วารสาร Holy News ฉบับที่ 1371

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  26  มิถุนายน  2022

เรื่อง “หนังสือเอเฟซัส”  ตอน 13

โดย พาสเตอร์ วราพร  คงล้วน

 

วันนี้เรามาต่อในหนังสือเอเฟซัส 2:14 ครั้งที่แล้ว เราจบลงที่ข้อ 13 ที่บอกว่า …

เอเฟซัส 2:13 “แต่บัดนี้ ในพระเยซูคริสต์ ท่านทั้งหลายซึ่งเมื่อก่อนอยู่ไกลพระเจ้า ได้ถูกนำเข้ามาใกล้แล้ว โดยพระโลหิตของพระคริสต์”

 

อาจารย์เปาโลกำลังพูดถึงคนต่างชาติ ที่อยู่ไกลพระเจ้า  เพราะว่าถ้าพูดถึงคนยิว เขาไม่ได้อยู่ไกลพระเจ้า  คนยิวอยู่ใกล้พระเจ้ามากเลย เป็นชนชาติที่พระเจ้าทรงเลือกสรรไว้ให้มาเป็นแบบอย่างให้กับมนุษยชาติในเรื่องของความเชื่อในพระเจ้า

ฉะนั้น คนยิวคิดว่าเขาเป็นชนชาติของพระเจ้าโดยเฉพาะ แล้วก็เป็นกลุ่มเดียวที่มีอภิสิทธิ์ หรือมีสิทธิพิเศษ ที่พระเจ้าทรงเลือกสรรไว้เพียงกลุ่มเดียว  แต่ว่าพอถึงยุคของพระเยซูคริสต์ แผนการของพระเจ้า คือวางไว้ตั้งแต่ก่อนที่จะเริ่มสร้างโลกแล้วว่าพระองค์จะให้คนยิวมาก่อน หลังจากนั้น พระองค์ก็จะให้ข่าวประเสริฐนี้ไปถึงคนต่างชาติ ตามในหนังสือยอห์น 3:16 ที่บอกว่าพระองค์ทรงรักโลกนี้ยิ่งนัก หมายถึงมนุษยชาติทั้งหมดทุกคน ไม่มีข้อยกเว้นในโลกใบนี้ ที่พระเจ้าทรงรัก  และข่าวประเสริฐของพระเจ้า พระเยซูคริสต์ประกาศไปถึงทุกคนบนโลกใบนี้ ซึ่งในพระคัมภีร์เราก็รับรู้ความจริงว่าพระเจ้าได้ทรงกระทำให้เรียบร้อยไปแล้ว โดยผ่านทางพระเยซูคริสต์บนไม้กางเขน เมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว

สมัยก่อนเรามีความเข้าใจผิด คิดว่าพระเจ้าทรงเลือก พอพูดคำว่า “เลือก” ปุ๊บ มันก็มีกลุ่มคนที่ไม่ถูกเลือก เราเข้าใจตามสติปัญญาของมนุษย์ แต่ว่าความเป็นจริง คือพระเจ้าเลือกหมด แต่ว่าพระองค์ไม่บังคับให้ทุกคนที่ได้ยินได้ฟังเรื่องของพระเจ้า ต้องมาเชื่อพระองค์ พระองค์ให้สิทธิเสรีภาพ ในการตัดสินใจว่าจะเอาพระเจ้าหรือไม่เอา จะเอาข่าวดีของพระเจ้า จะรับการช่วยเหลือจากพระเยซูคริสต์หรือไม่? หรืออยากจะพึ่งพาในกำลังของตัวเอง ความดีงามของตัวเอง เพื่อที่จะไปถึงมาตรฐานของพระเจ้า แต่ว่าความจริง คือพระเยซูพยายามบอกในช่วงที่พระองค์มาเกิดเป็นมนุษย์ คุยกับคนยิว ยังมาไม่ถึงคนต่างชาติเลย คุยกับคนยิวว่า …

“ความเป็นจริง คือพวกเธอทำไม่ได้หรอก แม้เธอจะคิดว่าเธอสามารถที่จะรักษากฎบัญญัติที่พระเจ้าให้ไว้ ทำสุดกำลังเลย พยายามอย่างที่สุด แต่พระเยซูบอกทำให้ตาย ก็ทำไม่ได้ เพราะว่าตามกฎที่พระเจ้าวางไว้ ถ้าจะทำด้วยกำลังของตัวเอง ต้องทำให้ได้ทุกจุด ทุกขีด  ที่จะไม่พลาดเลย แม้แต่จุดเดียว ขีดเดียว หรือแม้แต่วินาทีเดียว หมายความว่ามนุษย์คนนั้น หรือคนยิวคนนั้น จำเป็นจะต้องรักษากฎบัญญัติที่ถูกบันทึกไว้ในพระคัมภีร์ หรือในธรรมบัญญัติของพระเจ้า อย่างไม่มีช่องว่างเลย คือต้องรักษาทุกวินาที แล้วก็ให้ถูกต้องด้วย ซึ่งไม่มีมนุษย์คนไหนสามารถทำได้ เหตุผล คือมนุษย์ล้มลงในความบาป อยู่ในเชื้อบาป อยู่ในธรรมชาติบาป DNA บาป คือข้างในวิญญาณเขาเป็นบาป ฉะนั้น เขาไม่สามารถที่จะทำสิ่งดีได้เลย แม้ในสายตาของมนุษย์ ดูเหมือนคนนี้ทำดีนะ แต่ว่าในสายตาของพระเจ้า พระเจ้าบอกว่าไม่ได้ ความดีของเขามีไม่พอ ต่อให้เขาทำดีขนาดไหน? ที่จะถึงมาตรฐานของพระเจ้า พยายาม แต่พระเจ้าบอกว่าธรรมชาติเดิมของเขายังอยู่ในบาป  DNA ที่อยู่ในอาดัม  ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ ก็คือทำดีให้ตาย ก็ยังอยู่ในบาปอยู่ แต่ข่าวดีที่เราเรียนกัน คุยกันมาตลอด คือพระเยซูคริสต์ให้ทางเลือกให้กับมนุษยชาติว่าเมื่อวันที่พระองค์ ได้มาเกิดเป็นมนุษย์ มาสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน หลั่งพระโลหิตของพระองค์ เพื่อมาชำระบาปของมนุษยชาติ แล้วพระองค์ได้ถูกฝัง และเป็นขึ้นมาจากความตาย  สิ่งที่พระเยซูได้ทำ ทั้งหมดทั้งมวล ก็เพื่อว่ามนุษย์บนโลกใบนี้ทั้งหมดเลย ไม่ว่าจะเป็นยิวหรือชนชาติอื่น สามารถที่จะมาตายพร้อมพระเยซูได้ ก็คือเอาวิญญาณเก่าที่เป็นบาป ไปตรึงพร้อมกับพระเยซูคริสต์ แล้วถูกฝังพร้อมกัน จะได้เป็นขึ้นมาใหม่ที่ภาษาพระคัมภีร์ เราใช้คำว่า “บังเกิดใหม่” จะได้บังเกิดใหม่เข้ามาในครอบครัวของพระเจ้า ก็คือทิ้งวิญญาณเดิมที่เป็นวิญญาณบาป ให้ไปตายพร้อมกับพระเยซูคริสต์ เพื่อว่าจะได้บังเกิดใหม่ ได้รับวิญญาณใหม่ ที่พระคัมภีร์บอกว่าเป็นเหมือนพระเจ้าเลย สะอาดหมดจด เป็นผู้ชอบธรรม

ฉะนั้น เมื่อมนุษย์คนไหนก็ได้ ตั้งแต่อดีต จนถึงปัจจุบันหรืออนาคตข้างหน้า เมื่อเขาได้ยินได้ฟังเรื่องราวของพระองค์ปุ๊บ เขาจำเป็นต้องตัดสินใจ เพราะว่าพระเจ้าไม่บังคับ ตัดสินใจว่าเขาจะเลือกเชื่อในสิ่งที่พระเยซูคริสต์ทำ หรือเลือกที่จะยังคงอยู่ที่เดิม คือพยายามด้วยกำลังของตัวเอง ทำดีไปเยอะๆ ละความชั่วไปเยอะๆ ซึ่งมันทำไม่สำเร็จ ฉะนั้น คนไหนก็ตาม ที่ทำจนเหนื่อย แล้วรู้สึกว่าไม่ไหว เราแบกเอากฎต่างๆ ที่เราพยายามแล้วพยายามอีก แล้วหลายครั้งเราตั้งใจจะทำดี เราก็หลุดทุกที ก็คือมันทำไม่สำเร็จ แล้วหลายครั้งที่เราไม่อยากทำชั่ว มันก็หลุดอีกเหมือนกัน คือไปทำชั่ว

มนุษย์ที่อยู่ใน DNA บาป ก็คือข้างใน มันเน่าแล้ว ข้างในเป็นบาป ก็คือไม่มีพลังพอที่จะทำให้ตัวเอง ทำดี ครบถ้วนสมบูรณ์ตามที่พระเจ้าบอกไว้ได้ ฉะนั้น พระเยซูคริสต์ก็มาประกาศ ตอนที่พระเยซูมาบนโลกใบนี้ ไม่ได้ทำอะไรเลยนะ แค่ประกาศความจริงในโลกวิญญาณว่าในวิญญาณของมนุษยชาติบนโลกใบนี้ เป็นอย่างไร? วิญญาณของทุกคนบนโลกใบนี้ อยู่ในบาป นี่คือความจริงในโลกวิญญาณ แล้วพระเยซูก็ประกาศว่า …

“ฉันกำลังจะมาทำการงานของพระเจ้า ที่ได้มอบหมายไว้ ให้สำเร็จ ก็คือมานำเอาความบาปของมนุษยชาติ ไปตรึงไว้ที่บนไม้กางเขน ก็คือรับบาปแทนมนุษย์ แล้วฉันจะเป็นขึ้นมาจากความตาย”

ที่พระเยซูถูกฝัง เมื่อก่อนเราก็ไม่เข้าใจ เราก็พูดตามในพระคัมภีร์บอกว่าพระเยซูถูกตรึง ถูกฝัง เป็นขึ้นมาจากความตาย ก็รู้แค่นี้ แต่ปัจจุบัน พระเจ้าเปิดให้เราเห็นชัดกว่านั้น ก็คือพระเยซูยอมตายบนไม้กางเขน เพื่อพิสูจน์ว่าพระองค์ทรงเป็นมนุษย์จริงๆ ถ้าพระเยซูคริสต์เป็นพระเจ้าอย่างเดียว พระเจ้าตายไม่ได้ ก็คือนอกจากพระเยซูคริสต์จะยอมละวิญญาณของพระองค์เอง และทรงอยู่ในร่างกายของมนุษย์ เพื่อเป็นไปตามกฎที่พระเจ้า พระบิดาตั้งไว้ ก็คือมาชดใช้หนี้ เวรกรรมของมนุษยชาติบนโลกใบนี้

การสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขนของพระเยซูคริสต์  ที่ในพระคัมภีร์ย้ำแล้วย้ำอีก เพื่อบอกให้มนุษยชาติรับรู้ว่าพระองค์เป็นมนุษย์ ตายจริงๆ แล้วตอนที่พระเยซูถูกฝังในอุโมงค์ ก็ยังคงยืนยันว่าพระองค์ตายจริงๆ ถูกฝังจริง แล้ววันที่พระเยซูเป็นขึ้นมาจากความตายในวันที่ 3 มีผู้คนติดตามพระองค์ ตอนนั้นยังไม่ได้เป็นสาวก เป็นผู้ติดตามพระองค์ เขาได้เห็นกับตาจะๆ ว่าพระองค์ทรงเป็นขึ้นมาจากความตาย มีกลุ่มคนที่สามารถเป็นพยานว่าพระเยซูคริสต์ทรงเป็นขึ้นมาจากความตายจริงๆ อย่างต่ำๆ ประมาณ 500 คน ที่รับรู้ความจริงตรงนี้ เพราะว่าพระเยซูเป็นขึ้นมาจากความตาย ก็มาเดินไปเดินมากับคนที่ติดตามพระองค์ เขาเห็นพระเยซูคริสต์ ที่เป็นตัวเป็นๆ สามารถสัมผัส จับต้องได้ เต็มไปด้วยสง่าราศี และในพระคัมภีร์บอกว่าในอนาคตข้างหน้า พวกเราทุกๆ คนที่เชื่อวางใจในพระเจ้า เมื่อวิญญาณเราออกจากร่าง เราทิ้งร่างกายเก่านี้ เราก็จะได้ไปรับร่างกายใหม่ ที่เต็มไปด้วยสง่าราศีเหมือนพระเยซูไม่มีผิด

นี่คือความหวังใจเดียวของผู้เชื่อ ในขณะที่อยู่บนโลกใบนี้  เพราะว่าเราไม่สามารถมีความหวังใจอื่นได้แล้ว ถ้าเราจะหวังใจว่าอยู่บนโลกใบนี้ เราจะมีความสุขตลอดเวลา อย่าไปหวัง เพราะมันไม่มีทาง เป็นไปไม่ได้ ต่อให้เราคิดว่าเรามีความเชื่อนะ เราอธิษฐานกับพระเจ้า พระองค์จะให้เรามีความสุข มีชีวิตราบรื่น ไปฉลุยเลย อย่าไปคาดหวัง เพราะพระเยซูบอกแล้ว โลกนี้เสียหายไปแล้ว แล้วร่างกายของพวกเราก็รอวันที่จะสูญสิ้น จำเป็นจะต้องสูญสิ้น คือรอตายจากโลกนี้  เพื่อว่าเราจะได้ไปสวมร่างกายใหม่

ฉะนั้น อย่าให้โดนหลอกว่าพอเราเป็นผู้เชื่อปุ๊บ เราสามารถสั่งฟ้าสวรรค์ สั่งหยุดอายุขัยของเรา ขอพระเจ้าเลย พระเจ้าบอกคำอธิษฐานของผู้ชอบธรรมมีพลังทำให้เกิดผล เราต้องอธิษฐานเลย อธิษฐานให้เราไม่เจ็บ ไม่ป่วย ไม่แก่ ไม่ตาย มันเป็นไปไม่ได้ เพราะทุกสิ่งทุกอย่างมันเสียหายไปแล้ว แล้วพระเจ้าบอกว่ามันจำเป็นจะต้องเกิด มนุษย์เกิดมาปุ๊บ ก็รอแก่ รอตาย ไม่ว่าคนนั้นจะเชื่อพระเจ้าหรือไม่เชื่อพระเจ้าก็ตาม แต่คนที่เชื่อวางใจในพระเจ้า เรามีความแตกต่าง ตรงที่ว่าเราไม่ได้มองที่ร่างกายเราว่าแก่ลงทุกวันๆ หน้าก็เริ่มย่น หน้าผากก็เริ่มเป็นรอย หน้าก็เริ่มตกกระแล้ว มีเม็ดสีมารวมตัวกัน ไม่เห็นสวยเหมือนเมื่อตอนเราสาวๆ เลย ผิวพรรณเต่งตึง ดูดี มีราคา แต่ว่าเราไม่ได้สนใจในเรื่องนี้ เพราะเรารู้ว่าสิ่งเหล่านี้จำเป็นจะต้องเกิดขึ้น เราอย่าไปคาดหวังว่าสิ่งเหล่านี้จะอยู่นิรันดร์กาล สาวนิรันดร์กาล สวยนิรันดร์กาล มันไม่มีทาง มันกำลังเดินทางไปสู่ความตาย

แต่สิ่งที่คริสเตียนมีความหวัง คือร่างกายเรากำลังเดินทางไปสู่ความตาย แต่จิตวิญญาณของเรากำลังเดินทางสู่ชีวิตนิรันดร์ ที่ครบถ้วนบริบูรณ์ มันต่างกันมากเลยนะ ยิ่งเราใกล้วันตายมากเท่าไร? เท่ากับเรายิ่งใกล้ ได้สัมผัสชีวิตที่ครบถ้วนบริบูรณ์ในพระเยซูคริสต์มากฉันนั้น วันที่เราละร่างกายนี้ วิญญาณเราออกจากร่างปุ๊บ เราได้ไปอยู่กับพระเยซูคริสต์ เที่ยวนี้อยู่ครบถ้วนเลยนะ ไม่ต้องใช้ความเชื่อ ปัจจุบันที่พวกเราคุยกัน คือเมื่อเราเชื่อปุ๊บ ในโลกวิญญาณ พระพรนานัปการ พระเยซูคริสต์ได้ให้กับพวกเราเรียบร้อยไปแล้ว บัดนี้ วิญญาณของเราได้นั่งอยู่ที่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้าในพระเยซูคริสต์เรียบร้อยไปแล้ว

นี่คือสิ่งที่ถ้อยคำของพระเจ้าบอก แล้วเราต้องใช้ความเชื่อตามที่พระเจ้าบอก เพราะข้างในวิญญาณเรา เราเชื่อตามนั้น แต่เมื่อถึงวันหนึ่งที่เราทิ้งร่างกายเก่านี้ ที่ยังไงมันต้องลงดิน แล้ววิญญาณเราออกจากร่าง เราไปเจอพระเจ้าหน้าต่อหน้า ไม่ต้องใช้ความเชื่อแล้ว ก็คือเห็นพระเจ้าหน้าต่อหน้าเลย  ใกล้ๆ เห็นสง่าราศีของพระเจ้า  เห็นสถานที่ที่พระเจ้าจัดเตรียมไว้ให้กับเราที่สวรรคสถาน เห็นพระเยซูคริสต์ เห็นโลกใบใหม่ในอนาคตข้างหน้า ที่พระเจ้าบอกว่าเมื่อโลกนี้สูญสลายไป จริงๆ พระเจ้าเตรียมโลกใหม่ให้กับเราเรียบร้อยไปแล้ว แค่รอเวลาเท่านั้นเอง ร่างกายใหม่ พระองค์ก็เตรียมให้กับเราเรียบร้อยแล้ว ก็รอเวลาอีกเหมือนกัน รอเราทิ้งร่างเก่านี้ไป แล้วเราก็จะได้ไปเห็นตัวเองด้วย สุดยอด ตอนเราจากโลกนี้ไป แก่มากเลย หน้าเหี่ยวย่นไม่มีความสวยงามเลย แต่ว่าเมื่อเราไปสวมร่างกายใหม่ เราจะเห็นร่างกายที่เต็มไปด้วยสง่าราศี ที่เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์ เขาเรียกว่าออร่าจับ เห็นแล้วมีพระสิริ สง่างามมาก นั่นแหละ คือวันที่พวกเรารอคอย วันนั้น ที่เราจะได้ไปเห็นตัวเอง ด้วยตาของเราเองว่าเราสุดยอดขนาดไหน? พระเจ้าเตรียมสิ่งที่เลิศขนาดไหนให้กับเรา

นี่แหละ คือความหวังใจของผู้เชื่อทุกคน ที่อยู่บนโลกใบนี้ แล้วโดยความหวังใจนี้ ทำให้พวกเราสามารถมีกำลังในการยืนหยัดกับโลกที่ชั่วร้ายนี้ ในการอดทนกับความทุกข์ยากลำบาก การข่มเหงนานาประการ ไม่ว่าจะข่มเหงจากที่เราเป็นผู้เชื่อ หรือข่มเหงจากอะไรต่างๆ เราก็สามารถอดทนได้ เพราะว่าพระเจ้า พระคัมภีร์บอกแค่แป๊บเดียวเองลูก อึดใจเดียว เดี๋ยวเราก็ละร่างนี้แล้ว เดี๋ยวเราก็ได้ไปรับชีวิตที่ครบถ้วนบริบูรณ์แล้ว

ดังนั้น ความหวังใจตรงนี้ของผู้เชื่อ ในพระคัมภีร์บอกว่าให้เราหนุนใจซึ่งกันและกันด้วยถ้อยคำเหล่านี้  เพื่อเราจะได้มีกำลังใจ  เมื่อเรามองปัญหา ไม่ใช่มอง เพื่อให้ปัญหามาโถมทับตัวเรา ทับจนตัวเราเตี้ยลงๆ ตลอดเวลา ไม่ใช่ ปัญหา เราก็สามารถผ่านไปได้ด้วยกำลัง ซึ่งมาจากพระเจ้า พระเจ้าจะพาเราผ่านไปได้ ด้วยวิธีอะไรเราไม่รู้ แต่ว่าพระองค์บอกว่าพระองค์ทรงอยู่ในเรา

อีกอันหนึ่ง ที่เป็นกำลังใจให้กับผู้เชื่อ ขณะที่ดำเนินชีวิตอยู่บนโลกที่ชั่วร้ายนี้ ก็คือพระเยซูทรงสัญญาว่าพระองค์ทรงสถิตอยู่ในเรา พระเจ้าทั้ง 3 พระภาค พระบิดา พระบุตร พระวิญญาณบริสุทธิ์ สถิตอยู่ในเรา เป็นหนึ่งเดียวกันกับเรา คอยช่วยเหลือ คอยแนะนำ คอยดูแล คอยทุกอย่างเลย พระองค์ก็จะทรงช่วยเรา แล้วส่วนที่ถ้อยคำของพระเจ้าบอกว่าพระองค์จะทรงรักษา จนถึงวันสุดท้ายของชีวิต ก็คือรักษาวิญญาณจิตของเรา เมื่อเราเริ่มเชื่อพระเจ้าแล้ว เราไม่ต้องกังวลว่า …

“ถ้าเราอยู่บนโลกใบนี้ เราไปเถลไถล หัวทิ่มหัวตำ แล้ววิญญาณเราจะรอดไหม?”

พระเยซูบอกพระองค์ทรงเป็นผู้รักษาวิญญาณจิตของพวกเรา ไปจนถึงวันสุดท้ายของชีวิต เมื่อเราต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด เราเป็นผู้ชอบธรรมแล้ว เป็นลูกของพระเจ้าแล้ว เป็นแล้วเป็นเลย คำนี้พี่น้องต้องจำให้ได้ …

“เป็นแล้วเป็นเลย   เกิดแล้วเกิดเลย  บังเกิดใหม่แล้ว  ก็บังเกิดเลย”

เกิดมาในแผ่นดินของพระเจ้า  ในครอบครัวของพระเจ้า ก็เป็นเลย  ไม่มีพฤติกรรม การกระทำใดๆ ของเราจะสามารถแยกเราจากความรักของพระเจ้าได้ ไม่มีทาง ก็คือไม่สามารถทำให้เราหลุดจากการเป็นผู้เชื่อ หรือหลุดจากการเป็นลูกของพระเจ้า เป็นทายาทของพระเยซูคริสต์ ไม่มีทาง

สิ่งเหล่าเป็นความจริงหมด ทำไมเราต้องพูดซ้ำๆ บ่อยๆ ถ้อยคำของพระองค์บอกว่าให้เราจดจ่อไปที่เบื้องบน  … เบื้องบน คือสิ่งที่พระเยซูคริสต์ทำให้เราสำเร็จแล้วบนไม้กางเขน

และสิ่งที่ดิฉันพูดมาทั้งหมด คือสิ่งที่พระเยซูคริสต์ทำให้เราเรียบร้อยไปแล้ว บนไม้กางเขน แล้วพยายามย้ำ เพื่อให้ตัวเราเอง มั่นใจว่าถ้อยคำของพระเจ้าบอกอย่างนั้น ต่อให้ความรู้สึกเรา มันไม่เห็นเหมือน มันไม่เกี่ยวกันนะ ความรู้สึกเราไม่สามารถมาสั่นคลอน ความจริงในโลกวิญญาณได้เลย ไม่มีทาง ต่อให้เรารู้สึกตอนนี้แย่ ตอนนี้เราทำสิ่งที่ไม่ดี พระเจ้าทิ้งเราไปแน่ๆ เลย แล้วคนรอบข้างก็มาชี้นิ้วว่าเราด้วย …

“นี่ เธอทำนิสัยแบบนี้นะ พระเจ้าทิ้งเธอแล้ว พระเจ้าไม่เอาเธอแล้ว”

ต่อให้มีคนมาพูดกรอกหูเราด้วย เราต้องยืนยันความจริงในถ้อยคำของพระเจ้า อย่างนี้เราเรียกว่านมัสการพระองค์ คือเอเมนกับทุกถ้อยคำที่พระเจ้าบอกกับเรา

พระเยซูบอกว่า … “เธอเป็นลูกฉันแล้ว เธอเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เป็นความเชื่อที่มันบังเกิดผลแล้ว ได้บังเกิดใหม่แล้ว”

พระวิญญาณผ่าตัดวิญญาณเราเรียบร้อยแล้ว เอาเราเข้าไปตายพร้อมกับพระเยซูคริสต์แล้ว เป็นขึ้นมาใหม่พร้อมกับพระเยซูคริสต์แล้ว ตอนนี้เราเป็นพลเมืองสวรรค์ เป็นลูกของพระเจ้าแล้ว เราไม่มีทางเป็นอื่นได้เลย เพราะว่าพระเจ้าปกป้องคุ้มครองเราจนถึงวินาทีสุดท้ายของชีวิต ลมหายใจออกจากร่าง เราก็ไปอยู่ที่เดิม … ที่เดิม ณ เวลานี้ ในโลกวิญญาณเราอยู่ในสวรรค์แล้วใช่ไหม? ลมหายใจออกจากร่าง เราก็อยู่ที่เดิม เปลี่ยนมิติเท่านั้นเอง นี่คือความจริงในโลกวิญญาณ ความจริงในถ้อยคำของพระเจ้า ที่เราต้องย้ำแล้วย้ำอีก บอกแล้วบอกอีก เพราะว่าโลกนี้มันชั่วร้าย การหลอกลวงมันมีเยอะ  กระแสที่ส่งเข้ามา พยายามสั่นคลอนความเชื่อของเราตลอดเวลา ฉะนั้น เราจำเป็นจะต้องรับรู้ความจริงในถ้อยคำของพระองค์ว่าพระเยซูคริสต์ได้ทำอะไรเรียบร้อยไปแล้ว แล้วเมื่อพระเยซูทำสำเร็จแล้ว ก็ไม่ต้องมีใครมาทำให้ตรงนี้หลุดไป ไม่มีทาง เราก็เชื่อและวางใจในสิ่งที่พระเยซูคริสต์ทำสำเร็จแล้ว

และอย่างที่บอก พระเจ้าบอกว่าพระองค์ทำสำเร็จแล้ว จากนี้ต่อไป เราก็หายเหนื่อย เป็นสุข เราไม่ต้องพยายามแบกหามการประพฤติของเรา หรือพยายามกระทำสิ่งที่ดี ด้วยกำลังของเราเอง เพื่อเราจะได้รับความรอด ไม่ต้อง เพราะว่าเรารอดแล้ว

ดังนั้น การประพฤติดีของคริสเตียนมีเหตุผลเดียว ก็คือจากธรรมชาติข้างในวิญญาณของเรา วิญญาณของเราได้บังเกิดใหม่แล้ว ความคิดจิตใจเราได้ถูกเปลี่ยนใหม่แล้ว แต่การหลอกลวงมันก็ยังทำงานอยู่ตลอดเวลา แต่ถ้าเราปล่อยเกียร์ว่างให้พระเจ้า ใช้สอยเรา ให้เป็นไปตามธรรมชาติใหม่ของเรา มันจะออกมาเอง โดยอัตโนมัติ โดยที่เราไม่ต้องพยายามฝืน ที่จะทำ เพราะว่าเราเกิดมาเป็นเหมือนพระเจ้าเลย แล้วก็จะมีความเหมือนของพระเจ้าที่จะถูกสำแดงออกมา เมื่อเราเจริญเติบโตขึ้น เมื่อเราโตเต็มที่ ผลของพระวิญญาณมันจะออกมาเอง แต่ว่าเราจำเป็นจะต้องรับรู้ความจริงว่าตอนนี้เราเป็นใครในพระเยซูคริสต์ พระเยซูได้ทำอะไรเพื่อเราเรียบร้อยไปแล้ว แค่รับรู้ความจริงตรงนี้ รับรู้ไปเรื่อยๆ เหมือนกับที่อาจารย์นครชอบยกตัวอย่าง เราเป็นลูกของคน เรารับรู้ความจริงว่า …

“ฉันเป็นคนๆ ฉันอยู่ในครอบครัวนี้ พ่อฉันเป็นแบบนี้ แล้วฉันเป็นคน”

คนเขาทำอะไรได้บ้าง คนยังเป็นทารกอยู่ ทำอะไรไม่ได้ อาจจะอึบ้าง ฉี่บ้าง อะไรก็แล้วแต่ แต่พ่อแม่ก็จะคอยเช็ด คอยอะไรให้ พอโตขึ้นระดับหนึ่ง เด็กเริ่มเรียนรู้ เวลาจะฉี่ เรียนรู้ที่จะบอกพ่อแม่ว่า …

“จะฉี่”

พ่อแม่ก็จะพาเข้าห้องน้ำ  มันจะเป็นภาพอย่างนี้ เรียนรู้จากการเป็นมนุษย์ โตขึ้น ไปโรงเรียน เรียนรู้ว่าเป็นคน พอโตหน่อย เราต้องเดินเอง ไม่ใช่ไปเกาะให้พ่อแม่อุ้มอยู่ตลอดเวลา ไม่ใช่ ถึงวัยหนึ่ง เราต้องเดินเอง เราต้องเรียนรู้ที่จะรู้ว่าเราเป็นคน เราไม่ได้เป็นเหมือนกับที่เขาพูดกันว่ามนุษย์พัฒนามาจากลิง ไม่ใช่

พระเจ้าบอกว่ามนุษย์เป็นพระฉายาของพระเจ้า มนุษย์เป็นเหมือนพระเจ้าเลย ในวันที่เขายังไม่ได้ล้มลงในความบาป  เขามี DNA ของพระเจ้าเลย เป็นวิญญาณนิรันดร์เหมือนพระเจ้า แต่เมื่อล้มลงในความบาปปุ๊บ พระเจ้าหายไป พระสิริของพระเจ้าหายไป มนุษย์เลยต้องพึ่งพาตัวเอง เกิดมาก็พึ่งพาตัวเองเลย  โดยธรรมชาติ ไม่ต้องมีใครสอน หรือไม่ต้องมีใครสอนให้ทำดีหรือทำชั่ว เด็กทุกคนเรียนรู้ที่จะสามารถทำดีทำชั่ว มันอยู่ข้างในแล้ว

เราเคยเห็นเด็กไหม พ่อแม่พยายามสอนลูก … “ลูกเอ๋ย อย่าไปตีเพื่อนนะ”

แต่ว่าสอนไปเถอะ พอเผลอเขาก็ไปตีเพื่อน บางคนก็ไปรังแกเพื่อน บางคนก็ไปแย่งของเล่นเพื่อน มันเป็น DNA บาปที่มันอยู่ข้างใน ฉะนั้น ต่อให้เราเป็นลูกพระเจ้าแล้ว ลูกหลานเราเขาจำเป็นจะต้องเปิดใจต้อนรับพระองค์ด้วยตัวเขาเอง คือกลับใจใหม่ด้วยตัวของเขาเอง บังเกิดใหม่ด้วยตัวของเขาเอง ฉะนั้น ตราบใดที่ลูกหลานของเราผู้เชื่อ เขายังไม่ได้เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เขาก็ยังอยู่ใน DNA เดิม คือ DNA บาป นี่คือความจริงในโลกวิญญาณ

ตรงนี้คือสิ่งสำคัญที่เราจำเป็นจะต้องรับรู้   อาจารย์เปาโลบอกว่าสมัยก่อน   คนที่ไม่ใช่ยิวอยู่ห่างไกลจากพระเจ้ามาก ไม่รู้จักพระเจ้าด้วย แต่พระเจ้าใส่กฎบัญญัติของพระองค์เข้ามาในใจของมนุษย์ทุกคนเลย เมื่อเขาไม่รู้จักพระเจ้า เขาอยู่ห่างไกลจากพระเจ้า แต่วันหนึ่ง เมื่อพระเยซูคริสต์ทำการงานของพระองค์สำเร็จ ข่าวประเสริฐของพระองค์ถูกประกาศออกไป แล้วผู้คนเหล่านี้ ที่ในพระคัมภีร์เรียกว่าคนต่างชาติ ที่ไม่ใช่ยิว เขาได้ยินได้ฟังเรื่องราวของพระเจ้าปุ๊บ เขาเปิดใจต้อนรับพระองค์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด จากการที่เคยอยู่ห่างไกล เป็นศัตรูกับพระเจ้า ถูกตัดขาดจากพระเจ้า ไม่ได้อยู่ในพวกเดียวกันกับพระเจ้า ไม่ได้เป็นครอบครัวของพระเจ้า ก็ได้กลับมาคืนดีกับพระเจ้า

จากที่อยู่ไกลๆ ก็ได้เข้ามาใกล้ ใกล้ขนาดไหน? ในพระคัมภีร์บอกใกล้ขนาดที่เป็นหนึ่งเดียวกัน คนที่เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด  คนนั้นเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเจ้า อาศัยอยู่ในพระเยซูคริสต์ และ ณ เวลานี้ ชีวิตที่เราดำเนินอยู่ เราอาศัยอยู่ในพระเยซูคริสต์ ไม่ว่าเราทำอะไร เราทำอยู่ในพระเยซูคริสต์ ตรงนี้ คือสิ่งที่สำคัญมาก ในโลกวิญญาณ ที่พระเจ้าจะดูในวันสุดท้าย ที่มีการพิพากษาโลก พระเจ้าก็จะดูคนๆ นั้นว่าเขาอยู่ในไหน? ถ้าคนนั้นอยู่ในพระเยซูคริสต์ ชัวร์ เขาได้รับการยกโทษบาปตั้งแต่อยู่บนโลกใบนี้แล้ว เขาเป็นพลเมืองสวรรค์เรียบร้อยแล้ว เป็นลูกของพระเจ้าเรียบร้อยแล้ว เป็นผู้ชอบธรรมของพระเจ้าเรียบร้อยแล้ว

แต่ถ้าคนนั้นอยู่ในอาดัม ก็คืออยู่คนละพวกกับพระเจ้า เป็นศัตรูกับพระเจ้า ตรงข้ามกับพระเจ้าเลย ฉะนั้น คนเหล่านี้ ถ้าไม่กลับใจใหม่ หรือเปลี่ยนขั้ว จากการอยู่ในอาดัม เข้ามาอยู่ในพระคริสต์ คือแทนที่จะพึ่งพากำลังของตัวเองในการทำดี ละชั่ว ให้มาพึ่งพาในพระเจ้า ถ้าเขาไม่ทำในขณะที่มีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ พอหลังความตาย คือหมดเวลา หมดสิทธิ์ ไม่มีทาง เปลี่ยนแปลงไม่ได้ วิญญาณเขาก็จะอยู่ที่เดิม คืออยู่ในอาดัม อยู่ในความพินาศ อยู่ในการพิพากษาของพระเจ้า  เป็นศัตรูกับพระเจ้า  อยู่คนละพวกกับพระเจ้า

นี่คือความจริงในโลกวิญญาณทั้งหมด นี่คือเหตุผลว่าทำไมพระเจ้าถึงให้เราประกาศข่าวประเสริฐของพระองค์ ข่าวดีของพระเยซูคริสต์ออกไป แล้วข่าวดีของพระเยซูคริสต์ ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับการกระทำเลย เพราะพระเจ้าบอกว่าโดยผ่านทางความเชื่อในสิ่งที่พระเยซูคริสต์กระทำบนไม้กางเขน คนไหนที่เชื่อ เขาก็จะได้รับความรอด  ก็คือไม่ได้เกี่ยวอะไรกับการกระทำของมนุษย์คนหนึ่งคนใด ไม่ว่าคนนั้นจะทำดีขนาดไหน? ถ้าเขาไม่เชื่อพระเจ้าก็จบ หรือไม่ว่าคนนั้นจะนิสัยแย่ขนาดไหน? ถ้าเขาเชื่อพระเจ้า ก็จบเหมือนกัน นึกภาพออกไหมค่ะ? ถ้าเขาเชื่อพระเจ้า คือจบในทางดี เขาเข้ามาอยู่ในสวรรค์กับพระเจ้าได้

นี่คือสิ่งที่ถ้อยคำของพระเจ้าพยายามบอกเรา พยายามสอนเรา เพื่อเราจะได้ไปประกาศให้ผู้คนได้รับรู้คนดี ดีข้างนอก พี่น้องนึกภาพออกไหม? ดีข้างนอก คือประพฤติดี กับคนที่ดีข้างใน มันจะต่างกัน ดีข้างใน คือคนที่ได้เปลี่ยน จากการอยู่ในอาดัม มาอยู่ในพระเยซูคริสต์แล้ว พออยู่ในพระเยซูคริสต์ปุ๊บ พระเจ้าบอกว่าเขาดี พระเจ้าบอกดีหมดเลย  เขาเป็นผู้บริสุทธิ์ เขาดีงาม โดยในวิญญาณเขาเป็นแบบนั้นเลย ต่อให้คนข้างนอกมองดู ไม่เห็นดีตรงไหน ยังนิสัยไม่ดีเลย ก็ไม่เกี่ยว การประพฤติไม่เกี่ยว เราจะพยายามย้ำว่าการประพฤติไม่เกี่ยวอะไรกับความรอดในพระเยซูคริสต์ ความรอดมาทางเดียวเท่านั้น คือเชื่อในสิ่งที่พระเยซูคริสต์กระทำ เพื่อเราบนไม้กางเขนเท่านั้น เท่านั้นจริงๆ …

เอเฟซัส 2:14 “เพราะพระองค์เอง ทรงเป็นสันติสุขของเรา ผู้ทรงทำให้เราสองพวก ยิวและคนต่างชาติ ผูกพันเป็นหนึ่งเดียวกัน เป็นร่างกายเดียว และทรงทำลายสิ่งกีดขวาง คือกำแพงแห่งความเกลียดชังที่กีดกั้นลง”

 

พระเยซูคริสต์ทำให้เราเป็นสันติสุข ไม่ใช่มีนะ เป็น  พอพูดถึงสันติสุข ก็ให้นึกภาพเลยว่าถ้าเป็นสันติสุขปุ๊บ เป็นพวกเดียวกันแล้ว ไม่ทะเลาะกัน อยู่ด้วยกันอย่างดี แต่ก่อนที่เรามาเชื่อพระเจ้าในวิญญาณ ในเนื้อหนังดูเหมือนเราอาจจะดีกัน สนิทสนมกัน แต่เมื่อไรก็ตามที่คนสนิทสนม 2 คน คนหนึ่งมาเชื่อพระเจ้าปุ๊บ ข้างในวิญญาณจะเป็นศัตรูกันเลย เพราะคนที่อยู่ในพระเจ้ากับอยู่ในอาดัม เข้าพวกกันไม่ได้  อาจจะในโลกวัตถุเรายังคงคบหาสมาคมอยู่ แต่ในวิญญาณ เราเป็นศัตรูกัน โดยอัตโนมัติ

พระเจ้า พระเยซูคริสต์บอกว่า … “เมื่อท่านมาเชื่อเรา ท่านจะถูกข่มเหง”

ข่มเหง ตรงนี้แหละ เป็นศัตรูในวิญญาณ คนจะไม่ชอบเรา ถามว่าไม่ชอบเพราะอะไร?  ไม่รู้ ไม่มีสาเหตุ เหมือนสมัยก่อน พอพูดถึงคริสเตียน เราไม่ชอบเลย ถามว่า …

“คริสเตียนไปทำอะไรให้?”

