คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 18 ธันวาคม 2022
เรื่อง “พระเยซูผู้เปิดประตูสวรรค์ให้กับมวลมนุษย์”
โดย นคร เวชสุภาพร
ชื่อหัวข้อเรื่องในวันนี้ “พระเยซูผู้เปิดประตูสวรรค์ให้กับมวลมนุษย์” จำตรงนี้ได้ไหม? “ขอให้ท่านได้พบสันติสุขและความสงบทางใจ จากการเสียสละของพระเยซูคริสต์ ที่ได้ทรงไถ่บาปให้ท่าน” คุ้นๆ แล้วนะ ก็เป็นคำอธิบายในวันนี้ ตั้งแต่เริ่มต้นเลยว่า “ขอให้ท่านได้พบสันติสุขและความสงบทางใจ จากการเสียสละของพระเยซูคริสต์ ที่ได้ทรงไถ่บาปให้ท่าน” ลองถามคนข้างๆ สิว่าท่านพบแล้วหรือยัง? ผมก็อยากจะถามพี่น้องที่อยู่ทางบ้าน ใครก็ได้ที่ฟังคำบรรยายนี้อยู่ว่าแล้วท่านพบแล้วหรือยังครับ?
ท่านได้พบกับสันติสุขและความสงบทางใจนี้แล้วหรือยัง? ถามคนข้างๆ อีกครั้งหนึ่ง จะได้จำไปอวยพรด้วยไง มาจากไหนรู้ไหม? มาจากคำที่เราคุ้นเคยกันในเทศกาลคริสตมาสทุกแห่ง ทั้งโลกเลย ใครๆ ก็รู้จักหมด ไม่ว่าจะลูกเด็กเล็กแดง ก็จำได้ คือคำว่า “Merry Christmas”
คำว่า “Merry Christmas” นี้ มาจากคำภาษาอังกฤษโบราณที่อ่านว่า “Christer Maesse” ที่แปลเป็นภาษาไทย แปลว่า “มิสซาของพระคริสต์” หรือแปลอีกนัยหนึ่ง คือ “การเสียสละของพระเยซูคริสต์ ในการไถ่บาปให้มนุษย์” แปลเป็นไทยยาวหน่อย “Merry” แปลว่า “สันติสุขและความสงบทางใจ” ที่เขาอวยพรกัน ในภาษาอังกฤษโบราณ
เพราะฉะนั้น เมื่อคำว่า “Merry Christmas” คำอวยพรนี้ จึงมีความหมายว่า “ขอให้ท่านได้พบสันติสุขและความสงบทางใจ จากการเสียสละของพระเยซูคริสต์ ที่ได้ทรงไถ่บาปให้ท่าน”
ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป โดยเฉพาะสัปดาห์หน้า ที่เรารับประทานอาหารร่วมกัน Merry Christmas แล้วก็แปลเป็นไทยให้เขาเลยนะ
วันคริสตมาส หรือ Merry Christmas นี้ เขามีการเฉลิมฉลองกันใหญ่โต ทั้งโลกเลย เป็นเวลานาน เป็นพันๆ ปีมาแล้วนะ ทุกคนก็ทราบและรู้ว่าคริสตมาส เป็นการระลึกถึงวันประสูติของพระเยซูคริสต์ พระบุตรของพระเจ้าที่มาเกิดเป็นมนุษย์ ถูกไหม? ใครๆ ก็รู้ จำได้ว่า Merry Christmas คืออะไร? มีหลักฐานทางประวัติศาสตร์มากมายที่บันทึกเรื่องราวของพระเยซูคริสต์ในขณะที่ทรงเป็นมนุษย์ เดินอยู่บนโลก เมื่อ 2,000 ปีก่อน โดยทั่วไป ผู้คนยอมรับว่าพระเยซูคริสต์มีจริงๆ แต่สิ่งที่มีการถกเถียงกันมากที่สุด จนถึงทุกวันนี้ ก็คือสถานภาพที่แท้จริงของพระเยซูคริสต์นั้น คืออะไร?
ในขณะที่พระเยซูทรงตระเวนประกาศ สั่งสอนผู้คน เมื่อ 2,000 ปีก่อน ในเรื่องเกี่ยวกับอาณาจักรสวรรค์กำลังมาตั้งอยู่ พระองค์นำอาณาจักรสวรรค์มาตั้งอยู่บนโลกใบนี้ และตรัสด้วยตัวพระองค์เองว่าพระองค์ทรงเป็นพระบุตรของพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์ พูดง่ายๆ ว่าพระเยซูประกาศด้วยตัวของพระองค์เองว่า …
“เราคือบุตรของพระเจ้า เราคือพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์ อยู่ในร่างมนุษย์ เพื่อช่วยท่านทั้งหลายนี่แหละ” … พูดด้วยตัวพระองค์เองเลยนะ
แต่ก็ยังมีคนจำนวนหนึ่งออกมาพูดบอกว่าพระเยซูคริสต์มีจริงๆ แต่พระองค์ไม่ใช่พระเจ้า เป็นแค่ผู้เผยพระวจนะ หรือผู้นำทางศาสนาคนหนึ่งเท่านั้น ตั้งแต่วันที่พระเยซูคริสต์พูดเมื่อ 2,000 ปีก่อน จนถึงวันนี้ ก็มีคนแย้งอย่างนี้แหละ CS.Lewis นักเขียนคริสเตียนผู้หนึ่ง ผู้มีชื่อเสียงมาก เขียนหนังสือเรื่อง “Mere Christianity” ได้เขียนไว้อย่างนี้ว่า …
“ข้าพเจ้าพยายามทำทุกอย่าง ที่จะไม่ให้ใครพูดโง่ๆ เกี่ยวกับพระคริสต์ เช่นบอกว่า “ฉันยอมรับว่าพระเยซูมีจริง และเป็นนักสอนศาสนาที่ดี แต่ไม่เชื่อในเรื่องการอ้างว่าทรงเป็นพระเจ้า”
นี่คือคำพูดที่โง่มาก CS.Lewis เขียนไว้ต้นของหนังสือเล่มนี้ คำถาม ก็คือถ้าใครสักคนมาพูดโกหก และพูดแอบอ้างตัวเองว่าเป็นพระเจ้า เรายังจะคิดว่าคนๆ นั้นเป็นคนดี หรือเรียกเป็นผู้เผยพระวจนะ หรือเป็นผู้สอนศาสนาได้อยู่อีกหรือ? นี่ CS.Lewis ตั้งข้อคิด ตรรกะแบบมนุษย์ให้เห็นชัดๆ ว่าถ้าคนนั้นแอบอ้าง ก็คือพระเยซูแอบอ้างว่าพระองค์เป็นพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์ แล้วเราไม่เชื่อว่าพระองค์เป็นพระเจ้า แต่เราเชื่อว่าพระองค์เป็นศาสดา เป็นผู้เผยพระวจนะที่ดีคนหนึ่ง นึกนะ เราควรจะเรียกคนนั้นว่าอย่างไร? ถ้าเป็นอย่างนั้น คนเสียสติ คนบ้ามากกว่า ถูกไหม? นี่คิดตามเหตุผล คนหนึ่งอ้างว่าตัวเองเป็นพระเจ้า แล้วบอกว่าไม่เชื่อ ที่คุณพูดโกหก แล้วเราก็บอกว่าคุณเป็นแค่ศาสดาของศาสนา ศาสดาของศาสนาดีทุกคน ทุกท่านบนโลกใบนี้
แสดงว่า … “ผมเชื่อว่าคุณเป็นคนดีมากเลย”
คนดีอะไรมาโกหกว่าตัวเองเป็นพระเจ้า นี่คือตรรกะที่ CS.Lewis ได้ยกขึ้นมาให้เราได้เห็น เพราะฉะนั้น ถ้าพระเยซูไม่ใช่พระบุตรของพระเจ้าจริงๆ ตามที่เราเชื่อ หรือเข้าใจ ก็ต้องเป็นมนุษย์จอมโกหกหลอกลวง หรือเป็นคนเสียสติ คนบ้าคนหนึ่งเท่านั้น ถูกไหม? คิดตามนะ และถ้าเป็นเช่นนั้น คำถามที่ตามมา ก็คือจนเวลาผ่านมา 2,000 กว่าปีแล้ว พิสูจน์ได้ ทำไมจำนวนผู้เชื่อพระเยซูคริสต์ถึงได้มีมากขึ้นและมากขึ้นขนาดนั้น
