า …

            “ตกลงฉันรอดหรือยัง? ฉันเกิดใหม่หรือเปล่า?”

            สรุปแล้ว เป็นการสงสัยในข่าวประเสริฐ ข่าวดีของพระเจ้า ซึ่งตัวเองรับไปเรียบร้อยแล้ว เป็นการบ่งบอก หรือสำแดงถึงว่ากำลังพูดว่าพระเยซูพูดไม่จริงมั้ง พระองค์บอกสำเร็จแล้ว …

            “นี่มันไม่สำเร็จนี่นา ฉันต้องช่วยอะไรไหม? สรุปแล้วว่าหลังความตาย วันพิพากษาฉันต้องยืนอยู่ต่อหน้าการพิพากษาหรือเปล่า? ฉันรอดจากการถูกพิพากษาลงโทษหลังความตายหรือไม่?”

            เห็นไหม? มันก็เกิดความลุ้นอย่างนี้ แล้วมันตรงความจริงของถ้อยคำพระเจ้าไหม? ไม่ตรง เพราะฉะนั้น เราต้องเรียนรู้ตรงนี้ให้ละเอียด ผมจึงใช้เวลาอธิบายตรงนี้ ค่อนข้างละเอียดมากว่าพระเยซูกำลังประกาศให้กับคนที่ยังไม่เชื่อ ยังไม่ได้เกิดใหม่  ยังไม่ได้เป็น คริสเตียน เขายังพึ่งพาการกระทำของตนเองอยู่ โดยการรักษาบทบัญญัติ พระเยซูกำลังมาประกาศให้เขากลับใจใหม่ หันมาพึ่งพาวางใจในพระองค์ อย่าเย่อหยิ่ง หน้าซื่อใจคด คนที่เป็นคริสเตียนแล้ว ไม่เย่อหยิ่งแล้ว ก็หายแล้ว เขากลับมาหาพระองค์แล้ว เรียบร้อยแล้วไง พระองค์กำลังมาประกาศให้กับชาวยิว ผู้ซึ่งยังไม่เชื่อพระเจ้า ผู้ยังไม่ได้บังเกิดใหม่ ยังไม่ได้เป็นคริสเตียนว่าจงยอมถ่อมใจ  แสวงหาอาณาจักรของพระเจ้า อาณาจักรของสวรรค์และความชอบธรรมของพระเจ้าเสียก่อน  โดยผ่านทางการวางใจ ยอมรับพระองค์ว่าพระองค์คือพระคริสต์ คือพระเมซิยาห์ ที่พระเจ้าพระบิดา สัญญาว่าจะส่งมาช่วยเหลือมนุษย์นั่นเอง

            เพราะฉะนั้น เราสามารถสรุปเป้าหมาย ในการประกาศของพระเยซู ก็คือกับคนที่ยังไม่ได้เป็นคริสเตียน ยังไม่ได้บังเกิดใหม่ คืองานของพระเยซูยังไม่สำเร็จนั่นเอง เพราะว่ายังไม่ได้สิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน ยังไม่ได้เป็นขึ้นจากความตายในขณะที่ประกาศนั้น ซึ่งอย่าลืมนะว่าพระเยซูกำลังพูดถึงโลกวิญญาณ และพูดถึงเรื่องเกี่ยวกับโลกวิญญาณ ซึ่งเป็นทางที่จะเข้าสวรรค์ ทางที่จะได้รับความรอดพ้นจากการถูกพิพากษาลงโทษ หลังความตาย ซึ่งเป็นสิ่งที่สำคัญมาก ในชีวิตมนุษย์ทุกๆ คน นี่พระองค์ทรงชี้ไปตรงนี้ อย่างเดียวเลย ส่วนความจำเป็นในการดำเนินชีวิตแต่ละวันบนโลกใบนี้ พระองค์ให้วางใจในความรัก ความดีงามของพระเจ้า ในโลกวัตถุ ให้วางใจในพระเจ้า ถูกไหม? เพราะฉะนั้น พระองค์ทรงเน้นถึงโลกวิญญาณเท่านั้น

            เป้าหมายของการประกาศของพระเยซู ผมเอามาง่ายๆ สรุปอยู่ในข้อพระคัมภีร์ไม่กี่ข้อเอง นี่คือการประกาศของพระเยซูทั้งหมดเลย ที่ดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ 3 ปี กับคนที่ไม่เชื่อ คือสรุปอยู่ใน 3 ข้อนี้ ในยอห์น 3:16-18 ซึ่งดังมากผมจะอ่านให้ท่านฟัง …

        ยอห์น 3:16-18 “16 พระเจ้าทรงรักมนุษย์และโลกยิ่งนัก ถึงกับได้ประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ คือพระเยซูคริสต์  เพื่อทุกคนที่วางใจ พึ่งพาในการกระทำของพระบุตรนั้น จะไม่พินาศ ตายนิรันดร์ อยู่ในความบาป แต่ได้รับการบังเกิดใหม่ มาเป็นลูกของพระเจ้า มีชีวิตนิรันดร์ ที่เป็นของพระองค์เหมือนพระองค์  17 เพราะว่าพระเจ้าทรงให้พระบุตรเข้ามาในโลก ไม่ใช่เพื่อพิพากษาลงโทษมนุษย์และโลก แต่เพื่อช่วยกู้มนุษย์และโลก ให้รอดจากการถูกพิพากษาลงโทษนั้น โดยผ่านทางการวางใจพึ่งพาในการกระทำของพระบุตร คือพระเยซูคริสต์ 18 คนที่วางใจพึ่งพาในการกระทำของพระบุตร คือพระเยซูคริสต์จะไม่ถูกพิพากษาลงโทษให้พินาศ ส่วนคนที่ไม่ได้วางใจพึ่งพาการกระทำของพระเยซูคริสต์ คือปฏิเสธการช่วยเหลือจากพระเจ้ายังคงยืนกรานอยู่ในการพึ่งพาการกระทำดีของตนเอง ก็ถูกพิพากษา ลงโทษอยู่ในความพินาศในความตายในความบาป เหมือนเดิมอยู่แล้ว เพราะเขาไม่ได้วางใจพึ่งพาในพระนาม พระเยซูคริสต์พระบุตรองค์เดียวของพระเจ้า”

            การประกาศของพระเยซูคริสต์ทั้งหมด สรุปออกมาอยู่ตรงนี้เอง นี่คือหัวใจของการประกาศข่าวประเสริฐทั้งหมด ไม่ว่าจะอ่านอุปมาไหน? อ่านตรงไหน? ต้องวิ่งมาอยู่ตรงเป้าหมายสำคัญ สรุปรวมที่ผมกำลังอ่านนี้ ในยอห์น 3:16-18 ตะโกนดังลั่นตั้งแต่บนภูเขาจนลงภูเขา  จนไปอยู่ในบ้าน อยู่ตรงโน้นตรงนี้ ก็ประกาศอยู่แค่นี้ เอเมนไหม? อะไรก็ตามที่ฟังจากพระเยซู ต้องเอามาเทียบกับตรงนี้ว่ามันตรงไหม?  มันใช่ไหม?

            ครั้งที่แล้วเราจบด้วยเรื่องประตูใหญ่ วางใจตนเอง ประตูเล็ก วางใจพระคริสต์ เรามาทวนกันนิดหนึ่ง พระเยซูประกาศว่าอาณาจักรสวรรค์กำลังมาตั้งอยู่บนโลกนี้ พระองค์คือประตูทางเข้าสวรรค์ เป็นประตูเล็ก ทางแคบ ประตูใหญ่ทางกว้าง คือการพึ่งพาตนเอง คือบาปนั่นเอง เพราะมวลมนุษย์เป็นทาส อยู่ภายใต้พลังอำนาจที่มองไม่เห็น แต่อยู่จริงๆ เหมือนแรงดึงดูดของโลก เห็นไหม ไม่เห็น แต่มีไหม? โยนของขึ้นไป ทำไมตกลงมาล่ะ เพราะมีแรงดึงดูด มีพลังอำนาจบางอย่างที่มองไม่เห็น มวลมนุษยชาติเป็นทาส อยู่ภายใต้พลังอำนาจ กฎของความบาป และความตาย ก็คือพึ่งพาการกระทำของตนเอง ซึ่งมีแต่จะนำไปสู่ความตาย เหน็ดเหนื่อยเท่านั้น  แต่ถ้าเขาหันมาพึ่งพาการกระทำของพระเยซูคริสต์ จะนำพาไปสู่ชีวิตนิรันดร์ หายเหนื่อย นี่คือคำสรุปของคำบรรยายครั้งที่แล้ว

            ในหนังสือโรม 6:23 บอกไว้อย่างนี้ว่า …

        โรม 6:23  “เพราะว่าค่าตอบแทน ค่าจ้างที่ได้จากบาป (คือการพยายามพึ่งตนเองในการกระทำดี ละชั่ว เพื่อจะได้เป็นผู้ชอบธรรม) คือความตาย แต่ของขวัญจากพระเจ้า (ไม่ต้องพยายามทำอะไรเลย แค่เชื่อ แล้วมารับไปเท่านั้น) คือชีวิตนิรันดร์ ในพระเยซูคริสต์ องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา”

            นี่ผมยกถ้อยคำพระเจ้าที่บันทึกไว้ในหนังสือโรม 6:23 มาให้ท่านดู เพื่อสนับสนุนให้ชัดเจนว่าพระเยซูกำลังประกาศอะไร?

            เมื่อมีคำว่า “ค่าตอบแทน” หรือ “ค่าจ้าง” ในข้อความเมื่อสักครู่นี้ ก็หมายความว่าค่าจ้างหรือค่าแรง ต้องทำงานแลกเอาใช่ไหม? ต้องลงแรงลงกาย เหน็ดเหนื่อย ทำงานหนัก ที่จะแลกกับค่าตอบแทน คือค่าจ้าง เรากำลังพูดถึงการเข้าสู่สวรรค์ ค่าตอบแทน ค่าจ้าง ก็คือการได้เข้าไปอยู่ในสวรรค์หลังความตายนั่นเอง

            เมื่อสักครู่นี้ที่เราอ่านในข้อพระคัมภีร์ คำว่าบาปตรงนี้ ส่วนใหญ่ คนจะคิดว่าไปทำบาป ทำชั่ว ทำผิดศีลธรรม แต่ความจริง บาป แปลตรงตัวเลย ภาษาอังกฤษ แปลว่า “miss the target” ภาษาไทย แปลว่า “ผิดเป้าหมายของพระเจ้า” ผิดวัตถุประสงค์ของพระเจ้า ที่วางไว้ ตั้งแต่เริ่มต้นสร้างมนุษย์ใหม่ๆ ผิดเป้าหมายตรงไหน? ตรงที่บาป ก็คือไม่เป็นไปตามน้ำพระทัยพระเจ้า เรียกว่าดื้อรั้น ไม่เชื่อฟังพระเจ้า พระองค์ต้องการให้เราพึ่งในพระองค์เท่านั้น เราก็ไม่ยอมพึ่งในพระองค์ ตกอยู่ในความบาป พระองค์ทรงทราบดีว่าเมื่อเราดื้อ ไม่พึ่งในพระองค์ เราก็จะไม่มีชีวิตของพระองค์อยู่ภายในวิญญาณของเรา ซึ่งโดยลำพังตนเองไม่สามารถกระทำดีได้อย่างครบถ้วนบริบูรณ์ ถ้าปราศจากพระเจ้าสถิตอยู่ด้วยในวิญญาณของเรา ทำดีได้ แต่ไม่สามารถทำได้ครบถ้วนบริบูรณ์ ตามมาตรฐานที่พระองค์ทรงวางไว้ให้ พระองค์ทรงชี้อย่างนั้น บอกตั้งแต่แรกแล้ว แต่เราดื้อ ต้องการพึ่งตนเอง ซึ่งเรียกว่าทำบาปนั่นเอง เพราะฉะนั้น  บาปตัวนี้ ตัวใหญ่มาก ไม่ใช่หมายถึงการทำผิดศีลธรรม ทำชั่ว อย่างนั้นมันเห็นชัดๆ แต่ข้างใน จากแก่นที่อยู่ในวิญญาณ มันคือตรงนี้ คือการไม่พึ่งพระเจ้า

            ซึ่งการที่มนุษย์ทั้งหลายพยายามพึ่งความดี หรือตั้งใจที่จะทำความดี ด้วยตนเอง พยายามเคร่งครัด ในการทำตามกฎของศีลธรรม โดยการทำดีเยอะๆ ละความชั่ว ก็คือพยายามพึ่งพาการกระทำของตนเอง  ซึ่งเป็นสิ่งที่ดี ดีมาก และได้ผลตอบแทนดีไหม? ดี แต่เป็นผลตอบแทนที่ดีในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้เท่านั้น  แต่สิ่งที่พระเยซูกำลังประกาศนี้ เป็นเรื่องเกี่ยวกับผลทางด้านฝ่ายวิญญาณ ซึ่งเรามองไม่เห็น ถ้าเราพึ่งพาในการกระทำของตนเอง เราก็จะได้สิ่งที่ดี ในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ เท่าที่มองเห็นเท่านั้น  แต่ในโลกทางฝ่ายวิญญาณ พระคัมภีร์ได้บอกชัดเจน ผลตอบแทนที่ได้รับ เมื่อพึ่งพาตนเอง คือความเหนื่อย แล้วยังต้องตายอีก หมายถึงพินาศทางวิญญาณ คือถูกตัดขาดความสัมพันธ์กับพระเจ้า เป็นศัตรูกับพระเจ้า เข้าไปอยู่ในสวรรค์กับพระเจ้าไม่ได้ หลังความตาย วิญญาณต้องไปอยู่ในสถานที่ที่ไม่มีพระเจ้า ทุกข์ทรมานชั่วนิรันดร์นั่นเอง

            เพราะฉะนั้น ขณะที่ดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ ต้องทำงานอย่างหนัก ในการรักษาความดี ละชั่ว หนักไหม? ที่เราบอกตั้งใจทำดี ละชั่ว เพื่อจะได้ไปสวรรค์ มนุษย์ทุกคนก็คิดอย่างนี้ แล้วมันเหนื่อยไหมล่ะ มันเหนื่อย เพราะมันไม่ได้ เพราะว่าเราใช้กำลัง พึ่งพาในการตั้งใจด้วยตนเอง

            “ฉันจะกระทำให้ดีที่สุด”

            แล้วทำมันก็ไม่ได้ ซึ่งก็ให้ผล ก็คือความตายในวิญญาณ เหมือนเดิม เพราะเราอยู่ภายใต้ พลังกฎของความบาปและความตายอยู่ เราก็อยู่เหมือนเดิม หลุดออกจากมันไม่ได้ แถมเหนื่อยอีกต่างหาก  เหนื่อยเท่าไร? ก็ไม่ได้ เพราะว่าเหนื่อยเท่าไร ก็ได้รับผลออกมา คือความตาย เพราะทำดีเท่าไร ก็ไม่สามารถถึงมาตรฐานของพระเจ้า  ที่จะเข้าสวรรค์ ไปอยู่กับพระเจ้าได้เลย พระเยซูชี้ให้เห็นถึงโลกฝ่ายวิญญาณ สถานะทางโลกฝ่ายวิญญาณอย่างนี้ พระองค์จึงบอกว่า …

            “ใครมีหู จงฟังเถิด ใครมีตา จงมองให้เห็นเถิด”

            คือตาทางฝ่ายวิญญาณ แต่เมื่อสักครู่นี้ที่เราอ่าน โรม 6:23 บอกว่าแต่ของขวัญจากพระเจ้า จะตรงกันข้ามกับค่าตอบแทนแน่นอน เพราะถ้าจะได้ค่าตอบแทน ก็ต้องทำงานหนัก

            ค่าตอบแทน แปลว่าเราลงอะไรไปอย่างหนึ่ง แล้วได้ค่าตอบแทนมา ถูกไหม? เราลงทุนอะไรบางอย่าง แต่ของขวัญ แปลว่าฟรี เราก็รู้ๆ กันอยู่ นี่พระคัมภีร์ เขียนไว้ก่อนหน้า ตั้ง 2,000 ปีแล้ว แต่ของขวัญ คืออยู่เฉยๆ ไม่ต้องทำอะไรเลย ก็ได้ของขวัญนี้มา เพราะรัก ใครรักเรา? ของขวัญนี้ใครให้? พระเจ้าให้ ก็คือพระเจ้ารักเรา ให้เราฟรีๆ เราแค่เดินเข้าไปรับจากพระเจ้าเท่านั้น เรียกว่าฟรี เรียกว่าเป็นพระคุณไง เป็นพระคุณไม่ใช่พระเดช พระเดช คือท่านต้องทำงานอะไรบางอย่าง แล้วถึงจะได้รับ แต่นี่เป็นพระคุณ ให้ฟรีๆ และนี่แหละ คือพระประสงค์ของพระเจ้า คือความต้องการของพระเจ้า ตั้งแต่เริ่มต้น คือให้เราพึ่งในพระองค์อย่างเดียวเท่านั้นที่พระองค์ต้องการจากมนุษย์ ก็คือ …

            “เข้ามาพึ่งพ่อ เข้ามาอยู่กับพ่อ เจ้าช่วยตัวเองไม่ได้หรอก”

            นี่คือสิ่งเดียวที่พระเจ้าต้องการ ไม่ต้องการอะไรอย่างอื่น ต้องการให้เราพึ่งในพระองค์ ของขวัญนี้ที่เราได้รับฟรี คือชีวิตนิรันดร์ คือการได้บังเกิดใหม่ เป็นวิญญาณที่บริสุทธิ์ สะอาด ปราศจากความบาปใดๆ เป็นวิญญาณที่เป็นเหมือนพระเจ้า เป็นลูกของพระเจ้า สามารถอยู่ในสวรรค์กับพระเจ้าได้ทันทีทันใดเลย ขณะดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ และหลังความตาย ก็จะอยู่สถานที่เดิม ก็จะอยู่ในพระเจ้า อยู่ในสวรรค์นี้ตลอดไป โดยแค่ผ่านทางความเชื่อและวางใจในสิ่งที่พระเยซูคริสต์กระทำให้กับเราทั้งหลายบนไม้กางเขนเท่านั้น เราก็ได้รับของขวัญนี้มาฟรีๆ เดินเข้าไปรับฟรีๆ รับเดี๋ยวนี้  อยู่ในสวรรค์เดี๋ยวนี้เลย และจะอยู่ในสวรรค์อย่างนี้ตลอดไป หลังความตาย ก็จะอยู่ในสวรรค์นี้เหมือนเดิม

            พระคริสต์จึงได้ตรัสอย่างนี้ว่า “มนุษย์ผู้ใดแบกภาระหนักและเหน็ดเหนื่อยจงมาหาเราเถิด เราจะให้ผู้นั้นเหนื่อยมากยิ่งขึ้น” ไม่ใช่

            ทุกคนก็ท่องได้แล้ว พระองค์ตรัสว่า “ผู้ใดแบกภาระหนักและเหน็ดเหนื่อย จงมาหาเราเถิด เราจะให้ผู้นั้นหายเหนื่อยและเป็นสุข”

            นี่คือข่าวดีหรือข่าวร้าย ข่าวดี มันฟรีๆ ข่าวร้ายมันเหนื่อยยากลำบาก และแถมไม่ได้ด้วย ข่าวดีนี้ง่ายๆ แต่ทำไมถึงเป็นทางแคบ คิดใช่ไหม? ถ้ามันง่ายอย่างนี้ ทุกคนก็เข้ามาหมด นั่นนะสิ ผมก็เคยคิดอย่างนี้ในอดีต  มันง่ายอย่างนี้ ทุกคนก็เข้า แล้วทำไมไม่เข้าล่ะ เรามาดูว่าทำไมไม่เข้า? ง่ายอย่างนี้ คือแค่การวางใจในพระเยซู ก็ได้รับของขวัญนี้แล้ว แต่การวางใจในพระเยซูเป็นทางแคบ ก็เพราะว่าเป็นการต่อสู้กับที่ตะกี้นี้บอก ต่อสู้กับพลังอำนาจ แรงดึงดูดของโลก ที่เราโยนของลงไป แล้วมันตกลงมา มันสู้ไหม? สู้ เราโดดลงไปในน้ำ มันพยายามดูดเราจมน้ำไหม? เราต้องทำอะไร? สู้ ถ้าเราไม่สู้ มันก็ถูกดูดลงไปจม ยกเว้นเราจะมีห่วงยางคอยช่วยเหลือ พยุงเราไว้ ถูกไหม? นั่นคือพลังอำนาจที่มองไม่เห็น แต่มีอยู่จริง ถูกไหม?

            เพราะฉะนั้น พลังอำนาจของความบาป คือความตายในวิญญาณ การพินาศในวิญญาณ ซึ่งครอบครองอยู่ในใจของมนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้ ตามที่พระคัมภีร์ได้บ่งบอกไว้ และมันเป็นศัตรูกับพระเจ้า ก็คือบาปนั่นเอง ซึ่งมารพยายามปิดบังตา โกหก ไม่ให้มนุษย์เห็นความจริงของพระเยซูคริสต์ ที่ประกาศนั้น แต่พระเยซูคริสต์มาบนโลกใบนี้ และประกาศ เพื่อเปิดเผยความจริงเหล่านี้ ให้กับมนุษย์ได้เห็นว่ามันเป็นอย่างนี้อยู่ มนุษย์มองไม่เห็นพลังอำนาจมืดตรงนี้อยู่ว่ามันดึงเราอยู่ ที่เราไม่เชื่อพระเจ้า เพราะมีอะไรบางอย่างดึงเราอยู่ มันง่ายจริง แต่เป็นทางแคบ เพราะมีอำนาจที่มองไม่เห็นดึงเราไม่ให้เชื่อ และผู้ที่ดึงเราไม่ให้เชื่อนั่น ก็คือมาร ใช้กฎ พลังอำนาจของความบาปและความตายที่มองไม่เห็น เป็นอาวุธ ตัวมารเอง ไม่มีอำนาจอะไรเลย แต่พลังอำนาจของความบาปและความตาย มันมีอยู่จริง มันพยายามดึงเราไปสู่ความตาย อยู่ห่างจากพระเจ้า

            เพราะฉะนั้น มนุษย์ทุกคนจะเข้าอาณาจักรสวรรค์ได้ จึงต้องดิ้นรน นึกออกใช่ไหม?  ที่ตะกี้นี้ผมบอกว่าเหมือนเราอยู่ในน้ำ และมีแรงดึงดูดของโลกที่มองไม่เห็น ดูดเราจมน้ำ เราต้องดิ้นรน เราอยากพ้นจากบาป ด้วยกำลังของเราเอง พ้นได้ไหม? ไม่ได้ ทั้งชีวิต มันจะดูดเราลงตลอด ตกลงไปตลอดเวลา นั่นแหละ คือสภาพของมนุษย์ทุกคน ที่จะเข้าสวรรค์ อาณาจักรสวรรค์บนโลกใบนี้ นั่นแหละ เป็นอย่างนั้น พระเยซูจึงบอกว่าเขาจึงต้องเคาะแล้วเคาะอย่างต่อเนื่อง หาและหาอย่างต่อเนื่อง ขอและขออย่างต่อเนื่อง ไม่หยุดยั้งเลย หยุดเมื่อไร มันจะจม เขาจะต้องไม่หยุดยั้ง จนกว่าเขาจะเข้าสวรรค์ได้ ก็คือจนกว่าเขาจะเจอเรือมารับ ห่วงยางโยนลงมา นั่นแหละ เขาจึงจะได้พักผ่อน คริสเตียน คือผู้ที่เกาะห่วงยาง และพระเยซูดึงขึ้นไปบนเรือแล้ว จบแล้ว ไม่ต้องกระหืดกระหอบ นึกออก ไม่ต้องกระเสือกกระสนแล้ว

            เพราะฉะนั้น คนที่จะเข้าสู่สวรรค์ได้ เขาต้องขอ หา เคาะไม่หยุดยั้ง จนกว่าจะได้เข้าสวรรค์ ก็คือเขาจะต้องตัดสินใจ ตั้งใจจริง  ดิ้นรนที่จะออกจากระบบ ต่อสู้กับระบบ พลังแรงดึงดูดของโลก ผมพยายามยกตัวอย่าง และเทียบกันนะ  เขาจะต้องดิ้นรน ตัดสินใจที่อยากจะหลุดออกจากพลังแรงดึงดูดของโลก ก็คือแรงดึงดูดของกฎของความบาปและความตาย ที่ครอบครองอยู่ในใจของเขา  และอยู่บนโลกใบนี้ทั้งหมด

            เหมือนอยู่ในน้ำ ก็ต้องสู้ เขาไม่ได้สู้กับน้ำหรอก แต่เขาสู้กับแรงดึงดูดของโลกที่ดูดอยู่ มนุษย์ทุกคนก็เหมือนกัน เขาจะต้องตัดสินใจว่าจะต้องสู้กับพลังแรงดึงดูดของกฎของความบาปและความตาย ที่อยากจะพึ่งพาตนเอง แล้วย้ายมาทางใหม่ พระเยซูก็ประกาศแล้ว ก็คือย้ายมาสู่กฎของวิญญาณ ในพระเยซูคริสต์ ซึ่งเป็นทางแคบ เพราะว่าธรรมชาติของมนุษย์อยู่ภายใต้พลังของความบาปและความตายทั้งโลกอยู่แล้ว

            พระเยซูเป็นเหมือนเรือลำหนึ่งมาช่วย เราอยู่ข้างล่าง อยู่ในน้ำ เป็นมหาสมุทร ซึ่งพลังนี้ดูดลงไปหมดเลย ดูข้างๆ ไม่มีทางรอดสักแห่ง เพราะทุกคนก็อยู่ในพลังแรงดึงดูดของโลกนี้อยู่ ต้องมองไปที่เดียว คือมองไปที่เรือและมองไปที่ห่วงยางที่พระเยซูส่งมา มันจึงเป็นทางแคบ เพราะส่วนใหญ่นั้น อยู่ภายใต้พลังแรงดึงดูดของกฎของความบาป และความตายอยู่ ต้องกระเสือกกระสนหักแอกแห่งการเป็นทาสของความบาป คือการพึ่งพาการกระทำดีของตนเอง ซึ่งมันครอบครองอยู่ในใจและอยู่บนโลกใบนี้ทั้งหมด เราจะต้องสู้กับมัน หลุดออกมาให้ได้

            ในโลกวิญญาณที่เรามองไม่เห็นนี้ พระเยซูอธิบายว่ามันมี 2 แห่งที่มันกำลังสู้กันอยู่ พลังหนึ่งเรียกว่าพลังของความบาปและความตาย แต่พระเยซูที่ประกาศอยู่นี้ กำลังบอกว่าสวรรค์กำลังจะมาตั้งอยู่ ก็คือพลังของความดีงามของพระเยซูคริสต์ พลังแห่งความรอดในพระเยซูคริสต์กำลังมาเกิดขึ้น กำลังมาตั้งอยู่บนโลกใบนี้ เพราะฉะนั้น จะมีอยู่ 2 อาณาจักรให้เลือก กำลังจะต่อสู้กันในไม่ช้านี้ เมื่อพระองค์ทรงกระทำการงานสำเร็จที่ไม้กางเขนแล้ว พระองค์เอาสวรรค์ลงมาแล้ว จะมีกฎของการเข้าสวรรค์ คือกฎของวิญญาณแห่งชีวิตในพระเยซูคริสต์ ซึ่งจะเป็นกฎที่เอามาต่อสู้กันกับกฎของความบาปและความตาย และกฎของพระเยซูคริสต์ที่จะชนะกฎของความบาปและความตาย  มันมี 2 แห่งเท่านั้น และ 2 แห่งนี้ ต้องสู้กัน พระเยซูกำลังมาประกาศจะบอกเลยว่าอาณาจักรสวรรค์ เป็นอาณาจักรที่ต้องแย่งชิงเอา เคยได้ยินใช่ไหม? ในมัทธิว 11:12 บอกอย่างนี้ พระเยซูประกาศว่าอาณาจักรสวรรค์ต้องแย่งชิงเอา  ก็คือสู้กัน 2 อันระหว่างอาณาจักรของความมืดกับอาณาจักรของความสว่าง เป็นสงครามฝ่ายวิญญาณ ที่มนุษย์อยู่ตรงกลางต้องเป็นผู้ตัดสินใจ ต้องเลือกว่าจะอยู่ข้างไหน ซึ่งเดิมที มนุษย์ไม่มีทางเลือกเลย ไปอยู่ข้างเดียว ก็คืออยู่ภายใต้กฎของความบาปและความตาย แต่บัดนี้ พระเยซูมาเริ่มต้นกฎใหม่ คือกฎของวิญญาณแห่งชีวิตในพระเยซูคริสต์ นำสวรรค์ลงมาตั้งอยู่ และมีทางใหม่ให้เลือกแล้ว

            มนุษย์มีโอกาสได้เลือกแล้วว่าจะเลือกทางใหม่ หรือทางเก่า ต้องตัดสินใจเลือกข้าง ระหว่างทางเก่ากับทางใหม่ ก็คือระหว่างวางใจพึ่งพาการกระทำดีของตนเองกับการวางใจพึ่งพาการกระทำของพระเยซูคริสต์บนไม้กางเขน มนุษย์ต้องเป็นผู้เลือก จะเห็นภาพเลยว่ามารไม่มีอำนาจเลย เห็นไหมครับ? มนุษย์เลือกได้ แต่ก่อนหน้าที่พระเยซูจะมาเกิดเป็นมนุษย์ และทำงานให้สำเร็จ ที่ไม้กางเขนนั้น มนุษย์เลือกไม่ได้ เพราะไม่มีกฎใหม่ให้เลือก มนุษย์ทุกคนอยู่ภายใต้กฎของความบาปและความตายอยู่ แต่พระเยซูนำสวรรค์เข้ามาตั้งอยู่ แต่สวรรค์ที่พระองค์ทรงนำมาตั้งอยู่นั้น เป็นทางเลือกให้มนุษย์ต้องเลือกเข้ามาเอง มนุษย์ต้องตัดสินใจเองว่าจะเข้ามาไหม? นึกออกใช่ไหม?

