คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 26 มิถุนายน 2022
เรื่อง “หนังสือเอเฟซัส” ตอน 13
โดย พาสเตอร์ วราพร คงล้วน
วันนี้เรามาต่อในหนังสือเอเฟซัส 2:14 ครั้งที่แล้ว เราจบลงที่ข้อ 13 ที่บอกว่า …
เอเฟซัส 2:13 “แต่บัดนี้ ในพระเยซูคริสต์ ท่านทั้งหลายซึ่งเมื่อก่อนอยู่ไกลพระเจ้า ได้ถูกนำเข้ามาใกล้แล้ว โดยพระโลหิตของพระคริสต์”
อาจารย์เปาโลกำลังพูดถึงคนต่างชาติ ที่อยู่ไกลพระเจ้า เพราะว่าถ้าพูดถึงคนยิว เขาไม่ได้อยู่ไกลพระเจ้า คนยิวอยู่ใกล้พระเจ้ามากเลย เป็นชนชาติที่พระเจ้าทรงเลือกสรรไว้ให้มาเป็นแบบอย่างให้กับมนุษยชาติในเรื่องของความเชื่อในพระเจ้า
ฉะนั้น คนยิวคิดว่าเขาเป็นชนชาติของพระเจ้าโดยเฉพาะ แล้วก็เป็นกลุ่มเดียวที่มีอภิสิทธิ์ หรือมีสิทธิพิเศษ ที่พระเจ้าทรงเลือกสรรไว้เพียงกลุ่มเดียว แต่ว่าพอถึงยุคของพระเยซูคริสต์ แผนการของพระเจ้า คือวางไว้ตั้งแต่ก่อนที่จะเริ่มสร้างโลกแล้วว่าพระองค์จะให้คนยิวมาก่อน หลังจากนั้น พระองค์ก็จะให้ข่าวประเสริฐนี้ไปถึงคนต่างชาติ ตามในหนังสือยอห์น 3:16 ที่บอกว่าพระองค์ทรงรักโลกนี้ยิ่งนัก หมายถึงมนุษยชาติทั้งหมดทุกคน ไม่มีข้อยกเว้นในโลกใบนี้ ที่พระเจ้าทรงรัก และข่าวประเสริฐของพระเจ้า พระเยซูคริสต์ประกาศไปถึงทุกคนบนโลกใบนี้ ซึ่งในพระคัมภีร์เราก็รับรู้ความจริงว่าพระเจ้าได้ทรงกระทำให้เรียบร้อยไปแล้ว โดยผ่านทางพระเยซูคริสต์บนไม้กางเขน เมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว
สมัยก่อนเรามีความเข้าใจผิด คิดว่าพระเจ้าทรงเลือก พอพูดคำว่า “เลือก” ปุ๊บ มันก็มีกลุ่มคนที่ไม่ถูกเลือก เราเข้าใจตามสติปัญญาของมนุษย์ แต่ว่าความเป็นจริง คือพระเจ้าเลือกหมด แต่ว่าพระองค์ไม่บังคับให้ทุกคนที่ได้ยินได้ฟังเรื่องของพระเจ้า ต้องมาเชื่อพระองค์ พระองค์ให้สิทธิเสรีภาพ ในการตัดสินใจว่าจะเอาพระเจ้าหรือไม่เอา จะเอาข่าวดีของพระเจ้า จะรับการช่วยเหลือจากพระเยซูคริสต์หรือไม่? หรืออยากจะพึ่งพาในกำลังของตัวเอง ความดีงามของตัวเอง เพื่อที่จะไปถึงมาตรฐานของพระเจ้า แต่ว่าความจริง คือพระเยซูพยายามบอกในช่วงที่พระองค์มาเกิดเป็นมนุษย์ คุยกับคนยิว ยังมาไม่ถึงคนต่างชาติเลย คุยกับคนยิวว่า …
“ความเป็นจริง คือพวกเธอทำไม่ได้หรอก แม้เธอจะคิดว่าเธอสามารถที่จะรักษากฎบัญญัติที่พระเจ้าให้ไว้ ทำสุดกำลังเลย พยายามอย่างที่สุด แต่พระเยซูบอกทำให้ตาย ก็ทำไม่ได้ เพราะว่าตามกฎที่พระเจ้าวางไว้ ถ้าจะทำด้วยกำลังของตัวเอง ต้องทำให้ได้ทุกจุด ทุกขีด ที่จะไม่พลาดเลย แม้แต่จุดเดียว ขีดเดียว หรือแม้แต่วินาทีเดียว หมายความว่ามนุษย์คนนั้น หรือคนยิวคนนั้น จำเป็นจะต้องรักษากฎบัญญัติที่ถูกบันทึกไว้ในพระคัมภีร์ หรือในธรรมบัญญัติของพระเจ้า อย่างไม่มีช่องว่างเลย คือต้องรักษาทุกวินาที แล้วก็ให้ถูกต้องด้วย ซึ่งไม่มีมนุษย์คนไหนสามารถทำได้ เหตุผล คือมนุษย์ล้มลงในความบาป อยู่ในเชื้อบาป อยู่ในธรรมชาติบาป DNA บาป คือข้างในวิญญาณเขาเป็นบาป ฉะนั้น เขาไม่สามารถที่จะทำสิ่งดีได้เลย แม้ในสายตาของมนุษย์ ดูเหมือนคนนี้ทำดีนะ แต่ว่าในสายตาของพระเจ้า พระเจ้าบอกว่าไม่ได้ ความดีของเขามีไม่พอ ต่อให้เขาทำดีขนาดไหน? ที่จะถึงมาตรฐานของพระเจ้า พยายาม แต่พระเจ้าบอกว่าธรรมชาติเดิมของเขายังอยู่ในบาป DNA ที่อยู่ในอาดัม ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ ก็คือทำดีให้ตาย ก็ยังอยู่ในบาปอยู่ แต่ข่าวดีที่เราเรียนกัน คุยกันมาตลอด คือพระเยซูคริสต์ให้ทางเลือกให้กับมนุษยชาติว่าเมื่อวันที่พระองค์ ได้มาเกิดเป็นมนุษย์ มาสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน หลั่งพระโลหิตของพระองค์ เพื่อมาชำระบาปของมนุษยชาติ แล้วพระองค์ได้ถูกฝัง และเป็นขึ้นมาจากความตาย สิ่งที่พระเยซูได้ทำ ทั้งหมดทั้งมวล ก็เพื่อว่ามนุษย์บนโลกใบนี้ทั้งหมดเลย ไม่ว่าจะเป็นยิวหรือชนชาติอื่น สามารถที่จะมาตายพร้อมพระเยซูได้ ก็คือเอาวิญญาณเก่าที่เป็นบาป ไปตรึงพร้อมกับพระเยซูคริสต์ แล้วถูกฝังพร้อมกัน จะได้เป็นขึ้นมาใหม่ที่ภาษาพระคัมภีร์ เราใช้คำว่า “บังเกิดใหม่” จะได้บังเกิดใหม่เข้ามาในครอบครัวของพระเจ้า ก็คือทิ้งวิญญาณเดิมที่เป็นวิญญาณบาป ให้ไปตายพร้อมกับพระเยซูคริสต์ เพื่อว่าจะได้บังเกิดใหม่ ได้รับวิญญาณใหม่ ที่พระคัมภีร์บอกว่าเป็นเหมือนพระเจ้าเลย สะอาดหมดจด เป็นผู้ชอบธรรม
