วารสาร Holy  News   ฉบับที่ 1397

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  1  มกราคม  2023

เรื่อง “เชื่อหรือไม่ พระเจ้าขอร้องให้มนุษย์กลับคืนดีกับพระองค์”

โดย นคร  เวชสุภาพร

            วันนี้ก็แน่นอนต้องสวัสดีปีใหม่ 2023 แล้ว ไม่ใช่ปีใหม่อย่างเดียว แต่ 2,023 ปีของพันธสัญญาใหม่ที่พระเยซูคริสต์ได้กระทำสำเร็จแล้วที่ไม้กางเขน เมื่อ 2,023 ปีมาแล้ว ก็ต้องบอกว่า …

            “ขอให้ท่านได้พบกับสันติสุขและความสงบทางใจ จากการเสียสละของพระเยซูคริสต์ ที่ได้ไถ่บาปให้กับท่าน มาประมาณ 2,023 ปีแล้ว ก็หมายถึงว่า 2,023 ปีกับพันธสัญญาใหม่ ที่พระเจ้าได้ทำกับมนุษย์ ก็คือส่งพระเยซูคริสต์มาเกิดในวันคริสตมาส ซึ่งเราเพิ่งฉลองกันไป คริสตมาสก็ผ่านมาประมาณ 2,023 ปี

            คริสตมาสคืออะไร? จำได้ไหม? สัปดาห์ที่แล้ว จำอะไรไม่ได้ จำได้แค่นี้ คริสตมาส ก็คือวันที่พระเจ้ามาเกิดเป็นมนุษย์ ชื่อพระเยซูคริสต์ คริสตมาส คือพระเจ้าพระเยซูคริสต์สละสภาพของพระเจ้าลงมาเกิดเป็นมนุษย์ เพราะฉะนั้น ถ้อยคำวันนี้ ผมจึงใช้ชื่อเรื่องว่า “เชื่อหรือไม่ พระเจ้าขอร้องให้มนุษย์กลับคืนดีกับพระองค์” พระเจ้าขอร้องให้มนุษย์กลับคืนดีกับพระองค์ ผ่านทางพระเยซูคริสต์ ผู้ทรงเป็นพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์ เจ้าของวันคริสตมาสนั่นเอง ถามคนข้างๆ สิว่าท่านเชื่อหรือไม่? ฝึกไว้เลยนะ “ท่านเชื่อหรือไม่?”

            เทศกาลคริสตมาส เป็นเทศกาลพิเศษ พิเศษมากตรงไหน? ตรงที่เขาร่วมเฉลิมฉลองกัน ระลึกถึงวันที่พระเยซูคริสต์ ผู้เป็นพระบุตรของพระเจ้า ลงมาประสูติเป็นมนุษย์ และทำกันมา 2,000 ปีแล้ว มากขึ้นทุกวันๆ ความสำคัญของวันคริสตมาส ที่เป็นเหตุให้มีการฉลองกันใหญ่โตทั่วโลก ก็คือพระเยซูคริสต์ ซึ่งมีสถานะเป็นพระเจ้า ได้มาเกิดเป็นมนุษย์ ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ คือสภาพของพระเจ้ากับสภาพของมนุษย์ สามารถร่วมเป็นหนึ่งเดียวกันได้ เข้ากันได้นั่นเอง ความหมาย คือพระเยซูซึ่งมีสภาพเป็นพระเจ้า ลงมามีสภาพเหมือนมนุษย์ได้ฉันใด มนุษย์บนโลกใบนี้ ก็สามารถมีสภาพเหมือนกับพระเจ้าได้ฉันนั้น นี่คือความอัศจรรย์ ยิ่งใหญ่ของข่าวประเสริฐ ของข่าวดี เรื่องพระเยซูคริสต์ ของพันธสัญญาใหม่ ที่ตะกี้นี้บอกมา ที่ประกาศมา 2,000 กว่าปีแล้ว

            นี่คือปรากฏการณ์อันอัศจรรย์ ยิ่งใหญ่ที่สุด เท่าที่เคยมีมา ตั้งแต่สร้างโลกมาเลย อัศจรรย์ยิ่งใหญ่ที่สุดในการสร้างโลก จำไว้เลยว่าก็คือวันที่พระเยซูคริสต์ พระเจ้ามาเกิดเป็นมนุษย์นั่นเอง ทำให้มนุษย์ทั้งโลก คือเผ่าพันธุ์มนุษย์นั้น สามารถที่จะเข้ากับพระเจ้าได้ เข้าสู่สวรรค์ได้ทันที  ในขณะดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้เลย จึงทำให้มนุษย์ทั้งโลก ที่ได้รับรู้เรื่องเหล่านี้ 2,000 กว่าปีแล้ว เฉลิมฉลองเทศกาลคริสตมาสกันอย่างใหญ่โต มาถึงทุกวันนี้ และจะฉลองกันเรื่อยๆ ใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ จนถึงนิรันดร์ จนถึงสิ้นโลกเลย พระคัมภีร์บันทึกเรื่องนี้ไว้ตั้งหลายพันปี บันทึกมาตลอดเลยว่ามันจะเป็นอย่างนี้พระเจ้าจะมาเกิดเป็นมนุษย์ และช่วยมนุษย์ให้รอด กลับไปสู่สวรรค์ได้ และอาณาจักรของพระองค์ที่เรียกว่าพระคริสต์ จะถูกประกาศมากขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งถึงสิ้นโลก แล้วมันมากขึ้นจริงๆ มา 2,000 ปีแล้ว เพราะฉะนั้น วันที่พระองค์ทรงประกาศว่าจะประกาศไปจนถึงวันสิ้นโลก มันก็ต้องเป็นจริงเหมือนกัน ถูกไหม?

            ตอนที่เขียนไว้เมื่อหลายพันปีก่อน ก่อนที่พระเยซูคริสต์จะมาเกิด คนอาจจะไม่เข้าใจ ยังไม่เห็น สิ่งที่เกิดขึ้นชัดเจน  แต่พอมาถึงเมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว คือวันคริสตมาสแรก ที่พระเยซูคริสต์มาเกิดเป็นมนุษย์จริงๆ เห็นเป็นจริง แต่ยังไม่มีพยานยืนยันมากมายนัก เพิ่งเริ่มต้น นึกถึงว่าเป็น ค.ศ.1 สมมตินะว่าเป็นปีแรกๆ เอง คนเป็นคริสเตียน ยังได้รับข่าวประเสริฐนี้น้อย แต่ตั้งแต่วันนั้นมาถึงวันนี้ 2,000 ปีแล้ว คนเยอะมากขึ้นเรื่อยๆ ที่รู้จักเรื่องนี้ แล้วก็ฉลองกันมากขึ้นเรื่อยๆ อย่างนี้ แสดงว่ามันต้องเป็นจริงแน่นอน และที่บอกว่าจากนี้ต่อไป ข่าวดีนี้จะถูกประกาศไปจนถึงวันสิ้นโลก มันก็ต้องเป็นจริงแน่นอนเช่นเดียวกัน มนุษย์ไม่มีทางคิดถึง ไม่มีทางเข้าใจ ไม่มีทางที่จะหาเหตุผลได้เลยว่าพระเจ้ากับมนุษย์จะมาอยู่ด้วยกันได้อย่างไร? จะมาเข้ากันได้อย่างไร?

            พระเยซูผู้มีสภาพเป็นพระเจ้า มาเกิดในสภาพมนุษย์อย่างเต็มตัวได้อย่างไร? เป็นไปได้หรือ? ก็ยังมีคนส่วนหนึ่งนะยังไม่เชื่อ เพราะว่าเชื่อยาก ที่ไม่เชื่อ เพราะว่าเขาใช้ความคิด ใช้สมอง ใช้ตรรกะเหตุผลแบบมนุษย์ พยายามจะคิดว่าพระเจ้ามาเกิดเป็นมนุษย์ได้อย่างนั้นอย่างนี้ ไม่มีวันที่จะเข้าใจหรอก พระเยซูบอกว่ามันเป็นไปไม่ได้ ต้องใช้จิตวิญญาณเท่านั้น สิ่งที่บันทึกอยู่ในพระคัมภีร์ทั้งเล่ม ก็คือถ้อยคำพระเจ้าได้บอกเรา ถึงพระสัญญาของพระเจ้าที่จะส่งพระบุตร คือพระเยซูคริสต์มาเกิดเป็นมนุษย์ เพื่อทำให้พระเยซูคริสต์กับมนุษย์ สามารถมีสภาพที่เหมือนกันได้ คือเป็นเหมือนคนๆ เดียวกันได้ พูดบันทึกไว้อย่างนี้มาเป็นเวลาหลายพันปี  ไม่ใช่เพิ่ง 2,000 กว่าปี แต่ก่อนพระเยซูคริสต์จะเกิดอีก ก็บอกแล้ว เป็นเวลาสัก 4-5 พันปีอะไรต่างๆ เหล่านั้น บอกมาตลอดเลย มนุษย์ไม่มีวันเข้าใจหรอกว่าจะเป็นหนึ่งเดียวกันได้อย่างไร? แต่ก็บอกมาตลอดจนถึงทุกวันนี้ ก็ยังพูดอยู่เหมือนเดิม

            พระเยซูคริสต์มาเกิดแล้ว แล้วก็ทำงานสำเร็จเรียบร้อยแล้ว แล้วก็ประกาศต่อไป จากเดิมก่อนที่พระเยซูคริสต์จะมาประสูติ จากเดิมก่อนที่พระเยซูคริสต์จะมาเกิดเป็นมนุษย์ มนุษย์ทั้งโลก มีสภาพเป็นคนบาป ไม่สามารถติดต่อกับพระเจ้าได้ นี่เขียนไว้ตั้งแต่หน้าแรกของพระคัมภีร์ ก็คือปฐมกาลเลย หลายพันปีก่อน บอกไว้เลยว่าเป็นอย่างนี้  และมนุษย์ไม่สามารถอยู่ในสวรรค์กับพระเจ้าได้  เพราะว่ามันเข้ากันไม่ได้ สารเคมีไม่เข้ากัน บาปของมนุษย์กับความบริสุทธิ์ของพระเจ้า ไม่สามารถเข้ากันได้ บาปเข้ากับความบริสุทธิ์ไม่ได้ ที่เคยยกตัวอย่างบ่อยๆ เหมือนน้ำกับน้ำมันมันเข้ากันไม่ได้ มันเด้งออกตลอด เหมือนความมืดกับความสว่างเข้ากันไม่ได้

            มนุษย์อยู่ในความมืด มนุษย์ข้างในใจเป็นความมืด เป็นความบาป เข้ากับแสงสว่างไม่ได้ และวันคริสตมาสเป็นการเริ่มต้นทำพันธสัญญาของพระเจ้า ที่จะไถ่บาปให้กับมวลมนุษยชาติ ทำให้มนุษย์ได้รับการชำระให้สะอาดบริสุทธิ์ ปราศจากบาป และได้รับสถานะให้เป็นบุตรของพระเจ้า เป็นทายาทของพระองค์ ร่วมกับพระเยซูคริสต์ คือเข้ากันได้กับพระเยซูคริสต์ เป็นหนึ่งเดียวกับพระเยซูคริสต์ เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์เลย ก็คือจากความมืดมาเป็นความสว่างเลย จากความบาปมาเป็นผู้ชอบธรรมบริสุทธิ์เลย ท่านลองคิดดูสิ

            นี่คือสิ่งที่บันทึกเอาไว้เป็นเรื่องจริง อยู่ในพระคัมภีร์ ซึ่งใช้เหตุผล ใช้ความคิด ใช้ความเข้าใจของมนุษย์ ไม่สามารถที่จะเข้าใจได้ ซึ่งพระคัมภีร์ก็เขียนว่าใครก็ตามที่เชื่อในเรื่องนี้ คือต้อนรับพระเยซูคริสต์ พระคัมภีร์บอกว่าเมื่อเขาต้อนรับพระเยซูคริสต์ ต้อนรับความจริงนี้อะไรเกิดขึ้น? เขาคนนั้นจะได้รับการเปลี่ยนแปลง ทั้งร่างกาย จิตใจ และจิตวิญญาณ

            เมื่อเขาต้อนรับพระเยซูคริสต์ คือต้อนรับความจริงนี้ เปลี่ยนแปลงให้มีสภาพเหมือนพระเยซู จากคนบาป สกปรก กลายเป็นมาเหมือนพระเยซู ซึ่งพระเยซูเป็นพระเจ้า ท่านลองนึกภาพสิ  ซึ่งพระคัมภีร์ใช้ศัพท์คำนี้ว่าการบังเกิดใหม่ ก็คือการเกิดใหม่ในวิญญาณ คือมีสภาพเกิดใหม่ เป็นลูกของพระเจ้า และสามารถอยู่ในสวรรค์กับพระเจ้าได้ทันที

            “ทันที” หมายถึงกำลังดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ ต้อนรับข่าวประเสริฐ ต้อนรับข่าวดีเรื่องพระเยซูคริสต์นี้ วิญญาณข้างใน จิตใจข้างใน และร่างกายเริ่มต้นการเปลี่ยนแปลงทันทีเลย ทุกคนงง แล้วร่างกายเปลี่ยนแปลงอย่างไร? ค่อยๆ เรียนรู้ไป เริ่มต้นเปลี่ยนแปลง ก็คือมีร่างกายใหม่ เตรียมให้เราเรียบร้อยแล้ว ในสวรรคสถานนั่นเอง เริ่มต้นการเปลี่ยนแปลงทันที เปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆ จนกระทั่งถึงนิรันดร์กาล เพราะว่าเข้ากับพระเจ้าได้แล้ว ไม่ได้เป็นน้ำกับน้ำมันแล้ว เป็นน้ำกับน้ำเข้ากันได้ดีเลย เป็นหนึ่งเดียวกันตลอดเวลา พระเยซูตรัสว่าความจริงในโลกวิญญาณจะทำให้เราเป็นไท

            ความจริง คือตะกี้นี้ที่พูดมาทั้งหมดนั้น ที่บันทึกไว้ในพระคัมภีร์ เรียกว่าถ้อยคำพระเจ้า พระคัมภีร์นั้น มันเป็นจริง จริงๆ ใครรู้ความจริงเหล่านี้และยอมรับความจริงเหล่านี้ ความจริงจะทำให้เขาเป็นอิสระจากการหลอกลวง ยอห์น 4:23-24 บอกไว้อย่างนี้ พระเยซูตรัสว่า …

        ยอห์น 4:23-24 “23 กระนั้น ก็ใกล้ถึงเวลาแล้ว และบัดนี้ ก็ถึงเวลาแล้ว ที่ผู้นมัสการอย่างถูกต้อง จะนมัสการพระบิดา ด้วยจิตวิญญาณและความจริง เพราะพวกเขาเป็นผู้นมัสการ แบบที่พระบิดาทรงแสวงหา 24 พระเจ้าทรงเป็นพระวิญญาณ ผู้ที่นมัสการพระองค์ ต้องนมัสการด้วยจิตวิญญาณและความจริง”

            นมัสการด้วยจิตวิญญาณคืออะไร? การร้องเพลงเป็นอาการหนึ่งของนมัสการ การอธิษฐาน คือการนมัสการ ใช่ เป็นอาการหนึ่งของการนมัสการ นมัสการจริงๆ แปลว่าถ่อมใจ ยอมรับความจริง ดั่งเหมือนกับทาสเลย ยอมจำนนต่อความจริง ยอมรับว่านี่คือความจริง ทั้งๆ ที่ไม่เข้าใจ ทั้งๆ ที่หาเหตุผลไม่ได้ แต่นมัสการ แปลว่าใช้จิตวิญญาณนั่นเอง

            นมัสการด้วยจิตวิญญาณและความจริง เหตุผลไม่เข้าใจ ความคิดไม่เข้าใจ แต่เชื่อในความจริง คือถ้อยคำของพระเจ้า ที่บันทึกเอาไว้ นี่เขาเรียกว่านมัสการด้วยจิตวิญญาณและความจริง  ไม่ใช่ด้วยความรู้สึก หรือความคิด

            “โอโห้! รู้สึกว่าพระเจ้าอยู่กับฉัน คิดว่าพระเจ้าอยู่กับฉัน เพราะว่าเหตุการณ์นี้เกิดขึ้น เพราะมีหมายสำคัญเกิดขึ้น ฉันคิดว่าพระเจ้าอยู่กับฉัน”

            นั่นไม่เรียกว่านมัสการ นั่นเป็นความรู้สึก นมัสการ คือจากข้างใน ความจริง คือถ้อยคำพระเจ้าที่ระบุไว้ แม้ว่าความรู้สึก หรือความคิดมันจะแย้ง แต่ถ้อยคำพระเจ้าบอกพระเจ้าสถิตอยู่กับฉัน อยู่ข้างในตัวฉันนี่แหละ นี่คือความหมายของคำว่านมัสการด้วยจิตวิญญาณและความจริง

            ใช้วิญญาณแสวงหาความจริง ความจริง ก็คือถ้อยคำของพระเจ้า ที่ได้บันทึกไว้ในพระคัมภีร์ว่าตัวท่าน มนุษย์ทั้งหลาย ท่านเป็นใคร?  อยู่ที่ไหน? และเป็นอย่างไรในโลกวิญญาณ? ถ้าท่านไม่ต้อนรับพระเยซูคริสต์ ท่านเป็นใคร? ท่านเป็นคนบาป ท่านยอมรับไหม?  ในพระคัมภีร์บอกท่านเป็นคนบาป ท่านยอมรับ นั่นแหละ ท่านกำลังนมัสการพระเจ้าด้วยจิตวิญญาณและความจริง และในพระคัมภีร์บอกว่าถ้าท่านเป็นคนบาป ยอมรับแล้ว พระเยซูคริสต์มาตายที่ไม้กางเขน ชำระบาปให้กับท่าน แล้วท่านบอกยอมถ่อมใจว่าพระเยซูตายที่ไม้กางเขน เพื่อฉัน ฉันจะได้พ้นจากบาป นี่แหละเรียกว่านมัสการพระเจ้าด้วยจิตวิญญาณและความจริง ท่านพอมองเห็นไหม?  ชัดไหม?

            วางใจว่าพระเยซูคริสต์ คือพระผู้ช่วยให้รอด นี่ก็คือการนมัสการพระเจ้า พระคัมภีร์บอกพระเยซูคริสต์เป็นพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์ เพื่อช่วยมนุษย์ให้รอดพ้นจากโทษของความบาป และเราเชื่อในถ้อยคำนี้ แค่เชื่อเท่านั้นเองว่าพระเยซูทำให้กับเราตรงนี้ เรียกว่านมัสการพระเจ้าแล้ว นี่คือชัดเจน ก็คือเชื่อ แม้จะไม่เข้าใจก็ตาม เชื่อ เพราะว่าถ้อยคำพระเจ้าระบุไว้อย่างนั้น อย่างนี้เรียกว่าใช้จิตวิญญาณ ยืดมั่น เชื่อมั่นในความจริงในถ้อยคำของพระเจ้านี้ ที่พระองค์ทรงบันทึกไว้ในพระคัมภีร์นี้ว่าเป็นอย่างนี้ ฉันก็เชื่อมั่น ในความจริงเหล่านี้ ยึดมั่นในความจริงเหล่านี้ว่าถ้อยคำพระเจ้าเป็นอย่างนี้ ไม่ว่าความคิด จะคิดอย่างไรก็ตาม ฉันวางใจ ฉันเชื่อในความจริงนี้

            เพราะฉะนั้น การดำเนินชีวิตของคริสเตียน ก็คือเราต้องดำเนินชีวิตด้วยความเชื่อเท่านั้น ไม่ใช่ใช้ความรู้สึก พระเจ้าจึงตรัสว่า …

            “สิ่งที่ตามองไม่เห็น หูไม่ได้ยิน คือสิ่งที่เราเตรียมไว้ให้กับท่าน ผู้ที่รักเรา”

            ผู้ที่จะแสวงหาพระเจ้า ก็ต้องใช้วิธีนี้ จึงใช้ในสิ่งที่ตามองไม่เห็น หูไม่ได้ยิน … ตามองไม่เห็นและหูไม่ได้ยิน ก็คือความไม่เข้าใจ ความไม่มีเหตุ ไม่มีผลแบบมนุษย์ ไม่ใช่ความรู้สึกแบบมนุษย์ นั่นแหละ คือสิ่งที่พระเจ้าเตรียมไว้ให้กับเรา ก็คือเรื่องราวเกี่ยวกับทางโลกวิญญาณ ซึ่งเราไม่มีทางเห็นได้ เราต้องใช้วางใจในพระเจ้าและเชื่อเท่านั้น

            ดังนั้น หลังจากวันคริสตมาสแรกของโลก จนถึงวันนี้ วันที่พระเยซูคริสต์ พระบุตรของพระเจ้าได้ไถ่บาปจนสำเร็จ ก็คือการสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน  และการเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่ 3 เมื่อ 2,000 ปีเป็นต้นมานั้น พระเจ้าขอร้องให้เราทั้งหลายกลับใจใหม่ กลับใจมาเชื่อพระองค์ว่าพระองค์มาไถ่บาปให้กับเราแล้ว ตั้งแต่วันที่พระเยซูคริสต์สิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน  และเป็นขึ้นจากความตายในวันที่ 3 ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา พระเจ้าประกาศไปทั่วเลยว่า …

            “ลูกๆ มนุษย์ทั้งหลาย กลับบ้านเถิด  เพราะพระเยซูคริสต์กระทำสำเร็จเรียบร้อยแล้ว”

            พระคัมภีร์ได้บันทึกไว้ในหนังสือ 2 โครินธ์อย่างนี้ นี่คือความจริงอีกอันหนึ่ง ที่เหลือเชื่อ ที่เป็นหัวข้อในวันนี้ ที่ผมตั้งขึ้นมาว่าพระเจ้าขอร้องให้มนุษย์กลับคืนดีกับพระองค์ ผ่านทางพระบุตร คือพระเยซูคริสต์ท่านเชื่อหรือไม่? นี่คือความจริงในโลกวิญญาณ 2 โครินธ์ 5:19-20 บันทึกไว้อย่างนี้ว่า …

        2 โครินธ์ 5:19-20  “19 พระเจ้าเองทำให้คนในโลกนี้ กลับมาคืนดีกับพระองค์ โดยผ่านทางพระคริสต์ และยกโทษบาปให้กับพวกเขา พระองค์ได้มอบเรื่องการกลับคืนดีนี้ให้กับเรา เพื่อไปบอกคนอื่นๆ ต่อ 20 ดังนั้น เราจึงทำงานเป็นทูตของพระคริสต์ เพราะเชื่อมั่นว่าพระเจ้ากำลังขอร้องพวกคุณ ผ่านทางเรา เราขอวิงวอนคุณ แทนพระคริสต์ว่า “กลับมาคืนดีกับพระเจ้าเถิด

            เกือบ 2,000 ปีแล้วที่บันทึกไว้อย่างนี้ว่าพระเจ้าเอง ผู้ที่บันทึกนี้ ก็คืออัครทูตเปาโล ซึ่งพระเจ้าเรียกมาให้เป็นผู้ประกาศความต้องการของพระองค์ ประกาศความสำเร็จของพระเยซูคริสต์ ที่ได้ตายที่ไม้กางเขน และเป็นขึ้นจากความตาย ให้ประกาศออกไป ประกาศว่าพระเจ้าเรียกมนุษย์ทั้งหลายกลับบ้าน กลับบ้านเถิด พระองค์เองทำให้คนในโลกนี้กลับคืนดีกับพระองค์ พระองค์เอง ก็คือพระเจ้า พระบิดาเอง ทำให้คนในโลกนี้ กลับมาคืนดีกับพระองค์ โดยผ่านทางพระเยซูคริสต์ พระบุตร และยกโทษบาปให้พวกเขา

            พูดง่ายๆ สรุปสั้นๆ ก็คือพระเจ้ากำลังประกาศให้มนุษย์ทั้งหลาย บอกว่า …

            “พ่ออภัยให้หมดแล้ว เตรียมทุกสิ่งทุกอย่างไว้ให้หมดเรียบร้อยแล้ว กำลังรอคอยลูกกลับมานะลูกเอ๋ย”

            นี่คือสิ่งที่พูดจากสวรรค์ จากพระเจ้าผู้ทรงรักมนุษย์ทั้งหลาย มา 2,000 ปีแล้ว หลังจากพระเยซูเป็นขึ้นจากความตาย สำเร็จเรียบร้อยแล้วก็ประกาศตรงนี้ว่ากลับบ้านเราเถอะ ตอนนี้เราสามารถเข้ากันได้แล้ว พระองค์คือพ่อ ทำให้สำเร็จ เรียบร้อยแล้ว

            อ่านตรงนี้แล้ว ท่านนึกถึงความรู้สึกของพระเจ้า แล้วนึกถึงจิตใจของพระองค์ว่าพระองค์มีความห่วงใยและรู้สึกต่อมนุษย์บนโลกใบนี้อย่างไร? มนุษย์ทุกคนนะ ไม่ได้หมายถึงคริสเตียน นี่กำลังพูดถึงคนที่ไม่ได้เป็นคริสเตียน ยังไม่รู้เรื่องอะไร? ยังเป็นมนุษย์ธรรมดา อยู่ในความบาปอยู่  ไม่รู้จักพระเจ้า ทำชั่วมากมาย เยอะแยะไปหมดเลย ที่พระเยซูกระทำสิ่งนี้ให้กับเขา และให้ตัวแทนของพระองค์ คือมนุษย์ที่รู้แล้ว ก็คืออัครทูตกับทีมงาน  พูดสิ่งนี้ออกมาว่าความรู้สึกของพระองค์ว่าอย่างไร? …

            “พระเจ้ากำลังขอร้องพวกคุณ ผ่านทางเรา”

            เรา คือผู้ประกาศ คือเปาโลและทีมงาน 2,000 ปีที่แล้ว  พระเจ้าบอกว่าพระเจ้ากำลังขอร้องพวกคุณผ่านทางเรา และเราขอวิงวอนคุณแทนพระคริสต์ พูดง่ายๆ พระเจ้า พระบิดาขอร้องเรา และพระเยซูคริสต์ก็วิงวอนเรา พระบิดาขอร้อง พระบุตร พระเยซูผู้ที่ทำให้เราสำเร็จเรียบร้อยแล้ว คือตายเพื่อเราทั้งหลายที่ไม้กางเขน และเป็นขึ้นจากความตายนั้น วิงวอนเรา  … เรา คือมนุษย์ที่ยังไม่เชื่อ ที่ยังไม่ได้เป็นคริสเตียน ยังเป็นคนบาปอยู่ว่ากลับมาคืนดีกับพระเจ้าเถิด พอรู้ความจริงตรงนี้ ถามว่าพระเจ้าผู้ทรงสร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก ผู้ทรงยิ่งใหญ่สูงสุด มนุษย์ทุกคนรู้หมด  พอบอกคำว่า “พระเจ้า” ก็จะรู้จัก ไม่ว่าจะเป็นคริสเตียนหรือไม่เป็นคริสเตียน ตั้งแต่ยุคไหนก็ตาม กี่พันปีมาแล้วก็ตาม พอบอกพระเจ้า ทุกคนสยบหมด ไม่ว่านับถือศาสนาอะไรก็ตาม พอบอกว่าพระเจ้า จบเลย ทั้งที่ไม่รู้จักพระองค์หรอก แต่คำว่าพระเจ้า มีนามเดียว  มีผู้เดียว

            พอบอกว่าพระเจ้า ทุกคนบนโลกนี้รู้ว่าเป็นผู้ที่ทรงฤทธานุภาพอำนาจยิ่งใหญ่สูงสุด ผู้ทรงสร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก ผู้ทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งหลาย ทุกสิ่งที่มองเห็นและมองไม่เห็นทั้งหมดเลย ผู้ครอบครองทุกอย่าง นี่แหละคือพระเจ้า และนี่เรากำลังพูดว่ากลับมาคืนดีกับพระเจ้าเถิด ใครขอร้อง? พระเจ้าที่เราบอกว่ายิ่งใหญ่สูงสุด ตั้งแต่กี่พันปีมาแล้ว พระเจ้าผู้นี้กำลังขอร้องเรา มนุษย์ตั้งแต่กี่พันปีมา มีแต่ร้องขอพระเจ้า เป็นลูกช้างเอย เป็นคนบาปเอย คลานเข้าไปเป็นทาส มาเจอพระเจ้าไม่กล้าเงยหน้าขึ้นเลย  แต่ตอนนี้กลับกัน พระเจ้าที่เราบอกยิ่งใหญ่ ที่เราตัวสั่นงันงก ไม่กล้าเข้าไป  กำลังขอร้องเรา  ท่านตอบสิ ท่านเชื่อไหม?

            ตามความรู้สึก  ตามความคิด ตามความเข้าใจของมนุษย์ ไม่มีทางที่จะเชื่อ แต่ถ้อยคำพระเจ้าเขียนไว้อย่างนี้ ท่านจะนมัสการพระเจ้าด้วยจิตวิญญาณและความจริงหรือไม่? พระเยซูถาม ถ้าท่านนมัสการพระเจ้าด้วยจิตวิญญาณและความจริง ก็คือยอมถ่อมใจ ยอมจำนน เชื่อฟังต่อความจริง คือถ้อยคำพระเจ้าที่บันทึกเอาไว้  ดั่งเป็นทาสเลย

            “ไม่รู้ล่ะ ฉันไม่เข้าใจ ไม่มีเหตุผล ไม่มีความรู้สึก แต่ถ้อยคำพระเจ้าเขียนไว้อย่างนี้ ฉันก็นมัสการพระเจ้า ฉันจะยอมรับความจริงเหล่านี้ เชื่อตามนี้ ก็คือพระเจ้ากำลังง้อฉัน”

            ใครง้อใครเนี้ย? พระเยซูคริสต์วิงวอนต่อมนุษย์ ไม่ใช่ต่อคริสเตียนนะ ต่อมนุษย์ที่เป็นคนบาป  ท่านที่กำลังเดินอยู่นี้ หรือท่านที่กำลังเคยเดินอยู่ บนโลกใบนี้ ที่ทำชั่ว ทำบาป ทำอะไรเยอะแยะมากมาย  เรารู้ตัว ทำอะไรเยอะแยะมากๆ ในชีวิต  แต่พระเจ้าผู้บริสุทธิ์ ผู้ยิ่งใหญ่สูงสุด กำลังง้อเรา …

            “ขอร้องนะ กลับมาหาเราเถิด”

            พระเยซูกำลังวิงวอนท่าน สมมติว่าเป็น Mr.X ที่ยังไม่รู้จักพระเจ้า ยังทำบาปมากมาย ยังไม่ได้เป็นคริสเตียน พระเยซูกำลังวิงวอนอธิษฐานว่า …

            “X เอ๋ย กลับบ้านเถิด เชื่อเรานะ เปิดใจต้อนรับเรา เปิดใจต้อนรับข่าวประเสริฐ เปิดใจต้อนรับความจริงเรื่องนี้เถิด กลับบ้านเราเถิด เราจะเข้าไปช่วยเจ้า”

            นี่ใครง้อใคร? พระเจ้าง้อมนุษย์ เหมือนกับพระเยซูยกตัวอย่างอุปมาเรื่องบุตรน้อยหลงหาย นี่ยิ่งชัดใหญ่เลย พระเจ้าเฝ้ารอวัน รอคืน ออกมานอกบ้าน เดินออกมาริมถนนตลอด เมื่อไรลูกจะกลับมาสักที ลูกหลงหาย หนีออกจากบ้านไป ตอนนี้ตกระกำลำบาก แย่มากในชีวิต เมื่อไรลูกจะกลับมาสักที เตรียมของ เตรียมอะไรไว้เยอะแยะ ทรัพย์สมบัติเยอะแยะไว้ในบ้าน ชะเง้อมองดูลูกตลอด ใครง้อใคร? ลูกก็ไปเที่ยวเตร่จนกระทั่งหมดเงิน หมดอะไรต่างๆ จนไม่ไหวแล้ว อยากจะกลับบ้าน แต่ไม่กล้ากลับ เพราะรู้ว่าตัวเองทำชั่วไว้ ทำบาปไว้  ทำสิ่งที่ไม่ดีไว้ กลับไป พระเจ้าจะเฆี่ยนตี พระองค์จะลงโทษ คงโกรธน่าดูเลย เรามันเลว ขณะที่ลูกคิดอย่างนั้น พ่อที่อยู่ที่บ้านไม่ได้คิดเลยแม้แต่นิดหนึ่ง ว่าจะลงโทษอะไร? คิดอย่างเดียวว่าเมื่อไรจะกลับมา กลับมาจะเลี้ยงใหญ่โตเลย จะมีทรัพย์สมบัติให้ ลืมหมดแล้ว ไม่ได้จดจำเลยว่าลูกไปทำอะไรผิดมา ไม่สนใจทั้งสิ้นเลย ถามว่าใครง้อใคร? พระเจ้าง้อมนุษย์นะ

            และท่านทั้งหลายที่นั่งอยู่ที่นี่ และฟังอยู่ทางบ้าน ส่วนใหญ่แน่นอน เป็นคริสเตียนแล้ว เป็นลูกของพระเจ้าแล้ว ได้บังเกิดใหม่แล้ว มากกว่านั้นสักเท่าใด ที่พระเจ้ายิ่งง้อเราใหญ่เลย พูดคำนี้ไป นักศาสนาทั้งหลายสะดุ้งเลย ผมพูดเกินไปไหม? ไม่เกิน ท่านคิดดู พระคัมภีร์เขียนไว้อย่างนี้ ขนาดคนบาป ยังไม่ได้กลับใจใหม่ ยังง้ออย่างนี้เลย แล้วท่านเป็นคริสเตียนแล้ว พระเจ้าจะไม่ดูแลท่านมากกว่านี้หรือ? ตอนนี้ท่านเป็นคริสเตียน พระเจ้าสถิตอยู่กับท่าน อยู่ภายในท่านแล้ว ท่านนมัสการพระองค์ด้วยจิตวิญญาณและความจริงแล้ว ท่านดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ พระองค์สถิตอยู่กับท่าน พระองค์จะไม่รักท่าน จะไม่ดูแลท่านยิ่งกว่าไข่ในหินหรือ? ถูกไหม? ถูกสินะ ดูแลท่านยุงไม่ให้ไต่ ไรไม่ให้ตอม เฝ้ามองตลอด อย่านะ อย่าร้องไห้นะ  ร้องไห้ปั๊บ จะกุลีกุจอหาอะไรต่างๆ ที่จะเข้าไปช่วยว่าเขาร้องเพราะอะไร? เขาร้องเพราะว่าป่วยหรือเปล่า? ร้องเพราะว่าหิวนม ร้องเพราะว่าต้องการความอบอุ่น ร้องเพราะอากาศไม่ดี ร้องเพราะมดกัด ยุงกัด นี่พระเจ้าง้อเราขนาดนั้น และรักเราขนาดนั้น พระคัมภีร์เขียนไว้อย่างนั้นจริงๆ พระองค์จึงเขียนไว้ว่าพระองค์ทรงรักเราดั่งแก้วตาดวงใจของพระองค์ ปีใหม่แล้ว ปีนี้ ฝังความคิดและความจริงนี้ เข้าไปอยู่ในจิตใจของเรา นี่คือความจริง นี่คือถ้อยคำพระเจ้า ซึ่งเราไม่รู้สึก เราไม่เข้าใจ เราคิดไม่ถึง หาเหตุผลไม่ได้ว่าทำไมรักเรามากขนาดนี้ แต่ให้เราทำอย่างเดียว คือนมัสการพระเจ้าด้วยจิตวิญญาณและความจริง ก็คือยอมจำนน เชื่อในถ้อยคำพระเจ้า เหมือนดั่งเป็นทาสเลย ไม่รู้ฉันจะเชื่อลูกเดียว กลับมาคืนดีกับพระเจ้า ด้วยวิธีใด ตะกี้เราอ่านแล้ว 2 โครินธ์ 5:21 บันทึกไว้อย่างนี้ว่า …

        2 โครินธ์ 5:21 “พระเจ้าทรงกระทำพระองค์ ผู้ปราศจากบาป ให้เป็นบาป เพื่อเรา เพื่อในพระองค์ เราจะกลายเป็นความชอบธรรมของพระเจ้า

            เหลือเชื่อ แต่ไม่ยากในการที่จะยอมจำนน แล้วยอมรับความจริงนี้ ดั่งเป็นทาส พระเยซูคริสต์เป็นพระเจ้า พระบุตร กลายสภาพลงมาเป็นมนุษย์ เข้าส่วนร่วมลักษณะของมนุษย์ เป็นสมาชิกคนหนึ่งในครอบครัว เผ่าพันธุ์มนุษย์ในโลกนี้ นี่คือความหมายของเมื่อตะกี้นี้ ที่เราอ่านร่วมกัน แล้วพอมาเป็นสมาชิกคนหนึ่งในครอบครัวของมนุษย์ในโลกนี้แล้ว แล้วทำอะไร? เป็นตัวแทนของเรา รับบาปแทนพวกเราหมดเลย เพื่อมนุษย์จะได้กลายสภาพมาเกิด เป็นบุตรพระเจ้า “พระ” เป็นคำยกย่องที่คนไทยใส่เข้าไป จริงๆ ไม่มีคำว่าพระในภาษาเดิม เป็นคำยกย่อง เพื่อมนุษย์จะได้กลายสภาพมาเกิดใหม่ เป็นลูก หรือเรียกว่าเป็นบุตรของพระเจ้า เข้าส่วนในพระลักษณะของพระเจ้า เป็นสมาชิกคนหนึ่งในครอบครัวของพระเจ้าในสวรรค์ ที่เรียกว่าผู้ชอบธรรม ธรรมิกชนของพระเจ้า พลเมืองสวรรค์

            นี่คือความหมายของเมื่อสักครู่นี้ พระเจ้า พระเยซูคริสต์มาเกิดเป็นมนุษย์ เข้ามาเป็นส่วนร่วม เป็นสมาชิกคนหนึ่งในครอบครัวของมนุษย์ เพื่อให้มนุษย์กลายสภาพมาเกิดใหม่ เป็นบุตรของพระเจ้า เข้าส่วนร่วมในพระลักษณะของพระเจ้า

            เข้าส่วนร่วมในพระลักษณะของพระเจ้า หมายถึงมีชีวิตนิรันดร์เหมือนพระเจ้า  เป็นชีวิตนิรันดร์เหมือนพระเจ้า มนุษย์นี่นะ สามารถเป็นเหมือนพระเจ้าได้ พระคัมภีร์เขียนไว้อย่างนั้น แล้วจะให้ทำอย่างไรล่ะ รู้สึกไหม? ไม่รู้สึก เข้าใจไหม? ไม่เข้าใจ ใช้เหตุผลของมนุษย์ได้ไหม? ไม่ได้ ถ้าใช้เหตุผลของมนุษย์น่าเชื่อไหม? ไม่น่าเชื่อ ถ้าใช้จิตวิญญาณสามารถทำได้ จิตวิญญาณ คือยอมจำนน ยอมรับความจริงตามถ้อยคำพระเจ้าที่บันทึกเอาไว้ เมื่อบันทึกอย่างนี้ ฉันก็เชื่ออย่างนี้ เหมือนดั่งทาส

            พระเยซูคริสต์เป็นพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์ เพื่อเป็นตัวแทนของเรา มนุษยชาติบนโลกใบนี้ที่ตายอยู่ในบาป สกปรกในวิญญาณ จิตใจและการกระทำ ให้มาสู่ความชอบธรรม เกิดใหม่ ในความบริสุทธิ์  ดีพร้อมของพระเจ้า เหมือนพระเจ้า ด้วยการสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน เพื่อมนุษย์ทั้งหลาย จะได้สามารถตายร่วมกับพระองค์ ที่ไม้กางเขน เพื่อสามารถเป็นขึ้นมาใหม่ ในวันที่ 3 พร้อมพระองค์ได้ ถ้าเราไม่ตาย  เราก็ไม่สามารถเป็นขึ้นจากความตาย พระเยซูเป็นตัวแทนของเรา เมื่อเราเปิดใจต้อนรับพระเยซู หมายถึงต้อนรับพระองค์เป็นตัวแทน พระเจ้าจะนำเราเข้าไปอยู่ในพระเยซูคริสต์ เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์ ที่ตะกี้นี้บอก เพราะว่าเราสามารถเข้ากับพระเจ้าได้ ด้วยวิธีนี้ คือพระเจ้าเอาวิญญาณเก่าของเราที่ตายแล้ว อยู่ในบาป สกปรกนั้น เข้าไปเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเยซูคริสต์ที่ไม้กางเขน แล้วตายพร้อมพระองค์ที่ไม้กางเขน และเมื่อพระองค์ทรงเป็นขึ้นจากความตายในวันที่ 3 เราที่ตายอยู่ในพระเยซูคริสต์ เราก็ได้เกิดพร้อมกับพระเยซูคริสต์ เพราะเราอยู่ในพระเยซูคริสต์ พระเยซูคริสต์เป็นตัวแทนของเรา พระเยซูคริสต์เป็นขึ้นจากความตาย เราก็เป็นขึ้นจากความตายด้วย พระเยซูคริสต์นั่งอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้าในสวรรคสถาน เราก็นั่งอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้าในสวรรคสถานร่วมกับพระเยซูคริสต์ด้วย หมายถึงอย่างนี้

            สามารถเข้าใจไหม? ไม่เข้าใจ สามารถใช้เหตุผลได้ไหม? ไม่สามารถ สามารถคิดถึงได้ไหมว่ามันใช่? ไม่สามารถ แต่บันทึกไว้อย่างนี้หรือเปล่าในพระคัมภีร์ ตอบว่าเอเมน เพราะฉะนั้น ฉันยอมรับ จำนน เชื่อในความจริงเหล่านี้ และเมื่อมนุษย์ หรือเราที่เปิดใจต้อนรับความจริงเหล่านี้ เมื่อเราเป็นขึ้นจากความตาย คือบังเกิดใหม่  เราก็บริสุทธิ์ดีพร้อมเหมือนพระเยซูไง เห็นอะไรบางอย่างไหม? พระคัมภีร์บันทึกไว้อย่างนี้ชัดเจนเลย พอเป็นเหมือนพระเยซูคริสต์สะอาดบริสุทธิ์ ดีพร้อม ก็สามารถเข้ากับพระเจ้าได้แล้วคราวนี้ จากน้ำมัน ถูกเปลี่ยนกลายเป็นน้ำแล้ว  แรกๆ เป็นน้ำมันอยู่ ใส่ลงไป ก็ไม่มีทางที่เข้าได้ เรายังเป็นความมืดอยู่ ใส่เข้าไป ก็อันตรธานหายไป ไม่สามารถเข้ากับความสว่างได้ แต่ตอนนี้สารเคมีเปลี่ยนไปแล้ว ตรงกันแล้ว เข้ากันได้แล้ว เข้าร่วมเป็นหนึ่งเดียวกันได้กับพระเจ้า เรียกว่าการกลับคืนดีกับพระเจ้านั่นเอง กลับคืนดีกันแล้ว โดยพระเยซูคริสต์

            มนุษย์สามารถจะกลับคืนดีกับพระเจ้าได้แล้ว น้ำกับน้ำมันเข้ากันไม่ได้ แต่พระเยซูคริสต์มาทำให้น้ำมันนั้น กลายเป็นน้ำแล้ว สามารถเข้ากันได้ ความบริสุทธิ์เข้ากับบาปไม่ได้ แต่พระเยซูคริสต์เอาบาปออกไปจากมนุษย์แล้ว ทำให้มนุษย์บริสุทธิ์เหมือนพระองค์เลย ก็เลยสามารถที่จะเข้ากับพระเจ้าได้ เพราะบริสุทธิ์เหมือนกัน เราเป็นความมืดมาก่อน แต่พระเยซูคริสต์ทำให้เรากลายเป็นแสงสว่างเหมือนพระองค์ พระเจ้าเป็นความสว่าง เราก็เลยสามารถเข้ากับพระเจ้าได้  เป็นแสงสว่างเหมือนกัน และเมื่อพระเยซูคริสต์ได้กระทำการงานนี้สำเร็จเรียบร้อยแล้วบนไม้กางเขน ประมาณ 2,023 ปีที่แล้ว พระเจ้าจึงเฝ้าประกาศ ขอร้อง ให้มวลมนุษยชาติกลับคืนดีกับพระองค์ ผ่านทางพระบุตร คือพระเยซูคริสต์ ที่พระองค์ทรงกระทำสำเร็จแล้ว ส่งพระเยซูคริสต์มา เพื่อที่จะทำให้เราสามารถที่จะบริสุทธิ์ สะอาด ดีพร้อม ที่จะกลับคืนสู่พระเจ้า เข้ากับพระเจ้าได้ เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเจ้า เข้าสวรรค์ได้นั่นเอง แล้วพระเจ้าก็จะถามท่าน นี่มนุษย์แต่ละคนนะ ตะกี้นี้พูดถึงเผ่าพันธุ์มนุษย์  พระเจ้าก็จะถามมนุษย์ทุกคน แต่ละคนด้วยความรักห่วงใยว่า …

            “ลูกเอ๋ย เมื่อลูกได้ยินอย่างนี้แล้ว ลูกกลับคืนดีกับพ่อได้ไหม? โอเคไหม? โอเคนะ?”

            เคยนึกถึงภาพ พยายามคิดถึงคนง้อกันเขาจะพูดว่าอย่างไร? … “หยวนๆ น๊า ลืมๆ ไปเถอะ”

            ลืมอะไร? “ลืมที่ลูกเคยทำบาปมาทั้งหมด ที่ลูกเคยไม่เข้าใจทั้งหมด ลืมๆ มันไปซะ กลับมาหาพ่อเถอะ”

            พระเจ้ากำลังพูดกับท่านในวันนี้แหละท่านเชื่อหรือไม่? และท่านโอเคไหม? ยอมกลับมาคืนดีกับพ่อไหม? พระเจ้ามาเกิดเป็นมนุษย์  เพื่อมนุษย์จะได้เกิดใหม่ มาเป็นบุตรของพระเจ้านั่นเอง พูดสั้นๆ พระเจ้ามาเกิดเป็นมนุษย์ ชื่อพระเยซูคริสต์ ทำให้มนุษย์คนหนึ่ง ใครก็ได้ เชื่อในพระเยซูคริสต์ กลายมาเป็นบุตรของพระเจ้า พระเยซูคริสต์มาเกิดเป็นสภาพมนุษย์  ทำให้มนุษย์สามารถเกิดใหม่ มีสภาพเป็นบุตรของพระเจ้า จริงๆ ก็คือมีสภาพ ไม่ได้เป็นพระเจ้านะ แต่มีสภาพเป็นชีวิตนิรันดร์ ที่เกิดใหม่จากพระเจ้า ชีวิตนิรันดร์เหมือนพระเจ้าเลย แต่เราไม่ใช่พระเจ้า เราก็เป็นผู้ที่ถูกสร้างขึ้นใหม่ เหมือนกัน เหมือนเดิม พระเจ้าก็คือผู้ที่พระองค์ทรงเป็น ไม่มีใครสร้างพระองค์ พระองค์ทรงเป็น ตั้งแต่เริ่มต้นพระองค์ก็ทรงเป็น พูดง่ายๆ มนุษย์ถึงแม้จะเป็นบุตรพระเจ้า แต่เราไม่ใช่พระเจ้า เราเป็นวิญญาณที่มาจากพระเจ้า เป็นวิญญาณที่มี DNA ฝ่ายวิญญาณ มียีนส์ฝ่ายวิญญาณเหมือนพระเจ้า เรียกว่าบุตรพระเจ้านั่นเอง โรม 5:9-11 บันทึกไว้อย่างนี้ว่า …

        โรม 5:9-11 “9 เพราะฉะนั้น เมื่อเราถูกชำระให้ชอบธรรมแล้ว โดยพระโลหิตของพระองค์ ยิ่งกว่านั้น เราจะพ้นจากพระพิโรธของพระเจ้า โดยพระองค์ 10 เพราะว่าถ้าขณะที่เรายังเป็นศัตรูต่อพระเจ้า เราได้กลับคืนดีกับพระองค์ โดยที่พระบุตรของพระองค์สิ้นพระชนม์ ยิ่งกว่านั้นอีก เมื่อกลับคืนดีแล้ว เราก็จะรอด โดยพระชนม์ชีพของพระองค์ 11 ไม่ใช่เพียงเท่านั้น เรายังชื่นชมยินดีในพระเจ้า โดยทางพระเยซูคริสต์ องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา ผู้ทรงเป็นเหตุให้เรากลับคืนดีกับพระเจ้า”

            “เพราะฉะนั้น เมื่อเราถูกชำระให้ชอบธรรมแล้ว” ด้วยอะไร? “ด้วยพระโลหิตของพระองค์ ที่หลั่งที่ไม้กางเขน ยิ่งกว่านั้น เราจะพ้นจากพระพิโรธของพระเจ้า โดยพระองค์”

            พ้นจากพระพิโรธ ก็คือพ้นจากการเป็นศัตรูของพระเจ้า พระพิโรธ ก็อย่างที่ตะกี้นี้บอก น้ำกับน้ำมันเข้ากันไม่ได้ น้ำมันเด้งออกๆ น้ำเกิดพระพิโรธกับน้ำมัน เข้ากันไม่ได้ มันหมายถึงอย่างนั้น  เราเป็นความมืด เราไม่สามารถเข้ากับพระเจ้าได้  แสงสว่าง พิโรธ ความมืดมากเลย เจอความมืดไม่ได้เลย พิโรธมาก เอาไฟฉายส่องไปที่มืด อะไรหายไป? ความมืดหายไป เพราะแสงสว่างเกิดความโกรธเกรี้ยว เกิดความพิโรธต่อความมืดมาก มันหมายถึงอย่างนั้น

            “เพราะว่าขณะที่เราเป็นศัตรูกับพระเจ้า” ก็คือเราเข้ากับพระเจ้าไม่ได้ ขณะที่เราเป็นความมืด เป็นคนบาป  อยู่ในความบาป อยู่ในความสกปรกเข้ากับพระเจ้าไม่ได้ เราได้กลับคืนดีกับพระองค์ โดยพระบุตรของพระองค์ ผู้ทรงสิ้นพระชนม์ ก็คือการสิ้นพระชนม์ของพระเยซูคริสต์ ทำให้เราเข้ากับพระเจ้าได้ เข้ากับพระเยซูได้ เมื่อกลับคืนดีกันแล้ว เราก็จะรอด โดยพระชนม์ชีพของพระองค์ คือกลับคืนดีกัน เราก็ได้บังเกิดใหม่ เข้ามาเป็นบุตรของพระเจ้า

            “ไม่ใช่เท่านั้น เรายังชื่นชมยินดีในพระเจ้า โดยทางพระเยซูคริสต์ องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา ผู้ทรงเป็นเหตุให้เรากลับคืนดีกับพระเจ้า” ใครเป็นเหตุให้เรากลับคืนดีกับพระเจ้า? พระเยซูคริสต์ผู้ทรงเป็นพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์  เจ้าของคริสตมาสนั่นเอง

            “โดยทางพระเยซูคริสต์ องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา ผู้ทรงเป็นเหตุให้เรากลับคืนดีกับพระเจ้า” นี่คือทรัพย์สมบัติอันล้ำค่าที่สุดของชีวิตของมนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้ ก็คือการได้กลับคืนดีกับพระเจ้า เข้ากันกับพระเจ้าได้ คือสิ่งที่มนุษย์ต้องการมากที่สุด มนุษย์ไม่รู้ แต่โดยการประพฤติมนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้  ไม่ว่าจะรู้จักพระเจ้าหรือไม่รู้จักพระเจ้า จะมีในใจอย่างนี้ ต้องการจะกลับไปหาพระเจ้า ในใจของเขาเรียกร้องสิ่งเหล่านี้แหละ เพียงแต่เขามาถูกทางไหมเท่านั้นเอง  คือการกลับคืนดีกับพระเจ้า  กลับเข้าไปหาพระเจ้า ผู้ทรงสร้างเขา เพื่อจะได้เข้ากันได้กับพระองค์  นี่คือสิ่งที่เขาต้องการ ก็คือการบังเกิดใหม่ เข้าไปอยู่ในสวรรค์ เป็นครอบครัวเดียวกับพระเจ้า นี่คือสิ่งที่มนุษย์ต้องการทั้งหมด จึงเป็นสิ่งที่มีค่า ล้ำค่าที่สุด ที่มนุษย์ต้องการ  ก็คือการได้เข้าสู่สวรรค์ บังเกิดใหม่ และสามารถเข้าไปอยู่ในสวรรค์ได้ทันที มนุษย์ก็อยากได้ทันที เดี๋ยวนี้เลย มนุษย์ทุกคนอยากอยู่ในสวรรค์เดี๋ยวนี้แหละ และพระเจ้าทำให้เสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็คือทำให้มนุษย์กลับคืนดีกับพระเจ้า เข้ามาอยู่กับพระเจ้าในสวรรค์สถาน บังเกิดใหม่ เป็นลูกของพระเจ้าได้ทันที ไม่ต้องรอให้ตายก่อน ถ้าตายก่อน มันช้าไปแล้ว นี่พิสูจน์ได้ทันทีเลย  และพอบังเกิดใหม่แล้ว แค่นั้นยังไม่พอ  ได้เข้าสู่สวรรค์ทันที แค่นั้นยังไม่พอ กลับคืนดีกับพระเจ้าทันทีแล้ว แค่นั้นยังไม่พอ เขาคนนั้น ขณะที่ดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้  พระเจ้าเข้ามาสถิตอยู่ในเขา จะเป็นผู้นำพาชีวิตของเขา จากภายใน ไปจนกระทั่งถึงหมดลมหายใจ ทิ้งร่างกายเดิม แล้วรับร่างกายใหม่ คือร่างกายสวรรค์ที่พระเจ้าจัดเตรียมไว้ให้กับเขา ผู้นั้นที่กลับคืนดีกับพระเจ้า  ตอนอยู่บนโลกนะ  และจะอยู่กับผู้นั้น ลูกๆ ของพระองค์ที่อยู่ในสวรรค์นั้นนิรันดร์  ขณะดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ ก็อยู่แล้ว แล้วก็จะอยู่กับเขา หลังจากความตายก็จะอยู่กับเขาในสวรรค์นิรันดร์ บันทึกไว้ในพระคัมภีร์อย่างนี้ เข้าใจไหม? ไม่เข้าใจ มีเหตุผลไหม? ไม่มีเหตุผล มีหลักฐานตามภาษามนุษย์ไหม? ไม่มี จับได้ไหม? ไม่ได้ มองเห็นไหม? ไม่เห็น แต่ต้องใช้อะไร? นมัสการพระเจ้าด้วยจิตวิญญาณและความจริง ก็คือยอมถ่อมตนยอมรับว่านี่คือถ้อยคำพระเจ้า ตรงนี้คือความจริง ฉันยอมรับความจริงตรงนี้ เชื่อความจริงตรงนี้ เหมือนดั่งเป็นทาส เราไม่ใช่เป็นทาสนะ แต่เหมือนดั่งเป็นทาส

            และเมื่อเราได้กลับคืนดีกับพระเจ้า ได้มาเป็นลูกของพระเจ้าแล้ว เราก็สามารถที่จะฝากทุกเรื่องไว้ที่พระองค์ได้แล้ว หายเหนื่อยและเป็นสุข ในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ไม่ว่าจะต้องการวัตถุสิ่งของอะไรบนโลกใบนี้  ที่จำเป็นในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้  หรือเรื่องอะไรต่างๆ ที่จำเป็นในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ไม่มีความสุข อุปสรรคปัญหาใดๆ ต่างๆ ยกออกจากจิตใจ ยกออกจากชีวิตของเราได้เลย มอบภาระทั้งหมดนี้ไว้ให้กับพระเจ้า ผู้ยิ่งใหญ่สูงสุด ที่เราเคยบอกว่าพระองค์ทรงสร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก อยู่ไกลเหลือเกิน ตอนนี้อยู่ในเรา เดินอยู่กับเราทุกวันๆ ไม่ต้องไปวัด  ไม่ต้องไปวิหาร ไม่ต้องไปโบสถ์  ไม่ต้องไปที่ไหนก็ได้ เพราะพระเจ้า ไม่ได้อยู่ที่โน่น ที่โน่นมีประโยชน์ ก็คือเรามาร่วมกันศึกษาถ้อยคำพระเจ้า มาหนุนจิตใจ ตามภาษามนุษย์ มาสังสรรค์กัน  แต่เราสามารถฝากฝังกับพระเจ้า พูดคุยกับพระเจ้าได้ทุกหนทุกแห่ง ทุกที่ เพราะพระองค์ทรงอยู่กับเรา แม้ตอนที่เราหลับอยู่ พระองค์ก็อยู่ แล้วไม่หลับด้วย ตอนเราหลับ พระองค์ก็มองเราอยู่ เอเมนไหม?

