วารสาร Holy News ฉบับที่ 1383

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  18  กันยายน  2022

เรื่อง “คำประกาศของพระเยซู ที่มักมีการเข้าใจผิด” ตอน 6

“คำเทศนาบนภูเขา” EP.5

“ต้องบริสุทธิ์ ดีพร้อมเหมือนพระบิดาของท่านในสวรรค์”

โดย นคร   เวชสุภาพร

 

วันนี้ “คำเทศนาบนภูเขา” Ep.5 เป็นคำเทศนาครั้งที่ 6 ซีรี่ย์ชุด “คำประกาศของพระเยซู ที่มักมีการเข้าใจผิด” เราผ่านมาแล้ว 5 ตอน …

ตอนที่ 1  จงแสวงหาอาณาจักรของพระเจ้า และความชอบธรรมของพระองค์ก่อน

ตอนที่ 2  คำเทศนาบนภูเขา  Ep 1 : คนป่วยต้องการหมอ  คนบาปต้องการพระเยซู

ตอนที่ 3  คำเทศนาบนภูเขา  Ep 2 : พระเยซูถูกกล่าวหาว่ามาล้มล้างกฎบัญญัติ

ตอนที่ 4  คำเทศนาบนภูเขา  Ep 3 : กฎแห่งกรรม ทำบาปเพียงครั้งเดียว ก็ไม่ได้ไปสวรรค์

ตอนที่ 5  คำเทศนาบนภูเขา  Ep 4 : มนุษย์มองที่ความประพฤติภายนอก แต่พระเจ้ามองที่

วิญญาณข้างใน

ตอนที่ 6  (วันนี้) คำเทศนาบนภูเขา Ep 5 : ต้องบริสุทธิ์ดีพร้อม เหมือนพระบิดาของท่าน

ในสวรรค์

ในบริบทของคำเทศนาบนภูเขา ที่เราเรียนกันมา วันนี้ตอนที่ 6 แล้ว พระเยซูกำลังบอกกับชาวยิว เป็นชนชาติแรกก่อนมนุษย์คนอื่นๆ บอกว่าสวรรค์กำลังมาตั้งอยู่ ใครจะเข้าสวรรค์ได้  ต้องมาเชื่อและวางใจในพระองค์ ผู้เป็นพระบุตรของพระเจ้า ที่พระเจ้าได้ส่งพระองค์มา เพื่อช่วยมนุษย์ให้หลุดพ้น จากอำนาจของความบาป ตามพระสัญญาที่ให้ไว้ตั้งนานมาแล้ว พระองค์คือพระมาซีฮาห์  พระผู้ช่วยให้รอด เพราะฉะนั้น ให้วางใจในพระองค์ แล้วจะได้บังเกิดใหม่ เป็นผู้บริสุทธิ์ ชอบธรรม ดีพร้อม เหมือนพระเจ้า เข้าไปอยู่ในสวรรค์เลย เพราะฉะนั้น จงหันหลังให้กับทางเก่า จงกลับใจใหม่เสียเถิดชาวยิวและเล็งถึงมนุษย์ทั้งหลาย

ทางเก่า คือการพึ่งพาบทบัญญัติ พึ่งพาการกระทำดีของตนเอง ตามกฎหมายศีลธรรมต่างๆ ซึ่งตัวเองคิดว่ามันดีแล้ว ซึ่งถ้าพลาดกฎเหล่านั้น แค่เพียงนิดเดียว ก็ไปไม่รอด  หมดสิทธิ์เข้าสวรรค์เลย พระองค์กำลังมาเตือนอย่างนั้น พระเยซูเตือนด้วยความรัก ความห่วงใย เพราะพระองค์เป็นความรัก พระเจ้าทรงเป็นความรัก

พระเยซูมาเตือนด้วยความรัก ความห่วงใยว่าจงยกเลิกความพยายาม ที่เป็นไปไม่ได้นั้นเถิด แล้วหันมาพึ่งในการกระทำของพระเจ้า ผ่านทางพระบุตรดีกว่า เพราะว่าเมื่อได้บังเกิดใหม่ ในพระบุตรแล้ว พระองค์ก็จะสอนเรากระทำดีทีหลังตามมาเอง และสอนเราด้วยพระองค์เองเลย เมื่อเราเกิดใหม่ และพระองค์จะเข้ามาสถิตอยู่กับเราเลย แล้วจะมาสอนเราทำดีเอง เอเมน

ทางของมนุษย์ คือสะสมความดีก่อน เพื่อจะได้ไปสวรรค์ แต่ทางของพระเจ้า คืออยู่ในสวรรค์ก่อน แล้วค่อย มาสะสมความดีทีหลัง ค่อยๆ คิดตาม ความคิดมนุษย์ คือประพฤติตนเองให้บริสุทธิ์ ดีพร้อม เพื่อจะไปสวรรค์ ความคิดของพระเจ้า คือทำให้เจ้าบริสุทธิ์ ดีพร้อม อยู่ในสวรรค์ก่อน แล้วเราฝึกฝนเจ้าให้ประพฤติตน สมกับที่บริสุทธิ์ ดีพร้อมแล้วนั่นแหละ จะเอาอย่างไหนดี ทางไปสวรรค์ของมนุษย์ คือพึ่งพาการกระทำของตนเองนั่นเอง  แต่ทางไปสวรรค์ของพระเจ้า คือพึ่งพาการกระทำของพระเยซูคริสต์ บนไม้กางเขนเท่านั้น ซึ่งครั้งที่แล้ว เราได้ยกโรม 3:9-20 แต่วันนี้จะอ่านเฉพาะข้อ 9 กับข้อ 20 เท่านั้น …

โรม 3:9, 20 “9 เช่นนี้แล้ว เราจะสรุปว่าอย่างไร พวกเราชาวยิวดีกว่าคนอื่นหรือ! ไม่เลย เราชี้ให้เห็นแล้วว่าทั้งคนยิวและคนต่างชาติ ล้วนอยู่ภายใต้บาป เหมือนกันหมด

20 ฉะนั้น ไม่มีใครได้ชื่อว่าเป็นคนชอบธรรมในสายพระเนตรของพระเจ้า โดยการรักษาบทบัญญัติ บทบัญญัติเพียงแต่ทำให้เรารู้ตัวว่ามีบาป เป็นคนบาป”

 

ก็คือในสายพระเนตรพระเจ้า ไม่มีใครเป็นคนชอบธรรม โดยการรักษาการกระทำดี ทำตามศีลธรรมอันดีงามได้เลย

เพราะฉะนั้น สรุป ก็คือช่วยตัวเองไม่ได้หรอก แก้ไขตัวเองด้วยความประพฤติของตนเองไม่ได้หรอก ต้องมาเชื่อพระองค์ แล้วมาตาย แล้วเกิดใหม่ เมื่อช่วยไม่ได้ ต้องทำอย่างไร? ต้องไปตาย แล้วเกิดใหม่ นั่นแหละ คือสิ่งที่พระเยซูกำลังเตือนมนุษย์ ในหนังสือทิตัส 2:11-12 ได้บันทึกไว้อย่างนี้ว่า …

ทิตัส 2:11-12 “11 เพราะว่าพระคุณของพระเจ้าที่นำไปถึงการปลดปล่อย ให้เป็นอิสระจากการเป็นทาสของบาป และความรอดนิรันดร์ ได้ปรากฏแก่คนทั้งปวงแล้ว 12 พระคุณนี้สอนเราที่จะฝึกฝน ปฏิเสธการทำบาป และไม่ทำตามกิเลส โลกียตัณหาของเนื้อหนัง และดำเนินชีวิตในโลกปัจจุบันนี้ อย่างมีสติสัมปชัญญะ (ตามพระวิญญาณ) ตามทางพระเจ้า สมกับเป็นผู้ชอบธรรม (เป็นลูกที่บริสุทธิ์ ดีพร้อม เหมือนพระเจ้า)”

 

ตรงนี้หมายถึงอะไร? พระคุณพระเจ้า คือพระเยซูคริสต์ พระบุตรของพระเจ้า ที่พระองค์กำลังประกาศ เป็นพระคุณของพระเจ้า ทำให้มนุษย์ได้บังเกิดใหม่ พ้นจากเชื้อบาป

ข้อ 12 บอกว่าพระคุณนี้ คือพระคุณของพระเจ้าที่ให้เราบังเกิดใหม่ สะอาด บริสุทธิ์ ดีพร้อมเหมือนพระเจ้า พระคุณนี้ จะสอนเรา ที่จะฝึกฝน  ปฏิเสธการทำบาป และไม่ทำตามกิเลส โลกียตัณหาของเนื้อหนัง และดำเนินชีวิตในโลกปัจจุบันนี้อย่างมีสติ สัมปชัญญะ ตามพระวิญญาณ ตามทางของพระเจ้า สมกับเป็นผู้ชอบธรรม เป็นลูกที่ดีพร้อมเหมือนพระเจ้าแล้วนั้น นี่บันทึกไว้อย่างนี้ชัดเจนว่าพระเจ้าให้เราบริสุทธิ์ ดีพร้อม โดยพระองค์ทรงกระทำให้เราเลย เสร็จแล้ว ก็เข้ามาสถิตอยู่กับเรา แล้วก็มาสอนเราให้ประพฤติดีตามกฎหมายศีลธรรมที่ดีงามต่างๆ เหล่านั้น ทีหลัง เอเมนไหม?

จริงๆ เอาซีรี่ย์นี้ แล้วใช้เพลงจบซีรี่ย์ว่า “จงวางใจในพระเจ้า  และกระทำความดี” อะไรมาก่อน “วางใจพระเจ้า และทำความดี” ไม่ใช่ร้องอย่างนี้ใช่ไหม?  “ทำความดีก่อน แล้วไปสวรรค์” ไม่ใช่ วางใจในพระเยซูคริสต์ แล้วเข้าไปสู่สวรรค์ บังเกิดใหม่ บริสุทธิ์ ดีพร้อม เหมือนพระเจ้า เมื่ออยู่ในสวรรค์แล้ว พ่อของเรา คือพระเจ้า ก็จะสอนเราเหมือนเด็กเล็กๆ คนหนึ่งที่เป็นทารก อุแว้ ที่อยู่ในบ้านของพระเจ้า แล้วพระองค์ก็ดูแลเรา นำพาเรา ให้สมกับที่เป็นลูกของพระเจ้า เอเมนไหม? ใช่ไหม? ไม่ใช่ไม่ให้ความสำคัญกับกฎหมาย ศีลธรรม ดีงาม พระเยซูไม่ได้มาสอนเรื่องนี้หรือ? ไม่ได้สอนจริงๆ เพราะคนก็รู้อยู่แล้ว มันเขียนอยู่ในใจของเราอยู่แล้ว

วันนี้มาต่อกันที่มัทธิว 5:27-48 ครั้งที่แล้วเรา จบกันที่ข้อ 26 วันนี้เราจะต่อข้อ 27 แต่ก่อนที่จะต่อ ต้องเริ่มอ่านอะไรก่อน ครั้งที่แล้วบอกแล้ว บริบทนี้ ต้องอ่านหัวใจก่อน ก็คือข้อ 48 ข้อสุดท้ายเสียก่อน …

มัทธิว 5:48 “เหตุฉะนั้น จงบริสุทธิ์ ดีพร้อม เหมือนพระบิดาของท่านในสวรรค์ทรงบริสุทธิ์ ดีพร้อม”

 

นี่คือชื่อเรื่องของ EP ในวันนี้ด้วย เหตุฉะนั้น พระคัมภีร์ที่เราศึกษากันต่อในวันนี้ ทั้งหมด พระเยซูกำลังประกาศว่าเป้าหมายของพระองค์ คือมนุษย์ทำไม่ได้หรอก เลิกล้มความตั้งใจ ที่จะแสวงหาความชอบธรรม โดยการกระทำของตนเองเถิด ท่านต้องเกิดใหม่เท่านั้น เพื่อจะได้เป็นผู้ดีพร้อมเหมือนพระเจ้า ความชอบธรรมของท่าน ต้องเท่ากับพระเจ้าเท่านั้น จึงสามารถอยู่กับพระเจ้าในสวรรค์ได้

นี่คือเบื้องหลัง ก่อนที่เราจะอ่าน ให้รู้แบล็คกราว์น เบื้องหลังคำพูดอุปมา การยกตัวอย่างของพระเยซูที่จะอ่านต่อไปนี้ เป้าหมาย คือพุ่งไปตรงนี้ ไม่ได้มาสอนให้เราคริสเตียน หรือไม่คริสเตียนทำตาม ฟังให้ดีๆ อีกทีหนึ่ง อ่านไป จะได้รู้ว่าพระองค์ ไม่ได้ตั้งใจมาสอน ให้เราทำตาม แต่มาบอกว่าเราทำไม่ได้หรอก มาพึ่งพระองค์ก่อน แล้วพระองค์จะสอนเรากระทำตามกฎบัญญัติ อันใหม่เอง ด้วยตัวของพระองค์เอง กฎศีลธรรมอันดีงาม บทบัญญัติ ที่พระเจ้าต้องการให้ทำ เดี๋ยวจะทำ ใจเย็นๆ ตรงนี้ มันหมายถึงอย่างนั้น เพราะฉะนั้น ก่อนจะอ่าน ผมจึงพยายามปูพื้นเบื้องหลัง ให้ท่านรู้ก่อน เพื่อว่าอ่านแล้วจะได้ไม่งง และจะไม่ได้เข้าใจผิดว่าพระเจ้ากำลังให้เราทำ กำลังจะบอกว่าอย่าทำ แล้วเราไปอ่านว่าให้ทำ มันต่างกันขนาดไหน? มันก็เสียหายใหญ่โต ถูกไหม? พระเยซูกำลังบอกว่าไม่ต้องทำ อย่าทำ ทำไม่ได้หรอก มาพึ่งในพระองค์ เดี๋ยวพระองค์จะสอนวิธีทำอย่างใหม่ให้ นี่ต้องเข้าใจตรงนี้ก่อน

เราจะมาเริ่มต้น ที่บัญญัติในเรื่องเกี่ยวกับการล่วงประเวณี ข้อ 27-30 …

มัทธิว 5:27-30 “27 ท่านทั้งหลายได้ยินคำซึ่งกล่าวไว้ว่า ‘อย่าล่วงประเวณี’ 28 แต่เราบอกท่านว่าผู้ใดมองดูผู้หญิงด้วยใจกำหนัด ก็ได้ล่วงประเวณีกับนางในใจของเขาแล้ว 29 หากตาข้างขวาของท่านเป็นเหตุให้ทำบาป จงควักทิ้งเสีย ถึงจะเสียอวัยวะส่วนหนึ่งไป ก็ยังดีกว่า ทั้งตัวต้องตกนรก 30 และถ้ามือขวาของท่านเป็นเหตุให้ทำบาป ก็จงตัดทิ้งเสีย ถึงจะเสียอวัยวะส่วนหนึ่งไป ก็ยังดีกว่า ทั้งตัวต้องตกนรก”

 

Key word อยู่ที่คำต่อไปนี้ “ด้วยใจกำหนัด ในใจของเขาต้องตกนรก” ใจกำหนัดกับในใจของเขา “ในใจของเขา” คือในใจที่บาป มนุษย์ทุกคนบาป ในใจบาป มันก็คิดอยู่ในใจ เป็นความชั่ว พระเยซูกำลัง มายกมาตรฐานของพระเจ้าให้เห็น ไม่ใช่มาตั้งใจสอนเราให้ทำอย่างนี้ ใครไปทำได้ ไม่คิดกำหนัด มาตรฐานที่พระเจ้ากำหนดไว้ ศีลธรรมที่จะไปอยู่ในสวรรค์กับพระเจ้า พระเยซูบอกยกขึ้นมา มันต้องถึงขนาดนี้ ถ้าอยากจะทำเอง

ยกขึ้นมาขนาดไหน? ขนาดครั้งที่แล้ว เราก็ได้เรียนรู้ ฆ่าคนตาย มีค่าเท่ากับอะไร? ด่าคนว่า “ไอ้โง่” กับ “ฆ่าคนตาย” มีโทษเท่ากัน ถูกไหม?

คิดกำหนัดในใจ มีค่าเท่ากับล่วงประเวณี ครั้งที่แล้วเราได้เรียนรู้ ยกโทษให้คนอื่นก่อน ที่จะมาขอการยกโทษ จากพระเจ้า พระเจ้าจะยกโทษให้กับท่าน เมื่อท่านยกโทษให้คนอื่นก่อน ถ้าท่านไม่ยกโทษให้คนอื่น ทำอะไร? ตกนรกไง ครั้งที่แล้วเราเรียนรู้ เอาเครื่องบูชามาขออภัยจากพระเจ้า วางไว้ก่อน ไปเคลียร์กับมนุษย์ด้วยกันก่อน เคลียร์ไหวไหม? ท่านต้องรักศัตรูถึงขนาดนั้น ตกนรกเหมือนกัน พอมองเห็นไหมครับว่ามาตรฐานของพระเจ้ากับมนุษย์มันต่างกันขนาดไหน?

มนุษย์คิดว่า … “ไม่หรอก ทำขนาดนี้ ตกนรกน้อยหน่อย ไปฆ่าเขาตาย ตกนรกมากหน่อย แค่ว่าเขาไอ้บ้า อิจฉาเขา แค่นี้ ตกนรกนิดเดียว”

สำหรับพระเจ้าแล้ว ตกนรกเท่าๆ กัน ตกนรกเหมือนกัน คิดในใจกับเขาทำข้างนอก ตกนรกเหมือนกัน เพราะมันมาจากที่ตะกี้นี้ Key word มาจากใจที่บาปอยู่ มาจากความคิดที่อยู่ในใจ ความกำหนัดที่อยู่ในใจ ใจที่มันบาปอยู่ ทำให้ตกนรก พระเยซูตอกย้ำยืนยันว่าถ้าท่านยืนยันกระทำตามบทบัญญัติ ท่านสอบไม่ผ่าน ต้องตกนรกแน่ๆ จริงหรือไม่จริง ใครสอบผ่านยกมือขึ้น? ใครอยากจะทำตามบ้าง? เพราะฉะนั้น ไม่ได้มาสอนให้เราทำตาม พระองค์ไม่ได้มาทำให้เราตกนรก

เพราะฉะนั้น จงยอมรับเถิดว่าตนเองทำไม่ได้ครบถ้วนบริบูรณ์อย่างแน่นอน แล้วจงกลับใจใหม่ หันมาทางใหม่ ทางแห่งพระคุณดีกว่า ทางแห่งพระคุณ คือทางที่พระเจ้าให้ความรอดจากบาป รักษาโทษบาป ยกโทษบาปให้เราฟรีๆ ผ่านทางพระบุตรนั้นดีกว่า เอเมนไหม?

พี่น้องลองคิดดู ท่านเคยคิดอะไรไม่ดีไหม? พูดถึงเดี๋ยวนี้เลย ใครไม่เคยคิดอะไรไม่ดีเลย ยกมือขึ้น? เคยคิดชั่วไหม? แล้วถามจริงๆ เถอะ ท่านห้ามความคิดได้ไหม? ห้ามความคิดไม่ได้ หนีเข้าไปอยู่ในป่า ในถ้ำได้ไหม? หนีได้ไปอยู่ที่ห้องส่วนตัวคนเดียว ปิดไฟให้มืดๆ นิ่งๆ เลย อยู่คนเดียว ไม่คิดอะไรเลยได้ไหม? ไม่คิดชั่วแม้แต่นิดเดียวเลยได้ไหม? ตอนที่ท่านนอนหลับ ท่านหยุดคิดได้ไหม? นี่เห็นชัดเลย หยุดคิดไม่ได้ เพราะฉะนั้น ไม่มีใครสามารถทำตรงนี้ได้เลย

นั่นแหละ คือสิ่งที่พระเยซูกำลังชี้ให้เราเห็นพิษสงของบาป ที่อยู่ในวิญญาณข้างใน พระองค์กำลังชี้ให้เราเห็นถึงภูเขาน้ำแข็งใต้น้ำ อันใหญ่มหึมา ซึ่งก็คือสภาพในใจ วิญญาณที่ตายอยู่ในบาป ไม่มีพระเจ้า ตายจากความบริสุทธิ์  ดีพร้อมที่เหมือนพระเจ้าไปแล้ว กลายมาเป็นธรรมชาติที่ชั่วร้าย เพราะอยู่ตรงกันข้ามกับคุณลักษณะที่บริสุทธิ์ของพระเจ้า คือความบริสุทธิ์ดีพร้อมของพระเจ้า ความสว่างหายออกไปจากใจ กลายเป็นความมืดมาตั้งนาน ตั้งแต่สมัยบรรพบุรุษของเราแล้ว มันเป็นอย่างนั้น เมื่อข้างในมืด ข้างในเต็มด้วยความชั่ว มันจะมีอะไรดีออกมาบ้าง? จะพยายามขนาดไหน? เปลี่ยนวิญญาณตัวเองได้ไหม? เปลี่ยนได้ ก็มีทางเดียว คือมาวางใจในพระเยซูคริสต์ ตามที่พระองค์บอกไง เพื่อที่จะมาเป็นที่เราเรียกกันง่ายๆ ว่าเป็นผู้เชื่อ เป็นคริสเตียน คริสเตียนมีใจใหม่ พระเจ้าจึงสัญญาว่าจะให้ใจใหม่ ให้วิญญาณใหม่เอี่ยมเลย ของเก่าตายไปเลย

มาต่อข้อ 31-32 คราวนี้ยกตัวอย่างเรื่องการหย่าร้าง  คือที่พระเยซูยกสิ่งเหล่านี้ขึ้นมา มันคุ้นหูพวกชาวยิวอยู่แล้ว เพราะมันเป็นอยู่ในบัญญัติของชาวยิวที่รักษามาตั้งแต่สมัยโบราณ เขารู้กันอยู่ ทุกวันสะบาโต วันเสาร์ของเขานะ เขาก็จะอ่านข้อความในบัญญัติเหล่านี้ ให้กับประชาชนได้ฟังเท่านั้นเอง ฟังตั้งแต่เด็ก ฟังอยู่เรื่อยๆ เพราะฉะนั้น สิ่งเหล่านี้คุ้นหูเขามาก พอพูดปุ๊บ เขารู้ว่าบทบัญญัติเรื่องหย่าร้างว่าอย่างไร? มัทธิว 5:31-32 …

มัทธิว 5:31-32 “31 มีคำกล่าวไว้ว่า ‘ผู้ใดหย่าภรรยาของตน ต้องเขียนหนังสือหย่าให้นาง’ 32 แต่เราบอกท่านว่าชายใดหย่าขาดจากภรรยาของตน ด้วยเหตุอื่น นอกเหนือจากการผิดศีลธรรมทางเพศ  ย่อมเป็นเหตุให้นาง กลายเป็นคนล่วงประเวณี  และผู้ใดแต่งงานกับผู้หญิงที่ถูกหย่าร้างเช่นนั้น ก็ล่วงประเวณีด้วย”

 

“มีคำกล่าวไว้ว่า” ก็คือในบัญญัติ ที่พระเจ้าให้ถือไว้ตั้งแต่สมัยโมเสส ที่ท่านถืออยู่นั่นนะ เขียนไว้อย่างนี้ว่าหย่าร้างได้ แต่ต้องให้หนังสือหย่า กฎเขียนไว้อย่างนั้นใช่ไหม? ใครเป็นคนเขียนกฎเหล่านี้ขึ้นมา กฎเหล่านี้ถูกเพิ่มเติมมาทีหลัง พวกฟาริสี พวกธรรมาจารย์  พวกที่เป็นสังคมชั้นสูง หน้าซื่อใจคดเขียนขึ้นมา เพิ่มด้วยตัวเอง พระเจ้าบอกหย่าไม่ได้เลย นอกจากผู้หญิงจะไปมีชู้ ถึงหย่าได้ ข้อเดียวเท่านั้น ที่พระเจ้าบอก นอกเหนือจากนั้น หย่าไม่ได้เลย ท่านต้องเลี้ยงเขาจนตาย ท่านต้องรักเขาจนตาย และมีหลายคนด้วย สมัยก่อนนี้ มันไม่เหมือนสมัยปัจจุบัน สมัยก่อนผู้ชายออกรบ อะไรต่างๆ เหล่านั้น เสียชีวิตมาก ผู้หญิงมีมากกว่า ไม่มีคนดูแล  ก็เลยออกกฎหมายเหล่านี้ขึ้นมาว่าให้ผู้ชาย สามารถรับผู้หญิง อุปการะเป็นภรรยา 1, 2, 3, 4 อะไรก็ว่าไป แต่ด้วยความรักและความเมตตา ด้วยท่าทีที่ถูกต้อง แต่ทำไม่ได้ เพราะข้างในใจมันชั่ว ใจมันสกปรก ใจมันบาป ก็เลยคิดเห็นแก่ตัว

พระเยซูกำลังแทงใจดำ พวกฟาริสีที่กำลังพูดอยู่ ให้เขาฟัง ฟาริสีที่เต็มไปด้วยความเย่อหยิ่ง

“ฉันทำตามบทบัญญัติ โชว์ออฟเลย ฉันทำหมดเลย ฉันหย่าภรรยาคนนั้น ฉันก็ให้ใบหย่าเขา”

พระเยซูบอกว่าเป็นโมฆะ ไม่ได้เกิดผลเลย สำหรับพระเจ้าแล้ว ผู้หญิงคนนั้น ไปแต่งงานใหม่ ก็ทำให้ผู้ชายและตัวเขาเอง กลายเป็นล่วงประเวณี เพราะว่าใบหย่านั้น มันไม่ใช่ พูดง่ายๆ มันไม่ใช่กฎที่พระเจ้าวางไว้

พระองค์กำลังอธิบายให้ฟาริสีฟังว่า … “พวกคุณมองแต่ภายนอก ทำแต่ภายนอก ทำตามบทบัญญัติที่เขียนขึ้นมาเอง  จากใจที่สกปรก  ภายในวิญญาณของท่าน ก็คือท่านคิดเบื่อเขาแล้วใช่ไหม? คิดกำหนัดผู้หญิงคนอื่นแล้วใช่ไหม? ต้องการเอาเปรียบเขาใช่ไหม? ต้องการให้เขาไปให้พ้นๆ ใช่ไหม? เพื่อจะได้ไม่ต้องเลี้ยงดูเขาใช่ไหม?”

