คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 1 มกราคม 2023
เรื่อง “เชื่อหรือไม่ พระเจ้าขอร้องให้มนุษย์กลับคืนดีกับพระองค์”
โดย นคร เวชสุภาพร
วันนี้ก็แน่นอนต้องสวัสดีปีใหม่ 2023 แล้ว ไม่ใช่ปีใหม่อย่างเดียว แต่ 2,023 ปีของพันธสัญญาใหม่ที่พระเยซูคริสต์ได้กระทำสำเร็จแล้วที่ไม้กางเขน เมื่อ 2,023 ปีมาแล้ว ก็ต้องบอกว่า …
“ขอให้ท่านได้พบกับสันติสุขและความสงบทางใจ จากการเสียสละของพระเยซูคริสต์ ที่ได้ไถ่บาปให้กับท่าน มาประมาณ 2,023 ปีแล้ว ก็หมายถึงว่า 2,023 ปีกับพันธสัญญาใหม่ ที่พระเจ้าได้ทำกับมนุษย์ ก็คือส่งพระเยซูคริสต์มาเกิดในวันคริสตมาส ซึ่งเราเพิ่งฉลองกันไป คริสตมาสก็ผ่านมาประมาณ 2,023 ปี
คริสตมาสคืออะไร? จำได้ไหม? สัปดาห์ที่แล้ว จำอะไรไม่ได้ จำได้แค่นี้ คริสตมาส ก็คือวันที่พระเจ้ามาเกิดเป็นมนุษย์ ชื่อพระเยซูคริสต์ คริสตมาส คือพระเจ้าพระเยซูคริสต์สละสภาพของพระเจ้าลงมาเกิดเป็นมนุษย์ เพราะฉะนั้น ถ้อยคำวันนี้ ผมจึงใช้ชื่อเรื่องว่า “เชื่อหรือไม่ พระเจ้าขอร้องให้มนุษย์กลับคืนดีกับพระองค์” พระเจ้าขอร้องให้มนุษย์กลับคืนดีกับพระองค์ ผ่านทางพระเยซูคริสต์ ผู้ทรงเป็นพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์ เจ้าของวันคริสตมาสนั่นเอง ถามคนข้างๆ สิว่าท่านเชื่อหรือไม่? ฝึกไว้เลยนะ “ท่านเชื่อหรือไม่?”
เทศกาลคริสตมาส เป็นเทศกาลพิเศษ พิเศษมากตรงไหน? ตรงที่เขาร่วมเฉลิมฉลองกัน ระลึกถึงวันที่พระเยซูคริสต์ ผู้เป็นพระบุตรของพระเจ้า ลงมาประสูติเป็นมนุษย์ และทำกันมา 2,000 ปีแล้ว มากขึ้นทุกวันๆ ความสำคัญของวันคริสตมาส ที่เป็นเหตุให้มีการฉลองกันใหญ่โตทั่วโลก ก็คือพระเยซูคริสต์ ซึ่งมีสถานะเป็นพระเจ้า ได้มาเกิดเป็นมนุษย์ ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ คือสภาพของพระเจ้ากับสภาพของมนุษย์ สามารถร่วมเป็นหนึ่งเดียวกันได้ เข้ากันได้นั่นเอง ความหมาย คือพระเยซูซึ่งมีสภาพเป็นพระเจ้า ลงมามีสภาพเหมือนมนุษย์ได้ฉันใด มนุษย์บนโลกใบนี้ ก็สามารถมีสภาพเหมือนกับพระเจ้าได้ฉันนั้น นี่คือความอัศจรรย์ ยิ่งใหญ่ของข่าวประเสริฐ ของข่าวดี เรื่องพระเยซูคริสต์ ของพันธสัญญาใหม่ ที่ตะกี้นี้บอกมา ที่ประกาศมา 2,000 กว่าปีแล้ว
นี่คือปรากฏการณ์อันอัศจรรย์ ยิ่งใหญ่ที่สุด เท่าที่เคยมีมา ตั้งแต่สร้างโลกมาเลย อัศจรรย์ยิ่งใหญ่ที่สุดในการสร้างโลก จำไว้เลยว่าก็คือวันที่พระเยซูคริสต์ พระเจ้ามาเกิดเป็นมนุษย์นั่นเอง ทำให้มนุษย์ทั้งโลก คือเผ่าพันธุ์มนุษย์นั้น สามารถที่จะเข้ากับพระเจ้าได้ เข้าสู่สวรรค์ได้ทันที ในขณะดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้เลย จึงทำให้มนุษย์ทั้งโลก ที่ได้รับรู้เรื่องเหล่านี้ 2,000 กว่าปีแล้ว เฉลิมฉลองเทศกาลคริสตมาสกันอย่างใหญ่โต มาถึงทุกวันนี้ และจะฉลองกันเรื่อยๆ ใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ จนถึงนิรันดร์ จนถึงสิ้นโลกเลย พระคัมภีร์บันทึกเรื่องนี้ไว้ตั้งหลายพันปี บันทึกมาตลอดเลยว่ามันจะเป็นอย่างนี้พระเจ้าจะมาเกิดเป็นมนุษย์ และช่วยมนุษย์ให้รอด กลับไปสู่สวรรค์ได้ และอาณาจักรของพระองค์ที่เรียกว่าพระคริสต์ จะถูกประกาศมากขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งถึงสิ้นโลก แล้วมันมากขึ้นจริงๆ มา 2,000 ปีแล้ว เพราะฉะนั้น วันที่พระองค์ทรงประกาศว่าจะประกาศไปจนถึงวันสิ้นโลก มันก็ต้องเป็นจริงเหมือนกัน ถูกไหม?
ตอนที่เขียนไว้เมื่อหลายพันปีก่อน ก่อนที่พระเยซูคริสต์จะมาเกิด คนอาจจะไม่เข้าใจ ยังไม่เห็น สิ่งที่เกิดขึ้นชัดเจน แต่พอมาถึงเมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว คือวันคริสตมาสแรก ที่พระเยซูคริสต์มาเกิดเป็นมนุษย์จริงๆ เห็นเป็นจริง แต่ยังไม่มีพยานยืนยันมากมายนัก เพิ่งเริ่มต้น นึกถึงว่าเป็น ค.ศ.1 สมมตินะว่าเป็นปีแรกๆ เอง คนเป็นคริสเตียน ยังได้รับข่าวประเสริฐนี้น้อย แต่ตั้งแต่วันนั้นมาถึงวันนี้ 2,000 ปีแล้ว คนเยอะมากขึ้นเรื่อยๆ ที่รู้จักเรื่องนี้ แล้วก็ฉลองกันมากขึ้นเรื่อยๆ อย่างนี้ แสดงว่ามันต้องเป็นจริงแน่นอน และที่บอกว่าจากนี้ต่อไป ข่าวดีนี้จะถูกประกาศไปจนถึงวันสิ้นโลก มันก็ต้องเป็นจริงแน่นอนเช่นเดียวกัน มนุษย์ไม่มีทางคิดถึง ไม่มีทางเข้าใจ ไม่มีทางที่จะหาเหตุผลได้เลยว่าพระเจ้ากับมนุษย์จะมาอยู่ด้วยกันได้อย่างไร? จะมาเข้ากันได้อย่างไร?