2,000 ปีมีคนเชื่อ คนบ้าเยอะขึ้นเรื่อยๆ เหรอ? ไม่ใช่แล้วสิ น่าคิดใช่ไหม? คำตอบ ก็คือเพราะยังมีการถกเถียง ยังมีการโต้แย้ง ยิ่งมีการขุดคุ้ยหาหลักฐานว่าจริงหรือไม่? ใช่หรือไม่? ก็ยิ่งได้ค้นพบความจริงที่ชัดเจนขึ้นว่าพระเยซูคริสต์ทรงเป็นหรือมีสภาพเป็นพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์จริงๆ นั่นเอง ยิ่งค้นยิ่งเจอความจริง ใช้เวลา แรกๆ เมื่อ 2,000 ปีก่อน แย้งมาอย่างนั้น ยังไม่มีหลักฐานอะไรมากมาย แต่ 2,000 ปีมาแล้ว มีมากขึ้นทุกวันๆท่านเห็นไหมว่าเอาแค่เราในปัจจุบันนี้ ผ่านมา 2,000 ปีแล้ว ถามว่าแต่ละปี มาย้อนกลับไป คริสตมาสฉลองกันมากขึ้นหรือน้อยลงทั่วโลก? มากขึ้นและเห็นชัดๆ เยอะขึ้นเรื่อยๆ มาก แล้วอย่างนี้จะไปบอกว่าคนเหล่านี้ที่เชื่อ เชื่อคนเสียสติหรือว่าเขาเป็นพระเจ้า แสดงว่าเขาเป็นพระเจ้าจริงๆ นอกจากค้นพบทางประวัติศาสตร์อะไรต่างๆ หลักฐานต่างๆ เหล่านั้นแล้ว ยังค้นพบ เห็นชัดๆ ก็คือคนที่มาเชื่อว่าพระเยซูคริสต์เป็นพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์ และตาย ไถ่บาปเขา ชีวิตเขาอัศจรรย์เปลี่ยนแปลงไปหมดเลย ถูกไหม? เยอะขึ้นหรือน้อยลง? เยอะขึ้น ทุกวันนี้ เฉพาะตอนนี้ที่หายใจอยู่ สองพันล้านคนทั่วโลก ชีวิตเขาเปลี่ยนไป อัศจรรย์เกิดขึ้นในชีวิตเขาจริงๆ เพราะว่าพระเยซูคริสต์เป็นพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์จริงๆ พิสูจน์ได้ เห็นชัดเจน เอเมนไหม?
ไม่ใช่อัศจรรย์ในชีวิตเฉพาะที่ชีวิตเปลี่ยนไป ที่มองไม่เห็น หมายถึงมองไม่เห็นชัดเจน ก็คือนิสัยเปลี่ยนไป ชีวิตเปลี่ยนไป อะไรต่างๆ ความหวังเปลี่ยนไป แต่อัศจรรย์แบบที่เห็นๆ ก็มี อย่างเช่น คนป่วยได้รับการรักษาให้หาย คนที่มีปัญหาอะไรมากมายได้รับการปลดปล่อยให้เป็นอิสระอะไรต่างๆ เหล่านั้น เยอะแยะมากมายไปหมด แสดงให้เห็นว่าพระเยซูคริสต์พูดเมื่อ 2,000 ปีก่อนว่า …
“เราคือผู้นั้น เราคือผู้ที่พระเจ้าทรงส่งมา เราคือพระบุตรของพระเจ้าที่มาเกิดเป็นมนุษย์ มาตายแทนท่านที่ไม้กางเขน เพื่อช่วยท่านทั้งหลายให้มีชีวิตใหม่ และได้รับชีวิตอัศจรรย์นั้น เป็นเรื่องจริงๆ”
อาณาจักรสวรรค์ของพระเยซูคริสต์บนโลกใบนี้ ได้ถูกแผ่ขยายออกไปเรื่อยๆ มากขึ้น ตามที่ได้เขียนไว้ในหนังสือพระคัมภีร์ล่วงหน้า เป็นพันๆ ปี ก่อนที่พระเยซูคริสต์จะบังเกิดอีกด้วยซ้ำไป ไม่ใช่ประกาศข่าวดีเฉพาะตอนที่พระเยซูคริสต์มาเกิดเป็นมนุษย์แล้วเท่านั้น ก่อนพระองค์จะมาเกิด ย้อนกลับไป 5-6 พันปีก่อน ก็เขียนถึงพระเยซูคริสต์แล้วว่าพระองค์จะมาเกิด มีหลักฐานชัดเจนว่าพระองค์มาเกิดจริงๆ ตามที่ได้บอกไว้เยอะแยะมากมายไปหมด นี่คือหลักฐานอีกอันหนึ่ง
เหมือนอย่างทุกวันนี้เราได้ยินเพลงคริสตมาส บางเพลงเป็น 100 กว่าปี ถามว่าเพลงเหล่านี้ประกาศเรื่องพระเยซูเป็นพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์ นำเอาสวรรค์มาตั้งอยู่ เพลงเหล่านี้ ฟังแล้วฟังอีก ทุกปีๆ เขาเรียกว่าฮิตตลอดกาล เป็นเพลงฮิตที่นานที่สุดในโลกนี้เลย มีเพลงอะไรฮิตขนาดนี้ ฮิตมาเป็นพันๆ ปี เราฟังอยู่ทุกปี ขนาดก่อนที่ผมจะเชื่อ หรือก่อนที่ท่านจะเชื่อในเรื่องพระเยซูคริสต์ ท่านฟังดูแล้วมีความสุขไหม? ท่านรู้ไหมว่าเขาแปลว่าอะไร? ไม่รู้ แต่รู้ว่าพอเทศกาลคริสตมาสทีไร มันมีความสุข บรรยากาศมันดี เป็นบรรยากาศแห่งการให้ รู้สึกมีความสุขสบาย ทั่วโลกเป็นอย่างนี้ใช่ไหม? เขาเรียกว่าฤดูแห่งความสุข ทั้งๆ ที่ไม่รู้เรื่องเลยว่าแปลว่าอะไร? อย่างเช่นเพลง Silent Night และเพลง Oh Holy night วันนี้ผมจะเอาเพลง Oh Holy night มาให้ท่าน เพลงนี้ท่านคุ้นเคยอยู่แล้ว ดูว่าความหมายคืออะไร? ก็คือว่าพระเยซูคริสต์เป็นพระเจ้ามาเกิดเป็นมนุษย์ นำสวรรค์ลงมาตั้งอยู่บนโลกใบนี้นั่นเอง ที่ตะกี้นี้เราร้องกัน Holy night ภาษาไทย ลองดูภาษาอังกฤษนะ ความหมายมันจะละเอียดนิดหนึ่ง …
Oh holy night, The stars are brightly shining
ในค่ำคืนอันแสนศักดิ์สิทธิ์ เหล่าดวงดาวส่องประกายจรัสแสง
It is the night Of my Dear Savior’s birth
เพราะเป็นค่ำคืน ที่พระผู้ช่วยให้รอด ได้เสด็จลงมาประสูติ
Long lay the world in Sin and error pining
เป็นเวลายาวนานมากแล้ว ที่โลกนี้ ต้องตกอยู่ภายใต้ความบาป
Till He appeared and the soul felt its worth
จนวันที่พระองค์ได้ทรงปรากฏ และชุบจิตวิญญาณของเรา (มนุษย์ทั้งหลาย) ให้มีค่าขึ้นมา
A thrill of hope The Weary world rejoices
เป็นความตื่นเต้นกับความหวังใหม่ เมื่อโลกที่เสื่อมสลายไปแล้ว
เพราะความบาป ได้กลับมา มีความชื่นชมยินดีอีกครั้ง
For yonder breaks a New and glorious morn
สิ่งเก่าๆ จะล่วงไป และความรุ่งโรจน์จะเกิดขึ้น
และเต็มไปด้วยเสียงร้องสรรเสริญ คือสวรรค์มาตั้งอยู่นั่นเอง
Fall on your knees, oh hear the angel voices
จงคุกเข่าลง แล้วตั้งใจฟังเสียงของเหล่าทูตสวรรค์ (ตามพระคัมภีร์บันทึกเลย)
Oh night divine, Oh night, When Christ was born
Oh night divine Oh night Oh Holy night
ค่ำคืนนี้ ช่างเป็นค่ำคืนที่เจิดจรัสด้วยแสง เมื่อพระคริสต์ ได้ถือกำเนิดเกิดขึ้น
เป็นค่ำคืนอันศักดิ์สิทธิ์ขององค์พระผู้เป็นเจ้า
ให้เราคุกเข่าลง ยอมรับความจริงเหล่านี้ เพราะมันเกินความเข้าใจของมนุษย์ที่จะเข้าใจว่าพระเจ้ามาเกิดเป็นมนุษย์ได้อย่างไร? เป็นไปได้อย่างไร? เราไม่เข้าใจ แต่มันเป็นเรื่องจริง เพราะฉะนั้น ในตอนนี้ก็ต้องบอกว่า Fall on your knees คือให้เรายอมจำนนต่อความจริงนี้ แล้วก็ตั้งใจฟังเสียของทูตสวรรค์ เริ่มต้นประกาศว่ามาแล้ว พระเจ้ามาเกิดเป็นมนุษย์ ตามสัญญาแล้ว
เพราะว่าพระเจ้าเสด็จมา โดยการกำเนิดเป็นมนุษย์ เพื่อช่วยเหลือมนุษย์ทั้งหลายให้พ้นจากความบาปและคำสาปแช่งต่างๆ กลับคืนสู่สวรรค์นั่นเอง เอเมนไหม?