            เพราะฉะนั้น เราสามารถฝากทุกเรื่องไว้ ไม่ว่าจะเรื่องอะไรก็ตาม ในปี 2023 วันนี้เป็นวันปีใหม่พอดีเลย ตั้งต้นชีวิตใหม่เลยว่า …

            “จากนี้ไป ไม่ว่าเรื่องอะไรก็ตาม ฉันจะฝากไว้ที่พระองค์” … เอเมนไหม? เหมือนเพลงที่เราร้อง

                        “แต่ข้ารู้จัก พระองค์ที่ข้าเชื่อ และเชื่อมั่นคงว่า พระองค์ทรงฤทธา

                        รักษา ซึ่งมอบไว้กับพระองค์ จนถึงกาลวันนั้นได้”

            กาลวันนั้น คือวันที่เราเข้าสู่สวรรค์จริงๆ ในโลกวิญญาณ พบกับพระเยซูหน้าต่อหน้า พบกับพระเจ้าหน้าต่อหน้า และจะอยู่กับพระองค์นิรันดร์กาลนั่นเอง

            เพราะอะไรเราถึงฝากกับพระองค์ได้ทั้งหมด เพราะขณะนี้ ที่เรายอมรับความจริงนี้เรียบร้อยแล้ว เรากลับคืนดีกับพระเจ้าแล้ว เราได้เป็นลูกของพระเจ้า ที่บริสุทธิ์ ดีพร้อมตลอดไป ไม่ใช่ดีพร้อม เฉพาะตอนนี้ เดี๋ยวออกไปแดดร้อนๆ ขับรถหงุดหงิดๆ ไปว่าคนโน้นคนนี้ …

            “ฉันอยู่ในสวรรค์หรือเปล่า? ยังอยู่ไหม? มันคนละเรื่องกัน เพราะว่าฉันได้บังเกิดใหม่แล้ว เป็นลูกของพระเจ้าแล้วตลอดไป พระองค์ทรงยืนยันด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ ที่สถิตอยู่ในใจฉัน บอกฉัน ยืนยันกับฉันว่าฉันเป็นลูกของพระองค์ตลอดไป และพระวิญญาณก็อยู่ในฉันตลอดไปด้วยเช่นเดียวกัน เอเมน”

            เอเมน คืออะไร? เอเมน ก็คือนมัสการพระเจ้าด้วยจิตวิญญาณและความจริง ถูกไหม? ยอมรับความจริง เหมือนดั่งเป็นทาส เอเมน คือเมื่อฟังถ้อยคำพระเจ้าในพระคัมภีร์ เราก็บอกว่าเอเมน ก็คือโอเค ยอมรับ นมัสการ นี่คือถ้อยคำพระเจ้า

            สิ่งเดียวที่พระเจ้าต้องการจากเรา ก็คือเมื่อพระเจ้าเข้ามาสถิตอยู่กับเรา เราก็เป็นหนึ่งเดียวกับพระเจ้าแล้ว ก็คือเมื่อกลับคืนดีกับพระเจ้าเรียบร้อยแล้ว เราก็เพียงแต่ให้ความร่วมมือกับพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่สถิตอยู่ภายในเรา ที่จะคอยฝึกสอนเรา นำพาเราด้วยความรัก  ดังแก้วตาดวงใจ  ด้วยความรักที่ไม่มีเงื่อนไข ให้เราประพฤติตน ปฏิบัติตนให้สมกับเป็นลูกของพระเจ้า ได้สมกับกลับคืนดีกับพระเจ้า  ได้สมกับเป็นลูกแห่งความสว่าง สมกับเป็นลูกแห่งความดีงาม บริสุทธิ์ และดีพร้อม เหมือนพระเจ้าของเรา พระวิญญาณก็จะฝึกสอนเราทีละนิดทีละหน่อย ให้รู้การล่อลวงของมาร กิเลสตัณหาทางฝ่ายเนื้อหนัง  เราก็จะมีสติสัมปชัญญะ พระองค์จะทรงนำเราเหมือนเด็กเล็กๆ คนหนึ่ง ค่อยๆ สอนเราเตาะแตะ เตาะแตะไป

            เพราะฉะนั้น ในวันนี้ พระเจ้ากำลังถามว่า … พระเยซูกำลังถามว่าท่านเป็นคนหนึ่งหรือเปล่าที่กำลังเสาะแสวงหาอะไรบางอย่าง ท่านรู้หรือไม่ว่าพระเจ้ากำลังง้อท่านอยู่ กำลังเฝ้าตามหาท่าน ขอร้องให้ท่านกลับมาคืนดีกับพระองค์ กลับบ้าน ก็คือกลับเข้ามาอยู่ในสวรรค์ทันที บนโลกใบนี้เลย ที่ไหนก็ได้ ท่านสามารถกลับคืนดีกับพระเจ้าได้ทันทีเลย อยู่ตรงไหน ท่านก็สามารถกลับคืนดีกับพระเจ้าได้ ไม่ต้องมาที่วิหาร ไม่ต้องมาที่วัด ไม่ต้องมาที่โบสถ์  ไม่ต้องมาที่คริสตจักร ไม่ต้องมาหาศิษยาภิบาลก็ได้ พระเจ้าอยู่ทุกหนทุกแห่ง พระเจ้าแสวงหาคนนั้น  ที่ต้องการแสวงหาความจริงเหล่านี้ด้วยจิตวิญญาณและความจริง  พระองค์กำลังบอกท่านว่าให้ท่านกลับมาเป็นลูกของพระองค์เหมือนเดิม กลับมารับมรดกที่พระองค์ทรงเตรียมไว้ให้กับท่านเยอะแยะมากมายไปหมด  จงรับรู้ว่าในโลกนี้ ที่กำลังดำเนินอยู่นั้น มันแสนน่ากลัวและเต็มไปด้วยความมืด  ความทุกข์ยาก ปัญหาสารพัด และความตายที่มาอย่างปัจจุบันทันด่วน  อย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัว ซึ่งมันจะทำให้ท่านเสียโอกาส และมันสายไป ให้ท่านรับรู้ว่าพระเยซูคริสต์กำลังมองท่านอยู่ กำลังตามหาท่านอยู่ ด้วยความรัก ด้วยความห่วงใย และจดจ่ออยู่ที่ท่าน ท่านเพียงคนเดียว ฉันเพียงคนเดียว เพราะพระองค์ทรงเป็นพระเจ้า พระองค์ทรงอยู่ทุกหนทุกแห่งได้ เราคิดไม่ถึงหรอก  แต่พระคัมภีร์บอกไว้อย่างนั้นว่าพระเจ้าดูแลเราคนต่อคนเลย

            นี่เรากำลังพูดถึงคนที่ยังไม่เชื่อ ยังไม่กลับใจใหม่ ยังไม่ได้กลับมาคืนดีกับพระเจ้า  ยังไม่ได้เป็นคริสเตียน ท่านแต่ละคน พระเยซูกำลังเดินอยู่เคียงข้างท่าน เคาะประตูท่านแต่ละคนเลย

            สำหรับคนที่เป็นคริสเตียนแล้ว ก็เช่นเดียวกัน ท่านกำลังดำเนินชีวิต ท่านกำลังคิดว่าพระเจ้าอวยพรท่าน เหมือนกับคนอื่นอะไรต่างๆ เหล่านั้น แต่พระองค์บอก …

            “ไม่ใช่ ฉันอวยพรเธอ มีความสัมพันธ์ มีความรักต่อเธอ”

            เป็นเดี่ยวๆ มันลึกซึ้งมากกว่าเยอะ เพราะฉะนั้น สำหรับคนที่เป็นคริสเตียนแล้ว จงวางใจในพระเจ้า พระเจ้าสถิตอยู่กับท่าน ดำเนินอยู่กับท่านอย่างสนิทสนม คนต่อคนเลย  สำหรับคนที่ยังไม่ได้เป็นคริสเตียน พระเจ้ากำลังง้อท่านแต่ละท่าน ให้ท่านกลับมาคืนดีกับพระองค์เถิด ปีนี้จะเป็นปีทองของท่านเลย แล้วไม่ใช่ทองธรรมดา ทองตลอดไปเลย ไม่ใช่ปีเดียว ไปจนถึงนิรันดร์เลย คือกลับมาคืนดีกับพระเจ้าเถิด จงเชื่อและมั่นใจเถิดว่าพระเจ้ากำลังง้อท่านอยู่ ให้กลับมาคืนดีกับพระองค์ผ่านทางพระเยซูคริสต์ ซึ่งพระองค์ทรงกระทำสำเร็จแล้ว เอเมน ขอบคุณพระเจ้า พระเจ้าอวยพรครับ

***********************

จากใจคณะศิษยาภิบาล

            เพราะท่านได้บังเกิดใหม่ในพระคริสต์ พระคริสต์เป็นความรัก ท่านก็เป็นความรักด้วยเช่นกัน

            1 ยอห์น 4:17 … “ในการได้เข้าส่วนร่วมเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระคริสต์นี้ (คือการบังเกิดใหม่ในวิญญาณ) ความรัก (อากาเป้ แบบพระเจ้า) จึงได้เกิดขึ้น อย่างสมบูรณ์ครบถ้วนในตัวเรา (ทั้งวิญญาณและจิตใจ) เราจึงมีความมั่นใจในวันพิพากษา ที่เรามีความมั่นใจอย่างเต็มเปี่ยม ก็เพราะวิญญาณและจิตใจของเรา ขณะที่อยู่ในโลกนี้นั้น เป็นวิญญาณและจิตใจที่เหมือนกับวิญญาณและจิตใจของพระคริสต์”

            พระเยซูคริสต์จึงตรัสว่า …

            ยอห์น 13:34​ … “เราให้บัญญัติใหม่ไว้แก่เจ้าทั้งหลาย คือให้เจ้ารักซึ่งกันและกัน เรารักเจ้าทั้งหลาย (ด้วยวิญญาณและความจริงใจ) มาแล้วอย่างไร เจ้าจงรักกันและกันด้วยอย่างนั้น”

            เมื่อเราบังเกิดใหม่ ได้เป็นความรักเหมือนพระเจ้าแล้ว เราจึงแบ่งปันความรักที่เหมือนพระเจ้านี้ โดยธรรมชาติของวิญญาณ​และจิตใจใหม่ ที่พระเจ้าประทานให้​ ตอนบังเกิดใหม่ให้แก่คนอื่นได้  อย่างเป็นธรรมชาติ​ ไม่รู้สึกเป็นภาระหนัก เหมือนในอดีต​ก่อนบังเกิดใหม่ ที่ต้องพยายามรักผู้อื่น​ ในขณะที่วิญญาณและจิตใจข้างใน เป็นวิญญาณแห่งความเกลียดชัง เป็นศัตรูกับพระเจ้าผู้เป็นความรัก

            1 ยอห์น 5:3​ … “เพราะนี่แหละ​ เป็นความรัก  (ด้วยวิญญาณและความจริงใจ) ต่อพระองค์  คือที่เราทั้งหลายประพฤติตามพระบัญญัติของพระองค์  (ซึ่งใส่ไว้ในวิญญาณและจิตใจใหม่ของเราแล้ว) และพระบัญญัติของพระองค์นั้น (คือให้เรารักกันและกันด้วยวิญญาณและใจจริง)​ ไม่เป็นภาระ”

            ไม่เป็นภาระ  เพราะเป็นธรรมชาติใหม่ของตัวตนที่ได้บังเกิดใหม่แล้วในวิญญาณ  เป็นลูกของพระเจ้าเป็นความรักเหมือนพระเจ้า

วารสาร Holy  News   ฉบับที่ 1396

คำบรรยายคืนวันอาทิตย์ที่  25  ธันวาคม  2022

เรื่อง “ความจริง คือพระเยซูคริสต์เป็นพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์ ท่านเชื่อหรือไม่?” ตอน 2

โดย นคร  เวชสุภาพร

            เรามาพูดถึงวันคริสตมาสกัน จำอะไรไม่ได้ ขอให้จำวันนี้ได้ว่าสิ่งที่ได้กลับไป ก็คือวันคริสตมาส คือวันที่พระเจ้ามาเกิดเป็นมนุษย์ เทศกาลคริสตมาส เป็นเทศกาลพิเศษ ที่เรามาร่วมเฉลิมฉลองกัน คือช่วงเวลาที่พระเยซูคริสต์ พระบุตรของพระเจ้าได้ลงมาประสูติ เป็นมนุษย์

            นี่เป็นทางการของเทศกาลคริสตมาส ที่เริ่มต้นมา 2,000 ปีแล้ว คริสตมาส คือวันที่เขาระลึกถึงพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์ หัวข้อสำคัญที่สุดเลย จำอะไรไม่ได้ ง่ายๆ เลย …

            “พระเจ้ามาเกิดเป็นมนุษย์ ชื่อพระเยซู”

            ซึ่งความสำคัญของวันคริสตมาส ที่เป็นเหตุให้มีการเฉลิมฉลองกันทั่วโลก ก็คือพระเยซูคริสต์ ผู้มีสถานะเป็นพระเจ้า มาเกิดในสภาพมนุษย์ พระเยซูคริสต์ผู้เป็นพระเจ้า ในตำแหน่งพระบุตร อยู่ในสวรรค์ เป็นผู้สร้างสรรพสิ่งทั้งหลาย ยิ่งใหญ่สูงสุด ยอมสละสภาพพระเจ้า  มาเกิดเป็นมนุษย์ ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ คือสภาพพระเจ้ากับสภาพมนุษย์ สามารถรวมเป็นหนึ่งเดียวกันได้

            สภาพของพระเจ้ากับสภาพของมนุษย์ รวมกันเป็นหนึ่งเดียวกันได้ ซึ่งไม่เคยมีใครคิด และคิดก็ไม่ถึงด้วย  ความหมาย คือพระเยซูซึ่งมีสภาพ สถานะเป็นพระเจ้า ลงมามีสภาพเหมือนมนุษย์ ได้อย่างไร? ฉันใดมนุษย์บนโลกนี้ ก็สามารถมีสภาพเหมือนพระเจ้าได้ฉันนั้น

            พระเจ้าลงมาเกิดเป็นมนุษย์ได้อย่างอัศจรรย์ เราเอเมน ฮาเลลูยา มนุษย์อย่างเรา พระเจ้าก็สามารถยกเราขึ้นไปเทียบระดับพระเยซูคริสต์ได้อย่างนั้นเลย นี่คือหัวใจของคริสตมาส นี่คือความจริงในวันคริสตมาส ที่เขาระลึกถึงกัน เขาถึงฉลองกันมาถึงวันนี้ ฉลองแล้ว ฉลองอีก ก็เพราะว่าพระเจ้าทำการยิ่งใหญ่มาก นี่คือปรากฎการณ์ที่เกิดขึ้น ซึ่งเป็นผลมาจากวันคริสตมาสนั่นเอง คือวันที่พระเจ้า พระเยซูคริสต์มาเกิดเป็นมนุษย์ ซึ่งเหตุผลแค่นี้ ก็พอเพียงที่จะทำให้ผู้คนทั้งโลก เฉลิมฉลองเทศกาลคริตมาส เป็นการใหญ่โต มาเกือบ 2,000 ปีแล้ว เพราะว่ามันยิ่งใหญ่ขนาดนี้

            สิ่งที่เป็นความจริงนี้ จึงได้ถูกประกาศมา 2,000 ปีแล้ว ก็คือพระเจ้ากับมนุษย์มีสภาพเดียวกันได้อย่างไร? พระเจ้ากับมนุษย์มาอยู่ด้วยกันได้อย่างไร? เป็นไปได้อย่างไร? แต่มันก็เป็นไปแล้ว ในพระคัมภีร์ก็บอกไว้แล้วว่ามันบียอน ก็คือมันเหนือความคิดของมนุษย์ที่จะเข้าใจ เหนือสติปัญญามนุษย์ที่จะเข้าใจ เหนือตรรกะ เหตุและผลที่มนุษย์คิด เป็นไปไม่ได้เลย คิดก็ไม่ถึง พระเจ้าบอกว่าใช้จิตวิญญาณ แล้วท่านจะรู้ คือใช้ความเชื่อในจิตวิญญาณท่าน เหมือนเราทั้งหลายในที่นี้ ที่รู้แล้วว่าพระเจ้า คือพระเยซูคริสต์ เป็นพระเจ้าจริงๆ แล้วมาช่วยเราให้รอดได้จริงๆ นั่นเอง

            สิ่งที่บันทึกอยู่ในพระคัมภีร์ทั้งเล่ม ก็คือถ้อยคำพระเจ้าที่บอกเราถึงพันธสัญญาของพระเจ้า ที่บอกกับมนุษย์มาตลอดเวลายาวนานหลายพันปี ก่อนที่พระเยซูคริสต์จะมาเกิด สัญญากับมนุษย์ว่าพระเจ้าจะส่งพระบุตรของพระองค์ลงมาเกิดเป็นมนุษย์ ก็คือพระเยซูคริสต์ เพื่อทำให้พระเยซูคริสต์กับมนุษย์ สามารถมีสภาพเหมือนกันได้

            พระบุตรของพระเจ้า ลงมาเกิดเป็นมนุษย์ ชื่อพระเยซูคริสต์ สามารถทำให้มนุษย์ ที่เชื่อพระเยซูคริสต์เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์ได้ ก็คือเป็นเหมือนพระเจ้าที่เกิดเป็นมนุษย์ ก็คือพระเจ้ากับมนุษย์ เป็นบุคคลเดียวกันได้ จากเดิม ก่อนที่จะมีวันคริสตมาส ก่อนที่พระเยซูคริสต์จะมาเกิดบนโลกใบนี้นั้น มนุษย์ทั้งโลกมีสภาพเป็นคนบาป  สกปรกเข้ากับพระเจ้าไม่ได้เลย เป็นไปไม่ได้ ที่จะไปอยู่กับพระเจ้า มองพระเจ้าก็ไม่ได้  แตะต้องพระเจ้าก็ไม่ได้ เข้าหาพระเจ้าไม่ได้เลย ไม่สามารถติดต่อกับพระเจ้าได้เลย เพราะว่าเป็นคนบาป สกปรก และไม่สามารถที่จะอยู่ในสวรรค์กับพระเจ้าได้อย่างแน่นอน  เพราะว่าไม่บริสุทธิ์พอ

            วันคริสตมาส คือวันที่เป็นจุดเริ่มต้นในการเปิดสวรรค์ ให้มนุษย์สามารถเข้ามาเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเจ้าได้ โดยผ่านทางพระเยซูคริสต์ ผู้ทรงตายที่ไม้กางเขน  และเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่ 3 เป็นตัวแทนของมนุษย์ทั้งหลาย เพื่อว่ามนุษย์ทั้งหลาย ที่เชื่อและวางใจในพระองค์ จะได้เข้ารวมกับพระองค์ เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์ และพระองค์ก็มาสถิตอยู่กับเขาในใจ คริสตมาสก็จะเกิดขึ้นในใจของมนุษย์คนนั้น มนุษย์คนนั้นกับพระเยซูคริสต์ ก็เป็นหนึ่งเดียวกัน  พระเจ้าเข้ามาอยู่ในมนุษย์ และมนุษย์เข้าเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเจ้านั่นเอง วัน คริสตมาสจึงเป็นการเริ่มต้น การทำตามพันธสัญญาที่พระเจ้าสัญญาไว้ว่าจะไถ่มวลมนุษยชาติให้พ้นจากความบาป  ให้ได้รับการชำระให้สะอาดบริสุทธิ์ ปราศจากบาปใดๆ บริสุทธิ์ ดีพร้อมเหมือนพระเยซูคริสต์ และได้รับสถานะ คือเป็นบุตรของพระเจ้า เพราะพระเยซูเป็นบุตรของพระเจ้า มนุษย์ที่เชื่อพระเยซู และได้ถูกทำให้บังเกิดใหม่ ก็เป็นบุตรของพระเจ้าเช่นเดียวกัน  ได้รับฐานะให้เป็นบุตร นอกจากเป็นบุตรแล้วยังเป็นทายาท คือได้รับมรดก

            มรดก คือชีวิตหลังความตาย ร่างกายสวรรค์หลังความตาย  ที่เป็นเหมือนพระเยซูตอนเป็นขึ้นจากความตาย เป็นเหมือนกันเลย  และจะได้ครอบครองในสวรรคสถาน ครอบครองโลกใหม่ ที่พระเจ้าสร้างขึ้นใหม่ร่วมกับพระเยซู

            เพราะฉะนั้น ใครก็ตาม ที่ได้ต้อนรับพระเยซูคริสต์ พระคัมภีร์ได้บอกว่าคนที่ต้อนรับพระเยซูคริสต์ เขาจะได้รับการเปลี่ยนแปลง ก็คือได้รับการบังเกิดใหม่  คือตัวเก่าตายไป ตัวสกปรกตายไป  เกิดใหม่ เข้าไปอยู่ในสวรรค์ทันที กำลังเดินอยู่บนโลกใบนี้ ก็เข้าสู่สวรรค์ทันที

            หัวใจของคริสตมาส คือพระเจ้ามาเกิดเป็นมนุษย์ และมนุษย์สามารถกลับคืนดีกับพระเจ้า  เข้าไปเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเจ้าได้ พระเจ้าสถิตอยู่กับเราภายใน และพระองค์กระทำการงานอยู่ในร่างกายของเราขณะนี้  สำหรับเราทั้งหลายที่เป็นคริสเตียน ก็คือเป็นผู้ที่เชื่อแล้ว พระเจ้าอยู่ในตัวท่าน เป็นหนึ่งเดียวกันกับวิญญาณของท่าน ท่านอยู่ในสวรรค์แล้ว

            “ฉันอยู่ในสวรรค์แล้วจริงๆ”

            ถ้าในโลกใบนี้ ยังมีวันคริสตมาส เขาฉลองกันทั่วโลก มากขึ้นเรื่อยๆ ทุกปีๆ ยืนยันอีกอันหนึ่งว่า …

            “พระเจ้าอยู่ในฉันจริงๆ”

            แล้วจะอยู่ได้อย่างไร? … “ก็อยู่ร่วมกับวิญญาณของฉัน พระคัมภีร์บอกเป็นหนึ่งเดียวกัน วิญญาณฉันกับวิญญาณพระเจ้า พระเยซูคริสต์เป็นหนึ่งเดียวกันเลย”

            อยู่ในเราจริงๆ ต้องใช้อะไร? ใช้จิตวิญญาณของเราสัมผัส เราจะรู้ว่าพระเจ้าสถิตอยู่ในเรา และพระองค์นี่แหละ จะเป็นผู้นำพาชีวิตเราทุกอย่าง ทุกเรื่อง ไม่ว่าเราจะรู้สึกหรือไม่รู้สึก จะเห็นหรือไม่เห็น จะสัมผัสได้หรือไม่ได้ก็ตาม  แต่พระองค์ก็ทรงอยู่ที่นั่นแหละ ที่ไหน? ในใจของเรา  เพราะฉะนั้น จะทำอะไรก็ตามเป็นคริสเตียน นึกถึงในใจของเรา แล้วทำไปเลย ด้วยความเชื่อ จะคุยกับพระองค์ จะอธิษฐาน จะทำอะไรก็ตาม ให้รู้ว่า …

            “พระเจ้า คือพระคริสต์ อยู่ในฉัน และฉันก็อยู่ในพระคริสต์ เราเป็นหนึ่งเดียวกัน”

            คริสตมาสจะเกิดผลได้ ต่อเมื่อท่านรู้ตนเองว่า … “ฉันอยู่ในพระคริสต์ และพระคริสต์อยู่ในฉัน”

            ให้เราหลับตาลง ใช้จิตวิญญาณ ไม่ใช้ความรู้สึก ไม่ใช้ความคิด ไม่ใช่การวิเคราะห์หาเหตุและผล แต่เป็นความจริงตามถ้อยคำของพระเจ้าที่บันทึกไว้ในพระคัมภีร์ไบเบิ้ล และพระเยซูคริสต์เป็นผู้ประกาศเองว่าเราได้เชื่อในพระเจ้า วางใจในพระเยซูแล้ว พูดตามผมนะ …

            “บัดนี้ ฉันอยู่ในพระคริสต์ พระคริสต์อยู่ในฉัน เราเป็นหนึ่งเดียวกัน  วิญญาณพระคริสต์อยู่ในฉัน ฉันอยู่ในพระคริสต์ เราเป็นหนึ่งเดียวกัน”

            ให้หลับตาไว้ ใช้วิญญาณ ไม่ใช้ความคิด ไม่ใช้ความรู้สึก จะรู้สึกอะไรไม่สำคัญ ใช้จิตวิญญาณ … จิตวิญญาณใช้อย่างไร? คิดตามถ้อยคำพระเจ้า นั่นแหละจิตวิญญาณ คิดตามถ้อยคำพระเจ้า ไม่ใช่คิดตามเหตุผลของมนุษย์ คิดตามถ้อยคำพระเจ้า ที่ตะกี้ท่านพูดไป เป็นถ้อยคำพระเจ้าจากพระคัมภีร์ไบเบิ้ลทั้งสิ้น เป็นความจริง นั่นแหละ คือกำลังใช้วิญญาณ และตรงนี้แหละ คือหัวใจของคำว่าทำทุกสิ่งจากใจ ดำเนินชีวิตทุกอย่างจากใจ คือตรงนี้ รู้ว่า …

            “ฉันอยู่ในพระคริสต์ พระคริสต์อยู่ในฉัน เราเป็นหนึ่งเดียวกัน”

            ให้เวลาสำหรับพี่น้องที่ยังไม่ได้เป็นคริสเตียน ยังไม่ได้ต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นผู้ช่วยให้รอด ท่านสามารถใช้จิตวิญญาณของท่านเช่นเดียวกัน เริ่มต้นสนใจ วางใจในพระเยซู สามารถพูดเหมือนกับเราพูดอย่างนี้ เหมือนกันเลย …

            “ฉันอยากจะรู้ว่าพระเยซูเป็นใคร? ฉันอยากจะรู้ว่าคริสตมาสคืออะไร? คำว่าพระเจ้ามาเกิดเป็นมนุษย์ มาเรียกฉันกลับบ้านคืออะไร?”

            สามารถคุยอย่างนี้ จากความคิดของท่านได้  มันเกินกว่าความคิดของมนุษย์เข้าใจ แล้วสำหรับพี่น้องที่เป็นคริสเตียนแล้ว ผมอยากจะนำให้ท่านใช้เวลานี้ รู้ความจริงตรงนี้ ท่านอยากจะอธิษฐานอะไร? พูดกับพระเจ้าตอนนี้เลย ท่านต้องการอะไร? พระเจ้าสามารถทำให้ท่านได้ทุกสิ่ง  ไม่ใช่เป็นไปตามแผนการของเรา แต่เป็นไปตามน้ำพระทัย พระองค์ตอบทุกคำอธิษฐาน ตอบหมดเลย แต่อาจจะตอบไม่ตามที่เราต้องการ อาจไม่ตรงเวลาที่เราต้องการ  แต่พระองค์ไม่เคยมาสาย อาจจะตอบไม่เหมือนที่เราต้องการ  แต่ดีกว่าแน่นอน เพราะพระองค์ทรงรักเรา ให้เราอธิษฐานในใจ และฝึกฝนไปเลยว่านี่แหละ คือการเดินของลูกของพระเจ้า ที่เรียกว่าคริสเตียนด้วยความเชื่อ มีแค่นี้เอง ทุกสิ่ง ทุกอย่างอยู่ในการทรงนำของพระองค์ พระเจ้าสถิตอยู่กับเรา ภายในข้างในเราแล้ว ให้วันนี้ เป็นของขวัญอีกชิ้นหนึ่ง ที่พระเจ้าประทานให้กับเราในการฉลองคริสตมาสให้กับเราปีนี้ คือเรารู้ว่าเราเป็นใครในพระเยซูคริสต์ มั่นคงแข็งแกร่งในความเชื่อมากขึ้น ไม่พึ่งพาความคิดของตัวเอง ไม่พึ่งพาความรู้สึกของตนเอง ไม่พึ่งพาตรรกะเหตุผลของมนุษย์ แต่พึ่งพาในถ้อยคำของพระเยซูคริสต์เท่านั้น พระองค์ทรงสถิตอยู่กับเราจริงๆ ไม่ว่าเราจะรู้สึกหรือไม่รู้สึก ไม่ว่าเราจะคิดได้หรือคิดไม่ได้ก็ตาม ไม่ว่าจะอยู่ในสถานการณ์เช่นใดก็ตาม ไม่ว่าจะอยู่ในสถานการณ์ที่ดีหรือร้ายก็ตาม พระองค์ทรงอยู่กับเรา อยู่เคียงข้างเรา ในยามที่เราสุข พระองค์ทรงบินอยู่ข้างๆ เรา มองเราตลอดเวลา ในยามที่เราทุกข์ พระองค์จะซุกเราไว้ใต้ปีกของพระองค์ เราอาจจะไม่เห็นอะไรเลย แต่ในขณะนั้น พระองค์ทรงโอบกอดเราไว้อยู่ใต้ปีกของพระองค์ ให้เรามั่นใจตามนั้น ขอบคุณพระเจ้า พระเจ้าอวยพรครับ

*********************

จากใจคณะศิษยาภิบาล

            เปลี่ยนแปลงความคิด ให้เหมือนพระคริสต์ แล้วนิสัยจะเหมือนพระคริสต์

            โรม 12:1-2 … “1 พี่น้อง เพื่อเห็นแก่พระคุณความเมตตาของพระเจ้า ที่มีต่อเราทั้งหลาย  ข้าพเจ้าขอร้องท่าน ให้ยอมมอบอวัยวะทุกส่วนในร่างกายพร้อม (สมอง) ความคิดและสติปัญญาของท่านเป็นเหมือน (กับที่ได้รับการชำระแล้ว ด้วยพระคุณให้เป็น) เครื่องบูชาที่มีชีวิตอยู่  บริสุทธิ์สะอาดศักดิ์สิทธิ์  (เป็นสมบัติส่วนตัวของพระเจ้า ที่พระเจ้าสามารถรับได้ ) และเป็นที่โปรดปรานของพระเจ้า เป็นการกตัญญูต่อพระเจ้าที่สมควร ในวิญญาณของเรา  ที่ได้บังเกิดใหม่  โดยพระคุณพระเจ้า  ซึ่งเป็นการนมัสการพระเจ้าด้วยวิญญาณและความจริง 2 อย่ากระทำตามระบบของโลกนี้ (ซึ่งขัดแย้งกับทางของพระเจ้าในพระเยซูคริสต์) แต่มายอมรับการเปลี่ยนแปลง (โปรแกรมในสมอง) ความคิด  สติปัญญาแบบเดิมเสียใหม่  เพื่อท่านจะสามารถรับรู้ว่าอะไรที่เป็นความต้องการของพระเจ้า  อะไรที่ดี  อะไรที่ดียอดเยี่ยมสมบูรณ์แบบในสายตาของพระองค์  ตามแผนการของพระเจ้า (ในพระคริสต์) ที่วางไว้ให้กับท่าน (จะได้กระทำตามความคิดใหม่นั้น)”

            การดำเนินชีวิตของเรา   ซึ่งเป็นผู้เชื่อ  เรามีอยู่ 2 ทางให้เลือกเท่านั้น ทางหนึ่งเกิดประโยชน์  อีกทางหนึ่งให้โทษ  เราไม่สามารถเลือกกระทำทางที่ผิด   แล้วหวังผลที่เป็นประโยชน์ที่ดีได้ แม้ว่าเราจะได้รับความรอด  อยู่ในสวรรค์  เป็นลูกของพระเจ้าเรียบร้อยแล้วก็ตาม

            เราสามารถที่จะเลือก …

                   ➢ เชื่อพระวิญญาณ  เพื่อให้ได้รับผลที่เป็นพระพร ตามมา

                        ➢ หรือเลือกที่จะดับพระวิญญาณ เพื่อทำตามกิเลสตัณหาของเนื้อหนัง  แล้วรอรับ

                               ผลเสีย  คือความทุกข์ตามมา

            แต่ไม่ว่าเราจะเลือกทางไหนก็ตาม วิญญาณของเรา ก็ยังคงเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเจ้า พระเจ้ายังคงรักเราดังแก้วตาดวงใจ ยังคงอยู่ฝ่ายเรา คอยช่วยเราให้ได้ดีเสมอ

            จงจำไว้ว่าในโลกวิญญาณนั้น ด้วยความเชื่อในข่าวดีของพระเยซู เราได้เกิดใหม่แล้ว วิญญาณเราเชื่อมสนิทเป็นหนึ่งเดียวกันกับวิญญาณของพระเยซู เราเป็นอวัยวะชิ้นหนึ่งของร่างกาย ที่มีพระเยซูเป็นศีรษะ  ขอบคุณพระเจ้า

วารสาร Holy  News   ฉบับที่ 1395

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  25  ธันวาคม  2022

เรื่อง “ความจริง คือพระเยซูคริสต์เป็นพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์ ท่านเชื่อหรือไม่?” ตอน 1

โดย นคร  เวชสุภาพร

            วันนี้  เป็นวันคริสตมาส หัวข้อเรื่อง ก็คือ “ความจริง คือพระเยซูคริสต์เป็นพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์ ท่านเชื่อหรือไม่?” พระเยซูเป็นผู้ประกาศด้วยตัวของพระองค์เอง ไม่ใช่เรามาสรุปกันเองนะ พระองค์ประกาศด้วยตัวของพระองค์เอง ตอนที่มาเดินอยู่บนโลกใบนี้ ประกาศแก่มวลประชาชนในที่สาธารณะด้วย อย่างเปิดเผยชัดเจน มั่นใจเลยว่าพระองค์เป็นพระเจ้า พระบุตร ซึ่งสำคัญตรงที่ว่าพระบุตรพระเจ้า  พระเจ้าพระบุตร หมายถึงพระองค์เป็นพระเจ้า ในภาคของพระบุตร ที่พระเจ้าทรงสัญญาไว้ว่าจะทรงมาเกิดเป็นมนุษย์ เพื่อช่วยเหลือมนุษย์ ให้รอดพ้นจากความบาป ความพินาศ หลังความตาย ประกาศให้เชื่อและวางใจพระองค์ว่าพระองค์เป็นพระเจ้าจริงๆ พูดอย่างนี้เลยนะ พระองค์เป็นพระเจ้าจริงๆ  เพราะฉะนั้น หัวใจของคริสตมาส คือพระเยซูเป็นพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์จริงๆ นี่คือหัวใจของข่าวประเสริฐ วันคริสตมาส ถ้าบอกว่า Merry Christmas หรือพูดถึงคริสตมาสเมื่อไร? ต่อไปนี้ ท่านต้องจำไว้เลยว่าเนื้อหาสาระของคริสตมาส สั้นที่สุด ก็คือวันที่พระเยซูคริสต์เป็นพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์

            หัวใจสำคัญของคริสตมาส คือพระเยซูคริสต์เป็นพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์ มันต้องคล่องปากมากเลยนะ  เพราะมันเป็นหัวใจของคริสตมาส ใครถามท่านว่าคริสตมาส คืออะไร? ท่านตอบสั้นๆ เลย พระเยซูเป็นพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์ หรือพระเจ้ามาเกิดเป็นมนุษย์ ชื่อพระเยซู

            ท่านจำอะไรไม่ได้ปีนี้ ไม่เป็นไร ขอให้จำได้แค่นี้เองว่าคริสตมาส คือพระเจ้ามาเกิดเป็นมนุษย์ พระเยซูหรืออะไรก็ได้ ให้อยู่ในลักษณะอย่างนี้

            สมมติว่าตอนนี้ มีคนมาประกาศในที่สาธารณะเหมือนที่พระเยซูประกาศ ถ้ามีใครมาประกาศตอนนี้ว่าตัวเขาเอง เป็นพระเจ้า เราจะเชื่อไหม? มีคนประกาศลงยูทูปเลยว่าตอนนี้เป็นพระเจ้า ท่านคงไม่เชื่อแน่นอน และถ้าท่านไม่เชื่อ ท่านจะพูดหรือคิดว่าคนที่กำลังประกาศว่าตัวเขาเอง เป็นพระเจ้านั้น เป็นคนอย่างไร?  มโน บ้า เสียสติ แน่นอน ทุกคนต้องตอบอย่างนี้ ถูกไหมครับ? และพระเยซูคริสต์ประกาศด้วยตนเอง เมื่อ 2,000 ปีก่อน พระองค์เป็นพระเจ้า เป็นภาคหนึ่งของพระเจ้า พระเจ้ามี 3 พระภาค พระเจ้าพระบิดา พระเจ้าพระบุตร พระเยซู พระเจ้าพระวิญญาณบริสุทธิ์ พระองค์ประกาศว่าตัวตนของพระองค์เป็นแค่ภาคพระบุตร มาเกิดเป็นมนุษย์ ท่านคิดดูสิพระองค์เป็นพระเจ้า มีสถานะเป็นบุตรของพระเจ้า เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์  พระเยซูประกาศด้วยตนเองว่าพระองค์เป็นพระเจ้า และมวลมนุษย์ทั้งหลายจะสามารถเข้าสวรรค์ได้ ต้องผ่านทางพระองค์ผู้เดียวเท่านั้น พระองค์บอกมนุษย์ทั้งปวงจะไปสวรรค์ได้ พ้นจากโทษ หลังความตายได้ โดยผ่านทางพระองค์ ผู้เดียวเท่านั้น ท่านถามตนเองสิว่าถ้าท่านได้ยินอย่างนี้ ท่านเชื่อหรือไม่? เดี๋ยวจะมีคำตอบ  ผมจะยกตัวอย่างให้ท่านเห็นว่าพระเยซูประกาศด้วยตัวพระองค์เอง ในยอห์น 14:6 …

        ยอห์น 14:6  “พระเยซูตรัสกับเขาว่า “เราเป็นทางนั้น เป็นความจริงและเป็นชีวิต ไม่มีใครมาถึงพระบิดาได้ นอกจากจะมาทางเรา”

            เด็ดเดี่ยว เด็ดขาด มั่นคง มั่นใจ ใครกล้าพูดอย่างนี้ได้ว่า …

            “เราเป็นทางนั้น เป็นความจริงและเป็นชีวิต ไม่มีใครมาถึงพระบิดาได้ ไม่มีใครมาถึงสวรรค์ของพระบิดาได้ นอกจากจะมาทางเรา”

            คิดในใจเมื่อสักครู่นี้ ที่ผมบอก ถ้าปัจจุบัน มีคนพูดอย่างนี้ ท่านคิดว่าอย่างไร? ตอนนี้เราย้อนดู เมื่อ 2,000 ปีที่ผ่านมา ที่พระเยซูคริสต์พูด คนฟังในขณะนั้น เขาคิดอย่างไร? มาดูอีกข้อหนึ่ง ยอห์น 10:30-33 ความมั่นใจของผู้ประกาศ  ความมั่นใจของผู้ที่มีพระนามว่าพระเยซูคริสต์ พูดไว้ว่าอย่างไร? ประกาศแก่ที่สาธารณะนะ ไม่ใช่แอบๆ ประกาศอยู่ในห้อง มีคนไม่กี่คน  ที่สาธารณะทั่วๆ ไปเลย ตลอด 3 ปี พระองค์ประกาศอย่างนี้แหละ …

        ยอห์น 10:30-33 “30 พระเยซูตรัสว่า “เรากับพระบิดา เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน” 31 พวกยิวจึงหยิบก้อนหินขึ้นมาอีก จะขว้างพระองค์ให้ตาย 32 พระเยซูจึงตรัสกับพวกเขาว่า “เราแสดงให้ท่าน เห็นการดีหลายอย่างของพระบิดา  พวกท่านหยิบก้อนหิน จะขว้างเราให้ตาย เพราะการดีข้อไหน?” 33 พวกยิวทูลตอบพระองค์ว่า “เราจะขว้างท่าน ไม่ใช่เพราะการดีใดๆ แต่เพราะการพูดหมิ่นประมาทพระเจ้า  เพราะท่านเป็นเพียงมนุษย์ แต่ตั้งตัวเป็นพระเจ้า”

            “เรากับพระบิดาเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน” เป็นหนึ่งเดียวกันเลย  และอีกคำหนึ่งสุดท้าย

            ชาวยิวทูลตอบพระองค์ว่า “เราจะขว้างท่าน จะฆ่าท่านให้ตาย ไม่ใช่เพราะการดีใดๆ ที่ท่านทำแต่เพราะการพูดหมิ่นประมาทพระเจ้า เพราะท่านเป็นเพียงมนุษย์ แต่ตั้งตัวเป็นพระเจ้า”

            เห็นไหมครับ? แสดงว่าพระองค์พูดชัดเจนว่าพระองค์เป็นพระเจ้า ทั้งๆ ที่คนปฏิเสธ พระองค์ก็ยังยืนยันว่าพระองค์เป็นพระเจ้าอยู่นั่นแหละ ซึ่งชาวยิวบางคน ฟาริสีบางคนพูดหนักกว่านั้นอีก บอกอย่าไปฟังเขาเลย คนนี้เป็นคนเสียสติ เป็นคนบ้า  เหมือนกับที่ตะกี้นี้ท่านตอบว่าถ้าในปัจจุบันมีคนมาพูดอย่างนี้ ก็คงคิดอย่างเดียวกันกับฟาริสี และยิวบางคน บอกว่าเขาเป็นบ้า เสียสติไปแล้ว

            ซึ่งในสมัยนั้น 2,000 ปีก่อน ยังไม่มีคำพยาน ที่เป็นตัวบุคคล คือยังไม่มีคริสเตียนเกิดขึ้น คริสเตียนเกิดขึ้นหลังจากที่พระเยซูประกาศ 3 ปีแล้วก็ทำงานสำเร็จเสร็จสิ้น เมื่อถูกตรึงที่ไม้กางเขน ไถ่บาปให้กับมวลมนุษย์ แล้วเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่ 3 ยังไม่มีคริสเตียนที่เป็นพยาน  เพราะฉะนั้น คำพยานจะยืนยันว่าพระองค์เป็นพระเจ้า ก็มีแค่พระองค์สำแดงด้วยตัวของพระองค์เอง  ด้วยคำพูดว่าพระองค์เป็นพระเจ้า  และประกอบไปด้วยที่เราเรียกว่าอัศจรรย์นั่นเอง อัศจรรย์ที่พระองค์ทรงกระทำ ตอนที่เดินอยู่บนโลกใบนี้ 3 ปี เพื่อยืนยันว่าพระองค์ทรงเป็นพระมาซีฮาห์ เป็นพระเจ้ามาเกิดเป็นมนุษย์จริงๆ

            ในหนังสือยอห์นเขียนว่าทำเยอะขนาดไหน? เยอะจนกระทั่งไม่มีกระดาษที่จะเขียนถึงสิ่งที่พระองค์ทรงกระทำอัศจรรย์เหล่านั้น ไม่เพียงพอเลย อัศจรรย์บางอย่าง ชุบคนตายให้เป็นขึ้นจากความตาย รู้ล่วงหน้าอะไรต่างๆ เหล่านั้นเยอะแยะมากมายไปหมด ตลอด 3 ปีเลย ทำการอัศจรรย์เหล่านั้น แต่ก็ไม่สามารถทำให้ชาวยิวเหล่านั้น ยอมรับสิ่งที่เป็นจริง ที่พระเยซูพูดได้ ยังคงไม่เชื่อพระองค์ ทั้งๆ ที่เห็นหมายสำคัญอัศจรรย์เหล่านั้นแล้ว แต่เราลองคิดดูนะว่ามาถึงทุกวันนี้ มันต่างกัน แป๊บเดียวผ่านมา 2,000 ปี จากวันที่พระเยซูพูดเมื่อตะกี้ ที่เราได้ดูข้อพระคัมภีร์และได้ฟังว่าพระองค์ประกาศว่าอย่างไร?  และมีคนต่อต้านอย่างไร?

            มาถึงวันนี้ 2,000 ปีแล้ว  ถ้าเผื่อพระเยซูเป็นเพียงมนุษย์ที่อุปโหลกตัวเองว่าเป็นพระเจ้า แล้วทำไมมีผู้คนมากมาย นับไม่ถ้วนตลอดระยะเวลา 2,000 ปีนี้ ที่เชื่อคำพูดของพระองค์ว่าทรงเป็นพระบุตรพระเจ้า  ทรงเป็นพระเจ้าพระบุตร มาเกิดเป็นมนุษย์  ทำไมยังเชื่ออยู่ 2,000 ปีมาแล้ว แล้วยังฉลองวันเกิดให้พระองค์ด้วยซ้ำไป อย่างพวกเรา เราก็ฉลองวันเกิด คือวันคริสตมาส และไม่ใช่ฉลองวันเกิดเท่านั้น ในระยะ 2,000 ปีมานี้ ยังฉลองการตาย และการทรงพระชนม์อยู่ของพระองค์ด้วย ก็คือเทศกาลอีสเตอร์ เท่านั้นยังไม่พอทุกวันอาทิตย์ทั่วโลก มีกลุ่มคนที่เชื่อในคำพูดของพระองค์ว่าพระองค์เป็นพระเจ้า ที่เรียกตัวเองว่าคริสเตียน เข้ามารวมตัวกันในโบสถ์ ในคริสตจักรต่างๆ ทั่วโลก เพื่อสรรเสริญ ขอบคุณพระเยซูคริสต์ที่ได้มาเกิดเป็นมนุษย์ ตายที่ไม้กางเขน เป็นขึ้นจากความตาย  ช่วยให้เขาทั้งหลาย ที่เชื่อในคำพูดของพระองค์ สามารถเข้าไปอยู่ในสวรรค์ได้ ตลอด 2,000 ปีเป็นมาอย่างนี้ตลอด แล้วยังมีคริสเตียนผู้เชื่อในพระเยซูคริสต์อีกมากมาย นับไม่ถ้วน บนโลกใบนี้ ตลอดระยะเวลา 2,000 ปีนี้ ที่ยอมถูกข่มเหงรังแก ถูกฆ่าตาย เพราะความเชื่อว่าพระเยซูเป็นพระเจ้า ตั้งแต่เริ่มต้นโน้น 2,000 ปี ทุกวันนี้ก็ยังมี ท่านลองคิดตามไปเรื่อยๆ

            มีคริสเตียนผู้เชื่อในพระเยซูคริสต์ อีกมากมาย ที่ประสบผลสำเร็จในหลายๆ ด้าน ในชีวิตบนโลกใบนี้ ที่เราได้ยินได้ฟัง ท่ามกลางเราก็มี อย่างเช่นนักปราชน์หลายคน นักวิทยาศาสตร์หลายคนที่มีชื่อเสียงดีๆ พอเป็นคริสเตียน ก็เชื่อว่าพระเยซูคริสต์ ที่พระองค์บอกว่าพระองค์เป็นพระเจ้านั้น เป็นจริง เมื่อ 2,000 ปีก่อน อ่านดูเมื่อตะกี้ พระคัมภีร์บันทึกว่ามีหลายคนที่บอกว่าพระองค์เป็นบ้า เสียสติอ้างตัวเอง และนี่ผ่านมา 2,000 ปีแล้ว แล้วท่านคิดว่าคริสเตียนที่เล่ามาเมื่อสักครู่นี้ทั้งหมด ผู้คนเหล่านี้ที่เชื่อในคำพูดของพระเยซูคริสต์ว่าพระองค์เป็นพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์ คริสเตียนเหล่านี้ถูกหลอกอย่างนั้นหรือ? หรือโง่เขลา หรือถูกจ้างมา ลองคิดถึงตัวเองก็ได้ ท่านลองคิดตามไปเรื่อยๆ โดยเฉพาะคนที่ยังไม่ได้พบกับสันติสุข หรือความสงบทางใจจริงๆ น่าคิดเรื่องนี้นะ

            วันนี้คริสตมาส เป็นวันที่ระลึกถึงความจริงนี่แหละ คือพระเยซูคริสต์ เป็นพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์จริงๆ ที่เขาฉลองกันทั่วโลก คือพระเจ้ามาเกิดเป็นมนุษย์ ชื่อพระเยซูคริสต์ คือ คริสตมาสนั่นเอง วันคริสตมาส คือวันที่เราระลึกถึงพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์ ชื่อพระเยซู จะได้ไม่ลืม

            ฉลองกันอยู่ทุกปีๆ บางทีลืมไปว่าเราฉลองอะไรคริสตมาส เป็นของขวัญ เลยลืมไป จะบอกว่าเป็นความรอดของพระเจ้า ก็ถูก แต่จะให้ฟันธงเป๊ะๆ สั้นๆ คือพระเยซูคริสต์ พระเจ้ามาเกิดเป็นมนุษย์ เรามาฉลอง ระลึกถึงวันนี้กัน ดังนั้น เขาจึงบอก Merry Christmas  คือขอให้ท่านพบกับสันติสุขและความสงบทางใจ จากการเสียสละของพระเยซูคริสต์ที่ได้ทรงไถ่บาปให้กับท่าน เพราะว่าพระเยซูคริสต์ คือพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์นั่นเอง ก็คือ Merry Christmas เพราะฉะนั้น วันนี้จึงให้หัวข้อเรื่อง ว่าความจริง คือพระเยซูคริสต์เป็นพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์ จำไว้

            ที่ผมเติมคำว่า “ท่านเชื่อหรือไม่?” มันเป็นการท้าทาย เราที่เป็นคริสเตียนแล้วด้วยว่าท่านเชื่อหรือไม่? ถ้าท่านเชื่อว่าพระเยซูคริสต์เป็นพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์  นั่นคือหัวใจของคริสเตียนเช่นเดียวกัน  เพราะเป็นหัวใจของข่าวประเสริฐ การที่เชื่อว่าพระเจ้ามาเกิดเป็นมนุษย์  และมาสถิตอยู่กับเราข้างใน มันเป็นอะไรที่ล้ำเลิศมากที่สุดแล้ว จึงอยากให้ถามตัวเอง  แล้วก็ถามคนข้างๆ ด้วยว่าท่านเชื่อไหม?  เจอเพื่อน ถามเพื่อนเลย  ไม่ต้องให้เขาตอบก็ได้ ไปคิดดูก็ได้ว่าคริสตมาส คือวันที่พระเจ้ามาเกิดเป็นมนุษย์ ชื่อพระเยซูคริสต์ คุณเชื่อไหม?

            เราลองถามเพื่อนเราสิว่า … “คริสตมาส คือวันที่พระเจ้ามาเกิดเป็นมนุษย์ ชื่อพระเยซูคริสต์ คุณเชื่อไหม?”

            หันไปถามคนข้างๆ ฝึกไว้ “พระเจ้ามาเกิดเป็นมนุษย์ ชื่อพระเยซูคริสต์ ท่านเชื่อไหม?”

            “คุณเชื่อไหม?”

            ทั้งๆ ที่รู้ว่าเขาเชื่อแล้ว ก็ถามได้  เพื่อให้เกิดความมั่นใจ เกิดการย้ำยืนยันในตัวของเขาว่าพระเยซูคริสต์เป็นพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์ ที่ช่วยให้ท่านรอดจริงๆ

            กาลาเทีย 4:4 คือที่มาของวันคริสตมาส ชัดเจนมาก ยกมาอ่านวันนี้ …

        กาลาเทีย 4:4 “แต่เมื่อถึงกำหนด พระเจ้าได้ทรงส่งพระบุตรของพระองค์ (พระเยซู) มาประสูติจากครรภ์ของผู้หญิง ถือกำเนิดภายใต้บทบัญญัติ”

            “แต่เมื่อถึงกำหนด” กำหนด หมายถึงแต่เมื่อถึงวันนัด ง่ายๆ นิดเดียว วันนัดหมาย ใครนัดหมายกับใคร? พระเจ้านัดหมายกับมวลมนุษยชาติ เพราะว่าสัญญากับมวลมนุษยชาติมาหลายพันปีแล้ว บอกว่า …

            “วันหนึ่ง เราจะส่งบุตรของเรามาเกิดเป็นมนุษย์ เพื่อช่วยเจ้า มวลมนุษยชาติเอ๋ย ผู้ตกลงไปในความบาป”

            วันหนึ่งคือวันไหน? ไม่รู้วันไหน? และเมื่อครบกำหนดวันนี้ ก็คือวันคริสตมาสแรกของโลก เมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว เมื่อถึงกำหนดวันนัดหมาย พระเจ้าได้ส่งพระบุตรของพระองค์ ก็คือพระเยซูคริสต์ ผู้ทรงเป็นพระเจ้า พระบุตร ประสูติจากครรภ์ของผู้หญิง ถือกำเนิดภายใต้บทบัญญัติ พระเจ้ามาเกิดเป็นมนุษย์ เหมือนกับเรานั่นเอง เหมือนกับเราตรงไหน? เพราะไม่มีใครในโลกนี้ ที่เกิดมาจากกระบอกไม้ไผ่  เกิดจากต้นไม้ ไม่มี ต่างก็เกิดมาจากครรภ์ของหญิง ถูกไหม?