“เปล่า?”

“แล้วไม่ชอบเขาเพราะอะไร?”

“ไม่รู้”

ก็คือข้างในวิญญาณ เราเป็นศัตรูกัน แล้วก็ทะเลาะกันในวิญญาณด้วย เพราะว่ามันเข้ากันไม่ได้ แล้วไม่ใช่ทะเลาะกันในวิญญาณ อาจจะส่งผลออกมาเป็นการทะเลาะวิวาททางฝ่ายวัตถุด้วย  คนที่เป็นเพื่อนรักกัน คนหนึ่งไปเชื่อพระเจ้าปุ๊บ อีกคนหนึ่งเขาไม่โอเคด้วย เลิกคบกันเลย เพราะเราไปกันคนละสายแล้ว อะไรประมาณนี้ นี่เราเห็นมาเยอะแยะมากมาย

แต่ว่าสิ่งที่ในโลกวิญญาณ ที่อาจารย์เปาโลพูดถึง ก็คือทั้งสองฝ่าย ทั้งคนยิวกับคนต่างชาติ ณ วันนี้ วันที่เขาเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด เขาเป็นสันติสุขแล้ว เขาอยู่ร่วมกันได้อย่างสงบสุข แล้วก็คนที่ทำให้ทั้งสองฝ่ายเป็นหนึ่งเดียวกัน ก็คือพระเยซูคริสต์ โดยพระโลหิตของพระเยซูคริสต์ที่ทรงชำระเราให้สะอาดบริสุทธิ์ เป็นผู้ชอบธรรมของพระเจ้า ทำให้เราทั้งหมดที่เชื่อวางใจในพระเจ้า ไม่ว่าอยู่ในชนชาติไหน? ศาสนาไหนก็ตาม เมื่อก่อนเคยเชื่ออะไรก็ตามแต่ แต่เมื่อเขาเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เข้ามาเป็นขนมปังก้อนเดียวกัน เข้ามาสามัคคีธรรมกัน โดยอัตโนมัติเลย ไม่ต้องทำนะ โดยอัตโนมัติในโลกวิญญาณ เราเป็นหนึ่งเดียวกัน รักกันเลย รักกันในวิญญาณ ซึ่งคำว่ารักกันในวิญญาณ ข้างนอก ที่เราเห็นอยู่อาจจะไม่รักกันก็ได้ แต่ว่าในวิญญาณ เรารักกันแล้ว เมื่อในวิญญาณเรารักกันแล้ว เราพัฒนา พัฒนาจากตรงไหน? รับรู้ความจริงในถ้อยคำของพระเจ้า

พระเจ้าก็จะบอกเราว่า … “ลูกเอ๋ย ตอนนี้เราเป็นความรักแล้วนะ ลูกเป็นความรัก ลูกทำตัวให้สมกับการเป็นความรักหน่อย คือประพฤติให้สม”

แต่ว่าตอนที่วิญญาณเรายังเด็ก เราเป็นทารกฝ่ายวิญญาณ เรายังไม่สามารถประพฤติได้ แต่เมื่อเราโตขึ้นมากๆ เราก็เรียนรู้จักรักคนอื่นมากขึ้น แต่มันจากข้างใน ไม่ต้องพยายาม ทำด้วยกำลังของเราเอง จากข้างในวิญญาณ มันจะส่งผลออกมาเอง เหมือนพอเราโตขึ้น เด็ก 2 คนถ้ารู้จักกันตั้งแต่เด็ก อาจจะทะเลาะเบาะแว้งกันตั้งแต่เด็ก แย่งของเล่นกัน อะไรกันแล้วแต่ แต่ถ้าเขาเป็นเพื่อนกัน เขาก็ยังรักกันอยู่ แต่รักแบบเด็กๆ คือทะเลาะกันบ้าง ต่อยกันบ้าง อะไรบ้าง แต่ว่าพอเด็ก 2 คนโตขึ้น เขาก็เริ่มเรียนรู้จักพัฒนาความเจริญเติบโต เริ่มไม่แย่งของกัน อาจจะเริ่มให้ของเล่นแก่กันและกัน แบ่งกันเล่น เธอมีอะไร ฉันมีอะไร แบ่งกันเล่น แต่นั่นเป็นเพียงพฤติกรรมบนโลกใบนี้เท่านั้น ที่ให้เราเห็นว่าเด็กมีพัฒนาการนะ โตขึ้น เริ่มรู้จักเรียนรู้ที่จะเข้ากับคนอื่นได้

แต่ถ้าในโลกวิญญาณก็เหมือนกัน พระเจ้าก็ให้เราจดจ่อเรียนรู้ในพระเจ้า พระเยซูคริสต์ว่าเราเป็นอย่างไร? แล้วเมื่อเราเรียนรู้มากเท่าไร? รู้ความจริงว่าเราเป็นอะไรแล้ว จากข้างใน พระวิญญาณบริสุทธิ์จะให้เราสามารถที่จะส่งผลของความเป็นจริง ในตัวตนจริงๆ ของเราออกมาให้ผู้คนสามารถเห็นได้มากขึ้นทุกวันๆ อย่างนี้เราเรียกว่าเจริญเติบโตในโลกวิญญาณ

สิ่งเหล่านี้ทั้งหมด พระเจ้าเป็นผู้ทำ ยังคงย้ำเหมือนเดิม เราไม่ต้องพยายามทำเอง เราแค่ปล่อยเกียร์ว่าง  อนุญาตให้พระเจ้าใช้ความคิด ร่างกาย สมองของเรา อนุญาตให้พระเจ้าควบคุม แล้วพระเจ้าก็จะคอยโน้มน้าว คอยแนะนำเรา แล้วก็ให้กำลังเรา

ในพระคัมภีร์บอกว่าพระเจ้าเป็นผู้ประกอบกิจอยู่ภายในเรา ให้เราสามารถทำตามน้ำพระทัยของพระเจ้า เมื่อเราอนุญาต เรายอม ตรงนี้ขึ้นอยู่กับว่าเรายอมหรือไม่ยอม ถ้าเรายอมพระเจ้า ผลของพระวิญญาณมันจะออก ถ้าเรายอมเนื้อหนัง ผลของเนื้อหนังก็จะออก แต่ไม่ว่าเราจะยอมตามพระวิญญาณหรือเนื้อหนัง วิญญาณเรายังเป็นลูกของพระเจ้าอยู่เหมือนเดิม ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง แค่ว่าถ้าเรายอมตามเนื้อหนัง เราก็เก็บเกี่ยวสิ่งที่เป็นเนื้อหนังเท่านั้นเอง ชีวิตอยู่บนโลกก็ยากลำบากอยู่แล้ว ยังจะไปทำตัวเองให้เจ็บมากขึ้น อะไรประมาณนั้น แล้วพระเจ้าก็คอยลุ้นเราอยู่นะ จริงๆ พระเจ้าน่ารักมาก ไม่เคยบังคับเรา แค่พระเจ้าจะแนะเรา ตอนที่เราทำตามเนื้อหนัง พระเจ้าก็จะกระซิบที่ข้างหูเรา แค่ว่าวันนี้ …

“ฉันอยากจะทำตามเนื้อหนังไม่ว่าพระเจ้ากระซิบอย่างไร ฉันก็ไม่ได้ยินหรอก” อะไรประมาณนั้น

แต่พระเจ้าจะบอกเราตลอดเวลา … “ลูกเอ๋ยอย่าทำนะตรงนี้ ถ้าทำเดี๋ยวลูกเจ็บตัวนะ” เจ็บตัวบนโลกใบนี้เท่านั้น

นี่คือสิ่งที่ถ้อยคำของพระองค์บอกไว้ แล้วตอนนี้ โดยทางพระเยซูคริสต์ ก็ทำให้ผู้เชื่อทั้งคนยิวและคนต่างชาติมาเป็นกายเดียวกัน เห็นในภาพพระคัมภีร์ อาจารย์เปาโลชอบเปรียบเทียบว่าผู้เชื่อเป็นพระกายของพระเยซูคริสต์ โดยมีพระเยซูคริสต์เป็นศีรษะ พระกายประกอบด้วย … ถ้าเป็น ร่างกายของเรา ก็ประกอบด้วย ตา หู จมูก ลิ้น กาย ตับ ไต ไส้ พุง มือ ขา เท้า สะดือ คิ้ว ก็คือส่วนต่างๆ ทั้งหมด มารวมประกอบร่าง เป็นมนุษย์คนหนึ่งที่เรามองเห็น สามารถเดินได้ สามารถคิดได้ สามารถพูดได้ สามารถกินได้ สามารถที่จะไปโอบกอดคนอื่นได้ อะไรอย่างนี้ นั่นคือทุกส่วนในอวัยวะในร่างกายของเรา

แล้วพระเจ้าก็บอกว่าทุกส่วนในอวัยวะในร่างกายของเรา พระเจ้าจะเป็นผู้กำหนดเอง เราไม่ใช่ผู้เลือก พระเจ้าเตรียมแต่ละคนไว้แล้ว

“ฉันเตรียมนาย ก. ให้มาเป็นตา  เตรียมนาย ข. ให้เป็นปาก  ฉันเตรียมนาย ค. ให้เป็นหู ฉันเตรียมนาย ง. ให้เป็นมือ” อะไรแบบนี้

คือพระเจ้าเตรียมไว้แล้ว พอเตรียมปุ๊บ ทุกคนก็จะทำตามสิ่งที่พระเจ้าเตรียมไว้ ตรงนี้ถ้าคนที่ไม่เชื่อพระเจ้า เขาเรียกว่าพรสวรรค์ คือเกิดมาเป็น พอเป็นตา ลืมตา เราก็มองเห็น นึกภาพออกไหม? ตอนเด็กๆ ถ้าทารก ลืมตาเขายังไม่เห็น คือยังไม่โตพอ ไม่รู้อายุกี่เดือน เด็กจะมองเห็น เวลาพ่อแม่เล่นด้วย เขาจะกรอกตาตามไปมา ก็คือมันเป็นธรรมชาติ ที่พอเป็นตาปุ๊บ มันจะมอง เป็นหูปุ๊บ จะฟัง ไม่ใช่เป็นหู แล้วไปทำหน้าที่เป็นปาก วันดีคืนดี เราอยากให้หูทำหน้าที่เป็นปาก  เราก็ไปตักข้าวมาป้อนใส่หูใหญ่เลย ให้กินข้าว มันไม่ได้  ก็คือแต่ละส่วนของร่างกายจะทำงาน ตามความเหมาะสม ที่พระเจ้าเตรียมไว้ แล้วถ้าชิ้นส่วนไหนในร่างกายของมนุษย์รวน ก็คืองอแง ไม่ยอมทำงานตามที่ตัวเองถูกมอบหมาย ร่างกายรวน มันก็ป่วย

ถ้ากระเพาะไม่ยอมทำงาน ไม่ยอมย่อยอาหาร ร่างกายเราก็ป่วย ลำไส้ไม่ยอมลำเลียงอาหารให้ถ่ายออกมา ทานข้าวไปเดือนหนึ่งแล้ว ไม่ถ่าย นั่นแหละตาย นึกออกไหม? ก็คือทุกส่วนเขาจะทำงานตามความเหมาะสมของมัน ถ้าส่วนไหนรวนปุ๊บ แปลว่าร่างกายเราผิดปกติ พอผิดปกติ เราก็ต้องไปหาหมอ ตอนนี้หัวใจไม่ทำงาน ตอนนี้ตาเราเริ่มทำงานไม่ได้แล้ว ตาเริ่มมัวแล้ว อันนี้เป็นเพียงตัวอย่างเท่านั้น ในโลกวัตถุที่เรามองเห็น ก็คืออวัยวะทุกส่วนในร่างกาย แม้เราจะทำงานเต็มที่ ถึงวัยหนึ่ง อวัยวะต่างๆ มันก็จะเริ่มทรุดโทรมไป นี่คือเรื่องปกติ แต่ว่าในโลกฝ่ายวิญญาณ พระเจ้าเตรียมพวกเราแต่ละคนไม่เหมือนกัน แต่ทุกคน ไม่ว่าเราจะทำหน้าที่อะไรก็ตาม

อย่างทำหน้าที่เป็นนักเทศน์อยู่บนนี้ ไม่ได้เลิศหรูไปกว่าพี่น้องที่นั่งฟังถ้อยคำอยู่ข้างล่างเลย เรามีค่าเท่ากัน เท่ากันตรงที่เราเป็นลูกของพระเจ้า เท่ากันตรงที่พระเยซูมาตายแทนเราบนไม้กางเขน 1 ชีวิตต่อ 1 ชีวิต  พระเยซูไม่ได้มาตายแทนนักเทศน์ทั้งชีวิต ตายแทนผู้เชื่อขอแค่ครึ่งชีวิต ไม่มีนะ พระองค์ทุ่มสุดตัว ก็คือทุกคนมีสถานะเท่าเทียมกันเลย ในสายพระเนตรของพระเจ้า อยู่ตรงที่แค่ว่าพระเจ้าจะเตรียมแต่ละคนมาเป็นอะไร? เราก็เป็นอย่างนั้น แล้วเมื่อพระเจ้าเตรียมใครเป็นอะไร?  พระเจ้าก็จะให้ความสามารถด้วย พระเจ้าไม่ได้แค่ว่าเตรียมเธอมาทำอย่างนี้ แล้วก็ไม่ให้ความสามารถเลย แล้วเราก็ต้องไปตะเกียกตะกายทำเอง ไม่ใช่นะ พระองค์ก็เตรียมความสามารถให้กับเราด้วย แค่ว่าเรายอมให้พระเจ้าใช้ ปล่อยเกียร์ว่างเลย พระเจ้าใช้เราเมื่อไร? เอเมนเมื่อนั้น แล้วเราก็ทำตามที่พระเจ้าบอก ข้างในวิญญาณบอกเรา …

“วันนี้ให้ทำอะไร เราก็ทำ” แค่นั้นเอง นี่เป็นเรื่องที่ง่ายมาก

ฉะนั้น พระเยซูจึงบอกว่าคนที่มาหาพระเจ้า พระองค์จะให้เราหายเหนื่อย และเป็นสุข เมื่อไรก็ตามที่พี่น้องมาหาพระเจ้าแล้ว พี่น้องยังรู้สึกว่าต้องโซ๊กๆ เหนื่อยแทบขาดใจ แปลว่ามันไม่ใช่แล้ว มันไม่น่าใช่ เพราะพระเจ้าบอกว่าเมื่อเรามาหาพระองค์ พระองค์จะให้เราหายเหนื่อย เป็นสุข  หายเหนื่อยจากอะไร? จากการที่เราต้องแบกเอาความบาป ที่สมัยก่อนเรายังไม่เชื่อพระเจ้า เราต้องแบกเอาความบาปของเรา แล้วเราก็พยายามทำความดี ทำดีมากแค่ไหน? ข้างในวิญญาณเราก็ยังรู้สึก …

“ฉันยังทำไม่พอ ฉันต้องทำเพิ่มขึ้น”

แล้วมันเหนื่อยไง เหนื่อยแทบตาย ก็ไม่สำเร็จ คือไม่มีใครทำได้ แต่พอเรามาเชื่อพระเจ้าปุ๊บ พระเจ้า พระเยซูคริสต์บอกว่าความบาปทั้งหมด เราเอาไปตรึงพร้อมกับพระเยซูคริสต์แล้ว ตัวเก่าของเราตายไปแล้ว ตัวใหม่ของเรา คือธรรมชาติใหม่ที่บริสุทธิ์ สะอาด เป็นผู้ชอบธรรมเหมือนพระเจ้าแล้ว เราไม่แบกแล้ว ไม่ต้องพยายามดิ้นรน เพื่อทำอะไรก็ตามด้วยกำลังของเราเอง เพื่อให้พระเจ้ารักเรามากขึ้น เพื่อให้เราได้รับความรอด หรือเพื่ออะไรสักอย่างหนึ่ง คือเพื่อๆๆๆๆๆ ทั้งหลาย ไม่ต้องแล้ว พระเจ้าทำให้เสร็จครบถ้วนสมบูรณ์แล้ว ต่อแต่นี้ไป แค่เราปล่อยเกียร์ว่างให้พระเจ้านำเรา  ทำอะไรก็ได้ ทำนิดๆ หน่อย  ถ้าพระเจ้าใช้เรานะ แค่นิดๆ หน่อยๆ พระเจ้าก็โอเคตามนั้น

เหมือนในพระคัมภีร์ที่พระเยซูบอกว่า … “แม้คนที่เอาน้ำเย็นแก้วเดียว มาให้ผู้เล็กน้อยที่สุด ในนามของเรา ผู้นั้นจะไม่ขาดบำเหน็จ”

ก็คือเขาทำน้อยมาก แค่เอาน้ำมาให้กิน น้อยมากเลยนะ แต่พระเยซูบอกว่านั่นเขาทำตามที่พระเจ้าบอก แค่นั้นเอง พอ ไม่ต้องทำอะไรแล้ว พระเจ้าให้เขาทำแค่นั้น ฉะนั้น พอเรารับรู้ความจริงเหล่านี้ เราก็จะไม่พยายามดิ้นรน พยายามที่จะขวนขวาย พยายามที่จะต้องๆ คนก็จะมาผลักดัน …

“เธอเชื่อพระเจ้าแล้ว ทำไมเธอไม่ทำโน่น เชื่อพระเจ้าทำไมเธอไม่ทำนี่”

ทำไมๆๆๆๆ อยู่นั่นแหละ พระเจ้าบอกว่าอยู่เฉยๆ ถ้าพระเจ้าจะให้ทำ พระองค์จะทำงานข้างใน แล้วก็ดันเราออกมา ถ้าพระวิญญาณข้างในดันเราให้ทำ เราอยู่ไม่ได้หรอก ถ้าเราไม่ฝืน เราให้พระเจ้าทำงานผ่านเรา อย่างไรเราก็ต้องออกไป ทำตามน้ำพระทัยของพระองค์ นี่คือสิ่งที่เราจำเป็นจะต้องรับรู้ เพื่อเราจะได้ไม่โดนหลอก

พระเจ้าอวยพรค่ะ

 

********************

 

จากใจคณะศิษยาภิบาล

 

มัทธิว 20:1-16 TNCV “ด้วยว่าอาณาจักรสวรรค์เป็นเช่นเจ้าของสวน  ซึ่งออกไปแต่เช้าเพื่อจ้างคนมาทำงานในสวนองุ่นของตน  เมื่อเขาตกลงว่าจะจ่ายค่าจ้างวันละ หนึ่งเดนาริอัน  แล้วก็ให้พวกเขามาทำงานในสวนองุ่น ราวสามโมงเช้าเขาออกไปเห็นหลายคนยืนอยู่ว่างๆ ที่ตลาด จึงชวนว่า ‘มาทำงานในสวนองุ่นของเราสิ เราจะให้ค่าจ้างตามสมควร’ พวกเขาก็มา

ตอนเที่ยงวันและบ่ายสามโมงเจ้าของสวนออกไปทำเช่นเดิมอีก  ราวห้าโมงเย็นเขาออกไปพบคนยืนอยู่จึงถามว่า ‘ทำไมมายืนอยู่ว่างๆ ทั้งวันที่นี่?’  พวกนั้นตอบว่า ‘เพราะไม่มีใครจ้างเรา’  เขาจึงพูดว่า ‘มาทำงานที่สวนของเราสิ’

พอพลบค่ำเจ้าของสวนองุ่นก็สั่งหัวหน้าคนงานว่า ‘ไปเรียกคนงานมารับค่าจ้าง ตั้งแต่คนหลังสุดไปจนถึงคนแรกสุด’

ลูกจ้างที่มาเริ่มทำงานตอนประมาณห้าโมงเย็นรับเงินไปคนละหนึ่งเดนาริอัน   ฝ่ายคนที่มาก่อนนึกว่าตนจะได้มากกว่านั้น   แต่ก็ได้คนละหนึ่งเดนาริอันเหมือนกัน   เมื่อพวกเขารับเงินแล้วจึงบ่นต่อว่าเจ้าของสวน ‘คนมาทีหลังทำงานแค่ชั่วโมงเดียวกลับได้เท่าๆ กับเราที่ตรากตรำกรำแดดมาทั้งวัน’ แต่เจ้าของสวนตอบคนหนึ่งในพวกนั้นว่า ‘เพื่อนเอ๋ย เราไม่ได้โกงนะ ก็ตกลงกันไว้ว่าหนึ่งเดนาริอันไม่ใช่หรือ? รับค่าจ้างและไปเถิด เราพอใจจะให้คนมาทีหลังได้เท่าๆ กันกับท่าน เงินของเรา เราไม่มีสิทธิ์ใช้ตามใจชอบหรือ? หรือว่าท่านอิจฉาเพราะเห็นเราใจกว้าง?’  ดังนั้นคนสุดท้ายจะเป็นคนต้นและคนต้นจะเป็นคนสุดท้าย”

พระเยซูทรงยกอุปมาเรื่องสวนองุ่น  เพื่อชี้ให้สาวกและผู้คนที่มาฟังพระองค์  ให้รับรู้ถึงพระคุณของพระเจ้าที่จะประทานความรอดให้กับพวกเขา  ซึ่งเป็นพระคุณของพระเจ้าที่ให้เราเปล่าๆ โดยไม่เกี่ยวกับการประพฤติ แต่พวกเขาจะได้มาโดยผ่านทางความเชื่อเท่านั้น

พระเยซูยกตัวอย่างว่าอาณาจักรสวรรค์เหมือนเจ้าของสวน  ที่ออกไปหาคนมาทำงานแต่เช้า ตกลงค่าจ้าง 1  เดนาริอัน แล้วเจ้าของสวนก็ออกไปอีกได้คนมาทำงานเพิ่ม …

ตอน 3โมงเช้า

ตอนเที่ยงวัน

ตอนบ่าย 3 โมง

และตอน 5โมงเย็น

เมื่อหมดวัน เจ้าของสวนให้จ่ายค่าจ้างคนท้ายสุด จนถึงกลุ่มแรกสุด ที่มาทำงาน คนที่มาทำงาน 5 โมงเย็น ได้ค่าจ้าง 1 เดนาริอัน  ถ้าคิดตามแบบที่มนุษย์ทั่วไป   ก็ต้องคิดว่าคนมาแต่เช้า ได้ทำงานนานกว่า เยอะกว่า ควรจะได้ค่าจ้างมากกว่า  แต่กลับได้ค่าจ้างเท่ากัน  พระเยซูกำลังสื่อให้สาวกและผู้คนในขณะนั้นให้รู้ว่าเรื่องของแผ่นดินพระเจ้า  หรือเรื่องของความรอดเป็นพระคุณ  ใครเชื่อก็ได้  ไม่ว่าจะมาเชื่อนานแค่ไหน  เทียบกับคนที่เชื่อใหม่ ก็จะได้เท่ากัน

–  ได้เป็นลูกของพระเจ้าเท่ากัน

–  ได้เป็นผู้ชอบธรรมเท่ากัน

–  ได้รับการอภัยโทษบาป ชำระให้สะอาด บริสุทธิ์เท่ากัน

–  ได้ไปนั่งอยู่ที่เบื้องขวามพระหัตถ์ของพระเจ้าร่วมกับพระเยซูคริสต์เท่ากัน

–  ได้รับพระพรนานาประการในโลกวิญญาณ เดี๋ยวนี้ ทันทีเท่ากัน ไม่มีใครได้มากว่า

ใคร

ขณะที่เราอยู่บนโลกใบนี้  แต่ละคนจะได้รับมอบหมายหน้าที่ที่แตกต่างกันไป  ตามน้ำพระทัยของพระเจ้า  รางวัลที่ได้ไม่เกี่ยวกับโลกหน้า  หลังความตาย   แต่เราจะได้ในโลกนี้เลย   ถ้าเราทำทุกอย่างตามที่พระวิญญาณที่อยู่ข้างในนำเรา   เราจะเปี่ยมล้นด้วยสันติสุข   ความชื่นชมยินดีในการปรนนิบัตรรับใช้พระเจ้า

ส่วนใครจะได้รับใช้พระเจ้ามากน้อยแค่ไหน  หรือยาวนานแค่ไหนก็สุดแล้วแต่พระเจ้า เหมือนที่อาจารย์เปาโลบอก  อยู่ก็รับใช้  ตายก็ได้กำไร  โจรที่ถูกตรึงบนไม้กางเขน  ก็เหมือนคนงานที่มาทำงานตอน 5 โมงเย็น ทำแป๊บเดียวก็ได้กลับบ้านแล้ว    ดังนั้นจึงไม่มีคนต้นและคนท้าย  เพราะทุกคนเท่ากันหมด

พระเจ้าอวยพรค่ะ

 

วารสาร Holy News ฉบับที่ 1370

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  19  มิถุนายน  2022

เรื่อง “จะเข้าอาณาจักรสวรรค์ต้องชังบิดามารดา  ครอบครัวหรือแม้แต่ตนเอง จริงหรือ?”

โดย พาสเตอร์ นคร  เวชสุภาพร

 

หัวข้อการบรรยายในวันนี้ ฟังแล้วน่าตื่นเต้น หรือบางคนฟังดูแล้ว อาจรู้สึกแปลกๆ สำหรับท่านที่ยังไม่คุ้นเคยกับพระคัมภีร์ข้อนี้ ซึ่งชื่อเรื่องของวันนี้ คือ “จะเข้าอาณาจักรสวรรค์ ต้องชังบิดามารดา ครอบครัวหรือแม้แต่ตนเอง จริงหรือ?” ข้อความนี้มาจากพระคัมภีร์หนังสือลูกา 14:26 ลองอ่านกันดูนะ …

ลูกา 14:26  “ถ้าผู้ใดมาหาเรา และไม่ได้ชังบิดามารดา บุตร ภรรยา และพี่น้องชายหญิงของตน หรือแม้แต่ชีวิตของเขาเอง ผู้นั้นก็เป็นสาวกของเราไม่ได้”

 

นี่เป็นคำตรัสของพระเยซูคริสต์เอง ตอนเดินอยู่บนโลกใบนี้ พระคัมภีร์ตรงนี้เป็นอีกข้อหนึ่ง  ที่มีการเข้าใจผิดเยอะมาก เพราะบางครั้งก็ไม่รู้ และก็ได้รับการสอนมา ที่ไม่ถูกต้อง ก็เลยจำเอา สิ่งที่ผิดเข้าไป โดยเฉพาะผู้ที่เข้ามาเชื่อพระเจ้าใหม่ๆ มักจะงงกับข้อนี้มาก หรือที่ร้ายกว่านั้น ก็คือคนอื่นๆ ที่อยู่ในความเชื่ออื่นๆ เวลาเขามองมา เขาก็หยิบเอา ถ้อยคำตรงนี้ แล้วก็มากล่าวหา กล่าวเท็จ โจมตีว่าเป็นคริสเตียน สอนให้เกลียดชังพ่อแม่ สอนให้ไม่เชื่อฟังพ่อแม่ สอนให้ดื้อต่อพ่อแม่ ไม่พอ สอนให้เกลียดครอบครัวอีกต่างหาก หรือแม้กระทั่งเกลียดตัวเองด้วยซ้ำไป อะไรประมาณนั้น

เขาอาจจะพูดกันว่า … “เห็นไหม พระคัมภีร์เขียนไว้ชัดเจนเลยว่าพระเยซูเอง พูดเลยว่าถ้าจะมาหาพระองค์ต้องชัง ต้องเกลียดครอบครัว พ่อแม่ของตนเอง”

เพราะฉะนั้น ผู้เชื่อใหม่บางคน ที่อาจจะไม่เข้าใจในความหมายแท้จริงของข้อความนี้ ก็งง แล้วทำไม? ก็ไม่อธิบายต่อให้เขาฟังว่ามันหมายความว่าอะไร? ผู้ที่เข้าใจผิด ก็ให้เข้าใจผิดต่อไป อะไรประมาณนี้ อย่างที่ผมพูดเสมอว่าจะแปล หรืออ่านความหมายถ้อยคำพระเจ้าในพระคัมภีร์ ต้องดูที่บริบท ซึ่งบางครั้งในข้อพระคัมภีร์ดูเหมือนจะขัดแย้งกัน แต่ถ้าเราดูในบริบท เอาความหมายบริบท รู้ว่าในพระคัมภีร์ทั้งเล่ม ไม่มีความหมายตรงไหนที่ขัดแย้งกันเองเลยแม้แต่นิดเดียว ถ้าขัดแย้งกันเมื่อไร? แสดงว่าเราผิด พระคัมภีร์เขาถูกแล้ว

ยกตัวอย่างข้อนี้นะ บัญญัติ 10 ประการ ข้อที่ 5 บันทึกไว้อย่างนี้ อพยพ 20:12 …

อพยพ 20:12 “จงให้เกียรติบิดามารดาของเจ้า เพื่อเจ้าจะมีชีวิตยืนยาว ในดินแดนที่พระยาห์เวห์ พระเจ้าของเจ้ากำลังยกให้เจ้า”

 

นี่ก็คือพระเยซูพูด ก็คือพระเจ้าพระบิดา ตอนที่พระเยซูยังไม่ถูกส่งมา พระองค์บอกว่า …

“จงให้เกียรติบิดามารดาของเจ้า” … พูดมาหลายพันปีแล้ว นี่คือพระเจ้า

ในหนังสือมาระโก พระเยซูก็ย้ำความสำคัญของบัญญัติข้อนี้อีก คราวนี้พระเยซูมาเกิดเป็นมนุษย์แล้วพูดเองเลยนะ ว่า …

มาระโก 7:10 “โมเสสกล่าวว่า ‘จงให้เกียรติบิดามารดาของเจ้า’ และผู้ใดแช่งด่าบิดามารดาจะต้องมีโทษถึงตาย”

 

“จงให้เกียรติบิดามารดาของเจ้า” ถึงขนาดไหน? ถึงขนาด “ผู้ใดแช่งด่าบิดามารดา จะต้องมีโทษถึงตาย” นี่คือพระเจ้า นี่คือพระเยซู … หนังสือทิโมธี  มีบันทึกไว้อย่างนี้ว่า …

1 ทิโมธี 5:7-8  “7 จงสั่งสอนสิ่งเหล่านี้ด้วย เพื่อจะไม่มีใครถูกตำหนิได้ 8 ถ้าผู้ใดไม่จุนเจือญาติพี่น้องของตน โดยเฉพาะคนในครอบครัวของตนเอง ผู้นั้นก็ได้ปฏิเสธความเชื่อแล้ว และเลวยิ่งกว่าผู้ไม่เชื่อ”

 

“ผู้ใดไม่จุนเจือญาติพี่น้องของตน โดยเฉพาะคนในครอบครัวของตนเอง เลวยิ่งกว่าคนที่ไม่เชื่อพระเจ้าอีก ไม่เชื่อพระเยซูอีก”

จากภาพรวมของถ้อยคำพระเจ้าในพระคัมภีร์ จะเห็นได้ชัดเจนว่าไม่มีตรงไหนเลย ที่จะสอนให้เราเกลียดชังพ่อแม่และครอบครัวของเรา

นี่เขาเรียกวิธีการตีความข้อพระคัมภีร์ ต้องเป็นลักษณะอย่างนี้

ถ้าอย่างนั้น ถ้อยคำในลูกาที่เราอ่านไปตอนต้นที่พระเยซูตรัสว่า … “ถ้าผู้ใดมาหาเรา และไม่ได้ชังบิดามารดา บุตร ภรรยา และพี่น้องชายหญิงของตน หรือแม้แต่ชีวิตของตนเอง ผู้นั้นก็ไม่เป็นสาวกของเรา หรือผู้นั้นก็เป็นสาวกของเราไม่ได้”

หมายความว่าอย่างไร? แสดงว่ามีความหมาย วันนี้เราจะมาเรียนรู้กันว่าหมายความว่าอย่างไร? และมันตรงกับบริบท ด้วยวิธีใด และตรงกับถ้อยคำของพระเจ้าในพระคัมภีร์ทั้งเล่มอย่างไร?

