วารสาร Holy News ฉบับที่ 1363

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  1  พฤษภาคม  2022

เรื่อง “หนังสือเอเฟซัส”  ตอน 10

โดย วราพร  คงล้วน

 

วันนี้เรามาต่อ เอเฟซัส 2:4 คราวที่แล้ว เราพูดข้อที่ 3 ที่บอกว่าจริงๆ เราสมควรตาย แต่ด้วยความรักของพระเจ้า พระองค์ได้ช่วยเหลือเรา ให้เราสามารถเข้ามาอยู่ในพระเจ้าได้ การไถ่บาปของพระเยซูคริสต์ จะทำให้พวกเราเป็นอิสรภาพ …

เอเฟซัส 2:4-5 “4 แต่เนื่องด้วยความรักใหญ่หลวงที่ทรงมีต่อเรา พระเจ้าผู้เปี่ยมด้วยพระเมตตาอันอุดม 5 จึงได้ทรงกระทำให้วิญญาณของเรา กลับมีชีวิตอยู่กับพระคริสต์ แม้ในขณะที่วิญญาณเราได้ตายแล้วในบาป คือท่านทั้งหลายได้รับความรอด (จากการลงโทษ จากคำสาปแช่ง) โดยพระคุณ”

 

อาจารย์เปาโลย้ำให้เห็นถึงความจริง ในโลกวิญญาณว่ามนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้ อยู่ภายใต้อำนาจหรืออิทธิพลของความบาปและความตาย เนื่องจากมนุษย์เกิดมา ก็มีธรรมชาติบาป เหมือนบรรพบุรุษของเรา ก็คือเกิดมาเป็นคนบาปเลย พอจากนั้น โดยพระคุณของพระเจ้า พระองค์ก็เตรียมพระเยซูคริสต์ไว้ให้กับมนุษยชาติ คือพระมาซีฮาห์ เตรียมไว้หลายพันปีแล้ว จนกระทั่งวันที่พระเยซูคริสต์เสด็จมาเกิดเป็นมนุษย์ และจนถึงวันที่พระเยซูคริสต์ได้สิ้นพระชนม์ บนไม้กางเขน และเป็นขึ้นมาจากความตาย เป็นแผนการที่ล้ำเลิศของพระเจ้า ตั้งแต่มนุษย์ล้มลงในความบาป พระเจ้าก็มีแผนที่ลี้ลับนี้ไว้แล้ว

ฉะนั้น ความลี้ลับที่พระเจ้าได้วางแผนไว้ ก็คือพระเจ้าได้เตรียมคนอิสราเอลไว้ก่อน เหมือนเป็นต้นพันธุ์ในการที่จะมาเชื่อพระเจ้า แล้วพระองค์ก็ให้คนอิสราเอลรักษากฎบัญญัติ จนถึงวันที่พระเยซูคริสต์มาทำภาระกิจของพระองค์สำเร็จ ถ้อยคำของพระเจ้าก็จะเป็นบัญญัติใหม่

บัญญัติเก่า คือคนอิสราเอลต้องทำตามกฎบัญญัติที่โมเสสว่าไว้ ในแต่ละปี  ต้องไปถวายเครื่องบูชา เพื่อลบล้างความผิดบาปของตัวเอง ปีต่อปี

แต่พอถึงบัญญัติใหม่ พระเจ้าได้ส่งพระเยซูคริสต์มา และพระเยซูคริสต์ก็ทำการงานของพระองค์ครั้งเดียวจบ ในพระคัมภีร์ย้ำตรงนี้มากเลยว่าพระเยซูทรงสิ้นพระชนม์ เพื่อเราบนไม้กางเขน ครั้งเดียวเป็นพอ  ก็คือทำเที่ยวเดียว ได้หมดเลย ก็คือช่วยมนุษยชาติให้หลุดพ้น จากความบาปและความตาย ตั้งแต่วันที่พระเยซูคริสต์ได้เป็นขึ้นมาจากความตาย มนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้ มีตัวเลือก

ก่อนหน้านั้น ไม่มีตัวเลือก มนุษย์ทุกคนอยู่ในบาป และทำบาปด้วย ก็คือเหมือนไฟล์ทบังคับ ดิ้นไม่ได้เลย DNA เป็นบาป อยู่ในธรรมชาติบาป ต่อให้ทำดีขนาดไหน? ข้างในวิญญาณก็ยังเป็นคนบาปอยู่ แต่พอถึงพระเยซูคริสต์มากระทำภารกิจของพระองค์สำเร็จปุ๊บ มนุษย์สามารถที่จะย้ายจาก DNA เดิม คืออยู่ในบาป มาเชื่อวางใจในพระเยซูคริสต์ ตรงนี้เขาเรียกว่าพระคุณ

ในพระคัมภีร์ตรงนี้บอกว่าก่อนหน้านั้น ที่ท่านไม่ได้เชื่อพระเจ้า ยังดำเนินชีวิตอยู่ในบาป แต่เนื่องจากพระคุณที่ยิ่งใหญ่ของพระเจ้า

คำว่า “พระคุณ”  หมายถึงอะไรก็ตาม ที่มนุษย์ไม่สมควรได้รับ แต่พระเจ้ากระทำให้  เป็นของขวัญที่จะได้รับฟรีๆ โดยที่มนุษย์ไม่ต้องทำอะไรเลย แค่เชื่อเอาเท่านั้น ก็ได้รับของขวัญนี้จากพระเจ้า ตรงนี้เรียกว่าพระคุณ