            พระเยซูเป็นพระเจ้าจุติก็ได้ หรือจากวิญญาณของพระเจ้า เข้าไปอยู่ในครรภ์ของแมรี่ เพื่อเกิดเป็นมนุษย์เหมือนกับเรา  เพื่อเป็นตัวแทนของเรานั่นเอง  ตะกี้นี้บอกว่าถือกำเนิดภายใต้บทบัญญัติ  พระเจ้า ก็คือมาเกิดอยู่ในกฎบัญญัติ เหมือนกับมาอยู่ในที่จำกัด ความยิ่งใหญ่ของพระองค์ผู้ทรงเป็นพระเจ้า มีอิสรภาพทุกอย่าง ต้องมาอยู่ในที่จำกัด  คืออยู่ในร่างของมนุษย์นั่นเอง ซึ่งจำกัดจำเขี่ยมากเลย มาเกิดเป็นมนุษย์ จากครรภ์ของหญิง เพื่อเป็นตัวแทนของมนุษย์ เพราะว่ามนุษย์เท่านั้น ที่เกิดจากครรภ์ของหญิง พระองค์มาเกิดในหญิง ก็เพื่อที่จะเป็นเหมือนเรา ก็คือเป็นพี่น้องกับเรา เป็นมนุษย์คนหนึ่ง  แต่เป็นมนุษย์คนหนึ่งที่ไม่ได้เป็นคนบาป  แต่เป็นมนุษย์คนหนึ่งที่มาจากความบริสุทธิ์ของวิญญาณของพระเจ้า เข้ามาเกิดเป็นมนุษย์นั่นเอง กาลาเทีย 4:5 ต่อไป …

        กาลาเทีย 4:5 “เพื่อไถ่คนทั้งปวง ซึ่งอยู่ใต้บทบัญญัติ เพื่อเราจะได้รับสิทธิของบุตร  (เป็นลูกของพระเจ้าได้) อย่างสมบูรณ์”

            มาเกิดเป็นมนุษย์ เป็นตัวแทนของเรา เป็นพี่น้องร่วมกับมวลมนุษยชาติ เป็นมนุษย์คนหนึ่ง ที่แตกต่างจากมนุษย์ทั้งหมดบนโลกใบนี้ ที่มีมา และจะมีต่อไป จนกระทั่งสิ้นยุคของมนุษย์ทั้งหลาย เป็นมนุษย์คนหนึ่งที่แตกต่าง คือเป็นมนุษย์ที่เกิดมาจากพระเจ้า เกิดจากหญิงอย่างเดียว ไม่ได้เกิดจากชายเลย เพราะไม่มีการสมสู่จากพ่อและแม่ที่เป็นมนุษย์ แต่เกิดจากวิญญาณของพระเจ้า ที่เรียกว่าวิญญาณบริสุทธิ์ ที่เขาเรียกว่าแปลสภาพลงมาเป็นเซลล์แรกในครรภ์ของแมรี่นั่นเอง เพื่อจะเกิดมาเป็นมนุษย์ มีเนื้อหนัง เหมือนเรา เพื่อไถ่คนทั้งปวง คือไถ่มวลมนุษยชาติ ที่เป็นพี่น้องร่วมกับพระองค์ ซึ่งอยู่ใต้บทบัญญัติ เพื่อมนุษย์ทั้งปวง ที่อยู่ใต้บทบัญญัติ

            คำว่า “อยู่ใต้บทบัญญัตินั้น” ก็หมายถึงอยู่ใต้ความบาป  … ความบาป หมายถึงการพึ่งพาตนเอง ในการดำรงชีวิตอยู่ เพื่อที่จะทำดี เพื่อที่จะได้ไปสวรรค์ ซึ่งทำไม่ได้เลย เพราะถ้าไม่มีพระเจ้าอยู่ในชีวิตของคนๆ นั้น ก็จะไม่มีวันที่จะทำดีได้เลย เพราะกฎบัญญัติของพระเจ้า คือแม้ทำบาปเพียงครั้งเดียว ก็คือเป็นคนบาป ทำบาปครั้งเดียวก็ผิด ก็ถูกลงโทษอยู่แล้ว ไม่มีใครที่จะไม่ได้เป็นคนบาปเลย ทุกคนก็เป็นคนบาปหมด พระเยซูมา เพื่อไถ่คนนั้น มวลมนุษย์คนนั้น คนที่เป็นคนบาปคนนั้น ที่รู้ตัวเป็นคนบาป ให้พ้นจากบาปนั่นเอง เพื่อเราจะได้รับสิทธิของบุตร คือได้สิทธิในการเป็นลูกของพระเจ้า ได้อย่างสมบูรณ์ คือถ้าพ้นจากบาปแล้ว หลุดออกจากบาปแล้ว ก็กลายเป็นผู้บริสุทธิ์ ก็คือพระเจ้าสามารถเข้ามาสถิตอยู่กับเขา เขามาเป็นลูกของพระเจ้าได้นั่นเอง

            คำว่า “กฎบัญญัติ” ที่บอกว่าไถ่บาป คนเหล่านั้นที่อยู่ใต้บทบัญญัติ คือก่อนหน้านี้ ตั้งแต่วันแรกที่มนุษย์ตกลงไปในความบาป หลายพันปีก่อน จนมาถึงวันกำหนด ที่พระเจ้าเสด็จมาเกิดเป็นมนุษย์  เพื่อช่วยให้เขาหลุดพ้นจากบาป ก่อนหน้านี้ทั้งหมด จนมาถึงวันที่พระเยซูคริสต์มาเกิด แล้วจะตายบนไม้กางเขน เพื่อช่วยให้มนุษย์หลุดพ้นออกจากกฎของความบาปและความตาย ตรงนี้มนุษย์ตกเป็นทาส อยู่ใต้กฎบัญญัติ กฎบัญญัตินี้ก็คือกฎแห่งกรรม กฎแห่งการทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว  กฎแห่งศีลธรรมนั่นเอง ซึ่งก็คือข้อห้ามทำ และข้อให้ทำ ให้ทำอะไร? ให้ทำดี ไม่ให้ทำอะไร? ไม่ให้ทำชั่ว แล้วมนุษย์อยู่ใต้กฎเหล่านั้น เพราะว่ามนุษย์ต้องพึ่งพาตนเอง ในการกระทำ และมีมนุษย์หน้าไหนที่ไม่ทำชั่วเลย มีไหม? ไม่มีเลย เป็นการยืนยันว่ามนุษย์เป็นคนบาปจริงๆ ซึ่งพระเจ้าทราบดี แล้วก็ให้โมเสส เขียนกฎเหล่านี้ บางส่วนนะ ขึ้นมา 600 กว่าข้อ เพื่อผู้ที่ปฏิบัติตามได้ จะได้เป็นคนดี เป็นคนชอบธรรม ไม่ถูกลงโทษ

            ปรากฎว่าไม่มีใครทำได้ ไม่มีใครสามารถรักษากฎระเบียบเหล่านี้ได้ครบถ้วนบริบูรณ์เลย สักคนหนึ่ง ก็คือไม่เคยมีใครไม่ทำผิดเลยสักข้อเดียว มันเป็นไปไม่ได้เลย เพื่อยืนยันว่ามนุษย์เป็นคนบาป ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้จริงๆ ให้กฎระเบียบขึ้นมา โดยให้โมเสสเขียน เพราะมนุษย์ทุกคนมีธรรมชาติของบาปอยู่ในตัว อยู่ในใจ อยู่ในวิญญาณ ความสกปรก เป็นเชื้อของความบาป ซึ่งตกทอดมาจากบรรพบุรุษ คืออาดัม บาป ก็คือไม่บริสุทธิ์ ไม่ได้มีความดีงามอยู่ในใจ อยู่ในวิญญาณ ซึ่งเป็นศัตรูต่อ ต้านไม่สามารถเข้ากันได้กับพระเจ้า ซึ่งเป็นผู้บริสุทธิ์ เป็นผู้ดีงาม อยู่ตรงข้ามกัน และบทบัญญัติเหล่านี้ ก็คือกฎแห่งการกระทำ ถึงจะไม่ใช่ชาวยิว มนุษย์ทุกคนได้รับบทบัญญัติเหล่านั้นเขียนไว้ในใจ ไว้ในวิญญาณอยู่แล้วว่าอะไรมันชั่ว อะไรมันดี ถูกไหม? ไม่ใช่ชาวยิว ก็ต้องรู้ในใจมันฟ้องว่าไม่ดี ไปฆ่าคนตาย ไปขโมยของเขา ไปรังแกเขา ในใจมันรู้ว่าแลว ไม่ต้องมีใครมาเขียนหรอก แต่การที่พระเจ้าให้เขียนขึ้นมา ให้มันชัดเจนยิ่งขึ้นว่ามนุษย์เป็นคนบาปจริงๆ เขียนขึ้นมาในใจ เพื่อให้มนุษย์ได้รู้ว่ามนุษย์ทุกคนเป็นคนบาป ตัวเองนั้นเป็นคนบาป ไม่สามารถรักษาบทบัญญัติที่เขียนไว้ได้ครบถ้วนบริบูรณ์ไม่ว่าจะเขียนไว้ในบทบัญญัติ ในหนังสือ หรือเขียนไว้ในใจด้วยก็ตาม มันแย้ง มันฟ้องตลอดเวลาว่า …

            “เธอโกหก เธอทำบาปแล้ว”

            ถึงไม่ได้เขียนไว้ในหนังสือบทบัญญัติ แต่ในใจเขาบอกว่ามันไม่ดี มันไม่ถูกต้อง นี่แหละคือคำว่าบัญญัติที่เขียนไว้ในใจ ไม่มีใครสามารถทำได้ครบถ้วนบริบูรณ์ ตามนั้น พระคัมภีร์บอกว่ามนุษย์เป็นคนอ่อนแอ เป็นผู้ป่วยในวิญญาณ พระเยซูบอก ต้องได้รับการช่วยเหลือ ต้องรักษาให้หายจากอาการบาปนี้ วิญญาณสกปรกนี้ ต้องหาย ช่วยตัวเองไม่ได้หรอก เพราะว่ามันอ่อนแอเกินกว่าที่จะรักษาบทบัญญัติ ไม่มีใครสักคนหนึ่งเลยที่จะเชิดหน้าชูตามนุษยชาติ …

            “ฉันเป็นคนบริสุทธิ์ ไม่เคยทำบาปเลย”

            ไม่มีเลย มีอยู่ท่านเดียวเท่านั้นเอง คือพระเยซูคริสต์ ที่เป็นผู้ทำบทบัญญัติเหล่านี้ได้หมดเลย เพราะข้างในใจนั้น ในวิญญาณนั้น เป็นมาจากพระเจ้า ท่านเห็นไหม? แต่ข้างนอกเป็นมนุษย์ ก็คือเป็นมนุษย์ผู้เดียวที่บริสุทธิ์ สะอาด เพราะมนุษย์ทั้งปวง ที่เหลืออยู่ทั้งหมดนั้น ตกอยู่ใต้ความบาป ตั้งนานแล้ว ตั้งแต่บรรพบุรุษแล้ว แล้วพระเจ้าก็สัญญาไว้ตลอดเวลา หลายพันปี ตั้งแต่วันแรกเลย ตั้งแต่มนุษย์ตกลงไปในความบาปว่าพระองค์จะมาช่วยรักษาให้หายจากอาการบาป มาช่วยให้พ้นจากการเป็นทาสของบทบัญญัติ เป็นทาสของกฎแห่งกรรม เป็นทาสของการพึ่งพาตนเอง ซึ่งทำไม่ได้ เป็นทาสของความอ่อนแอนั้น พระองค์สัญญาว่าจะมาช่วย โดยประทานพระบุตรของพระองค์ ก็คือพระเยซูคริสต์มาเกิดเป็นมนุษย์ เป็นตัวแทนให้กับมวลมนุษย์ ช่วยมวลมนุษย์ให้หลุดพ้น ออกจากการเป็นทาส นี่หมายถึงตรงนั้น ที่บอกว่ามาช่วยให้เราพ้น จากการเป็นทาส ตกอยู่ใต้กฎบัญญัตินี้ มันแปลว่าอย่างนั้น

            และเมื่อถึงกำหนดเวลา  ก็คือเมื่อถึงวันคริสตมาส เมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว พระเจ้าก็ส่งพระบุตร คือพระเยซูคริสต์มาเกิดในหญิงพรหมจารี เพื่อรับบาปแทนมนุษยชาติ  เพื่อเป็นตัวแทนของมวลมนุษยชาติ มารับโทษแทนมนุษย์ทั้งปวงเลย เอาบาปออกไปจากมนุษย์ทั้งปวง คือลบล้างบาปออกไปจากมวลมนุษยชาติจนหมดสิ้น ตั้งแต่วันนั้นมามนุษย์จึงสามารถบังเกิดใหม่ได้ เมื่อบาปไม่มีแล้วก็สามารถบังเกิดใหม่ได้ ทั้งวิญญาณและจิตใจใหม่ ก็กลายเป็นคนดี คนชอบธรรม กลายเป็นนะ กลายเป็นคนดี  เป็นคนชอบธรรม ไม่ต้องถูกลงโทษ ไม่ใช่ด้วยการกระทำดีของตนเองแล้ว แต่โดยการพึ่งพาในการกระทำดีของตัวแทนของเรา คือพระเยซูคริสต์ คือพระองค์ทรงกระทำแทนเรา เราไม่ต้องทำเองเลย พึ่งพาในการกระทำของพระองค์เท่านั้น ไม่ต้องพึ่งพากฎระเบียบทางศีลธรรม ตามกฎแห่งกรรม ซึ่งจะทำได้ครบถ้วนบริบูรณ์ ทำไม่ได้อยู่แล้ว เดี๋ยวก็ทำผิดๆ แต่ในการพึ่งในพระเยซูคริสต์ ผู้ได้ทรงเอาบาปเราออกไป ตรงนี้มากกว่า เพราะมันเป็นเป้าหมายเดียวของพระเจ้า ที่ต้องการ ก็คือให้มนุษย์นั้น บริสุทธิ์ สะอาด ดีพร้อม เพื่อจะมาอยู่กับพระองค์ได้ และตอนนี้ พระเยซูคริสต์เป็นตัวแทน ทำให้ได้เรียบร้อยแล้ว มนุษย์จึงไม่จำเป็นต้องทำด้วยตนเองอีกต่อไป ไม่ต้องพยายามทำให้ตัวเองได้ดี ได้สะอาด บริสุทธิ์  เพื่อจะได้เข้าไปอยู่ในสวรรค์กับพระเจ้า ซึ่งทำไม่ได้อยู่แล้ว ก็ไม่ต้องทำ มาพึ่งในพระเยซูคริสต์แทน เพื่อจะได้สามารถเข้ากับพระเจ้าได้ เป็นลูกของพระเจ้า มีชีวิตนิรันดร์เหมือนพระเจ้า ไม่ได้เป็นศัตรูกับพระเจ้าอีกต่อไป ซึ่งเราเรียกตรงนี้ว่า “การบังเกิดใหม่”

            การบังเกิดใหม่ ก็คือตัวเก่าของเรา ที่ติดอยู่ใต้กฎของความบาปและความตาย ใต้กฎบัญญัติต่างๆ เหล่านั่น เป็นศัตรูกับพระเจ้า ได้ตายไปแล้ว และได้บังเกิดใหม่ในพระเยซูคริสต์ ซึ่งเป็นตัวแทนของเรานั้นเอง กาลาเทีย 4:6 ต่อมา จึงได้บันทึกอย่างนี้ ผลของพระเจ้ามาเกิดเป็นมนุษย์ คือพระเยซูคริสต์ นี่คือผล …

        กาลาเทีย 4:6 “และเพราะท่านเป็นบุตรของพระเจ้าแล้ว พระองค์จึงทรงใช้พระวิญญาณแห่งพระบุตรของพระองค์ เข้ามาในใจของเราร้องว่า “อับบา” คือพระบิดา เหตุฉะนั้น โดยพระเจ้า ท่านจึงไม่ใช่ทาสอีกต่อไป แต่เป็นบุตร และถ้าเป็นบุตรแล้ว ท่านก็เป็นทายาทด้วย”

            เพราะฉะนั้น นี่คือเป้าหมายของพระเจ้าที่ต้องการ ทำไมถึงต้องส่งพระเยซูคริสต์มาเกิดเป็นมนุษย์ ก็คือต้องการให้มนุษย์ทั้งหลายได้สามารถบังเกิดใหม่ เป็นบุตรของพระเจ้าได้ แล้วพระองค์จึงทรงใช้พระวิญญาณ แห่งพระบุตรของพระองค์เข้ามาในใจของเรา  คือบังเกิดใหม่ เป็นบุตรของพระเจ้าแล้ว พระวิญญาณของพระคริสต์ คือพระวิญญาณของพระเจ้า ก็เข้ามาสถิตอยู่กับเราภายใน พระเยซูคริสต์บอกว่าเมื่อเราเชื่อวางใจในพระองค์แล้ว ร่างกายเราจะเป็นวิหารของพระองค์ คือพระองค์จะมาสถิตอยู่กับเรา ในใจ และพระวิญญาณมาอยู่ในใจเรา จะเป็นพยานยืนยันบอกว่าเราเป็นลูกของพระเจ้าแล้ว เราไม่ได้เป็นทาสของกฎของความบาปและความตายแล้ว เราได้เกิดใหม่แล้ว เกิดใหม่โดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า ผ่านทางพระเยซูคริสต์ที่เราเชื่อ ทำให้เราเกิดใหม่ เป็นลูกและมาสถิตอยู่กับเราด้วย  เพื่อยืนยันว่าเราเป็นลูกจริงๆ บริสุทธิ์ดีพร้อม เหมือนกับพ่อเลย และแถมไม่ได้เป็นลูกอย่างเดียว แต่เป็นทายาทด้วย เป็นลูกของพระเจ้าเลยทันที ในการดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ พอเชื่อพระเยซูปั๊บ ก็ได้กลายเป็นลูกของพระเจ้า และมีมรดกเตรียมไว้ให้กับเรา เมื่อจากโลกนี้ไปด้วย มรดกนั้นก็คือร่างกายสวรรค์ ร่างกายใหม่ที่เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์ที่เต็มด้วยสง่าราศีของพระเจ้า ที่เราจะสวม เมื่อออกจากร่างเดิมนี้แล้ว ขณะที่ไปอยู่ในสวรรค์หลังความตายแล้ว เรายังได้ครอบครองอาณาจักรสวรรค์ และโลกใหม่ สรรพสิ่งใหม่ๆ ที่พระองค์ทรงสร้างไว้ทั้งสิ้น ร่วมกับพระเยซูคริสต์อีกต่างหาก

            สิ่งเหล่านี้ คือผลของคริสตมาส และที่ถามว่าเชื่อหรือไม่นั้น ท่านไม่มีวันที่จะเชื่อได้เลย คำตอบ ก็คือท่านเชื่อหรือไม่? ต้องตอบทุกคนเลยว่าไม่มีทางเชื่อเลย เป็นไปไม่ได้เลย ความเชื่อจะบังเกิดขึ้น ก็ต่อเมื่อท่านบังเกิดใหม่แล้วเท่านั้นแหละ ท่านจึงจะเชื่อ

            อีกทีหนึ่ง ที่ตะกี้นี้ถามตั้งแต่ตอนแรกว่าท่านเชื่อหรือไม่? ถ้ามีคนมาตอบว่า “เชื่อ” แสดงว่าคนนั้นได้บังเกิดใหม่แล้ว เขาจึงจะรู้จากภายในจิตใจเขา เขาไม่ได้เชื่อ เพราะว่าความคิดของเขา เขาไม่ได้เชื่อ เพราะว่าเหตุผลของเขา เขาไม่ได้เชื่อ เพราะผู้คนรอบข้าง แต่เขาเชื่อ เพราะเขาบังเกิดใหม่ในวิญญาณแล้วต่างหาก

            เพราะฉะนั้น เราจึงเข้าใจว่าทำไมฟาริสี ชาวยิวจึงบอกว่าพระองค์เป็นคนบ้า และมองไม่เห็นเลย แม้กระทั่งพระองค์ทำการอัศจรรย์ยิ่งใหญ่ เยอะแยะมากมายตลอด 3 ปี เห็นกับตา เขาก็ไม่เชื่อ แม้กระทั่งสาวกของพระองค์เอง  ก็ไม่ได้เชื่อ แค่เริ่มสนใจ  เริ่มวางใจในพระองค์เท่านั้น จนกระทั่งเขาได้บังเกิดใหม่จริงๆ พระวิญญาณบริสุทธิ์ได้เข้าไปสถิตอยู่กับเขาจริงๆ เขาจึงได้เกิดใหม่ เขาจึงเริ่มต้นเชื่อว่าพระเยซูเป็นพระเจ้าจริงๆ เราทั้งหลาย ก็เหมือนกันแหละ ผมจึงถามท่านไงว่าท่านลองถามตัวเองสิว่าท่านเชื่อไหมว่าพระเจ้า พระเยซูคริสต์มาบังเกิดเป็นมนุษย์ หรือพระเยซูคริสต์เป็นพระเจ้ามาเกิดเป็นมนุษย์ ถ้าท่านเชื่อจริงๆ ท่านก็เป็นคริสเตียนของแท้จริงๆ แต่ถ้าท่านยังไม่เข้าใจตรงนี้ หรือว่าไม่เชื่อตรงนี้ ผมก็ไม่รู้นะ พูดตามพระคัมภีร์เท่านั้น

            ในช่วงที่พระเยซูเดินอยู่บนโลกใบนี้ มีคนฟังพระเยซูและถามพระเยซูว่า … “ข้าพเจ้าจะต้องทำอะไรถึงจะเข้าสู่สวรรค์ได้”

            ก็เหมือนกับมนุษย์ทั้งหลายทั้งปวงนั่นแหละ  อยากจะไปสวรรค์ก็อยากจะรู้ว่าเข้าไปได้อย่างไร? เห็นพระเยซูทำการอัศจรรย์ยิ่งใหญ่ ก็เลยเริ่มต้นสนใจเหมือนกัน ก็ถามคำถามเดียวกันกับมนุษย์ทั้งปวงนั่นแหละ ปัจจุบันก็ยังถามอย่างนี้  ถ้าคนยังไม่รู้จักพระเยซูคริสต์จริงๆ ก็จะถามเหมือนกันว่าแล้วจะไปสวรรค์ต้องทำอย่างไร? ต้องรักษาบทบัญญัติ รักษากฎหมายศีลธรรม รักษากฎแห่งกรรมอย่างไร? ต้องทำดีมากเท่าไรถึงจะได้ไปสวรรค์? ทำบุญมากเท่าไรถึงจะได้ไปสวรรค์? ถูกไหม? เหมือนกัน คนเหล่านั้น ก็ถามพระเยซูตอนพระเยซูเดินอยู่บนโลกใบนี้  3 ปี

            พระเยซูตอบว่า … “ไม่ต้องทำอะไรเลย”

            คนถามคิดว่า … “ต้องรักษากฎสักกี่ข้อ? 30 ข้อ 60 ข้อ 80 ข้อ 100 ข้อ 600 ข้อ”

            พระเยซูบอก … “ไม่ต้องทำอะไรเลย  ไม่ต้องรักษากฎ แต่จงวางใจในเรา และรับการบังเกิดใหม่”

            บอกว่า “จงวางใจในเรา แล้วเกิดใหม่” ไม่ได้บอกว่า “จงเชื่อในเรา” นะ

            คำที่พระองค์พูด แปลความหมายมา ไม่ได้ใช้คำว่าเชื่อหรอก คำว่า “วางใจ” วางใจ คืออะไร? คือเริ่มต้นฟัง และสนใจ ใฝ่หา ในความจริงที่พระเยซูพูดต่างหาก  ไม่ใช่ให้เชื่อ เชื่อไม่ไหวหรอก ใครจะไปเชื่อไหว  พระเจ้ามาเกิดเป็นมนุษย์ งงเลย เป็นไปไม่ได้ ไม่มีใครสามารถเชื่อได้หรอก แต่พระเยซูกำลังบอกให้วางใจในสิ่งที่พระองค์พูด ไม่ใช่ให้เชื่อ ให้วางใจ ก็คือให้สนใจ อย่าทิ้งนะๆ และให้ติดตามไปเรื่อยๆ เดี๋ยวจะเจอเอง ใครเป็นคนทำให้เจอ พระเจ้าจะทำให้เจอเอง ถ้าท่านไม่ลดละความพยายามตรงนั้น

            และสิ่งที่พระองค์ทรงบอกว่าวางใจในพระองค์ และคนนั้นจะได้บังเกิดใหม่ ตอนที่เดินอยู่บนโลกใบนี้ พระองค์พูดล่วงหน้าไว้ มันยังไม่สำเร็จตอนนั้น พระองค์ยังไม่ได้ทำงานจนสำเร็จ คือยังไม่ได้ไถ่บาปให้กับมวลมนุษย์ ไม่ได้สิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน และยังไม่ได้เป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่ 3 ซึ่งเป็นขบวนการการบังเกิดใหม่ ให้มนุษย์ทั้งมวลเลย คือพระองค์บังเกิดใหม่ มนุษย์ทั้งปวง ก็มีพระองค์เป็นตัวแทน  ก็จะได้บังเกิดใหม่ร่วมกับพระองค์ไปด้วย

            ซึ่งทั้งหมดนี้  พระเยซูได้ทำสำเร็จแล้ว สำเร็จหมดเลย คือพระองค์ได้ทรงตายที่ไม้กางเขน และเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่ 3 เป็นตัวแทนของมนุษยชาติ ที่ตายที่ไม้กางเขน และเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่ 3 เรียกว่าบังเกิดใหม่

            นี่คือขบวนการการบังเกิดใหม่ ที่พระเยซูบอกวางใจในเรา แล้วจะได้บังเกิดใหม่ เมื่อพระองค์ทำสำเร็จแล้วที่ไม้กางเขน คือการเป็นขึ้นมาจากความตายในวันที่ 3 ทำให้มวลมนุษยชาติได้สามารถบังเกิดใหม่พร้อมกับพระองค์ เป็นขึ้นมาใหม่พร้อมกับพระองค์ได้ด้วย คือการยอมรับ ชูมือขึ้นมา แล้วก็ยอมรับว่า …

            “ใช่แล้ว พระเยซูคริสต์เป็นพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์  เป็นตัวแทนของมวลมนุษยชาติ ซึ่งเป็นตัวแทนของฉันด้วยเช่นเดียวกัน ฉันรับพระเยซูคริสต์เป็นตัวแทนด้วย”

            ตรงนี้หมายถึงอย่างนั้น เมื่อรับพระเยซูคริสต์เป็นตัวแทน ก็คือรับสิทธิที่พระเยซูเป็นตัวแทนทำให้ทั้งหมด พระเยซูคริสต์เป็นตัวแทนของเราชนะ เราก็ชนะด้วย เหมือนประเทศที่มีตัวแทนไปรบ แทนเรา ถ้าเขาชนะ เราก็ชนะด้วย ถ้าคนไทยไปรบกับประเทศอะไรก็ตาม แล้วคนไทยชนะสงคราม เราคนไทยไม่ได้ไปรบด้วย อยู่ในบ้านเมือง เราก็ได้เป็นคนชนะด้วย ลักษณะเดียวกัน

            เพราะฉะนั้น การเปิดใจต้อนรับพระเยซูว่าเป็นพระผู้ช่วยให้รอดของเราแต่ละคนต่างหาก การเปิดใจนี้ ไม่ได้หมายถึงให้ท่านเชื่อว่าพระเยซูเป็นพระเจ้า มาเป็นตัวแทนของท่าน มาเกิดเป็นมนุษย์  เพราะท่านไม่มีทางเชื่อได้หรอก แต่ให้ท่านเริ่มต้น เปิดใจ สนใจ วางใจในสิ่งที่พระองค์พูดต่างหาก สนใจ เปิดใจว่าไม่ใช่คนบ้า ไม่ใช่เสียสติ แล้วยังไง ก็ไม่เข้าใจสิ ให้ท่านสนใจ วางใจว่า …

            –  สิ่งที่พูดนั้น อาจจะเป็นจริงก็ได้

            –  หรือว่าเป็นจริง จริงๆ

            –  น่าจะใช่มั้ง

            ยอมรับเลยว่าเราไม่มีทางเชื่อได้ ถ้าไม่ได้บังเกิดใหม่ เพราะฉะนั้น แค่วางใจ สนใจ เปิดใจเรื่องเกี่ยวกับพระเยซูคริสต์ ต้อนรับความจริงนี้เท่าที่ทำได้ ทั้งๆ ที่ไม่เข้าใจ คิดไม่ถึง ยังไงก็คิดไม่ถึง ยังไงก็ไม่เข้าใจว่าพระเจ้ามาเกิดเป็นมนุษย์ได้ไง จุติลงมาอยู่ในครรภ์แมรี่ได้อย่างไร? เชื่อได้ไหม? ไม่มีทางเชื่อได้หรอก ไม่ต้องเชื่อ สนใจเท่านั้นเอง เพราะมันเป็นหนทางเดียว ที่จะเข้าสวรรค์ได้  โดยผ่านทางพระเยซูคริสต์ คือได้บังเกิดใหม่เท่านั้น  เพราะฉะนั้น ไม่มีทางที่เข้าใจ เมื่อไม่เข้าใจ เพียงแต่สนใจ วางใจ แล้วใช้จิตวิญญาณ ทุกคนในที่นี้ ที่มาเป็นคริสเตียนแล้ว ก็ใช้วิธีนี้ คือใช้จิตวิญญาณ ในการแสวงหา ในการวางใจพระเยซูคริสต์ก่อนเท่านั้น ก่อนที่จะบังเกิดใหม่ แล้วค่อยมาเชื่อทีหลัง

            มนุษย์ใช้จิตวิญญาณง่ายนิดเดียว คือเหมือนกับพวกเราที่เคยทำมาแล้ว ก็คืออธิษฐาน คำว่า “อธิษฐาน” มันยอดเยี่ยมมากเลย

            อธิษฐาน คือการใช้จิตวิญญาณแล้ว เกินความคิดแล้ว คุ้นเคยหมด ทุกคน จะอธิษฐานด้วยคำพูด เขาเรียกว่าอธิษฐาน จะคิด ก็อธิษฐาน จะเขียนเอา ก็อธิษฐาน อธิษฐานคืออะไร? ที่เราคุ้นๆ กัน อธิษฐานจิตๆ ก็คือจะใช้จิตวิญญาณในการอธิษฐาน ไม่เข้าใจ จึงต้องใช้คำอธิษฐาน ถ้าเข้าใจ ก็ไม่ต้องอธิษฐานหรอก 5+5 =10 ต้องอธิษฐานหรือ? ไม่ต้อง เข้าใจอยู่แล้ว เพราะฉะนั้น ใช้คำอธิษฐาน คิดเลย พูดเลย พูดกับใคร? ก็พูดกับเจ้าของคำพูดนี้ว่าเขาบอกว่าเขาเป็นพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์ มาช่วยเราให้รอด ช่วยเหลือเราได้ทุกอย่าง จะมาสถิตอยู่กับเรา ไม่เข้าใจ แต่สนใจครับ ไม่เข้าใจ แต่วางใจครับ ไม่เข้าใจ แต่เริ่มน่าสนใจ ถูกไหม? คือได้เริ่มต้นอะไรบางอย่างด้วยการอธิษฐาน ผมเองก็เริ่มต้นด้วยวิธีนี้แหละ  ผมเองก็อธิษฐาน พระเยซูเป็นใคร? เขามาประกาศให้ว่าดีอย่างนั้นดีอย่างนี้ เราก็ไม่รู้เป็นอะไร? บอกพระเยซูเป็นพระเจ้ามาช่วย ให้รอดได้ ช่วยได้ทุกเรื่อง เราไม่รู้จัก แต่เราเริ่มสนใจ เราก็อยู่ในห้องอธิษฐาน พระเยซูเป็นใคร?  อยากรู้จักจริงๆ พูดไปทุกคืน ทุกวัน นึกขึ้นได้ ก็คิด เป็นใคร? จนกระทั่งไปอ่านพระคัมภีร์ แล้วในที่สุด ก็พบจริงๆ พบกับความจริงจริงๆ

            เพราะฉะนั้น พระเยซูเป็นพระเจ้า ที่ให้เราแสวงหา เคาะ ขอ แล้วประตูก็จะเปิดให้กับเรา ต้องใช้จิตวิญญาณอย่างเดียวเท่านั้น แล้วไม่จำเป็นต้องไปที่โบสถ์ หรือคริสตจักร เพราะว่าพระองค์ทรงเป็นพระเจ้า อยู่ทุกหนทุกแห่ง ไม่จำเป็นว่ามาคริสตจักร จึงจะได้มาเชื่อพระเยซู มาเรียนรู้ ท่านสามารถอยู่ที่ไหนก็ได้ ตอนที่ผมพบ ก็อยู่ที่บ้าน แล้วพบแล้ว จึงไปหาคริสตจักร ก็คือตามพระวิญญาณนำ ไปแล้วตอนนั้น

            แน่นอน ไม่ได้หมายถึงคริสตจักรไม่ได้สำคัญ คริสตจักรเป็นที่รวมตัวกันของผู้ที่บังเกิดใหม่แล้ว ผู้ที่เชื่อแล้ว กับผู้ที่ยังไม่เชื่อ อยากจะแสวงหา ก็มาฟังต่อเนื่อง แต่อาจจะยังไม่เข้าใจ อาจจะยังไม่เชื่อ ไม่เป็นไร? ฟังไปเรื่อยๆ เพราะว่าพระองค์ทรงอยู่ในทุกสถานที่ คอยเคาะประตูหัวใจของท่าน พร้อมที่จะเข้าไปช่วยเหลือท่าน ให้ท่านสามารถเข้าใจได้ โดยการบังเกิดใหม่ ให้ท่านสามารถได้เข้าสวรรค์ได้ โดยที่ตัวท่านเองรู้ว่าท่านอยู่ในสวรรค์แล้ว เพราะความเชื่อมันเกิดขึ้น เพราะท่านได้บังเกิดใหม่จริงๆ ในวิญญาณ ตามที่พระองค์ได้ทรงบอกไว้ว่าไม่ต้องทำอะไรเลย วางใจในเราว่าเรา คือผู้นั้น คือพระเจ้ามาเกิดเป็นมนุษย์ เพราะพระองค์ได้ทรงกระทำสิ่งเดียว คือนำสวรรค์มาตั้งอยู่บนโลกใบนี้แล้ว และประตูสวรรค์ได้ถูกเปิดออกแล้ว โดยที่พระองค์ทรงตายที่ไม้กางเขน และเป็นขึ้นจากความตาย นั่นแหละ เป็นวันที่สวรรค์ลงมาตั้งอยู่ เป็นวันที่ประตูสวรรค์เปิดรับมนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้แล้ว เพราะว่ามันถึงเวลาที่พระเจ้ากำหนดแล้ว ถึงเวลากำหนดที่มนุษย์จะแสวงหาพระเจ้า ตามที่พระเยซูประกาศไว้ เมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว ก่อนที่จะทำงานสำเร็จนั้น พระองค์ประกาศว่าถึงกำหนดแล้ว ที่มนุษย์จะแสวงหาพระเจ้าด้วยจิตวิญญาณและความจริง ก็คือด้วยจิตวิญญาณ และความจริงที่พระองค์ทรงพูดนั่นแหละ

            แต่ก่อนนี้จะแสวงหาพระเจ้า ให้พระองค์ช่วย ต้องไปที่วิหาร ในเยรูซาเล็ม พระเจ้าอยู่ที่นั่น ตั้งแต่พระเยซูคริสต์ทำสำเร็จแล้ว พระองค์ทรงอยู่ทุกหนทุกแห่ง เพราะว่าสวรรค์ลงมาตั้งอยู่แล้ว ก่อนหน้านี้ สวรรค์ยังไม่ได้ลงมาตั้งอยู่ สวรรค์อยู่ที่กรุงเยรูซาเล็มที่วิหารในเต็นท์ชั้นใน เข้าไปยากมากเลย ลำบาก ต้องพึ่งพาการกระทำของตนเอง ดังนั้น ถึงเวลาแล้ว ที่มนุษย์ทั้งปวง แสวงหาพระเจ้า ด้วยจิตวิญญาณและความจริงเท่านั้น ถึงจะพบได้ และวิธีการ ก็คืออย่างที่ผมบอกไป ไม่ใช่ด้วยเหตุผลของมนุษย์ ไม่ใช่ด้วยตรรกะ ความคิดที่ตะกี้ผมพูดเกริ่นมาตอนแรกว่าอัศจรรย์ มีคริสเตียนเยอะแยะ ต่อให้มีคริสเตียนเยอะแยะมากมายบนโลกใบนี้ ที่ผมพูดไป มีคริสเตียนที่มีชื่อเสียงมากมาย มีคริสเตียนที่ประสบผลสำเร็จมากมาย มีคริสเตียน ที่ได้รับการช่วยเหลือจากพระเจ้ามากมายในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ มันไม่ได้ช่วยให้ท่านเชื่อหรอก มันเป็นไปไม่ได้เลย ถ้าท่านคอยคิดแต่ตรงนั้น คำพยานตรงนี้ สิ่งเหล่านั้นทั้งหมด เป็นเพียงแค่บอกท่านว่าท่านน่าจะยังไม่ทิ้งเรื่องนี้ ไม่มีวันที่ท่านจะเริ่มต้นเชื่อได้เลย ถ้าท่านไม่เริ่มต้นสนใจ วางใจ และเข้ามาชิมดูก่อน โดยการอธิษฐาน พูดคุยกับพระองค์เลย อะไรที่ไม่เข้าใจ พูดเลย พูดกับพระเยซู นี่แหละ คือการเริ่มสนใจ ที่ได้ยินมาจริงไหม? แล้วก็พูดไป

            อย่างที่บอกไม่ต้องไปโบสถ์ก็ได้ ไปที่ไหนก็ได้ อยู่ที่ไหนก็พูดได้ทันที นึกขึ้นมาได้ที่ไหน ก็พูดออกมาเลย พูดเหมือนที่เราเคยพูดอยู่ในวัด ในโบสถ์ ในวิหาร ที่เราแสวงหาสิ่งศักดิ์สิทธิ์นั่นแหละ พูดเหมือนกันแหละ แต่เที่ยวนี้พูดกับพระเยซูคริสต์ พระเจ้าผู้เที่ยงแท้แต่เพียงพระองค์เดียวเท่านั้น ก็คือสนใจ วางใจ เริ่มต้นแสวงหา แม้จะไม่เข้าใจ เริ่มต้นชิมดู แล้วท่านจะรู้ว่าพระเยซูเป็นพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์จริงๆ เป็นของขวัญคริสตมาส ที่พระบิดาผู้สถิตอยู่ในสวรรคสถานมอบให้กับมวลมนุษย์จริงๆ รวมทั้งท่านด้วย เอเมน พระเจ้าอวยพรครับ

********************

จากใจคณะศิษยาภิบาล

            มนุษย์ไม่สามารถทำได้ครบถ้วนสมบูรณ์  ดีพร้อม  ตามบัญญัติทั้งสิ้นของพระเจ้า  โดยไม่ละเมิดเลย  แม้แต่จุดเดียว

            โคโลสี 2:13-14 … “13 และท่านทั้งหลาย (คนต่างชาติที่ไม่ใช่ยิว) ซึ่งก่อนเชื่อนั้น  ได้ตายอยู่แล้วทางวิญญาณ  เพราะวิญญาณเป็นบาป  อยู่ในบาป  จึงทำบาป  คือการละเมิดกฎทั้งหลายของพระเจ้า (ที่ได้จารึกอยู่ในใจของท่านแล้ว) และในการไม่ได้เข้าสุหนัตในเนื้อหนังของพวกท่าน  ตอนนี้ท่านรับเชื่อในข่าวดีแล้ว  พระเจ้าได้ทรงทำให้พวกท่านมีชีวิตบังเกิดใหม่ในพระคริสต์  เช่นเดียวกันกับเรา (ชาวยิว)  และได้ทรงให้อภัยในการละเมิดกฎทั้งหลายของพวกเรา (ทั้งยิวและต่างชาติ) 14 พระองค์ทรงยกเลิก  กฎแห่งการกระทำ  ตามธรรมบัญญัติที่บันทึกไว้  ในหนังสือธรรมบัญญัติ  (หนังสือธรรมบัญญัติ  ที่พระเจ้าได้ประทาน  ให้กับชาวยิว  ผ่านทางโมเสส  และสำหรับคนที่ไม่ใช่ยิว  หนังสือธรรมบัญญัติ  บันทึกไว้ในใจของมนุษย์ทุกคน)   ซึ่งมีระบุไว้ว่าเราต้องทำตามทุกจุด  ทุกขีด  ทุกข้อในหนังสือบทบัญญัติ  อย่างสมบูรณ์ครบถ้วน  ไม่มีการละเมิดเลยแม้จุดๆ เดียว  กฎแห่งการกระทำนี้  จึงเป็นศัตรูต่อต้านชีวิตเรา  คอยกล่าวโทษเราว่าเราทำผิดกฎ  ละเมิดกฎ  คือทำบาป  ต้องได้รับโทษ  คือความพินาศในวิญญาณ  (เพราะมนุษย์เรา  ไม่สามารถทำได้ครบถ้วนสมบูรณ์  บริบูรณ์ดีพร้อม  ตามบัญญัตินั้นได้  โดยไม่ละเมิดเลย  แม้แต่จุดเดียว)  พระองค์ได้ทรงเอาหนังสือธรรมบัญญัตินี้  ตรึงไว้แล้วบนไม้กางเขน  (เพื่อว่าการสิ้นพระชนม์ของพระเยซูคริสต์บนไม้กางเขน  จะได้เป็นตัวแทนของเรา  มวลมนุษย์  ในการตายจากชีวิตเดิม  ร่วมกับพระองค์  จากชีวิตเดิม  ซึ่งเป็นหนี้บาป  ต้องชดใช้เวรกรรม อยู่ภายใต้กฎแห่งกรรม  กฎแห่งการกระทำ  ตามบทธรรมบัญญัตินี้)”

            พระเจ้าอวยพรครับ

วารสาร Holy  News   ฉบับที่ 1394 

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  18  ธันวาคม  2022

เรื่อง “พระเยซูผู้เปิดประตูสวรรค์ให้กับมวลมนุษย์”

โดย นคร  เวชสุภาพร

            ชื่อหัวข้อเรื่องในวันนี้ “พระเยซูผู้เปิดประตูสวรรค์ให้กับมวลมนุษย์” จำตรงนี้ได้ไหม? “ขอให้ท่านได้พบสันติสุขและความสงบทางใจ จากการเสียสละของพระเยซูคริสต์ ที่ได้ทรงไถ่บาปให้ท่าน” คุ้นๆ แล้วนะ ก็เป็นคำอธิบายในวันนี้ ตั้งแต่เริ่มต้นเลยว่า “ขอให้ท่านได้พบสันติสุขและความสงบทางใจ จากการเสียสละของพระเยซูคริสต์ ที่ได้ทรงไถ่บาปให้ท่าน” ลองถามคนข้างๆ สิว่าท่านพบแล้วหรือยัง? ผมก็อยากจะถามพี่น้องที่อยู่ทางบ้าน ใครก็ได้ที่ฟังคำบรรยายนี้อยู่ว่าแล้วท่านพบแล้วหรือยังครับ?

            ท่านได้พบกับสันติสุขและความสงบทางใจนี้แล้วหรือยัง?  ถามคนข้างๆ อีกครั้งหนึ่ง จะได้จำไปอวยพรด้วยไง  มาจากไหนรู้ไหม? มาจากคำที่เราคุ้นเคยกันในเทศกาลคริสตมาสทุกแห่ง ทั้งโลกเลย ใครๆ ก็รู้จักหมด ไม่ว่าจะลูกเด็กเล็กแดง ก็จำได้ คือคำว่า “Merry Christmas”

            คำว่า “Merry Christmas” นี้ มาจากคำภาษาอังกฤษโบราณที่อ่านว่า “Christer Maesse” ที่แปลเป็นภาษาไทย แปลว่า “มิสซาของพระคริสต์” หรือแปลอีกนัยหนึ่ง คือ “การเสียสละของพระเยซูคริสต์ ในการไถ่บาปให้มนุษย์” แปลเป็นไทยยาวหน่อย “Merry” แปลว่า “สันติสุขและความสงบทางใจ” ที่เขาอวยพรกัน ในภาษาอังกฤษโบราณ

            เพราะฉะนั้น เมื่อคำว่า “Merry Christmas” คำอวยพรนี้ จึงมีความหมายว่า “ขอให้ท่านได้พบสันติสุขและความสงบทางใจ จากการเสียสละของพระเยซูคริสต์ ที่ได้ทรงไถ่บาปให้ท่าน”

            ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป โดยเฉพาะสัปดาห์หน้า ที่เรารับประทานอาหารร่วมกัน Merry Christmas แล้วก็แปลเป็นไทยให้เขาเลยนะ

            วันคริสตมาส หรือ Merry Christmas นี้ เขามีการเฉลิมฉลองกันใหญ่โต ทั้งโลกเลย เป็นเวลานาน เป็นพันๆ ปีมาแล้วนะ ทุกคนก็ทราบและรู้ว่าคริสตมาส เป็นการระลึกถึงวันประสูติของพระเยซูคริสต์ พระบุตรของพระเจ้าที่มาเกิดเป็นมนุษย์ ถูกไหม? ใครๆ ก็รู้ จำได้ว่า Merry Christmas คืออะไร? มีหลักฐานทางประวัติศาสตร์มากมายที่บันทึกเรื่องราวของพระเยซูคริสต์ในขณะที่ทรงเป็นมนุษย์ เดินอยู่บนโลก เมื่อ 2,000 ปีก่อน  โดยทั่วไป ผู้คนยอมรับว่าพระเยซูคริสต์มีจริงๆ แต่สิ่งที่มีการถกเถียงกันมากที่สุด จนถึงทุกวันนี้ ก็คือสถานภาพที่แท้จริงของพระเยซูคริสต์นั้น คืออะไร?

            ในขณะที่พระเยซูทรงตระเวนประกาศ สั่งสอนผู้คน เมื่อ 2,000 ปีก่อน ในเรื่องเกี่ยวกับอาณาจักรสวรรค์กำลังมาตั้งอยู่ พระองค์นำอาณาจักรสวรรค์มาตั้งอยู่บนโลกใบนี้ และตรัสด้วยตัวพระองค์เองว่าพระองค์ทรงเป็นพระบุตรของพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์ พูดง่ายๆ ว่าพระเยซูประกาศด้วยตัวของพระองค์เองว่า …

            “เราคือบุตรของพระเจ้า เราคือพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์ อยู่ในร่างมนุษย์ เพื่อช่วยท่านทั้งหลายนี่แหละ” … พูดด้วยตัวพระองค์เองเลยนะ

            แต่ก็ยังมีคนจำนวนหนึ่งออกมาพูดบอกว่าพระเยซูคริสต์มีจริงๆ  แต่พระองค์ไม่ใช่พระเจ้า เป็นแค่ผู้เผยพระวจนะ หรือผู้นำทางศาสนาคนหนึ่งเท่านั้น ตั้งแต่วันที่พระเยซูคริสต์พูดเมื่อ 2,000 ปีก่อน จนถึงวันนี้ ก็มีคนแย้งอย่างนี้แหละ CS.Lewis นักเขียนคริสเตียนผู้หนึ่ง ผู้มีชื่อเสียงมาก เขียนหนังสือเรื่อง “Mere Christianity” ได้เขียนไว้อย่างนี้ว่า …

            “ข้าพเจ้าพยายามทำทุกอย่าง ที่จะไม่ให้ใครพูดโง่ๆ เกี่ยวกับพระคริสต์ เช่นบอกว่า “ฉันยอมรับว่าพระเยซูมีจริง และเป็นนักสอนศาสนาที่ดี แต่ไม่เชื่อในเรื่องการอ้างว่าทรงเป็นพระเจ้า”

            นี่คือคำพูดที่โง่มาก CS.Lewis เขียนไว้ต้นของหนังสือเล่มนี้ คำถาม ก็คือถ้าใครสักคนมาพูดโกหก และพูดแอบอ้างตัวเองว่าเป็นพระเจ้า  เรายังจะคิดว่าคนๆ นั้นเป็นคนดี หรือเรียกเป็นผู้เผยพระวจนะ หรือเป็นผู้สอนศาสนาได้อยู่อีกหรือ? นี่ CS.Lewis ตั้งข้อคิด ตรรกะแบบมนุษย์ให้เห็นชัดๆ ว่าถ้าคนนั้นแอบอ้าง ก็คือพระเยซูแอบอ้างว่าพระองค์เป็นพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์ แล้วเราไม่เชื่อว่าพระองค์เป็นพระเจ้า แต่เราเชื่อว่าพระองค์เป็นศาสดา เป็นผู้เผยพระวจนะที่ดีคนหนึ่ง นึกนะ เราควรจะเรียกคนนั้นว่าอย่างไร? ถ้าเป็นอย่างนั้น คนเสียสติ คนบ้ามากกว่า ถูกไหม? นี่คิดตามเหตุผล คนหนึ่งอ้างว่าตัวเองเป็นพระเจ้า แล้วบอกว่าไม่เชื่อ ที่คุณพูดโกหก แล้วเราก็บอกว่าคุณเป็นแค่ศาสดาของศาสนา  ศาสดาของศาสนาดีทุกคน  ทุกท่านบนโลกใบนี้

            แสดงว่า … “ผมเชื่อว่าคุณเป็นคนดีมากเลย”

            คนดีอะไรมาโกหกว่าตัวเองเป็นพระเจ้า  นี่คือตรรกะที่ CS.Lewis ได้ยกขึ้นมาให้เราได้เห็น เพราะฉะนั้น ถ้าพระเยซูไม่ใช่พระบุตรของพระเจ้าจริงๆ ตามที่เราเชื่อ หรือเข้าใจ ก็ต้องเป็นมนุษย์จอมโกหกหลอกลวง หรือเป็นคนเสียสติ คนบ้าคนหนึ่งเท่านั้น ถูกไหม? คิดตามนะ  และถ้าเป็นเช่นนั้น คำถามที่ตามมา ก็คือจนเวลาผ่านมา 2,000 กว่าปีแล้ว พิสูจน์ได้ ทำไมจำนวนผู้เชื่อพระเยซูคริสต์ถึงได้มีมากขึ้นและมากขึ้นขนาดนั้น

            2,000 ปีมีคนเชื่อ คนบ้าเยอะขึ้นเรื่อยๆ เหรอ? ไม่ใช่แล้วสิ น่าคิดใช่ไหม? คำตอบ ก็คือเพราะยังมีการถกเถียง ยังมีการโต้แย้ง ยิ่งมีการขุดคุ้ยหาหลักฐานว่าจริงหรือไม่? ใช่หรือไม่? ก็ยิ่งได้ค้นพบความจริงที่ชัดเจนขึ้นว่าพระเยซูคริสต์ทรงเป็นหรือมีสภาพเป็นพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์จริงๆ นั่นเอง ยิ่งค้นยิ่งเจอความจริง ใช้เวลา แรกๆ เมื่อ 2,000 ปีก่อน แย้งมาอย่างนั้น ยังไม่มีหลักฐานอะไรมากมาย แต่ 2,000 ปีมาแล้ว มีมากขึ้นทุกวันๆท่านเห็นไหมว่าเอาแค่เราในปัจจุบันนี้ ผ่านมา 2,000 ปีแล้ว ถามว่าแต่ละปี มาย้อนกลับไป คริสตมาสฉลองกันมากขึ้นหรือน้อยลงทั่วโลก? มากขึ้นและเห็นชัดๆ เยอะขึ้นเรื่อยๆ มาก แล้วอย่างนี้จะไปบอกว่าคนเหล่านี้ที่เชื่อ เชื่อคนเสียสติหรือว่าเขาเป็นพระเจ้า แสดงว่าเขาเป็นพระเจ้าจริงๆ นอกจากค้นพบทางประวัติศาสตร์อะไรต่างๆ หลักฐานต่างๆ เหล่านั้นแล้ว ยังค้นพบ เห็นชัดๆ ก็คือคนที่มาเชื่อว่าพระเยซูคริสต์เป็นพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์ และตาย ไถ่บาปเขา ชีวิตเขาอัศจรรย์เปลี่ยนแปลงไปหมดเลย ถูกไหม? เยอะขึ้นหรือน้อยลง? เยอะขึ้น ทุกวันนี้ เฉพาะตอนนี้ที่หายใจอยู่ สองพันล้านคนทั่วโลก  ชีวิตเขาเปลี่ยนไป อัศจรรย์เกิดขึ้นในชีวิตเขาจริงๆ  เพราะว่าพระเยซูคริสต์เป็นพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์จริงๆ พิสูจน์ได้ เห็นชัดเจน เอเมนไหม?

            ไม่ใช่อัศจรรย์ในชีวิตเฉพาะที่ชีวิตเปลี่ยนไป ที่มองไม่เห็น หมายถึงมองไม่เห็นชัดเจน ก็คือนิสัยเปลี่ยนไป ชีวิตเปลี่ยนไป อะไรต่างๆ ความหวังเปลี่ยนไป แต่อัศจรรย์แบบที่เห็นๆ ก็มี อย่างเช่น คนป่วยได้รับการรักษาให้หาย คนที่มีปัญหาอะไรมากมายได้รับการปลดปล่อยให้เป็นอิสระอะไรต่างๆ เหล่านั้น เยอะแยะมากมายไปหมด แสดงให้เห็นว่าพระเยซูคริสต์พูดเมื่อ 2,000 ปีก่อนว่า …

            “เราคือผู้นั้น เราคือผู้ที่พระเจ้าทรงส่งมา เราคือพระบุตรของพระเจ้าที่มาเกิดเป็นมนุษย์ มาตายแทนท่านที่ไม้กางเขน เพื่อช่วยท่านทั้งหลายให้มีชีวิตใหม่ และได้รับชีวิตอัศจรรย์นั้น เป็นเรื่องจริงๆ”

            อาณาจักรสวรรค์ของพระเยซูคริสต์บนโลกใบนี้ ได้ถูกแผ่ขยายออกไปเรื่อยๆ มากขึ้น ตามที่ได้เขียนไว้ในหนังสือพระคัมภีร์ล่วงหน้า เป็นพันๆ ปี ก่อนที่พระเยซูคริสต์จะบังเกิดอีกด้วยซ้ำไป ไม่ใช่ประกาศข่าวดีเฉพาะตอนที่พระเยซูคริสต์มาเกิดเป็นมนุษย์แล้วเท่านั้น ก่อนพระองค์จะมาเกิด ย้อนกลับไป 5-6 พันปีก่อน ก็เขียนถึงพระเยซูคริสต์แล้วว่าพระองค์จะมาเกิด มีหลักฐานชัดเจนว่าพระองค์มาเกิดจริงๆ ตามที่ได้บอกไว้เยอะแยะมากมายไปหมด นี่คือหลักฐานอีกอันหนึ่ง

            เหมือนอย่างทุกวันนี้เราได้ยินเพลงคริสตมาส บางเพลงเป็น 100 กว่าปี ถามว่าเพลงเหล่านี้ประกาศเรื่องพระเยซูเป็นพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์ นำเอาสวรรค์มาตั้งอยู่ เพลงเหล่านี้ ฟังแล้วฟังอีก ทุกปีๆ เขาเรียกว่าฮิตตลอดกาล เป็นเพลงฮิตที่นานที่สุดในโลกนี้เลย มีเพลงอะไรฮิตขนาดนี้ ฮิตมาเป็นพันๆ ปี เราฟังอยู่ทุกปี ขนาดก่อนที่ผมจะเชื่อ หรือก่อนที่ท่านจะเชื่อในเรื่องพระเยซูคริสต์ ท่านฟังดูแล้วมีความสุขไหม? ท่านรู้ไหมว่าเขาแปลว่าอะไร?  ไม่รู้ แต่รู้ว่าพอเทศกาลคริสตมาสทีไร มันมีความสุข บรรยากาศมันดี  เป็นบรรยากาศแห่งการให้ รู้สึกมีความสุขสบาย ทั่วโลกเป็นอย่างนี้ใช่ไหม? เขาเรียกว่าฤดูแห่งความสุข ทั้งๆ ที่ไม่รู้เรื่องเลยว่าแปลว่าอะไร? อย่างเช่นเพลง Silent Night และเพลง Oh Holy night วันนี้ผมจะเอาเพลง Oh Holy night มาให้ท่าน เพลงนี้ท่านคุ้นเคยอยู่แล้ว ดูว่าความหมายคืออะไร? ก็คือว่าพระเยซูคริสต์เป็นพระเจ้ามาเกิดเป็นมนุษย์ นำสวรรค์ลงมาตั้งอยู่บนโลกใบนี้นั่นเอง ที่ตะกี้นี้เราร้องกัน Holy night ภาษาไทย ลองดูภาษาอังกฤษนะ ความหมายมันจะละเอียดนิดหนึ่ง …

                        Oh holy night, The stars are brightly shining

                        ในค่ำคืนอันแสนศักดิ์สิทธิ์   เหล่าดวงดาวส่องประกายจรัสแสง

                        It is the night Of my Dear Savior’s birth

                        เพราะเป็นค่ำคืน ที่พระผู้ช่วยให้รอด  ได้เสด็จลงมาประสูติ

                        Long lay the world in Sin and error pining

                        เป็นเวลายาวนานมากแล้ว  ที่โลกนี้ ต้องตกอยู่ภายใต้ความบาป

                        Till He appeared and the soul felt its worth

                        จนวันที่พระองค์ได้ทรงปรากฏ  และชุบจิตวิญญาณของเรา (มนุษย์ทั้งหลาย) ให้มีค่าขึ้นมา

                        A thrill of hope The Weary world rejoices

                        เป็นความตื่นเต้นกับความหวังใหม่  เมื่อโลกที่เสื่อมสลายไปแล้ว

                        เพราะความบาป ได้กลับมา  มีความชื่นชมยินดีอีกครั้ง

                        For yonder breaks a New and glorious morn

                        สิ่งเก่าๆ จะล่วงไป และความรุ่งโรจน์จะเกิดขึ้น

                        และเต็มไปด้วยเสียงร้องสรรเสริญ คือสวรรค์มาตั้งอยู่นั่นเอง

                        Fall on your knees, oh hear the angel voices

                        จงคุกเข่าลง  แล้วตั้งใจฟังเสียงของเหล่าทูตสวรรค์ (ตามพระคัมภีร์บันทึกเลย)

                        Oh night divine, Oh night,  When Christ was born

                        Oh night divine Oh night  Oh Holy night

                        ค่ำคืนนี้  ช่างเป็นค่ำคืนที่เจิดจรัสด้วยแสง  เมื่อพระคริสต์ ได้ถือกำเนิดเกิดขึ้น

                        เป็นค่ำคืนอันศักดิ์สิทธิ์ขององค์พระผู้เป็นเจ้า

            ให้เราคุกเข่าลง ยอมรับความจริงเหล่านี้ เพราะมันเกินความเข้าใจของมนุษย์ที่จะเข้าใจว่าพระเจ้ามาเกิดเป็นมนุษย์ได้อย่างไร? เป็นไปได้อย่างไร? เราไม่เข้าใจ แต่มันเป็นเรื่องจริง เพราะฉะนั้น ในตอนนี้ก็ต้องบอกว่า Fall on your knees คือให้เรายอมจำนนต่อความจริงนี้ แล้วก็ตั้งใจฟังเสียของทูตสวรรค์ เริ่มต้นประกาศว่ามาแล้ว พระเจ้ามาเกิดเป็นมนุษย์  ตามสัญญาแล้ว

            เพราะว่าพระเจ้าเสด็จมา โดยการกำเนิดเป็นมนุษย์ เพื่อช่วยเหลือมนุษย์ทั้งหลายให้พ้นจากความบาปและคำสาปแช่งต่างๆ กลับคืนสู่สวรรค์นั่นเอง เอเมนไหม?