คือการเอาเปรียบเพศสตรี พระเยซูแทงเข้าไปในใจของฟาริสี ธรรมาจารย์สะดุ้งหมด เพราะมันทำอย่างนี้กันทั้งนั้น แล้วก็อวดตัวว่า …

“ฉันหย่าได้ ฉันเขียนใบหย่าให้ภรรยาคนนี้ไปแล้ว”

เขาเป็นอิสระ ท่านลองนึกภาพ สังคมในตอนนั้นสิ หญิงม่ายจะไปไหน? ไม่มีใครเลี้ยงดูเขา อย่างนี้เป็นต้น เพราะความชั่วในใจของพวกฟาริสีที่รักษาบทบัญญัติ ภายนอกดูดี แต่ภายในเป็นเหมือนหลุมศพ พระเยซูบอก แต่จำไว้นะ ที่ตะกี้นี้ผมบอก พระเยซูกำลังชี้ บอก เตือนด้วยความรัก พอเราอ่านๆ ไป เผลอๆ คิดว่าพระเยซูเกลียดพวกนี้ ไม่ได้เกลียดเลย รักมากด้วย พูดกันตามตรงเป็นห่วงมากกว่าคนที่ถ่อมใจ ตั้งแต่บทที่ 5 ข้อ 1-16 ที่คนถ่อมใจ ที่จะเข้าสวรรค์ รักพวกเขา ห่วงใยพวกเขาเหมือนกัน แต่ห่วงใยพวกนี้มากกว่า เพราะพวกนี้  เย่อหยิ่ง ไม่ถ่อมใจ โอกาสเข้าสวรรค์มีน้อย ห่วงเขามาก ต้องมีความเข้าใจตรงนี้ เป็นพื้นฐานในการอ่านด้วย ไม่อย่างนั้น อ่านๆ ไป เราจะโกรธพวกฟาริสี พวกธรรมาจารย์ที่จับพระเยซูตรึงที่ไม้กางเขน ตอนที่เขาจับพระเยซูไปตรึง พระองค์บอกว่า …

“พระบิดาขอทรงอภัยให้พวกเขาด้วยเถิด เขาไม่รู้ว่าเขากำลังทำอะไรลงไป” นี่แหละ คือท่าทีของพระองค์

มาต่อบัญญัติในเรื่องเกี่ยวกับการสาบาน ข้อ 33-37 …

มัทธิว 5:33-37 “33 อนึ่ง ท่านได้ยินคำ ซึ่งกล่าวไว้แก่คนในสมัยก่อนว่า ‘อย่าผิดคำสาบาน แต่จงทำตามที่ได้ถวายปฏิญาณแด่องค์พระผู้เป็นเจ้า 34 แต่เราบอกท่านว่าจงอย่าสาบานเลย ไม่ว่าจะอ้างสวรรค์ เพราะสวรรค์เป็นพระที่นั่งของพระเจ้า 35 หรืออ้างแผ่นดินโลก เพราะโลกเป็นแท่นวางพระบาทของพระองค์ หรืออ้างกรุงเยรูซาเล็ม เพราะกรุงเยรูซาเล็มเป็นนครขององค์จอมราชัน 36 และอย่าสาบาน โดยอ้างศีรษะของตน เพราะท่านไม่สามารถทำให้ผมกลายเป็นสีขาวหรือดำได้ แม้แต่เพียงเส้นเดียว 37 ใช่ก็จงว่า ‘ใช่’  ไม่ก็จงว่า ‘ไม่’ พูดเกินนี้ไป ก็มาจากมาร”

 

บทบัญญัติ ก็คืออย่างที่บอก เขียนไว้ในหนังสือให้กับชาวยิว คือสาบานได้ แต่ต้องทำตามสาบาน

สาบาน หมายถึงบนบาน ศาลกล่าว คุ้นไหม? เราไม่ได้ทำจริงๆ ไม่เชื่อใช่ไหม? เดี๋ยวพากันไปวิหารของพระเจ้า

“สาบานต่อหน้าวิหารของพระเจ้าเลย สาบานต่อหน้าเยรูซาเล็มเลย”

พระเจ้าให้สาบาน ถูกไหม? แต่ต้องแก้คำสาบาน บนเอาไว้ก็ว่าไปตามในหนังสือเลวีนิติเขียนไว้ แต่พระเยซูบอกว่าไม่ใช่หรอก ที่พระเจ้าให้สาบาน ก็เพราะว่าในใจของท่านเป็นความโกหก พ่อของท่านที่อยู่ในใจของท่าน ไม่ใช่พระเจ้า พระบิดา  เป็นพ่อแห่งการโกหก หมายถึงมาร ในใจของท่านเป็นความชั่ว ไม่ใช่หมายถึงมารอยู่ในตัวเขานะ หมายถึงลักษณะที่ถ่ายทอดพันธุกรรมออกมา มันเป็นลักษณะของมาร ก็คือต่อต้านพระเจ้า ก็คือบาปนั่นเอง ข้างในใจของท่านเป็นบาป เป็นบาป ก็คือความโกหกหลอกลวง ไม่มั่นใจกันและกัน เพราะฉะนั้น พระเจ้าจึงให้ท่านสาบาน แต่จริงๆ แล้ว ตามมาตรฐานพระเจ้าที่พระเยซูยกขึ้นมา ท่านต้องไม่สาบานเลย เพราะว่าถ้าใจท่านบริสุทธิ์ สะอาด ดีพร้อมเหมือนพระเจ้า ใช่ ท่านก็จะบอกว่าใช่ ไม่ใช่ ท่านก็จะบอกว่าไม่ใช่ ท่านจะไม่ไปบอกว่าสาบานได้เลย ท่านลองคิดดู เราย้อนกลับมา ดูตัวเองนะ ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับข้อพระคัมภีร์นี้ พระเยซูให้เราทำตรงนี้หรือไม่ทำ? ไม่ใช่

กำลังยกตัวอย่างว่าถ้าใจไม่บริสุทธิ์ ใจเต็มไปด้วยความโกหก หลอกลวง เราก็ไม่มั่นใจในตัวเองว่าเขาจะเชื่อเราหรือไม่? เพราะเราก็ปลิ้นปล้อนอยู่ข้างในใจ ไม่ใช่ปลิ้นปล้อนอยู่ข้างนอกนะ ข้างในใจรู้ เราก็ต้องอ้างอันโน้นอ้างอันนี้มาสาบาน ถูกไหม?

“โอ้! ให้ฟ้าผ่าตายเลยเนี้ย สาบานต่อหน้าฟ้าดินเลย”

ถูกไหม? นี่แบบไทยๆ ลองนึกถึงภาพ แล้วท่านมาเชื่อพระเจ้าแล้ว เป็นคริสเตียนแล้ว ได้บังเกิดใหม่ในพระเยซูคริสต์แล้ว ถามจริงๆ ท่านเคยสาบานไหมตอนนี้ ท่านไม่เคยอ่านข้อพระคัมภีร์นี้ แต่ท่านยังสาบานอยู่ไหม? ลองไปคิดดูสิ ท่านจะสาบานต่อหน้าใครล่ะ เป็นคริสเตียนแล้ว

“เราพูดจริงๆ นะ สาบานเลย สาบานต่อหน้า …”

ไม่มี พระเจ้าสถิตอยู่ในเรา เราบริสุทธิ์ สะอาด เราดีพร้อม เอเมนไหม?

ต่อไปบัญญัติในเรื่องเกี่ยวกับตาต่อตา ฟันต่อฟัน ข้อ 38-42 …

มัทธิว 5:38-42 “38 ท่านทั้งหลายได้ยินคำกล่าวไว้ว่า ‘ตาแทนตาและฟันแทนฟัน’ 39 แต่เราบอกท่านว่าอย่าต่อสู้กับคนชั่ว ถ้าผู้ใดตบแก้มขวาของท่าน จงหันแก้มอีกข้างหนึ่งให้เขาด้วย 40 และถ้าใครต้องการฟ้องร้องเอาเสื้อของท่าน จงให้เสื้อคลุมของท่านแก่เขาด้วย 41 ถ้ามีผู้บังคับให้ท่านไปหนึ่งกิโลเมตร ก็จงไปกับเขาสองกิโลเมตร 42 จงให้แก่ผู้ที่ขอท่าน และอย่าเมินหนี ผู้ที่ต้องการจะขอยืมจากท่าน”

 

ในบริบทตรงนี้ พระเยซูกำลังพยายามมาชี้ให้เห็นถึงเรื่องเกี่ยวกับการยอมให้คนอื่นเขาเอาเปรียบ เอาประโยชน์จากชีวิตของเรา ไม่ได้มาพูดถึงเรื่องเกี่ยวกับการยกโทษ การอภัย เพราะยกโทษการอภัย อยู่ตอนต้นที่เราได้อ่านมาแล้ว ตอนนี้กำลังพูดถึงเรื่องเกี่ยวกับการเอาเปรียบ ไม่ใช่ตบข้างขวาให้ข้างซ้ายตบสิ แสดงว่าอภัยให้เขา ไม่ใช่ ทั้งหมดนี้ พูดถึงการให้เขาเอาเปรียบ

ที่เล็งไปถึงชาวยิว พวกฟาริสี พวกธรรมาจารย์ที่ถูกกล่าวถึงในนี้ คือทำท่าข้างนอกมีใจเมตตา  และมีบางคนมองเห็นข้างนอก มีเมตตาจริงๆ บ้าง แต่พระเยซูกำลังยกให้เขาเห็นว่าที่เขามีเมตตา ช่วยคนจน ช่วยอะไรต่างๆ เหล่านี้ มันจิ๊บจ๊อยมากเลย ที่ท่านภูมิใจหนักหนา ท่านยอมให้คนอื่นเอาเปรียบ มีเมตตาต่อผู้คน โดยการกระทำของท่าน ท่านคิดว่าท่านเป็นผู้ชอบธรรมแล้ว  พระองค์กำลังยกมาตรฐานของพระเจ้าขึ้นสูงสุดเลยว่าในใจท่านมันบาปอยู่ ไม่บริสุทธิ์ ดีพร้อมเหมือนพระเจ้า เพราะว่าในใจ มาจากความเห็นแก่ตัว ไม่สามารถให้คนอื่นเอาเปรียบ เอาผลประโยชน์ จากตัวเราเองได้มากหรอก ที่ท่านทำได้ เพราะว่ามันเอาเปรียบเราไม่มากพอ พอเข้าใจใช่ไหมครับ?

ก็คือตบแก้มขวา ท่านอาจจะยอมเขาในการตบแก้มซ้ายเบาๆ ครั้งหนึ่ง แต่เขาตบแก้มซ้ายเสร็จ เขามาตบแก้มขวาอีก ท่านทำไม่ได้หรอก ท่านไม่สามารถรักแบบบริสุทธิ์เหมือนพระเจ้าได้หรอก ท่านไม่สามารถให้คนอื่น เขาเอาเปรียบท่าน แบบพระเจ้าได้หรอก ท่านไม่สามารถที่จะบอกว่าพระเจ้าอภัยให้กับเขาเถิด ยอมเขาทุกอย่าง ท่านทำไม่ได้หรอก เพราะในใจของท่านไม่บริสุทธิ์ ไม่ดีพร้อมเหมือนพระเจ้านั่นเอง

บัญญัติต่อไปข้อ 43-47 เป็นเรื่องเกี่ยวกับการรักศัตรู …

มัทธิว 5:43-47 “43 ท่านทั้งหลายได้ยินคำกล่าวไว้ว่าจงรักเพื่อนบ้าน และเกลียดชังศัตรู 44 แต่เราบอกท่านว่าจงรักศัตรูของท่าน และอธิษฐานเผื่อบรรดาผู้ที่ข่มเหงท่าน 45 เพื่อท่านจะได้เป็นบุตรของพระบิดาของท่านในสวรรค์ พระองค์ทรงให้ดวงอาทิตย์ขึ้นแก่ทั้งคนชั่วและคนดี และทรงให้ฝนตก แก่ทั้งคนชอบธรรมและคนอธรรม 46 ถ้าท่านรักแต่ผู้ที่รักท่าน ท่านจะได้บำเหน็จอะไร แม้แต่คนเก็บภาษี ก็ทำเช่นนั้นไม่ใช่หรือ 47 ถ้าท่านทักทาย เฉพาะพวกพี่น้องของตน ท่านทำอะไรมากกว่าคนอื่นเล่า ถึงคนต่างชาติ (ไม่ใช่ยิว) ก็ทำเช่นนั้นไม่ใช่หรือ”

 

สรุป ก็คือหัวใจที่ชี้ให้เห็น อยู่ที่จิตใจที่มันเป็นบาป มันชั่วอยู่ ไม่ดีพร้อม ไม่บริสุทธิ์เหมือนพระเจ้า นั่นเอง เมื่อใจบาป ไม่บริสุทธิ์ ดีพร้อมเหมือนพระเจ้า ไม่มีความรักของพระเจ้าอยู่ เมื่อไม่มีความรักของพระเจ้าอยู่ มันก็มีแต่ตรงกันข้าม รักไม่จริง เพราะข้างในไม่มีความรัก จะทำอย่างไร มันก็ไม่มีทางเป็นรักแท้ออกมาได้ ไม่มีความรักจริง มีแต่สิ่งที่ตรงกันข้าม ก็คือความเกลียดชัง การขโมย การฆ่า การทำลาย การอิจฉาริษยา ซึ่งบางคนทำภายนอก อาจจะพอมองเห็นบ้างนิดหน่อย อาจจะพยายามทำได้บ้าง แต่อย่าทะนงตนว่าทำได้จริงๆ เพราะข้างในจริงๆ มันทำไม่ได้ มาตรฐานของพระเจ้า จะไปอยู่กับพระเจ้า มันต้องบริสุทธิ์ ดีพร้อม จากข้างในเลย ถ้าไม่ดีพร้อม สมบูรณ์ครบถ้วน ตามมาตรฐานของพระเจ้า ท่านก็ไม่มีทางทำในสิ่งที่พระเยซูบอกได้เลย เมื่อท่านไม่สามารถทำตามมาตรฐานที่พระเยซูบอก เป็นมาตรฐานที่จะเข้าสวรรค์ ท่านไม่สามารถทำได้ พระองค์กำลังชี้ว่าท่านไม่สามารถทำได้ ท่านอาจจะมีเมตตาต่อมนุษย์คนนั้นคนนี้ อาจจะรักศัตรู โธ่ คนไม่เชื่อพระเจ้าเขาก็รักศัตรูเหมือนกัน แล้วท่านดีอะไรกว่าเขาล่ะ เห็นอะไรบางอย่างไหม? คนที่ไม่ใช่ยิว คือคนต่างชาติ เขายังทำได้เลย ทำมากกว่าเราด้วยซ้ำ พอนึกภาพออกไหม?

พระเยซูกำลังบอกว่ามนุษย์บางคนในสมัยนั้น ทำได้ดีกว่าพวกท่านอีก ที่เป็นชาวยิวที่บอกว่าบริสุทธิ์ ดีพร้อมแล้วนั้น พระองค์กำลังมาบอกมนุษย์ ไม่ว่าจะเป็นยิวหรือไม่ยิว บอกตั้งแต่แรกแล้วว่าล้วนแต่เป็นคนบาป ไม่มีใครดีพร้อมสักคนหนึ่งเลย พระเยซูกำลังมาเปิดโปงความจริงในใจในโลกวิญญาณ ด้วยความรัก ความห่วงใย ต้องการให้ฟาริสี ธรรมาจารย์ ที่เย่อหยิ่งจองหอง ที่ต่อต้านกล่าวหาพระองค์ ให้ยอมรับและกลับใจใหม่เสียเถิด พระองค์กำลังชี้ความจริง อยู่ในโลกวิญญาณ ที่เหมือนภูเขาน้ำแข็ง มหึมาใต้น้ำ ที่พวกเขาไม่เห็นนั่นแหละว่าภูเขาน้ำแข็งใต้น้ำ มันคือตัวที่ทำให้เรือชีวิตอับปางได้ ไม่ใช่ยอดภูเขาน้ำแข็ง บนน้ำ ที่เราเห็นๆ อยู่ ซึ่งอาจจะเคลียร์ได้ มากน้อยก็เคลียร์ได้  แต่ข้างล่างมันทำไม่ได้หรอก เคลียร์มันไม่ได้มันใหญ่มาก ฟาริสี ธรรมาจารย์ ซึ่งพระเยซูพูดกับพวกเขาด้วยความรัก จึงบอกว่าพวกหน้าซื่อใจคด พระเยซูบอกด้วยความรัก

สมัยก่อนนี้ เราเข้าใจว่าพระเยซูดุมาก ไม่ได้ดุ  พูดจริงๆ คำว่าหน้าซื่อใจคด แปลว่าอะไร?  พูดความจริงให้เขาเห็น ก็คือคุณทำข้างนอก แต่ในใจ ไม่ได้เป็นอย่างนั้น เพราะในใจคุณเป็นคนบาป ทำดีข้างนอก แต่ข้างในเป็นบาป มันแย้งกัน นี่คือคำว่าหน้าซื่อใจคด คุณทำข้างนอกดูดี แต่ข้างในเป็นหลุมฝังศพ นี่คือพูดความจริง ไม่ได้ตั้งใจจะไปกล่าวหา หรือดุด่าว่ากล่าว

พวกหน้าซื่อใจคด ก็คือข้างนอก บนน้ำ ถือกฎบัญญัติทางศาสนา ทางศีลธรรม ก็คือถือรักษาบทบัญญัติทางศาสนา แต่เปลือกนอก ประพฤติต่อหน้ามนุษย์ คือยอดภูเขาน้ำแข็ง เหนือน้ำ ซึ่งมนุษย์ทั่วๆ ไปมองเห็นได้ แล้วก็อวดตัวว่าเคร่งครัด รักษาบัญญัติ รักษาวันสะบาโต ใครๆ ก็เห็น

“ฉันทำอย่างนี้”

แต่ใต้น้ำ เป็นบาปที่อยู่ในใจ ก็คือในใจของคุณที่โผล่ออกมา เป็นการกล่าวหาผู้อื่น ชี้ผู้อื่น ที่เขาทำดีในวันสะบาโต ไปรักษาคนป่วย รักษาโรคให้กับมนุษย์ ช่วยเหลือสัตว์ มีเมตตาในวันสะบาโต ท่านไปกล่าวหาเขา ว่าเขาพอมองภาพออกไหม? พระเยซูจึงบอกพวกนี้ พวกหน้าซื่อ ใจคด ด้วยความรักนะ จี้ฟาริสี ธรรมาจารย์ชัดๆ เลย ฟาริสี ธรรมาจารย์ อวดตัวว่าเป็นผู้ชอบธรรมมากกว่าคนอื่นเขา เพราะถวายสิบลดไม่เคยขาดเลย ใช่ไหม?

“ฉันถวายสิบลด ไม่เคยขาด เห็นไหมเนี้ย ฉันรักษากฎบัญญัติเคร่งครัด ตั้งแต่หนุ่มมาแล้ว จนเดี๋ยวนี้แก่แล้ว ฉันเป็นผู้ชอบธรรม ไม่เหมือนพวกนาย”

แต่พระเยซู จี้ใจดำเขา แต่พวกท่านร่วมกับพ่อค้า หากำไรจากการขายสินค้าที่ลานพระวิหาร เวลามีเทศกาลวันอะไรที่พิเศษ พูดง่ายๆ เป็นภาษาไทย ก็คือวัดครึ่งหนึ่ง กรรมการครึ่งหนึ่ง พวกท่านดูแลวัด เขาก็มาเซ่นท่าน และท่านก็เอาผลประโยชน์เหล่านั้น นั่นแหละ แล้วท่านก็เอาไปถวายสิบลด พอมองเห็นอะไรไหม?

ท่านอวดตัวว่าท่านบริสุทธิ์ ไม่ล่วงประเวณี ไม่เที่ยวโสเภณี แต่ในใจท่าน มีกำหนัด พอมองเห็นอะไรไหม? อวดตัวเองว่าไม่เคยเป็นฆาตกร ไม่เคยฆ่าคนตายเลย

“ฉันไม่ได้ฆ่าใครสักคนหนึ่ง”

แต่ในใจเต็มไปด้วยความโกรธ ความเกลียด ความอิจฉา ริษยา อาฆาต พูดจาดูถูก ดูหมิ่นผู้อื่น โดยการเอาตำแหน่งหน้าที่ทางสังคม ทางเคร่งครัดศาสนา ที่โชว์ให้เขาเห็นนี้ ความสามารถในการรักษาบทบัญญัติได้ ความสามารถที่สามารถบังคับตนเอง รักษากฎทางศาสนาต่างๆ ทางศีลธรรมต่างๆ อันดีงามได้ แสดงให้คนอื่นเขามองเห็น แล้วก็เอาสิ่งเหล่านี้ มาบีบบังคับเขา มาเอาเปรียบคนอื่นเขา ทำให้เขากลัวบารมี ที่ท่านทำให้เขาเห็น แต่ในใจสกปรกอยู่ ซึ่งไม่ต่างอะไรกับคนที่ท่านไปบีบบังคับเขา มันสกปรกเท่าๆ กัน แต่ท่านสกปรกแบบแอบอยู่ ไม่ยอมรับความจริง และไม่ยอมถ่อมใจว่าตัวเองป่วยอยู่

เหมือนกับคนกลุ่มแรกที่เขายอมรับว่าตัวเองป่วย เขาต้องการหมอ เขาก็จะได้เข้าสวรรค์ก่อน แต่ท่านไม่ต้องการหมอ ท่านยังยืนยัน ยืนหยัดอยู่ในความเย่อหยิ่ง ความทะนงตน ท่านจะไปไม่รอด ท่านอวดตัว ทั้งๆ ที่รู้ในใจว่าตัวเองทำบาป ทำผิด ทำตาม กฎบัญญัติ ในใจท่านรู้ดีว่าท่านเป็นคนบาป ช่วยตัวเองไม่ได้  แต่เสแสร้งภายนอก เย่อหยิ่งทะนงตน ให้คนอื่นเขาเห็นว่า …

“ฉันเป็นคนชอบธรรม”

ปากแข็งนั่นเอง พระเยซูกำลังมาเตือนเขาด้วยความรัก บางทีเราฟัง ชักจะมัน ไม่ได้เกลียดชัง ฟังๆ ไป พวกฟาริสีลงนรกได้ก็ดี เปล่า พระเยซูไม่ได้ตั้งใจอย่างนั้น ด้วยความรัก ต้องการช่วยเขา แต่ต้องขุดลึก เจาะลึก เพราะเขาเย่อหยิ่ง ทะนงตนมาก ต้องแรงหน่อย เพื่อจะเจาะเข้าไปในใจเขา พระองค์ทรงรู้ในใจใครคิดอะไรอยู่ ถ่อมใจมาคิดอย่างไร? พระองค์ก็สอนเขาแล้ว พวกนี้เย่อหยิ่งอย่างไร? พระองค์ก็จะสอนอีกอย่างหนึ่ง พระองค์จึงเรียกพวกฟาริสี ธรรมาจารย์ สะดูสี พวกสังคมชั้นสูงในชาวยิวว่าพวกหน้าซื่อใจคด เป็นคำที่ดีนะ หน้าซื่อใจคด คือทำข้างนอกกับใจไม่ตรงกัน

แล้วก็มาสรุปในข้อสุดท้าย  ที่เราได้อ่านก่อน ก็คือข้อ 48 อ่านพร้อมกันเลย …

มัทธิว 5:48 “เหตุฉะนั้น จงบริสุทธิ์ดีพร้อม เหมือนพระบิดาของท่านในสวรรค์ ทรงบริสุทธิ์ ดีพร้อม”

 

“เพราะฉะนั้น ท่านต้องบริสุทธิ์ ดีพร้อม เหมือนพระบิดาของท่านในสวรรค์ ทรงบริสุทธิ์และดีพร้อม”

สรุปให้เสร็จเลย ท่านทำไม่ได้ๆ สรุปข้อนี้ว่าท่านต้องดีพร้อมเหมือนพระเจ้า เกิดอะไรขึ้น ฟาริสี ที่บอกว่าทำได้เยอะๆ ลูกกระเดือกติดคอ คนกลุ่มแรกที่ถ่อมใจอยู่  ลูกกระเดือกยิ่งติดใหญ่เลย

“เพราะฟาริสียังทำไม่ได้เลย แล้วฉันจะทำได้ เท่าที่มองเห็น ทุกวันนี้ ท่านเห็นฟาริสี ธรรมาจารย์ทำ รักษากฎ ระเบียบ บริสุทธิ์ สะอาดชัดเจนมากขนาดนั้น ฉันยังทำไม่ได้เลย นี่มาบอกให้ฉันทำมากกว่านั้นอีก มากกว่าฟาริสี ธรรมาจารย์ที่ฉันเห็นๆ”

ยกตัวอย่าง ฟาริสี ธรรมาจารย์ เปาโลในอดีต  กฎบัญญัติ รักษาอย่างดี เข้มงวด

คนธรรมดาบอก … “ฉันทำไม่ได้หรอก”

นี่พระเยซูบอก … “ถ้าอยากเข้าสวรรค์ต้องทำได้มากกว่าฟาริสีอีก”

“โอ๊ย! ไม่ได้หรอก”

และมาจบสุดท้าย บอก … “มากกว่าฟาริสี ต้องมากกว่าเท่าไร?”