เนื่องจากธรรมชาติบาป ทำให้มนุษย์พยายามดิ้นรนกระทำความดีทุกอย่าง เพื่อช่วยให้ตัวเองหลุดพ้น จากความบาป แล้วมันเป็นธรรมชาติความเคยชิน แม้ว่าหลายคนเปิดใจมาเชื่อ วางใจในพระเจ้าแล้ว ก็ยังเคยชินกับการประพฤติปฏิบัติเหมือนเดิม คือพยายามที่จะทำความดี หรือทำอะไรก็ตาม ด้วยกำลังของตัวเอง เพื่อที่จะทำให้พระเจ้าพอพระทัย แต่ความเป็นจริง ในโลกวิญญาณ คือพระเจ้าพอใจ เมื่อคนๆ นั้นเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดปุ๊บ วิญญาณของเขาได้บัพติศมาเข้าเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเยซูคริสต์ ได้รับการชำระให้สะอาดบริสุทธิ์ โดยพระโลหิตของพระเยซูคริสต์ แล้วพระเยซูสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน ทำให้วิญญาณของคนๆ นั้นที่เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด ได้มีโอกาส ไปตายพร้อมกับพระเยซูคริสต์ ที่ไม้กางเขน และถูกฝังพร้อมกัน

แล้วโดยวิญญาณนั้น วิญญาณเดิมที่เป็นบาป ตายไปพร้อมกับพระเยซูคริสต์ปุ๊บ การเป็นขึ้นมาจากความตาย ที่ภาษาคริสเตียนเราใช้คำว่า “บังเกิดใหม่”  เราได้ยินบ่อยมาก บังเกิดใหม่  ก็คือจาก DNA บาป ที่ตายไปแล้ว ได้บังเกิดใหม่ เป็นวิญญาณ ซึ่งพระเจ้าเปลี่ยนใหม่ เป็นวิญญาณใหม่ที่เป็นเหมือนพระเจ้า พระเยซูคริสต์เลย เป็นวิญญาณที่ไม่มีบาป มี DNA เดียวกับพระเยซูคริสต์ เป็นวิญญาณที่ชอบธรรม เมื่อเราเชื่อวางใจในสิ่งที่พระเยซูคริสต์ทำปุ๊บ มันเกิดขึ้นทันทีเลย เป็นเซตที่เมื่อเราบังเกิดใหม่ปุ๊บ เราจะได้รับหมดเลย อย่างที่ในเอเฟซัส บทที่ 1 บอกว่าพระพรนานัปการ ที่พระเจ้าประทานให้กับพวกเราเรียบร้อยไปแล้ว ก็คือเราได้รับหมดเลย ในโลกวิญญาณ

พอพูดถึงโลกวิญญาณ คือเราสัมผัสจับต้องไม่ได้ เรามองไม่เห็น เราต้องใช้ความเชื่อเอา ก็คือผู้เชื่อทั้งหลาย จำเป็นต้องใช้ความเชื่อ เชื่อตามที่พระเจ้าบอก เชื่อตามที่พระเยซูคริสต์บอกเราว่าพระองค์ได้กระทำทั้งหมดนี้ สำเร็จแล้ว บนไม้กางเขน เมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว ใครก็ตามที่เข้ามาเชื่อในสิ่งที่พระเยซูคริสต์กระทำ คนนั้น ก็จะได้รับของขวัญชิ้นนี้ไป ก็คือหลุดพ้นจากความบาปทั้งหมด พระเยซูคริสต์ได้ชำระบาปของมนุษย์คนนั้น จริงๆ พระเยซูคริสต์ชำระหมดแล้วทั้งโลกนี้ ก็คือมนุษยชาติทั้งหมด ได้รับการชำระ ได้รับการอภัยเรียบร้อยไปแล้ว เพียงแต่ว่าใครก็ตามที่รับรู้ความจริง และเข้ามารับเอาสิ่งที่พระเยซูคริสต์กระทำให้เขาเรียบร้อยไปแล้ว ในโลกวิญญาณ คนๆ นั้น ก็ได้บังเกิดใหม่เข้ามาในอาณาจักรของพระเจ้า  เข้ามาเป็นครอบครัวเดียวกันกับพระเจ้า จากเดิมเป็นศัตรูกับพระเจ้า อยู่ตรงกันข้ามกับพระเจ้า อยู่ฝั่งดำ พอบังเกิดใหม่ปุ๊บ ก็อยู่ฝั่งตรงข้ามเลย ไม่ได้เป็นศัตรูกับพระเจ้าแล้ว เป็นครอบครัวเดียวกันกับพระเจ้า เป็นความขาว เป็นความสว่าง เป็นความสะอาด พระเจ้าบอกว่าดีพร้อม ก็คือพระเจ้าเป็นผู้กระทำให้วิญญาณของผู้เชื่อดีพร้อม

ไม่ใช่เราทำเองนะ เราทำไม่ได้ คือเมื่อวิญญาณเก่าที่สกปรก ที่เต็มไปด้วยความบาป ตายไปกับพระเยซูคริสต์ปุ๊บ วิญญาณใหม่ ที่พระเจ้าให้มา เป็นวิญญาณที่ดีพร้อม สะอาด บริสุทธิ์ เป็นความรักเลย นี่คือความจริงในโลกวิญญาณ

ทำไมเราต้องรับรู้ความจริงเหล่านี้บ่อยๆ เพื่อเราจะได้รู้ว่าตอนนี้เราเป็นลูกของพระเจ้าแล้วนะ เราเป็นความรัก เราเป็นความสว่าง เราเป็นเกลือ เราเป็นความดีงาม พระเจ้าบอกว่า …