พระเยซูผู้มีสภาพเป็นพระเจ้า มาเกิดในสภาพมนุษย์อย่างเต็มตัวได้อย่างไร? เป็นไปได้หรือ? ก็ยังมีคนส่วนหนึ่งนะยังไม่เชื่อ เพราะว่าเชื่อยาก ที่ไม่เชื่อ เพราะว่าเขาใช้ความคิด ใช้สมอง ใช้ตรรกะเหตุผลแบบมนุษย์ พยายามจะคิดว่าพระเจ้ามาเกิดเป็นมนุษย์ได้อย่างนั้นอย่างนี้ ไม่มีวันที่จะเข้าใจหรอก พระเยซูบอกว่ามันเป็นไปไม่ได้ ต้องใช้จิตวิญญาณเท่านั้น สิ่งที่บันทึกอยู่ในพระคัมภีร์ทั้งเล่ม ก็คือถ้อยคำพระเจ้าได้บอกเรา ถึงพระสัญญาของพระเจ้าที่จะส่งพระบุตร คือพระเยซูคริสต์มาเกิดเป็นมนุษย์ เพื่อทำให้พระเยซูคริสต์กับมนุษย์ สามารถมีสภาพที่เหมือนกันได้ คือเป็นเหมือนคนๆ เดียวกันได้ พูดบันทึกไว้อย่างนี้มาเป็นเวลาหลายพันปี ไม่ใช่เพิ่ง 2,000 กว่าปี แต่ก่อนพระเยซูคริสต์จะเกิดอีก ก็บอกแล้ว เป็นเวลาสัก 4-5 พันปีอะไรต่างๆ เหล่านั้น บอกมาตลอดเลย มนุษย์ไม่มีวันเข้าใจหรอกว่าจะเป็นหนึ่งเดียวกันได้อย่างไร? แต่ก็บอกมาตลอดจนถึงทุกวันนี้ ก็ยังพูดอยู่เหมือนเดิม
พระเยซูคริสต์มาเกิดแล้ว แล้วก็ทำงานสำเร็จเรียบร้อยแล้ว แล้วก็ประกาศต่อไป จากเดิมก่อนที่พระเยซูคริสต์จะมาประสูติ จากเดิมก่อนที่พระเยซูคริสต์จะมาเกิดเป็นมนุษย์ มนุษย์ทั้งโลก มีสภาพเป็นคนบาป ไม่สามารถติดต่อกับพระเจ้าได้ นี่เขียนไว้ตั้งแต่หน้าแรกของพระคัมภีร์ ก็คือปฐมกาลเลย หลายพันปีก่อน บอกไว้เลยว่าเป็นอย่างนี้ และมนุษย์ไม่สามารถอยู่ในสวรรค์กับพระเจ้าได้ เพราะว่ามันเข้ากันไม่ได้ สารเคมีไม่เข้ากัน บาปของมนุษย์กับความบริสุทธิ์ของพระเจ้า ไม่สามารถเข้ากันได้ บาปเข้ากับความบริสุทธิ์ไม่ได้ ที่เคยยกตัวอย่างบ่อยๆ เหมือนน้ำกับน้ำมันมันเข้ากันไม่ได้ มันเด้งออกตลอด เหมือนความมืดกับความสว่างเข้ากันไม่ได้
มนุษย์อยู่ในความมืด มนุษย์ข้างในใจเป็นความมืด เป็นความบาป เข้ากับแสงสว่างไม่ได้ และวันคริสตมาสเป็นการเริ่มต้นทำพันธสัญญาของพระเจ้า ที่จะไถ่บาปให้กับมวลมนุษยชาติ ทำให้มนุษย์ได้รับการชำระให้สะอาดบริสุทธิ์ ปราศจากบาป และได้รับสถานะให้เป็นบุตรของพระเจ้า เป็นทายาทของพระองค์ ร่วมกับพระเยซูคริสต์ คือเข้ากันได้กับพระเยซูคริสต์ เป็นหนึ่งเดียวกับพระเยซูคริสต์ เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์เลย ก็คือจากความมืดมาเป็นความสว่างเลย จากความบาปมาเป็นผู้ชอบธรรมบริสุทธิ์เลย ท่านลองคิดดูสิ
นี่คือสิ่งที่บันทึกเอาไว้เป็นเรื่องจริง อยู่ในพระคัมภีร์ ซึ่งใช้เหตุผล ใช้ความคิด ใช้ความเข้าใจของมนุษย์ ไม่สามารถที่จะเข้าใจได้ ซึ่งพระคัมภีร์ก็เขียนว่าใครก็ตามที่เชื่อในเรื่องนี้ คือต้อนรับพระเยซูคริสต์ พระคัมภีร์บอกว่าเมื่อเขาต้อนรับพระเยซูคริสต์ ต้อนรับความจริงนี้อะไรเกิดขึ้น? เขาคนนั้นจะได้รับการเปลี่ยนแปลง ทั้งร่างกาย จิตใจ และจิตวิญญาณ
เมื่อเขาต้อนรับพระเยซูคริสต์ คือต้อนรับความจริงนี้ เปลี่ยนแปลงให้มีสภาพเหมือนพระเยซู จากคนบาป สกปรก กลายเป็นมาเหมือนพระเยซู ซึ่งพระเยซูเป็นพระเจ้า ท่านลองนึกภาพสิ ซึ่งพระคัมภีร์ใช้ศัพท์คำนี้ว่าการบังเกิดใหม่ ก็คือการเกิดใหม่ในวิญญาณ คือมีสภาพเกิดใหม่ เป็นลูกของพระเจ้า และสามารถอยู่ในสวรรค์กับพระเจ้าได้ทันที
“ทันที” หมายถึงกำลังดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ ต้อนรับข่าวประเสริฐ ต้อนรับข่าวดีเรื่องพระเยซูคริสต์นี้ วิญญาณข้างใน จิตใจข้างใน และร่างกายเริ่มต้นการเปลี่ยนแปลงทันทีเลย ทุกคนงง แล้วร่างกายเปลี่ยนแปลงอย่างไร? ค่อยๆ เรียนรู้ไป เริ่มต้นเปลี่ยนแปลง ก็คือมีร่างกายใหม่ เตรียมให้เราเรียบร้อยแล้ว ในสวรรคสถานนั่นเอง เริ่มต้นการเปลี่ยนแปลงทันที เปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆ จนกระทั่งถึงนิรันดร์กาล เพราะว่าเข้ากับพระเจ้าได้แล้ว ไม่ได้เป็นน้ำกับน้ำมันแล้ว เป็นน้ำกับน้ำเข้ากันได้ดีเลย เป็นหนึ่งเดียวกันตลอดเวลา พระเยซูตรัสว่าความจริงในโลกวิญญาณจะทำให้เราเป็นไท
ความจริง คือตะกี้นี้ที่พูดมาทั้งหมดนั้น ที่บันทึกไว้ในพระคัมภีร์ เรียกว่าถ้อยคำพระเจ้า พระคัมภีร์นั้น มันเป็นจริง จริงๆ ใครรู้ความจริงเหล่านี้และยอมรับความจริงเหล่านี้ ความจริงจะทำให้เขาเป็นอิสระจากการหลอกลวง ยอห์น 4:23-24 บอกไว้อย่างนี้ พระเยซูตรัสว่า …
ยอห์น 4:23-24 “23 กระนั้น ก็ใกล้ถึงเวลาแล้ว และบัดนี้ ก็ถึงเวลาแล้ว ที่ผู้นมัสการอย่างถูกต้อง จะนมัสการพระบิดา ด้วยจิตวิญญาณและความจริง เพราะพวกเขาเป็นผู้นมัสการ แบบที่พระบิดาทรงแสวงหา 24 พระเจ้าทรงเป็นพระวิญญาณ ผู้ที่นมัสการพระองค์ ต้องนมัสการด้วยจิตวิญญาณและความจริง”
นมัสการด้วยจิตวิญญาณคืออะไร? การร้องเพลงเป็นอาการหนึ่งของนมัสการ การอธิษฐาน คือการนมัสการ ใช่ เป็นอาการหนึ่งของการนมัสการ นมัสการจริงๆ แปลว่าถ่อมใจ ยอมรับความจริง ดั่งเหมือนกับทาสเลย ยอมจำนนต่อความจริง ยอมรับว่านี่คือความจริง ทั้งๆ ที่ไม่เข้าใจ ทั้งๆ ที่หาเหตุผลไม่ได้ แต่นมัสการ แปลว่าใช้จิตวิญญาณนั่นเอง
นมัสการด้วยจิตวิญญาณและความจริง เหตุผลไม่เข้าใจ ความคิดไม่เข้าใจ แต่เชื่อในความจริง คือถ้อยคำของพระเจ้า ที่บันทึกเอาไว้ นี่เขาเรียกว่านมัสการด้วยจิตวิญญาณและความจริง ไม่ใช่ด้วยความรู้สึก หรือความคิด
“โอโห้! รู้สึกว่าพระเจ้าอยู่กับฉัน คิดว่าพระเจ้าอยู่กับฉัน เพราะว่าเหตุการณ์นี้เกิดขึ้น เพราะมีหมายสำคัญเกิดขึ้น ฉันคิดว่าพระเจ้าอยู่กับฉัน”
นั่นไม่เรียกว่านมัสการ นั่นเป็นความรู้สึก นมัสการ คือจากข้างใน ความจริง คือถ้อยคำพระเจ้าที่ระบุไว้ แม้ว่าความรู้สึก หรือความคิดมันจะแย้ง แต่ถ้อยคำพระเจ้าบอกพระเจ้าสถิตอยู่กับฉัน อยู่ข้างในตัวฉันนี่แหละ นี่คือความหมายของคำว่านมัสการด้วยจิตวิญญาณและความจริง
ใช้วิญญาณแสวงหาความจริง ความจริง ก็คือถ้อยคำของพระเจ้า ที่ได้บันทึกไว้ในพระคัมภีร์ว่าตัวท่าน มนุษย์ทั้งหลาย ท่านเป็นใคร? อยู่ที่ไหน? และเป็นอย่างไรในโลกวิญญาณ? ถ้าท่านไม่ต้อนรับพระเยซูคริสต์ ท่านเป็นใคร? ท่านเป็นคนบาป ท่านยอมรับไหม? ในพระคัมภีร์บอกท่านเป็นคนบาป ท่านยอมรับ นั่นแหละ ท่านกำลังนมัสการพระเจ้าด้วยจิตวิญญาณและความจริง และในพระคัมภีร์บอกว่าถ้าท่านเป็นคนบาป ยอมรับแล้ว พระเยซูคริสต์มาตายที่ไม้กางเขน ชำระบาปให้กับท่าน แล้วท่านบอกยอมถ่อมใจว่าพระเยซูตายที่ไม้กางเขน เพื่อฉัน ฉันจะได้พ้นจากบาป นี่แหละเรียกว่านมัสการพระเจ้าด้วยจิตวิญญาณและความจริง ท่านพอมองเห็นไหม? ชัดไหม?