“ต้องบริสุทธิ์และดีพร้อม”

มากกว่าฟาริสี คือเท่ากับพระเจ้า จบข่าว

เพราะฉะนั้น ที่ยกตัวอย่างมาทั้งหมด ตั้งแต่ข้อ 17 มาถึงข้อ 48 พระองค์กำลังบอกว่า …

“ท่านทำไม่ได้หรอก ไม่ต้องพยายามพึ่งพาการกระทำของตนเอง มันเป็นไปไม่ได้หรอก กลับใจเสียใหม่ เพราะท่านต้องบริสุทธิ์ ดีพร้อมเหมือนพระเจ้า จึงต้องบังเกิดใหม่ไงล่ะ”

ท่านต้องบังเกิดใหม่ เป็นเหมือนพระเจ้าเท่านั้น และบังเกิดใหม่ได้อย่างไร? ด้วยการวางใจในเรา ที่พระเจ้าส่งมา เพื่อท่านจะได้บังเกิดใหม่ นิโคเดมัส ฟาริสีคนหนึ่ง ไปหาพระเยซู พระเยซูบอกคำแรกเลย เขาถามว่าจะเข้าสวรรค์ได้อย่างไร? พระเยซูบอกว่าท่านต้องบังเกิดใหม่  ก็คือท่านต้อง บริสุทธิ์ ดีพร้อมเหมือนพระบิดา ผู้อยู่ในสวรรค์ จะดีพร้อมได้ ต้องบังเกิดใหม่ บังเกิดใหม่ได้ด้วยวิธีใด เกิดเองได้ไหม? ไม่ได้ เกิดใหม่ ก็ต้องด้วยวิธีการวางใจในเรา ผู้ที่พระองค์ทรงส่งมา เอเมน

ถ้าพระเยซูยังไม่มาวันนี้ เราจะทำอะไรมนุษย์ทั้งหลาย ที่ลำบากอยู่ข้างในใจ ในวิญญาณนั้น เราจะช่วยตัวเองอย่างไร? นี่คือพระคุณความเมตตาของพระเจ้า ที่มีต่อมวลมนุษยชาติจริงๆ เลย ซึ่งเห็นภาพเลยว่าเราช่วยตัวเองไม่ได้เลยแม้แต่นิดเดียว เป็นไปไม่ได้เลย จะพยายามเท่าไร ก็เป็นไปไม่ได้ ความคิดเราก็สกปรกแล้ว เราพยายามบังคับตัวเอง ให้อยู่ในศีล ในธรรมต่างๆ อะไรดีงามต่างๆ ยังพอทำได้บ้าง แม้กระทั่งความคิด เราจะไปบังคับได้อย่างไร?

เพราะฉะนั้น หยุดเถอะ แล้วมาพึ่งพาพระเยซูคริสต์ แล้วพระเยซูก็จะนำพาเราในการกระทำดีบนโลกใบนี้ทีหลัง

ความจริง คืออย่างนี้ ในโลกวิญญาณ มันเปรียบเหมือนอย่างนี้ เชื้อไวรัสงูสวัด ที่ทำให้เกิดอาการภายนอก  เช่น เป็นอีสุกอีใส เป็นผื่นตุ่ม เป็นหนอง แต่การรักษา ต้องรักษาที่ต้นเหตุ คือต้องกำจัดเชื้อไวรัสที่อยู่ภายใน แล้วอาการภายนอก พวกผื่น ตุ่ม หนอง ก็จะค่อยๆ จางหายไป ฉันท์ใด โรม 5:12 บันทึกไว้อย่างนี้ …

โรม 5:12 “ฉันนั้น เช่นเดียวกับที่ (เชื้อ) บาปเข้ามาในโลก เพราะมนุษย์คนเดียว และบาปนำความตายมา และโดยทางนี้เอง ความตายจึงมาถึงมวลมนุษย์ เพราะทุกคนได้ทำบาป” (เป็นอาการภายนอก คือความประพฤติที่แสดงออกมาให้เห็น)

 

มนุษย์รักษาที่อาการที่เห็นได้จากภายนอก คือความประพฤติ  เพราะไม่รู้สาเหตุจริงๆ ที่อยู่ภายใน คือเชื้อบาปที่อยู่ในวิญญาณ ซึ่งมันมองไม่เห็น แต่พระเจ้าทรงจัดการที่ต้นเหตุ คือกำจัดเชื้อบาปที่อยู่ในวิญญาณ ที่มนุษย์มองไม่เห็น ด้วยการเปลี่ยนวิญญาณให้ใหม่เอี่ยมเลย ขอบคุณพระเจ้า

มวลมนุษย์ มีรหัสพันธุกรรม คือ DNA ทางฝ่ายวิญญาณ มาจากอาดัมบรรพบุรุษ ที่ติดเชื้อบาปอยู่ ดังนั้น อยู่ในครรภ์มารดา ก็เป็นคนบาปแล้ว ติดเชื้อแล้ว พระเจ้ารักษา ด้วยการกำจัดเชื้อบาปในวิญญาณของมวลมนุษย์ โดยการส่งพระเยซูคริสต์ พระบุตรของพระองค์มาตายที่ไม้กางเขน ถูกฝังไว้ในอุโมงค์และเป็นขึ้นมาจากความตายในวันที่สาม เอเมน

พระคัมภีร์บันทึกไว้เยอะแยะมากมาย ไปหมดเลย คือข่าวประเสริฐนั่นเอง ใน 1 เปโตร 2:24 บันทึกไว้อย่างนี้ว่า …

1 เปโตร 2:24 “พระองค์เองทรงรับแบกบาปของเราทั้งหลายไว้ ที่พระกายบนไม้กางเขนนั้น เพื่อเราจะได้ตายต่อบาป และมีชีวิตอยู่ เพื่อความชอบธรรม และด้วยบาดแผลของพระองค์ พวกท่านได้รับการรักษา ให้หายแล้ว”

 

ท่านจะเป็นผู้ชอบธรรมได้ ต่อเมื่อพระเยซูคริสต์สิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน เพื่อท่าน และพระเยซูคริสต์สิ้นพระชนม์หรือยัง? สิ้นพระชนม์แล้ว ท่านเปิดใจรับสิทธิ ที่พระเยซูคริสต์ทำให้ท่านแล้วหรือยัง? ถ้ายัง ท่านก็พลาดจากสิทธินี้ไป เท่ากับพระเยซูยังไม่ได้ทำให้กับท่าน ซึ่งจริงๆ แล้ว ทำให้แล้วหรือยัง? ด้วยรอยแผลเฆี่ยนของพระเยซู ด้วยการถูกทุบตี เฆี่ยนตี ด้วยการถูกตรึงบนไม้กางเขน จนสิ้นพระชนม์นั้น พระองค์ได้ทรงรักษาอาการบาดแผลที่อยู่ในใจของท่าน อยู่ในวิญญาณของท่าน ซึ่งเป็นรากเหง้าของความชั่วร้ายทั้งหมด  และการถูกพิพากษาลงโทษหลังความตาย พระองค์ทรงรักษาและเอามันออกไปหมดเรียบร้อยแล้ว ท่านจะยอมรับสิทธิความจริงนี้ ที่พระเยซูทำให้ท่านหรือไม่? ถ้ายอมรับสิทธินี้ ก็คือเปิดใจต้อนรับพระเยซู มันหมายถึงอย่างนี้

เปิดใจต้อนรับพระเยซูว่าพระองค์ทรงเป็นพระมาซีฮาห์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอด ที่พระเจ้าทรงประทานให้กับมนุษย์ทั้งหลาย   ทั้งปวง   บนโลกใบนี้   เพื่อช่วยเหลือมนุษย์   ที่ตกอยู่ในความบาป ในวิญญาณให้รับการรักษาให้หาย  จากโรคบาป  พิษอันร้ายแรงนี้  และจะได้มาอยู่กับพระองค์ในสวรรคสถาน ไม่ต้องลงสู่ความพินาศ ในโลกวิญญาณ หลังความตายอีกต่อไป

เพลงต่อไปที่เราจะร้อง จึงเป็นเพลงวางใจพระเจ้าและทำความดี ให้เรามาเกิดใหม่ สะอาด บริสุทธิ์ ดีพร้อมเหมือนพระเจ้าแล้ว พระเจ้าเข้ามาสถิตกับเราได้ ในร่างกายของเรา ในชีวิตของเราได้แล้ว ให้พระองค์นำพาเรา ในการกระทำดีตามศีลธรรมต่างๆ ที่พระองค์ทรงวางมาตรฐานไว้ แล้วแต่พระองค์จะนำไป

นี่คือทางออกของมนุษย์ทั้งหลาย ทั้งปวง ให้เราอธิษฐานร่วมกัน  พระเจ้าอวยพรครับ

 

**********************

จากใจคณะศิษยาภิบาล

 

โรม 5:1-2 “1 เหตุฉะนั้น เมื่อเราได้เป็นคนชอบธรรม (ได้บังเกิดใหม่ในพระคริสต์) โดยความเชื่อแล้ว ก็ให้เราชื่นชมยินดี มีสันติสุข (ที่ได้กลับคืนดีกัน) กับพระเจ้าผ่านทางพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา  2 โดยทางพระองค์ เราจึงได้เข้าในร่มพระคุณ  ที่เรายืนอยู่โดยความเชื่อ ให้เราชื่นชมยินดีในความหวังใจ (ที่มีหลักฐานประกันที่มั่นคงแน่ใจ) ว่าเราได้มีส่วนในสง่าราศี (มีส่วนในพระสิริของพระเยซูคริสต์ มีส่วนในชีวิตนิรันดร์ของพระองค์)”

 

2 โครินธ์ 5:21 “พระเจ้าได้ทำให้พระเยซูคริสต์  ผู้ซึ่งไม่เคยเป็นคนบาป  ไม่เคยทำบาปเลย  แต่ต้องกลายมาเป็นคนบาป  เพื่อเห็นแก่เราทั้งหลาย  ผู้ซึ่งเป็นคนบาปและทำบาปมากมาย   เพื่อเราทั้งหลาย  ผู้เป็นคนบาปนั้น จะได้กลายมาเป็นผู้ชอบธรรมของพระเจ้าผ่านทางพระองค์”

 

เอเฟซัส 2:4-10 “4 แต่เนื่องด้วยความรักใหญ่หลวงที่ทรงมีต่อเรา พระเจ้าผู้เปี่ยมด้วยพระเมตตาอันอุดม 5 จึงได้ทรงกระทำให้วิญญาณของเรากลับมีชีวิต อยู่กับพระคริสต์ แม้ในขณะที่วิญญาณเราได้ตายแล้วในบาป คือท่านทั้งหลายได้รับความรอด(จากการลงโทษจากคำสาปแช่ง)โดยพระคุณ 6 และพระองค์ได้ทรงให้วิญญาณของเราเป็นขึ้นมา (บังเกิดใหม่) กับพระคริสต์  และในพระเยซูคริสต์ พระเจ้าได้ทรงให้เรานั่งในสวรรคสถานกับพระคริสต์ 7 เพื่อในยุคต่อๆ ไปพระองค์จะได้ทรงสำแดงความอุดมแห่งพระคุณอันหาใดเปรียบ  ซึ่งได้ทรงแสดงด้วยพระกรุณาที่มีต่อเราในพระเยซูคริสต์ 8 เพราะโดยพระคุณความเมตตาและความโปรดปรานของพระเจ้า  ที่ได้นำท่านเข้ามาอยู่ในพระคริสต์  ท่านทั้งหลายจึงได้รับความรอดพ้นจากการถูกตัดสินลงโทษ เนื่องจากบาป และได้รับชีวิตนิรันดร์ผ่านทางความเชื่อ 9 ความรอดนี้  ไม่ได้เป็นผลจากการพยายามทำด้วยตัวท่านเอง  แต่เป็นพระคุณของพระเจ้าที่ได้ประทานให้  ไม่ใช่ความรอด  โดยการประพฤติ  หรือความพยายามที่จะรักษาบทบัญญัติของพระเจ้า  เพื่อจะไม่มีใครโอ้อวดและแอบอ้างความดีในความรอดของตนได้ 10 เพราะเราทั้งหลายเป็นผลงานศิลปะชิ้นเอก  ที่ประณีตยอดเยี่ยมของพระเจ้าที่สร้างสรรค์ขึ้นในพระเยซูคริสต์  ซึ่งวิญญาณได้บังเกิดใหม่ พร้อมที่จะให้พระเจ้าใช้  เพื่อทำการดีต่างๆ  ซึ่งพระเจ้าได้เตรียมไว้ล่วงหน้าแล้ว  เพื่อเราจะ ได้ดำเนินชีวิตที่ดี  เป็นไปตามแผนกาของพระองค์”

 

ขอพระเจ้าอวยพรครับ

 

วารสาร Holy News ฉบับที่ 1382

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  11  กันยายน  2022

เรื่อง “คำประกาศของพระเยซู ที่มักมีการเข้าใจผิด” ตอน 5

“คำเทศนาบนภูเขา” EP.4

“มนุษย์มองที่ความประพฤติภายนอก แต่พระเจ้ามองที่วิญญาณข้างใน”

โดย นคร   เวชสุภาพร

 

วันนี้คำเทศนาบนภูเขา Ep.4 ซึ่งเป็นครั้งที่ 5 ของซีรี่ย์ชุดคำประกาศของพระเยซู ที่มักมีการเข้าใจผิด เผื่อใครจะติดตามฟังย้อนหลังจะได้กลับไปหาฟังได้ เราผ่านมาแล้ว 4 ตอน …

ตอนที่ 1  จงแสวงหาอาณาจักรของพระเจ้า และความชอบธรรมของพระองค์ก่อน

ตอนที่ 2  คำเทศนาบนภูเขา  Ep 1 : คนป่วยต้องการหมอ  คนบาปต้องการพระเยซู

ตอนที่ 3  คำเทศนาบนภูเขา  Ep 2 : พระเยซูถูกกล่าวหาว่ามาล้มล้างกฎบัญญัติ

ตอนที่ 4  คำเทศนาบนภูเขา  Ep 3 : กฎแห่งกรรม  ทำบาปเพียงครั้งเดียว  ก็ไม่ได้ไปสวรรค์

ตอนที่ 5 (วันนี้) คำเทศนาบนภูเขา Ep 4 : มนุษย์มองที่ความประพฤติภายนอก .. แต่พระเจ้า  มองที่วิญญาณข้างใน

เราก็เหมือนเดิม มาปูพื้นเบื้องหลังก่อนที่จะมาเรียนรู้วิจัย คำประกาศของพระเยซูที่มักมีการเข้าใจผิด ในเรื่องนี้ว่ามนุษย์มองที่ความประพฤติภายนอก แต่พระเจ้ามองที่วิญญาณข้างใน หมายถึงอะไร? พระเยซูกำลังพูดกับเราเรื่องอะไร? เรามีพื้นมา 4 ตอนแล้ว พื้นหลังในเรื่องนี้สั้นๆ ก็คือพระเยซูกำลังมาประกาศ เรื่องเกี่ยวกับสวรรค์ จะเข้าสวรรค์เข้าอย่างไร?  เรื่องเกี่ยวกับโลกวิญญาณ  วิธีเข้าสวรรค์เข้าอย่างไร? มาประกาศว่าสวรรค์กำลังมา ตั้งอยู่บนโลกใบนี้แล้ว เชิญเข้ามาสวรรค์ได้ จะเข้ามาอยู่ มีท่าทีอย่างไร? พูดถึงเรื่องเกี่ยวกับสวรรค์ โลกวิญญาณ และพูดกับชาวยิว โดยเฉพาะ นี่คือเบื้องหลัง

วันนี้ขอปูพื้นเบื้องหลัง ด้วยโรม 3:9-20 เพื่อจะได้เห็นภาพเบื้องหลังว่าที่พระเยซูกำลังประกาศนั้น มันเกี่ยวกับเรื่องอะไร? เพราะในโรม 3:9-20 นั้น ก็คือหลังจากที่พระเยซูเสด็จขึ้นสวรรค์แล้ว แล้วพระวิญญาณของพระองค์เข้ามาสถิตอยู่กับมนุษย์ผู้ที่เชื่อ และพระวิญญาณของพระองค์ ที่เรียกว่าพระวิญญาณของพระคริสต์ ก็เป็นผู้ประกาศข่าวประเสริฐ ประกาศความจริงในเรื่องเกี่ยวกับการเข้าสวรรค์เข้าอย่างไร? ทำไมถึงต้องเข้าสวรรค์ เพราะอะไร? มนุษย์อยู่ในความบาป  เป็นอย่างไร? พูดรายละเอียด สำแดงโดยพระวิญญาณของพระองค์ ก็เหมือนกันกับที่พระองค์กำลังประกาศด้วยตัวของพระองค์เอง ในเรื่องที่เรากำลังเรียนอยู่นี้ ก็คือคำเทศนาบนภูเขา พระองค์บอกว่า …

“ตอนนี้ท่านไม่เข้าใจหรอก แต่วันหนึ่งข้างหน้า เมื่อเราเข้าไปสถิตอยู่ในตัวท่าน และพระวิญญาณบริสุทธิ์จะเป็นผู้เปิดเผยความจริงว่าสิ่งที่เราพูดกับท่านในวันนี้ คือคำเทศนาบนภูเขานี้ มันหมายถึงอะไร?”

คราวนี้เราได้เปรียบไง  ตอนที่พูดอยู่ คำเทศนาบนภูเขา ชาวยิวเขายังไม่บังเกิดใหม่ ยังไม่มีพระวิญญาณอยู่ เขาก็งง เขาไม่เข้าใจ เข้าใจเพียงแต่ผิวเผิน เพราะว่าเป็นเรื่องประวัติ ขนบธรรมเนียม ประเพณีทางศาสนายิว ซึ่งเขาถือกันมาตั้งแต่โบร่ำโบราณ เขาก็พอจะเข้าใจบ้าง  แต่เรื่องของโลกวิญญาณ ก็จะไม่รู้เรื่องเลย จะเรียนรู้เรื่องนี้ เราต้องนึกถึงภาพคนที่ฟังเป็นอย่างไร?

เพราะฉะนั้น ที่ให้เรามาเริ่มต้นด้วยโรม 3:9-20 เพื่อจะได้เห็นชัดเจนขึ้น เพราะเราได้เปรียบว่าตรงนี้หมายถึงอย่างนี้เอง ซึ่งผู้ที่พระเยซูคริสต์ได้ใช้ให้เขียนตรงนี้ ก็คืออัครทูตเปาโล ซึ่งถูกแต่งตั้งให้มีหน้าที่ประกาศให้กับคนที่ไม่ใช่ยิว ก็คือคนทั้งหมดบนโลกใบนี้ เพราะฉะนั้น เราเรียนรู้แล้วว่าพระองค์ทรงประกาศให้ชาวยิวก่อน แล้วก็เล็งไปถึงคนที่ไม่ใช่ยิวทีหลัง  ตอนนี้เรากำลังมาเรียนรู้เรื่องนี้ จากมุมมองของคนต่างชาติ  ที่ได้อ่านพระคัมภีร์โรม 3:9-20  ได้เห็นภาพว่าจะเข้าสวรรค์ เข้าอย่างไร?  ทำไมถึงต้องเข้าสวรรค์ และทำไมพึ่งพาตนเองในการเข้าสวรรค์ไม่ได้  ต้องพึ่งพาพระเยซูด้วย เพราะเหตุไร?

โรม 3:9-20 “9 เช่นนี้แล้ว เราจะสรุปว่าอย่างไร พวกเราชาวยิวดีกว่าคนอื่นหรือ? ไม่เลย เราชี้ให้เห็นแล้วว่าทั้งคนยิวและคนต่างชาติ ล้วนอยู่ภายใต้บาปเหมือนกันหมด 10 ตามที่มีเขียนไว้ว่าไม่มีสักคน ที่เป็นคนชอบธรรม ไม่มีแม้สักคนเดียวเลย 11 ไม่มีใครที่เข้าใจ ไม่มีใครที่แสวงหาพระเจ้า 12 ทุกคนล้วนหันเหไป พวกเขากลายเป็นคนไร้ค่าไปด้วยกัน ไม่มีสักคนที่ทำดี ไม่มีแม้แต่คนเดียว 13 ลำคอของพวกเขา คือหลุมฝังศพที่เปิดอยู่ พวกเขาตวัดลิ้นปลิ้นปล้อนพิษงูร้าย อยู่ที่ริมฝีปากของพวกเขา 14 ริมฝีปากของเขา เต็มไปด้วยคำสาปแช่ง และคำเผ็ดร้อน 15 เท้าของเขาว่องไวในการทำให้นองเลือด 16 เขาก่อหายนะและทุกข์เข็ญ ไว้ตามรายทางของเขา 17 ไม่มีความยำเกรงพระเจ้า ในสายตาของพวกเขา 18 เขาไม่เคยคิดที่จะเกรงกลัวพระเจ้าเลย 19 เรารู้อยู่ว่าสิ่งใดๆ ที่บทบัญญัติกล่าวไว้  ล้วนกล่าวแก่ผู้ที่อยู่ใต้บทบัญญัติ เพื่อปิดปากทุกคน ไม่ให้มีข้อแก้ตัว และให้ทั้งโลก อยู่ภายใต้การพิพากษาของพระเจ้า 20 ฉะนั้น ไม่มีใครได้ชื่อว่าเป็นคนชอบธรรม ในสายพระเนตรของพระเจ้า  โดยการรักษาบทบัญญัติ  บทบัญญัติเพียงแต่ทำให้เรารู้ตัวว่ามีบาป เป็นคนบาป”

 

จำได้ใช่ไหม เราเรียนรู้กันมา ครั้งที่แล้วว่าพระเยซูพูดว่าอย่างไร? ข้อ 20 ชัดเลย …

“ฉะนั้น ไม่มีใครได้ชื่อว่าเป็นคนชอบธรรม ในสายพระเนตรของพระเจ้า โดยการรักษาบทบัญญัติ”

ไม่มีทางเลย ทำไม่ได้หรอก ครั้งที่แล้วเราจบลงที่พระเยซูบอกว่าท่านจะทำไม่ผิดเลย แม้แต่ข้อเดียว มันเป็นไปไม่ได้ ในการรักษาบทบัญญัติ  เพื่อที่จะได้เป็นผู้ชอบธรรม โดยการกระทำด้วยตัวเอง บทบัญญัติเพียงแต่ทำให้เรารู้ตัวว่าเราเป็นคนบาป มีบาปอยู่ในวิญญาณของเรา

มาวิเคราะห์กันในข้อที่ 9 “เช่นนี้แล้ว เราจะสรุปว่าอย่างไร พวกเราชาวยิวดีกว่าคนอื่นหรือ?” พวกชาวยิว  อย่างที่เราเรียนรู้ใช่ไหม? พระเจ้าทรงเลือกชาวยิวก่อนชนชาติอื่น ชนชาติยิวก็เลยหยิ่ง ทะนงตนว่าเราเป็นพวกเดียวที่พระเจ้าเลือกเอาไว้ให้ได้รับความรอด

พระเยซูบอก … “เปล่าเลย เลือกท่านก่อน แล้วก็จะไปเลือกที่ไม่ใช่ยิวทีหลัง”

ก็คือเลือกมนุษย์ทั้งหมดบนโลกใบนี้นั่นเอง  เราไม่ได้ดีกว่าคนอื่นเลย ในนี้จึงบอกว่า “เปล่าเลย เราชี้ให้เห็นแล้วว่า …” นี่เปาโลบอกนะ “ทั้งคนยิวและคนต่างชาติ ล้วนอยู่ภายใต้บาป เหมือนกันหมด” เห็นไหมครับ มีเชื้อบาปอยู่ในวิญญาณเหมือนกันหมด “ตามที่มีเขียนไว้ว่าไม่มีสักคนเป็นคนชอบธรรมเลย ไม่มีแม้สักคนเดียวเลย” พูดง่ายๆ ก่อนพระเยซูคริสต์มาช่วย ไม่มีใครเป็นผู้ชอบธรรมได้เลย ไม่มีใครที่เข้าใจ  ไม่มีใครที่แสวงหาพระเจ้า  ก็คือไม่มีมนุษย์คนใดเข้าใจ รู้เรื่องเกี่ยวกับโลกฝ่ายวิญญาณ เกี่ยวกับพระเจ้าเลย  ไม่มีใครแสวงหาพระเจ้าจริงๆ จังๆ ทุกคนล้วนหันเหไป หมายถึงวิญญาณของเขา ไม่สามารถอยู่กับพระเจ้า  ไม่สามารถติดต่อกับพระเจ้าได้ ลักษณะถึงเป็นเช่นนั้น  แล้วก็อธิบายต่อๆ กันมา ผมจะไม่อ่าน ไม่อธิบายเพิ่มนะ อ่านในนี้ ก็รู้อยู่แล้วว่าเปาโลกำลังอธิบายเรื่องเกี่ยวกับความบาปที่อยู่ในมนุษย์

ผมจะมาสรุปตรงข้อที่ 19 เลยว่า “เรารู้อยู่ว่าสิ่งใดๆ ที่บนบัญญัติกล่าวไว้ ล้วนกล่าวแก่ผู้ที่อยู่ใต้บทบัญญัติ  เพื่อปิดปากทุกคน ไม่ให้มีข้อแก้ตัว”

เพราะบทบัญญัติเราได้เรียนรู้แล้ว มันถูกเขียนไว้ในหนังสือ เป็นลายลักษณ์อักษร แล้วเขียนไว้ในจิตใต้สำนึกด้วย จิตใต้สำนึกตัวนี้ เป็นตัวฟ้อง ฟ้องว่าเมื่อตะกี้นี้ที่บอก “ไม่มีมนุษย์ผู้ใดเลยที่เป็นผู้ชอบธรรม” ไม่ใช่ “ไม่มีมนุษย์คนใดที่ทำชอบธรรม” เยอะแยะไปหมด คนทำความชอบธรรม  แต่นี่กำลังบอกว่า “เป็น” ซึ่งหมายถึงวิญญาณนั่นเอง เป็นคนชอบธรรม ไม่มีใครเลยสักคนหนึ่ง ที่เป็นตรงนี้

เห็นชัดแล้วนะ ว่าพระเยซูกำลังอธิบายให้เห็นถึงความจริงในโลกฝ่ายวิญญาณ ว่ามนุษย์ทุกคน  สภาพเป็นอย่างไร?