“เธอดีมากเลย จากวิญญาณที่บังเกิดใหม่ กลายเป็นคนดีพร้อม เหมือนพระเยซูคริสต์เลย”

ฉะนั้น เวลาเราดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ เนื่องจากเรายังมีร่างกายเก่า เป็นร่างกายที่ยังต้องรับผลของความบาปและความตายอยู่บนโลกใบนี้ คือพระเจ้ายังไม่เอาเรากลับบ้าน เรายังคงต้องอยู่ในร่างกายนี้ ฉะนั้น ร่างกายนี้ก็จะมีโอกาสรับอิทธิพลของข้างนอก หรือรับอิทธิพลของความคิดเดิมๆ ก่อนที่เรามาเชื่อพระเจ้า มันไม่ได้หายไปไหน? มันยังอยู่ในโปรแกรมความคิดของเรา เพียงแต่ว่าถ้าเราอนุญาตให้โปรแกรมความคิดเก่าๆ มาฝังอยู่ในหัวของเราเยอะๆ มันก็จะสั่งให้ร่างกายเราทำตาม

ถ้าเรารู้ตรงนี้ชัดเจน เราจะเออ! มันเป็นอย่างนี้นี่เอง ทำไมเราถึงต้องจดจำ ถ้อยคำของพระเจ้า ทำไมเราต้องเรียนรู้ว่าตอนนี้ เราเป็นใครแล้ว ในพระเยซูคริสต์ ที่พระเจ้าบอกว่า …

“ลูกเอ๋ย ตอนนี้เธอสะอาดบริสุทธิ์ เธอเป็นความดีงาม เธอดีพร้อมทุกอย่าง เหมือนพ่อเลยนะ แล้วก็อย่าให้ใครมาหลอกว่าเราสกปรก เพราะพระเจ้าชำระให้เราสะอาดหมดแล้ว”

นี่คือความจริงในโลกวิญญาณ ฉะนั้น ทันทีที่เราบังเกิดใหม่ ทำให้วิญญาณเรากลับมีชีวิต ก่อนหน้าที่เรามาเชื่อพระเจ้า เราดูเหมือนมีชีวิต เดินไปไหนมาไหน เรายังสามารถร่าเริงยินดี สามารถที่จะเที่ยวเล่นสนุกสนานเฮฮา แต่ความเป็นจริง ในโลกวิญญาณ คือวิญญาณเราตายอยู่

ก็คือวิญญาณเราตายจากพระเจ้า วิญญาณไม่ได้อยู่ฝ่ายพระเจ้า วิญญาณเป็นศัตรูกับพระเจ้า วิญญาณเราอยู่ฝั่งดำ ฝั่ง DNA ของอาดัม ซึ่งไม่มีใครรับรู้ เราก็ไม่รู้เหมือนกันว่าวิญญาณเราตายอยู่ ทั้งๆ ที่เรายังเดินเหินได้อย่างสะดวกสบาย  เรายังหายใจอยู่ แต่ถ้อยคำของพระเจ้าบอกว่าวิญญาณของมนุษย์ตายอยู่

ฉะนั้น พอเราเชื่อพระเจ้าปุ๊บ พระเจ้าทำให้วิญญาณเรากลับมีชีวิตขึ้นมาในพระเยซูคริสต์ พระเจ้าให้เราได้รับวิญญาณนิรันดร์

คำว่า “วิญญาณนิรันดร์” ไม่ได้หมายถึงว่าวิญญาณอยู่ตลอดกาล เพราะว่าต่อให้เราไม่ได้บังเกิดใหม่ เราอยู่ใน DNA เดิมที่เป็นของอาดัม วิญญาณเราก็อยู่ตลอดกาลอยู่แล้ว แต่คำว่า “ชีวิตนิรันดร์  ในพระเยซูคริสต์” หมายถึงคุณภาพชีวิต แบบใหม่  ที่เป็นแบบเหมือนพระเจ้า เป็นคุณภาพชีวิตที่เป็นเหมือนพระเจ้า แล้วก็อยู่นิรันดร์ด้วย

ก็คือวิญญาณของมนุษย์มาจากพระเจ้า ถ้าเราเข้าใจตรงนี้ เราจะรับรู้ว่าทำไมพระเจ้าถึงบอกให้พวกเราประกาศข่าวประเสริฐ จงบอกให้ทุกคนในโลกใบนี้ ได้รับรู้ความจริงในเรื่องของพระเยซูคริสต์ รับรู้ว่าพระเยซูคริสต์มาทำให้เราเรียบร้อยไปแล้ว มาชำระเราให้สะอาด เราสามารถรับของขวัญนี้ได้ ทำให้มนุษย์ที่ได้ยินได้ฟัง เรื่องราวข่าวประเสริฐแท้ๆ ของพระเจ้า เมื่อเขาเปิดใจต้อนรับเอาข่าวประเสริฐนี้ วิญญาณของเขาได้รับการเปลี่ยนใหม่ทันที

ก่อนหน้าที่เรามาเชื่อพระเจ้า วิญญาณเราอยู่ในฝั่งพินาศนิรันดร์ วิญญาณเราถูกพิพากษานิรันดร์ไปแล้ว วิญญาณเราตายจากพระเจ้านิรันดร์ แล้วมันจะอยู่อย่างนั้นตลอด จนถึงวันที่วิญญาณเราออกจากร่าง คือหมดลมหายใจ ภาษามนุษย์เขาเรียกว่าตาย  พอตายปุ๊บ วิญญาณนี้ ที่มี DNA ของอาดัม ออกจากร่างปุ๊บ เขาก็จะอยู่ที่เดิม คืออยู่ในการพิพากษาของพระเจ้าเหมือนเดิม อันนั้นน่ากลัว เพราะว่าวิญญาณนิรันดร์ อยู่ในที่ที่ไม่มีพระเจ้า