            โอเค เรามาต่อวันนี้ ต่อจากครั้งที่แล้ว จบลงตรงทางแคบ มีคนถามไหมว่าทางแคบ ทำไมถึงแคบ อธิบายลำบาก เลยพยายามที่จะอธิบายวันนี้ให้ชัดเจนขึ้น แต่อย่างที่บอกต้องไปฟังเยอะๆ และไปอธิษฐาน แล้วท่านจะเห็นภาพชัดเจนว่าทำไมถึงเป็นทางแคบ สังคมรับไม่ได้ไง พระเยซูกำลังมาบอกอย่างนี้ นี่คือทางแคบรับไม่ได้ เพราะเขายังอยู่ในพลังอำนาจของความบาปและความตาย ปกคลุมอยู่เหนือโลกใบนี้ แล้วก็ทำงานอยู่ในใจของเขา  อยู่ในวิญญาณของเขาอยู่ ดั้งเดิมมันเป็นอย่างนี้ พระเยซูต้องกระชากเขาออกมาจากพลังอำนาจเดิม หลุดออกมาจากการเป็นทาสได้  มันไม่ง่าย

            วันนี้ต่อ คือมัทธิว 7:15-16 อุปมาเกี่ยวกับเรื่องต้นไม้และผลของมัน ผลของต้นไม้ …

        มัทธิว 7:15-16 “15 จงระวังผู้เผยพระวจนะเท็จ เขามาหาพวกท่านในคราบแกะ แต่ภายใน คือสุนัขป่าดุร้าย 16 ท่านจะรู้จักเขาโดยผลของเขา กอหนามจะออกผลเป็นองุ่น และพุ่มหนาม จะออกผลเป็นมะเดื่อได้หรือ?”

            ผู้เผยพระวจนะเท็จคือใคร? พระเยซูกำลังพูดถึงพวกฟาริสี ธรรมาจารย์ที่กำลังต่อต้านพระเยซูคริสต์ และจะต่อต้านไปในอนาคตด้วย พระองค์ทรงเปรียบเทียบ วิญญาณพวกเขาเหมือนต้นไม้ ต้นไม้ คือวิญญาณ ผู้ที่ยังไม่เชื่อ ภายในวิญญาณของเขายังเป็นคนชั่ว ยังเป็นคนบาป เป็นสุนัขป่าดุร้าย นี่พระองค์กำลังพูดกับชาวยิว ฟาริสี ธรรมาจารย์ ที่หน้าซื่อใจคดว่าภายในวิญญาณของเขา ยังเป็นคนชั่ว เป็นคนบาป เป็นสุนัขป่าดุร้าย

            ผลของวิญญาณเลว ก็คือวิญญาณเขาเลว ไม่ดี ชั่ว เขาจึงมีผล ก็คือปฏิเสธ ไม่ยอมรับว่าพระเยซูคริสต์ เป็นพระมาซิฮาห์ ชัดเจนไหม? อาณาจักร 2 แห่ง สู้กัน เขาจะต่อต้าน ข่มเหง ความจริง คือพระเยซูคริสต์และผู้เชื่อในพระองค์ ในอนาคตอันใกล้นี้ เขาต่อต้านพระเยซู เขาก็จะต่อต้านคนที่เชื่อเหล่านั้น เพราะวิญญาณมันไม่ดี ผลิตผลออกมา ก็คือไม่เชื่อในพระเยซูคริสต์นั่นเอง ต่อไปในมัทธิว 7:17-20 …

        มัทธิว 7:17-20 “17 ในทำนองเดียวกัน ต้นไม้ที่ดีทุกต้นย่อมให้ผลที่ดี ส่วนต้นไม้เลวย่อมให้ผลที่เลว 18 ต้นไม้ดีไม่อาจให้ผลเลว และต้นไม้เลวไม่อาจให้ผลดี 19 ต้นไม้ทุกต้นที่ไม่ให้ผลดี ก็ถูกโค่น และโยนลงในไฟ 20 ฉะนั้น ท่านจะรู้จักเขาได้ จากผลของเขา”

            คราวนี้ พระองค์ก็กลับมาพูดกับคนทั่วๆ ไปแล้ว ชาวยิวกับคนทั่วๆ ไป ที่ยังไม่ได้เป็นคริสเตียน ย้ำอีกที จะได้ชัดๆ  บอกว่าผลของต้นไม้ดี ก็คือวิญญาณดี เป็นชีวิตนิรันดร์ เป็นผู้ชอบธรรม บริสุทธิ์ ดีพร้อมเหมือนพระเจ้า นี่คือผลของวิญญาณ  ผลของต้นไม้เลว  ก็คือความพินาศในบาป สกปรก ไม่บริสุทธิ์เหมือนพระเจ้า ตรงข้ามกันนั่นเอง  แต่ว่าดูภายนอกแล้วดูดี คล้ายๆ กัน เหมือนผลไม้ ปัจจุบัน เรียกว่าผลไม้พลาสติก ของเทียม ซึ่งบางครั้งดูแล้ว มันดูดีกว่าของจริงอีก เราดูไม่ออก เพราะทำดีเหมือนๆ กัน เป็นผลไม้เหมือนกันเลย ลักษณะเหมือนกัน พระเยซูกำลังบอกว่าอยู่ที่วิญญาณ ถ้าวิญญาณดี ก็ให้ผลดี ถ้าวิญญาณชั่วเลว ก็ให้ผลเลว

            นี่คือสัจจธรรมที่พระเยซูกำลังบอก  มันขึ้นอยู่กับวิญญาณ วิญญาณดี ก็คือวิญญาณที่อยู่ในพระเยซูคริสต์ อยู่ในสวรรค์ อยู่ในอาณาจักรของพระเยซูคริสต์ คืออาณาจักรสวรรค์นั่นเอง ตรงกันข้าม วิญญาณชั่ว เลว เป็นวิญญาณที่อยู่ในอาณาจักรของความบาปและความตาย ก็คือการพึ่งพาตนเอง  อยู่ในความพินาศ ซึ่งเราก็รู้แล้วว่าพระคัมภีร์บอกว่าอยู่ในอาดัมนั่นเอง ก็คืออยู่ในบรรพบุรุษเดิม  ที่ตกลงไปในความบาป

            พระเยซูชี้ให้เห็นว่าถ้าเกิดคุณอยู่ในอาดัม  ความชอบธรรมของคุณ ก็คือความดีงามที่คุณกระทำทั้งหมดนั้น ก็เหมือนเศษผ้าขี้ริ้วสกปรก  ดังนั้น ในโลกนี้จึงมีคนเพียง 2 ประเภทเท่านั้น คือประเภทที่มีวิญญาณอยู่ในอาดัมกับประเภทที่มีวิญญาณอยู่ในพระคริสต์

            ในโลกนี้ทั้งหมด มองไปดูเหมือนๆ กัน เป็นคนหมดเลย เป็นมนุษย์หมด แต่พระเยซูบอกว่าในอนาคตอันใกล้ จะมีคนอยู่ 2 ประเภท คือประเภทหนึ่งที่ยังพึ่งพาตนเอง  เรียกว่าอยู่ในอาดัม อีกพวกหนึ่งที่พึ่งพาพระเยซูคริสต์เรียกว่าอยู่ในสวรรค์อยู่แล้ว อยู่ในพระคริสต์ 2 ประเภทเท่านั้น ดูภายนอก ก็เหมือนๆ กัน และในความเป็นจริง ผู้ที่อยู่ในอาดัม ก็มีผู้ที่กระทำความดี ถูกไหม? คนที่อยู่ในอาดัม ที่ไม่เชื่อ พึ่งพาการกระทำของตนเอง ก็มีคนกระทำดี  และผู้ที่อยู่ในพระคริสต์ อยู่ในสวรรค์เรียบร้อยแล้ว เป็นคริสเตียนแล้ว ก็มีคนที่กระทำผิดบาปด้วยเช่นเดียวกัน นึกออกไหม?

            ตามองไม่เห็น แต่มันเป็นอย่างนี้จริงๆ ซึ่งพระเยซูกำลังบอกความจริง ในโลกวิญญาณ ชี้ให้เห็นว่าจงมองให้เห็นเถิดว่าถ้าวิญญาณ ยังเป็นบาปอยู่ ยังพึ่งพาในการกระทำของตนเอง ยังอยู่ภายใต้กฎของความบาปและความตายอยู่ ยังถูกพลังอำนาจของความบาปและความตายดูดอยู่ ยังเป็นทาสของความบาปและความตายอยู่นั้น ถ้าวิญญาณยังเป็นบาปอยู่นั้น ต่อให้พยายามทำดีมากเท่าไร ผลของวิญญาณนั้น ก็คือความตายพินาศนั่นเอง  แต่ดูภายนอก ดูเหมือนๆ กัน ฉันใด  ถ้าวิญญาณได้เป็นผู้ชอบธรรมแล้ว เชื่อวางใจในพระเยซูแล้ว เกิดใหม่แล้ว  ต่อให้ทำความชั่วมากเท่าไร? ผลออกมา ก็ยังคงเป็นความชอบธรรม เป็นชีวิตนิรันดร์ฉันนั้น นี่คือทางแคบไหม? มนุษย์ทุกคนฟังแล้ว …

            “โอ๊ย! เป็นไปได้อย่างไร? ไม่ยุติธรรมเลย”

            แล้วที่เราเชื่อกันมาแต่ไหนแต่ไรว่าเกิดมาเราก็มีบาปติดตัว ต้องชดใช้กรรมกี่ชาติ กี่ปี ไม่หมดสักที อย่างนี้ยุติธรรมไหม?  ไม่มีใครมาสอนเรา เราก็เชื่อ  เราเกิดมาใช้กรรม ยังไม่ได้ทำอะไรเลย ใช้กรรมอะไรล่ะ  ไม่รู้ ก็เกิดมาใช้กรรม  เราก็ยังเชื่ออย่างนั้น  แล้วพระเยซูกำลังบอกว่าเกิดใหม่ ได้ไปสวรรค์เลย  ไม่ต้องทำอะไรเหมือนกัน ทีอย่างนี้บอกไม่ยุติธรรม เกิดมาใช้กรรม ทำดีตั้งเยอะแยะ แต่ก็ไม่หมดสักทีหนึ่ง ไม่รู้ชาติไหนจะหมด ทำดีชาตินี้ ทำๆ จนเหนื่อย จนตาย ก็ไม่ได้ ชาติหน้าก็ทำต่อ  ทีอย่างนี้เราเชื่อได้ง่ายๆ เพราะอะไร? สรุปง่ายๆ ก็คือเพราะว่ามีพลังอำนาจความมืด ดูดให้เราเชื่ออย่างนั้น โดยที่เราไม่รู้ตัว มันแอบอยู่ เรามองไม่เห็น แต่พระเยซูกำลังมาชี้ให้เรามองเห็น

            ทั้งหมดนี้ ขึ้นอยู่กับวิญญาณเท่านั้นว่าเป็นวิญญาณที่ดี หรือวิญญาณที่ไม่ดี วิญญาณที่เป็นบาป หรือวิญญาณที่เป็นผู้ชอบธรรมนั่นเอง อยู่ในอาณาจักรไหนในโลกวิญญาณ เหมือนที่พระเจ้าถามอาดัมว่าอยู่ไหน? ก็อยู่ในการพึ่งพาตนเอง พระองค์บอกเป็นนัยๆ ว่าเจ้าไม่ได้อยู่ในสวรรค์แล้วนะ หลุดจากสวรรค์แล้ว ถ้าอยู่ในสวรรค์ต้องพึ่งพาในพระเจ้าเท่านั้น นี่ต้องพึ่งพาตนเองอยู่ในบาป

            อย่างที่บอก มันเป็นกฎ เหมือนแรงดึงดูดของโลก ต่อให้เราไม่เห็น มันก็มีอยู่จริง  และมันก็เกิดผลจริงๆ โยนขึ้นไป มันก็ตกลงมาจริงๆ  รับรองได้ และยุติธรรมจริงๆ ด้วย ก็คือไม่ว่าจะเป็นคนชั่ว หรือทำดี หรือดีขนาดไหน?  หรือชั่วขนาดไหน? แรงดึงดูดของโลก ก็ยังทำงานเหมือนเดิม เราทำบุญมากๆ ทำดีเยอะๆ  เป็นคนเมตตากรุณามากๆ เลย ของไม่หล่นใส่หัวเราเหรอ? โยนของขึ้นไป ไม่หล่นลงมา ปีนขึ้นต้นไม้ กิ่งไม้หัก ไม่ตกลงมาตาย ตายไหมถ้าสูงๆ ตาย คนชั่วตกลงมา เราก็บอกเพราะทำชั่ว เลยตกลงมาตาย  แต่ปรากฏว่าคนดี ก็ตาย เหมือนกัน ตอบไม่ถูกเหมือนกัน มันเป็นกฎ

            ในเรื่องของวิญญาณ ที่พระเยซูกำลังอธิบายนี้ มันก็เป็นกฎ ซึ่งวิญญาณดี วิญญาณชอบธรรม เป็นของพระเจ้า ให้มาฟรีๆ ผ่านทางการวางใจในพระเยซูคริสต์ พระเมซิยาห์ของชาวยิว  หมายถึงเป็นภาษาของยิว  แปลว่าพระผู้ช่วยให้รอด  การเปลี่ยนแปลงกฎนี้ ก็ทำแค่สิ่งเดียว เป็นของขวัญ พระเจ้าให้ฟรีๆ  ก็คือเพียงแค่พึ่งพาวางใจในการกระทำของพระเยซูคริสต์ ที่พระองค์ทรงสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน  ถูกฝังไว้ในอุโมงค์ และเป็นขึ้นจากความตายในวันที่ 3 ได้เริ่มต้นกฎของวิญญาณแห่งชีวิตขึ้นมา เรียกว่ากฎของวิญญาณแห่งชีวิตที่สามารถพาผู้คนไปอยู่ในสวรรค์ได้  ให้ผู้คนย้ายเข้ามาอยู่ในกฎนี้ ย้ายมาอยู่ในทางของพระองค์นี้ ซึ่งผู้คนฟังแล้วก็ไม่เข้าใจ ก็เลยเป็นทางแคบ  ใครที่วางใจ วิญญาณก็จะได้รับการเปลี่ยนแปลงใหม่ ย้ายสถานที่อยู่ ใครที่วางใจพระเยซู ตามที่พระองค์บอก ใครที่วางใจในพระเมซิยาห์ คือพระผู้ช่วยให้รอด  พระเยซูคริสต์ วิญญาณของเขา ก็จะได้รับการเปลี่ยนแปลง ได้ย้ายสถานที่อยู่ จากอาณาจักรเก่าไปสู่อาณาจักรใหม่ เห็นหรือยัง? จากวิญญาณที่บาป กลายเป็นวิญญาณที่ดี ได้รับชีวิตนิรันดร์ เป็นผลของวิญญาณ ได้อยู่ในสวรรค์ ชัดเจนเลย มี 2 แห่ง ซึ่งอย่างที่บอก ถ้าเราคิดตามปัญญาของมนุษย์ รับความจริงเหล่านี้ไม่ได้ ก็เลยเป็นทางแคบ ซึ่งจริงๆ คิดให้ดีๆ ที่ตะกี้นี้บอก ที่เราคิดอะไรต่างๆ ถูกหลอก แม้เชื่อในบาปเวรกรรมว่าเกิดมา ต้องใช้เวรใช้กรรม ทีอย่างนี้เราเชื่อได้ เพราะพลังอำนาจมันสนับสนุนเรา เพราะฉะนั้นต้องต่อสู้ แสงสว่างที่พระเยซูนำเข้ามาเล็กๆ แต่เป็นแสงสว่างที่มีพลังอำนาจ เพราะเป็นความจริง เป็นแสงสว่าง ซึ่งอยู่ท่ามกลางความมืด พระคัมภีร์บอกชัดเจน ไม่ใช่เป็นความสว่างที่อยู่ท่ามกลางความสว่าง เป็นความสว่างที่อยู่ท่ามกลางความมืด เพราะฉะนั้น ความมืดพยายามปิดบังสิ่งต่างๆ เหล่านี้อยู่ ดึงเราอยู่ เราต้องตัดสินใจสู้กับมันให้ได้ อย่างที่บอก เหมือนเพลงที่เราร้อง

                        “ข้าตัดสินใจแล้ว จะตามพระเยซู

                        ข้าตัดสินใจแล้ว จะตามพระเยซู

                        ข้าตัดสินใจแล้ว จะตามพระเยซู

                        ไม่หันกลับเลย ไม่หันกลับเลย”

            แสดงว่าทั้งโลกพยายามดึงเราออก หันกลับ มันมีแรงพลังอำนาจความมืดที่มองไม่เห็น ไม่ใช่เป็นของมาร แต่มารใช้อยู่ พยายามปิดบังตาเรา ให้เรามีความเชื่อเหมือนเดิมๆ  มาต่อมัทธิว 7:21 …

        มัทธิว 7:21 “ไม่ใช่ทุกคนที่เรียกเราว่า ‘พระองค์เจ้าข้า พระองค์เจ้าข้า’ จะได้เข้าอาณาจักรสวรรค์ แต่คนที่ทำตามพระประสงค์ของพระบิดาของเรา ผู้สถิตในสวรรค์เท่านั้น (คือวางใจในเราที่พระเจ้าส่งมา) ที่จะได้เข้า”

            ตอนนี้กำลังพูดถึงคนที่ยังไม่ได้เกิดใหม่ ไม่เชื่อ ไม่เป็นคริสเตียนชัดเลย  เพื่อจะให้ดูว่าผู้ที่เป็นคริสเตียนแล้ว เอาไปใช้แบบของตัวเองเยอะเลย เลยเอามาชี้ให้เห็นว่านี่กำลังพูดกับคนที่ยังไม่เชื่อ ไม่ได้เป็นคริสเตียน พูดถึงคนที่ยังไม่ได้เกิดใหม่ ยังไม่ได้ทำตามพระประสงค์ของพระบิดา

            พระประสงค์ของพระบิดา คือวางใจในพระเยซู แต่คนเหล่านี้ไม่ได้ทำตามประสงค์ของพระบิดา คือไม่ได้วางใจในพระมาซีฮาห์ พระบุตรของพระเจ้าถูกไหม? ต่อไปข้อ 22-23 …

        มัทธิว 7:22-23 “22 หลายคนจะพูดกับเราในวันนั้นว่า ‘พระองค์เจ้าข้า พระองค์เจ้าข้า พวกข้าพระองค์ เผยพระวจนะในพระนามของพระองค์ ขับผีในพระนามของพระองค์ และทำการอัศจรรย์มากมายมิใช่หรือ’ 23 เมื่อนั้น  เราจะบอกเขาอย่างตรงไปตรงมาว่า ‘เราไม่เคย ได้รู้จักเจ้าเลย เจ้าคนทำชั่ว จงไปให้พ้น!”

            เน้นอีกทีหนึ่งเลย  กำลังพูดถึงคนที่ยังไม่ได้เป็นคริสเตียน ยังไม่ได้เชื่อ ยังไม่ได้เกิดใหม่ จำเอาไว้? บอกตัวเอง คนที่ยังไม่ได้เชื่อ ยังไม่ได้เป็นคริสเตียนฟังทางนี้ ไม่ใช่คนที่เป็น คริสเตียนแล้วฟังทางนี้ คนที่ยังไม่ได้พึ่งพาการกระทำดีของพระเยซูคริสต์ แต่ยังพึ่งพาในการกระทำดีของตนเองอยู่ เพื่อที่จะได้ไปสวรรค์ ตั้งหน้าตั้งตาทำความดี สะสมความดี เพื่อจะได้ไปสวรรค์ ฟังทางนี้ ฟังข้อนี้ให้ดีๆ ต้องเตือนตัวเองให้ชัดๆ ต้องเน้นตรงนี้ เพราะคนเอาไปใช้เยอะมาก อย่างที่บอกเสียหาย

            ตอนนี้กำลังพูดถึงคนไม่เชื่อ เกี่ยวกับอะไร? หลายคนจะพูดกับเราในวันนั้นว่า … “พระองค์เจ้าข้า พระองค์เจ้าข้า พวกข้าพระองค์เผยพระวจนะในนามของพระองค์ ขับผีออกในนามของพระองค์ และกระทำการอัศจรรย์มากมายมิใช่หรือ?”

             “พระองค์เจ้าข้า พระองค์เจ้าข้า” คือหลายคนจะพูดกับเราในวันนั้น คือวันไหน? วันพิพากษาหลังความตาย ที่มนุษย์ทุกคนจะถูกพิพากษา โดยพระเยซูคริสต์กลับมาอีกครั้งหนึ่ง พอถึงวันพิพากษา นี่พูดถึงคนที่ไม่เชื่อใช่ไหม? หลังจากวันแห่งความตาย เขาหวังว่าเขาจะไปสวรรค์ใช่ไหม? แต่เขาไปถึงปุ๊บ จ๊ะเอ๋กับผู้พิพากษา คือพระเยซูคริสต์ เขาก็ตัวสั่นหมดแล้ว เพราะว่าเขาปฏิเสธพระเยซูมาตลอด ที่บอกว่าพระองค์เจ้าข้า เขาไม่ได้เรียกพระเยซูคริสต์ เพราะเขาไม่รู้จัก แต่ถ้าเขาเป็นคริสเตียนแล้ว ถ้าเจอวันนั้น โอ้! พระเยซู รู้จักไหม? รู้จักกันเลย เพราะเรารู้จักพระนามพระเยซู

            นี่เขาจะบอกว่าพระองค์เจ้าข้าๆ ความหมายของยิวสมัยนั้น ก็คือพระเจ้าจอมเจ้านาย พระเจ้าที่ข้าพระองค์เป็นทาสอยู่ เขาไม่เรียกพระเจ้าว่าพระบิดาด้วย แล้วเขาไม่เรียกว่าพระเยซูด้วย เขาเรียกว่าพระเจ้าจอมเจ้านาย ตามประสายิวมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว เพราะเขาเห็นพระเจ้าเป็นผู้พิพากษา เขาไม่รู้จักพระเยซู พูดง่ายๆ บ่งบอกว่าคำเหล่านี้เป็นคำของคนที่ยังไม่เชื่อ  ยังไม่ได้เกิดใหม่ ยังไม่รู้จักพระเยซู เขาก็เลยอ้าง สวรรค์ตามความหวังของเขา เพราะว่าตั้งแต่ดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้แล้ว เขาก็บอกว่าที่เขาทำดีมาตลอด ตั้งเยอะแยะ เขาหวังอยู่ในสวรรค์ เขาทำในนามของสิ่งศักดิ์สิทธิ์  ที่เรียกว่าพระเจ้า ไม่ใช่พระเยซู เขาทำในนามพระเจ้าของอิสราเอล ไม่ใช่พระเยซูคริสต์ คนที่จะรอด ต้องรอดโดยพระเยซูคริสต์ พระองค์บอกต้องวางใจในพระองค์ คนเหล่านี้ไม่ได้วางใจ คนเหล่านี้คุกเข่าต่อหน้าพระเยซู ไม่ใช่เพราะรู้จักพระเยซู แต่เพราะยอมจำนนว่านี่มันความจริง …

            “อ้าว! เป็นพระเยซูหรือ?” เป็นเรื่องจริง  ฟีลิปปี 2:10-11 บอกไว้อย่างนี้ …

        ฟีลิปปี 2:10-11  “10 ทุกชีวิตในสวรรค์บนแผ่นดินโลก และใต้แผ่นดินโลก จะคุกเข่าลงนมัสการพระนามของพระเยซู 11 และทุกลิ้นจะยอมรับว่าพระเยซูคริสต์ คือองค์พระผู้เป็นเจ้า  เพื่อเป็นการถวายพระเกียรติสิริ แด่พระเจ้าพระบิดา”

            นี่หมายถึงวันของการพิพากษาหลังความตาย ทุกคนจะคุกเข่าลง และยอมรับว่าพระเยซูคริสต์เป็นพระเจ้าจริงๆ มิได้หมายถึงทุกคน นี่คือทุกคนที่เป็นผู้เชื่อ ผู้เชื่อไม่ต้องแล้วว่าพระเยซูเป็นเจ้านาย เพราะพูดมาตั้งแต่ตอนอยู่บนโลกใบนี้แล้ว เอเมนไหม? ซึ่งถึงวันนั้น มันสายไปแล้ว สำหรับคนที่ไม่ได้วางใจในพระเยซู ไม่รู้จักพระเยซูว่าพระองค์ทรงเป็นเจ้านายจริงๆ เป็นพระเจ้าจริงๆ แม้ว่าเขาเหล่านั้นที่ไม่เชื่อจะอ้างความดีต่างๆ ที่ได้กระทำมาในอดีต ตอนเป็นมนุษย์อยู่นั้น ตอนยังไม่ตาย มันก็ไม่เกิดผลอันใดเลย แม้แต่นิดหนึ่ง เพราะพระเยซูได้เตือนแล้วเตือนอีก บอกแล้วบอกอีก ถูกไหม?