            ทุกวันนี้ ก็ยังเปิดเพลงเหล่านี้อยู่  นอกเหนือจากเพลงนี้ เรายังมีเพลงอื่นๆ เพลงคริสตมาส เป็นเพลงที่ไม่เคยเก่า ไม่เคยล้าสมัย ฮิตมากขึ้นทุกวัน  มีแต่คนเปิดมากขึ้นทุกวัน ขนาดไฟกระพริบๆ นี้ ก็เปิดเพลงไม่มีเนื้อ  แต่ก็บรรเลงเพลงเหล่านี้  เราก็ได้ยินคุ้นหูเลย  ไม่เชื่อลองร้องท่อนแยกสิ ร้องได้ทุกคนแหละ

                        ** ข้าฯขอบูชา วันทา กราบไหว้พระเยซู

                             เพราะว่า  ในวันนั้น  ทรงธรรมเสด็จลงมา

                             เพื่อเปิด  หนทาง  สวรรค์  ให้แก่ประชา **

            คำว่า “Oh Holy Divine” ที่แปลว่าค่ำคืนที่เจิดจรัสด้วยแสง ความหมาย ก็คือเป็นค่ำคืนที่แสงจากสวรรค์ได้ส่องลงมาบนโลก เป็นครั้งแรก พระเยซูตรัสว่าพระองค์ทรงเป็นพระบุตรของพระเจ้า ทรงเป็นแสงสว่าง ที่ส่องเข้ามา บนโลกใบนี้ ตั้งแต่วันนั้นแหละ 2,000 ปีก่อน เพราะเป็นเวลานานมาแล้วที่โลกตกอยู่ภายใต้ความบาป เป็นอาณาจักรแห่งความมืด และในค่ำคืนคริสตมาสอย่างนี้ ที่พระผู้ช่วยให้รอด ได้มาประสูติ  ทำให้แสงจากสวรรค์สามารถส่องลงมาได้ เป็นแสงสว่าง เป็นหนทางที่จะนำพามนุษย์ ไปสู่แสงสว่างนั้น ก็คือไปสู่อาณาจักรสวรรค์ของพระเจ้าพระบิดานั่นเอง พูดง่ายๆ การเปิดประตูสวรรค์ให้กับมนุษย์ทั้งหลาย สามารถมาเข้าสวรรค์ได้แล้วนั่นเอง

            มันเป็นข่าวดี เป็นความจริง ที่ได้ถูกประกาศมาแล้ว 2,000 ปี ซึ่งว่ากันตามจริง อย่างที่บอก ประกาศก่อน 2,000 ปีด้วยซ้ำ หลายพันปีมาแล้ว ก่อนหน้านั้น ว่าพระองค์จะมาเกิด ว่าพระมาซีฮาห์ ที่พระเจ้าสัญญาไว้ว่าจะมาช่วยเหลือมนุษย์ ตามที่พระองค์ทรงบอกไว้นั้น จะมาเกิด แล้วก็มาเกิดจริงๆ เมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว วันคริสตมาสแรกของโลกนี้

            เพราะฉะนั้น ยอมรับความจริง คือพระเยซูคริสต์ แม้ความคิดจะไม่เข้าใจ แล้วอัศจรรย์ยิ่งใหญ่จะเกิดขึ้นในวิญญาณของท่านทั้งหลาย ที่ได้ยินได้ฟัง  ความจริงในโลกวิญญาณที่ตามนุษย์มองไม่เห็น หูไม่ได้ยิน คิดไม่ถึง ไม่เข้าใจ คือถ้อยคำพระเจ้าที่บอกไว้นั้น ก็คือเรื่องของข่าวดีของพระเยซูคริสต์ พระเจ้าประกาศอยู่ตลอดเวลา เป็นพันๆ ปีมาแล้ว บอกว่าสิ่งที่ตามองไม่เห็น หูไม่ได้ยิน ก็หมายถึงว่ามนุษย์ไม่สามารถที่จะใช้ ตามนุษย์ธรรมดา หรือหูธรรมดาของเราที่จะเข้าใจสิ่งเหล่านี้ได้  เพราะมันเป็นความจริงในโลกวิญญาณนั่นเอง

            บทสรุปของเรื่องราวเหล่านี้ ของข่าวดีเหล่านี้ ทั้งหมด คือยอห์น 3:16 เริ่มต้น ลองอ่านดู ท่านจะเห็นภาพชัดเจน …

        ยอห์น 3:16 “พระเจ้าทรงรักมนุษย์และโลกยิ่งนัก ถึงกับได้ประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ คือพระเยซูคริสต์ เพื่อทุกคนที่วางใจ (พึ่งพา) ในพระบุตรนั้น จะไม่พินาศ (ตายนิรันดร์ อยู่ในความบาป) แต่ได้รับการบังเกิดใหม่ มาเป็นลูกของพระองค์ มีชีวิตนิรันดร์ ที่เป็นของพระองค์ เหมือนพระองค์”

            นี่คือสาระสำคัญของข่าวดี สรุปสั้นๆ แค่นี้เอง ก็คือพระเจ้าทรงรักมนุษย์ยิ่งนัก บนโลกใบนี้ แล้วจึงประทานพระบุตรของพระองค์ ซึ่งเป็นพระเจ้า ก็คือพระเยซูคริสต์มาเกิดเป็นมนุษย์ เพื่อช่วย และใครก็ตามที่เชื่อ ยอมรับความจริงเหล่านี้ วางใจในพระบุตร คือพระเยซูคริสต์ว่าเป็นพระเจ้าจริงๆ ช่วยได้จริงๆ เขาคนนั้นจะรอด จากการถูกพิพากษา ได้รับการบังเกิดใหม่ มาเป็นลูกของพระเจ้า มีชีวิตนิรันดร์ทันที ในข้อ 17 ต่อไป บันทึกไว้อย่างนี้ว่า …

        ยอห์น 3:17 “เพราะว่าพระเจ้าทรงให้พระบุตรเข้ามาในโลก ไม่ใช่เพื่อพิพากษาลงโทษมนุษย์และโลก แต่เพื่อช่วยกู้มนุษย์และโลก ให้รอดจากการถูกพิพากษาลงโทษนั้น โดยทางการวางใจ พึ่งพาในพระบุตร คือพระเยซูคริสต์”

            พระเยซูมา เพื่อช่วยกู้มนุษย์ให้รอดจากการถูกพิพากษาลงโทษนั้น โดยการวางใจพึ่งพาในพระเยซูคริสต์ พระบุตรของพระเจ้านั่นเอง และถ้าไม่วางใจ อยู่ในสภาพเช่นไร? ในข้อ 18 ตามมา ก็คือ …

        ยอห์น 3:18 “คนที่วางใจพึ่งพาในพระบุตร คือพระเยซูคริสต์ จะไม่ถูกพิพากษาลงโทษให้พินาศ ส่วนคนที่ไม่ได้วางใจ ก็ถูกพิพากษาลงโทษ อยู่ในความพินาศ ในความตาย ในความบาปเหมือนเดิมอยู่แล้ว เพราะเขาไม่ได้วางใจ พึ่งพาในพระนามพระเยซูคริสต์ พระบุตรองค์เดียวของพระเจ้า”

            ส่วนคนที่ไม่ได้วางใจในพระบุตร คือพระเยซูคริสต์ ไม่ได้วางใจ แปลว่าอะไร? ก็คือไม่ได้วางใจว่าพระองค์เป็นพระบุตรของพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์ เป็นเรื่องจริง ไม่เชื่อว่าพระองค์พูดเป็นเรื่องจริง เชื่ออาจจะเหมือนที่บอกตะกี้นี้ ตรรกะตอนแรกๆ ที่ CS.Lewis ยกมาให้เราได้คิด คืออาจจะแค่วางใจ เชื่อว่าพระองค์เป็นศาสดาของคริสเตียนที่ดี 1 คน ก็คือไม่ไว้วางใจนั่นเอง ถ้าวางใจในพระเยซูคริสต์ ตามข้อนี้ นั่นหมายถึงว่าวางใจ พระเยซูบอก …

            “ให้ท่านวางใจในเรา ว่าที่เราพูดจริงๆ เราเป็นผู้นั้น ผู้นั้น เป็นใคร?  เราคือผู้นั้น ที่พระเจ้าสัญญาไว้ ตั้งแต่หลายพันปีก่อนแล้วว่าจะส่งเรามาช่วยเหลือมนุษย์ทั้งหลายให้พ้นจากบาป และเวรกรรม ช่วยให้ท่านเข้าสู่สวรรค์ได้ โดยผ่านทางเรา (เรา คือผู้นั้น) ถึงเวลาแล้ว ถึงกำหนดแล้ว พระเจ้าส่งเรามาเกิดแล้ว เราคือพระบุตรของพระเจ้าที่พระองค์ทรงสัญญาไว้”

            ที่ภาษาเดิม ภาษาฮีบรูเรียกว่า “พระเมสิยาห์” หรือ “มาซีฮาห์” แปลว่าพระผู้ช่วยให้รอด ที่พระเจ้าทรงสัญญาไว้ว่าจะมาช่วย แต่งตั้งไว้เรียบร้อยแล้ว ก่อนที่จะมาเกิดเป็นมนุษย์ และตอนนี้มาแล้ว ให้ท่านวางใจในเราว่าเราคือผู้นั้น จริงๆ เราคือพระเจ้า ที่พระองค์ทรงสัญญา มาเกิดเป็นมนุษย์แล้วจริงๆ เชื่อในเรา วางใจในเรา จึงจะได้รับความรอด จึงจะเข้าสู่สวรรค์ เพราะผ่านทางเราเท่านั้น ท่านจึงสามารถเข้าไปอยู่ในสวรรค์ได้

            เพราะฉะนั้น ถ้าไม่วางใจว่าพระเยซูคริสต์เป็นพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์ ก็คือไม่วางใจนั่นเอง จะวางใจว่าพระองค์เป็นศาสดาที่ดี หรือเป็นครูสอนที่ดี หรือเป็นผู้เผยพระวจนะที่ดี หรือเป็นผู้รับใช้พระเจ้าที่ดี หรือเป็นอะไรก็ตามที่ท่านพูดว่าดีๆ ก็มีค่าเท่ากันกับว่าท่านไม่ได้วางใจ ไม่ได้เชื่อว่าที่พระองค์พูดนั้นจริง มีค่าเท่ากับคนที่ไม่เชื่อว่าพระองค์พูดจริง ก็คือใส่ร้ายพระองค์ว่าพระองค์เป็นคนเสียสติ เป็นคนบ้า ซึ่งมีจำนวนหนึ่ง คิดอย่างนั้นจริงๆ ตอนเริ่มต้นที่ทรงประกาศ เดินอยู่บนโลกใบนี้ เมื่อ 2,000 ปีก่อน ก็มีกลุ่มคนกลุ่มหนึ่ง ที่เป็นชาวยิว พวกฟาริสี พวกคงแก่เรียน ในการศาสนายิว ก็กล่าวหาว่าพระองค์ทรงเป็นบ้า ทรงเสียสติ อย่างที่ตะกี้นี้ตรรกะที่บอกไว้ว่าถ้าเราไม่เชื่อพระองค์ เรามีสิทธิ์ที่จะนึกว่าพระองค์เป็นคนบ้าจริงๆ อยู่ดีๆ มาประกาศว่าเราเป็นพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์ เดินอยู่บนโลกใบนี้ มาช่วยเหลือมนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้เลย มันเกินกว่าความคิดของมนุษย์ที่จะเข้าใจจริงๆ มันเหลือเชื่อจริงๆ ถูกไหม? เราต้องเข้าใจ

            เพราะฉะนั้น คนที่มั่นใจในตัวเองอย่างสูง อย่างเช่นฟาริสี หรือคงแก่ศาสนาในยิว ในสมัยเมื่อ 2,000 ปีก่อน ไม่ยากเลยที่จะตัดสินว่าเขาเป็นคนเสียสติ เพราะยังไม่มีอะไรที่จะมาพิสูจน์กันมากมายนัก เพราะว่าพระองค์ยังไม่ได้ทำงานสำเร็จ ยังเดินอยู่บนโลกใบนี้ ยังไม่ได้ไปตายที่ไม้กางเขน และเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่ 3 มีอัศจรรย์ที่พระองค์ทรงกระทำบ้าง ตอนเดินอยู่บนโลกใบนี้ 3 ปีนั้น เท่านั้นเอง ไม่พอสำหรับพวกเขา แต่สำหรับพวกเราผ่านมา 2,000 ปี เห็นชัดเจนมากขึ้นเลยว่าอะไรบางอย่างที่เกิดขึ้นจากข่าวดีนี้ที่ถูกประกาศมา ตั้งแต่วันนั้น ถึงวันนี้ มันเจริญขึ้นไป เติบโตมากขึ้นทุกวันๆ อาณาจักรสวรรค์ที่พระเยซูคริสต์นำมาบนโลกใบนี้ มันขยาย เจริญเติบโตมากขึ้นทุกวัน  มีคริสเตียนตามพระเยซูคริสต์มากขึ้นทุกวันๆ แต่ในสมัยนั้น ไม่ได้มีอย่างนี้ ต้องเข้าใจเขา ในทิตัส 3:5 ได้บันทึกไว้อย่างนี้ …

        ทิตัส 3:5 “พระองค์ได้ช่วยให้เรารอด ไม่ใช่เพราะเราทำดี แต่เป็นเพราะความเมตตากรุณาของพระองค์ต่างหาก พระองค์ได้ชำระล้างเรา ซึ่งทำให้เราเกิดใหม่ และถูกสร้างขึ้นมาใหม่ ด้วยฤทธิ์เดชของพระวิญญาณบริสุทธิ์”

            นี่ก็เป็นสิ่งหนึ่ง ที่ทำให้คนสมัยนั้น เชื่อพระเยซูยากมาก เพราะอะไร? เพราะเราอ่านในนี้ พระองค์ทรงช่วยให้เขารอดจากความบาป โดยที่ไม่ต้องทำอะไรเลย  โดยที่ไม่ต้องประพฤติอะไรเลย  โดยที่ไม่ต้องรักษาความดีงามอะไรต่างๆ นี้ ได้เข้าสวรรค์ โดยไม่ต้องประพฤติ เรียกว่าให้เข้าสู่สวรรค์ฟรีๆ โดยความเชื่อเท่านั้นเอง ไม่ต้องทำอะไรเลยสักอย่างหนึ่ง ที่พระคัมภีร์เรียกว่าพระคุณ

            ดังนั้น โอกาสที่เขาจะไม่เชื่อว่าพระเยซูพูดจริงมีเยอะมากเลย  เราก็เข้าใจเขาในสมัยนั้น และยังแถมพระองค์สามารถชำระล้างบาปให้กับคนนั้น และทำให้คนนั้นบังเกิดใหม่ได้ด้วย ยิ่งไม่รู้จะหาทางเข้าใจได้อย่างไรเลย จึงมีผู้ที่ไม่เข้าใจ กล่าวหาพระองค์เสียๆ หายๆ อยู่ แต่ปัจจุบันไม่ควรจะเป็นอย่างนั้นเลย  เพราะว่ามีข้อพิสูจน์มากมาย มีผู้คนติดตามพระองค์และเชื่อ ชีวิตเปลี่ยนไปมากมาย รุ่นแล้วรุ่นเล่ามา 2,000 ปีนี้ เยอะมากเลย ที่ได้พระคุณจากพระเจ้า และได้บังเกิดใหม่  เห็นชัดๆ ชีวิตที่ได้เปลี่ยนไป ยังมีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ก็ 2,000 กว่าล้านคน  และที่ในอดีต นับไม่ถ้วน

            ผู้คนเหล่านี้เป็นคำพยานอันดีจริงๆ ว่าพระเยซูคริสต์นำเอาสวรรค์มาให้กับมนุษย์ โดยที่มนุษย์ไม่ต้องพึ่งพาการกระทำของตนเองเลย เพื่อจะได้เข้าสวรรค์ เพียงแค่พึ่งพาพระเยซูคริสต์อย่างเดียว พูดง่ายๆ วางใจว่าพระเยซูคริสต์เป็นพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์ เท่านั้นเอง ได้รับความรอดไปสวรรค์แล้ว ทำไมมันง่ายอย่างนี้ เรียกว่าพระคุณ รอดโดยพระคุณ ไม่ใช่การกระทำดี ซึ่งในอดีตมาตลอดเวลาเลย หลายพันปีมาจนถึงทุกวันนี้ มนุษย์คิดตามภาษามนุษย์ เข้าใจตามภาษามนุษย์ว่าถ้าไปสวรรค์มันต้องพึ่งพาการกระทำความดี แต่พระองค์มาถึง เป็นผู้เดียวที่ประกาศอย่างนี้ เป็นผู้เดียวในโลกนี้เลย ที่บอกว่าไปสวรรค์ได้ โดยไม่ทำความดีก็ได้ ให้มาเชื่อในตัวเราเท่านั้นเอง รับได้อย่างไร? ความเข้าใจของมนุษย์ไม่มีทางเข้าใจเลย พูดง่ายๆ พระคุณนี้ เหมือนอะไรรู้ไหม? ผมจะยกตัวอย่างอันนี้ ชัดเจนเลย

            มนุษย์ทั้งหลายอยู่บนโลกใบนี้ ที่เป็นคนบาป เปรียบเหมือนนักโทษ รอการประหาร พอเกิดมาเป็นมนุษย์ อยู่บนโลกใบนี้ ก็คือเป็นนักโทษ อยู่ใต้คำพิพากษาไปแล้วว่าต้องถูกประหารชีวิต รอตะแลงแกงเสร็จเท่านั้นเอง รอวันที่เขาจะนำไปประหารชีวิต นึกภาพนะ อยู่ในเรือนจำ รอวันที่เขาจะนำไปยิงเป้า ประหารชีวิต แล้วจู่ๆ ก็มีพระราชา มีกษัตริย์บอกว่า …

            “ปีนี้เราให้อภัยทั้งหมดเลย ให้พระกรุณาทั้งหมด  ให้นักโทษที่ถูกตัดสินให้ประหารทั้งหมดทุกคน ได้เป็นอิสระ จากโทษทัณฑ์นั้น ไม่ต้องถูกประหารแล้ว นึกภาพออกไหม? ใครก็ตามที่อยากได้ พระกรุณาธิคุณนี้ ให้ยกมือขึ้น” แค่นั่นเอง  ไม่ต้องทำอะไรเลย

            ยกมือขึ้น ก็ออกจากเรือนจำทันที เพราะว่าเป็นอิสระแล้ว ไม่มีโทษแล้ว เรียกว่าพระกรุณา พระเมตตา พอออกมาจากเรือนจำปุ๊บ เป็นอิสระแล้ว แต่ก็เป็นอดีตนักโทษอยู่ ถูกไหม?

            พระคุณ คือให้เป็นอิสระออกมาข้างนอกแล้ว ไม่ต้องถูกประหารชีวิต แค่นั้นไม่พอ พระราชาบอกว่าให้นักโทษคนนั้นที่ออกมาแล้ว เข้ามาอยู่ในวัง  ก่อนจะเข้ามาอยู่ในวัง  จับไปผ่าตัดให้เรียบร้อย เอาอดีต ความเป็นนักโทษออกไปซะ เปลี่ยนชีวิตใหม่ เปลี่ยนหัวใจใหม่ เปลี่ยนอะไรต่างๆ ใหม่ รับเข้ามาอยู่ในวัง มาเป็นรัชทายาท

            รัชทายาท ก็คือผู้ที่จะปกครองมรดกของพระราชาในอนาคต เป็นรัชทายาท เชื่อได้ไหม? จะบ้าไปแล้วหรือไง? เป็นไปได้อย่างไร? แต่ในพระคัมภีร์ ในโลกวิญญาณ มันเป็นอย่างนั้นจริงๆ เรียกว่าพระคุณ จึงเชื่อยากไง? จึงเข้าใจว่าทำไมเขาเชื่อยาก

            อิสยาห์ 55:8-9 จึงได้บันทึกอย่างนี้ พระเจ้าทราบดี พระเจ้าก็จะเตือนอย่างนี้อยู่เรื่อยๆ เรียกว่า …

            “ถ้าเจ้าใช้ความคิดของเจ้า ใช้ปัญญาของเจ้า ใช้ตรรกะแบบเป็นมนุษย์ ไม่มีวันที่จะเข้าใจ พระคุณที่เราทำอยู่นี้เลย มันเป็นไปไม่ได้เลย เจ้าต้องใช้วิธีอื่นในการตัดสินใจเรื่องนี้”

            ก็คือเดี๋ยวรู้เองว่าใช้อะไร?  ลองอ่านดูก่อนว่าพระเจ้าเตือนไว้อย่างไร? นี่คือหนึ่งในจำนวนคำเตือนของพระเจ้าในความจริงนี้ว่าท่านจะรับความจริง ในเรื่องข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์ได้ด้วยวิธีใด? มนุษย์ทั้งหลาย …

        อิสยาห์ 55:8-9 พระเจ้าตรัสว่า “8 “เพราะความคิดของเราไม่เป็นความคิดของเจ้า ทั้งวิถีทางของเจ้าไม่เป็นวิถีทางของเรา” 9 องค์พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนั้น “ฟ้าสวรรค์สูงกว่าแผ่นดินโลกฉันใด วิถีของเรา ก็สูงกว่าทางของเจ้า และความคิดของเราก็สูงกว่าความคิดของเจ้า ฉันนั้น”

            “ฟ้าสวรรค์สูงกว่าแผ่นดินโลกเท่าใด วิถีของเรา ก็สูงกว่าทางของเจ้า  และความคิดของเรา ก็สูงกว่าความคิดของเจ้าฉันนั้น” เอเมน

            พูดง่ายๆ ว่าถ้าเจ้าใช้ความคิดและใช้ปัญญาของตนเอง จบข่าว ต้องใช้ความไว้วางใจในเราเท่านั้นว่ามันเป็นเรื่องจริง เพราะฉะนั้น อย่ารอให้เข้าใจด้วยเหตุผล ความคิดของมนุษย์ของตนเอง ตามตรรกะของมนุษย์ของตนเองก่อน แล้วค่อยตัดสินใจ ยอมรับความจริง ในเรื่องการวางใจในพระเยซูคริสต์ ถูกไหม? อย่ารอให้เข้าใจก่อน แล้วค่อยมาเชื่อพระเยซู เพราะว่ามันเป็นไปไม่ได้ ไม่มีวันเข้าใจหรอก ที่เรานั่งกันอยู่ทุกวันนี้  ที่เราเป็นผู้เชื่อ เป็นคริสเตียนแล้ว เราก็เริ่มต้นด้วยวางใจในความจริงนี้ ด้วยข้างใน ด้วยวิญญาณของเรา ไม่ใช่ด้วยความคิดของเราคิดว่ามันใช่ เพราะว่าถ้าเรารอ หาเหตุผล หรือความเข้าใจเสียก่อน มันจะสายเกินไป เพราะมันเป็นไปไม่ได้ มันตายก่อน ที่จะรู้ พูดง่ายๆ ให้ลองใช้จิตวิญญาณส่วนลึกภายในจิตใจของท่าน แสวงหาดู ทุกคนในนี้ที่ได้รับ ได้รู้ ได้มีประสบการณ์จริงๆ แล้ว แสวงหาด้วยการใช้จิตวิญญาณทั้งสิ้น ไม่ได้มาด้วยความคิดเลย ผมเองก็หนึ่งคนแล้ว ท่านเองก็เหมือนกัน ถูกไหม? เรามาจากการที่เราไม่เข้าใจ พอเราไม่เข้าใจ  เราทำอย่างไร? …

            “พระเจ้ามันเรื่องจริงหรือ? ไม่เข้าใจเลย”

            อย่างที่ผมยกตัวอย่าง พระเยซูอยู่ไหน? พระเยซูที่เขาประกาศ  อยากรู้จัก แต่ไม่เข้าใจ  เขาพูดอะไรกัน  แต่ก็อยากจะรู้นะ เริ่มต้นด้วยวิธีนี้ ก็เจอ เพราะเริ่มด้วยวิญญาณข้างใน  ไม่ใช่ด้วยเหตุผล มีใครในที่นี้มาเชื่อแบบจิตวิญญาณบ้าง? ลองเป็นพยานสักคนหนึ่งสิ มีไหม? มีทุกคน ของท่านเป็นอย่างไรบ้าง?

            ไม่เข้าใจเลย เพื่อนทำไมพูดแต่เรื่องพระเยซู เราก็ไม่เข้าใจ แต่เราเริ่มต้นอยากรู้ ก็จะใช้วิธีไม่เข้าใจ ก็จะพูดแล้ว พูดกับใคร? ก็พูดกับพระเจ้า พูดกับพระเยซูไงว่าไม่เข้าใจ จะพูดแบบผมหรือไม่ ก็ไม่รู้ แต่ในที่สุด ก็คือก็อยากรู้ เขาพูดมาตั้งนานแล้ว เริ่มสนใจ  แต่ไม่เข้าใจ เริ่มพูดกับพระเยซูโดยไม่เข้าใจ ในที่สุด ก็เข้าใจ เพราะว่าเริ่มต้นนั้น มันเริ่มต้นด้วยจิตวิญญาณ มาถูกทางแล้ว เพราะฉะนั้น พี่น้องทั้งหลายที่ฟังอยู่ เริ่มต้นดูสิครับ เริ่มด้วยจิตวิญญาณของท่าน ในส่วนลึก ภายในจิตใจของท่านแหละ พูดกับพระองค์เลย ไม่เข้าใจ ก็บอกว่าไม่เข้าใจ …

            “ลูกไม่เข้าใจ อยากจะรู้จัก มีปัญหามากมายในชีวิต อยากจะให้พระองค์ทรงช่วย เหมือนกับคนนั้นที่พระองค์ช่วยไปแล้ว ทำอย่างไร?”

            นี่แหละ คือสิ่งที่เรียกว่ามาจากจิตวิญญาณข้างใน ไม่ต้องไปนั่งลึกซึ้งมาก วิญญาณข้างในมันต้องเป็นอย่างนี้ ต้องเข้าสู่ที่สงบ ต้องไปปลีกวิเวก ไม่ใช่อย่างนั้นเลย เข้าใจผิด จิตวิญญาณ ก็คือไม่เข้าใจ  ไม่เข้าใจ ก็พูดไปสิ ไม่เข้าใจ ก็พูดไปเรื่อย

            “อยากรู้จักจัง ฉันอยากรู้จักข่าวประเสริฐนี้ ฉันก็อยากจักรู้จักพระเจ้า” … แค่นั้นเอง

            และถ้าท่านลองแสวงหาอย่างนั้นไปด้วยจิตวิญญาณของท่าน ท่านเจอแน่ เพราะว่ามันเป็นเรื่องจริง คริสตมาสปีนี้ ท่านอาจจะได้ยิน ท่านแสวงหาอย่างที่ผมอธิบายให้ฟังเมื่อตะกี้นี้  อย่างที่คนเป็นพยานเมื่อสักครู่นี้ว่าใช้วิญญาณ ใช้จิตใจส่วนลึกของท่าน พูดด้วยความตรงไปตรงมา คริสตมาสปีนี้ ท่านอาจได้ยินเสียงของพระเจ้าก็ได้ เสียงของพระเจ้าท่ามกลางบรรยากาศแห่งการให้ของขวัญ ในวันคริสตมาส บรรยากาศแห่งความสุขสงบและความชื่นชมยินดีทั้งโลก พระเจ้าจะพูดกับท่านว่า …

            “กลับบ้านเราเถิดลูก พ่ออภัยให้หมดแล้ว พ่อเตรียมทุกสิ่งที่ดีเลิศไว้ให้กับลูกแล้ว พ่อรออยู่นะ รักลูกมากๆ”

            คืออะไร? ก็คือประโยคที่ทุกคนในโลกใบนี้ ที่ยังมีชีวิตอยู่ทุกวันนี้ 2,000 กว่าล้านคนที่เป็น คริสเตียนผู้เชื่อแล้วนั้น ได้รับเสียงนี้จากพระเจ้า เมื่อวันที่เขาเปิดใจ ใช้วิญญาณเขาแสวงหาพระองค์ด้วยวิญญาณ เขาเจอแน่ มันเป็นของจริง พระเจ้าดีใจมาก รออยู่แล้วว่าทุกคนได้รับอย่างนี้เช่นเดียวกันหมด

            “กลับบ้านเถิดลูกเอ๋ย พ่อรักลูกมากนะ”

            การเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ หรือเรียกว่าพระเมสิยาห์ พระคริสต์เข้ามาในชีวิต ก็เหมือนกับการตัดสินใจกลับบ้านของพระบิดา คือสวรรคสถานนั่นเอง สวรรคสถานเป็นที่สำหรับมนุษย์อยู่อาศัยเท่านั้นไม่ได้เตรียมไว้ให้กับวิญญาณ หรืออะไรต่างๆ เหล่านั้นเลย แต่เตรียมไว้ให้กับมนุษย์บนโลกใบนี้เท่านั้น ลงมาตั้งอยู่ เพื่อมนุษย์ทั้งหลายจะเข้าสู่สวรรค์ได้ และเมื่อถึงสวรรค์ เมื่อถึงบ้านแล้ว พระบิดาก็จะต้อนรับด้วยความตื่นเต้น  ด้วยความยินดี จัดงานเลี้ยงฉลองรับเรากลับมาเป็นลูก เป็นเจ้าของบ้านร่วมกับพระเยซูคริสต์ทันที รออยู่แล้วว่าท่านเปิดใจ แสวงหาเท่านั้นเอง อย่าใช้ความคิด อย่าใช้ความเข้าใจ บ้านก็คือสวรรค์ของพระบิดา เมื่อเป็นลูก อยู่ในบ้านของพระเจ้าแล้ว โดยพระคุณ ไม่ต้องทำอะไรเลยนะ พระคุณที่ได้ให้กำเนิด  รับเราเป็นลูก ด้วยท่าทีแห่งความรักของพระเจ้า รับเราเป็นลูกของพระองค์ ด้วยพระคุณ

            ในท่าทีแห่งความรัก ด้วยพระคุณของพระเจ้าอย่างนี้ เช่นเดียวกัน  ที่พระเจ้าจะใช้ความรักอย่างนี้ ลักษณะอย่างนี้ของพระองค์ พอรับเราเป็นลูกแล้ว ก็จะฝึกสอนเราด้วยความรัก  แบบอากาเป้ แบบไม่มีเงื่อนไขอย่างนี้  ด้วยความทะนุถนอม เพื่อให้เราเริ่มต้นประพฤติตัวให้สมกับเป็นลูกของพระเจ้า อยู่ในบ้านนี้ โดยย้ำยืนยันกับลูกๆ บ่อยๆ ในวิญญาณข้างในว่า …

            “พ่อรักลูกมากนะ”

            นี่อยากจะให้ผู้ที่เป็นลูกของพระเจ้าแล้ว ที่วางใจในพระเยซูคริสต์ ได้บังเกิดใหม่แล้ว ได้ยินได้ฟังด้วย สำหรับผู้ที่ยังไม่ได้บังเกิดใหม่ กำลังแสวงหาอยู่ ถ้าท่านใช้จิตวิญญาณของท่านแสวงหา ท่านก็จะได้พบกับความจริงนี้ และท่านก็จะได้รับเสียงนี้จากพระเจ้า เช่นเดียวกัน เพราะท่านเป็นลูกแล้ว พระเจ้าก็จะบอกเรา บอกบ่อยๆ เลย ลูกของพระเจ้าทั้งหลาย คริสเตียนทั้งหลาย ที่ได้บังเกิดใหม่แล้ว พระเจ้าก็จะพูดกับเราบ่อยๆ ในจิตใจ ในวิญญาณของเรา ส่วนลึกๆ ว่า …

            “พ่อรักลูกมากนะ ไม่เป็นไรนะ พ่ออภัยให้เสมอ (เวลาเราทำอะไรผิดพลาดไป) ลูกบริสุทธิ์ สะอาด ดีพร้อมเหมือนพ่อเลย อย่ากลัวเลย พ่ออยู่กับลูกเสมอ พ่อไม่เคยละลูก ทิ้งลูกให้อยู่ลำพังนะ  ไม่มีใครที่ไหนจะสามารถทำอันตราย ทำร้ายลูกได้เลย พ่อจะดูแลเอง พ่ออยู่กับเจ้า จงพัก หายเหนื่อยและเป็นสุข  สงบในสวรรค์ บ้านของเรานี้ ลูกจะอยู่กับพ่อตลอดไป ไม่ต้องกลัวว่าพ่อจะทิ้งเจ้าไปไหนเลยนะลูก จงมั่นใจในความรักของพ่อ”

            นี่แหละ มันจะเป็นอย่างนี้ตลอดเลย ใครมีหูจงฟังเถิด ใครมีตา จงมองให้เห็นเถิด พระวิญญาณของพระเจ้าตรัสดังนี้แหละ พ่อของเรารอคอยเรากลับบ้าน ถ้ากลับบ้านแล้ว พระองค์มีท่าทีกับเราอย่างนี้ อย่างที่ตะกี้นี้อ่านให้ฟัง อย่างนี้เลย ตามพระคัมภีร์เลย พระวิญญาณของพระเจ้าจึงบอกว่าใครมีหูจงฟังเถิด ใครมีตาจงมองให้เห็นเถิด ถ้าได้บังเกิดใหม่แล้ว วางใจในพระเยซูคริสต์ได้เข้าสู่สวรรค์แล้ว หูตาฝ่ายวิญญาณก็จะเปิดออกกว้างขึ้น ก็จะได้ยินเสียงเหล่านี้แหละ คือเสียงของพระเจ้า  ที่บอกมนุษย์ทั้งหลาย  โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้คนที่เป็นมนุษย์ ที่ยังไม่ได้รู้จักพระองค์ พระองค์รอคอยท่านอยู่ มนุษย์ทั้งหลาย กลับบ้านเราเถิด พระเจ้ากำลังพูดกับท่านอย่างนั้น มนุษย์ทั้งหลายกลับบ้านเราเถิด ประตูสวรรค์เปิดรอท่านอยู่ และพ่อแห่งฟ้าสวรรค์กำลังรอคอย ต้อนรับท่านอยู่ ด้วยความรัก ด้วยความตื่นเต้น ที่ได้พบกับท่าน และด้วยความยินดีที่จะฉลองเลี้ยงท่าน  เพราะท่านได้กลับมาสู่บ้านที่พระองค์ทรงจัดเตรียมไว้ให้เรียบร้อยแล้ว คือสวรรคสถาน ผ่านทางพระเยซูคริสต์ ก็เพียงแค่เปิดใจยอมรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดจากบาปเท่านั้น ท่านจะได้เข้าสู่สวรรค์ทันที

            ให้เราพูดพร้อมกันว่า … “ทันที ไม่ต้องรอเลย”

            ก็แสดงให้เห็นว่าเราสามารถพิสูจน์ได้ นี่แหละ คือสิ่งที่พิสูจน์ว่าพระเยซูคริสต์เป็นพระเจ้ามาเกิดเป็นมนุษย์จริงๆ พิสูจน์ได้ทันที มันไม่ใช่ว่ารอพิสูจน์กันตอนตายไปแล้ว จึงจะรู้ว่าพระเยซูคริสต์เป็นพระเจ้า นั่นมันสายเกินไปแล้ว ผู้ที่เชื่อ มีความหวังใจ ในสวรรค์นั้น ก็คือผู้ที่เข้าสู่สวรรค์แล้วทันที โดยที่อยู่บนโลกใบนี้ ดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ ที่เขาอยู่ในสวรรค์แล้ว  และดำเนินต่อไป ร่างกายเดิมนี้ จนกระทั่งร่างกายเดิมนี้สูญสิ้น จบ หมด สลายไป วิญญาณออกจากร่าง ก็อยู่ในสวรรค์ที่เดิม  แต่ได้เปลี่ยนร่างกายใหม่ เป็นร่างกายสวรรค์ เป็นร่างกายที่เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์ที่มิติฝ่ายวิญญาณ  ที่เห็นชัดเจน ไม่มีอะไรขวางกั้นเลย  เห็นพระเจ้าหน้าต่อหน้า เห็นตัวเองเต็มด้วยสง่าราศี เหมือนพระเจ้า นี่คือความจริงในโลกวิญญาณที่มนุษย์ไม่สามารถที่จะเข้าใจ ไม่สามารถคิดหาเหตุผลได้ แต่สามารถพิสูจน์ได้ พระคัมภีร์บอกว่าจงมาชิมพระเจ้าดูสิ แล้วท่านจะรู้ว่าพระองค์ทรงดี และดีงามที่สุด

            คำว่า “ชิมดู” คือให้มารู้จักพระเจ้าอยู่บนโลกใบนี้เลย แล้วท่านก็จะรู้ว่าพระเจ้าดี รู้เมื่อไร? รู้ตอนดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้เลย ไม่ใช่ว่ารอให้ตายไป จึงเห็นว่าพระเจ้าดี ไม่ใช่ ทุกสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นทันที บนโลกใบนี้ ตอนที่ดำเนินชีวิตอยู่ แต่มันเกิดขึ้นในโลกวิญญาณเท่านั้น เพราะฉะนั้น ความจริงในโลกวิญญาณ ที่มนุษย์ไม่สามารถเข้าใจ ไม่สามารถคิดหาเหตุผลได้ คือพระเยซูคริสต์ไม่ใช่เป็นเพียงแค่ศาสดาของศาสนาคริสต์ ตามที่เรามนุษย์คิดเท่านั้น  แต่พระเยซูคริสต์ทรงเป็นพระเจ้า ผู้ทรงสร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก สร้างสรรพสิ่งทั้งหลายทุกสิ่ง ทั้งที่มองเห็น คือในโลกวัตถุ และในโลกวิญญาณที่มองไม่เห็น ทรงมีฤทธานุภาพอำนาจปกครองสูงสุด ทั้ง 2 โลกเลย ทั้งโลกวิญญาณและโลกวัตถุ เพราะพระองค์เป็นผู้สร้างสรรพสิ่งทั้งหลาย ด้วยตัวของพระองค์เอง และพระองค์เอง ก็คือพระเยซูคริสต์ พระองค์เสด็จมาเกิดเป็นมนุษย์  เพื่อจุดประสงค์เพียงสิ่งเดียว ก็คือช่วยเหลือมนุษย์ทุกคน ก็คือช่วยเหลือท่าน ที่เราได้ยินได้ฟังข่าวประเสริฐในวันนี้ ให้พ้นจากความพินาศในนรก หลังความตายนั่นเอง พ้นจากการถูกพิพากษาให้ตาย ซึ่งจะถูกสำเร็จโทษ หลังจากที่วิญญาณของท่านออกจากร่าง ก็คือหลังจากตายนั่นเอง ท่านจะได้ไม่ต้องถูกพิพากษาลงโทษ  และพระเจ้าพ่อในฟ้าสวรรค์ ก็ได้พยายามประกาศข่าวดีเรื่องนี้ ด้วยความขะมักเขม่น เพื่อข่าวดีนี้จะได้ไปถึงมนุษย์ทั้งปวง ให้รู้ความจริงในโลกวิญญาณ ก่อนที่จะตายจากโลกนี้ แล้วค่อยมาพบความจริงทีหลัง ซึ่งสายเกินไปแล้ว  พระองค์ต้องการให้เรารู้จักความจริงนี้ ก่อนที่จะตายจากโลกนี้ไป  เพราะว่าถ้าคอย จนพบความจริง หลังจากตายแล้ว ถึงรู้ความจริง ตอนนั้น มันก็สายไปแล้ว เพราะประตูสวรรค์จะปิดลง เหมือนกับประตูเรือโนอาห์ ที่พระเยซูคริสต์ยกตัวอย่าง ให้เห็นภาพชัดเจนว่าพระองค์ทรงเตือนแล้วว่าวันหนึ่งจะเกิดน้ำท่วมใหญ่ และคนก็ไม่เชื่อว่ามันเป็นไปได้ ฝนไม่เคยมีตกลงมาบนโลกใบนี้ ในสมัยนั้น แต่พระองค์บอกแล้วว่าน้ำจะท่วมโลก มนุษย์จะตายหมด ใครที่เชื่อฟังพระองค์เข้ามาสู่เรือโนอาห์ ก็จะได้รับความรอด คนที่ไม่เชื่อ ก็จะถูกน้ำท่วม กวาดไปหมด

            พระองค์ทรงยกตัวอย่างเรื่องนี้มาให้เห็นว่าในโลกวิญญาณ ในสมัยที่พระเยซูคริสต์มาก็เช่นเดียวกัน ถ้าท่านไม่เปิดใจ ไม่ค้นหาความจริงในเรื่องพระเยซูคริสต์นี้  และไม่ได้บังเกิดใหม่แล้ว จนถึงวันหนึ่ง เมื่อท่านจากโลกนี้ไปนั้น หมายถึงประตูสวรรค์ที่พระเยซูคริสต์เปิดไว้นั้น มันจะปิดลง ท่านไม่มีโอกาสเข้าไปอีกแล้ว เพราะท่านจะได้รับการพิพากษาลงโทษหลังความตาย ไปสู่ความพินาศอย่างแน่นอน ตามที่ได้ระบุไว้ในหนังสือกฎระเบียบของพระองค์ ในพระคัมภีร์ไบเบิ้ลนี้ พระเจ้าอวยพรครับ

*****************

จากใจคณะศิษยาภิบาล

            ความหวังที่จะได้เป็นขึ้นจากความตาย  คือความหวังจะได้สวมร่างกายใหม่  หลังจากที่กายฝ่ายโลกของเรานี้  สิ้นสุดลง

            ร่างกายของผู้เชื่อสะอาด  ได้รับการชำระล้างด้วยพระโลหิตของพระเยซู  เป็นที่สามารถรับได้ของพระเจ้าแล้ว  ไม่สกปรกโสโครกแล้ว เพราะบาปได้รับการอภัยแล้ว

            แต่เป็นร่างกายดินแบบโลก ที่ต้องเสื่อมโทรมและสูญสิ้นไป  เพราะถูกสาปแช่งไปแล้ว  จึงอ่อนแอ  สภาพเหมือนกับภาชนะดิน  ที่ไม่สามารถรองรับชีวิตแบบสวรรค์ได้  เป็นร่างกายแบบดิน  ที่ไม่สามารถเข้าสวรรค์หรือมีส่วนในอาณาจักรสวรรค์ของพระเจ้าได้

            เมื่อถึงเวลาจะเข้าไปอยู่ในสวรรค์  จึงต้องได้รับร่างกายใหม่  ซึ่งพระเจ้าจัดเตรียมไว้ให้เรียบร้อยแล้ว  เป็นร่างกายที่เหมือนพระเยซูตอนเป็นขึ้นจากความตาย  เป็นร่างกายแบบสวรรค์  ร่างกายดินที่ต้องตาย  ที่สามารถตายได้  ต้องเปลี่ยนเป็นร่างกายที่ไม่สามารถตายได้  เป็นร่างกายอมตะ  ที่เป็นนิรันดร์เรียกว่าร่างกายสวรรค์

            ร่างกายดินแบบโลก  ที่เราดำเนินชีวิตอยู่บนโลกในขณะนี้นั้นทุกส่วน คือตา  หู  จมูก  ลิ้นกาย  ความคิดจิตใจ  สมอง  ได้รับการชำระให้สะอาด  เป็นที่ยอมรับได้ของพระเจ้าแล้ว  แต่ความคิดจิตใจ  และสมอง ยังมีข้อมูล  กับความเคยชินในชีวิตเดิมอยู่  และยังสามารถได้รับอิทธิพลจากภายนอก  คือระบบของโลกนี้  ซึ่งครอบครองโดยบาป  คอยล่อลวงให้ทำบาปเหมือนชีวิตเดิม  ซึ่งเป็นการต่อต้านพระเจ้าที่อยู่ในใจเรา  อิทธิพลของโลกแห่งความบาปนี้  มันไม่ใช่ตัวเรา  ไม่ใช่ส่วนหนึ่งของร่างกายของเรา  แต่เป็นพลังอิทธิพลแห่งความบาปและความตาย  ซึ่งสามารถเข้ามาล่อลวงกระตุ้น ให้สมองและความคิดของเราเชื่อฟังมันได้  มันเหมือนพยาธิ  ปรสิตที่แอบซ่อนอยู่ในร่างกาย

            ความหวังที่จะได้เป็นขึ้นจากความตาย  หมายถึงการได้รับกายใหม่  หลังจากที่กายฝ่ายโลกของเรานี้   เสื่อมสลายลง ซึ่งพระคัมภีร์เรียก “กายใหม่” นี้ว่า  “กายสวรรค์”

            1 โครินธ์ 15:40 …  “กายก็มีทั้งแบบสวรรค์  และแบบฝ่ายโลกเช่นกัน  แต่สง่าราศีของกายแบบสวรรค์ก็อย่างหนึ่ง  และสง่าราศีของกายแบบฝ่ายโลกก็อีกอย่างหนึ่ง”

            การได้รับกายใหม่  คือกายสวรรค์  หลังจากที่กายแบบโลกของเราเสื่อมสลายลง  (ตาย) ก็คือการได้รับชีวิตนิรันดร์  ที่ครบถ้วนบริบูรณ์ (แบบ Full Option) ตรงนี้แหละ  คือสิ่งที่เรายังไม่มี   และเป็นความหวัง  ที่พวกเรารอคอยด้วยความอดทน  พระเจ้าอวยพรครับ

วารสาร Holy  News   ฉบับที่ 1393 

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  11  ธันวาคม  2022

เรื่อง “มนุษย์จัดเตรียมสิ่งต่างๆ สำหรับลูกที่กำลังจะคลอดออกมาอย่างไร?

พระบิดาในสวรรค์ทรงจัดเตรียมมากยิ่งกว่า”

โดย นคร  เวชสุภาพร

            วันนี้หัวข้อเรื่อง คือ “มนุษย์จัดเตรียมสิ่งต่างๆ สำหรับลูกที่กำลังจะคลอดออกมาอย่างไร? พระบิดาในสวรรค์ทรงจัดเตรียมมากยิ่งกว่า”

            พ่อแม่ที่เป็นมนุษย์ ยังรู้จักจัดเตรียมสิ่งต่างๆ พ่อแม่ที่เป็นมนุษย์เราก็รู้แล้วว่าเราจัดเตรียมทุกสิ่งทุกอย่างให้กับลูกๆ ที่กำลังจะคลอดออกมา ด้วยความรัก ด้วยความตื่นเต้น พระเจ้าทรงจัดเตรียมมากยิ่งกว่านั้นสักเท่าไร? ตื่นเต้นไหมล่ะ ลองคิดถึงพ่อแม่ที่เป็นมนุษย์จัดเตรียมให้กับลูกอย่างไร? พระเจ้าจัดเตรียมให้กับเรามากยิ่งกว่านั้นอีก เยอะเลย

            เพราะฉะนั้น ก่อนอื่น เราก็มาดูสิว่าพ่อแม่ที่เป็นมนุษย์ เตรียมอย่างไร?  อย่างที่ตะกี้เราตะโกนกันขึ้นมาบอกว่าตื่นเต้น ดีใจ ชื่นชมยินดี ทั้งๆ ที่ลูกคลอดออกมาหรือยัง? เกิดหรือยัง อยู่ที่ไหน? อยู่ที่ไหนไม่รู้? บางคนตื่นเต้นตั้งแต่ยังไม่ได้ท้องเลย ไปเช็คดูวันนี้ ปรากฏว่าไม่ท้อง เดือนหน้าเช็คใหม่ ถามว่าตื่นเต้นไหม? ตื่นเต้น ชื่นชมยินดีไหม? ชื่นชมยินดี กับลูกที่หวังว่าจะเกิดมา เกิดมาหรือยัง? ยังไม่ได้เกิดเลย แต่ชื่นชมยินดีไปเรียบร้อยแล้ว แล้วลูกที่ยังไม่คลอดเลยนั้น พ่อแม่ทำอะไร? เตรียมให้หมดทุกอย่าง เหมือนกับเขาคลอดแล้วเลย คือจัดเตรียม จัดหา ซื้ออะไรต่างๆ เหล่านั้นขึ้นมา แค่รู้วันแรกนะ หมอบอกว่าเธอตั้งครรภ์ ทันทีทันใดนั้น ยังไม่เห็นตัวตนเลยนะ ทำอะไรก่อน กลับมาเตรียมตัว ซื้ออันโน้น ซื้ออันนี้ เตรียมอันนั้น แล้วแต่กำลังของแต่ละคน ถูกไหม? เพื่อเราจะได้เห็นภาพชัดเจน ถ้าเราเห็นภาพมนุษย์ที่รักลูกของเขา ทั้งๆ ที่ยังมองไม่เห็นอย่างไร? เตรียมให้เขาอย่างไร? เราจะได้เห็นพระเจ้าเตรียมให้กับเรามากยิ่งกว่านั้นสักเท่าไร?

            ลูกยังไม่ได้ทำอะไรเป็นการกตัญญู ทำดีต่อเราเลย ที่เป็นพ่อแม่ เราก็จัดเตรียมหมดทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว ถูกหรือไม่ถูก? เรามาดูสิว่ามีตัวอย่างอะไร? อย่างตะกี้ที่บอกไว้แล้วว่าแค่รู้ข่าวว่าท้องแล้ว เกิดอะไรขึ้น ตื่นเต้น ยินดี เตรียมไปซื้อโน่นซื้อนี่ สิ่งหนึ่งที่เห็นชัดที่สุด เตรียมอันดับแรกเลย  ก็คือเตรียมรักสุดหัวใจ ถูกไหม? การไปซื้อของ การชื่นชมยินดีนั้น ตามมาจากความรักก่อน นั่นแหละ เขาเรียกว่าทำจากใจ  เพราะเขายังไม่ได้ทำอะไรให้กับเราแม้แต่นิดเดียวเลย ยังไม่ได้เห็นหน้ากันเลย ไม่ได้กตัญญูอะไรต่อเรา แต่เราเตรียมทั้งหมดแล้ว เพราะว่ารัก แล้วเราเตรียมอะไรอีก เตรียมสิ่งต่างๆ ที่จะให้เขาได้ดี คิดไว้ล่วงหน้าเลยว่าเขาเกิดมาต้องใช้อะไร? นมอย่างนี้อย่างนั้น ถามว่าทุกคนเตรียมสิ่งเหล่านี้ เพื่อตัวเองหรือเปล่า? ไม่ใช่ เพื่อจะรักเขา

            เพราะฉะนั้น มนุษย์ทั้งหลายมีลูกเพื่ออะไร? เพื่อเขาจะได้มาดูแลเราตอนแก่? ไม่ใช่ นึกภาพออกไหม?  ไม่มีใครคิดอย่างนั้นเลย มีลูกเพื่ออะไร? เพื่อเราจะได้รู้ว่าพระเจ้ามีเราเพื่ออะไร? เหมือนกันเลย พูดใบ้ๆ ให้ฟัง เหมือนกับพระเจ้าเลย พ่อแม่ที่จะมีลูก มีเลือดเนื้อเชื้อไข ต้องการมีไว้ รักเขาและเชยชม ไม่รู้จะพูดคำไหน? ชื่นชม แค่พอเริ่มอยู่ในท้อง เดี๋ยวนี้สมัยใหม่เขามีอัลตร้าซาว์น ดูหน้าดูตา …

            “อันนี้เหมือนเธอนะ อันนี้เหมือนฉัน นี่เหมือนพ่อ นี่เหมือนแม่ ดูสิๆ กระดุ๊กกระดิ๊ก”

            อย่างนี้เขาเรียกว่าเชยชมด้วยความรัก นี่คือหัวใจของพ่อที่เป็นมนุษย์และมาจากพระเจ้า  พระเจ้าจะรักเราอย่างนี้แหละ และเตรียมอะไรอีกนอกจากนั้น เดี๋ยวนี้สมัยใหม่ เตรียมสถานที่ให้อยู่  เตรียมเตียง ห้องพัก อะไรต่างๆ แล้วอะไรอีก เตรียมความปลอดภัย เตรียมที่เรียนหนังสือ บางคนยังไม่ทันเกิดเลยนะ ไปดูโรงเรียนให้ลูกแล้ว  แล้วแต่กำลังและความสามารถของพ่อแม่ เตรียมหมดเลย เดี๋ยวนี้เตรียมหนักกว่านั้น เรียนชั้นประถมที่ไหน? จากประถมจะไปเรียนอะไร? วางแผนให้เสร็จเรียบร้อย นึกภาพสิ่งเหล่านี้ เดี๋ยวจะเอามาเทียบกับพระเจ้าของเราว่าพระองค์ทรงจัดเตรียมอะไรไว้ให้กับเราบ้าง ที่เราจะคลอดออกมาเป็นลูกของพระองค์ นึกถึงภาพ

            สมัยปัจจุบันเขาหนักกว่านั้น เขาเตรียมถึงขนาด ลูกจะแข็งแรงได้อย่างไร? เตรียมอาหารการกิน เตรียมกินอย่างนั้น กินอย่างนี้  เดี๋ยวนี้เขามีเทคโนโลยีใหม่ เขาเรียกว่าสเต็มเซลล์ คือลูกออกมา หมอบอกว่าให้เก็บสเต็มเซลล์ของลูกเอาไว้ เพื่อฝากธนาคารสเต็มเซลล์ไว้ กี่บาทต่อปี? ไม่รู้ เพื่อสเต็มเซลล์นี้จะเอาไปรักษาลูก ตอนลูกโตๆ อายุมากขึ้น อาจจะป่วยเป็นมะเร็ง เป็นอะไร? อันนี้จะไปรักษาเขาให้หายได้ เอาไปฝากไว้ เห็นอะไรบางอย่างไหม? ยิ่งเจริญเติบโต เทคโนโลยีมากเท่าไร? มนุษย์ก็จะทุ่มเทสิ่งเหล่านี้ให้ลูก มากกว่าให้ตัวเองอีก พระเจ้าก็อย่างนี้แหละ นี่คือตัวอย่างของการจัดเตรียมสิ่งต่างๆ ให้กับลูกที่เป็นมนุษย์ ที่กำลังจะคลอดออกมา  ยังไม่ได้คลอดเลย เตรียมไว้ก่อนแล้ว

            คราวนี้เราจะมาคุยกันในเรื่องนี้ว่าถ้าเทียบกับพระเจ้าผู้เป็นพ่อของเรา ในสวรรค์แล้ว พระองค์เตรียมมากสักเท่าไร? เตรียมให้กับใคร? ที่คลอดออกมา พระเยซูบอกว่าก็เตรียมให้กับคนตาย อยู่ในบาป ก่อนคลอดออกมา เป็นลูกนั่นเอง มนุษย์ทั้งหลายเหมือนตายจากพระเจ้าไปแล้ว ไม่ได้เป็นลูกของพระเจ้า แต่เขาสามารถที่จะกลับมาเป็นลูกของพระเจ้าได้ เพราะพระเจ้าจัดเตรียมทางไว้ให้เขา ก็คือต้องการให้ลูกกลับมาหาพระองค์ หัวใจพระองค์เตรียมไว้อย่างนั้นเลย โดยวิธีการเตรียมของพระองค์ พระองค์จะมีลูก คือมนุษย์ทั้งหลายมาเป็นลูกของพระองค์ได้ พระองค์ทรงเตรียมอะไรไว้ก่อนเลย

            อันดับแรก ก็คือเตรียมหนทางที่จะมาเป็นลูกของพระองค์ ถูกไหม? และเตรียมหนทางนั้น ก็คือเจ้าของวันคริสตมาส ผู้ที่จะมาเกิดในวันคริสตมาส ก็คือเตรียมพระเมสิยาห์ หมายถึงผู้ที่พระเจ้าจัดเตรียมไว้ พูดสั้นๆ ง่ายๆ เอง จัดเตรียมไว้ เพื่อให้มนุษย์ได้มาเป็นลูกของพระองค์ จัดเตรียมไว้ เพื่อให้มนุษย์จะได้คลอด เพราะฉะนั้น คลอดผ่านทางความไว้วางใจ เชื่อในพระเมสิยาห์  พระผู้ช่วยให้รอดนี้ แล้วได้มาเป็นลูกของพระองค์ ที่ทรงจัดเตรียมไว้อย่างนี้แหละ ชัดเจนเลย

            พระเยซูตอนเดินอยู่บนโลกใบนี้  พระองค์มาถึงปุ๊บ ประกาศเรื่องนี้เลย เรื่องความตื่นเต้นของพระเจ้า พ่อกำลังตื่นเต้นมากเลย ที่จะมีลูกแล้ว เหมือนกับเด็กในครรภ์ เริ่มต้นแล้ว เรารู้ได้อย่างไร? ก็พระคัมภีร์บันทึกไว้ไง วันที่พระเมสิยาห์มาเกิดบนโลกใบนี้นั้น ทูตสวรรค์ร้องบรรเลง ที่เราร้องเพลงกัน ชื่นชมยินดี ตื่นเต้น สรรเสริญพระเจ้า ใครเป็นผู้กำหนดทั้งหมด พระเจ้าเป็นผู้กำหนดทั้งหมด กำลังฉลองดีใจ เหมือนกับมนุษย์บอกว่าไปเช็คมาแล้ว หมอบอกว่าวันนี้ ที่ตรวจครรภ์มาแล้ว ขึ้น 2 ขีด วันนี้เรามาเลี้ยงกันเลย

            นั่นแหละ ทูตสวรรค์ร้องบรรเลง ตื่นเต้น พระเจ้าดีใจ เพราะถึงกำหนดเวลา พระเจ้านึกในใจ รอมาตั้งนานแล้ว ถึงกำหนดเวลา ที่จะมีลูกๆ เอาไว้รักและชื่นชม จำตรงนี้ไว้เลย

            พระเยซูยกอุปมาในลูกา บทที่ 15 อย่างนี้ให้เห็นชัดเลยว่าพระองค์ตื่นเต้น ดีใจอย่างไรบ้าง? ท่าทีของพระองค์ ลูกา 15:3-10 …

        ลูกา 15:3-10 “3 พระเยซูจึงตรัสคำอุปมาให้พวกเขาฟังว่า 4 “สมมุติว่าพวกท่านคนหนึ่งมีแกะหนึ่งร้อยตัวและตัวหนึ่งหายไป เขาจะไม่ละแกะทั้งเก้าสิบเก้าตัวไว้กลางทุ่ง แล้วไปตาม หาแกะตัวที่หายไปนั้น จนกว่าจะพบหรือ? 5  เมื่อเขาพบแล้ว ก็แบกแกะนั้นใส่บ่าด้วยความชื่นชมยินดี 6  และกลับบ้าน จากนั้นเขาก็เรียกมิตรสหายและเพื่อนบ้านมาพร้อมกัน และกล่าวว่า ‘มาร่วมยินดีกับเราเถิด เราได้พบแกะตัวที่หายไปนั้นแล้ว’ 7 เราบอกท่านว่าทำนองเดียวกัน ในสวรรค์จะมีความชื่นชมยินดี ในคนบาปคนหนึ่งซึ่งกลับใจใหม่ มากยิ่งกว่าในคนชอบธรรมเก้าสิบเก้าคน ซึ่งไม่ต้องการกลับใจใหม่ 8 หรือสมมุติว่าหญิงคนหนึ่งมีเหรียญเงินสิบเหรียญ และหายไปเหรียญหนึ่ง หญิงนั้นจะไม่จุดตะเกียงกวาดเรือน และค้นหาอย่างถี่ถ้วน จนกว่าจะพบหรือ? 9 และเมื่อพบแล้ว นางก็เรียกมิตรสหายและเพื่อนบ้านมาพร้อมหน้ากันและกล่าวว่า ‘มาร่วมยินดีกับเราเถิด เราได้พบเหรียญที่หายไปนั้นแล้ว’ 10 เราบอกท่านว่าในทำนองเดียวกัน จะมีความชื่นชมยินดีท่ามกลางเหล่าทูตสวรรค์ของพระเจ้า ในคนบาปคนเดียวซึ่งกลับใจใหม่”

            ฟังบรรยายวันนี้ไป นึกถึงความรักและการจัดเตรียมให้กับลูกๆ ที่กำลังจะคลอดของบรรดามนุษย์ พ่อและแม่บนโลกใบนี้ ไปด้วยกัน เพื่อจะได้เห็นชัดขึ้น เพื่อจะรู้สึกชัดเจนยิ่งขึ้น

            “สมมติว่าพวกท่านคนหนึ่งมีแกะหนึ่งร้อยตัว และตัวหนึ่งหายไป” พระเยซูกำลังเน้นว่าพระเจ้ารักเราแต่ละคน ไม่ใช่รักเป็นกลุ่มหนึ่ง มวลมนุษยชาติ แต่รักเราพิเศษ ดูแลเราแต่ละคนเลย พระองค์บอกว่าเส้นผมทุกเส้นของเราแต่ละคน พระองค์ทรงนับไว้เรียบร้อยแล้ว รู้ว่ามีกี่เส้น? ร่วงไปกี่เส้นบ้าง?

            ข้อที่ 5 “เมื่อเขาพบแล้ว ก็แบกแกะนั้นใส่บ่า ด้วยความชื่นชมยินดี” ไปหาแกะที่หายไป พอเจอปุ๊บ มีความชื่นชมยินดี พอชื่นชมยินดี ก็บอกให้สหาย เพื่อนๆ มาเลี้ยงฉลองกัน เพราะว่าได้แกะตัวที่หลงหายไปกลับมาแล้ว “ร่วมยินดีกับเราเถิด” เราได้พบแกะตัวที่หายไปแล้วนั้น

            พระเยซูอุปมาเหล่านี้ แล้วบอกว่าในสวรรค์จะมีความชื่นชมยินดีในคนบาปคนหนึ่ง ซึ่งกลับใจใหม่ ตะกี้นี้ที่บอก คนเดียว คลอดออกมาเป็นลูกของพระเจ้า กลับใจใหม่ เชื่อในพระมาซีฮาห์ พระเยซูคริสต์ มีการฉลองใหญ่ในสวรรค์ นี่พระเยซูยกตัวอย่าง

            อีกตัวอย่างหนึ่งเช่นเดียวกัน เรื่องเกี่ยวกับเหรียญสิบเหรียญนั้น ในข้อที่ 9 บอก “และเมื่อได้พบแล้ว นางก็เรียกมิตรสหาย เพื่อนบ้านมาพร้อมหน้ากัน แล้วกล่าวว่า …

            “มาร่วมยินดีกับเราเถิด เราได้พบเหรียญที่หายไปแล้วนั้น”

            ลักษณะเดียวกัน พระเยซูอุปมาเรื่องนี้

            ข้อ 10 บอก … “เราบอกท่านในทำนองเดียวกัน กับเมื่อตะกี้นี้เรื่องลูกแกะหลงหาย จะมีความชื่นชมยินดีท่ามกลางเหล่าทูตสวรรค์ของพระเจ้า ในคนบาปคนเดียว ซึ่งกลับใจใหม่

            จะมีความชื่นชมยินดีท่ามกลางทูตสวรรค์ของพระเจ้า คือในสวรรค์พระเจ้าจัดงานเลี้ยงใหญ่โต ยินดีมากเลย คนเดียว บางทีเราเข้าใจว่าพระเจ้าดูแลเราเป็นกลุ่ม ไม่รู้สึกซาบซึ้ง เหมือนเราคนเดียว แต่พ่อแม่ที่เป็นมนุษย์ เวลามีความรู้สึกรักลูกที่ยังไม่คลอดออกมา คนเดียวหรือเปล่า? คนเดียว  ไม่ได้เป็นกลุ่ม เหมือนกัน ลักษณะเดียวกันกับพระเจ้า

            อยากจะมาอธิบายตรงนี้นิดหนึ่ง จะมีคนเข้าใจผิดนิดหนึ่ง คำว่า “ในคนบาป คนเดียว ซึ่งกลับใจใหม่” ท่านคิดว่าอย่างไร? บางคนไม่เข้าใจ ไปเข้าใจผิด ตรงนี้ “คนบาปคนเดียว” ซึ่งกลับใจใหม่ตรงนี้ การกลับใจของคนบาป หมายถึงกลับใจ จากการพึ่งพาการกระทำดีของตนเอง เพื่อจะรอดพ้นจากโทษของความบาปและความตาย หลังความตายจากร่างกายนี้ มันหมายถึงตรงนั้น มันหมายถึงความรอด ทางวิญญาณ โดยไม่ต้องโดนลงโทษ ไปสู่ความพินาศ ได้รับความรอด ไปอยู่ในสวรรค์นิรันดร์

            เขากลับใจ  จากการพึ่งพาการกระทำดีของตนเอง หันมาพึ่งพาการกระทำของพระเมซิยาห์  พระเยซูคริสต์ เพื่อที่จะได้รับความรอด คือได้รับการคลอดออกมาในโลกวิญญาณ เป็นลูกของพระเจ้า มันหมายถึงตรงนี้ ไม่ใช่การกลับใจจากการประพฤติชั่ว หันมาประพฤติดี เช่น เลิกดื่มเหล้าเมายา เป็นพาลเกเรโกหก รังแก ข่มเหงชาวบ้าน คิดเป็นเยอะแยะมากมาย พูดง่ายๆ ว่าไม่ได้กลับใจหันจากการทำชั่ว ความประพฤติต่างๆ เหล่านั้น แต่หันจากการพึ่งพาการกระทำดีของตนเอง หมายถึงสิ่งที่ดีด้วยนะ  ก็คือการรักษากฎศีลธรรม กฎบัญญัติ จริยธรรมอย่างดีงาม พึ่งตรงนี้ เพื่อจะสั่งสมไปสวรรค์หลังความตาย เขาหันหลังกลับ ไม่พูดแล้ว พึ่งพระเยซูดีกว่า เพราะพระเยซูประกาศแล้วว่าถ้าเขาพึ่งพาการกระทำดีของตนเอง  เขาไม่สามารถรักษากฎบัญญัติ ศีลธรรมถูกต้องดีงามนั้นได้ครบถ้วนบริบูรณ์ เขาทำไม่ได้หรอก

            เพราะฉะนั้น เมื่อเขาทำไม่ได้ เขาก็จะไม่พ้นจากการถูกลงโทษหลังความตาย  มีทางเดียวเท่านั้นที่หลังความตายจะพ้นจากโทษได้ ก็คือการเชื่อวางใจในพระเยซูคริสต์ ที่ได้ไถ่เขาที่ไม้กางเขน ตรงนี้จึงเป็นสิ่งที่สำคัญ ที่เราควรเข้าใจ

            ขณะที่มนุษย์คนหนึ่งกลับใจใหม่ จากความผิดบาปของเขา  หมายถึงความผิดบาป ตัวเขาเองเป็นคนบาป  เขาไม่สามารถที่จะลบความบาปนี้ออกไปจากเขาได้ นอกจากพระเจ้าทำให้เท่านั้น ไม่ได้หมายถึงว่าเขากลับใจใหม่จากความชั่วร้าย เลิกทำชั่ว  แล้วพระเจ้าจะจัดการฉลองในสวรรค์ให้เขา ไม่ใช่ เพราะจะเลิกจากการประพฤติแล้ว ก็ยังคงถูกลงโทษอยู่ดี เพราะว่าเขาไม่สามารถที่จะทำดีได้อย่างครบถ้วน 100% ตามมาตรฐานของพระเจ้า เอเมน เห็นชัดไหม? อย่างที่ตะกี้นี้บอก พระเจ้าติดต่อกับมนุษย์ มีความรู้สึกรักมนุษย์ แต่ละคนๆ เลย  พระองค์ทรงกระทำ เพราะว่าพระเจ้าได้บอกไว้อย่างนั้นว่าพระเจ้าของเราสามารถอยู่ในทุกหนทุกแห่ง ทุกสถานที่ได้พร้อมกัน เราไม่สามารถที่จะเข้าใจได้ ในสดุดี 139 บอก มันเกินกว่าความคิด ความสามารถของมนุษย์ที่จะเข้าใจว่าพระเจ้าทำได้อย่างไร? ความรักของพระเจ้าเกินกว่าความเข้าใจ อย่างนี้แหละ พระเจ้าสามารถอยู่กับเราได้ ทุกหนทุกแห่ง อยู่ในแต่ละคนจริงๆ ไม่ต้องไปถามว่า …

            “พระเจ้าอยู่กับฉันที่นี่ เธออยู่ที่แอฟริกา แล้วจะอยู่พร้อมกันได้อย่างไร?”