พระเจ้าบอกมนุษย์มีหนทางเดียว มีโอกาสเดียวที่จะสามารถย้ายจากวิญญาณพินาศนิรันดร์ เข้ามาสู่วิญญาณที่เป็นเหมือนพระเจ้านิรันดร์ ที่ไม่ต้องไปชดใช้หนี้เวรกรรมอีกต่อไป ทำได้เฉพาะตอนที่เรามีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้เท่านั้น

ฉะนั้น ข่าวประเสริฐของพระเจ้า จึงต้องถูกประกาศออกไป จากผู้คน  คนแล้วคนเล่า เหมือนส่งไม้ผลัด ที่บอกต่อๆ เพื่อให้ผู้คนได้ยินได้ฟัง เรื่องนี้เรื่องซีเรียสมาก เป็นเรื่องจริงที่พระเจ้าใส่ใจ ที่พระเจ้าต้องการปรารถนาที่จะให้ทุกคนได้รับความรอด ไม่ปรารถนาเลยที่จะเห็น แม้คนหนึ่งคนใดต้องพินาศไป แต่มันก็ยังมีตรงที่ว่าพระเจ้าไม่บังคับ ถ้าพระเจ้าบังคับมนุษย์ได้ มันก็ดี พระเจ้าก็กดรีโมตเลยให้มนุษย์ทุกคนเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ จะได้ไม่ต้องอยู่ในความพินาศนิรันดร์  แต่พระเจ้าของเรา เป็นพระเจ้าที่น่ารัก เป็นพระเจ้าที่ให้อิสระกับมนุษย์ แม้ว่ามนุษย์คนนั้น ยังไม่ได้รู้จักกับพระเจ้าก็ตาม หรือแม้แต่เรารู้จักกับพระเจ้า พระเจ้าก็ยังให้อิสรภาพเรา ในการสามารถเลือกที่จะทำหรือไม่ทำก็ได้

เมื่อเรามาเชื่อพระเจ้า พระเจ้าให้อิสระเสรีกับเรา ในการเลือกที่จะเชื่อฟังพระเจ้า หรือเลือกที่จะไม่เชื่อฟังพระองค์ก็ได้ อันนี้คือสิทธิพิเศษ สำหรับมนุษย์ทั้งหมดที่พระเจ้าสร้างมา ฉะนั้น มนุษย์ที่ไม่ได้เชื่อพระเจ้า พระเจ้าก็ให้สิทธิเสรีภาพ แต่พระเจ้าลุ้นนะว่าเชื่อเถิด เปิดใจเถิด มารับเอาเถิด เพราะว่านี่คือสิ่งดี พวกเธอจะได้ไม่ต้องไปอยู่ในนรกนิรันดร์กาล ขณะอยู่บนโลกนี้ ก็อยู่ในนรกแล้ว โลกหน้ายังต้องไปอยู่นิรันดร์กาล ถ้าวิญญาณออกจากร่างปุ๊บ แก้ไขอะไรไม่ได้แล้ว ข่าวประเสริฐจึงถูกประกาศออกไปเรื่อยๆ พอคนหนึ่งคนใดที่เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ปุ๊บ ในพระคัมภีร์ใช้คำว่า “สวรรค์” ทุกคนบนสวรรค์ชื่นชมยินดี ทำไมต้องชื่นชมยินดี ดีใจไง  ดีใจกับคนๆ นั้นด้วย ลุ้นแทบตาย  เขาเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์แล้ว ตอนนี้วิญญาณเขาได้บังเกิดใหม่แล้ว เขาได้ชีวิตนิรันดร์ แบบที่มีคุณภาพเหมือนพระเจ้าแล้ว วิญญาณของเขา ไม่ต้องไปตกนรกแล้ว ไม่ต้องถูกพิพากษาแล้ว

คำว่า “ถูกพิพากษา” คือพิพากษาตั้งแต่อยู่บนโลกใบนี้ ไปจนถึงอนาคตข้างหน้า วิญญาณออกจากร่าง ก็ยังถูกพิพากษาอยู่

ฉะนั้น ข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์จึงต้องถูกประกาศออกไป ให้ทุกคนเมื่อได้ยินได้ฟังข่าวนี้ แล้วเปิดใจต้อนรับของขวัญ เรียกว่าการสิ้นพระชนม์ของพระเยซูคริสต์ที่ไม้กางเขน ครั้งเดียว ทำเสร็จตั้งแต่ 2,000 ปีที่แล้ว มันจบแล้ว แล้วตรงที่พระเยซูทำเสร็จ ก็คือมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันนั้น คือ 2,000 ปีที่แล้ว จนถึงปัจจุบัน และจนถึงอนาคตข้างหน้าด้วย ใครก็ตามที่เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ปุ๊บ เขาเข้ามารับของขวัญได้ทันทีเลย วิญญาณเขาก็ได้รับคุณภาพ แบบพระเจ้าเลย ไม่ต้องถูกลงโทษ แล้วก็ได้รับความรอด โดยพระคุณ