บทบัญญัติ ก็คือกฎแห่งการกระทำ ที่พึ่งพาการกระทำของตนเอง ไม่ว่าดีหรือชั่ว  เรียกว่ากฎแห่งกรรม  ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว เป็นกฎหมายทางศีลธรรม ที่จารึกอยู่ในจิตใต้สำนึก จิตใจของมนุษย์ ทุกคนบนโลกใบนี้ ไม่ว่าจะเป็นยิวหรือไม่ยิวก็ตาม ไม่ต่างกันเลย เพราะว่าข้างใน วิญญาณนั้นเป็นบาปอยู่ เมื่อเป็นบาปอยู่ ก็ต้องอยู่ใต้กฎของการพึ่งพาตนเอง คือกฎหมายทางศีลธรรม ทุกคนบนโลกใบนี้ ไม่ว่าจะเป็นยิวหรือไม่ยิวก็ตาม ไม่ต่างกันเลย คือตัวเองทำดี ก็ได้ดี ทำชั่วก็ได้ชั่ว  ถ้าทำดี ได้ดี ก็คือทำดี ก็ได้ไปสวรรค์ ทำชั่ว แค่นิดเดียวที่เราได้เรียนรู้กันมา ก็พินาศโดยพลัน  เหมือนกับที่เราคุ้นๆ กัน เหมือนเพลงที่เราร้องกัน

“ถ้าทำดีได้ไปสวรรค์ ทำชั่วแม้นิดเดียว ก็พินาศ โดยพลัน”

เพราะฉะนั้น สิ่งที่พระเจ้ามองดูอยู่ คือพระเจ้ามองที่ข้างในวิญญาณ มนุษย์มองที่ยอดภูเขา น้ำแข็งบนน้ำ แต่พระเจ้ามองที่ฐานภูเขาน้ำแข็ง มหึมาใต้น้ำ ซึ่งก็เป็นหัวข้อเรื่องของเรา มนุษย์มองที่ยอดภูเขาน้ำแข็งบนน้ำ  แต่พระเจ้ามองที่ฐานของภูเขาน้ำแข็งมหึมาใต้น้ำ

มนุษย์มองดูบนน้ำ คือมนุษย์มองที่ความประพฤติภายนอก แต่พระเจ้ามองที่วิญญาณข้างใน

คำประกาศของพระเยซูบนภูเขา เน้นถึงสิ่งเหล่านี้แหละ  พยายามชี้ให้เราเห็น “เรา” หมายถึงชาวยิวและเล็งไปถึงมนุษย์คนอื่นๆ ที่ไม่ใช่ยิวด้วย พระเยซูกำลังชี้ให้ชาวยิวและมนุษย์ทั้งปวงได้เห็นถึงฐานภูเขาน้ำแข็งมหึมาใต้น้ำ ก็คือโลกวิญญาณ ที่มนุษย์มองไม่เห็น มนุษย์เห็นแต่ภายนอก ในโลกวิญญาณที่เกี่ยวกับทางแห่งความรอด จากการถูกพิพากษาลงโทษ เนื่องจากบาปในวิญญาณ ไม่ใช่บาปที่กระทำที่เราเห็นๆ ภายนอก เนื่องจากบาปในวิญญาณ ซึ่งในวิญญาณนี้ ก็คือตัวตนจริงๆ ของมนุษย์ ที่ต้องเข้าสู่การพิพากษาว่าจะได้เข้าในสวรรค์กับพระเจ้าได้หรือไม่หลังความตายนั่นเอง นี่คือความเป็นจริง ที่อยู่ใต้มหาสมุทร ที่มนุษย์มองไม่เห็น  ทางแห่งความรอดนี้ ก็คือผ่านทางความเชื่อ วางใจในพระเยซูคริสต์ พระผู้ช่วยให้รอด ที่พระเจ้าประทานให้กับมนุษย์ทุกคน ซึ่งเป็นกฎเหมือนกัน เป็นกฎทางวิญญาณ เรียกว่ากฎแห่งพระคุณ หรือกฎแห่งวิญญาณในพระคริสต์ คือพึ่งในการกระทำของพระเยซูคริสต์เท่านั้น ไม่พึ่งพาการกระทำดีของตนเลย แม้แต่นิดเดียว ก็คือไม่พึ่งพาการกระทำดีตามบทบัญญัติ  ตามกฎหมาย ศีลธรรม  ตามอะไรต่างๆ ที่มนุษย์มองเห็นบนโลกใบนี้  ไม่พึ่งเลย แต่มาพึ่งกฎของวิญญาณในพระเยซูคริสต์ ที่บอกว่าวางใจในพระเยซูคริสต์ แล้วก็รอดจากการถูกพิพากษาลงโทษ หลังความตายนั่นเอง ซึ่งกฎนี้ พระคัมภีร์เรียกว่ากฎแห่งพระคุณ

ส่วนบนโลกใบนี้ที่เราจับต้องมองเห็นได้ มันอยู่ใต้กฎ ที่เรียกว่ากฎของความบาปและความตาย บนโลกใบนี้ที่เรามองไม่เห็น มีกฎหนึ่งอยู่ ใช้อยู่บนโลกใบนี้ มนุษย์ทุกคนเกิดมา ก็อยู่ใต้กฎนี้ เขาเรียกว่าใต้กฎของความบาปและความตาย  คือพึ่งพาในการกระทำดีของตนเอง เป็นกฎแห่งกรรม  ตามที่เราได้เรียนรู้กันมา คือกฎแห่งศีลธรรม  ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว ซึ่งส่วนใหญ่เราก็เห็นกัน และรู้กันอยู่แล้ว  เพราะว่ามันอยู่ข้างบน อยู่บนน้ำ เป็นยอดของภูเขาน้ำแข็ง ที่มนุษย์ทุกคนเห็นอยู่ ประพฤติอย่างไร? ควรจะได้อะไรต่างๆ อย่างนี้ มันเห็นใช่ไหม? ไปตีหัวชาวบ้านเขา มันควรได้รับอะไรกลับมา มันเป็นของที่เราเห็นชัดๆ อยู่แล้ว ก็คือพยายามปฏิบัติดี ก็เก็บเกี่ยวผลดีในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้  อย่างมีความสุข มีสันติสุข ทุกข์น้อยลง ไม่ใช่หมดทุกข์นะ  ไม่หมดอยู่แล้ว แต่มันทุกข์น้อยลง  ถ้าเราเชื่อฟัง เราไม่ละเมิดศีล  ไม่ไปทำร้ายคนเขา เราก็มีความทุกข์น้อยลง อะไรประมาณนั้น

ถ้าทำตรงกันข้ามกับกฎก็มีทุกข์มากขึ้น อันนี้มันเห็นชัด นี่คือบนน้ำ  เพราะฉะนั้น ใครที่พยายามบังคับ ควบคุมตนเองได้มากในกฎแห่งกรรมนี้ ก็จะมีความสุข มีสันติสุขมากบนโลกใบนี้ …

ยกตัวอย่าง ง่ายๆ ชัดๆ นี่คือกฎนะ เช่น เรารู้ว่าอาหารเหล่านี้ทำลายสุขภาพ เช่น เหล้า ยาเสพติด น้ำตาล อาหารที่เป็นพิษต่อร่างกายต่างๆ เยอะแยะมากมาย ซึ่งเรารู้แล้ว แต่เราก็ยังคงปล่อยตัว ไม่ยอมพยายามลด ละ เพราะเราทำไม่ได้ ใช่ไหม? แต่กฎก็ต้องเป็นกฎ เราก็จะเก็บเกี่ยวผลของการกระทำนั้น  ผลมัน ก็คือสุขภาพย่ำแย่ โรคภัยไข้เจ็บตามมา  เพิ่มความทุกข์ยากลำบาก ให้กับร่างกายนี้ ใช่หรือไม่? นี่เห็นไหม? กฎมันมีบอกอยู่

เพราะฉะนั้น ทั้ง 2 กฎ ก็คือกฎของโลกวิญญาณ และกฎของโลกวัตถุ  สิ่งที่เราเห็นได้ตรงนี้ มันสำคัญทั้ง 2 กฎเลย กฎที่อยู่บนยอดภูเขาน้ำแข็ง บนน้ำ ก็สำคัญ กฎอีกกฎหนึ่ง สำคัญกว่า ก็คือกฎที่มองไม่เห็น ที่อยู่ใต้น้ำ ที่พระเจ้าให้ความสำคัญมาก แต่อย่างที่ตะกี้นี้บอก มันสำคัญทั้งสองกฎ แต่โลกวิญญาณนั้น สำคัญมากกว่า เพราะโลกวิญญาณนั้น ไม่มีการเปลี่ยนแปลง อยู่นิรันดร์เลย ในขณะที่โลกวัตถุนั้น ตั้งอยู่เพียงชั่วคราว แป๊บเดียวเท่านั้น มีวันสูญสิ้นไป ที่เรียกว่าเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป  แต่โลกวิญญาณ เกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วก็ตั้งอยู่นิรันดร์ อะไรสำคัญกว่าเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป นี่คือบนยอดภูเขาน้ำแข็ง  ที่เรามองเห็นบนโลกใบนี้  กฎบนโลกใบนี้นั่นเอง

คราวนี้ กฎของวิญญาณ เกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วก็อยู่ไปนิรันดร์ จะเห็นภาพชัดเจนว่าอะไรมันสำคัญกว่า ดังนั้น การรักษา เชื่อฟังต่อกฎ ไม่ว่าจะเป็นกฎบัญญัติ กฎหมายบ้านเมือง กฎศีลธรรม กฎแห่งการทำดี ทำชั่ว  การเคารพยำเกรงต่อกฎเหล่านี้  การดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ให้สอดคล้อง เชื่อฟังต่อกฎเหล่านี้ ก็เป็นประโยชน์อย่างมากมายในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้อย่างสงบสุข เป็นสิ่งที่ดี ที่จะส่งผลให้มีความทุกข์น้อยลงในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ใช่หรือไม่?

นี่คือสิ่งที่พระเยซูพยายามจะชี้ให้เราเห็น แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ไม่มีผลใดๆ กับทางโลกวิญญาณเลย ถูกไหม? ที่จะเก็บเกี่ยวทางวิญญาณ ผ่านทางความตาย จากโลกนี้แล้ว หลังจากวิญญาณออกจากร่างเข้าสู่มิติฝ่ายวิญญาณ มันคนละกฎกันแล้ว พอเห็นภาพไหมครับ? หลังจากความตายในโลกวิญญาณนั้น มันลงไปอยู่ที่กฎที่อยู่ใต้น้ำ  ก็คือกฎของวิญญาณ  พระเยซูจึงเตือนเรา และอยากให้เรา ได้รู้ความจริงเหล่านี้ นี่คือพื้นเพลึกๆ เป้าหมายของพระเยซู ที่ประกาศคำเทศนาบนภูเขานี่แหละ ที่เรากำลังเรียนรู้ นี่คือเบื้องหลัง พระองค์จึงอยากจะเตือนให้เราให้ความสำคัญกับโลกวิญญาณมากกว่า จึงชี้ให้เราเห็นโลกวิญญาณมากกว่า พวกฟาริสีก็พยายามมองไปที่ความประพฤติข้างนอก มองไปแค่นั้น  พระเยซูก็พยายามดึงเข้ามาอยู่ที่โลกวิญญาณให้เขาเห็น โดยเฉพาะพระองค์บอกว่าจงแสวงหาความชอบธรรม ทางฝ่ายวิญญาณเสียก่อน เพื่อจะได้เข้าสวรรค์โดยความเชื่อ ผ่านทางพระองค์เท่านั้น ให้แสวงหาความรอด ก็คือความเชื่อในพระองค์ วางใจในพระองค์ แล้วจะได้ความชอบธรรมของพระเจ้าเข้ามา ไม่ใช่ความชอบธรรม ที่ทำได้ด้วยตนเอง แต่ให้เชื่อและวางใจในพระองค์นั่นเอง พระองค์จึงบอกว่าจงแสวงหาความรอดทางวิญญาณ  คือความชอบธรรมที่เข้าสวรรค์ โดยความเชื่อ ผ่านทางพระองค์เท่านั้นเสียก่อน ก่อนที่จะไปสนใจให้ความสำคัญกับกฎ ที่อยู่บนโลกใบนี้  กฎทางด้านศีลธรรม  บทบัญญัติต่างๆ เหล่านั้น  ไม่ใช่ไม่ให้ความสำคัญ ให้ความสำคัญ แต่เอาวิญญาณก่อน  เพราะถ้าวิญญาณไม่ดี  ความประพฤติ ก็ช่วยอะไรไม่ได้  แล้วก็ไม่ดีด้วยซ้ำไป แต่ถ้าวิญญาณดี ความประพฤติก็จะดีขึ้น และก็จะให้ความสำคัญกับความประพฤติด้วย เพราะว่าวิญญาณข้างในดีแล้วนั่นเอง

ปัญหามันอยู่ที่ไหน?  ปัญหาของมนุษย์จึงอยู่ที่มนุษย์ไม่รู้ความจริงเหล่านี้นั่นเอง มองแต่ยอดภูเขาน้ำแข็งข้างบนที่เห็นอยู่ แล้วก็ตัดสินกันใหญ่เลย

“ของคนนี้สวย ของคนนี้เยี่ยมเลย ของคนนี้ยอดนิ้งเลย  ของคนนี้ไม่ไหว  ภูเขาน้ำแข็งจะละลายแล้ว คนนี้หักๆ แต่คนนี้สวยมากเลย เรามองดูที่ความประพฤติ การรักษาบทบัญญัติ การรักษาความดีงาม ซึ่งมันดีไหม? เราคุยกันมาแล้วว่ามันดีใช่ไหม?  พระเยซูก็บอกว่าดี  แต่มันไม่สำคัญมากไปกว่าข้างใต้น้ำ  ที่เป็นตัวรากของภูเขาน้ำแข็ง เบ้อเริ่มเทิ่มใหญ่โต ที่สามารถทำให้เรืออับปางได้ ภูเขาน้ำแข็งบนยอดนั้น มันไม่ทำให้เรืออับปางหรอก แต่ที่มันอับปาง เพราะว่าภูเขาน้ำแข็ง ที่อยู่ข้างใต้ มันแข็งแกร่ง เรือชน พังเลย ข้างบนชนไป มันก็หัก ยอดภูเขาน้ำแข็งบนน้ำ ชนไปก็หัก หมายถึงว่ายอดภูเขานั้นมันหัก  แต่ทำให้เรือจม เพราะข้างล่าง มันคือฐานที่แข็งแกร่ง ที่ทำให้ชีวิตล่มจมได้

ปัญหาที่มนุษย์ไม่รู้ความจริงเหล่านี้ว่ามันมี 2 กฎ คือกฎของโลกวิญญาณ และกฎของโลกวัตถุ บนโลกใบนี้ จึงหวังผลสลับกันไปมา มั่วกันไปหมด มั่วอย่างไร? เช่น กระทำดีตามกฎหมายศีลธรรม บทบัญญัติ รักษาศีลธรรมบัญญัติอย่างดี อันดีงาม  แต่ก็ไปหวังผล  คือหวังว่ามันจะช่วยให้ได้รับความรอด ในโลกวิญญาณด้วย ซึ่งมันเป็นไปได้ไหม? เป็นไปไม่ได้ เห็นหรือยัง?  รักษากฎหนึ่ง แต่จะมารับผลจากอีกกฎหนึ่งไม่ได้  รักษากฎบัญญัติ ทางด้านศีลธรรม กฎแห่งกรรมบนโลกใบนี้  แล้วจะมาหวังว่าจะได้เข้าสวรรค์ คือกฎของวิญญาณ หลังความตาย เป็นไปได้ไหม? เราทราบแล้ว เป็นไปไม่ได้ พระเยซูกำลังมาชี้ตรงนี้ ให้ฟาริสีได้เห็น

นี่คำประกาศของพระเยซูทำให้เห็นตรงนี้ เพื่อท่านจะรู้แบล็คกราว์นเหล่านี้ก่อน แล้วท่านก็ค่อยๆ เรียนรู้ ไปอ่านข้อต่อๆ ไปของคำเทศนาบนภูเขาของพระเยซู เราจะได้เข้าใจไง นี่คือความไม่รู้ ความจริงของมนุษย์ทั้งหลาย ซึ่งมีปัญหา หรือบางพวกที่ไม่รู้ความจริงเหล่านี้ ก็มีเหมือนกัน  แต่อันนี้พวกหลังพวกน้อยหน่อย หมายถึงเกิดโทษน้อยหน่อย คือไม่รู้ความจริงว่าเมื่อเขาทำตามกฎวิญญาณ ตามที่พระเยซูแนะนำแล้ว  เขารอดในวิญญาณแล้ว  โดยการเชื่อวางใจในพระเยซูแล้ว นึกภาพนะ เชื่อและวางใจในพระเยซู เชื่อในโลกวิญญาณ  เขาได้รับอะไร? เขาได้รับผลทางโลกวิญญาณแล้ว คือได้รับความรอดจากการพิพากษาลงโทษ หลังความตายแล้ว ใช่หรือไม่? ใช่ แต่เขาหวังผลที่จะเกิดขึ้นบนโลกใบนี้ด้วย

หวังผลที่จะเกิดขึ้นบนโลกใบนี้  คืออะไร? เช่น เชื่อพระเจ้าแล้ว  หวังว่าจะเจริญรุ่งเรือง ร่ำรวย แข็งแรง ปลอดภัยจากอันตรายทั้งปวง  ซึ่งมันเป็นไปไม่ได้ในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ เพราะโลกนี้มันถูกปกคลุมไปด้วยคำสาปแช่ง  ความทุกข์ยากลำบาก เนื่องจากบาป  จนกว่ามันจะสูญสิ้นโลกใบนี้นั่นเอง  มันเป็นไปไม่ได้ แต่เขาไปหวัง มันก็เลย ทุกข์มากขึ้น

ใครก็ตามที่อยู่บนโลกใบนี้  ไม่ว่าจะเชื่อพระเจ้าหรือไม่เชื่อก็ตาม ไม่ว่าจะเชื่อในพระเยซูหรือไม่เชื่อก็ตาม ก็ได้รับผลกระทบเหมือนกันหมด จากคำสาปแช่งบนโลกใบนี้ จากบาปนั่นแหละ เหมือนแดดส่องมาบนโลก โดนทุกคนไหม? สาดส่องออกไป  คนนี้เชื่อพระเจ้าไม่ต้องไปส่องเขา ส่องหมดแหละครับ เพียงแต่ผู้ที่เชื่อและวางใจในพระเยซูคริสต์ ก็จะมีพระเจ้าสถิตอยู่ภายใน คอยนำพาเขาในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ที่เต็มไปด้วยความบาปและคำสาปแช่ง  ได้เปรียบกว่า คือมีผู้นำทางอยู่ข้างใน

พระคัมภีร์บอกว่า … “พระองค์ทรงจูงมือข้าพเจ้าเดินทางในความชอบธรรม พระองค์พาเดินผ่านหุบเขาเงามัจจุราช”

พาเดินผ่านหุบเขาเงามัจจุราช ก็คือผ่านความมืดของโลกใบนี้นั่นเอง  พระองค์สถิตอยู่ในนั้น นี่ได้เปรียบ

แล้วพระเจ้าเป็นใคร?  พระเจ้าทรงเป็นผู้พิพากษา และเป็นผู้ดูแลกฎทั้งสองกฎนี้ทั้งหมด  เรารู้ว่ามี 2 กฎนี้แล้ว พระเยซูกำลังมาชี้ให้เราเห็นถึงกฎวิญญาณนี้  แล้วกำลังมาบอกว่าพระเจ้าเป็นผู้พิพากษา ดูแลกฎเหล่านี้ทั้งหมด ทั้งสองกฎ ดังนั้น ใครก็ตามที่เคารพยำเกรงต่อพระเจ้า คือเชื่อฟังพระองค์ พยายามรักษากฎบัญญัติ กฎศีลธรรม  และรักษากฎทางฝ่ายวิญญาณด้วย ทั้งสองอย่างเลย คือเชื่อวางใจในพระเยซูคริสต์ และให้ความสำคัญ ทำตามทั้งสองกฎ ก็จะได้เก็บเกี่ยวผลดี เขาเรียกว่าพระพรทั้งสองกฎอย่างครบถ้วนบริบูรณ์เลย เอาหรือไม่เอา คือพระพรฝ่ายวิญญาณ นานับประการในพระคริสต์ได้ไหม? ได้ เพราะเชื่อในพระเยซูแล้ว วางใจในพระเยซูแล้ว และรวมทั้งพรบนโลกใบนี้  เพราะว่ารักษากฎของศีลธรรม กฎบัญญัติที่ระบุว่าอะไรดี อะไรชั่วและรักษาให้ดีที่สุด  ก็จะมีความสุข ความสงบในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ด้วย  พร้อมกับความสบายใจ หายเหนื่อยและเป็นสุข ในการที่จะได้อยู่ในสวรรค์ พ้นจากการพิพากษาลงโทษหลังความตายด้วยเช่นเดียวกัน

เห็นไหม นี่คือเป้าหมายของพระเยซูที่ต้องการมาเน้นให้เราเห็นถึงความรอดทางฝ่ายวิญญาณ สำคัญมากกว่าการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ แต่การดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ การประพฤติต่างๆ ก็ยังสำคัญอยู่ แต่มันน้อยกว่า

และการประพฤติอย่างนี้ มันคือการเคารพ ยำเกรงที่พระคัมภีร์บันทึกไว้ว่า … “จงเคารพ ยำเกรงพระเจ้าจนตัวสั่น มันแปลว่าอย่างนี้”

พระเจ้าโหดร้ายหรือ? ไม่ใช่  พระเจ้าเป็นพระบิดาของเรา เป็นพ่อของเรา  คำว่า “จงเคารพ ยำเกรงจนตัวสั่น” หมายถึงเคารพยำเกรงพระเจ้า ผู้เป็นผู้พิพากษาของมหาจักรวาล กฎต้องเป็นกฎ มันต้องเป็นอย่างนี้ มันต้องโดนแน่  เคารพ ยำเกรงในกฎหมาย  คือเห็นกฎหมายแล้ว ไม่กล้าทำ  เพราะทำไป โดนแน่นอน  รับโทษแน่นอน  ไม่เชื่อ ไม่วางใจในพระเยซูคริสต์ ถูกพิพากษาลงโทษหลังความตายแน่นอน เชื่อพระเจ้าแล้ว  วางใจในพระเยซูคริสต์แล้ว ไม่ถูกพิพากษาแล้ว ดำเนินอยู่บนโลกใบนี้ มีความโลภ มีความโกรธ ควบคุมอารมณ์ไม่อยู่  บังคับตัวเองไม่ได้ กินไม่เลือก ได้รับผลจากการกระทำนั้นแน่นอน นี่คือการเคารพ ยำเกรงพระเจ้าจนตัวสั่น  ที่บันทึกไว้ในพระคัมภีร์

บันทึกเอาไว้ว่าพระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่สูงสุด เป็นผู้พิพากษาของมหาจักรวาล ผู้ทรงสร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก สร้างสรรพสิ่งทั้งหลาย เป็นพระเจ้าผู้ทรงยุติธรรม ไม่ลำเอียง มันแปลว่าอย่างนี้ เป็นผู้พิพากษาของทุกสิ่ง ให้เป็นไปตามกฎระเบียบ  ตามถ้อยคำของพระองค์  ที่ได้ให้ไว้เรียบร้อยแล้ว ในมหาจักรวาลนี้ รับรู้กันหมดว่ามีกฎอย่างนี้อยู่ สรรพสิ่งที่พระองค์ทรงสร้างทั้งหมด แม้ว่าดวงจันทร์ ดวงดาว ทุกอย่าง ทั้งทูตสวรรค์ ทั้งอะไรต่างๆ และมนุษย์ทุกคนอยู่ภายใต้กฎเหล่านี้ทั้งสิ้น และพระองค์เป็นผู้ดูแลทั้งหมด ทั้งกฎทางโลกวิญญาณ และกฎทางโลกวัตถุ พระองค์ทรงดูแลทุกอย่างให้เป็นไปตามนั้นเด็ดขาด แล้วถ้าท่านทำตาม ท่านได้แน่นอน 100% เอเมนไหม? เอเมน

นี่คือเบื้องหลัง เป้าหมายของพระเยซูที่กำลังประกาศบนภูเขา ให้กับชาวยิวได้ฟังก่อน ซึ่งเล็งไปถึงชาวที่ไม่ใช่ยิวทีหลังด้วย

วันนี้มาต่อ ครั้งที่แล้ว เราทิ้งท้ายไว้ที่คำพูดของพระเยซู จำได้ใช่ไหม? ที่ทำให้สาวกตะลึง งงเต้ก อยู่ในมัทธิว 5:20 ทวนสักนิดหนึ่ง …

มัทธิว 5:20 “เพราะเราบอกพวกท่านว่าถ้าความชอบธรรมของท่าน ไม่มากกว่าความชอบธรรมของพวกธรรมาจารย์และพวกฟาริสี พวกท่านจะไม่มีวันได้เข้าสู่แผ่นดินสวรรค์”

 

สาวกได้ฟังแล้วเป็นไง? ตะลึง … “ถ้าเช่นนี้แล้ว ใครกันเล่าจะสามารถเข้าแผ่นดินสวรรค์ได้” เขาก็คิดกันสาวก ตะลึง “ใครกันเล่าจะมีความชอบธรรมมากกว่าฟาริสี หรือธรรมาจารย์เหล่านี้” ซึ่งอย่าลืมว่าพระเยซูกำลังพูดกับชาวยิว บนพื้นฐานของวัฒนธรรม ศาสนายิว ซึ่งสำหรับชาวยิวแล้ว เขารู้ดีว่าพวกฟาริสีและธรรมาจารย์ คือใคร? ตรงนี้ก็สามารถ ที่จะมายืนยันกับเราได้อีกครั้งหนึ่งว่าพระเยซูกำลังพูดกับชนชาติยิวโดยเฉพาะ เพราะว่าพวกต่างชาติไม่รู้จักหรอก ฟาริสีคือใคร? ธรรมาจารย์คือใคร? เพราะฉะนั้น กำลังพูดกับชาวยิว คนยิวจะรู้ดีว่าฟาริสีและธรรมาจารย์ คือกลุ่มบุคคลที่รักษาบทบัญญัติได้มากถึงมากที่สุด เคร่งศาสนามาก ชอบธรรมที่สุดแล้ว ไม่ใช่เป็นผู้ชอบธรรมนะ ประพฤติชอบธรรมมากที่สุดแล้ว ซึ่งชาวยิวรู้ดี แล้วพระเยซูบอกว่าต้องทำได้มากกว่านี้ เป็นท่าน ท่านจะคิดอย่างไร?