วางใจว่าพระเยซูคริสต์ คือพระผู้ช่วยให้รอด นี่ก็คือการนมัสการพระเจ้า พระคัมภีร์บอกพระเยซูคริสต์เป็นพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์ เพื่อช่วยมนุษย์ให้รอดพ้นจากโทษของความบาป และเราเชื่อในถ้อยคำนี้ แค่เชื่อเท่านั้นเองว่าพระเยซูทำให้กับเราตรงนี้ เรียกว่านมัสการพระเจ้าแล้ว นี่คือชัดเจน ก็คือเชื่อ แม้จะไม่เข้าใจก็ตาม เชื่อ เพราะว่าถ้อยคำพระเจ้าระบุไว้อย่างนั้น อย่างนี้เรียกว่าใช้จิตวิญญาณ ยืดมั่น เชื่อมั่นในความจริงในถ้อยคำของพระเจ้านี้ ที่พระองค์ทรงบันทึกไว้ในพระคัมภีร์นี้ว่าเป็นอย่างนี้ ฉันก็เชื่อมั่น ในความจริงเหล่านี้ ยึดมั่นในความจริงเหล่านี้ว่าถ้อยคำพระเจ้าเป็นอย่างนี้ ไม่ว่าความคิด จะคิดอย่างไรก็ตาม ฉันวางใจ ฉันเชื่อในความจริงนี้
เพราะฉะนั้น การดำเนินชีวิตของคริสเตียน ก็คือเราต้องดำเนินชีวิตด้วยความเชื่อเท่านั้น ไม่ใช่ใช้ความรู้สึก พระเจ้าจึงตรัสว่า …
“สิ่งที่ตามองไม่เห็น หูไม่ได้ยิน คือสิ่งที่เราเตรียมไว้ให้กับท่าน ผู้ที่รักเรา”
ผู้ที่จะแสวงหาพระเจ้า ก็ต้องใช้วิธีนี้ จึงใช้ในสิ่งที่ตามองไม่เห็น หูไม่ได้ยิน … ตามองไม่เห็นและหูไม่ได้ยิน ก็คือความไม่เข้าใจ ความไม่มีเหตุ ไม่มีผลแบบมนุษย์ ไม่ใช่ความรู้สึกแบบมนุษย์ นั่นแหละ คือสิ่งที่พระเจ้าเตรียมไว้ให้กับเรา ก็คือเรื่องราวเกี่ยวกับทางโลกวิญญาณ ซึ่งเราไม่มีทางเห็นได้ เราต้องใช้วางใจในพระเจ้าและเชื่อเท่านั้น
ดังนั้น หลังจากวันคริสตมาสแรกของโลก จนถึงวันนี้ วันที่พระเยซูคริสต์ พระบุตรของพระเจ้าได้ไถ่บาปจนสำเร็จ ก็คือการสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน และการเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่ 3 เมื่อ 2,000 ปีเป็นต้นมานั้น พระเจ้าขอร้องให้เราทั้งหลายกลับใจใหม่ กลับใจมาเชื่อพระองค์ว่าพระองค์มาไถ่บาปให้กับเราแล้ว ตั้งแต่วันที่พระเยซูคริสต์สิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน และเป็นขึ้นจากความตายในวันที่ 3 ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา พระเจ้าประกาศไปทั่วเลยว่า …
“ลูกๆ มนุษย์ทั้งหลาย กลับบ้านเถิด เพราะพระเยซูคริสต์กระทำสำเร็จเรียบร้อยแล้ว”
พระคัมภีร์ได้บันทึกไว้ในหนังสือ 2 โครินธ์อย่างนี้ นี่คือความจริงอีกอันหนึ่ง ที่เหลือเชื่อ ที่เป็นหัวข้อในวันนี้ ที่ผมตั้งขึ้นมาว่าพระเจ้าขอร้องให้มนุษย์กลับคืนดีกับพระองค์ ผ่านทางพระบุตร คือพระเยซูคริสต์ท่านเชื่อหรือไม่? นี่คือความจริงในโลกวิญญาณ 2 โครินธ์ 5:19-20 บันทึกไว้อย่างนี้ว่า …
2 โครินธ์ 5:19-20 “19 พระเจ้าเองทำให้คนในโลกนี้ กลับมาคืนดีกับพระองค์ โดยผ่านทางพระคริสต์ และยกโทษบาปให้กับพวกเขา พระองค์ได้มอบเรื่องการกลับคืนดีนี้ให้กับเรา เพื่อไปบอกคนอื่นๆ ต่อ 20 ดังนั้น เราจึงทำงานเป็นทูตของพระคริสต์ เพราะเชื่อมั่นว่าพระเจ้ากำลังขอร้องพวกคุณ ผ่านทางเรา เราขอวิงวอนคุณ แทนพระคริสต์ว่า “กลับมาคืนดีกับพระเจ้าเถิด”
เกือบ 2,000 ปีแล้วที่บันทึกไว้อย่างนี้ว่าพระเจ้าเอง ผู้ที่บันทึกนี้ ก็คืออัครทูตเปาโล ซึ่งพระเจ้าเรียกมาให้เป็นผู้ประกาศความต้องการของพระองค์ ประกาศความสำเร็จของพระเยซูคริสต์ ที่ได้ตายที่ไม้กางเขน และเป็นขึ้นจากความตาย ให้ประกาศออกไป ประกาศว่าพระเจ้าเรียกมนุษย์ทั้งหลายกลับบ้าน กลับบ้านเถิด พระองค์เองทำให้คนในโลกนี้กลับคืนดีกับพระองค์ พระองค์เอง ก็คือพระเจ้า พระบิดาเอง ทำให้คนในโลกนี้ กลับมาคืนดีกับพระองค์ โดยผ่านทางพระเยซูคริสต์ พระบุตร และยกโทษบาปให้พวกเขา
พูดง่ายๆ สรุปสั้นๆ ก็คือพระเจ้ากำลังประกาศให้มนุษย์ทั้งหลาย บอกว่า …
“พ่ออภัยให้หมดแล้ว เตรียมทุกสิ่งทุกอย่างไว้ให้หมดเรียบร้อยแล้ว กำลังรอคอยลูกกลับมานะลูกเอ๋ย”
นี่คือสิ่งที่พูดจากสวรรค์ จากพระเจ้าผู้ทรงรักมนุษย์ทั้งหลาย มา 2,000 ปีแล้ว หลังจากพระเยซูเป็นขึ้นจากความตาย สำเร็จเรียบร้อยแล้วก็ประกาศตรงนี้ว่ากลับบ้านเราเถอะ ตอนนี้เราสามารถเข้ากันได้แล้ว พระองค์คือพ่อ ทำให้สำเร็จ เรียบร้อยแล้ว
อ่านตรงนี้แล้ว ท่านนึกถึงความรู้สึกของพระเจ้า แล้วนึกถึงจิตใจของพระองค์ว่าพระองค์มีความห่วงใยและรู้สึกต่อมนุษย์บนโลกใบนี้อย่างไร? มนุษย์ทุกคนนะ ไม่ได้หมายถึงคริสเตียน นี่กำลังพูดถึงคนที่ไม่ได้เป็นคริสเตียน ยังไม่รู้เรื่องอะไร? ยังเป็นมนุษย์ธรรมดา อยู่ในความบาปอยู่ ไม่รู้จักพระเจ้า ทำชั่วมากมาย เยอะแยะไปหมดเลย ที่พระเยซูกระทำสิ่งนี้ให้กับเขา และให้ตัวแทนของพระองค์ คือมนุษย์ที่รู้แล้ว ก็คืออัครทูตกับทีมงาน พูดสิ่งนี้ออกมาว่าความรู้สึกของพระองค์ว่าอย่างไร? …
“พระเจ้ากำลังขอร้องพวกคุณ ผ่านทางเรา”