ฉะนั้น เมื่อมนุษย์คนไหนก็ได้ ตั้งแต่อดีต จนถึงปัจจุบันหรืออนาคตข้างหน้า เมื่อเขาได้ยินได้ฟังเรื่องราวของพระองค์ปุ๊บ เขาจำเป็นต้องตัดสินใจ เพราะว่าพระเจ้าไม่บังคับ ตัดสินใจว่าเขาจะเลือกเชื่อในสิ่งที่พระเยซูคริสต์ทำ หรือเลือกที่จะยังคงอยู่ที่เดิม คือพยายามด้วยกำลังของตัวเอง ทำดีไปเยอะๆ ละความชั่วไปเยอะๆ ซึ่งมันทำไม่สำเร็จ ฉะนั้น คนไหนก็ตาม ที่ทำจนเหนื่อย แล้วรู้สึกว่าไม่ไหว เราแบกเอากฎต่างๆ ที่เราพยายามแล้วพยายามอีก แล้วหลายครั้งเราตั้งใจจะทำดี เราก็หลุดทุกที ก็คือมันทำไม่สำเร็จ แล้วหลายครั้งที่เราไม่อยากทำชั่ว มันก็หลุดอีกเหมือนกัน คือไปทำชั่ว
มนุษย์ที่อยู่ใน DNA บาป ก็คือข้างใน มันเน่าแล้ว ข้างในเป็นบาป ก็คือไม่มีพลังพอที่จะทำให้ตัวเอง ทำดี ครบถ้วนสมบูรณ์ตามที่พระเจ้าบอกไว้ได้ ฉะนั้น พระเยซูคริสต์ก็มาประกาศ ตอนที่พระเยซูมาบนโลกใบนี้ ไม่ได้ทำอะไรเลยนะ แค่ประกาศความจริงในโลกวิญญาณว่าในวิญญาณของมนุษยชาติบนโลกใบนี้ เป็นอย่างไร? วิญญาณของทุกคนบนโลกใบนี้ อยู่ในบาป นี่คือความจริงในโลกวิญญาณ แล้วพระเยซูก็ประกาศว่า …
“ฉันกำลังจะมาทำการงานของพระเจ้า ที่ได้มอบหมายไว้ ให้สำเร็จ ก็คือมานำเอาความบาปของมนุษยชาติ ไปตรึงไว้ที่บนไม้กางเขน ก็คือรับบาปแทนมนุษย์ แล้วฉันจะเป็นขึ้นมาจากความตาย”
ที่พระเยซูถูกฝัง เมื่อก่อนเราก็ไม่เข้าใจ เราก็พูดตามในพระคัมภีร์บอกว่าพระเยซูถูกตรึง ถูกฝัง เป็นขึ้นมาจากความตาย ก็รู้แค่นี้ แต่ปัจจุบัน พระเจ้าเปิดให้เราเห็นชัดกว่านั้น ก็คือพระเยซูยอมตายบนไม้กางเขน เพื่อพิสูจน์ว่าพระองค์ทรงเป็นมนุษย์จริงๆ ถ้าพระเยซูคริสต์เป็นพระเจ้าอย่างเดียว พระเจ้าตายไม่ได้ ก็คือนอกจากพระเยซูคริสต์จะยอมละวิญญาณของพระองค์เอง และทรงอยู่ในร่างกายของมนุษย์ เพื่อเป็นไปตามกฎที่พระเจ้า พระบิดาตั้งไว้ ก็คือมาชดใช้หนี้ เวรกรรมของมนุษยชาติบนโลกใบนี้
การสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขนของพระเยซูคริสต์ ที่ในพระคัมภีร์ย้ำแล้วย้ำอีก เพื่อบอกให้มนุษยชาติรับรู้ว่าพระองค์เป็นมนุษย์ ตายจริงๆ แล้วตอนที่พระเยซูถูกฝังในอุโมงค์ ก็ยังคงยืนยันว่าพระองค์ตายจริงๆ ถูกฝังจริง แล้ววันที่พระเยซูเป็นขึ้นมาจากความตายในวันที่ 3 มีผู้คนติดตามพระองค์ ตอนนั้นยังไม่ได้เป็นสาวก เป็นผู้ติดตามพระองค์ เขาได้เห็นกับตาจะๆ ว่าพระองค์ทรงเป็นขึ้นมาจากความตาย มีกลุ่มคนที่สามารถเป็นพยานว่าพระเยซูคริสต์ทรงเป็นขึ้นมาจากความตายจริงๆ อย่างต่ำๆ ประมาณ 500 คน ที่รับรู้ความจริงตรงนี้ เพราะว่าพระเยซูเป็นขึ้นมาจากความตาย ก็มาเดินไปเดินมากับคนที่ติดตามพระองค์ เขาเห็นพระเยซูคริสต์ ที่เป็นตัวเป็นๆ สามารถสัมผัส จับต้องได้ เต็มไปด้วยสง่าราศี และในพระคัมภีร์บอกว่าในอนาคตข้างหน้า พวกเราทุกๆ คนที่เชื่อวางใจในพระเจ้า เมื่อวิญญาณเราออกจากร่าง เราทิ้งร่างกายเก่านี้ เราก็จะได้ไปรับร่างกายใหม่ ที่เต็มไปด้วยสง่าราศีเหมือนพระเยซูไม่มีผิด
นี่คือความหวังใจเดียวของผู้เชื่อ ในขณะที่อยู่บนโลกใบนี้ เพราะว่าเราไม่สามารถมีความหวังใจอื่นได้แล้ว ถ้าเราจะหวังใจว่าอยู่บนโลกใบนี้ เราจะมีความสุขตลอดเวลา อย่าไปหวัง เพราะมันไม่มีทาง เป็นไปไม่ได้ ต่อให้เราคิดว่าเรามีความเชื่อนะ เราอธิษฐานกับพระเจ้า พระองค์จะให้เรามีความสุข มีชีวิตราบรื่น ไปฉลุยเลย อย่าไปคาดหวัง เพราะพระเยซูบอกแล้ว โลกนี้เสียหายไปแล้ว แล้วร่างกายของพวกเราก็รอวันที่จะสูญสิ้น จำเป็นจะต้องสูญสิ้น คือรอตายจากโลกนี้ เพื่อว่าเราจะได้ไปสวมร่างกายใหม่
ฉะนั้น อย่าให้โดนหลอกว่าพอเราเป็นผู้เชื่อปุ๊บ เราสามารถสั่งฟ้าสวรรค์ สั่งหยุดอายุขัยของเรา ขอพระเจ้าเลย พระเจ้าบอกคำอธิษฐานของผู้ชอบธรรมมีพลังทำให้เกิดผล เราต้องอธิษฐานเลย อธิษฐานให้เราไม่เจ็บ ไม่ป่วย ไม่แก่ ไม่ตาย มันเป็นไปไม่ได้ เพราะทุกสิ่งทุกอย่างมันเสียหายไปแล้ว แล้วพระเจ้าบอกว่ามันจำเป็นจะต้องเกิด มนุษย์เกิดมาปุ๊บ ก็รอแก่ รอตาย ไม่ว่าคนนั้นจะเชื่อพระเจ้าหรือไม่เชื่อพระเจ้าก็ตาม แต่คนที่เชื่อวางใจในพระเจ้า เรามีความแตกต่าง ตรงที่ว่าเราไม่ได้มองที่ร่างกายเราว่าแก่ลงทุกวันๆ หน้าก็เริ่มย่น หน้าผากก็เริ่มเป็นรอย หน้าก็เริ่มตกกระแล้ว มีเม็ดสีมารวมตัวกัน ไม่เห็นสวยเหมือนเมื่อตอนเราสาวๆ เลย ผิวพรรณเต่งตึง ดูดี มีราคา แต่ว่าเราไม่ได้สนใจในเรื่องนี้ เพราะเรารู้ว่าสิ่งเหล่านี้จำเป็นจะต้องเกิดขึ้น เราอย่าไปคาดหวังว่าสิ่งเหล่านี้จะอยู่นิรันดร์กาล สาวนิรันดร์กาล สวยนิรันดร์กาล มันไม่มีทาง มันกำลังเดินทางไปสู่ความตาย