อย่าลืมนะครับ การจะเข้าใจความหมายของถ้อยคำในพระคัมภีร์นั้น เราต้องเข้าใจถ้อยคำของพระเจ้าในบริบทรวมของเนื้อหา ที่เรากำลังอ่านอยู่ เคยบอกหลายครั้งแล้วนะ อ่านพระคัมภีร์เหมือนกับไปแอบอ่านหนังสือ จดหมายของคนอื่น อ่านอีเมล์ของคนอื่นเขา ไปเปิดอีเมล์ของคนอื่นอ่าน มีโอกาสที่จะเข้าใจผิดเยอะ ต้องคิดให้ดีๆ ว่าเขาเขียนถึงใคร? เขียนที่ไหน? เขียนอย่างไร? พื้นเพที่เขาเขียน มันเป็นเช่นไร?

เหตุการณ์ในหนังสือลูกา บทที่ 14 ที่เราเริ่มต้นถ้อยคำพระเจ้าในวันนี้ เป็นช่วงที่พระเยซูกำลังประกาศข่าวดี เรื่องสวรรค์ลงมาตั้งอยู่บนโลกใบนี้ ประกาศเรื่องอาณาจักรสวรรค์ เฉพาะในบริบทนี้ ที่เรากำลังอ่าน กำลังประกาศให้กับชนชั้นสูง ผู้นำชาวยิว คือพวกฟาริสี สะดูสี และธรรมาจารย์  ในงานเลี้ยงของพวกเขา ที่เชิญพระองค์ไป ที่บ้านของผู้นำฟาริสีชั้นสูงคนหนึ่ง

ท่านพอจะเห็นภาพแล้วนะ ฟาริสีชั้นสูงจัดงานเลี้ยง แล้วเชิญพระเยซูไป พระเยซูก็ไปในงานนี้ ขณะที่พระเยซูนั่งอยู่ที่โต๊ะอาหาร แล้วมองไป พระองค์เริ่มสังเกตเห็นแขกที่เข้ามาในงาน มักจะเลือกที่นั่งชั้นสูง ที่มีเกียรติ นึกภาพพระองค์ไปก่อนงานเขา ไปเร็ว เพื่อจะไปสังเกตการ มานั่งในโต๊ะอาหารก็เห็น แขกมาในงาน  แขกพวกนี้ คือชนชั้นสูง พวกฟาริสี  พวกสะดูสี พวกธรรมาจารย์ พวกที่ทำงานอยู่ใกล้ชิดพระเจ้า  พวกที่อยู่ในวิหารของพระเจ้านั่นเอง คนเหล่านี้ทำอะไรหรือ?

สมัยก่อน งานเลี้ยง คนที่นั่งอยู่ใกล้ประธานงานเลี้ยง ก็คือเจ้าของงาน คือหัวโต๊ะ ใหญ่สุด ทุกคนก็จะไปนั่งหัวโต๊ะ เพื่อจะรู้สึกว่าตัวเองแน่ ตัวเองใหญ่ นึกภาพ บางคนอาจจะถูกคนนำ …

“ขอเชิญนั่งตรงนี้”

“เราเป็นใคร มานั่งตรงนี้ได้อย่างไร? เราต้องนั่งตรงโน้นสิ”

อย่างนี้ วุ่นวายกันไปหมด

“ฉันจะนั่งตรงโน้นๆ”

พระเยซูก็เลยสอน พูดให้เขาได้เอะใจว่าไม่มีคนไหนถ่อมใจเลย คนที่เข้าอาณาจักรสวรรค์ได้ ต้องเป็นคนถ่อมใจ

“ถ่อมใจ” หมายถึงไม่ยึดมั่น ถือมั่นถึงความชอบธรรมที่ตัวเองทำได้ดีกว่าคนอื่น รักษาบทบัญญัติได้มากกว่าเขา เป็นชนชั้นสูง

พระองค์สรุปตรงนี้บอกว่าผู้ที่ถ่อมใจลง จะได้รับการยกขึ้น ส่วนผู้ที่เย่อหยิ่งจองหองจะได้รับการเหยียดลง ก็คือกดลงไป เพราะว่าเขาเชื่อมั่นในความชอบธรรมของตนเองว่าสูงกว่าคนอื่นเขา ท่านจะเห็นภาพ

แล้วพระองค์ก็เริ่มต้นประกาศข่าวดีเรื่องอาณาจักรสวรรค์ หลังจากนั้น โดยกล่าวเป็นคำอุปมา เรื่องเกี่ยวกับงาน ในลูกา 14:15 เห็นภาพนะ ในงาน ฟาริสีชั้นสูง ธรรมาจารย์ สะดูสีที่อยู่ในสภาศาสนาของยิว ซึ่งเป็นผู้มีอิทธิพลชั้นสูงมาก  แถมร่ำรวยอีกต่างหากเข้ามาในงานนี้มากมาย พระเยซูมองดู แต่ละคนเย่อหยิ่งจองหองมากเลย เสร็จแล้วพระองค์ก็เริ่มประกาศข่าวดีของพระองค์ อยู่บนโต๊ะนั้นแหละ แล้วก็พูดออกไป อย่างนี้ว่า …

ลูกา 14:15-17 “15 คนหนึ่งที่ร่วมโต๊ะเสวยได้ฟังดังนั้น ก็ทูลว่า “ความสุขมีแก่ ผู้ที่ได้ร่วมรับประทานที่งานเลี้ยง ในอาณาจักรของพระเจ้า” 16 พระเยซูตรัสตอบว่า “ชายคนหนึ่งกำลังจัดเตรียมงานเลี้ยงใหญ่ และได้เชิญแขกเหรื่อมากมาย 17 เมื่อได้เวลาเริ่มงาน จึงส่งคนรับใช้ไปแจ้งผู้ที่ได้รับเชิญว่า “เชิญมาร่วมงานเถิด เพราะบัดนี้ทุกอย่างพร้อมแล้ว”

 

พระองค์เริ่มต้นประกาศบอกว่า “ชายคนหนึ่งกำลังจัดเตรียมงานเลี้ยงใหญ่” ชายคนหนึ่ง ก็คือพระเจ้า งานเลี้ยงใหญ่ ก็คือการได้เข้าสวรรค์มาอยู่กับพระเจ้า มานั่งที่โต๊ะของพระเจ้า

“และได้เชิญแขกเหรื่อมากมาย เมื่อได้เวลาเริ่มงาน จึงส่งคนรับใช้ไปแจ้งผู้ที่ได้รับเชิญ” ตรงคำว่า “ผู้ได้รับเชิญ” ภาษาฮีบรูพูดมีกาลเวลาอยู่ในนี้ด้วย ผู้ที่ได้ถูกรับเชิญมาตั้งนานแล้ว  มันแปลว่าอย่างนั้นนะ  คือได้มีการบอกกล่าวว่า …

“ฉันจะมีการจัดงานวันที่ 31 ธันวาฯ นะ” บอกตั้งแต่มกราฯ “ฉันจะจัดงานๆ”

จนมาวันนี้  วันที่ 31 ธันวาฯ งานพร้อมแล้ว จัดเรียบร้อยแล้ว เชิญคนที่บอกตั้งแต่ต้นปีมา นั่นหมายถึงอย่างนั้น พระองค์กำลังพูดกับใคร? ย้ำอีกทีหนึ่ง นี่คือบริบท พระเยซูกำลังพูดกับชาวยิวที่เป็นชนชั้นสูง ที่อยู่ในสภา ศาสนาของยิว พวกฟาริสี พวกสะดูสี พวกธรรมาจารย์ ที่เคร่งศาสนา ทำประกอบพิธีกรรม นึกว่าอยู่ใกล้พระเจ้ามาก คนเหล่านี้ พระองค์ทรงเชิญมาตั้งนานแล้ว พระองค์ คือพระเจ้า  แล้วก็บอกว่าบัดนี้ พร้อมแล้ว สวรรค์จะมาแล้ว อะไรประมาณนั้น

พวกฟาริสี สะดูสี ธรรมาจารย์ทั้งหลาย นับว่าเป็นชนชั้นสูงในสภา ศาสนายิว ซึ่งทั้งหมดนี้ได้รับเทียบเชิญมา ตั้งแต่สมัยโมเสสแล้ว คือเขาสืบเชื้อสายกันว่าคนนี้อยู่ในสายของปุโรหิตหรือเปล่า? สายของเผ่าเลวีไหม? ถ้าเป็นสายของเผ่าเลวี จะมีสิทธิในการทำงานในวิหาร ซึ่งเป็นที่เคารพยำเกรงของประชาชนทั้งประเทศเลย เพราะว่ายิวนั้น ปกครองด้วยศาสนานำ พระเจ้านำ

ดังนั้น ผู้ที่เป็นผู้รับใช้พระเจ้า ที่เรียกว่าปุโรหิต อยู่ในตระกูลปุโรหิต จึงมีสิทธิอำนาจ มีอิทธิพล เหมือนคนเล่นการเมืองในปัจจุบัน เพราะสามารถคุมทั้งประเทศได้เลย คุมทั้งชนชาติชาวยิวได้เลย มีผลประโยชน์อยู่ในนั้นเยอะแยะมากมาย อันนี้เล่าเบื้องหลังให้ท่านฟัง

คนเหล่านี้ พระเจ้าเผยพระวจนะบอกเขามาตลอดว่ารู้ไหมที่เขารับใช้ไปเป็นแค่เงา วันหนึ่ง เราจะส่งพระบุตรของเรา พระเยซูคริสต์มา เพื่อเป็นพระมาซีฮาห์ เป็นเมสิยาห์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอดของพวกมนุษย์ทั้งหลาย รวมทั้งท่านด้วย นี่คือเทียบเชิญว่าวันหนึ่งจะส่งพระเยซูมา เพื่อเป็นประตูเข้างานเลี้ยง กินอยู่กับโต๊ะของพระองค์ในสวรรคสถาน

ซึ่งในข้อ 15 ได้บอกว่า “มีคนหนึ่งทูลว่าความสุขมีแก่ผู้ได้รับประทานอาหาร ที่งานเลี้ยงในอาณาจักรของพระเจ้า”

นี่คือข้อพระคัมภีร์ในพระคัมภีร์เดิม ซึ่งหนึ่งในจำนวนผู้นำในฟาริสี ที่นั่งโต๊ะ พูดออกมา เป๊ะเลย คนเหล่านี้ได้รับเทียบเชิญ มาโดยตลอด ให้มาร่วมงานเลี้ยงนี้ ให้มาเข้าสวรรค์อย่างนี้ ตามพันธสัญญาใหม่

พันธสัญญาเดิมบอกไว้แล้วว่าพันธสัญญาใหม่จะมาถึง และให้เชื่อฟังพระองค์ โดยผ่านทางพระบุตร คือพระเมซิยาห์นี้  และตอนนี้งานเลี้ยงพร้อมแล้ว ก็คือพระมาซีฮาห์มาที่นี่แล้ว นั่งอยู่ที่นี่แล้ว อีกไม่กี่วันก็จะถูกตรึง อีกไม่กี่วันก็จะถูกฝังไว้ในอุโมงค์ อีกไม่กี่วันก็จะเป็นขึ้นจากความตาย เปิดประตูสวรรค์ เปิดประตูงานเลี้ยงแล้ว มาเลยๆ รีบมาเลย ก็คืออีกไม่กี่วัน พร้อมแล้ว ก็คือสวรรค์ลงมาตั้งบนโลกแล้ว ประตูสวรรค์เปิดต้อนรับคนบาปแล้ว แต่ต้องผ่านทางพระเยซู พระบุตรของพระเจ้าเท่านั้น นี่คือความหมาย …

ลูกา 14:18-20 “18 แต่พวกนั้นทั้งหมดพากันขอตัว คนแรกบอกว่า “ข้าพเจ้าเพิ่งซื้อที่นา จำเป็นต้องไปดู ขออภัย ข้าพเจ้าไปงานเลี้ยงไม่ได้” 19 อีกคนหนึ่งบอกว่า “ข้าพเจ้าเพิ่งซื้อวัวมาห้าคู่ และกำลังจะไปลองดู ขออภัย ข้าพเจ้าไปงานเลี้ยงไม่ได้” 20 ยังมีอีกคนหนึ่งกล่าวว่า “ข้าพเจ้าเพิ่งแต่งงาน ดังนั้น จึงมาไม่ได้”

 

แต่พวกนั้นทั้งหมด คือพวกชนชั้นสูงของชาวยิว ที่เป็นเชื้อสายของเผ่าเลวี ปุโรหิตของพระเจ้า ที่ทำงานอยู่ที่วิหาร นึกถึงภาพนะ

แต่พวกชนชั้นสูงเหล่านี้ พากันขอตัว คนแรกบอกว่า “ข้าพเจ้าเพิ่งซื้อที่นา จำเป็นต้องไปดู ขออภัย”

เผ่าเลวี กฎระเบียบของพระเจ้าบอกว่าเขาไม่มีสิทธิ์ที่จะมีทรัพย์สมบัติ บนโลกใบนี้นะ แล้วมีที่นาได้อย่างไร? พระเยซูจึงบอกว่าคนเหล่านี้เป็นคนหน้าซื่อใจคด ปากก็พูด กฎระเบียบรู้จักหมด แต่ปฏิบัติไม่ได้เป็นไปตามกฎระเบียบหรอก มีที่นาได้อย่างไร? เพราะเดี๋ยวรู้

คนที่สองบอกว่า “ข้าพเจ้าเพิ่งซื้อวัวมา 5 คู่ กำลังจะไปลองดู ขออภัย มางานเลี้ยงไม่ได้”

เพราะเขาเหมือนกับอันแรก ตะกี้มีที่ดิน ตอนนี้ซื้อบ้าน ซื้อรถเฟอร์รารี่ ซื้อวัวสวยๆ ไปดูคอกวัว ไปทำธุรกิจอะไรต่างๆ เหล่านั้น เลวีทำได้ไหม? ปุโรหิตทำได้ไหม? ตามกฎบัญญัติเดิมไม่ได้ ไม่มีทรัพย์สมบัติอะไรเลย อยู่จากเงินสิบลดของ 11 เผ่า ที่ส่งเข้ามา ก็ผิดกฎบัญญัติ แต่ทำเป็นมองไม่เห็น ตัวเองเป็นคนทำเอง

ดูอันสุดท้าย ยิ่งชัดเลย กลุ่มที่ 3 บอกว่า “ยังมีอีกคนหนึ่งกล่าวว่า “ข้าพเจ้าเพิ่งแต่งงาน ดังนั้น จึงมาไม่ได้”

ตะกี้ 2 กลุ่มแรกเป็นพวกติดทรัพย์สมบัติ  ลาภ ยศ สรรเสริญ คนนี้เป็นคนที่เอาจริงเอาจังกับพระเจ้ามาก เคร่งครัดในบทบัญญัติมาก  เพราะการแต่งงานสมัยก่อน แต่งงานภายใน 1 ปี ออกไปไหนมาไหนไม่ได้ ต้องดูแลภรรยา สามีออกไปไหนไม่ได้เลยนะ แต่ในนี้เขาบอกว่า …

“ข้าพเจ้าเพิ่งแต่งงาน  ดังนั้น จึงมาไม่ได้”

ก็คือไปงานเลี้ยงไม่ได้ เพราะเพิ่งแต่งงาน ต้องอยู่ในกฎ รักษากฎ กฎเขาบอกว่าแต่งงานภายใน 1 ปี ออกไปงานเลี้ยงไม่ได้ ต้องอยู่กับภรรยา นี่คือกฎบัญญัติของชาวยิว คิดดูสิ แสดงว่าเขาเคร่งมาก ไปงานเลี้ยงไม่ได้ เพราะต้องรักษาบทบัญญัติ

พระเยซูยก 3 กลุ่ม ในชนชั้นสูงเหล่านี้ ที่ลืมพันธสัญญาที่พระเจ้าได้เคยให้ไว้ ตั้งแต่ในอดีตมาแล้ว ซึ่งเขาเองอยู่ใกล้มาก เขาเองเป็นผู้ถ่ายทอดบัญญัติเหล่านี้ให้กับประชาชนทั่วๆ ไป เขาเองเป็นทูตของพระเจ้า ตั้งแต่บรรพบุรุษกลุ่มของเขาแล้ว คือพวกเลวี แต่ปรากฏว่ามาเรื่อยๆ เขามัวแต่หลงอยู่กับการรักษาบทบัญญัติ อย่างเคร่งครัด จนลืมนึกถึงคนที่ให้บทบัญญัติมา คือลืมนึกถึงพระเจ้าไป แล้วหลงในลาภ ยศ สรรเสริญ และความสุขสบายบนโลกใบนี้ ที่ได้รับจากการเป็นผู้รับใช้ใกล้ชิดพระเจ้า คิดว่าตัวเองนั้นชอบธรรมมากกว่าคนอื่นๆ ที่ไม่ได้เคร่งครัดในการรักษากฎระเบียบเหมือนกับพวกเขา พวกเขารักษาได้มากกว่า เขาจึงมีอำนาจมากกว่า เขาจึงสมควรที่จะได้รับสิ่งต่างๆ เหล่านี้ เขาจึงใช้อำนาจบาตรใหญ่ของเขา ข่มเหงบรรดาผู้คน ที่เป็นประชาชนทั่วๆ ไป แทนที่จะดูแลประชาชนเหล่านั้นด้วยความรัก เพราะเขาเป็นตัวแทนของพระเจ้า เป็นทูตของพระเจ้า …

ลูกา 14:21  “คนรับใช้นั้น กลับมารายงานนาย นายก็โกรธ และสั่งคนรับใช้นั้นว่า “จงรีบไปตามถนนและตรอกซอกซอยในเมืองพาคนจน คนพิการ คนตาบอด และคนง่อยมา”

 

กลุ่มนี้ไม่มาใช่ไหม? กลุ่มนี้ คือฟาริสี สะดูสี ธรรมาจารย์ พวกตระกูลผู้รับใช้พระเจ้าทั้งหลาย  ที่อยู่ใกล้ๆ พระเจ้านั่นแหละ ไม่มาใช่ไหม?

“จงรีบไปตามถนนและตรอกซอกซอยในเมือง”

เมือง คือเยรูซาเล็ม เมื่อตะกี้นี้ ประกาศให้กับคนที่อยู่ในวิหาร ตอนนี้ให้ออกนอกวิหาร ไปหาคนที่ไม่อยู่ใกล้พระเจ้า ที่เรียกว่าคนบาป ที้ไม่ใช่ทูตของพระเจ้า ไม่ใช่ตระกูลปุโรหิตแล้ว นอกวิหาร ในเมืองเยรูซาเล็ม ในตรอกซอกซอยในเมืองเยรูซาเล็มนั่นเอง พาคนจน คนพิการ คนตาบอด คนง่อยมา คนเหล่านี้ เปรียบเทียบให้เห็นคนที่มีความด้อยในฝ่ายวิญญาณ ที่รู้สึกตัวเองแย่ในฝ่ายวิญญาณ ไม่เหมือนพวกฟาริสีเหล่านั้น รักษาบทบัญญัติได้เยอะเลย เรารักษาได้แค่นี้ นึกถึงภาพเปโตรในอดีตกับชาวยิวในอดีต ที่ไม่รู้จักพระเจ้า แบบใกล้ชิด เหมือนชนชั้นสูงหรอก

คนเหล่านี้ คือชาวยิวชั้นล่าง ที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นคนบาปหนา เป็นคนอยู่นอกพระวิหารของพระเจ้าที่บริสุทธิ์ เป็นคนที่ไม่เคร่งครัดในการรักษาบทบัญญัติของพระเจ้า อยู่ห่างไกลจากพระเจ้า ทำงานในวันสะบาโต ยกตัวอย่างให้ฟัง พวกนี้อาศัยอยู่ในซอก ในซอย ในสลัม ข้างถนน ในกรุงเยรูซาเล็ม ที่เชื่อกันว่าเป็นที่น่ารังเกียจของพระเจ้า เพราะว่าเขาอยู่ห่างวิหาร ไม่กล้าเข้าใกล้วิหารด้วย เพราะว่าเขาได้รับการรังเกียจอยู่นอกวิหาร

พระเยซูเล่าเรื่องเมื่อตะกี้นี้ เพราะฉะนั้น พวกชั้นสูงไม่มาใช่ไหม? ในนี้ไม่ได้บอกว่าไปเชิญ แต่ให้ไปบอกให้เขามา เขาไม่ได้รับเชิญ เพราะว่าเขาไม่รู้เรื่อง เขาเป็นประชาชนธรรมดา เขาไม่รู้จักพันธสัญญาอะไรต่างๆ มากมาย เขาไม่ได้อยู่ใกล้พระเจ้า ไม่ได้เป็นผู้รับใช้พระเจ้า ไม่ได้เป็นปุโรหิต รู้พันธสัญญาดี คนเหล่านี้จะไม่ค่อยรู้เรื่องอะไรเลย รู้ว่าเชื่อพระเจ้า ก็เชื่อพระเจ้า มาดูต่อว่าจะเป็นอย่างไร? …

ลูกา 14:22-23  “22 คนรับใช้ตอบว่า “นายเจ้าข้า ข้าพเจ้าได้ทำตามที่ท่านสั่งแล้ว แต่ก็ยังมีที่ว่างอีก” 23 แล้วนายจึงบอกคนรับใช้ว่า “จงไปตามถนนหนทางในชนบท และระดม (ประกาศรบเร้า เชิญชวน ขอร้อง) พวกเขามาให้เต็มบ้านของเรา”

 

สังเกตให้ดีๆ เริ่มประกาศให้กับใครก่อน คนใกล้ชิดก่อนเลย คนที่อยู่ในวิหาร พวกชนชั้นสูง ไม่เอาใช่ไหม? ไปประกาศนอกวิหาร คนที่คิดว่าถูกเขากล่าวหา ตัวเองก็คิดว่าตัวเองเป็นคนบาปหนา ไม่มีใครคบหรอก พระเจ้าก็คงไม่เอา ไปหาพวกที่ไม่ได้รับเชิญพวกนี้ ที่อยู่ในเมืองเยรูซาเล็ม … เมืองเยรูซาเล็ม คือเมืองของชาวยิว วิหาร คือหัวใจที่เรียกว่าบริสุทธิ์ที่สุดของเยรูซาเล็ม ที่ชาวยิวนับถือ นอกเยรูซาเล็มถือว่าเป็นโลกฝ่ายนอก ที่ไม่รู้จักพระเจ้า เรียกว่าไม่ใช่พวกอิสราเอล ไม่ใช่พวกยิวเลย

คนรับใช้ตอบว่า “นายเจ้าข้า ข้าพเจ้าได้ทำหมดแล้ว ได้ไปตามคนชั้นล่าง ที่เป็นชาวยิวแล้ว”

คราวนี้ พระเจ้าบอกว่าอย่างไร? ไปตามถนนหนทางในชนบท … ชนบท แปลว่าออกนอกเมือง ออกนอกเยรูซาเล็มแล้ว ก็คือชนต่างชาติแล้ว ไปหาคนต่างชาติ และระดม ประกาศ รบเร้า

คำว่า “ระดม” ตรงนี้ ภาษาเดิมหมายถึงแล้วออกไปหาคนต่างชาติ ที่ไม่ได้รับเชิญมาก่อน ตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ที่ไม่มีการ์ดรับเชิญ ที่เดินอยู่ริมถนนหนทาง ในเมืองต่างๆ เหล่านั้น ออกไปหาพวกเขาเหล่านี้ แล้วให้ไประดม คือรบเร้า เกณฑ์เลย

“มาเลยๆๆๆ”

ก็คือประกาศ เชิญชวนอย่างง่ายๆ มาเลย รบเร้า เชิญชวน ขอร้อง ตรงนี้มันแปลว่าให้ไปขอร้องให้พวกนั้นเข้ามา

พอ “ขอร้อง” แล้วนึกถึงอะไร? เปาโลพูดในหนังสือโครินทร์บอกว่า … “เราทั้งหลายเป็นทูตของพระเจ้ามาขอร้องให้ท่าน เพราะพระเจ้าขอร้องให้ท่านกลับคืนดีกับพระองค์ ขอร้องให้ท่านมางานเลี้ยงของพระองค์ พระองค์ส่งคนไปบอก ไปขอร้องให้เข้ามา”

พวกเขา คือพวกชนต่างชาติ ที่เป็นชนชาติที่ไม่ใช่ยิวมาก่อน เปรียบเสมือนคนที่ไม่เคยได้รับเชิญให้เข้ามาในงานเลี้ยงเลย  ก็คือให้พวกเขา คนรับใช้ของพระองค์ไปประกาศ

นึกถึงเวลาประกาศข่าวดีนี้ว่า  “โอ๊ย! พระเจ้าเปิดประตูสวรรค์แล้วเข้ามาเลยๆ พวกชาวต่างชาติที่ไม่รู้จักพระเจ้า”

“เข้ามาได้อย่างไร? เข้ามาๆ”

นั่นแหละมันเป็นลักษณะอย่างนั้น พระเยซูทำงานสำเร็จแล้ว พระองค์บอกว่าอย่างไร? … “จงออกไปประกาศว่างานเลี้ยงนี้เสร็จเรียบร้อยแล้ว ประกาศที่ในกรุงเยรูซาเล็ม และนอกกรุงเยรูซาเล็ม คือชนบท ในแคว้นยูเดีย สะมาเรีย ซึ่งก็คืออดีต เป็นลูกผสมยิว ไปประกาศ

(1) ให้กับชาวยิวก่อน ในเยรูซาเล็ม

(2) ให้กับแคว้นยูเดีย สะมาเรีย กับคนที่เป็นยิวผสม

(3) แล้วไปประกาศจนถึงสุดปลายแผ่นดินโลก

ไปรบเร้า เกณฑ์เขา ขอร้องให้เขาเข้ามาร่วมรับประทานอาหาร ในงานเลี้ยงนี้ ให้มาเข้าสวรรค์ พระเยซูบอกจงออกไปประกาศข่าวดี เริ่มตั้งแต่เยรูซาเล็ม แล้วไปไหน? แคว้นยูเดีย สะมาเรียและสุดปลายแผ่นดินโลก มาถึงเมืองไทยเลย …

ลูกา 14:24 “เราบอกท่านว่า “ไม่มีสักคนที่เราได้เชื้อเชิญไว้ จะได้ลิ้มรสงานเลี้ยงของเราเลย”  (ถ้าเค้าไม่กลับใจใหม่ มาวางใจในพระเยซู)”

 

ตรงนี้จริงๆ แล้วมีต่อท้ายว่า … “ถ้าเขาไม่กลับใจใหม่ มาวางใจในพระเยซู” กำลังพูดถึงใคร? ไม่มีสักคน ที่เราได้เชื้อเชิญตั้งนานมาแล้ว ก็คือพวกชนชั้นสูง พวกฟาริสี พวกสะดูสี พวกธรรมาจารย์ ที่เล่นการเมือง เข้าไปอยู่ในสภาศาสนายิว คนเหล่านี้ ถ้าเขายังเย่อหยิ่งจองหอง ยังทำเป็นคนหน้าซื่อใจคด ยังยึดมั่น ถือมั่นในความชอบธรรมที่ตนเองทำ เขาจะไม่ได้เข้างานเลี้ยง ไม่ได้เข้าแผ่นดินสวรรค์เลย ยกเว้นว่าเขากลับใจใหม่ ถ้าเขากลับใจใหม่ เลิกเย่อหยิ่ง เลิกความคิดที่ว่าตัวเองสามารถจะกระทำความดี สามารถรักษากฎได้มากกว่าคนชั้นล่าง ชาวยิวอื่นๆ ทั่วๆ ไป และมีความชอบธรรมมากกว่าคนอื่นเขา พึ่งในการกระทำของตนเอง แทนที่จะพึ่งในการกระทำของพระเยซูคริสต์ที่พระเจ้าส่งมาเป็นพระมาซีฮาห์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอด  ถ้าเขากลับใจใหม่อย่างนี้ เขาก็มีโอกาส กำลังพูดถึงอย่างนั้น ไม่ใช่ว่าไม่มีคนเข้ามาได้เลย นิโคเดมัสก็เป็นหนึ่งในจำนวนคนเหล่านั้น  ซึ่งผมก็เชื่อว่านิโคเดมัสได้รับความรอด เชื่อว่านะ เปาโลก็เป็นคนหนึ่งเหมือนกัน ถ้ายังไม่เชื่อพระเจ้า อนาคตเปาโล ก็คือ 1 ในจำนวนชนชั้นสูง อยู่ในสภาศาสนายิว กำลังสร้างตัวเองอยู่ …

ลูกา 14:25-26  “25 ฝูงชนกลุ่มใหญ่ร่วมเดินทางไปกับพระเยซู พระองค์ทรงหันมาตรัสกับพวกเขาว่า 26 “ถ้าผู้ใดมาหาเรา และไม่ได้ชังบิดามารดา บุตร ภรรยา และพี่น้องชายหญิงของตน หรือแม้แต่ชีวิตของเขาเอง  ผู้นั้นก็เป็นสาวกของเราไม่ได้”

 

ในข้อ 25-26 ให้นึกถึงภาพเมื่อตะกี้ อยู่ในงานเลี้ยง ยังพูดอยู่ที่โต๊ะเลย ตอนนี้กินงานเลี้ยงเสร็จเรียบร้อยแล้ว ลุกขึ้นออกจากบ้านมา ท่านคิดว่าใครรออยู่ชนชั้นล่าง ชนที่ไม่ใช่ชาวยิวชั้นสูง ชนยิวชั้นล่างทั้งหลาย เต็มไปหมด คนไม่สบาย คนที่อยากฟังข่าวประเสริฐมาเต็มไปหมดเลย พระองค์เดินมาก็เจอคนเหล่านี้ นึกถึงภาพ

นี่ออกนอกบ้านแล้วนะ เพราะฉะนั้น ต่อไปนี้ จะพูด ก็ไม่ได้พูดกับชนชั้นสูงแล้ว  พูดกับชาวยิวทั่วๆ ไป ชาวยิวที่เป็นชนชั้นล่าง ชาวยิวที่เจ็บป่วยเป็นง่อย พิการ ยากจน พอออกไป คนก็แห่กันเข้ามา พระองค์ก็หันกลับไปประกาศ ที่เราอ่านเมื่อสักครู่นี้ ประกาศดังลั่นเลย ประกาศว่า …

“ถ้าผู้ใดมาหาเรา แล้วไม่ได้ชังบิดามารดา บุตร ภรรยา และพี่น้องชายหญิงของตน หรือแม้แต่ชีวิตของเขาเอง ผู้นั้นก็เป็นสาวกของเราไม่ได้”

สะดุ้งกันหมดเลย  อย่างที่ผมเกริ่นไว้ตั้งแต่แรก แล้วว่าใครก็ตามที่ยังไม่เข้าใจความหมายที่จริง แล้วมาอ่านตรงนี้ ต้องตกใจทุกคนแน่นอน ในที่นี้ มีใครเคยตกใจข้อความนี้มาก่อนบ้าง? ผมเองแหละแน่นอน มาเชื่อใหม่ๆ ตกใจเหมือนกันนะ จะมาเชื่อพระเยซู เพื่อให้ได้รับความรอด ได้เข้าอาณาจักรสวรรค์ เราต้องเกลียดชังพ่อแม่ของเรา เกลียดพี่น้องของเรา และเกลียดแม้กระทั่งตัวเองอย่างนั้นหรือ? มันไม่มีเหตุผลเลยนะ

จริงๆ แล้วในบริบทนี้ พระเยซูกำลังพูดกับชาวยิวที่ส่วนใหญ่ ที่เราเห็นๆ กัน ชนชาติยิวอยู่ในครอบครัวที่เคร่งครัดศาสนามากถึงมากที่สุด เคร่งครัดในบทบัญญัติของศาสนามากถึงมากที่สุด นี่คือชาวยิว เขาถึงท้อแท้ใจไง ชาวยิวชั้นล่าง รักษากฎก็ไม่ได้เยอะ เดี๋ยวก็ต้องไปไถ่บาป เบื่อตัวเอง เพราะฉะนั้น หลังจากที่พวกเขาได้ฟังข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์ที่ได้ประกาศถึงแผ่นดินสวรรค์ ที่ได้มาตั้งอยู่นั้น เมื่อได้รับรู้ความจริงบ้างในเรื่องเกี่ยวกับสวรรค์ เกี่ยวกับอาณาจักรของพระเจ้าที่จะเข้าไปได้อย่างไร? ต้องผ่านทางพระเยซูคริสต์ แล้วคนที่ได้ฟังแล้ว ตัดสินใจที่จะเชื่อ และจะติดตามพระเยซูไป ตามที่พระเยซูบอก

คนเหล่านี้ตั้งใจจะเชื่อและจะติดตามพระเยซู พอกลางคืนกลับไปบ้าน พวกเขาจะต้องพบกับการต่อต้านแน่นอน บางคนอาจถูกพ่อแม่กีดกัน บังคับให้เลิกเชื่อ บางคนอาจถูกพี่น้องรบเร้าให้กลับไปทำตัวเหมือนเดิม …

“แกจะบ้าหรือ? ไปเชื่อใครก็ไม่รู้ พูดบอกว่าเป็นพระบุตรของพระเจ้า เราอยู่วิหารของเราดีเลิศประเสริฐศรีแล้ว ตั้งแต่อาก๋ง บรรพบุรุษโน่น เราอยู่ในตระกูลของโยเซฟ คือตระกูลปุโรหิต เราเป็นสายเดียวกันกับกษัตริย์ดาวิดนะ เพราะฉะนั้น เราเป็นผู้ที่พระเจ้าเลือกสรรเป็นพิเศษ แล้วจะไปเชื่อใคร ให้ทิ้งทุกอย่างไป อย่าไปเชื่อเลย” อะไรประมาณนั้น

บางคนอาจจะถูกกดดันจากเพื่อนฝูง จากผู้รับใช้ด้วยกัน ยกตัวอย่างเช่น นิโคเดมัสถูกกดดันแน่ๆ เลย อยากจะเรียนรู้ เชื่อและจะติดตามพระเยซูแน่ แต่ก็ยังถูกกดดันจากเพื่อนผู้รับใช้ด้วยกัน รู้ได้อย่างไร? ก็แอบมาหาพระเยซูตอนกลางคืน ตอนที่ไม่มีใครเห็น ในพระคัมภีร์เขียนว่าแอบมาหาเลยนะ ก็คือจะเชื่อและจะติดตามพระเยซูไป ตามที่พระเยซูบอก  แต่กลับไปก็เจอปัญหาเหล่านี้ ซึ่งพระเยซูกำลังบอกว่าถ้าใครจะติดตามพระองค์ไป ก็ต้องพบกับอุปสรรคการต่อต้าน และแรงกดดันอย่างนี้ ซึ่งผู้นั้นจะต้องตัดสินใจเลือกเอา ชั่งน้ำหนักเอาว่าจะยึดมั่นและเดินตามพระเยซูต่อไป จนที่พระเยซูบอกว่าจะไปตายพร้อมกับพระองค์ แบกกางเขนนั้น จนได้รับการบังเกิดใหม่ จนได้เข้าสู่สวรรค์ หรือเลือกที่จะฟังพ่อแม่ ฟังครอบครัว ฟังญาติพี่น้อง แล้วก็เลิกติดตาม พรุ่งนี้ไม่ไปแล้วพระเยซู เขาต้องตัดสินใจ

จำคำว่า “จะ” ไว้นะ เขาต้องตัดสินใจว่าจะเลือกทางไหน? ซึ่งถ้าเขาเลือกที่จะฟังพ่อแม่และเลิกตามพระเยซู เขาก็ไม่มีทางที่จะเข้าสู่อาณาจักรสวรรค์อย่างแน่นอน เพราะเลิกเชื่อพระเยซู