            ไม่ต้องคิด เพราะพระคัมภีร์บอกมาแล้วว่าคิดไป ก็ไม่มีประโยชน์  เพราะไม่มีทางที่จะเข้าใจหรอก ฟ้าสวรรค์ สูงกว่าแผ่นดินโลกเท่าไร ความคิดของท่านก็ห่างจากความคิดของพระเจ้าเท่านั้น ตะวันออกห่างไกลจากตะวันตกเท่าไร?  ก็คือวิถีทางของท่านและวิถีทางของพระเจ้า ก็ไม่เหมือนกันเลย คิดไม่ถึงหรอก แต่พระองค์ว่าอย่างไร? ก็ต้องเชื่อตามนั้น มันเป็นอย่างนั้นจริงๆ

            พระเจ้าต้องการมีความสัมพันธ์กับมนุษย์ทุกคน เป็นการส่วนตัวแต่ละคนเลย พระองค์สามารถที่จะอยู่ทุกหนทุกแห่งในเวลาเดียวกันได้ สามารถที่จะอยู่ในฉันและในเธอได้ พร้อมๆ กัน จงเชื่อเถิด ในลูกา 15:20-23 …

        ลูกา 15:20-23 “20 ดังนั้น เขาจึงลุกขึ้น กลับไปหาบิดาของเขา แต่เมื่อเขายังอยู่แต่ไกล บิดาเห็นเขาก็สงสาร จึงวิ่งมาหาบุตรชาย แล้วสวมกอดและจูบเขา 21 เขากล่าวกับบิดาว่า ‘บิดาเจ้าข้า ข้าพเจ้าทำบาปต่อสวรรค์และต่อท่านด้วย ข้าพเจ้าไม่คู่ควรจะได้ชื่อว่าเป็นบุตรของท่านอีกต่อไป’ 22 แต่บิดาสั่งคนรับใช้ว่า ‘เร็วเข้า! จงนำเสื้อผ้าที่ดีที่สุดมาให้เขาสวมใส่ เอาแหวนมาสวมนิ้วของเขา และเอารองเท้ามาสวมให้เขา 23 จงนำลูกวัวขุนมาฆ่า ให้เราจัดงานเลี้ยงฉลอง”

            คนบาปคนนี้ทำชั่วมาตลอด ถูกไหม? ประพฤติไม่ดีมาตลอด ได้ทำอะไรดีหรือยัง? ต่อพระเจ้า กตัญญูต่อพระเจ้าหรือยัง? ไม่ได้ทำอะไรเลยสักอย่าง แถมคิดในใจด้วยว่าตัวเองแย่ ตัวเองเลว ตะกี้ มนุษย์คิดต่อลูกของตนเอง เขายังไม่ได้คลอดออกมา ยังไม่ได้ทำอะไรดี หรือร้าย หรือชั่วต่อเราเลย เรารักเขาแล้ว

            “ดังนั้น เขาจึงลุกขึ้นกลับไปหาบิดาของเขา” ก็คือคนบาปกลับใจใหม่ แปลว่ากลับใจจากการพึ่งพาการกระทำดีของตนเอง เพื่อจะไปสวรรค์ เพื่อจะไปอยู่บ้านพระเจ้านั้น เขากลับใจใหม่ไปหาพระบิดาดีกว่า

            “แต่เมื่อเขายังอยู่แต่ไกล บิดาเห็นเขาก็สงสาร” ก็คือรัก เห็นไหม? รักก่อนจะเป็นลูก นี่ยังไม่ได้เป็นลูกเลยนะ เขาเป็นคนบาปอยู่

            “จึงวิ่งมาหาบุตรชาย แล้วสวมกอดและจูบเขา” วิ่งมา ก็ตื่นเต้นแล้วนะ ดีใจ ชื่นชมยินดี สวมกอด จูบเขา  เหมือนไหม? เหมือนตะกี้นี้ที่เราคุยกันถึงความรักของพ่อแม่ที่มีต่อลูกที่กำลังจะกำเนิด กำลังอยู่ในครรภ์ จะคลอดออกมา ชัดเจน

            “เขากล่าวกับบิดาว่า “บิดาเจ้าข้า ข้าพระเจ้าทำบาปต่อสวรรค์และต่อท่านด้วย ข้าพเจ้าไม่คู่ควรจะได้เป็นบุตรของท่านอีกต่อไป” แต่บิดาสั่งคนรับใช้ว่า “เร็วเข้า จงนำเสื้อผ้าที่ดีที่สุด มาให้เขาสวมใส่ เอาแหวนมาสวมนิ้วให้เขา”

            ทั้งหมดนี้ เตรียมไว้ก่อนแล้ว ถูกไหม? มีแล้ว ใช่ไหม? เขากลับมาหรือยัง? ยังไม่กลับ แต่เตรียมสิ่งเหล่านี้ไว้เรียบร้อยแล้ว

            “เอารองเท้ามาสวมให้เขา จงนำลูกวัวมาฆ่า ให้เราจัดงานเลี้ยงฉลองกันดีกว่า” สิ่งเหล่านี้ทั้งหมด เป็นสิ่งที่เตรียมไว้ให้เรียบร้อยแล้ว ก่อนเขาจะกลับใจใหม่อีก ใช่หรือไม่?  ไม่ใช่บอกว่าเรียกคนรับใช้มาบอกว่าออกไปซื้อเสื้อผ้า ซื้อแหวนมาให้เขาหน่อย ไม่ใช่ เขามีของอยู่แล้ว ไปหยิบมา ทำบาป ทำชั่วมาตลอด ยังไม่ได้กระทำความดีเลย  ยังไม่ได้กตัญญูต่อพระเจ้าเลย พระเจ้าให้เรียบร้อยไปแล้ว แล้วมากกว่านั้นสักเท่าไร? ใครที่หลังจากเป็นลูกแล้ว มาอยู่กับพระเจ้าแล้ว มีไหม?  ที่พระเจ้าจะไล่เขาออกจากบ้าน นี่ขนาดยังไม่มาเป็นลูกเลย ทำบาป ทำชั่วอยู่เลย พระองค์จัดเตรียมสิ่งที่ดีๆ ให้เรียบร้อยแล้ว  ก็แสดงว่าขนาดทำบาปยังทำให้อย่างนี้เลย พอกลับมาเป็นลูกพระเจ้าแล้ว เป็นลูกของเราดีแล้ว มากกว่านั้นสักเท่าใด ยิ่งเทให้ใหญ่เลย ถูกไหม?  มันก็ควรจะเป็นอย่างนั้น

            นี่คือความปรารถนาของพระเจ้าแห่งฟ้าสวรรค์ ที่จะมีมนุษย์เป็นของพระองค์ เอาไว้รักและชื่นชม  เหมือนพ่อแม่ที่เป็นมนุษย์  เช่นเดียวกันเลย  พ่อแม่ที่เป็นมนุษย์มาดูรูปในอัลตร้าซาว์ด  ตรงนี้กระดุ๊กกระดิ๊กแล้ว ก็ดูไปเรื่อยๆ ตื่นเต้น เหมือนแม่เหมือนพ่อ แล้วพระเจ้าทำอย่างไร? เปิดอัลตร้าซาว์ด

            นึกถึงภาพนี้กันดีกว่า จะได้เห็นภาพว่าพระเจ้ารักเราขนาดไหน? เราจะได้สบายใจไง ลูกเราจะไม่สบายใจ ลูกมนุษย์จะไม่สบายใจ เมื่อเขาไม่สามารถสัมผัส หรือไม่สามารถไว้วางใจในความรักของพ่อแม่ ถ้าเขามีความเชื่อใจ มั่นใจในความรักของพ่อแม่ เขาจะเป็นเด็กที่เต็มไปด้วยความสุข และเต็มไปด้วยความดีงามมากเลย นิสัยใจคอจะเป็นคนที่รู้สึกปลอดภัย รู้สึกอบอุ่น ไม่ขาดความรัก พูดง่ายๆ พระเจ้าก็ต้องการให้เราเป็นอย่างนั้น เรากับพระเจ้าก็เหมือนกัน พระเจ้าจะรักเราสุดหัวใจอยู่แล้วแน่นอน เพราะว่าพระองค์เป็นพระเจ้า ทำได้ทุกสิ่ง สมบูรณ์หมดทุกอย่างด้วยความดีพร้อม ด้วยความบริสุทธิ์ แต่เราไม่สามารถที่จะสัมผัสความรักของพระเจ้าอย่างนั้นได้ ถ้าเราสัมผัสอย่างนั้นได้ เราเห็นภาพ ลักษณะเดียวกัน เราจะรู้สึกอบอุ่น ปลอดภัยในพระทรวงของพระองค์ ในความรักของพระองค์ เหมือนกัน

            ให้เรานึกถึงภาพ เห็นภาพว่าขณะที่เรากำลังจะรอด กำลังจะคลอดมาเป็นลูกของพระเจ้า กำลังจะหันกลับมาหาพระเจ้า กำลังจะเชื่อพระเจ้านั่นนะ เชื่อพระเยซูนั่นนะ พระเจ้ามองเราแล้ว เตรียมไว้เรียบร้อยแล้ว อาจจะดูกันใน 3 พระภาค พระเจ้าพระบิดา พระเจ้าพระบุตร พระเจ้าพระวิญญาณบริสุทธิ์ หัวหน้าทูตสวรรค์มานั่ง คุยกันทุกเสี้ยววินาที ตรงนี้เหมือนพระบิดา เป็นผู้ที่ตรงไปตรงมา  เป็นผู้พิพากษา ตรงนี้เหมือนพระวิญญาณเลย มีกำลังกล้าแข็ง เข้มแข็งมาก ตรงนี้เหมือนพระบุตรเลย มีเมตตา อ่อนโยน สุภาพ ตรงนี้คล้ายๆ ทูตสวรรค์ ซนเหลือเกิน นึกถึงพระเจ้า  พระเจ้าคุยกับเราแต่ละคนอย่างนี้ ให้เห็นภาพให้ชัดเจน เพื่อจะได้ซาบซึ้งถึงความรักของพระเจ้าที่มีต่อเราแต่ละคน แต่ละคนจึงเป็นคนพิเศษ

            สำหรับพระเจ้าทุกคนเป็นคนพิเศษ เวลาเราประกาศ เราชอบบอกว่ามวลมนุษย์ มันถูกมวลมนุษย์ แต่จริงๆ แล้วพระองค์ทรงสัมพันธ์ติดต่อกับเรา เป็นพิเศษ แต่ละคนพิเศษเท่าๆ กัน ทั้งหมด พระองค์ทรงเลือกเรา เรียกเราเป็นลูกของพระองค์แต่ละคนไม่เหมือนกัน

            นึกถึงตอนที่ผมถูกเลือกมา 30 กว่าปีก่อน เหมือนกัน ก็จากข้อพระคัมภีร์ข้อนี้แหละ ในลูกา บทที่ 15 อธิษฐานกับพระเยซู พระเยซูเป็นใคร? เราไม่รู้จักเลย เราอยากจะรู้จักเหมือนกัน เขาบอกว่าพระองค์มีชีวิตอยู่ พระองค์ทรงเป็นพระเจ้าแห่งความรัก  ประกาศมาตั้งนาน ฟังมาตั้งนานแล้ว ไม่รู้จักเลย อยากรู้จักๆ พูดแค่นี้ พูดทุกคืนๆ อยากรู้จัก มีอยู่คืนหนึ่ง มีคนให้พระคัมภีร์มา เปิดพระคัมภีร์ซี้ซั๊วเปิด พระเยซูไหนลองพิสูจน์สิว่าพระองค์มีชีวิตอยู่ เปิดออกมาหน้านี้แหละ ลูกา บทที่ 15 อ่านไปแค่ไม่กี่ประโยค? สัมผัสถึงความรัก ยังไม่รู้เลย ไม่มีความเข้าใจ ไม่มีความรู้ถึงเรื่องของพระเจ้าสักอย่างเลย มีอย่างเดียว คือความรู้สึกข้างในลึกๆ มากกว่ารู้สึกว่าพระเจ้ากำลังคุยกับเราอย่างนี้ …

            “เจ้าเป็นคนพิเศษ”

            เจ้านะ คนเดียว เรามีความรู้สึกทำไมเรามีค่ามากมายมหาศาลอย่างนั้น พระเจ้าคุยกับเราเลย พระเจ้าคุยกับเราพิเศษ คนเดียวเลยเหรอ ตอนนั้นนะ เจ้าเป็นคนพิเศษสำหรับเรา มันสัมผัสได้ถึงตรงนั้นแหละว่าเจ้าคือลูกแกะที่หลงหาย เจ้าคือคนนี้ คนที่เรากำลังจะเลี้ยงฉลอง เพราะเจ้ากลับมาแล้ว ลักษณะเดียวกันอย่างนี้ เอเฟซัส 1:3-7 ได้บันทึกไว้อย่างนี้ว่า …

        เอเฟซัส 1:3-7 “3 สรรเสริญเทิดทูนพระเจ้าพระบิดาขององค์พระเยซูคริสต์เจ้า พระผู้ช่วยให้รอดของเรา ผู้ได้ทรงประทานพระพรฝ่ายวิญญาณนานัปการในพระคริสต์ แก่เราทั้งหลายในสวรรค์สถาน 4 เพราะพระองค์ได้ทรงเลือกเราไว้ในพระคริสต์ ตั้งแต่ก่อนทรงสร้างโลกให้บริสุทธิ์ปราศจากที่ติในสายพระเนตรพระองค์ ด้วยความรัก 5 พระองค์ได้ทรงกำหนดไว้ล่วงหน้า ที่จะรับเราเป็นบุตรของพระองค์ ผ่านทางพระเยซูคริสต์ตามพระประสงค์อันดีของพระองค์ 6  เพื่อเป็นการสรรเสริญพระคุณสูงส่ง ซึ่งพระองค์ประทานให้เราเปล่าๆ อย่างเหลือล้นในพระองค์ผู้ทรงเป็นที่รักของพระเจ้า 7 ในพระเยซู เราได้รับการไถ่บาป โดยพระโลหิตของพระองค์ คือได้รับการอภัยโทษบาป ตามพระคุณอันอุดมของพระเจ้าแล้ว”

            “พระองค์ได้ทรงเลือกเราไว้ในพระคริสต์ ด้วยความรัก” นั่นแหละ ที่ผมอธิบาย แล้วยกตัวอย่างคำพยานของผม ก็เพราะความรักตรงนี้ มันเกิดมา เพราะความรัก ไม่ได้อัศจรรย์อะไรใหญ่โตเลย สำหรับสิ่งที่จับต้องมองเห็นได้ในชีวิตของผม แต่สิ่งที่อัศจรรย์ ก็คือความรักมันสัมผัสเข้ามา ทำให้จำได้ว่าวันที่ 18 มิถุนายน ปี 1988 บนห้องชั้นบน ไม่มีการพูดภาษาแปลกๆ หมายถึงไม่มีอัศจรรย์อะไรเลย แต่ความรักของพระเจ้าได้ท่วมเข้ามาสัมผัส แตะต้อง เป็นพิเศษ นี่แหละ มันหมายถึงอย่างนั้น เพราะพระองค์ทรงเลือกเราไว้เป็นลูกของพระองค์ ความรักอย่างนี้ มันทำให้สัมผัสเรา แล้วเราก็ได้เกิดใหม่ในวันนั้น ด้วยความรัก

            พระเจ้าพระบิดาแห่งฟ้าสวรรค์ ตั้งใจ วางแผนที่จะมีมนุษย์ทุกๆ คนเป็นลูกๆ ของพระองค์ ตั้งแต่ก่อนสร้างโลก และสร้างสรรพสิ่งทั้งหลาย ด้วยท่าทีที่ให้เปล่าๆ ให้ฟรีๆ ที่เราเรียกกันว่าพระคุณ ความรักอันเหลือล้น จึงได้ประทานการบังเกิดใหม่ให้กับเรา โดยผ่านทางพระบุตรของพระองค์ คือพระเยซูคริสต์ เพื่อมนุษย์ทุกคนจะได้สามารถบังเกิดใหม่ คลอดออกมาเป็นลูกของพระองค์ได้ ผ่านทางพระบุตรนี้

            ในข้อ 5 ที่ตะกี้บอกว่า … “พระองค์ได้ทรงกำหนดไว้ล่วงหน้าที่จะรับเราเป็นบุตรของพระองค์ผ่านทางพระเยซูคริสต์ ตามพระประสงค์อันดีของพระองค์”

            ก็คือกำหนดไว้ล่วงหน้าแล้วว่าจะมีลูก คือพระเยซูคริสต์ “เรา” หมายถึงใคร? อ่านแล้วอย่าไปคิดตามที่เคยคิดว่า “เรา” หมายถึงมวลมนุษย์ ซึ่งมันก็ใช่  แต่นี่เราหมายถึงใส่คำว่า “ฉัน” คนเดียว

            “พระองค์ได้ทรงกำหนดไว้ล่วงหน้า ที่จะรับฉันคนเดียว พิเศษ เป็นลูกของพระองค์ ผ่านทางพระเยซูคริสต์ ตามพระประสงค์อันดีงามของพระองค์”

            ต่างกันไหม? มันต่างกันจริงๆ เห็นไหม? พอใส่ชื่อเราเข้าไปปุ๊บ ชัดเจนเลย ในเอเฟซัส 1:3 ตะกี้นี้ ที่เราอ่านกันบอกว่า …

        เอเฟซัส 1:3 “พระเจ้าพระบิดาขององค์พระเยซูคริสต์และเป็นพระบิดาของเราด้วย ได้ทรงประทานพระพรฝ่ายวิญญาณนานัปการในพระคริสต์ (ในบ้านในครอบครัวพระเจ้า) ให้แก่เราทั้งหลายแล้วในสวรรค์สถาน”

            ในพระคริสต์ หมายถึงในบ้าน ในครอบครัวของพระเจ้า ในสวรรค์ให้กับเราเรียบร้อยไปแล้ว จัดเตรียมไว้เรียบร้อยแล้ว ตั้งแต่ก่อนสร้างโลก ก็คือก่อนเราจะเกิดด้วยซ้ำไป ก่อนเราจะรับเชื่อพระเยซู อยู่ในทางของเรา พึ่งพาตนเอง ไม่รู้ไม่ชี้ อยู่ในบาปนั้น  พระองค์จัดเตรียมสิ่งเหล่านี้ให้กับเราเรียบร้อยแล้ว โดยผ่านทางพระเยซูคริสต์ เรามาดูสิ่งต่างๆ ที่พ่อของเรา  ที่อยู่ในฟ้าสวรรค์จัดเตรียมไว้ให้เราก่อนเกิดดีกว่า ที่เรียกว่าพระพรนานัประการต่างๆ ในโลกวิญญาณ ที่เราได้รับแล้วในฐานะเป็นลูกของพระเจ้าว่าพระองค์ทรงเตรียมอะไรให้กับเราบ้าง? ตั้งแต่ก่อนเกิด สำหรับมนุษย์ทุกคน แต่ละคน ตั้งแต่ก่อนเกิด ถ้าเกิดแล้ว มันก็จะเป็นของเราทันทีทันใด เพราะมันจัดเตรียมไว้เรียบร้อยแล้ว มันจะเป็นของเราทันที ณ วินาทีแรก ที่เราคลอดออกมา โดยผ่านทางพระเยซูคริสต์ พระองค์ทรงตรัสไว้เป็นคำล้ำลึกในโลกฝ่ายวิญญาณว่ามนุษย์ทุกคน จะเข้ามาหาพระเจ้า มาเป็นลูกพระเจ้าได้ เขาต้องคลอดอีกครั้ง เป็นครั้งที่ 2  พูดกับนิโคเดมัส

            คลอดครั้งแรก ก็คือคลอดผ่านทางมดลูก ครรภ์ของมารดา ถูกไหม? ออกมาจากครรภ์ของมารดา ซึ่งเต็มไปด้วยน้ำคร่ำ มนุษย์ทุกคนต้องคลอดอย่างนี้หมด  แต่เขาไม่สามารถที่จะเข้าสู่สวรรค์ ไม่สามารถมาเป็นลูกพระเจ้าได้ จนกว่าเขาจะได้รับการทำคลอด อีกครั้งหนึ่ง ฝ่ายวิญญาณ เมื่อเขาคลอดครั้งที่สอง คลอดทางฝ่ายวิญญาณ เขาจะไม่มีทางเป็นบุตรของพระเจ้า เข้าไปมีส่วนในครอบครัวของพระเจ้า  และเขาก็จะครอบครองในสิ่งต่างๆ  ที่พระเจ้าจัดเตรียมไว้ ให้กับลูกของพระองค์ ก่อนที่จะคลอดไง เอเมน มาดูว่ามีอะไรบ้าง? เพื่อจะได้รู้ว่าเตรียมอะไรไว้ให้กับเราเยอะแยะหมดเลย สำหรับเราที่เป็นลูกของพระเจ้าแล้ว จะได้ชื่นชมยินดีว่าเป็นลูกของพระเจ้าแล้ว สำหรับคนที่ฟังแล้ว ยังไม่ได้คลอด ก็จะได้รู้ว่าพระเจ้าเตรียมอะไรไว้ให้กับท่าน …

            1. เราได้รับการอภัยโทษจากบาปทั้งสิ้น ตลอดไปด้วยพระโลหิตของพระเยซูคริสต์ได้ชำระเราสะอาดบริสุทธิ์ตลอดไป เราได้เป็นลูกของพระเจ้าแล้ว ได้บังเกิดใหม่อาศัยอยู่ในสวรรค์ในพระคริสต์ ทันทีทันใด เพราะว่าพระองค์ทรงจัดเตรียมไว้ตั้งแต่ก่อนเราจะคลอดแล้ว และตอนนี้เราคลอดแล้ว เป็นของเราแล้วด้วย ได้เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์

            2. เราได้รับชีวิตนิรันดร์แล้ว ชีวิตของพระเยซูคริสต์เป็นชีวิตของเรา ชีวิตของพระเยซูคริสต์ คือชีวิตของพระเจ้านั่นเอง

            คำว่า “ชีวิตนิรันดร์” ไม่ได้หมายถึงเฉพาะชีวิตที่มีความยาวต่อเนื่อง ไม่ตายอีกต่อไปเท่านั้น  ไม่ใช่แค่นั้น แต่หมายถึงชีวิตที่มี DNA มีลักษณะชีวิตที่เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์เลย เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเยซูคริสต์เลย เป็นหนึ่งเดียวกันกับชีวิตของพระเจ้าพระบิดา มีพระลักษณะของพระเจ้าอยู่ใน DNA ของพวกเรา เหมือนพ่อและแม่ มีลูก ยีนส์ทั้งหมด  DNA ทั้งหมด ก็มาจากพ่อและแม่เช่นเดียวกัน ลักษณะเดียวกัน ซึ่งพระเจ้าเตรียมไว้ให้กับลูกเรียบร้อยแล้วว่าลูกคลอดออกมา ก็จะเป็นอย่างนี้

            ถามว่าได้รับเมื่อไร? ได้รับเมื่อคลอดออกมา แล้วประพฤติดีๆ มากๆ ให้มาโบสถ์เป็นประจำ  ให้อ่านพระคัมภีร์เป็นประจำ ไม่ใช่ผมต่อต้านการมาโบสถ์ การอ่านพระคัมภีร์นะ ส่งเสริมให้มาโบสถ์ อ่านพระคัมภีร์ แต่ผลที่จะได้จากการมาโบสถ์และอ่านพระคัมภีร์ คนละเรื่องกันกับเรื่องนี้ เรื่องนี้ได้มาฟรีๆ ให้ฟรีๆ ลูกเรา ลูกเรา จะคลอดมาเป็นลูกเรา  เขาไม่ต้องทำอะไร เขาก็เป็นลูกเราแล้ว คลอดออกมา เขาจะทำดีหรือไม่ดี กตัญญูต่อเรา หรือไม่กตัญญู เราอยากให้เขาเชื่อฟังต่อเรา มันดี แต่มันคนละเรื่องกันกับที่เราให้เขาคลอดออกมา เราก็คอยชื่นชมเขา  คนละอย่างกัน

            ลูกของพระเจ้าก็เช่นเดียวกัน  พระเจ้าเตรียมไว้ให้กับลูกของพระองค์เรียบร้อยแล้ว  พอคลอดปุ๊บ ก็ได้ปั๊บ เพราะว่าเตรียมไว้ก่อนคลอด นึกภาพนะ พูดง่ายๆ ก็คือเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอดทันทีปุ๊บ ได้ปั๊บทันทีเลย เพราะมันเป็นของเรา วางอยู่นั่นแล้ว คลอดปุ๊บ ได้ปั๊บ เอเมนไหม? ลูกมนุษย์คลอดปุ๊บ ก็เป็นลูกแล้ว  อยู่ในครรภ์ก็เรียกว่าลูกแล้ว คลอดออกมา ก็ยังเป็นลูกอยู่ ไม่ต้องทำอะไร ก็ได้เป็นลูกเช่นเดียวกัน

            3. พระเจ้าทรงสถิตอยู่ในเราตลอดเวลา พระเจ้าบินเคียงข้างเรายามเราสุข ยามเราทุกข์ซุกเราไว้ใต้ปีกของพระองค์ทันทีเลย นี่คือสิ่งที่จัดเตรียมไว้เรียบร้อยแล้ว  ก่อนเราจะเกิด ก่อนเราจะคลอด พูดง่ายๆ คือพระเจ้าบอกว่าก่อนคลอด ก่อนที่เราจะหันกลับมาหาพระเจ้า พระเจ้าจะมาสถิตอยู่กับเราก่อนคลอด ก่อนเชื่อวางใจในพระเยซู

            หลังคลอดแล้ว คำว่า “จะ” หายไป ถูกแล้ว หลังคลอดแล้ว คำว่าจะ จะต้องหายไปสิ หลังคลอดแล้ว พระเจ้าทรงสถิตอยู่ด้วยตลอดเวลานั่นเอง  เพราะฉะนั้น ถ้าเราไม่คลอดออกมาเป็นลูก พระเจ้าก็ไม่ได้สถิตอยู่กับเราตลอดเวลา เราก็เดินคนเดียวบนโลกใบนี้ ต้องเผชิญกับสิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นบนโลกใบนี้ด้วยตัวของเราเพียงคนเดียว และต้องเผชิญกับชีวิตหลังความตาย ซึ่งน่ากลัวมาก ลำพังเราคนเดียว เราไหวไหมล่ะ มีพระเจ้าอยู่กับเราด้วย มันดีกว่าตั้งเยอะ แค่คิดแค่นี้ก็อบอุ่นใจแล้ว

        สดุดี 17:7-8 “7 พระเจ้าสำแดงความมหัศจรรย์แห่งความรักอันยิ่งใหญ่ของพระองค์ พระองค์ช่วยบรรดาผู้ที่วางใจในพระองค์ ให้พ้นจากศัตรูของเขาโดยพระหัตถ์ขวาของพระองค์ 8 ปกป้องรักษาข้าพระองค์ดั่งแก้วตาของพระองค์ ซ่อนข้าพระองค์ไว้ใต้ร่มปีกของพระองค์”

            “มหัศจรรย์ความรักอันยิ่งใหญ่ของพระองค์” ก็คือพระองค์ทรงช่วยบรรดาผู้ที่วางใจในพระองค์ คือวางใจในพระมาสิฮาห์ พระบุตร พระเยซูคริสต์ให้เขาพ้นจากศัตรู ศัตรูของเขาก็คือความบาป กฎของความบาปและความตายนั่นเอง พอพ้นปุ๊บ ก็จะรักเขา ปกป้องเขาดังแก้วตาดวงใจของพระองค์

            ดูต่อไปว่าพระองค์เตรียมอะไรไว้ให้เราอีก ก่อนที่เราจะคลอด ก่อนที่เราจะเชื่อ

            4. เรามีมรดกในสวรรค์ร่วมกับพระเยซูคริสต์   พระคัมภีร์บอกว่าเราเป็นทายาทร่วมกับพระเยซูคริสต์ ได้ครอบครองร่วมกับพระเยซูคริสต์นิรันดร์

            มันเป็นของเราแล้ว มันเป็นของลูกแล้ว เตรียมไว้ให้ เตรียมมรดก เตรียมทรัพย์สมบัติไว้ให้เรียบร้อยแล้ว คลอดออกมา ก็เป็นของเขา จริงๆ เป็นของเขาก่อนที่จะคลอดด้วยซ้ำไป ก่อนที่จะเชื่อ ก็เป็นของเขาแล้ว เขามาเชื่อ ก็เท่ากับเขาใช้สิทธิของเขาเท่านั้น  เพราะฉะนั้น มนุษย์ทุกคนก็เป็นผู้ที่มีมรดก ที่พระเจ้าจัดเตรียมไว้ให้ มีมรดก สำหรับลูกๆ ของพระเจ้าที่จัดเตรียมไว้เรียบร้อยแล้ว  แต่มนุษย์ต้องใช้สิทธิ์ในการเป็นลูกของพระเจ้า ผ่านทางการวางใจในพระเยซูคริสต์เสียก่อน ก่อนจะคลอดออกมาเป็นลูก ใช้สิทธิของตนเอง

            5. เราได้เป็นผู้ชอบธรรมแล้ว เป็นธรรมิกชน บริสุทธิ์ สะอาด ปราศจากบาปไม่มีที่ติเลยแม้แต่นิดเดียว สะอาดบริสุทธิ์เหมือนพระเยซูเลย

            มั่นใจในสิ่งนี้ว่าพระองค์ทรงจัดเตรียมไว้ให้เรียบร้อยแล้ว เราสะอาด หมดจด เราไม่ได้เป็นคนบาป สกปรก เราไม่ได้เป็นคนชั่ว แม้ว่าบางครั้ง เราจะประพฤติชั่วก็ตาม

            “เราเป็นผู้บริสุทธิ์สะอาด ดีพร้อม เหมือนพระเจ้า เพราะเป็นลูกพระเจ้า  แต่บางครั้งอาจประพฤติไม่สมควรกับการเป็นลูกของพระเจ้า” การ “เป็น” กับการ “ประพฤติ” มันไม่เหมือนกัน ซึ่งเราเรียนรู้เรื่องนี้ไปบ่อยๆ

            การจัดเตรียมของพระเจ้า ที่พระเยซูประกาศว่าพระองค์ทรงเตรียมไว้ให้เรียบร้อยแล้วทั้งหมด ประกาศดังลั่นเลย ที่ไม้กางเขนว่า “สำเร็จแล้ว” ทั้งหมดนี้สำเร็จแล้ว  พระเจ้าเตรียมและพร้อมแล้ว ที่จะมีลูก เหมือนมนุษย์ที่เตรียมครอบครัวจนพร้อมแล้ว เอาล่ะ พร้อมแล้วที่จะมีลูก พระเจ้าก็เตรียมทุกอย่างมาตั้งหลายพันปี จนกระทั่งถึงพระเยซูคริสต์สิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน  และประกาศว่าพร้อมแล้วที่จะมีลูก พระองค์ประกาศว่าสำเร็จแล้ว

            6. เราได้เป็นลูกของพระเจ้า อยู่ในครอบครัวของพระเจ้า ผู้ทรงสร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก เราได้เป็นสมาชิกคนหนึ่งในครอบครัวของพระเจ้า ที่พระองค์ทรงรักเราเท่ากับรักพระเยซูเลย พระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่สูงสุดในมหาจักรวาลนี้ ไม่มีใครเทียบเทียมพระองค์ได้ พระองค์เป็นพ่อส่วนตัวของเราเลย  เอเมน

            พ่อส่วนตัว คืออย่าไปนึกถึงพระเจ้าเป็นพ่อ แล้วมีความรู้สึกว่าเป็นพ่อของทุกคน อันนั้นก็ใช่ แต่ให้มีความรู้สึกว่าพระองค์เป็นพ่อของฉัน พระเจ้าเป็นพ่อของฉัน พ่อส่วนตัว คือพระองค์พร้อมแล้วที่จะเป็นที่พึ่งของเรา พร้อมเสมอ

            7. พระเจ้าทรงรักเราและโปรดปรานเรา ดั่งแก้วตาดวงใจของพระองค์ เหมือนพระเยซูคริสต์เลย

            รักเราเหมือนรักพระเยซูคริสต์ รักพระเยซูคริสต์เท่าไร? ก็รักเราเท่านั้น ต้องการที่จะมีเราเอาไว้เป็นผู้รับใช้ ใช้เรา ดีใจจังทุกคนส่ายหน้า ไม่ใช่

            พระองค์ตั้งใจที่จะมีเรา ให้เรามาเชื่อ เพื่อเราจะได้ประกาศข่าวประเสริฐของพระองค์ มีส่วนนิดๆ แต่ไม่ได้เป็นความตั้งใจจริงๆ

            พระองค์ตั้งใจมีเราเป็นลูก คลอดเราออกมา เพื่อให้เรากตัญญูต่อพระองค์ ไม่ใช่

            พระองค์ตั้งใจมีเรา คลอดออกมาในพระเยซูคริสต์ เพื่อจะรักและชื่นชม นอกเหนือจากนั้นเป็นของแถมหมดเลย

            ใครที่คิดว่ามาเชื่อพระเจ้า แล้วจะมารับใช้พระองค์ ทดแทนพระคุณพระองค์ ดีอยู่แหละ ด้วยความปรารถนาอันดับแรกๆ ของพระเจ้า พระเจ้าต้องการแค่เธอเป็นลูกฉัน ฉันก็ดีใจแล้ว  ก็เห็นเธอน่ารัก ฉันทำให้เธอเรียบร้อยแล้ว สะอาดหมดจด ดีมาก รักฉัน ฉันสามารถทำได้ แค่นั้นเอง คนจะทำดี ก็ดีใจด้วย

            8. เราเป็นความรักเป็นแสงสว่างเหมือนพระเยซูคริสต์ พระเจ้าทรงเป็นความรักเป็นความสว่าง พระเยซูก็ทรงเป็นความรักเป็นความสว่าง เราก็เป็นความรักเป็นความสว่างด้วย ด้วยวิญญาณและใจใหม่ของเรา เราจึงสามารถรักพระเจ้า รักพระเยซู รักพี่น้องในพระคริสต์ได้อย่างสบายๆ เป็นไปตามธรรมชาติของความรักภายในเรา

            9. เรากำลังนั่งอยู่ที่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้า    มีสิทธิอำนาจสูงสุดในโลกวิญญาณในสวรรค์สถาน ร่วมกับพระเยซูคริสต์ ไม่ว่าเราจะรู้สึกอย่างไรบนโลกใบนี้  ไม่ว่าเราจะเจอสถานการณ์เช่นไรบนโลกใบนี้ ให้เรารับรู้ว่านี่คือสิ่งที่พระองค์จัดเตรียมให้กับเราเรียบร้อยไปแล้ว พร้อมแล้ว สำเร็จแล้ว ที่ไม้กางเขน ก่อนที่เราจะคลอด  ก่อนที่เราจะเชื่อ ก่อนที่เราจะวางใจในพระองค์ เป็นลูกด้วยซ้ำไป

            ทั้งหมดที่พูดมานี้ 9 อย่าง เราได้รับเรียบร้อยไปแล้วในโลกวิญญาณ เมื่อเราได้คลอดและบังเกิดใหม่ โดยผ่านทางความเชื่อ เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยรอด ได้มาเป็นลูกของพระองค์ มันเตรียมไว้เรียบร้อยไปหมดแล้ว เราไม่ต้องทำอะไรเพิ่มเลย เราได้รับทั้งหมดนี้ เรียบร้อยแล้วในพระเยซูคริสต์ เราไม่ต้องร้องขอ หรือพยายามกระทำอะไร? เพื่อจะให้มีมากขึ้น  ไม่ต้องพยายามทำอะไรให้เป็นลูกพระเจ้ามากขึ้น เพราะเป็นลูก็คือเป็นลูก  ไม่ต้องไปพยายามอะไรให้มีคุณสมบัติจะเป็นลูกของพระเจ้ามากขึ้น ไม่ต้อง และไม่ต้องมาขอความรักจากพระเจ้าให้มากขึ้น เพราะพระเจ้า พ่อแห่งฟ้าสวรรค์ ได้ทรงประทานทั้งหมดเหล่านี้เรียบร้อยไปแล้ว ทุกอย่างที่จำเป็นในการเป็นลูกของพระเจ้า ในการดำเนินชีวิตที่บริสุทธิ์ ดีพร้อมเหมือนพระเจ้า พระองค์ทรงเตรียมไว้เรียบร้อยแล้ว เตรียมตั้งแต่เมื่อไร? เริ่มตั้งแต่ให้วิญญาณและใจใหม่กับเรา ตอนบังเกิดใหม่ รวมทั้งร่างกายที่เราได้รับการชำระด้วยพระโลหิตของพระเยซูคริสต์ให้สะอาด หมดจด เรียบร้อยไปแล้ว แม้ว่าจะเป็นร่างกายเดิมก็ตาม และพระองค์ก็เข้ามาสถิตอยู่ภายในร่างกายนี้ได้แล้ว สะอาดหมดจดแล้ว เป็นที่พอพระทัยของพระเจ้าแล้วนั่นเอง  พระเจ้าสามารถรับเราเข้าไปอยู่ในสวรรค์กับพระองค์ได้แล้ว เสร็จแล้ว เป็นลูกของพระองค์ที่บริสุทธิ์ สะอาดแล้ว

            ย้ำอีกที เป็นลูกของพระองค์ที่บริสุทธิ์ สะอาดแล้ว ตลอดไป ชั่วนิรันดร์ ไม่มีวันเปลี่ยนแปลง ไม่มีใครสามารถพรากเราออกไปจากความรักของพระเจ้านี้ได้เลย ย้ำอีกทีว่าไม่มีใครจะมาเปลี่ยนแปลงสถานะนี้ได้แล้ว พ่อแม่ที่เป็นมนุษย์ก็เหมือนกัน เรามีลูกแล้ว ลูกเราออกมาไม่ว่าเขาจะชั่ว จะดี จะกตัญญูหรือไม่กตัญญูอะไรต่างๆ เขาก็เป็นลูกเรา ต่อให้เราไล่เขาออกจากบ้าน เพราะพ่อแม่ที่เป็นมนุษย์ อาจจะไม่ได้ดีพร้อมเหมือนพระเจ้า เราใช้อารมณ์อะไรต่างๆ เหล่านั้น ลูกเราก็ยังคงเป็นลูกเรา เราบอกไม่สนใจแล้ว เราเป็นคนบาป สายเลือด ตัดขาดออกจากการเป็นพ่อเป็นลูกไปแล้ว ตัดได้ไหม? พูดได้ ความรู้สึกได้ แต่จริงๆ ตัดไม่ได้ เขาเป็นลูก เขาก็เป็นลูกตลอดไป พระเจ้าเป็นพ่อของเรา ก็เป็นพ่อตลอดไป ตราบใดที่เราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด และคลอดออกมาเป็นลูกของพระเจ้าแล้ว เราเป็นลูกของพระองค์ตลอดไป และพ่อรักและหวงแหนเรามากด้วย มากตลอดไป ไม่ว่าเราจะประพฤติตัวเช่นไร? ก็ยังคงรักเราเหมือนเดิมตลอดไป ใครมาแตะเรา มารังแกเรา ก็เหมือนทำกับพ่อของเรา รักเราขนาดนี้ บอกเลย ใครมาทำอะไรเรา พ่อเจ็บด้วย

            เพราะฉะนั้น สิ่งเดียวที่พ่อของเราทำให้เราไม่ได้ ก็คือให้เรามากกว่านี้ไม่ได้แล้ว  รักเราสุดๆ แล้ว หรือขออะไรต่างๆ ที่พระองค์ทรงให้หมดแล้ว พระองค์ก็บอกว่า …

            “พ่อให้ไม่ได้แล้ว เพราะว่าให้ไปแล้ว”

            เหมือนลูกเรา มาขอเรา พ่อบอกว่าให้ไปแล้ว อยู่ในกระเป๋า สมมติขอเงินสักพันหนึ่ง ก็อยู่ในกระเป๋าแล้ว จะให้ได้อย่างไร? ก็มันอยู่ในกระเป๋าแล้ว  ก็มีอยู่แล้ว พระเจ้าก็เช่นเดียวกัน ไม่สามารถให้อะไรกับเรา ที่เราจะขอเพิ่มพูนมากขึ้น  เพราะพระองค์ทรงจัดเตรียมให้กับเราเรียบร้อยแล้ว ก่อนเกิด ทุกสิ่งทุกอย่างที่จำเป็น ในการเป็นลูกของพระองค์ ดำเนินชีวิตให้กับเราเรียบร้อยแล้วอย่างครบถ้วนบริบูรณ์ในพระเยซูคริสต์ ทั้งหมดเรียบร้อยแล้ว รักเรามากสุด เตรียมทุกสิ่งทุกอย่างให้กับเราครบถ้วนบริบูรณ์ เรียบร้อย ก่อนที่เราจะคลอดด้วยซ้ำ  พระเยซูประกาศที่ไม้กางเขนว่าสำเร็จแล้ว ก่อนที่เราจะเกิดด้วยซ้ำไป ก่อนเราจะเกิดเป็นมนุษย์ พระองค์บอกสำเร็จเรียบร้อยแล้ว นั่นแหละคือความสมบูรณ์ เพราะว่าทั้งหมดนี้ พระเจ้าจัดเตรียมไว้ให้กับท่าน กับเราทั้งหลายที่มาเป็นลูกของพระองค์เรียบร้อยแล้ว  สำเร็จแล้ว

            จบสุดท้าย วันนี้ ก็คือสิ่งสำคัญที่พระเจ้าต้องการให้เราทำ คือไม่ต้องทำอะไรเลย ทำให้หมดเรียบร้อยทุกอย่าง จบ แต่มีสิ่งเดียวที่เป็นหน้าที่ของมนุษย์ที่เป็นลูกของพระองค์ อันเดียวที่พระองค์ต้องการมากที่สุด นอกนั้น ไม่ต้องทำอะไรแล้ว  ไม่ต้องพึ่งพาอะไรแล้ว เราแค่นิดเดียวเอง คือจงเปิดใจ วางใจในพระเมซิยาห์  เพราะเป็นทางเดียวที่ท่านจะเข้าไปสู่การเป็นลูก เป็นทางเดียวที่ท่านจะสามารถคลอดเข้าไปเป็นลูกของพระเจ้า และได้รับสิ่งที่เรากำลังพูดกันมาทั้งหมดนี้ได้ทันที เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เมื่อไร ท่านได้รับทันที กำเนิด เกิดมาเป็นลูกของพระเจ้าฝ่ายวิญญาณทันที เป็นลูกของพระองค์ทันที อยู่ในสวรรค์ทันที เอเมน พระเจ้าอวยพรครับ

********************

จากใจคณะศิษยาภิบาล

            ด่วน! มนุษย์ทุกคนสามารถเข้ามาอาศัยอยู่ในสวรรค์กับพระเจ้าได้  ทันทีเดี๋ยวนี้เลย เพียงแค่ใช้สิทธิ์ที่พระเยซูคริสต์ได้ไถ่ท่านแล้ว

            1 เปโตร 1:18-19 …  “18 ท่านจำเป็นต้องรู้  และระลึกอยู่เสมอว่าท่านได้รับการไถ่  จากการดำเนินชีวิตแบบไร้ประโยชน์  ไร้ค่า (อยู่ในความพินาศ ในความบาป  และในความตาย)  ซึ่งเป็นสิ่งที่ตกทอด  มาจากบรรพบุรุษของท่าน (ตั้งแต่อาดัม)  และการไถ่นี้  มิใช่การไถ่ด้วยสิ่งที่สูญสลายได้  เช่นเงินหรือทอง 19 แต่ท่านถูกซื้อ  ด้วยพระโลหิตอันล้ำค่าของพระเยซูคริสต์  พระเมสิยาห์  ผู้เปรียบเสมือนลูกแกะบูชา  ที่ปราศจากตำหนิ  และจุดด่างพร้อยใดๆ”

            เราจะดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้  ด้วยความท้อแท้เศร้าสร้อย  ไร้ความหวัง  ไร้ที่พึ่ง  ไร้ผู้ช่วยเหลือ  ต้องเผชิญกับความทุกข์ยากลำบากอย่างมากมาย ซึ่งหลีกเลี่ยงไม่ได้บนโลกใบนี้  และยังต้องเผชิญกับความกลัวความตาย  เพราะไม่มั่นใจในชีวิตหลังความตาย  เราจะอยู่ในความกลัว  และความวิตกกังวลอย่างนี้อีกทำไม ในเมื่อเรามีสิทธิ์ที่จะได้รับชีวิตใหม่  รับการไถ่ของพระเยซู  เข้ามาอยู่ในสวรรค์กับพระเจ้าได้เลยทันที  เพียงแค่เปิดใจต้อนรับสิทธิของตนเอง  ที่พระเยซูคริสต์ได้ทรงกระทำให้สำเร็จเรียบร้อยไปแล้ว  ที่ไม้กางเขนเท่านั้น  แล้วพระเจ้าจะเข้าไปสถิตอยู่ในท่าน  จะคอยช่วยเหลือนำพาท่าน  ผ่าน อุปสรรคปัญหาต่างๆ ในชีวิตทันที  ตั้งแต่เดี๋ยวนี้ไปจนกระทั่งถึงชีวิตนิรันดร์หลังความตาย

            พระเจ้ารักท่านมาก  และกำลังรอคอยให้ท่านเปิดใจยอมรับพระองค์  พระเจ้าอวยพรครับ

วารสาร Holy  News   ฉบับที่ 1392 

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  4  ธันวาคม  2022

เรื่อง “พระเจ้าพ่อแห่งฟ้าสวรรค์ รักเรามากแค่ไหน?”

โดย นคร  เวชสุภาพร

            วันนี้เป็นวันสำคัญอีกวันหนึ่ง ที่ช่วงปลายปีเราจะระลึกถึงสิ่งเหล่านี้ หลังจากอาทิตย์ที่ 4 ของเดือนพฤศจิกายน เราก็เริ่มต้นเทศกาลระลึกถึงพระเจ้า  ขอบคุณพระเจ้า เมื่อ 2 สัปดาห์ที่แล้ว หลังจากขอบคุณพระเจ้าแล้ว เราก็มาขอบคุณพระเจ้าเหมือนกัน แต่ขอบคุณพระเจ้า สำหรับพ่อ เขาเรียกว่าวันพ่อ ซึ่งพอพูดถึงวันพ่อวันแม่ เราก็คู่กัน พ่อแม่มีส่วนคนละครึ่ง พอบอกวันพ่อ ก็มีวันแม่ครึ่งหนึ่ง พอบอกวันแม่ ก็มีวันพ่อครึ่งหนึ่ง และหลังจากนั้น ก็เป็นวันพระบุตรแล้ว คือวันพระเยซูคริสต์ที่เราร่วมกันระลึกถึงความรอดของเราที่ได้รับจากพระเจ้า ทรงประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ลงมาเกิดเป็นมนุษย์ ก็คือวันคริสตมาส

            สุขสันต์วันพ่อ วันนี้เราก็ต้องมารำลึกถึงความรัก ความดีงาม และขอบพระคุณพ่อที่เป็นมนุษย์ และพ่อซึ่งอยู่ในสวรรค์ ก็คือพระเจ้า ถ้าเราเห็นความรักของพระเจ้า พ่อแห่งฟ้าสวรรค์มากเท่าไร? เราก็จะเห็นความรักของพ่อที่เป็นมนุษย์มากเท่านั้น หรือจะกลับกันก็ได้ว่าถ้าเราเห็นความรักของพ่อเรา ที่เป็นมนุษย์ ซึ่งรวมทั้งแม่ด้วย วันพ่อก็มีวันแม่ครึ่งหนึ่ง วันแม่ก็มีวันพ่อครึ่งหนึ่ง ทั้งสองเป็นผู้ร่วมกัน เป็นผู้ให้กำเนิด เพราะฉะนั้น เห็นความรักของพระเจ้า พ่อในสวรรค์ ก็จะเห็นความรักของพ่อและแม่ที่เป็นมนุษย์เท่านั้น ใครเห็นมาก ก็สัมผัสได้มาก ใครเห็นน้อยก็สัมผัสได้น้อย หนังสือสดุดี 103:10-13 ได้ประกาศให้ทั้งโลกได้รู้ว่า …

        สดุดี 103:10-13 “10 พระองค์ไม่ได้ทรงกระทำแก่เราอย่างสาสมกับบาปของเรา หรือลงโทษอย่างสาสมกับความชั่วช้าของเรา 11 เพราะว่าฟ้าสวรรค์สูงเหนือแผ่นดินเพียงใด ความรักของพระองค์ที่มีต่อผู้ที่ยำเกรงพระองค์ ก็ยิ่งใหญ่เพียงนั้น 12 ตะวันออกไกลจากตะวันตกเพียงใด พระองค์ก็ทรงยกเอาการล่วงละเมิดของเราออกไปไกลเพียงนั้น 13 บิดาเอ็นดูสงสารบุตรของตนฉันใด องค์พระผู้เป็นเจ้า ก็ทรงเอ็นดูสงสารผู้ที่ยำเกรงพระองค์ฉันนั้น”

            พระเจ้าไม่ได้ลงโทษเราให้สาสมกับความเป็นคนบาปของเรา

            ข้อ 11 บอกว่า … “เพราะว่าฟ้าสวรรค์สูงเหนือแผ่นดินโลกเท่าไร เราเห็นฟ้าสวรรค์ แผ่นดิน มองไปสุดลูกหูลูกตา  ความรักของพระองค์ที่มีต่อผู้ที่ยำเกรงพระองค์ ก็ยิ่งใหญ่เพียงนั้น”

            ข้อ 12 … “ตะวันออกไกลจากตะวันตกเพียงใด” ไกลเท่าไร? ตะวันออกไกลจากตะวันตกเท่าไร? ต้องหันหน้าบอกว่าไม่รู้ ไม่มีที่สิ้นสุด ถูกไหม? ตะวันออกห่างไกลจากตะวันตก ไม่มีที่สิ้นสุด

            ข้อ 13 … “บิดาเอ็นดูสงสารบุตรของตนฉันใด องค์พระผู้เป็นเจ้า ก็ทรงเอ็นดูสงสารผู้ที่ยำเกรงพระองค์ฉันนั้น” บิดา คือบิดาที่เป็นมนุษย์ สงสารรักลูกของตนเองเท่าไร? พระเจ้าก็ทรงเอ็นดูสงสาร ผู้ที่ยำเกรงพระองค์ฉันนั้น ขอบคุณและสรรเสริญพระเจ้า

            ตะวันออกห่างไกลจากตะวันตกเพียงใด พระเจ้านำเอาการละเมิดของเราออกไปไกลเพียงนั้น พระคัมภีร์เขียนไว้อย่างนั้นนะ

            จริงๆ ข้อ 12 มันตกไป “ตะวันออกห่างไกลจากตะวันตกเพียงใด พระเจ้าเอาการบาปของเราหลุดออกไปจากเราฉันนั้น” ไกลเท่านั้น ไม่เจอกันอีกเลย คือบาปกับเราไม่เจอกันอีกเลย มันตกไปนิดหนึ่ง

            มารู้จักความรักของพระเจ้า พ่อแห่งฟ้าสวรรค์กันวันนี้ เพื่อเราจะได้รู้ว่าความรักของพ่อที่เป็นมนุษย์ เป็นอย่างไรด้วย  พระเยซูพยายามอธิบายเรื่องนี้ เป็นอุปมาให้กับชาวยิว ซึ่งคุ้นเคยกับพระเจ้าในลักษณะของพระเจ้าที่เป็นเจ้านาย ที่เข้มงวด ดุ เจ้าอารมณ์ ลงโทษอย่างรุนแรง ดูแลพวกเขาเหมือนกับทาส ทำดีก็ได้ดี ทำไม่ดี หรือทำชั่ว ไม่เชื่อฟัง ก็ถูกตีสอนอย่างรุนแรง นี่ความรู้สึกของเขา เขามองพระเจ้าเป็นอย่างนั้น ไม่มีการให้อภัยแบบเปล่าๆ ต้องมีของแลก ทำอันนี้ ได้อันนั้น ทำอันนั้น ได้อันนี้ ทำผิดต้องแลกด้วยอะไร ก็ว่าไป ทำผิดบาปอย่าง ต้องแลกด้วยชีวิต สั่งไว้แล้วอย่าทำ ทำ ต้องแลกด้วยชีวิต เขาเรียกว่ามองพระเจ้า ดูแลพวกเขาเป็นแบบตาต่อตา ฟันต่อฟัน คือระเบียบต้องเป๊ะเลย

            ผมจะยกตัวอย่างให้ดู นี่คือพระคัมภีร์เดิม ซึ่งพระเจ้าดูแลมนุษย์ ผ่านทางตัวแทนของมนุษย์ ก็คืออิสราเอล และเป็นอย่างนั้นจริงๆ ไม่มีวันที่จะเข้าใจได้เลย  ตัวอย่างยกมาอันหนึ่งให้เห็นชัดเลยว่านี่คือการดูแลของพระเจ้า ผู้ได้บอกว่าพระองค์เป็นพ่อ ที่ตะกี้เราอ่านในสดุดี บทที่ 103 ว่าพ่อรักเรามากๆ เลย รักแล้วทำไมทำอย่างนี้ ชาวยิวสมัยก่อน เขาก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน  เราเองก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน วันนี้จะทำให้เราเข้าใจมากขึ้น เรียนรู้วันนี้แล้ว ทำให้ความรักเราที่มีต่อพระเจ้าจะเปี่ยมล้นมากขึ้น เราจะเข้าใจพ่อที่เป็นพระเจ้าในฟ้าสวรรค์มากขึ้น และเข้าใจพ่อแม่ที่เป็นมนุษย์มากขึ้นด้วย มันต้องคู่กันมา

            ตัวอย่างเห็นชัดเลย คือ 2 ซามูเอล 6:1-8  ในสมัยอิสราเอลที่ดาวิดเป็นกษัตริย์อยู่จะไปเชิญหีบพันธสัญญา ซึ่งเล็งถึงการทรงสถิตของพระเจ้า มาตั้งอยู่ที่กรุงเยรูซาเล็ม ดูสิว่าอะไรเกิดขึ้น …

        2 ซามูเอล 6:1-8 “1 แล้วดาวิดนำพลอิสราเอลที่เลือกสรรแล้ว สามหมื่นคน 2 ไปยังบาอาลาห์ แห่งยูดาห์ เพื่ออัญเชิญหีบพันธสัญญาของพระเจ้า ซึ่งเรียกตามพระนาม คือพระยาห์เวห์ ผู้ทรงฤทธิ์ ผู้ประทับระหว่างเครูบนหีบนั้น 3 พวกเขาตั้งหีบพันธสัญญาของพระเจ้าบนเกวียนใหม่ และนำลงมาจากบ้านของอาบีนาดับ ซึ่งอยู่บนภูเขา โดยมีอุสซาห์กับอาหิโยบุตรอาบีนาดับเป็นผู้นำเกวียน 4 ที่บรรทุกหีบพันธสัญญาของพระเจ้าและอาหิโยเดินนำหน้า 5 ดาวิดและปวงชนอิสราเอลเฉลิมฉลองอย่างเต็มที่ ต่อหน้าองค์พระผู้เป็นเจ้า มีการขับร้องและบรรเลงดนตรีด้วยพิณเขาคู่ พิณใหญ่ รำมะนา กรับและฉาบ 6 เมื่อพวกเขามาถึงลานนวดข้าวของนาโคน วัวสะดุดเสียหลัก อุสซาห์ยื่นมือออกไปยึดหีบพันธสัญญาของพระเจ้าไว้ 7 พระพิโรธขององค์พระผู้เป็นเจ้า จึงพลุ่งขึ้นต่ออุสซาห์ และทรงประหารเขาที่บังอาจทำอย่างไม่ยำเกรงพระองค์ เขาตายอยู่ข้างหีบพันธสัญญาของพระเจ้า 8 ดาวิดไม่พอพระทัยเพราะองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงพระพิโรธอุสซาห์ ที่แห่งนั้นจึงได้ชื่อว่า เปเรศอุสซาห์จวบจนบัดนี้”

            หีบพันธสัญญา คือสัญลักษณ์ของการทรงสถิตอยู่ของพระเจ้า พระเจ้าบริสุทธิ์และศักดิ์สิทธิ์  พระเจ้ายิ่งใหญ่ เต็มด้วยฤทธานุภาพอำนาจ ตะกี้ที่เราอ่าน เรื่องราว เห็นไหมว่ากษัตริย์ดาวิดและอิสราเอลเคารพยำเกรงพระเจ้ามากๆ พระเจ้าสั่งไว้อย่างไร ก็ทำตามหมด บอกว่าถ้าจะไปเชิญหีบพันธสัญญา จะต้องทำขบวนการใหญ่เลยนะ ต้องใช้คน 30,000 คน ไปอัญเชิญหีบพันธสัญญามา ด้วยความชื่นชมยินดี โดยมีอุสซาห์และอาหิโย บุตรของอาบีนาดับเป็นผู้นำเกวียนไป เอาเกวียนไปขนมา นึกภาพตามนี้ มีการขับร้องและบรรเลงดนตรีด้วยพิณเขาคู่ พิณใหญ่ รำมะนา กรับและฉาบ นี่คือสิ่งที่พระเจ้าบอกไว้ เป็นพิธีที่ต้องทำ ตอนที่จะเชิญหีบพันธสัญญาไปไหนก็ตาม ต้องนำด้วยการนมัสการอย่างนี้ ให้ทำตามแล้วกัน เขาก็ทำตาม เห็นอะไรบางอย่างไหมว่าเป็นระเบียบที่พระเจ้าวางไว้ เขาก็ทำตาม แต่เกิดอุบัติเหตุ วัวสะดุดเสียหลัก ความผิดของมนุษย์ไหม? ไม่ ความผิดของวัวหรือเปล่า? น่าจะเป็นความผิดของวัว พูดเล่นๆ จะได้จำได้

            ใครเป็นคนเดินนำหน้า อุสซาร์ ถ้าจำให้ดี ก็คืออุตส่าห์ พอวัวสะดุดปุ๊บ เรานึกภาพเกวียน เอียงข้างปุ๊บ หีบก็จะเคลื่อนที่ล้มลงมา อุสซาร์เขาอุตส่าห์หวังดี เป็นเรา เราก็ต้องทำ ถูกไหม? เขาจะไม่ทำ มันจะล้ม อย่าว่าแต่หีบพันธสัญญาเลย ต่อให้เป็นหีบทรัพย์สมบัติของมนุษย์ธรรมดา เราก็ยังไปประคองไว้ ยื่นมือไปประคองหีบพันธสัญญา ที่กำลังจะล้มลงมานั้น

            ฟังให้ดีตรงนี้ “พระพิโรธของพระเจ้าพลุ่งขึ้นต่ออุสซาร์ พระเจ้าโกรธมากเลย พระเจ้าโกรธได้หรือ? ไม่ใช่ความผิดของอุสซาร์สักหน่อย วัวยังไม่ผิดด้วยซ้ำไป พระเจ้าของเราทำไมเป็นอย่างนี้ ทำไม? ก็ไม่เหมือนกัน

            “พระพิโรธ” คืออะไร? คือความโกรธของพระเจ้า ผู้ทรงบริสุทธิ์ สะอาด ศักดิ์สิทธิ์ เต็มไปด้วยฤทธานุภาพ อำนาจยิ่งใหญ่ เปรียบเสมือนพลังงานปรมาณู พลังงานไฟฟ้า เมื่อพลังปรมาณูรั่วออกมา ไม่ว่าคนนั้นจะเดินอยู่ที่ไหน? เขาได้รับอันตรายไหม? ถ้าเผื่อไฟฟ้าแรงสูงรั่วออกมา คนไปแตะต้อง อันตรายต่อเขาไหม? เพราะฉะนั้น เราต้องบอกว่าพระพิโรธของปรมาณู พระพิโรธของพลังงานไฟฟ้าแรงสูงนั้น ฆ่าคนเหล่านั้นที่ไม่รู้อีโหน่อีเหน่ ไปแตะต้อง ถูกไหม? เพราะมันเป็นกฎธรรมชาติความบริสุทธิ์ของพระเจ้า เป็นฤทธิ์เดช เป็นอำนาจ

            ในนี้บันทึกต่อว่า … “และทรงประหารเขาที่บังอาจทำอย่างไม่ยำเกรงพระองค์” คนที่ไปแตะไฟฟ้าแรงสูง ก็บังอาจที่จะไปแตะต้องไฟฟ้าแรงสูง เป็นพันๆ โวลต์ เป็นหมื่นๆ โวลต์ที่วิ่งอยู่ข้างบน การไฟฟ้าอุตส่าห์ไปขึงไว้ข้างบนสูงๆ มากๆ แล้ว บังอาจปีนขึ้นไป สมมติว่ามันขาดลงมา จะปีนขึ้นไปแก้ไข ไม่ได้เคารพยำเกรง คือไม่ได้ระวังตัวให้ดีๆ ไปแตะต้องมัน ไม่ว่าเขาจะเป็นคนดีหรือคนชั่ว เขาหวังดีหรือไม่หวังดี ก็ตาม เขาก็ได้รับฤทธิ์อำนาจจากไฟฟ้าแรงสูง ฆ่าเขาให้ตายเช่นเดียวกัน  เห็นภาพอะไรไหม?