            พวกเขาเหล่านั้นที่ไม่เชื่อ ในขณะที่ยังมีชีวิตอยู่นั้น เคยหวังว่าจะพึ่งพาในการกระทำดีของตนเอง พึ่งในการรักษาบทบัญญัติ พึ่งในการรักษากฎศีลธรรม จริยธรรมอันดี เพื่อจะได้ผ่านการพิพากษาและได้อยู่ในสวรรค์หลังความตาย ใช่หรือไม่? ซึ่งพระเยซูก็ได้เตือนแล้วเตือนอีก ประกาศแล้วประกาศอีก  ผ่านทางผู้คนทั้งหลายว่าไม่มีทางเป็นไปได้เลย อย่าพึ่งตนเอง

            เพราะฉะนั้น วันพิพากษาหลังความตายมาถึงเมื่อไร? แม้คนเหล่านี้ จะคุกเข่าลงกราบ และยอมรับว่าพระเยซูคริสต์เป็นพระเจ้า พระเยซูก็จะพูดว่า …

            “เราไม่เคยรู้จักเจ้าเลย”

            ไม่เคยนะ ไม่ใช่ไม่รู้จักเจ้า “ไม่เคยรู้จักเจ้า” แสดงว่าไม่เคยรู้จักเจ้า ตอนที่มีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้แล้ว ไม่เคยรู้จักเจ้าเลยตั้งแต่ก่อนตาย เจ้าก็ไม่เคยรู้จักกับเรา คำว่า “รู้จักตรงนี้” แปลว่ารู้จักสนิทสนม มีความสัมพันธ์ลึกซึ้งเหมือนสามีภรรยา …

            “เราไม่เคยเป็นหนึ่งเดียวกันเลย เราไม่เคยอยู่ด้วยกันเลย เจ้าอยู่ที่ไหนมา เราก็อยู่ของเรา เจ้าก็อยู่ของเจ้า เจ้าอยู่ในอาดัม เจ้าไม่ได้อยู่ในพระคริสต์เลย”

            พอนึกออกใช่ไหม? มันหมายถึงอย่างนั้น “เราไม่เคยรู้จักเจ้าเลย”

            ไม่ใช่หมายถึงว่า “เราเคยรู้จักเจ้าในอดีตตอนที่ดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ เจ้าเชื่อ เดี๋ยวเราไม่รู้จักเจ้า เพราะเจ้าทำไม่ดี เราเลยทิ้งเจ้า” ไม่ใช่

            “เราไม่เคยรู้จักเจ้าเลย”

            พระเยซูบอกอย่างนี้ มิได้หมายถึงคริสเตียนเลยแม้แต่นิดเดียว คริสเตียนเป็นหนึ่งเดียวกับพระเยซูคริสต์

                        “แต่ข้ารู้จักพระคริสต์ที่ข้าเชื่อ และเชื่อมั่นคงว่าพระองค์ทรงฤทธา

                        รักษาซึ่งมอบไว้กับพระองค์ จนถึงกาลวันนั้นได้”

            กาลวันนั้น คือวันพิพากษาหลังความตายนั่นเอง พระเยซูจึงเตือนแล้วเตือนอีกว่าให้วางใจในพระองค์เถิด การเข้าสวรรค์ได้นั้น ต้องเกิดขึ้นในขณะที่ยังมีชีวิตอยู่บนโลกนี้เท่านั้น เตือนแล้วเตือนอีก

            ต้องเลือกและตัดสินใจตอนที่อยู่บนโลกนี้เท่านั้นว่าจะอยู่ในสวรรค์หรือไม่? ไม่ใช่มา รอหลังความตาย ซึ่งสายไปแล้ว ซึ่งเลือกด้วยวิธีการเชื่อและวางใจในพระบุตร ถ้ารอจนกระทั่งหลังความตาย ก็สายไป เหมือนตะกี้นี้ที่พูดว่า “เราไม่รู้จักเจ้า” มันสายไปแล้ว ตัวสั่นงันงก  ต่อไปข้อ 24-27 …

        มัทธิว 7:24-27 “24 ฉะนั้น ทุกคนที่ได้ยินคำเหล่านี้ของเราและนำไปปฏิบัติ ก็เป็นเหมือน คนฉลาด ที่สร้างบ้านของตนบนศิลา 25 ถึงฝนตกกระแสน้ำท่วมท้นขึ้นมา และลมพัดกระหน่ำบ้านนั้น  แต่บ้านก็ไม่ได้พังลง เพราะมีฐานรากอยู่บนศิลา 26 ส่วนผู้ที่ได้ยินคำเหล่านี้ของเรา แต่ไม่ได้นำไปปฏิบัติ ก็เป็นเหมือนคนโง่ ที่สร้างบ้านของตนบนทราย 27 เมื่อฝนตกกระแสน้ำท่วมท้นขึ้นมา และลมพัดกระหน่ำบ้านนั้น บ้านก็พังทลายลง”

            “ทุกคนที่ได้ยินคำเหล่านี้ของเรา” คำเหล่านี้ คือคำที่เราประกาศ บอก ชี้ให้เห็นถึงโลกวิญญาณมาตลอด ตั้งแต่บทที่ 4 บทที่ 5 พูดง่ายๆ ถ้าเผื่อติดตามฟังคำบรรยายในซีรี่ย์นี้ของผม ก็บอกว่าคำเหล่านี้ของเรา ก็คือทั้ง 11 ตอนที่ผมบรรยายมาตลอด ไล่มาตั้งแต่บทที่ 5 บทที่ 6 บทที่ 7 จนจะจบ คำเทศนาบนภูเขา คำประกาศบนภูเขา ถ้าท่านได้ยินคำเหล่านี้ของเราที่ชี้แนะ  ที่บอกทางเข้าสวรรค์ให้กับท่านว่าอย่าพึ่งพาตนเอง  ทั้ง 11 ตอน คือรวมสรุปนะ หัวใจ ก็คือให้วางใจ พึ่งพาในเราเพียงอย่างเดียว อย่างพึ่งพาการกระทำตามบทบัญญัติ กฎของศีลธรรมอันดีงาม เพราะท่านไม่มีทางทำได้เลย ท่านไม่สามารถทำได้อย่างครบถ้วนบริบูรณ์ เพียงพอที่จะเข้าสู่สวรรค์ได้หรอก พลาดจุดๆ หนึ่ง ท่านก็ลงนรกแล้ว ถูกไหม? เพราะฉะนั้น ใครอยากจะรู้ว่าที่บอกว่า …

            “ทุกคนที่ได้ยินคำเหล่านี้ของเรา” หมายถึงอะไรนั้น กลับไปฟังตั้งแต่ตอนที่ 1 ของผมนะ ถึงเดี๋ยวนี้ ท่านจะทราบดีว่ามันคืออะไร? ชัดเจนเลย

            สร้างบ้านไว้บนศิลา คือการวางใจ พึ่งพาในการกระทำดีของพระเยซูคริสต์

            สร้างบ้านไว้บนดินทราย ก็คือการวางใจ พึ่งพาในการกระทำดีของตนเอง

            พระเยซูกำลังยกตัวอย่าง ความหมาย ก็คือใครก็ตามที่ได้ยินคำประกาศ 11 ตอนมาแล้วนั้น เกี่ยวกับเรื่องสวรรค์ของพระเยซูคริสต์ ที่ได้ประกาศความจริงเหล่านั้น แล้วนำไปปฏิบัติตาม เชื่อในพระเยซูคริสต์ และก็ทำตาม ก็คือวางใจในพระองค์ว่าเป็นพระเมซิยาห์  พระผู้ช่วยให้รอดที่พระเจ้าส่งมา เพื่อช่วยเหลือมนุษย์ ให้รอดพ้นจากความบาป  คนที่นำไปปฏิบัติตามแค่นี้ คนนั้น ก็เป็นคนฉลาด สร้างบ้านไว้บนศิลาอันมั่นคงแข็งแกร่ง ก็คือพึ่งพาในการกระทำของพระเยซูคริสต์บนไม้กางเขน   วิญญาณของเขาก็ได้ถูกย้ายเข้าไปอยู่ในสวรรค์แล้วทันที และจะรอดพ้นจากการพิพากษาลงโทษ หลังความตายอย่างแน่นอน  เพราะมันอยู่ในสวรรค์แล้ว

            ส่วนบรรดาคนที่ได้ฟังคำประกาศของพระเยซูแล้ว ฟังมาทั้ง 11 ตอนแล้ว ปฏิเสธ ไม่ปฏิบัติตาม ก็คือไม่วางใจในพระองค์ว่าเป็นพระเมซิยาห์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอด เป็นพระคริสต์ ที่พระเจ้าทรงส่งมา คนนั้นก็ไม่ฉลาด เปรียบได้กับคนที่สร้างบ้าน ก็คือสร้างชีวิตของตนเองไว้บนดินทราย รากฐานไม่แข็งแรง คือพึ่งพาการกระทำของตนเอง  พยายามรักษาบทบัญญัติ กฎศีลธรรม จริยธรรมอันดีงาม เพื่อหวังว่าจะไปสวรรค์ วิญญาณของเขาก็จะคงอยู่ที่เดิม  ก็คืออยู่ในบาปและจะถูกพิพากษาลงโทษให้พินาศหลังความตายเช่นเดียวกัน  อันนี้ชัดเจนเลย สุดท้ายข้อ 28-29 … จบคำประกาศบนภูเขาแล้ว

        มัทธิว 7:28-29 “28 เมื่อพระเยซูตรัสสิ่งเหล่านี้จบแล้ว ฝูงชนก็พากันเลื่อมใสในคำสอนของพระองค์ 29 เพราะพระองค์ทรงสอนพวกเขาอย่างผู้มีสิทธิอำนาจ ต่างจากพวกธรรมาจารย์ของพวกเขา”

            เมื่อพระองค์ประกาศสิ่งเหล่านี้จบแล้ว ฝูงชนก็พากันเลื่อมใส จริงหรือ? เลื่อมใสเหรอ ฟาริสีเลื่อมใสไหม? ฟาริสีไม่เลื่อมใสอยู่แล้ว แล้วพวกสาวกเปโตรฟังเลื่อมใสเหรอ? จะชี้ให้เห็นว่าเลื่อมใสอะไร? ก็ธรรมชาติ พวกฟาริสีไม่ต้องพูดถึงนะ ไม่กัดฟัน จะฆ่าให้ตาย รู้ในใจเรา  ด่าเราเต็มที่เลย โกรธสิ ฝูงชนก็พากันโกรธ ตรงกันข้ามกับสาวก พวกเปโตรฟังแล้วเป็นไง? งง ไม่เลื่อมใสหรอก งง

            เลื่อมใส หมายถึงมีความเชื่อเหมือนกัน แต่โดยความที่มันเป็นโลกวิญญาณ ตัวเองอยู่ในบาปอยู่ ไม่เข้าใจหรอก มันงง  คือเชื่อ ไม่ใช่ไม่เชื่อ แต่เชื่อแบบงง คำว่า “เลื่อมใส” เข้าใจเลยนะ ไม่มีสักคนหรอก ที่เข้าใจ เพราะมันยังเข้าใจไม่ได้  เพราะว่ามันเป็นวิญญาณบาปอยู่ แต่ถามว่าเริ่มเชื่อไหมว่าคนนี้เป็นพระมาซีฮาห์ เริ่มเชื่อ เพราะว่ามีหลักฐาน มีการอัศจรรย์ มีหมายสำคัญและคำพูดของพระองค์สำแดงความรู้เรื่องโลกวิญญาณให้เห็นบางอย่าง พอเข้าใจ แต่ส่วนใหญ่ไม่เข้าใจ เพราะจริงๆ ภาษาเดิมตรงนี้ “ฝูงชนก็พากันตะลึง” ที่เคยบอก ที่เคยสอนมาในบทก่อน ไม่ใช่ตะลึงธรรมดาด้วย ตะลึงแบบตะลึง เชื่อไหม? เชื่อ อยากจะเชื่อ  แต่ไม่เข้าใจเลย

            ยกตัวอย่างเช่น พวกเปโตรถาม “แล้วใครจะเข้าได้” คืองง แล้วต้องยกโทษให้ 7×70  ทำอย่างไร?  ทำไม่ได้หรอก อะไรอย่างนี้ คือทั้งอยากจะเชื่อ แต่มันเชื่อไม่ลง พูดง่ายๆ ตะลึงในคำสอน คำสอนของพระเยซูคืออะไร? ในนี้บอกคำสอน ก็คือคนเอาไปใช้เยอะ ใช้ผิด คำสอนว่าไม่ว่าพี่น้องว่าไอ้โง่ ใช่ไหม? คิดให้ดีๆ นะ ถูกหลอกนะ คำสอนที่พระเยซูสอนนี้ หมายถึงเขาตะลึงในคำสอนนี้ นึกออกนะ เขาอึ้งในคำสอนนี้ คำสอนนี้บอกว่าให้เป็นคนมีเมตตา ถูกหรือไม่ถูก? ถูกหรือ? ถ้าให้เป็นคนมีเมตตา เขาจะไปตะลึงได้อย่างไร? เขาไม่ตะลึง เขาทำเรื่องธรรมดา ฟาริสีก็ธรรมดา ถูกไหม? แต่ทั้งฟาริสีและไม่ใช่ฟาริสี ก็ตะลึง ไม่เข้าใจ คำสอนนี้ กำลังสอนบอกว่าอย่าดูถูกพี่น้อง ไม่ใช่ ถ้าบอกว่าอย่าดูถูกพี่น้อง เขาก็เข้าใจกันดี คำสอนนี้หมายถึงบอกว่าท่านจงอภัยให้กับพี่น้อง 7×70 ครั้ง ก็ไม่ใช่ ทำก็ไม่ได้ด้วย คำสอนนี้ คือถ้าท่านทำบาป ด้วยตา ให้ควักลูกตาออก ถ้ามือทำบาป ให้ตัดมือทิ้ง ท่านก็ไปตัดมือตามคำสอนนี้ ถูกหรือไม่ถูก? ไม่ใช่

            ให้คิดตาม คำสอนทั้งหมด คืออะไร? คือเรื่องเกี่ยวกับโลกวิญญาณว่าให้ท่านย้ายที่อยู่ มาวางใจในพระองค์ พระองค์เป็นพระมาซีฮาห์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอด วางใจในพระองค์แล้วท่านจะรอด นี่คือพระประสงค์เดียวของพระเจ้าที่ให้ท่านทำ คือวางใจในพระองค์ ไม่ต้องไปทำอะไรต่างๆ เหล่านั้น ไม่ได้มาสอน เพราะสอนกฎหมายทางศีลธรรมนั้น มีคนมาสอนเยอะแยะมากมาย ท่านรู้อยู่แล้ว แล้วท่านก็ทำไม่ได้ครบถ้วนบริบูรณ์หรอก เราไม่ได้มาสอนท่าน ให้ท่านทำความดี ทำตามศีลธรรม ถ้าเรามาสอนท่านทำตามศีลธรรม ความดีงาม จริยธรรมบนโลกใบนี้ท่านไม่ตะลึงหรอก  ท่านก็เฉยๆ เพราะใครๆ เขาก็สอนอย่างนั้น แต่พระเยซูกำลังมาบอกว่าไม่ต้องสนใจเรื่องบทบัญญัติต่างๆ เหล่านั้น มาสนใจเรื่องนี้ก่อน เรื่องอะไร? จงแสวงหาอาณาจักรของพระเจ้าและความชอบธรรมของพระองค์เสียก่อน  ด้วยการวางใจในเรา คือพระมาซิฮาห์ ที่พระเจ้าทรงสัญญาไว้ตั้งแต่โน้น หลายพันปีก่อน เรามาแล้ว เราคือพระเจ้าที่จะมาช่วยเจ้าให้รอด นี่แหละตะลึงงัน ก็เพราะอย่างนี้  จะไม่เชื่อก็ไม่ได้ เพราะทำการอัศจรรย์ซะใหญ่โต เห็นชัดๆ ถามว่าเชื่อก็เชื่อไม่ลง เพราะทำไม่ได้ นี่มันหมายถึงคำสอน

            สรุป ก็คือคำสอนให้อย่าวางใจในการรักษากฎ ด้วยกำลังของตนเอง จงกลับใจใหม่ หันมาพึ่งพาในการกระทำของพระองค์ พระองค์คือพระบุตรของพระเจ้า พระมาซีฮาห์  ที่พระเจ้าส่งมา นี่ชัดเจนเลย เพราะฉะนั้น เขาจึงตะลึงไง เขาจึงบอกว่าพระองค์ทรงสอนพวกเขา

            ในข้อ 29 บอกตะลึง “เพราะว่าทรงสอนพวกเขาอย่างผู้มีสิทธิอำนาจ ต่างจากพวกธรรมาจารย์” เพราะพวกธรรมาจารย์สอนอย่างไร? สอนแบบตะกี้นี้ที่ผมบอก สอนตามบัญญัติว่าอย่าโลภ อย่าขโมย อย่าลักทรัพย์ อย่าฆ่าคนใช่ไหม? แต่พระองค์บอกว่าไม่ต้องไปสนใจบัญญัติ ท่านทำไม่ได้อยู่แล้ว มาสนใจอันนี้ดีกว่า โลกฝ่ายวิญญาณ นี่แหละ

            เพราะฉะนั้น สรุป ก็คือผลของวิญญาณ ไม่สามารถผลิตได้ด้วยการกระทำ หรือความประพฤติ แต่การเกิดผล ขึ้นอยู่กับว่าได้ปลูกวิญญาณนั้นอยู่ที่ไหน? สรุปที่พระเยซูสอน คือตรงนี้ ในโลกวิญญาณ อยู่ในอาดัมหรืออยู่ในพระคริสต์ อยู่ในอาณาจักรไหน? อยู่ในอาณาจักรของความบาป  หรืออยู่ในอาณาจักรของความชอบธรรม อยู่ในโลกของความมืด หรืออยู่ในโลกของความสว่าง หมายถึงโลกวิญญาณ ซึ่งมันเป็นความจริง ที่ความประพฤติ การกระทำดี เป็นสิ่งสำคัญมาก ในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้  แต่พระเยซูกำลังบอกว่าแต่สิ่งที่สำคัญกว่านั้น และเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด ก็คือวิญญาณของท่านอยู่ที่ไหนในขณะนี้ สำคัญกว่า ก็คือวิญญาณท่านดีหรือเปล่า? ดีหรือเลว สิ่งที่สำคัญที่สุด ก็คือการแสวงหาที่จะมีหรือเกิดใหม่ มีวิญญาณที่ดีและเกิดผลนิรันดร์ ได้บังเกิดใหม่นั่นเอง นี่คือสิ่งที่สำคัญที่สุด

            เพราะฉะนั้น เราจะเกิดใหม่ได้ ก็ต่อเมื่อแสวงหา วางใจในพระมาซิฮาห์ คือพระคริสต์ก่อน แล้วถึงจะมาตั้งใจทำความดีทีหลัง ให้สมกับการเป็นลูกของพระเจ้า  เป็นพลเมืองของสวรรค์ เป็นไปตามธรรมชาติของการบังเกิดใหม่ ที่บริสุทธิ์ ดีพร้อมเหมือนพระเจ้าแล้วถูกหรือไม่?

            นี่คือบทสรุปของการประกาศบนภูเขา ทั้งหมดของพระเยซู มีอยู่แค่นี้เอง ก็คือวางใจในพระองค์ พระมาซิฮาห์ พระเยซูคริสต์ก่อน ทั้งๆ ที่ท่านอาจจะไม่เข้าใจทั้งหมด แต่ให้วางใจ แล้วหลังจากนั้น ท่านจะเริ่มต้นเข้าใจเอง พระองค์จะเข้ามาสถิตอยู่ด้วย และนำพาท่านให้เข้าใจ และนำพาท่านให้กระทำความดีทีหลัง นี่แหละคือความรอดนิรันดร์  พระเจ้าอวยพรครับ

********************

จากใจคณะศิษยาภิบาล

            ด้วยความรัก  พระเจ้าจึงมาสถิตอยู่ด้วย

            โรม 8:26 “ในทำนองเดียวกัน  พระวิญญาณทรงช่วยเรา ในยามเราอ่อนแอ  เราไม่รู้ว่าเราควรอธิฐานขอสิ่งใด  แต่พระวิญญาณเองทรงอธิษฐานวิงวอนแทนเรา  ด้วยการคร่ำครวญ  ที่ไม่อาจหาถ้อยคำใดมาบรรยาย”

            ในทำนองเดียวกัน  หมายถึงเราก็รอคอย  คร่ำครวญด้วยความหวังแห่งความชื่นชมยินดี  หลังความทุกข์ในร่างกายและจิตใจ  ที่ยังดำเนินชีวิตอยู่บนโลกนี้ เหมือนกับหญิงกำลังจะคลอดบุตร  ที่เจ็บครรภ์  ทุกข์ทรมาน  แต่ก็มีความหวัง  ในความชื่นชมยินดี  ที่จะได้เห็นลูกในครรภ์ของตนเองในไม่ช้า

            เราที่เชื่อพระเจ้าแล้ว  ร่างกายภายนอกนี้  ก็ทุกข์เหมือนกัน  และเราตั้งความหวัง  ในความทุกข์นี้ว่าเราจะรอคอยวันนั้น  วันที่ร่างกายตาย  เราหมดลมหายใจ  วิญญาณออกจากร่าง  ไปสวมร่างกายใหม่  ที่เหมือนพระเยซูคริสต์  ตอนที่พระองค์เป็นขึ้นจากความตาย  เต็มไปด้วยพระสิริ  ตามสัญญาที่พระเจ้าได้ให้ไว้  จะได้หมดทุกข์กันเสียที

            สรรพสิ่งในโลก  ก็จะได้รับการทรงสร้างใหม่ด้วย  ดังนั้น  เราและสรรพสิ่งในโลกต่างรอคอยวันสิ้นโลก

            และในการคร่ำครวญ ในความทุกข์ยากลำบากนี้ พระวิญญาณก็จะคอยช่วยเหลือเรา

                        – ในยามที่ ร่างกายของเราอ่อนแอ

                        – ในยามที่เราต้องทนทุกข์ลำบาก

                        – ในยามที่เราต้องเผชิญกับความวิปริตของโลกใบนี้  ที่เสียหายไปแล้ว  เนื่องจากถูกสาปแช่ง พระวิญญาณก็มาช่วยเรา  คร่ำครวญด้วย ตอนที่เราป่วยรักษาไม่หาย

                        – ในยามที่เราล้มละลายขาดทุน  เงินไม่พอใช้

                        – ในยามที่คนที่เรารักตายจากไป เราเจ็บปวดมาก ในยามที่ร่างกายเรารู้สึกกลัวและท้อแท้

            ความหวังเดียว  ที่สามารถประคับประคองชีวิตของเรา  ให้เดินต่อไปได้ ก็คือเรารอวันนั้น  วันแห่งความรอดที่ครบถ้วนบริบูรณ์วันที่เรา จะได้รับร่างกายใหม่ สรรพสิ่งก็ได้รับการทรงสร้างใหม่

            และในขณะที่เราอยู่ในระหว่างการรอคอยวันนั้น พระวิญญาณก็จะคอยช่วยเรา  ตอนที่เราอ่อนแอ คิดอะไรไม่ออก  พูดไม่ออก  บอกไม่ถูก   อธิษฐานไม่ได้

            ด้วยความรัก  ความห่วงใยของพระเจ้า  ที่ทรงมีต่อมนุษย์ทุกคน พระองค์จึงเข้ามาอาศัยสถิตอยู่ด้วย  เพื่อช่วยเหลือ  เพื่อนำพา   ให้กำลังสนับสนุนเรา

            พระเจ้าอวยพรครับ

วารสาร Holy  News   ฉบับที่ 1388 

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  6  พฤศจิกายน  2022

เรื่อง “คำประกาศของพระเยซู ที่มักมีการเข้าใจผิด” ตอน 10

“คำเทศนาบนภูเขา” Ep.9

“ประตูใหญ่ วางใจตนเอง ประตูเล็ก วางใจพระคริสต์”