เรา คือผู้ประกาศ คือเปาโลและทีมงาน 2,000 ปีที่แล้ว พระเจ้าบอกว่าพระเจ้ากำลังขอร้องพวกคุณผ่านทางเรา และเราขอวิงวอนคุณแทนพระคริสต์ พูดง่ายๆ พระเจ้า พระบิดาขอร้องเรา และพระเยซูคริสต์ก็วิงวอนเรา พระบิดาขอร้อง พระบุตร พระเยซูผู้ที่ทำให้เราสำเร็จเรียบร้อยแล้ว คือตายเพื่อเราทั้งหลายที่ไม้กางเขน และเป็นขึ้นจากความตายนั้น วิงวอนเรา … เรา คือมนุษย์ที่ยังไม่เชื่อ ที่ยังไม่ได้เป็นคริสเตียน ยังเป็นคนบาปอยู่ว่ากลับมาคืนดีกับพระเจ้าเถิด พอรู้ความจริงตรงนี้ ถามว่าพระเจ้าผู้ทรงสร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก ผู้ทรงยิ่งใหญ่สูงสุด มนุษย์ทุกคนรู้หมด พอบอกคำว่า “พระเจ้า” ก็จะรู้จัก ไม่ว่าจะเป็นคริสเตียนหรือไม่เป็นคริสเตียน ตั้งแต่ยุคไหนก็ตาม กี่พันปีมาแล้วก็ตาม พอบอกพระเจ้า ทุกคนสยบหมด ไม่ว่านับถือศาสนาอะไรก็ตาม พอบอกว่าพระเจ้า จบเลย ทั้งที่ไม่รู้จักพระองค์หรอก แต่คำว่าพระเจ้า มีนามเดียว มีผู้เดียว
พอบอกว่าพระเจ้า ทุกคนบนโลกนี้รู้ว่าเป็นผู้ที่ทรงฤทธานุภาพอำนาจยิ่งใหญ่สูงสุด ผู้ทรงสร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก ผู้ทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งหลาย ทุกสิ่งที่มองเห็นและมองไม่เห็นทั้งหมดเลย ผู้ครอบครองทุกอย่าง นี่แหละคือพระเจ้า และนี่เรากำลังพูดว่ากลับมาคืนดีกับพระเจ้าเถิด ใครขอร้อง? พระเจ้าที่เราบอกว่ายิ่งใหญ่สูงสุด ตั้งแต่กี่พันปีมาแล้ว พระเจ้าผู้นี้กำลังขอร้องเรา มนุษย์ตั้งแต่กี่พันปีมา มีแต่ร้องขอพระเจ้า เป็นลูกช้างเอย เป็นคนบาปเอย คลานเข้าไปเป็นทาส มาเจอพระเจ้าไม่กล้าเงยหน้าขึ้นเลย แต่ตอนนี้กลับกัน พระเจ้าที่เราบอกยิ่งใหญ่ ที่เราตัวสั่นงันงก ไม่กล้าเข้าไป กำลังขอร้องเรา ท่านตอบสิ ท่านเชื่อไหม?
ตามความรู้สึก ตามความคิด ตามความเข้าใจของมนุษย์ ไม่มีทางที่จะเชื่อ แต่ถ้อยคำพระเจ้าเขียนไว้อย่างนี้ ท่านจะนมัสการพระเจ้าด้วยจิตวิญญาณและความจริงหรือไม่? พระเยซูถาม ถ้าท่านนมัสการพระเจ้าด้วยจิตวิญญาณและความจริง ก็คือยอมถ่อมใจ ยอมจำนน เชื่อฟังต่อความจริง คือถ้อยคำพระเจ้าที่บันทึกเอาไว้ ดั่งเป็นทาสเลย
“ไม่รู้ล่ะ ฉันไม่เข้าใจ ไม่มีเหตุผล ไม่มีความรู้สึก แต่ถ้อยคำพระเจ้าเขียนไว้อย่างนี้ ฉันก็นมัสการพระเจ้า ฉันจะยอมรับความจริงเหล่านี้ เชื่อตามนี้ ก็คือพระเจ้ากำลังง้อฉัน”
ใครง้อใครเนี้ย? พระเยซูคริสต์วิงวอนต่อมนุษย์ ไม่ใช่ต่อคริสเตียนนะ ต่อมนุษย์ที่เป็นคนบาป ท่านที่กำลังเดินอยู่นี้ หรือท่านที่กำลังเคยเดินอยู่ บนโลกใบนี้ ที่ทำชั่ว ทำบาป ทำอะไรเยอะแยะมากมาย เรารู้ตัว ทำอะไรเยอะแยะมากๆ ในชีวิต แต่พระเจ้าผู้บริสุทธิ์ ผู้ยิ่งใหญ่สูงสุด กำลังง้อเรา …
“ขอร้องนะ กลับมาหาเราเถิด”
พระเยซูกำลังวิงวอนท่าน สมมติว่าเป็น Mr.X ที่ยังไม่รู้จักพระเจ้า ยังทำบาปมากมาย ยังไม่ได้เป็นคริสเตียน พระเยซูกำลังวิงวอนอธิษฐานว่า …
“X เอ๋ย กลับบ้านเถิด เชื่อเรานะ เปิดใจต้อนรับเรา เปิดใจต้อนรับข่าวประเสริฐ เปิดใจต้อนรับความจริงเรื่องนี้เถิด กลับบ้านเราเถิด เราจะเข้าไปช่วยเจ้า”
นี่ใครง้อใคร? พระเจ้าง้อมนุษย์ เหมือนกับพระเยซูยกตัวอย่างอุปมาเรื่องบุตรน้อยหลงหาย นี่ยิ่งชัดใหญ่เลย พระเจ้าเฝ้ารอวัน รอคืน ออกมานอกบ้าน เดินออกมาริมถนนตลอด เมื่อไรลูกจะกลับมาสักที ลูกหลงหาย หนีออกจากบ้านไป ตอนนี้ตกระกำลำบาก แย่มากในชีวิต เมื่อไรลูกจะกลับมาสักที เตรียมของ เตรียมอะไรไว้เยอะแยะ ทรัพย์สมบัติเยอะแยะไว้ในบ้าน ชะเง้อมองดูลูกตลอด ใครง้อใคร? ลูกก็ไปเที่ยวเตร่จนกระทั่งหมดเงิน หมดอะไรต่างๆ จนไม่ไหวแล้ว อยากจะกลับบ้าน แต่ไม่กล้ากลับ เพราะรู้ว่าตัวเองทำชั่วไว้ ทำบาปไว้ ทำสิ่งที่ไม่ดีไว้ กลับไป พระเจ้าจะเฆี่ยนตี พระองค์จะลงโทษ คงโกรธน่าดูเลย เรามันเลว ขณะที่ลูกคิดอย่างนั้น พ่อที่อยู่ที่บ้านไม่ได้คิดเลยแม้แต่นิดหนึ่ง ว่าจะลงโทษอะไร? คิดอย่างเดียวว่าเมื่อไรจะกลับมา กลับมาจะเลี้ยงใหญ่โตเลย จะมีทรัพย์สมบัติให้ ลืมหมดแล้ว ไม่ได้จดจำเลยว่าลูกไปทำอะไรผิดมา ไม่สนใจทั้งสิ้นเลย ถามว่าใครง้อใคร? พระเจ้าง้อมนุษย์นะ
และท่านทั้งหลายที่นั่งอยู่ที่นี่ และฟังอยู่ทางบ้าน ส่วนใหญ่แน่นอน เป็นคริสเตียนแล้ว เป็นลูกของพระเจ้าแล้ว ได้บังเกิดใหม่แล้ว มากกว่านั้นสักเท่าใด ที่พระเจ้ายิ่งง้อเราใหญ่เลย พูดคำนี้ไป นักศาสนาทั้งหลายสะดุ้งเลย ผมพูดเกินไปไหม? ไม่เกิน ท่านคิดดู พระคัมภีร์เขียนไว้อย่างนี้ ขนาดคนบาป ยังไม่ได้กลับใจใหม่ ยังง้ออย่างนี้เลย แล้วท่านเป็นคริสเตียนแล้ว พระเจ้าจะไม่ดูแลท่านมากกว่านี้หรือ? ตอนนี้ท่านเป็นคริสเตียน พระเจ้าสถิตอยู่กับท่าน อยู่ภายในท่านแล้ว ท่านนมัสการพระองค์ด้วยจิตวิญญาณและความจริงแล้ว ท่านดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ พระองค์สถิตอยู่กับท่าน พระองค์จะไม่รักท่าน จะไม่ดูแลท่านยิ่งกว่าไข่ในหินหรือ? ถูกไหม? ถูกสินะ ดูแลท่านยุงไม่ให้ไต่ ไรไม่ให้ตอม เฝ้ามองตลอด อย่านะ อย่าร้องไห้นะ ร้องไห้ปั๊บ จะกุลีกุจอหาอะไรต่างๆ ที่จะเข้าไปช่วยว่าเขาร้องเพราะอะไร? เขาร้องเพราะว่าป่วยหรือเปล่า? ร้องเพราะว่าหิวนม ร้องเพราะว่าต้องการความอบอุ่น ร้องเพราะอากาศไม่ดี ร้องเพราะมดกัด ยุงกัด นี่พระเจ้าง้อเราขนาดนั้น และรักเราขนาดนั้น พระคัมภีร์เขียนไว้อย่างนั้นจริงๆ พระองค์จึงเขียนไว้ว่าพระองค์ทรงรักเราดั่งแก้วตาดวงใจของพระองค์ ปีใหม่แล้ว ปีนี้ ฝังความคิดและความจริงนี้ เข้าไปอยู่ในจิตใจของเรา นี่คือความจริง นี่คือถ้อยคำพระเจ้า ซึ่งเราไม่รู้สึก เราไม่เข้าใจ เราคิดไม่ถึง หาเหตุผลไม่ได้ว่าทำไมรักเรามากขนาดนี้ แต่ให้เราทำอย่างเดียว คือนมัสการพระเจ้าด้วยจิตวิญญาณและความจริง ก็คือยอมจำนน เชื่อในถ้อยคำพระเจ้า เหมือนดั่งเป็นทาสเลย ไม่รู้ฉันจะเชื่อลูกเดียว กลับมาคืนดีกับพระเจ้า ด้วยวิธีใด ตะกี้เราอ่านแล้ว 2 โครินธ์ 5:21 บันทึกไว้อย่างนี้ว่า …