ซึ่งจริงๆ แล้วรากศัพท์ของคำว่า “ชัง” หรือคำว่า “เกลียด” ตรงนี้ ในภาษากรีก คือคำว่า “love less” หรือ “รักน้อยกว่า”

ยกตัวอย่างเฉลยธรรมบัญญัติ บทที่  21 ที่มีบันทึกไว้ว่าชายที่มีภรรยาสองคน และภรรยาทั้งสองคนให้กำเนิดบุตรชาย แต่บุตรหัวปี เกิดจากภรรยาที่เขาชัง เขาจะต้องให้สิทธิบุตรหัวปีแก่บุตรชายของภรรยาที่เขาชัง

ซึ่งคำว่า “ชัง” ตรงนี้ หมายถึงภรรยาที่เขารักน้อยกว่า และก็เป็นคำเดียวกันกับคำว่า “ชัง” ที่ใช้ในหนังสือลูกาที่เราได้อ่านไปเมื่อสักครู่นี้ ที่บอกว่าชังพ่อแม่ พี่น้อง ก็คือรักพ่อแม่พี่น้องน้อยกว่ารักพระเยซูนั่นเอง

เพราะฉะนั้น คำอธิบายของข้อนี้ที่บอกว่า “ถ้าผู้ใดมาหาเรา และไม่ได้ชังบิดามารดา บุตร ภรรยา และพี่น้องชายหญิงของตน ผู้นั้นก็เป็นสาวกของเราไม่ได้”

พระเยซูพูดอย่างนั้นใช่ไหม? ความหมาย คือเราจำเป็นต้องตัดสินใจที่จะเลือกข้าง และรักพระเจ้ามากกว่าทุกๆ สิ่ง

บัญญัติใหญ่ที่สุดของพระเยซู ก็คือจงรักพระเจ้าสุดจิต สุดใจของเจ้า สุดความคิดของเจ้า ไม่ว่าอะไรที่เกิดขึ้นก็ตาม ความรักของพระเจ้าต้องมาเป็นอันดับหนึ่งเสมอ ถูกไหม? คนละเรื่องกับคำว่าเกลียดพ่อแม่ ซึ่งพระเจ้าบอกจงเคารพบิดามารดา ที่เราเทียบกันไปเมื่อสักครู่นี้ ตอนต้น

มาในยุคนี้ ยุคปัจจุบันแรงต่อต้าน แรงกดดันจากครอบครัว และจากสังคมอาจจะยังไม่รุนแรงเท่ากับยุคสมัยยิว ที่ผู้นำศาสนาเป็นใหญ่ อันนั้นถูกต่อต้านแรงกว่า ในยุคปัจจุบันเราก็มี แต่เราไม่รุนแรงขนาดนั้น เราจึงอาจยังไม่ค่อยเห็นภาพเท่าไรว่าเขาถูกข่มเหง มันแรงขนาดไหนในยุคนั้น ยุคที่พระเยซูกำลังสอนอยู่นี้

ในสมัยนั้น การจะเชื่อและติดตามพระเยซู พวกเขาจำเป็นต้องเลือกข้าง  และเลือกที่จะรักพระเจ้ามากกว่าทุกสิ่ง เขาจำเป็น เขาต้องเลือกอะไร? ชีวิตทั้งชีวิตเขาอยู่ในศาสนายิวมาตลอด อยู่ในสังคมยิวมาตลอด ไม่ได้คบหาสมาคมกับคนต่างชาติอะไรเลย อยู่ดีๆ มาบอกว่าเราต้องออกจากชนชาตินี้แน่ๆ ถ้าเผื่อมาเชื่อพระเยซู ก็ตกใจ เป็นความกดดันที่รุนแรงมาก ซึ่งปัจจุบันนี้ ก็มีอย่างนี้อยู่เหมือนกัน  แต่มันไม่มากถึงขนาดนั้น

ยกตัวอย่างตอนที่ผมเชื่อ ก็เหมือนกัน ก็ไม่รู้ว่าตอนนั้นติดตามพระเยซู จะเชื่อหรือติดตามไปแล้ว เกิดใหม่แล้ว ก็ไม่รู้นะ แต่ที่รู้ๆ ว่าตอนเริ่มต้น เรียนรู้เรื่องจากพระเยซู พอคุณแม่รู้เขา ก็บอก …

“จะไปทำไม ศาสนาเราก็ดีอยู่แล้ว ไปเชื่อใครก็ไม่รู้ ไปติดตามฝรั่งอะไรต่างๆ”

อย่างนี้เป็นต้น ก็มีอยู่ ผมก็ต้องเลือกเอาว่าจะติดตามพระเยซูต่อไป หรือจะเชื่อแม่ดีกว่า ปรากฏว่าเชื่อพระเยซู ติดตามพระเยซูไปจนกระทั่ง เกิดใหม่ เกิดใหม่ตอนนั้น หรือเกิดใหม่ทีหลังก็ไม่รู้นะ นี่ยกตัวอย่างให้ฟัง

หลายคนในที่นี้ ก็มีประสบการณ์อย่างนี้แหละ เป็นเรื่องธรรมดาของผู้ที่รักเรา และอยู่เคียงข้างเรา อยู่ข้างๆ เรา ไม่ว่าจะภรรยา สามี ลูกหรือพ่อแม่ก็ตาม เมื่อเขาได้ยินข่าวประเสริฐ เขายังไม่เข้าใจข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์ เขาก็มีความคิดอีกอย่างหนึ่ง ด้วยความรัก ความห่วงใยของเขา เขาจึงห้ามเราไง ถึงมาบอกเราอย่างนั้น เราต้องเข้าใจในสิ่งเหล่านี้ เพราะเราเชื่อพระเจ้าแล้ว และเราเคารพ เชื่อฟังในบิดามารดา  รักและให้เกียรติกับท่าน เพราะรักและให้เกียรติแหละ ถึงทำอย่างนี้

ในข้อที่ 26 นี้ยังบอกอีกว่า … “จะเป็นสาวกและติดตามพระเยซู นอกจากจะชังพ่อแม่ ชังครอบครัวแล้ว ยังต้องชังแม้แต่ชีวิตของตัวเองอีกด้วย”

แปลว่าอะไร? คำว่า “ชีวิตของตัวเอง” หมายถึงเมื่อเรามาเชื่อพระเจ้า เชื่อพระเยซูแล้ว เราก็ได้รับการบังเกิดใหม่ ได้รับชีวิตนิรันดร์ใหม่เอี่ยม อยู่ในพระเยซูคริสต์ เพราะฉะนั้น การชังชีวิตของตัวเอง ก็หมายถึงที่ตะกี้เราบอกว่าให้รักชีวิตเดิมน้อยกว่าชีวิตใหม่ในพระเยซูคริสต์นั่นเอง พูดง่ายๆ ว่าให้เรามองเห็นว่าใครดีกว่า ชีวิตเดิมที่เราพึ่งพาตนเอง ทุกข์ทรมาน จากความบาป จากความพยายามทำสิ่งที่ดีที่สุด แต่ไม่มีความหวังในชีวิตหลังความตายเลย กับชีวิตใหม่ ที่บังเกิดใหม่โดยพระเยซูคริสต์ ได้เข้ามาอยู่ในงานเลี้ยง อยู่ในสวรรค์กับพระเจ้าเรียบร้อยแล้ว ขณะที่ดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้เลย อันไหนน่าสนใจมากกว่ากัน

ชีวิตเดิม ก็คือชีวิตที่อยู่ในอาดัม ชีวิตที่อยู่กับการพึ่งพาในการกระทำของตัวเอง ยึดมั่นในความชอบธรรม ที่ตนเองกระทำขึ้น ชีวิตที่ยึดติดกระแส ระบบของโลกใบนี้ โลกที่ต่อต้านพระเจ้า โลกที่ไม่รู้จักพระเจ้า นี่คือชีวิตเดิม

ชีวิตใหม่ ก็คือชีวิตที่อยู่ในพระเยซูคริสต์ ชีวิตที่ผูกอยู่กับการพึ่งในการกระทำของพระเยซูคริสต์เพียงอย่างเดียว ชีวิตที่มองไปที่เบื้องบน คือสวรรคสถาน ซึ่งพระเจ้าสถิตอยู่และเราก็ได้อยู่ที่นั่นร่วมกับพระองค์แล้วเดี๋ยวนี้ ขณะที่มีลมหายใจอยู่บนโลกใบนี้เลย และเราจะอยู่อย่างนั้น เมื่อออกจากร่างไป ก็จะได้รับร่างใหม่  และจะอยู่ในสวรรค์อย่างนี้ ตลอดชั่วนิรันดร์ พระเยซูกำลังบอกให้เราเลือก คือให้เราเลือกรักอะไร? ชีวิตใหม่ในพระเยซูคริสต์มากกว่าชีวิตเดิม  ที่เราเคยเป็นคนบาปนั่นเอง …

ลูกา 14:27  “และผู้ใดที่ไม่ได้อดทน และแบกกางเขนของตน และตามเรามา ก็เป็นสาวกของเราไม่ได้”

 

“และผู้ใดที่ไม่ได้อดทน” ตรงนี้มันมีคำว่า “และ” ด้วยนะ มันต้องแยกกัน “และผู้ใดที่ไม่ได้อดทน และแบกกางเขนของตน และตามเรามา ก็เป็นสาวกของเราไม่ได้”

คำว่า “อดทน” ตรงนี้ หมายถึงสิ่งที่เราต้องเผชิญ หลังจากที่ตัดสินใจจะเชื่อ จะติดตามพระเยซูคริสต์  เพื่อไปบังเกิดใหม่ในสวรรค์ พอเราจะติดตาม เราเริ่มศึกษาความรู้ในเรื่องของพระเยซูคริสต์ เป็นเรื่องข่าวดีของพระเยซูคริสต์ปุ๊บ จะมีการต่อต้าน จะมีการรบเร้า จากผู้คนที่เรารักอยู่รอบข้าง

ก็อย่าลืมนะ อย่างที่เราบอก เราต้องเรียนรู้จักบริบท ในบริบทนี้ พระเยซูกำลังพูดกับชาวยิว ที่อยู่ในสังคมเคร่งครัดศาสนา หลังจากที่เขาตัดสินใจเชื่อพระเยซูและหันหลังให้กับโลก กับชีวิตแบบเดิมๆ ในการรักษาบัญญัติของโมเสส เหมือนบรรพบุรุษ เมื่อเขาหันหลังให้กับความเชื่อเดิม หันหลังให้กับพิธีกรรมทางศาสนา ที่เคยฆ่าสัตว์แล้วเอาเลือดไปไถ่บาปให้ตัวเอง ชำระบาป ที่เขาทำมาตลอดชีวิตของเขา และบรรพบุรุษของเขาก็ทำมาตลอด เขาก็จะต้องเจอกับการถูกดูหมิ่น ดูแคลน ถูกหัวเราะเยาะเย้ย การถูกกีดกันจากสังคม การถูกอัปเปหิออกไป ถูกกำจัดสิทธิต่างๆ ในฐานะเป็นคนยิว ทั้งลาภ ยศ สรรเสริญต้องหายไปหมดเลย เขาต้องเผชิญกับสิ่งเหล่านี้ ถ้าเขาจะตามพระเยซูไป แรงต่อต้านอย่างนี้ มันจะสูงมาก  เขาจะต้องอดทนกับสิ่งเหล่านี้ นี่คือความอดทน ที่ตะกี้บอก เขาต้องอดทน และแบกกางเขนของตน และอดทนแค่นี้ไม่พอ แบกกางเขนของตน ก็คือแบกความบาป และคำสาปแช่ง รู้ว่าตัวเองเป็นคนบาป สำนึกว่าตัวเองเป็นคนบาป จะแบกไป เพราะว่าไปหาพระเจ้า เพื่อจะชำระบาปให้กับเรา เขาต้องแบกเอาความเกลียดชัง ชีวิตเดิมของตัวเอง เหมือนที่เปาโลพูดในโรม บทที่ 7 ที่บอกว่า …

“โอ้! ข้าพเจ้าน่าสมเพสอะไรเช่นนั้น”

หมายถึงก่อนที่จะเชื่อพระเจ้า … “สิ่งที่ข้าพเจ้าอยากทำ ข้าพเจ้าก็ไม่ได้ทำ สิ่งที่ข้าพเจ้าไม่อยากทำ ข้าพเจ้าก็ทำอยู่ ข้าพเจ้าอยากรักษากฎบัญญัติตามที่เขาพูดกันว่าดี ตามที่ฟาริสี ตามที่ปุโรหิตพูดมา แนะนำมาดีแล้ว ข้าพเจ้าอยากจะทำตามบทบัญญัติของโมเสสเหล่านั้น แต่ข้าพเจ้าทำไม่ได้ ข้าพเจ้าไม่อยากโกรธ ข้าพเจ้าก็โกรธ พระคัมภีร์บอกอย่าโกรธ เราก็โกรธ ข้าพเจ้าเกลียดตัวเองจริงๆ เลย”

นั่นแหละ อยู่ในกางเขนนี้ คนที่แบกกางเขนเหล่านี้ ก็คือคนที่รู้ตัวว่าตัวเอง เป็นคนบาป รู้ว่าตัวเองช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ จึงจะมาหาพระเยซูไง เพราะฉะนั้น คนเหล่านี้ต้องรู้ว่าตัวเองเป็นคนบาป และต้องอดทนต่อเบี้ยใบ้รายทาง คนที่รักทั้งนั้น ที่หวังดีทั้งนั้น แต่เป็นความหวังดี ที่โลกไม่ต้องการ  เพราะเราเห็นแล้วว่าสิ่งไหนที่ดีกว่า

สิ่งทั้งหลายทั้งปวงเหล่านี้ ก็คือค่าใช้จ่าย หรือต้นทุนในการที่จะตัดสินใจ ที่จะเดินตามพระเยซูคริสต์ต่อไป จนกระทั่งสำเร็จ เป็นต้นทุนที่เราต้องเสี่ยง ต้องละ ต้องยอม ถ้าเห็นว่าทางพระเยซูคริสต์ดีกว่า ซึ่งเมื่อนำมาคำนวณกับสิ่งตอบแทนที่จะได้รับ คือการได้บังเกิดใหม่ การได้เป็นลูกของพระเจ้า การได้รับความรอดนิรันดร์ ได้เข้าไปอยู่ในอาณาจักรสวรรค์ของพระเจ้าทันที ต้องนับว่าเป็นการลงทุน ที่คุ้มค่ามากๆ เลย ถูกไหม? พระเยซูกำลังบอกว่ามันมีการลงทุนจ่ายตรงนี้ไป แต่ได้สิ่งเหล่านี้มา

และพระองค์จึงยกตัวอย่างในข้อที่ 28-32 ยกตัวอย่างว่าต้องคำนวณ ต้องมีการลงทุน แต่กำไรดีกว่าเยอะ  คิดให้ดีๆ ลองดูสิว่าพระองค์ให้คำนวณคิดอะไร? …

ลูกา 14:28-32 “28 สมมุติว่าใครในพวกท่านต้องการสร้างหอคอย เขาจะไม่นั่งลงประมาณค่าใช้จ่ายก่อนหรือว่ามีเงินพอจะสร้างให้เสร็จหรือไม่ 29 เพราะถ้าเขาวางฐานรากแล้ว ไม่อาจสร้างให้เสร็จ ทุกคนที่เห็นจะเยาะเย้ยเขาว่า 30 ‘คนนี้เริ่มก่อสร้าง แต่ไม่สามารถทำให้สำเร็จ” 31 หรือสมมุติว่ากษัตริย์องค์หนึ่งกำลังจะทำสงครามกับกษัตริย์อีกองค์หนึ่ง พระองค์จะไม่ทรงนั่งลง คิดดูก่อนหรือ ว่าตนมีกำลังหนึ่งหมื่นคน จะสู้กับอีกฝ่าย ซึ่งมีสองหมื่นคนได้หรือไม่ 32 หากสู้ไม่ได้ จะได้ส่งทูตไปเจรจา ขอสงบศึก ตั้งแต่อีกฝ่ายยังอยู่แต่ไกล”

 

“ในทำนองเดียวกัน” ก็คือให้ไปคิดอย่างนี้เหมือนกัน ก็คือคำนวณผลที่ได้กับผลเสียที่ต้องเสียว่ามันคุ้มกันไหม? ถ้าคนที่ฟังพระเยซูและเริ่มตามพระเยซูจริงๆ เริ่มเชื่อในถ้อยคำเหล่านั้นจริงๆ ก็จะติดตามพระองค์ต่อไป เพราะว่าพระองค์บอกว่า …

“เข้าสวรรค์ได้เลย ยกบาปให้เลย ใครจะเข้าหาพระบิดาได้ จะต้องผ่านทางเรา”

เขาก็จะดูสิ่งเหล่านี้  และคำนวณถึงสิ่งที่เขาจะสูญเสียไป จากการเป็นชาวยิวที่มาเชื่อพระเจ้า สูญเสียประโยชน์หลายๆ อย่าง ถูกเอาเปรียบหลายๆ อย่าง แต่เขาเห็นว่าคุ้ม เขาตัดสินใจเดินตามพระเยซูต่อไป …

ลูกา 14:33 “ในทำนองเดียวกัน ไม่ว่าใครในพวกท่าน ที่ไม่ได้สละทุกสิ่งที่ตนมี เขาก็เป็นสาวกของเราไม่ได้”

 

เห็นไหมครับ? “ในทำนองเดียวกัน” ตามที่ยกตัวอย่างมาในข้อ 28-32 ให้คำนวณให้ดีๆ ว่าผลได้ผลเสียเป็นอย่างไร? คุ้มกันไหม?

“ในทำนองเดียวกัน คือไม่มีใครในพวกท่านที่จะมาหาพระเจ้า ก็คือที่ไม่ได้สละทุกสิ่งที่ตนมี เขาก็เป็นสาวกของเราไม่ได้” ก็คือถ้าจะเข้าสวรรค์ได้ ก็ต้องสละทุกสิ่งที่ตนมี หมายถึงอะไรตรงนี้?  หลายคนก็ยังเข้าใจผิด สละทุกสิ่งที่ตนมี หมายถึงการลงทุน ต้องแลกด้วยอะไรบางอย่าง  ถึงจะได้อะไรบางอย่าง เหมือนที่พระเยซูบอกไว้

เรื่องอาณาจักรสวรรค์ ชายคนหนึ่งออกไปทำการค้าขาย หลายประเทศเลย ไปเจอไข่มุกเม็ดงาม ซึ่งหมายถึงสวรรค์ พอรู้ว่าเป็นไข่มุกเม็ดงาม เม็ดเดียวนะ เขากลับมาที่บ้านเขา ขายหมดทุกอย่าง กิจการทุกสิ่ง ขายหมดเลย เพื่อจะเอาไปซื้อไข่มุกเม็ดนี้ นี่เหมือนกันลักษณะอย่างนั้น คำว่า “สละทุกสิ่ง” หมายถึงการมองข้าม การรักทุกสิ่งเหล่านี้น้อยกว่าการรักพระเยซูคริสต์ การรักที่จะอยู่ในสวรรค์กับพระองค์ การจะติดตามพระองค์ต่อไป มองข้ามทรัพย์สมบัติ ลาภ ยศ สรรเสริญ และทิ้งสมบัติที่เป็นทรัพย์ ที่อยู่ในใจด้วย ตรงนี้สำคัญกว่า

ทรัพย์ที่อยู่ในใจ คือความเย่อหยิ่ง ความทะนงตน ความมั่นคง มั่นใจในความดี ที่ตนเองได้ทำความชอบธรรม ที่ตนเองได้สะสมการกระทำดีต่างๆ เหล่านั้นอย่างมากมายมาโดยตลอด โดยหวังจะพึ่งการกระทำดีของตนเองนี้ เพื่อจะได้ไปสวรรค์หลังความตาย เพราะว่าเป็นที่พอพระทัยพระเจ้า

“เพราะว่าฉันรักษาบทบัญญัติได้มากกว่า มากกว่าคนบาปเหล่านั้นที่อยู่นอกวิหาร ที่ตีอกชกหัวตัวเอง บอกว่า ‘ฉันเป็นคนบาปๆ’”

แต่คนที่อยู่ในพระวิหาร พวกฟาริสีเหล่านี้บอกว่า … “ฉันชอบธรรม ฉันสมควรไปอยู่ในสวรรค์”

ที่พระเยซูยกตัวอย่างให้ฟัง

คนเหล่านี้ต้องสละทุกสิ่ง มองข้ามสิ่งเหล่านั้นทั้งหมด ที่เป็นลาภ ยศ สรรเสริญทั้งหมดบนโลกใบนี้ และหันมาสนใจในทรัพย์สมบัติในสวรรค์มากกว่า จงสั่งสมทรัพย์ไว้ในสวรรค์ มันแปลว่าอย่างนี้ สั่งสมทรัพย์ไว้ในสวรรค์ ไม่ใช่เอาเงินมาถวายโบสถ์ แล้วบอกว่าสั่งสมไว้ในสวรรค์ ไม่ใช่ อย่างนั้น

สั่งสมทรัพย์ในสวรรค์ ตรงนี้หมายถึงจะติดตามพระเยซูคริสต์ไปถึงที่สุด ไม่ว่าเรื่องนี้จะทำให้เราต้องสูญเสียอะไรก็ตาม สูญเสียสิทธิ สูญเสียฐานะในสังคม หรือสูญเสียความสัมพันธ์ที่มีต่อผู้คนที่เรารัก ในตำแหน่งต่างๆ เพราะเราเห็นแก่พระเยซู รักพระเยซูมากกว่า รักที่จะพึ่งพาการกระทำของพระเยซูมากกว่าพึ่งพาทรัพย์สมบัติเหล่านั้น พึ่งพาการกระทำของตนเองเหล่านั้น พึ่งพาความชอบธรรมของตนเอง รักที่จะเป็นผู้ชอบธรรม  ผ่านทางพระเยซูคริสต์กระทำให้ มากกว่าที่จะรักการพึ่งพาความชอบธรรมของตนเอง ที่ตนเองสั่งสมความดีต่างๆ เหล่านั้น ซึ่งมันทำไม่ได้หมด ครบถ้วนบริบูรณ์ตามที่พระเยซูบอกแล้ว มันเป็นไปไม่ได้ ที่จะทำครบถ้วนบริบูรณ์ดีพร้อมเหมือนพระเจ้า มันเป็นไปไม่ได้ เลิกทำซะ หันมาพึ่งพระองค์ดีกว่า

เพราะฉะนั้น สรุปแล้ว สำหรับผู้ที่ยังไม่เชื่อ ยังไม่ได้เป็นคริสเตียน ยังไม่ได้บังเกิดใหม่ นี่เป็นความหมายของผู้ที่ยังไม่ได้บังเกิดใหม่ ที่เราอ่านไปทั้งหมดนี้ ในข้อพระคัมภีร์ลูกา บทที่ 14 นี้ พูดกับชาวยิวที่ยังไม่ได้เชื่อพระเจ้า ยังไม่ได้บังเกิดใหม่ ยังไม่ได้เป็นลูกของพระเจ้า ยังไม่ได้เข้ามาอยู่ในสวรรค์เลย แต่กำลังได้รับการประกาศ และให้เขาตัดสินใจที่จะเดินตามพระเยซูไปที่ไม้กางเขน เพื่อจะได้เป็นลูกของพระเจ้า ได้เกิดใหม่เข้าสวรรค์ ตรงที่ไม้กางเขนนั่นแหละ

พระเยซูบอก … “จงแบกกางเขนและตามเรามา”

แบกความบาป คำสาปแช่งของท่าน แล้วตามเรามา ตามเราไปที่ไหน?  ตามเราไปที่นอกเมืองกรุงเยรูซาเล็ม ที่ท่านบอกว่าสกปรกนั่นแหละ นอกวิหารของพระเจ้า ในกรุงเยรูซาเล็ม ออกมาข้างนอก ไปไหน? เดินตามเรามา พระเยซูไปไหน? เดินออกนอกกรุงเยรูซาเล็ม แบกกางเขนของตนเอง ตามพระเยซู แบกกางเขนของตนเอง ถูกบังคับให้แบกบาปของพวกเราทั้งหลาย แบกไปที่ไหน? ออกนอกกรุงเยรูซาเล็ม ไปที่หุบเขาโกละโกธา หุบเขาหัวกะโหลก หุบเขาแห่งความสกปรกโสโครกทั้งหลาย มลทิน ซากศพทั้งหลายไปฝากไว้ เหม็นหึ่งเลย แต่พระองค์ทรงไปตายที่ไม้กางเขนที่นั่น และบอกให้เรา ที่จะติดตามพระองค์ แบกกางเขนของเรา เดินตามพระองค์ไป แล้วทำอะไร? เพื่อว่าเมื่อถึงที่ไม้กางเขนเมื่อไร? ถึงที่โกละโกธาเมื่อไร? เราก็จะถูกตรึงพร้อมกับพระองค์นั่นแหละ โดยฤทธิ์เดชอำนาจ จากพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า ติดตามไปถึงไม้กางเขนเมื่อไร พระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า ก็จะผ่าตัดวิญญาณของเรา เรียกว่าบัพติศมาเรา นำวิญญาณของเราเข้าไปเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเยซูคริสต์ ที่ตายที่ไม้กางเขน เราทั้งหลายก็จะตายร่วมกับพระเยซูที่ไม้กางเขน โดยการบัพติศมาเข้าเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์ ชีวิตเก่าของเราที่เป็นคนบาป เป็นคนแย่ เป็นคนอยู่ในอาดัม ก็ตายไปเลย ตายพร้อมพระเยซูคริสต์ที่ไม้กางเขน แล้วก็ถูกฝังไว้ในอุโมงค์ ก็อยู่ในพระเยซูคริสต์เหมือนกัน ถูกฝังในอุโมงค์ร่วมกับพระเยซูคริสต์ แล้ววันที่ 3 เป็นขึ้นจากความตาย เราทั้งหลายที่อยู่ในพระเยซูคริสต์ได้เป็นขึ้นจากความตายด้วย ได้บังเกิดใหม่เข้าสู่สวรรค์ เป็นลูกของพระเจ้า นั่งอยู่ในสวรรคสถานทันทีเรียบร้อยแล้ว

นี่คือสำหรับคนที่ยังไม่เชื่อ พระเยซูได้ประกาศข่าวดีให้กับพวกเขาตั้งแต่สมัยโน้น คือให้ท่านที่ยังไม่เชื่อ ที่เป็นชาวยิว นี่พูดถึงชาวยิวก่อนนะว่าถ้ารับรู้อย่างนี้แล้ว พระองค์ประกาศว่าดังนั้น จงแบกกางเขนของตน แล้วตามพระเยซูไปที่โกละโกธา แล้วรับบัพติศมาในพระเยซูคริสต์บนกางเขนนั่นแหละ

บัพติศมา แปลว่าร่วมเป็นหนึ่งเดียวกัน

นี่พระเยซูกำลังประกาศอย่างนี้ ประกาศให้กับคนที่ยังไม่เชื่อ

เพราะฉะนั้น ข้อความทั้งหมดนี้ เป็นข้อความที่พูดถึงคนที่ยังไม่เชื่อ ประกาศข่าวประเสริฐให้กับคนที่ยังไม่เชื่อ

สำหรับคนที่เป็นคริสเตียนแล้ว ในยุคปัจจุบัน หรือหลังจากเหตุการณ์นี้ หลังจากที่พระเยซูตายที่ไม้กางเขนแล้ว และเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่ 3 แล้ว คนที่รับเชื่อแล้ว เป็นคริสเตียนแล้ว เชื่อแล้ว ก็เท่ากับว่าเขาได้แบกกางเขนของตัวเอง และก็เดินตามพระองค์ไปที่ไม้กางเขน แล้วก็บัพติศมา ถูกตรึงพร้อมกับพระองค์ที่ไม้กางเขนนั้นเรียบร้อยไปแล้ว ข้อความเหล่านี้ จึงไม่ได้เป็นข้อความของเขาอีกต่อไป แต่เป็นอดีตของเขา พอเข้าใจไหมครับ? ไม่สามารถจะเอาตรงนี้ มาใช้กับคนที่เชื่อพระเจ้าได้

ยกตัวอย่างเช่น มีคนบอกเอาตรงนี้มาใช้กับคนที่เป็นคริสเตียน เชื่อพระเจ้าแล้ว คุณเชื่อพระเจ้าแล้ว คุณยังต้องแบกกางเขนของคุณอีก แบกทำไมล่ะ ก็มันจบไปแล้ว แบกกางเขน คือความบาปและคำสาปแช่ง  … ความบาปและคำสาปแช่ง พระเยซูเอาไปหมดแล้ว  ด้วยการสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน และเราก็ตายร่วมกับพระองค์ ตัวเก่าที่เราแบกอยู่นั้น มันตายไปแล้ว ไม่ต้องแบกแล้ว เราเกิดใหม่ เป็นลูกของพระเจ้า น่าจะชื่นชมยินดี ในชีวิตใหม่ของเรา ที่ทั้งวิญญาณ ร่างกาย และความคิดจิตใจได้ถูกสร้างใหม่  2 โครินธ์ 5:17  ทุกสิ่งทุกอย่างใหม่เอี่ยมเลย จงชื่นชมยินดีเถิด จงขอบคุณพระเจ้าทุกกรณี ขอบคุณพระเจ้าตลอดเวลา จงปิติยินดีในพระเยซูคริสต์ เพราะท่านได้บังเกิดใหม่แล้ว แล้ว แล้ว แล้ว รอรับแค่ร่างกายใหม่ เมื่อวันที่ท่านจากโลกนี้ไป รอรับร่างกายใหม่เท่านั้นเอง ท่านควรจะชื่นชมยินดี ไม่ใช่แบกกางเขน แล้วตามพระองค์อีก เอเมนไหม? นึกภาพออกใช่ไหม?

เพราะฉะนั้น นี่คือสิ่งที่พระเยซูต้องการให้กับคนยิวที่ยังไม่รู้จักพระเจ้า ที่ยังไม่มีโอกาสได้ฟังข่าวประเสริฐของพระองค์ ได้ยินได้ฟังทั้งชนชั้นสูงและชนชั้นล่างทั่วๆ ไป ไม่ใช่สำหรับคนที่เชื่อแล้ว คนที่เชื่อแล้วต้องชื่นชมยินดีในตัวตนใหม่ของตัวเอง ที่ได้บังเกิดใหม่ในพระเยซูคริสต์ เพราะเป็นลูกพระเจ้า เหมือนพระองค์เป๊ะเลย น่ารัก นี่พระคัมภีร์บอกไว้อย่างนั้น

เพราะฉะนั้น ก็อยากจะบอกคนที่ยังไม่ได้เชื่อว่าให้ท่านตัดสินใจติดตามพระเยซูไป ตามไปวันนี้เลย ตามไปจนกว่าท่านจะได้บังเกิดใหม่ จนกว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์จะเข้าไปผ่าตัดวิญญาณของท่าน จนกว่าวันนั้น วันที่ท่านเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ ก็คือต้อนรับพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระคริสต์เข้ามาในร่างกายของท่าน พระองค์จะเข้ามาบัพติศมาท่าน ก็คือผ่าตัดท่าน เอาวิญญาณของท่านเข้าไปเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเยซูคริสต์ ตัวเก่าของท่าน ที่เต็มไปด้วยความบาปนั้น ก็จะตายร่วมกับพระเยซูคริสต์ที่ไม้กางเขน และถูกฝังไว้ในอุโมงค์ และจะเป็นขึ้นจากความตายเหมือนพระเยซูคริสต์ พร้อมกับพระเยซูคริสต์ เป็นลูกของพระเจ้า เข้าอยู่ในสวรรค์ทันที เอเมน พระเจ้าอวยพรครับ

 

********************

จากใจคณะศิษยาภิบาล

 

ก่อนที่อาจารย์เปาโลจะกลับใจใหม่   ตำแหน่งเดิมของท่านยิ่งใหญ่มาก   เป็นคนมีฐานะดี   มีชื่อเสียงดี   มีคนนับหน้าถือตา   เป็นผู้ทรงอิทธิพลในหมู่ชาวยิว   ท่านเอาจริงเอาจัง   อดอาหาร   อธิษฐาน   ศึกษาพระคัมภีร์  ท่านตามฆ่าคริสเตียน  เพราะรักพระเจ้า

 

แต่เมื่อเปาโลพบพระเยซูคริสต์  ในระหว่างเดินทางไปดามัสกัส  เพื่อจับผู้เชื่อ   ท่านได้กลับใจใหม่  ยอมทิ้งทุกอย่าง  ไม่ว่าจะเป็นตำแหน่ง ชื่อเสียง  เกียรติยศ  เพื่อติดตามพระคริสต์  ถูกหาว่าเป็นคนทรยศ  ถูกคนยิวตามฆ่า  เปาโลก็ไม่ลดละที่จะประกาศพระคริสต์   เพราะท่านเห็นว่าพระเยซูคริสต์เป็นของแท้   การได้พระเยซูคริสต์มีค่ามากกว่าชื่อเสียงเกียรติยศที่ท่านเคยมี

 

เปาโลจึงพุ่งเป้าไปที่สวรรค์อย่างเดียว   พระพรนานาประการในสวรรค์สถานท่านได้รับแล้ว   การเป็นลูกของพระเจ้า   เป็นผู้ชอบธรรม  สะอาด บริสุทธิ์  เป็นหนึ่งเดียวกับพระเจ้า  เป็นเหมือนพระเจ้าเดี๋ยวนี้ทันที

 

ท่านก็ได้รับแล้ว   ท่านรอคอยอีกนิดเดียว  คือการได้ไปสวมร่างกายใหม่ที่พระเจ้าทรงจัดเตรียมไว้เรียบร้อยแล้ว   เป็นร่างกายที่เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์   ตอนที่พระองค์เป็นขึ้นมาจากความตาย   เต็มไปด้วยสง่าราศี   รวมทั้งโลกใหม่ที่พระเจ้าทรงสร้างให้ลูกๆ ของพระองค์  หลังจากโลกนี้ได้สูญสลายไป

 

นี่เป็นความหวังใจเดียวของผู้เชื่อในปัจจุบันเช่นเดียวกัน   ที่พวกเรารอเวลาจบงานของเราบนโลกใบนี้   เพื่อเราจะได้ไปสวมร่างกายใหม่ และอยู่ในโลกใหม่ที่สวยสดงดงาม  ที่พระเจ้าทรงเตรียมไว้  สำหรับลูกๆ ของพระองค์   ความหวังใจนี้ทำให้เราสามารถอดทน   และเผชิญกับความทุกข์ยากลำบากในโลกใบนี้   ซึ่งเล็กน้อยมาก  ถ้าเทียบกับสง่าราศีนิรันดร์  ที่พระเจ้าทรงจัดเตรียมไว้ให้เรา

 

ความหวังนี้ทำให้เราสามารถชื่นชมยินดีได้   เพราะเรารู้ว่าอีกแป๊บเดียว   เราก็ได้ไปพบพระเจ้าหน้าต่อหน้าแล้ว    พระเจ้าอวยพรครับ

 

วารสาร Holy News ฉบับที่ 1369

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  12  มิถุนายน  2022

เรื่อง “ฉลองพระเจ้าเข้ามาอาศัยอยู่ในร่างกายของมนุษย์”

โดย พาสเตอร์ นคร  เวชสุภาพร

 