โดย นคร   เวชสุภาพร

            เรายังอยู่ในซีรี่ย์ชุด “คำประกาศของพระเยซู ที่มักมีการเข้าใจผิด” วันนี้เป็นตอนที่ 10 และเป็น Ep.9 ของเรื่อง “คำเทศนาบนภูเขา”

            ตอนที่ 1  จงแสวงหาอาณาจักรของพระเจ้า และความชอบธรรมของพระองค์ก่อน

            ตอนที่ 2  คำเทศนาบนภูเขา  Ep 1 : คนป่วยต้องการหมอ  คนบาปต้องการพระเยซู

            ตอนที่ 3  คำเทศนาบนภูเขา  Ep 2 : พระเยซูถูกกล่าวหาว่ามาล้มล้างกฎบัญญัติ

            ตอนที่ 4  คำเทศนาบนภูเขา  Ep 3 : กฎแห่งกรรม  ทำบาปเพียงครั้งเดียว  ก็ไม่ได้ไปสวรรค์

            ตอนที่ 5  คำเทศนาบนภูเขา Ep 4 : มนุษย์มองที่ความประพฤติภายนอก       แต่พระเจ้ามองที่ วิญญาณข้างใน

            ตอนที่ 6  คำเทศนาบนภูเขา Ep 5 : ต้องบริสุทธิ์ดีพร้อม เหมือนพระบิดาของท่านในสวรรค์

            ตอนที่ 7 คำเทศนาบนภูเขา Ep 6 : ท่านต้องอภัยให้ผู้อื่นก่อน แล้วพระเจ้าถึงจะอภัยให้กับท่าน

            ตอนที่ 8 คำเทศนาบนภูเขา Ep 7 : ทรัพย์สมบัติในโลกต้องเหน็ดเหนื่อยหาเอง      แต่ทรัพย์สมบัติในสวรรค์   พระเจ้าให้ฟรีๆ

            ตอนที่ 9 คำเทศนาบนภูเขา Ep 8 :  จงขอแล้วท่านจะได้รับ  จงหาแล้วท่านจะพบ  จงเคาะแล้วประตูจะเปิดให้แก่ท่าน

            ตอนที่ 10 คำเทศนาบนภูเขา Ep.9 : ประตูใหญ่ วางใจตนเอง ประตูเล็ก วางใจพระคริสต์

            ซีรี่ย์นี้เป็นการนำความหมายของการประกาศของพระเยซู ที่ดังมาก ตอนที่ดำเนินชีวิตอยู่บนโลกนี้ ช่วง 3 ปีสุดท้าย  แล้วก็มีคนมักจะเข้าใจผิด ถึงคำประกาศของพระองค์ เอาไปใช้อย่างผิดๆ ซึ่งเกิดโทษ ก็เลยนำมาคุยกัน วิเคราะห์กัน ทั้งหมด 10 ตอนแล้ว ใครไปฟังจะเข้าใจเลย พื้นฐานที่ดีมากๆ สำหรับการที่จะศึกษาพระคัมภีร์ต่อไป การจะเชื่อและวางใจในพระเยซู

            ทบทวนนิดหนึ่ง พระองค์กำลังประกาศให้ใคร? กำลังพูดกับชาวยิวที่ยังไม่เชื่อ คือยังไม่ได้เกิดใหม่ ยังไม่ได้เป็นคริสเตียนนั่นเอง คือเขายังพึ่งพาการกระทำของตนเอง คนที่เชื่อในพระเยซูคริสต์ คือคนที่มาพึ่งพาในพระเจ้าแล้ว พึ่งพาในพระเยซูคริสต์แล้ว เขาไม่พึ่งพาในตนเอง เขากำลังทำอะไร? เขากำลังพึ่งพาตนเองในการรักษาบทบัญญัติ พระเยซูกำลังมาบอกพวกเขา ให้เขากลับใจใหม่ซะ เลิกพึ่งพาตนเอง เลิกพึ่งพาในการกระทำ ตามบทบัญญัติและคิดว่าดีนั้น ให้กลับใจใหม่ หันมาพึ่งพาวางใจในพระองค์ อย่าเย่อหยิ่ง ก็คืออย่าหน้าซื่อใจคด แต่จงยอมถ่อมใจ แสวงหาอาณาจักรสวรรค์และความชอบธรรมของพระเจ้า โดยผ่านทางพระเมซียาห์ คือตัวของพระเยซูเองเสียก่อน  พระเยซูพูดอย่างนี้ ไม่ใช่ว่าพระองค์ไม่สนใจในเรื่องเกี่ยวกับกฎบัญญัติที่เขารักษาไว้ คือกฎแห่งศีลธรรม การทำดีละชั่ว การทำแต่สิ่งที่ดี ความประพฤติบนโลกใบนี้ ไม่ใช่พระองค์ไม่สนใจสิ่งเหล่านี้  แต่ขณะที่พระองค์กำลังพูดกับคนที่ยังไม่เชื่อ ที่เป็นคนยิว เป็นคนที่ข้างในวิญญาณตายอยู่ อยู่ในบาป เป็นคนบาป  ไม่บริสุทธิ์ ภายในวิญญาณสกปรก  ต้องได้รับการช่วยเหลือเสียก่อน พูดง่ายๆ ว่าตายอยู่ ก็ต้องได้รับการช่วยชีวิต อย่างเร่งด่วนก่อน

            คนตายอยู่ ต้องการการปั้มหัวใจให้เป็นขึ้นมาก่อน ไม่ใช่ไปถึง ก็ไปสอนคนตายว่าทำดีอย่างนั้น ทำดีอย่างนี้ ควรจะกินอย่างนี้ อย่ากินอาหารอย่างนั้น จะได้ไม่หัวใจวาย หัวใจวายตายไป  เขาจะรู้เรื่องไหม? เขาตายอยู่ เขาสลบไปอยู่ เขาหมดสติไป ไปนั่งสอนเขาทำไม? นี่พระองค์กำลังจะมาบอกอย่างนี้ ให้เขาเป็นขึ้นมาก่อน พอเขาเป็นขึ้นมา ค่อยมาสอนเขาทำความดีทีหลัง  แล้วเขาจะทำความดีจากวิญญาณของเขาที่เป็นขึ้นมาใหม่ วิญญาณเขาบริสุทธิ์เมื่อไหร่? พระเยซูก็จะเข้าไปสอน และนำเขาให้กระทำความดี ด้วยความบริสุทธิ์ในใจ ในวิญญาณของเขา วิญญาณใหม่ที่บังเกิดใหม่นั่นแหละ พระองค์จะมาสอนเขาด้วยตัวของพระองค์เอง   คือจะเข้ามาสถิตอยู่ภายในเขาเลย นี่คือเป้าหมายที่พระเยซูประกาศ

            พระองค์กำลังบอกว่าเมื่อท่านทั้งหลายที่ยังไม่รู้จักพระเจ้า เมื่อท่านพบกับทางเข้าสวรรค์ เป็นผู้ชอบธรรม และได้บังเกิดใหม่แล้วเท่านั้น ท่านจึงจะทำดีจากจิตใจ จากวิญญาณที่บริสุทธิ์ ดีพร้อมเหมือนพระเจ้าได้ ซึ่งสำคัญกว่ามากนักกว่าที่ท่านรักษาบทบัญญัติอยู่นั้น ท่านทำไม่ได้หรอก มันไม่ได้จริงๆ

            พระเยซูกำลังบอกว่า … “เราไม่ได้มาสอนท่านให้ประพฤติตามสิ่งที่เรากำลังพูดอยู่นี้  แต่กำลังมาชี้ความเป็นจริงว่าท่านเป็นคนบาป สกปรกภายในวิญญาณ ต้องการความช่วยเหลือ ให้เกิดใหม่จากพระเจ้าต่างหากล่ะ”

            นี่คือเป้าหมาย นี่คือหัวใจของการประกาศของพระเยซูคริสต์ ไม่ได้มาสอนศีลธรรมให้เขาทำความดี รักษาบทบัญญัติ แต่กำลังมาบอกว่าเขาต้องเกิดใหม่ เขาทำไม่ได้หรอกด้วยตัวเอง โดยพระเยซูให้ความมั่นใจอย่างนี้บอกว่าถึงแม้เขาจะฟังอยู่ตอนนี้ที่พระองค์ทรงประกาศ แม้เขาจะยังไม่เข้าใจ …

            “แม้ท่านยังไม่เข้าใจในคำประกาศ ในคำพูดของเรา แต่ให้วางใจในเราว่าเราเป็นพระมาซิฮาห์”

            นี่กำลังคุยๆ อยู่ พระมาซิฮาห์ ก็คือพระคริสต์ ผู้ที่พระเจ้าจัดเตรียมไว้ ถึงไม่เข้าใจ ก็ให้ชาวยิวทั้งหลาย ที่ยังไม่ได้เป็นคริสเตียนให้ขอ หา และเคาะอย่างต่อเนื่อง อย่าหยุดนะ ไม่เข้าใจที่ฟังเรา แต่มองต่อไป เพ่งดูพระองค์ต่อไป อย่าหยุดๆ แล้วในที่สุด ท่านก็จะได้พบประตูสวรรค์ ประตูสวรรค์จะเปิดออกให้กับท่าน และท่านก็จะได้เป็นผู้ชอบธรรมที่บริสุทธิ์ดีพร้อม แล้วพระเจ้าก็จะเป็นพระบิดาของท่าน ท่านจะเป็นบุตรที่รักของพระองค์ แล้วพระองค์จะมานำท่านในการกระทำดีทีหลัง ที่พระองค์กำลังพูดอยู่นี้ อีกไม่กี่ปี ก็จะเป็นอย่างนี้แล้ว เขาจะได้พบตอนที่พระเยซูสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน และเป็นขึ้นจากความตาย ถ้าเขาไม่หยุดที่จะขอ และขออย่างต่อเนื่อง หาและหาอยู่อย่างต่อเนื่อง และเคาะและเคาะอยู่อย่างต่อเนื่อง

            นี่เป็นคำสัญญาที่พระเยซูพูดอย่างชัดเจนเลยว่าท่านได้แน่ ถ้าท่านขอ แล้วขอไม่หยุด จนกว่าจะพบ หาและหาไม่หยุด จนกว่าจะพบ เคาะแล้วเคาะไม่หยุด จนกว่าจะพบ หาอะไร? เป็นคำสัญญาที่พระองค์บอก หาแล้วจะพบ พบอะไร? พบมาซิฮาห์ พบตัวพระองค์ พบพระเยซูคริสต์ ผู้ที่พระเจ้าเจิมตั้งเอาไว้ มาช่วยให้ท่านเป็นขึ้นมาใหม่ได้ ถ้าไม่หยุด เจอแน่ เจอพระเมสิยาห์ นี่พูดกับชาวยิว ชัดเจนเลย  เป็นคำสัญญาที่ให้กับผู้ที่ยังไม่ได้เป็นคริสเตียน ยังไม่ได้เกิดใหม่ ซึ่งกำลังพูดกับชาวยิว แล้วเราสามารถใช้ข้อความนี้ ประกาศให้กับคนที่ยังไม่เชื่อในปัจจุบันได้ด้วยเช่นเดียวกัน  เป็นคำสัญญาให้กับคนที่ยังไม่เชื่อ

            “เป็นคำสัญญาที่พระเยซูคริสต์สัญญาอย่างเป็นมั่นเป็นเหมาะ ให้กับคนที่ยังไม่เชื่อ  ยังไม่ได้เป็นคริสเตียน”

            ต้องจำไว้เลย แล้วถ้าเป็นคริสเตียนแล้วล่ะ ก็ฟังต่อไปสิ กำลังพูดกับชาวยิว หัวใจ ก็คือยังไม่ได้เป็นคริสเตียนใช่ไหม?  เพราะฉะนั้น พูดกับคนปัจจุบันที่ยังไม่ได้เป็นคริสเตียนก็เหมือนกัน หัวใจต้องเป็นไม่ได้เป็นคริสเตียน  ถ้าไม่ใช่คริสเตียนเอาไปใช้ได้เลย เพราะพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้าองค์เดียวกัน ที่ประกาศอยู่ทุกวันนี้ นี่พระเยซูพูด แต่ที่ทุกวันนี้ พวกเราพูดกัน ประกาศพระเยซูคริสต์ พระเยซูก็ทำงานผ่านท่านทั้งหลายผู้เชื่อ ให้สัญญานี้ว่าถ้าท่านที่ยังไม่ได้เป็นคริสเตียน ท่านฟังข่าวประเสริฐของพระเจ้า ฟังแล้วไม่ค่อยรู้เรื่อง ไม่ค่อยเข้าใจ อย่าหยุดขอว่ามันคืออะไร? มันเป็นอะไร? แล้วก็อย่าหยุดหา แล้วก็อย่าหยุดเคาะ แล้วก็จะเปิดให้กับท่าน ท่านจะรู้พระมาซีฮาห์เป็นใคร ท่านจะรู้ว่าพระเยซูคริสต์คือใคร? ท่านจะรู้ว่าพระเยซูคริสต์เป็นพระเจ้าผู้ช่วยให้รอด ท่านก็จะได้บังเกิดใหม่ ผ่านทางความเชื่อในพระเยซูคริสต์นั่นเอง เห็นไหม? นี่คือคำสัญญา ได้แน่นอน 100% ใครเป็นคนสัญญา? พระเยซู

            พระเยซูเป็นผู้สัญญา เป็นผู้พูดเองเลยว่าท่านได้แน่นอน ท่านอย่าหยุดนะ ท่านเจอแน่ ที่ไม่เจอ เพราะท่านหยุดก่อน ท่านเลิก …

            “ไม่เข้าใจ พูดอะไรข่าวประเสริฐพระเยซูคริสต์ ฉันไม่รู้เรื่อง”

            เดินหนี หรือชาวยิวฟัง แล้วไม่เข้าใจ ไม่เอาแล้ว ไปดีกว่า ถ้าเขาไม่หยุด เขาก็จะเจอแน่ แล้วในที่นี้ ท่านที่อยู่ทางบ้านด้วย ท่านเป็นคริสเตียน ถ้าเป็นแล้ว อยากถามท่านว่าท่านเป็นได้อย่างไร? ก็มาจากข้อนี้แหละ ท่านเป็นคริสเตียนจากตอนที่เรายังไม่ได้เป็น ถูกไหม เราเป็น คริสเตียนตั้งแต่เกิดหรือเปล่า? ไม่ใช่ เราเป็นคริสเตียนเมื่อไร? เมื่อเราขอ หา เคาะเรื่องเกี่ยวกับพระมาซีฮาห์ พระผู้ช่วยให้รอด พระเยซูคริสต์ แล้วเราก็ได้รับตามที่พระเยซูคริสต์สัญญา ก็ได้เจอ ได้พบตามที่พระองค์สัญญาแล้ว พบพระคริสต์ พบพระผู้ช่วยให้รอด  เราก็ได้บังเกิดใหม่ เป็นลูกของพระเจ้าที่เรียกว่าคริสเตียน พระเจ้าก็เข้ามาสถิตอยู่กับเราใช่หรือไม่? เพราะเราไม่หยุด

            ยกตัวอย่าง ตัวท่านเอง ท่านลองคิดดูในใจ มีใครบ้างที่ฟังข่าวประเสริฐครั้งแรก ใช่ พระเยซูเป็นพระผู้ช่วยให้รอด รับเลย ไม่มี ผมต้องใช้เวลาหลายปี มีคนมาประกาศให้ตั้งเยอะแยะ พูดแล้วพูดอีก  พูดเข้าใจไหม? พูดเดือนแรก เข้าใจไหม? ไม่เข้าใจ พูดปีแรกเข้าใจไหม? ไม่เข้าใจ พูดมา 10 ปี เข้าใจไหม? ก็ยังไม่เข้าใจ แต่เพราะว่าใน 10 กว่าปีนี้ ผมไม่หยุด รู้ได้อย่างไรไม่หยุด ก็ฟังไปเรื่อยๆ บางทีก็ปฏิเสธเขา เถียงเขาบ้าง? ต่อให้จะเถียงอย่างไร? ผมก็ไม่หยุด เพราะเดี๋ยวผมก็ไปฟังอีก ก็คือไม่หยุด จนกระทั่งปีที่ 27, 28 ก็เจอ เข้มข้นขึ้นไปเรื่อยๆ เคาะ หา ขอ ใกล้ๆ วันที่จะเจอ ตามสัญญา ประมาณสัก 10 วัน ถึงเวลาจะเกิดผลแล้ว คราวนี้เคาะหนักเลย อธิษฐาน พูดอยู่ในห้องส่วนตัวพูดทุกวันเลย …

            “พระเยซูใครเนี้ย ได้ยินมาตั้งนานแล้ว คราวนี้อยากรู้จักแล้ว จริงๆ ที่แล้วๆ มา ก็ฟังดูก็ดีบ้าง? ไม่ดีบ้าง? เข้าใจบ้าง? ไม่เข้าใจบ้าง?  แต่วันนี้อยากรู้จักจริงๆ แล้ว อยากจะหาความช่วยเหลือจากใครบางคน ไม่มีแล้ว มีพระองค์เดียว ได้ยินมา ยังจำได้ ไม่ทิ้ง เคยมีเพื่อนพูดไว้ ยังไม่ได้ทิ้ง ยังอยู่ในใจ”

            พูดๆ “พระเยซูเป็นใคร? สำแดงให้เห็นหน่อยสิ  อยากจะรู้จักจริงๆ”

            พูดไป 10 วันเจอเลย เจออย่างไร? ก็เจอเหมือนกับคุณเจอ ไม่รู้จะบอกว่าอย่างไร? วิญญาณได้บังเกิดใหม่ ได้เกิดใหม่อย่างไร? ไม่รู้ ไม่รู้จะอธิบายอย่างไร? มันโลกวิญญาณ แล้วทำอย่างไรถึงรู้ มาชิมดูสิ พระคัมภีร์บอก ชิมดู แล้วจะรู้ว่าพระเจ้านั้นดี  เอเมน

            ไม่ชิมแล้วจะรู้ได้อย่างไร? ได้แต่บอกว่าเขาบอกว่าร้านก๋วยเตี๋ยวนี้ดีๆ ดีจริงหรือ? ดีจริง แล้วไปหรือยัง? ยัง ฟังไหม? ฟัง อยากมากินไหม? ก็อยากนิดหน่อย ยังไม่ถึงอยากเต็มที่ จนอยากเต็มที่แล้ว ร้านนั้นอยู่ที่ไหนนะ ขอพิกัดหน่อย ส่งพิกัดมาให้ วันนี้ไปเลย ยังไงฉันต้องกินให้ได้  ก็คือไปเริ่มชิม พอไปถึงร้านปุ๊บ ชิมปั๊บ ไม่รู้ว่าจะพูดว่าอย่างไร? ที่เขาพูดมาใช่เลย ถูกหมดเลย แล้วไปเล่าให้คนอื่นต่อได้อย่างไร?  ไม่รู้จะบอกเขาว่าอย่างไร? ได้แต่พูดคำเดียวกับที่เขาเล่าให้เราฟัง และความรู้สึกของเรา ที่เราได้ชิมแล้ว บอกว่ามันอร่อยจริงๆ  เราก็ไปบอกคนอื่นต่อ ไปกินเถอะ มันอร่อยอย่างไร? ไม่รู้

            “ไม่รู้จะอธิบายอย่างไร? อย่างโน้น อย่างนี้ อย่างนั้น รสชาติอย่างนี้ อย่างนั้น เยี่ยมเลย สถานที่ก็ดี นายต้องไปชิมเองแล้วกัน”

            ถามเขาไม่ไปชิม เขาก็ไม่มีวันที่จะรู้ นี่คือคำสัญญาของพระเยซูคริสต์ที่บอกไว้  และมันต้องเป็นจริง คำสัญญาที่พระองค์ให้ไว้กับใคร? กับผู้ที่ยังไม่เชื่อพระเจ้า ก็คือยังไม่ได้เกิดใหม่ ยังเป็นคนบาปอยู่ ยังพึ่งพาในการกระทำของตนเอง พึ่งพาในความดีของตนเอง เพื่อที่จะได้เข้าไปสวรรค์ เพื่อจะได้สิ่งที่ดีๆ

            สำหรับคนที่ขอ หา เคาะ ตอนที่ยังไม่เชื่อพระเจ้า ยังไม่ได้เป็นคริสเตียน ได้ขอ หา เคาะ จนได้เจอแล้ว จนเป็นคริสเตียนแล้ว ได้อยู่ในสวรรค์แล้ว ได้เป็นผู้ชอบธรรมแล้ว ก็คือเป็นคริสเตียน เป็นลูกของพระเจ้าแล้ว

            ถ้าท่านเอาคำสัญญานี้ไปใช้ มันจะเป็นอย่างไร ลองคิดดูก่อน ให้เวลาคิด ก่อนที่จะอธิบายให้ฟัง เรามานั่งคิดดูว่านี่เป็นคำสัญญาที่พระเยซูบอกว่าให้ขอ แล้วขออย่างต่อเนื่อง อย่าหยุด ให้หา แล้วหาอย่างต่อเนื่อง อย่าหยุด ให้เคาะ แล้วเคาะอย่างต่อเนื่องอย่าหยุด จนกว่าจะพบ รับรองท่านพบแน่ๆ ท่านได้แน่ๆ เปิดให้กับท่านแน่ๆ ถ้าเราเป็นคริสเตียนแล้ว เราเอาอันนี้ไปใช้ จะเกิดอะไรขึ้น

            ท่านเป็นคริสเตียนแล้วนะ ท่านขอสุขภาพแข็งแรง หายจากโรคนี้ใช่ไหม? ท่านขอให้เจริญรุ่งเรือง ขอบ้านสักหลังใช่ไหม? ขอรถสักคันหนึ่งใช่ไหม? แล้วท่านก็บอกว่าพระเยซูสัญญาว่าท่านขอแล้วจะได้ ถ้าท่านไม่หยุดขอ ถูกไหม? ถ้าท่านไม่หยุดหา ท่านจะได้ ตามที่ท่านขอ ตามที่ท่านหา ถ้าท่านไม่หยุดเคาะ มันจะเปิดให้กับท่าน แล้วถามท่านสิ ท่านทำมา ได้ไหม? ไม่ได้ ถ้าได้ก็ดี มันง่าย หมูมากเลย ขอบ้าน ขอรถ ยิ่งขอสุขภาพแข็งแรง ขอให้หาย ขอทุกวัน ทุกเสี้ยววินาที ลมหายใจเข้าออกเลย ขอมากี่ปีนี้แล้ว สมมติว่าเชื่อพระเจ้ามา 10 ปีแล้ว สอนมา 10 ปีแล้ว ได้ไหม? ถ้าไม่ได้ รู้ๆ อยู่แล้วว่าไม่ได้ ผมอยากถามว่าถ้าไม่ได้ ใครผิด พระเยซูโกหก

            “อ้าว! พระเยซูสัญญาว่าได้แน่ๆ ไง”

            เห็นอันตรายไหม? ถ้าไม่กล่าวหาพระเยซู พระเยซูพูดสัญญาต้องทำตามแน่นอน ตัวท่านเอง ความเชื่อไม่พอ

            “อ้าว! พระเยซูบอกขออย่าหยุด มันยังไม่ได้ อย่าหยุดสิ”

            ขอไปเรื่อยๆ เมื่อไรล่ะ ตายไป ก็ยังไม่ได้ ซึ่งไม่ใช่ ก็แสดงว่าเราผิด เพราะว่าเราเอามาใช้ มันผิด มันไม่ใช่คำสัญญาที่ให้ไว้สำหรับเรา ที่เป็นคริสเตียนแล้ว มันให้ไว้สำหรับคนที่ไม่ได้เป็นคริสเตียน สำหรับขอแล้วจะได้ ก็คือได้พระคริสต์เข้ามาอยู่ในชีวิต ได้บังเกิดใหม่ โดยพระคริสต์ ได้บังเกิดใหม่ในวิญญาณเท่านั้น จบ … เอเมน

            คราวนี้คนเป็นคริสเตียนก็บอก … “อ้าว! เราเป็นคริสเตียนแล้ว เราขอได้ไหม?”

            ขอได้ แต่สำหรับคริสเตียน คำสัญญามันอีกอย่างหนึ่งแล้ว อยากจะฟังไหม? อยากรู้ไหมว่าเมื่อเราเป็นคริสเตียนแล้ว พระเยซูสัญญาอะไรกับเราบ้าง? มันต้องใช้ให้ถูกต้องด้วยใช่ไหม? ไม่ใช่ไปดูกรมธรรม์รถยนต์ แล้วก็เอามาใช้ผิดๆ ในนี้เขาเขียนตามสัญญาว่าอย่างไร? ตรงนี้ว่าอย่างไร? ก็ต้องทำตามสัญญาหน่อย

            สำหรับคนที่เป็นคริสเตียนแล้ว เป็นลูกของพระเจ้าแล้ว  พระเจ้าสถิตอยู่ด้วยแล้ว อยู่ในร่างกายเรียบร้อยแล้ว ขอ หา เคาะ ตั้งแต่ก่อนที่จะเชื่อพระเจ้า ขอ หา เคาะจนเจอแล้ว เป็นคริสเตียนแล้ว นี่คือคำสัญญาของท่าน ณ บัดนี้ ยกตัวอย่างให้ท่านดู

            ฟีลิปปี 4:6-7 นี่สำหรับคนที่เป็นคริสเตียนแล้ว พระเยซูเป็นผู้ให้สัญญาเช่นเดียวกัน พระองค์พูดผ่านทางอัครทูตเปาโลว่านี่คือคำสัญญาของท่าน เมื่อท่านขอ หา เคาะ จนกระทั่งพบพระมาซีฮาห์แล้ว ได้บังเกิดใหม่แล้ว พระมาซีฮาห์ คือพระเยซูคริสต์ เข้าไปสถิตอยู่กับท่าน ในวิญญาณของท่าน นำท่านเดินแล้ว อยู่กับท่านตลอดเวลาแล้ว นี่คือคำสัญญาของเรา พระเยซูคริสต์ตรัสไว้อย่างนี้ …

        ฟีลิปปี 4:6-7 “6 อย่ากระวนกระวายในเรื่องใดๆ เลย แต่จงทูลขอทุกสิ่งต่อพระเจ้า ด้วยการอธิษฐานและการอ้อนวอน พร้อมกับการขอบพระคุณ 7 แล้วสันติสุขของพระเจ้า ซึ่งเกินความเข้าใจ จะปกป้องความคิดจิตใจของท่านไว้ในพระเยซูคริสต์”

            คริสเตียน ผู้ที่เชื่อแล้ว นี่คือคำสัญญาของท่านในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ เกี่ยวกับการขอ หา และเคาะ ก็คืออย่ากระวนกระวายในทุกเรื่องเลย แต่จงขอทุกสิ่งเลย ทุกอย่างเลย สัญญาไว้ว่าทุกสิ่งขอได้ต่อพระเจ้า ขอด้วยการอธิษฐาน เพราะท่านเป็นลูกพระเจ้าแล้ว พระเจ้าสถิตอยู่ในท่าน

            อธิษฐานในลักษณะใด? และการวิงวอน … วิงวอนแปลว่าอะไร?