แต่สิ่งที่คริสเตียนมีความหวัง คือร่างกายเรากำลังเดินทางไปสู่ความตาย แต่จิตวิญญาณของเรากำลังเดินทางสู่ชีวิตนิรันดร์ ที่ครบถ้วนบริบูรณ์ มันต่างกันมากเลยนะ ยิ่งเราใกล้วันตายมากเท่าไร? เท่ากับเรายิ่งใกล้ ได้สัมผัสชีวิตที่ครบถ้วนบริบูรณ์ในพระเยซูคริสต์มากฉันนั้น วันที่เราละร่างกายนี้ วิญญาณเราออกจากร่างปุ๊บ เราได้ไปอยู่กับพระเยซูคริสต์ เที่ยวนี้อยู่ครบถ้วนเลยนะ ไม่ต้องใช้ความเชื่อ ปัจจุบันที่พวกเราคุยกัน คือเมื่อเราเชื่อปุ๊บ ในโลกวิญญาณ พระพรนานัปการ พระเยซูคริสต์ได้ให้กับพวกเราเรียบร้อยไปแล้ว บัดนี้ วิญญาณของเราได้นั่งอยู่ที่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้าในพระเยซูคริสต์เรียบร้อยไปแล้ว
นี่คือสิ่งที่ถ้อยคำของพระเจ้าบอก แล้วเราต้องใช้ความเชื่อตามที่พระเจ้าบอก เพราะข้างในวิญญาณเรา เราเชื่อตามนั้น แต่เมื่อถึงวันหนึ่งที่เราทิ้งร่างกายเก่านี้ ที่ยังไงมันต้องลงดิน แล้ววิญญาณเราออกจากร่าง เราไปเจอพระเจ้าหน้าต่อหน้า ไม่ต้องใช้ความเชื่อแล้ว ก็คือเห็นพระเจ้าหน้าต่อหน้าเลย ใกล้ๆ เห็นสง่าราศีของพระเจ้า เห็นสถานที่ที่พระเจ้าจัดเตรียมไว้ให้กับเราที่สวรรคสถาน เห็นพระเยซูคริสต์ เห็นโลกใบใหม่ในอนาคตข้างหน้า ที่พระเจ้าบอกว่าเมื่อโลกนี้สูญสลายไป จริงๆ พระเจ้าเตรียมโลกใหม่ให้กับเราเรียบร้อยไปแล้ว แค่รอเวลาเท่านั้นเอง ร่างกายใหม่ พระองค์ก็เตรียมให้กับเราเรียบร้อยแล้ว ก็รอเวลาอีกเหมือนกัน รอเราทิ้งร่างเก่านี้ไป แล้วเราก็จะได้ไปเห็นตัวเองด้วย สุดยอด ตอนเราจากโลกนี้ไป แก่มากเลย หน้าเหี่ยวย่นไม่มีความสวยงามเลย แต่ว่าเมื่อเราไปสวมร่างกายใหม่ เราจะเห็นร่างกายที่เต็มไปด้วยสง่าราศี ที่เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์ เขาเรียกว่าออร่าจับ เห็นแล้วมีพระสิริ สง่างามมาก นั่นแหละ คือวันที่พวกเรารอคอย วันนั้น ที่เราจะได้ไปเห็นตัวเอง ด้วยตาของเราเองว่าเราสุดยอดขนาดไหน? พระเจ้าเตรียมสิ่งที่เลิศขนาดไหนให้กับเรา
นี่แหละ คือความหวังใจของผู้เชื่อทุกคน ที่อยู่บนโลกใบนี้ แล้วโดยความหวังใจนี้ ทำให้พวกเราสามารถมีกำลังในการยืนหยัดกับโลกที่ชั่วร้ายนี้ ในการอดทนกับความทุกข์ยากลำบาก การข่มเหงนานาประการ ไม่ว่าจะข่มเหงจากที่เราเป็นผู้เชื่อ หรือข่มเหงจากอะไรต่างๆ เราก็สามารถอดทนได้ เพราะว่าพระเจ้า พระคัมภีร์บอกแค่แป๊บเดียวเองลูก อึดใจเดียว เดี๋ยวเราก็ละร่างนี้แล้ว เดี๋ยวเราก็ได้ไปรับชีวิตที่ครบถ้วนบริบูรณ์แล้ว
ดังนั้น ความหวังใจตรงนี้ของผู้เชื่อ ในพระคัมภีร์บอกว่าให้เราหนุนใจซึ่งกันและกันด้วยถ้อยคำเหล่านี้ เพื่อเราจะได้มีกำลังใจ เมื่อเรามองปัญหา ไม่ใช่มอง เพื่อให้ปัญหามาโถมทับตัวเรา ทับจนตัวเราเตี้ยลงๆ ตลอดเวลา ไม่ใช่ ปัญหา เราก็สามารถผ่านไปได้ด้วยกำลัง ซึ่งมาจากพระเจ้า พระเจ้าจะพาเราผ่านไปได้ ด้วยวิธีอะไรเราไม่รู้ แต่ว่าพระองค์บอกว่าพระองค์ทรงอยู่ในเรา
อีกอันหนึ่ง ที่เป็นกำลังใจให้กับผู้เชื่อ ขณะที่ดำเนินชีวิตอยู่บนโลกที่ชั่วร้ายนี้ ก็คือพระเยซูทรงสัญญาว่าพระองค์ทรงสถิตอยู่ในเรา พระเจ้าทั้ง 3 พระภาค พระบิดา พระบุตร พระวิญญาณบริสุทธิ์ สถิตอยู่ในเรา เป็นหนึ่งเดียวกันกับเรา คอยช่วยเหลือ คอยแนะนำ คอยดูแล คอยทุกอย่างเลย พระองค์ก็จะทรงช่วยเรา แล้วส่วนที่ถ้อยคำของพระเจ้าบอกว่าพระองค์จะทรงรักษา จนถึงวันสุดท้ายของชีวิต ก็คือรักษาวิญญาณจิตของเรา เมื่อเราเริ่มเชื่อพระเจ้าแล้ว เราไม่ต้องกังวลว่า …
“ถ้าเราอยู่บนโลกใบนี้ เราไปเถลไถล หัวทิ่มหัวตำ แล้ววิญญาณเราจะรอดไหม?”
พระเยซูบอกพระองค์ทรงเป็นผู้รักษาวิญญาณจิตของพวกเรา ไปจนถึงวันสุดท้ายของชีวิต เมื่อเราต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด เราเป็นผู้ชอบธรรมแล้ว เป็นลูกของพระเจ้าแล้ว เป็นแล้วเป็นเลย คำนี้พี่น้องต้องจำให้ได้ …
“เป็นแล้วเป็นเลย เกิดแล้วเกิดเลย บังเกิดใหม่แล้ว ก็บังเกิดเลย”
เกิดมาในแผ่นดินของพระเจ้า ในครอบครัวของพระเจ้า ก็เป็นเลย ไม่มีพฤติกรรม การกระทำใดๆ ของเราจะสามารถแยกเราจากความรักของพระเจ้าได้ ไม่มีทาง ก็คือไม่สามารถทำให้เราหลุดจากการเป็นผู้เชื่อ หรือหลุดจากการเป็นลูกของพระเจ้า เป็นทายาทของพระเยซูคริสต์ ไม่มีทาง
สิ่งเหล่าเป็นความจริงหมด ทำไมเราต้องพูดซ้ำๆ บ่อยๆ ถ้อยคำของพระองค์บอกว่าให้เราจดจ่อไปที่เบื้องบน … เบื้องบน คือสิ่งที่พระเยซูคริสต์ทำให้เราสำเร็จแล้วบนไม้กางเขน
และสิ่งที่ดิฉันพูดมาทั้งหมด คือสิ่งที่พระเยซูคริสต์ทำให้เราเรียบร้อยไปแล้ว บนไม้กางเขน แล้วพยายามย้ำ เพื่อให้ตัวเราเอง มั่นใจว่าถ้อยคำของพระเจ้าบอกอย่างนั้น ต่อให้ความรู้สึกเรา มันไม่เห็นเหมือน มันไม่เกี่ยวกันนะ ความรู้สึกเราไม่สามารถมาสั่นคลอน ความจริงในโลกวิญญาณได้เลย ไม่มีทาง ต่อให้เรารู้สึกตอนนี้แย่ ตอนนี้เราทำสิ่งที่ไม่ดี พระเจ้าทิ้งเราไปแน่ๆ เลย แล้วคนรอบข้างก็มาชี้นิ้วว่าเราด้วย …