สัปดาห์ที่แล้ว วันเพ็นเทคอสต์ ตรงเป๊ะ เราได้ฉลองวันที่ประตูสวรรค์เริ่มเปิดรับมนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้ ให้เข้าไปอาศัยอยู่กับพระเจ้า ผู้บริสุทธิ์ ศักดิ์สิทธิ์ตราบชั่วนิรันดร์กาล เพราะว่ามีวันเพ็นเทคอสต์ที่พระเจ้าได้ทรงสถาปนาสวรรค์ บนโลกใบนี้นั่นเอง มนุษย์ทุกคนจึงสามารถมั่นใจได้ว่าเพียงแค่เปิดใจต้อนรับสวรรค์ผ่านทางองค์พระเยซูคริสต์ พระผู้ช่วยให้รอด ก็จะได้รับการย้ายเข้ามาอยู่ในสวรรค์เลยทันที ตอนที่ยังมีลมหายใจอยู่นี่แหละ  โดยไม่ต้องพึ่งการกระทำของตนเองเลย แม้แต่นิดเดียว เปิดใจต้อนรับอย่างเดียว ไม่ต้องไปคิดว่าเราต้องทำอะไรดี หรือทำอะไรไม่ดีขนาดไหน? สะสมไว้มากขนาดไหนก็ตาม ไม่จำเป็นเลย เปิดใจต้อนรับความเป็นจริงในองค์พระเยซูคริสต์เท่านั้น ที่เราเรียกกันว่าข่าวดี ก็คือพึ่งในพระคุณของพระเจ้า ผ่านทางพระเยซูคริสต์พระบุตร ผู้ทรงเป็นประตู เป็นทางไปสู่สวรรค์นั่นเอง พระองค์เป็นทางไปสู่สวรรค์ พระองค์ทรงทำให้เสร็จเรียบร้อยแล้ว เราเข้าไปรับเองเฉยๆ ไม่ต้องทำอะไรเลย

สัปดาห์ที่แล้ว วันเพ็นเทคอสต์ เราก็ได้สรุปไว้อย่างนี้ว่า …

(1) สวรรค์ลงมาตั้งอยู่แล้ว ประตูเปิดรอแล้ว

(2) ทุกคนที่จะเข้าสู่ประตูสวรรค์ ต้องได้รับการบังเกิดใหม่

(3) การบังเกิดใหม่ ต้องผ่านทางการต้อนรับพระเยซูคริสต์เข้ามาเป็นพระผู้ช่วยให้รอดเท่านั้น

นี่คือสรุป 3 อย่างที่เราได้ฉลองกันไปเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว คือประตูสวรรค์เปิดรอแล้ว เมื่อวันเพ็นเทคอสต์ เมื่อ 2,000 ปีมาแล้ว ใครที่ต้องการเข้าสวรรค์ ก็เพียงแค่เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เข้ามาเป็นพระผู้ช่วยให้รอดเท่านั้น เพราะพระองค์ทรงกระทำการเปิดประตูให้สำเร็จเรียบร้อยแล้ว เมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว ที่ไม้กางเขน กระทำให้สำเร็จเรียบร้อยแล้ว และอีก 50 วันต่อมา หลังจากที่พระองค์เป็นขึ้นจากความตาย ก็คือวันเพ็นเทคอสต์ วันที่ 50 สถาปนาความจริงนี้ และเมื่อใครก็ตามที่ต้อนรับความจริงนี้ ต้อนรับพระเยซูคริสต์มาเป็นพระผู้ช่วยให้รอดนี้ เขาก็จะได้บังเกิดใหม่ เข้าสู่สวรรค์ทันทีเลย มีการย้ายกันเกิดขึ้นในโลกวิญญาณ พอใครต้อนรับพระเยซูคริสต์ก็มีการย้ายออกจากอาณาจักรแห่งความมืด เข้ามาสู่อาณาจักรแห่งความสว่าง ออกจากอาณาจักรของคนบาป มาสู่อาณาจักรของคนชอบธรรม ออกจากอาณาจักรของมนุษย์ที่ไม่รู้จักพระเจ้า มาอยู่ในอาณาจักรของมนุษย์ที่กลับคืนดีกับพระเจ้า จากอาณาจักรที่เป็นศัตรูกับพระเจ้า ต่อต้านพระเจ้า มาเป็นอาณาจักรที่เป็นลูกของพระเจ้า ที่เรียกว่าสวรรค์นั่นเอง คือมาอยู่กับพระเจ้านั่นเอง

นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นกับวิญญาณของเรา ในโลกวิญญาณที่ตามองไม่เห็น แต่มันเกิดขึ้นจริงๆ แล้วเริ่มเกิดขึ้นเมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว วันเพ็นเทคอสต์นั้น จนถึงวันนี้ มีผู้คนเข้ามาสู่สวรรค์อย่างนี้เยอะแยะมากมายนับไม่ถ้วน รวมทั้งเราทั้งหลายที่นั่งอยู่ที่นี่ และรวมทั้งเราทั้งหลายที่กำลังฟังอยู่ทางบ้านด้วย เราทั้งหลายก็เข้าไปอยู่ในสวรรค์นั้น เพราะต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดเรียบร้อยแล้ว มันเกิดขึ้นที่วิญญาณ พอเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ วิญญาณของเรา ได้ถูกพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า พูดง่ายๆ ว่าผ่าตัด นำพาวิญญาณของเรา เข้าไปสู่อาณาจักรฝ่ายวิญญาณที่เรียกว่าสวรรค์ทันที  ณ วินาทีนั้น ที่เราต้อนรับสิทธิของเรา เพราะว่าสวรรค์เปิดประตูรออยู่แล้ว พระเยซูบอก พระองค์ทรงเคาะประตูหัวใจทุกคนๆ เคาะๆๆ

เคาะ ก็คือเรียกให้มาเข้าสวรรค์ ใครได้ยิน? คนที่ตั้งใจแสวงหาสวรรค์ของแท้ ก็จะได้ยินเสียงเคาะประตู เสียงเรียกร้องจากพระเยซูคริสต์ให้มารับสิทธิของเธอเถิด คือเข้ามาสวรรค์เถิด ก็เพียงแค่เปิดใจต้อนรับเท่านั้นเอง

นี่คือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในโลกฝ่ายวิญญาณ เมื่อใครก็ตามเปิดใจต้อนรับสวรรค์ เปิดใจต้อนรับข่าวดี เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์มาเป็นพระผู้ช่วยให้รอด พระมาซีฮาห์ ส่วนร่างกายที่เรา จับต้องมองเห็นได้อยู่นั้น ก็ยังเป็นร่างกายเดิมอยู่ และยังคงต้องอยู่อย่างนี้ต่อไป รอจนกว่าจะสูญสิ้น ซึ่งตามภาษาของมนุษย์เรียกว่าตาย ร่างกายนี้ตาย ร่างกายนี้สูญสิ้น พระคัมภีร์บอกสูญสิ้นตามกำหนดกฎเกณฑ์ที่วางไว้ เพราะว่ามันถูกสาปแช่งไปแล้ว มันถูกลงโทษให้สูญสิ้นไป รอเมื่อไรวิญญาณที่จะออกจากร่าง ที่ตาย สูญสิ้นนี้ ไปรับร่างกายใหม่ คือร่างกายสวรรค์ ร่างกายที่เป็นขึ้นจากความตาย ร่างกายที่เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์ นี่คือขบวนการของการบังเกิดใหม่ทางฝ่ายวิญญาณและทางฝ่ายร่างกายด้วย …

อันดับแรก เราต้องเรียนรู้ก่อนว่ามนุษย์เป็นวิญญาณ อาศัยอยู่ในร่างกาย และเป็นวิญญาณที่ตายจากพระสิริของพระเจ้า เป็นร่างกายที่ตายจากพระสิริของพระเจ้า วิญญาณนั้นเรียกว่าตายอยู่ แต่มันจะอยู่นิรันดร์ อยู่ไปตลอด เพราะเป็นวิญญาณ ไม่มีตาย ไม่มีวันสูญสิ้น แต่ในร่างกายที่สวยงามนั้น มันมีวันตาย มันมีวันสูญสิ้น ซึ่งก่อนที่จะตกลงไปในความบาปนั้น มันไม่มีการสูญสิ้น มันอยู่ไปตลอด แต่กลับกลายเป็นต้องถูกโทษของการกบฏ ของการไม่เชื่อฟังของความบาป จึงเกิดกฎของความบาปและความตายปกคลุมเข้ามาอยู่เหนือเผ่าพันธุ์มนุษย์ มนุษย์ทุกคนจึงมีวิญญาณที่ตายจากพระเจ้า และร่างกายที่ต้องสูญสิ้น ถ้าไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง

พระเยซูคริสต์เป็นพระเจ้ามาเกิดเป็นมนุษย์ มาตายที่ไม้กางเขน หลั่งพระโลหิต ถูกฝังไว้ในอุโมงค์ และเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่ 3 สถาปนาสวรรค์ สถาปนาการช่วยให้รอดของมนุษย์ทุกคน ช่วยเหลืออย่างไร?  ก็คือให้มนุษย์สามารถที่จะมีวิญญาณ ที่ได้บังเกิดใหม่ พร้อมพระองค์ และไม่ใช่ชีวิตฝ่ายวิญญาณเท่านั้น ที่ได้เกิดใหม่  แต่ทั้งชีวิต ก็คือทั้งวิญญาณและร่างกายเรานั้น ได้บังเกิดใหม่พร้อมพระเยซูคริสต์เลย

ฟังให้ดีๆ พระเยซูคริสต์เป็นขึ้นจากความตาย  เพื่อเป็นตัวอย่าง เป็นแบบอย่างให้กับมนุษย์ทุกคนที่เชื่อในพระองค์นั้น จะได้เป็นขึ้นจากความตาย ทั้งวิญญาณและร่างกายเหมือนพระองค์เลย วิญญาณเกิดขึ้นเมื่อต้อนรับสิทธิ ต้อนรับพระเยซูคริสต์มาเป็นพระผู้ช่วยให้รอด พระวิญญาณบริสุทธิ์เข้าไป ทำให้วิญญาณข้างใน จากตายจากพระเจ้า กลับมาคืนดีกับพระเจ้า เกิดใหม่เลย วิญญาณเกิดใหม่แล้วนะ แต่ยังอาศัยอยู่ในร่างกายเดิมอยู่ ซึ่งเป็นร่างกายที่พระเจ้าสัญญาแล้วว่าจะต้องได้รับการบังเกิดใหม่เหมือนกันกับพระเยซูคริสต์ คือเกิดใหม่อีกครั้งหนึ่ง เรียกว่าร่างกายสวรรค์

ถามว่าแล้วมันจะเกิดขึ้นเมื่อไร? มันยังเกิดขึ้นไม่ได้ เพราะว่ายังอยู่ในกฎเดิม  อยู่ในกฎของความบาปและความตายอยู่ ร่างกายเดิมยังอยู่ในคำสาปแช่งอยู่ มันจะต้องรอวันสิ้นสุดลง ก็คือหมดลมหายใจ กลับไปเป็นดิน วันนั้นแหละ วันที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า จะชุบ หรือว่าทำให้คนนั้นเป็นขึ้นจากความตาย มีร่างกายใหม่ที่เหมือนพระเยซูคริสต์ ตอนที่เป็นขึ้นจากความตายเหมือนกัน เราจึงเห็นภาพแล้วนะว่าพอเชื่อพระเยซูปุ๊บ วิญญาณเกิดใหม่ รอร่างกายเก่าหมดไปเมื่อไร? ร่างกายใหม่รออยู่แล้ว วางอยู่แล้ว แต่ยังสวมไม่ได้ สวมเมื่อวิญญาณออกจากร่างนี้

ช่วงที่รอ พระคัมภีร์เขียนไว้ ในช่วงที่วิญญาณของเราอยู่กับพระเจ้าในสวรรคสถานเรียบร้อยแล้ว เกิดใหม่เรียบร้อยแล้ว แต่ยังอยู่ในร่างกายเดิมอยู่ ยังอยู่บนโลกใบนี้อยู่ ซึ่งเป็นร่างกายที่อ่อนแอ และก็วุ่นวายบนโลกใบนี้ ความทุกข์ยากบนโลกใบนี้ พระคัมภีร์บอก มันเป็นแค่ช่วงเวลานิดเดียวเอง ชั่วขณะหนึ่ง ชั่วแป๊บเดียว คือเพียงชั่วคราวเท่านั้น ถามว่าเมื่อเราต้อนรับพระเยซูคริสต์ แล้วบังเกิดใหม่ เข้าสู่สวรรค์เรียบร้อยแล้ว ร่างกายเราจำเป็นต้องอยู่บนโลกใบนี้ แล้วเราก็เป็นลูกพระเจ้าที่อยู่ในสวรรค์ แต่ขณะเดียวกันอยู่ในร่างกายบนโลกใบนี้ ทนทุกข์ลำบากกับความวุ่นวายของโลกใบนี้ อยู่นานเท่าไร?  แค่ชั่วขณะเดียว แป๊บเดียวเอง

ในชั่วขณะหนึ่งเท่านั้นเอง ที่เรายังต้องใช้ชีวิตบนโลกใบนี้ ซึ่งเป็นโลกที่ถูกสาปแช่งไปแล้ว ตามกฎเหมือนเดิม กฎของความบาปและความตายปกคลุมอยู่เหนือโลกใบนี้ ทั้งหมดเลย รวมทั้งสรรพสิ่งทั้งหลายบนโลกใบนี้ทั้งหมด และรวมทั้งร่างกายของเราด้วย และกฎของคำสาปแช่งนี้  กฎของความบาปและความตายนี้ เป็นตัวกำหนดว่าอย่างไรเราก็ต้องสูญสิ้นด้วย เกิดมาเพื่อตาย นี่คือความจริงของบรรดาสรรพสิ่งที่จับต้องมองเห็นได้บนโลกใบนี้  คือเกิดปุ๊บ วิ่งไปสู่ความแก่ แก่บางคนนึกภาพคนแก่ๆ ไม่ใช่ เกิดแล้วมาแก่ แก่หมายถึงวิ่งไปสู่ความสูญสิ้น  เกิดมาเป็นทารก 1 เดือน ไปครบปีหนึ่ง เป็นอายุ 1 ขวบ ก็แก่ลง 1 ขวบ วิ่งไปสู่ความตาย ใกล้ความตายเข้าไปอีก 1 ขวบ เพราะเป็นกฎของพระเจ้าที่วางไว้ นี่คือโทษของความบาปและความตาย คือหลุดจากพระสิริของพระเจ้า ส่วนความตายนั้น ต้องสูญสิ้น  วัตถุสิ่งของบนโลกใบนี้ ทุกอย่าง ต้นไม้ โลกทั้งใบ ต้องสูญสิ้นทั้งสิ้น นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน

ชีวิตที่หลังจากเชื่อแล้ว ที่เราอยู่บนโลกใบนี้ โลกที่ถูกสาปแช่งไปแล้ว เสียหายไปแล้ว การดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ จึงเต็มไปด้วยความทุกข์ยากลำบาก เต็มไปด้วยความสับสน เต็มไปด้วยความชั่วร้าย เพราะว่าไม่มีชีวิต ไม่มีความดีงาม ที่เรียกว่าพระสิริของพระเจ้าปกคลุมอยู่เหนือโลกใบนี้เลย พระสิริของพระเจ้าอยู่แค่ในโลกฝ่ายวิญญาณ ที่พระเยซูคริสต์นำฝ่ายวิญญาณเข้ามาเท่านั้น ต้องรอให้โลกวัตถุ โลกที่จับต้องมองเห็นได้ มันสูญสิ้นไปเสียก่อน แล้วพระเจ้าสัญญาและกระทำแล้ว ก็คือสร้างสรรพสิ่งใหม่ทั้งหมดให้เรียบร้อยเลย คือร่างกายเรา ก็ร่างกายใหม่ สรรพสิ่งทั้งหลาย ก็สรรพสิ่งใหม่ทั้งสิ้น นี่คือคำสัญญา

ซึ่งเมื่อเรารับรู้ความจริงแล้วว่าพอเราเชื่อในพระเยซูคริสต์ทันทีปุ๊บ เราได้บังเกิดใหม่ วิญญาณเราใสสะอาด หมดจด บริสุทธิ์ เหมือนพระเยซูคริสต์เลย เข้าไปอยู่ในสวรรคสถานเรียบร้อยแล้ว เรารู้ เพราะว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์ ย้ำยืนยันอยู่ในใจของเรา อยู่ในวิญญาณของเรา  เรารู้เพราะว่าวิญญาณเรามีจริงๆ และเราบังเกิดใหม่จริงๆ เรารู้ เพราะเราเริ่มต้นเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ บังเกิดใหม่ เราจึงเข้าใจ สามารถได้ยินเสียงของพระเยซูคริสต์ เสียงของฝ่ายวิญญาณ  เพราะเราเกิดใหม่แล้วนั่นเอง พอเรารู้ว่าในวิญญาณเราเป็นใคร? เป็นลูกของพระเจ้า มีค่ามหาศาลเท่าไรในวิญญาณของเรา เราก็สามารถดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ที่เต็มล้นไปด้วยความหวัง

นี่แหละคือความหวังของคนเป็นคริสเตียน ความหวังของคนที่บังเกิดใหม่  ก็คือความหวังที่ได้รับไปเรียบร้อยแล้ว 99.99% ก็คือวิญญาณใหม่ ที่อยู่กับพระเจ้าแล้ว สะอาด บริสุทธิ์ บังเกิดใหม่แล้ว เพียงแต่อาศัยอยู่ในร่างกายนี้ เพียงชั่วคราว ชั่วขณะหนึ่ง แป๊บเดียว คือความหวัง เพราะอีกแป๊บเดียว เราก็จะได้รับร่างกายใหม่ ที่พระเจ้าสร้างให้เสร็จเรียบร้อยแล้ว โดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ ชุบให้เป็นขึ้นจากความตาย รอวันหมดร่างกายนี้เท่านั้นเอง และก็ไปสวมร่างกายใหม่ นี่คือความหวัง

ถ้าเรารับรู้ความจริงเหล่านี้ คนนั้น ก็จะมีความอดทน อดกลั้น อดทนในการรอคอยวันนั้น วันที่จะได้รับร่างกายใหม่ ร่างกายสวรรค์ที่พระเจ้าจะทรงจัดเตรียมไว้ให้ เป็นร่างกายที่เหมือนพระเยซูคริสต์ หรือจะเรียกว่าเป็นวันที่เราตายจากร่างกายนี้ คือร่างนี้หมดอายุขัยไปเรียบร้อยแล้ว เลือกเอาอันใดอันหนึ่ง เอาอันแรกรู้สึกมันเพราะกว่านะ คือรอวันตาย ก็ใช่ แต่วันตายอย่างมีความหวังว่าเมื่อไรจะหมดร่างเก่านี้ สวมร่างใหม่  ในโรม 8:24-25 ได้บันทึกอย่างนี้ นี่คือความหวังของเหล่าคริสเตียน ที่บังเกิดใหม่แล้ว ที่เชื่อในข่าวดีของพระเยซูคริสต์แล้ว เชื่อในการกระทำของพระองค์ในวันเพ็นเทคอสต์ เมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว …

โรม 8: 24-25  “24 เพราะว่าในความหวังนี้ เราได้รับความรอดแล้ว แต่ความหวังที่เห็นได้นั้น ไม่ใช่ความหวังเลย ใครเล่าหวังในสิ่งที่ตนเองมีอยู่แล้ว 25 แต่ถ้าเราหวังในสิ่งที่เรายังไม่มี เราย่อมรอคอยสิ่งนั้น ด้วยความอดทน”

 

“เพราะว่าในความหวังนี้” ความหวังนี้ ก็คือความหวังที่จะได้รับร่างกายใหม่ ร่างกายที่เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์ ร่างกายที่เป็นขึ้นจากความตาย จะเป็นขึ้นจากความตายได้อย่างไร? ก็ต่อเมื่อร่างกายเดิมนี้มันตายก่อน ตายแล้ว พระวิญญาณจึงจะได้ชุบเราให้เป็นขึ้นจากความตายจากพระเยซูคริสต์ ฝังไว้ในอุโมงค์ ของเราตายปุ๊บ เราก็ได้รับร่างกายใหม่ทันที นี่คือความหวังของเรา

ในนี้บอกว่า … “เพราะว่าในความหวังนี้ เราได้รับความรอดแล้ว” เห็นไหมครับ? ในความหวังนี้ ขณะเดียวกัน วิญญาณเรารอดแล้ว วิญญาณเราอยู่กับพระเจ้าในสวรรคสถานเรียบร้อยไปแล้ว แต่ความหวังที่เห็นได้นั้น ใครเล่าหวังในสิ่งที่ตนเองมีอยู่แล้ว หวังเพราะว่ามันยังไม่ได้ไง แต่รู้ว่ามันได้แน่นอน หวังเพราะว่ามันอยู่ในร่างกายเดิมนี้ นี่คือความหวังของคนที่เป็นคริสเตียน และพระเจ้าไม่เพียงแค่ให้ความหวังนิรันดร์กับเราเท่านั้น มีความหวังว่าวิญญาณของเรานั้นได้บังเกิดใหม่ เป็นชีวิตนิรันดร์ของพระเจ้า เรียบร้อยแล้ว ขณะนี้ ที่ท่านเดินอยู่บนโลกใบนี้ แต่ยังให้ความหวังเราว่าร่างกายที่เราจะได้รับใหม่ เป็นร่างกายที่เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์นิรันดร์เช่นเดียวกัน

พระองค์ให้ความนิรันดร์อย่างนี้กับเรา เรามีความหวัง ท่านคิดว่าพอไหม? สมมติว่าพระเจ้าให้เราบังเกิดใหม่ วิญญาณเป็นเหมือนพระเจ้า ได้รับชีวิตนิรันดร์เหมือนพระเจ้า อยู่กับพระเจ้าในสวรรคสถานแล้ว ร่างกายใหม่ ก็จัดเตรียมไว้ให้แล้ว รอให้ร่างกายเก่ามันสูญสิ้น มันตายก่อน แค่นี้ก็มีความหวังพอแล้วนะ แต่พระเจ้าไม่หยุดแค่นั้น ความรักของพระเจ้ามีมากกว่านั้นอีก

ท่านลองคิดดูนะ ขณะที่เรายังอยู่บนโลกใบนี้ ชั่วขณะหนึ่งใช่ไหม? ความเป็นจริง ก็คือโลกที่เสียหาย โลกที่ถูกสาปแช่งนี้ เราจำเป็นจะต้องดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ต้องเผชิญกับความโหดร้ายของโลกใบนี้อยู่ ในขณะที่ข้างในเป็นลูกของพระเจ้า อยู่ในสวรรค์เรียบร้อยแล้ว แต่รออีกแป๊บหนึ่ง แต่พระเจ้าก็พอเห็นแล้วว่าเราอยู่ในความชั่วร้ายของโลกใบนี้ อยู่ในความทุกข์ทรมาน อยู่ในความเจ็บกาย เจ็บใจ พูดง่ายๆ ทุกข์ทรมานอยู่ พระเจ้าจึงไม่ปล่อยให้เราอยู่แค่นั้น นี่คือเหตุของหัวข้อในวันนี้  ก็คือ “ฉลองพระเจ้าเข้ามาอาศัยอยู่ในร่างกายของมนุษย์” ชื่อเรื่องของวันนี้

ถ้าปล่อยเราเป็นอย่างนั้น ยังไงเราก็ได้รับความรอดอยู่ดี ยังไงเราก็ไปสวรรค์อยู่ดี วันหนึ่งออกจากร่างกายนี้ เราก็ไปรับร่างกายใหม่ แค่นั้นก็พอแล้ว

พระเจ้าบอก … “ไม่ได้ๆ ลูกของฉันต้องอยู่อย่างสุขสบายที่สุด เท่าที่ทำได้”

พระองค์ก็เลยบอกว่าพระองค์จะไม่ทอดทิ้ง ให้เราต้องเดินลำพังคนเดียว พระองค์จะอยู่กับเรา ในชั่วแป๊บเดียว ที่ทนทุกข์ทรมานอยู่บนโลกใบนี้ ที่ชั่วแป๊บเดียว รอให้มันจบร่างกายนี้ไปก่อน แม้มันจะแป๊บเดียวก็ตาม

“แต่พ่อจะไม่ยอมให้เราอยู่ลำพัง พ่อจะเข้าไปช่วย”

โรม 8:26 “ในทำนองเดียวกัน พระวิญญาณทรงช่วยเรา ในยามเราอ่อนแอ เราไม่รู้ว่าเราควรอธิฐานขอสิ่งใด แต่พระวิญญาณเองทรงอธิษฐานวิงวอนแทนเรา ด้วยการคร่ำครวญที่ไม่อาจหาถ้อยคำใดมาบรรยาย”

 

“ในทำนองเดียวกัน” ก็หมายถึงว่าเรารอคอย คร่ำครวญด้วยความหวัง ในร่างกายใหม่ ที่เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์ ที่เราจะได้รับหลังความตาย เราก็คร่ำครวญด้วยความหวังนี้ อยากจะไปได้รับร่างกายใหม่ เป็นความหวังแห่งความชื่นชมยินดี หลังจากความทุกข์นี้ ก็คือหลังจากดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ ชั่วขณะหนึ่ง เราก็เป็นอย่างนั้นเหมือนกัน เหมือนกับผู้หญิงที่กำลังจะคลอดบุตร ที่เจ็บครรภ์ ทุกข์ทรมาน แต่ก็มีความหวัง เจ็บครรภ์แป๊บเดียวเอง เดี๋ยวก็จะได้เห็นลูกที่รักแล้ว ชื่นชมยินดี มีความหวังในความชื่นชมยินดีที่จะได้เห็นลูกในครรภ์ตนเองในไม่ช้า เราก็จะมีความหวังอย่างนั้นแหละ คือวิญญาณข้างในจะคร่ำครวญ  คร่ำครวญอยากจะจากโลกนี้ไปเร็วๆ แล้วก็ได้รับร่างกายใหม่ หมดทุกข์ หมดโศก หมดโรค หมดภัยสักทีหนึ่ง แต่ก็เป็นไปตามระบบของโลกใบนี้ โลกมันยังไม่สูญสิ้น ก็ต้องรอ แต่ขณะเดียวกัน รอแป๊บเดียว ทุกข์ทรมาน แต่มีความหวัง มองไปข้างหน้าแล้ว จะได้ชื่นชมยินดี เห็นไหมครับ!

เราที่เชื่อพระเจ้าแล้ว ได้เกิดใหม่แล้ว ร่างกายภายนอกนี้ ก็ทุกข์เหมือนกับหญิงมีครรภ์ เหมือนกัน เราก็ครวญครางอย่างนั้นแหละ แล้วเราก็ตั้งความหวังในความทุกข์นี้ว่าเราจะรอคอยวันนั้น วันที่เราได้รับร่างกายใหม่เหมือนพระเยซู ตามที่พระเจ้าสัญญาให้ไว้ จะได้หมดทุกข์ หมดโศกเสียทีหนึ่ง

นี่วิญญาณของเราจริงๆ คริสเตียนจริงๆ ผู้ที่เชื่อแล้วจริงๆ เกิดใหม่แล้วจริงๆ ก็จะเป็นอย่างนี้ ข้างในมันครวญครางตลอดเวลา มันไม่อยากจะอยู่หรอก แต่มันจำเป็นต้องอยู่ แต่พระเจ้าทรงทราบดีว่ามันทุกข์ขนาดไหน? พระเจ้าจึงเข้ามาอาศัยอยู่กับเราด้วย ซึ่งไม่ใช่อย่างที่ตะกี้นี้บอก ไม่ใช่ร่างกายเราเท่านั้นที่ต้องตาย แต่สรรพสิ่งทั้งหลาย โลกใบนี้ทั้งใบ ก็จะถึงการดับสูญสิ้น  และพระเจ้าสัญญาว่าสรรพสิ่งทั้งหลายเหล่านั้น ก็จะได้รับการสร้างขึ้นใหม่ด้วย เป็นบ้านของเราใหม่ ลูกเกิดใหม่ บ้านก็ใหม่ด้วย เรา หมายถึงมนุษย์ที่เชื่อในพระองค์ ที่ได้บังเกิดใหม่และสรรพสิ่งทั้งหลาย ทุกสิ่งต่างรอคอยวันสิ้นโลก เราที่บังเกิดใหม่แล้ว เชื่อในพระเยซูคริสต์แล้ว ได้บังเกิดใหม่ เป็นลูกของพระองค์ อยู่ในร่างกายเดิมนี้ เรามีความหวัง รอคอยวันสิ้นโลก ถ้าโลกยังไม่สิ้น เราสิ้นก่อน ก็เหมือนกัน

เพราะฉะนั้น ทุกสิ่งต่างรอคอยวันสิ้นโลก และในการคร่ำครวญนี้ พระวิญญาณก็จะคอยช่วยเหลือเรา พอมองเห็นหรือยัง? เพราะมันทุกข์ยากลำบากในการดำเนินชีวิตบนโลกนี้ พระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้าเข้ามาสถิตอยู่กับเรา เข้ามาเป็นกำลังให้กับเรา มาช่วยเรา ในยามที่ร่างกายของเราอ่อนแอ

อ่อนแอ เพราะอยู่ในกฎของความบาปและความตาย ถูกสาปอยู่

ในยามที่ร่างกายเราอ่อนแอ พระวิญญาณก็จะคอยหนุนเราช่วยเหลือเรา  ในยามที่เราต้องทนทุกข์ลำบาก ในยามที่เราต้องเผชิญกับความวิปริตของโลกใบนี้ อะไรจะเกิดขึ้นก็ไม่รู้เรื่องเลย โควิดนึกจะมาก็มา นึกจะไปก็ไป เศรษฐกิจแย่ก็แย่ จะเกิดสงคราม ก็จะเกิด อะไรอย่างนี้ ยังมีความเสียหายจากธรรมชาติต่างๆ เพราะว่ามันถูกสาปแช่งไปแล้วโลกใบนี้ พระวิญญาณก็จะมาช่วยเรา  คร่ำครวญไปกับเราด้วย ที่วิญญาณของเรา ตอนที่เราคร่ำครวญ ตอนที่เราเจ็บป่วย รักษาไม่หาย เจ็บโน่น ปวดนี่ ทรมานนั้น พระวิญญาณทรมานไปกับเราด้วย คร่ำครวญไปกับเราด้วย นี่มันหมายถึงอย่างนั้น

ตอนที่เราป่วย รักษาไม่หาย ในยามที่เราล้มละลาย ขาดทุน เงินไม่พอใช้ โควิดเอาไปหมดเลย ทั้งกิจการงาน การเงิน และความสุขในชีวิตของเราออกไป เราทุกข์ทรมานมาก เรารอคอย ขณะนั้น เราไม่ไหว แต่พระวิญญาณบริสุทธิ์อยู่กับเรา ให้กำลังกับเรา ครวญครางไปกับเราด้วย เราทุกข์ พระองค์ก็ทุกข์ด้วย นึกภาพให้ดีๆ เราไม่ได้ทุกข์ไปคนเดียว พระวิญญาณสถิตอยู่กับเรา

นี่คือความเมตตาของพระเจ้ามากเลย ไม่ให้เราอยู่ลำพัง เพราะรู้แล้วว่าเราอยู่บนโลกใบนี้ มีแต่ความทุกข์ยากลำบาก มีแต่ความน่ากลัว เหมือนที่พระเยซูคริสต์บอก ท่านอยู่บนโลกนี้ ต้องเผชิญกับความทุกข์ยากลำบาก  เป็นเรื่องธรรมดา พระวิญญาณก็จะช่วยเรา สถิตอยู่กับเรา ครวญครางไปกับเรา ในยามที่คนที่เรารัก จากไปก่อน คือการสูญเสีย เศร้าไหม? เศร้า ในยามที่เราเจ็บปวด ยาแก้ปวด ก็ช่วยไม่ได้ ไม่มียาอะไรช่วยได้เลย พระวิญญาณครวญครางไปกับเรา อยู่ภายในเรา

นี่คือความหวังเดียวที่สามารถประคับประคองชีวิตของเราให้เดินต่อไปได้  นี่คือพระคุณของพระเจ้า ที่ไม่ได้ช่วยเราให้รอดพ้น แล้วไปอยู่ในสวรรค์กับพระองค์เท่านั้น แต่ขณะที่ดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้  ต้องเผชิญกับความทุกข์ยากลำบาก เป็นเรื่องธรรมดา พระองค์ไม่ทิ้งเรา แต่อยู่กับเรา เป็นความหวังเดียวที่สามารถประคับประคองชีวิตของเราได้ ความจริงนี้ ทำให้เราสามารถดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้อย่างสันติสุข ท่ามกลางความทุกข์ยากลำบากได้ ก็คือเราเต็มไปด้วยสันติสุข ในการรอวันนั้น วันแห่งความรอดที่ครบถ้วนบริบูรณ์ คือวิญญาณเรารอดเรียบร้อยแล้ว เรารอวันนั้น วันที่เราจะได้รับร่างกายใหม่ ครบถ้วนบริบูรณ์เหมือนพระเยซูคริสต์ วันที่เราจะได้รับร่างกายใหม่ สรรพสิ่งก็ได้ถูกสร้างขึ้นมาใหม่ หลุดจากโลกอันเสื่อมโทรมนี้ เข้าไปอยู่ในสวรรค์ที่สมบูรณ์ ครบถ้วนบริบูรณ์ คือวิญญาณเราเป็นเหมือนพระเยซูคริสต์ และเป็นเหมือนพระเจ้า และร่างกายที่เราสวมอยู่นั้น ก็เป็นร่างกายที่เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์ ที่เป็นขึ้นจากความตาย และเราก็ไม่ได้อยู่บนโลกใบนี้อีกแล้ว เราอยู่ในโลกใหม่ที่พระเจ้าสร้างขึ้นใหม่หมดเลย แม้สัตว์ต่างๆ ที่ท่านรัก  ก็อยู่ด้วย แล้วมันถูกสร้างใหม่แล้ว เช่นเดียวกัน

นี่แหละ ดูความเมตตาของพระเจ้า ดูความห่วงใยของพระเจ้า  ดูความรักของพระเจ้าสิ ละเอียดอ่อนมาก เล็กๆ น้อยๆ ก็ไม่ทิ้งเรา แม้ว่ามันจะชั่วขณะหนึ่งเท่านั้น …

“มันแป๊บเดียวเองนะ ลูกเอ๋ย แต่ไม่เป็นไร พ่ออยู่ด้วย”

และในขณะที่เราอยู่ในการรอคอยวันนั้นอยู่ พระวิญญาณก็จะคอยช่วยเรา ตอนที่เราอ่อนแอ คิดอะไรไม่ออก พูดไม่ออก บอกไม่ถูก อธิษฐานไม่ได้ เคยเป็นไหม? เคยเผชิญอะไรแบบนี้ไหม? คิดไม่ออก บอกไม่ถูก เพลีย เหนื่อย เจ็บ ปวด โอ๊ย นั่นแหละ เมื่อเราอ่อนแอเท่าไร? ฤทธิ์อำนาจของพระองค์ก็ทวีคูณขึ้นเต็มขนาดที่นั่น ที่ตัวเรา ที่อ่อนแออยู่นั้น