            “ไม่ไหวแล้ว ลูกไม่ไหวแล้ว ช่วยด้วย แย่แล้ว หยวนน่าพ่อ ไม่ไหวแล้ว”

            นี่แหละ คือการวิงวอน มีไหมวิงวอนอย่างนี้ โอเค อย่างนี้ไม่ได้เรียกวิงวอน อย่างนี้เรียกว่าอธิษฐานเฉยๆ วิงวอน คือรบเร้าเซ้าซี้ แล้วก็ใช้เวลานาน อาจจะเป็นหลายๆ วัน หลายๆ ปี ในหัวใจเรียกร้อง

            ยกตัวอย่าง เช่น เราทุกข์ใจเรื่องเกี่ยวกับสุขภาพ เมื่อตะกี้นี้บอกสุขภาพไม่ดี ตามอายุขัย หรือสุขภาพไม่ดี ตามปัญหาของโลกใบนี้ เราก็วิงวอน แทบทุกวัน เราก็อยากจะดีแน่นอน นี่คือคำสัญญาของพระเจ้า ที่ให้กับเรา ซึ่งเป็นสิ่งที่ดีที่สุด

            ให้วิงวอน พร้อมกับการขอบพระคุณ คือไม่ว่าคำตอบของเราจะตรงกับหัวใจเราหรือไม่? ตรงกับความต้องการหรือไม่ ถ้าพระองค์ทรงสถิตอยู่ในใจของเราแล้ว พระองค์ทรงอยู่กับลูก พระองค์ทรงรักลูก ดังแก้วตาดวงใจ ให้ทำอย่างนี้ แล้วสัญญาว่าแล้วสันติสุขของพระเจ้า ซึ่งเกินความเข้าใจจะปกครอง คุ้มครองป้องกันความคิดจิตใจของท่านไว้ในพระเยซูคริสต์

            เมื่อท่านอยู่ในพระเยซู สันติสุข ความสงบสุข การช่วยเหลือแต่ละวันๆ จะมาพร้อมเสมอ นี่คือคำสัญญาที่พระเยซูคริสต์ให้ไว้กับคนที่เป็นคริสเตียน และใน 1 เธสะโลนิกา 5:16-18 อีกเช่นเดียวกัน คือยกมาอีกข้อหนึ่ง นี่คือคำสัญญา สำหรับคริสเตียน …

        1 เธสะโลนิกา 5:16-18 “16 จงมีความสุขและมีความชื่นชมยินดีภายในจิตใจอยู่เสมอ 17 จงหมั่นอธิษฐานใกล้ชิดพระเจ้าอยู่เสมอ 18 จงขอบพระคุณพระเจ้าในทุกกรณี ไม่ว่าสถานการณ์จะเป็นเช่นไร จงขอบคุณพระเจ้า เพราะนี่คือพระประสงค์ของพระเจ้า สำหรับท่านทั้งหลายซึ่งเป็นผู้ที่อาศัยอยู่ในพระคริสต์”

            เห็นไหม? เราได้บังเกิดใหม่ เราอยู่ในพระคริสต์  พระคริสต์อยู่ในเรา เราเป็นหนึ่งเดียวกัน  วางใจในพระองค์ จูงมือเราเดิน เชื่อและวางใจในพระองค์ เริ่มต้นแล้วอย่างไร? เชื่อและวางใจในพระองค์ต่อไป จนกระทั่งหมดลมหายใจ  พระองค์ทรงดี และพระองค์ทรงสามารถทำได้ทุกสิ่งทุกอย่างเกินกว่าความคิดของมนุษย์ที่จะเข้าใจ  โรม 8:28-29 …

        โรม 8:28-29 “28 เรารู้ด้วยความมั่นใจว่าพระเจ้าผู้ซึ่งห่วงใยเรามาก ทำทุกสิ่ง ให้กระทำงานร่วมกัน เพื่อให้เกิดผลอันดีกับเราทั้งหลาย ผู้ที่รักพระองค์ ผู้ที่พระองค์ได้ทรงเรียกแล้ว ตามแผนการ ตามพระประสงค์ของพระองค์ 29 เพราะว่าบรรดาผู้ซึ่งพระองค์ได้ทรงรู้จัก ได้รัก และได้เลือกสรรไว้ ล่วงหน้าแล้วนั้น พระองค์ได้ทรงกำหนดไว้ล่วงหน้า ก่อนสร้างโลกแล้วว่าเขาทั้งหลายจะได้รับการเปลี่ยนแปลงจนกระทั่ง ให้เป็นเหมือนพระบุตรของพระองค์ (พระเยซู) และเข้าส่วนร่วมในความบริสุทธิ์ ปราศจากบาป อย่างสมบูรณ์ที่สุดเหมือนพระองค์ เพื่อว่าพระเยซูจะได้เป็นบุตรหัวปี (มนุษย์ผู้แรกที่ได้รับการบังเกิดใหม่ เป็นขึ้นจากตาย) ท่ามกลางพี่น้องมากมาย (ผู้ที่ยอมรับเชื่อในการไถ่บาปของพระเยซู)”

            “เพราะว่าบรรดาผู้ซึ่งพระองค์ได้ทรงรู้จัก ได้รัก และได้เลือกสรรไว้ ก็คือคริสเตียนทั้งหลาย พระองค์ทรงกำหนดล่วงหน้า ก่อนสร้างโลกว่าเขาทั้งหลาย จะได้รับการเปลี่ยนแปลงเป็นเหมือนพระบุตร เป็นเหมือนพระเยซู ตอนนี้เราเป็นเหมือนพระเยซูเลย  วันหนึ่งภายภาคหน้า เมื่อวิญญาณเราออกจากร่าง  เราจะไปสวมร่างกายใหม่ ที่เป็นเหมือนพระเยซู และเข้าส่วนร่วมในความบริสุทธิ์ ปราศจากบาปอย่างสมบูรณ์ที่สุด เหมือนพระองค์ นี่คือคำสัญญา ให้เราขอบพระคุณตรงนี้ พระเยซูจะได้เป็นบุตรหัวปี มนุษย์ผู้แรกที่ได้เกิดใหม่ เป็นขึ้นจากความตาย ท่ามกลางพี่น้องมากมาย ก็คือเราทั้งหลายเป็นพี่น้องกับพระเยซู เราเป็นน้องแน่นอน เพราะว่าเราเป็นคริสเตียน  ผู้ที่ยอมรับ และเชื่อในการไถ่บาปของพระเยซูคริสต์ ต้อนรับพระเยซูเป็นพระผู้ช่วยให้รอดของเราเรียบร้อยแล้ว  พระเจ้าจะนำเรา และให้เราในสิ่งที่ดีที่สุด  ที่อะไรก็ตามที่เกิดขึ้นกับเรา  ไม่ว่าอยู่บนโลกใบนี้  พระเจ้าจะนำเราไปในทิศทางใด  ไม่ว่าจะดีหรือร้าย  ในสายตาของเรา พระองค์ทรงกระทำทุกสิ่งทุกอย่าง  ที่เกิดกับเรา ให้รวมกันออกมาเป็นผลดี สำหรับเราเสมอ  ผู้ที่พระองค์ทรงรักดังแก้วตาดวงใจ นี่ยกมาให้แค่ไม่กี่ข้อ ก็พอแล้ว  นี่คือคำสัญญา สำหรับคริสเตียน ต้องยึดมั่นอยู่ตรงนี้  และไม่มีผิดพลาดได้แน่นอน ให้เราใช้ให้มันถูกต้อง

            มาต่อวันนี้ หัวข้อ ก็คือ “ประตูใหญ่วางใจตนเอง ประตูเล็กวางใจพระคริสต์” เป็นคำเทศนาหรือคำประกาศของพระเยซูคริสต์ในเรื่องนี้ ก็มักมีคนเข้าใจผิดกันเยอะมาก  อันนี้คุ้นๆ อยู่นะ มาจากมัทธิว 7:13-14 …

        มัทธิว 7:13-14 “13 จงเข้าไปทางประตูแคบ เพราะประตูใหญ่และทางกว้าง นำไปสู่ความพินาศ และคนเป็นอันมากเข้าไปทางนั้น 14 ส่วนประตูเล็กและทางแคบ นำไปสู่ชีวิต และมีเพียงไม่กี่คนที่ค้นพบ”

            ลองให้คิดดูสักแป๊บหนึ่ง ประตูแคบ คืออะไร?  ประตูใหญ่ คืออะไร? นึกถึงภาพพระเยซูกำลังพูดถึงอะไร?

            “จงเข้าทางประตูแคบ”

            ประตูใหญ่ๆ ไม่ให้เราเดินเข้าไป ให้เราเดินประตูแคบ ประตูใหญ่ทางกว้าง กลับบอกเราอย่าไป คิดดูในใจว่าอะไร? แล้วคิดดูสิว่าคิดตรงกับพระวิญญาณบริสุทธิ์ไหม?

            ประตูใหญ่และทางกว้าง คือทางแห่งคุณธรรมและจริยธรรม การประพฤติตามกฎและศีลธรรม อันดีงาม ที่ทุกคนยอมรับ และเห็นว่าดีในโลกนี้ โลกนี้ทั้งโลก มนุษย์ทุกคน จะสรรเสริญ ยกย่องความดี คุณธรรม ศีลธรรม และจริยธรรม เป็นประตูกว้างที่เป็นเอกฉันท์เลย ใช่หรือไม่? ไม่มีใครปฏิเสธเลย มันกว้าง พูดปั๊บ ทุกคนใช่? ทุกความเชื่อ ทุกลัทธิ ทุกศาสนาของโลกนี้ ก็จะมีพื้นฐานอยู่บนหลักการและกฎเกณฑ์ที่ให้กระทำดี ละชั่ว ประพฤติดี สะสมความดี เพื่อจะได้สิ่งที่ดีๆ เพื่อจะได้ไปสวรรค์ใช่หรือไม่? คิดตามนะ นี่คือทางกว้างใหญ่ ใครๆ ก็รับได้ ใครๆ ก็สรรเสริญ

            ซึ่งบทบัญญัติของพระเจ้า ที่ให้ไว้ตั้งแต่สมัยโมเสส ซึ่งเป็นรากฐานของกฎศีลธรรมมาถึงปัจจุบันนี้ ในความเชื่อทุกความเชื่อ ก็ตั้งอยู่บนพื้นฐาน หลักการตรงนี้เหมือนกัน เช่นเดียวกัน ว่าเป็นต้นกำเนิดด้วยซ้ำไป คือบัญญัติที่พระเจ้าให้ไว้ตั้งแต่สมัยโมเสส บัญญัติ 10 ประการ และ 613 ข้ออะไรต่างๆ เหล่านั้น

            คืออะไร? บทบัญญัตินี้คืออะไร? คือต้องทำดีเท่านั้น จึงจะได้เป็นผู้ชอบธรรมในสายพระเนตรพระเจ้า และสามารถเข้าสวรรค์ได้ ทำผิดทำชั่วเมื่อไรจะถูกลบชื่อออกไปทันที นี่คือบัญญัติ สมัยโมเสส มันดีจริงๆ แล้วสิ่งที่พระเยซูมาประกาศ บอกตอนนี้ มันก็ไม่ได้ขัดแย้งเลยกับพื้นฐานความจริงตรงนี้เลย

            คำว่า “ทำดีได้ดี ทำดีได้ไปสวรรค์” พระเยซูประกาศมันยังเป็นจริงอยู่เสมอ และจะเป็นจริงอยู่ตลอดไป จนกว่าโลกนี้จะสิ้นไป พระเยซูประกาศอย่างนั้นจริงๆ พระคัมภีร์จึงบอกว่าพระเยซูไม่ได้มาลบล้างบทบัญญัติของโมเสสแต่อย่างไร? ก็คือไม่ได้มาลบล้างกฎศีลธรรม การทำดีได้ดี ที่โลกนี้สรรเสริญยกย่อง เชื่อถือ แต่พระองค์ยังคงตอกย้ำ ยืนยันในหลักการเดิม มากกว่าเดิมว่ามนุษย์ต้องทำแต่ความดี ต้องเป็นคนดีเท่านั้น ย้ำเลยนะ เพื่อจะได้ชื่อว่าเป็นผู้ชอบธรรมของพระเจ้า และสามารถไปอยู่ในสวรรค์กับพระเจ้าได้ ทำแต่ความดีได้ไปสวรรค์แน่นอน  พระเยซูประกาศย้ำยืนยันแน่นอนเลย แต่ประเด็นสำคัญ คือว่าที่เราไม่เข้าใจตรงนี้ พระเยซูพูดต่ออีกนิดหนึ่งว่า “ทำความดี เพื่อให้เป็นผู้ชอบธรรมนั้น” ตรงนี้ อย่างที่เราเรียนรู้มาแล้วว่าพระเยซูบอกว่าผู้ที่ทำใด้ ต้องอยู่ในมาตรฐานของพระเจ้า

            มาตรฐานของพระเจ้า หมายถึงต้องทำให้ได้ดี อย่างครบถ้วนบริบูรณ์ตามบทบัญญัติทั้งหมดเลย ผิดพลาดแม้แต่นิดหนึ่ง ก็ไม่ได้ ถูกไหม? มนุษย์เรา สรรเสริญในการทำดี  แต่เราผิดพลาดไป เราบอกไม่เป็นไรหรอก หยวนๆ แต่พระเยซูกำลังมาย้ำบอกว่าถูกแล้ว รักษากฎบัญญัติอย่างนั้น กฎหมายศีลธรรมสำคัญ ดีแล้ว ต้องไม่พลาดเลยนะ ย้ำขึ้นไปอีก ผิดพลาดแม้แต่นิดเดียวก็ไม่ได้ ที่พระคัมภีร์ พระเยซูใช้คำว่า “ต้องบริสุทธิ์ ดีพร้อมเหมือนพระเจ้าเท่านั้น” เห็นไหม? พระองค์กำลังมายกชูตามมนุษย์ทั้งหลาย เหมือนกันว่าบัญญัตินั้นดี กฎหมาย ศีลธรรมต่างๆ ที่เรานับถือกัน ที่เราเทิดทูนกัน สรรเสริญกัน ถูกแล้ว แต่สำหรับพระเจ้านั้น ต้องบริสุทธิ์ ดีพร้อมเหมือนพระเจ้าเลย ซึ่งเราก็รู้กันอยู่แล้ว รู้อยู่ในใจ พระเยซูก็พูดด้วยว่ามนุษย์ไม่มีคนไหนเลย ที่สามารถทำได้ ก็คือไม่สามารถรักษาบทบัญญัติ ได้ครบถ้วนบริบูรณ์ ไม่ผิดบาปเลยแม้แต่ข้อเดียว เป็นไปไม่ได้เลย นี่คือเป้าหมายที่พระเยซูมาประกาศด้วยซ้ำไป

            พระองค์เลยจะบอกว่าพระเจ้าก็เลยต้องส่งพระเยซูคริสต์ เป็นพระมาซีฮาห์ พระผู้ช่วยให้รอด มาช่วย เราจึงเรียกพระเยซูว่าพระมาซีฮาห์  พระผู้ช่วยให้รอด หรือว่าพระคริสต์ เพราะว่ามนุษย์ทำเองไม่ได้ พระเยซูจึงต้องมาช่วยไง ช่วยอะไร? ช่วยชำระบาปให้กับเรา และให้เราบังเกิดใหม่ เป็นผู้บริสุทธิ์ดีพร้อมในสายพระเนตรพระเจ้าเลย

            เพราะฉะนั้น สรุปง่ายๆ ก็คือพื้นฐานความเชื่อ เรื่องทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว ทำดีได้ไปสวรรค์ ยังคงเป็นจริงอยู่เสมอ จนกว่าโลกนี้จะสิ้น คำว่า “ทำดี” ในที่นี้ คือต้องทำตัวเองให้บริสุทธิ์ ดีพร้อมเหมือนพระเจ้า ตามมาตรฐานของพระองค์ มนุษย์ไม่มีทางทำให้ตัวเองบริสุทธิ์ดีพร้อมได้ มนุษย์จึงไม่มีทางเข้าสวรรค์ได้ด้วยตนเองเลย พระเจ้าจึงต้องส่งพระบุตร คือพระเยซูคริสต์มาเป็นพระผู้ช่วยให้รอด ที่เรียกว่าพระมาซีฮาห์ พระคริสต์ นำพามนุษย์ให้ได้ไปสวรรค์ โดยการกระทำของพระองค์เอง

            นี่คือสิ่งที่ผมกำลังอธิบายความหมายของพระคัมภีร์ตรงนี้ ที่บอกว่าประตูใหญ่ และทางกว้าง นำไปสู่ความพินาศ และคนเป็นอันมากเข้าไปในทางนั้น

            บางคนเท่านั้นที่พุ่งไปที่ประตูแคบ เพราะเขารู้ว่าเขาทำไม่ได้ เขาก็อยากรักษาเข้าประตูกว้างเหมือนกัน แต่เขามาอยู่ประตูกว้างตั้งนานแล้ว รักษาไม่ไหวแล้วจริงๆ พระเยซูเป็นประตูแคบ เขาเอาแล้ว ก็ถูกคนอื่นเขาข่มเหงรังแกว่าคนนี้ เป็นคนที่ไม่มีศีลธรรม ไม่รักษาความดีงาม พอเข้าใจไหม? อธิบายลำบาก ท่านเองโดนมา ก็จะรู้ว่ารับได้ไหม? เราก็คือบางคนนั้น ที่มาเชื่อพระเยซู แล้วก็มีคนมากล่าวหาบอกว่า …

            “เชื่อพระเยซูทำอะไรก็ได้ ทำบาปก็ได้ อธิษฐานขอโทษพระเจ้า พระเจ้าก็ยกโทษให้ ทำอย่างนี้ได้ไปสวรรค์เหรอ ถ้าเธอได้ไปสวรรค์ ฉันได้ไปสวรรค์มากกว่า ฉันทำดีมากกว่าเธอตั้งเยอะ” นี่พูดช้าไปนะเนี้ย ถ้าโดน โดนหนักกว่านี้

            “ท่านดีขนาดไหน? ท่านไปสวรรค์ เชื่อพระเยซูแค่นี้ ไม่เห็นทำอะไร? บลา…..”

            เราก็โอ๊ย ไม่รู้จะอธิบายอย่างไรเลย? แคบไหมประตู แล้วบางคนไม่ทันชิม เริ่มขับรถจะไปชิมพระเยซูหน่อย พอได้ยินอย่างนี้ ไม่กล้าไปแล้ว

            “เธอไม่สนใจความประพฤติแล้วเหรอ” … ไม่เข้าใจ ความหมายตรงนี้เลย

            ประตูใหญ่และทางกว้าง ก็คือทางที่คนเป็นอันมาก พากันมุ่งตรงไป คนส่วนใหญ่ก็จะไปตรงนี้ มันเห็นๆ อยู่ไง เพราะทำแล้วมีคนสรรเสริญ ไม่มีคนขัดแย้ง ท่านจะไปทำความดีอะไรต่างๆ เหล่านั้น ไม่ว่าจะไปบอกว่าเชื่อพระเยซู แล้วทำความดี แต่เชื่อพระเยซูจริงๆ แล้วท่านบอกเป้าหมายที่พระเยซูพูดจริงๆ แล้วว่า …

            “ฉันได้ไปสวรรค์ไม่ใช่ เพราะการกระทำ แต่เป็นเพราะฉันเชื่อพระเยซูคริสต์” … ก็รับไม่ได้แล้ว

            เพราะประตูใหญ่ทางกว้าง ก็คือทางที่คนเป็นอันมาก พากันมุ่งตรงไป ตามจิตใต้สำนึก ตามความเชื่อ คือพยายามทำแต่ความดี เพื่อจะได้ไปสวรรค์ วางใจในการกระทำของตนเองมาก เพื่อจะได้ไปสวรรค์ ซึ่งเป็นความเชื่อที่ถูกต้อง แต่จะบอกให้ว่าทางกว้างนี้ นำไปสู่ความพินาศ

            พินาศ เพราะมันทำไม่ได้ ไม่มีสักคนหนึ่งที่ทำได้ครบถ้วนบริบูรณ์ไง แต่ดูเหมือนดีไหม? มันดี ฟังดีไหม? ดี แต่ทำได้ไหม? ไม่ได้ นึกออกไหม? พยายามจับนิยามมาให้ท่านมองเห็น

            คนที่เลือกเข้าทางประตูใหญ่นี้ ก็คือคนที่คิดว่าตัวเองทำได้ แต่ในความเป็นจริง คือไม่มีใครสามารถทำได้ ทางกว้างนี้ จึงไม่สามารถนำพาใครไปสู่สวรรค์ได้เลย มีแต่ความพินาศ รออยู่เท่านั้น ทางกว้างเป็นของผู้ที่ยังทะนงตน เย่อหยิ่ง ไม่ยอมรับความจริงตามที่พระเยซูคริสต์บอก ในใจก็รู้ๆ อยู่ว่าทำไม่ได้  แต่ก็พยายามฝืนที่จะทำให้ได้ สะสมให้มันได้  จนถึงวันสุดท้าย ก็ไม่ได้อยู่ดี แต่มันเป็นทางกว้าง ผู้คนก็จะแห่กันไป ต้องย้ำตรงนี้อีกครั้งว่าพระคัมภีร์ไม่มีตรงไหนที่บอกว่าให้หยุดเชื่อในการกระทำดี พระเยซูไม่เคยสอนให้เราหยุดทำดี แต่สอนประกาศให้เราไม่พึ่งในสิ่งที่ดี ที่เราทำ มันต่างกันนะ ไม่มีตรงไหนที่พระเยซูสอนให้หยุด ในการกระทำความดี  ไม่มีเลย แต่กำลังบอกว่าในขณะที่ท่านกำลังเพียรพยายามทำความดีอยู่นั้น ดีแล้ว แต่จงรับรู้เถิด การพยายามทำความดีด้วยตัวเองนั้น จะไม่มีทางนำท่านไปสู่การได้เป็นผู้ชอบธรรม เข้าสวรรค์ได้ตามมาตรฐานของพระเจ้า ไม่มีทางเลย ที่ท่านจะได้รับการช่วยเหลือ ให้รอดจากการพิพากษา ลงโทษ หลังความตาย

            พระเยซูจึงสรุปบอกว่า … “ดังนั้น จงหันมาทางประตูเล็ก ทางแคบ จงกลับใจใหม่ มาทางเราเถิด” … ก็คือยอมรับและวางใจในพระมาซีฮาห์ หรือพระเยซูคริสต์ ให้พระเยซูคริสต์เข้าครอบครองชีวิตของท่าน เข้ามาสถิตอยู่กับท่าน นำพาชีวิตของท่าน เดินไปกับพระเยซู พึ่งพาในพระองค์ เป็นทางเดียวที่จะนำท่านไปสู่สวรรค์ หรือเรียกว่านำไปสู่ชีวิตนิรันดร์ได้นั่นเอง ซึ่งที่บอกว่าเป็นทางเล็ก และทางแคบ อย่างที่ตะกี้นี้ผมบอก มันง่ายเกินไป เพราะว่ามันเป็นข่าวดี เป็นของฟรี พวกเราทั้งหลายก็รู้ พอบอกฟรีปุ๊บ เรารู้สึกข่าวดีมากเลย เพราะพอเขาบอกว่าให้ฟรีปุ๊บ รู้สึกดีใจ พระเยซูกำลังบอก นี่เป็นข่าวดี นี่เป็นของฟรี มันเลยรับยากนะ

            เพราะของฟรีอะไรมันใหญ่โตขนาดนั้น ไม่อยากจะเชื่อ ถึงเรียกว่าพระคุณ ความดีของพระเจ้า เป็นของฟรี แค่ผ่านทางความเชื่อ ไม่ต้องทำอะไรเลย มนุษย์ทั้งหลายจึงไม่สามารถเข้าใจตรงนี้ได้ จึงไม่ค่อยมีใครเข้ามาทางแคบนี้ ทางพระเยซูคริสต์นี้ เพราะว่ามันง่ายเกินไป คนส่วนใหญ่เลยรับไม่ได้ เพราะถูกปลูกฝังมาตั้งแต่เล็กๆ แล้วว่าต้องทำๆ พออยู่ๆ มีคนมาบอกว่าไม่ต้องทำแล้ว ได้รับไปฟรีๆ อันดับแรกเลย เป็นไปไม่ได้ เข้าใจยาก สำหรับคนที่คิดแบบภาษามนุษย์ มันก็เลย กลายเป็นอย่างที่พระเยซูบอก เป็นประตูเล็ก ทางแคบ ที่มีเพียงไม่กี่คน บางคนเท่านั้นที่ค้นพบ

            ขอบคุณพระเจ้าที่เราพบแล้ว มันไม่ยากเลย นี่คือข่าวดี นี่คือข่าวประเสริฐของพระเจ้าที่ให้ฟรีๆ ที่มีมาถึงมนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้ ตอนกำลังพูดอยู่นี้ พระเยซูพูดประกาศให้กับชาวยิว แต่เราสามารถเอามาใช้ได้กับคนที่ไม่ใช่ยิว คือคนที่ยังไม่เชื่อ มันคือภาพของความจริงเลยว่าประตูใหญ่ ทางกว้าง ทุกคนเห็น ก็คือความประพฤติ การพึ่งพาตนเอง การกระทำดี ถูกต้อง ศีลธรรมที่ดีงามอะไรต่างๆ มันเป็นจริงที่ถูกต้อง เฮกันไปหมดเลย  โดยไม่คิดถึงเลยว่ามาตรฐานของพระเจ้ากำลังบอกว่าต้องทำดีจนครบหมดนะ ผิดพลาดครั้งหนึ่ง ก็ไม่ได้ ผิดพลาดครั้งหนึ่ง ก็เท่ากับว่ากำลังโชว์ว่าตัวเองเป็นคนบาป แม้แต่ครั้งเดียว โกหกครั้งเดียว นิดเดียวเอง ก็มาจากความบาปแล้ว นี่คือกฎที่พระเจ้าวางไว้ ในทางด้านวิญญาณ สำหรับการที่จะช่วยให้รอด จากความบาป ไปสู่สวรรค์หลังความตาย

            แต่พอบอกว่าพระเยซูคริสต์สิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน เป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่ 3 ชำระบาปให้กับเราเรียบร้อยแล้ว เอาความบาปออกไปจากมนุษย์หมดเลย เราไม่ได้เป็นคนบาปอีกต่อไป มาเชื่อพระเยซูคริสต์เท่านั้น พระองค์เอาความบาปออกไปหมดเรียบร้อยแล้ว เราจะเป็นผู้ชอบธรรม เข้าสู่สวรรค์ เป็นลูกของพระเจ้าได้เลย เรียบร้อยเลยทันทีทันใด ที่เราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ วางใจในพระเยซูคริสต์ ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป คือตั้งแต่พระเยซูสิ้นพระชนม์และเป็นขึ้นจากความตาย จนถึงทุกวันนี้ จนกว่าวันที่พระเยซูคริสต์จะกลับมาใหม่ คือวันที่สิ้นโลกนี้ สิ่งเหล่านี้ คำสัญญาเหล่านี้ ยังเป็นจริงอยู่ คือเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด วางใจในพระองค์จะได้บังเกิดใหม่ พ้นจากบาป เข้าสู่สวรรค์ทันทีทันใดเลย เอเมน

            มันง่ายไป ขอทำอะไรหน่อยสิ ขอทำนิดหนึ่งๆ ได้ไหม? เพราะฉะนั้น คนที่มาเป็นคริสเตียนแล้ว บางคนก็ยังขอพระเยซูทำเลย พอเป็นคริสเตียนแล้ว ขอทำ คืออะไร?