ความรอดตรงนี้ โดยพระคุณ คือไม่ใช่กำลัง ไม่ใช่ความสามารถ ไม่ใช่การประพฤติ การทำดีของมนุษย์คนหนึ่งคนใด ที่พยายามตะเกียกตะกายทำๆ เพื่อให้ตัวเองได้มาตรฐานอย่างที่พระเจ้าต้องการ ซึ่งไม่มีมนุษย์คนไหนในโลกใบนี้ ทำได้เลย มาตรฐานพระเจ้าที่เราคุยกัน ก็คือจุดหนึ่ง ขีดหนึ่ง ก็ต้องทำให้ครบถ้วนสมบูรณ์ ไม่เพียงแต่ครบถ้วนสมบูรณ์ จุดกับขีดเท่านั้น แต่ยังต้องครบถ้วนสมบูรณ์ทุกเวลา ทุกวินาที ซึ่งไม่มีมนุษย์คนไหนทำได้ เพราะมนุษย์อยู่ใน DNA บาป เขาเกิดมาเป็นคนบาป เมื่อเป็นคนบาป ต่อให้ทำดีขนาดไหน? ก็ไม่สามารถเปลี่ยน DNA จากการเป็นคนบาปมาเป็นคนชอบธรรมได้

นี่คือง่ายๆ ที่พระเจ้าบอก … “เธอทำอะไรไม่ได้หรอก เปลี่ยนซะ”

ให้พระเจ้าเป็นผู้เปลี่ยน DNA ให้กับเรา ซึ่งการเปลี่ยนตรงนี้ เขาก็ทำเองไม่ได้ เมื่อเราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ปุ๊บ พระวิญญาณบริสุทธิ์ก็เข้ามาทำขบวนการของพระองค์ ผ่าตัดวิญญาณ เปลี่ยนวิญญาณใหม่ให้กับเรา คือเราทำเองไม่ได้เลย ต้องพึ่งพาพระเจ้าเท่านั้น หลังจากที่เราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ โดยพระคุณแล้ว เราก็ได้รับพระพร จากพระเจ้า อย่างที่เราบอก ไม่ได้พูดแต่เรื่องของพระพร ฝ่ายวิญญาณเท่านั้น พระพรฝ่ายวิญญาณนานับประการที่พระเจ้าได้ทรงประทานให้กับพวกเราเรียบร้อยแล้ว ก็คือการที่ได้มาเป็นลูกของพระเจ้า เป็นผู้ชอบธรรม เป็นผู้สะอาดบริสุทธิ์หมดจด ได้นั่งอยู่ที่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้า วิญญาณเราได้หลุดพ้นจากความบาป หลังความตาย เราจะได้ไปอยู่กับพระเจ้านิรันดร์กาล แล้วเราจะได้ไปรับร่างกายใหม่ ที่พระเจ้าเตรียมไว้ให้กับพวกเรา นี่คือพระพรทั้งหมดที่พระเจ้าทรงสัญญาไว้กับพวกเรา แล้วตอนที่เราอยู่บนโลกใบนี้ เรามองไม่เห็น เราก็เชื่อเอา

ทุกวันนี้ คริสเตียนมีความหวังใจ หวังตรงที่ว่าเรารอคอยวันหนึ่งข้างหน้าที่การงานของเราบนโลกใบนี้เสร็จ แล้วพระเจ้าบอกว่าสำเร็จแล้ว ไปกลับบ้าน แล้วลมหายใจเราออกจากร่างปุ๊บ เราก็ไปรับร่างกายใหม่ ที่พระเจ้าเตรียมไว้ให้กับเรา

ร่างกายตรงนี้ ในพระคัมภีร์ใช้คำว่าร่างกายใหม่ ที่เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์ ตอนที่เป็นขึ้นมาจากความตาย เต็มด้วยสง่าราศี

แล้วตอนที่เราอยู่บนโลกนี้ล่ะ พระเจ้าสัญญาอะไรกับเราบ้าง? ตอนที่อยู่บนโลกใบนี้ สิ่งที่พระเจ้าสัญญากับผู้เชื่อ คือพระเจ้าทรงสถิตอยู่ในเรา อันนี้สำคัญมาก  เราจำเป็นจะต้องรับรู้ว่าเมื่อเราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด พระเจ้าทั้งพระบิดา พระบุตร พระวิญญาณบริสุทธิ์เข้ามาอยู่ในเรา

พระองค์เข้ามาอยู่ในเราได้อย่างไร? ในขณะที่ร่างกายเรายังเป็นร่างกายเดิมอยู่ เรารับรู้แล้วใช่ไหม? วิญญาณเราได้รับการเปลี่ยนใหม่ อย่างที่ในพระคัมภีร์เดิมเผยพระวจนะไว้ว่าเราจะเปลี่ยนวิญญาณใหม่ให้กับเขา  ก็คือเผยไว้ตั้งแต่อดีตว่าอนาคตข้างหน้า เมื่อพระเยซูคริสต์มาทำการงานของพระองค์สำเร็จ สิ่งนี้จะเกิดขึ้น คือวิญญาณเราจะถูกเปลี่ยนใหม่ ความคิดจิตใจเราก็ถูกเปลี่ยนใหม่ ส่วนร่างกายเราก็ถูกชำระให้สะอาดหมดจดเลยนะ ร่างกายเรา ซึ่งยังอยู่บนโลกใบนี้อยู่ ร่างกายของผู้เชื่อทุกคน สะอาดหมดจด ไม่สกปรกแล้วนะ แต่เผลอๆ เราก็จะถูกหลอก เวลาเราเผลอไปทำตามเนื้อหนัง การล่อลวงของระบบของโลกนี้ เราก็จะมีความรู้สึก ระบบความคิดของโลกนี้ ที่เขาส่งเข้ามาในความคิดของเราทันทีว่า …

“เธอสกปรก”