พระวิญญาณอยู่ด้วยความรักและความห่วงใยของพระเจ้านั่นเอง ที่มีต่อมนุษย์ทุกคน พระองค์ห่วงใยมาก อยากให้เขามาเชื่อในข่าวดี ในพระบุตร พระเยซูที่พระองค์ทรงประทานให้ เพื่อจะได้เข้าสู่สวรรค์ พอเขาเปิดใจต้อนรับเข้าสู่สวรรค์แล้ว ก็ยังห่วงอยู่ว่าจะยังอยู่บนโลกใบนี้ อีกกี่ปี? ทุกข์ทรมานอีกกี่ปี ถึงแม้เขาจะรอดแล้วก็จริง ไม่ได้หรอก ต้องให้เขาได้ดีที่สุด ได้หายเหนื่อยที่สุด ทำให้ดีที่สุด ก็คือเข้าไปสถิตอยู่กับเขา เพราะความรัก พระองค์จึงเข้ามาอาศัย สถิตอยู่ด้วย เพื่อช่วยเหลือ เพื่อนำพา ให้กำลังใจ สนับสนุนเรา แม้ว่ามันจะเป็นช่วงเวลาแค่สั้นๆ ก็ตาม เทียบกับชีวิตนิรันดร์ เทียบกันไม่ได้เลย การดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ จนกว่าร่างกายเราจะสูญสิ้นไป มันแป๊บเดียวเอง แต่แป๊บเดียว พระองค์ก็ไม่ยอม เพราะรักเรามาก ห่วงใยเรามากเลย ในยอห์น 14:23 บันทึกไว้อย่างนี้ …

ยอห์น 14:23 “พระเยซูตรัสตอบว่า “ถ้าผู้ใดรักเรา เขาจะเชื่อฟังคำสอนของเรา พระบิดาของเราจะทรงรักเขา พระบิดากับเราจะมาหาเขา และอยู่กับเขา”

 

คืออย่างนี้ พระเยซูกำลังพูดถึงความเป็นจริงของการบังเกิดใหม่ว่ามนุษย์ไม่สามารถที่จะรักพระเยซูได้จริงๆ หรอก

เพราะภาษาเดิมตรงนี้ “ถ้าผู้ใดรักเราจริงๆ” ไม่มีใครสามารถรักพระเยซูคริสต์ได้จริงๆ ถ้าคนนั้นไม่ได้บังเกิดใหม่  ไม่มีใครในโลกเลย สามารถรักพระเยซูได้ ถ้าเขาไม่บังเกิดใหม่ เพราะเมื่อเขาไม่ได้บังเกิดใหม่ เขายังมีชีวิตเดิม ชีวิตเดิมเป็นวิญญาณที่อยู่ตรงข้ามกับพระเจ้า เป็นวิญญาณที่ต่อต้านพระเจ้า เป็นวิญญาณบาป เป็นวิญญาณที่เป็นศัตรูกับพระเจ้า เป็นวิญญาณที่ไม่สามารถกลับคืนดีกับพระเจ้าได้ วิญญาณที่ไม่สามารถรักพระเจ้าได้ วิญญาณที่ไม่สามารถติดต่อกับพระเจ้าได้ เพราะฉะนั้น เราก็ยังคงเป็นศัตรูอยู่ภายใน ถ้าเราไม่ได้เกิดใหม่ เราก็ไม่ได้เป็นลูกแห่งการเชื่อฟัง เพราะเราไม่ได้บังเกิดใหม่ เราก็ไม่ได้เป็นแกะของพระองค์ เพราะฟังเสียงของพระองค์ก็ไม่ได้ยิน ฟังถ้อยคำของพระองค์แล้ว ก็ไม่เข้าใจ ไม่ได้ยินเสียงของพระองค์ เพราะสิ่งเหล่านี้จะเกิดได้ ต้องบังเกิดใหม่ในวิญญาณเท่านั้น

พระเยซูกำลังบอกว่าถ้าท่านได้บังเกิดใหม่เมื่อไร? ท่านก็จะเต็มไปด้วยความเชื่อฟังต่อเรา เพราะเป็นพวกเดียวกับเรา เป็นหนึ่งเดียวกันกับเราแล้ว ความเชื่อนี้ เป็นของประทานเกิดขึ้น จากการบังเกิดใหม่นั้น เรียกว่าเกิดใหม่ปุ๊บ เป็นลูกแห่งการเชื่อฟังเลย พระคัมภีร์ใช้คำนี้

พอเกิดใหม่ เป็นลูกแห่งการเชื่อฟังแล้ว อะไรเกิดขึ้น … “พระบิดาของเราจะทรงรักเขา  พระบิดากับเราจะมาหาเขา แล้วอยู่กับเขา”

พูดง่ายๆ พระบิดาเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเยซู และพระวิญญาณ ทั้ง 3 พระภาค จะเข้ามาทำบ้าน อาศัยอยู่ในตัวเขา ตอนที่เขาบังเกิดใหม่ทันที เข้าสวรรค์ทันทีปุ๊บ พระเจ้าเข้ามาสถิตอยู่ทันที  ทำไมต้องมาสถิตอยู่ ก็ตะกี้นี้ ที่บอก เพราะความรัก ความห่วงใย แม้ว่าจะชนะแล้วก็ตาม ไม่อยากปล่อยให้ลูกต้องเผชิญกับความทุกข์ลำบากเกินกว่าเหตุ เกินกว่าที่จะรับได้ บนโลกใบนี้ แม้ชั่วขณะหนึ่งก็ตาม ต้องแก้ไข ต้องพยายามหาทางช่วย

เมื่อเราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เข้ามาเป็นพระผู้ช่วยให้รอดแล้ว จะมีอัศจรรย์เกิดขึ้น ทั้งโลกฝ่ายวิญญาณและโลกฝ่ายร่างกาย ฝ่ายวัตถุ อย่างนี้ ฟังให้ดีๆ นะ อัศจรรย์ที่เกิดขึ้น เมื่อเราต้อนรับพระเยซูคริสต์ พอเราต้อนรับพระเยซูคริสต์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอด พระวิญญาณบริสุทธิ์เข้ามาในตัวเราปุ๊บ โลกฝ่ายวิญญาณที่เกิดขึ้น คือพระวิญญาณของพระเจ้าจะเสด็จเข้ามา ทำขบวนการการบังเกิดใหม่ ให้เราบริสุทธิ์ กลับคืนดีกับพระเจ้า ย้ายวิญญาณของเรามาอยู่ในสวรรค์กับพระเจ้าทันที นี่คืออัศจรรย์หนึ่งแล้วนะ

อัศจรรย์สอง คือโลกฝ่ายร่างกาย คือร่างกายเราปัจจุบัน พอเรารับเชื่อปุ๊บ พระเจ้าทั้ง 3 พระภาค พระบิดา พระบุตร พระวิญญาณบริสุทธิ์ จะเข้ามาอาศัยอยู่ในร่างกายของเราทันที เพื่อคอยช่วยเหลือเรา ในระหว่างดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ที่เต็มไปด้วยความทุกข์ยากลำบาก เต็มไปด้วยความชั่วร้าย ฮาเลลูยา

นี่คือสิ่งที่อัศจรรย์มากๆ เลย คือเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอด สิ่งหนึ่งที่เกิดขึ้น คือเราได้บังเกิดใหม่ เป็นลูกของพระเจ้าในโลกฝ่ายวิญญาณ ในโลกวัตถุ คือร่างกายที่เราเห็นอยู่นี้ ที่ต้องตายอยู่นี้ ที่ต้องเผชิญกับปัญหาการกินการอยู่ อะไรต่างๆ เหล่านี้ โรคภัยไข้เจ็บเหล่านี้ พระเจ้าจะเข้ามาอยู่ด้วย เอเมนไหม?

“พระเจ้าอยู่ในตัวฉัน”

พอพูดถึงพระเจ้า ต้องนึกถึง 3 พระภาคเลย เพราะว่าทั้ง 3 พระภาคเป็นหนึ่งเดียวกัน

“พระเจ้าพระบิดา พระเจ้าพระบุตร พระเยซู พระเจ้าพระวิญญาณบริสุทธิ์ ทรงสถิตอยู่กับฉัน เมื่อวันที่ฉันเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด”

มีสถานที่หนึ่ง ในร่างกายของเรา นึกถึงตัวเอง มองดูในกระจก มีสถานที่หนึ่งในร่างกายของเรา ที่เป็นสถานที่บริสุทธิ์ที่สุด ที่พระคัมภีร์ใช้คำว่า “อภิสุทธิสถาน” ที่พระเจ้าสถิตอยู่ เป็นที่ศักดิ์สิทธิ์มาก บริสุทธิ์มาก ที่นั่นก็คือที่วิญญาณของเรา  ที่ได้บังเกิดใหม่ ถ้าไม่เกิดใหม่ เข้ามาไม่ได้ เพราะเข้ากันไม่ได้ เป็นศัตรูกัน แต่พอเกิดใหม่ ได้กลับคืนดีกับพระเจ้าแล้ว มีวิญญาณที่เป็นเหมือนพระเจ้าแล้ว พระเจ้าเข้ามาได้

เพราะฉะนั้น สถานที่สถิตของพระเจ้า อยู่ที่วิญญาณของฉันที่บังเกิดใหม่แล้วนั้น ซึ่งอยู่ในร่างกายนี้ ฉันเดินไปไหน? ฉันเป็นอภิสุทธิสถานของพระเจ้า ที่พระเจ้าสถิตอยู่ด้วย ไปด้วยกันตลอดเวลา ตอนหลับอยู่ด้วยไหม? ตอนขับรถ โมโหโกธา ว่าเขาเสียๆ หายๆ พระองค์อยู่ด้วยหรือเปล่า? หรือว่าออกไปก่อน  1 โครินธ์ 3:16 …

1 โครินธ์ 3:16  “ท่านทั้งหลายรู้แล้วไม่ใช่หรือว่าพวกท่านเป็นวิหารของพระเจ้า และพระวิญญาณของพระเจ้าสถิตอยู่ในพวกท่าน”

 

“ท่านทั้งหลายรู้แล้วไม่ใช่หรือ?” หมายความว่าท่านทั้งหลายควรจะรู้ เพราะพระเจ้าสถิตอยู่ในท่าน ท่านเดินไปไหนมาไหน? พระวิญญาณจะพูดตลอดๆ เพียงแต่ท่านสังเกตหน่อยหนึ่งเท่านั้นเอง ตระหนักหน่อยหนึ่ง ท่านก็รู้แล้ว มันหมายถึงอย่างนั้น หมายถึงทุกคนที่เชื่อในพระเจ้า จะรู้ว่าพระเจ้าสถิตอยู่กับฉัน  เดี๋ยววันหนึ่งก็ต้องรู้

“ท่านทั้งหลายรู้แล้วไม่ใช่หรือว่าพวกท่านเป็นวิหารของพระเจ้า” เป็นวิหาร  “และพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้าสถิตอยู่ในพวกท่าน” พอบอกพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า จงนึกถึง 3 พระภาค ไม่ว่าจะพูดถึงพระวิญญาณบริสุทธิ์สถิตอยู่กับเรา พระเจ้าสถิตอยู่กับเรา  พระเยซูคริสต์สถิตอยู่กับเรา พอพูดชื่อใดชื่อหนึ่ง นึกถึง 3 พระภาคเลย เพราะว่าทั้ง 3 เป็นหนึ่งเดียวกัน

พระเจ้าสถิตอยู่ เพื่ออะไร? ในหนังสือสดุดี เผยพระวจนะเรื่องนี้ไว้ เพื่อดูแลรักษาวิญญาณที่พระองค์ทรงไถ่ ทรงได้ให้บังเกิดใหม่นั้น ด้วยฤทธิ์เดชอำนาจของพระองค์ และพระองค์ไม่เคยหลับไหล

พระองค์ทรงดูแลวิญญาณที่พระองค์ทรงไถ่ ทรงให้กำเนิด เป็นลูกของพระองค์แล้ว โดยฤทธิ์อำนาจแห่งพระหัตถ์ทรงฤทธิ์ของพระองค์ ไม่มีวันหลับไหล ก็คืออย่างที่ตะกี้นี้ผมบอก ขณะที่เราหลับ พระองค์ก็ตื่นอยู่ คอยดูแลตลอดเวลา ดูเราในฐานะเป็นลูกที่รักดั่งแก้วตาดวงใจ ในวันที่เรากำลังเจ็บปวด งอนพระเจ้า เดินหน้าเชิดใส่พระเจ้า ไม่อธิษฐาน ไม่เอาแล้ว ไม่เชื่อแล้ว พระเจ้าก็เดินตามเราด้วย พอเราสงบสติอารมณ์ปุ๊บ

พระเจ้าถาม … “ยังรักเราไหม?”

“รักครับ ขอโทษทีพระเจ้า ช่วยลูกด้วย”

นี่คือหน้าที่ของพระเจ้า ที่เป็นหน้าที่ของความรัก ห่วงใย ดุจดั่งแก้วตาดวงใจของพระองค์

วิหารของพระเจ้า คืออะไร? วิหารของพระเจ้าตรงนี้ ชาวยิวจะรู้ดีเลย พระเจ้าได้ให้ชาวยิว ทำวิหารจำลอง สถานที่สถิตของพระเจ้า บนโลกใบนี้ เมื่อสมัยโมเสส ก็คือทำวิหารแบบเป็นเต็นท์ ทำด้วยเต็นท์ หลังจากนั้นมา ก็เปลี่ยนเป็นวัสดุอื่น เป็นก้อนหินอะไรต่างๆ ก็ว่าไป แต่ก็เป็นวัสดุที่ทำด้วยมือเท่านั้น ซึ่งพระองค์บอกว่าเล็งถึงเป็นจำลองจากของจริงในสวรรค์สถาน

และในเต็นท์นั้น พระองค์ให้ทำอะไร? มีลานชั้นนอก เรียกว่าวิหาร แล้วเข้าไปเรียกว่าสถานที่บริสุทธิ์ ชั้นที่ 2, ชั้นที่ 3 ในสุด เรียกว่าอภิสุทธิสถาน พระเจ้าสถิตอยู่ด้วย ตรงกับอะไร? ตรงกับร่างกายของเราที่เป็นวิหารของพระเจ้า ก็คือร่างกายของเราก็เปรียบเหมือนกับลานชั้นนอกของวิหารของพระเจ้า ในสมัยโมเสส ความคิดจิตใจของเราเหมือนสถานที่บริสุทธิ์เฉยๆ แล้วเราก็ยังมีลึกที่สุด สุดท้ายที่สุด เรารู้กันอยู่แล้ว คือมีวิญญาณของเรา วิญญาณของเราก็เป็นอภิสุทธิสถาน ที่พระเจ้าสถิตอยู่นั่นเอง นี่คือเราเป็นวิหารฝ่ายวิญญาณของพระเจ้า ฮีบรู 13:5 ได้บ่งบอกให้ถึงความรัก ความห่วงใยของพระเจ้า แม้ว่าจะให้เราบังเกิดใหม่แล้วก็ตาม แม้ว่าเราจะอยู่กับพระองค์ในสวรรคสถานเรียบร้อยแล้วก็ตาม ในโลกฝ่ายวิญญาณ แต่ในโลกวัตถุ ที่เราจำเป็นต้องดำเนินชีวิตอยู่ในโลกใบนี้ วันนี้เราจำเป็นต้องเจอกับความทุกข์ยากลำบาก ซึ่งเป็นไปตามกฎของคำสาปแช่งมาตั้งแต่เดิมแล้ว  เราต้องปล่อยให้มันเป็นไปตามกฎระเบียบเหล่านั้น แล้วพระเจ้าก็ต้องดูแลให้เป็นไปตามกฎระเบียบเหล่านั้นด้วยเช่นเดียวกัน พระองค์จึงสงสาร จึงรัก จึงห่วงใย จึงเข้ามาสถิตอยู่ด้วย แล้วก็บอกกับเราอย่างนี้ว่า … ฮีบรู 13:5 …

ฮีบรู 13:5 “จงพอใจในทุกสิ่ง ทุกสถานการณ์ที่มีอยู่และเป็นอยู่ ในขณะนี้ (ทั้งในโลกวิญญาณและโลกวัตถุนี้ จงเชื่อและวางใจในพระเจ้า) เพราะพระเจ้าได้ตรัสว่า “เราจะไม่มีวันทอดทิ้งเจ้า (เหมือนเป็นลูกกำพร้า) เราจะไม่มีวันละทิ้งเจ้า (ปล่อยให้อยู่ตามลำพัง) เราจะไม่ทำให้เจ้าต้องผิดหวังอย่างแน่นอน”

 

นึกถึงภาพว่าพระเจ้ายืนอยู่ต่อหน้าเราตอนนี้ … “ลูกจำเป็นต้องดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ชั่วขณะหนึ่งนะ ที่เหลือมันจบไปหมดเรียบร้อยแล้วล่ะ แต่ไม่ต้องกลัว พ่ออยู่กับลูกด้วยตลอดเวลา เพราะฉะนั้น ลูกดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ ด้วยท่าทีอย่างไร? พ่อจะสอนให้ พอใจในทุกสิ่ง ทุกสถานการณ์ที่มีอยู่ และเป็นอยู่ในขณะนี้”

พอใจ แปลว่ามีความหวัง มีความสุขในใจ มีความหวังครบถ้วนบริบูรณ์ ในทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นอยู่ ที่มีอยู่ในขณะนี้ คือเมื่อดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ ทั้งในโลกวิญญาณและโลกวัตถุนี้ จงเชื่อและวางใจในพระเจ้า ก็คือทั้งโลกวิญญาณ รู้ว่าเราเกิดใหม่ อยู่ในสวรรค์เรียบร้อยแล้ว ในโลกวัตถุ รู้ว่าอยู่ในร่างกายนี้ต้องทรุดโทรม ไปสู่ความตาย ไปสู่ความสูญสิ้น เป็นเรื่องธรรมดา แต่รอไปรับร่างกายใหม่ ให้เชื่อและวางใจในพระเจ้าในสิ่งนี้ และมีความพอใจในทุกสถานการณ์ที่เกิดขึ้น

และพระเจ้าผู้เป็นพ่อได้ปลอบโยนจิตใจ ปลอบโยนลูกที่พระองค์ทรงรัก ปลอบโยนว่าอย่างไร? … “พ่อจะไม่มีวันทอดทิ้งเจ้า เหมือนเป็นลูกกำพร้า พ่อจะไม่มีวันละทิ้งเจ้า ปล่อยให้เจ้าอยู่ตามลำพัง พ่อจะไม่ทำให้เจ้าต้องผิดหวังอย่างแน่นอน ลูกเอ๋ย” แล้วก็เอามือลูบที่ศีรษะของลูกเมื่อตอนที่อุ้มอยู่ เมื่อตอนที่เขายังเป็นทารกอยู่ เพิ่งเกิด เราทั้งหลายก็เป็นทารก เมื่อไรก็ตามที่เรายังอยู่ในร่างกายเก่านี้อยู่ เราไม่ได้เจริญเติบโตเต็มที่หรอก เราก็เหมือนทารก ที่พระเจ้าคอยประคบประหงม ดูแล เหมือนเด็กทารก ที่เกิด ที่เรามองเห็น ส่วนใหญ่พ่อแม่ทั้งหลาย ทารกเกิดมา เคยไหม? เคยทิ้งเขาไว้สักชั่วโมง แล้วไม่มีคนอยู่เลยไหม? ไม่มีทางเลยนะ ยิ่งคลอดยังไม่ถึงเดือน ยิ่งประคบประหงมตลอดเวลา นั่นแหละ คือภาพของความรักของพระเจ้า ที่ห่วงใยเราขนาดไหน? ที่บอกว่าไม่ทอดทิ้ง ไม่ปล่อยให้เราเป็นเด็กกำพร้า ไม่ละเรา

“ไม่ละเรา” หมายถึงไม่จากเราไปเลยแม้แต่นิดเดียว ไม่ละเราให้อยู่ลำพังเลย สมมติว่าพระบิดา พ่อบอกว่าอยู่กับพ่อตลอด พ่อบอกพ่อไปอาบน้ำนะ ไม่ทิ้ง แม่ช่วยดูหน่อย พ่อแม่บอกจะออกไปซื้อของนะ จะละทิ้งเขาหรือ? ไม่หรอก ป้าๆ ช่วยดูให้ที  ถูกไหม?  พระเจ้ากำลังพูดอย่างนั้นกับเราว่าพระองค์ทรงอยู่กับเราตลอดเวลา ตื่นเต้นตลอดเวลา

พระองค์ทรงดูแลเราอย่างนั้นจริงๆ ไม่หลับใหล ไม่ง่วงเลย สนใจเราตลอดเวลา เวลาเรายิ้ม ยิ้มตาม ดีใจจังยิ้มแล้ว เวลาเราร้องไห้ เป็นอะไรๆ ช่วยกันดูแลหน่อย ถูกไหม? แล้วนี่คือพระเจ้า คำพูดของพระเจ้า พระเจ้าพระบิดา พระเจ้าพระบุตร พระเยซู ที่ได้ยอมตายที่ไม้กางเขน ไถ่เรา และพระวิญญาณบริสุทธิ์ ทั้ง 3 พระภาคสถิตอยู่กับเราอย่างนี้ แล้วบอกว่าไม่ทอดทิ้งไปไหนเลย?

ในขณะที่เราตกงาน พระองค์ทรงอยู่ไหม? อยู่ทั้ง 3 เลยไหม? ในขณะที่เราติดโควิดอยู่ไหม? ในขณะที่เราเครียดจัด ไม่ว่าจะเรื่องอะไรก็ตาม พระองค์ทรงอยู่ไหม? เพราะฉะนั้น มีพระคริสต์สถิตอยู่ด้วยตลอดเวลา ก็มีความสุขเกินพอแล้ว เพียงพอแล้ว สำหรับทุกสิ่ง พระองค์เป็นทุกสิ่งทุกอย่างที่มนุษย์ทั้งหลายต้องการ  ในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ และโลกหน้าด้วย  สำหรับเราเชื่อแล้ว โลกหน้าจบไปแล้ว เป็นความหวังของเราในโลกนี้ที่จะอยู่ต่อไป พรุ่งนี้จะเกิดอะไรขึ้นกับเรา มะรืนนี้จะเกิดอะไรขึ้นกับเรา เราไม่รู้แล้ว เรามอบให้พระองค์ไปหมดแล้ว ในแต่ละวัน โคโลสี 1:27 จึงได้บันทึกอย่างนี้ สั้นๆ ว่าหัวใจของคนที่บังเกิดใหม่ คือ …

โคโลสี 1:27 “คือพระคริสต์สถิตในท่านทั้งหลาย ซึ่งเป็นความหวังแห่งเกียรติสิริ”

 

พระคริสต์สถิตในท่าน คือทั้ง 3 พระภาค พระเจ้า 3 พระภาคอยู่ในท่านทั้งหลาย เป็นความหวังแห่งเกียรติ สิริ หมายถึงพระเจ้า 3 พระภาคอยู่ในวิญญาณของเรา เรารู้ เรารับทราบได้ทางวิญญาณว่าอยู่กับเรา เราจึงมีความหวังแห่งพระสิริ เราจึงมีความหวังในร่างกาย ที่เต็มด้วยพระสิริของพระเจ้า ที่เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์ ตอนที่วิญญาณเราออกจากร่าง ไปรับร่างกายใหม่ นี่แหละ ใครมีความหวังยกมือขึ้น? มีความหวังเพราะอะไร? เพราะพระคริสต์สถิตอยู่ในฉัน เพราะพระเจ้าอยู่ในฉัน พระคริสต์สถิตอยู่ในพระเจ้า อยู่ในฉัน ฉันรู้แน่นอน ส่วนความหวังในร่างกายใหม่ ที่เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์ รู้ไหม? ไม่รู้ แต่เป็นความหวังที่เต็มไปด้วยความเชื่อจากข้างใน

ในขณะที่เรายังจำเป็นในความทุกข์ลำบาก ในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ชั่วขณะหนึ่งเท่านั้น พระเจ้าต้องการให้เราวางใจ พักหายเหนื่อย และเป็นสุขในพระเยซูคริสต์ พระองค์จะดูแลทุกสิ่งทุกอย่างชีวิตบนโลกใบนี้ ด้วยตัวของพระองค์เอง ใน 1 เปโตรก็บอกอย่างนั้น พระองค์จะดูแลรักษาวิญญาณที่พระองค์ทรงไถ่ไว้ ด้วยพระหัตถ์อันทรงฤทธิ์ของพระองค์ พระหัตถ์ ก็คือตัวของพระองค์เอง ฤทธิ์เดชอำนาจของพระองค์เอง พอไหม? หรือเราจะวางใจในพระองค์ครึ่งหนึ่ง  แล้ววางใจในตัวเองครึ่งหนึ่ง พระองค์บอกไม่เอา วางใจในเรา 100% เลย พระองค์จะดูแลเองทุกอย่าง ด้วยฤทธิ์เดชอำนาจ ด้วยความรักที่มีต่อเรา เพราะเราเป็นลูกที่พระองค์ทรงรัก ดั่งแก้วตาดวงใจ และเป็นลูกที่เป็นทารก เกาะติดอยู่กับพระองค์ตลอดเวลาเลย รู้ตัวหรือไม่รู้ตัวก็ไม่รู้ พออุแว้ๆ อุ้มได้ ก็อุ้มเฉียงๆ พาดที่มือ แต่พอร้องไห้หนักๆ ก็พาดที่บ่า

เพราะฉะนั้น ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นกับเราก็ตาม ให้รับรู้ว่าพระเจ้าทั้ง 3 พระภาค ทรงอยู่กับเรา และควบคุมทุกสิ่งทุกอย่างอยู่ และนำพาเราอยู่ และมันดีที่สุดแล้ว สำหรับชีวิตเรา เพราะพระองค์ทรงรักเรา อยากให้เราได้สิ่งที่ดีที่สุด ดังนั้น พระองค์จึงอยากให้เราที่จะไม่ต้องกังวล ไม่ต้องห่วง ไม่ต้องกระวนกระวาย ไม่ต้องกลัว จงเชื่อมั่นว่าพ่อของเรา สามารถนำพาลูกๆ ของพระองค์ผ่านพ้นไปได้อย่างแน่นอน บนโลกใบนี้ จูงมือเราผ่านหุบเขาเงามัจจุราชได้แน่นอน เพราะมันเป็นหุบเขาเงามัจจุราช มันเป็นแค่เงาเท่านั้นเอง ทำให้ตกใจกลัวเท่านั้นเอง แต่มันทำอะไรเราไม่ได้แล้ว เอเมน

เพราะฉะนั้น จงให้เราไว้วางใจในพระเจ้า เชื่อในถ้อยคำ คำสัญญาของพ่อของเรา และดำเนินชีวิตจากภายในจิตใจใหม่ จากภายในวิญญาณของเราที่เกิดใหม่ ดำเนินชีวิตอยู่ตรงนั้น เพราะตรงนั้นคือสวรรค์ เพราะตรงนั้น คือสถานที่สถิตของพระเจ้า พระเจ้าสถิตอยู่กับเรา คือในใจเรา ในวิญญาณของเรา ที่พ่อได้ใส่เอาไว้ ใส่ความรัก เพราะพ่อเป็นพระเจ้าแห่งความรัก เมื่อพ่อสถิตอยู่กับเรา ความรักก็ท่วมล้นอยู่ในใจเรา เราจึงสามารถเต็มด้วยความเชื่อในพระเจ้า ในจิตใจของเราได้ และเมื่อเราเชื่อฟังพระเจ้าแบบนี้ พระเยซู พระเจ้าเลยอยากให้เราตอบสนองพระองค์ ให้เหมือนเด็กๆ พระเยซูบอกให้เข้าสวรรค์ ให้เหมือนเด็กๆ คนหนึ่ง คือเชื่อ ไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น ไม่ต้องหาเหตุผลอะไร? เชื่อลูกเดียว เราจะเห็นบ่อยๆ พ่อแม่บางทีเล่นกับลูก ลูกขวบ สองขวบ เอาลูกขึ้นไปวางที่โต๊ะสูงๆ

“โดดมาเลยๆ”

โดดไหม? ไม่โดดนะ ถ้าเผื่อพ่อคนนั้น แม่คนนั้น ไม่ค่อยมีเวลาให้เขา เขาไม่ไว้ใจ แต่พ่อกับแม่ที่ดูแลเขาตลอดเวลา โดดมาเลย ยังไม่ทันจบคำว่าเลย โดดมาแล้ว รับแทบไม่ทัน ใช่ไหม? เพราะความสนิทสนมที่รักมาก ทำให้ลูกไว้ใจ แล้วพระเจ้าสำแดงความรักขนาดนี้ ถ้าพระเยซูคริสต์ตายที่ไม้กางเขนขนาดนี้ แล้วยังมาสถิตอยู่กับเราขนาดนี้ พอไหมที่เราจะสัมผัสความรัก และไว้ใจในพระองค์ได้ โดดเลย แล้วเราก็โดดเลย เอเมนไหม? พระเจ้าบอกโดดเลย โดดไหม? โดด ให้นึกถึงภาพ เหมือนเราเลี้ยงลูก โดดเลย แสดงว่าเขาไว้ใจเรามาก ไว้ใจในความรักของเราที่มีต่อเขา เพราะฉะนั้น พระเจ้าก็เลยบอกให้เราโดด

โดด คือทำอย่างนี้ พระเจ้าต้องการให้เราสำแดงความเชื่อของเรา ด้วยการทำอย่างนี้ 1 เธสะโลนิกา 5:16-18  …

1 เธสะโลนิกา 5:16-18 “16 มีความสุขและมีความชื่นชมยินดีภายในจิตใจอยู่เสมอ 17 หมั่นอธิษฐาน ติดต่อสื่อสารพูดคุยปรึกษาหารืออย่างใกล้ชิดสนิทสนมกับพระเจ้า ผู้เป็นพ่อที่รักเรามาก อยู่เสมอ 18 ขอบพระคุณพระเจ้า (พ่อ) ในทุกกรณี ไม่ว่าสถานการณ์ (ที่มองเห็นจับต้องได้ ที่ทำให้เกิดอารมณ์ความรู้สึกได้) จะเป็นเช่นไร (จะรู้สึกดีหรือไม่ดีก็ตาม) ก็ขอบคุณพระเจ้า เพราะนี่คือพระประสงค์ของพระเจ้า สำหรับท่านทั้งหลาย ซึ่งเป็นผู้ที่ (ได้บังเกิดใหม่เป็นลูกของพระองค์) อาศัยอยู่ในพระคริสต์ อยู่ในบ้านของพระองค์ คือสวรรค์แล้วขณะนี้”

 

นี่คือพระประสงค์ของพระเจ้าพระบิดา พระเจ้าพระบุตร พระเยซูคริสต์ พระเจ้าพระวิญญาณบริสุทธิ์ สำหรับท่านทั้งหลายที่ได้บังเกิดใหม่ เป็นลูกของพระเจ้าเรียบร้อยแล้ว อาศัยอยู่ในพระคริสต์ อยู่ในสวรรค์ของพระองค์เรียบร้อยแล้ว ในขณะนี้ พระองค์ต้องการอะไร? ต้องการให้เราโดด เราก็โดด ตอนนี้พระองค์ต้องการให้เราทำอะไร? ต้องการให้เรามีความสุข และมีความชื่นชมยินดีภายในจิตใจอยู่เสมอ เพราะมันไม่มีไปไหน? อยู่ตรงนั้นนะ ให้เราเพ่งมอง จดจ่อไปที่เบื้องบน คือที่พระคริสต์สถิตอยู่ คือในสวรรค์สถาน คือในอภิสุทธิสถาน คือในวิญญาณของเรา เพ่งตรงไปตรงนั้นว่ามันเกิดอะไรขึ้น ตรงนั้น แล้วมีความสุขอยู่กับตรงนั้น

ถ้าพระเจ้าบอกให้เราโดด พอบอกให้เราโดด แสดงว่าพ่อรู้ว่ามันปลอดภัยสำหรับเรา เราอาจจะห่วง เราอาจจะกลัว แต่พ่อรู้ว่าเราทำได้ เหมือนกัน พ่อผู้เป็นพระเจ้ารู้ว่าตรงนี้ เราที่ดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ สามารถทำอย่างนี้ได้ ท่ามกลางความทุกข์ยากลำบาก ความชั่วร้ายบนโลกใบนี้ ที่เราดำเนินชีวิตอยู่แค่แป๊บเดียว เราสามารถแอบเข้าไปอยู่ในความสุข ในฝ่ายวิญญาณได้ พ่อเลยบอกว่าให้มีความสุข และมีความชื่นชมยินดี  ภายในจิตใจอยู่เสมอ หมั่นอธิษฐาน ติดต่อพูดคุย สื่อสาร ปรึกษาหารืออย่างใกล้ชิด สนิทสนมกับพ่อ กับพระเจ้าผู้เป็นพ่อของเราที่รักเรามากอยู่เสมอ มีอะไรก็คุยกับพ่อ คุยไม่ออก ก็รู้ว่าพระวิญญาณกำลังช่วยเราคุยอยู่ ต่อให้ไม่มีแรง กำลังนอนอยู่ พระวิญญาณก็กำลังคุยอยู่ หมดแรงแล้ว นี่คุยทางวิญญาณแทน ก็คือให้เราสนิทสนมกับพระเจ้า

สนิทสนม คือให้เราติดต่อ มีสามัคคีธรรมกัน พูดคุยกันอยู่ตลอดเวลา ให้เราอธิษฐานอยู่เสมอ หมายถึงอย่างนี้ แล้วให้เราทำอะไรอีก ขอบคุณพ่อ ขอบคุณพระเจ้า ขอบคุณได้อย่างไร? ถ้าเราขอบคุณได้ ก็แสดงว่าเรารู้ว่า 3 พระภาคของพระเจ้าสถิตอยู่ภายในเรา เราก็ไม่กลัวไง ไม่ใช่พระเจ้าให้เราไม่ลืมบุญคุณ เป็นลูกต้องมีกตัญญูหน่อย ขอบคุณนะ ได้อะไรไป ไม่ใช่

คำว่า “ขอบคุณพระเจ้าในทุกกรณี” หมายถึงพระเจ้าต้องการให้เราตระหนักอยู่เสมอว่าพระเจ้าทรงสถิตอยู่กับเรา ไม่ว่ากรณีใดๆ ก็ตาม ไม่ว่าสถานการณ์จะเป็นอย่างไรก็ตาม ไม่ว่าสถานการณ์ที่มองเห็น จับต้องได้ ที่ทำให้เกิดอารมณ์และความรู้สึกได้ มันจะเป็นอารมณ์ความรู้สึกแบบไหนก็ตาม จะเป็นไปด้วยกันกับพระเจ้า หรือไม่เป็นเป็นไปด้วยกันกับพระเจ้า จะชอบหรือไม่ชอบ จะทุกข์หรือจะสุขก็ตาม จะเป็นเช่นไรก็ตาม จะรู้สึกดีหรือไม่ดีก็ตาม ก็รู้ว่าพระเจ้าทำสิ่งที่ดีที่สุดให้กับเรา ดูแลเรา วางใจในพระองค์ รักในพระองค์ ก็สามารถขอบคุณพระเจ้าได้ นี่มันแปลว่าอย่างนี้

นี่คือพระประสงค์ของพระเจ้า ไม่ว่าจะดีหรือร้าย ไม่ว่าจะทุกข์ยากลำบาก เป็นเช่นไรบนโลกใบนี้ ซึ่งเกิดขึ้นเป็นเรื่องธรรมดา บนโลกใบนี้ ไม่มีคำตอบ คำตอบ คือโลกถูกสาปแช่ง ถูกทำให้เสียหายไปแล้ว และมันก็จะเป็นอย่างนี้ จนกว่ามันจะสิ้นโลก แต่ในโลกใหม่ที่พระเจ้าสัญญาไว้ให้กับเรานั้น ไม่มีความทุกข์ยากลำบากอีกแล้ว ไม่มีน้ำตา ไม่มีความโศกเศร้าเสียใจ ไม่มีการสูญเสีย ไม่มีโรคภัยไข้เจ็บ ไม่มีบาป มีแต่ความรัก มีแต่สันติสุข  และโลก และสรรพสิ่งบนโลกถูกสร้างขึ้นมาใหม่เอี่ยมหมดทุกอย่าง ไม่มีมาร ไม่มีความบาป และเราจะอยู่กับพระเจ้าอย่างนั้นตลอดชั่วนิตย์นิรันดร