            “ฉันขอทำตรงนี้เพิ่มเติม เพื่อว่าเดี๋ยวจะไม่ได้รับความรอด”

            “ก็ได้รับเรียบร้อยไปแล้ว เป็นลูกพระเจ้าแล้ว”

            “เดี๋ยวกลัว พอตายไปแล้ว พระเจ้าจะไล่ฉันออกจากสวรรค์” อะไรอย่างนี้

            แล้วสัปดาห์หน้าเราค่อยมาฟังกันต่อว่าที่ผมพูดตรงนี้หมายถึงอะไร? พระเยซูพูดอย่างนั้นแหละ พระเยซูรู้ว่าเขาคิดอะไรกัน เดี๋ยวพระเยซูจะอธิบายต่อไป เรื่องคำประกาศของพระเยซู พอเรารู้ความจริงแล้ว มันเป็นความจริงอย่างนี้จริงๆ พระองค์ประกาศทั้งหมด ที่เราเรียนมา 10 ตอนแล้วกำลังพูดให้กับคนที่ยังไม่เชื่อพระเจ้า ยังไม่ได้เป็นคริสเตียน ยังไม่ได้เกิดใหม่ เพราะฉะนั้น เราเป็นคริสเตียนแล้ว เราเกิดใหม่แล้ว มันอีกเรื่องหนึ่ง พระองค์กำลังประกาศนั่นเอง  อย่างเพลงที่ผมเอามาจบในซีรี่ย์นี้ วางใจในพระเจ้าและกระทำความดี จึงเป็นสิ่งที่จริง ก็คือให้เชื่อและวางใจในพระเจ้าก่อน แล้วก็มาสนใจในการกระทำดีตามกฎศีลธรรมทีหลัง ให้ความสำคัญกับความรอด ในวิญญาณก่อน แล้วค่อยมาให้ความสำคัญกับความประพฤติทีหลัง นี่คือทางที่พระเยซูวางไว้ให้กับเรา พระเจ้าอวยพรครับ

****************************

จากใจคณะศิษยาภิบาล

            เรามั่นใจในความบริสุทธิ์  ดีพร้อมของเราหรือไม่?

            โรม 8:1-2 …  “1 เหตุฉะนั้น  บัดนี้  จึงไม่มีการลงโทษ  แก่บรรดาผู้ที่อาศัยอยู่ในพระเยซูคริสต์ (เปิดใจรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดจากบาป) 2 เพราะว่าโดยทางพระเยซูคริสต์ กฎของพระวิญญาณแห่งชีวิต  ได้ปลดปล่อยท่าน  ให้เป็นอิสระ  จากกฎแห่งบาปและความตาย (คือกฎแห่งการพึ่งพาการกระทำดีของตนเอง)”

            มนุษย์ทุกคนอยู่ภายใต้กฎแห่งแรงดึงดูดของโลก  จนกระทั่งค้นพบกฎแห่งการยกขึ้นของเครื่องบิน  จึงสามารถมีชัยชนะอยู่เหนือกฎแรงดึงดูดของโลกได้

            เช่นเดียวกันในโลกวิญญาณ  ทุกคนอยู่ภายใต้กฎแห่งการกระทำดีละชั่ว  ทำดีได้ดี  ทำชั่วได้ชั่ว  ซึ่งไม่มีใครสามารถทำดีได้ครบถ้วนบริบูรณ์  ตามมาตรฐานของพระเจ้า  คือบริสุทธิ์ดีพร้อมเหมือนพระองค์  จึงจะเข้าอยู่ในสวรรค์กับพระองค์ได้

            จนกระทั่ง 2000 ปีที่แล้ว  พระเยซูมาสถาปนากฎใหม่  ที่มีชื่อว่ากฎวิญญาณแห่งชีวิตในพระเยซูคริสต์  ซึ่งมีอำนาจอยู่เหนือกฎแห่งความบาปและความตาย  คือกฎในการพึ่งพาการกระทำดีละชั่วของตนเอง  เรียกว่ากฎแห่งพระคุณ

            ตั้งแต่นั้นมา มนุษย์ทุกคนสามารถที่จะเลือกการดำเนินชีวิต  อยู่ในกฎใดกฎหนึ่งนี้ได้  แล้วแต่จะตัดสินใจด้วยตนเองว่าจะพึ่งพาการกระทำของตนเอง   เพื่อจะได้ครบถ้วนบริบูรณ์  บริสุทธิ์ดีพร้อม  ไปอยู่กับพระเจ้าในสวรรค์ได้  หรือถ้าไม่แน่ใจ  หันกลับมาหาพระเจ้า โดยพึ่งพาการกระทำของพระเยซูคริสต์  พระบุตรของพระเจ้า  ที่พระองค์ได้ทรงประทานให้มา  เป็นพระผู้ช่วยให้รอดของมวลมนุษยชาติ

            พระเยซูคริสต์ได้กระทำสำเร็จเรียบร้อยแล้ว  คือสถาปนากฎแห่งวิญญาณ  กฎแห่งพระคุณนี้  โดยการสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน  และถูกฝังไว้ในอุโมงค์  และเป็นขึ้นจากความตายในวันที่สาม เปิดประตูเข้าสู่สวรรค์ให้กับมนุษย์ทุกคน

                        นี่คือข่าวดี สำหรับมวลมนุษย์ทุกคน

                        โปรดเลือกพึ่งในการกระทำของพระเยซูคริสต์เถิด!

            พระเจ้าอวยพรครับ

วารสาร Holy  News   ฉบับที่ 1387 

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  30  ตุลาคม  2022

เรื่อง “คำประกาศของพระเยซู ที่มักมีการเข้าใจผิด” ตอน 9

“คำเทศนาบนภูเขา” Ep.8 “จงขอ แล้วท่านจะได้รับ จงหา แล้วท่านจะพบ จงเคาะ แล้วประตูจะเปิดให้แก่ท่าน”

โดย นคร   เวชสุภาพร

            เรายังอยู่ในซีรี่ย์ชุด “คำประกาศของพระเยซู ที่มักมีการเข้าใจผิด” วันนี้เป็นตอนที่ 9 เป็น Ep.8 ของเรื่อง “คำเทศนาบนภูเขา”

            ตอนที่ 1  จงแสวงหาอาณาจักรของพระเจ้า และความชอบธรรมของพระองค์ก่อน

            ตอนที่ 2  คำเทศนาบนภูเขา  Ep 1 : คนป่วยต้องการหมอ  คนบาปต้องการพระเยซู

            ตอนที่ 3  คำเทศนาบนภูเขา  Ep 2 : พระเยซูถูกกล่าวหาว่ามาล้มล้างกฎบัญญัติ

            ตอนที่ 4  คำเทศนาบนภูเขา  Ep 3 : กฎแห่งกรรม ทำบาปเพียงครั้งเดียว  ก็ไม่ได้ไปสวรรค์

            ตอนที่ 5  คำเทศนาบนภูเขา Ep 4 : มนุษย์มองที่ความประพฤติภายนอก        แต่พระเจ้ามองที่ วิญญาณข้างใน

            ตอนที่ 6  คำเทศนาบนภูเขา Ep 5 : ต้องบริสุทธิ์ดีพร้อม เหมือนพระบิดาของท่านในสวรรค์

            ตอนที่ 7 คำเทศนาบนภูเขา Ep 6 : ท่านต้องอภัยให้ผู้อื่นก่อน แล้วพระเจ้าถึงจะอภัยให้ท่าน

            ตอนที่ 8 คำเทศนาบนภูเขา Ep 7 : ทรัพย์สมบัติในโลกต้องเหน็ดเหนื่อยหาเอง      แต่ทรัพย์สมบัติในสวรรค์   พระเจ้าให้ฟรีๆ

            ตอนที่ 9 (วันนี้)  คำเทศนาบนภูเขา Ep 8 :  จงขอแล้วท่านจะได้รับ  จงหาแล้วท่านจะพบ  จงเคาะแล้วประตูจะเปิดให้แก่ท่าน

            ทบทวนว่าพระเยซูพูดกับใคร? เป้าหมาย คืออะไร? สำคัญมาก นี่คือเบื้องหลังที่จะต้องรู้ก่อน ไม่รู้แล้วจะนึกว่าเป็นอย่างนั้น นึกว่าเป็นอย่างนี้ ใช้ความคิดตัวเอง อ่าน 2-3 ประโยค แล้วก็บอกว่านี่แหละ ต้องเป็นอย่างนี้ เป็นความคิดของฉัน หรือเป็นตามความคิดประเพณี หรือเป็นตามความคิดของวัฒนธรรมที่เคยได้ยินมา อันนั้นก็อันตราย

            เพราะฉะนั้น ทบทวนจุดมุ่งหมายของพระเยซู ที่ประกาศเรื่องแผ่นดินสวรรค์บนภูเขาที่เรากำลังเรียนรู้กัน จุดมุ่งหมายเดียวที่พระเยซูได้ทรงกระทำสิ่งต่างๆ เหล่านี้  ในขณะดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ 3 ปี ตอนอายุ 30 ถึง 33 เท่านั้น ไม่ว่าจะทำอะไรก็ตาม ไม่ว่าจะเป็นคำพูด คำอธิบาย การยกอุปมาต่างๆ  หรือกระทำการอัศจรรย์ต่างๆ ที่พระเยซูกระทำทั้งหมด เป้าหมายคืออะไร?  ทำการอัศจรรย์เพื่ออะไร?  ก็เพื่อเป็นการประกาศให้มนุษย์ทั้งหลาย ได้รับรู้และวางใจ ในตัวของพระองค์ พระองค์ทรงเป็นพระเมสิยาห์ พระมาซีฮาห์ ภาษาฮีบรู หรือภาษากรีก แปลว่าพระคริสต์ ซึ่งแปลว่าพระบุตรของพระเจ้า ที่พระองค์ทรงเจิมตั้งเอาไว้ ให้มาช่วยเหลือมนุษย์นั่นเอง  พระองค์ทรงเป็นพระผู้เป็นเจ้า ที่เรียกว่าพระเจ้า พระบุตร  ไม่ใช่บุตรของพระเจ้านะ ไม่เหมือนกันนะ  พระเจ้ากับพระบุตร กับบุตรของพระเจ้าต่างกัน  พวกเราเป็นบุตรของพระเจ้า ที่พระเจ้ารับเราเป็นบุตร  แต่พระบุตรเป็นพระเจ้า ที่เป็นบุตร ที่มีตำแหน่งใน 3 พระภาค พระองค์ทรงเป็นพระเจ้า พระบุตรที่พระเจ้าทรงเจิมตั้งไว้ เพื่อเป็นพระผู้ช่วยให้รอดของมวลมนุษยชาติ ตรงนี้เรียกว่าเมซียาห์ ซึ่งพระเจ้าได้ทรงสัญญาไว้ตั้งแต่อดีต หลายพันปีก่อนโน้น ก่อนที่พระองค์จะทรงมาเกิดว่าจะส่งพระบุตร มาบังเกิดเป็นมนุษย์  เพื่อช่วยมนุษย์ทั้งปวงให้รอดจากความพินาศ เนื่องจากโทษของความบาป และคำสาปแช่ง ที่มาจากบรรพบุรุษ

            พระองค์จะส่งพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์ ชื่อพระเยซู นี่แหละ คือพระเมสิยาห์ พระองค์กำลังสำแดงตัวเอง ย้ำทุกเรื่อง เพื่อจะให้ผู้คนได้รู้ว่าพระองค์ คือผู้นั้นแหละ โดยเฉพาะชาวยิวรู้ดี เพราะชาวยิว ก็เรียนรู้เรื่องนี้มาตั้งแต่สมัยดึกดำบรรพ์ ตั้งแต่บรรพบุรุษของเขาแล้ว รวมความ ก็คือพระองค์มาเพื่อไถ่บาป ให้กับมวลมนุษย์ทั้งปวง ซึ่งเกิดมาเป็นคนบาปในวิญญาณ ป่วยอยู่ ต้องการหมอรักษา ไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองให้พ้นจากความผิดบาปนี้ได้ ด้วยการสะสมความดี กระทำความดี ด้วยตนเอง เพื่อจะเป็นผู้ชอบธรรม พ้นจากบาป เป็นผู้บริสุทธิ์ในสายพระเนตรของพระเจ้า คือในกฎที่พระเจ้าวางไว้ มาตรฐานของพระเจ้า  เขาไม่สามารถทำด้วยกำลังของตนเองได้ ซึ่งพระเยซูย้ำยืนยันว่ามันเป็นไปไม่ได้เลย ที่ท่านทั้งหลายจะรักษาบทบัญญัติ จะกระทำด้วยความดีของตนเอง  เพื่อจะได้รับการเป็นผู้ชอบธรรม ในสายพระเนตรของพระเจ้า

            นี่คือจุดหมายเดียว ที่พระเยซูมากระทำสิ่งต่างๆ เหล่านี้ทั้งหมด ทั้งมวล อัศจรรย์ ทั้งอุปมา ทั้งคำสอน อะไรต่างๆ เพื่อจะบอกกับชาวยิว ที่พูดถึงนี้ ท่านทั้งหลายต้องถ่อมใจยอมรับความจริง กลับใจใหม่ หันมาพึ่งในพระเจ้าเถิด ท่านต้องได้รับความช่วยเหลือจากพระเจ้าเท่านั้น ท่านต้องบังเกิดใหม่เท่านั้น ถึงจะเข้าสวรรค์ได้ ซึ่งไม่มีใครสามารถเกิดด้วยตัวเองได้ เกิดเป็นมนุษย์ ยังเกิดไม่ได้เลย เรายังต้องเกิดจากพ่อแม่เลย แล้วทางวิญญาณจะเกิดใหม่ได้อย่างไร?  เกิดด้วยตัวเองไม่ได้ ต้องเกิดจากพระเจ้าเป็นผู้กระทำให้เกิด เกิดใหม่ เพื่อที่จะเข้าสวรรค์ได้ เมื่อเข้าสวรรค์ได้ เกิดใหม่ได้  ก็จะได้เป็นผู้ชอบธรรม ดีพร้อมในสายพระเนตรของพระเจ้า  และจะเกิดใหม่ได้ มีอยู่ทางเดียวเท่านั้น ก็คือวางใจในเรา ผู้ที่พระเจ้าได้ส่งมานั่นเอง นี่คือเป้าหมายเดียว จุดหมายเดียว ที่พระเยซูมาทำอัศจรรย์ต่างๆ เทศนาสั่งสอน พูดอะไรต่างๆ นั้น ที่เรากำลังเรียนรู้ เราจะได้รู้เป้าหมายว่าพระองค์กำลังพูดถึงเรื่องอะไร? กำลังจะพาผู้คนไปไหน?  ก็คือไปบอกพวกเขาว่าให้เขาเปิดใจ ถ่อมใจ ยอมรับ ต้อนรับพระเยซูคริสต์ คือพระองค์เอง เป็นผู้ช่วยให้รอด เป็นทางเดียวเท่านั้น ที่ท่านจะรอด จากบาปได้

            แล้วพระองค์ก็จะเข้ามาเป็นหนึ่งเดียวกันกับท่าน เมื่อท่านบังเกิดใหม่ แล้วก็จะเป็นผู้นำทางท่านตั้งแต่นี้ไป เมื่อท่านวางใจในพระองค์ พระองค์จะเข้าไปสถิตอยู่ในท่าน และไปทำการงานภายในตัวของท่าน เสริมสร้างท่าน ดูแลท่าน นำพาท่านต่อไป จนกระทั่งสำเร็จ จนถึงนิรันดร์ ท่านจะได้พักและหายเหนื่อย ในใจท่านทันที เดี๋ยวนี้เลย เมื่อท่านเปิดใจ วางใจ ต้อนรับพระยูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด

            นี่คือเป้าหมายที่พระเยซูพูด ประกาศทั้งหมด 3 ปี ในพระคัมภีร์ใหม่ มีบันทึกไว้ เปาโลบอกว่า …

            “ข้าพเจ้ามั่นใจ” เปาโลพูดกับผู้ที่เชื่อ เปิดใจ วางใจในพระเยซูคริสต์ ต้อนรับพระเยซูคริสต์แล้ว เป็นคริสเตียนแล้ว เริ่มต้นเปาโลบอกว่า …

            “ข้าพเจ้ามั่นใจว่าท่านทั้งหลายสบายแล้ว” สบายตรงไหน? “ท่านมีพระเยซูอยู่ในตัวแล้ว” แล้วทำไม “ข้าพเจ้ามั่นใจว่าพระเจ้าผู้ทรงเริ่มต้นการดีในท่านแล้ว พระองค์จะทรงกระทำต่อไปจนกระทั่งสำเร็จ เป็นไปตามน้ำพระทัยของพระเจ้า จนกว่าจะถึงวันของพระเยซูคริสต์”

            คือไปถึงนิรันดร์เลย มั่นใจแล้ว เพราะพระเจ้าเข้าไปสถิตอยู่ในท่านแล้ว แล้วจะนำพาท่านต่อไป เราไม่ต้องห่วงท่านเลย พระเจ้านำพาท่านไป นี่ชัดเจนเลย

            จะพาท่านไปดูนิดหนึ่ง ให้เห็นชัดๆ ว่าพระเยซูพูดสิ่งเหล่านี้ อธิบายสิ่งเหล่านี้  ประกาศสิ่งเหล่านี้ จุดหมายเดียว คืออย่างที่ตะกี้นี้บอก ยอห์น 6:27-29  ก็คืออุปมาที่พระองค์อธิบาย ประกาศจุดหมายนี้ เช่นเดียวกัน …

        ยอห์น 6:27-29 “27 อย่าขวนขวาย เหน็ดเหนื่อยทำงาน แสวงหาอาหารที่เสื่อมสิ้นไปได้แต่จงแสวงหาอาหารที่ดำรงอยู่ตลอดไป คืออาหารแห่งชีวิตนิรันดร์ ซึ่งบุตรมนุษย์จะให้แก่ท่านเพราะพระเจ้า คือพระบิดาได้ทรงประทับตรา มอบอำนาจแก่พระบุตรแล้ว 28 แล้วเขาทั้งหลายก็ทูลพระองค์ว่าข้าพเจ้าทั้งหลายจะต้องเหน็ดเหนื่อยทำงานใดๆ บ้างที่เป็นความต้องการของพระเจ้า เพื่อจะได้ชีวิตนิรันดร์นี้ 29 พระเยซูตรัสตอบเขาว่างานเดียวที่พระเจ้าต้องการให้ท่านทำนั้น คือการที่ท่านวางใจในผู้ที่พระองค์ทรงส่งมา”

            “งานเดียวที่พระเจ้าต้องการให้ท่านทำนั้น คือการที่ท่านวางใจในผู้ที่พระองค์ส่งมา”

            นี่คืออีกครั้งหนึ่ง ที่พระเยซูพูด ประกาศ เพื่อจะอธิบาย เป้าหมายที่ตะกี้นี้ผมบอก อย่าขวนขวายเหน็ดเหนื่อยทำงาน เหน็ดเหนื่อยในชีวิต  เป็นเรื่องธรรมดาของชีวิตมนุษย์ทุกคน เพราะมนุษย์ทุกคนก็ทราบ เพราะเกิดมาจากท้องพ่อท้องแม่ ภาษาไทยเขาพูดอย่างนี้นะ ไม่ใช่ท้องพ่อหรอก เกิดมาจากท้องพ่อท้องแม่ ก็ขวนขวายหาความรอดแล้ว ไม่อยากจะเป็นคนบาป อยากจะอิสระจากบาป อยากจะเป็นผู้ชอบธรรม อยากจะไปอยู่สวรรค์ตอนหลังความตาย  นี่มันเป็นธรรมชาติ

            พระองค์จึงบอกว่าอย่าขวนขวายเหน็ดเหนื่อย ทำงานหนัก เพื่อแสวงหาอาหาร “อาหาร” ก็เล็งถึงชีวิตของพระองค์ ก็คือพระเมซิยาห์ ก็คือพระเยซู พระองค์ทรงเป็นความสว่าง เป็นชีวิต เป็นความชอบธรรม อย่าเหน็ดเหนื่อยในการแสวงหาชีวิตนิรันดร์ หรือความสว่าง หรือความชอบธรรม หรือการจะเข้าไปอยู่ในสวรรค์ ที่เป็นสวรรค์แบบหลอกๆ บนโลกใบนี้ เสื่อมสูญไปได้  คืออย่าไปมองสิ่งต่างๆ เหล่านั้นเลย  แต่ให้มาหาอาหาร ก็คือตัวของพระองค์เอง  เป็นอาหารแห่งชีวิต  คือเข้ามาพึ่งในพระองค์นั่นเอง นี่ชัดเจนเลย

            เพราะในบริบทนี้ เหลืออีกไม่กี่ข้อ ต่อจากนี้ไป คนก็ถาม …

            “อาหารนั่นคืออะไร?”

            พระองค์ทรงตอบว่า … “อาหารนั่นคือตัวเรา กินเราเมื่อไร”

            คนก็งงสิ แล้วเราจะตีความ เอามาใช้กับเราได้อย่างไร?  ถ้าเราไม่เข้าใจสิ่งต่างๆ เหล่านี้ พระองค์กำลังพูดถึงโลกวิญญาณ อุปมาให้เห็นถึงโลกวิญญาณเป็นอย่างนี้ๆ พระองค์เป็นอาหารแห่งชีวิตนิรันดร์ มีชีวิตนิรันดร์อยู่ในพระองค์ เรากินพระองค์ ก็คือเราได้ชีวิตนิรันดร์ ก็คือบังเกิดใหม่อยู่ในสวรรค์ นี่เกี่ยวกับโลกวิญญาณทั้งสิ้น

            เสร็จแล้ว พอพวกเขาได้ยิน พวกเขาบอกว่าอย่างไร? “ข้าพระองค์ทั้งหลายจะต้องทำอย่างไร? เหน็ดเหนื่อยการงานใดๆ บ้าง ที่เป็นความต้องการของพระเจ้า เพื่อจะได้อาหาร คือชีวิตนิรันดร์”

            เขาก็อยากจะรู้ แล้วถ้าไม่ให้เหน็ดเหนื่อย แสวงหาสวรรค์ แบบทางของเขาบนโลกใบนี้ ที่เสื่อมสูญได้ ให้แสวงหาชีวิตนิรันดร์จากพระองค์ จากสวรรค์ ซึ่งจะอยู่นิรันดร์  เขาต้องทำงานเหน็ดเหนื่อยขนาดไหน? แค่ไหน? ต้องทำอะไรบ้าง? ที่พระเจ้ากำหนดไว้ ต้องการผ่านเกณฑ์นี้ไปได้ เพื่อเขาจะได้ไปสวรรค์ ได้ชีวิตนิรันดร์ ต้องทำอะไรบ้าง คือเขาเป็นชาวยิวใช่ไหม? เขาจะมีบทบัญญัติต่างๆ ที่เราได้เรียนรู้กันมาก่อนหน้าที่พระเยซูยกตัวอย่างให้ฟัง คนเหล่านี้ ที่ได้ยินได้ฟัง เขาก็สงสัย เขาก็อยากจะรู้ว่าถ้าเผื่อเป็นอย่างนั้น แล้วเขาอยากได้ชีวิตนิรันดร์ เขาต้องทำอะไรต่างๆ บ้าง เช่น เขาต้องไม่ฆ่าคนใช่ไหม?  ต้องมีพระเจ้าองค์เดียวใช่ไหม? ต้องไม่ล่วงประเวณีใช่ไหม? ต้องไม่ขโมย ลักทรัพย์ใช่ไหม? ต้องอภัยให้กับผู้อื่นใช่ไหม? ต้องถวายสิบลดด้วยใช่ไหม? ต้องโน่นต้องนี่ แล้วต้องทำอะไรเท่าไร? ตรงไหนบ้างที่พระเจ้าต้องการ เพื่อเขาจะได้ชีวิตนิรันดร์ แล้วพระเยซูก็เลยตอบ โดนใจเป๊ะเลย

            เขาถามว่า … “งานอะไรต่างๆ (เป็นพหูพจน์) ก็คือจำนวนเยอะแยะเลยอะไรต่างๆ ที่เราต้องทำ เพื่อจะได้เข้าสวรรค์”

            พระเยซูตรัสตอบที่ต่างๆ พหูพจน์ตัดมาเป็นเอกพจน์ คือหนึ่งเดียว คืองานเดียวที่พระเจ้าต้องการให้ท่านทำ แล้วท่านจะได้เข้าอยู่ในสวรรค์ได้ งานนั่น คือวางใจในพระเยซู คือ …

            “วางใจในเรา ผู้ที่พระเจ้าส่งมา คือวางใจในเรา ที่เราเป็นพระเมสิยาห์จริงๆ ท่านก็รู้อยู่แล้วว่าเราเป็นพระเมสิยาห์”

            รู้ได้อย่างไร? ก็เพราะบรรพบุรุษก็บอกไว้แล้ว ถ้าท่านไม่ดื้อดึง ถ้าท่านไม่เย่อหยิ่ง ท่านจะรู้ทันทีว่าเราคือผู้นั้นแหละ เพราะเขาพูดกันมาตั้งแต่บรรพบุรุษแล้ว เพราะชาวยิวเขาเล่าให้ลูกๆ ฟัง เล่าให้หลานๆ ฟังต่อไป เล่าตั้งแต่เด็กๆ เลย ทุกวันสะบาโตก็จะคุยแต่เรื่องนี้ สิ่งนี้ที่พระเจ้าทรงสัญญาไว้ คือเด็กคนนั้น คือพระมาซีฮาห์ที่จะส่งมาช่วยเหลือมนุษย์ให้รอดพ้น และเรื่องเหล่านี้ ได้ถูกประกาศออกไป ไม่ใช่คนยิวเท่านั้นที่ได้ยินได้ฟัง  ที่พูดกันมาตั้งแต่บรรพบุรุษ พอพูดถึงบรรพบุรุษ มันหลุดออกไปถึงคนข้างนอกชุมชนยิวด้วย คนต่างชาติเขาได้ยินบ้าง เพราะฉะนั้น คนต่างชาติก็ได้วัฒนธรรมจากยิว ซึ่งเป็นวัฒนธรรมที่ศิวิไลซ์กว่าชนต่างชาติมาก เมื่อสมัยในอดีตเยอะๆ หลายพันปีก่อน ท่านพอนึกออกใช่ไหม?