            ยกตัวอย่างเมื่อตะกี้ ก็คือเขาตาย ขณะที่กำสายไฟฟ้าแรงสูงอยู่ในมือ เห็นภาพนะ ถามว่าผู้คนในสมัยนั้นเข้าใจไหม? ไม่เข้าใจ ทำไมเรารู้ว่าไม่เข้าใจ  เพราะบันทึกต่อไปบอกว่า “ดาวิดไม่พอพระทัยที่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงพระพิโรธอุสซาห์และฆ่าเขาจนตาย” ถูกไหม?

            เราเอามาเทียบกันในปัจจุบันก็ได้ ถ้ามีใครคนหนึ่งเผอิญเอามือไปแตะเสาไฟฟ้าแรงสูง แล้วมันรั่วมา แล้วคนนั้นตาย  แล้วคนนั้นเป็นคนดีด้วย เราโมโหไหม? โมโห สมมตินะ สมมติเราไม่ได้เป็นคริสเตียน  เราโมโห …

            “เขาเป็นคนดี ทำไมไฟฟ้าแรงสูงไปฆ่าเขาตาย”

            นี่ยกตัวอย่างเพื่อให้ท่านเอาไปคิดดู แล้วสมัยก่อน เขาจะคิดอย่างไร? พระเจ้าที่เขานับถือ พระเจ้าที่เขาดูแลตลอด พระเจ้าที่สัญญากับเขาว่าจะรักมาก แล้วทำไมทำอย่างนี้ ดาวิดกำลังจะพูดว่าอะไร? ก็คือดาวิดไม่เข้าใจว่าทำไมๆ เหมือนตะกี้ที่ผมยกตัวอย่าง ถ้าเป็นปัจจุบัน …

            “เขาเป็นคนดีมากเลย ทำไมเขาต้องตกลงมาตายด้วย ถูกไฟฟ้าดูด ฟ้าสวรรค์ควรจะเห็นความดีงามของเขา อย่าทำเขา เขาเป็นคนปรารถนาดี ไม่ใช่ความผิดเขาสักหน่อยเลย”

            เหมือนกัน ดาวิดกำลังถามพระเจ้าว่า … “ทำไม?  ฉันไม่เข้าใจ ฉันเสียใจ”

            แต่พระเยซูอธิบายต่อให้ฟังว่าพระเจ้าเป็นพ่อนะ มาบอกกับอิสราเอลว่าในอดีตท่านมีความสัมพันธ์กับพระเจ้า แบบลักษณะอย่างนี้ใช่ไหม? พระองค์ก็อธิบายต่อว่าไม่ใช่อย่างนั้นเลย มาให้เห็นภาพพระเจ้าจริงๆ ตามที่พระเจ้าเป็นจริงว่าพระเจ้าเป็นเช่นไร? พระเจ้าเป็นพ่อที่เต็มด้วยความรักพวกท่าน คือชาวยิว และมนุษย์ยิ่งนัก ดังแก้วตาดวงใจของพระองค์เลย เป็นพ่อที่เต็มไปด้วยความเมตตา กรุณา อภัยให้กับลูกๆ เสมอ ไม่ว่าจะความผิดร้ายแรงแค่ไหนก็ตาม เช่น อุปมาเรื่องที่พระองค์ทรงยกขึ้นมา ให้เห็น นี่แหละพระเจ้าผู้เป็นพ่อของเรา มีพระลักษณะของพระองค์อย่างนี้ ให้ชาวยิวและมนุษย์ทั้งหลาย หันมาเข้าใจว่าพ่อกระทำสิ่งต่างๆ ที่เราไม่เคยเข้าใจเลย  ทำเพราะอะไร? เพราะรัก

            ในลูกา 15:11-24 พระองค์ก็ทรงยกคำอุปมาเรื่องบุตรที่หลงหาย  เพื่อให้เขาเห็นว่านี่คือภาพของพระเจ้าจริงๆ ที่ท่านมองไม่เห็น ที่กษัตริย์ดาวิดสงสัย นี่คือภาพของพระเจ้าจริงๆ เป็นอย่างนี้ พระองค์มีความปรารถนาในใจอย่างนี้สำหรับมนุษย์ทั้งหลาย ไม่ว่าท่านจะเข้าใจอย่างไรก็ตาม พระองค์มีพระลักษณะ มีความต้องการอย่างนี้ มีความรักต่อมนุษย์อย่างนี้ …

        ลูกา 15:11-24 “คำอุปมาเรื่องบุตรน้อยที่หลงหาย “11 พระเยซูตรัสต่อไปว่า “ชายคนหนึ่งมีบุตรชายสองคน 12 บุตรชายคนเล็กพูดกับบิดาว่า ‘บิดาเจ้าข้า ขอยกสมบัติส่วนของข้าพเจ้าให้ข้าพเจ้าเถิด’ ดังนั้น บิดาจึงแบ่งทรัพย์สมบัติของตนให้บุตรทั้งสอง 13 “ต่อมาไม่นาน บุตรชายคนเล็กนี้ก็รวบรวมสมบัติทั้งหมดของตนแล้วไปเมืองไกล และผลาญทรัพย์ของตนด้วยการใช้ชีวิตเสเพล 14 พอเขาหมดตัว ก็เกิดการกันดารอาหารอย่างหนักทั่วแถบนั้น และเขาเริ่มขัดสน 15 ดังนั้น เขาจึงไปรับจ้างชาวเมืองคนหนึ่ง และคนนั้นใช้เขาออกไปเลี้ยงหมูในทุ่งนา 16 เขาอยากจะอิ่มท้องด้วยฝักถั่วที่หมูกิน แต่ไม่มีใครให้อะไรเขากิน 17 “เมื่อเขาคิดขึ้นได้จึงกล่าวว่า ‘บิดาของเรามีลูกจ้างหลายคน พวกเขามีอาหารเหลือเฟือ แต่นี่เรากำลังจะอดตาย! 18 เราจะกลับไปหาบิดาของเราและกล่าวกับท่านว่า “บิดาเจ้าข้า ข้าพเจ้าทำบาปต่อสวรรค์และต่อท่านด้วย 19 ข้าพเจ้าไม่คู่ควรจะได้ชื่อว่าเป็นบุตรของท่านอีกต่อไป ให้ข้าพเจ้าเป็นเหมือนลูกจ้างคนหนึ่งของท่านเถิด’ 20 ดังนั้น เขาจึงลุกขึ้น กลับไปหาบิดาของเขา “แต่เมื่อเขายังอยู่แต่ไกล บิดาเห็นเขาก็สงสาร จึงวิ่งมาหาบุตรชายแล้วสวมกอดและจูบเขา 21 “เขากล่าวกับบิดาว่า ‘บิดาเจ้าข้า ข้าพเจ้าทำบาปต่อสวรรค์และต่อท่านด้วย ข้าพเจ้าไม่คู่ควรจะได้ชื่อว่าเป็นบุตรของท่านอีกต่อไป’ 22 “แต่บิดาสั่งคนรับใช้ว่า ‘เร็วเข้า! จงนำเสื้อผ้าที่ดีที่สุดมาให้เขาสวมใส่ เอาแหวนมาสวมนิ้วของเขา และเอารองเท้ามาสวมให้เขา 23 จงนำลูกวัวขุนมาฆ่า ให้เราจัดงานเลี้ยงฉลอง 24 เพราะบุตรชายคนนี้ของเราได้ตายไปแล้วและกลับเป็นขึ้นมาอีก เขาหายไปแล้วและได้พบกันอีก’ ดังนั้นเขาทั้งหลายจึงเริ่มเฉลิมฉลองกัน”

            อุปมานี้ ก็คือมนุษย์เป็นคนบาป ที่ต้องการจะอยู่ด้วยตนเอง  ต้องการที่จะพึ่งพาตนเอง ไม่พึ่งพาพ่อแล้ว ออกจากบ้าน ก็คือออกจากสวรรค์ จะอยู่ด้วยลำแข้งของตนเอง พึ่งพาตนเอง เรียกว่าบาป  ไม่ตรงกับเป้าหมายที่พระเจ้าวางไว้ ที่ให้มนุษย์เกิดมา เพื่อจะอยู่กับพระองค์ เพื่อพึ่งพระองค์ ทุกสิ่งทุกอย่างที่พระองค์ทรงจัดเตรียมไว้ แต่พ่อก็ไม่สามารถที่จะบังคับเคี่ยวเข็ญได้ เพราะรักไง รักแบบไม่มีบังคับ เพราะถ้ามนุษย์ตัดสินใจว่า …

            “ฉันจะไป” … พระเจ้าก็ต้องให้เขาไป

            บุตรน้อยหลงหาย ก็เล็งถึงมนุษย์ ก็คือเริ่มต้นจากอาดัมและเอวา ที่ต้องการจะอยู่ด้วยตนเอง พระเจ้าบอกให้อยู่ด้วย ไม่อยู่ …

            “ฉันจะพึ่งพาตนเอง ฉันจะรับผิดชอบการกระทำของฉันเอง ฉันจะทำดีละชั่ว ด้วยตัวฉันเองเพื่อจะได้ทำดีให้เยอะๆ ละชั่วให้มากๆ” อะไรประมาณนั้น

            ก็เปรียบเหมือนบุตรชายคนเล็กนี้ กำลังรวบรวมสมบัติทั้งหมดของตนและจากไปเมืองไกล นึกออกใช่ไหมครับ?

            บอก … “พ่อ ลูกไปแล้วนะ”

            และผลาญทรัพย์สมบัติของตนด้วยการใช้ชีวิตเสเพล ก็คือเป็นคนบาปไง  พอออกจากบ้าน ออกจากสวรรค์ไป ก็กลายเป็นคนบาป คนบาป ก็คือพระสิริไม่มี ความดีงาม ฤทธิ์อำนาจในการทำความดี ให้ครบถ้วนบริบูรณ์ มันไม่มีแล้ว ก็เลยกลายเป็นคนบาป

            ในข้อ 17 บอกว่า “เมื่อเขาคิดขึ้นได้ จึงกล่าวว่า … “บิดาของเรามีลูกจ้างมากมายหลายคน พวกเขามีอาหารเหลือเฟือ แต่เรากำลังจะอดตาย”

            พูดง่ายๆ ว่าเมื่อเขาคิดขึ้นได้ ก็คือเมื่อเขาได้ยินข่าวประเสริฐของพระเจ้า และเขากลับใจใหม่ กลับไปหาพ่อดีกว่า กลับไปหาพระเจ้าดีกว่า และในใจเขาคิดอย่างไร? คิดว่าตนเองผิดอย่างร้ายแรง คือยอมรับตนเองว่าเป็นคนบาป ในนี้เขียนว่า …

            “บิดาเจ้าข้า ข้าพเจ้าทำบาปต่อสวรรค์และต่อท่าน”

            นึกภาพนะ เขายอมรับว่าเขาเป็นคนบาปแล้ว เขาจึงกลับมาหาพระเจ้า แต่ในใจเขาคิดว่าเมื่อเขากลับมาหาพระเจ้า ยอมรับว่าเป็นคนบาป เขาต้องโดนลงโทษให้สมกับที่เขาได้ทำเลวทรามต่างๆ เหล่านั้น ที่เขาไม่เข้าใจพระเจ้า ที่เขาดูถูกพระเจ้า ต่อต้านพระเจ้ามาตลอด  เขาคิดอย่างนั้นว่าแค่พ่ออภัยให้เขา แค่เขาได้อยู่เป็นคนรับใช้ อยู่ในบ้านพ่อ ก็ดีใจแล้ว ขอให้กลับไปเถอะ จะลงโทษเขาอะไรก็ยอมทั้งสิ้น  ถูกไหม? เขาคิดอย่างนี้ เตรียมพร้อมเลยว่า …

            “วันที่ไปเจอพ่อ เดินทางกลับไป ฉันจะเตรียมจด list เอาไว้เลย ฉันจะสารภาพบาปตรงนี้ว่าฉันเคยโกหก ฉันเคยว่าพ่อมาก่อน ฉันเคยทำไม่ดี ฉันเคยทำบาปตรงนี้ตรงนั้นเยอะแยะ ฉันจะสัญญาต่อพ่อว่าต่อไปนี้ ฉันจะไม่ทำแล้ว และฉันจะสัญญาว่าฉันจะขออยู่แค่เล็กๆ น้อยๆ ในบ้านปลายนาเล็กๆ ของพ่อ ปลายสวรรค์ก็ได้ ฉันจะขอนอนอยู่กับพื้นในสวรรค์ก็พอแล้ว เขาคิดอย่างนี้”

            แต่ปรากฏว่าพอถึงจริงๆ … “แต่เมื่อเขายังอยู่แต่ไกล บิดาเห็นเขาก็สงสาร”

            พระเจ้าไม่ได้คิดอย่างนั้นเลย แม้แต่นิดเดียว ไม่ได้คิดเหมือนกับลูกชายที่เป็นคนบาป ที่คิดอยู่นั้นเลย พระองค์ทำอะไร? มองเห็นลูกตั้งแต่อยู่ไกล แปลว่าจำลูกได้  แสดงว่าคิดถึงเขาอยู่ตลอดเวลา มาก่อนหน้านี้แล้ว  อยากให้เขากลับบ้าน โผล่มานิดหนึ่ง มาแล้ว ไม่ใช่ …

            “เอ๊ะ! ใช่หรือเปล่านะ นั่นใช่ลูกฉันหรือเปล่า?”

            มาใกล้ๆ มาถึงหน้า “เอ๊ะ! เธอใช่ลูกฉันเหรอ” ดูแผล ปาน … “ใช่ ลูกฉัน” ไม่ต้องดูแผล ปานเลย ไม่ต้องดูว่าหน้าตาเหมือนไหม? ดูไกลๆ ก็จำได้แล้ว แสดงว่าจิตใจของพระเจ้าผู้เป็นพ่อ เป็นอย่างไร?

            “บิดาเห็นเขาก็สงสาร”

            เห็นไหม? มีเมตตา คงทุกข์ยากลำบาก ดีใจเหลือเกินกลับมา ตรงกันข้ามกับความคิดของเขา ที่เขาเป็นคนบาป  สงสารแล้วทำอย่างไร? บิดาจึงวิ่งมาหาบุตรชาย รักไหม? วิ่งมาหา แล้วสวมกอดด้วยความดีใจ และจูบเขา ไม่ได้คิดถึงว่าทำผิดอะไรมา อย่างโน้นอย่างนี้ อย่างนั้น เหมือนกับลูก กำลังคิดอยู่เลย ถูกไหม?

            แล้วลูกคิดอย่างไร? พอถูกจูบ ถูกอะไรต่างๆ นั้น ลูกยังคิดอยู่ บอกว่า … “บิดาเจ้าข้า ข้าพเจ้าทำบาปต่อสวรรค์และต่อท่าน” ยังคิดอยู่เหมือนเดิม “ข้าพเจ้าไม่คู่ควร ที่จะได้เป็นลูกของท่านต่อไปอีกแล้ว” ยังพูดซ้ำอยู่ที่เดิม

            แต่บิดาสั่งคนรับใช้ว่า … “ไปเอาไม้เรียวมา” หรือ “ไปเอาสัญญามาให้ลูกเซ็นต์ต่อไปนี้ จะไม่ทำอย่างนั้นอีก” ไม่ใช่

            แต่บิดาสั่งคนรับใช้ว่า … “เร็วเข้า จงนำเสื้อผ้าที่ดีที่สุดมาให้เขาสวมใส่ เอาแหวนมาสวมนิ้วให้เขา”

            บิดาไม่ได้คิด ตำหนิ ว่ากล่าว ดุ ในอดีตที่ลูกๆ ไปทำอะไรมาเลย ไม่มองด้วยซ้ำไป แต่เอาความชอบธรรม เอาความดีงาม เอาชีวิตที่เกิดใหม่ สิ่งที่ดีๆ สวมให้เลย โดยไม่คิดเรื่องอดีตเลย พูดง่ายๆ ไม่จดจำความบาปผิดในอดีตของคนบาปเลย พระคัมภีร์ก็บันทึกอย่างนั้น พระองค์ไม่จดจำความบาปในอดีตเลย ตะวันออกห่างไกลจากตะวันตกเท่าไร? พระเจ้าทรงเอาบาปของเราออกไปจากเราฉันนั้น หมดเลย เรานั่นเองที่ไปคิด พระองค์ไม่ได้คิดเลยแม้แต่นิดเดียว

            แล้วยังแถมบอกว่า … “จงนำลูกวัวขุนมาฆ่า มาเลี้ยงฉลอง”

            ดีใจมาฉลองกันดีกว่า  ไม่ได้คิดถึงอดีตอะไรต่างๆ ที่เรากระทำเลย ลืมไปซะ

            “เพราะบุตรชายคนนี้ของเรา เหมือนกับตายไปแล้วล่ะ หลุดจากสวรรค์แล้ว และตอนนี้กลับมาใหม่แล้ว เขาหายแล้ว หายจากความบาป กลับคืนดีสู่สวรรค์แล้ว”

            ใครไปรักษาเขา ก็คือพระเยซูคริสต์ พระบุตรของพระเจ้า เป็นผู้ที่พระเจ้าทรงส่งมา และเป็นผู้ที่เล่าอุปมานี้ขึ้นมาให้กับชาวยิว และเล็งไปถึงมนุษย์ทั้งปวงได้รู้ว่าความรักของผู้เป็นพ่อ ที่เรียกว่าพ่อในสวรรค์ พระเจ้าเป็นเช่นไร?            และในลูกา 15:10 ที่เราไม่ได้อ่านก็ยังบอกไว้ว่า …

        ลูกา 15:10 “เราบอกท่านว่าในทำนองเดียวกัน จะมีความชื่นชมยินดีท่ามกลางเหล่าทูตสวรรค์ของพระเจ้าในคนบาปคนเดียว ซึ่งกลับใจใหม่”

            ซ้ำลงไปอีกว่าความรักยิ่งใหญ่ขนาดไหน? คนเดียวก็ทำให้แล้ว ที่ดีใจตะกี้นี้ ไม่ใช่ดีใจว่ามนุษย์ทั้งปวงมาหาพระองค์ กลับบ้านแล้ว ดีใจจังเลย นี่กำลังพูดถึงคนๆ เดียว เพราะฉะนั้น ใครก็ตามที่กลับใจใหม่ มาเชื่อพระเยซู พระผู้ช่วยให้รอด กลับมาหาพระบิดา พ่อของเขา ที่อยู่ในสวรรค์  ทูตสวรรค์ฆ่าวัวฝ่ายวิญญาณ  ในสวรรค์มีการจัดเลี้ยงมโหฬาร ดีใจมากเลย ที่คนๆ เดียวกลับมาเชื่อพระเยซูคริสต์

            พระเจ้า พ่อแห่งฟ้าสวรรค์ เป็นพ่อที่เตรียมแผนการที่ดีๆ และดีที่สุด ให้กับมวลมนุษย์เสมอ ซึ่งมนุษย์เหล่านั้น พระองค์ทรงรับเขาเข้ามา เป็นลูกของพระองค์ ผ่านทางพระบุตรของพระองค์ คือพระเยซูคริสต์ พระผู้ช่วยให้รอด เพราะเหตุเดียว  ก็คือเพราะรักมนุษย์ยิ่งนัก

            พระเยซูเปรียบเทียบกับมนุษย์ทั้งหลาย ซึ่งเป็นคนบาปว่ายังรู้จักรักและให้สิ่งที่ดีที่สุดกับลูกของตนเอง พระองค์อธิบายต่อว่าอาจจะไม่เข้าใจใช่ไหม? ลองนึกถึงตัวเองสิ ตัวเองเป็นคนบาป ยังรู้จักรักลูกของตนเอง แล้วพระเจ้าพระบิดาผู้สถิตอยู่ในสวรรค์ จะรักเราและเตรียมสิ่งที่ดีที่สุดให้กับเรามากกว่านั้นอีกสักเท่าใด?

            โดยยกตัวอย่างว่าถ้าท่านผู้เป็นคนบาป ถ้าลูกเราขอปลา เราผู้เป็นพ่อจะให้งูหรือ? หรือถ้าลูกขอขนมปัง เราจะให้ก้อนหินหรือ? ทุกคนก็ตอบง่าย ต่อให้เป็นพ่อที่เป็นมนุษย์ ที่ไม่ดีอย่างไง หรือพ่อแม่มนุษย์ที่ไม่สมบูรณ์แบบ เป็นบาปอย่างไร ก็ไม่ทำอย่างนี้หรอก ยกเว้นจะไม่สบายทางจิต

            พ่อที่เป็นมนุษย์นั้น ทั้งๆ ที่รัก แต่ก็ไม่สามารถสำแดงความรักอย่างที่ตั้งใจอยากจะทำได้ เพราะว่าเป็นคนบาป อ่อนแอ จริงๆ เขาก็อยากจะทำความรักเหล่านั้น แต่มันทำไม่ได้  เพราะตัวเองก็เป็นคนบาป เพราะว่าทั้งโลกตกอยู่ใต้คำสาปแช่งของความบาป จึงไม่สามารถแสดงธรรมชาติของความรัก การเป็นพ่อได้อย่างครบถ้วนสมบูรณ์ การเป็นแม่ได้อย่างครบถ้วนสมบูรณ์ พระเยซูจึงตรัสอธิบายให้ฟังอย่างนี้ เคยได้ยินใช่ไหม? มนุษย์ไม่สามารถเรียกมนุษย์กันเองได้ว่าเป็นพ่อ (ที่แท้จริง) ท่านไม่สามารถเรียกใครว่าเป็นพ่อได้เลย พระเยซูบอกอย่างนั้นนะ เพราะพ่อที่แท้จริง  ที่สามารถสำแดงความรักชนิดของพ่อผู้ให้กำเนิด อย่างครบถ้วนสมบูรณ์แบบได้นั้น มีเพียงพระเจ้า พระบิดาผู้สร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก ผู้เดียวเท่านั้น  ที่เป็นพ่อของแท้ สำแดงความรักอย่างแท้จริง ให้กับบรรดาทุกสิ่งที่พระองค์ทรงให้กำเนิด  โดยเฉพาะอย่างยิ่งมนุษย์ทั้งหลายบนโลกใบนี้  ตามธรรมชาติของการเป็นบิดา  การเป็นพ่อผู้ให้กำเนิดนั่นเอง พระเจ้าเท่านั้น จึงเป็นผู้เดียวที่สมควรได้รับคำว่า “พ่อ” หรือ “พระบิดา” ผู้ให้กำเนิด  นี่คือพระเจ้าบอก

            ท่านอย่าเรียกใครว่า “พ่อ” เพราะไม่มีใครทำได้หรอก นอกจากพระเจ้าเท่านั้น นี่หมายถึงธรรมชาติ ไม่ใช่ พระองค์กำลังมาบอกว่าให้เราไม่ให้เกียรติพ่อ ไม่เลย กลับกัน พระเจ้า ให้เราให้เกียรติพ่อแม่ บิดามารดา ให้เรารักบิดามารดา เชื่อฟังบิดามารดาชัดเจน แต่บิดามารดาที่เป็นมนุษย์นั้น ไม่สามารถทำตรงนี้ได้ครบถ้วนบริบูรณ์ กำลังพูดยกตัวอย่างให้มนุษย์ได้เห็นว่าพระเจ้าเท่านั้น ที่มีความรักชนิดที่เป็นผู้ให้กำเนิด มีความรักต่อมนุษย์ผู้ที่ให้กำเนิด ก็คือลูกๆ ของพระองค์

            พระเยซูอธิบายต่อว่าในขณะเดียวกันนั้นกับที่พระองค์เป็นพระเจ้า  ผู้เป็นพ่อของเรา ผู้รักเราอย่างมากมายนั้น พระองค์ก็ทรงเป็นผู้พิพากษาที่ยุติธรรมของมหาจักรวาลด้วย ตรงไปตรงมา รักษารายละเอียดของทุกสิ่ง ดูแล ครอบครองด้วยความชอบธรรมในทุกสิ่ง ที่พระองค์ทรงสร้างขึ้น ทุกสิ่งนะ  ไม่ว่าสิ่งนั้นจะอยู่ในโลกวิญญาณ  หรือโลกวัตถุก็ตาม ไม่ว่าจะเป็นมนุษย์ หรือเป็นสัตว์ เป็นต้นไม้ เป็นวัตถุสิ่งของต่างๆ ทั้งหมด  ที่พระองค์ทรงสร้าง ล้วนอยู่ในกฎ อยู่ในระเบียบ อยู่ในการควบคุมดูแลของพระองค์ ซึ่งเป็นผู้พิพากษาของมหาจักรวาล

            ดังนั้น พระเจ้าผู้พิพากษา ต้องทำอะไร? พระเจ้าเป็นผู้พิพากษาที่ยุติธรรม ต้องตัดสินทุกสิ่ง ให้เป็นไปตามกฎหมาย  เป็นไปตามระเบียบที่พระองค์ทรงเป็นผู้กำหนดขึ้นมานั้น ไม่ลำเอียง แม้จะรักเราดังแก้วตาดวงใจ เป็นลูกก็ตาม แต่ไม่ลำเอียง ลำเอียงไม่ได้  เพราะพระองค์ดูแลทุกสิ่ง ถ้าพระองค์ลำเอียงและเกิดวันหนึ่ง

            ดวงอาทิตย์บอกว่า  … “พระองค์ยังลำเอียงได้ วันนี้ฉันขี้เกียจ ฉันไม่ขึ้นทางทิศตะวันออก ฉันจะไปโผล่ทางทิศตะวันตกได้ไหม?”

            ถ้าเผื่อโผล่มาทางทิศตะวันตก มันจะกระทบไปถึงโน้น ดวงดาว ดวงจันทร์ น้ำขึ้นน้ำลง แกนโลกหมุน อยู่บนโลกไม่ได้ มันวุ่นวายไปหมดเลย มันไม่ได้  พระเจ้าจะควบคุมทุกอย่าง ต้องเป๊ะหมด ดวงอาทิตย์หมุนรอบตัวเองนานเท่าไร? ต้องเป๊ะ ดวงจันทร์ขึ้นเมื่อไรต้องเป๊ะ แกนโลกต้องเอียงเท่าไร ต้องเป๊ะ เพราะฉะนั้น ใครที่ทำผิดกฎ ก็ต้องโดนเป๊ะเหมือนกัน เป๊ะไปตามผิด

            ยกตัวอย่างดวงอาทิตย์ก็ทำงานของดวงอาทิตย์ ในพระคัมภีร์บอกว่าดวงอาทิตย์ส่องมา ให้กับคนอธรรม คนบาป และคนชอบธรรม เหมือนกันไหม? เหมือน เห็นไหมครับ? ไม่ใช่ว่าเป็นคนดีแล้วก็จะไม่ถูกเผา คนชั่วถูกแดด จะถูกเผา ไม่ใช่  ก็เผาทั้งหมด เพราะว่าเป็นไปตามกฎเหล่านั้น  ถ้าเราไม่ระวัง  แรงดึงดูดของโลกก็เหมือนกัน ลงไปในน้ำ ก็จม ถ้าเราไม่ระวัง ถ้าเราคิดว่าเราแน่ แข็งแรงจริง ไม่ระวัง ก็ถูกดูด จมน้ำตาย ถึงเป็นคนดีอย่างไร ก็จมน้ำตาย  เพราะเราต้องเคารพกฎที่พระเจ้าวางไว้ มีแรงดึงดูดของโลกจริงๆ

            ยกตัวอย่าง เหมือนกับเรื่องอุสซาร์ที่อุตส่าห์หวังดี  แล้วเราไม่เข้าใจ ตอนนี้รู้แล้วใช่ไหม? เพราะกฎต้องเป็นกฎ กฎที่พระเจ้าวางไว้ คือคนบาปไม่สามารถแตะต้องสิ่งที่บริสุทธิ์ศักดิ์สิทธิ์ ที่เป็นของพระเจ้าได้เลย  แม้แต่สิ่งของเล็กนิดเดียว  หรือการทรงสถิตของพระองค์ยิ่งสำคัญมากกว่านั้นอีก ทำผิดนิดเดียว ต้องได้รับโทษ ตามกฎระเบียบที่ได้วางไว้ ในหนังสือสดุดี 36:5-7  ประกาศดังนี้ไว้ว่า …

        สดุดี 36:5-7 “5 ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า ความรักมั่นคงของพระองค์ยิ่งใหญ่เทียมฟ้าสวรรค์ ความซื่อสัตย์ของพระองค์สูงถึงท้องฟ้า 6 ความชอบธรรมของพระองค์ดั่งขุนเขา ความยุติธรรมของพระองค์ประดุจห้วงลึก ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้าพระองค์ทรงปกป้องดูแลทั้งมนุษย์และสัตว์ 7 ความรักมั่นคงของพระองค์ประเมินค่าไม่ได้! มวลมนุษยชาติต่างก็ลี้ภัยอยู่ใต้ร่มปีกพระองค์”

            ความรักของพระองค์ยิ่งใหญ่เทียมฟ้าสวรรค์ เห็นไหม? ประกาศอันดับแรกเลย ความรักของพระองค์ยิ่งใหญ่จริงๆ ความสัตย์ซื่อของพระองค์สูงเทียมฟ้า ก็คือพระองค์ตรงไปตรงมา ใช่ก็บอกใช่ ไม่ใช่ก็บอกไม่ใช่  ผิดก็บอกว่าผิด ถูกก็บอกว่าถูก ทุกอย่างอยู่ในระเบียบทั้งสิ้น  ความชอบธรรมของพระองค์ดั่งขุนเขา ความดีงามของพระองค์ไม่ลำเอียงเลย ตัดสินทุกอย่าง เป็นไปตามเนื้อผ้า ดุจดั่งขุนเขา คือมหึมา ความยุติธรรมของพระองค์ดุจห้วงลึก ไม่สามารถที่จะมาเถียงพระองค์ว่า …

            “ไม่ยุติธรรมเลยๆ ทำไมต้องไปฆ่าเขาด้วย ทำไมเขาต้องตาย”

            เราไม่เข้าใจเอง ดาวิดไม่เข้าใจเอง พระเจ้าบอก … “ดาวิด เจ้าไม่รู้เอง เราไม่ได้เป็นอย่างนั้นเลย เรารักเจ้าจะตาย เราห่วงใยเจ้า”

            “ทำไมต้องส่งเราไปโรงเรียนด้วย เราอยู่บ้านเล่นสนุกๆ อยู่แล้ว ทำไมส่งเราไปเรียน ดูสิ ตอนเช้าอยู่ดีๆ มาส่งเรา เราเพิ่งจะ 4 ขวบเอง แล้วทิ้งเราเลย ปล่อยให้เราร้องไห้ เรารู้นะ แอบดูเราอยู่ เรานึกว่าเราร้องไห้ จะมารับเรากลับ เปล่าเลย หายไปเลย เราต้องอยู่ตรงนั้นถึงบ่าย 2 โมง ถึงจะกลับมารับเรา เราร้องไห้ทุกวัน ก็ไม่ยอมที่จะให้เราอยู่บ้าน”

            เด็กเข้าใจไหม? เหมือนกัน

            พระองค์เป็นพระเจ้า ทรงปกป้องดูแล ทั้งหมนุษย์และสัตว์ เห็นไหม?  ทั้งสิ่งที่มองเห็นและสิ่งที่มองไม่เห็น ทุกอย่าง พระองค์ทรงดูแลทั้งหมด ด้วยความรักที่ยุติธรรม  ที่เป็นผู้พิพากษาด้วย อย่าลืมว่า …

            “พระเจ้าเป็นพ่อของเรา อยู่ในสวรรค์และเป็นผู้พิพากษาอยู่ในสวรรค์ด้วย”

            “มวลมนุษยชาติต่างก็ลี้ภัยอยู่ใต้ร่มปีกของพระองค์” ร่มปีกของพระองค์ที่เต็มไปด้วยระเบียบ และความดีงาม  ที่พระองค์ทรงดูแลอยู่ และพระองค์ต้องการให้มนุษย์ได้ดี ก็เลยพยายามอธิบาย พยายามนำพา ให้เราเข้าไปอยู่ในระเบียบเหล่านั้น  จะช่วยให้เรารอดพ้นจากความบาป ก็ทำตามกฎระเบียบที่พระองค์ทรงวางไว้ ไม่ใช่อยู่ดีๆ

            “นั่นลูกของฉัน ฉันไม่สนใจใครแล้ว ฉันจะช่วยลูกของฉันออกมาจากนรก  ช่วยลูกฉันออกมาจากความบาป วันนี้เลย”

            ทำได้ไหม? ไม่ได้ ต้องวางแผน วางระเบียบต่างๆ ให้ทำตามขั้นตอนที่พระองค์เป็นพระเจ้า ผู้ยุติธรรม

            นี่คือสาเหตุที่ต้องดูแลเราอย่างเฉียบขาด เหมือนบังคับเรา ก็เพราะเรามนุษย์เป็นคนบาปอยู่ ในช่วงพระคัมภีร์เดิม ก่อนที่พระเยซูจะมา มนุษย์เป็นคนบาป … คนบาป คือเหมือนกับคนป่วยทางจิตใจอย่างรุนแรง  ไม่สามารถควบคุมตนเองได้ เป็นโรคจิต พระเจ้าจึงจำเป็นต้องปฏิบัติต่อเราอย่างนั้น เพราะเราไม่รู้เรื่อง เหมือนเด็ก ที่ไม่รู้อีโหน่อีเหน่ เหมือนคนเป็นโรคจิตที่ไม่สามารถเข้าใจอะไรได้เลย ต้องบังคับเราอยู่ในกรอบ  เหมือนกับส่งเราไปอยู่ในสถานบำบัด รู้จักใช่ไหมสถานบำบัด บำบัดคนที่เป็นโรคจิต อาจจะเกิดมาจากการสูญเสียสติอย่างรุนแรง จากการกระทบกระทั่ง การเสียใจ อย่างรุนแรง การถูกข่มเหงอย่างรุนแรง หรือจากยาเสพติดก็ตาม มันเสียสติไปแล้ว ต้องเข้าไปบำบัดให้หาย  คือมันป่วย พูดง่ายๆ ก็เพื่อที่จะรักษาลูกๆ ของพระองค์ ก็เหมือนส่งลูกไปสถานบำบัด และอธิบายให้ลูกเข้าใจได้ไหม? ไม่ได้ เพราะป่วยอยู่ จะเข้าใจได้อย่างไร? ไปอยู่ในสถานบำบัด เพื่อรักษาลูกของพระองค์  ที่ทรงรักดังแก้วตาดวงใจให้หาย ก็คือหายจากอาการบาป หายจากสติฟั่นเฟือนเหล่านั้น ด้วยความรัก ความห่วงใย และพระองค์ก็รอวันเวลาที่ลูกๆ ทั้งหลายเหล่านั้น ที่ป่วยอยู่นั้น จะหายจากโรค จะพ้นจากบาป หายป่วย สามารถกลับมาควบคุมตนเองได้ กลับมาเป็นปกติ เป็นลูกที่น่ารัก น่ากอด และเป็นลูกที่สามารถที่จะเชื่อฟังพระองค์ เข้าใจพระองค์ได้เหมือนเดิม

            ผมมีตัวอย่างให้ นี่เป็นคำพยาน ที่เกิดขึ้นในคริสตจักรเรา เป็นพยานที่ดีเลย  นึกถึงเรื่องนี้เลย พี่น้องของเราคนหนึ่งมาเชื่อพระเจ้า ก่อนเชื่อ มีปัญหา ถูกเอาเปรียบทางด้านการงาน และธุรกิจ อย่างรุนแรง คือถูกกระทบกระทั่งทางความคิดจิตใจ อย่างรุนแรง เสียใจอย่างรุนแรง ตกใจ ทำไมทำอย่างนี้กับเรา เสียสติไป และแม่ที่เชื่อพระเจ้าแล้ว  ที่เป็นสมาชิกของเรา ก็ให้เรามาช่วยอธิษฐาน แล้วก็ช่วยไปดูแลให้ ตอนที่เขายังไม่เชื่อ และป่วยอยู่ แม่คอยดูแลเขาตลอดเวลาเลย แต่เนื่องจากจิตเขาเพี้ยนไป  ก็คือดูอะไรเป็นเรื่องร้ายไปหมด อย่างเช่น เป็นภาพหลอนว่าแม่เป็นศัตรู หรือว่าจะมีคนไปทำร้ายแม่ มันมั่วไปหมด

            แม่ก็เลยทำอย่างนี้แหละ ถึงขนาดแม่ต้องไปตามตำรวจ ตอนแรกๆ ตามพวกศิษยาภิบาลก่อน ศิษยาภิบาลเอาไม่อยู่ เพราะว่าเราก็เหมือนพ่อแม่ทางฝ่ายวิญญาณ ไปอธิษฐาน ไปด้วยความรัก แต่คนป่วย เขาไม่เข้าใจแล้วตอนนั้น เขาป่วยหนักแล้ว เขาไม่รู้เรื่อง เขาไม่ฟังอะไรเราทั้งสิ้น เราจะอธิษฐานอะไร ก็เป็นเรื่องโลกวิญญาณ แต่ตัวเขาเอง เขาก็ยังคงปฏิบัติ เป็นคนที่เสียสติอยู่เหมือนเดิม เพราะฉะนั้น เราก็เอาไม่อยู่  เราจะอธิบายให้เขาฟังได้อย่างไรว่าแม่รักเขานะ พ่อรักเขานะ เขาน่าจะเข้าใจความรักของแม่  อย่าปฏิบัติตัวอย่างนั้นเลย เขาทำไม่ได้ เพราะว่าจิตเขาป่วยอยู่ จนกระทั่ง ศิษยาภิบาลเอาไม่อยู่ ก็เลยให้คำแนะนำไปว่า …

            “อย่างนี้พี่ต้องให้ถึงมือของเจ้าหน้าที่ คือเจ้าหน้าที่สถานที่บำบัดคนที่เป็นโรคจิต เป็นโรคเพี้ยนนั้น แล้วถ้าเผื่อเขาไม่ยอมทำตาม ถ้าเขายังทำเรื่องวุ่นวายอย่างนี้ พี่ต้องแจ้งตำรวจ ให้ตำรวจมาจับ จับเพื่อจะนำเขาส่งโรงพยาบาล”

            เข้าใจไหม?  เมื่อวานนี้ผมก็โทรไปถามคนป่วยนี้ บอกตอนนั้นที่ทำ เข้าใจไหม? ไม่เข้าใจหรอก เข้าใจจะไปทำได้อย่างไร?  ไม่รู้เรื่อง  แล้วถามว่าเขามีความรู้สึกอย่างไร? เขาก็เหมือนกษัตริย์ดาวิดพูด ทำไม …

            “ทำไมมาส่งเขาที่โรงพยาบาลอย่างนี้”

            จะไม่ส่งได้อย่างไร? เขาไปนั่งอยู่กลางถนน แล้วเอะอะโวยวาย ชาวบ้านตกใจกลัว จะฆ่าคนโน้นคนนี้  ไม่รู้จะทำอย่างไร? จะคุยก็ไม่รู้เรื่อง  ก็ต้องใช้กำลังบังคับ ตามองเห็นเรียกว่ารักไหม? พ่อแม่ตนเอง เรียกตำรวจมาจับลูกตนเอง ไปขัง เหมือนขังคุก ไม่ใช่คุกที่โรงพัก แต่เป็นคุกที่โรงพยาบาล ทำไมไม่คุยกับเขาดีๆ ทำไมไม่รักเขา กอดเขา เดี๋ยวเขาก็ดี คนธรรมดาทั่วไป เขาจะคิดอย่างนี้ใช่ไหม?

            นี่แหละ ตัวอย่าง  พอเขาไปอยู่สถานบำบัดปุ๊บ ก็อย่างที่บอก รู้สึกดีขึ้นนิดหนึ่ง อยากจะกลับ พ่อแม่ก็ปรึกษากับหมอ ปรึกษากับศิษยาภิบาล ถ้าหมอบอกยังไม่สามารถกลับได้ ก็ควรจะเชื่อหมอนะ เพราะเดี๋ยวจะรักษาครึ่งๆ กลางๆ

            แม่เขาก็บอกว่า … “แต่สงสารเขาจริงๆ เลย ไปเยี่ยมเขา เขาจำเราได้แล้ว เขาอยากจะกลับบ้าน เขามองตาเราละห้อยเลย เวลาจะจากกัน ทารุณมาก ทำอย่างไรดี”

            ก็บอก … “พี่ก็ต้องอดทน เราพาเขามารักษาแล้ว ก็ต้องเชื่อในขบวนการรักษา”

            เห็นไหม? เห็นความรักของพ่อแม่มากเท่าไร? ก็เห็นความรักของพระเจ้า เหมือนกันไหม?  เหมือนกันไม่มีผิดเลย มองด้วยสายตาภายนอก ลูกไม่เข้าใจเลย ลูกหายแล้วๆ ลูกจะกลับบ้าน แต่แม่ต้องเดินหันหลังกลับ และไม่มอง แต่ในความหวัง ก็คือลูกต้องหาย แล้ววันนั้นถึงจะรับกลับ ให้หายดีเสียก่อนลูกเอ๋ย  แต่ลูกไม่เข้าใจ

            สรุปเรื่องสั้นลง ก็อดทนถึง 3, 4 เดือน  แล้วมีอยู่ครั้งหนึ่ง ยิ่งชัดใหญ่เลย …

            “แม่ไปเห็น แม่ทนไม่ไหว”

            คือขบวนการรักษาทางด้านจิต เขามีการช๊อตด้วยไฟฟ้า คือปรับสมดุลของสารเคมีในสมอง โดยการใช้ไฟฟ้าช๊อต แล้วแม่ก็ไปเห็น การเห็นเหล่านั้น ก็คือเห็นลูกเราถูกผ่าตัด กำลังฉีดวัคซีน ร้องจ๊าก แต่นี่หนักกว่านั้นอีก ต้องมัดมือ มัดอะไรต่างๆ ทนไม่ไหว อยากจะพาลูกกลับ ไม่อยากให้ทำเลย  แต่อย่างที่บอก ปรึกษากันเรียบร้อย ในที่สุดก็ต้องทน มันเป็นขบวนการรักษา  เป็นความรักที่เราต้องการให้ลูกเราหาย ก็ต้องยอมให้เป็นไปตามนั้น ขอบคุณพระเจ้า ในที่สุด ไม่กี่เดือนก็หายจริงๆ กลับมาอยู่บ้านแล้วก็ค่อยๆ ดีขึ้น

            พอค่อยๆ ดีขึ้น แม่ก็พามาโบสถ์ ในขณะที่แม่พามาโบสถ์ เพื่อนๆ หลายคนก็กลับมาเยี่ยมก็จะพาไปที่โน่นที่นี่ ที่ความเชื่ออื่นๆ เยอะแยะไปหมด ก็ไปตามเพื่อน เพื่อนเขาหวังดี ก็พาไปโน่นไปนี่ ไปที่เขาว่าดี ช่วยรักษาให้หาย เพราะว่าเขาหายดีขึ้นแล้ว แต่เขาต้องกินยาอยู่  แต่การกินยา เมื่อมันยังไม่หายดี มันรบกวนมาก สมองมันแบบปวด เวียนหัวทั้งวันทั้งคืน ก็พาไปโน่นไปนี่ ไม่หายสักที แม่ก็พามาโบสถ์ ก็ไม่อยากมา เป็นที่สุดท้ายแล้วที่จะมา ในที่สุด ก็มาโบสถ์ พออธิษฐานให้ก็ค่อยๆ ดีขึ้น เขาเล่าให้ฟังว่าดีเป็นอาทิตย์เลย วันอาทิตย์มาทีหนึ่ง เริ่มต้นรับเชื่อ กลับไป รู้สึกดีขึ้น สมมตินะ ดีขึ้น 10% มันดีขึ้น อาทิตย์ต่อไปมา ดีขึ้นเป็น 20 อาทิตย์ต่อไป ดีขึ้นเป็น 30  มันค่อยๆ ดีขึ้น จนกระทั่งดีขึ้น 50% ก็ตัดสินใจ บอกว่า …

            “แม่ … รับเชื่อแล้ว รู้สึกดีขึ้นจริงๆ นะ มาโบสถ์ทีไร รู้สึกดีขึ้น ไม่รู้เป็นอะไร”

            พอรับเชื่อเสร็จ  หลังจากรับบัพติศมาในน้ำเสร็จ เขาบอกว่าคราวนี้ หายเกือบ 100%  เลย หายเลย  ดีหมดเลย ทุกอย่าง มีความสุข ดีมากเลย แล้วก็รู้แล้วว่าความรักของแม่ดีกับเขาอย่างไร? และรู้ว่าพระเจ้ามีอยู่จริงๆ เช่นไร? รักเขาขนาดไหน? เดี๋ยวนี้ เขาก็นั่งอยู่แถวๆ นี้แหละ แต่หายแล้ว ไม่ต้องตกใจ หายนานแล้ว หลายปีแล้ว

            พระเจ้าก็เป็นอย่างนั้นแหละ เราไม่เข้าใจ พ่อและแม่ก็อย่างนั้นแหละ เราไม่เข้าใจพ่อและแม่เรา พระเยซูก็เลยประกาศเรื่องนี้แหละ พระองค์ ก็คือพระเจ้านั่นแหละ พระองค์มาพูดว่าพระลักษณะของพระองค์เป็นอย่างไร? พระองค์ก็ประกาศต่อ ให้กับชาวยิว และเล็งไปถึงมนุษย์ทุกคนว่าตอนที่พระองค์ทรงมาเกิดนะ  เดินอยู่บนโลกใบนี้ พระองค์ก็ทรงประกาศต่อว่าวันนั้น ที่พระเจ้ารอคอย  วันที่มนุษย์จะได้รับการรักษาให้หายจากบาป กลับคืนสู่พระเจ้านั้น มาถึงแล้ว ก็คือวันที่พระเยซูมาเกิดเป็นมนุษย์  พระองค์ประกาศว่าวันนั้นมาถึงแล้ว  ด้วยความตื่นเต้นชื่นชมยินดีของพ่อที่เฝ้ารอคอยวันนั้นมาตั้งนาน เฝ้ามองว่าเมื่อไรลูกจะกลับบ้านสักที  คือการที่พระองค์ถึงเวลากำหนด ได้ทรงประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ คือพระเมซิยาห์ คือองค์พระเยซูคริสต์เอง ผู้พูดเอง มาเยียวยารักษาให้ท่านทั้งหลาย ชาวยิวและมนุษย์ทั้งปวง  ได้รับการรักษาให้หายจากโรคบาป ผิดปกตินี้  กลับเป็นลูกของพระเจ้าที่เป็นพระเจ้า พระบิดาของเขา ที่อยู่ในสวรรค์ ที่เต็มไปด้วยความรัก อันสุดที่จะหาอะไรเปรียบได้  ที่รักมนุษย์ยิ่งนัก  โดยพระบิดาสำแดงความรักให้เห็นแล้ว  โดยการทรงประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ ที่ทรงรักมากมาย  มาสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน  อย่างทุกข์ทรมาน ให้กับเราทั้งหลาย  เพื่อมนุษย์ทั้งหลายจะได้รับการรักษาเยียวยา  นำพามนุษย์ทั้งหลายกลับมาคืนดีกับพระเจ้า พ่อแห่งฟ้าสวรรค์ กลับคืนสู่สถานะ ลูกของพระเจ้า ผู้บริสุทธิ์ดีพร้อมเหมือนพระองค์ กลับมาอยู่ในบ้าน ในสวรรค์ของพระองค์ คือในสวรรค์ที่พระองค์ทรงสถิตอยู่ และต้องการให้ลูกๆ มาอยู่ด้วยกัน มาเป็นลูกของพระองค์ที่อยู่ในสวรรค์และรักพระองค์ ผู้เป็นพระบิดา ผู้อยู่ในสวรรค์ เหมือนกับที่พระองค์ทรงรักเขา ที่เป็นลูกของพระองค์ ที่อยู่ในสวรรค์ ท่านเข้าใจใช่ไหมครับ?