ทุกวันนี้ ก็ยังเปิดเพลงเหล่านี้อยู่ นอกเหนือจากเพลงนี้ เรายังมีเพลงอื่นๆ เพลงคริสตมาส เป็นเพลงที่ไม่เคยเก่า ไม่เคยล้าสมัย ฮิตมากขึ้นทุกวัน มีแต่คนเปิดมากขึ้นทุกวัน ขนาดไฟกระพริบๆ นี้ ก็เปิดเพลงไม่มีเนื้อ แต่ก็บรรเลงเพลงเหล่านี้ เราก็ได้ยินคุ้นหูเลย ไม่เชื่อลองร้องท่อนแยกสิ ร้องได้ทุกคนแหละ
** ข้าฯขอบูชา วันทา กราบไหว้พระเยซู
เพราะว่า ในวันนั้น ทรงธรรมเสด็จลงมา
เพื่อเปิด หนทาง สวรรค์ ให้แก่ประชา **
คำว่า “Oh Holy Divine” ที่แปลว่าค่ำคืนที่เจิดจรัสด้วยแสง ความหมาย ก็คือเป็นค่ำคืนที่แสงจากสวรรค์ได้ส่องลงมาบนโลก เป็นครั้งแรก พระเยซูตรัสว่าพระองค์ทรงเป็นพระบุตรของพระเจ้า ทรงเป็นแสงสว่าง ที่ส่องเข้ามา บนโลกใบนี้ ตั้งแต่วันนั้นแหละ 2,000 ปีก่อน เพราะเป็นเวลานานมาแล้วที่โลกตกอยู่ภายใต้ความบาป เป็นอาณาจักรแห่งความมืด และในค่ำคืนคริสตมาสอย่างนี้ ที่พระผู้ช่วยให้รอด ได้มาประสูติ ทำให้แสงจากสวรรค์สามารถส่องลงมาได้ เป็นแสงสว่าง เป็นหนทางที่จะนำพามนุษย์ ไปสู่แสงสว่างนั้น ก็คือไปสู่อาณาจักรสวรรค์ของพระเจ้าพระบิดานั่นเอง พูดง่ายๆ การเปิดประตูสวรรค์ให้กับมนุษย์ทั้งหลาย สามารถมาเข้าสวรรค์ได้แล้วนั่นเอง
มันเป็นข่าวดี เป็นความจริง ที่ได้ถูกประกาศมาแล้ว 2,000 ปี ซึ่งว่ากันตามจริง อย่างที่บอก ประกาศก่อน 2,000 ปีด้วยซ้ำ หลายพันปีมาแล้ว ก่อนหน้านั้น ว่าพระองค์จะมาเกิด ว่าพระมาซีฮาห์ ที่พระเจ้าสัญญาไว้ว่าจะมาช่วยเหลือมนุษย์ ตามที่พระองค์ทรงบอกไว้นั้น จะมาเกิด แล้วก็มาเกิดจริงๆ เมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว วันคริสตมาสแรกของโลกนี้
เพราะฉะนั้น ยอมรับความจริง คือพระเยซูคริสต์ แม้ความคิดจะไม่เข้าใจ แล้วอัศจรรย์ยิ่งใหญ่จะเกิดขึ้นในวิญญาณของท่านทั้งหลาย ที่ได้ยินได้ฟัง ความจริงในโลกวิญญาณที่ตามนุษย์มองไม่เห็น หูไม่ได้ยิน คิดไม่ถึง ไม่เข้าใจ คือถ้อยคำพระเจ้าที่บอกไว้นั้น ก็คือเรื่องของข่าวดีของพระเยซูคริสต์ พระเจ้าประกาศอยู่ตลอดเวลา เป็นพันๆ ปีมาแล้ว บอกว่าสิ่งที่ตามองไม่เห็น หูไม่ได้ยิน ก็หมายถึงว่ามนุษย์ไม่สามารถที่จะใช้ ตามนุษย์ธรรมดา หรือหูธรรมดาของเราที่จะเข้าใจสิ่งเหล่านี้ได้ เพราะมันเป็นความจริงในโลกวิญญาณนั่นเอง
บทสรุปของเรื่องราวเหล่านี้ ของข่าวดีเหล่านี้ ทั้งหมด คือยอห์น 3:16 เริ่มต้น ลองอ่านดู ท่านจะเห็นภาพชัดเจน …
ยอห์น 3:16 “พระเจ้าทรงรักมนุษย์และโลกยิ่งนัก ถึงกับได้ประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ คือพระเยซูคริสต์ เพื่อทุกคนที่วางใจ (พึ่งพา) ในพระบุตรนั้น จะไม่พินาศ (ตายนิรันดร์ อยู่ในความบาป) แต่ได้รับการบังเกิดใหม่ มาเป็นลูกของพระองค์ มีชีวิตนิรันดร์ ที่เป็นของพระองค์ เหมือนพระองค์”
นี่คือสาระสำคัญของข่าวดี สรุปสั้นๆ แค่นี้เอง ก็คือพระเจ้าทรงรักมนุษย์ยิ่งนัก บนโลกใบนี้ แล้วจึงประทานพระบุตรของพระองค์ ซึ่งเป็นพระเจ้า ก็คือพระเยซูคริสต์มาเกิดเป็นมนุษย์ เพื่อช่วย และใครก็ตามที่เชื่อ ยอมรับความจริงเหล่านี้ วางใจในพระบุตร คือพระเยซูคริสต์ว่าเป็นพระเจ้าจริงๆ ช่วยได้จริงๆ เขาคนนั้นจะรอด จากการถูกพิพากษา ได้รับการบังเกิดใหม่ มาเป็นลูกของพระเจ้า มีชีวิตนิรันดร์ทันที ในข้อ 17 ต่อไป บันทึกไว้อย่างนี้ว่า …
ยอห์น 3:17 “เพราะว่าพระเจ้าทรงให้พระบุตรเข้ามาในโลก ไม่ใช่เพื่อพิพากษาลงโทษมนุษย์และโลก แต่เพื่อช่วยกู้มนุษย์และโลก ให้รอดจากการถูกพิพากษาลงโทษนั้น โดยทางการวางใจ พึ่งพาในพระบุตร คือพระเยซูคริสต์”
พระเยซูมา เพื่อช่วยกู้มนุษย์ให้รอดจากการถูกพิพากษาลงโทษนั้น โดยการวางใจพึ่งพาในพระเยซูคริสต์ พระบุตรของพระเจ้านั่นเอง และถ้าไม่วางใจ อยู่ในสภาพเช่นไร? ในข้อ 18 ตามมา ก็คือ …
ยอห์น 3:18 “คนที่วางใจพึ่งพาในพระบุตร คือพระเยซูคริสต์ จะไม่ถูกพิพากษาลงโทษให้พินาศ ส่วนคนที่ไม่ได้วางใจ ก็ถูกพิพากษาลงโทษ อยู่ในความพินาศ ในความตาย ในความบาปเหมือนเดิมอยู่แล้ว เพราะเขาไม่ได้วางใจ พึ่งพาในพระนามพระเยซูคริสต์ พระบุตรองค์เดียวของพระเจ้า”
ส่วนคนที่ไม่ได้วางใจในพระบุตร คือพระเยซูคริสต์ ไม่ได้วางใจ แปลว่าอะไร? ก็คือไม่ได้วางใจว่าพระองค์เป็นพระบุตรของพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์ เป็นเรื่องจริง ไม่เชื่อว่าพระองค์พูดเป็นเรื่องจริง เชื่ออาจจะเหมือนที่บอกตะกี้นี้ ตรรกะตอนแรกๆ ที่ CS.Lewis ยกมาให้เราได้คิด คืออาจจะแค่วางใจ เชื่อว่าพระองค์เป็นศาสดาของคริสเตียนที่ดี 1 คน ก็คือไม่ไว้วางใจนั่นเอง ถ้าวางใจในพระเยซูคริสต์ ตามข้อนี้ นั่นหมายถึงว่าวางใจ พระเยซูบอก …