“นี่ เธอทำนิสัยแบบนี้นะ พระเจ้าทิ้งเธอแล้ว พระเจ้าไม่เอาเธอแล้ว”
ต่อให้มีคนมาพูดกรอกหูเราด้วย เราต้องยืนยันความจริงในถ้อยคำของพระเจ้า อย่างนี้เราเรียกว่านมัสการพระองค์ คือเอเมนกับทุกถ้อยคำที่พระเจ้าบอกกับเรา
พระเยซูบอกว่า … “เธอเป็นลูกฉันแล้ว เธอเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เป็นความเชื่อที่มันบังเกิดผลแล้ว ได้บังเกิดใหม่แล้ว”
พระวิญญาณผ่าตัดวิญญาณเราเรียบร้อยแล้ว เอาเราเข้าไปตายพร้อมกับพระเยซูคริสต์แล้ว เป็นขึ้นมาใหม่พร้อมกับพระเยซูคริสต์แล้ว ตอนนี้เราเป็นพลเมืองสวรรค์ เป็นลูกของพระเจ้าแล้ว เราไม่มีทางเป็นอื่นได้เลย เพราะว่าพระเจ้าปกป้องคุ้มครองเราจนถึงวินาทีสุดท้ายของชีวิต ลมหายใจออกจากร่าง เราก็ไปอยู่ที่เดิม … ที่เดิม ณ เวลานี้ ในโลกวิญญาณเราอยู่ในสวรรค์แล้วใช่ไหม? ลมหายใจออกจากร่าง เราก็อยู่ที่เดิม เปลี่ยนมิติเท่านั้นเอง นี่คือความจริงในโลกวิญญาณ ความจริงในถ้อยคำของพระเจ้า ที่เราต้องย้ำแล้วย้ำอีก บอกแล้วบอกอีก เพราะว่าโลกนี้มันชั่วร้าย การหลอกลวงมันมีเยอะ กระแสที่ส่งเข้ามา พยายามสั่นคลอนความเชื่อของเราตลอดเวลา ฉะนั้น เราจำเป็นจะต้องรับรู้ความจริงในถ้อยคำของพระองค์ว่าพระเยซูคริสต์ได้ทำอะไรเรียบร้อยไปแล้ว แล้วเมื่อพระเยซูทำสำเร็จแล้ว ก็ไม่ต้องมีใครมาทำให้ตรงนี้หลุดไป ไม่มีทาง เราก็เชื่อและวางใจในสิ่งที่พระเยซูคริสต์ทำสำเร็จแล้ว
และอย่างที่บอก พระเจ้าบอกว่าพระองค์ทำสำเร็จแล้ว จากนี้ต่อไป เราก็หายเหนื่อย เป็นสุข เราไม่ต้องพยายามแบกหามการประพฤติของเรา หรือพยายามกระทำสิ่งที่ดี ด้วยกำลังของเราเอง เพื่อเราจะได้รับความรอด ไม่ต้อง เพราะว่าเรารอดแล้ว
ดังนั้น การประพฤติดีของคริสเตียนมีเหตุผลเดียว ก็คือจากธรรมชาติข้างในวิญญาณของเรา วิญญาณของเราได้บังเกิดใหม่แล้ว ความคิดจิตใจเราได้ถูกเปลี่ยนใหม่แล้ว แต่การหลอกลวงมันก็ยังทำงานอยู่ตลอดเวลา แต่ถ้าเราปล่อยเกียร์ว่างให้พระเจ้า ใช้สอยเรา ให้เป็นไปตามธรรมชาติใหม่ของเรา มันจะออกมาเอง โดยอัตโนมัติ โดยที่เราไม่ต้องพยายามฝืน ที่จะทำ เพราะว่าเราเกิดมาเป็นเหมือนพระเจ้าเลย แล้วก็จะมีความเหมือนของพระเจ้าที่จะถูกสำแดงออกมา เมื่อเราเจริญเติบโตขึ้น เมื่อเราโตเต็มที่ ผลของพระวิญญาณมันจะออกมาเอง แต่ว่าเราจำเป็นจะต้องรับรู้ความจริงว่าตอนนี้เราเป็นใครในพระเยซูคริสต์ พระเยซูได้ทำอะไรเพื่อเราเรียบร้อยไปแล้ว แค่รับรู้ความจริงตรงนี้ รับรู้ไปเรื่อยๆ เหมือนกับที่อาจารย์นครชอบยกตัวอย่าง เราเป็นลูกของคน เรารับรู้ความจริงว่า …
“ฉันเป็นคนๆ ฉันอยู่ในครอบครัวนี้ พ่อฉันเป็นแบบนี้ แล้วฉันเป็นคน”
คนเขาทำอะไรได้บ้าง คนยังเป็นทารกอยู่ ทำอะไรไม่ได้ อาจจะอึบ้าง ฉี่บ้าง อะไรก็แล้วแต่ แต่พ่อแม่ก็จะคอยเช็ด คอยอะไรให้ พอโตขึ้นระดับหนึ่ง เด็กเริ่มเรียนรู้ เวลาจะฉี่ เรียนรู้ที่จะบอกพ่อแม่ว่า …
“จะฉี่”
พ่อแม่ก็จะพาเข้าห้องน้ำ มันจะเป็นภาพอย่างนี้ เรียนรู้จากการเป็นมนุษย์ โตขึ้น ไปโรงเรียน เรียนรู้ว่าเป็นคน พอโตหน่อย เราต้องเดินเอง ไม่ใช่ไปเกาะให้พ่อแม่อุ้มอยู่ตลอดเวลา ไม่ใช่ ถึงวัยหนึ่ง เราต้องเดินเอง เราต้องเรียนรู้ที่จะรู้ว่าเราเป็นคน เราไม่ได้เป็นเหมือนกับที่เขาพูดกันว่ามนุษย์พัฒนามาจากลิง ไม่ใช่
พระเจ้าบอกว่ามนุษย์เป็นพระฉายาของพระเจ้า มนุษย์เป็นเหมือนพระเจ้าเลย ในวันที่เขายังไม่ได้ล้มลงในความบาป เขามี DNA ของพระเจ้าเลย เป็นวิญญาณนิรันดร์เหมือนพระเจ้า แต่เมื่อล้มลงในความบาปปุ๊บ พระเจ้าหายไป พระสิริของพระเจ้าหายไป มนุษย์เลยต้องพึ่งพาตัวเอง เกิดมาก็พึ่งพาตัวเองเลย โดยธรรมชาติ ไม่ต้องมีใครสอน หรือไม่ต้องมีใครสอนให้ทำดีหรือทำชั่ว เด็กทุกคนเรียนรู้ที่จะสามารถทำดีทำชั่ว มันอยู่ข้างในแล้ว
เราเคยเห็นเด็กไหม พ่อแม่พยายามสอนลูก … “ลูกเอ๋ย อย่าไปตีเพื่อนนะ”
แต่ว่าสอนไปเถอะ พอเผลอเขาก็ไปตีเพื่อน บางคนก็ไปรังแกเพื่อน บางคนก็ไปแย่งของเล่นเพื่อน มันเป็น DNA บาปที่มันอยู่ข้างใน ฉะนั้น ต่อให้เราเป็นลูกพระเจ้าแล้ว ลูกหลานเราเขาจำเป็นจะต้องเปิดใจต้อนรับพระองค์ด้วยตัวเขาเอง คือกลับใจใหม่ด้วยตัวของเขาเอง บังเกิดใหม่ด้วยตัวของเขาเอง ฉะนั้น ตราบใดที่ลูกหลานของเราผู้เชื่อ เขายังไม่ได้เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เขาก็ยังอยู่ใน DNA เดิม คือ DNA บาป นี่คือความจริงในโลกวิญญาณ