2 โครินธ์ 5:21 “พระเจ้าทรงกระทำพระองค์ ผู้ปราศจากบาป ให้เป็นบาป เพื่อเรา เพื่อในพระองค์ เราจะกลายเป็นความชอบธรรมของพระเจ้า”
เหลือเชื่อ แต่ไม่ยากในการที่จะยอมจำนน แล้วยอมรับความจริงนี้ ดั่งเป็นทาส พระเยซูคริสต์เป็นพระเจ้า พระบุตร กลายสภาพลงมาเป็นมนุษย์ เข้าส่วนร่วมลักษณะของมนุษย์ เป็นสมาชิกคนหนึ่งในครอบครัว เผ่าพันธุ์มนุษย์ในโลกนี้ นี่คือความหมายของเมื่อตะกี้นี้ ที่เราอ่านร่วมกัน แล้วพอมาเป็นสมาชิกคนหนึ่งในครอบครัวของมนุษย์ในโลกนี้แล้ว แล้วทำอะไร? เป็นตัวแทนของเรา รับบาปแทนพวกเราหมดเลย เพื่อมนุษย์จะได้กลายสภาพมาเกิด เป็นบุตรพระเจ้า “พระ” เป็นคำยกย่องที่คนไทยใส่เข้าไป จริงๆ ไม่มีคำว่าพระในภาษาเดิม เป็นคำยกย่อง เพื่อมนุษย์จะได้กลายสภาพมาเกิดใหม่ เป็นลูก หรือเรียกว่าเป็นบุตรของพระเจ้า เข้าส่วนในพระลักษณะของพระเจ้า เป็นสมาชิกคนหนึ่งในครอบครัวของพระเจ้าในสวรรค์ ที่เรียกว่าผู้ชอบธรรม ธรรมิกชนของพระเจ้า พลเมืองสวรรค์
นี่คือความหมายของเมื่อสักครู่นี้ พระเจ้า พระเยซูคริสต์มาเกิดเป็นมนุษย์ เข้ามาเป็นส่วนร่วม เป็นสมาชิกคนหนึ่งในครอบครัวของมนุษย์ เพื่อให้มนุษย์กลายสภาพมาเกิดใหม่ เป็นบุตรของพระเจ้า เข้าส่วนร่วมในพระลักษณะของพระเจ้า
เข้าส่วนร่วมในพระลักษณะของพระเจ้า หมายถึงมีชีวิตนิรันดร์เหมือนพระเจ้า เป็นชีวิตนิรันดร์เหมือนพระเจ้า มนุษย์นี่นะ สามารถเป็นเหมือนพระเจ้าได้ พระคัมภีร์เขียนไว้อย่างนั้น แล้วจะให้ทำอย่างไรล่ะ รู้สึกไหม? ไม่รู้สึก เข้าใจไหม? ไม่เข้าใจ ใช้เหตุผลของมนุษย์ได้ไหม? ไม่ได้ ถ้าใช้เหตุผลของมนุษย์น่าเชื่อไหม? ไม่น่าเชื่อ ถ้าใช้จิตวิญญาณสามารถทำได้ จิตวิญญาณ คือยอมจำนน ยอมรับความจริงตามถ้อยคำพระเจ้าที่บันทึกเอาไว้ เมื่อบันทึกอย่างนี้ ฉันก็เชื่ออย่างนี้ เหมือนดั่งทาส
พระเยซูคริสต์เป็นพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์ เพื่อเป็นตัวแทนของเรา มนุษยชาติบนโลกใบนี้ที่ตายอยู่ในบาป สกปรกในวิญญาณ จิตใจและการกระทำ ให้มาสู่ความชอบธรรม เกิดใหม่ ในความบริสุทธิ์ ดีพร้อมของพระเจ้า เหมือนพระเจ้า ด้วยการสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน เพื่อมนุษย์ทั้งหลาย จะได้สามารถตายร่วมกับพระองค์ ที่ไม้กางเขน เพื่อสามารถเป็นขึ้นมาใหม่ ในวันที่ 3 พร้อมพระองค์ได้ ถ้าเราไม่ตาย เราก็ไม่สามารถเป็นขึ้นจากความตาย พระเยซูเป็นตัวแทนของเรา เมื่อเราเปิดใจต้อนรับพระเยซู หมายถึงต้อนรับพระองค์เป็นตัวแทน พระเจ้าจะนำเราเข้าไปอยู่ในพระเยซูคริสต์ เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์ ที่ตะกี้นี้บอก เพราะว่าเราสามารถเข้ากับพระเจ้าได้ ด้วยวิธีนี้ คือพระเจ้าเอาวิญญาณเก่าของเราที่ตายแล้ว อยู่ในบาป สกปรกนั้น เข้าไปเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเยซูคริสต์ที่ไม้กางเขน แล้วตายพร้อมพระองค์ที่ไม้กางเขน และเมื่อพระองค์ทรงเป็นขึ้นจากความตายในวันที่ 3 เราที่ตายอยู่ในพระเยซูคริสต์ เราก็ได้เกิดพร้อมกับพระเยซูคริสต์ เพราะเราอยู่ในพระเยซูคริสต์ พระเยซูคริสต์เป็นตัวแทนของเรา พระเยซูคริสต์เป็นขึ้นจากความตาย เราก็เป็นขึ้นจากความตายด้วย พระเยซูคริสต์นั่งอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้าในสวรรคสถาน เราก็นั่งอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้าในสวรรคสถานร่วมกับพระเยซูคริสต์ด้วย หมายถึงอย่างนี้
สามารถเข้าใจไหม? ไม่เข้าใจ สามารถใช้เหตุผลได้ไหม? ไม่สามารถ สามารถคิดถึงได้ไหมว่ามันใช่? ไม่สามารถ แต่บันทึกไว้อย่างนี้หรือเปล่าในพระคัมภีร์ ตอบว่าเอเมน เพราะฉะนั้น ฉันยอมรับ จำนน เชื่อในความจริงเหล่านี้ และเมื่อมนุษย์ หรือเราที่เปิดใจต้อนรับความจริงเหล่านี้ เมื่อเราเป็นขึ้นจากความตาย คือบังเกิดใหม่ เราก็บริสุทธิ์ดีพร้อมเหมือนพระเยซูไง เห็นอะไรบางอย่างไหม? พระคัมภีร์บันทึกไว้อย่างนี้ชัดเจนเลย พอเป็นเหมือนพระเยซูคริสต์สะอาดบริสุทธิ์ ดีพร้อม ก็สามารถเข้ากับพระเจ้าได้แล้วคราวนี้ จากน้ำมัน ถูกเปลี่ยนกลายเป็นน้ำแล้ว แรกๆ เป็นน้ำมันอยู่ ใส่ลงไป ก็ไม่มีทางที่เข้าได้ เรายังเป็นความมืดอยู่ ใส่เข้าไป ก็อันตรธานหายไป ไม่สามารถเข้ากับความสว่างได้ แต่ตอนนี้สารเคมีเปลี่ยนไปแล้ว ตรงกันแล้ว เข้ากันได้แล้ว เข้าร่วมเป็นหนึ่งเดียวกันได้กับพระเจ้า เรียกว่าการกลับคืนดีกับพระเจ้านั่นเอง กลับคืนดีกันแล้ว โดยพระเยซูคริสต์