“หา! นี่ก็ทำไม่ไหวอยู่แล้ว ยังจะให้ทำมากกว่านี้อีกหรือ? แค่ทำเท่ากับฟาริสีและธรรมาจารย์ ฉันก็ไม่ไหวแล้ว รักษาศีลถึง 613 ข้อ วันๆ หนึ่งไม่ต้องทำอะไรเลย ดูแต่บทบัญญัติ แล้วก็ทำตามๆ แทบจะไม่ได้ไปไหนเลย ก็ยังทำผิดพลาดอยู่”

แล้วพระเยซูบอกว่า “พวกท่านจะเข้าสวรรค์ได้ พวกท่านต้องทำมากกว่านี้ ถึงจะเป็นผู้ชอบธรมได้”

มันไม่มีทางเป็นไปได้เลย เพราะฉะนั้น สาวกทั้งหลายก็เลยตะลึง

วันนี้มาต่อกันที่มัทธิว 5:21-48 แต่ไม่ต้องตกใจ ถึงวันนี้ไม่ถึง ก็มาต่อวันอื่น ผมอยากให้บริบทนี้อ่านจากข้างหลังก่อน คือจากข้อ 48 ก่อน แล้วเดี๋ยวค่อยมาเริ่มต้นข้อ 21 ทีหลัง จะได้เห็นภาพชัดเจน เพราะพระองค์สรุปจบในข้อ 48 ในบริบทนี้ …

มัทธิว 5:48 “เหตุฉะนั้น จงบริสุทธิ์ ดีพร้อม เหมือนพระบิดาของท่านในสวรรค์ ทรงบริสุทธิ์ดีพร้อม”

 

ในข้อ 20 ที่ตะกี้เราได้อ่านกันบอกว่าการจะเข้าสู่แผ่นดินสวรรค์ได้นั้น ความชอบธรรมของท่านต้องมีมากกว่าฟาริสีและธรรมาจารย์ ความหมาย คือท่านต้องทำได้มากกว่าฟาริสีและธรรมาจารย์ ความหมาย ก็คือข้อ 48 นี่แหละ คือท่านต้องบริสุทธิ์ และดีพร้อมเหมือนพระเจ้า ท่านต้องมีความชอบธรรม เป็นผู้ชอบธรรม  รักษาความชอบธรรม  มากกว่าพวกฟาริสีและธรรมาจารย์ มากกว่าถึงขนาดไหน?  พระองค์ก็แจงตั้งแต่ข้อ 21 เป็นต้นไป จนกระทั่งจบบริบท 48 สรุปว่าทำได้มากกว่า ท่านต้องบริสุทธิ์และดีพร้อม เหมือนพระเจ้า เห็นภาพแล้วนะ

เพราะฉะนั้น ตั้งแต่ข้อ 21 เป็นต้นมาถึงข้อ 47 จะเป็นรายละเอียดพูดเกี่ยวกับเรื่องนี้ สรุป พอให้เห็นว่าท่านต้องดีพร้อมเหมือนพระเจ้า จึงจะเป็นผู้ชอบธรรมได้ ซึ่งเราก็รู้อยู่แล้ว มันเป็นไปไม่ได้เลย ถ้าจะทำด้วยตนเองนั่นเอง

ในข้อ 21-47 พระเยซูได้ขยายความให้เราได้เห็นคำว่า “บริสุทธิ์และดีพร้อมเหมือนพระเจ้า” นั้นมันเป็นอย่างไร? นี่เราลงรายละเอียดแล้ว เห็นไหม? เราเริ่มอ่านจากบทสรุปสุดท้าย  แล้วค่อยมาอ่านตอนต้น เราได้เปรียบ  เราเข้าใจแล้วว่าพระองค์กำลังพูดพุ่งไปที่เป้าหมาย?

เป้าอยู่ที่ตรง “บริสุทธิ์และดีพร้อมเหมือนพระเจ้า”   เริ่มต้นที่มัทธิว 5:21-22 …

มัทธิว 5:21-22 “21 ท่านทั้งหลายได้ยินคำซึ่งกล่าวไว้แก่คนโบราณว่า ‘อย่าฆ่าคน และถ้าผู้ใดฆ่าคนจะถูกตัดสินลงโทษ’ 22 แต่เราบอกท่านว่าถ้าผู้ใดโกรธเคืองพี่น้องของตน จะถูกตัดสินลงโทษ ถ้าผู้ใดพูดดูหมิ่นพี่น้องของตน จะต้องถูกนำตัวขึ้นศาลแซนเฮดริน และถ้าผู้ใดพูดว่า ‘ไอ้โง่’ อาจจะต้องโทษถึงไฟนรก”

 

“อย่าฆ่าคน” ความหมายคืออย่าเป็นฆาตกร เป็นหนึ่งในบัญญัติ 10 ประการของชาวยิว  ที่พระเจ้าได้บัญญัติขึ้นมา ให้มนุษย์เขียนขึ้นมา เป็นตัวอย่าง จริงๆ มันมีมากกว่านั้น เขียนมาจากบันทึกที่จารึกอยู่ในจิตใต้สำนึกของมนุษย์ทุกคนตั้งแต่เกิดอยู่แล้ว  ตั้งแต่ยังไม่ได้เขียนบทบัญญัติออกมาเป็นตัวหนังสือ ตั้งแต่อยู่ในแผ่นหินหรืออยู่ในหนังสัตว์ ก่อนหน้านั้น มันอยู่ในใจ ตอนนี้เอาตัวอย่างออกมา แค่นั้น เริ่มต้นจากบัญญัติ 10 ประการก่อน

จากบัญญัติ 10 ประการเสร็จปุ๊บ เคยได้ยินคนเขาพูดกันไหม? … “กฎมีไว้ทำลาย” สมัยปัจจุบันนี้ กฎมีไว้ทำอะไร? ทุกคนตอบ “กฎมีไว้แหก” พูดแรงกว่าผมอีก ผมกำลังจะพูดว่า “กฎมีไว้สำหรับละเมิด” มันใช่ มันชัด กฎมีไว้สำหรับละเมิด มีกฎ ยิ่งอยากจะทำ

เริ่มต้น พระองค์ทรงเขียนออกมา 10 ข้อ เพื่อให้เห็นว่าท่านเป็นคนบาป เขียนบทบัญญัตินี้ออกมาจากใจของท่านว่าท่านเป็นคนบาป เพื่อจะได้มีหลักฐานชัดๆ ว่าเห็นไหม? เขียนไว้แล้วเนี้ย ทุกคนเห็นหมด 10 ประการ ปรากฏว่าเอา 10 ประการนี้ไปละเมิด ไปแหกกฎ แล้วก็มาเถียงกัน  อย่างนี้ไม่ถือว่าผิด ไม่มีเจตนา ฉันไม่ตั้งใจ พระเจ้าทรงปวดหัว ก็เลยให้โมเสสเขียนรายละเอียดขึ้นมา ฆ่าคนเป็นอย่างนี้ๆ พอมองภาพออกไหม? เหตุจากความบาปความชั่วที่มันอยู่ในวิญญาณ มันจะทำชั่วอย่างเดียว ซึ่งเป็นบทบัญญัติที่พระเจ้าใส่ไว้ในใจของมนุษย์ว่าการกระทำอย่างนี้ มันเรียกว่าบาป เรียกว่าชั่ว บทบัญญัติมีไว้ เพื่อชี้ให้มนุษย์เห็นว่าเขาเป็นคนบาป

บทบัญญัติ มีไว้เหมือนกระจกเงา เพื่อส่องหน้า ดูสิว ดูอะไรเลอะเทอะบนใบหน้าเท่านั้น แต่ใต้ผิวหน้า มันยังมีความสกปรกเลอะเทอะอยู่อีกเยอะ

อย่าฆ่าคน พระเยซูบอกว่าท่านมองดูแต่ภายนอก ความประพฤติ ไม่ได้ฆ่าคนแล้วนิ ท่านไม่ได้ฆ่าคนแล้วก็จริง แต่วิญญาณของท่านข้างใน มันไม่บริสุทธิ์ ไม่ดีพร้อม เมื่อไม่บริสุทธิ์ ไม่ดีพร้อม ท่านก็มีวิญญาณที่เป็นตัวบาปอยู่ ซึ่งท่านก็จะแสดงออก โดยการโกรธเคืองพี่น้องของตน ดูหมิ่นพี่น้องของตน ใช่ไหม? เพราะพระเยซูกำลังบอกว่าไม่ใช่แค่ไม่ฆ่าคน การไม่ฆ่าคน ยังไม่นับว่าบริสุทธิ์ ดีพร้อมในเรื่องนี้ ถ้าจะให้นับว่าบริสุทธิ์ดีพร้อม ก็ต้องไม่ฆ่าคนและต้องไม่โกรธคนด้วย เพราะโกรธคน ก็มาจากที่เดียวกัน  ไม่โกรธคนไม่พอ ต้องไม่มีการพูดจาดูหมิ่นพี่น้องอีก ดูหมิ่นพี่น้อง ก็คือมาจากวิญญาณที่บาปอยู่เหมือนกัน พอมองเห็นไหม?  และแค่นั้นไม่พอ ท่านต้องไม่พูดออกจากปากท่านดูแคลน ยกตนข่มท่านว่าคนอื่นว่าไอ้โง่ … ไอ้โง่ตัวนี้ ไม่ใช่ไอ้โง่เฉยๆ นะ แกนี่ไม่รู้เรื่องอะไรเลย แค่นี้ คือยกตนข่มท่าน ยกว่าเราดีกว่าเขา ซึ่งมันมาจากความบาปที่อยู่ข้างในนั่นเอง

ในนี้บอกว่า “ถ้าท่านบอกว่าไอ้โง่” หรือยกตนข่มท่านว่า “ทำอะไรไม่รู้เรื่องเลย ทำผิดอยู่นั่นแหละ” แค่นี้เองนะ ไม่ให้โอกาสเขาเลย โทษมันคืออะไร? เราอ่านเมื่อสักครู่  และถ้าพูดว่า “ไอ้โง่” ดูหมิ่นคนอื่น จะต้องโทษถึงลงนรก มันแปลว่าอย่างนี้ ก็คือมันมาจากบาป เพราะฉะนั้น การดูหมิ่นคนอื่น การว่าคนอื่นว่าไอ้โง่ มีค่าเท่ากับการฆ่าคนตาย

โอ๊ย! ไม่ยุติธรรมเลยนะ มนุษย์ที่ดูแต่ภายนอก ดูแต่ยอดภูเขาน้ำแข็งข้างบนน้ำ ก็จะตอบว่ามันไม่ยุติธรรมเลย นี่คือส่วนหนึ่งของกฎบัญญัติ  ที่พระเจ้าให้เขียนออกมา ซึ่งมันจารึกอยู่ในจิตวิญญาณของมนุษย์ทุกคน เนื่องจากบาป มันเป็นความจริงของมนุษย์ทุกคนว่าวิญญาณของเขาอยู่ในความบาป เมื่อข้างในวิญญาณเป็นบาป ไม่บริสุทธิ์ ไม่ดีพร้อม ก็จะมีแต่ผลบาปออกมาเท่านั้น ผลจากข้างนอก มันเล็งไปเห็นถึงข้างใน พระเยซูจึงบอกว่าต้นไม้ดี ก็ให้ผลดี ต้นไม้เลว ก็ให้ผลเลว  ต้นไม้ คือวิญญาณ วิญญาณดี ก็ให้ผลดี วิญญาณเลว ก็ให้ผลเลว พระเยซูกำลังพูดอะไร? ไม่ใช่วิญญาณดี แล้วไปทำดี ไม่ใช่นะ อันนั้นมันกฎคนละกฎกัน

ต้นไม้ดี คือวิญญาณดี ให้ผลดี ก็คือเชื่อและวางใจในพระเยซูคริสต์เท่านั้น ต้นไม้ไม่ดี คือต้นไม้บาป ก็จะไม่เชื่อในพระเยซูคริสต์ การเชื่อในพระเยซูคริสต์ทำให้วิญญาณเปลี่ยนจากต้นไม้เลว เป็นต้นไม้ดี พอเข้าใจใช่ไหม? พระเยซูกำลังมาประกาศว่าทั้งหมด มันขึ้นอยู่ที่วิญญาณ เป็นวิญญาณบาปหรือไม่บาป ถ้าวิญญาณบาป ข้างนอกออกมา สกปรกทั้งนั้น ไม่ว่าจะฆ่าคนตายหรือไม่มีความรัก ดูหมิ่น เห็นหรือยัง! เหมือนกันหมด ไม่ได้อยู่ที่ความประพฤติภายนอกว่าไปฆ่าคนตาย หรือแค่ไปดูหมิ่นพี่น้อง นั่นมันยอดภูเขาน้ำแข็ง ข้างบนที่มนุษย์เห็นอยู่ แล้วก็มาวัดกัน มาเทียบกันว่า …

“นี่เขาแค่โกรธเคืองพี่น้องเท่านั้นเอง หงุดหงิดพี่น้องเท่านั้นเอง ไม่ได้มีอะไรมากหรอก เพราะเขาดูแต่ยอดภูเขาน้ำแข็งบนน้ำ คนนี้สิทำมากกว่า เป็นถึงฆ่าเขาตาย”

แต่พระเยซูกำลังบอกว่า … “ทั้งสองอันนี้มาจากความบาป คือภูเขาน้ำแข็งใต้น้ำมหึมา คือมาทำลายชีวิตได้”

จำพระเยซูพูดตรงนี้ได้ไหม? บอกฟาริสี บอกว่า … “ท่านเปรียบเหมือน โลงศพ ฉาบปูนขาว”

ข้างในวิญญาณท่านสกปรก  แต่ท่านฉาบปูนขาว คือข้างนอกเหมือนรักษาบทบัญญัติ  รักษาศีล รักษากฎแห่งกรรม ทำดีเยอะแยะมากมาย แต่ข้างในใจท่าน ท่านไม่รู้ว่าเต็มไปด้วยความสกปรก ความบาปนั่นเอง  มันหมายถึงอย่างนี้

เอาอีกสักข้อหนึ่งแล้วกัน มัทธิว 5:23-26 …

มัทธิว 5:23-26 “23 ดังนั้น ถ้าท่านกำลังถวายเครื่องบูชาที่แท่นบูชา และนึกขึ้นได้ว่าพี่น้องมีเหตุขุ่นเคืองใดๆ กับท่าน 24 จงละเครื่องบูชาไว้ที่หน้าแท่น แล้วไปคืนดีกับพี่น้องก่อน จึงค่อยกลับมาถวายเครื่องบูชา 25 จงปรองดองกับคู่ความโดยเร็ว ขณะที่เขากำลังพาท่านไปศาล มิฉะนั้น เขาอาจจะมอบท่าน ให้แก่ผู้พิพากษา (สภาผู้นำศาสนายิว) และผู้พิพากษา จะมอบท่านให้แก่เจ้าหน้าที่ แล้วท่านอาจจะถูกขังในเรือนจำ 26 เราบอกความจริงแก่ท่านว่าท่านจะออกมาไม่ได้ จนกว่าจะใช้หนี้ครบถ้วน ทุกบาททุกสตางค์”

 

สรุปให้เห็นเลยว่าภายนอกกระทำตามบทบัญญัติ ถูกไหม? ถวายเครื่องบูชา เพื่อลบบาป นี่คือบทบัญญัติ พระเจ้าเขียนไว้ ไปทำผิดต่อพี่น้อง ต้องถวายเครื่องบูชาลบบาป นี่ทำตามแล้ว แต่ภายในวิญญาณ  ภายในใจ ที่เป็นคนบาปอยู่ มันทำไม่ได้  เพราะภูเขาน้ำแข็งเบ้อเริ่มเทิ่มอยู่ข้างล่าง … ภูเขาน้ำแข็ง นั่นคือบาป … บาป คือไม่บริสุทธิ์ ไม่ดีพร้อม เหมือนพระเจ้านั่นเอง มันก็จะมาจบอยู่ที่เรื่องนี้ เดี๋ยวตอนจบ พระองค์ก็จะนำไปเรื่อยๆ เรื่องอื่นๆ เรื่องบัญญัติต่างๆ ที่บันทึกไว้ในบัญญัติของยิว ที่เป็นตัวอย่าง ที่พระเจ้าให้เขียนออกมาจากจิตใจของเขา  คือบัญญัติ 10 ประการ

พระองค์ก็ยกบัญญัติ 10 ประการไปทีละข้อ ก็สรุปตรงข้อ 48 ที่ตะกี้เราอ่านก่อน  ก็คือท่านทำตามบัญญัติไม่ได้หรอก ท่านต้องเปลี่ยน ก็คือต้องทำลายภูเขาน้ำแข็งใต้น้ำ ที่ท่านมองไม่เห็น คือ …

–  วิญญาณท่านต้องเปลี่ยน จากความบาป เป็นผู้ชอบธรรม

–  เปลี่ยนจากความมืด มาเป็นความสว่าง

–  เปลี่ยนจากความชั่ว มาเป็นความดี

–  เปลี่ยนจากการพึ่งพาตัวเอง มาพึ่งพาพระเจ้า

–  เปลี่ยนจากลูกของความบาป มาเป็นลูกของพระเจ้า มาเป็นผู้ชอบธรรมของพระเจ้า

ท่านต้องย้ายเข้ามาอยู่ในพระคริสต์ อยู่ในเรา  ท่านจึงสามารถสะอาด บริสุทธิ์  ดีพร้อม เหมือนพระเจ้าได้ ท่านไม่สามารถทำด้วยตัวเองได้หรอก ท่านต้องพึ่งในเรา  ซึ่งพระเจ้าได้ส่งมา เราคือพระมาซีฮาห์ เราคือทางนั้น เรามาเริ่มต้นทางใหม่ให้ท่าน  ทางเก่ามันไปไม่ได้แล้ว ท่านไปไม่รอดแน่  ไม่มีทางที่จะทำลายภูเขาน้ำแข็งใต้น้ำนั้น ไม่มีทางทำลายบาปนั้นออกไปได้หรอก ไม่ว่าจะรักษาบทบัญญัติเท่าไรก็ตาม ท่านทำไม่ได้แน่นอน สิ่งเดียวที่ท่านทำ ก็คือท่านต้องกลับใจใหม่  แล้วก็หันมาพึ่งพาในเรา ที่พระเจ้าได้ส่งมา แล้วก็สัญญาให้กับท่านมาตั้งแต่เริ่ม ตั้งนานแล้ว ตั้งหลายพันปี ตั้งแต่บรรพบุรุษแล้ว ตั้งแต่ปฐมกาลแล้วว่าวันหนึ่ง พระเจ้าจะส่งพระบุตรของพระองค์มา เพื่อไถ่บาปให้กับมนุษย์ทั้งปวง แล้วเรา คือผู้นั้นแหละ เราได้มาแล้ว เราคือพระมาซีฮาห์ พระผู้ช่วยให้รอดจากบาป ที่พระเจ้าได้สัญญาไว้นั่นเอง ชาวยิวเอ๋ย (เล็งไปถึงชาวที่ไม่ใช่ยิวด้วย) ก็คือมนุษย์ทั้งปวง

นี่คือเป้าหมายในการประกาศบนภูเขาของพระเยซูคริสต์ มิได้มาสอนให้คริสเตียนมาทำอันโน้นทำนี้ นี่เล็งเห็นชัดๆ เลย พูดกับ …

(1) ชาวยิว

(2) ชาวยิวที่ยังไม่ได้บังเกิดใหม่ ยังไม่ได้เป็นคริสเตียนด้วย

(3) เพื่อว่าเขาจะได้หันหลังกลับมาเชื่อและวางใจในพระองค์  และจะได้บังเกิดใหม่  มาเป็น คริสเตียนซะ … มันเป็นอย่างนี้

แล้วเราค่อยติดตามตอนต่อๆ ไปอีกเยอะ มันจะสนุกมาก เรารู้เบื้องหลังเหล่านี้ แล้วเราจะค่อยๆ ไปทีละข้อสองข้อ เราจะเห็นชัดเจนว่าเป้าหมายของพระเยซู คืออะไร? คือการประกาศ สวรรค์มาถึงแล้ว การเข้าสวรรค์เป็นอย่างไร? ท่านไม่สามารถพึ่งพาการกระทำของตนเอง รักษาบทบัญญัติอะไรต่างๆ ซึ่งมันก็ดีอยู่ แต่มันดีไม่พอหรอก ท่านต้องบริสุทธิ์ ดีพร้อมเหมือนพระเจ้าเท่านั้น ซึ่งท่านทำเองไม่ได้ ต้องบังเกิดใหม่ แล้วบังเกิดใหม่ด้วยวิธีใด? คือท่านต้องวางใจในเรา พระบิดาเลยส่งเรามา แล้วเราก็จะกระทำให้สำเร็จ  เพื่อวันที่เราได้ตายที่ไม้กางเขน  หลั่งพระโลหิต และฝังไว้ในอุโมงค์ 3 วัน เป็นขึ้นจากความตาย นั่นแหละ คือท่านจะได้บังเกิดใหม่ ซึ่งเราเรียกกันว่าข่าวประเสริฐ  พระเจ้าอวยพรครับ

 

*********************

 

จากใจคณะศิษยาภิบาล

 

โรม 5:8-19 TNCV “แต่พระเจ้าทรงสำแดงความรักของพระองค์เองแก่เราทั้งหลาย คือขณะที่เรายังเป็นคนบาปอยู่นั้น พระคริสต์ได้สิ้นพระชนม์เพื่อเรา ในเมื่อบัดนี้เราได้ถูกนับเป็นผู้ชอบธรรมแล้วโดยพระโลหิตของพระองค์ ยิ่งไปกว่านั้นเราจะรอดพ้นจากพระพิโรธของพระเจ้า  โดยพระองค์อย่างแน่นอน!

เพราะถ้าเรายังได้คืนดีกับพระเจ้า  โดยการสิ้นพระชนม์ของพระบุตรของพระองค์  ในขณะที่เราเป็นศัตรูกับพระองค์  ยิ่งไปกว่านั้น  เมื่อเราได้คืนดีกับพระองค์แล้ว เราก็จะได้รับความรอดโดยพระชนม์ชีพของพระองค์อย่างแน่นอน! ไม่เพียงเท่านี้  แต่เรายังชื่นชมยินดีในพระเจ้า  โดยทางองค์พระเยซูคริสต์เจ้าของเราด้วย บัดนี้ พระองค์ทรงทำให้เราคืนดีกับพระเจ้าแล้ว  ฉะนั้น เช่นเดียวกับที่บาปเข้ามาในโลก เพราะมนุษย์คนเดียวและบาปนำความตายมา  และโดยทางนี้เองความตายจึงมาถึงมวลมนุษย์  เพราะทุกคนได้ทำบาป   เพราะก่อนมีบทบัญญัติบาปก็อยู่ในโลกแล้ว  แต่เมื่อยังไม่มีบทบัญญัติก็ไม่ถือว่าบาป  อย่างไรก็ตามความตายก็ครอบครองมาตั้งแต่สมัยของอาดัม  จนถึงสมัยของโมเสส   แม้แต่คนที่ไม่ได้ทำบาป  โดยละเมิดพระบัญชาเหมือนอาดัม  ผู้เป็นแบบของพระองค์  ซึ่งจะเสด็จมาภายหลัง   แต่ของประทานนั้น  ต่างจากการล่วงละเมิด

เพราะถ้าคนเป็นอันมากตาย  เพราะการล่วงละเมิดของมนุษย์เพียงคนเดียว  ยิ่งกว่านั้นสักเท่าใด  พระคุณของพระเจ้าและของประทาน  โดยพระคุณของพระเยซูคริสต์เพียงผู้เดียวนั้น  ย่อมล้นไหลไปสู่คนเป็นอันมาก!  และของประทานจากพระเจ้าก็ต่างจากผลของบาปของมนุษย์คนเดียว  กล่าวคือการพิพากษาเกิดขึ้นหลังจากการทำบาปเพียงครั้งเดียว  และนำไปสู่การลงโทษ   แต่ของประทานเกิดขึ้นหลังจากการล่วงละเมิดหลายๆ ครั้งและนำไปสู่การนับเป็นผู้ชอบธรรม เพราะถ้าโดยการล่วงละเมิดของมนุษย์คนเดียว  เป็นเหตุให้ความตายได้ครอบครองผ่านทางมนุษย์คนเดียวผู้นั้น ยิ่งกว่านั้นสักเท่าใดบรรดาผู้ที่ได้รับพระคุณ และของประทานแห่งความชอบธรรม  ซึ่งพระเจ้าทรงจัดเตรียมไว้อย่างมากล้นย่อมครอบครองในชีวิตผ่านทางมนุษย์คนเดียว  คือพระเยซูคริสต์  ฉะนั้น  การล่วงละเมิดเพียงครั้งเดียว  ส่งผลให้คนทั้งปวงถูกลงโทษฉันใด

การกระทำอันชอบธรรมเพียงครั้งเดียว  ก็ส่งผลให้คนทั้งปวงถูกนับเป็นผู้ชอบธรรมฉันนั้น  ซึ่งการนับเป็นผู้ชอบธรรมนี้  นำชีวิตมาให้คนทั้งปวงเหล่านั้น   เพราะการไม่เชื่อฟังของมนุษย์คนเดียว  ทำให้คนเป็นอันมากเป็นคนบาปฉันใด   การเชื่อฟังของมนุษย์คนเดียว  ก็ทำให้คนเป็นอันมากเป็นผู้ชอบธรรมฉันนั้น”

 

พระเจ้าอวยพรครับ

 

วารสาร Holy News ฉบับที่ 1381

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  4  กันยายน  2022

เรื่อง “คำประกาศของพระเยซูที่มักเข้าใจผิด” ตอน 4

“คำเทศนาบนภูเขา” EP.3

“กฎแห่งกรรม ทำบาปเพียงครั้งเดียว ก็ไม่ได้ไปสวรรค์”

โดย นคร   เวชสุภาพร

 