ตรงนี้คือสิ่งสำคัญที่เราจำเป็นจะต้องรับรู้ อาจารย์เปาโลบอกว่าสมัยก่อน คนที่ไม่ใช่ยิวอยู่ห่างไกลจากพระเจ้ามาก ไม่รู้จักพระเจ้าด้วย แต่พระเจ้าใส่กฎบัญญัติของพระองค์เข้ามาในใจของมนุษย์ทุกคนเลย เมื่อเขาไม่รู้จักพระเจ้า เขาอยู่ห่างไกลจากพระเจ้า แต่วันหนึ่ง เมื่อพระเยซูคริสต์ทำการงานของพระองค์สำเร็จ ข่าวประเสริฐของพระองค์ถูกประกาศออกไป แล้วผู้คนเหล่านี้ ที่ในพระคัมภีร์เรียกว่าคนต่างชาติ ที่ไม่ใช่ยิว เขาได้ยินได้ฟังเรื่องราวของพระเจ้าปุ๊บ เขาเปิดใจต้อนรับพระองค์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด จากการที่เคยอยู่ห่างไกล เป็นศัตรูกับพระเจ้า ถูกตัดขาดจากพระเจ้า ไม่ได้อยู่ในพวกเดียวกันกับพระเจ้า ไม่ได้เป็นครอบครัวของพระเจ้า ก็ได้กลับมาคืนดีกับพระเจ้า
จากที่อยู่ไกลๆ ก็ได้เข้ามาใกล้ ใกล้ขนาดไหน? ในพระคัมภีร์บอกใกล้ขนาดที่เป็นหนึ่งเดียวกัน คนที่เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด คนนั้นเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเจ้า อาศัยอยู่ในพระเยซูคริสต์ และ ณ เวลานี้ ชีวิตที่เราดำเนินอยู่ เราอาศัยอยู่ในพระเยซูคริสต์ ไม่ว่าเราทำอะไร เราทำอยู่ในพระเยซูคริสต์ ตรงนี้ คือสิ่งที่สำคัญมาก ในโลกวิญญาณ ที่พระเจ้าจะดูในวันสุดท้าย ที่มีการพิพากษาโลก พระเจ้าก็จะดูคนๆ นั้นว่าเขาอยู่ในไหน? ถ้าคนนั้นอยู่ในพระเยซูคริสต์ ชัวร์ เขาได้รับการยกโทษบาปตั้งแต่อยู่บนโลกใบนี้แล้ว เขาเป็นพลเมืองสวรรค์เรียบร้อยแล้ว เป็นลูกของพระเจ้าเรียบร้อยแล้ว เป็นผู้ชอบธรรมของพระเจ้าเรียบร้อยแล้ว
แต่ถ้าคนนั้นอยู่ในอาดัม ก็คืออยู่คนละพวกกับพระเจ้า เป็นศัตรูกับพระเจ้า ตรงข้ามกับพระเจ้าเลย ฉะนั้น คนเหล่านี้ ถ้าไม่กลับใจใหม่ หรือเปลี่ยนขั้ว จากการอยู่ในอาดัม เข้ามาอยู่ในพระคริสต์ คือแทนที่จะพึ่งพากำลังของตัวเองในการทำดี ละชั่ว ให้มาพึ่งพาในพระเจ้า ถ้าเขาไม่ทำในขณะที่มีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ พอหลังความตาย คือหมดเวลา หมดสิทธิ์ ไม่มีทาง เปลี่ยนแปลงไม่ได้ วิญญาณเขาก็จะอยู่ที่เดิม คืออยู่ในอาดัม อยู่ในความพินาศ อยู่ในการพิพากษาของพระเจ้า เป็นศัตรูกับพระเจ้า อยู่คนละพวกกับพระเจ้า
นี่คือความจริงในโลกวิญญาณทั้งหมด นี่คือเหตุผลว่าทำไมพระเจ้าถึงให้เราประกาศข่าวประเสริฐของพระองค์ ข่าวดีของพระเยซูคริสต์ออกไป แล้วข่าวดีของพระเยซูคริสต์ ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับการกระทำเลย เพราะพระเจ้าบอกว่าโดยผ่านทางความเชื่อในสิ่งที่พระเยซูคริสต์กระทำบนไม้กางเขน คนไหนที่เชื่อ เขาก็จะได้รับความรอด ก็คือไม่ได้เกี่ยวอะไรกับการกระทำของมนุษย์คนหนึ่งคนใด ไม่ว่าคนนั้นจะทำดีขนาดไหน? ถ้าเขาไม่เชื่อพระเจ้าก็จบ หรือไม่ว่าคนนั้นจะนิสัยแย่ขนาดไหน? ถ้าเขาเชื่อพระเจ้า ก็จบเหมือนกัน นึกภาพออกไหมค่ะ? ถ้าเขาเชื่อพระเจ้า คือจบในทางดี เขาเข้ามาอยู่ในสวรรค์กับพระเจ้าได้
นี่คือสิ่งที่ถ้อยคำของพระเจ้าพยายามบอกเรา พยายามสอนเรา เพื่อเราจะได้ไปประกาศให้ผู้คนได้รับรู้คนดี ดีข้างนอก พี่น้องนึกภาพออกไหม? ดีข้างนอก คือประพฤติดี กับคนที่ดีข้างใน มันจะต่างกัน ดีข้างใน คือคนที่ได้เปลี่ยน จากการอยู่ในอาดัม มาอยู่ในพระเยซูคริสต์แล้ว พออยู่ในพระเยซูคริสต์ปุ๊บ พระเจ้าบอกว่าเขาดี พระเจ้าบอกดีหมดเลย เขาเป็นผู้บริสุทธิ์ เขาดีงาม โดยในวิญญาณเขาเป็นแบบนั้นเลย ต่อให้คนข้างนอกมองดู ไม่เห็นดีตรงไหน ยังนิสัยไม่ดีเลย ก็ไม่เกี่ยว การประพฤติไม่เกี่ยว เราจะพยายามย้ำว่าการประพฤติไม่เกี่ยวอะไรกับความรอดในพระเยซูคริสต์ ความรอดมาทางเดียวเท่านั้น คือเชื่อในสิ่งที่พระเยซูคริสต์กระทำ เพื่อเราบนไม้กางเขนเท่านั้น เท่านั้นจริงๆ …
เอเฟซัส 2:14 “เพราะพระองค์เอง ทรงเป็นสันติสุขของเรา ผู้ทรงทำให้เราสองพวก ยิวและคนต่างชาติ ผูกพันเป็นหนึ่งเดียวกัน เป็นร่างกายเดียว และทรงทำลายสิ่งกีดขวาง คือกำแพงแห่งความเกลียดชังที่กีดกั้นลง”
พระเยซูคริสต์ทำให้เราเป็นสันติสุข ไม่ใช่มีนะ เป็น พอพูดถึงสันติสุข ก็ให้นึกภาพเลยว่าถ้าเป็นสันติสุขปุ๊บ เป็นพวกเดียวกันแล้ว ไม่ทะเลาะกัน อยู่ด้วยกันอย่างดี แต่ก่อนที่เรามาเชื่อพระเจ้าในวิญญาณ ในเนื้อหนังดูเหมือนเราอาจจะดีกัน สนิทสนมกัน แต่เมื่อไรก็ตามที่คนสนิทสนม 2 คน คนหนึ่งมาเชื่อพระเจ้าปุ๊บ ข้างในวิญญาณจะเป็นศัตรูกันเลย เพราะคนที่อยู่ในพระเจ้ากับอยู่ในอาดัม เข้าพวกกันไม่ได้ อาจจะในโลกวัตถุเรายังคงคบหาสมาคมอยู่ แต่ในวิญญาณ เราเป็นศัตรูกัน โดยอัตโนมัติ
พระเจ้า พระเยซูคริสต์บอกว่า … “เมื่อท่านมาเชื่อเรา ท่านจะถูกข่มเหง”
ข่มเหง ตรงนี้แหละ เป็นศัตรูในวิญญาณ คนจะไม่ชอบเรา ถามว่าไม่ชอบเพราะอะไร? ไม่รู้ ไม่มีสาเหตุ เหมือนสมัยก่อน พอพูดถึงคริสเตียน เราไม่ชอบเลย ถามว่า …
“คริสเตียนไปทำอะไรให้?”
“เปล่า?”
“แล้วไม่ชอบเขาเพราะอะไร?”