มนุษย์สามารถจะกลับคืนดีกับพระเจ้าได้แล้ว น้ำกับน้ำมันเข้ากันไม่ได้ แต่พระเยซูคริสต์มาทำให้น้ำมันนั้น กลายเป็นน้ำแล้ว สามารถเข้ากันได้ ความบริสุทธิ์เข้ากับบาปไม่ได้ แต่พระเยซูคริสต์เอาบาปออกไปจากมนุษย์แล้ว ทำให้มนุษย์บริสุทธิ์เหมือนพระองค์เลย ก็เลยสามารถที่จะเข้ากับพระเจ้าได้ เพราะบริสุทธิ์เหมือนกัน เราเป็นความมืดมาก่อน แต่พระเยซูคริสต์ทำให้เรากลายเป็นแสงสว่างเหมือนพระองค์ พระเจ้าเป็นความสว่าง เราก็เลยสามารถเข้ากับพระเจ้าได้ เป็นแสงสว่างเหมือนกัน และเมื่อพระเยซูคริสต์ได้กระทำการงานนี้สำเร็จเรียบร้อยแล้วบนไม้กางเขน ประมาณ 2,023 ปีที่แล้ว พระเจ้าจึงเฝ้าประกาศ ขอร้อง ให้มวลมนุษยชาติกลับคืนดีกับพระองค์ ผ่านทางพระบุตร คือพระเยซูคริสต์ ที่พระองค์ทรงกระทำสำเร็จแล้ว ส่งพระเยซูคริสต์มา เพื่อที่จะทำให้เราสามารถที่จะบริสุทธิ์ สะอาด ดีพร้อม ที่จะกลับคืนสู่พระเจ้า เข้ากับพระเจ้าได้ เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเจ้า เข้าสวรรค์ได้นั่นเอง แล้วพระเจ้าก็จะถามท่าน นี่มนุษย์แต่ละคนนะ ตะกี้นี้พูดถึงเผ่าพันธุ์มนุษย์ พระเจ้าก็จะถามมนุษย์ทุกคน แต่ละคนด้วยความรักห่วงใยว่า …
“ลูกเอ๋ย เมื่อลูกได้ยินอย่างนี้แล้ว ลูกกลับคืนดีกับพ่อได้ไหม? โอเคไหม? โอเคนะ?”
เคยนึกถึงภาพ พยายามคิดถึงคนง้อกันเขาจะพูดว่าอย่างไร? … “หยวนๆ น๊า ลืมๆ ไปเถอะ”
ลืมอะไร? “ลืมที่ลูกเคยทำบาปมาทั้งหมด ที่ลูกเคยไม่เข้าใจทั้งหมด ลืมๆ มันไปซะ กลับมาหาพ่อเถอะ”
พระเจ้ากำลังพูดกับท่านในวันนี้แหละท่านเชื่อหรือไม่? และท่านโอเคไหม? ยอมกลับมาคืนดีกับพ่อไหม? พระเจ้ามาเกิดเป็นมนุษย์ เพื่อมนุษย์จะได้เกิดใหม่ มาเป็นบุตรของพระเจ้านั่นเอง พูดสั้นๆ พระเจ้ามาเกิดเป็นมนุษย์ ชื่อพระเยซูคริสต์ ทำให้มนุษย์คนหนึ่ง ใครก็ได้ เชื่อในพระเยซูคริสต์ กลายมาเป็นบุตรของพระเจ้า พระเยซูคริสต์มาเกิดเป็นสภาพมนุษย์ ทำให้มนุษย์สามารถเกิดใหม่ มีสภาพเป็นบุตรของพระเจ้า จริงๆ ก็คือมีสภาพ ไม่ได้เป็นพระเจ้านะ แต่มีสภาพเป็นชีวิตนิรันดร์ ที่เกิดใหม่จากพระเจ้า ชีวิตนิรันดร์เหมือนพระเจ้าเลย แต่เราไม่ใช่พระเจ้า เราก็เป็นผู้ที่ถูกสร้างขึ้นใหม่ เหมือนกัน เหมือนเดิม พระเจ้าก็คือผู้ที่พระองค์ทรงเป็น ไม่มีใครสร้างพระองค์ พระองค์ทรงเป็น ตั้งแต่เริ่มต้นพระองค์ก็ทรงเป็น พูดง่ายๆ มนุษย์ถึงแม้จะเป็นบุตรพระเจ้า แต่เราไม่ใช่พระเจ้า เราเป็นวิญญาณที่มาจากพระเจ้า เป็นวิญญาณที่มี DNA ฝ่ายวิญญาณ มียีนส์ฝ่ายวิญญาณเหมือนพระเจ้า เรียกว่าบุตรพระเจ้านั่นเอง โรม 5:9-11 บันทึกไว้อย่างนี้ว่า …
โรม 5:9-11 “9 เพราะฉะนั้น เมื่อเราถูกชำระให้ชอบธรรมแล้ว โดยพระโลหิตของพระองค์ ยิ่งกว่านั้น เราจะพ้นจากพระพิโรธของพระเจ้า โดยพระองค์ 10 เพราะว่าถ้าขณะที่เรายังเป็นศัตรูต่อพระเจ้า เราได้กลับคืนดีกับพระองค์ โดยที่พระบุตรของพระองค์สิ้นพระชนม์ ยิ่งกว่านั้นอีก เมื่อกลับคืนดีแล้ว เราก็จะรอด โดยพระชนม์ชีพของพระองค์ 11 ไม่ใช่เพียงเท่านั้น เรายังชื่นชมยินดีในพระเจ้า โดยทางพระเยซูคริสต์ องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา ผู้ทรงเป็นเหตุให้เรากลับคืนดีกับพระเจ้า”
“เพราะฉะนั้น เมื่อเราถูกชำระให้ชอบธรรมแล้ว” ด้วยอะไร? “ด้วยพระโลหิตของพระองค์ ที่หลั่งที่ไม้กางเขน ยิ่งกว่านั้น เราจะพ้นจากพระพิโรธของพระเจ้า โดยพระองค์”
พ้นจากพระพิโรธ ก็คือพ้นจากการเป็นศัตรูของพระเจ้า พระพิโรธ ก็อย่างที่ตะกี้นี้บอก น้ำกับน้ำมันเข้ากันไม่ได้ น้ำมันเด้งออกๆ น้ำเกิดพระพิโรธกับน้ำมัน เข้ากันไม่ได้ มันหมายถึงอย่างนั้น เราเป็นความมืด เราไม่สามารถเข้ากับพระเจ้าได้ แสงสว่าง พิโรธ ความมืดมากเลย เจอความมืดไม่ได้เลย พิโรธมาก เอาไฟฉายส่องไปที่มืด อะไรหายไป? ความมืดหายไป เพราะแสงสว่างเกิดความโกรธเกรี้ยว เกิดความพิโรธต่อความมืดมาก มันหมายถึงอย่างนั้น
“เพราะว่าขณะที่เราเป็นศัตรูกับพระเจ้า” ก็คือเราเข้ากับพระเจ้าไม่ได้ ขณะที่เราเป็นความมืด เป็นคนบาป อยู่ในความบาป อยู่ในความสกปรกเข้ากับพระเจ้าไม่ได้ เราได้กลับคืนดีกับพระองค์ โดยพระบุตรของพระองค์ ผู้ทรงสิ้นพระชนม์ ก็คือการสิ้นพระชนม์ของพระเยซูคริสต์ ทำให้เราเข้ากับพระเจ้าได้ เข้ากับพระเยซูได้ เมื่อกลับคืนดีกันแล้ว เราก็จะรอด โดยพระชนม์ชีพของพระองค์ คือกลับคืนดีกัน เราก็ได้บังเกิดใหม่ เข้ามาเป็นบุตรของพระเจ้า
“ไม่ใช่เท่านั้น เรายังชื่นชมยินดีในพระเจ้า โดยทางพระเยซูคริสต์ องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา ผู้ทรงเป็นเหตุให้เรากลับคืนดีกับพระเจ้า” ใครเป็นเหตุให้เรากลับคืนดีกับพระเจ้า? พระเยซูคริสต์ผู้ทรงเป็นพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์ เจ้าของคริสตมาสนั่นเอง