เราต้องยืนยันว่าหลังจากที่เราบังเกิดใหม่ ร่างกายเราไม่สกปรกเลย ถ้าสกปรก พระเจ้าเข้ามาอยู่ในเราไม่ได้ ความสกปรกกับความสะอาดของพระเจ้า อยู่ด้วยกันไม่ได้ ถ้าเรายังสกปรกอยู่ พระเจ้าทั้ง 3 พระภาคเข้ามาในร่างกายของเราปุ๊บ เราตาย พระเจ้าไม่เป็นไรหรอก แต่เราจะตาย เพราะว่าเราสกปรก

รับรู้ความจริงตรงนี้อีกเรื่องหนึ่ง คือร่างกายของผู้เชื่อได้รับการชำระให้สะอาด บริสุทธิ์แล้ว จนขนาดที่พระเจ้าทั้ง 3 พระภาคเข้ามาสถิตอยู่ในเราได้ เหมือนในพระคัมภีร์บอกว่าร่างกายของท่านเป็นวิหารของพระเจ้า เป็นที่สถิตของพระวิญญาณบริสุทธิ์แล้ว

แต่ทำไมคริสเตียนยังคงทำบาปอยู่ เราสะอาดแล้ว เราไม่น่าจะทำบาปใช่ไหม? แต่ความเป็นจริงในโลกวัตถุนี้ ก็คือคริสเตียนยังทำบาปอยู่ เนื่องจากร่างกายเรายังอยู่ในระบบของโลกนี้ ยังอยู่ในกฎของความบาปและความตายอยู่ ฉะนั้น สมองและความคิดของเรา เป็นอย่างที่เราคุยกัน เป็นเหมือนศูนย์บัญชาการ ที่สามารถรับข้อมูลได้  ข้อมูลมันมีอยู่ 2 แหล่งที่เราจะรับได้ …

แหล่งแรก คือข้อมูลจากพระเจ้า จากในพระคัมภีร์ ที่บอกเราว่าตอนนี้สถานะของเรา เป็นอย่างไร? สถานะของเราเป็นผู้ชอบธรรมของพระเจ้า เป็นคนบริสุทธิ์ของพระเจ้า สถานะของเราเป็นเหมือนพระเยซูคริสต์เลย นี่คือข้อมูลที่เราต้องรับเข้ามา พอเรารับรู้ว่าเราเป็นใครในพระเยซูคริสต์ปุ๊บ พระเจ้า พระวิญญาณบริสุทธิ์ ก็จะบอกเราว่าสถานะเธอเปลี่ยนแล้ว ตอนนี้ธรรมชาติใหม่ของเธอที่ได้มีวิญญาณใหม่ กลับใจใหม่ เป็นแบบนี้นะ คือเป็นความรัก เป็นความดีงาม เป็นความอดทน คือเป็น ไม่ต้องพยายามทำนะ มันเป็นแล้ว พอเราโตขนาดไหน ความเป็นมันจะออกมาเอง มันจะสำแดงออกมาเอง รับรู้ความจริงได้มากเท่าไร? เราก็จะสามารถสำแดงความเป็นธรรมชาติใหม่ ที่เป็นลูกของพระเจ้าออกมาได้มากเท่านั้น

อีกมุมหนึ่ง คือระบบสมองของเรา ยังสามารถรับข้อมูลจากข้างนอก มันไม่ได้มีอิทธิพลอะไรที่จะมาบังคับให้เราต้องเชื่อมัน แต่มันจะส่งระบบของโลกใบนี้ เข้ามาในสมองของเรา ให้เรารับตรงนี้ ระบบของโลกนี้ มีอะไรบ้าง? คือมีทุกอย่างที่ตรงกันข้ามกับพระเจ้า

พระเจ้าบอกพระเจ้าเป็นความรัก ระบบของโลกนี้ คือความเกลียดชัง

พระเจ้าเป็นสีขาว ระบบโลกนี้ ก็คือสีดำ  มันอยู่ตรงกันข้ามหมดเลย แล้วตรงนี้ เป็นระบบที่อยู่ภายนอก ที่ส่งเข้ามาในความคิดของเราเหมือนกันทุกวัน ถ้าพี่น้องสังเกตว่าความคิดของเราจะไม่หยุด ต่อให้เรานอนหลับ ความคิดเราก็ไม่หยุดนะ มันจะมีความคิดวิ่งเข้าวิ่งออก เป็นความคิดที่ระหว่างพระวิญญาณบริสุทธิ์บอกเราว่า …

“เธอเป็นความดีงามนะ เธอเป็นความรักนะ เขาทำอะไรเธอนิดหนึ่ง ก็ให้ความรัก อดทนนะ ให้อภัยเขา”

นี่คือข้อมูลจากพระเจ้า แต่ข้อมูลจากโลกใบนี้ มันก็จะส่งเข้ามาเหมือนกัน …

“ไม่ได้หรอก เขาทำเธอ เธอต้องจัดการ เธอจะไปยอมได้อย่างไร? อย่างนี้ยอมไม่ได้ ต้องจัดการเลย”

นั่นคือระบบ 2 อย่าง มันจะตีรวนเข้ามาในความคิดของเรา ตอนนี้ความคิดของเรา คือศูนย์บัญชาการ เราต้องเป็นคนตัดสินใจ พระเจ้าไม่ตัดสินใจให้เรานะ พระเจ้าให้สิทธิเสรีภาพกับมนุษย์ทุกคนที่จะตัดสินใจว่าเราจะเชื่อฟังพระเจ้า เชื่อฟังตามพระวิญญาณ เพราะว่าตอนนี้วิญญาณเราเกิดใหม่แล้ว เป็นเหมือนพระเจ้าแล้ว เราก็ให้อภัย เราก็สำแดงความรักออกไป ใครมาเหยียบขาเรา ก็ …