“ไม่รู้”
ก็คือข้างในวิญญาณ เราเป็นศัตรูกัน แล้วก็ทะเลาะกันในวิญญาณด้วย เพราะว่ามันเข้ากันไม่ได้ แล้วไม่ใช่ทะเลาะกันในวิญญาณ อาจจะส่งผลออกมาเป็นการทะเลาะวิวาททางฝ่ายวัตถุด้วย คนที่เป็นเพื่อนรักกัน คนหนึ่งไปเชื่อพระเจ้าปุ๊บ อีกคนหนึ่งเขาไม่โอเคด้วย เลิกคบกันเลย เพราะเราไปกันคนละสายแล้ว อะไรประมาณนี้ นี่เราเห็นมาเยอะแยะมากมาย
แต่ว่าสิ่งที่ในโลกวิญญาณ ที่อาจารย์เปาโลพูดถึง ก็คือทั้งสองฝ่าย ทั้งคนยิวกับคนต่างชาติ ณ วันนี้ วันที่เขาเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด เขาเป็นสันติสุขแล้ว เขาอยู่ร่วมกันได้อย่างสงบสุข แล้วก็คนที่ทำให้ทั้งสองฝ่ายเป็นหนึ่งเดียวกัน ก็คือพระเยซูคริสต์ โดยพระโลหิตของพระเยซูคริสต์ที่ทรงชำระเราให้สะอาดบริสุทธิ์ เป็นผู้ชอบธรรมของพระเจ้า ทำให้เราทั้งหมดที่เชื่อวางใจในพระเจ้า ไม่ว่าอยู่ในชนชาติไหน? ศาสนาไหนก็ตาม เมื่อก่อนเคยเชื่ออะไรก็ตามแต่ แต่เมื่อเขาเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เข้ามาเป็นขนมปังก้อนเดียวกัน เข้ามาสามัคคีธรรมกัน โดยอัตโนมัติเลย ไม่ต้องทำนะ โดยอัตโนมัติในโลกวิญญาณ เราเป็นหนึ่งเดียวกัน รักกันเลย รักกันในวิญญาณ ซึ่งคำว่ารักกันในวิญญาณ ข้างนอก ที่เราเห็นอยู่อาจจะไม่รักกันก็ได้ แต่ว่าในวิญญาณ เรารักกันแล้ว เมื่อในวิญญาณเรารักกันแล้ว เราพัฒนา พัฒนาจากตรงไหน? รับรู้ความจริงในถ้อยคำของพระเจ้า
พระเจ้าก็จะบอกเราว่า … “ลูกเอ๋ย ตอนนี้เราเป็นความรักแล้วนะ ลูกเป็นความรัก ลูกทำตัวให้สมกับการเป็นความรักหน่อย คือประพฤติให้สม”
แต่ว่าตอนที่วิญญาณเรายังเด็ก เราเป็นทารกฝ่ายวิญญาณ เรายังไม่สามารถประพฤติได้ แต่เมื่อเราโตขึ้นมากๆ เราก็เรียนรู้จักรักคนอื่นมากขึ้น แต่มันจากข้างใน ไม่ต้องพยายาม ทำด้วยกำลังของเราเอง จากข้างในวิญญาณ มันจะส่งผลออกมาเอง เหมือนพอเราโตขึ้น เด็ก 2 คนถ้ารู้จักกันตั้งแต่เด็ก อาจจะทะเลาะเบาะแว้งกันตั้งแต่เด็ก แย่งของเล่นกัน อะไรกันแล้วแต่ แต่ถ้าเขาเป็นเพื่อนกัน เขาก็ยังรักกันอยู่ แต่รักแบบเด็กๆ คือทะเลาะกันบ้าง ต่อยกันบ้าง อะไรบ้าง แต่ว่าพอเด็ก 2 คนโตขึ้น เขาก็เริ่มเรียนรู้จักพัฒนาความเจริญเติบโต เริ่มไม่แย่งของกัน อาจจะเริ่มให้ของเล่นแก่กันและกัน แบ่งกันเล่น เธอมีอะไร ฉันมีอะไร แบ่งกันเล่น แต่นั่นเป็นเพียงพฤติกรรมบนโลกใบนี้เท่านั้น ที่ให้เราเห็นว่าเด็กมีพัฒนาการนะ โตขึ้น เริ่มรู้จักเรียนรู้ที่จะเข้ากับคนอื่นได้
แต่ถ้าในโลกวิญญาณก็เหมือนกัน พระเจ้าก็ให้เราจดจ่อเรียนรู้ในพระเจ้า พระเยซูคริสต์ว่าเราเป็นอย่างไร? แล้วเมื่อเราเรียนรู้มากเท่าไร? รู้ความจริงว่าเราเป็นอะไรแล้ว จากข้างใน พระวิญญาณบริสุทธิ์จะให้เราสามารถที่จะส่งผลของความเป็นจริง ในตัวตนจริงๆ ของเราออกมาให้ผู้คนสามารถเห็นได้มากขึ้นทุกวันๆ อย่างนี้เราเรียกว่าเจริญเติบโตในโลกวิญญาณ
สิ่งเหล่านี้ทั้งหมด พระเจ้าเป็นผู้ทำ ยังคงย้ำเหมือนเดิม เราไม่ต้องพยายามทำเอง เราแค่ปล่อยเกียร์ว่าง อนุญาตให้พระเจ้าใช้ความคิด ร่างกาย สมองของเรา อนุญาตให้พระเจ้าควบคุม แล้วพระเจ้าก็จะคอยโน้มน้าว คอยแนะนำเรา แล้วก็ให้กำลังเรา
ในพระคัมภีร์บอกว่าพระเจ้าเป็นผู้ประกอบกิจอยู่ภายในเรา ให้เราสามารถทำตามน้ำพระทัยของพระเจ้า เมื่อเราอนุญาต เรายอม ตรงนี้ขึ้นอยู่กับว่าเรายอมหรือไม่ยอม ถ้าเรายอมพระเจ้า ผลของพระวิญญาณมันจะออก ถ้าเรายอมเนื้อหนัง ผลของเนื้อหนังก็จะออก แต่ไม่ว่าเราจะยอมตามพระวิญญาณหรือเนื้อหนัง วิญญาณเรายังเป็นลูกของพระเจ้าอยู่เหมือนเดิม ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง แค่ว่าถ้าเรายอมตามเนื้อหนัง เราก็เก็บเกี่ยวสิ่งที่เป็นเนื้อหนังเท่านั้นเอง ชีวิตอยู่บนโลกก็ยากลำบากอยู่แล้ว ยังจะไปทำตัวเองให้เจ็บมากขึ้น อะไรประมาณนั้น แล้วพระเจ้าก็คอยลุ้นเราอยู่นะ จริงๆ พระเจ้าน่ารักมาก ไม่เคยบังคับเรา แค่พระเจ้าจะแนะเรา ตอนที่เราทำตามเนื้อหนัง พระเจ้าก็จะกระซิบที่ข้างหูเรา แค่ว่าวันนี้ …
“ฉันอยากจะทำตามเนื้อหนังไม่ว่าพระเจ้ากระซิบอย่างไร ฉันก็ไม่ได้ยินหรอก” อะไรประมาณนั้น
แต่พระเจ้าจะบอกเราตลอดเวลา … “ลูกเอ๋ยอย่าทำนะตรงนี้ ถ้าทำเดี๋ยวลูกเจ็บตัวนะ” เจ็บตัวบนโลกใบนี้เท่านั้น