นี่คือความหวังและความไว้วางใจของเรา ที่มีต่อพระเจ้า ไม่ว่าจะสุขหรือจะทุกข์ พระหัตถ์อันทรงฤทธิ์ของพระองค์ ก็นำอยู่ทั้ง 3 พระภาค พระองค์ทรงอยู่ด้วย เมื่อพระคริสต์ทรงอยู่ในเรา ความหวังของเรา ก็คือร่างกายใหม่ ที่เต็มไปด้วยพระสิริของพระเจ้า ที่พระองค์ทรงสัญญาไว้ เมื่อถึงวันนั้น  พระเจ้าอวยพรครับ

 

**********************

จากใจคณะศิษยาภิบาล

 

“Crying in the Chapel” แต่งโดย “Arthur Glenn” ในปี 1953 ร้องและบันทึกเสียงไว้โดย “Elvis Presley” ในปี 1960 เป็นเพลงที่พูดถึงสันติสุขที่พบได้ในพระเจ้า อย่างเรียบง่ายและน่ารัก

 

คำว่า “Chapel” หลายคนอาจไม่คุ้นเคย “Chapel” เป็นเหมือนโบสถ์เล็กๆ ที่อยู่ตามชนบทเมืองฝรั่ง หรือเป็นห้องเล็กๆ ในโบสถ์ใหญ่  ในโรงเรียน โรงพยาบาล ตามตึกใหญ่ๆ ในคุก ในสุสาน หรือตามสนามบิน ใช้สำหรับเข้าไปนั่งเงียบๆ เพื่อภาวนาอธิษฐาน หรือร้องเพลงสรรเสริญพระเจ้า จะคนเดียวหรือกลุ่มเล็กๆ ก็ได้ ส่วนมากไม่ได้ใช้สำหรับประกอบพิธีกรรมใดๆ

 

เนื้อเพลงพูดถึงผู้ร้องเคยไปนั่งร้องไห้ในโบสถ์หลังน้อย  แต่เป็นการร้องไห้ที่มีความสุข  และเกิดสันติสุข  เพราะได้พบองค์พระผู้เป็นเจ้าที่นั่น เขาบอกว่าเขาค้นหามาจนทั่ว  แต่ไม่เคยพบคำว่าสันติสุขในจิตใจเลย  จนกระทั่ง ได้เข้ามานั่งอธิษฐาน  ร้องเพลง  และสรรเสริญพระเจ้าที่ในโบสถ์น้อยแห่งนี้  และที่นี่เองเขาได้รับกำลัง  และได้พบความสุขที่แท้จริง

 

เขาจึงอยากจะบอกกับคนอื่นๆ ว่าอย่าไปค้นหาที่ไหนเลย  นำภาระปัญหาของคุณมามอบไว้กับพระเจ้าที่ในโบสถ์น้อยนี่เถอะ  พระองค์จะประทานสันติสุขแห่งจิตใจให้  จะได้พบพี่น้องที่ร่วมทุกข์ร่วมสุขด้วยกัน  ได้รับกำลังจากพระเจ้า  เพื่อจะดำเนินชีวิตต่อไป  และในไม่ช้าปัญหาก็จะคลี่คลายลง

 

เนื้อเพลง “ในโบสถ์เล็กๆ ที่ฉันเข้าไป” (Crying in the chapel)

  1. ในโบสถ์เล็กๆ ที่ฉันเข้าไปอธิษฐาน น้ำตาไหลพรากด้วยความยินดี

You saw me crying in the chapel          The tears I shed were tears of joy

ฉันได้เรียนรู้ความพึงพอใจดี                  แค่มีพระเจ้าฉันสุขจริงๆ

I know the meaning of contentment      Now I’m happy with the Lord

 

  1. โบสถ์เล็กๆ ที่เพียงแค่ธรรม (มะ) ดา ผู้คนเข้ามาใจถ่อมวิงวอน

Just a plain and simple chapel              Where humble people go to pray

ฉันขอพระพรให้ความเชื่อเพิ่มพูน         ดำเนินชีวิตในแต่ละวัน

I pray the Lord that I’ll grow stronger   As I live from day to day

 

** เสาะหา ฉันหาทาง แต่ฉันไม่เคยพบ

I’ve searched and I’ve searched But I couldn’t find

ไม่มีทางใดในโลกที่หมดทุกข์ **

No way on earth to gain Peace of mind **

 

  1. เดี๋ยวนี้ฉันมีความสุขแท้จริง ทุกคนพักพิงในองค์พระคริสต์

Now I’m happy in the chapel               Where people are of one accord

เป็นพี่น้องเพื่อนในการทรงส-ถิต         ร่วมสรรเสริญพระนามพระองค์

Yes, we gather in the chapel                Just to sing and praise the Lord

 

*** เสาะหา คุณหาทาง แต่คุณจะไม่พบ

You’ll search and you’ll search But you’ll never find

ไม่มีทางใดในโลกที่หมดทุกข์ ***

No way on earth to gain peace of mind ***

 

  1. ในโบสถ์เล็กๆ ให้คุณเข้าไปอธิษฐาน ด้วยจิตวิญญาณและด้วยความจริง

Take your troubles to the chapel               Get down on your knees and pray

แล้วภาระของคุณจะเบาลง                         คุณจะพบทางสว่างแน่นอน

Then your burdens will be lighter              And you’ll surely find the way

 

สามารถฟังได้ที่ : https://www.youtube.com/watch?v=CYOUcV7nlN8

 

พระเจ้าอวยพรครับ

 

วารสาร Holy News ฉบับที่ 1368

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  5  มิถุนายน  2022

เรื่อง “ฉลองวันที่ประตูสวรรค์  เริ่มเปิดรับมนุษย์ทุกคนบนโลก”

โดย พาสเตอร์ นคร  เวชสุภาพร

 

ขอบคุณพระเจ้า คริสตจักรครบรอบ 29 ปี อีก 2 เดือนเราก็ได้เวลาย้ายจากสถานที่นี้ ไปอยู่ที่จังหวัดสมุทรปราการ ที่แพรกษา ครั้งนี้เป็นการย้ายครั้งที่ 7 ตามพระคัมภีร์ เลข 7 คือครบถ้วนบริบูรณ์  เพราะฉะนั้น เราย้ายมาครบถ้วนบริบูรณ์แล้ว เรียบร้อยแล้ว แสดงว่าไม่ต้องย้ายอีกต่อไป จากนี้เริ่มต้น นับ 1 กับคริสตจักรที่ไม่ต้องย้ายไปไหนมาไหนอีกแล้ว เอเมน

พูดถึงตรงนี้แล้ว จริงๆ ไม่อยาก ไม่ต้องการให้เรามายึดถือเรื่องตัวเลข วันโน้น วันนี้ แต่มีอะไรบางอย่างที่เราสรรเสริญพระเจ้า เรามาหนุนจิตชูใจกันได้ เรามาคุยกันสนุกๆ ก็ดีเหมือนกัน ย้ายมา 7 แปลว่าสมบูรณ์

คำว่า “ย้ายมา 7 ครั้ง” หมายถึงทำงานมา 7 ครั้งแล้ว  หว่านมา 7 ครั้งแล้ว ครบถ้วนบริบูรณ์แล้ว ต่อไปนี้ เป็นหน้าที่ของการเก็บเกี่ยวแล้วนะ เพราะฉะนั้น การย้ายไปที่แพรกษา เป็นการเก็บเกี่ยว ผู้ที่หว่าน เหนื่อยยากกันมา 7 ปีแล้ว อย่าหนีไปไหนนะ ตามไปแพรกษา ไม่ต้องทำงาน ถึงเวลาเก็บเกี่ยวผลแล้ว นี่พูดในลักษณะของหนุนจิตชูใจซึ่งกันและกัน ในตัวเลข มันก็แปลกดี

และวันครบรอบคริสตจักรโฮลี่ ออฟ โฮลี่ส์นี้ วันสถาปนาคริสตจักรอภิสุทธิสถาน เมื่อ 29 ปีก่อน ก็คือวันเพ็นเทคอสต์ เพราะคริสตจักรโฮลี่ ออฟ โฮลี่ส์ของเราถือกำเนิดเกิดขึ้นในวันเพ็นเทคอสต์ เมื่อ 29 ปีที่แล้ว ทุกปี เราก็จะมีการมาฉลองเพ็นเทคอสต์นี้  แต่เราฉลอง 2 โอกาส  สำหรับคริสตจักรอื่นๆ ทั่วโลก เขาก็ฉลองแค่โอกาสเดียว ส่วนใหญ่ ก็คือเพ็นเทคอสต์ พระเยซูสถาปนาโลกวิญญาณ บนโลกใบนี้ แต่เราฉลองเพ็นเทคอสต์ด้วย คือ …

(1) ฉลองวันเพ็นเทคอสต์ตามลักษณะทั่วๆ ไป

(2) ฉลองวันครบรอบวันเกิดของคริสตจักรโฮลี่ ออฟ โฮลี่ส์ ด้วย

เพราะฉะนั้น เราฉลอง 2 อย่างเลย คือตามประเพณีชาวยิวโบราณ วันเพ็นเทคอสต์ ถือเป็นเทศกาลใหญ่ ในปฏิทินของชาวยิว เป็นเทศกาลขอบคุณพระเจ้า  สำหรับพืชผลที่เก็บเกี่ยว ทำงานมาแล้ว ตอนนี้ถึงเวลาเก็บเกี่ยว ชื่นใจ ยินดี  เก็บเกี่ยวผลงานที่เราทำ เหนื่อยยาก โดยชาวยิวจะนำพืชผลแรกที่เก็บเกี่ยวได้ในฤดูกาลนั้น มอบถวายแด่พระเจ้า เพื่อเป็นการขอบคุณ สำหรับผืนแผ่นดินและผลิตผลจากพระเจ้า ซึ่งทั้งหมดนี้ เล็งถึงพระเยซูคริสต์ ที่จะมาไถ่บาปให้กับมนุษยชาติ บนโลกใบนี้

คำว่า “เพ็นเทคอสต์” มีรากศัพท์มาจากภาษากรีก ที่แปลว่า “ห้าสิบ” วันเพ็นเทคอสต์ พระคัมภีร์เดิม ก็คือวันที่ 50 นับจากวันปัสกา หรือ Passover ซึ่งเป็นวันที่ชาวยิวได้รับการช่วยเหลือ ให้อพยพออกมาจากการเป็นทาสที่ประเทศอียิปต์ ซึ่งก็เล็งถึงการช่วยกู้ ทางฝ่ายวิญญาณของพระเยซูคริสต์นั่นเอง

ส่วนในพันธสัญญาใหม่ วันเพ็นเทคอสต์ คืออะไร? มาถึงช่วงเวลาของเราแล้วนะ พันธสัญญาใหม่ วันเพ็นเทคอสต์ ก็คือการระลึกถึงวันที่พระเจ้าทรงประทานพระวิญญาณบริสุทธิ์ ให้มาอยู่กับมวลมนุษยชาติ มาเพื่อผ่าตัดวิญญาณมนุษย์ ให้บังเกิดใหม่ ซึ่งเดี๋ยววันนี้เราจะเรียนรู้กัน พระวิญญาณบริสุทธิ์ เสด็จเข้ามา  เพื่อทำให้มนุษย์สามารถที่จะเข้าไปอยู่กับพระเจ้าได้ ให้มาอยู่กับมวลมนุษยชาติทุกคนที่ต้อนรับข่าวประเสริฐนี้ คือต้อนรับพระเจ้า ก็คือต้อนรับพระวิญญาณ “พระวิญญาณนี้” ก็คือพระวิญญาณของพระคริสต์ ซึ่งเป็นไปตามที่พระเจ้าได้ทรงสัญญาไว้ ในวันที่ 50 นับจากวันที่พระเยซูเป็นขึ้นมาจากตาย  ก็คือนับจากวันอีสเตอร์ที่เราฉลองกันมา 50 วัน จริงๆ ก็คือ 49 วัน ฉลองวันที่ 50

49 มาจากเลขอะไรนะ? 7×7 เป็น 49 … 7 สัปดาห์ เห็นไหม? มีความสมบูรณ์อีกแล้วนะ จะเก็บเกี่ยวแล้วนะ 7×7 ครบบริบูรณ์ปุ๊บ วันที่ 50 ก็เก็บเกี่ยวผล จากการลงแรง ลงใจ ทำงานไป การหว่านไป เหมือนที่ตะกี้นี้ผมเล่าให้ท่านฟังสนุกๆ เรื่องของเราย้ายมา 7 ครั้ง ครั้งนี้จะเก็บเกี่ยว

แล้ววันเพ็นเทคอสต์ ยังถือเป็นสัญลักษณ์ของคริสตจักรฝ่ายวิญญาณที่เริ่มต้นเก็บเกี่ยวทุ่งนาฝ่ายวิญญาณของพระเจ้าบนโลกใบนี้ ทุ่งนาฝ่ายวิญญาณของพระเจ้า ก็คือบรรดามวลมนุษยชาติ ได้ให้กำเนิดโดยวิญญาณของพระเจ้า ที่อยู่ข้างใน แต่ตกลงไปในความบาป ตกลงไปในการเป็นทาสของความตาย  พระเจ้าช่วยกู้เขาหลุดออกมา เห็นไหมมีการเก็บเกี่ยวดวงวิญญาณเกิดขึ้น

ที่เมื่อตะกี้นี้ บอกว่าวันเพ็นเทคอสต์ถือเป็นเทศกาลใหญ่ ประจำปีของปฏิทินของชาวยิว ที่มีการเฉลิมฉลองกันใหญ่โตมาก เขาระลึกถึงอะไรกัน ชาวยิวฉลองกันมาตั้งนานแล้ว ตั้งแต่สมัยโมเสส ฉลอง เพื่อระลึกถึงการช่วยกู้ จากการเป็นทาสในอียิปต์ ซึ่งทั้งหมด ก็เล็งถึงพระเยซูช่วยกู้เราจากการเป็นทาสของความบาป ความตาย

สำหรับคริสเตียน หรือผู้เชื่อ ถ้าได้ทราบความหมายแท้จริงของวันเพ็นเทคอสต์แล้ว เราก็จะทราบว่ามีความสำคัญไม่น้อยไปกว่าวันเทศกาลอื่นๆ ที่เฉลิมฉลองกัน อย่างเช่นวันอีสเตอร์ หรือวัน คริสตมาส เพราะวันเพ็นเทคอสต์ สำหรับคริสเตียน ก็คือวันสถาปนาสวรรค์ของพระเจ้า บนโลกใบนี้ ก็คือวันที่สวรรค์ของพระเจ้า ที่ตามนุษย์มองไม่เห็น จับต้องไม่ได้ ได้ลงมาตั้งอยู่บนโลกนี้แล้ว ทางฝ่ายวิญญาณนั่นเอง นี่คือหลัก นี่คือหัวใจสำคัญของวันเพ็นเทคอสต์นี้ และเป็นวันที่ประตูสวรรค์เริ่มเปิดรับมนุษย์ทุกคนบนโลก นี่ยิ่งสำคัญกว่า

วันเพ็นเทคอสต์ที่เราฉลองกันอยู่ ณ ขณะนี้ ในโลกฝ่ายวิญญาณ เป็นวันที่ประตูสวรรค์เริ่มเปิดรับมนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้ ให้เข้าไปอาศัยอยู่กับพระเจ้า อยู่อย่างเป็นผู้บริสุทธิ์ ศักดิ์สิทธิ์ตราบนิรันดร์ นี่คือวันที่สำคัญมาก สำหรับคริสเตียน และสำคัญมากกว่านั้นอีก คือสำหรับผู้ที่ยังไม่ได้เป็นคริสเตียน  นึกภาพนะ  เพราะฉะนั้น วันนี้ที่เรามาร่วมฉลองวันที่ประตูสวรรค์เริ่มเปิดรับมนุษย์ทุกคนบนโลกนี้  ก็คือฉลอง ระลึกถึงการช่วยกู้ทางฝ่ายวิญญาณของพระเจ้า ผ่านทางพระเยซูคริสต์ให้กับมนุษย์ทุกคน ซึ่งจะเป็นหัวข้อการบรรยายในวันนี้

หัวข้อบรรยายในวันนี้ “วันที่ประตูสวรรค์เริ่มเปิดรับมนุษย์ทุกคนบนโลกนี้” ผมจะเอาคำตรัสของพระเยซูคริสต์ตอนที่เดินอยู่บนโลกใบนี้ ก่อนที่จะทำการงานนี้ จนสำเร็จบนไม้กางเขน ในยอห์น 14:1-2 พระเยซูตรัสอย่างนี้ว่า …

ยอห์น 14:1-2  “1 อย่าให้ใจท่านทั้งหลายวิตกเลย ท่านวางใจในพระเจ้า จงวางใจในเราด้วย 2 ในพระนิเวศพระบิดาของเรา มีที่อยู่เป็นอันมาก ถ้าไม่มี เราคงได้บอกท่านแล้ว เพราะเราไปจัดเตรียมที่ไว้ สำหรับท่านทั้งหลาย”

 

พระองค์กำลังพูดถึงงานที่พระองค์จะทรงกระทำที่ไม้กางเขน การสิ้นพระชนม์และการเป็นขึ้นจากความตาย บอกกับสาวกว่าถ้าเกิดเห็นพระองค์ทรงตาย แล้วก็หายไปเลย ไม่เป็นขึ้นมาจากความตาย อย่าตกใจ แต่ให้วางใจในพระองค์ เหมือนที่ได้เชื่อในพระเจ้า แล้วก็บอกว่าในพระนิเวศน์ของพระเจ้า ก็คือในสวรรค์ของพระเจ้ามีที่มาก เรากำลังไป เพื่อเตรียมที่ ก็คือเตรียมสวรรค์ให้กับท่าน ไปเตรียมเมื่อไร? เตรียมตอนที่เราจากไป เมื่อท่านเห็นเราถูกตรึง สิ้นชีวิตที่ไม้กางเขนจริงๆ ท่านเห็นเอาศพลงมา เห็นกับตา ฝังอยู่ในอุโมงค์ ท่านจะเศร้าโศกเสียใจ เพราะตอนนั้น เรากำลังไปเตรียมสวรรค์กับท่าน มันหมายถึงอย่างนั้น  ในยอห์น 14:23 อีกข้อหนึ่ง …

ยอห์น 14:23  “ถ้าผู้ใดรักเรา เขาจะเชื่อฟังคำสอนของเรา พระบิดาของเราจะทรงรักเขา พระบิดากับเราจะมาหาเขาและอยู่กับเขา”

 

“ถ้าผู้ใดรักเรา” ก็คือถ้าคนไหน ที่เขาเชื่อฟังในเราว่าเราคือพระมาซีฮาห์ คือผู้นั้นที่พระเจ้าจัดเตรียมไว้ให้มาช่วยเหลือมนุษย์ทั้งหลาย  “และถ้าเขาเชื่อฟังคำสอนของเรา” ตอนเดินอยู่บนโลกนี้  พระองค์บอกว่าอย่าพึ่งพาการกระทำดี ด้วยตนเอง เพื่อจะไปสวรรค์ อย่าพึ่งพาความชอบธรรมของตนเองที่สร้างขึ้นมา ด้วยการกระทำ อย่าพึ่งพาตนเอง เพราะไปไม่รอดแน่ ท่านทำไม่ได้ครบถ้วน 100% หรอก  แต่ให้มาพึ่งในเรา วางใจในเรา ที่พระเจ้าได้ทรงประทานเราให้กับมนุษย์ทั้งปวง เพื่อช่วยท่านให้สามารถเข้าประตูสวรรค์ได้ มันหมายถึงอย่างนั้น คนไหนที่เชื่อฟังคำบอกเล่า คำสอนของเราอย่างนี้

ในนี้บอกว่า  “พระบิดาของเราจะทรงรักเขา  พระบิดาของเราจะมาหาเขา และอยู่กับเขา” คนไหนที่ทำตามที่พระเยซูสอน ก็คือวางใจในพระเยซูคริสต์ ต้อนรับพระเยซู เขาจะได้เข้าสวรรค์ แล้วพระบิดา พระบุตร พระวิญญาณจะไปทำบ้าน อาศัยอยู่ในตัวเขา พระเจ้าจะเข้าไปสถิตอยู่กับเขา ภายในเขาเลย ซึ่งเป็นข่าวดี ที่มาถึงมนุษย์ทุกคน ที่จะสามารถมีความหวัง เข้าสวรรค์ได้เลย ในขณะที่ยังดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ ในร่างกายนี้ เข้าอยู่ได้ทันที ไม่ต้องรอให้ตายก่อน นี่คือข่าวดีมากๆ

คือแต่ไหนแต่ไรมา  สิ่งที่มนุษย์เคยเรียนรู้กันมาตลอด ในทุกยุคทุกสมัย และแทบจะทุกความเชื่อเลย ก็คือมนุษย์ต้องสั่งสมความดี ต้องละเว้นการกระทำบาป เพื่อที่ว่าหลังจากที่ตายจากโลกนี้แล้ว จะสามารถไปอยู่ในสวรรค์ได้มั้ง!

คำสอนและความเชื่ออย่างนี้ เป็นข่าวที่เราได้ยิน ไม่ใช่ข่าวพิเศษ ไม่ใช่ข่าวดี แต่เป็นข่าวธรรมดาที่มนุษย์ทุกคนคุ้นเคยกันดี แต่ความเป็นจริง ก็คือมันเป็นความหวัง ที่ไม่แน่นอน  เป็นความหวังที่ต่อด้วยคำว่ามั้ง เพราะอย่างที่เราย้ำมาตลอดว่าไม่มีใคร ไม่ทำบาปเลย เพราะฉะนั้น ความเชื่อแบบนี้ จึงทำให้มนุษย์ไม่สามารถมั่นใจในชีวิตหลังความตายได้เลยว่าตัวเองจะได้ไปสวรรค์หรือไม่? ต้องทำดีแค่ไหน? ต้องละเว้นความบาปขนาดไหน? จึงจะเพียงพอเข้าสวรรค์ได้ ใช่หรือไม่? คิดในใจนะครับ

จนกระทั่งมีวันเพ็นเทคอสต์ วันที่เราเฉลิมฉลอง ระลึกถึง วันที่ 50 หลังจากที่พระเยซูคริสต์ได้เป็นขึ้นจากความตาย  มนุษย์ผู้ใดที่ทำตามเงื่อนไขของข่าวดีนี้ จึงสามารถมั่นใจได้ว่าได้ไปสวรรค์แน่นอน  โดยไม่ต้องพึ่งการกระทำใดๆ เลย ซึ่งวันนี้เราจะมาเรียนรู้กันว่าอะไรทำให้มนุษย์สามารถมั่นใจได้ว่าจะได้ไปสวรรค์อย่างแน่นอน จะอยู่ในสวรรค์หลังความตายอย่างแน่นอน  และเงื่อนไขที่จะทำให้เกิดความมั่นใจ คืออะไร?

คือหลังจากที่พระเยซูคริสต์ได้ทำภารกิจช่วยเหลือมนุษย์ทุกคน ให้รอดจากความพินาศในความบาป ด้วยการหลั่งพระโลหิต สิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน ถูกฝังไว้ในอุโมงค์ เป็นขึ้นจากความตายในวันที่ 3 และพอเป็นขึ้นจากความตายแล้ว ก็มาเดิน กิน ดื่ม สอน เรื่องสวรรค์ เป็นการยืนยัน เป็นพยานด้วยตนเองว่าพระองค์เป็นขึ้นจากความตายจริงๆ ชัดๆ สัมผัสแตะต้องได้ ตอบด้วยคำพูดของพระองค์เองเลยได้ สำหรับคนไหนที่ยังคงสงสัย ตอนที่พระองค์เป็นขึ้นจากความตาย มาอยู่กับสาวกอีก 40 วัน ก่อนที่จะเสด็จสู่สวรรค์ในโลกวิญญาณ ลอยขึ้นไปให้เห็นต่อหน้าต่อตามนุษย์เลย  เป็นพยานว่าพระองค์ทรงทำภารกิจ สำเร็จแล้วจริงๆ นี่คืออัศจรรย์ใหญ่ที่ทำให้เห็น เป็นพยานว่าพระองค์ทรงทำการงานเสร็จสิ้น และเป็นขึ้นจากความตายจริงๆ

ต่อจากนั้นอีก 10 วัน สวรรค์ของพระเจ้าในโลกวิญญาณได้ลงมาตั้งอยู่บนโลกใบนี้ “สวรรค์ของพระเจ้าในโลกวิญญาณ” ก็คือผลของการกระทำของพระเยซูคริสต์ ที่ได้เตรียมสวรรค์ไว้ให้กับมนุษย์ คือการสิ้นพระชนม์ของพระองค์ ที่ไม้กางเขน และการเป็นขึ้นจากความตายนั้น สวรรค์ของพระเจ้าในโลกวิญญาณ ก็ได้ลงมาตั้งอยู่บนโลกนี้ ซึ่งเป็นข่าวดี พิเศษ ข่าวดีแห่งพระคุณ อัศจรรย์ยิ่งใหญ่สำหรับมนุษยชาติทุกคน ไม่เคยมีมาก่อน ไม่เคยมีใครพูดเรื่องนี้มาก่อน  ไม่มีใครบอกอย่างนี้มาก่อน คิดก็ไม่ถึงด้วย ไม่เคยมีมาก่อนในประวัติศาสตร์ของมวลมนุษยชาติ บนโลกใบนี้เลย แม้แต่นิดเดียว เป็นเรื่องที่พิเศษ คือมนุษย์คนใดเปิดใจต้อนรับสวรรค์ ผ่านทางพระเยซูคริสต์ก็จะได้รับการย้ายเข้ามาอยู่ในสวรรค์เลยทันที ตอนที่ยังมีลมหายใจอยู่นี่แหละ โดยไม่ต้องพึ่งพาการกระทำอะไรของตนเองเลยแม้แต่นิดเดียว แต่พึ่งในการกระทำ ในพระคุณของพระเจ้า ผ่านทางพระเยซูคริสต์ พระบุตร ผู้ที่พระเจ้าได้จัดเตรียมไว้ให้ และทรงประทานให้กับมนุษยชาติ ซึ่งคือพระเยซูคริสต์ พระผู้ช่วยให้รอด พระมาซีฮาห์นั่นเอง เพื่อนำทาง เปิดทางมนุษย์ทุกคนให้สามารถเข้าสู่สวรรค์ได้

ไม่เคยมีใครประกาศเรื่องนี้มาก่อน จากวันนั้นมาถึงวันนี้ เกือบ 2,000 ปีแล้วที่ได้มีการประกาศถึงข่าวดีพิเศษนี้ แล้วท่านลองคิดดูว่าเป็นจริงขนาดไหน? เกิดผลมากขนาดไหนใน 2,000 ปีนี้ มาถึงทุกวันนี้ มันเหลือเชื่อแล้ว พระองค์ทรงเก็บเกี่ยวผลจากที่พระเยซูหว่าน กระทำไปทั้งหมด  คือเก็บเกี่ยวดวงวิญญาณของมนุษย์ไปเท่าไรแล้ว ความจริงในโลกวิญญาณ ที่มนุษย์ทุกคนควรใส่ใจ ใคร่ครวญ รับรู้อย่างลึกซึ้ง อย่าปฏิเสธ แม้ไม่เข้าใจ อยากจะขอร้องให้รับรู้ รับฟังไว้บ้าง? ไม่เสียหาย สำหรับผู้ที่ยังไม่เคยได้ยินข่าวดีพิเศษนี้ หรือเคยได้ยินแล้ว แต่ยังไม่เข้าใจมาก ยังไม่ได้ใช้สิทธิ์ ยังไม่ได้ยอมรับพระเยซูคริสต์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอด ตามที่พระเจ้าได้ทรงประทานให้นั้น อยากจะให้ท่านอย่าเพิ่งละเลยจากความสนใจในเรื่องนี้ ฟัง เก็บข้อมูลไว้ เท่าที่ทำได้  แล้วก็เก็บข้อมูลไปเรื่อยๆ วันหนึ่งท่านจะเข้าใจที่ผมกำลังอธิบายให้ท่านฟัง ตามพระคัมภีร์นี้

ความจริงในโลกวิญญาณ ที่มนุษย์ทุกคนควรใส่ใจ ใคร่ครวญ รับรู้อย่างลึกซึ้ง อย่าเพิกเฉย คือมนุษย์ทุกคนได้อาศัยอยู่ใน DNA ของอาดัม บรรพบุรุษคนแรก ซึ่งพระเจ้าให้กำเนิด  เป็นลูกที่รักของพระองค์ มี DNA ของชีวิตที่เต็มไปด้วยพระสิริ เหมือนพระเจ้า อยู่ในบ้าน คือสวรรค์ของพระองค์ ทุกสิ่งดี สมบูรณ์แบบ ไม่มีที่ติ เพราะถูกสร้างด้วยความรัก ด้วยพระสิริของพระองค์ ของพระเจ้าเอง แต่เมื่ออาดัมตัดสินใจทำตามการยุแยง การหลอกลวงของมาร ทำให้ไม่เชื่อฟังพระเจ้า ขัดคำสั่งพระเจ้า  ดื้อต่อพระเจ้า กบฏต่อพระเจ้า ทำให้ต้องถูกขับไล่ออกจากบ้าน ออกจากสวรรค์มาอยู่ตามลำพัง โดยพึ่งพาการกระทำของตนเอง แทนที่จะพึ่งพาการกระทำของพระเจ้า ตามที่พระเจ้าสร้างมนุษย์ขึ้นมานั้น

การกระทำของอาดัมนี้ เรียกว่าบาป คือไม่ได้เป็นไปตามเป้าหมาย หรือแผนการของพระเจ้าที่วางเอาไว้ ตั้งแต่แรก คือตั้งแต่เริ่มแรก พระเจ้าทรงสร้างมนุษย์ให้พึ่งพาพระองค์ในทุกสิ่ง และพระองค์ทรงกระทำให้ทุกสิ่งดี เรียบร้อย ดี สมบูรณ์ดี  ดีๆๆๆ และดี  สร้างสรรพสิ่งทั้งหลาย บ้านบนโลกใบนี้ ทุกสิ่งทุกอย่างบนโลกใบนี้ และบอกว่าดีๆ และก็สร้างมนุษย์ขึ้นมาเรียบร้อยแล้ว และบอกมนุษย์ว่าสำหรับมนุษย์นั้น ดีที่สุด เพราะเหมือนพระองค์

ไม่ได้ตั้งใจให้มนุษย์ต้องมาพึ่งพาการกระทำของตนเอง หาความรอบรู้ของตนเอง พึ่งตนเอง แต่สิ่งที่อาดัมทำไป เป็นการผิดเป้าหมายของพระเจ้า จึงเรียกการกระทำนี้ว่าผิดเป้าหมาย ซึ่งเป็นรากศัพท์ของคำว่า “บาป”  หรือภาษาเดิม ภาษากรีก เรียกว่า Miss the target คือพลาดจากเป้าหมายที่วางไว้ ไม่เป็นไปตามที่พระองค์ตั้งใจให้เป็น และโทษของความบาปนี่ คือความตาย ตายจากพระสิริของพระเจ้านั่นเอง  ผลที่เกิดขึ้น คือจาก DNA ของชีวิตที่เต็มไปด้วยพระสิริเหมือนพระเจ้า จากการที่ได้อยู่ในบ้าน คือสวรรค์ของพระเจ้า ที่ทุกสิ่งดีพร้อม สมบูรณ์แบบ ไม่มีที่ติ ต้องกลายมาเป็น มาอยู่นอกสวรรค์ ที่ไม่มีชีวิตของพระเจ้า ไม่มีพระเจ้าอยู่ด้วย ต้องอยู่ด้วยการพึ่งพาการกระทำของตนเอง คือทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว ตามที่ตัวเองต้องการ คือต้องการพึ่งตนเอง ซึ่งมนุษย์ โดยลำพังแล้ว ไม่มีทางเลย ที่จะทำให้ตัวเองสมบูรณ์แบบได้ หากปราศจาก DNA ชีวิตของพระเจ้า ที่เรียกว่าพระสิริ มนุษย์ไม่มีทางทำให้ตัวเองสะอาด บริสุทธิ์ได้เลย ไม่มีทางทำให้ตัวเองดีพร้อม ครบถ้วนบริบูรณ์เหมือนพระเจ้าได้เลย

และผลจากความบาปของอาดัม หรือผลจากการดื้อ การกบฏ การไม่เชื่อฟังของอาดัมนี้ ทำให้ส่งผลกระทบมาถึงตัวเราทั้งหลายทุกคนบนโลกใบนี้ ส่งผลกระทบมาถึงมวลมนุษยชาติทุกคน เพราะมนุษย์ทุกคนอาศัยอยู่ในอาดัม เมื่อ DNA ของอาดัมเปลี่ยนจาก DNA พระสิริของพระเจ้า มาเป็น DNA บาป ดื้อ กบฏ เป็นศัตรูกับพระเจ้า มนุษย์ทุกคนก็กลายเป็น มี DNA บาป กบฏ ดื้อ เป็นศัตรูกับพระเจ้าไปด้วย ซึ่งพระคัมภีร์ใช้คำว่า “พินาศอยู่ในอาดัม” บาปอยู่ในอาดัม

มนุษย์ทุกคนที่เกิดในครรภ์มารดา อยู่ในครรภ์ปั๊บ ก็อยู่ในสภาพพินาศ บาป ดื้อต่อพระเจ้า ต่อต้าน อย่ามาพูดเรื่องพระเจ้าให้ฟัง โดยที่ตัวเอง ยังไม่รู้เรื่องอะไร ยังไม่มีเหตุผล เพราะเกิดมาอยู่ในความพินาศ ในความตายและความบาป คือตายจากพระสิริของพระเจ้า ตายจากความดีพร้อมที่สมบูรณ์แบบ เหมือนพระเจ้า และต้องดำเนินชีวิตอยู่ภายใต้กฎแห่งการพึ่งพา การกระทำของตนเอง คือต้องกระทำดี และละเว้นการกระทำชั่ว เพื่อพยายามทำให้ตัวเองดีพร้อม บริสุทธิ์เหมือนพระเจ้า ซึ่งไม่มีมนุษย์คนไหนสามารถทำได้เลย ใช่หรือไม่? ลองคิดถึงตนเอง ชีวิตเรา ทุกคนบนโลกใบนี้ เป็นอย่างนี้หมด  เกิดมา ก็อยากจะตั้งใจทำดี  และรู้ว่าทำชั่ว ไม่ดีแน่นอน แล้วหยุดทำได้ไหม? ได้บ้าง พยายามทำหมด ดีพร้อมได้ไหม? ไม่ได้ ทุกคนเกิดมา ก็จะอยู่ในวงเวียนตรงนี้  เรียกว่ากฎแห่งศีลธรรม  กฎแห่งการทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว เพราะบรรพบุรุษเราเอากฎนี้เข้ามา  เพื่อดูแลชีวิตของตนเองและครอบครัว

พระเจ้าทำอย่างไร? พระเจ้าจะแก้ไข ก็คือจะต้องทำให้มนุษย์คนนั้น ที่ตายจากพระสิริของพระเจ้าไปแล้ว ต้องทำให้เขาได้เกิดใหม่ มันซ่อมไม่ได้แล้ว มันเสียหายไปแล้ว มันตายไปแล้ว ต้องทำให้เขาได้เกิดใหม่นั่นเอง ยอห์น 3:3-6 พระเยซูพูดถึงเรื่องการเข้าสู่สวรรค์ด้วยวิธีใด? …