“ไม่เป็นไรๆ ค่ะ”

เขาขอโทษ เราก็ … “ไม่เป็นไรๆ”

ไม่ใช่พอเขามาเหยียบขาเรา เขาขอโทษปุ๊บ เราก็หันกลับไป … “ขอโทษแค่นี้ มันหายหรือ?” อะไรอย่างนี้

นั่นแหละ ระบบของโลกนี้ มันส่งเข้ามาเป็นแบบนี้ ถ้าเราตัดสินใจตามพระวิญญาณบอก พระเจ้าก็ชื่นใจ เพราะเราก็จะมีความสุข แต่ถ้าเราตัดสินใจตามระบบของโลกนี้ส่งเข้ามา พระเจ้าก็ต้องอนุญาต เพราะว่าพระเจ้าไม่บังคับเราไง แต่ไม่ใช่พระประสงค์ของพระเจ้า พระเจ้าก็จะ …

“ลูกเอ๋ย ทำไมลูกตัดสินใจแบบนี้”

มันเจ็บตัวนะ  ถ้าเราตัดสินใจโต้ตอบออกไป มันก็จะมีผล เราก็จะเก็บเกี่ยวผลที่เราโต้ตอบออกไป มันจะเป็นระบบที่เราเจอทุกวัน ในขณะที่พระเจ้ายังให้เราอยู่บนโลกใบนี้อยู่ เราก็จะตัดสินใจอย่างนี้แหละ บางวันเราก็ตามพระวิญญาณ บางวันเราก็ตามเนื้อหนัง บางวันก็ตามใจเรา อะไรก็แล้วแต่ แต่ว่าสิ่งที่สำคัญ ที่เราจำเป็นต้องรับรู้ ที่พระจ้าบอกว่าโดยพระคุณของพระเจ้า  เราได้รับความรอด ไม่ใช่การประพฤติของเรา ฉะนั้น การประพฤติของเราจะไม่มีผลอะไรกับความรอดในวิญญาณของเราเลย แม้แต่นิดเดียว ...

เอเฟซัส 2:6 “และพระองค์ได้ทรงให้วิญญาณของเราเป็นขึ้นมา (บังเกิดใหม่) กับพระคริสต์ และในพระเยซูคริสต์ พระเจ้าได้ทรงให้เรานั่งในสวรรคสถานกับพระคริสต์”

 

นี่คือความจริงในโลกวิญญาณ เมื่อเราได้บังเกิดใหม่ปุ๊บ เราได้นั่งอยู่ที่สวรรคสถานร่วมกับพระเยซูคริสต์ทันที เดี๋ยวนี้ ไม่ต้องรอเราตาย

เมื่อก่อน เราอาจจะเข้าใจผิด แล้วก็ถูกสอนว่าต้องรอก่อน คริสเตียนอยู่บนโลกใบนี้ ก็ทำงานไป พยายามทำสิ่งที่ดี เพื่อให้พระเจ้าพอใจ แต่จริงๆ พึ่งการกระทำของตัวเอง พระเจ้าบอกไม่ต้อง การทำสิ่งที่ดี มันจะออกมาเอง เพราะมันเป็นธรรมชาติของเรา ไม่ใช่เราพยายามตะเกียกตะกาย เพื่อที่จะทำให้พระเจ้าพอใจ ซึ่งพระเจ้าบอกว่าพระเจ้าพอใจเราแล้ว เพราะเราเป็นเหมือนพระเยซูคริสต์

ฉะนั้น การบังเกิดใหม่ตรงนี้     มีผล     คือ  ณ  เวลานี้     วิญญาณของผู้เชื่อทุกคนได้นั่งอยู่ในสวรรคสถาน ร่วมกับพระเยซูคริสต์เรียบร้อยไปแล้ว ตั้งแต่อยู่บนโลกใบนี้ เราก็ได้นั่งอยู่ที่สวรรค์เรียบร้อยแล้ว แล้วพี่น้องลองคิดดูว่าตั้งแต่อยู่บนโลกใบนี้ เราได้นั่งอยู่ที่สวรรค์แล้ว สถานะตรงนี้จะไม่เปลี่ยนแปลงเลย ฉะนั้น หลังจากโลกนี้ไป เราก็แค่เปลี่ยนมิติ เหมือนกับวิญญาณออกจากร่าง เหมือนเรานอนหลับ ตื่นขึ้นมาอยู่ที่เดิมเลย เพราะเรานั่งอยู่ที่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้าร่วมกับพระเยซูคริสต์เรียบร้อยแล้ว ตั้งแต่วินาทีนี้ …

เอเฟซัส 2:7 “เพื่อในยุคต่อๆ ไป พระองค์จะได้ทรงสำแดงความอุดมแห่งพระคุณ อันหาใดเปรียบ ซึ่งได้ทรงแสดงด้วยพระกรุณาที่มีต่อเราในพระเยซูคริสต์”

 

ดังนั้น ยุคต่อๆไป ไปเรื่อยๆ พระคุณตรงนี้ พระเยซูคริสต์ได้ทำสำเร็จแล้ว มนุษย์สามารถได้รับความรอด ผ่านทางพระเยซูคริสต์ผู้เดียวเท่านั้น ที่ทำให้มนุษย์สามารถคืนดีกับพระเจ้าได้ ผ่านทางพระเยซูคริสต์ผู้เดียวเท่านั้น ที่ทำให้เราสามารถเป็นผู้ชอบธรรมของพระเจ้าได้ นี่คือเงื่อนไขเดียว ที่พระเจ้าได้พูดไว้ คือไม่ว่าเราจะทำด้วยวิธีการใดก็ตาม ก็ไม่เข้าเงื่อนไขของพระเจ้า ทำความดีเยอะๆ ก็ไม่ได้อยู่ในเงื่อนไขของพระเจ้า เพราะไม่ว่าจะทำดีอย่างไร ก็ไม่ครบถ้วน หรือทำอะไร คือพยายามดิ้นรนตะเกียกตะกาย ยังไงก็ไม่ได้ เพราะพระเยซูบอก …