            ถ้าเขาไม่หายจากโรคนั้น เขาจะไม่สามารถรักพระบิดาผู้สถิตในสวรรค์ หรือรู้จักพระองค์ได้เลย แต่นี่พระองค์ทรงประทานพระเยซูคริสต์รักษาเขาให้หาย  เพื่อเขาจะได้กลับสู่สติ และกลับคืนสู่ความรักดั้งเดิม  เขาจะได้สามารถรักและรู้จัก  พระเจ้าในสวรรค์ที่รักเขามากเช่นกัน  ซึ่งความรักแบบพระเจ้า แบบพ่ออย่างนี้ ก็อยู่ในมนุษย์ทุกคนเช่นเดียวกัน  เพียงแต่มนุษย์ตกลงไปในความบาป ถูกทำให้เสียหาย จึงไม่สามารถที่จะสำแดงความรักอย่างนี้กับลูกๆ ของตนได้อย่างครบถ้วนบริบูรณ์ จงเข้าใจอย่างนี้เถิด เพราะฉะนั้น จากนี้ต่อไป ฟังบรรยายนี้แล้ว ท่านจะสามารถรักพ่อและแม่ เข้าใจพ่อและแม่ได้มากขึ้น ไม่ว่าพ่อแม่ท่านทำอะไร ท่านจะเข้าใจหรือไม่เจ้าใจ ก็ตาม ท่านรับรู้สิ่งนี้ไว้ ซึ่งเราจะเห็นได้ว่าพ่อแม่รักลูกของตนมากมายเท่าไร? แต่ก็ไม่สามารถที่จะสำแดงความรักนั้น ให้เป็นไปตามความต้องการของพ่อและแม่ที่เป็นมนุษย์ได้ ใช่ไหม? ถูกไหม? เราเห็นอยู่กับตา เราเอง ก็เป็นอย่างนั้นแหละ และหลายๆ ครั้ง ลูกๆ เอง ก็ไม่สามารถเข้าใจความรักของพ่อและแม่ที่มีต่อเขาได้เช่นกัน  ถูกหรือไม่ถูก? ถูก ก็เพราะการแสดงความรักต่อพ่อแม่นั้น ไม่สมบูรณ์นั่นเอง  เพราะเราไม่สมบูรณ์ แม้เราจะได้รับการรักษาให้หาย จากบาปแล้ว แต่เราก็ยังอยู่ในเนื้อหนังร่างกายเดิม เราไม่สมบูรณ์แบบ

            สำหรับลูกๆ เองนั้น ก็ไม่สามารถมีความรักต่อพ่อแม่ได้สมบูรณ์ ไม่พร้อมในการที่จะเชื่อฟังและเข้าใจถึงความรักของพ่อแม่ได้สมบูรณ์แบบ เหมือนที่พระเจ้ากระทำให้กับเราเช่นเดียวกัน คือทั้งพ่อแม่และลูกที่เป็นมนุษย์ ก็เหมือนกัน ต่างคนต่างอ่อนแอทั้งคู่ เป็นคนบาป แล้วยังอยู่ในร่างกายเดิมอยู่ ถ้ายังไม่เชื่อพระเจ้าก็เป็นคนบาป อย่างครบถ้วนบริบูรณ์เลย เพราะฉะนั้น ไม่สามารถที่จะเข้าใจความรัก หรือสัมผัสความรักแท้ๆ ซึ่งกันและกัน หรือสำแดงความรักแบบพระเจ้าซึ่งกันและกันได้ ไม่มีทางเลย จึงทำให้เกิดความแตกแยก ความไม่เข้าใจกันระหว่างพ่อแม่และลูกๆ บนโลกใบนี้อย่างแน่นอน เข้าใจมาก เข้าใจน้อย ซึ่งความตั้งใจ คือตั้งใจจะมีความสัมพันธ์ด้วยความรัก เป็นสายเลือด เกิดจากกันและกันในครอบครัว มันเป็นธรรมชาติ ซึ่งสิ่งเหล่านี้จำเป็นต้องได้รับการช่วยเหลือ รักษาความสัมพันธ์นี้ให้กลับคืนดีกันและกันเหมือนเดิม

            เหมือนพระเจ้ากับมนุษย์คืนดีกันในความสัมพันธ์ เพียงทางเดียว ก็คือโดยผ่านทางพระเยซูคริสต์ พระผู้ช่วยให้รอดจากบาป ด้วยการวางใจในพระเมซิยาห์ พระบุตรของพระเจ้า พระเยซูคริสต์เท่านั้น ที่มาสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน เพื่อเรา เพื่อรักษาเราให้หายบาป หายจากการเป็นคนดื้อ เป็นคนที่ไม่เชื่อฟังพระเจ้า กลับมาเป็นคนเชื่อฟังพระเจ้า เชื่อฟังความดีงาม เมื่อเชื่อฟังพระเจ้า พ่อในสวรรค์ได้ ก็จะเชื่อฟังพ่อแม่ที่เป็นมนุษย์ได้เช่นเดียวกัน ถูกหรือไม่ถูก? มันเป็นต้นตอ ต้นกำเนิด เป็นพลัง เป็นความจริง ถ้าเรายังไม่สามารถกลับคืนดีกับพระเจ้าได้ เราก็จะไม่เข้าใจความรักของพ่อและแม่ของเราเท่าที่ควร

            เพราะฉะนั้น หนทางเดียวที่จะทำให้ครอบครัวของมนุษย์บนโลกใบนี้ กลับคืนสมบูรณ์ได้ในความรักกันและกัน ในความสัมพันธ์ ความเข้าใจกันในระหว่างพ่อแม่ลูก กลับคืนดีกัน เป็นครอบครัว แบบเดียวกับครอบครัวในสวรรค์ ที่พระเจ้ากลับคืนดีกับมนุษย์ ลูกๆ ของพระองค์นั้น มีทางเดียว คือผ่านทางการวางใจ เชื่อในพระเยซูคริสต์เท่านั้น แล้วหัวใจจะได้เปลี่ยนไปไง เราจะได้เข้าใจถึงความรักแบบพระเจ้า

            ความรักแบบพระเจ้า มันสร้างไม่ได้ มันต้องเกิดมาเป็น  เราเกิดเองก็ไม่ได้ ต้องผ่านพระเยซู ผ่านความเชื่อในพระเยซู จะได้บังเกิดใหม่ เพื่อพระเจ้าจะให้ใจใหม่กับเรา ใจใหม่ที่ให้กับเรานั้น เต็มไปด้วยความรัก ชนิดที่เป็นแบบพระเจ้า เหมือนพระเยซูเลย แล้วเราจึงมีความรักชนิดนี้อยู่ในใจของเรา สามารถที่จะสัมผัสความรักของพระเจ้า ที่เป็นชนิดเดียวกันได้ และสามารถถ่ายเท หรือถ่ายทอด สำแดงความรักนี้แก่บรรดาผู้คนรอบข้างได้ โดยเฉพาะที่กำลังพูดถึงนี้ ก็คือแสดงความรักนี้ ต่อพ่อและแม่ของเรา  หรือสำแดงความรักนี้ต่อลูกของเรานั่นเอง

            สรุปวันนี้ ก็คือจงเชื่อและวางใจพ่อแห่งฟ้าสวรรค์ แม้จะไม่เข้าใจทุกสิ่งว่าพ่อแห่งฟ้าสวรรค์นั้น เป็นพ่อที่ดี และดีตลอดเวลา  ไม่ว่าสถานการณ์ที่เราเผชิญจะดีหรือร้ายก็ตาม พ่อมีความสามารถที่จะทำให้ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นกับเรานั้น ไม่ว่ามันจะดีหรือร้าย ในสายตาของเรา ให้มันเกิดผลอันดีกับชีวิตของเรา ซึ่งเป็นลูกของพระองค์ ซึ่งพระองค์ทรงรักดังแก้วตาดวงใจได้ พระองค์มีกำลังที่จะทำได้อย่างแน่นอน เหมือนเปาโลที่บอกว่า …

            “ข้าพเจ้ารู้จักพระเจ้าที่ข้าพเจ้าเชื่อ และเชื่อมั่นว่าพระองค์ทรงฤทธิ์เดชอำนาจ สามารถที่จะรักษาสิ่งสารพัด ที่ข้าพเจ้ามอบไว้ ฝากไว้ที่พระองค์ได้ จนกว่าจะถึงวันนั้น” เอเมน

            สิ่งที่พระเจ้าพระบิดาของเรา ทำไม่ได้มีอันเดียวเท่านั้นเอง ท่านก็ทราบแล้ว  พระองค์ทรงกระทำได้ทุกสิ่ง พระองค์ทรงเป็นพระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ ทรงฤทธานุภาพอำนาจยิ่งใหญ่ ครอบครองและควบคุมเหนือทุกสิ่ง ไม่มีอะไรที่จะขวางพระองค์ได้เลย สิ่งเดียวที่พระองค์ทำไม่ได้ คือพระองค์ทรงรักเรามากกว่านี้ไม่ได้แล้ว เราจะขอให้พระองค์ทรงรักมากกว่านี้ ก็ไม่ได้เลย ในพระเยซูคริสต์ พระองค์ทรงรักเรามากที่สุด แล้วก็ทำให้เราสมบูรณ์ที่สุดแล้ว ไม่ต้องขอ เพียงแต่รับรู้ๆ ว่ามันใช่ มันเป็นอย่างนี้แหละ มันรับรู้ยาก  เพราะอะไร? นี่คือความจริงในโลกวิญญาณ

            เราจึงจำเป็นต้องมาเรียนรู้กันทุกๆ สัปดาห์  เราจึงต้องอธิษฐานขอบคุณพระเจ้าทุกๆ สัปดาห์ สำหรับความรักของพระองค์ และทุกๆ วันของเรา สำหรับพระองค์ เพราะอะไรทำไมเราต้องมาย้ำยืนยันตรงนี้อยู่เรื่อยๆ ว่าพระองค์ทรงรักเราๆ เพราะแม้ว่าเราจะได้รับการรักษาให้หายจากบาปแล้ว เป็นคนใหม่ ได้วิญญาณใหม่ ได้ใจใหม่  ที่เต็มไปด้วยความรัก เข้าใจพระเจ้าแล้วก็ตาม  แต่เรายังอาศัยอยู่ในร่างกายเดิมนี้อยู่ มันเป็นอุปสรรค ทำให้เราไม่เห็นในโลกฝ่ายวิญญาณ อย่างครบถ้วนบริบูรณ์ สมบูรณ์จริงๆ มันต้องรอให้วันหนึ่งที่เราทิ้งร่างนี้ และได้รับร่างกายใหม่เท่านั้น

            ฉะนั้น ขณะนี้ ที่เราดำเนินอยู่บนโลกใบนี้ แม้เราจะรู้ความจริงเหล่านี้ ก็ตาม  แต่กายเรา มันจะขวางเราอยู่ ทำให้เราไม่เข้าใจมากนัก ฉะนั้น เราไม่มีทางที่จะเข้าใจ การกระทำทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นกับเราอย่างแน่นอน  ไม่มีทางเข้าใจได้เลย  อย่านึกว่าเราจะเข้าใจพระเจ้าได้หมด ไม่มีทาง เราเริ่มต้นเข้าใจได้บ้าง เมื่อเราเปิดใจรับเชื่อพระเยซู ต้อนรับพระเยซูเป็นพระผู้ช่วยให้รอดแล้วก็ตาม เราจะไม่เข้าใจสิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นบางเรื่อง เราจะคิดเหมือนกษัตริย์ดาวิด ทำไมๆ เหมือนกัน …

            “ทำไมพระเจ้าอนุญาตให้สิ่งนี้เกิดขึ้นกับชีวิตของเราได้ล่ะ ทำไมพระเจ้าอนุญาตให้สิ่งไม่ดีเหล่านี้เกิดขึ้นกับเรา ทั้งที่รักเรา”

            เรามีโอกาสคิดได้ และคิดแน่นอน  แต่เราสามารถวางใจได้ว่าพระองค์บอกว่าพระองค์เป็นพ่อที่ดีพร้อม ที่รักเรามากดังแก้วตาดวงใจ  ซึ่งพิสูจน์แล้ว โดยประทานพระเยซูคริสต์มาสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน เพื่อเรา ในขณะที่เรายังเป็นคนบาป เป็นศัตรู ต่อต้าน ต่อว่า ทุบตีจิตใจของพ่อของเรา ในสวรรค์ ไม่เข้าใจความรักของพ่อของเราอยู่  เราสามารถจำตรงนี้ให้ได้ แล้วก็วางใจในพระเจ้าเลย

            พ่อแห่งฟ้าสวรรค์พูดกับลูกๆ ทุกคนว่า … “พ่อให้สัญญาว่าพ่อจะไม่ทอดทิ้งเจ้า เหมือนเด็กๆ ที่กำพร้า พ่อจะไม่ละเจ้าให้อยู่ตามลำพัง แต่จะอยู่กับเจ้าทุกลมหายใจเข้าออก เมื่อเจ้ามีความสุข พ่อก็จะบินอยู่เคียงข้างเจ้า เมื่อเจ้ามีความทุกข์ พ่อก็จะซุกเจ้าไว้ใต้ปีกของพ่อ

            เมื่อมีความทุกข์ เราก็จะไม่บอกว่าทำไมๆ ทำไมต้องเป็นความทุกข์ ไม่ต้อง เราไม่มีวันเข้าใจหรอก ทำไม ต้องมีความทุกข์ รักเรา แล้วก็ทำอะไรก็ได้ ปล่อยให้เรามีความทุกข์  เราไม่ต้องสนใจหรอก สนใจอย่างเดียว เมื่อมีความทุกข์ ขณะนั้น พ่อกำลังซุกเราไว้ใต้ปีกของพ่อ อบอุ่น อยู่ในพระทรวงของพ่อ เมื่อยามมีความสุข มองไม่เห็นพ่อ ก็รู้ว่าพ่อบินอยู่ข้างๆ เอเมนไหม? เอเมน ไม่ต้องไปเอาความเข้าใจ ไม่ต้องเอาสมองเห็นด้วยว่ารู้ว่าเป็นอย่างไร? ไม่ต้องรู้ เพราะขืนไปมองด้วยตา คิดด้วยความคิดของตนเอง ตกม้าตายแน่นอน จำถ้อยคำพระเจ้าที่สัญญาไว้กับเราอย่างนี้ก็แล้วกัน พระเจ้าอวยพรครับ

*******************

จากใจคณะศิษยาภิบาล

            เพียงแค่ยินยอมเท่านั้น  ก็เข้าสวรรค์ได้ทันที! พิสูจน์ได้เลยเดี๋ยวนี้! ไม่ต้องรอให้ตายก่อน

            โคโลสี 1:13-14 “13 เพราะพระองค์ได้ทรงช่วยเรา ให้พ้นจากอาณาจักรของความมืด  และทรงนำเรา ย้ายเรา เข้ามาสู่อาณาจักรของพระบุตร  (พระเยชูคริสต์) ที่รักของพระองค์ 14 ในพระบุตร (พระคริสต์นี้ ) เราได้รับการไถ่บาป คือการอภัยโทษบาปของเรา”

            การผ่าตัดทางวิญญาณของพระเจ้า ก็คือการย้ายวิญญาณของผู้ที่เชื่อในข่าวดีของพระเยซูคริสต์  ออกจากที่เดิม  คือในอาดัมมาสู่ในพระคริสต์  จากอยู่ในความตาย  มาอยู่ในชีวิตในพระเยซูคริสต์  จากการเป็นทาสมาเป็นลูกของพระเจ้า  ออกจากอาณาจักรแห่งความมืด  มาสู่อาณาจักรสว่างของพระบุตร  พระเยชูคริสต์ที่รักของพระองค์  ก็คืออาณาจักรสวรรค์

            ทั้งหมดนี้ได้เกิดขึ้นเรียบร้อยแล้วในโลกวิญญาณ  เพียงแค่เราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์  เป็นพระผู้ช่วยให้รอดของเรา  ซึ่งเท่ากับว่าเรายินยอมให้พระเจ้าเข้ามาผ่าตัดวิญญาณของเรา  ย้ายเราเข้ามาอาศัยอยู่ในพระคริสต์  ซึ่งเรียกว่ายินยอมรับการบัพติศมาเข้าส่วนร่วม  เป็นหนึ่งเดียวกันในพระเยซูคริสต์  เข้าสู่กระบวนการการบังเกิดใหม่  โดยตายพร้อมพระเยซูคริสต์ที่กางเขน  ถูกฝังในอุโมงค์พร้อมพระองค์  และเป็นขึ้นจากความตายพร้อมพระองค์  นั่งอยู่ที่ขวามือของพระเจ้าร่วมกับพระองค์ในสวรรคสถาน

            พระเจ้าอวยพรครับ

วารสาร Holy  News   ฉบับที่ 1391 

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  27  พฤศจิกายน  2022

เรื่อง “คริสเตียนที่บังเกิดใหม่แล้ว เราเป็นลูกนกอินทรี ไม่ใช่ไก่งวง”

โดย นคร  เวชสุภาพร

            วันพฤหัสที่ผ่านมาเป็นวันขอบคุณพระเจ้า ก็ต้องบอกว่า …

            “สวัสดีครับ สุขสันต์วันขอบคุณพระเจ้าย้อนหลัง”

            ทุกวันพฤหัสที่ 4 ของเดือนพฤศจิกายน เป็นวันขอบคุณพระเจ้า ซึ่งวันพฤหัสที่ผ่านมา ก็เป็นวันขอบคุณพระเจ้า คริสเตียนทั่วโลก ส่วนใหญ่เขาก็เฉลิมฉลองกันด้วยการมารับประทานอาหาร ขอบคุณพระเจ้าร่วมกัน และอาหารมื้อพิเศษหรือเป็นเมนูหลักของการขอบคุณพระเจ้านี้  ที่เรารู้กันทั่วโลก คือไก่งวง

            นึกถึงไก่งวง นึกถึงภาพอะไร? ไก่กำลังเดินเหรอ หรือไก่กำลังกกไข่ พอบอกว่าไก่งวงปุ๊บ นึกถึงภาพอบเกรียมอยู่บนโต๊ะเลยนะ ไม่เห็นหัวเลย  เพราะฉะนั้น เพื่อให้เข้ากับบรรยากาศ หัวข้อเรื่องในวันนี้ จึงมีชื่อว่า “คริสเตียนที่บังเกิดใหม่แล้ว เราเป็นลูกนกอินทรี ไม่ใช่ไก่งวงอบเกรียมในเตา”

            เมื่อถึงวันขอบคุณพระเจ้าทีไร เรานึกถึงอะไร? นึกถึงนกอินทรี ไม่ใช่ เราก็นึกถึงไก่งวงตลอด แล้วนึกถึงไก่งวงก็เห็นภาพนั้น ทุกคนถามไปว่ารู้จักไก่งวงไหม? รู้จัก หน้าตาเป็นอย่างไร? อยู่ในจาน อยู่ในเตาอบ ใช่หรือเปล่า? เกรียมๆ อันนี้มันเอกฉันท์ทั่วโลก พอนึกถึงไก่งวง แต่พอนึกถึงนกอินทรี เห็นภาพอะไร? ในเตาอบไหม? ไม่ใช่ เคยเห็นนกอินทรีถอดขนไว้เรียบร้อยไหม? ไม่มี เห็นนกอินทรีทีไร มันเหินบินอย่างสง่างาม ทุกรูปเลย ใช่หรือไม่ใช่? นั่นแหละ เพราะฉะนั้น เราทั้งหลายผู้เป็นคริสเตียน ที่บังเกิดใหม่แล้ว จงบินเหินฟ้าอย่างสง่างาม ให้สมศักดิ์ศรีการเป็นนกอินทรี ไม่ใช่เป็นไก่งวง คอตก ไม่มีคอ ที่รอให้เขาเอาไปอบ ย่างกิน ฉลองใน 2 เปโตร 1:4 บันทึกไว้อย่างนี้ว่า …

        2 เปโตร 1:4 “โดยสิ่งเหล่านี้ พระองค์ได้ประทานพระสัญญาอันยิ่งใหญ่และล้ำค่าของพระองค์แก่เรา เพื่อว่าโดยทางพระสัญญาเหล่านี้ พวกท่านจึงได้มีส่วนในพระลักษณะของพระเจ้า  (บังเกิดใหม่เป็นลูกพระเจ้า) และพ้นจากความเสื่อมทรามในโลก ซึ่งเกิดจากตัณหาชั่ว (ความบาป)”

โดยสิ่งเหล่านี้ คืออะไร? โดยการรับรู้ความจริงเกี่ยวกับพระเยซูคริสต์ เริ่มต้นเปิดใจรับเชื่อพระเยซูคริสต์นั่นเอง เราจึงได้เข้ามีส่วนร่วมในพระลักษณะของพระเจ้า ก็คือวิญญาณนิรันดร์ของพระเจ้า  ได้บังเกิดใหม่ เป็นลูกของพระเจ้า  ถ้าเราเปรียบเทียบในพระคัมภีร์ เขาชอบเปรียบเทียบพระเจ้าในพระคัมภีร์เดิม เป็นนกอินทรี บินอยู่สูง เพราะฉะนั้น เราได้บังเกิดใหม่ เป็นลูกนกอินทรี บินอยู่เบื้องบน ในนี้บอกว่าพ้นจากความเสื่อมโทรม เสื่อมทรามในโลก ซึ่งเกิดจากตัณหาความบาป เราได้บังเกิดใหม่ เป็นลูกของพระเจ้า พ้นจากความบาปชั่วในวิญญาณ ก็คือเราได้บังเกิดใหม่ เป็นลูกนกอินทรีที่บินอยู่เบื้องบน พ้นจากการเป็นไก่งวงอบเกรียม บนโลก ตายอยู่ ให้มารคอยกัดกิน

            การรับรู้ความจริงตรงนี้ ทำให้เรารู้ว่าเราเป็นใคร? เมื่อเราบังเกิดใหม่แล้ว เราเป็นลูกของพระเจ้า เราเป็นลูกนกอินทรี เราไม่ใช่ไก่งวงอบตาย รอเขาย่าง การรับรู้ความจริงมากขึ้น เริ่มต้นจากความจริง เริ่มแรกว่าพระเยซูคริสต์เป็นใคร? เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอด นั่นเป็นการเริ่มต้นรับรู้ความจริง  แต่ความจริงนี้มีลึกซึ้งเข้าไปกว่านั้นอีกว่าเมื่อท่านเปิดใจต้อนรับแล้ว ท่านเป็นใคร? แล้วเป็นอย่างไร? การรับรู้ความจริงตรงนี้ มากขึ้นว่าเราเป็นลูกพระเจ้า เป็นลูกนกอินทรี ไม่ใช่ไก่งวงตรงนี้  ความจริงนี้จะทำให้ท่านเป็นอิสระ ตามที่พระเยซูบอก  คือเป็นอิสระ บินอยู่เหนือปัญหาความทุกข์ยากทั้งปวง  บนโลกใบนี้นั่นเอง เป็นเริ่มต้นชัยชนะเลย และรู้ความจริงมากยิ่งขึ้น  ก็มีชัยชนะมากขึ้นเรื่อยๆ เอเฟซัส 1:18-19 บันทึกไว้อย่างนี้ว่า …

        เอเฟซัส 1:18-19 “18 ข้าพเจ้ายังอธิษฐานขอพระเจ้าให้ตาของวิญญาณ (ซึ่งเป็นตัวจริงๆ ของท่าน) สว่าง เพื่อจะได้รับการสำแดงความรู้ จากพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า เพื่อท่านจะได้รับรู้ถึงความหวัง และมีความมั่นใจในเรื่องเกี่ยวกับสวรรค์ของพระเจ้า ที่พระองค์ได้เรียกท่านเข้ามานั้น และรับรู้เรื่องมรดก ที่เต็มไปด้วยสง่าราศี อันยิ่งใหญ่รุ่งเรือง และมีค่าที่สุดของพระองค์ ที่ได้ทรงจัดเตรียมไว้ให้กับท่าน ผู้ซึ่งได้เป็นประชากรที่บริสุทธิ์ชอบธรรมของพระเจ้าแล้ว (โดยผ่านทางการเชื่อและรับสิทธิ์ของท่าน ที่พระเยซูได้ไถ่บาปให้) 19 เพื่อท่านจะได้เริ่มต้นเรียนรู้ถึง ฤทธิ์เดชอำนาจยิ่งใหญ่มหาศาลที่ไม่มีขีดจำกัดและหาที่เปรียบไม่ได้ของพระเจ้า ซึ่งเป็นฤทธิ์เดชอำนาจ พลังที่ยิ่งใหญ่มหาศาลทางฝ่ายวิญญาณ ที่กระทำการงานอยู่ภายในเรา และเพื่อเราผู้ซึ่งได้เชื่อ (รับสิทธิ์ของเรา ที่พระเยซูได้ไถ่บาปให้)”

            อัครทูตเปาโลได้กำชับ และบอกถึงความสำคัญของการรู้ความจริงว่าเมื่อท่านเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด เป็นคริสเตียนแล้ว บังเกิดใหม่เรียบร้อยแล้ว สิ่งที่ท่านต้องทำ ก็คือท่านต้องเรียนรู้ว่าท่านเป็นใครแล้วตอนนี้ เกิดใหม่แล้วเป็นอะไร? อะไรคือความหวังใจของท่าน  อะไรเกิดขึ้นในวิญญาณของท่าน ท่านต้องเรียนรู้สิ่งเหล่านี้ อะไรคือมรดก ที่เป็นสิ่งสำคัญมาก และจะเรียนรู้ได้อย่าง? จากพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่ทำให้ท่านบังเกิดใหม่ แล้วเข้ามาสถิตอยู่กับท่านแล้ว ตั้งแต่ตอนเริ่มต้น เปิดใจต้อนรับความจริงนี้

            อาจารย์เปาโลจึงอธิษฐาน วิงวอนขอต่อพระเจ้า ให้พระเจ้าเปิดตาฝ่ายวิญญาณ ประทานสติปัญญา ประทานวิญญาณแห่งความรู้เรื่องราวเกี่ยวกับโลกวิญญาณ เรื่องราวเกี่ยวกับถ้อยคำพระเจ้า ที่เป็นความจริงในเรื่องพระเยซูคริสต์ให้กับผู้เชื่อใหม่ ผู้ที่บังเกิดใหม่ ได้รู้ว่าเขาเป็นใคร? เขาเป็นนกอินทรี ไม่ใช่ไก่งวงอบ รอย่างให้ตาย และรับรู้เรื่องมรดกที่เต็มด้วยสง่าราศี อันยิ่งใหญ่รุ่งเรือง และมีค่าที่สุดของพระองค์ที่ได้ทรงจัดเตรียมไว้ให้ท่าน  ที่ได้บังเกิดใหม่นั้น

            ในข้อ 19 บอกว่าเพื่อท่านจะได้เริ่มต้นเรียนรู้ถึงฤทธิ์เดชอำนาจอันยิ่งใหญ่ มหาศาล ที่ไม่มีขีดจำกัด หาที่เปรียบไม่ได้ ฤทธิ์เดชอำนาจนั้นอยู่ในตัวท่าน  ที่บังเกิดใหม่แล้วนั้น แล้วท่านจะรู้ได้อย่างไร? เริ่มต้นเรียนรู้ เริ่มต้นบินไปกับพระเจ้า บินไปกับพระวิญญาณบริสุทธิ์ แล้วก็เรียนรู้ไปกับพระองค์ นี่หมายถึงอย่างนั้น ตาฝ่ายวิญญาณค่อยๆ เปิดออก ค่อยๆ เรียนรู้ไปเรื่อยๆ รู้มากเท่าไร? ก็เป็นอิสระมากเท่านั้น มีชัยชนะมากเท่านั้น ในเอเฟซัส 2:6 ได้บันทึกไว้อย่างนี้อีกว่า …

        เอเฟซัส 2:6 “และพระองค์ได้ทรงให้วิญญาณของเราเป็นขึ้นมา (บังเกิดใหม่) กับพระคริสต์  และในพระเยซูคริสต์ พระเจ้าได้ทรงให้เรา นั่งในสวรรคสถานกับพระคริสต์”

            “ให้เรานั่งอยู่ในสวรรค์สถานกับพระคริสต์” มันคืออะไร? ทำไม? ให้เรานั่งแล้วเป็นอย่างไร?  เราอยู่ที่ไหนแล้วขณะนี้ ในโลกวิญญาณ ที่เราบังเกิดใหม่แล้ว มันเป็นความจริงที่เราต้องเรียนรู้  และเป็นความจริงที่มารพยายามที่จะขโมยออกไปจากเรา โดยหลอกเรา พูดความเท็จใส่เรา เพราะฉะนั้น อย่าให้มารหรือใครที่ไหน มาหลอก หรือขโมยเอาความจริงนี้จากเราไปได้  ที่ได้บังเกิดใหม่ เป็นนกอินทรีแล้ว ไม่ใช่เป็นไก่งวงอบ

            ความจริงที่อาจารย์เปาโลพูดตะกี้ ก็คือเราได้บังเกิดใหม่ เป็นลูกของพระเจ้า ผู้ยิ่งใหญ่สูงสุดในมหาจักรวาล ผู้ทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งหลาย และพระเจ้าผู้นี้ได้เข้ามาสถิตอยู่กับเรา เป็นหนึ่งเดียวกันกับเราในวิญญาณของเรา  พระเจ้าผู้ทรงสถิตอยู่ในเรานี้ เป็นใหญ่กว่ามารและวิญญาณชั่วทั้งหลายบนโลกใบนี้ทั้งหมด และเราสะอาด บริสุทธิ์ ดีพร้อมเหมือนพระเจ้า เราไม่ได้เป็นคนบาปชั่ว สกปรกอีกต่อไปแล้ว แต่เราได้เกิดใหม่ในพระเยซูคริสต์ เป็นผู้ชอบธรรม บริสุทธิ์ ดีพร้อมเหมือนพระเจ้าเลย เรียบร้อยไปแล้ว เป็นรัชทายาท มีมรดก เตรียมครอบครองอาณาจักรสวรรค์และโลกใหม่ ไม่ได้เป็นทาสเลี้ยงหมู กินอาหารหมู ไม่มีอนาคตอีกต่อไปแล้ว เอเมนไหม? เราเป็นลูกนกอินทรี ไม่ใช่ไก่งวง ที่รอวันขอบคุณพระเจ้า นึกออกไหม? เพราะวันขอบคุณพระเจ้า ไก่งวงเหล่านั้นจะถูกพิพากษา เข้าเตาอบ แล้วก็ถูกย่าง เพลงอะไรนะที่เวลาเขาเข้าค่ายแล้วเขาชอบร้องกัน

                        “ไก่ย่างถูกเผา ไก่ย่างถูกเผา  มันจะถูกไม้เสียบ

                        เสียบตูดซ้าย เสียบตูดขวา ร้อนจริงๆๆๆ”

            แล้วอดีตเราเป็นอย่างนั้น ร้อนไหม ชีวิตที่ไม่มีพระเจ้า  ที่ไม่ได้บังเกิดใหม่ ร้อน แต่บัดนี้ เราได้บังเกิดใหม่  โดยการเชื่อในพระเยซูคริสต์ เราเป็นลูกนกอินทรี บินอยู่ข้างบนแล้ว บินอยู่เหนือปัญหาต่างๆ เราไม่ใช่ไก่งวงรอให้เขามาย่างกิน รอให้มารมากัดกินอีกต่อไปแล้ว ให้เราขอบคุณพระเจ้าของเรา นี่แหละ คือการขอบคุณพระเจ้า

            นึกถึงวันขอบคุณพระเจ้าเมื่อไร? นึกถึงตรงนี้เลยว่าขอบคุณพระเจ้าที่เราไม่ใช่ไก่งวงอีกแล้ว ขอบคุณพระเจ้า

            เมื่อใครก็ตามเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอดจากบาป เขาก็จะได้รับการอัศจรรย์ยิ่งใหญ่สูงสุดแล้ว  และนี่คืออัศจรรย์ที่มนุษย์ทั้งหลายเรียกร้องหา แสวงหา  และเป็นอัศจรรย์เดียว โดยผ่านทางพระเยซูคริสต์เท่านั้นที่กระทำได้ ไม่มีใครทำได้เลย  อัศจรรย์ด้วยฤทธิ์เดชอำนาจของพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์อยู่นั้น  ได้ทำให้ผู้นั้นบังเกิดใหม่ด้วยหน่อเชื้อ เชื้อจากวิญญาณจากพระเจ้าที่เรียกว่าชีวิตนิรันดร์ของพระเจ้า  แล้วได้มาเป็นลูกของพระเจ้า  ที่มีวิญญาณและใจใหม่ ที่เป็นผู้ชอบธรรมบริสุทธิ์ดีพร้อมเหมือนพระเจ้าเลยทีเดียวเชียว  แต่ยังคงดำเนินชีวิตอยู่ในร่างกายเดิมบนโลกนี้ ซึ่งปกคลุมไปด้วยอิทธิพลของความบาป ซึ่งต่อต้านความดีงาม ต่อต้านความจริงของพระเจ้า คอยหลอกล่อ หลอกลวงให้คริสเตียนผู้นั้นประพฤติตัวไม่เหมาะสมกับธรรมชาติ ตัวตนแท้จริงของเขา ที่ได้บังเกิดใหม่ เป็นลูกพระเจ้าที่บริสุทธิ์ดีพร้อมแล้วนั้น เป็นนกอินทรีแล้วนั้น มันจะมาหลอกเราว่าเราเป็นไก่งวง …

            “แกเป็นไก่งวงๆ แกเป็นไก่งวงอยู่ แกรอย่าง แกถูกอบ ร้อนๆ”

            นั่นคือการโกหกมดเท็จทั้งปวง เราได้บังเกิดใหม่ เป็นลูกนกอินทรีแล้ว เราบินอยู่กับพระเจ้า เราบินอยู่กับพระองค์ตลอดเวลา  และพระเจ้าผู้เป็นพ่อแห่งฟ้าสวรรค์ ที่ได้เข้ามาสถิตอยู่กับเรา ภายในแล้ว ก็จะฝึกสอนเราด้วยความรัก  ศัตรูจะเข้ามาขโมยความจริง พระเจ้าจะมาสอนเรา ให้เรารู้ทันการโกหกหลอกลวงนั้น แล้วให้เรารู้จักการปฏิเสธ ไม่ประพฤติตามการโกหกหลอกลวงนั้น ไม่ประพฤติตาม ไม่คิดตามอิทธิพลการหลอกล่อ  หลอกลวงคำเท็จเหล่านั้นของมาร ซึ่งจะใช้อะไรทั้งปวงบนโลกใบนี้ ใช้ใครก็ได้ ใช้อะไรก็ได้  ที่จะพยายามมาหลอกล่อ หลอกลวงเรา  พระเจ้าจะสอนเราว่ามันไม่ใช่ ปฏิเสธมันซะ ไม่ยอมคิดตาม ไม่ยอมทำตาม 1 ยอห์น 3:7 จึงบันทึกไว้อย่างนี้ว่า …

        1 ยอห์น 3:7 “เด็กผู้ชาย (หนุ่มๆ) อย่าให้ใครมาหลอกลวง และนำคุณให้หลงทาง ผู้ที่ฝึกฝน ประพฤติความชอบธรรม (ตามธรรมชาติภายใน ที่เป็นผู้ชอบธรรม จากการบังเกิดใหม่ในพระคริสต์) ก็เป็นผู้ชอบธรรมเหมือนพระองค์ (พระเยซู) ผู้ทรงเป็นความชอบธรรม”

            “เด็กผู้ชายหนุ่มๆ” เฉพาะตรงนี้ เขียนอย่างนี้ มันหมายถึงรวมทั้งคริสเตียนทั้งหมดนะ อย่านึกว่าเราไม่ได้เป็นผู้ชายหนุ่มๆ เราไม่เป็น โดนหมดครับ  จะโดนคนละอย่าง  แล้วแต่

            ในนี้บอกว่า … “อย่าให้ใครมาหลอกลวง และนำคุณให้หลงทาง ผู้ที่ฝึกฝนประพฤติความชอบธรรม ก็เป็นผู้ชอบธรรมเหมือนพระองค์ คือเหมือนพระเยซูคริสต์ ผู้ทรงเป็นความชอบธรรม พูดง่ายๆ ว่าผู้ที่บังเกิดใหม่ เป็นนกอินทรีแล้ว เขาจะฝึกฝน บินเหมือนนกอินทรี ฝึกฝน ประพฤติความชอบธรรม ก็คือการกระทำ ถูกไหม? ถ้าเราเทียบกับนกอินทรี ก็คือฝึกฝนการบิน ตามธรรมชาติเหมือนพ่อ  พ่อเป็นผู้ชอบธรรม เราก็ดำเนินชีวิต ประพฤติเป็นผู้ชอบธรรม พ่อเปรียบเทียบเป็นนกอินทรี เราก็บินเหมือนพ่อเรา เป็นนกอินทรีเหมือนพ่อเรา

            จะสังเกตให้เห็นชัดๆ ตรงนี้ว่าฝึกฝน ประพฤติความชอบธรรม ฝึกฝนบิน ตามธรรมชาติที่เหมือนพ่อ ฝึกฝนประพฤติ คือบิน คือการกระทำ ประพฤติ คือการกระทำ ถูกไหม?

            ฝึกฝนการกระทำ ให้เป็นธรรมชาติเหมือนพ่อ การเหมือนพ่อ ประพฤติได้ไหม? ไม่ได้ เป็นเหมือนพ่อ มันเป็น ผมกำลังจะชี้ให้ท่านเห็นว่าฝึกฝนการกระทำ ฝึกฝนการประพฤติ แต่ไม่ได้ฝึกฝนการเป็นธรรมชาติเหมือนพ่อ เอาใหม่อีกที  ฝึกฝนการกระทำ ไม่ได้ฝึกฝนเป็น เป็นมันเป็นมาจากพระคุณ โดยความเชื่อของเรา ใช้สิทธิที่พระเยซูทำให้กับเรา เราได้บังเกิดใหม่ เป็นนกอินทรี เป็นเหมือนพ่อ ถูกไหม? ไม่ได้ประพฤติอะไรเลย แค่เชื่ออย่างเดียว ใช้สิทธิ์อย่างเดียว พอเป็นแล้ว ค่อยมาเริ่มฝึกฝนความประพฤติการกระทำ เพราะฉะนั้น การกระทำไม่มีผลต่อการเป็น เป็นมาจากความเชื่อ การบังเกิดใหม่  โดยการเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ ทิตัส 2:12 ได้บันทึกไว้อย่างนี้ว่า …

        ทิตัส 2:12 “พระคุณนี้สอนเราที่จะฝึกฝน ปฏิเสธการทำบาป ไม่ทำตามกิเลสโลกียตัณหาของเนื้อหนัง และดำเนินชีวิตในโลกปัจจุบันนี้ อย่างมีสติสัมปชัญญะ (ตามพระวิญญาณ) ตามทางพระเจ้า สมกับเป็นผู้ชอบธรรม (เป็นลูกที่บริสุทธิ์ดีพร้อมเหมือนพระเจ้า)”

            “พระคุณนี้สอนเรา” ก็คือพระคุณแห่งความรอด เมื่อเรารู้ว่าเราเป็นลูกของพระเจ้าแล้ว  เราบังเกิดใหม่ โดยพระคุณของพระเจ้านี้ พระเจ้าก็จะสอนเรา

            “สมกับเป็นผู้ชอบธรรม” เห็นหรือยังว่าสมกับเป็นผู้ชอบธรรม คือความประพฤติที่สมกับการเป็นผู้ชอบธรรม สม คือการประพฤติ เป็น คือการเป็น คนละอันกัน สมกับการเป็นผู้ชอบธรรม ก็คือสมกับการเป็นนกอินทรี ไม่ใช่ไก่งวงรอย่าง ภาพชัดไหม?  ปฏิบัติตัวให้เป็นนกอินทรี ไม่ใช่เป็นไก่งวงรอเขาย่าง หมดอาลัยตายอยาก  ขอบคุณพระเจ้าที่ให้เรากำเนิดมา อยู่ในพระองค์ โดยที่พระองค์ทรงสัญญาว่าจะไม่ทิ้งเราให้อยู่ตามลำพัง  แต่จะคอยฝึกฝนเรา ให้เราบินเหมือนพระองค์ ประพฤติให้สมกับความชอบธรรม ก็คือบินให้เหมือนพระเจ้า  ประพฤติให้สมกับที่เราเป็นเหมือนลูกพระเจ้าแล้วเป็นน้องพระเยซู เป็นหนึ่งเดียวกับพระองค์ คือถ้าเปรียบพระองค์เป็นดั่งพญานกอินทรี เราก็จะบินเป็นเหมือนพญานกอินทรี  ไม่ใช่ไก่งวงเดินต๊อกๆ รอวันขอบคุณพระเจ้า เห็นภาพนะ ขอบคุณพระเจ้ามาเมื่อไร ถูกย่าง โคโลสี 3:1-2 …

        โคโลสี 3:1-2 “1 ในเมื่อทรงให้ท่านทั้งหลายเป็นขึ้นกับพระคริสต์แล้ว ก็จงให้ใจของท่าน จดจ่อกับสิ่งที่อยู่เบื้องบน ที่ซึ่งพระคริสต์ประทับอยู่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้า 2 จงให้ความคิดของท่านจดจ่ออยู่กับสิ่งเบื้องบน ไม่ใช่สิ่งฝ่ายโลก”

            นี่คือการฝึกฝนของพระเจ้า พ่อของเรา ฝึกเราในการบินกับพระองค์ ซึ่งวันนี้อย่างที่ผมบอกนะว่าเนื่องจากเทศกาลวันขอบคุณพระเจ้า ก็เลยมาเทียบกับวันขอบคุณพระเจ้า ที่เราได้คุ้นเคยกันว่าขอบคุณพระเจ้าก็นึกถึงไก่งวง เลยเอาเทียบกับพญานกอินทรี ซึ่งพระคัมภีร์เดิมใช้เป็นสัญลักษณ์พูดถึงพระเจ้า

            จดจ่อที่ความจริงอย่างนี้ว่าในพระเยซูคริสต์ เราเป็นดั่งนกอินทรี อยู่เบื้องบน บินอยู่บนฟ้า ไม่ใช่ไก่งวงบนดิน โคโลสี 3:1-2 ที่อ่านเมื่อสักครู่นี้ สรุปง่ายๆ ก็คือจดจ่อที่ความจริงว่า …

            “ฉันเป็นนกอินทรีนะ  ฉันไม่ใช่ไก่งวงอีกแล้ว ฉันไม่ใช่ไก่งวงที่รอวันขอบคุณพระเจ้า แต่ฉันเป็นนกอินทรี ที่รอวันขอบคุณพระเจ้า” เอเมน

            นึกถึงนกอินทรี แล้วนึกถึงภาพนะ สง่างามมากเลย ถ้าใครก็ตามที่ได้เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์  พระคริสต์ก็จะเข้าไปอยู่ในท่าน และท่านก็จะอยู่ในพระคริสต์ ทั้งสองวิญญาณผูกพันเป็นหนึ่งเดียวกัน ในโรม บทที่ 6 ได้บันทึกไว้อย่างนี้ ชัดเจนเลย และไม่มีใครที่ไหนสามารถแยกท่านออกจากกันได้อีกเลย เป็นหนึ่งเดียวกันตลอดเลย  โคโลสี 2:6 บันทึกไว้อย่างนี้ นึกถึงการเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเยซูคริสต์ แล้วบินไปกับพระองค์ ตั้งแต่วันนั้นแหละ วันแรกที่เรารับเชื่อในพระเยซูคริสต์ ทันทีทันใด เราเรียนรู้ความจริงนี้ว่ามันเกิดขึ้นอย่างนี้แล้ว ก็คือ เราเข้าไปอยู่ในพระเยซูคริสต์ บินอยู่กับพระองค์ เบื้องบน บนฟ้า ก็คือในสวรรค์นั่นเอง โคโลสี 2:6 …

        โคโลสี 2:6  “ดังนั้น ในเมื่อท่านได้ต้อนรับพระเยซูคริสต์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอดแล้ว ก็จงดำเนินชีวิต เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์ ในพระองค์ต่อไป”

            พระคริสต์อยู่ที่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้า ในสวรรคสถานเบื้องบน  แล้วเราอยู่ที่ไหน? เราอยู่ในพระคริสต์ เราก็อยู่ที่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้าเช่นเดียวกัน เราก็อยู่ที่นั่นแหละ ความหมายที่อาจารย์เปาโลพูดถึงง่ายๆ ก็คือเมื่อเราบังเกิดใหม่ในวิญญาณแล้ว พระเยซูคริสต์ทรงเป็นพระผู้ช่วยให้รอดของเราแล้ว ก็ให้เรามีชีวิต อยู่ในร่างกายนี้ โดยการรับรู้ความจริงว่าวิญญาณข้างในของเรา เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเยซูคริสต์แล้ว พระเยซูคริสต์เข้ามาสถิตอยู่ในเราแล้ว แล้วเราก็อยู่ในพระองค์แล้ว การดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ ก็ให้เราเรียนรู้ความจริงนี้ตลอดเวลาว่าพระเยซูคริสต์เดินอยู่กับเราด้วย ทำอะไร ก็ให้รู้ว่าพระเยซูคริสต์อยู่ในเรา  และพระองค์จะไม่ไปไหนอีก จริงๆ เลย พระองค์ทรงสถิตอยู่ในเราตลอดเวลา และตลอดไป บินอยู่กับเราตลอดเวลา ไม่ว่าเราจะรู้สึกหรือไม่รู้สึก ไม่ว่าเรามีความรู้สึกว่ามันเป็นอย่างนี้หรือไม่? ก็ไม่สำคัญ ความจริงคือความจริง ไม่ใช่ความรู้สึก  ไม่ว่าตอนนั้นเราจะคิดว่าใช่หรือไม่ใช่?  เราคิดว่าเราเป็นไก่งวง แต่ความจริง ก็คือเราเป็นนกอินทรี พอนึกออกไหมครับ?

            ความคิด ไม่ใช่ตัวเรา ความรู้สึก ไม่ใช่ตัวเรา ตัวเราเป็นจริงอย่างไร? มันก็เป็นจริงอย่างนั้นในโลกวิญญาณ อย่าให้ใครมาหลอกเรา อย่าให้มารมาหลอกเรา  โดยเอาความรู้สึก เอาสิ่งที่ตามองเห็น เอาความคิดอะไรต่างๆ เหล่านั้น ที่แย้งกับความจริงเหล่านี้ แล้วก็มาบอกเรา เรารู้สึกอย่างนี้ใช่ไหม? เธอยังคิดเลยว่าไม่มีพระเจ้า เธอยังคิดว่าเธอเป็นไก่งวงอยู่เลย เรายังคิดว่าเรายังแย่อยู่เลย เราลำบากอยู่เลย ยังคิดเราเดินอยู่บนโลกใบนี้อยู่เลย  เธอยังคิดว่าเธอยังเป็นคนบาป สกปรกอยู่เลย จะคิดอย่างไรก็ตามไม่สำคัญ  ความจริงในวิญญาณของท่านเป็นอะไร? มันก็เป็นอย่างนั้น มันแก้ไม่ได้แล้ว เพียงแต่ท่านจะไม่มีสันติสุข  ไม่มีความสุข ในการดำเนินชีวิต บนโลกใบนี้ บินอยู่ มีความรู้สึกเหมือนเดิมอยู่บนโลกใบนี้นั่นเอง โคโลสี 2:9-10 ยิ่งบันทึกอย่างนี้ชัดเจนว่าท่านอยู่บนยอดของฟ้า เหินอยู่บนฟ้ากับพระเยซูคริสต์ มองลงมาข้างล่าง คนละระดับกันเลย โคโลสี 2:9-10 …

        โคโลสี 2:9-10 “9 เพราะในพระคริสต์ พระลักษณะทั้งสิ้นของพระเจ้า (คือชีวิตนิรันดร์ของพระเจ้า) ดำรงอยู่อย่างบริบูรณ์ ในพระกายของพระองค์  (คือในวิญญาณของคริสเตียน ผู้เชื่อทั้งหลาย) 10 แล้วเมื่อท่านอยู่ในพระคริสต์ ท่านก็เป็นชีวิตนิรันดร์ที่เต็มบริบูรณ์เหมือนกัน ดังนั้น พระคริสต์เป็นศีรษะมีอำนาจ เหนือกฎบัญญัติกฎศีลธรรมต่างๆ (ที่กล่าวโทษเรา) เหนือพวกผู้ครอบครองบนโลกนี้ (คือผู้นำทางศาสนา ที่ใช้กฎบัญญัติโจมตี กล่าวโทษเรา) และเหนือเหล่าพวกวิญญาณชั่ว หรือวิญญาณดีทั้งสิ้น ที่มีฤทธิ์อำนาจในจักรวาล ท่านก็มีอำนาจเหนือเช่นเดียวกัน”

            “เพราะในพระคริสต์ พระลักษณะทั้งสิ้นของพระเจ้า คือชีวิตนิรันดร์ของพระเจ้า ดำรงอยู่อย่างบริบูรณ์ในพระกายของพระองค์ คือในวิญญาณของคริสเตียนผู้เชื่อทั้งหลาย”

            ก็คือเราทั้งหลาย เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์ แล้วเมื่อท่านอยู่ในพระเยซูคริสต์ ท่านก็เป็นชีวิตนิรันดร์ที่เต็มบริบูรณ์เหมือนกัน เหมือนกับพระเยซูคริสต์ ดังนั้น พระคริสต์เป็นศีรษะ มีอำนาจเหนือกฎบัญญัติ  กฎศีลธรรมต่างๆ ที่กล่าวโทษเรา  เหนือผู้ครอบครองบนโลกนี้ คือเหนือเหล่าผู้นำทางศาสนา  หมายถึงผู้นำในทางความเชื่อต่างๆ ที่สอนวิธี สอนศีลธรรมอะไรต่างๆ เหล่านั้น เวลาเราทำผิดทำบาป ก็บอกอย่างนี้ตกนรก อย่างนี้ไม่ดีอะไรต่างๆ เหล่านั้น พระเยซูคริสต์ครอบครองอยู่เหนือเหล่านี้ และเหนือเหล่าวิญญาณชั่วหรือวิญญาณดี คือโลกวิญญาณทั้งหมด ที่มีฤทธิ์อำนาจในจักรวาล ดังนั้น เมื่อพระคริสต์เหนือเหล่านี้  เราอยู่ในพระคริสต์ ท่านก็มีอำนาจเหนือเช่นเดียวกัน

            พูดง่ายๆ ว่าดังนั้น พระเยซูคริสต์อยู่เหนือสิ่งต่างๆ เหล่านี้ เหนือกฎศีลธรรม กฎหมายต่างๆ เหนือวิญญาณชั่ว วิญญาณดี เหนือสรรพสิ่งทั้งหลายทั้งหมดเลย สูงสุดเลย  เราอยู่ในพระเยซูคริสต์ เราก็อยู่เหนือสิ่งเหล่านี้เช่นเดียวกัน เอเมนไหม? พูดง่ายๆ ว่าพระเยซูคริสต์เป็นดั่งนกอินทรี ลอยอยู่เหนือโลกใบนี้ทั้งหมด เราก็เป็นดั่งนกอินทรีเหมือนพระองค์ เพราะเราอยู่ในพระองค์อีกทีหนึ่ง เราบินอยู่กับพระเยซูคริสต์ที่เบื้องบน บินอยู่กับพระองค์ มองลงมาบนโลกเบื้องล่าง และรับรู้ว่าเรามีชัยชนะอยู่เหนือโลกใบนี้ทั้งหมด อยู่เหนือทุกสิ่งบนโลกใบนี้  ไม่ว่าจะกฎระเบียบอะไรต่างๆ  เราอยู่เหนือ ในโลกวิญญาณ เราอยู่เหนือแล้ว โลกนี้พยายามที่จะฟ้องเรา บอกเราว่าแย่ ทำอย่างนั้นแย่ ทำอย่างนี้แย่

            “เธอยังเป็นคนบาป”

            “ฉันไม่ ฉันอยู่ในกฎของวิญญาณชีวิต ฉันอยู่ในพระเยซูคริสต์ อยู่บนฟ้าแล้ว” พูดง่ายๆ

            บนโลกนี้มีแต่ความสกปรกโสโครก โลกที่มีแต่ความทุกข์ยากลำบาก  ความสับสน ไม่แน่นอน  แล้วก็ยังมีความหวังหลังความตาย ที่เป็นลมๆ แล้งๆ  พูดง่ายๆ ว่าเป็นโลกที่ไม่มีความหวังเลย ไม่ว่าจะเป็นความหวังบนโลกใบนี้ หรือความหวังหลังความตาย บนโลกใบนี้ ไม่มีความหวังเหล่านั้นเลย แต่เราทั้งหลายอยู่บนโน้น หลุดออกจากโลกใบนี้แล้ว และพ่อแห่งฟ้าสวรรค์กำลังฝึกเรา ที่เป็นลูกๆ ของพระองค์นั้น ฝึกเราทำไม? ฝึกเราให้บินอยู่ข้างบน แล้วก็มองมาจากเบื้องบน ด้วยสายตาที่เป็นเหมือนพ่อ มองลงมาบนโลก คือบินเหนือปัญหาต่างๆ ทุกเรื่องบนโลกใบนี้ ทุกปัญหา ไม่ว่าจะเป็นปัญหาเรื่องสุขภาพ บนโลกใบนี้ เขาก็แสวงหาสุขภาพ เจ็บป่วย ทุกข์ทรมาน รับเวร รับกรรม  แต่เราอยู่เหนือปัญหาเหล่านั้น อีกทีหนึ่ง ปัญหาของสุขภาพมาทำให้เรากลัวไม่ได้ เราอยู่เหนือปัญหาสุขภาพ ปัญหาการกินการอยู่ ปัญหาความสัมพันธ์กัน ปัญหาการแตกแยกกัน การถกเถียงกัน ทะเลาะวิวาทอะไรต่างๆ เหล่านี้ แม้กระทั่งปัญหาเรื่องเกี่ยวกับความรอด ห่วงชีวิตตัวเองในภายภาคหน้าว่า …

            “ตายไปแล้ว ฉันจะไปไหน? ฉันจะไปสวรรค์หรือไม่?”

            เราหลุดออกจากเหล่านี้ไปแล้ว เพราะเราอยู่ในสวรรค์เรียบร้อยแล้ว ขณะที่ดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ มันหมายถึงอย่างนั้น พระเจ้ากำลังสอนเราเรื่องเหล่านี้แหละ ให้เราดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้  บินอยู่บนฟากฟ้า บินอยู่กับพระองค์ แล้วมองลงมาเบื้องล่าง  ปัญหาความทุกข์ยากอะไรต่างๆ ที่เกิดขึ้น เป็นเรื่องธรรมดาบนโลกใบนี้ เรามีสิทธิอำนาจ เราอยู่เหนือ ไม่ใช่จะอยู่เหนือ เราอยู่เหนือแล้วด้วย ให้เราเรียนรู้ รับรู้ความจริงเหล่านี้ว่าพระเจ้ากำลังนำพาลูกๆ ของพระองค์ไปที่จุดนี้ ซึ่งสำคัญที่สุด ในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้  คือจุดที่จะวางใจพ่อ วางใจพระเจ้า บินไปด้วยกันกับพระองค์เลย  แล้วก็พึงพอใจในทุกสิ่งที่มีอยู่ ที่เป็นอยู่ ที่เกิดขึ้นบนโลกใบนี้  ไม่ว่าจะมองดูด้วยตาบนโลกใบนี้ ไม่ว่าใครจะบอกว่าดีหรือร้ายก็ตาม แม้ว่าสิ่งที่เขาบอกบนโลกใบนี้เป็นสิ่งที่ร้าย เช่น เจ็บป่วย หรือไม่ประสบผลสำเร็จในการทำธุรกิจ การงาน ขัดสน หรือทะเลาะเบาะแว้ง มีคนเกลียดชังต่างๆ ก็ตาม เราไม่ได้สนใจตรงนั้นเลย  แต่เราวางใจในพ่อ พ่อเราบอกว่าเราร่ำรวยมหาศาล เราก็บอกว่าเราร่ำรวย  เราอยู่ในพ่อของเรา ซึ่งก็คือสันติสุข การมีสันติสุข ซึ่งเกินกว่าความคิดของมนุษย์ที่จะเข้าใจ  เป็นสภาวะที่จะทำให้ความคิดจิตใจของเรานั้นสงบ และมีความมั่นใจในความรอด ผ่านทางพระเยซูคริสต์ที่ได้รับมาแล้ว  คือมีความมั่นใจในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ว่าพระเจ้าสถิตอยู่กับเรา เราอยู่เหนือปัญหาต่างๆ เหล่านี้แล้ว และมั่นใจว่าขณะนี้เราก็อยู่ในสวรรค์แล้ว เราไม่กังวลว่าหลังความตายเราจะไปไหน? เพราะตอนนี้เราอยู่ในสวรรค์แล้ว แล้วหลังความตายจะไปไหนเล่า ก็อยู่ที่เดิม อยู่ในสวรรค์แล้ว

            ซึ่งความคิดเหล่านี้ สันติสุขเหล่านี้จะส่งผลให้เราไม่หวั่นไหว ไม่กลัวสิ่งใดๆ บนโลกใบนี้อีกแล้ว ไม่กลัวเหตุการณ์ต่างๆ บนโลกใบนี้อีกแล้ว พระเจ้าจะฝึกเราบินอย่างนี้แหละ  และทำให้เรามีความพึงพอใจในทุกสิ่ง ที่มี ที่เป็นอยู่ ที่เกิดขึ้นบนโลกนี้ ซึ่งให้เรามองเห็นชัดเจนว่าโลกใบนี้ ซึ่งอยู่เพียงชั่วคราวเท่านั้น ไม่ว่ามันจะดีหรือร้ายก็ตาม มันอยู่เพียงชั่วคราวเท่านั้น บนโลกใบนี้ มันแป๊บเดียว มันก็ผ่านไปแล้ว แต่ชีวิตที่เราบินอยู่กับพระองค์บนฟ้านั้น มันเป็นนิรันดร์ครับ พระองค์จะคอยแนะนำให้เรามองไปที่สิ่งที่เรามีอยู่ เป็นอยู่แล้วในโลกวิญญาณที่เรียกว่าสวรรคสถาน ที่เรียกว่าเบื้องบน ซึ่งเราได้เป็นและเราได้อยู่และได้มีเรียบร้อยไปแล้วในพระเยซูคริสต์ เป็นปัจจุบันเลย และเป็นในอนาคต เป็นไปตลอดกาล ให้เราจดจ่อที่ความจริงตรงนี้ เอเฟซัส 1:3 ได้บันทึกอย่างนี้ว่า …

        เอเฟซัส 1:3 “สรรเสริญ เทิดทูนพระเจ้า พระบิดาขององค์พระเยซูคริสต์เจ้า พระผู้ช่วยให้รอดของเรา ผู้ได้ทรงประทานพระพรฝ่ายวิญญาณนานัปการในพระคริสต์แก่เราทั้งหลายแล้วในสวรรคสถาน”

            ลองคิดดูนะว่าพระพรในโลกวิญญาณ ในสวรรคสถานเบื้องบน ในขณะนี้ เราเป็นใคร? เราได้มีอะไรแล้วบ้าง? เราได้เป็นอะไรบ้าง? เรียบร้อยแล้ว เมื่อตะกี้ที่เราอ่านในเอเฟซัส 1:3 สำคัญคำนี้ คือ “ผู้ได้ทรงประทาน” แปลว่าให้หรือยัง? ให้แล้ว ก็คือมีแล้ว ได้รับเรียบร้อยแล้ว เพียงแต่รู้หรือเปล่าเท่านั้นเอง พ่อให้แล้ว แต่เรารู้หรือไม่ว่าพ่อให้แล้ว หรือเราไม่รู้ ไม่รู้ ก็เหมือนกับไม่ได้ใช้สอยเลย แต่ถ้าเรารู้ เราก็เอามาใช้สอย ชีวิตเราก็จะบินอยู่บนฟ้ากับพระเจ้าของเรา

            –  เราลองมาดูสิว่าในโลกวิญญาณ ในสวรรค์เบื้องบน ในขณะนี้ เราเป็นใคร? เราได้มีอะไร? เราได้เป็นอะไรบ้าง? สรุปให้คร่าวๆ …

            –  เราได้บังเกิดใหม่ อาศัยอยู่ในพระคริสต์

            –  เราเป็นชีวิตนิรันดร์ ที่เป็นชีวิตของพระเยซูคริสต์ ที่เป็นเหมือนพระเจ้า

            –  เรามีพระเจ้าสถิตอยู่ด้วยกันกับเราตลอดเวลา บินอยู่ข้างๆ เรา ยามเราสุข ยามเราทุกข์ ซุกเราไว้ใต้ปีกของพระองค์ บินอยู่ข้างๆ เราตลอดเวลา ยามเรามีสุข บินโฉบดูนกดูไม้ ดูวิวทิวทัศน์สวยงาม คือมาเดินอยู่บนโลกใบนี้ ไม่มีอะไรสวยเลย โพลูชั่นก็เยอะ  ฝุ่น PM 2.5 ก็เยอะ คนฆ่ากัน แทงกัน ตีกัน วุ่นวายไปหมดเลย แต่พาเราบินอยู่ข้างบน มองมาทำไมมันสวยอย่างนี้ทั้งโลก ยามเราสุข แต่พอยามเราทุกข์ทำอะไร? มองอะไรก็ไม่เห็น มองในโลกวิญญาณไม่เห็นเลย เห็นแต่บนโลกใบนี้ ทุกข์เหลือเกิน พระเจ้าบอกปิดตาซะๆ ปิดไม่ได้ เอาเราซุกไว้ใต้ปีกของพระองค์ เราไม่เห็นอะไรแล้วตอนนี้ เห็นแต่อะไรไม่รู้อุ่นๆ เห็นไออุ่น ความรักของพระเจ้า แล้วเรามีอะไรอีก

            –  เรามีความสามารถพูดคุยกับพระองค์ได้ตลอด 24 ชั่วโมง ยิ่งกว่า 7-11 เพราะ 7-11 เปิดอยู่ แต่เราหลับอยู่ เราก็ไม่ได้ไป แต่นี่ ถึงแม้เราหลับ พระองค์ก็ยังทรงตื่นอยู่ เฝ้าเราอยู่ เรามีมรดกร่วมกับพระเยซูคริสต์ ที่จะครอบครองร่วมกับพระองค์  เราเป็นผู้ชอบธรรม เป็นธรรมิกชน บริสุทธิ์ ดีพร้อมปราศจากความบาป ไม่มีที่ติ เหมือนกับพระเยซูเลย เราเป็นลูกของพระเจ้า เป็นทายาทร่วมอยู่ในครอบครัวของพระเจ้า มีพระเจ้าผู้สร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก เป็นพ่อของเรา ซึ่งเป็นพระบิดาของพระเยซู เราได้เป็นที่รักและโปรดปรานของพระเจ้า ดังแก้วตาดวงใจของพระองค์ เหมือนพระเยซูเลย คือพระบิดารักพระเยซูเท่าไร? ก็รักเราเท่านั้น เราได้เป็นแสงสว่างเหมือนพระเยซูคริสต์ เรากำลังอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้าร่วมกับพระเยซูคริสต์ในสวรรคสถาน เรากำลังนั่งอยู่นะ ไม่ใช่จะ รอให้ตายก่อน ไม่ใช่ ไม่รู้จะเกิดขึ้นหรือเปล่า ไม่รู้ แต่เกิดขึ้นเลยเดี๋ยวนี้ พิสูจน์ได้เลย เรากำลังนั่งอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้าร่วมกับพระเยซูในสวรรคสถานแล้ว  เรากำลังรอรับร่างกายใหม่ ที่เป็นเหมือนพระเยซู หลังความตาย  หลังออกจากร่างนี้ เราก็รับร่างกายใหม่  เรากำลังรอโลกใหม่ ฟ้าใหม่ สรรพสิ่งที่ทรงสร้างใหม่ ที่เตรียมไว้ให้กับเราและเราจะร่วมครอบครองโลกใหม่ ฟ้าใหม่ สวรรค์ใหม่นี้กับพระเยซูคริสต์ชั่วนิรันดร์

            สิ่งเหล่านี้ทั้งหมด เราได้เป็นและเรามีเรียบร้อยแล้ว ในพระคริสต์ ในสวรรคสถานเบื้องบน มีแล้ว เป็นแล้ว  เป็นอยู่อย่างนั้นแหละ มันเป็นความจริง ดังนั้น จงมีความชื่นชมยินดี  พึงพอใจ มีความสุข มีความหวังในสิ่งที่มีอยู่ และเป็นอยู่นี้ ที่ได้รับแล้วนี้ตลอดเวลา ให้พระเจ้าพาเราไปจดจ่อตรงนี้ สอนเรา ฝึกเรา ให้เราเฝ้ามอง จดจ่อ จดจำจนขึ้นใจ เหมือนเป็นสิ่งที่สามารถจับต้องมองเห็นได้เลย จดจ่อมากๆ เหมือนกับวัตถุที่เราจับต้องมองเห็นได้  พูดง่ายๆ เหมือนเรามีที่ดิน ที่ดินเราอยู่ต่างจังหวัด  เราอยู่ในกรุงเทพ เราเอาโฉนดที่ดินแปะไว้ที่หน้ากระจกเลย เรามองทุกวัน ที่ดินนี้เป็นของเราๆ เหมือนกัน สิ่งที่พูดมาทั้งหมด ให้เราจดจ่อ หลับตาเมื่อไร เราก็จะเห็นสิ่งเหล่านี้ทั้งหมด เป็นจริงทั้งหมด

            นี่แหละ ที่เรียกว่าลูกพระเจ้า ลูกนกอินทรี ผู้ชอบธรรม ผู้ดำเนินชีวิตด้วยความเชื่อศรัทธา ไม่ใช่ตามองเห็น เขาจะบินสูงอยู่เบื้องบน เพราะรู้ว่าตนเป็นนกอินทรี ไม่ใช่ไก่งวง

            “ฉันจะบินสูงอยู่เบื้องบน เพราะรู้ตนว่าเป็นนกอินทรี ไม่ใช่ไก่งวง”

            พูดกับความคิดของตัวเอง ที่ชอบคิดแบบโลก คิดแบบถูกเขาหลอก แล้วก็ตามเขาไป

            “แย่จริงๆ เลย เจอปัญหาโควิด เจอปัญหาเศรษฐกิจ เจอปัญหาโน้นปัญหานี้  ฉันเป็นเหมือนไก่งวง แย่แล้ว”

            ไม่แย่ แย่ที่ไหน? เจอปัญหาสุขภาพ ติดโควิด ฉันก็บินอยู่บนฟ้า เจอปัญหาเรื่องการงาน ตกงาน ฉันก็บินอยู่บนฟ้าอยู่ เจอปัญหาการทำผิดทำบาป  ล้มลงไปบ้าง? โกรธเขา เกลียดเขา อะไรต่างๆ บ้าง?