“ให้ท่านวางใจในเรา ว่าที่เราพูดจริงๆ เราเป็นผู้นั้น ผู้นั้น เป็นใคร? เราคือผู้นั้น ที่พระเจ้าสัญญาไว้ ตั้งแต่หลายพันปีก่อนแล้วว่าจะส่งเรามาช่วยเหลือมนุษย์ทั้งหลายให้พ้นจากบาป และเวรกรรม ช่วยให้ท่านเข้าสู่สวรรค์ได้ โดยผ่านทางเรา (เรา คือผู้นั้น) ถึงเวลาแล้ว ถึงกำหนดแล้ว พระเจ้าส่งเรามาเกิดแล้ว เราคือพระบุตรของพระเจ้าที่พระองค์ทรงสัญญาไว้”
ที่ภาษาเดิม ภาษาฮีบรูเรียกว่า “พระเมสิยาห์” หรือ “มาซีฮาห์” แปลว่าพระผู้ช่วยให้รอด ที่พระเจ้าทรงสัญญาไว้ว่าจะมาช่วย แต่งตั้งไว้เรียบร้อยแล้ว ก่อนที่จะมาเกิดเป็นมนุษย์ และตอนนี้มาแล้ว ให้ท่านวางใจในเราว่าเราคือผู้นั้น จริงๆ เราคือพระเจ้า ที่พระองค์ทรงสัญญา มาเกิดเป็นมนุษย์แล้วจริงๆ เชื่อในเรา วางใจในเรา จึงจะได้รับความรอด จึงจะเข้าสู่สวรรค์ เพราะผ่านทางเราเท่านั้น ท่านจึงสามารถเข้าไปอยู่ในสวรรค์ได้
เพราะฉะนั้น ถ้าไม่วางใจว่าพระเยซูคริสต์เป็นพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์ ก็คือไม่วางใจนั่นเอง จะวางใจว่าพระองค์เป็นศาสดาที่ดี หรือเป็นครูสอนที่ดี หรือเป็นผู้เผยพระวจนะที่ดี หรือเป็นผู้รับใช้พระเจ้าที่ดี หรือเป็นอะไรก็ตามที่ท่านพูดว่าดีๆ ก็มีค่าเท่ากันกับว่าท่านไม่ได้วางใจ ไม่ได้เชื่อว่าที่พระองค์พูดนั้นจริง มีค่าเท่ากับคนที่ไม่เชื่อว่าพระองค์พูดจริง ก็คือใส่ร้ายพระองค์ว่าพระองค์เป็นคนเสียสติ เป็นคนบ้า ซึ่งมีจำนวนหนึ่ง คิดอย่างนั้นจริงๆ ตอนเริ่มต้นที่ทรงประกาศ เดินอยู่บนโลกใบนี้ เมื่อ 2,000 ปีก่อน ก็มีกลุ่มคนกลุ่มหนึ่ง ที่เป็นชาวยิว พวกฟาริสี พวกคงแก่เรียน ในการศาสนายิว ก็กล่าวหาว่าพระองค์ทรงเป็นบ้า ทรงเสียสติ อย่างที่ตะกี้นี้ตรรกะที่บอกไว้ว่าถ้าเราไม่เชื่อพระองค์ เรามีสิทธิ์ที่จะนึกว่าพระองค์เป็นคนบ้าจริงๆ อยู่ดีๆ มาประกาศว่าเราเป็นพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์ เดินอยู่บนโลกใบนี้ มาช่วยเหลือมนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้เลย มันเกินกว่าความคิดของมนุษย์ที่จะเข้าใจจริงๆ มันเหลือเชื่อจริงๆ ถูกไหม? เราต้องเข้าใจ
เพราะฉะนั้น คนที่มั่นใจในตัวเองอย่างสูง อย่างเช่นฟาริสี หรือคงแก่ศาสนาในยิว ในสมัยเมื่อ 2,000 ปีก่อน ไม่ยากเลยที่จะตัดสินว่าเขาเป็นคนเสียสติ เพราะยังไม่มีอะไรที่จะมาพิสูจน์กันมากมายนัก เพราะว่าพระองค์ยังไม่ได้ทำงานสำเร็จ ยังเดินอยู่บนโลกใบนี้ ยังไม่ได้ไปตายที่ไม้กางเขน และเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่ 3 มีอัศจรรย์ที่พระองค์ทรงกระทำบ้าง ตอนเดินอยู่บนโลกใบนี้ 3 ปีนั้น เท่านั้นเอง ไม่พอสำหรับพวกเขา แต่สำหรับพวกเราผ่านมา 2,000 ปี เห็นชัดเจนมากขึ้นเลยว่าอะไรบางอย่างที่เกิดขึ้นจากข่าวดีนี้ที่ถูกประกาศมา ตั้งแต่วันนั้น ถึงวันนี้ มันเจริญขึ้นไป เติบโตมากขึ้นทุกวันๆ อาณาจักรสวรรค์ที่พระเยซูคริสต์นำมาบนโลกใบนี้ มันขยาย เจริญเติบโตมากขึ้นทุกวัน มีคริสเตียนตามพระเยซูคริสต์มากขึ้นทุกวันๆ แต่ในสมัยนั้น ไม่ได้มีอย่างนี้ ต้องเข้าใจเขา ในทิตัส 3:5 ได้บันทึกไว้อย่างนี้ …
ทิตัส 3:5 “พระองค์ได้ช่วยให้เรารอด ไม่ใช่เพราะเราทำดี แต่เป็นเพราะความเมตตากรุณาของพระองค์ต่างหาก พระองค์ได้ชำระล้างเรา ซึ่งทำให้เราเกิดใหม่ และถูกสร้างขึ้นมาใหม่ ด้วยฤทธิ์เดชของพระวิญญาณบริสุทธิ์”
นี่ก็เป็นสิ่งหนึ่ง ที่ทำให้คนสมัยนั้น เชื่อพระเยซูยากมาก เพราะอะไร? เพราะเราอ่านในนี้ พระองค์ทรงช่วยให้เขารอดจากความบาป โดยที่ไม่ต้องทำอะไรเลย โดยที่ไม่ต้องประพฤติอะไรเลย โดยที่ไม่ต้องรักษาความดีงามอะไรต่างๆ นี้ ได้เข้าสวรรค์ โดยไม่ต้องประพฤติ เรียกว่าให้เข้าสู่สวรรค์ฟรีๆ โดยความเชื่อเท่านั้นเอง ไม่ต้องทำอะไรเลยสักอย่างหนึ่ง ที่พระคัมภีร์เรียกว่าพระคุณ
ดังนั้น โอกาสที่เขาจะไม่เชื่อว่าพระเยซูพูดจริงมีเยอะมากเลย เราก็เข้าใจเขาในสมัยนั้น และยังแถมพระองค์สามารถชำระล้างบาปให้กับคนนั้น และทำให้คนนั้นบังเกิดใหม่ได้ด้วย ยิ่งไม่รู้จะหาทางเข้าใจได้อย่างไรเลย จึงมีผู้ที่ไม่เข้าใจ กล่าวหาพระองค์เสียๆ หายๆ อยู่ แต่ปัจจุบันไม่ควรจะเป็นอย่างนั้นเลย เพราะว่ามีข้อพิสูจน์มากมาย มีผู้คนติดตามพระองค์และเชื่อ ชีวิตเปลี่ยนไปมากมาย รุ่นแล้วรุ่นเล่ามา 2,000 ปีนี้ เยอะมากเลย ที่ได้พระคุณจากพระเจ้า และได้บังเกิดใหม่ เห็นชัดๆ ชีวิตที่ได้เปลี่ยนไป ยังมีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ก็ 2,000 กว่าล้านคน และที่ในอดีต นับไม่ถ้วน