“โดยทางพระเยซูคริสต์ องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา ผู้ทรงเป็นเหตุให้เรากลับคืนดีกับพระเจ้า” นี่คือทรัพย์สมบัติอันล้ำค่าที่สุดของชีวิตของมนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้ ก็คือการได้กลับคืนดีกับพระเจ้า เข้ากันกับพระเจ้าได้ คือสิ่งที่มนุษย์ต้องการมากที่สุด มนุษย์ไม่รู้ แต่โดยการประพฤติมนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้ ไม่ว่าจะรู้จักพระเจ้าหรือไม่รู้จักพระเจ้า จะมีในใจอย่างนี้ ต้องการจะกลับไปหาพระเจ้า ในใจของเขาเรียกร้องสิ่งเหล่านี้แหละ เพียงแต่เขามาถูกทางไหมเท่านั้นเอง คือการกลับคืนดีกับพระเจ้า กลับเข้าไปหาพระเจ้า ผู้ทรงสร้างเขา เพื่อจะได้เข้ากันได้กับพระองค์ นี่คือสิ่งที่เขาต้องการ ก็คือการบังเกิดใหม่ เข้าไปอยู่ในสวรรค์ เป็นครอบครัวเดียวกับพระเจ้า นี่คือสิ่งที่มนุษย์ต้องการทั้งหมด จึงเป็นสิ่งที่มีค่า ล้ำค่าที่สุด ที่มนุษย์ต้องการ ก็คือการได้เข้าสู่สวรรค์ บังเกิดใหม่ และสามารถเข้าไปอยู่ในสวรรค์ได้ทันที มนุษย์ก็อยากได้ทันที เดี๋ยวนี้เลย มนุษย์ทุกคนอยากอยู่ในสวรรค์เดี๋ยวนี้แหละ และพระเจ้าทำให้เสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็คือทำให้มนุษย์กลับคืนดีกับพระเจ้า เข้ามาอยู่กับพระเจ้าในสวรรค์สถาน บังเกิดใหม่ เป็นลูกของพระเจ้าได้ทันที ไม่ต้องรอให้ตายก่อน ถ้าตายก่อน มันช้าไปแล้ว นี่พิสูจน์ได้ทันทีเลย และพอบังเกิดใหม่แล้ว แค่นั้นยังไม่พอ ได้เข้าสู่สวรรค์ทันที แค่นั้นยังไม่พอ กลับคืนดีกับพระเจ้าทันทีแล้ว แค่นั้นยังไม่พอ เขาคนนั้น ขณะที่ดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ พระเจ้าเข้ามาสถิตอยู่ในเขา จะเป็นผู้นำพาชีวิตของเขา จากภายใน ไปจนกระทั่งถึงหมดลมหายใจ ทิ้งร่างกายเดิม แล้วรับร่างกายใหม่ คือร่างกายสวรรค์ที่พระเจ้าจัดเตรียมไว้ให้กับเขา ผู้นั้นที่กลับคืนดีกับพระเจ้า ตอนอยู่บนโลกนะ และจะอยู่กับผู้นั้น ลูกๆ ของพระองค์ที่อยู่ในสวรรค์นั้นนิรันดร์ ขณะดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ ก็อยู่แล้ว แล้วก็จะอยู่กับเขา หลังจากความตายก็จะอยู่กับเขาในสวรรค์นิรันดร์ บันทึกไว้ในพระคัมภีร์อย่างนี้ เข้าใจไหม? ไม่เข้าใจ มีเหตุผลไหม? ไม่มีเหตุผล มีหลักฐานตามภาษามนุษย์ไหม? ไม่มี จับได้ไหม? ไม่ได้ มองเห็นไหม? ไม่เห็น แต่ต้องใช้อะไร? นมัสการพระเจ้าด้วยจิตวิญญาณและความจริง ก็คือยอมถ่อมตนยอมรับว่านี่คือถ้อยคำพระเจ้า ตรงนี้คือความจริง ฉันยอมรับความจริงตรงนี้ เชื่อความจริงตรงนี้ เหมือนดั่งเป็นทาส เราไม่ใช่เป็นทาสนะ แต่เหมือนดั่งเป็นทาส
และเมื่อเราได้กลับคืนดีกับพระเจ้า ได้มาเป็นลูกของพระเจ้าแล้ว เราก็สามารถที่จะฝากทุกเรื่องไว้ที่พระองค์ได้แล้ว หายเหนื่อยและเป็นสุข ในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ไม่ว่าจะต้องการวัตถุสิ่งของอะไรบนโลกใบนี้ ที่จำเป็นในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ หรือเรื่องอะไรต่างๆ ที่จำเป็นในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ไม่มีความสุข อุปสรรคปัญหาใดๆ ต่างๆ ยกออกจากจิตใจ ยกออกจากชีวิตของเราได้เลย มอบภาระทั้งหมดนี้ไว้ให้กับพระเจ้า ผู้ยิ่งใหญ่สูงสุด ที่เราเคยบอกว่าพระองค์ทรงสร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก อยู่ไกลเหลือเกิน ตอนนี้อยู่ในเรา เดินอยู่กับเราทุกวันๆ ไม่ต้องไปวัด ไม่ต้องไปวิหาร ไม่ต้องไปโบสถ์ ไม่ต้องไปที่ไหนก็ได้ เพราะพระเจ้า ไม่ได้อยู่ที่โน่น ที่โน่นมีประโยชน์ ก็คือเรามาร่วมกันศึกษาถ้อยคำพระเจ้า มาหนุนจิตใจ ตามภาษามนุษย์ มาสังสรรค์กัน แต่เราสามารถฝากฝังกับพระเจ้า พูดคุยกับพระเจ้าได้ทุกหนทุกแห่ง ทุกที่ เพราะพระองค์ทรงอยู่กับเรา แม้ตอนที่เราหลับอยู่ พระองค์ก็อยู่ แล้วไม่หลับด้วย ตอนเราหลับ พระองค์ก็มองเราอยู่ เอเมนไหม?
เพราะฉะนั้น เราสามารถฝากทุกเรื่องไว้ ไม่ว่าจะเรื่องอะไรก็ตาม ในปี 2023 วันนี้เป็นวันปีใหม่พอดีเลย ตั้งต้นชีวิตใหม่เลยว่า …
“จากนี้ไป ไม่ว่าเรื่องอะไรก็ตาม ฉันจะฝากไว้ที่พระองค์” … เอเมนไหม? เหมือนเพลงที่เราร้อง
“แต่ข้ารู้จัก พระองค์ที่ข้าเชื่อ และเชื่อมั่นคงว่า พระองค์ทรงฤทธา
รักษา ซึ่งมอบไว้กับพระองค์ จนถึงกาลวันนั้นได้”
กาลวันนั้น คือวันที่เราเข้าสู่สวรรค์จริงๆ ในโลกวิญญาณ พบกับพระเยซูหน้าต่อหน้า พบกับพระเจ้าหน้าต่อหน้า และจะอยู่กับพระองค์นิรันดร์กาลนั่นเอง
เพราะอะไรเราถึงฝากกับพระองค์ได้ทั้งหมด เพราะขณะนี้ ที่เรายอมรับความจริงนี้เรียบร้อยแล้ว เรากลับคืนดีกับพระเจ้าแล้ว เราได้เป็นลูกของพระเจ้า ที่บริสุทธิ์ ดีพร้อมตลอดไป ไม่ใช่ดีพร้อม เฉพาะตอนนี้ เดี๋ยวออกไปแดดร้อนๆ ขับรถหงุดหงิดๆ ไปว่าคนโน้นคนนี้ …
“ฉันอยู่ในสวรรค์หรือเปล่า? ยังอยู่ไหม? มันคนละเรื่องกัน เพราะว่าฉันได้บังเกิดใหม่แล้ว เป็นลูกของพระเจ้าแล้วตลอดไป พระองค์ทรงยืนยันด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ ที่สถิตอยู่ในใจฉัน บอกฉัน ยืนยันกับฉันว่าฉันเป็นลูกของพระองค์ตลอดไป และพระวิญญาณก็อยู่ในฉันตลอดไปด้วยเช่นเดียวกัน เอเมน”
เอเมน คืออะไร? เอเมน ก็คือนมัสการพระเจ้าด้วยจิตวิญญาณและความจริง ถูกไหม? ยอมรับความจริง เหมือนดั่งเป็นทาส เอเมน คือเมื่อฟังถ้อยคำพระเจ้าในพระคัมภีร์ เราก็บอกว่าเอเมน ก็คือโอเค ยอมรับ นมัสการ นี่คือถ้อยคำพระเจ้า