ยอห์น 3:3-6  “3 พระเยซูตรัสตอบ โดยประกาศว่า ‘เราบอกความจริงแก่ท่านว่าไม่มีใครเห็นอาณาจักร (สวรรค์) ของพระเจ้าได้ ถ้าเขาไม่บังเกิดใหม่’ 4 นิโคเดมัสทูลถามว่า ‘คนจะเกิดใหม่ได้อย่างไร เมื่อเขาแก่แล้ว แน่นอน เขาไม่อาจเข้าไปในครรภ์มารดาเป็นครั้งที่สอง เพื่อเกิดออกมาใหม่’ 5 พระเยซูตรัสตอบว่า ‘เราบอกความจริงแก่ท่านว่าไม่มีใครสามารถเข้าอาณาจักรของพระเจ้าได้ ถ้าเขาไม่ได้เกิดจากน้ำ (ในครรภ์ คือเป็นมนุษย์) และ (เกิดใหม่ทางวิญญาณ) โดยพระวิญญาณ 6 มนุษย์ให้กำเนิดมนุษย์  แต่พระวิญญาณให้กำเนิดวิญญาณ”

 

“ไม่มีใครเห็นอาณาจักรสวรรค์ของพระเจ้าได้ ถ้าเขาไม่ได้บังเกิดใหม่” ไม่มีใครสามารถเข้าอาณาจักรสวรรค์ของพระเจ้าได้ ก็คือเข้าสวรรค์ไม่ได้ ถ้าเขาไม่ได้เกิดจากน้ำ ก็คือน้ำคร่ำในครรภ์ ก็คือมนุษย์นั่นเอง และเกิดใหม่ทางวิญญาณ โดยพระวิญญาณ  เพราะฉะนั้น เขาต้องเกิดใหม่ โดยพระวิญญาณ ในวิญญาณเขาต้องเกิดใหม่

ถามว่า … “ทำไมต้องเกิดใหม่”

เพราะวิญญาณเดิมที่ตะกี้เราเรียนรู้ไปแล้ว มันตายอยู่ ตายจากพระสิริของพระเจ้า เพราะฉะนั้น การกำเนิดใหม่ ตรงที่พระเยซูกำลังพูดนี้ คือการเกิดใหม่ เพื่อกลับมาสู่พระสิริของพระเจ้า กลับมาคืนดีเหมือนเดิม กลับมาเป็นที่เดิม จากตายออกจากบ้านไปแล้ว ตอนนี้ให้กลับมาอยู่ในบ้านเหมือนเดิม

ข่าวดี คือมนุษย์เลือกที่จะเกิดอีกครั้งในวิญญาณได้เดี๋ยวนี้เลย ทันทีเลย ไม่ต้องพึ่งพาการกระทำของตนเอง นี่คือข่าวดีพิเศษ สำหรับเรื่องของวันเพ็นเทคอสต์ วันที่สวรรค์ได้ลงมาตั้งอยู่บนโลกใบนี้แล้ว และประตูสวรรค์ได้เปิดออกแล้ว ข่าวดี คือมนุษย์เลือกที่เข้าประตูสวรรค์นี้ได้ เลือกที่จะบังเกิดใหม่ในวิญญาณได้เดี๋ยวนี้ ทุกเมื่อ ทุกวินาที ทุกนาทีนี้ได้เลย ถ้าเผื่อยังไม่ได้เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ ถ้ายังไม่ได้บังเกิดใหม่ ถ้ายังไม่ได้เข้าประตูสวรรค์ ยอห์น 1:12-13 พระเยซูพูดกำชับดังนี้ว่า …

ยอห์น 1:12-13 “12 ส่วนคนทั้งปวงที่ยอมรับพระองค์ ผู้ที่เชื่อในพระนามของพระองค์  พระองค์ก็ประทานสิทธิ (ฤทธิ์เดช) ให้เป็นบุตรของพระเจ้า 13 คือเป็นบุตรที่ไม่ได้เกิดจากการสืบเชื้อสายตามธรรมชาติ หรือจากการตัดสินใจของมนุษย์ หรือจากเจตจำนงของสามี แต่เกิดจากพระเจ้า”

 

“ส่วนคนทั้งปวงที่ยอมรับพระองค์”  คือยอมรับว่าพระเยซูเป็นผู้นั้น ที่พระเจ้าส่งมา เพื่อช่วยมนุษย์ เพื่อช่วยฉันให้รอดพ้นจากการตายจากพระสิริของพระเจ้า ให้ฉันได้สามารถเข้าสวรรค์ได้ ให้ฉันสามารถบังเกิดใหม่ได้ คนนั้น คนที่ยอมรับ สิทธิของเขาก็ได้รับสิ่งที่พระเยซูคริสต์ทำให้กับเขาเรียบร้อยไปแล้ว ที่ไม้กางเขน

พอยอมรับปุ๊บ พระเยซูจะประทานฤทธิ์เดชอำนาจให้เขาได้บังเกิดใหม่ เป็นบุตรของพระเจ้า บังเกิดใหม่ด้วยฤทธิ์อำนาจ คือการกระทำของพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่จะเข้ามา เมื่อเราเปิดใจต้อนรับข่าวดีนี้นั่นเอง พระองค์ก็ประทานสิทธิ

ซึ่งคำว่า “สิทธิ” ในภาษาเดิมมีใช้ในคำภาษาอังกฤษว่า “Power” เป็น Power จริงๆ เป็นฤทธิ์เดชอำนาจจริงๆ

พระองค์ประทานฤทธิ์เดชอำนาจให้เขาได้บังเกิดใหม่ เป็นบุตรของพระเจ้าทันที มีอะไรบางอย่างเกิดขึ้นบนโลกวิญญาณที่ยิ่งกว่าพลังงานปรมาณู ทำให้วิญญาณของเราที่ตายอยู่ ได้สามารถบังเกิดใหม่ได้ ใครก็ตามที่ต้อนรับข่าวดีของพระเยซู ต้อนรับพระเยซูคริสต์ พระเยซูก็ได้ให้ฤทธิ์เดชอำนาจนี้ ในชีวิตของเขา ในร่างกายของเขาทันที เปิดใจต้อนรับข่าวดีนี้ปุ๊บ พระวิญญาณจะเสด็จเข้าไปในวิญญาณของคนนั้นทันที เข้าไปทำให้วิญญาณของคนนั้น ได้เข้าสู่ขบวนการของการบังเกิดใหม่ เป็นลูกของพระเจ้าทันที นี่คืออัศจรรย์ยิ่งใหญ่ที่สุด ในมหาจักรวาล ที่พระเจ้าสามารถกระทำให้ได้กับมนุษย์ทุกคน

นี่คืออัศจรรย์ยิ่งใหญ่มากๆ และพระเจ้าพระบิดา พระเจ้าพระบุตร พระเยซู พระเจ้าพระวิญญาณ ก็จะได้เสด็จเข้ามาอยู่ในร่างกาย ที่พระวิญญาณได้ทำให้เราได้บังเกิดใหม่แล้ว เพราะว่าพอบังเกิดใหม่แล้ว มันสะอาดบริสุทธิ์ สามารถเป็นที่อยู่อาศัยของพระเจ้าได้ พระเจ้าพระบิดา พระเจ้าพระบุตร พระเยซู พระเจ้าพระวิญญาณบริสุทธิ์ก็เสด็จเข้ามาสถิตอยู่ในร่างกายของคนๆ นั้น คนๆ นั้น ก็เป็นหมือนสวรรค์ ที่เดินอยู่บนโลกใบนี้ เข้าไปอยู่ในสวรรค์ทันที โรม 8:9 บันทึกไว้อย่างนี้ …

โรม 8:9 “ โดยความเป็นจริง ถ้าพระวิญญาณของพระเจ้าได้สถิตอยู่ในพวกท่าน (โดยการเกิดใหม่) แล้ว ท่านก็ไม่ได้กำลังอาศัยอยู่ในบาป อยู่ในเนื้อหนังในอาดัม แต่ท่านได้กำลังอาศัยอยู่ในพระวิญญาณในพระคริสต์ ใครก็ตามที่ไม่มีพระวิญญาณของพระคริสต์สถิตอยู่ภายใน คนนั้นก็ไม่ได้ (บังเกิดใหม่) เป็นของพระองค์”

 

พอบังเกิดใหม่ พระวิญญาณของพระคริสต์สถิตอยู่ในเรา อยู่ในคนๆ นั้น ถ้าไม่ได้บังเกิดใหม่ พระวิญญาณก็ไม่ได้สถิตอยู่ในเขา ในโลกวิญญาณ เขาก็อยู่ที่เดิม คือเกิดจากครรภ์มารดา ก็อยู่ในอาดัม อยู่ในบาป อยู่ในการเป็นศัตรูกับพระเจ้า

ตัวตนที่แท้จริงของมนุษย์ทุกคน คือวิญญาณ ระบบของความบาปบนโลกใบนี้ พยายามที่จะปิดบังตามนุษย์ทั้งหลายไม่ให้รู้ความจริงตรงนี้ ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญ คือมนุษย์เป็นวิญญาณ ไม่ใช่มีวิญญาณนะ เป็นวิญญาณ และมันจะอยู่ตลอดไป อยู่ที่ไหน? ก็สถานที่แห่งใดแห่งหนึ่งในโลกฝ่ายวิญญาณนั่นเอง  เรารู้ความจริงเมื่อสักครู่นี้แล้ว ที่พระคัมภีร์บอกให้ฟังแล้วว่าเราเกิดมา วิญญาณเราก็อยู่ในที่ที่ไม่มีพระเจ้า เป็นศัตรูกับพระเจ้า และเราจะอยู่อย่างนั้นตลอดไป ถ้าไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง

เพราะฉะนั้น วิญญาณของมนุษย์จะอยู่ในสถานที่ใดที่หนึ่ง ในโลกวิญญาณ ที่มองไม่เห็น จับต้องไม่ได้ แต่มีอยู่จริงๆ จริงกว่าโลกวัตถุที่จับต้องมองเห็นได้ด้วยซ้ำไป จริงกว่า มากกว่าด้วยซ้ำ พระคัมภีร์บอกสิ่งที่มนุษย์มองไม่เห็น จับต้องไม่ได้ คือโลกวิญญาณนั้น อยู่ถาวรนิรันดร์ ไม่มีการดับสูญ แต่สิ่งของที่มองเห็นได้นั้น มันอยู่เพียงชั่วคราว เดี๋ยวมันก็เปลี่ยนแปลงไปแล้ว

ยกตัวอย่างง่ายๆ วิญญาณของเราจะอยู่ตลอด แต่ร่างกายเรา เมื่อถึงวันเวลา ถูกกำหนดไว้แล้วว่าจะต้องสูญสิ้น ก็คือวิญญาณตายจากร่างกาย  ร่างกายจะต้องสู่ดินไป วิญญาณออกไปอยู่ที่ไหน? ในโลกฝ่ายวิญญาณเป็นอย่างไร?  นั่นคือสิ่งที่สำคัญและจะอยู่ตลอดไป

พระเจ้าบอกความจริงกับเราว่ามนุษย์ทั้งหลาย เกิดมาจากครรภ์มารดา ร่างกายอยู่บนโลกวัตถุที่จับต้องมองเห็นได้ แต่วิญญาณภายในอยู่ในโลกวิญญาณ อาศัยอยู่ในอาณาจักรแห่งความมืด ในความบาป ในอาดัม บรรพบุรุษ อยู่ภายใต้กฎแห่งการกระทำดีและชั่ว และพยายามพึ่งพาการกระทำดีด้วยตนเอง เพื่อจะได้เข้าไปอยู่ในอาณาจักรแห่งความสว่าง ในสวรรค์กับพระเจ้า โดยที่จะรู้ตัวหรือไม่รู้ตัวก็ตาม มนุษย์ทุกคนเป็นอย่างนี้ เกิดมาก็เป็นอย่างนี้แล้ว กระเสือกกระสน พยายามที่จะเข้าหาสวรรค์ให้ได้ โดยการพึ่งพาความคิดของตนเอง การกระทำของตนเองว่าทำอย่างนี้ มันดี และจะได้ไปสวรรค์ ทำอย่างนี้ไม่ดี จะไม่ได้เข้าสวรรค์ นี่คือการพึ่งพาที่มนุษย์ทุกคนเป็นอยู่ ตามที่พระคัมภีร์บอก

ซึ่งพระเยซูตรัสว่าการพยายามกระเสือกกระสนของมนุษย์ ที่จะเข้าสู่สวรรค์นั้น มันไม่มีทางเกิดขึ้น มันไม่มีทางเป็นไปได้ พระเยซูบอกมันไม่มีที่จะดีพร้อม 100% ไปได้เลย ท่านไม่สามารถจะดีพร้อมเหมือนพระเจ้าไปได้เลย ด้วยการกระทำของท่านเอง เป็นไปไม่ได้ ถ้าท่านจะเข้าสวรรค์ท่านต้องดีพร้อมเหมือนพระเจ้า 100%

พระเยซูจึงบอกว่าท่านจึงจำเป็นต้องบังเกิดใหม่ ภาษาเดิม คือเกิดอีกครั้ง เกิดใหม่หรือเกิดอีกครั้ง อันเดียวกัน หมายถึงเกิดจากครรภ์มารดา ในน้ำคร่ำ ในมดลูก เป็นมนุษย์ วิญญาณตายอยู่ แล้วต้องมาเกิดอีกครั้งหนึ่ง คือวิญญาณที่ตายได้รับการชุบให้เป็นขึ้นจากความตาย โดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า ด้วยฤทธิ์เดชอำนาจของพระเยซูที่ประทานให้ ผ่านทางพระวิญญาณบริสุทธิ์ ชุบให้วิญญาณนั้นเป็นขึ้นจากความตาย เรียกว่าเกิดอีกครั้ง ด้วยพระสิริของพระเจ้า ต้องมาเกิดใหม่อีกครั้งหนึ่ง คือนอกจากเกิดจากครรภ์มารดาแล้ว ต้องเกิดใหม่ในวิญญาณ จากพระวิญญาณบริสุทธิ์ด้วย จึงจะสามารถบริสุทธิ์ดีพร้อม เข้าไปอยู่ในอาณาจักรของความสว่าง อาณาจักรสวรรค์ของพระเจ้า ที่ตนเองแสวงหามาตลอดชีวิตนั้น เป็นไปได้แล้ว

เพราะฉะนั้น มนุษย์ทุกคนบนโลกขณะนี้ ก็ต้องอยู่ในที่ใดที่หนึ่ง ในโลกฝ่ายวิญญาณใช่หรือไม่? เรากำลังพูดถึงเรื่องโลกฝ่ายวิญญาณ เรื่องของพระเจ้าเป็นเรื่องของโลกฝ่ายวิญญาณทั้งสิ้น พระเยซูบอกเรื่องอะไรต่างๆ บนโลกใบนี้ ที่จับต้องมองเห็น มันก็มีประโยชน์อยู่บ้าง แค่นั้น แต่เดี๋ยวมันก็สูญสิ้นไปแล้ว แต่สิ่งที่เราพูดนั้น เป็นวิญญาณและเป็นชีวิต และเป็นวิญญาณที่ให้ชีวิต เป็นเรื่องเกี่ยวกับโลกวิญญาณทั้งสิ้น เพราะฉะนั้น มนุษย์ทุกคนบนโลกในขณะนี้ ในวิญญาณต้องอยู่ในที่ใดที่หนึ่ง ในโลกวิญญาณ คือไม่อยู่ในอาดัม ก็อยู่ในพระคริสต์ …

“ในอาดัมหรือในพระคริสต์ ในบาปหรือในความชอบธรรม ในที่ที่ไม่มีพระเจ้า ไม่มีสิริของพระเจ้า  หรือในสวรรค์ที่เต็มด้วยสิริของพระเจ้า”

ต้องอยู่ที่ใดที่หนึ่งแน่นอน ไม่มีการบอกว่าขออยู่ 2 ข้าง ขออยู่ตรงกลาง ไม่มีครึ่งๆ กลางๆ ไม่มืดก็สว่าง ไม่มีอยู่สลัวๆ ไม่ดำก็ขาว ไม่ใช่อยู่ตรงเทาๆ ไม่มี ต้องตัดสินใจอยู่ที่ใดที่หนึ่ง พระคัมภีร์จึงใช้คำว่า …

“หันหลังกลับ 180 องศา”

พอเชื่อในข่าวดีนี้แล้ว จากอยู่ในอาดัม หันหลังกลับ 180 องศา มาอยู่ในพระคริสต์ อยู่ในสวรรค์ ไม่มีหัน 90  องศา อยู่มันทั้ง 2 ข้างเลย เป็นไปไม่ได้

นี่คือเรากำลังพูดถึงความจริงในโลกวิญญาณ ในหนังสือโคโลสี 1:13-14 ได้บอกชัดเจนอย่างนี้เลยว่าคนที่จะเข้าไปอยู่ในสวรรค์ได้ มันต้องเป็นลักษณะอย่างนี้ …

โคโลสี 1:13-14  “13 เพราะพระองค์ได้ทรงช่วยเราให้พ้นจากอาณาจักรของความมืด และทรงนำเรา ย้ายเราเข้ามาสู่อาณาจักรของพระบุตร (พระเยซูคริสต์) ที่รักของพระองค์ 14 ในพระบุตร (พระคริสต์) นี้ เราได้รับการไถ่บาป คือการอภัยโทษบาปของเรา”

 

พระเจ้าได้ทำการย้ายเรา ก็คือย้ายวิญญาณของเรา ตัวตนของเรายังอยู่ในเมืองไทย อยู่ในกรุงเทพ อยู่ในสมุทราปราการ อยู่ที่แพรกษา อยู่ที่จังหวัดขอนแก่น อยู่จังหวัดอะไรก็ตาม ก็ยังอยู่ที่นั่นแหละ  แต่พอเราเชื่อในข่าวประเสริฐ เปิดใจต้อนรับข่าวดีนี้ ทันทีทันใดนั้น พระวิญญาณเสด็จเข้ามาในร่างกายของเรา ทำการผ่าตัดวิญญาณ ตัวเรายังอยู่ที่เดิม ย้ายวิญญาณของเรา วิญญาณของผู้ที่เชื่อในข่าวดี ยอมรับว่าพระเยซูเป็นพระผู้ช่วยให้รอดนี้ พอยอมรับ พระวิญญาณเข้าไปย้ายวิญญาณของเขา  ย้ายออกจากในอาดัม ย้ายมาอยู่ในพระคริสต์ นี่คือสิ่งที่ชัดเจนในพระคัมภีร์ไบเบิ้ลของคริสเตียน โดยเฉพาะพระคัมภีร์ใหม่ ได้พูดชัดเจนอย่างแจ่มแจ้งเลยว่ามันมีการอย่างนี้เกิดขึ้นจริงๆ ตามองไม่เห็น หูไม่ได้ยิน แต่เมื่อเราปฏิบัติตาม เราจะรู้จากข้างในจริงๆ ว่าเราได้รับการย้ายแล้ว ย้ายออกจากอาดัมมาอยู่ในพระคริสต์ จากตายจากพระเจ้ามาเกิดใหม่ อยู่กับพระเจ้า จากการเป็นทาสของความบาป การพึ่งพาการกระทำของตนเอง กลับกลายเป็นลูกของพระเจ้า ที่พึ่งพาพ่อ 100% ย้ายเราออกจากอาณาจักรของความมืด ไม่มีพระเจ้า ไม่มีพระสิริ มาสู่อาณาจักรของความสว่างของพระบุตร พระเยซูคริสต์ที่รักของพระองค์  ก็คืออาณาจักรสวรรค์นั่นเอง อาณาจักรสวรรค์ที่พระเยซูนำเข้ามาบนโลกใบนี้ เมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว วันเพ็นเทคอสต์ เปิดประตูสวรรค์ นี่คือข่าวดี

ข่าวดีพิเศษ ก็คือทั้งหมดนี้ มนุษย์ทุกคนเลือกที่จะเกิดใหม่อีกครั้ง หรือเกิดอีกครั้งในวิญญาณได้ เลือกได้ทันทีเลย เพราะฉะนั้น ไม่ได้อยู่ที่พระเจ้า พระเจ้าให้หมดเรียบร้อยแล้ว พระเยซูก็ทำสำเร็จเรียบร้อยหมดแล้ว  ไม่มีการรออะไรเลย รออย่างเดียว คือรอให้มนุษย์ตัดสินใจเลือก (ข้าง) นั่นเอง จะอยู่ข้างเหมือนเดิม พึ่งพาตนเองต่อไป หรือจะพึ่งพาพระเยซู จะพึ่งพาการกระทำดีของตนเอง เพื่อหวังว่าจะไปสวรรค์ หลังความตาย หรือจะพึ่งพระเยซู ถ้าเลือกตัดสินใจพึ่งพระเยซู หันหลังกลับ 180 องศา เรียกว่ากลับใจใหม่ แค่นั้นเอง นี่คือข่าวดี มนุษย์ทุกคนเลือกที่จะเกิดอีกครั้งในวิญญาณได้ เพียงแค่เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์มาเป็นพระผู้ช่วยให้รอดเท่านั้น คือยอมรับว่าพระองค์ผู้นี้แหละ คือพระเจ้า ที่พระองค์ทรงแต่งตั้งไว้ให้เป็นผู้ช่วยให้มนุษย์รอดจากนรก รอดจากบาป รอดจากความพินาศในวิญญาณ  แค่นี้เอง แล้วพระองค์ทรงกระทำสำเร็จเรียบร้อยแล้ว  ที่ไม้กางเขน เป็นข่าวดีมาถึงเรา เรายอมรับ เราเอาด้วย เราก็ตัดสินใจรับสิทธิของเราเท่านั้น

พอเปิดใจต้อนรับ แล้วเกิดอะไรขึ้น? พระวิญญาณของพระคริสต์ ก็จะเข้าไปในร่างกายของคนๆ นั้น ทำอัศจรรย์กิจการงานใหญ่โตมากมาย มโหฬาร ยิ่งกว่าสร้างโลกนี้อีก เกิดขึ้นที่ภายในวิญญาณ ภายในร่างกายของคนๆ นั้น ที่ย้ำให้เห็นคนๆ นั้น เพราะไม่ใช่กลุ่มคน แต่เฉพาะคนๆ นั้นเลย เพราะฉะนั้น หมายความว่าไม่ว่าคนๆ นั้นจะอยู่ที่ไหน? อยู่ในป่าลึก อยู่ในห้องโดดเดี่ยว อยู่ในถ้ำ อยู่ที่ไหนก็ตาม อยู่คนเดียวก็ตาม เขาสามารถเปิดใจ เมื่อเขาเชื่อในข่าวประเสริฐนี้ เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์แค่นั้นเอง อัศจรรย์ยิ่งใหญ่มหาศาลเกิดขึ้นทันทีในตัวเขา และอัศจรรย์ยิ่งใหญ่นี้ ก็คือการทำให้เขาได้บังเกิดใหม่อีกครั้งทันที  และย้ายวิญญาณของเขา เข้าสู่ขบวนการการบังเกิดใหม่อีกครั้งหนึ่ง เพื่อกลับคืนดีกับพระเจ้า มาอยู่ในสวรรค์กับพระองค์ทันที เหมือนที่พระองค์ได้ทรงตั้งใจไว้ ตั้งแต่แรกเริ่มสร้างมนุษย์แล้วว่ามนุษย์จะพักผ่อนมีความสุข เสวยสุขอยู่กับพระองค์ตลอดชั่วนิรันดร์กาล โดยไม่ต้องทำอะไรเลย เพราะว่าเป็นพระประสงค์ของพระองค์ พระองค์ทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งหลาย เพื่อให้มนุษย์ใช้สอยเพียงอย่างเดียว  ไม่ต้องรับผิดชอบอะไรเลย  เขาเรียกว่าพัก หายเหนื่อย และเป็นสุข

เพราะฉะนั้น สรุปวันนี้จึงเห็นภาพชัดเจน ที่แบ่งออกมาเป็น 3 ขั้นตอนได้ …

(1) สวรรค์ตั้งอยู่แล้ว ประตูเปิดรอแล้ว นึกถึงวันเพ็นเทคอสต์ เฉพาะคริสเตียนเท่านั้นที่เคยได้ยิน หรือเคยได้ฟัง เคยได้รับรู้เพ็นเทคอสต์ หรือแม้กระทั่งคริสเตียนบางคน ก็อาจจะไม่รู้ด้วยซ้ำไป ซึ่งไม่จำเป็นต้องรู้

สำหรับมนุษย์ที่ยังไม่ได้ต้อนรับพระเยซูคริสต์ ยังไม่ได้เป็นคริสเตียน ยิ่งไม่จำเป็นต้องรู้เพ็นเทคอสต์ เอาเป็นว่าสวรรค์ลงมาตั้งอยู่บนโลกใบนี้แล้ว ประตูเปิดรอรับเรียบร้อยแล้ว ประมาณ 2,000 ปีมาแล้ว พระเยซูได้นำสวรรค์ลงมาตั้งอยู่ และเปิดประตูสวรรค์รอแล้ว

(2) ทุกคนที่จะเข้าประตูสวรรค์ต้องได้รับการบังเกิดใหม่

(3) บังเกิดใหม่ คือต้องผ่านการต้อนรับพระเยซูคริสต์เข้ามาในชีวิตเท่านั้น ไม่มีทางอื่น พระคัมภีร์จึงบอกว่านามเดียวที่มาสู่ความรอด ไปสวรรค์ได้  คือนามพระเยซูคริสต์เท่านั้น

พระเยซูจึงตรัสด้วยตัวพระองค์เองว่า … “นอกจากทางเราแล้ว ไม่มีทางอื่น ท่านจะไปหาพระบิดา อยู่ในสวรรค์กับพระองค์ได้ ต้องผ่านทางเราเท่านั้น

มีใครกล้าพูดอย่างนี้บ้าง? … “ผ่านทางผมคนเดียวเลยนะ ทั้งโลกเลย ตั้งแต่สมัยอดีตมา ไม่รู้กี่พันปีมาแล้ว จนกระทั่งจากนี้ต่อไป จนสิ้นโลกเลย ไม่มีทางเข้าสู่สวรรค์เลย นอกจากทางเราเท่านั้น”

และเป็นจริงมา 2,000 ปีแล้ว เราพิสูจน์ได้ วิญญาณของใครก็ตามที่ได้เกิดใหม่ พอเกิดใหม่ปั๊บ สิ่งหนึ่งที่ตามมา ก็คือวิญญาณของคนๆ นั้น จะเป็นเหมือนพระเจ้า  คุณลักษณะหนึ่งในนั้น ก็คือเขาจะสามารถมีตาฝ่ายวิญญาณที่มองเห็นโลกฝ่ายวิญญาณได้ รับรู้ได้จากภายใน สิ่งที่ตัวเองคิดว่าจะไม่เชื่อมาก่อน ก็จะสามารถที่จะเชื่อได้ เพราะฉะนั้น สวรรค์ในอดีต ก่อนที่เราจะรับเชื่อ ก่อนที่เราจะบังเกิดใหม่ พูดถึงสวรรค์ๆๆ ก็เชื่อว่ามีสวรรค์ แต่เห็นไหม? ไม่เห็น แต่พอมาเป็นคริสเตียน พอมาบังเกิดใหม่ มีวิญญาณใหม่ ตาวิญญาณเปิดออก เชื่อในเรื่องสวรรค์ มันเห็น เห็นด้วยความเชื่อว่ามีอยู่จริง เป็นอยู่จริงๆ

“ตอนนี้ฉันได้บังเกิดใหม่ในวิญญาณ  วิญญาณฉันอยู่กับพระเจ้าในสวรรคสถานเรียบร้อยแล้ว วิญญาณฉันขณะนี้อยู่ในพระคริสต์ อยู่ในสวรรค์แล้ว แต่ฉันยังอาศัยอยู่ในร่างกายเดิมนี้อยู่ ซึ่งถูกกำหนดให้ต้องสูญสิ้นไปในวันหนึ่ง ก็คือตายจากร่างกายนี้ เมื่อร่างกายนี้ตายจากไปเมื่อไร? วิญญาณฉันออกจากร่างเมื่อไร? ฉันก็จะไปรับร่างกายใหม่ ที่พระเจ้าจัดเตรียมไว้ให้เรียบร้อยแล้ว ในสวรรคสถาน ซึ่งเป็นร่างกายที่เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์เลย ที่เป็นขึ้นจากความตายไม่มีผิดเลย พอรับร่างกายใหม่เสร็จ ฉันก็อยู่ที่เดิม ก็คืออยู่ที่สวรรค์ อยู่กับพระเจ้าพระบุตร พระเจ้าพระวิญญาณ และพระเจ้าพระบิดาด้วย

และเมื่อวิญญาณฉันออกจากร่างเมื่อไร? ร่างกายที่อ่อนแอนี้ ฝัง ตายไป วิญญาณที่ออกจากร่างและร่างกายใหม่ ที่สมบูรณ์พร้อม เหมือนพระเยซูคริสต์ ที่ฉันได้รับ เข้าไปสวมเมื่อไร? ฉันจะเห็นพระเจ้าหน้าต่อหน้า เห็นพระเยซูคริสต์หน้าต่อหน้า เห็นพระวิญญาณบริสุทธิ์หน้าต่อหน้า เห็นตัวเองหน้าต่อหน้าว่าตัวเองมีสง่าราศี ตามที่พระคัมภีร์เขียนไว้ว่าอย่างไร? ว่าเป็นบุตรของพระเจ้า เป็นลูกของพระเจ้า ที่ได้บังเกิดใหม่ในพระเยซูคริสต์แล้ว สง่าราศีเป็นเหมือนพระเยซูคริสต์ หน้าตาตัวเองเป็นอย่างไร? นอกจากนั้น ฉันจะเห็นพี่น้องทั้งหลาย ที่ร่วมเชื่อในพระเยซูคริสต์เหมือนกับฉัน ที่เป็นคริสเตียน ที่ล่วงหลับไปก่อนนั้นอีกมากมาย เราจะอยู่ในสวรรค์อย่างนั้นชั่วนิรันดร์”

เขาจะเห็นสิ่งต่างๆ เหล่านี้ เพราะเขาได้บังเกิดใหม่ ด้วยฤทธิ์เดชอำนาจจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า ตาวิญญาณได้เปิดออก ได้เข้าใจ ได้เห็นแล้ว

นี่คือสิ่งที่จะเกิดขึ้นกับคริสเตียน ที่เชื่อในพระเยซูคริสต์ว่าเป็นพระผู้ช่วยให้รอดจริงๆ และได้บังเกิดใหม่ในพระเยซูคริสต์จริงๆ เขาจะเห็น เขาจะรู้ว่าชีวิตที่เขาอยู่นี้ เขาจะเน้นถึงโลกฝ่ายวิญญาณมากกว่าโลกฝ่ายวัตถุ เขาจะเห็นว่าโลกฝ่ายวัตถุที่มองเห็นอยู่นี้ อยู่เพียงชั่วคราว แต่สิ่งที่มองไม่เห็น คือโลกฝ่ายวิญญาณนั้น อยู่ถาวรนิรันดร์ ขอบคุณพระเจ้า พระเจ้าอวยพรครับ

 

*************************

จากใจคณะศิษยาภิบาล

 

คนเราจะเกิดใหม่ได้อย่างไร?

ต้องเข้าไปอยู่ในครรภ์มารดาอีกครั้งหรือ?

พระเยซูตอบว่าอย่างไร? …

ยอห์น 3:1-8 “มีฟาริสีคนหนึ่ง ชื่อ “นิโคเดมัส” เป็นสมาชิกสภาการปกครองของยิว เขามาหาพระเยซูในเวลากลางคืน และทูลว่า “รับบี เรารู้อยู่ว่าท่านเป็นครู ผู้มาจากพระเจ้า เพราะไม่มีใครสามารถทำหมายสำคัญที่ท่านทำอยู่ หากพระเจ้าไม่ได้สถิตกับเขา พระเยซูตรัสตอบ โดยประกาศว่า “เราบอกความจริงแก่ท่านว่าไม่มีใครเห็นอาณาจักรของพระเจ้าได้ ถ้าเขาไม่บังเกิดใหม่” นิโคเดมัสทูลถามว่า “คนจะเกิดใหม่ได้อย่างไร เมื่อเขาแก่แล้ว แน่นอน เขาไม่อาจเข้าไปในครรภ์มารดาเป็นครั้งที่สอง เพื่อเกิดออกมาใหม่” พระเยซูตรัสตอบว่า “เราบอกความจริงแก่ท่านว่าไม่มีใครสามารถเข้าอาณาจักรของพระเจ้าได้ ถ้าเขาไม่ได้เกิดจากน้ำ (ครรภ์มารดา) และพระวิญญาณ มนุษย์ให้กำเนิดมนุษย์ แต่พระวิญญาณให้กำเนิดวิญญาณ ท่านไม่ควรแปลกใจที่เราบอกว่า “ท่านต้องเกิดใหม่” ลมพัดไปที่ไหนก็ได้ตามใจชอบ ท่านได้ยินเสียงลม แต่ท่านไม่อาจบอกว่าลมมาจากไหน หรือจะไปที่ไหน ทุกคนที่เกิดจากพระวิญญาณ ก็เช่นกัน”

 

พระเยซูก็เลยยกคำอุปมา หรือการเปรียบเทียบว่าบังเกิดใหม่เป็นอย่างไร? พระเยซูบอกว่า “ท่านไม่ควรแปลกใจที่เราบอกว่าท่านต้องบังเกิดใหม่” คือเกิดอีกครั้งในวิญญาณที่ตายอยู่เพราะ เป็นคนบาป แล้วก็ยกว่า “ลมพัดไปที่ไหนได้ตามใจชอบ ท่านได้ยินเสียงลม ท่านใช้หูได้ยินเสียงลม แต่ท่านไม่อาจบอกว่าลมมาจากไหน? หรือจะไปที่ไหน? ทุกคนที่เกิดจากพระวิญญาณก็เช่นนั้น”

 

พระเยซูยกตัวอย่าง หมายความว่าถ้าเราจะเชื่อพระเจ้า เราอยากจะไปอยู่ในสวรรค์ เราต้องใช้ใจ  ใช้วิญญาณ  เพราะว่าตา หู จมูก ลิ้น กาย มองไม่เห็น  เหมือนลมมองไม่เห็น  แต่รู้ว่ามี   เชื่อเอา พระเยซูกำลังบอกอย่างนั้น ต้องใช้ความเชื่ออย่างเดียวเท่านั้น ไม่สามารถใช้หู ตา จมูก ลิ้น กาย พิสูจน์พระเจ้ามีจริงไหม? สวรรค์เป็นจริงไหม? ไม่สามารถใช้สัมผัสใดๆ เลย มันต้องสัมผัสด้วยวิญญาณหรือใจเท่านั้น

 

การบังเกิดใหม่ เกิดขึ้นที่วิญญาณ เพราะฉะนั้น ไม่ต้องไปแสวงหาอัศจรรย์ แบบให้เห็นว่าเกิดใหม่เป็นอย่างไร? สัมผัสได้ทางเดียว คือวิญญาณด้วยใจเท่านั้น ถึงจะรู้ว่าเกิดใหม่ในวิญญาณ เป็นเช่นไร?

 

และเมื่อท่านเข้ามามีประสบการณ์การบังเกิดใหม่นี้ ท่านจะรู้ด้วยตัวท่านเองว่ามันจริง

“รู้ เพราะอยู่ในใจ” … พระเจ้าอวยพรครับ