เรามาเข้าหัวข้อนี้ “คำประกาศของพระเยซูที่มักเข้าใจผิด” ตอนที่ 4 คำเทศนาบนภูเขา EP.3 ชื่อเรื่องว่า “กฎแห่งกรรม ทำบาปเพียงครั้งเดียว ก็ไม่ได้ไปสวรรค์” ซึ่งเราผ่านมา 3 ตอนแล้ว ก็คือ …

ตอนที่ 1  จงแสวงหาอาณาจักรของพระเจ้า และความชอบธรรมของพระองค์ก่อน

ตอนที่ 2  คำเทศนาบนภูเขา  EP.1 : คนป่วยต้องการหมอ  คนบาปต้องการพระเยซู

ตอนที่ 3  คำเทศนาบนภูเขา  EP.2 : พระเยซูถูกกล่าวหาว่ามาล้มล้างกฎบัญญัติ

ตอนที่ 4 (วันนี้) คำเทศนาบนภูเขา EP.3 : กฎแห่งกรรม ทำบาปเพียงครั้งเดียว ก็ไม่ได้ไปสวรรค์

เรื่องทั้งหมดนี้เป็นเรื่องคำประกาศของพระเยซู ซึ่งมักมีคนเข้าใจผิดกันว่ากำลังมาสอนคริสเตียนให้ทำอันโน้นทำอันนี้ ซึ่งไม่ใช่ เราก็เรียนรู้แล้วว่าพระองค์กำลังมาชี้ให้เห็น ความเป็นจริงของโลกฝ่ายวิญญาณ  อยากให้ท่านที่เป็นคริสเตียนแล้ว หรือไม่เป็นก็ตาม ฟังซีรี่ย์นี้จริงๆ ถ้าเป็นไปได้ ฟังตั้งแต่ต้นเลย ฟังแล้วค่อยๆ ติดตามไป ผมจะพยายามอธิบายอย่างละเอียด ปูพื้นเบื้องหลังให้ท่านได้ทราบ  เพราะฉะนั้น มันจะเป็นประโยชน์สำหรับท่านที่ไม่ใช่คริสเตียน  ท่านที่ไม่ได้บังเกิดใหม่ ยังไม่ได้เข้าใจ  ผมจะพยายามอธิบายให้ท่านได้สามารถเข้าใจได้ด้วย จะเป็นประโยชน์สำหรับท่านที่ไม่ได้เป็นคริสเตียน  หรือเป็นคริสเตียนก็ตาม ถ้าฟังไปเรื่อยๆ จะเข้าใจ

ยกตัวอย่าง เราจะได้ยินบ่อยๆ ว่าบทบัญญัติ กฎบัญญัติ ผมก็จะใส่คำว่าบทบัญญัติ ก็คือกฎแห่งกรรม กฎแห่งการทำดีทำชั่ว  กฎแห่งศีลธรรมบนโลกใบนี้ ท่านก็จะสามารถเข้าใจได้ว่าถึงไม่เป็นคริสเตียนก็รู้จักคำเหล่านี้ดี  เพราะคำเหล่านี้  ก็คืออันเดียวกันกับที่กฎบัญญัตินั่นแหละ  แต่บทบัญญัตินี้ สำหรับคริสเตียนก็จะคุ้นหู คุ้นคำว่าบทบัญญัติ แต่คนที่ไม่ใช่ คริสเตียน เขาไม่เข้าใจบทบัญญัติ คืออะไร? ผมก็จะพยายามที่จะใส่สิ่งเหล่านี้เข้าไป เพื่อให้เห็นชัดขึ้น แล้วอีกอย่างหนึ่ง ผมก็จะพยายามปูพื้นเบื้องหลัง ก่อนที่จะบรรยายเสมอ เพื่อที่คนทั้งไม่ใช่เป็น คริสเตียน และเป็นคริสเตียนจะได้เข้าใจว่าพระเยซูกำลังมาทำอะไร? เป็นประโยชน์ต่อมนุษย์ทั้งหลายบนโลกใบนี้ทั้งหมดเลย

สำหรับวันนี้ปูพื้นเบื้องหลังกันอีกครั้งหนึ่งว่าเหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้น และมีบันทึกไว้ในพระคัมภีร์ไบเบิ้ลนั้น เป็นช่วงเวลาที่พระเยซูดำรงสภาพเป็นมนุษย์อยู่ สิ่งที่เรากำลังพูดอยู่นี้ คือคำประกาศ หรือคำเทศนาก็ได้ คำเทศนาของพระเยซูคริสต์ ที่มักมีคนเข้าใจผิด ก็คือเหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้น ที่พระคัมภีร์บันทึกไว้ในช่วงเวลาที่พระเยซูยังดำรงชีวิต เป็นมนุษย์อยู่บนโลกใบนี้ คือตั้งแต่เกิดเป็นมนุษย์ จนกระทั่งถึงสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน เป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่ 3 แล้วปรากฏตัว เดินอยู่กับสาวกอีก 40 วัน ให้คนเห็นเลย แล้วจากนั้นเสด็จขึ้นสวรรค์ต่อหน้าต่อตาสาวก จนถึงวันเพ็นเตคอส คือวันที่พระเจ้าลงมาสถิตอยู่กับมนุษย์ เริ่มต้นชีวิตคริสเตียน ก็คือวันเพ็นเตคอสที่พระเจ้าได้ประทานพระวิญญาณบริสุทธิ์ มาสถิตอยู่กับมนุษย์ เป็นครั้งแรก ซึ่งพระองค์มีอายุ 33 ปีนี้ ตอนที่ทำงานประกาศ แค่ 3 ปีเท่านั้น

ทั้งหมดนี้เป็นแผนการอันล้ำลึกของพระเจ้าก่อนสร้างโลก คือเลือกสรรกลุ่มคนที่เรียกว่าชาวยิวไว้ก่อน เป็นพวกแรก พระคัมภีร์ก็ได้บันทึกไว้ว่าและเขาก็จะปฏิเสธพระองค์ ไม่รับสิ่งที่พระองค์ประกาศนี้แหละ

คำว่า “ไม่รับ” หมายถึงกลุ่มคนชาวยิวเป็นกลุ่ม มีคนชาวยิวบางคนรับไหม? รับ แต่ถือว่าไม่รับ เพราะว่ากลุ่มใหญ่ๆ ไม่รับ ไม่เชื่อ ในพระคัมภีร์จึงบอกว่าเมื่อไม่เชื่อข่าวประเสริฐนี้ พระเจ้าก็ย้ายไปสู่กลุ่มที่ 2 ก็คือคนต่างชาติ  แล้วค่อยกลับมาเก็บตกคนยิว นี่คือเบื้องหลัง ในยุคปัจจุบันที่เรากำลังคุยอยู่นี้ เป็นยุคที่มาหาคนต่างชาติอยู่ มาหา 2,000 ปีแล้ว แต่จะมีวันหนึ่ง  ที่คนต่างชาติได้เข้ามาแล้ว พระองค์ก็จะกลับไปถามคนยิวอีก ไปบอกคนยิวอีก เรียกคนยิวอีก เป็นครั้งสุดท้ายว่ากลับมาเถิด แล้วคนยิวก็จะกลับมาจริงๆ นี่พระคัมภีร์บอกไว้อย่างนั้น เป็นเบื้องหลัง

เพราะฉะนั้น ตอนนี้เป็นช่วงที่ชาวยิวปฏิเสธ ไม่ยอมรับพระเยซู ปฏิเสธตั้งแต่เมื่อไร? ก็ตั้งแต่ที่เรากำลังคุยอยู่นี้ ตั้งแต่พระเยซูประกาศ 3 ปีนี้  ประกาศให้ชาวยิวก่อน ชาวยิวก็ปฏิเสธ ไม่เชื่อ นี่คือสิ่งที่พระเยซูพูด ปฏิเสธถึงขนาดไหน? ในพระคัมภีร์บันทึกไว้ขนาดถึงกับต่อต้านพระเยซู พระองค์พูดมา 3 ปี ต่อต้านมาตลอด จนในที่สุด ฆ่าพระเยซูเลย ซึ่งเป็นพระบุตรของพระเจ้า ที่พระเจ้าส่งมาช่วยเหลือมนุษย์  โดยเฉพาะกลุ่มแรก นั่นก็คือชาวยิวนั่นเอง  พวกเขาฆ่าพระเยซู ซึ่งพระคัมภีร์ได้บันทึกเอาไว้ว่าเป็นลูกแกะของพระเจ้า ที่พระองค์ทรงประทานให้กับมนุษย์ตามสัญญาที่บอกไว้ล่วงหน้า ตั้งแต่ปฐมกาล หลายพันปีมาแล้ว ชาวยิวก็รู้ดี แต่ไม่เชื่อ

ก่อนที่พระเยซูจะมา พระองค์ก็มีพันธสัญญากับชาวยิว พันธสัญญาเดิมนั้น ก็คือการถวายสัตว์หัวปีที่สมบูรณ์ให้พระเจ้า  นำเอาโลหิตของสัตว์ที่บริสุทธิ์นั้น มาถวายเป็นเครื่องบูชาไถ่บาปให้กับตัวเองปีต่อปี ผ่อนปีต่อปี พระเจ้าถือว่าเป็นผู้ชอบธรรม  ผ่าน นึกออกใช่ไหม? พันธสัญญาเดิม แต่ขณะที่มีพันธสัญญาเดิม เลือดสัตว์ พระเจ้าได้บอกไว้ล่วงหน้าแล้วว่าพันธสัญญานี้ ใช้เลือดสัตว์ ใช้ชั่วคราว แต่วันหนึ่งเราจะส่งมา คือพระบุตรของเรา แกะของเรา บุตรของเราเอง จะส่งมา เพื่อเป็นพันธสัญญา ที่เป็นถาวร อีกครั้งหนึ่ง ให้รอ นึกภาพออกใช่ไหม? ให้รอ เพราะฉะนั้น เมื่อพระเยซูมา แล้วพระเยซูก็จะเป็นตัวเริ่มต้นของพันธสัญญาใหม่ ที่พระเจ้าสัญญาว่าจะมาทำกับมนุษย์ ก็คือชาวยิวเป็นพวกแรก  อย่างที่เคยบอกนั้น เบื้องหลัง ก็คือพูดถึงชาวยิวเมื่อไร ก็คือกลุ่มมนุษย์กลุ่มแรก เป็นชาวยิว ซึ่งเล็งไปถึงคนต่างชาติ ก็คือมนุษย์ทั้งหมดบนโลกใบนี้นั่นเอง

ครั้งนี้ คือครั้งที่เขาฆ่าพระเยซูคริสต์ พระบุตรของพระเจ้า ในครั้งนี้มีค่าเท่ากับว่าเขากำลังถวายพระบุตร  ถวายพระเยซูคริสต์ ซึ่งเป็นมนุษย์พันธุ์ใหม่  ที่บริสุทธิ์สมบูรณ์ เป็นมนุษย์คนแรก  คนเดียวที่ไม่มีบาปเลย  ไม่เคยทำบาปเลย  ให้กับพระเจ้า  พอมองภาพออกไหม?  ก่อนหน้านี้มาหลายพันปี  เขาอยู่ในพันธสัญญาเดิม เขาถวายสัตว์อันบริสุทธิ์ แด่พระเจ้า รับการไถ่ชั่วคราวปีต่อปี แต่ตอนนี้เขากำลังมอบถวาย ฆ่าพระเยซูคริสต์ พระบุตรของพระเจ้าคนเดียวเท่านั้นที่บริสุทธิ์ มนุษย์พันธุ์ใหม่ที่บริสุทธิ์ ให้กับพระเจ้าที่เขาไม่รู้เรื่อง เขาไม่รู้ตัว  แต่เขากำลังทำสิ่งนี้แหละ

เพราะคนที่มอบถวายพระเยซูคริสต์ ให้กับปีลาตเอาไปฆ่าให้ตายนั้น  เป็นผู้รับผิดชอบ ก็คือเป็นผู้ฆ่าพระเยซูนั่นเอง  ใครเป็นผู้มอบพระเยซูให้กับปีลาตเอาไปฆ่า ก็คือหัวหน้าปุโรหิต พวกฟาริสี พวกธรรมาจารย์ พวกสภาปกครอง ประเทศอิสราเอล ก็คือชาวยิว และประชาชนทั้งปวง บันทึกไว้ในพระคัมภีร์เลย จะมองเห็นภาพไหม? นี่คือเบื้องหลัง เขาจะต่อต้านพระเยซูจนไปถึงตรงนี้ เท่ากับว่าปุโรหิตที่เป็นผู้ที่มีหน้าที่ถวายสัตว์ให้กับพระเจ้าในอดีตนั้น  ตอนนี้ถวายพระบุตร ถวายเลือดของมนุษย์ที่บริสุทธิ์ ซึ่งเป็นพันธสัญญาที่พระเจ้าบอกไว้ล่วงหน้าแล้วเช่นเดียวกันว่า …

“วันหนึ่ง พวกเจ้าจะได้รับการไถ่อย่างถาวร โดยมนุษย์คนหนึ่งที่บริสุทธิ์”

เพราะว่าพระเยซูเป็นมนุษย์คนแรก ซึ่งพระคัมภีร์ใช้คำว่าบุตรหัวปี คือคนแรก … คนแรกและคนเดียวที่เป็นมนุษย์พันธุ์ใหม่ที่ไม่มีบาปเลย สมบูรณ์ สะอาด บริสุทธิ์ ถูกนำไปฆ่า โดยการยินยอมของพระองค์เอง พระองค์บอกว่าถ้าพระองค์ไม่ยอม ไม่มีใครฆ่าพระองค์ได้ แต่พระองค์ทรงยอม ให้เขานำไปฆ่า เพื่อนำโลหิตถวายแด่พระเจ้า เป็นพันธสัญญาโลหิตอันบริสุทธิ์  เพื่อไถ่บาปให้มวลมนุษยชาติ  ครั้งเดียวเป็นพอ พระคัมภีร์บันทึกไว้  เพื่อไถ่บาปให้พวกเขา พวกปุโรหิต พวกธรรมาจารย์ พวกชาวยิวที่นำพระองค์ไปฆ่า  และเล็งไปถึงไถ่ให้กับคนต่างชาติด้วยเช่นเดียวกัน มนุษย์ทุกคนนั่นเอง

และทั้งหมดนี้มันตรงตามคำเผยพระวจนะที่พระเจ้าบอกไว้ ตั้งแต่ปฐมกาลมาก่อนหน้านี้แล้ว ตั้งหลายพันปีว่าพระเยซูจะเป็นแกะปัสกา ปัสกาอะไร? ปัสกาสุดท้ายของพันธสัญญาเก่า  พันธสัญญาเก่าใช้ถวายเลือดสัตว์มาเป็นเวลาพันๆ ปี พอถวายพระเยซู พระเยซูจะเป็นแกะปัสกาคนสุดท้าย  พระองค์จึงเป็นจุดจบ ที่จะยกเลิกพันธสัญญาเดิม จุดจบ เพราะว่าพระองค์มาทำให้สมบูรณ์ดีกว่า เป็นคนแรกที่เริ่มต้นเป็นคนกลางแห่งพันธสัญญาใหม่ ด้วยโลหิตของพระเยซูคริสต์

เริ่มต้นพันธสัญญาใหม่ เป็นมนุษย์คนแรกที่เป็นขึ้นจากความตาย  เป็นมนุษย์พันธุ์ใหม่คนแรก คนแรกก็แสดงว่าต้องมีคนต่อๆ ไป  ก็คือเป็นมนุษย์พันธุ์ใหม่คนแรกที่เป็นขึ้นจากความตาย ชำระบาปให้กับมนุษย์  เพื่อให้มนุษย์ทุกคนที่จะสามารถได้เป็นขึ้นมาใหม่เหมือนพระองค์ ได้ย้ายมาอยู่ เป็นมนุษย์พันธุ์ใหม่เช่นเดียวกัน

นี่คือสิ่งที่พระองค์มากระทำบนโลกใบนี้ แล้วกำลังประกาศ กำลังบอกพวกเขา ชี้ให้เขาเห็นสิ่งเหล่านี้ ซึ่งพระคัมภีร์บันทึกเอาไว้ก่อนหน้านี้ตั้งนานแล้ว ก็คือคำเผยพระวจนะ บอกมาตั้งแต่ปฐมกาลว่าจะเป็นอย่างนี้ วันหนึ่งข้างหน้า พระบุตรจะมาเป็นแกะปัสกา เป็นเมษโปดก เพราะฉะนั้น วันที่พระองค์ทรงสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขนนั้น ก็คือเป็นปัสกาครั้งสุดท้าย ที่มนุษย์จะถวายแด่พระเจ้า ก็คือพระเยซูคริสต์ บันทึกไว้ตลอด จนพระเยซูมาเกิดจริงๆ เป็นมนุษย์จริงๆ เตรียมตัว 3 ปีนี้ แล้วประกาศสิ่งเหล่านี้

ในหนังสือยอห์น 1:15-18 เรื่องราวเกี่ยวกับผู้เผยพระวจนะคนสุดท้าย ที่ได้บอกเรื่องนี้อีกแล้ว บอกมาเป็นพันๆ ปีแล้วใช่ไหม? พอพระเยซูมาเกิดจริงๆ ยอห์นบัพติศโต ก็เป็นผู้เผยพระวจนะที่มาพูดซ้ำอีกทีหนึ่งว่ามาแล้ว สิ่งที่สัญญาไว้ พระเมษโปดก พระบุตรของพระเจ้า ลูกแกะของพระเจ้ามาแล้วตอนนี้ มาจัดการงานนี้แล้ว ถึงเวลาแล้ว ที่บันทึกไว้ในหนังสือ ยอห์น 1:15-18

ยอห์น 1:15-18 “15 ยอห์น (ยอห์น บัพติศโต) เป็นพยานเกี่ยวกับพระองค์ เขาร้องประกาศว่า “นี่คือผู้ซึ่งเราได้บอกไว้ว่า ‘พระองค์ผู้เสด็จมาภายหลังเรา ทรงยิ่งใหญ่กว่าเรา เพราะพระองค์ทรงดำรงอยู่ก่อนเรา’ 16 เราทั้งปวงได้รับพระพรครั้งแล้วครั้งเล่า จากความบริบูรณ์แห่งพระคุณของพระองค์ 17 เพราะบทบัญญัติประทานมาทางโมเสส ส่วนพระคุณและความจริงมาทางพระเยซูคริสต์ 18 ไม่มีใครเคยเห็นพระเจ้า แต่พระเจ้า คือพระบุตรองค์เดียว ผู้ทรงอยู่เคียงข้างพระบิดาได้ทรงทำให้พระองค์เป็นที่ประจักษ์แล้ว”

 

คือพระเยซูคริสต์เป็นพระเจ้า และเดินอยู่บนโลกใบนี้แล้วนั่นเอง ในยอห์น 1:29-30 ได้ประกาศอย่างนี้ว่า …

ยอห์น 1:29-30 “29 วันต่อมา ยอห์นเห็นพระเยซูเสด็จมาทางเขา จึงกล่าวว่า “จงดูพระเมษโปดกของพระเจ้า ผู้ทรงรับบาปของโลกไป 30 นี่แหละ คือผู้ที่เราหมายถึงเมื่อเรากล่าวว่า ‘พระองค์ผู้ทรงมาภายหลังเรา ทรงยิ่งใหญ่กว่าเรา เพราะพระองค์ทรงดำรงอยู่ก่อนเรา”

 

นี่แหละ พระเมษโปดกที่สัญญาไว้ จะมาบัพติศมาในน้ำ ให้ประชาชนได้เห็นตามคำเผยพระวจนะที่ได้บอกไว้ ยอห์นบัพติศโตประกาศดังลั่น  ผู้คนได้ยินได้ฟัง ได้ชัดเจนว่า …

“คนนี้เป็นพระเมษโปดกของพระเจ้า”

พระเมษโปดก แปลว่าลูกแกะของพระเจ้า ที่พระเจ้าสัญญาว่าจะมอบให้กับมนุษย์  เพื่อเอามาไถ่บาป

พระองค์เป็นพระเจ้านั่นเอง  นี่คือคำเผยพระวจนะสุดท้าย ก่อนที่พระเยซูจะทำงานให้สำเร็จ ตามคำเผยพระวจนะมาหลายพันปี  ก็คือก่อนที่พระองค์จะสิ้นพระชนม์

พระองค์มากระทำการงานอย่างนี้ นี่คือเบื้องหลัง เพื่อให้ท่านได้เห็นว่าพระเยซูกำลังมาทำอะไร? พระองค์ไม่ได้มาสอนเรื่องศีลธรรม การทำดีทำชั่ว มีคนสอนเยอะแยะแล้ว  พอแล้ว คนก็รู้อยู่แล้ว  แต่มันทำไม่ได้เท่านั้นเอง บทบัญญัติก็มีหมดแล้ว บทบัญญัติของชาวยิวก็เขียนไว้ในแผ่นหิน แผ่นศิลากับบนหนังสัตว์  สำหรับคนต่างชาติก็เขียนอยู่ในใจของเขา และคนต่างชาติก็รู้จักในใจ ก็เขียนออกมาเอง เป็นกฎระเบียบทางศาสนา ทางสังคม จริยธรรมอะไรต่างๆ มาตั้งนานแล้ว  แต่กลุ่มไหนกลุ่มนั้น ก็เขียนออกมาจากใจ เพราะรู้ว่าอันนี้มันดี  อันนี้ไม่ดี เขียนออกมาให้เห็น สิ่งเหล่านี้ เรียกว่ากฎบัญญัติ เรียกว่ากฎหมาย เรียกว่ากฎศีลธรรม  เรียกว่ากฎแห่งการทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว ทำอย่างนี้จะได้ดี ทำอย่างนี้จะได้ชั่ว ให้ทำดีนะ ละชั่วนะ แต่พระเยซูไม่ได้มาสอนสิ่งเหล่านี้ พระองค์มาบอกว่าพระองค์กำลังมาทำสิ่งที่พระเจ้าบอกไว้ตั้งแต่ปฐมกาลนั้น ที่ผมเล่าตั้งแต่ปฐมกาลหลายพันปี ผมเล่าแค่ 15 นาทีเอง เพื่อเวลาเราเรียนรู้ถ้อยคำพระเจ้า จะได้เข้าใจว่าที่เขียนไว้ตรงนี้ หมายถึงอะไร? ที่พระเยซูพูดตรงนี้หมายถึงอะไร? พระเยซูพูดต่างๆ ทั้งหมด มันเกี่ยวกับเรื่องโลกวิญญาณทั้งสิ้น โลกวิญญาณ คือเรื่องเมื่อตะกี้นี้ทั้งหมด เกี่ยวกับมนุษย์ทั้งสิ้น การถวายเลือดสัตว์ ก็เกี่ยวกับเรื่องโลกวิญญาณ พระคัมภีร์เก่าถวายเลือดสัตว์ เกี่ยวอะไรกับโลกวิญญาณ มาพระคัมภีร์ใหม่ ถวายเลือดของพระเยซูคริสต์ พระบุตรของพระเจ้า มันเกี่ยวอะไรกับโลกวิญญาณ ฟังอย่างนี้ไปเรื่อยๆ ท่านอาจจะค่อยๆ ซึมซับ เข้าใจมากขึ้น พระเยซูกำลังมาชี้ให้เห็นโลกฝ่ายวิญญาณว่ามันเป็นอย่างนี้ แล้วชี้ให้เห็นถึงลักษณะของความรัก ความอ่อนโยนของพระองค์

มาเข้าเรื่องของวันนี้ คำเทศนาบนภูเขา EP.3 “กฎแห่งกรรม ทำบาปเพียงครั้งเดียว ก็ไม่ได้ไปสวรรค์ ถ้าเป็นไปตามพระคัมภีร์ ก็ต้องใช้คำนี้ว่ากฎบัญญัติ ทำพลาดบัญญัติเพียงข้อเดียว ก็ไม่ได้ไปสวรรค์ อันนี้แบบคริสเตียนใช่ไหม? แต่ผมแปล เพื่อให้คริสเตียนก็เข้าใจ และไม่ใช่คริสเตียนก็เข้าใจว่ากฎแห่งกรรม ทำบาปเพียงครั้งเดียว ก็ไม่ได้ไปสวรรค์

ใจท่านรู้ไหมว่าท่านทำบาป ในนี้ต้องรู้อยู่แล้วนะ สำหรับชาวยิว รู้ไหมว่าทำบาป มันไม่ตรงกับบัญญัติ ก็คือทำบาป ครั้งเดียวก็ไม่ได้ไปสวรรค์

ครั้งที่แล้ว ได้บอกว่าพระเยซูถูกกล่าวหาว่ามาล้มล้างบทบัญญัติ พระเยซูมาล้มล้างกฎแห่งกรรม เขาว่าพระองค์ว่าอย่างนี้ ใครเป็นคนกล่าวหาพระเยซู อันดับแรกที่เราควรจะเรียนรู้ ตั้งแต่ตอนแรกแล้ว ก็คือกำลังพูดกับชาวยิว  โดยเฉพาะอย่างยิ่งขณะนี้  ที่วันนี้เราพูดถึง  ถูกกล่าวหา ใครเป็นคนกล่าวหา  พวกชาวยิวที่เป็นหัวหน้าธรรมาจารย์ต่างๆ เหล่านั้น ฟาริสี พวกหัวหน้าปุโรหิตเหล่านั้น ซึ่งปูพื้นให้แล้ว  ปฏิเสธ ต่อต้านพระองค์ ในที่สุดจะฆ่าพระองค์ให้ตาย  และพระองค์ยอมด้วย  ท่านเห็นแล้ว เข้าใจแล้ว คนเหล่านี้แหละ พระคัมภีร์จึงบอกว่าพระองค์ถูกฆ่าให้ตาย โดยพวกเหล่าคนที่พระองค์มาไถ่บาปเขามาช่วยเขา ซึ่งในที่นี้ ก็คือชาวยิวนั่นเอง มาดูว่าพระเยซูตอบพวกเขาอย่างไรว่าไม่ใช่หรอก บอกว่าเราไม่ได้มาทำอย่างนั้น เราจะมาชี้ความเป็นจริงในโลกฝ่ายวิญญาณให้ท่านได้เห็นมากกว่า  เราลองมาวิเคราะห์กันดูตามข้อความ มัทธิว 5:18 วันนี้เริ่มต้น …

มัทธิว 5:18  “เราขอบอกความจริงกับท่านว่าตราบที่สวรรค์และโลกคงอยู่ แม้แต่ตัวหนังสือเล็กสุด หรือจุดๆ หนึ่ง จะไม่ถูกตัดออกไปจากกฎบัญญัติ จนกว่าทุกสิ่งที่บันทึกไว้ จะสัมฤทธิ์ผลตามกฎนั้น”

 

มัทธิว 5:18 พระเยซูคริสต์แย้งกับพวกฟาริสี พวกธรรมาจารย์ พวกเหล่าหัวหน้าปุโรหิตเหล่านั้น ที่ต่อต้านพระองค์ ที่กล่าวหาพระองค์ พระองค์แย้งว่าพระองค์ไม่ได้มาล้มกฎบัญญัติสักหน่อย แต่มาเสริมให้เข้มข้นขึ้น ตามเป้าหมายของธรรมบัญญัตินั้น  พระองค์บอกว่าตราบใดที่โลกนี้ยังอยู่ กฎของความบาปและความตาย  กฎของการกระทำ หมายถึงบทบัญญัติเหล่านี้ คือกฎศีลธรรมเหล่านี้ กฎของการทำดีทำชั่ว  ก็คือกฎของตาต่อตา ฟันต่อฟัน  ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว มันยังคงอยู่ตลอดไป จนกว่าจะสิ้นโลก ในวันพิพากษาโลก โลกดับสูญไป  นั่นคือวันที่บทบัญญัตินี้จะหมดไปด้วยเช่นเดียวกัน

ในวันพิพากษา ก็คือวันจบสิ้นว่าโอเค ที่ทำไปทั้งหมด ที่อยู่ในกฎของความบาป กฎบัญญัติเหล่านั้น กฎทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว ให้พระเจ้าพิพากษาว่าสรุปแล้วทำดีมากกว่าทำชั่ว หรือทำชั่วมากกว่าทำดี ได้ไปสวรรค์ไหม? ผ่านพ้นจากการพิพากษาของพระเจ้าไหม? โดยเกณฑ์ของพระเจ้า ก็คือทำผิดเพียงครั้งเดียว ก็ไม่ผ่านแล้ว นี่คือวันพิพากษา  แต่ตอนนี้ยังไม่ถึงวันพิพากษา  ยังมีโอกาสเปลี่ยนแปลงได้ นึกภาพออกใช่ไหม?