นี่คือสิ่งที่ถ้อยคำของพระองค์บอกไว้ แล้วตอนนี้ โดยทางพระเยซูคริสต์ ก็ทำให้ผู้เชื่อทั้งคนยิวและคนต่างชาติมาเป็นกายเดียวกัน เห็นในภาพพระคัมภีร์ อาจารย์เปาโลชอบเปรียบเทียบว่าผู้เชื่อเป็นพระกายของพระเยซูคริสต์ โดยมีพระเยซูคริสต์เป็นศีรษะ พระกายประกอบด้วย … ถ้าเป็น ร่างกายของเรา ก็ประกอบด้วย ตา หู จมูก ลิ้น กาย ตับ ไต ไส้ พุง มือ ขา เท้า สะดือ คิ้ว ก็คือส่วนต่างๆ ทั้งหมด มารวมประกอบร่าง เป็นมนุษย์คนหนึ่งที่เรามองเห็น สามารถเดินได้ สามารถคิดได้ สามารถพูดได้ สามารถกินได้ สามารถที่จะไปโอบกอดคนอื่นได้ อะไรอย่างนี้ นั่นคือทุกส่วนในอวัยวะในร่างกายของเรา
แล้วพระเจ้าก็บอกว่าทุกส่วนในอวัยวะในร่างกายของเรา พระเจ้าจะเป็นผู้กำหนดเอง เราไม่ใช่ผู้เลือก พระเจ้าเตรียมแต่ละคนไว้แล้ว
“ฉันเตรียมนาย ก. ให้มาเป็นตา เตรียมนาย ข. ให้เป็นปาก ฉันเตรียมนาย ค. ให้เป็นหู ฉันเตรียมนาย ง. ให้เป็นมือ” อะไรแบบนี้
คือพระเจ้าเตรียมไว้แล้ว พอเตรียมปุ๊บ ทุกคนก็จะทำตามสิ่งที่พระเจ้าเตรียมไว้ ตรงนี้ถ้าคนที่ไม่เชื่อพระเจ้า เขาเรียกว่าพรสวรรค์ คือเกิดมาเป็น พอเป็นตา ลืมตา เราก็มองเห็น นึกภาพออกไหม? ตอนเด็กๆ ถ้าทารก ลืมตาเขายังไม่เห็น คือยังไม่โตพอ ไม่รู้อายุกี่เดือน เด็กจะมองเห็น เวลาพ่อแม่เล่นด้วย เขาจะกรอกตาตามไปมา ก็คือมันเป็นธรรมชาติ ที่พอเป็นตาปุ๊บ มันจะมอง เป็นหูปุ๊บ จะฟัง ไม่ใช่เป็นหู แล้วไปทำหน้าที่เป็นปาก วันดีคืนดี เราอยากให้หูทำหน้าที่เป็นปาก เราก็ไปตักข้าวมาป้อนใส่หูใหญ่เลย ให้กินข้าว มันไม่ได้ ก็คือแต่ละส่วนของร่างกายจะทำงาน ตามความเหมาะสม ที่พระเจ้าเตรียมไว้ แล้วถ้าชิ้นส่วนไหนในร่างกายของมนุษย์รวน ก็คืองอแง ไม่ยอมทำงานตามที่ตัวเองถูกมอบหมาย ร่างกายรวน มันก็ป่วย
ถ้ากระเพาะไม่ยอมทำงาน ไม่ยอมย่อยอาหาร ร่างกายเราก็ป่วย ลำไส้ไม่ยอมลำเลียงอาหารให้ถ่ายออกมา ทานข้าวไปเดือนหนึ่งแล้ว ไม่ถ่าย นั่นแหละตาย นึกออกไหม? ก็คือทุกส่วนเขาจะทำงานตามความเหมาะสมของมัน ถ้าส่วนไหนรวนปุ๊บ แปลว่าร่างกายเราผิดปกติ พอผิดปกติ เราก็ต้องไปหาหมอ ตอนนี้หัวใจไม่ทำงาน ตอนนี้ตาเราเริ่มทำงานไม่ได้แล้ว ตาเริ่มมัวแล้ว อันนี้เป็นเพียงตัวอย่างเท่านั้น ในโลกวัตถุที่เรามองเห็น ก็คืออวัยวะทุกส่วนในร่างกาย แม้เราจะทำงานเต็มที่ ถึงวัยหนึ่ง อวัยวะต่างๆ มันก็จะเริ่มทรุดโทรมไป นี่คือเรื่องปกติ แต่ว่าในโลกฝ่ายวิญญาณ พระเจ้าเตรียมพวกเราแต่ละคนไม่เหมือนกัน แต่ทุกคน ไม่ว่าเราจะทำหน้าที่อะไรก็ตาม
อย่างทำหน้าที่เป็นนักเทศน์อยู่บนนี้ ไม่ได้เลิศหรูไปกว่าพี่น้องที่นั่งฟังถ้อยคำอยู่ข้างล่างเลย เรามีค่าเท่ากัน เท่ากันตรงที่เราเป็นลูกของพระเจ้า เท่ากันตรงที่พระเยซูมาตายแทนเราบนไม้กางเขน 1 ชีวิตต่อ 1 ชีวิต พระเยซูไม่ได้มาตายแทนนักเทศน์ทั้งชีวิต ตายแทนผู้เชื่อขอแค่ครึ่งชีวิต ไม่มีนะ พระองค์ทุ่มสุดตัว ก็คือทุกคนมีสถานะเท่าเทียมกันเลย ในสายพระเนตรของพระเจ้า อยู่ตรงที่แค่ว่าพระเจ้าจะเตรียมแต่ละคนมาเป็นอะไร? เราก็เป็นอย่างนั้น แล้วเมื่อพระเจ้าเตรียมใครเป็นอะไร? พระเจ้าก็จะให้ความสามารถด้วย พระเจ้าไม่ได้แค่ว่าเตรียมเธอมาทำอย่างนี้ แล้วก็ไม่ให้ความสามารถเลย แล้วเราก็ต้องไปตะเกียกตะกายทำเอง ไม่ใช่นะ พระองค์ก็เตรียมความสามารถให้กับเราด้วย แค่ว่าเรายอมให้พระเจ้าใช้ ปล่อยเกียร์ว่างเลย พระเจ้าใช้เราเมื่อไร? เอเมนเมื่อนั้น แล้วเราก็ทำตามที่พระเจ้าบอก ข้างในวิญญาณบอกเรา …
“วันนี้ให้ทำอะไร เราก็ทำ” แค่นั้นเอง นี่เป็นเรื่องที่ง่ายมาก
ฉะนั้น พระเยซูจึงบอกว่าคนที่มาหาพระเจ้า พระองค์จะให้เราหายเหนื่อย และเป็นสุข เมื่อไรก็ตามที่พี่น้องมาหาพระเจ้าแล้ว พี่น้องยังรู้สึกว่าต้องโซ๊กๆ เหนื่อยแทบขาดใจ แปลว่ามันไม่ใช่แล้ว มันไม่น่าใช่ เพราะพระเจ้าบอกว่าเมื่อเรามาหาพระองค์ พระองค์จะให้เราหายเหนื่อย เป็นสุข หายเหนื่อยจากอะไร? จากการที่เราต้องแบกเอาความบาป ที่สมัยก่อนเรายังไม่เชื่อพระเจ้า เราต้องแบกเอาความบาปของเรา แล้วเราก็พยายามทำความดี ทำดีมากแค่ไหน? ข้างในวิญญาณเราก็ยังรู้สึก …
“ฉันยังทำไม่พอ ฉันต้องทำเพิ่มขึ้น”
แล้วมันเหนื่อยไง เหนื่อยแทบตาย ก็ไม่สำเร็จ คือไม่มีใครทำได้ แต่พอเรามาเชื่อพระเจ้าปุ๊บ พระเจ้า พระเยซูคริสต์บอกว่าความบาปทั้งหมด เราเอาไปตรึงพร้อมกับพระเยซูคริสต์แล้ว ตัวเก่าของเราตายไปแล้ว ตัวใหม่ของเรา คือธรรมชาติใหม่ที่บริสุทธิ์ สะอาด เป็นผู้ชอบธรรมเหมือนพระเจ้าแล้ว เราไม่แบกแล้ว ไม่ต้องพยายามดิ้นรน เพื่อทำอะไรก็ตามด้วยกำลังของเราเอง เพื่อให้พระเจ้ารักเรามากขึ้น เพื่อให้เราได้รับความรอด หรือเพื่ออะไรสักอย่างหนึ่ง คือเพื่อๆๆๆๆๆ ทั้งหลาย ไม่ต้องแล้ว พระเจ้าทำให้เสร็จครบถ้วนสมบูรณ์แล้ว ต่อแต่นี้ไป แค่เราปล่อยเกียร์ว่างให้พระเจ้านำเรา ทำอะไรก็ได้ ทำนิดๆ หน่อย ถ้าพระเจ้าใช้เรานะ แค่นิดๆ หน่อยๆ พระเจ้าก็โอเคตามนั้น