สิ่งเดียวที่พระเจ้าต้องการจากเรา ก็คือเมื่อพระเจ้าเข้ามาสถิตอยู่กับเรา เราก็เป็นหนึ่งเดียวกับพระเจ้าแล้ว ก็คือเมื่อกลับคืนดีกับพระเจ้าเรียบร้อยแล้ว เราก็เพียงแต่ให้ความร่วมมือกับพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่สถิตอยู่ภายในเรา ที่จะคอยฝึกสอนเรา นำพาเราด้วยความรัก ดังแก้วตาดวงใจ ด้วยความรักที่ไม่มีเงื่อนไข ให้เราประพฤติตน ปฏิบัติตนให้สมกับเป็นลูกของพระเจ้า ได้สมกับกลับคืนดีกับพระเจ้า ได้สมกับเป็นลูกแห่งความสว่าง สมกับเป็นลูกแห่งความดีงาม บริสุทธิ์ และดีพร้อม เหมือนพระเจ้าของเรา พระวิญญาณก็จะฝึกสอนเราทีละนิดทีละหน่อย ให้รู้การล่อลวงของมาร กิเลสตัณหาทางฝ่ายเนื้อหนัง เราก็จะมีสติสัมปชัญญะ พระองค์จะทรงนำเราเหมือนเด็กเล็กๆ คนหนึ่ง ค่อยๆ สอนเราเตาะแตะ เตาะแตะไป
เพราะฉะนั้น ในวันนี้ พระเจ้ากำลังถามว่า … พระเยซูกำลังถามว่าท่านเป็นคนหนึ่งหรือเปล่าที่กำลังเสาะแสวงหาอะไรบางอย่าง ท่านรู้หรือไม่ว่าพระเจ้ากำลังง้อท่านอยู่ กำลังเฝ้าตามหาท่าน ขอร้องให้ท่านกลับมาคืนดีกับพระองค์ กลับบ้าน ก็คือกลับเข้ามาอยู่ในสวรรค์ทันที บนโลกใบนี้เลย ที่ไหนก็ได้ ท่านสามารถกลับคืนดีกับพระเจ้าได้ทันทีเลย อยู่ตรงไหน ท่านก็สามารถกลับคืนดีกับพระเจ้าได้ ไม่ต้องมาที่วิหาร ไม่ต้องมาที่วัด ไม่ต้องมาที่โบสถ์ ไม่ต้องมาที่คริสตจักร ไม่ต้องมาหาศิษยาภิบาลก็ได้ พระเจ้าอยู่ทุกหนทุกแห่ง พระเจ้าแสวงหาคนนั้น ที่ต้องการแสวงหาความจริงเหล่านี้ด้วยจิตวิญญาณและความจริง พระองค์กำลังบอกท่านว่าให้ท่านกลับมาเป็นลูกของพระองค์เหมือนเดิม กลับมารับมรดกที่พระองค์ทรงเตรียมไว้ให้กับท่านเยอะแยะมากมายไปหมด จงรับรู้ว่าในโลกนี้ ที่กำลังดำเนินอยู่นั้น มันแสนน่ากลัวและเต็มไปด้วยความมืด ความทุกข์ยาก ปัญหาสารพัด และความตายที่มาอย่างปัจจุบันทันด่วน อย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัว ซึ่งมันจะทำให้ท่านเสียโอกาส และมันสายไป ให้ท่านรับรู้ว่าพระเยซูคริสต์กำลังมองท่านอยู่ กำลังตามหาท่านอยู่ ด้วยความรัก ด้วยความห่วงใย และจดจ่ออยู่ที่ท่าน ท่านเพียงคนเดียว ฉันเพียงคนเดียว เพราะพระองค์ทรงเป็นพระเจ้า พระองค์ทรงอยู่ทุกหนทุกแห่งได้ เราคิดไม่ถึงหรอก แต่พระคัมภีร์บอกไว้อย่างนั้นว่าพระเจ้าดูแลเราคนต่อคนเลย
นี่เรากำลังพูดถึงคนที่ยังไม่เชื่อ ยังไม่กลับใจใหม่ ยังไม่ได้กลับมาคืนดีกับพระเจ้า ยังไม่ได้เป็นคริสเตียน ท่านแต่ละคน พระเยซูกำลังเดินอยู่เคียงข้างท่าน เคาะประตูท่านแต่ละคนเลย
สำหรับคนที่เป็นคริสเตียนแล้ว ก็เช่นเดียวกัน ท่านกำลังดำเนินชีวิต ท่านกำลังคิดว่าพระเจ้าอวยพรท่าน เหมือนกับคนอื่นอะไรต่างๆ เหล่านั้น แต่พระองค์บอก …
“ไม่ใช่ ฉันอวยพรเธอ มีความสัมพันธ์ มีความรักต่อเธอ”
เป็นเดี่ยวๆ มันลึกซึ้งมากกว่าเยอะ เพราะฉะนั้น สำหรับคนที่เป็นคริสเตียนแล้ว จงวางใจในพระเจ้า พระเจ้าสถิตอยู่กับท่าน ดำเนินอยู่กับท่านอย่างสนิทสนม คนต่อคนเลย สำหรับคนที่ยังไม่ได้เป็นคริสเตียน พระเจ้ากำลังง้อท่านแต่ละท่าน ให้ท่านกลับมาคืนดีกับพระองค์เถิด ปีนี้จะเป็นปีทองของท่านเลย แล้วไม่ใช่ทองธรรมดา ทองตลอดไปเลย ไม่ใช่ปีเดียว ไปจนถึงนิรันดร์เลย คือกลับมาคืนดีกับพระเจ้าเถิด จงเชื่อและมั่นใจเถิดว่าพระเจ้ากำลังง้อท่านอยู่ ให้กลับมาคืนดีกับพระองค์ผ่านทางพระเยซูคริสต์ ซึ่งพระองค์ทรงกระทำสำเร็จแล้ว เอเมน ขอบคุณพระเจ้า พระเจ้าอวยพรครับ
***********************
จากใจคณะศิษยาภิบาล
เพราะท่านได้บังเกิดใหม่ในพระคริสต์ พระคริสต์เป็นความรัก ท่านก็เป็นความรักด้วยเช่นกัน
1 ยอห์น 4:17 … “ในการได้เข้าส่วนร่วมเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระคริสต์นี้ (คือการบังเกิดใหม่ในวิญญาณ) ความรัก (อากาเป้ แบบพระเจ้า) จึงได้เกิดขึ้น อย่างสมบูรณ์ครบถ้วนในตัวเรา (ทั้งวิญญาณและจิตใจ) เราจึงมีความมั่นใจในวันพิพากษา ที่เรามีความมั่นใจอย่างเต็มเปี่ยม ก็เพราะวิญญาณและจิตใจของเรา ขณะที่อยู่ในโลกนี้นั้น เป็นวิญญาณและจิตใจที่เหมือนกับวิญญาณและจิตใจของพระคริสต์”
พระเยซูคริสต์จึงตรัสว่า …
ยอห์น 13:34 … “เราให้บัญญัติใหม่ไว้แก่เจ้าทั้งหลาย คือให้เจ้ารักซึ่งกันและกัน เรารักเจ้าทั้งหลาย (ด้วยวิญญาณและความจริงใจ) มาแล้วอย่างไร เจ้าจงรักกันและกันด้วยอย่างนั้น”
เมื่อเราบังเกิดใหม่ ได้เป็นความรักเหมือนพระเจ้าแล้ว เราจึงแบ่งปันความรักที่เหมือนพระเจ้านี้ โดยธรรมชาติของวิญญาณและจิตใจใหม่ ที่พระเจ้าประทานให้ ตอนบังเกิดใหม่ให้แก่คนอื่นได้ อย่างเป็นธรรมชาติ ไม่รู้สึกเป็นภาระหนัก เหมือนในอดีตก่อนบังเกิดใหม่ ที่ต้องพยายามรักผู้อื่น ในขณะที่วิญญาณและจิตใจข้างใน เป็นวิญญาณแห่งความเกลียดชัง เป็นศัตรูกับพระเจ้าผู้เป็นความรัก
1 ยอห์น 5:3 … “เพราะนี่แหละ เป็นความรัก (ด้วยวิญญาณและความจริงใจ) ต่อพระองค์ คือที่เราทั้งหลายประพฤติตามพระบัญญัติของพระองค์ (ซึ่งใส่ไว้ในวิญญาณและจิตใจใหม่ของเราแล้ว) และพระบัญญัติของพระองค์นั้น (คือให้เรารักกันและกันด้วยวิญญาณและใจจริง) ไม่เป็นภาระ”
ไม่เป็นภาระ เพราะเป็นธรรมชาติใหม่ของตัวตนที่ได้บังเกิดใหม่แล้วในวิญญาณ เป็นลูกของพระเจ้าเป็นความรักเหมือนพระเจ้า