พระเยซูคริสต์กำลังมาประกาศความจริงในโลกฝ่ายวิญญาณว่า … “อย่าคิดในใจ และปฏิเสธ ต่อต้านเรา  อย่าคิดว่าเรามา เพื่อลบล้างความศักดิ์สิทธิ์ ความเที่ยงธรรมของบทบัญญัติ  หรือให้ความสำคัญกับบทบัญญัติน้อยลง”

พวกฟาริสีพวกนี้ เขามองดูภายนอก เขาเห็นพระเยซูทำ เขาคิดว่าพระเยซูไม่ให้ความสำคัญกับกฎระเบียบ

พระเยซูบอกว่า  … “แต่เรามา เพื่อย้ำยืนยันให้เห็นถึงความศักดิ์สิทธิ์เที่ยงธรรมของบทบัญญัติ และให้ความสำคัญที่สุดกับบทบัญญัติมากกว่าพวกท่านเสียอีก พวกฟาริสี และธรรมาจารย์เอ๋ย”

มากอย่างไร?  พระองค์บอกว่าต้องทำให้ครบร้อย ฟาริสีบอกไม่ต้องครบร้อยก็ได้ ใครให้ความสำคัญมากกว่ากัน

พระเยซูอธิบายว่า … “คือท่านคิดว่าการรักษาบทบัญญัติให้มากที่สุดเท่าที่พยายามทำให้ได้นั้น ก็เป็นที่ดีแล้ว  เพียงพอแล้ว  สิ่งเล็กๆ น้อยๆ ผิดพลาดไปบ้างอะไรต่างๆ เหล่านั้น ไม่เป็นไรหรอก  พระเจ้าคงเข้าใจดีมั้งว่าเราพยายามที่สุดแล้ว  พระเจ้าพอใจแล้ว พระเจ้าจะได้นับเราเป็นผู้ชอบธรรม เป็นคนดีคนหนึ่ง ผ่านการพิพากษาได้  และสามารถไปอยู่ในสวรรค์ได้ ทั้งๆ ที่ทำไม่ครบ”

พูดง่ายๆ ทำชั่ว ทำบาป  แต่คิดว่ามันนิดหน่อยน่า พระเจ้าคงเข้าใจ ซึ่งพระเจ้าทรงเป็นผู้พิพากษาที่เที่ยงธรรม รักษาบทบัญญัติ อย่างตรงไปตรงมา ไม่มีลำเอียง รักเขาไหม? รัก แต่กฎก็ต้องเป็นกฎ เพราะพระองค์เป็นพระเจ้าผู้ทรงเป็นผู้พิพากษาของมหาจักรวาล เป็นผู้ดูแลความยุติธรรมของโลกใบนี้ทั้งสิ้น  กฎก็ต้องเป็นกฎ เห็นภาพนะ นี่คือสิ่งที่พระเยซูพยายามชี้ให้พวกเขาเห็น

พระเยซูบอกว่า … “เราบอกความจริงว่าถ้าท่านพึ่งการกระทำของตนเอง ในการประพฤติตนตามบทบัญญัติ พยายามทำบทบัญญัติให้ตรง เพื่อจะได้เป็นผู้ชอบธรรมนั้น ท่านต้องรักษาบทบัญญัติและประพฤติตามนั้นทุกข้อ ทุกจุด จุดขีด ไม่เว้นเลยแม้แต่นิดหนึ่ง”

นี่คือสิ่งที่พระองค์อธิบายให้เขาฟัง แย้งให้เขาฟัง ทุกอย่างท่านต้องทำให้ถูกต้องหมดเลย เว้นไม่ได้เลย  ไม่ว่าจะเป็นข้อที่ท่านคิดเองว่าเล็กน้อยเท่านั้น ท่านก็ต้องรักษาไว้ด้วย เพราะมันเป็นกฎ จะมาบอกเล็กๆ น้อยๆ ไม่ได้ พระองค์กำลังบอกใครให้ความสำคัญกับบทบัญญัติมากกว่ากัน เห็นภาพไหมครับ?

“แม้เล็กๆ น้อยๆ ท่านบอกไม่เป็นไร? เรากำลังบอกท่านต้องรักษาให้ครบ 100% เลย จุดหนึ่ง ขีดหนึ่ง ก็ลบออกไปไม่ได้ ท่านบอกว่าแค่คิดมีความกำหนัดในเพศตรงข้าม แค่คิดเกลียดคนนี้ อิจฉาคนนี้หน่อยหนึ่ง ไม่เป็นไรหรอก ไม่ได้ทำสักหน่อย เราบอกว่านั่นแหละ ก็ตกนรกแล้ว ไม่ผ่านแล้ว”

ใครให้ความสำคัญกับกฎมากกว่า ใครเป็นคนลบล้างกฎ เรามา เพื่อทำให้มันครบถ้วนบริบูรณ์ นี่มันแปลว่าอย่างนี้  ท่านต้องรักษาให้ครบ 100%  ตามที่เขียนไว้ในหนังสือบทบัญญัตินั้น บทบัญญัติ กฎหมายเขียนไว้อย่างไร? ท่านต้องทำหมด ทุกจุด ทุกขีด  ถึงจะเป็นที่พอใจของพระเจ้าได้ และผ่านการพิพากษาได้  และพระเจ้าจะรับท่านเป็นผู้ชอบธรรม เข้าอยู่ในสวรรค์ได้ เห็นภาพไหม?

ท่านบอก … “ไม่เป็นไรหรอก นิดเดียว”

แต่พระเยซูกำลังบอกว่า … “ไม่ได้ ต้องครบ 100”

ซึ่งในความเป็นจริงนั้น ไม่มีมนุษย์คนใดเลย ที่สามารถทำได้ ถูกไหมครับ? เราก็รู้อยู่ ไม่มีมนุษย์ผู้ใดไม่เคยทำผิดเลยแม้แต่ข้อเดียว  ไม่มีมนุษย์คนใดไม่เคยทำบาปเลย  แม้แต่ครั้งเดียว  ถูกไหม? เพราะฉะนั้น พระเจ้าจึงส่งเรามาไง

พระเยซูจึงบอก … “พระเจ้าจึงส่งเรามา เป็นพระมาซีฮาห์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอด  เพื่อช่วยและชี้ให้ท่านเห็นถึงความจริงเหล่านี้  เพื่อท่านจะได้ถ่อมใจลง และกลับใจเสียใหม่ ไม่พึ่งพาความชอบธรรม และการกระทำตามบทบัญญัติของตนเอง”

แต่ทำอะไร? “กลับใจ ยอมรับว่าเราทำไม่ได้หมดหรอก  ถ้าถ่อมใจเมื่อไร? ก็จะเห็นตัวเองว่าเราทำไม่ได้หมดจริงๆ แล้วกลับใจใหม่ หันมาพึ่งพาพระองค์ พระองค์บอกแล้วให้วางใจในพระองค์ วางใจในพระบุตรที่พระเจ้าทรงประทานให้  และเรา คือผู้นั้นแหละ ที่พระเจ้าทรงส่งมา ช่วยท่านทั้งหลาย  ที่เขียนไว้ในพระคัมภีร์เดิมที่เกี่ยวกับเรา หลายพันปีแล้ว คือตัวเรานั่นแหละ มาแล้วตอนนี้  กลับใจเสียใหม่เถิด”

เพื่ออะไร? “เมื่อท่านกลับใจมาหาเรา วางใจในเราว่าเราคือพระมาซีฮาห์  ที่พระเจ้าส่งมา เพื่อช่วยท่านทั้งหลาย สิ่งที่ท่านวางใจในเรานั่นแหละ เป็นที่พอพระทัยพระเจ้า เป็นน้ำพระทัยของพระเจ้า และพระเจ้าก็จะรับท่านเป็นผู้ชอบธรรมของพระองค์ ผ่านทางความเชื่อในเรา ตรงนี้เรียกว่าพระคุณความรอด เรียกว่าพระคุณ ไม่ใช่กฎ บทบัญญัติ ต้องทำตาม ตาต่อตา ฟันต่อฟันอีกแล้ว แต่เป็นพระคุณ ให้เปล่าๆ ให้ฟรีๆ ไม่ต้องทำอะไรเลย  คือเรามาช่วยท่าน”

นี่พระเยซูกำลังชี้ให้เขาเห็นอย่างนี้ ถามว่าทั้งหมดนี้ พระองค์กำลังสอนศีลธรรมหรือ?  ไม่ใช่เลยเห็นไหม? หลายคนไม่เข้าใจ นึกว่าพระองค์บอกว่าทุกจุด ทุกขีด ต้องทำให้ครบ 100% เพราะฉะนั้น เราต้องทำให้ครบ 100% ต้องพยายามทำ คิดชั่ว คิดไม่ดี ก็ …

“พระเจ้ายกโทษให้ลูกด้วย ลูกคิดไม่ดี ต้องคิดให้ดี ไม่อย่างนั้นตกนรกแน่นอน”

มันใช่ไหมล่ะ? มันไม่ใช่  ไม่ตรงตามบริบท ที่พระเยซูกำลังบอก  มันไม่มีใครทำได้ ถ้าเราจะทำตามพระเยซู มีใครทำได้ไหม? ใครรักษาได้ครบร้อย ไม่มีเลย  เพราะฉะนั้น ในหนังสือกาลาเทียจึงบันทึกไว้อย่างนี้  ในกาลาเทีย 3:10-11 ซึ่งเปาโลได้เขียนมาจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่สถิตอยู่ในเปาโล ก็คือวิญญาณของพระคริสต์  ก็คือพระเยซูคริสต์ได้พูดตอนสมัยพระคัมภีร์ใหม่แล้ว  ตอนที่มีคริสเตียนแล้ว อธิบายตรงนี้ให้ฟัง จะเห็นชัดเลย มันก็คือจุดหมายเดียวกัน กาลาเทีย 3:10-11 ได้บันทึกไว้อย่างนี้ว่า …

กาลาเทีย 3:10-11 “10 คนทั้งปวงที่พึ่งการทำตามบทบัญญัติ ก็ถูกสาปแช่ง เพราะมีเขียนไว้ว่า “ขอแช่งทุกคนที่ไม่ปฏิบัติตาม ทุกสิ่งที่เขียนไว้ในหนังสือบทบัญญัติ” 11 เห็นได้ชัดว่าต่อหน้าพระเจ้า ไม่มีใครถูกนับว่าเป็นผู้ชอบธรรมได้โดยบทบัญญัติ เพราะว่า “คนชอบธรรมจะดำรงชีวิต โดยความเชื่อ”

 

นี่คือคำชี้ให้เห็นถึงโลกวิญญาณของพระเยซู ตอนที่พระเยซูเข้ามาสถิตอยู่ในมนุษย์ผู้ที่เชื่อในพระองค์แล้ว หลังจากมีคริสเตียนแล้ว โดยพระวิญญาณของพระคริสต์ได้บอกว่า …

“ขอแช่งทุกคนที่ไม่ปฏิบัติตามทุกสิ่งที่เขียนไว้ในหนังสือบทบัญญัติ”

“ทุกสิ่งที่เขียนไว้ในหนังสือบทบัญญัติ” ก็คือทุกสิ่ง ทุกจุด ทุกขีดที่เขียนในหนังสือบทบัญญัติ เขียนไว้ในกฎแห่งกรรม เขียนไว้ในกฎการทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว กฎศีลธรรม ต้องทำให้ครบ เหมือนกันไหม? เหมือนกับมัทธิวที่พระองค์ทรงพูด เหมือนกันไม่มีผิดเลย ทุกจุด ทุกขีด ต้องทำให้ครบ ถ้าไม่ครบ ถูกสาปแช่ง  ก็คือไปไม่รอด ไม่ได้รับการพิจารณาว่าเป็นผู้ชอบธรรม  ไม่ผ่านการพิพากษานั่นเอง

การพิพากษา คือหลังความตาย วิญญาณจะอยู่ในนรกหรืออยู่ในสวรรค์ อยู่ในที่พินาศ อยู่ในที่มืด หรืออยู่กับพระเจ้าในสวรรค์นั่นเอง หลังความตายจะเข้าสู่การพิพากษา พิพากษาตามการกระทำของแต่ละคน

ในข้อ 11 บอกว่า “เห็นได้ชัดว่าต่อหน้าพระเจ้า” พระเยซูประกาศ “ต่อหน้าพระเจ้า ไม่มีใครถูกนับว่าเป็นผู้ชอบธรรมได้ โดยรักษาบทบัญญัติเลยแม้แต่คนเดียว เพราะจะเป็นผู้ชอบธรรมได้ต้องดำเนินชีวิตแบบเชื่อเท่านั้น”

เชื่ออะไร? ก็คือวางใจในพระบุตร  วางใจในพระมาซีฮาห์ ที่พระเจ้าส่งมานั่นแหละถึงจะเป็นผู้ชอบธรรมได้ ถ้าทำด้วยตนเอง ไปไม่รอดแน่นอน

ยากอบ 2:10 ก็ได้บันทึกอย่างนี้เหมือนกัน พระเยซูก็พูดให้ฟังอย่างนี้  ที่ผมพยายามอธิบายและพูดข้ามไปเลยว่าพระเยซูพูดให้ฟัง ทั้งๆ ที่หนังสือยากอบนั้น ยากอบเป็นคนเขียน  แต่เขียนจากการดลใจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่สถิตภายใน พระวิญญาณสถิตนั่นแหละ คือพระวิญญาณของพระคริสต์ ก็คือพระเยซูคริสต์เป็นผู้อธิบายสิ่งนี้  เพื่อเอามายืนยันกับท่านว่านี่คือคำพูดอันเดียวกันกับตอนที่พระเยซูเดินอยู่บนโลกใบนี้ ในหนังสือมัทธิวที่เรากำลังเรียนอยู่ ที่ประกาศบนภูเขานี้  อันเดียวกันนั่นแหละ …

ยากอบ 2:10 “เพราะผู้ใดทำตามบทบัญญัติทั้งหมด แต่พลาดไปจุดเดียว ก็มีความผิด เท่ากับละเมิดบทบัญญัติทั้งหมด”

 

“แต่พลาดไปจุดเดียว ก็มีความผิดเท่ากับละเมิดบทบัญญัติทั้งหมด” จุดๆ หนึ่ง ขีดๆ หนึ่ง ก็ผิดไม่ได้เลย เหมือนหัวข้อเรื่องในวันนี้ ที่ใช้ชื่อเรื่องว่า “กฎแห่งกรรม ทำผิดเพียงครั้งเดียว ก็ไม่ได้ไปสวรรค์” เหมือนกันไหม? พลาดไปจุดเดียวก็เท่ากับละเมิดบทบัญญัติทั้งหมด ไม่ได้ไปสวรรค์หรอก พระเยซูประกาศ เตือน ชี้ให้เห็นถึงโลกฝ่ายวิญญาณว่ามันเป็นอย่างนี้

เพราะฉะนั้น เตือนบอกว่า … “พี่น้องชาวยิวและเล็งไปถึงมนุษย์ทั้งหลายบนโลก เฮ้ย! น้องๆ อย่าสร้างความชอบธรรมของตนเองขึ้นมาด้วยการกระทำดีตามบทบัญญัติ มันเป็นไปไม่ได้หรอก  อย่าพยายามทำ ให้มันครบร้อย เพื่อจะได้ไปสวรรค์ มันทำไม่ได้  แต่ให้มาแสวงหาความชอบธรรมของพระเจ้าดีกว่า จงยอมถ่อมใจและยอมรับความจริงว่าตนเองช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ ก็คือยอมรับว่าตัวเองเป็นคนบาป แล้วต้องการรับการช่วยเหลือ อย่าเย่อหยิ่งเลย”

มัทธิว 5:19 “เพราะฉะนั้น ใครทำให้ข้อเล็กน้อยเพียงข้อหนึ่งในพระบัญญัตินี้ มีความสำคัญน้อยลง และสอนคนอื่นให้ทำอย่างนั้นด้วย คนนั้นจะได้ชื่อว่าเป็นผู้เล็กน้อยที่สุดในแผ่นดินสวรรค์ แต่ใครที่ประพฤติจนเป็นวิสัย (ครบถ้วน) และสอนผู้อื่นให้ทำตามธรรมบัญญัติ คนนั้นจะได้ชื่อว่าเป็นใหญ่ในแผ่นดินสวรรค์”

 

พระองค์ทรงชี้ให้เห็นต่อว่า … “เพราะฉะนั้น ใครทำให้ข้อเล็กน้อยเพียงข้อหนึ่งในบทบัญญัตินี้ มีความสำคัญน้อยลง และสอนคนอื่นอีกต่างหาก ให้ทำอย่างนั้นด้วย คนนั้นจะได้ชื่อว่าเป็นผู้เล็กน้อยที่สุดในแผ่นดินสวรรค์”

ก็คือคนที่สอนคนอื่นว่า … “เฮ้ย! พยายามทำให้ดีที่สุดก็แล้วกัน ได้แค่ไหน ก็เอาแค่นั้น พระเจ้าเข้าใจน่า”

คนเหล่านี้ คนเล็กน้อย เป็นจำนวนของชาวยิว หมายถึงไม่ได้ไปสวรรค์ ไม่ใช่เข้าสวรรค์แล้วเป็นคนเล็กน้อย หมายถึงไม่มี ในสวรรค์ไม่มีคนเล็กน้อย  ในสวรรค์ไม่มีคนใหญ่สุด ในสวรรค์มีคนเท่าๆ กันหมด พอเข้าใจใช่ไหม?  เพราะฉะนั้น ก็หมายถึงว่าไม่ได้เข้าสวรรค์นั่นเอง  นี่คือพวกแรก ที่ไม่ได้เข้าสวรรค์ คือพวกที่ …

“นิดๆ หน่อยๆ ไม่เป็นไรหรอก เราพยายามที่สุด ก็แล้วกัน ผิดศีลไป 3-4 ข้อไม่เป็นไรหรอก เพราะเราทำและรักษาได้ตั้งแยะแล้ว  เราพยายามที่สุดแล้ว พระเจ้าคงเข้าใจ”

รู้แล้วนะว่าตรงนี้ พระเจ้าไม่เข้าใจ เพราะว่ากฎหมาย ก็คือเป็นกฎหมาย

และพวกที่ 2 คือใคร? อีกพวกหนึ่ง ในข้อ 20 ก็คือคนที่ยึดมั่น ถือมั่น มั่นใจว่าตัวเองทำได้ครบถ้วนบริบูรณ์แล้ว …

“ฉันทำได้ครบถ้วนบริบูรณ์แล้ว และพยายามสอนคนอื่นให้สมบูรณ์เหมือนฉันสิ นี่ฉันอดอาหารอธิษฐาน ฉันถวายสิบลด ฉันไปวิหารครบถ้วนบริบูรณ์ พระเจ้าบอก 3 ครั้ง ฉันก็ทำตามหมดเลยทุกอย่าง ฉันรักษาวันสะบาโตด้วย ฉันทำทุกอย่างเลย เพราะฉะนั้น ฉันมั่นใจในตัวเอง เธอต้องทำตามที่ฉันทำ ทำไมไม่รักษาวันสะบาโต วันสะบาโตทำงานทำไม? วันสะบาโตยังไปรักษาคนป่วยอีก วันสะบาโตยังไปเก็บรวงข้าวที่ตกอยู่อีกหรือ?”

อะไรประมาณนั้น นึกภาพออกใช่ไหม?ไปจี้คนอื่นเขา ให้พยายามทำสมบูรณ์เหมือนกับตนเองคิดว่าตัวเองสมบูรณ์แล้ว  ซึ่งเป็นการหลอกตัวเอง พระเยซูพูดอย่างนี้แหละ ซึ่งเป็นการหลอกตัวเอง ทะนงตนว่ารักษาบทบัญญัติ  10 ประการได้อย่างเคร่งครัดเลย

“ฉันรักษาบทบัญญัติ 10 ประการได้อย่างเคร่งครัดแล้ว ทำตามบทบัญญัติเป๊ะเลย เธอต้องรักษา เธอรักษาได้กี่ข้อแล้ว”

“ได้ 7 ข้อเอง”

“ท่านต้องพยายามทำต่อไป ฉันรักษาบทบัญญัติ และกฎอีก 603 ข้อ ทั้งหมด 613 ข้อ ฉันรักษามาได้ 500 ข้อแล้ว ตรงเป๊ะเลย เธอรักษาได้เท่าไร? เพิ่งจะ 70 เองหรือ! ต้องทำต่อไป ไม่ทำ เดี๋ยวตกนรกนะ เธอเป็นคนบาป ไม่ได้ไปสวรรค์แน่นอน พระเจ้าเกลียดเธอนะ  ไม่ชอบเธอ เธอเป็นคนเก็บภาษี เธอไม่รักษาวันสะบาโต ไม่เหมือนฉัน”

ทั้งๆ ที่ตอนไปชี้ ไปว่าคนอื่นเขา ตัวเองในใจก็รู้ว่าตัวเองไม่สามารถรักษามันครบทุกข้อได้ ถูกไหม? รู้ตัวเองว่าบกพร่องอยู่แล้ว แต่เย่อหยิ่ง ซึ่งพระเยซูเรียกผู้คนเหล่านี้ ซึ่งก็คือพวกปุโรหิต หัวหน้าปุโรหิต  พวกธรรมาจารย์ พวกฟาริสีที่จับพระองค์ไปฆ่า พระองค์เรียกคนเหล่านี้ด้วยความรักนะ ไม่ได้เกลียดชัง  เพื่อจะชี้ให้เขาเห็น พระองค์เรียกพวกเขาว่าพวกหน้าซื่อใจคด คือต่อหน้าทำเป็นคนเคร่งศาสนา  เคร่งบทบัญญัติมาก  ทำได้ดีหมดเลย  ทั้งๆ ที่รู้ว่าตัวเองทำไม่ได้ครบหมดบริบูรณ์ แต่ทำท่าว่าทำดีมากเลย แล้วก็คอยชี้นิ้วคนอื่นว่าคนนี้ทำไม่ดี คนนั้นทำไม่ดี คนนี้บาปหนา เพราะว่าเอาตัวเองเป็นเกณฑ์ พระเยซูบอกคนที่ตัดสินคนอื่นเขาอย่างนี้ ตัวเขาเองก็จะถูกตัดสินแบบเดียวกัน

พระเจ้าก็หันมาดู … “แล้ว เธอทำดีครบไหม?”

ไม่ครบเหมือนกัน  ไปตัดสินเขาอย่างนี้  ตามกฎ พระเจ้าก็จะตัดสินเขาตามกฎเหมือนกัน  ซึ่งในความเป็นจริง ก็คือไม่มีใครสักคนหนึ่งได้เข้าสวรรค์เลย  โดยการพึ่งพาการกระทำของตนเอง ตามบทบัญญัติให้ได้ครบ 100%  ไม่ว่าจะทำได้มากหรือน้อยก็ตาม ไม่มีใครสามารถทำได้เลย  พระเยซูจึงบอกไง บอกว่าใครก็ตามที่คิดว่าตัวเองทำได้ ที่ในนี้เขียนว่าแต่ใครที่ประพฤติจนเป็นนิสัย ก็คือประพฤติเป็นธรรมชาติ จากวิญญาณของเขา  พระเยซูกำลังบอก ใครที่ประพฤติตนตามบทบัญญัติได้ ไม่ผิดเลยแม้แต่ข้อเดียว ตามธรรมชาติในวิญญาณของเขาเลยนะ จากข้างในเลย ไม่เคยคิดชั่วเลย แล้วก็สอนคนอื่น บอกให้ทำตามเขาว่าต้องบริสุทธิ์อย่างนี้ ถึงจะเข้าสวรรค์ได้  คนนั้นเป็นใหญ่ในแผ่นดินสวรรค์ มีไหม? มีใครทำได้ไหม? ไม่มีเลยสักคนหนึ่ง

เพราะฉะนั้น สำหรับมนุษย์แล้ว ไม่มีใครเข้าสวรรค์ได้สักคนหนึ่งเลย ในข้อนี้ แต่ใครที่ประพฤติจนเป็นวิสัย จนเป็นธรรมชาติ อย่างครบถ้วนบริบูรณ์ตามบทบัญญัติได้นั้น และสอนคนอื่นให้ทำตามบทบัญญัตินั้น ให้บริสุทธิ์อย่างนั้นด้วย เขาทำได้ด้วย แล้วก็บอกคนอื่น ต้องบริสุทธิ์นะ ถึงจะเข้าสวรรค์ได้ คนนั้น เป็นใหญ่ในสวรรค์ มีเพียงผู้เดียว ก็คือคนที่พูดนั่นเอง  ก็คือพระเยซูคริสต์ พระองค์บอกว่าพระองค์เป็นผู้ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในสวรรค์ เป็นมนุษย์คนหนึ่งที่เกิดมา มีวิญญาณที่บริสุทธิ์สะอาด ไม่ได้มีเชื้อบาปมาจากอาดัม พระองค์เป็นมนุษย์พันธุ์ใหม่ที่เดินอยู่บนโลกใบนี้ เหมือนมนุษย์ทั่วไป แต่ไม่มีบาป พระองค์ไม่มีความคิดชั่วเลย  ไม่มีการทำบาปเลยใน พระคัมภีร์บันทึกไว้  พระองค์ไม่เคยทำผิดเลยแม้แต่จุดๆ หนึ่ง ขีดๆ หนึ่ง พระองค์จึงเป็นใหญ่ในสวรรค์ และพระองค์ก็มาสอนให้ผู้คนบอกว่า …

“พวกเธอต้องบริสุทธิ์เหมือนฉัน เธอถึงจะเข้าสวรรค์ได้  ซึ่งการจะบริสุทธิ์เหมือนฉันได้ เธอต้องเข้ามาวางใจในฉัน และได้รับการบังเกิดใหม่ ทำด้วยตัวเองไม่มีทางหรอก”

มันหมายถึงอย่างนั้นด้วยเช่นเดียวกันในข้อนี้

สรุปว่า … “สำหรับพวกเธอ ทำไม่ได้หรอก ไม่มีใครได้เข้าไปในสวรรค์ โดยการรักษาบทบัญญัติ รักษากฎแห่งกรรม รักษากฎแห่งการทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว รักษากฎแห่งศีลธรรมอันดีงาม รักษาอย่างไรก็ต้องพลาดแน่ และไม่ได้เป็นผู้ชอบธรรม ไม่ได้ขึ้นสวรรค์ ไม่ผ่านการพิพากษาหลังความตาย”

ผมจึงทำตรงนี้เป็นอุปมา ที่ผมคิดขึ้นมานะ อุปมาเหมือนปีนบันไดขึ้นสวรรค์ ฟังให้ดีๆ นะ มนุษย์ทุกคนเกิดมาต้องปีนบันไดขึ้นสวรรค์ทุกคน

ปีนบันได ก็คือทำความดี เพื่อไปสู่ยอดสูงสุดของบันได คือสวรรค์

ทุกคนเป็นอย่างนั้นหมด  จะรับรู้หรือไม่รับรู้ก็ตาม แต่มันเป็นอย่างนั้น ตั้งแต่เกิดมาปุ๊บ ก็ปีนบันไดทันที คือปีนจากบนโลกที่ปกคลุมไปด้วยความมืด ไปสู่สวรรค์ที่เป็นอาณาจักรแห่งความสว่าง ซึ่งไม่มีใครมีความสามารถที่จะปีนขึ้นไปได้ ไม่มีใครสามารถทำความดีได้ครบถ้วน โดยไม่พลาดเลยแม้แต่ขั้นเดียว  เพื่อไปสู่ยอดสูงสุด คือสวรรค์นี้ได้เลย  เพราะว่าพลาดขั้นเดียว ครั้งเดียว ก็ตกลงมาตายเลย ทำผิดแค่จุดเล็กๆ จุดเดียว  ก็คือพลาดแล้ว แต่พระเจ้าก็ให้ตัวช่วยแก่ชาวยิวก่อน แล้วรวมไปถึงมนุษยชาตินั้นด้วย ที่เชื่อในการทรงพระชนม์ของพระองค์  คือเชื่อว่ามีพระเจ้า  การเชื่อว่ามีพระเจ้า คือความเชื่อนี้ เหมือนมีเข็มขัดนิรภัย เซฟตี้อยู่ในขณะปีน ฟังให้ดีๆ นึกภาพตาม

ขณะปีน พระเจ้าได้ให้ความเชื่อในการทรงพระชนม์ของพระองค์ เหมือนมีเข็มขัดนิรภัย เซฟตี้ พลาดตกบันได ก็ไม่ตาย มันเซฟตี้ มันห้อยอยู่ ตกลงมา ก็ปีนต่อไป เจ็บแต่ปีนต่อไป จนกว่าจะถึงสวรรค์ เขาปลอดภัยถึงสวรรค์ได้ ก็เพราะเซฟตี้ เข็มขัดนิรภัยนี้ คือความเชื่อให้พระเจ้าช่วยนั่นเอง ถูกไหม? รู้ว่าปีนไป ตกแน่ ขอมีตัวช่วย ก็คือมีพระเจ้ามาช่วย  ซึ่งในอดีตนั้น ตัวช่วยตัวนี้  เรียกว่าพันธสัญญาเดิม  ผ่านทางพันธสัญญาเดิม เป็นพันธสัญญาเลือด  ก็คือโลหิตของสัตว์ เป็นเหมือนเซฟตี้  มนุษย์ผู้ใด ที่ปีนอยู่บนบันได  ก็คือมนุษย์ผู้ใดที่กำลังดำเนินชีวิตอยู่บนบัญญัติ ก็คือกำลังดำเนินชีวิตไต่บันไดขึ้นไป ตามกฎแห่งการทำดีทำชั่ว กฎแห่งกรรมนี้  ซึ่งสำหรับชาวยิว

ตัวอย่างนี้ ก็คือหนังสือของบทบัญญัติ ที่เขียนไว้บนแผ่นหิน บนหนังสัตว์ สำหรับชาวต่างชาติ ก็อยู่ในความรู้ดี รู้ชั่ว ในจิตสำนึกของเขาเขียนไว้  แต่พระเยซูมาเกิดเป็นมนุษย์ เป็นความสว่างบนโลกที่ปกคลุมด้วยความมืดนี้ และปีนขึ้นบันไดนี้เหมือนกัน  ปีนขึ้นไปถึงบนสวรรค์ได้  โดยไม่ต้องใช้เข็มขัดนิรภัย เพราะพระองค์เป็นพระเจ้า เป็นตัวแทนของมนุษย์พันธุ์ใหม่ เป็นตัวแทนที่บริสุทธิ์ ดีพร้อม ปราศจากบาป  ไม่มีพลาดเลย ปีนขึ้นไปได้  พระองค์จึงสามารถปีนไปถึงยอดบันได ก็คือสวรรค์ได้

แล้วพอไปถึงยอดบันได ทำอะไร? โดยผ่านทางความสำเร็จบนไม้กางเขน พระองค์ได้ทรงถวายเลือดของพระองค์เอง ซึ่งเป็นไปตามแผนการของพระเจ้า ในการช่วยเหลือมนุษย์ทั้งหมดไว้ โดยผ่านทางพระบุตร ตั้งนานแล้ว

และผลของการถึงสวรรค์ของพระเยซูคริสต์ และเอาเลือดไปถวายพระเจ้าปุ๊บ พระเจ้าก็จัดการพันธสัญญาใหม่ ผล ก็คือพระเจ้าก็ทำลิฟต์ไว้ให้ จากพื้นโลกไปสู่ยอด คือสวรรค์ แล้วยกเลิกเข็มขัดนิรภัย

เข็มขัดนิรภัย คือพันธสัญญาเลือด โดยเลือดสัตว์ที่บริสุทธิ์

นึกภาพออกไหม? พระองค์ก็ทรงยกเลิกเข็มขัดนิรภัยนี้ แต่ว่าบันไดเก่า บทบัญญัติเหล่านั้นที่จะขึ้นสู่ยอดสวรรค์นั้น มันยังคงอยู่  ดังนั้น ตั้งแต่วันที่พระเยซูทำงานสำเร็จ แล้วพระเจ้าทำลิฟต์นี้ขึ้นมาแล้ว มีทางขึ้นสวรรค์อยู่ 2 ทาง ทางเก่ากับทางใหม่ ทางเก่าต้องปีนบันไดขึ้นไป ทางใหม่เปลี่ยนเข้ามาในลิฟต์ ขึ้นลิฟต์เลย

พระเยซูเลยมาเตือนบอกว่า … “อย่าปีนทางเก่าเลย มันอันตราย เพราะท่านทำไม่ได้หรอก เพราะเรามีประสบการณ์ เรารู้ว่าท่านทำไม่ได้แน่นอน เราผ่านมาแล้ว  และข้อสำคัญ คือตอนนี้  ท่านปีนไม่ได้เหมือนแต่ก่อนนี้ เพราะว่าพระเจ้ายกเลิก ไม่มีเข็มขัดนิรภัยแล้วด้วย พลาดแม้ขั้นเดียว ก็ตกลงมาตายอย่างแน่นอน เพราะไม่มีเข็มขัดนิรภัย ไม่มีเซฟตี้แล้ว เพราะว่าพระองค์ทรงเลิกพันธสัญญาเดิม คือเลือดสัตว์ ไม่มีการใช้อีกต่อไปแล้ว  ไม่มีแล้ว ยกเลิกแล้ว พระองค์รับอย่างเดียว ก็คือโลหิตของพระเยซูคริสต์ ที่ได้หลั่งที่ไม้กางเขนนั้น เพราะฉะนั้น มาทางใหม่ มาขึ้นลิฟต์ที่พระเจ้าได้กระทำให้สำเร็จแล้วดีกว่า ขึ้นลิฟต์ด้วยวิธีใด วางใจในเรา แล้วจะได้บังเกิดใหม่ ย้ายเข้ามาอยู่ในลิฟต์ ในสวรรค์ อยู่กับเราทันที สวรรค์ได้ลงมาตั้งอยู่บนโลกใบนี้แล้ว

ลิฟต์นี้มียี่ห้อว่าพระคริสต์ เข้ามาอยู่ในพระคริสต์เถิด เข้ามาอยู่ในลิฟต์เถิด ในพระคริสต์เราได้อยู่ในสวรรค์แล้ว  และกำลังเดินทางขึ้นไปสู่อาณาจักรสวรรค์ใหญ่ สมบูรณ์พร้อม ซึ่งก่อนเข้าอาณาจักรสวรรค์ใหญ่นั้น  เมื่อถึงประตูสวรรค์ใหญ่ ก็ต้องเปลี่ยนชุดเข้าสู่สวรรค์ใหญ่ คือสวมร่างกายใหม่ ร่างกายที่เหมาะกับสวรรค์ใหญ่นั่นเอง แต่อยู่บนโลกใบนี้เราก็อยู่ในสวรรค์ อยู่ในลิฟต์แล้ว พักผ่อนอยู่กับพระเยซูคริสต์ในลิฟต์นั้น ไม่ต้องปีนให้เหนื่อยแล้ว

มัทธิว 5:20  “เพราะเราบอกพวกท่านว่าถ้าความชอบธรรมของท่าน ไม่มากกว่าความชอบธรรมของพวกธรรมาจารย์และพวกฟาริสี พวกท่านจะไม่มีวันได้เข้าสู่แผ่นดินสวรรค์”

 

อย่างที่บอกพวกฟาริสี พวกธรรมาจารย์เหล่านี้  พวกหัวหน้าปุโรหิตเหล่านี้ เขามั่นใจในตัวเองว่าเขาทำดีมาก เขาโชว์ออฟมากเลยว่าเขาทำศีลธรรมอันดี สูงส่งมาก ทำได้เยอะมาก จนกระทั่งผู้คนทั้งหลายที่อยู่ข้างล่าง ที่ทำไม่ได้ ถูกกล่าวหาว่าเป็นคนบาปมากกว่า มองขึ้นไป ก็ …

“มันจริงๆ นะ ฉันทำเท่าเขาไม่ได้หรอก เขารักษาศีล รักษาบทบัญญัติได้ตั้ง 600 ข้อ 500 ข้อ  ฉันทำได้ไม่ถึง 10 ข้อเลย ฉันมันแย่ ฉันมันเลว”

ยกฟาริสีและคนที่ปฏิบัติตามบทบัญญัติได้ว่าเป็นคนดีเยี่ยมมาก พระเยซูจึงยกตัวอย่างอันนี้ขึ้นมาว่า …

“ถ้าท่านคิดว่าความชอบธรรมของท่านได้เท่ากับพวกฟาริสีก็พอ แต่จะบอกให้ท่านต้องมีความชอบธรรมมากกว่าพวกฟาริสีอีก”

คนเหล่านี้ฟัง แล้วเป็นอย่างไร? คนที่ด้อยกว่าฟังแล้วเป็นอย่างไร? ตกใจ

พวกสาวกพระเยซูฟังพระองค์พูดตรงนี้ … “ใครจะทำได้ ทำไม่ได้หรอก  ผม ฉันทำไม่ได้ ตายแล้ว”

ฟังจบพวกสาวกงงเต้ก … “ใครจะไปทำได้ล่ะอาจารย์”

พระเยซูเลยบอกกับพวกเขาว่า … “พวกเธอทำเองไม่ได้หรอก แต่พระเจ้าทำได้

ก็คือท่านต้องเกิดใหม่นั่นเอง พระเจ้าทำให้ท่านเกิดใหม่ได้  ท่านทำเองไม่ได้หรอก พระเยซูกำลังอธิบายให้เขาฟังว่าพระเจ้ามองที่ใจ แต่พวกฟาริสีมองที่กฎ ไม่ใช่พวกฟาริสีมองที่กฎอย่างเดียว พวกท่านก็มองที่กฎ ก็คือพวกท่านมองที่ข้างนอก แต่พระเจ้ามองที่วิญญาณข้างใน  พวกเราทั้งหลายมองที่ข้างนอก พวกเราทั้งหลายมองที่ยอดภูเขาน้ำแข็ง บนน้ำ แต่พระเจ้ามองที่ใต้น้ำลงไป ที่ท่านไม่เห็น ก็คือฐานของภูเขาน้ำแข็งอันเบ้อเริ่มเทิ่มอยู่ข้างล่าง ความบาปที่อยู่ข้างล่าง พวกฟาริสีมองที่ยอดน้ำแข็งบนน้ำ แต่พระเจ้ามองที่ใต้น้ำ ฟาริสีมองไปที่ความประพฤติภายนอก แต่พระเจ้ามองไปที่วิญญาณข้างใน ฟาริสีมองไปที่สิ่งที่ตามองเห็นได้ การประพฤติที่มองเห็นได้ แต่พระเจ้ามองไปที่ในวิญญาณ พวกฟาริสีใช้สัมผัสแตะต้องได้ตามที่ตามองเห็น และให้ความสำคัญกับสิ่งที่มองเห็น เช่นล้างมือก่อนกินข้าว อะไรต่างๆ เหล่านั้น  แต่พระเจ้าต้องการให้เขามองไปที่โลกวิญญาณ ใช้ความเชื่อในถ้อยคำพระเจ้า จากวิญญาณออกมา ทำให้เขาตายได้ จากการกินอาหารสกปรกเข้าไป ก็แค่ถ่ายออกมาเท่านั้นเอง

ฟาริสีก็เป็นตัวแทนของมนุษย์ทั้งหมดด้วยเช่นเดียวกัน ซึ่งเราฟังอย่างนี้แล้ว มาถึงบทที่ 5 ข้อ 20 เราต้องปูพื้นเบื้องหลัง อยู่ในใจตลอด ขณะที่ฟังไป เรียนรู้ไป ต้องไม่ลืมว่าพระเยซูกำลังมาประกาศว่าสวรรค์มาตั้งอยู่ และวิธีจะเข้าสวรรค์นั้น ต้องมีท่าทีอย่างไร? นี่คือเป้าหมายในการประกาศของพระเยซูคริสต์ ก็คือต้องไม่เย่อหยิ่ง  ไม่พึ่งพาการกระทำของตนเองในการรักษาบทบัญญัติ การกระทำดี รักษากฎแห่งศีลธรรม ในการสร้างความชอบธรรมของตัวเองขึ้นมา  ไม่พึ่งพาความดีของตัวเอง พูดง่ายๆ  ไม่ใช่ไม่ทำความดีนะ ตั้งใจทำความดี  แต่ไม่พึ่งพาความดีของตัวเอง เพราะรู้ว่าทำความดีไป ก็ไม่ได้รอดจากการถูกพิพากษา แต่ตั้งใจทำความดีไหม? ตั้งใจ แต่ไม่ได้ตั้งใจว่า …

“ทำความดีแล้ว ฉันจะรอดจากการถูกพิพากษา”

แต่หันกลับมาเชื่อวางใจในพระบุตร คือพระมาซีฮาห์ พระองค์เท่านั้น  จะทำให้เขาบังเกิดใหม่ได้ เขาทำด้วยตัวเอง เกิดใหม่ไม่ได้หรอก ทำให้ตาย ก็ไม่มีทางได้เข้าสวรรค์ ต้องตายแล้วเกิดใหม่เท่านั้น

นี่คือสิ่งที่พระเยซูกำลังพูดถึงเรื่องเกี่ยวกับโลกวิญญาณทั้งสิ้น  เกี่ยวกับตัวตนของมนุษย์ คือวิญญาณของมนุษย์ว่าวิญญาณของเขาต้องอยู่ที่ใดที่หนึ่ง วิญญาณของเขากำลังปีนบันไดอยู่หรือวิญญาณของเขาอยู่ในลิฟต์ มันต้องอยู่ในอาณาจักรใดอาณาจักรหนึ่งในโลกฝ่ายวิญญาณที่เรียกว่าสวรรค์หรือที่เรียกว่าความพินาศที่ไม่มีพระเจ้า  บนบันไดนั้น ไม่มีพระเจ้า  แต่ในลิฟต์มีพระเจ้า ซึ่งพระองค์ไม่ได้มาสอนเรื่องโลกใบนี้ว่าจะทำตัวอย่างไร เพราะมนุษย์ทุกคนอยู่บนโลกใบนี้ รู้และเห็นหมดแล้ว เข้าใจหมดแล้วล่ะ  ไม่ต้องอธิบาย  เพราะทุกคนดำเนินอยู่บนโลกใบนี้  ภายใต้อิทธิพลของกฎของความบาปและความตายอยู่แล้ว เกิดมาก็อยู่ใต้บทบัญญัตินี้อยู่แล้ว ถ้าไม่ย้ายนะ กฎแห่งกรรมที่ปกคลุมอยู่เหนือโลกใบนี้ ก็จะปกคลุมอยู่เหนือชีวิตของเขา กฎแห่งการทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่วก็ยังอยู่ บันไดก็ยังอยู่ หว่านสิ่งใด เก็บเกี่ยวสิ่งนั้นก็ยังอยู่ ยังคงเป็นอยู่ตลอดไป จนกว่าจะสิ้นโลกใบนี้ และวิญญาณของเรา ถ้าไม่ย้าย ก็จะอยู่ในที่นี่แหละ พลาดทีเดียว ก็ต้องตาย  แต่ถ้าเราย้ายมาอยู่ในลิฟต์ พลาดก็ไม่ตาย  เพราะว่าในลิฟต์มันเป็นเหมือนสวรรค์แล้ว  พระโลหิตของพระเยซูชำระให้เรียบร้อยแล้ว นี่คือความเป็นจริงของการประกาศของพระเยซูบนภูเขา ก่อนที่พระองค์จะกระทำให้สำเร็จอีก 3 ปีต่อมานั่นเอง  พระเจ้าอวยพรครับ

 

********************

จากใจคณะศิษยาภิบาล

 

“RIP”  เป็นตัวย่อมาจากคำว่า “Rest in peace” ซึ่งส่วนใหญ่ เขาจะเขียนคำนี้ไว้ที่ป้ายหน้าหลุมศพ หรือไม่ก็เขียนไว้ในหรีดไว้อาลัยในงานพิธีศพ “Rest in peace” หรือตัวย่อว่า  “RIP” ก็คือ  “จงพักสงบชั่วนิรันดร์”

 

นี่ความหมายจริงๆ ของการที่ตั้งใจจะเขียน แต่จริงๆ แล้ว สำหรับผู้ที่เชื่อแล้ว ไม่ต้องรอให้ตาย เพราะว่าผู้ที่เชื่อแล้ว เป็นลูกพระเจ้าแล้ว เกิดใหม่แล้ว เราสามารถใช้คำว่า RIP กันได้วันนี้เลยทันที เมื่อเชื่อแล้ว ก็เขียนให้ตัวเองได้เลยว่า …

“คุณนคร จง RIP เถิด!”

 

คนที่จากโลกนี้ไปแล้ว ที่เขาใช้คำว่า “RIP” เพราะความหมายของคำว่า “RIP” คือเขาหวังว่าเป็นความหวังแบบมนุษย์ธรรมดา คนจากไป เราก็ระลึกถึงเขา ไม่รู้จะพูดอะไรดี แสดงความเสียใจ แล้วบอกว่า “RIP” นะ คือหวังว่าจะได้พักผ่อนอยู่ในสวรรค์อย่างสงบ อะไรต่างๆ เหล่านั้น ถูกไหมครับ ที่เขาตั้งใจเขียนอย่างนั้น เพราะเขาหวังว่าจะเป็นอย่างนั้น

 

แต่จากที่เราเรียนรู้ด้วยกันมาแล้ว สวรรค์มันอยู่ที่นี่แล้ว สวรรค์เป็น Now คือเดี๋ยวนี้ ตอนนี้ ไม่ต้องรอ สามารถเข้าสวรรค์ได้เลย เข้าด้วยวิธีเชื่อในข่าวดีของพระเยซูคริสต์ เชื่อในข่าวดีของพระเจ้า ได้เข้าสวรรค์ทันที คนที่เชื่อแล้ว ตอนนี้ ก็คืออยู่ในสวรรค์กับพระเจ้าแล้ว

 

แล้ว RIP จะใช้กับคนที่ตายแล้ว ถามท่านทั้งหลายที่เชื่อแล้ว เชื่อในข่าวดีของพระเจ้าว่าพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด เป็นพระผู้ไถ่บาป ที่ตายบนกางเขน เพื่อไถ่บาปให้ท่าน เอาบาปของท่านออกไป แล้วเป็นขึ้นมาใหม่ ในวันที่ 3 ซึ่งเป็นตัวอย่างให้กับท่านจะได้เป็นขึ้นมาใหม่ เหมือนพระองค์ด้วย

 

เมื่อท่านเชื่อแล้ว ท่านได้รับการบังเกิดใหม่ เป็นลูกของพระเจ้าแล้ว ถามว่าท่านตายหรือยัง? ก็ต้องตายก่อนสิ แล้วจึงจะบังเกิดใหม่ได้

โคโลสี 3:1-4 “1 ในเมื่อทรงให้ท่านทั้งหลายเป็นขึ้นกับพระคริสต์แล้ว  ก็จงให้ใจของท่านจดจ่อกับสิ่งที่อยู่เบื้องบน  ที่ซึ่งพระคริสต์ประทับอยู่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้า 2 จงให้ความคิดของท่านจดจ่ออยู่กับสิ่งเบื้องบน ไม่ใช่สิ่งฝ่ายโลก 3 เพราะท่านตายแล้ว และบัดนี้ชีวิตของท่านถูกซ่อนอยู่กับพระคริสต์ในพระเจ้า 4 เมื่อพระคริสต์ผู้ทรงเป็นชีวิตของท่านปรากฏ เมื่อนั้นท่านก็จะปรากฏพร้อมกับพระองค์ในพระเกียรติสิริด้วย”

 

ในข้อที่ 3 เป็นคำตอบ เพราะท่าน (ท่านคือผู้ที่เชื่อแล้ว) ตายแล้ว วิญญาณตัวตนจริงๆ ของท่านที่ เป็นคนชั่วคนบาป มันได้ตายไปแล้ว

 

วิญญาณเก่าของท่าน ก่อนที่จะรับเชื่อ เป็นวิญญาณมืดบอด เป็นวิญญาณที่เป็นทาสของมารซาตาน เป็นวิญญาณที่อยู่ในความบาป อยู่ในความสกปรก มันตายไปแล้ว เมื่อตอนที่ท่านเชื่อในข่าวดี และบัดนี้ เดี๋ยวนี้ หรือขณะนี้ Now ชีวิตของท่าน ถูกซ่อนอยู่กับพระคริสต์ในพระเจ้า วิญญาณเก่าท่านได้ตายแล้ว และได้เกิดใหม่พร้อมกับพระเยซูคริสต์ ในข้อ 1 แล้ววิญญาณที่เกิดใหม่ มาเป็นลูกพระเจ้านั้น ตอนนี้ซ่อนอยู่กับพระคริสต์ในพระเจ้า คือถูกซ่อนอยู่ในพระคริสต์ อยู่ในสวรรค์นั่นเอง วิญญาณเราอยู่ในสวรรค์แล้ว พระเจ้าอยู่ในสวรรค์ ท่านก็อยู่ที่สวรรค์นั่นแหละ ทันที เดี๋ยวนี้เลย

 

สรุปว่าเราใช้ RIP ได้หรือยัง? ได้แล้ว แต่สำหรับคนที่ยังไม่ได้ทำข้อ 1 ยังไม่ได้รับเชื่อในข่าวดีของพระเยซูคริสต์ ยังไม่สามารถใช้ RIP ได้นะ เขาจะใช้ให้คุณต่อเมื่อคุณหมดลมหายใจบนโลกใบนี้แล้ว แต่ถ้าคุณเชื่อแล้ว เชื่อในข่าวดี ทันทีปุ๊บ คุณใช้ได้ทันทีเลยว่า …

“ฉันกำลัง RIP เรียบร้อยแล้วทางฝ่ายวิญญาณ”

 

พระเจ้าอวยพรครับ