ผู้คนเหล่านี้เป็นคำพยานอันดีจริงๆ ว่าพระเยซูคริสต์นำเอาสวรรค์มาให้กับมนุษย์ โดยที่มนุษย์ไม่ต้องพึ่งพาการกระทำของตนเองเลย เพื่อจะได้เข้าสวรรค์ เพียงแค่พึ่งพาพระเยซูคริสต์อย่างเดียว พูดง่ายๆ วางใจว่าพระเยซูคริสต์เป็นพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์ เท่านั้นเอง ได้รับความรอดไปสวรรค์แล้ว ทำไมมันง่ายอย่างนี้ เรียกว่าพระคุณ รอดโดยพระคุณ ไม่ใช่การกระทำดี ซึ่งในอดีตมาตลอดเวลาเลย หลายพันปีมาจนถึงทุกวันนี้ มนุษย์คิดตามภาษามนุษย์ เข้าใจตามภาษามนุษย์ว่าถ้าไปสวรรค์มันต้องพึ่งพาการกระทำความดี แต่พระองค์มาถึง เป็นผู้เดียวที่ประกาศอย่างนี้ เป็นผู้เดียวในโลกนี้เลย ที่บอกว่าไปสวรรค์ได้ โดยไม่ทำความดีก็ได้ ให้มาเชื่อในตัวเราเท่านั้นเอง รับได้อย่างไร? ความเข้าใจของมนุษย์ไม่มีทางเข้าใจเลย พูดง่ายๆ พระคุณนี้ เหมือนอะไรรู้ไหม? ผมจะยกตัวอย่างอันนี้ ชัดเจนเลย
มนุษย์ทั้งหลายอยู่บนโลกใบนี้ ที่เป็นคนบาป เปรียบเหมือนนักโทษ รอการประหาร พอเกิดมาเป็นมนุษย์ อยู่บนโลกใบนี้ ก็คือเป็นนักโทษ อยู่ใต้คำพิพากษาไปแล้วว่าต้องถูกประหารชีวิต รอตะแลงแกงเสร็จเท่านั้นเอง รอวันที่เขาจะนำไปประหารชีวิต นึกภาพนะ อยู่ในเรือนจำ รอวันที่เขาจะนำไปยิงเป้า ประหารชีวิต แล้วจู่ๆ ก็มีพระราชา มีกษัตริย์บอกว่า …
“ปีนี้เราให้อภัยทั้งหมดเลย ให้พระกรุณาทั้งหมด ให้นักโทษที่ถูกตัดสินให้ประหารทั้งหมดทุกคน ได้เป็นอิสระ จากโทษทัณฑ์นั้น ไม่ต้องถูกประหารแล้ว นึกภาพออกไหม? ใครก็ตามที่อยากได้ พระกรุณาธิคุณนี้ ให้ยกมือขึ้น” แค่นั่นเอง ไม่ต้องทำอะไรเลย
ยกมือขึ้น ก็ออกจากเรือนจำทันที เพราะว่าเป็นอิสระแล้ว ไม่มีโทษแล้ว เรียกว่าพระกรุณา พระเมตตา พอออกมาจากเรือนจำปุ๊บ เป็นอิสระแล้ว แต่ก็เป็นอดีตนักโทษอยู่ ถูกไหม?
พระคุณ คือให้เป็นอิสระออกมาข้างนอกแล้ว ไม่ต้องถูกประหารชีวิต แค่นั้นไม่พอ พระราชาบอกว่าให้นักโทษคนนั้นที่ออกมาแล้ว เข้ามาอยู่ในวัง ก่อนจะเข้ามาอยู่ในวัง จับไปผ่าตัดให้เรียบร้อย เอาอดีต ความเป็นนักโทษออกไปซะ เปลี่ยนชีวิตใหม่ เปลี่ยนหัวใจใหม่ เปลี่ยนอะไรต่างๆ ใหม่ รับเข้ามาอยู่ในวัง มาเป็นรัชทายาท
รัชทายาท ก็คือผู้ที่จะปกครองมรดกของพระราชาในอนาคต เป็นรัชทายาท เชื่อได้ไหม? จะบ้าไปแล้วหรือไง? เป็นไปได้อย่างไร? แต่ในพระคัมภีร์ ในโลกวิญญาณ มันเป็นอย่างนั้นจริงๆ เรียกว่าพระคุณ จึงเชื่อยากไง? จึงเข้าใจว่าทำไมเขาเชื่อยาก
อิสยาห์ 55:8-9 จึงได้บันทึกอย่างนี้ พระเจ้าทราบดี พระเจ้าก็จะเตือนอย่างนี้อยู่เรื่อยๆ เรียกว่า …
“ถ้าเจ้าใช้ความคิดของเจ้า ใช้ปัญญาของเจ้า ใช้ตรรกะแบบเป็นมนุษย์ ไม่มีวันที่จะเข้าใจ พระคุณที่เราทำอยู่นี้เลย มันเป็นไปไม่ได้เลย เจ้าต้องใช้วิธีอื่นในการตัดสินใจเรื่องนี้”
ก็คือเดี๋ยวรู้เองว่าใช้อะไร? ลองอ่านดูก่อนว่าพระเจ้าเตือนไว้อย่างไร? นี่คือหนึ่งในจำนวนคำเตือนของพระเจ้าในความจริงนี้ว่าท่านจะรับความจริง ในเรื่องข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์ได้ด้วยวิธีใด? มนุษย์ทั้งหลาย …
อิสยาห์ 55:8-9 พระเจ้าตรัสว่า “8 “เพราะความคิดของเราไม่เป็นความคิดของเจ้า ทั้งวิถีทางของเจ้าไม่เป็นวิถีทางของเรา” 9 องค์พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนั้น “ฟ้าสวรรค์สูงกว่าแผ่นดินโลกฉันใด วิถีของเรา ก็สูงกว่าทางของเจ้า และความคิดของเราก็สูงกว่าความคิดของเจ้า ฉันนั้น”
“ฟ้าสวรรค์สูงกว่าแผ่นดินโลกเท่าใด วิถีของเรา ก็สูงกว่าทางของเจ้า และความคิดของเรา ก็สูงกว่าความคิดของเจ้าฉันนั้น” เอเมน
พูดง่ายๆ ว่าถ้าเจ้าใช้ความคิดและใช้ปัญญาของตนเอง จบข่าว ต้องใช้ความไว้วางใจในเราเท่านั้นว่ามันเป็นเรื่องจริง เพราะฉะนั้น อย่ารอให้เข้าใจด้วยเหตุผล ความคิดของมนุษย์ของตนเอง ตามตรรกะของมนุษย์ของตนเองก่อน แล้วค่อยตัดสินใจ ยอมรับความจริง ในเรื่องการวางใจในพระเยซูคริสต์ ถูกไหม? อย่ารอให้เข้าใจก่อน แล้วค่อยมาเชื่อพระเยซู เพราะว่ามันเป็นไปไม่ได้ ไม่มีวันเข้าใจหรอก ที่เรานั่งกันอยู่ทุกวันนี้ ที่เราเป็นผู้เชื่อ เป็นคริสเตียนแล้ว เราก็เริ่มต้นด้วยวางใจในความจริงนี้ ด้วยข้างใน ด้วยวิญญาณของเรา ไม่ใช่ด้วยความคิดของเราคิดว่ามันใช่ เพราะว่าถ้าเรารอ หาเหตุผล หรือความเข้าใจเสียก่อน มันจะสายเกินไป เพราะมันเป็นไปไม่ได้ มันตายก่อน ที่จะรู้ พูดง่ายๆ ให้ลองใช้จิตวิญญาณส่วนลึกภายในจิตใจของท่าน แสวงหาดู ทุกคนในนี้ที่ได้รับ ได้รู้ ได้มีประสบการณ์จริงๆ แล้ว แสวงหาด้วยการใช้จิตวิญญาณทั้งสิ้น ไม่ได้มาด้วยความคิดเลย ผมเองก็หนึ่งคนแล้ว ท่านเองก็เหมือนกัน ถูกไหม? เรามาจากการที่เราไม่เข้าใจ พอเราไม่เข้าใจ เราทำอย่างไร? …