            เพราะฉะนั้น คนต่างชาติบางกลุ่ม บางความเชื่อ ตั้งแต่หลายพันปีก่อน เขาก็มีความมั่นใจว่ามีคนหนึ่งจะมาช่วย มีคนหนึ่งจะมาแน่ มีคนหนึ่งวันหนึ่งจะขี่ม้าขาวมาช่วย ซึ่งไม่ใช่ยิวนะ ไม่ใช่คริสเตียนด้วย ทุกวันนี้ก็ยังมีคนเชื่อตรงนี้อยู่ วันหนึ่งจะมีคนขี่ม้าขาวมาช่วย วันหนึ่งจะมีคนหนึ่งมาช่วยเหลือมนุษย์ แต่พระเยซูมาบอก …

            “เราคือคนนั้น” เอเมนไหม?

            พูดง่ายๆ ก็คือมนุษย์ถามพระเจ้าว่า … “ข้าพเจ้าต้องพยายามกระทำดีมากเท่าไรถึงจะเข้าสวรรคฺได้?”

            พระเจ้าก็ตอบว่า … “แค่วางใจในพระเยซูคริสต์เท่านั้น”

            จบ นี่พูดง่ายๆ ในข้อพระคัมภีร์ที่พระเยซูอธิบาย สรุปสั้นๆ ก็คือพระเจ้าตอบว่าให้วางใจในพระเยซูคริสต์เท่านั้น ก็คือวางใจในพระคุณยิ่งใหญ่ ที่พระเจ้าทำให้กับมนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้เท่าๆ กัน

            พระคุณ คือเราไม่ต้องทำอะไร? พระเจ้าทำให้เราฟรีๆ เข้าสวรรค์ฟรีๆ ซึ่งมนุษย์ไม่มีวันที่จะเข้าใจพระคุณความดีงามของพระเจ้าตรงนี้ได้เลย เป็นไปไม่ได้เลย จนกว่าเขาจะได้รับการบังเกิดใหม่นั่นเอง พระเยซูจึงบอกให้เขาวางใจในพระองค์ ไม่ใช่ให้เขาเชื่อในพระองค์ เขาไม่มีวันที่จะเชื่อในพระองค์ได้หรอก  เขาไม่มีทางเชื่อว่าพระองค์ทรงเป็นพระบุตรของพระเจ้า  เป็นไปไม่ได้เลย  แต่เขาสามารถที่จะใช้ความไว้วางใจได้ เขาจะเห็นสิ่งต่างๆ ที่พระองค์ทรงทำ สิ่งที่พระองค์ทรงพูด และก็นึกถึงอดีตที่บรรพบุรุษเขาพูดไว้ เขาสามารถ ด้วยความคิดของมนุษย์สามารถวางใจได้ แต่ด้วยความคิดของมนุษย์ไม่สามารถเชื่อได้ เพราะเชื่อเป็นอาการของวิญญาณข้างใน วิญญาณเขาบาป เขาไม่มีกำลังพอที่จะเชื่อพระเยซูว่าเป็นพระบุตรหรอก แต่เขาสามารถใช้กำลังจากสติปัญญา ความคิดของเขา จากเหตุผลต่างๆ เขาสามารถวางใจในพระเยซูได้ ถ้าเขาวางใจในพระเยซูว่าพระองค์ผู้นี้เป็นพระเมซิยาห์  เขาก็จะได้รับการบังเกิดใหม่ พอบังเกิดใหม่ปุ๊บ เขาเชื่อพระเยซูเลย เอเมนไหม? เพราะสิ่งที่เขาต้องทำ ก็คือวางใจในพระเจ้า เพราะว่ามันเป็นสิ่งเดียวที่เขาทำได้ คือวางใจ เชื่อมันเป็นไปไม่ได้ วางใจมันเป็นไปได้

            ครั้งที่แล้วเราได้จบลงที่มัทธิว 6:33 “จงแสวงหาแผ่นดินของพระเจ้า และความชอบธรรมของพระองค์ก่อน แล้วพระองค์ก็จะทรงเพิ่มเติมสิ่งทั้งปวง ก็คือทรัพย์สมบัติในสวรรค์ เก็บไว้ให้เป็นมรดกแก่ท่านด้วย”

            ใช่ไหม? ซึ่งผมเปลี่ยนให้นิดหนึ่งว่าแล้วพระองค์ก็จะแถม เพิ่มเติมให้ จากการได้เป็นผู้ชอบธรรมเรียบร้อยแล้ว จากการได้เข้าสวรรค์เรียบร้อยแล้ว ก็คือได้รับมรดกด้วย ก็คือให้แสวงหาความชอบธรรม อาณาจักรของพระเจ้าเสียก่อน โดยการวางใจในพระบุตรของพระเจ้าว่าเป็นพระมาซีฮาห์ พอวางใจปุ๊บ ก็ได้บังเกิดใหม่ พอบังเกิดใหม่ ก็ได้เข้าสวรรค์ ตอนได้เข้าสวรรค์ เป็นบุตรของพระเจ้า ก็เป็นผู้ชอบธรรม บริสุทธิ์ ดีพร้อมเหมือนพระเจ้าทันที บนโลกใบนี้ วางใจปุ๊บ เกิดใหม่ปั๊บ ก็มีความเชื่อทันที นึกภาพออกไหม?

            ถ้าท่านไม่วางใจ มันไม่มีวันมีความเชื่อหรอก ความเชื่อเกิดในวิญญาณของท่าน พระเจ้าเป็นผู้จัดการให้มันเกิดขึ้นในวิญญาณ ถ้าท่านไม่เกิดใหม่ มันไม่มีทางเชื่อได้หรอก เป็นไปไม่ได้เลย

            พอเกิดใหม่ เข้าสวรรค์ เป็นบุตรของพระเจ้า เป็นผู้ชอบธรรม บริสุทธิ์ ดีพร้อม เหมือนพระเจ้า ทันทีทันใด การดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ก็เป็นอย่างนี้ทันที ในสวรรค์เกิดอะไรขึ้น ในสวรรค์เกิดเครดิตของท่าน บัญชีท่านขึ้นมาทันทีเลย ทรัพย์สมบัติในสวรรค์ขึ้นมาทันที ในชื่อของท่าน เป็นของแถม ท่านได้เป็นลูกของพระเจ้าแล้ว เป็นผู้ชอบธรรมแล้ว  อยู่ในสวรรค์แล้ว ทันทีทันใด ที่ดำเนินชีวิตอยู่บนโลก ถูกไหม? ของแถม ก็คือท่านแสวงหา ท่านได้สวรรค์ไปแล้ว ได้เป็นผู้ชอบธรรมไปแล้ว สิ่งที่ท่านไม่ต้องแสวงหา แต่ได้เลย ก็คือทันทีในโลกฝ่ายวิญญาณในสวรรค์นั้น ทรัพย์สมบัติเยอะแยะมากมายเป็นมรดก  พระเจ้าเก็บไว้ให้กับท่านแล้ว เมื่อท่านจากโลกนี้ไป ไปรับเลยทันที คือเกียรติ สิริ สง่าราศีของพระเยซูคริสต์ที่ท่านจะได้เข้าร่วมเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์ ได้รับร่างกายใหม่ ที่เป็นร่างกายเหมือนพระเยซูคริสต์ตอนเป็นขึ้นจากความตาย ได้ครอบครองมรดกร่วมกับพระเยซูคริสต์ในสวรรคสถานนิรันดร์ นี่ยกตัวอย่างให้ฟัง ซึ่งเป็นของแถม ครั้งที่แล้ว เราหยุดอยู่แค่นี้

            วันนี้เรามาต่อ อย่าลืมนะว่าการทบทวนเหล่านี้ คือพื้นฐานสิ่งที่เรากำลังเรียนรู้ว่าพระเยซูคริสต์มาประกาศข่าวประเสริฐของพระองค์ ประกาศแผ่นดินของสวรรค์ ประกาศให้ใครอย่างไร? และจุดหมาย เป้าหมายที่พระองค์ประกาศ เพื่ออะไร? เริ่มต้นวันนี้ที่มัทธิว 7:1-5 …

        มัทธิว 7:1-5 “1 อย่าตัดสิน มิฉะนั้น ท่านเองจะถูกตัดสินด้วย 2 เพราะท่านตัดสินผู้อื่นอย่างไร ท่านจะถูกตัดสินอย่างนั้น ท่านตวงให้ไปด้วยทะนานอันใด ท่านก็จะได้รับเท่ากับทะนานอันนั้น 3 “เหตุใด ท่านมองดูผงขี้เลื่อยในตาของพี่น้อง แต่ไม่ใส่ใจกับไม้ทั้งท่อนในตาของท่านเอง 4 ท่านพูดกับพี่น้องได้อย่างไรว่าให้เราเขี่ยผงออกจากตาของท่านเถิด ในเมื่อตลอดเวลานั้น ท่านเองมีไม้ทั้งท่อนอยู่ในตา 5 เจ้าคนหน้าซื่อใจคด จงชักไม้ทั้งท่อนออกจากตาเจ้าเองก่อน แล้วเจ้าจะเห็นชัด เพื่อจะเขี่ยผงออกจากตาของพี่น้องได้”

            อย่าลืมว่าพระเยซูกำลังพูดกับคนยิว โดยเฉพาะตอนนี้กำลังพูดกับคนที่ยิวไม่เชื่อและเย่อหยิ่ง จนกระทั่งพระองค์ทรงเรียกเขาว่าผู้ที่หน้าซื่อใจคด เพราะยังเคร่งเครียดรักษาบทบัญญัติในพันธสัญญาเดิมอยู่ ยังไม่ได้เกิดใหม่ในวิญญาณ แน่นอน เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว เขาก็คอยที่จะชี้นิ้วตัดสินคนอื่น  ตามมาตรฐานของตนที่ตนทำได้ ทั้งๆ ที่จริงๆ แล้ว พระเยซูกำลังชี้ให้เห็นว่ามันบาปเท่าๆ กันนั่นแหละ แต่เขาเย่อหยิ่ง เคร่งครัดในการรักษาบทบัญญัติ เขานึกว่าเขาทำได้ดีกว่าคนอื่น เขาก็เริ่มชี้นิ้ว ชี้ปั้บ พระเยซูกำลังบอกว่าเวลาเขาชี้นิ้วไป อีก 3 นิ้วมันเข้ามาหาเขา แค่นี้เอง 5 ข้อนี้ มีอยู่แค่นี้

            พระองค์กำลังบอกว่าพวกหน้าซื่อใจคด ไม่ได้ดุว่าเขานะ กำลังชี้ให้เขาเห็นว่าหน้าซื่อใจคด เขาคิดจริงๆ เขาก็จะรู้ว่ามันเป็นอย่างนี้ ภาษาไทยเขาเรียกว่า “ว่าแต่เขา อิเหนาเป็นเอง” แล้วแถมเป็นหนักกว่าด้วย คนอื่นเอาไปนิ้วเดียว ตัวเองเอามา 3 นิ้วเลย เมื่อเขาตัดสินคนอื่นอย่างนั้น เขาชี้ตัวเอง เขาจะได้รับอย่างนั้น คือหนักกว่าคนอื่น โอกาสที่จะรอดพ้น จากความบาป มีน้อยกว่าเพราะเขาเย่อหยิ่งไง ความเย่อหยิ่ง ทำให้เราตัดสินคนอื่น ชี้คนอื่น เพราะมันอดไม่ได้ เพราะข้างในเป็นคนบาปอยู่ ต่อให้ข้างในไม่เป็นคนบาปก็ตาม ต่อให้เป็นคริสเตียนแล้วก็ตาม ข้างในไม่ได้ต้องการทำอย่างนี้ก็ตาม แต่เรายังถูกหลอกได้ โดยโปรแกรมเก่าๆ เขาเรียกว่าความคิดแบบเนื้อหนัง ซึ่งต่อต้านพระเจ้า  ยังสามารถมีโปรแกรมเก่านี้ เร้าให้เราคิดแบบนี้ได้เช่นเดียวกันว่าเราดีกว่าคนอื่น เราอธิษฐานมากกว่า เราถวายทรัพย์มากกว่า เรามีความเชื่อสูงกว่า เราอันโน้นอันนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง โฮลี่เนื้อหนังเลย เนื้อหนังแบบบริสุทธิ์ เช่น …

            “พระเจ้าโปรดปรานฉันเยอะกว่า”

            อดไม่ได้ “เพราะฉันไม่เคยทำบาปเลย ไม่เคยทำผิดเลย นี่พวกนี้ เป็นคริสเตียนยังกินเหล้าอยู่เลย เป็นคริสเตียนยังไม่บริสุทธิ์ ไม่โฮลี่ ฉันโฮลี่กว่า พระเจ้าโปรดปรานฉันมากกว่า”

             แล้วเราก็ไปชี้นิ้วเขาบอกว่า … “คุณต้องทำอย่างนั้นทำอย่างนี้ๆ ทำให้เหมือนฉันทำ” โดยอาจจะไม่ได้พูดตรงๆ แต่จริงๆ คือเอาตัวเองไปเทียบ นี่พูดเลยมาถึงคริสเตียน แต่ตอนนี้กำลังพูดถึงชาวยิว มันเป็นอย่างนี้ เพราะเขามัวแต่ทำอะไร? เคร่งเครียดรักษาบทบัญญัติ ก็คือมัวแต่พึ่งพาตนเองอยู่ จนกระทั่งตาบอด เห็นความประพฤติ การรักษาบทบัญญัติของตนเองเป็นพระเจ้าของเขา พระเยซูจึงบอกว่าท่านจะเป็นข้าสองเจ้า บ่าวสองนาย มันเป็นไปไม่ได้ ท่านจะพึ่งตนเองและพึ่งพระเจ้าด้วย พร้อมๆ กันไม่ได้ เพราะพระเจ้าจะมีองค์เดียวเท่านั้น คือท่านนับถือใคร? ก็คือคนนั้นแหละ ท่านนมัสการใคร? ก็คือคนๆ นั้นแหละ ท่านนมัสการตนเอง นมัสการความดีงาม นมัสการบัญญัติ ก็บัญญัติต่อไปเคร่งตลอดไป ถ้าท่านนมัสการพระเจ้า ท่านก็จะได้พระคุณ พึ่งในพระเจ้า

            ตรงนี้พระเยซูกำลังพูดกับคนยิวที่ยังไม่ได้เกิดใหม่ ถ้าเราเป็นคริสเตียนแล้ว บังเกิดใหม่ในวิญญาณแล้ว แล้วอ่านข้อความเหล่านี้ ตีความว่าพระเยซูกำลังพูดกับเรา ให้เราพยายามทำตามนี้ อย่างเคร่งครัดด้วย มีคริสเตียนคิดอย่างนี้ไหม?  อ่านแล้วมีความรู้สึกว่าพระเยซูกำลังพูดกับเรา ให้เราพยายามทำตามนะ อย่างเคร่งครัด ก็คือให้เราพึ่งตนเอง พยายามทำให้ได้ อย่าไปตัดสินคนอื่นนะ เราก็จะพลาดจากความหมายที่แท้จริง ที่พระเยซูกำลังประกาศนี้ ซึ่งถ้าเราได้รับรู้ความหมายที่แท้จริง ก็จะเป็นประโยชน์ในชีวิตของเรา ซึ่งเป็นคริสเตียนแล้ว บังเกิดใหม่แล้ว  เป็นประโยชน์ต่อชีวิตของเราในการดำเนินชีวิตต่อไป อย่างหายเหนื่อยและเป็นสุข ถ้าเราไปตีความผิด ไม่ใช่หายเหนื่อยและเป็นสุข แต่มันเหนื่อยมากขึ้น

            มาเชื่อพระเจ้าไหนบอกหายเหนื่อยและเป็นสุข  ทำไมมาเชื่อพระเจ้าแล้วมันเหนื่อยมากขึ้น เห็นป้ายหน้าโบสถ์เขียนไว้ว่า “จงมาหาเรา เจ้าจะหายเหนื่อยและเป็นสุข” เรามาหาพระเยซู มันเหนื่อยมากขึ้น แต่ที่เราอ่านทั้งหมดนั้น มันเป็นข้อความ สำหรับคนที่ทะนงตนเย่อหยิ่งในการพึ่งพาตนเอง

            คนที่ทะนงตน พึ่งพาตนเอง ก็จะตีความหมายว่า … “ฉันต้องทำให้ดีที่สุด ให้พระเจ้าเห็นว่าฉันทำได้ตามนี้  ตามที่พระเยซูสอนเมื่อตะกี้นี้ ฉันจะทำให้มากที่สุดเท่าที่ทำได้ เพื่อให้พระเจ้ามีความโปรดปรานพอใจในฉัน ยิ่งฉันทำเยอะ ก็จะได้ความโปรดปรานจากพระเจ้ามาก”

            แต่สำหรับคนที่ถ่อมใจ รับรู้ถึงพระคุณพระเจ้าแล้ว เมื่อได้อ่านข้อความเดียวกันนี้  ก็จะขอบคุณพระเจ้าอย่างมากมาย ที่มาตรฐานในการดำเนินชีวิตอย่างนี้ อย่างที่พระเยซูกำลังประกาศอยู่นี้ ฉันได้รับทั้งหมด เรียบร้อยแล้ว โดยผ่านทางความเชื่อในพระเยซูคริสต์เท่านั้น พระองค์ทรงกระทำสำเร็จเรียบร้อยแล้ว ที่ไม้กางเขน ฉันก็ขอบคุณพระเจ้าอย่างมากที่สุด ในสิ่งนั้น  เพราะฉันไม่มีทางที่จะทำเองได้เลย ซึ่งเป็นคำแสดงการถ่อมใจอย่างแท้จริงนั่นเอง

            ถ่อมใจ ก็คือขอบคุณพระเจ้า นี่ไม่ได้พูดถึงฉัน เพราะฉันทำไม่ได้หรอกตามนี้ เพราะพระเยซูกำลังประกาศในสิ่งที่มนุษย์ทำไม่ได้ ไม่ใช่ให้มนุษย์ทำ กำลังพูดสิ่งต่างๆ เหล่านี้ คือพูดว่าท่านทำไม่ได้หรอก ทำให้ครบถ้วนบริบูรณ์ไม่ได้ ไม่ใช่สอนว่าให้ท่านทำนั่นเอง ถ้าเราตีความผิด มันก็จะยุ่งนะ มัทธิว 7:6 ต่อไป …

        มัทธิว 7:6 “อย่าให้ของบริสุทธิ์ศักดิ์สิทธิ์แก่สุนัข อย่าโยนไข่มุกให้สุกร มิฉะนั้น มันจะเหยียบย่ำไว้ใต้เท้า แล้วหันมาฉีกท่านเป็นชิ้นๆ”

            ตอนนี้พระเยซูกำลังแนะนำล่วงหน้าให้กับเหล่าสาวกที่จะเชื่อพระองค์ในอนาคตอันใกล้นี้

            “ของบริสุทธิ์ศักดิ์สิทธิ์” ตรงนี้หมายถึงพระมาซิฮาห์ สั้นๆ ก็คือข่าวดีแห่งพระคุณ ในพระเยซูคริสต์ ก็คือชีวิตนิรันดร์ของพระเจ้า ก็คือ DNA ทางฝ่ายวิญญาณของพระเจ้า ซึ่งจะได้รับแค่วางใจในพระบุตร วางใจพระมาซิฮาห์  ก็ได้บังเกิดใหม่ จาก DNA ทางวิญญาณของพระเจ้า บริสุทธิ์  DNA วิญญาณของพระเจ้า หน่อเชื้อที่มาจากพระเจ้า ทำให้เราบังเกิดใหม่ มันบริสุทธิ์ สะอาด ศักดิ์สิทธิ์ ตรงนี้ คือความบริสุทธิ์ศักดิ์สิทธิ์ที่พระเยซูกำลังพูดถึง อย่าไปเอาชีวิตนิรันดร์นี้ให้กับใคร?

            เรามาดูสิ ในหนังสือพันธสัญญาใหม่ ได้มีบันทึกไว้ บอกเราว่าสุนัขย้อนกลับมากินอาเจียนของตนเอง ถูกไหม? ย้อนกลับมากินสิ่งที่มันสำรอกออกมา และสุกรหรือหมู ก็กลับไปหมกมุ่นอยู่กับโคลนตม เอาหมูมาล้างให้สะอาดๆ ปล่อยปุ๊บ มันวิ่งไปหาโคลน เป็นธรรมชาติของเขา เปรียบเหมือนคนที่ได้ยินข่าวประเสริฐ ตามบริบทนี้ ก็หมายถึงคนยิว ซึ่งรับรู้เรื่องราวข่าวประเสริฐ เรื่องมาซีฮาห์มาก่อนหน้าแล้ว ก่อนพระเยซูจะมาประกาศ เขาก็ได้รู้เยอะแยะจากบรรพบุรุษแล้ว  ได้รับรู้ และรู้เรื่องราวของข่าวประเสริฐ แห่งพระคุณของพระเจ้านี่แล้ว  แต่พอได้ยิน ได้เห็นกับตา ตามที่พระเยซูได้ประกาศ ได้กระทำให้เห็น แต่ปฏิเสธ ไม่รับข่าวดีนี้  ไม่รับชีวิตนิรันดร์อันบริสุทธิ์นี้ กลับไปหาบทบัญญัติของโมเสสเหมือนเดิม กลับไปรักษาบทบัญญัติ กลับไปหาชีวิตเดิมที่เป็นคนบาป สกปรก มนุษย์ทุกคนเป็นคนบาป กลับไปพึ่งพาตนเอง ที่จะทำให้ตนเองเป็นผู้ชอบธรรม พ้นจากความบาป โคลนตมนั้น โดยการประพฤติตามบทบัญญัติของพระเจ้าอย่างเคร่งครัด ซึ่งพระเยซูบอกว่าไม่สามารถทำได้ครบถ้วนบริบูรณ์อยู่แล้ว แต่เขาก็ยังดื้อ ยังเย่อหยิ่ง ปฏิเสธข่าวประเสริฐของพระเจ้า ปฏิเสธของบริสุทธิ์ ชีวิตนิรันดร์ของพระเจ้าที่ให้มา ที่ให้ฟรีๆ นี่หมายถึงตรงนี้

            และพระเยซูก็เลยประกาศว่าให้สาวกมีท่าทีอย่างไร? ในอนาคต สาวกก็รู้ เพราะประกาศให้กับคนเหล่านี้ พวกฟาริสี พวกเย่อหยิ่งเหล่านี้ แว้งมากัด ก็คือกลับมาข่มเหงผู้ประกาศ คือสาวกเอง เพราะฉะนั้น พระเยซูบอกว่าพอประกาศ พอได้กลิ่น พอสังเกตดูว่าคนที่เราประกาศอยู่นั้น ว่าเป็นสุนัขหรือเป็นสุกร ก็ให้เดินผ่านไปเลย อย่าไปยุ่ง อย่าไปเสียเวลา แค่นั้นเอง ต่อไปข้อ 7-8 …

        มัทธิว 7:7-8 “7 จงขอแล้วท่านจะได้รับ จงหาแล้วท่านจะพบ จงเคาะแล้วประตูจะเปิดให้แก่ท่าน 8 เพราะทุกคนที่ขอ ก็ได้รับ คนที่แสวงหาก็พบ และคนที่เคาะประตูก็จะเปิดให้แก่เขา”

            อันนี้สำคัญมาก มีคนเอาไปใช้เยอะแยะมากมายไปหมดเลย แต่ใช้แบบผิดๆ ใช้แบบอันตราย เสียหาย ถึงชีวิตของเขาเอง และเสียหายต่อข่าวประเสริฐของพระเจ้าด้วย มีคนเข้าใจผิด พระเจ้าเยอะแยะ เพราะเรื่องนี้

            ในช่วงเวลาที่พระเยซูกำลังประกาศข่าวประเสริฐอยู่นี้ ประโยคนี้ คือก่อนที่จะทรงกระทำให้สำเร็จในข่าวประเสริฐ คือการสิ้นพระชนม์ของพระองค์บนไม้กางเขน  และการเป็นขึ้นจากความตายในวันที่ 3 แต่พระองค์ทรงชี้ให้เห็นว่าพวกเขาจำเป็น ต้องเริ่มต้นแสวงหาตั้งแต่เดี๋ยวนี้เลย แม้ว่าสวรรค์ยังไม่มาตั้งอยู่กำลังมา แม้ว่าหนทางแห่งความเป็นผู้ชอบธรรมของพระเจ้าแบบฟรีๆ แบบพระคุณยังไม่สำเร็จ แต่กำลังจะสำเร็จอีกไม่กี่ปี ไม่กี่วันข้างหน้านี่แหละ พวกเขาจะต้องเตรียมตัว เตรียมใจ เริ่มต้นทำอะไร? แสวงหาอย่างต่อเนื่องด้วย เพราะว่าในข้อความนี้ ในภาษาฮีบรู มีความหมายว่า …