            “แกเป็นคนบาปแล้ว แกทำดีสู้คนนั้นไม่ได้เลยเห็นไหม?”

            ไม่ฟัง “ฉันเป็นผู้ชอบธรรม เป็นลูกของพระเจ้า บินอยู่บนฟ้า เป็นนกอินทรี”

            พูดกับตัวเอง พูดกับคนอื่นไม่ได้  พอรู้อย่างนี้ทำอย่างไร?  แล้วก็บากบั่น อาจารย์เปาโลบอกบากบั่น วิ่งไป แต่วันนี้พิเศษ ผมจะเปลี่ยนให้เข้ากับบรรยากาศ นกอินทรีกับวันขอบคุณพระเจ้า ให้เราบากบั่น บิน เหินไป จดจ่อ จดจ้อง ไม่กระพริบตา นึกออกไหม? บินอยู่บนฟ้า จดจ่อ จอจ้อง ไม่กระพริบตาเลย เพื่อไปรับรางวัลเพิ่มเติม คือร่างกายใหม่ที่เต็มด้วยสง่าราศีเหมือนพระเยซู ได้พักผ่อน มีความสุขนิรันดร์กาลในสวรรคสถาน ชั้นสูงสุด ตอนนี้อยู่ในสวรรค์แล้ว บินอยู่แล้ว แต่เพ่งไปข้างหน้า บากบั่นบินขึ้นไป รับรางวัลสุดท้าย ซึ่งเมื่อรู้ความจริงอย่างนี้แล้ว ก็เต็มใจดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ที่มันทุกข์แค่ชั่วคราว มันลำบากแค่ชั่วคราว ถ้ามันจะเจ็บป่วย มันก็จะเจ็บป่วยแค่ชั่วคราว  ถ้ามันจะยากจนขัดสน มันก็ยากจน ขัดสนแค่ชั่วคราว  ถ้ามันจะมีปัญหา ดำเนินชีวิตบนโลกนี้ ซึ่งเป็นเรื่องธรรมดาของมนุษย์ทั้งหลายทั้งปวง ไม่ว่าจะเป็นนกอินทรีหรือไก่งวง มันก็มีปัญหาทั้งนั้นแหละ สำหรับเราที่เป็นนกอินทรีแล้ว ก็เป็นแค่ชั่วคราวเท่านั่นเอง ก็สามารถดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ได้ ด้วยความอดทน เต็มไปด้วยความหวัง และการประพฤติตัวและการบินให้สมกับที่ได้รับ ได้มี ได้เป็น สิ่งเหล่านี้แล้วทั้งหมด ก็คือเป็นนกอินทรีที่ได้ครอบครองมรดกต่างๆ เหล่านี้ทั้งหมดเรียบร้อยแล้ว ในนามพระเยซูนั่นเอง

            สรุป ก็คือเราก็สามารถที่จะชื่นชมยินดี มีความสุข พึงพอใจกับสิ่งที่มีอยู่ ที่เป็นอยู่ ที่ได้รับแล้ว ในโลกฝ่ายวิญญาณทั้งหมด ที่ตะกี้เราได้เรียนรู้ความจริงทั้งหมดแล้ว  เราก็มีความยินดี มีความสุข ด้วยการขอบคุณพระเจ้าตลอดเวลา  เพราะฉะนั้น คนที่เป็นคริสเตียนที่บังเกิดใหม่แล้ว เขาก็จะมีวันขอบคุณพระเจ้า ทุกๆ วันก็เป็นวันขอบคุณพระเจ้าทั้งหมดเลย ปีหนึ่ง มาเทศนาครั้งหนึ่งก็จริง แต่ในใจของเขา ทุกวันเป็นวันขอบคุณพระเจ้า  ทุกวันมองเห็นอะไร? ขอบคุณพระเจ้า  เห็นอะไรล่ะ? เห็นไก่งวง แล้วขอบคุณพระเจ้า จากไก่งวงเป็นนกอินทรีแล้ว  ทุกวันเป็นวันขอบคุณพระเจ้า  ทุกวันเห็นไก่งวง ฉันไม่ได้เป็นไก่งวงอีกต่อไปแล้ว ขอบคุณพระเจ้าเหลือเกิน ตอนนี้เป็นนกอินทรีแล้ว ขอบคุณพระเจ้า  เต็มไปด้วยความหวังตลอดเวลา

            เพราะฉะนั้น ทุกวันสามารถเป็นวันขอบคุณพระเจ้าได้ แล้วทำอะไรต่อ ก็ให้พระเจ้าฝึกฝนไปกับพระองค์ ฝึกฝนบินขึ้นไปเรื่อยๆ กับพระเยซูคริสต์ บินขึ้นไป ค่อยๆ ฉายแสงสว่าง ให้ความรักกับคนข้างๆ  ก็คือให้ความรักกับเพื่อนบ้าน เหมือนรักตนเอง  เห็นภาพไหม? บินไปกับพระองค์ กับพระเยซูคริสต์ เป็นผู้ให้อภัย แบ่งปัน ช่วยเหลือ แจกจ่ายด้วยความรัก บริสุทธิ์จากภายในใจออกมา สง่าราศีออกมาแล้ว เพราะมันเป็นอยู่แล้ว มันมีอยู่แล้ว เพียงแต่มันไม่รู้ความจริง ให้พระเยซูคริสต์ ให้พระเจ้าสอนความจริงเหล่านี้ พอรู้ความจริงมากขึ้นเหล่านี้ เราก็จะบินขึ้นไป สูงขึ้นไป อาการต่างๆ นั้น ก็จะออกมา จากภายในแล้ว จากธรรมชาติ แล้วเราก็จะมีชีวิตอยู่ ไม่ยึดติด จดจ่อ จดจ้องอยู่กับโลกียตัณหา หรือความทุกข์ยากลำบากต่างๆ บนโลกใบนี้ ซึ่งเป็นเรื่องธรรมดา บนโลกใบนี้ ซึ่งมันอยู่เพียงชั่วคราว ชั่วขณะหนึ่งเท่านั้น  และมันทำให้เกิดความกลัว ความวิตกกังวล ความกระวนกระวาย ความทุกข์มากขึ้น ถ้าเรายิ่งไปจดจ่อกับมันมาก มันก็จะทุกข์มากกว่าเดิม  แต่ถ้าเราไม่จดจ่อมันเลย เราก็ทุกข์น้อย แล้วเราเอาสายตาการจดจ่อนั้น มาจดจ่อที่เบื้องบน ที่พระคริสต์สถิตอยู่ ที่เราเป็นนกอินทรีที่บินอยู่กับพระองค์ ที่เราเป็นนกอินทรีที่พระเจ้าได้ทรงสอนเรา ฝึกเราอยู่  อยู่เคียงข้างเราตลอดเวลา จดจ่อ จดจ้องอยู่กับความคิด ความจริงตรงนี้ว่า …

            “ฉันได้บังเกิดใหม่แล้ว เป็นลูกของพระเจ้าแล้ว เป็นนกอินทรีแล้ว กำลังนั่งอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้า ร่วมกับพระเยซูคริสต์ในสวรรคสถานเบื้องบน เป็นนกอินทรี บินอยู่กับพระองค์บนฟ้า เหนือปัญหาใดๆ เอเมนไหม? ให้เรารู้ว่าเราเป็นนกอินทรีบินอยู่กับพระเจ้า อยู่เหนือปัญหาบนโลกใบนี้ ปัญหาอยู่ที่ไหน? ปัญหาอยู่บนโลก ในสวรรค์ไม่มีปัญหา บนฟ้าไม่มีปัญหา ลงมาเดินบนดินเมื่อไร? มีปัญหา เราจะเดินบนดินไหม? เราไม่เดิน เพราะเราได้บังเกิดใหม่ ขึ้นไปอยู่บนฟ้าแล้ว แม้ว่าร่างกายเดิมเราจะเดินอยู่บนดิน แต่จิตใจภายใน ตัวตนของเราจริงๆ นั้น เป็นนกอินทรีบินอยู่บนฟ้า  เพราะฉะนั้น เราอยู่เหนือปัญหาทุกๆ อย่างบนโลกใบนี้  ไม่ว่าจะเป็นปัญหาเรื่องอะไรก็ตาม ทุกอย่าง ทุกปัญหา เราอยู่เหนือในพระคริสต์ เราบินอยู่เหนือปัญหาต่างๆ เหล่านั้น

            เพราะฉะนั้น อาจารย์เปาโลจึงบอกว่าเราสามารถเผชิญทุกสิ่งได้ โดยพระองค์ผู้ทรงเสริมกำลังให้กับเรา นึกภาพนะ ที่เราเคยร้องเพลงกันมา …

                        “ข้าผจญทุกสิ่ง โดยพระองค์ผู้ทรงเสริมกำลัง

                        ข้าเผชิญทุกๆ อย่างได้ ด้วยความหวังในทางพระองค์”

            จำได้ใช่ไหม? แล้วร้องได้ไหม? ได้ พี่น้องทางบ้านร้องได้ กำลังร้องกันอยู่

                        “ข้าผจญทุกสิ่ง โดยพระองค์ผู้ทรงเสริมกำลัง

                        ข้าเผชิญทุกๆ อย่างได้ ด้วยความหวังในทางพระองค์

                        ข้าผจญทุกสิ่ง จะดีจะร้ายเท่าใด

                        ข้ายินดีและสุขใจ ในทางพระองค์เสมอ

                        ข้ายินดีและสุขใจ จะบินไปกับพระองค์”

            เอเมนไหม? ขอบคุณพระเจ้า นี่แหละที่พระเยซูบอก ชีวิตถ้ายังเป็นไก่งวงอยู่ มันเหนื่อย มันลำบาก แล้วมันไปสู่การตายลูกเดียว ไม่มีความหวัง ผู้ใดที่แบกภาระหนักและเหน็ดเหนื่อย ยังเป็นไก่งวงอยู่นั้น จงมาหาเรา เราจะให้ผู้นั้นบังเกิดใหม่ เป็นนกอินทรี หายเหนื่อยและเป็นสุข สุขสันต์วันขอบคุณพระเจ้าครับ  พระเจ้าอวยพรครับ

***********************

จากใจคณะศิษยาภิบาล

            ความหวังของคริสเตียน ที่ได้บังเกิดใหม่แล้ว

            1 เปโตร 1:13 “เพราะฉะนั้น (เมื่อได้รู้ตัวตนที่แท้จริงในวิญญาณของท่าน  ที่ได้บังเกิดใหม่โดยพระคุณ  ด้วยฐานะอันสูงส่ง  คือเป็นลูกของพระเจ้าแล้ว  ซึ่งไม่มีวันเปลี่ยนแปลงเป็นอื่น)  ก็จงเตรียมความคิดจิตใจให้พร้อม  จงรู้จักบังคับตนเอง (เตรียมโดยการเปลี่ยนแปลงความคิดจิตใจเดิมแบบเนื้อหนังของตนเอง ให้เหมือนความคิดจิตใจแบบพระเยซูอยู่เสมอๆ  เตรียมพร้อมโดยแสดงความประพฤติ  ที่จะมีต่อทุกสถานการณ์ที่เผชิญบนโลกวัตถุ  ที่จับต้องมองเห็นได้  ที่ชั่วร้ายนี้  ด้วยความดี  ด้วยความอ่อนโยน  อ่อนสุภาพ  เต็มไปด้วยความรัก สันติสุขและการให้อภัย)  จงตั้งความหวังแน่วแน่ในพระคุณความรอดที่ครบถ้วนบริบูรณ์  ซึ่งจะประทานแก่ท่าน  เมื่อพระเยซูคริสต์เสด็จมาปรากฏ”

            คริสเตียนที่บังเกิดใหม่แล้ว  พระเจ้า 3 พระภาคเข้ามาสถิตอยู่ภายในร่างกายแล้ว  จะดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้  ด้วยท่าที  ด้วยความหวังในความรอดที่ครบถ้วนบริบูรณ์อย่างนี้

            คือหวังในการสวมร่างกายใหม่  ร่างกายที่เป็นขึ้นจากความตายเหมือนพระเยซูคริสต์  ร่างกายที่เรียกว่าร่างกายสวรรค์  ที่เต็มไปด้วยสง่าราศี  และพระสิริของพระเจ้า  ซึ่งพระเจ้าได้เตรียมพร้อมไว้ให้แล้ว  และเราจะได้รับหลังจากที่ร่างกายเดิมนี้สิ้นสุดลงคือตาย  หรือในวันที่พระเยซูคริสต์เสด็จกลับมาพิพากษาโลก) และเราจะได้อาศัยอยู่กับพระเจ้า ในสวรรค์สถานนิรันดร์ ในโลกที่พระเจ้าได้ทรงสร้างขึ้นใหม่  ไม่มีความทุกข์  ไม่มีโรคภัยไข้เจ็บ  ไม่มีความบาปความชั่วร้าย  ไม่มีความเสียใจ  ไม่มีความสูญเสีย  ไม่มีน้ำตา  ไม่มีความเกลียดชังอีกต่อไป  มีแต่ความรัก  และความสุขกับพระเจ้านิรันดร์

            พระเจ้าอวยพรครับ

วารสาร Holy  News   ฉบับที่ 1390 

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  20  พฤศจิกายน  2022

เรื่อง “หนังสือเอเฟซัส” ตอน 18

โดย วราพร  คงล้วน

            ขอบคุณพระเจ้าสำหรับความจริงของพระองค์ เราเป็นมนุษย์ที่ถูกคำสาปแช่งเรียบร้อยไปแล้ว  ตั้งแต่บรรพบุรุษของเรา  ที่ล้มลงในความบาป  แม้ว่าเราเชื่อพระเจ้าแล้ว วิญญาณเราได้รับการบังเกิดใหม่แล้ว ได้ไปอยู่กับพระเจ้าในสวรรคสถานเรียบร้อยไปแล้ว แต่ว่าในขณะที่ร่างกายเรายังอยู่บนโลกใบนี้ เรายังต้องเผชิญกับความทุกข์ยากลำบาก เรื่องของร่างกาย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการกินการอยู่ การใช้ชีวิต การเจอโรคภัยไข้เจ็บ เวลาเราเป็นคริสเตียน  ไม่ได้หมายความว่าเราจะแข็งแรงตลอดชีวิต โดยที่เราไม่เจ็บ ไม่ป่วย ไม่จริงนะ อย่าให้ใครหลอกเรา เพราะว่าอันนี้คือกฎที่พระเจ้าตั้งไว้ เมื่อมนุษย์ล้มลงในความบาป วิญญาณเราตายจากพระเจ้า ร่างกายเราก็ตายด้วย  ร่างกายของมนุษย์ทุกคนเกิดมาปุ๊บ ก็เดินทางไปสู่ความตาย แต่สิ่งที่เราไม่เหมือนคนอื่น เมื่อเรามาเชื่อวางใจในพระเจ้า ก็คือวิญญาณเราได้รับความรอดแล้ว ได้รับการคืนดีกับพระเจ้าเรียบร้อยไปแล้ว  เราไม่ต้องกังวลว่าหลังความตายวิญญาณเราจะต้องไปชดใช้หนี้เวรกรรมอีกต่อไป ไม่ต้อง ก็คือวิญญาณเราได้อิสรภาพ เป็นวิญญาณนิรันดร์เหมือนพระเจ้าเลย หลังจากวิญญาณเราออกจากร่างปุ๊บ เราก็ไปอยู่ที่เดิม ก็คือที่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้าร่วมกับพระเยซูคริสต์

            นี่คือหลักประกันที่พระเจ้าให้กับพวกเราผู้เชื่อ จากนั้นพระเจ้าก็บอกว่าพระองค์จะทรงดูแลชีวิตของเราในขณะที่อยู่บนโลกใบนี้ ที่เราดำเนินในแต่ละวัน เราอาจจะเจอความทุกข์ยากลำบาก ในเรื่องของสภาพร่างกาย ในเรื่องของสิ่งแวดล้อมหรืออะไรก็ตาม แต่สิ่งที่พระเจ้าให้และสัญญากับเรา คือพระองค์ทรงสถิตอยู่ในเรา และพระองค์จูงมือเราเดิน พาเราผ่านไปได้ ไม่ว่าเราจะเผชิญกับอะไรก็ตาม  พระเจ้าไม่เคยทิ้งเรา นี่คือพระสัญญา แต่ว่าพระเจ้ายังไม่เคยสัญญาว่าพอมาเชื่อพระเจ้าปุ๊บ คริสเตียนทุกคนจะอยู่ดีมีสุข หรือจะแข็งแรงตลอดชีวิต อันนี้ไม่ได้อยู่ในพันธสัญญาของพระเจ้า เราต้องรับรู้ความจริงตรงนี้ เพื่อเราจะได้ไม่ถูกหลอกจากคำพูดอะไรก็ตาม ที่ทำให้ เรารู้สึกสงสัยในพระเจ้า …

            “เราเป็นคริสเตียนทำไมถึงป่วยได้ล่ะ ศบ.ยังป่วยเลย” ประมาณนั้น

            นี่คือความจริงที่เราต้องรับรู้ ในพระคัมภีร์อาจารย์เปาโลบอกว่าแม้ร่างกายภายนอก เราจะอ่อนแอลง แต่ว่าจิตใจภายในเราเข้มแข็งมากขึ้นทุกวัน ได้รับการเสริมใหม่ทุกวัน จากพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่อยู่ภายในเรา

            วันนี้มาต่อในหนังสือเอเฟซัส 3:7 บอกว่า …

        เอเฟซัส 3:7 “ข้าพเจ้าได้เป็นผู้รับใช้แห่งข่าวประเสริฐนี้ โดยพระคุณ ซึ่งพระเจ้าประทานแก่ข้าพเจ้า ผ่านทางการทำงานของฤทธิ์อำนาจของพระองค์”

            อาจารย์เปาโลบอกว่าเป็นผู้รับใช้แห่งข่าวประเสริฐของพระเจ้า โดยพระคุณ ซึ่งพระเจ้าเป็นผู้ประทานให้ พระองค์ทรงเรียกอาจารย์เปาโลมา เพื่อจะประกาศกับคนต่างชาติ ซึ่งก็คือพวกเรานี่แหละ ที่ไม่ได้เป็นคนยิว

            ในยุคที่พระเยซูคริสต์มาเกิดเป็นมนุษย์  พระเยซูได้ประกาศกับคนยิวเท่านั้น คนต่างชาติไม่เกี่ยวเลยนะ ในอดีตพระเจ้าได้ทรงเลือกชนชาติยิว เพื่อเป็นแบบอย่างในเรื่องของความรอด ที่พระเจ้าจะประทานให้ แต่แผนการจริงๆ ที่พระเจ้าเตรียมไว้ตั้งแต่มนุษย์ล้มลงในความบาป คือพระเจ้าวางแผนไว้ให้มนุษยชาติทั้งหมดบนโลกใบนี้ ไม่ว่ายิวหรือคนต่างชาติ ให้มีโอกาสได้รับความรอด ผ่านทางสิ่งที่พระเยซูคริสต์ได้กระทำเพื่อเขาบนไม้กางเขน

            และในหนังสือเอเฟซัสนี้ ก็คือสิ่งที่พระเยซูคริสต์ได้กระทำสำเร็จ เรียบร้อยไปแล้ว แล้วแผนการล้ำเลิศนี้ พระเจ้าก็ทรงเปิดเผยสำแดงให้คริสตจักรได้รับรู้ ผ่านทางอาจารย์เปาโล ทำไมอาจารย์เปาโลมาเชื่อพระเจ้า แล้วประกาศข่าวประเสริฐ ถึงต้องถูกไล่ล่าฆ่า ที่คนยิวเคืองมาก เคืองอาจารย์เปาโลไปประกาศเรื่องของพระเยซูคริสต์ คือพระเยซูคริสต์เขาไม่เชื่ออยู่แล้วว่าเป็นพระบุตรของพระเจ้า แล้วเขาก็ไม่เชื่อว่าพระเยซูคริสต์ คือพระมาซีฮาห์ ที่พระเจ้าทรงประทานมาให้ แล้วเปาโลเป็นพวกฟาริสี พวกธรรมาจารย์ พวกผู้รู้เรื่องราวกฎบัญญัติของพระเจ้า ตั้งแต่อดีต รู้มากเลย แล้วอยู่ดีๆ ก็เหมือนแปรพักตร์ไป แทนที่จะมาทำตามกฎบัญญัติของโมเสสที่ได้สั่งไว้ อยู่ดีๆ ไปประกาศพระนามของพระเยซูคริสต์เฉยเลย เขาก็เลยไล่ล่าที่จะฆ่าอาจารย์เปาโล แต่อาจารย์เปาโลไม่เคยสนใจ เพราะว่าเมื่ออาจารย์เปาโลได้รับพระคุณจากพระเจ้า ได้เจอพระเยซูคริสต์กลางทาง ระหว่างที่เดินทางไปดามัสกัส ที่จะไปไล่ล่าพวกคริสเตียน หรือพวกที่ติดตามเชื่อวางใจในพระเยซูคริสต์ แล้วพระเยซูคริสต์ก็เปิดให้อาจารย์เปาโลได้เห็นความจริง ได้เห็นพระคุณ แล้วอาจารย์เปาโลก็กลับใจใหม่ ได้บังเกิดใหม่เข้ามาในอาณาจักรของพระเจ้า แล้วพระเจ้าก็เรียกใช้อาจารย์เปาโล ให้ไปประกาศกับคนต่างชาติ ซึ่งข่าวประเสริฐนี้ พระเจ้าวางแผนการไว้เรียบร้อยไปแล้วว่าจะให้ทั้งคนยิวและคนต่างชาติ ได้รับความรอดผ่านทางฤทธิ์เดชอำนาจแห่งถ้อยคำของพระเจ้า

            การทำงานของพระเจ้า พระวิญญาณบริสุทธิ์เป็นฤทธิ์เดชอำนาจ ดังนั้น การเชื่อวางใจในพระเจ้าเป็นฤทธิ์เดชอำนาจ ไม่เกี่ยวอะไรกับการกระทำของมนุษย์คนหนึ่งคนใด หรือว่าไม่เกี่ยวอะไรกับความดีงาม การพยายามที่จะพึ่งพาการกระทำของตัวเอง หรือพยายามรักษากฎบัญญัติ ที่พระเจ้าให้ไว้ เพื่อทำให้ตัวเองได้รับความรอด ซึ่งในพระคัมภีร์ พระเจ้า พระเยซูคริสต์ก็บอกชัดเจนแล้วว่าไม่มีมนุษย์คนไหนสามารถที่จะได้รับความรอด ผ่านทางการประพฤติของตัวเอง

            ดังนั้น มาตรฐานของพระเจ้า ที่พระเยซูคริสต์ได้บอกไว้เป็นมาตรฐานที่สูงมาก สมัยก่อน เวลาเราอ่านหนังสือพระกิตติคุณ อ่านหนังสือมัทธิว มาระโก ลูกา ยอห์น เราก็เข้าใจว่าพระเยซูมาสอนให้เราทำ ยิ่งคำเทศนาบนภูเขาที่อาจารย์นครเพิ่งเทศนาไป ก็คือสมัยที่ดิฉันเชื่อพระเจ้าใหม่ๆ ดิฉันก็เข้าใจว่าสิ่งที่ในหนังสือมัทธิวสอน คำเทศนาบนภูเขา ก็คือสอนให้ผู้เชื่อทำตามนั้น ซึ่งมันเป็นการเข้าใจผิด พอเข้าใจผิด เราก็สอนคนอื่นด้วย สอนสมาชิกมาตลอด สอนผู้เชื่อมาตลอด 30 กว่าปีที่เราเข้าใจผิดมาเยอะมาก ก็ไม่รู้จะทำอย่างไร? เมื่อเราถูกสอนมา เราก็สอนต่อไป ซึ่งข้างในวิญญาณเราก็รู้อยู่แล้วว่าสิ่งที่ในหนังสือมัทธิวบอกเรา เราทำไม่ได้ แล้วเราก็ฝืน พยายามที่จะดำน้ำไปว่า …

            “อ้าว! ก็พระเยซูบอกแล้วไง เราต้องพยายามทำมันให้ได้ ก็ได้มากที่สุดเท่าที่ทำได้นั่นแหละ ตามนั้น” อะไรอย่างนี้

            แต่ว่าพอเรามารับรู้ความจริงในเรื่องราวข่าวประเสริฐ ก็คือพระเยซูบอกว่าไม่มีมนุษย์คนไหนทำได้เลย แล้วพระเยซูไม่ได้มาสอนให้ทำ มาแค่บอกว่าพวกเธอทำไม่ได้ แล้วเมื่อทำไม่ได้ ก็ต้องมาพึ่งฉันไง พึ่งการกระทำของพระเยซูคริสต์เท่านั้น ถึงจะสามารถได้รับความรอดได้

            แล้วในหนังสือพระกิตติคุณ พระเยซูก็ไม่ได้สอนผู้เชื่อด้วย อันนี้สำคัญมาก คือสอนผู้ที่ยังไม่เชื่อ  คนที่ยังไม่ได้บังเกิดใหม่ ซึ่งเป็นชนชาติยิวที่รักษากฎบัญญัติที่พระเจ้าให้ไว้อย่างเคร่งครัด ซึ่งคนยิวในยุคนั้น รู้อยู่แล้วว่าตัวเองไม่มีความสามารถที่จะทำได้ครบถ้วนสมบูรณ์ แต่ความรู้สึกข้างในเหมือนมนุษย์ทั่วไปแหละ ที่เราคิดว่าทำให้ดีที่สุด ก็แล้วกัน ทำให้ตัวเองรู้สึกสบายใจ ทำเต็มที่แล้ว อะไรประมาณนั้น แต่เราขอบคุณพระเจ้าที่พระองค์เปิดให้เราเห็น ก็คือความเป็นจริงในโลกวิญญาณที่พระเยซูกำลังบอกเราว่า …

            “พวกเธอทำไม่ได้หรอก ทำให้ตาย ก็ทำไม่ได้ครบถ้วนสมบูรณ์ อย่างที่มาตรฐานของพระเจ้าได้ตั้งไว้”

            มาตรฐานของพระเจ้า ท่านต้องเป็นคนดีรอบคอบ เหมือนกับพระบิดาของเรา ซึ่งเป็นผู้ดีรอบคอบ ในสวรรคสถาน ซึ่งมีมนุษย์คนไหนบนโลกใบนี้ สามารถเป็นผู้ดีรอบคอบ เหมือนกับพระเจ้าพระบิดา บนสวรรค์ ไม่มีทาง แต่พอคนไหนก็ตามที่เปิดใจต้อนรับ คือได้ยินได้ฟังเรื่องราวของพระเจ้า แล้วก็วางใจ พอวางใจ เปิดใจต้อนรับปุ๊บ ขบวนการ การบังเกิดใหม่ มันเกิดขึ้นในโลกวิญญาณ ซึ่งเราไม่รู้หรอก เราไม่เข้าใจ เราไม่สามารถสัมผัสจับต้องได้ แต่เรารับเอาด้วยความเชื่อ เมื่อขบวนการนี้เกิดขึ้นปุ๊บ ความเป็นจริง คือมนุษย์ทุกคนที่เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ วิญญาณเรา ได้เป็นวิญญาณใหม่เหมือนกับพระเจ้า เป็นวิญญาณที่สะอาดบริสุทธิ์ ดีพร้อมเหมือนพระเจ้าเลย โดยที่เราไม่ต้องทำอะไร? เหมือนที่เราคุยกัน เด็กคนนั้นคลอดออกมาปุ๊บ เป็นลูกของบ้านนี้เลย โดยที่ไม่ต้องทำอะไร? ไม่ต้องทำดีหรือทำชั่ว เขาก็เป็นลูกของบ้านนี้

            ดังนั้น เมื่อเราได้บังเกิดใหม่  เข้ามาในอาณาจักรของพระเจ้า โดยไม่ได้เกี่ยวอะไรกับการทำดีหรือทำชั่วของเราเลย แต่เกี่ยวกับที่เรายอมรับความจริงว่าเราเป็นคนบาป เราช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ เราต้องการความช่วยเหลือจากพระเจ้า แล้วเราก็เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เข้ามาเป็นพระผู้ช่วยให้รอดของเรา

            นี่คือความจริงทั้งหมด แล้วพวกเราผู้เชื่อวางใจในพระเจ้าปุ๊บ เราก็รับความจริงตรงนี้เข้ามา แล้วพระเจ้าก็บอกว่าเราเป็นคนสะอาด ดีพร้อม ในสายพระเนตรของพระเจ้า ณ เวลานี้ ผู้เชื่อทุกคนเป็นผู้ชอบธรรมของพระเจ้า เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์ เป็นทายาทร่วมกับพระเยซูคริสต์ ได้รับการบังเกิดใหม่ ก็คือได้รับชีวิตนิรันดร์ ที่ครบถ้วนบริบูรณ์ ที่พระเจ้าได้ทำให้กับเราเรียบร้อยไปแล้ว เพียงแต่ว่า ณ เวลานี้ เราผู้เชื่อที่ยังดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ เราได้รับไปส่วนหนึ่ง แล้วเราทุกคนก็รอคอยส่วนที่ 2 ที่เราจะไปรับหลังความตาย

            ส่วนที่ 2 ที่เราจะไปรับหลังความตาย ก็คือเรายังต้องดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้อยู่ใช่ไหม? แต่ละคนก็มีอายุขัยของแต่ละคน ที่พระเจ้ากำหนดไว้ แล้วการดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ เราต้องเจอกับความทุกข์ยากแน่นอน ไม่ว่าจะเป็นความทุกข์ยากในเรื่องที่เมื่อเราเชื่อวางใจในพระเจ้าปุ๊บ เราก็เป็นศัตรูกับโลกนี้เลย ทันทีที่วิญญาณเราเชื่อพระเจ้าปุ๊บ ความจริงในโลกวิญญาณ คือเรากับโลกนี้เป็นศัตรูกัน ทันทีเลยนะ เราไม่ต้องทำอะไรเลย อยู่เฉยๆ เรากับโลกนี้เป็นศัตรูกัน ก็คือโลกนี้อยู่ในความมืด เราเข้ามาอยู่ในความสว่างแล้ว ความสว่างกับความมืด เข้ากันไม่ได้ ในโลกวิญญาณมันเป็นอย่างนั้น เราก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน

            สมัยก่อน ก่อนที่เรามาเชื่อพระเจ้า พอเราได้ยินคำว่าคริสเตียน หรือได้ยินคำว่าพระเยซู เราไม่ชอบเลย เราก็ไม่เข้าใจว่าทำไมเราถึงไม่ชอบ แต่ในโลกวิญญาณ พระเยซูบอกเราแล้ว เราเป็นศัตรูกัน ยังไงเราก็ไม่ชอบ แต่พอเรามาเชื่อพระเจ้าปุ๊บ ได้ยินว่าใครเป็นคริสเตียน เราชอบเลย เรารักเลย ไม่เข้าใจเหมือนกัน  แต่ความจริงในโลกวิญญาณ คือเมื่อเราเชื่อวางใจในพระเจ้า เรากับพี่น้องคนอื่นรักกันเลย เป็นหนึ่งเดียวกันเลย เป็นครอบครัวเดียวกันเลย นี่คือความจริงในโลกวิญญาณ ซึ่งเมื่อก่อนเราไม่เข้าใจ แต่ว่าพอพระเจ้าเปิดให้เราเห็น มันเป็นอย่างนี้นี่เอง ในโลกวิญญาณ เรากับโลกนี้เป็นศัตรูกัน เมื่อเราเข้ามาอยู่ในความสว่างของพระเจ้าปุ๊บ โลกนี้เป็นความมืด เราเข้ากันไม่ได้แล้ว อยู่กันคนละพวกเลย โดยปริยาย

            หรือพอเรามาเชื่อพระเจ้า เรากับพี่น้องคริสเตียน ไม่ว่าคนนั้นจะอยู่โบสถ์เรา อยู่โบสถ์ไหน? อยู่ประเทศไหนก็ไม่รู้ เรารักกันเลย ข้างในวิญญาณเรารักเขา นี่คือความเป็นจริงในโลกวิญญาณ ที่พระเจ้า พระเยซูคริสต์กำลังบอกเรา ฉะนั้น อาจารย์เปาโลพยายามบอกความจริงในโลกวิญญาณ ให้กับมนุษยชาติได้รับรู้ เหมือนกับคนสมัยโบราณตอนที่เขาถูกข่มเหงเยอะๆ มีคนยิวที่กลับใจมาเชื่อพระเยซูคริสต์จะถูกข่มเหงหนักมาก  เพราะว่าคนยิวที่เชื่อในบทบัญญัติเดิม เขาถือว่าคนที่มาเชื่อพระเยซูคริสต์กบฏกับพระเจ้า เขาไม่ได้เชื่อเลยว่าพระเยซูคริสต์คือผู้ที่พระเจ้าส่งมา เป็นพระมาซีฮาห์ที่พระเจ้าได้ทรงสัญญาไว้ว่าจะประทานให้กับพวกเขา

            พอเขาไม่เชื่อ เขาก็เลยจับพระเยซูไปตรึง เขาคิดว่าพระเยซูมาทำตัวเสมอพระเจ้า อย่างนี้บังอาจ อภัยให้ไม่ได้เลย เพราะว่าพระเจ้าของเขายิ่งใหญ่สูงสุด เขายกสูงมากเลย แต่คนนี้ใครก็ไม่รู้ อยู่ดีๆ มาอ้างตัวว่าเป็นพระเจ้า มาอ้างตัวว่าตัวเองเทียบเท่าพระเจ้า คนยิวก็เลยจับพระเยซูไปตรึงบนไม้กางเขน

            ฉะนั้น แผนการนี้ พระเจ้าได้วางไว้ตั้งแต่เริ่มต้นแล้ว อย่างที่เราบอกไง แผนการพระเจ้ามันลี้ลับจนไม่มีใครสามารถเข้าใจหรอกว่าทำไมมันถึงออกมา เป็นแบบนี้ ขออ่านพระคัมภีร์นิดหนึ่ง ในหนังสือ 1 โครินธ์ 2:6-9 บอกว่า …

        1 โครินธ์ 2:6-9 “6 เรากล่าวถึงเรื่องปัญญาในหมู่คนที่เป็นผู้ใหญ่แล้วก็จริง แต่มิใช่เรื่องปัญญาของยุคนี้ หรือเรื่องปัญญาของอำนาจครอบครองในยุคนี้ ซึ่งจะเสื่อมสูญไป 7 แต่เรากล่าวถึงเรื่องพระปัญญาของพระเจ้าซึ่งเป็นข้อลับลึก คือพระปัญญาซึ่งทรงซ่อนไว้นั้น และซึ่งพระเจ้าได้ทรงกำหนดไว้ก่อนปฐมกาล เพื่อให้เราถือศักดิ์ศรีของเรา 8 ไม่มีอำนาจครอบครองใดๆ ในยุคนี้ได้รู้จักพระปัญญานั้น เพราะว่าถ้ารู้แล้ว จะมิได้เอาองค์พระผู้เป็นเจ้าแห่งพระสิริ ตรึงไว้ที่กางเขน 9 ดังที่มีเขียนไว้ในพระคัมภีร์ว่า “สิ่งที่ตาไม่เห็น หูไม่ได้ยิน และสิ่งที่มนุษย์คิดไม่ถึง คือสิ่งที่พระเจ้าได้ทรงจัดเตรียมไว้ สำหรับคนที่รักพระองค์”

            ในหนังสือ 1 โครินธ์อาจารย์เปาโลได้พูดถึงพระปัญญาที่พระเจ้าได้จัดเตรียมไว้ ปัญญานี้ คือความลึกลับที่พระเจ้าปิดซ่อนไว้ ตั้งแต่เริ่มต้นปฐมกาลว่าพระองค์ได้เตรียมผู้คนของพระองค์ เริ่มต้นจากยิว แล้วจากนั้นจะเป็นคนต่างชาติ ฉะนั้น พระเจ้าเตรียมไว้ตั้งแต่เริ่มต้น แล้วพระองค์ก็ปิดบังไว้ ไม่เปิดเผยสำแดง จนถึงวันที่พระเยซูคริสต์ได้มาเกิดเป็นมนุษย์ แล้ววันที่พระเยซูมาเกิดเป็นมนุษย์ พระองค์ก็ยังเปิดเผยสำแดง ได้เผยพระวจนะ ได้ประกาศว่าแผ่นดินสวรรค์มาถึงแล้ว แล้วตัวพระองค์เอง คือแผ่นดินสวรรค์ ซึ่งคนยิวรอคอยให้แผ่นดินของพระเจ้ามาตั้งอยู่ ซึ่งพระเยซูบอกว่า …

            “ฉันไงๆ ฉันคือแผ่นดินสวรรค์ แล้วฉันมาตั้งอยู่แล้ว”

            แต่คนยิวก็ไม่เชื่อ พอไม่เชื่อ แผนการนี้ พระเจ้าปิดซ่อนไว้ ไม่ให้คนยิวได้เห็น เขาก็เลยเอาพระเยซูคริสต์ไปตรึงบนกางเขน ทำให้แผนการที่พระเจ้าวางไว้ สำเร็จด้วย ถ้าพระเยซูคริสต์ไม่ถูกตรึง แผนการนี้ ก็ไม่สำเร็จ  ก็คือไม่ได้สิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน เพื่อมนุษยชาติ  เพราะฉะนั้น แผนการทั้งหมด พอพระเจ้าปิดซ่อนไว้ เลยทำให้มนุษย์ไม่สามารถเข้าใจ แล้วเขาก็ได้ตรึงพระเยซูคริสต์

            ในข้อที่ 9 ที่บอกว่า “ที่มีเขียนไว้ว่า “สิ่งที่ตามองไม่เห็น หูไม่ได้ยิน คือสิ่งที่พระเจ้าจัดเตรียมไว้ สำหรับผู้ที่รักพระองค์”

            ใครล่ะ รักพระองค์ คือคนที่ยอมรับว่าพระเยซูคริสต์เป็นพระบุตรของพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์ มาตายแทนเราบนไม้กางเขน และได้เป็นขึ้นมาจากความตาย ผู้นั้นแหละ คือผู้ที่รักพระองค์ พอคนที่รักพระองค์ เปิดใจต้อนรับพระองค์ปุ๊บ พระเจ้าก็รู้จักเขา สมัยก่อน เราก็ไม่เข้าใจคำว่า “รู้จัก” คืออะไร? พอคนที่เปิดใจต้อนรับพระองค์ บัพติศมาเข้ามาเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเยซูคริสต์ปุ๊บ คนนั้นได้รู้จักพระองค์เลย รู้จักพระองค์ตั้งแต่อยู่บนโลกใบนี้ ไม่ใช่รอจนตาย แล้วค่อยไปรู้จัก

            เราเริ่มรู้จักกับพระเยซูคริสต์ ตั้งแต่วันแรกที่เราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เข้ามา เป็นพระผู้ช่วยให้รอดของเรา จากวันนั้น พระเจ้า พระบิดา ก็รู้จักเราด้วย พระเจ้า พระเยซูคริสต์ก็รู้จักเราด้วย  รู้จักมักคุ้น เป็นครอบครัวเดียวกัน  เข้ามาเป็นหนึ่งเดียวกัน สามัคคีธรรมร่วมกัน รู้จักว่าเราเป็นความรัก คนที่พระเยซูบอกว่าผู้นั้น ก็จะรักเรา แล้วก็รู้จักเรา ฉะนั้น ความรักตรงนี้ ไม่มีมนุษย์คนไหนที่สามารถรักพระเจ้าได้เลย ไม่มีทาง นอกจากความรักที่พระเจ้าใส่เข้ามาในวิญญาณของคนนั้น ที่เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ปุ๊บ ความรักตรงนี้แหละ ทำให้เราสามารถรักพระเจ้าด้วยสุดจิต สุดใจ สุดกำลัง สุดความคิด และทำให้เราสามารถรักเพื่อนบ้านเหมือนรักตัวเอง โดยไม่ต้องฝืน ไม่ต้องเป็นภาระ เพราะว่ามันเป็นธรรมชาติใหม่ของผู้เชื่อ ที่เป็นความรัก รักพระเจ้าเลย ก็คือพอเราบังเกิดใหม่ปุ๊บ เรารักพระเจ้าเลย ไม่ต้องใช้แรงหรือพลังอะไรทั้งสิ้น นี่คือฤทธิ์อำนาจที่พระจ้าได้ทรงกระทำการงานในชีวิตของพวกเรา

            เรื่องของความรอดในพระเยซูคริสต์ เป็นเรื่องของฤทธิ์เดชอำนาจ ไม่ใช่เป็นเรื่องของการประพฤติใดๆ ดังนั้น ฤทธิ์เดชอันนี้ ทำให้เกิดความอัศจรรย์มากมาย ที่พระเจ้าได้กระทำการงานในชีวิตของพวกเรา มนุษย์แสวงหาอัศจรรย์ใช่ไหม? พอเรามาเชื่อพระเจ้า เราอยากได้อัศจรรย์ อัศจรรย์มันหน้าตาเป็นอย่างไร?  เราอยากจะเห็นอะไรที่มันหวือหวา พออธิษฐานอย่างนี้ พระเจ้าให้อย่างอัศจรรย์เลย มันเป็นของแถมมากๆ เลย แต่อัศจรรย์ที่ยิ่งใหญ่ ที่พระเยซูคริสต์พูดถึงในสมัยยุคของพระคัมภีร์ ตอนที่พระเยซูคริสต์อยู่ พระเยซูบอกว่าถ้าท่านมีความเชื่อเท่าเมล็ดมัสตาร์ดเมล็ดหนึ่ง ท่านสามารถสั่งภูเขาให้เลื่อนลงทะเลได้ แล้วภูเขานั้น ก็จะเลื่อนลงทะเล ยุคของพระเยซูคริสต์ ถ้าสั่งภูเขาเลื่อนลงทะเล นี่อัศจรรย์ยิ่งใหญ่มาก เพราะสมัยนั้น ยังไม่มีระเบิดปรมาณู ใช่ไหม? แค่ภูเขาเลื่อนลงทะเลยิ่งใหญ่มากเลย พระเยซูก็พยายามที่จะยกตัวอย่าง ที่มันใหญ่โตมโหฬารที่คนยุคนั้น สามารถเข้าใจได้ แต่ว่าอัศจรรย์ที่พระเยซูพูดถึง ที่ยิ่งใหญ่กว่านั้น ก็คือยิ่งกว่าระเบิดปรมาณู อัศจรรย์ที่พระเจ้าทำให้คนๆ หนึ่งได้บังเกิดใหม่  เข้ามาอยู่ในอาณาจักรของพระเจ้าได้ นั่นคืออัศจรรย์ที่ยิ่งใหญ่ ที่ไม่มีมนุษย์คนไหนสามารถกระทำได้ ยกเว้นพระเจ้าผู้เดียวเท่านั้น

            การที่ได้เข้ามาอยู่ในอาณาจักรสวรรค์ การที่เราได้รับชีวิตนิรันดร์แบบพระเจ้า การที่เราได้เข้ามาเป็นลูกของพระเจ้าร่วมกับพระเยซูคริสต์ การที่เราได้เป็นทายาทร่วมกับพระองค์ การที่เราได้รับพระพรนานับประการในโลกวิญญาณ ที่ปัจจุบัน เราได้รับหมด นี่คือยิ่งใหญ่ที่สุดแล้ว  ถ้าเทียบกับสิ่งที่พระเจ้าให้กับเรากับความทุกข์ยากบนโลกใบนี้ ที่บางทีเราก็เจ็บ บางทีเราก็ป่วย บางทีเราก็โศกเศร้า บางทีคนที่เรารักไม่สบาย หรือคนที่เรารักจากไป เราทุกข์มากเลย ถ้าเทียบกับสิ่งที่พระเจ้าให้กับเรา มันเทียบไม่ได้เลย ฉะนั้น การที่เราได้รู้ความจริงเหล่านี้ จะทำให้เราสามารถยอมรับ อดทนกับความทุกข์ยากลำบาก ที่เราต้องเผชิญอยู่บนโลกใบนี้ ไม่ว่าเรื่องนั้นจะลำบากขนาดไหน? แต่ว่าความหวังใจของผู้เชื่อ มองไปที่โลกหน้า มองไปที่รางวัลที่พระเจ้าได้ทรงจัดเตรียมไว้ สำหรับพวกเราทุกๆ คน รางวัลที่เรายังไม่ได้รับ ที่เราได้รับ ได้รับไปแล้ว เป็นเหมือนพระเจ้า นั่งอยู่ที่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้า ได้รับพระพรนานัปการ ได้มีชีวิตนิรันดร์เหมือนพระเยซูคริสต์ นั่นเราได้รับหมดแล้วนะ ในโลกวิญญาณ

            แต่รางวัลที่เรายังเฝ้ารอคอยอยู่ที่เรายังไม่ได้รับ เราจะรอไปรับเมื่อวิญญาณเราออกจากร่างกายนี้ เมื่ออายุขัยเราหมดจากโลกนี้  ก็คือตาย ตายเมื่อไร เราก็ได้ไปรับร่างกายใหม่จากพระเจ้า เป็นร่างกายใหม่ที่พระเจ้าทรงสัญญา  เป็นร่างกายที่เต็มไปด้วยสง่าราศี เหมือนกับพระเยซูคริสต์ตอนที่พระองค์ได้ทรงเป็นขึ้นมาจากความตาย แล้วเป็นร่างกายใหม่ที่พระเจ้าเตรียมไว้เรียบร้อยแล้ว แค่รอเราไปสวม แล้วความหวังใจของผู้เชื่อ ก็คือเราจะได้พบกับพระเจ้าหน้าต่อหน้า มันเป็นความหวังใจที่เราอยากเจอ ตอนนี้เราพบพระเจ้าหน้าต่อหน้า ไม่ได้ เพราะว่าเรายังอยู่ในร่างกายนี้อยู่ เราอาจจะเห็นพระเจ้าสลัวๆ โดยผ่านทางความเชื่อ ในพระคัมภีร์บอกว่าพระเจ้าเป็นอย่างไร? เราก็เชื่อตามนั้น แต่พอถึงวันนั้น เราไม่ต้องใช้ความเชื่อแล้ว วันที่เราไปเจอพระเจ้าหน้าต่อหน้า แล้วรับร่างกายใหม่ คือเราจะเห็นพระเจ้าไม่พอ  เราจะเห็นร่างกายใหม่ที่พระเจ้าเตรียมไว้ให้กับพวกเราด้วย เราจะได้ไปพบเจอกับญาติโกโหติกาที่เรารัก ที่เขาจากเราไปก่อน แล้วเราจะไปรอคอยพี่น้องของเราที่ยังไม่หมดอายุขัยว่าเดี๋ยวเขาจะตามๆ กันมา นี่คือความยิ่งใหญ่ที่พระเจ้าได้จัดเตรียมไว้สำหรับพวกเรา

            ฉะนั้น ในพระคัมภีร์บอกว่ามันมีอยู่ 3 สิ่ง คือความเชื่อ ความหวังใจและความรัก แต่ความรักใหญ่ที่สุด ความรักใหญ่ตรงไหน? เพราะว่าความรัก คือธรรมชาติใหม่ของผู้เชื่อทุกๆ คน ความรักจะไม่สูญสลายไป ความรักจะเป็นอันเดียวที่ติดตามเราไป  พอเราขึ้นไปอยู่บนโลกใหม่  เราไม่ต้องใช้ความหวัง  เพราะว่าเราได้เจอแล้ว คือเจอพระเจ้าแล้ว ไม่ต้องหวัง เจอร่างกายใหม่แล้ว ไม่ต้องหวัง แล้วเราก็ไม่ต้องใช้ความเชื่อเลย เพราะว่าเจอหน้าต่อหน้า แต่ว่าความรักก็ยังคงติดตามเราไป นี่คือความจริงในโลกวิญญาณที่เราจำเป็นจะต้องรู้ เพื่อว่าเราจะได้สามารถอดทนรอคอย เวลาเราเจอความทุกข์ยากลำบาก เราก็จะสามารถอดทนได้

            อย่างผู้เชื่อในสมัยโบราณ เขาทุกข์กว่าเราเยอะเลยเนอะ ตอนที่เขาเชื่อใหม่ๆ เขาจะถูกไล่ล่า ถูกข่มเหงทุกรูปแบบเลย แต่ที่เขาสามารถอยู่ได้ เพราะความหวังใจนี้แหละ เพราะว่าความหวังใจที่เขาได้รับ ข่าวประเสริฐแท้ๆ จากคำประกาศข่าวดีของอัครทูตในยุคนั้น  ไม่ได้ประกาศอะไรเยอะแยะมากมาย ไม่ได้เอาอะไรมาหว่านล้อม ไม่ต้อง บอกแค่ว่าพระเยซูรักเขา พระเยซูได้ทำอะไรเพื่อเขา  แล้วเขาได้รับอะไรบ้าง? เขาได้รับกำลังจากความจริงในข่าวประเสริฐของพระเจ้าจริงๆ แล้วเขามีความอดทน ไม่ว่าเขาจะต้องถูกฆ่าตาย เขาก็ไม่หวาดกลัว เพราะเขารู้ว่าความตายเป็นประตูที่จะนำเขาไปสู่มิติแห่งความเป็นจริงที่เขาจะได้รับ

            คนสมัยก่อนเขาทุกข์กว่าเราเยอะ แต่เขาสามารถอยู่ได้ เพราะว่าไม่มีอะไรเจือปน เขาได้รับข่าวประเสริฐเพียวๆ ล้วนๆ เป็นนมที่ไม่มีสารปรอท ไม่มีสารตกค้าง ไม่มีอะไรมาล่อลวง ให้หันซ้ายหันขวา เป้าหมายของเขา คือมองไปที่พระเจ้าอย่างเดียว แล้วเขาก็รอคอยวันนั้นแหละ วันแห่งความหวังใจ ที่พระเจ้าบอกว่า …

            “แป๊บเดียวเองลูก อึดใจเดียวเอง พอหมดลมหายใจ เจ้าก็ได้ไปอยู่กับเราถาวรนิรันดร์กาลบนสวรรค์”

            พวกเราเหมือนกัน ในยุคปัจจุบัน อดทนรอคอยแป๊บเดียวเอง เราสบายกว่าเขาเยอะ ในยุคสมัยเดิม ฉะนั้น อย่าให้ความทุกข์ยากใดๆ ทำให้สั่นคลอนความเชื่อวางใจที่เรามีอยู่ในพระเยซูคริสต์ ที่พระเจ้าได้ทรงกระทำให้กับเราเรียบร้อยไปแล้ว ฉะนั้น การที่เราได้ไปอยู่กับพระเจ้า อย่างที่บอก เวลาผู้เชื่อจะจากไป พระเยซูจะมารับเรา สมมติว่าเราจากไปก่อนที่พระเยซูเสด็จกลับมา พระเยซูก็มารับเราส่วนตัวไปอยู่กับพระองค์ แต่ถ้าเรายังไม่จากไป เราอยู่จนถึงวันนั้น วันที่พระเยซูกลับมารับหมู่เลย เราก็จะได้ไปพร้อมกัน ยังไงพระเยซูก็มารับเรา

            ทำไมเรารู้ว่าพระเยซูมารับเรา? ดิฉันเคยเห็นผู้เชื่อเยอะแยะมากมาย อยู่ในโบสถ์นี้ก็จะ 30 ปีแล้ว แล้วก่อนหน้านั้น ดิฉันไปรับร่างกายของผู้เชื่อ ที่จากไป นับครั้งไม่ถ้วน  แต่ภาพที่ดิฉันเห็น วันที่เขาจากไป เป็นภาพที่สวยงามมาก ก็คือเหมือนคนนอนหลับ ไม่ได้น่ากลัวนะ คือสมัยก่อนถ้ามีคนตาย ดิฉันกลัวมาก ตอนก่อนมาเชื่อพระเจ้ากลัวภาพติดตา แต่พอเรามาเชื่อพระเจ้า เราเห็นความจริงในโลกวิญญาณอย่างหนึ่ง คือทุกคนที่จากไปอยู่กับพระเจ้า ก่อนจากอาจจะดูเหมือนทุรนทุราย เพราะว่าด้วยความเจ็บปวด แต่พอหลังจากไปปุ๊บ เขาหลับเหมือนคนนอนหลับ แล้วหน้าเต็มไปด้วยสง่าราศี  คือเห็นชัดๆ เลยว่าเขาไม่มีความกลัวอะไรเลย เขาหลับไปเฉยๆ แล้วดิฉันยังเชื่อว่าความเป็นจริงในโลกวิญญาณตอนที่เขาจากไป พระเยซูมารับเขาไป แล้วเขาก็มีความสุข  เขารู้ว่าเขาไปในที่ปลอดภัย ฉะนั้น ทุกร่างที่ดิฉันไปรับ เขาจะนอนหลับ ยิ้ม ไม่ได้รู้สึกเลยว่าเป็นคนตาย นึกภาพออกไหม?

            พอเห็นภาพที่ได้ไปรับร่างกายของพี่น้องของเราที่จากไปอยู่กับพระเจ้าก่อน ทุกครั้งทำให้เรามีกำลังใจ แล้วเรารู้ว่าขอบคุณพระเจ้านะ เขาไปดีมาก เขาไปอย่างมีความสุข เขาหลับพริ้มเลย อยู่ในอ้อมพระหัตถ์ของพระเจ้าเรียบร้อยไปแล้ว เขาไม่ต้องดิ้นรนต่อสู้เหมือนพวกเราอีกต่อไป เขาไม่ต้องมานั่งทุกข์ทรมานอีกต่อไป แต่เขาได้ไปอยู่ในที่ที่ปลอดภัยที่สุด คือในพระทรวงของพระเจ้า

            นี่คือกำลังใจที่เราได้รับ แล้วก็ขอหนุนใจพี่น้องทุกๆ คน ในขณะที่เราดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ ไม่ว่าเราจะเผชิญกับความทุกข์ยากลำบากขนาดไหนก็ตาม ให้เราเชื่อมั่นว่าพระเจ้าไม่เคยทิ้งเรา พระเจ้าสถิตอยู่กับเรา พระองค์ทรงนำพาย่างเท้าของเรา จูงมือเราเดินตลอดเวลา เมื่อไรที่เราอ่อนแรงพระเจ้าจะแบกเราไป  จนถึงจุดหมายปลายทาง จนถึงวินาทีสุดท้ายของชีวิตของเรา  เพื่อเราจะได้ไปรับร่างกายใหม่ที่เต็มไปด้วยสง่าราศี ได้ไปอยู่ในโลกใบใหม่ ที่พระเจ้าทรงสร้างไว้ให้กับพวกเราทุกๆ คน พระเจ้าอวยพรค่ะ

******************

จากใจคณะศิษยาภิบาล

            ถ้าท่านยินยอม! ท่านสามารถเป็นวิหารของพระเจ้า  และพระวิญญาณของพระเจ้า จะสถิตอยู่ในท่าน

            เมื่อเราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์  เข้ามาเป็นพระผู้ช่วยให้รอดแล้ว  จะมีอัศจรรย์เกิดขึ้น  ทั้งในโลกฝ่ายวิญญาณ  และโลกฝ่ายร่างกาย

            ➢ โลกฝ่ายวิญญาณ  คือพระวิญญาณจะเข้ามาทำกระบวนการการบังเกิดใหม่  ทำให้เราบริสุทธิ์  กลับคืนดีกับพระเจ้า  ย้ายวิญญาณของเรามาอยู่ในสวรรค์

            ➢ โลกฝ่ายร่างกาย คือพระเจ้าทั้ง 3 พระภาค พระบิดา  พระบุตร  พระวิญญาณบริสุทธิ์  ก็จะเข้ามาอาศัยอยู่ในร่างกายเราทันที เพื่อคอยช่วยเหลือเรา  ในระหว่างดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้

            มีสถานที่หนึ่งในร่างกายของเรา  ที่เป็นอภิสุทธิสถาน  ที่พระเจ้าสถิตอยู่   และเป็นที่ศักดิ์สิทธิ์มาก  ที่นั่น ก็คือวิญญาณที่บังเกิดใหม่ของเรา

            1 โครินธ์ 3:16 “ท่านทั้งหลาย (คริสเตียนที่ได้บังเกิดใหม่แล้ว) รู้แล้วไม่ใช่หรือว่าพวกท่านเป็นวิหารของพระเจ้า และพระวิญญาณของพระเจ้าสถิตอยู่ในพวกท่าน”

            พระเจ้าสถิตอยู่  เพื่อดูแล  รักษาวิญญาณ  ที่พระองค์ได้ทรงไถ่  ทรงให้บังเกิดใหม่เป็นลูกของพระองค์แล้วนั้น  ด้วยฤทธิ์เดชอำนาจของพระองค์เอง  ด้วยความรักดั่งแก้วตาดวงใจของพระองค์

            พระเจ้าอวยพรครับ