“พระเจ้ามันเรื่องจริงหรือ? ไม่เข้าใจเลย”
อย่างที่ผมยกตัวอย่าง พระเยซูอยู่ไหน? พระเยซูที่เขาประกาศ อยากรู้จัก แต่ไม่เข้าใจ เขาพูดอะไรกัน แต่ก็อยากจะรู้นะ เริ่มต้นด้วยวิธีนี้ ก็เจอ เพราะเริ่มด้วยวิญญาณข้างใน ไม่ใช่ด้วยเหตุผล มีใครในที่นี้มาเชื่อแบบจิตวิญญาณบ้าง? ลองเป็นพยานสักคนหนึ่งสิ มีไหม? มีทุกคน ของท่านเป็นอย่างไรบ้าง?
ไม่เข้าใจเลย เพื่อนทำไมพูดแต่เรื่องพระเยซู เราก็ไม่เข้าใจ แต่เราเริ่มต้นอยากรู้ ก็จะใช้วิธีไม่เข้าใจ ก็จะพูดแล้ว พูดกับใคร? ก็พูดกับพระเจ้า พูดกับพระเยซูไงว่าไม่เข้าใจ จะพูดแบบผมหรือไม่ ก็ไม่รู้ แต่ในที่สุด ก็คือก็อยากรู้ เขาพูดมาตั้งนานแล้ว เริ่มสนใจ แต่ไม่เข้าใจ เริ่มพูดกับพระเยซูโดยไม่เข้าใจ ในที่สุด ก็เข้าใจ เพราะว่าเริ่มต้นนั้น มันเริ่มต้นด้วยจิตวิญญาณ มาถูกทางแล้ว เพราะฉะนั้น พี่น้องทั้งหลายที่ฟังอยู่ เริ่มต้นดูสิครับ เริ่มด้วยจิตวิญญาณของท่าน ในส่วนลึก ภายในจิตใจของท่านแหละ พูดกับพระองค์เลย ไม่เข้าใจ ก็บอกว่าไม่เข้าใจ …
“ลูกไม่เข้าใจ อยากจะรู้จัก มีปัญหามากมายในชีวิต อยากจะให้พระองค์ทรงช่วย เหมือนกับคนนั้นที่พระองค์ช่วยไปแล้ว ทำอย่างไร?”
นี่แหละ คือสิ่งที่เรียกว่ามาจากจิตวิญญาณข้างใน ไม่ต้องไปนั่งลึกซึ้งมาก วิญญาณข้างในมันต้องเป็นอย่างนี้ ต้องเข้าสู่ที่สงบ ต้องไปปลีกวิเวก ไม่ใช่อย่างนั้นเลย เข้าใจผิด จิตวิญญาณ ก็คือไม่เข้าใจ ไม่เข้าใจ ก็พูดไปสิ ไม่เข้าใจ ก็พูดไปเรื่อย …
“อยากรู้จักจัง ฉันอยากรู้จักข่าวประเสริฐนี้ ฉันก็อยากจักรู้จักพระเจ้า” … แค่นั้นเอง
และถ้าท่านลองแสวงหาอย่างนั้นไปด้วยจิตวิญญาณของท่าน ท่านเจอแน่ เพราะว่ามันเป็นเรื่องจริง คริสตมาสปีนี้ ท่านอาจจะได้ยิน ท่านแสวงหาอย่างที่ผมอธิบายให้ฟังเมื่อตะกี้นี้ อย่างที่คนเป็นพยานเมื่อสักครู่นี้ว่าใช้วิญญาณ ใช้จิตใจส่วนลึกของท่าน พูดด้วยความตรงไปตรงมา คริสตมาสปีนี้ ท่านอาจได้ยินเสียงของพระเจ้าก็ได้ เสียงของพระเจ้าท่ามกลางบรรยากาศแห่งการให้ของขวัญ ในวันคริสตมาส บรรยากาศแห่งความสุขสงบและความชื่นชมยินดีทั้งโลก พระเจ้าจะพูดกับท่านว่า …
“กลับบ้านเราเถิดลูก พ่ออภัยให้หมดแล้ว พ่อเตรียมทุกสิ่งที่ดีเลิศไว้ให้กับลูกแล้ว พ่อรออยู่นะ รักลูกมากๆ”
คืออะไร? ก็คือประโยคที่ทุกคนในโลกใบนี้ ที่ยังมีชีวิตอยู่ทุกวันนี้ 2,000 กว่าล้านคนที่เป็น คริสเตียนผู้เชื่อแล้วนั้น ได้รับเสียงนี้จากพระเจ้า เมื่อวันที่เขาเปิดใจ ใช้วิญญาณเขาแสวงหาพระองค์ด้วยวิญญาณ เขาเจอแน่ มันเป็นของจริง พระเจ้าดีใจมาก รออยู่แล้วว่าทุกคนได้รับอย่างนี้เช่นเดียวกันหมด
“กลับบ้านเถิดลูกเอ๋ย พ่อรักลูกมากนะ”
การเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ หรือเรียกว่าพระเมสิยาห์ พระคริสต์เข้ามาในชีวิต ก็เหมือนกับการตัดสินใจกลับบ้านของพระบิดา คือสวรรคสถานนั่นเอง สวรรคสถานเป็นที่สำหรับมนุษย์อยู่อาศัยเท่านั้นไม่ได้เตรียมไว้ให้กับวิญญาณ หรืออะไรต่างๆ เหล่านั้นเลย แต่เตรียมไว้ให้กับมนุษย์บนโลกใบนี้เท่านั้น ลงมาตั้งอยู่ เพื่อมนุษย์ทั้งหลายจะเข้าสู่สวรรค์ได้ และเมื่อถึงสวรรค์ เมื่อถึงบ้านแล้ว พระบิดาก็จะต้อนรับด้วยความตื่นเต้น ด้วยความยินดี จัดงานเลี้ยงฉลองรับเรากลับมาเป็นลูก เป็นเจ้าของบ้านร่วมกับพระเยซูคริสต์ทันที รออยู่แล้วว่าท่านเปิดใจ แสวงหาเท่านั้นเอง อย่าใช้ความคิด อย่าใช้ความเข้าใจ บ้านก็คือสวรรค์ของพระบิดา เมื่อเป็นลูก อยู่ในบ้านของพระเจ้าแล้ว โดยพระคุณ ไม่ต้องทำอะไรเลยนะ พระคุณที่ได้ให้กำเนิด รับเราเป็นลูก ด้วยท่าทีแห่งความรักของพระเจ้า รับเราเป็นลูกของพระองค์ ด้วยพระคุณ
ในท่าทีแห่งความรัก ด้วยพระคุณของพระเจ้าอย่างนี้ เช่นเดียวกัน ที่พระเจ้าจะใช้ความรักอย่างนี้ ลักษณะอย่างนี้ของพระองค์ พอรับเราเป็นลูกแล้ว ก็จะฝึกสอนเราด้วยความรัก แบบอากาเป้ แบบไม่มีเงื่อนไขอย่างนี้ ด้วยความทะนุถนอม เพื่อให้เราเริ่มต้นประพฤติตัวให้สมกับเป็นลูกของพระเจ้า อยู่ในบ้านนี้ โดยย้ำยืนยันกับลูกๆ บ่อยๆ ในวิญญาณข้างในว่า …