            “จงขอ แล้วขออยู่เรื่อยๆ อย่าหยุด จงหา แล้วก็หาอยู่อย่างต่อเนื่อง จงเคาะ แล้วก็เคาะไปเรื่อยๆ”

            หมายถึงเคาะไม่หยุด จงเคาะไปเรื่อยๆ เพราะว่าสวรรค์ที่พระองค์กำลังพูดนี้ กำลังอยู่ใกล้ๆ นี้แล้ว อาจจะอีกสัก 2 ปีนี้  หรืออีกแค่อาทิตย์หนึ่ง พระองค์จะทำให้สำเร็จแล้ว เพราะฉะนั้น ฟังที่พระองค์ประกาศ ดูที่พระองค์ทำ  และอย่าหยุดในการแสวงหา อย่างต่อเนื่อง โดยพระองค์ได้บอกเบาะแสให้ว่าจะหาให้พบได้อย่างไร? ด้วยวิธีใด? เคล็ดลับ ก็คือวางใจในพระองค์ ที่พระเจ้าได้ส่งมา แค่นั้น เพื่อท่านจะได้บังเกิดใหม่ เข้าอยู่ในสวรรค์ เป็นผู้ชอบธรรม บริสุทธิ์ ดีพร้อม เหมือนพระเจ้า เป็นบุตรของพระเจ้าเลย อย่างนี้แหละ จ้องอยู่ตรงนี้ จ้องอยู่ที่เราบอกกับท่าน แล้วก็จ้อง อย่าหยุดจ้อง

            สมมติว่าได้ยินได้ฟังตั้งแต่ปีแรก จ้องไปถึง 3 ปี จนกระทั่งพระเยซูเป็นขึ้นจากความตาย นั่นแหละเอเมนทันทีเลย คนเหล่านั้น 120 คน บนห้องชั้นบน วันโน้น และอีก 3,000 คนในวันแรก อะไรประมาณนั้น คงเป็นคนที่จ้องมาตลอด แสวงหามาตลอด

            พระเยซูกำลังพูดให้กับชาวยิว ผู้ที่ยังไม่เชื่อ ยังไม่ได้บังเกิดใหม่ เพราะพระเยซูยังกระทำการงานไม่สำเร็จบนไม้กางเขนเลย ไม่มีคริสเตียนเลยสักคนหนึ่ง เพราะฉะนั้น ไม่ได้พูดถึงคริสเตียนเลยตอนนี้ แล้วคริสเตียนเอามาใช้ได้อย่างไร? นี่คือประเด็นสำคัญ ที่ทำให้สับสน สำหรับคนที่เป็นคริสเตียนแล้ว ไปเอามาใช้ ประเด็นสำคัญ คือไม่ได้พูดกับ คริสเตียนที่บังเกิดใหม่แล้ว สักนิดหนึ่งเลย เดี๋ยวเราจะอ่าน ให้เห็นชัดเลย ในข้อที่ 9-11

            ในข้อ 11 บอกว่า … “ถ้าแม้ท่านเอง ซึ่งเป็นคนชั่ว” ในบริบทเดียวกัน  ถ้าเป็นคริสเตียน จะเป็นคนชั่วได้อย่างไร? ถ้าเป็นคริสเตียน เป็นบุตรของพระเจ้า เป็นผู้ชอบธรรม บริสุทธิ์ ดีพร้อม แต่นี่เป็นคนชั่ว ท่านจะเป็นคนชั่วเหรอ  เอาแค่ 2 ข้อนี้ ข้อ 7 และข้อ 8 คริสเตียนที่มาใช้ส่วนตัวว่าเราเป็นคริสเตียนแล้ว เราขอ แล้วเราจะได้  เราหาแล้วจะพบ เราขอไปเรื่อยๆ อัดไปเรื่อยๆ หาแล้วจะพบ เคาะแล้วจะได้ อย่าหยุดเคาะนะ ถึงขนาดแปลอย่าหยุดเคาะว่าเราอย่าหยุดอธิษฐาน วิงวอนต่อพระเจ้า ถึงขนาดเขย่าบัลลังก์เลย เขย่าน้อยไป เขย่าเยอะๆ หน่อย อะไรประมาณนั้น ต้องทำอย่างนี้ เขย่าน้อยไป อดอาหารเขย่า เคยได้ยินคำสอนอย่างนี้ไหม?

            พระองค์ไม่ได้มาสอนผู้ที่เชื่อแล้ว ให้เคาะ ให้หา ให้ขอ แต่พระองค์กำลังพูดกับคนที่ยังไม่ได้เชื่อ ยังไม่ได้เกิดใหม่ กำลังแสวงหาวิธีเข้าสวรรค์อยู่ บอกเขาว่าให้กระทำอย่างนี้ และโดยเฉพาะตอนนี้ พูดให้กับชาวยิว ชัดเจนเลย  เพราะชาวยิวเขารู้ระแคะระคายไปแล้วว่า พระมาซีฮาห์ คือผู้ที่พระเจ้าทรงแต่งตั้งไว้ และทรงสัญญาไว้ตั้งแต่ในอดีต  ตอนนี้มาถึงแล้ว เพ่งดูให้ดีๆ กำลังจะมาแล้ว ไม่นานนี้ ขอสิ แสวงหาสิ เคาะสิ เพื่อจะได้พบกับพระมาซีฮาห์ตัวจริง เพื่อที่จะได้บังเกิดใหม่ เมื่อพระองค์ทรงสิ้นพระชนม์ที่ไม้กางเขน และเป็นขึ้นจากความตาย ท่านจะได้รู้ว่าสิ่งที่เราประกาศไปให้ท่านฟังทั้งหมด พูดให้ท่านฟังทั้งหมดใน 3 ปีมันคืออะไร? มันจะตอบโจทย์ท่านเมื่อวันที่พระองค์ทรงตายที่ไม้กางเขนและเป็นขึ้นจากความตายนั่นแหละ ไม่ได้พูดให้ท่านไปขอ เพื่อเอาความร่ำรวย ไม่หายโรคก็พยายามอธิษฐาน พระเยซูบอกให้เคาะๆ แล้วจะได้ ได้ไหม? ไม่ต้องมีหมอ ไม่ต้องมีโรงพยาบาลแล้ว  ท่านอยากรวย ทำอย่างไร? ขอสิ อย่าหยุด เพราะข้อพระคัมภีร์นี้บอกอย่าหยุดขอ ให้ขออย่างต่อเนื่อง จ้องไปเลยตลอดเวลา จ้องไปเลยอยากจะรวย ขอให้กิจการเจริญเติบโตรุ่งเรืองๆ ร่ำรวยๆ อย่าหยุดๆ แล้วได้ไหมล่ะ ป่านนี้ โบสถ์คริสเตียนทุกโบสถ์วันอาทิตย์ รอคิวเข้า ยิ่งกว่าร้านอาหารดังๆ อีก มีไหมโบสถ์ทุกโบสถ์ยืนรอคิวเข้าไหม? หรือต้องออกไปประกาศ ให้คนมาโบสถ์

            ถ้ามันได้อย่างนั้นจริง คนแห่กันมาหมดแล้ว มันถูกหลอกมากกว่า ต้องพูดเยอะหน่อย ไม่งั้นเสียหาย มันถูกหลอก  ขนาดคนที่ไม่เชื่อ เขามองเข้ามาเขายังบอกพวกนี้เพี้ยนไปแล้ว เขาก็พูดของเขาง่ายๆ …

            “ถ้ามันได้อย่างที่พวกนายกำลังทำอยู่นี้ ก็ไม่ต้องมีโรงเรียน ไม่ต้องมีการทำมาหากินแล้ว วันๆ หนึ่ง ก็นั่งขอๆ รวยกันหมดทุกคนแหละ วันหนึ่งๆ ไม่ต้องทำอะไรแล้ว ก็ขอๆ เคาะๆ ไม่ต้องมีโรงพยาบาลแล้ว แข็งแรงกันหมดทุกคน”

            มันไม่ใช่ แต่มันเป็นความคิด เป็นเนื้อหนังของมนุษย์ทั่วๆ ไปที่อยากจะได้สิ่งเหล่านี้ เป็นเรื่องธรรมดา  แล้วมันได้ไหม? มันไม่ได้ มันเป็นกฎระเบียบที่พระเจ้าวางไว้ว่ามนุษย์ตกอยู่ในความบาป อยู่ในคำสาปแช่ง ร่างกายมันเสียหายไปแล้ว โลกใบนี้มันเสียหายไปแล้ว ต้องได้รับสิ่งต่างๆ เหล่านี้ จากกฎระเบียบของโลกใบนี้ ที่ล้มลงไปในความบาป เป็นเรื่องธรรมดาของมนุษย์ที่จะต้องพบกับความทุกข์ยากลำบากเหล่านี้ ร่างกายต้องเจ็บป่วยเป็นเรื่องธรรมดา อะไรประมาณนั้น นี่แหละ ต่อไปข้อ 9-11 …

        มัทธิว 7:9-11 “9 ใครบ้างในพวกท่าน ถ้าบุตรขอขนมปัง จะให้ก้อนหิน 10 หรือถ้าบุตรขอปลา จะให้งูแก่เขา 11 ถ้าแม้ท่านเอง ซึ่งเป็นคนชั่ว ยังรู้จักให้สิ่งดีๆ แก่บุตรของท่าน พระบิดาของท่านในสวรรค์จะประทานสิ่งดีแก่บรรดาผู้ที่ทูลขอต่อพระองค์ ยิ่งกว่านั้นสักเพียงใด”

            ฉะนั้น ถ้าคริสเตียนคนใดที่จะเอาข้อ 7-8 ไปใช้ ก็อยากให้ท่านแถมข้อ 11 ไปด้วย ถ้าท่านคิดว่าขอแล้วจะได้ หาแล้วจะพบ เคาะแล้วจะเปิดให้กับท่าน เป็นคริสเตียน ขออะไร? อยากได้อะไร? ก็ได้ ท่านต้องบวกอย่างนี้ ไปด้วย คือข้อ 11 ท่านเป็นคนชั่ว ท่านจะรู้เองว่าท่านจะเชื่อข้อ 7 ข้อ 8 ไหม? เป็นของท่าน ถ้าท่านเชื่อว่าข้อ 7 ข้อ 8 เป็นของท่าน ข้อ 11 ก็ต้องเป็นของท่านด้วย ซึ่งมันไม่ใช่ ตอนนี้พระเยซูกำลังพูดถึงว่าท่านวางใจในเรา ท่านจะได้บังเกิดใหม่ บังเกิดใหม่แล้ว ท่านจะได้เป็นลูกของพระเจ้า ท่านจะเรียกพระเจ้าว่าพระบิดาได้ เป็นลูกพระเจ้าท่านจะได้วางใจในพระเจ้าได้ ทั้งหมดเลย เพราะพระเจ้าทรงรักท่านมาก ตรงนี้แค่นี้เอง ท่านจะได้เป็นบุตรของพระเจ้า ผู้สร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก ผู้ซึ่งเป็นพ่อของท่าน เพียงแค่ท่านวางใจในเราเท่านั้นเอง ท่านก็สามารถมีพ่อที่เป็นพระเจ้า ผู้ทรงสร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก ซึ่งได้เปรียบเทียบกับชีวิตของมนุษย์ว่าท่านเองเป็นพ่อเป็นแม่เขา ท่านรู้ดีว่าท่านรักลูกขนาดไหน? ขนาดท่านไม่รู้จักพระเจ้ายังไม่ได้เกิดใหม่ในวิญญาณ วิญญาณท่านเป็นคนบาปอยู่ ท่านยังรู้จักรักลูก ยังให้ของที่ดีๆ กับลูกเลย แล้วพ่อที่อยู่ในสวรรค์ ที่ตอนนี้ท่านเป็นลูกของพระองค์แล้ว ในอนาคตถ้าท่านวางใจในเรา ท่านวางใจในพระเจ้าได้เลย พระองค์ทรงดีเลิศ จะพาท่านไปสู่ชีวิตที่ดีงามมากมาย

            พระองค์กำลังพูดให้พวกเขามีความรู้ถึงสิ่งที่เขาได้รับในการวางใจในพระบิดา คือวางใจในพระเยซูคริสต์ก่อน เขาจะได้ชีวิตที่ประเสริฐมาก ได้เป็นลูกของพระเจ้า ที่พระเจ้ารักมากๆ วางใจในพระเจ้าได้  ข้อ 12 …

        มัทธิว 7:12 “ฉะนั้น ในทุกสิ่งจงทำต่อผู้อื่นอย่างที่ท่านอยากให้เขาทำต่อท่าน เพราะนี่ สรุปสาระของหนังสือบทบัญญัติ และหนังสือผู้เผยพระวจนะ”

            “สาระของหนังสือบทบัญญัติและหนังสือผู้เผยพระวจนะนี้” คือเรียนรู้มาตั้งแต่บทที่ 6 แล้ว ก็คือมนุษย์ทุกคนล้วนอยู่ในสถานะเดียวกัน คือเป็นคนบาป เป็นคนป่วย และจำเป็นต้องได้รับการช่วยเหลือจากพระเจ้า ก็คือหนังสือบทบัญญัติเหล่านี้ พระองค์มีไว้ เพื่อบอกว่ามนุษย์นั้นอ่อนแอ มนุษย์นั้นเป็นคนบาป ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ จำได้ใช่ไหม? บทบัญญัติมีไว้ เพื่อเป็นกระจกส่องว่าท่านสกปรก ท่านเป็นคนบาป แค่นั้นเอง

            เพราะฉะนั้น ท่านต้องการการช่วยเหลือจากใคร? ใครก็ช่วยท่านไม่ได้ ก็คือท่านต้องการรับการช่วยเหลือ จากพระเจ้า ท่านป่วยอยู่ นี่บทบัญญัติและหนังสือผู้เผยพระวจนะ ได้พูดถึง หมายถึงตรงนี้ สาระสำคัญของสิ่งนี้ ก็คือท่านต้องการความช่วยเหลือ ท่านช่วยตัวเองไม่ได้ ท่านป่วยอยู่ ในชีวิต ท่านต้องการอะไรจากพระเจ้า? ท่านต้องการความรัก ความเมตตา การอภัย ความช่วยเหลือ จากพระเจ้าเท่านั้น ท่านถึงจะรอดได้ แล้วท่านต้องการจริงๆ แล้วพระเจ้า ก็อยากให้ท่านจริงๆ

            ฉะนั้น ท่าทีของท่าน ก็คือท่านก็ต้องทำอย่างนี้กับคนอื่นเหมือนกัน ใครก็ตามที่รู้ตัวเองว่าตัวเองด้อย ตัวเองป่วย ตัวเองต้องการการช่วยเหลือ จากพระเจ้า ก็จะแสวงความช่วยเหลือจากพระเจ้า เขาก็จะมีความรู้สึกเดียวกันนี้กับคนอื่นๆ เขาก็จะไม่ชี้ ไม่ว่าทับถมคนอื่น ไม่กล่าวหา ไม่ตัดสินคนอื่นว่าเลวกว่า แต่เขาจะให้ความรัก ความเมตตา การอภัย และให้ความช่วยเหลือกับคนอื่นๆ เหมือนกัน เพราะว่าในใจ เขาก็ต้องการจากพระเจ้าเหมือนกัน  ท่านพอเข้าใจใช่ไหม? เขาก็จะรู้จิตใจของคนอื่นว่าคนอื่นก็ต้องการเช่นเดียวกันกับเขานั่นแหละ

            พระเยซูกำลังบอกว่าฉะนั้น จงให้คนอื่น เหมือนกับที่ตัวท่านอยากได้ ท่านอยากได้อะไร ท่านก็ให้คนอื่นอย่างนั้น ถ้าเรารู้ตัวว่าเราป่วย เราต้องการหาหมอทางวิญญาณ ต้องการพระเจ้า ต้องการความรักจากพระเจ้า ต้องการการอภัยจากพระเจ้า พอเราต้องการอย่างนี้ปุ๊บ พระเยซูบอกว่าจงทำอย่างนี้ จงนึกถึงมนุษย์คนอื่น เขาก็อยากได้อย่างนี้จากเราเหมือนกัน เราก็จะปฏิบัติต่อเขาแบบนี้ ก็จะให้ความรัก การอภัย การช่วยเหลือเขา แต่ถ้าเราเย่อหยิ่งจองหอง  เราไม่สนใจพระเจ้า แล้วเราบอกเรายืนอยู่ด้วยตัวเราเองได้ เราก็จะตัดสินคนอื่นว่าคุณก็ควรจะยืนอยู่ด้วยตนเองได้ เราก็จะไม่ให้ความรัก ไม่ให้การอภัย ไม่ให้การช่วยเหลือกับเขา ให้เขาช่วยตัวเองให้ได้ พอเข้าใจใช่ไหม? พระเยซูกำลังพูดอย่างนี้

            สรุปในวันนี้ ในข้อความเหล่านี้ พระเจ้ากำลังบอกเราผ่านทางพระเยซูคริสต์ ผ่านทางชุมชนชาวยิว ที่ยังไม่รู้จักพระเจ้าเลยว่าพระเจ้าต้องการให้มนุษย์เลือกทางที่จะไปอยู่สวรรค์กับพระองค์ คือจะพึ่งพาตนเอง หรือจะพึ่งพระเยซูคริสต์ หรือวางใจในพระเยซูคริสต์ มีสองทางให้เลือก คือทางของมนุษย์กับทางของพระเจ้า  มันมีแค่นี้เองในโลกใบนี้ ในเผ่าพันธุ์มนุษย์ ที่บอกจะไปสวรรค์ๆ มีอยู่แค่ 2 ทาง ทางหนึ่ง ก็คือทางที่มนุษย์คิด ก็ว่ากันไป อีกทางหนึ่ง คือทางของพระเจ้า พระเจ้าคิดอย่างไร?

            ทางของมนุษย์ทั่วๆ ไปทั้งหมด ก็คือทำดี สะสมความดีก่อน เพื่อจะได้ไปสวรรค์ ถูกไหม?

            แต่ทางของพระเจ้า คือได้อยู่ในสวรรค์ก่อน แล้วจึงสะสมทำดีทีหลัง … แตกต่างกัน

            ความคิดของมนุษย์ คือประพฤติตนเองให้บริสุทธิ์ ดีพร้อม  เพื่อจะไปสวรรค์

            ความคิดของพระเจ้า คือทำให้เจ้าบริสุทธิ์ ดีพร้อมอยู่ในสวรรค์ก่อน แล้วเราจะฝึกฝนเจ้าให้ประพฤติสมกับที่บริสุทธิ์ดีพร้อมแล้วนั้น ก็คือพระเจ้าจะเข้าไปสถิตอยู่กับเรา เมื่อเราบังเกิดใหม่ แล้วจะนำพาเรากระทำความดีต่อไป เอเมนไหม?

            เพราะฉะนั้น ทางไปสวรรค์ของมนุษย์ ก็คือการพึ่งพา การกระทำของตนเอง แต่ทางไปสวรรค์ของพระเจ้า คือพึ่งพาการกระทำของพระมาซิฮาห์ คือพระเยซูคริสต์บนไม้กางเขน ในยอห์น 3:16 ที่เรารู้จักกันดี บันทึกไว้อย่างนี้ว่า …

        ยอห์น 3:16 “เพราะว่าพระเจ้าทรงรักมนุษย์ยิ่งนัก จนได้ประทานพระบุตรองค์เดียว คือพระมาซีฮาห์ ของพระองค์ เพื่อทุกคนที่วางใจในพระเมสิยาห์นั้น จะไม่พินาศ (วิญญาณตายอยู่ในบาป) แต่ได้รับชีวิตนิรันดร์” (ได้บังเกิดใหม่เป็นผู้ชอบธรรม บริสุทธิ์ ดีพร้อม เหมือนพระเจ้าเป็นบุตรของพระเจ้าเลย ทันทีที่วางใจนั้น)”

            “เพื่อทุกคนที่วางใจในพระบุตรจะไม่พินาศ แต่มีชีวิตนิรันดร์” เงื่อนไขมีอันเดียว คือวางใจ วางใจตลอด วางใจในพระบุตร คือพระเยซูคริสต์ พระมาซีฮาห์ที่พระเจ้าเจิมตั้งเอาไว้  ดังนั้น จงกลับใจเสียใหม่

            พระเยซูคริสต์ได้พูดตรงนี้อยู่เรื่อยๆ ประกาศ 3 ปีนี้จนกระทั่งถึงวันสุดท้ายเลยนะ แม้กระทั่งพูดกับสาวกใกล้ชิด รวมทั้งยูดาสที่จะทรยศ พระองค์ด้วย คือตั้งใจให้เขากลับใจใหม่ ดังนั้น จงกลับใจเสียใหม่ หันมาวางใจ พึ่งพาในพระเยซูคริสต์ เพราะยูดาสไม่ได้พึ่งพาในพระเยซูคริสต์ เขาพึ่งพาในความคิดของเขาเอง ความสามารถของเขาเอง เขาเรียกว่านักรบกู้ชาติ อิสราเอลไปสู้รบกับโรม เขาคิดว่าพระเยซูจะมาเป็นหัวหน้าของเขาอะไรต่างๆ เหล่านั้น เขาพึ่งพาในตนเอง เขาไม่ได้พึ่งพาในพระเยซู พระมาซีฮาห์จริงๆ  เพราะพระมาซีฮาห์มาเพื่อช่วย เกี่ยวกับทางโลกวิญญาณเท่านั้น

            ดังนั้น จงกลับใจเสียใหม่ หันมาวางใจ พึ่งพาในพระเยซูคริสต์ ท่านบังเกิดใหม่แล้ว หลังจากนั้น พระเจ้าจะเข้ามาสถิตอยู่กับท่าน แล้วก็เข้ามาสอน มานำพาให้ท่านกระทำความดี ให้เป็นไปตามน้ำพระทัยของพระเจ้า ให้สมกับใจอยากเลย  เพราะมนุษย์ทุกคนอยากจะทำดีอยู่แล้ว แต่มันทำไม่ได้ แต่พระเจ้าจะเข้ามาสถิตอยู่ด้วย แล้วก็เปลี่ยนหัวใจให้ท่านใหม่ เปลี่ยนวิญญาณท่านใหม่  แล้วเข้ามาสถิตอยู่ด้วย พาท่าน ให้กำลังกับท่านในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ตามทางความดีของพระองค์ เอเมนไหม?

            เพราะฉะนั้น ต้องร้องบทเพลงนี้ วางใจพระเจ้าและทำความดี อะไรมาก่อน วางใจพระเจ้าก่อน แล้วก็ทำความดีทีหลัง ถ้าเราทำดีก่อน เพื่อที่จะไปสวรรค์ เราก็จะไม่เห็นพระเจ้าเลย เราก็จะเห็นแต่ตัวเราเอง  เห็นแต่การกระทำของตนเอง แล้วก็กระทำไม่ได้ด้วย ในที่สุด เราก็ต้องล้มลง แต่ถ้าเราวางใจในพระเจ้า เราไปอยู่ในสวรรค์แล้ว แล้วพระเจ้าก็เข้ามาสถิตอยู่กับเรา ชีวิตเราเปลี่ยนไป วิญญาณเปลี่ยนไป ธรรมชาติในวิญญาณของเราสะอาดดีพร้อม พระเจ้าก็จะนำเราทำดีให้สมกับเป็นบุตรของพระองค์ที่บริสุทธิ๋ ดีพร้อมแล้วนั้น เอเมน พระเจ้าอวยพรครับ

********************

จากใจคณะศิษยาภิบาล

            “เพราะเราดำเนินโดยความเชื่อ  มิใช่ตามที่ตามองเห็น”

            ในขณะที่เราจำเป็นต้องทนทุกข์ยากลำบาก  ในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ชั่วขณะหนึ่งนั้น พระเจ้าต้องการให้เราพักหายเหนื่อยและเป็นสุขในพระเยซูคริสต์  พระองค์จะดูแลทุกสิ่งทุกอย่าง ในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ให้กับเราเอง  ด้วยฤทธิ์อำนาจและความรักของพระองค์  ที่มีต่อเราลูกของพระองค์  ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นกับเราก็ตามพระองค์ทรงอยู่ภายในเรา  ทรงนำและควบคุมทุกสิ่งทุกอย่างอยู่

            ดังนั้น  ไม่ต้องกังวล ไม่ต้องห่วง  ไม่ต้องกระวนกระวาย ไม่ต้องกลัว  พระเจ้าสามารถนำพาเราผ่านได้แน่นอน

            ให้ไว้ใจและเชื่อในถ้อยคำสัญญาของพระองค์ และดำเนินชีวิตจากภายในใจใหม่ที่พระองค์ทรงประทานให้แล้ว  ที่เต็มไปด้วยความเชื่อนี้ ด้วยการ …

            1 เธสะโลนิกา 5:16-18 … “16 มีความสุข และมีความชื่นชมยินดี ภายในจิตใจอยู่เสมอ 17 หมั่นอธิษฐาน  ติดต่อสื่อสารพูดคุยอย่างใกล้ชิด  พระเจ้าผู้เป็นพ่อที่รักเรามากอยู่เสมอ 18 ขอบพระคุณพระเจ้าในทุกกรณี  ไม่ว่าสถานการณ์ (ที่มองเห็นจับต้องได้  ที่ทำให้เกิดอารมณ์ความรู้สึกได้) จะเป็นเช่นไร (จะรู้สึกดีหรือไม่ดีก็ตาม) ก็ขอบคุณพระเจ้า  เพราะนี่คือพระประสงค์ของพระเจ้า  สำหรับท่านทั้งหลาย ซึ่งเป็นผู้ที่ (ได้บังเกิดใหม่เป็นลูกของพระองค์) อาศัยอยู่ในพระคริสต์ อยู่ในบ้านของพระองค์  คือสวรรค์แล้วขณะนี้”

            เพราะผู้ที่ได้บังเกิดใหม่ ได้เป็นลูกของพระเจ้า ได้เป็นผู้ชอบธรรมแล้ว  จะดำเนินชีวิตด้วยความเชื่อศรัทธา ไม่ใช่ด้วยตามองเห็น

            2 โครินธ์ 5:7 …  “เพราะเราดำเนินโดยความเชื่อ  มิใช่ตามที่ตามองเห็น”

            พระเจ้าอวยพรครับ