เหมือนในพระคัมภีร์ที่พระเยซูบอกว่า … “แม้คนที่เอาน้ำเย็นแก้วเดียว มาให้ผู้เล็กน้อยที่สุด ในนามของเรา ผู้นั้นจะไม่ขาดบำเหน็จ”
ก็คือเขาทำน้อยมาก แค่เอาน้ำมาให้กิน น้อยมากเลยนะ แต่พระเยซูบอกว่านั่นเขาทำตามที่พระเจ้าบอก แค่นั้นเอง พอ ไม่ต้องทำอะไรแล้ว พระเจ้าให้เขาทำแค่นั้น ฉะนั้น พอเรารับรู้ความจริงเหล่านี้ เราก็จะไม่พยายามดิ้นรน พยายามที่จะขวนขวาย พยายามที่จะต้องๆ คนก็จะมาผลักดัน …
“เธอเชื่อพระเจ้าแล้ว ทำไมเธอไม่ทำโน่น เชื่อพระเจ้าทำไมเธอไม่ทำนี่”
ทำไมๆๆๆๆ อยู่นั่นแหละ พระเจ้าบอกว่าอยู่เฉยๆ ถ้าพระเจ้าจะให้ทำ พระองค์จะทำงานข้างใน แล้วก็ดันเราออกมา ถ้าพระวิญญาณข้างในดันเราให้ทำ เราอยู่ไม่ได้หรอก ถ้าเราไม่ฝืน เราให้พระเจ้าทำงานผ่านเรา อย่างไรเราก็ต้องออกไป ทำตามน้ำพระทัยของพระองค์ นี่คือสิ่งที่เราจำเป็นจะต้องรับรู้ เพื่อเราจะได้ไม่โดนหลอก
พระเจ้าอวยพรค่ะ
********************
จากใจคณะศิษยาภิบาล
มัทธิว 20:1-16 TNCV “ด้วยว่าอาณาจักรสวรรค์เป็นเช่นเจ้าของสวน ซึ่งออกไปแต่เช้าเพื่อจ้างคนมาทำงานในสวนองุ่นของตน เมื่อเขาตกลงว่าจะจ่ายค่าจ้างวันละ หนึ่งเดนาริอัน แล้วก็ให้พวกเขามาทำงานในสวนองุ่น ราวสามโมงเช้าเขาออกไปเห็นหลายคนยืนอยู่ว่างๆ ที่ตลาด จึงชวนว่า ‘มาทำงานในสวนองุ่นของเราสิ เราจะให้ค่าจ้างตามสมควร’ พวกเขาก็มา
ตอนเที่ยงวันและบ่ายสามโมงเจ้าของสวนออกไปทำเช่นเดิมอีก ราวห้าโมงเย็นเขาออกไปพบคนยืนอยู่จึงถามว่า ‘ทำไมมายืนอยู่ว่างๆ ทั้งวันที่นี่?’ พวกนั้นตอบว่า ‘เพราะไม่มีใครจ้างเรา’ เขาจึงพูดว่า ‘มาทำงานที่สวนของเราสิ’
พอพลบค่ำเจ้าของสวนองุ่นก็สั่งหัวหน้าคนงานว่า ‘ไปเรียกคนงานมารับค่าจ้าง ตั้งแต่คนหลังสุดไปจนถึงคนแรกสุด’
ลูกจ้างที่มาเริ่มทำงานตอนประมาณห้าโมงเย็นรับเงินไปคนละหนึ่งเดนาริอัน ฝ่ายคนที่มาก่อนนึกว่าตนจะได้มากกว่านั้น แต่ก็ได้คนละหนึ่งเดนาริอันเหมือนกัน เมื่อพวกเขารับเงินแล้วจึงบ่นต่อว่าเจ้าของสวน ‘คนมาทีหลังทำงานแค่ชั่วโมงเดียวกลับได้เท่าๆ กับเราที่ตรากตรำกรำแดดมาทั้งวัน’ แต่เจ้าของสวนตอบคนหนึ่งในพวกนั้นว่า ‘เพื่อนเอ๋ย เราไม่ได้โกงนะ ก็ตกลงกันไว้ว่าหนึ่งเดนาริอันไม่ใช่หรือ? รับค่าจ้างและไปเถิด เราพอใจจะให้คนมาทีหลังได้เท่าๆ กันกับท่าน เงินของเรา เราไม่มีสิทธิ์ใช้ตามใจชอบหรือ? หรือว่าท่านอิจฉาเพราะเห็นเราใจกว้าง?’ ดังนั้นคนสุดท้ายจะเป็นคนต้นและคนต้นจะเป็นคนสุดท้าย”
พระเยซูทรงยกอุปมาเรื่องสวนองุ่น เพื่อชี้ให้สาวกและผู้คนที่มาฟังพระองค์ ให้รับรู้ถึงพระคุณของพระเจ้าที่จะประทานความรอดให้กับพวกเขา ซึ่งเป็นพระคุณของพระเจ้าที่ให้เราเปล่าๆ โดยไม่เกี่ยวกับการประพฤติ แต่พวกเขาจะได้มาโดยผ่านทางความเชื่อเท่านั้น
พระเยซูยกตัวอย่างว่าอาณาจักรสวรรค์เหมือนเจ้าของสวน ที่ออกไปหาคนมาทำงานแต่เช้า ตกลงค่าจ้าง 1 เดนาริอัน แล้วเจ้าของสวนก็ออกไปอีกได้คนมาทำงานเพิ่ม …
ตอน 3โมงเช้า
ตอนเที่ยงวัน
ตอนบ่าย 3 โมง
และตอน 5โมงเย็น
เมื่อหมดวัน เจ้าของสวนให้จ่ายค่าจ้างคนท้ายสุด จนถึงกลุ่มแรกสุด ที่มาทำงาน คนที่มาทำงาน 5 โมงเย็น ได้ค่าจ้าง 1 เดนาริอัน ถ้าคิดตามแบบที่มนุษย์ทั่วไป ก็ต้องคิดว่าคนมาแต่เช้า ได้ทำงานนานกว่า เยอะกว่า ควรจะได้ค่าจ้างมากกว่า แต่กลับได้ค่าจ้างเท่ากัน พระเยซูกำลังสื่อให้สาวกและผู้คนในขณะนั้นให้รู้ว่าเรื่องของแผ่นดินพระเจ้า หรือเรื่องของความรอดเป็นพระคุณ ใครเชื่อก็ได้ ไม่ว่าจะมาเชื่อนานแค่ไหน เทียบกับคนที่เชื่อใหม่ ก็จะได้เท่ากัน
– ได้เป็นลูกของพระเจ้าเท่ากัน
– ได้เป็นผู้ชอบธรรมเท่ากัน
– ได้รับการอภัยโทษบาป ชำระให้สะอาด บริสุทธิ์เท่ากัน
– ได้ไปนั่งอยู่ที่เบื้องขวามพระหัตถ์ของพระเจ้าร่วมกับพระเยซูคริสต์เท่ากัน
– ได้รับพระพรนานาประการในโลกวิญญาณ เดี๋ยวนี้ ทันทีเท่ากัน ไม่มีใครได้มากว่า
ใคร
ขณะที่เราอยู่บนโลกใบนี้ แต่ละคนจะได้รับมอบหมายหน้าที่ที่แตกต่างกันไป ตามน้ำพระทัยของพระเจ้า รางวัลที่ได้ไม่เกี่ยวกับโลกหน้า หลังความตาย แต่เราจะได้ในโลกนี้เลย ถ้าเราทำทุกอย่างตามที่พระวิญญาณที่อยู่ข้างในนำเรา เราจะเปี่ยมล้นด้วยสันติสุข ความชื่นชมยินดีในการปรนนิบัตรรับใช้พระเจ้า
ส่วนใครจะได้รับใช้พระเจ้ามากน้อยแค่ไหน หรือยาวนานแค่ไหนก็สุดแล้วแต่พระเจ้า เหมือนที่อาจารย์เปาโลบอก อยู่ก็รับใช้ ตายก็ได้กำไร โจรที่ถูกตรึงบนไม้กางเขน ก็เหมือนคนงานที่มาทำงานตอน 5 โมงเย็น ทำแป๊บเดียวก็ได้กลับบ้านแล้ว ดังนั้นจึงไม่มีคนต้นและคนท้าย เพราะทุกคนเท่ากันหมด
พระเจ้าอวยพรค่ะ