“พ่อรักลูกมากนะ”
นี่อยากจะให้ผู้ที่เป็นลูกของพระเจ้าแล้ว ที่วางใจในพระเยซูคริสต์ ได้บังเกิดใหม่แล้ว ได้ยินได้ฟังด้วย สำหรับผู้ที่ยังไม่ได้บังเกิดใหม่ กำลังแสวงหาอยู่ ถ้าท่านใช้จิตวิญญาณของท่านแสวงหา ท่านก็จะได้พบกับความจริงนี้ และท่านก็จะได้รับเสียงนี้จากพระเจ้า เช่นเดียวกัน เพราะท่านเป็นลูกแล้ว พระเจ้าก็จะบอกเรา บอกบ่อยๆ เลย ลูกของพระเจ้าทั้งหลาย คริสเตียนทั้งหลาย ที่ได้บังเกิดใหม่แล้ว พระเจ้าก็จะพูดกับเราบ่อยๆ ในจิตใจ ในวิญญาณของเรา ส่วนลึกๆ ว่า …
“พ่อรักลูกมากนะ ไม่เป็นไรนะ พ่ออภัยให้เสมอ (เวลาเราทำอะไรผิดพลาดไป) ลูกบริสุทธิ์ สะอาด ดีพร้อมเหมือนพ่อเลย อย่ากลัวเลย พ่ออยู่กับลูกเสมอ พ่อไม่เคยละลูก ทิ้งลูกให้อยู่ลำพังนะ ไม่มีใครที่ไหนจะสามารถทำอันตราย ทำร้ายลูกได้เลย พ่อจะดูแลเอง พ่ออยู่กับเจ้า จงพัก หายเหนื่อยและเป็นสุข สงบในสวรรค์ บ้านของเรานี้ ลูกจะอยู่กับพ่อตลอดไป ไม่ต้องกลัวว่าพ่อจะทิ้งเจ้าไปไหนเลยนะลูก จงมั่นใจในความรักของพ่อ”
นี่แหละ มันจะเป็นอย่างนี้ตลอดเลย ใครมีหูจงฟังเถิด ใครมีตา จงมองให้เห็นเถิด พระวิญญาณของพระเจ้าตรัสดังนี้แหละ พ่อของเรารอคอยเรากลับบ้าน ถ้ากลับบ้านแล้ว พระองค์มีท่าทีกับเราอย่างนี้ อย่างที่ตะกี้นี้อ่านให้ฟัง อย่างนี้เลย ตามพระคัมภีร์เลย พระวิญญาณของพระเจ้าจึงบอกว่าใครมีหูจงฟังเถิด ใครมีตาจงมองให้เห็นเถิด ถ้าได้บังเกิดใหม่แล้ว วางใจในพระเยซูคริสต์ได้เข้าสู่สวรรค์แล้ว หูตาฝ่ายวิญญาณก็จะเปิดออกกว้างขึ้น ก็จะได้ยินเสียงเหล่านี้แหละ คือเสียงของพระเจ้า ที่บอกมนุษย์ทั้งหลาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้คนที่เป็นมนุษย์ ที่ยังไม่ได้รู้จักพระองค์ พระองค์รอคอยท่านอยู่ มนุษย์ทั้งหลาย กลับบ้านเราเถิด พระเจ้ากำลังพูดกับท่านอย่างนั้น มนุษย์ทั้งหลายกลับบ้านเราเถิด ประตูสวรรค์เปิดรอท่านอยู่ และพ่อแห่งฟ้าสวรรค์กำลังรอคอย ต้อนรับท่านอยู่ ด้วยความรัก ด้วยความตื่นเต้น ที่ได้พบกับท่าน และด้วยความยินดีที่จะฉลองเลี้ยงท่าน เพราะท่านได้กลับมาสู่บ้านที่พระองค์ทรงจัดเตรียมไว้ให้เรียบร้อยแล้ว คือสวรรคสถาน ผ่านทางพระเยซูคริสต์ ก็เพียงแค่เปิดใจยอมรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดจากบาปเท่านั้น ท่านจะได้เข้าสู่สวรรค์ทันที
ให้เราพูดพร้อมกันว่า … “ทันที ไม่ต้องรอเลย”
ก็แสดงให้เห็นว่าเราสามารถพิสูจน์ได้ นี่แหละ คือสิ่งที่พิสูจน์ว่าพระเยซูคริสต์เป็นพระเจ้ามาเกิดเป็นมนุษย์จริงๆ พิสูจน์ได้ทันที มันไม่ใช่ว่ารอพิสูจน์กันตอนตายไปแล้ว จึงจะรู้ว่าพระเยซูคริสต์เป็นพระเจ้า นั่นมันสายเกินไปแล้ว ผู้ที่เชื่อ มีความหวังใจ ในสวรรค์นั้น ก็คือผู้ที่เข้าสู่สวรรค์แล้วทันที โดยที่อยู่บนโลกใบนี้ ดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ ที่เขาอยู่ในสวรรค์แล้ว และดำเนินต่อไป ร่างกายเดิมนี้ จนกระทั่งร่างกายเดิมนี้สูญสิ้น จบ หมด สลายไป วิญญาณออกจากร่าง ก็อยู่ในสวรรค์ที่เดิม แต่ได้เปลี่ยนร่างกายใหม่ เป็นร่างกายสวรรค์ เป็นร่างกายที่เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์ที่มิติฝ่ายวิญญาณ ที่เห็นชัดเจน ไม่มีอะไรขวางกั้นเลย เห็นพระเจ้าหน้าต่อหน้า เห็นตัวเองเต็มด้วยสง่าราศี เหมือนพระเจ้า นี่คือความจริงในโลกวิญญาณที่มนุษย์ไม่สามารถที่จะเข้าใจ ไม่สามารถคิดหาเหตุผลได้ แต่สามารถพิสูจน์ได้ พระคัมภีร์บอกว่าจงมาชิมพระเจ้าดูสิ แล้วท่านจะรู้ว่าพระองค์ทรงดี และดีงามที่สุด
คำว่า “ชิมดู” คือให้มารู้จักพระเจ้าอยู่บนโลกใบนี้เลย แล้วท่านก็จะรู้ว่าพระเจ้าดี รู้เมื่อไร? รู้ตอนดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้เลย ไม่ใช่ว่ารอให้ตายไป จึงเห็นว่าพระเจ้าดี ไม่ใช่ ทุกสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นทันที บนโลกใบนี้ ตอนที่ดำเนินชีวิตอยู่ แต่มันเกิดขึ้นในโลกวิญญาณเท่านั้น เพราะฉะนั้น ความจริงในโลกวิญญาณ ที่มนุษย์ไม่สามารถเข้าใจ ไม่สามารถคิดหาเหตุผลได้ คือพระเยซูคริสต์ไม่ใช่เป็นเพียงแค่ศาสดาของศาสนาคริสต์ ตามที่เรามนุษย์คิดเท่านั้น แต่พระเยซูคริสต์ทรงเป็นพระเจ้า ผู้ทรงสร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก สร้างสรรพสิ่งทั้งหลายทุกสิ่ง ทั้งที่มองเห็น คือในโลกวัตถุ และในโลกวิญญาณที่มองไม่เห็น ทรงมีฤทธานุภาพอำนาจปกครองสูงสุด ทั้ง 2 โลกเลย ทั้งโลกวิญญาณและโลกวัตถุ เพราะพระองค์เป็นผู้สร้างสรรพสิ่งทั้งหลาย ด้วยตัวของพระองค์เอง และพระองค์เอง ก็คือพระเยซูคริสต์ พระองค์เสด็จมาเกิดเป็นมนุษย์ เพื่อจุดประสงค์เพียงสิ่งเดียว ก็คือช่วยเหลือมนุษย์ทุกคน ก็คือช่วยเหลือท่าน ที่เราได้ยินได้ฟังข่าวประเสริฐในวันนี้ ให้พ้นจากความพินาศในนรก หลังความตายนั่นเอง พ้นจากการถูกพิพากษาให้ตาย ซึ่งจะถูกสำเร็จโทษ หลังจากที่วิญญาณของท่านออกจากร่าง ก็คือหลังจากตายนั่นเอง ท่านจะได้ไม่ต้องถูกพิพากษาลงโทษ และพระเจ้าพ่อในฟ้าสวรรค์ ก็ได้พยายามประกาศข่าวดีเรื่องนี้ ด้วยความขะมักเขม่น เพื่อข่าวดีนี้จะได้ไปถึงมนุษย์ทั้งปวง ให้รู้ความจริงในโลกวิญญาณ ก่อนที่จะตายจากโลกนี้ แล้วค่อยมาพบความจริงทีหลัง ซึ่งสายเกินไปแล้ว พระองค์ต้องการให้เรารู้จักความจริงนี้ ก่อนที่จะตายจากโลกนี้ไป เพราะว่าถ้าคอย จนพบความจริง หลังจากตายแล้ว ถึงรู้ความจริง ตอนนั้น มันก็สายไปแล้ว เพราะประตูสวรรค์จะปิดลง เหมือนกับประตูเรือโนอาห์ ที่พระเยซูคริสต์ยกตัวอย่าง ให้เห็นภาพชัดเจนว่าพระองค์ทรงเตือนแล้วว่าวันหนึ่งจะเกิดน้ำท่วมใหญ่ และคนก็ไม่เชื่อว่ามันเป็นไปได้ ฝนไม่เคยมีตกลงมาบนโลกใบนี้ ในสมัยนั้น แต่พระองค์บอกแล้วว่าน้ำจะท่วมโลก มนุษย์จะตายหมด ใครที่เชื่อฟังพระองค์เข้ามาสู่เรือโนอาห์ ก็จะได้รับความรอด คนที่ไม่เชื่อ ก็จะถูกน้ำท่วม กวาดไปหมด
พระองค์ทรงยกตัวอย่างเรื่องนี้มาให้เห็นว่าในโลกวิญญาณ ในสมัยที่พระเยซูคริสต์มาก็เช่นเดียวกัน ถ้าท่านไม่เปิดใจ ไม่ค้นหาความจริงในเรื่องพระเยซูคริสต์นี้ และไม่ได้บังเกิดใหม่แล้ว จนถึงวันหนึ่ง เมื่อท่านจากโลกนี้ไปนั้น หมายถึงประตูสวรรค์ที่พระเยซูคริสต์เปิดไว้นั้น มันจะปิดลง ท่านไม่มีโอกาสเข้าไปอีกแล้ว เพราะท่านจะได้รับการพิพากษาลงโทษหลังความตาย ไปสู่ความพินาศอย่างแน่นอน ตามที่ได้ระบุไว้ในหนังสือกฎระเบียบของพระองค์ ในพระคัมภีร์ไบเบิ้ลนี้ พระเจ้าอวยพรครับ
*****************
จากใจคณะศิษยาภิบาล
ความหวังที่จะได้เป็นขึ้นจากความตาย คือความหวังจะได้สวมร่างกายใหม่ หลังจากที่กายฝ่ายโลกของเรานี้ สิ้นสุดลง
ร่างกายของผู้เชื่อสะอาด ได้รับการชำระล้างด้วยพระโลหิตของพระเยซู เป็นที่สามารถรับได้ของพระเจ้าแล้ว ไม่สกปรกโสโครกแล้ว เพราะบาปได้รับการอภัยแล้ว
แต่เป็นร่างกายดินแบบโลก ที่ต้องเสื่อมโทรมและสูญสิ้นไป เพราะถูกสาปแช่งไปแล้ว จึงอ่อนแอ สภาพเหมือนกับภาชนะดิน ที่ไม่สามารถรองรับชีวิตแบบสวรรค์ได้ เป็นร่างกายแบบดิน ที่ไม่สามารถเข้าสวรรค์หรือมีส่วนในอาณาจักรสวรรค์ของพระเจ้าได้
เมื่อถึงเวลาจะเข้าไปอยู่ในสวรรค์ จึงต้องได้รับร่างกายใหม่ ซึ่งพระเจ้าจัดเตรียมไว้ให้เรียบร้อยแล้ว เป็นร่างกายที่เหมือนพระเยซูตอนเป็นขึ้นจากความตาย เป็นร่างกายแบบสวรรค์ ร่างกายดินที่ต้องตาย ที่สามารถตายได้ ต้องเปลี่ยนเป็นร่างกายที่ไม่สามารถตายได้ เป็นร่างกายอมตะ ที่เป็นนิรันดร์เรียกว่าร่างกายสวรรค์
ร่างกายดินแบบโลก ที่เราดำเนินชีวิตอยู่บนโลกในขณะนี้นั้นทุกส่วน คือตา หู จมูก ลิ้นกาย ความคิดจิตใจ สมอง ได้รับการชำระให้สะอาด เป็นที่ยอมรับได้ของพระเจ้าแล้ว แต่ความคิดจิตใจ และสมอง ยังมีข้อมูล กับความเคยชินในชีวิตเดิมอยู่ และยังสามารถได้รับอิทธิพลจากภายนอก คือระบบของโลกนี้ ซึ่งครอบครองโดยบาป คอยล่อลวงให้ทำบาปเหมือนชีวิตเดิม ซึ่งเป็นการต่อต้านพระเจ้าที่อยู่ในใจเรา อิทธิพลของโลกแห่งความบาปนี้ มันไม่ใช่ตัวเรา ไม่ใช่ส่วนหนึ่งของร่างกายของเรา แต่เป็นพลังอิทธิพลแห่งความบาปและความตาย ซึ่งสามารถเข้ามาล่อลวงกระตุ้น ให้สมองและความคิดของเราเชื่อฟังมันได้ มันเหมือนพยาธิ ปรสิตที่แอบซ่อนอยู่ในร่างกาย
ความหวังที่จะได้เป็นขึ้นจากความตาย หมายถึงการได้รับกายใหม่ หลังจากที่กายฝ่ายโลกของเรานี้ เสื่อมสลายลง ซึ่งพระคัมภีร์เรียก “กายใหม่” นี้ว่า “กายสวรรค์”
1 โครินธ์ 15:40 … “กายก็มีทั้งแบบสวรรค์ และแบบฝ่ายโลกเช่นกัน แต่สง่าราศีของกายแบบสวรรค์ก็อย่างหนึ่ง และสง่าราศีของกายแบบฝ่ายโลกก็อีกอย่างหนึ่ง”
การได้รับกายใหม่ คือกายสวรรค์ หลังจากที่กายแบบโลกของเราเสื่อมสลายลง (ตาย) ก็คือการได้รับชีวิตนิรันดร์ ที่ครบถ้วนบริบูรณ์ (แบบ Full Option) ตรงนี้แหละ คือสิ่งที่เรายังไม่มี และเป็นความหวัง ที่พวกเรารอคอยด้วยความอดทน พระเจ้าอวยพรครับ