“เธอทำไม่ได้หรอก เธอต้องมาพึ่งฉัน เพราะว่าฉันมาทำให้เธอสำเร็จเรียบร้อยไปแล้ว ทุกอย่างเลย แค่เข้ามารับเอาเท่านั้นเอง”

เอเฟซัส 2:8 “เพราะโดยพระคุณ ความเมตตา และความโปรดปรานของพระเจ้า ที่ได้นำท่านเข้ามาอยู่ในพระคริสต์ ท่านทั้งหลายจึงได้รับความรอด พ้นจากการถูกตัดสินลงโทษ เนื่องจากบาป และได้รับชีวิตนิรันดร์ ผ่านทางความเชื่อ”

 

ความเชื่อนะ อันนี้สำคัญมาก ชีวิตนิรันดร์ที่พวกเราได้รับ ผ่านทางความเชื่อเท่านั้น เชื่อในสิ่งที่พระเยซูคริสต์กระทำ เพื่อเราบนไม้กางเขนเรียบร้อยไปแล้ว เมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว นี่คือความเชื่อที่พระเจ้าใส่เข้ามา ทำให้เรามีความสามารถเชื่อในสิ่งที่พระเยซูคริสต์กระทำ

เราเคยคุยกันแล้วว่ามนุษย์ที่เป็นคนบาป ไม่สามารถเชื่อหรอกว่าพระเยซูเป็นพระเจ้า แต่ความเชื่อนี้ พระเจ้าเป็นผู้ใส่เข้ามา ให้เราสามารถเชื่อได้ว่าพระองค์เป็นพระเจ้า เป็นพระมาซีฮาห์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอด พอเชื่อปุ๊บ เราก็เปิดใจรับเอาสิ่งที่พระเจ้าได้ทำให้กับพวกเราเรียบร้อยไปแล้ว ดังนั้น พระคุณตรงนี้ พระเจ้าทำให้เราเรียบร้อยไปแล้ว ได้รับความรอดเรียบร้อยไปแล้ว …

เอเฟซัส 2:9 “ความรอดนี้ ไม่ได้เป็นผลจากการพยายามทำด้วยตัวท่านเอง แต่เป็นพระคุณของพระเจ้าที่ได้ประทานให้ ไม่ใช่ความรอด โดยการประพฤติ หรือความพยายามที่จะรักษาบทบัญญัติของพระเจ้า เพื่อจะไม่มีใครโอ้อวด และแอบอ้างความดีตัวเอง ในความรอดของตนได้”

 

ถ้าสมมติว่าการได้เป็นผู้ชอบธรรม สามารถทำด้วยกำลังของมนุษย์ หรือมนุษย์สามารถประพฤติความดีงาม โดยได้รับความรอดนี้ ก็สามารถทำให้มนุษย์อวดได้ใช่ไหม? คนที่ได้รับความรอด ก็จะบอกว่า …

“เห็นไหม? ฉันทำดีกว่าเธอตั้งเยอะ ฉันถึงได้รับความรอด”

แต่พระเจ้าบอกไม่ใช่ ไม่มีมนุษย์คนไหนทำดีได้ครบถ้วนสมบูรณ์ ตามที่พระเจ้าบอก ฉะนั้น ไม่มีใครโอ้อวดได้เลยว่าที่เขาได้รับความรอด ที่เขาได้บังเกิดใหม่ ที่เขาได้มาเป็นพลเมืองของพระเจ้า ที่เขาได้คืนดีกับพระเจ้า เพราะการกระทำของตัวเอง  เพราะการทำดี การส่ำสมความดีของเรา เราถึงได้รับความรอด อวดไม่ได้เลย เพราะว่าไม่มีใครทำได้เลย พระเจ้า พระเยซูคริสต์ เป็นผู้กระทำให้กับพวกเราบนไม้กางเขน และเป็นขึ้นมาจากความตายเท่านั้น เมื่อเราเชื่อ เราก็ได้รับความรอดนี้เลย คือไปโม้กับใครว่า …

“ฉันทำดี พระเจ้าถึงรักฉัน เพราะฉันทำดี พระเจ้าถึงเลือกฉัน เพราะฉัน ….”

ไม่ใช่เลย พระเจ้าบอกมนุษย์เป็นคนบาปหมด มนุษย์อยู่ในความชั่วร้ายหมด ไม่มีใครดีพอที่จะทำให้พระเจ้ารับได้เลย มีเพียงผู้ที่เข้ามารับเอาความช่วยเหลือจากพระเยซูคริสต์ได้บังเกิดใหม่ พระเจ้าถึงรับเราได้ …

เอเฟซัส 2:10 “เพราะเราทั้งหลายเป็นผลงานศิลปะชิ้นเอก ที่ประณีตยอดเยี่ยมของพระเจ้า ที่สร้างสรรค์ขึ้นในพระเยซูคริสต์ ซึ่งวิญญาณได้บังเกิดใหม่ พร้อมที่จะให้พระเจ้าใช้ เพื่อทำการดีต่างๆ ซึ่งพระเจ้าได้เตรียมไว้ล่วงหน้าแล้ว เพื่อเราจะได้ดำเนินชีวิตที่ดี เป็นไปตามแผนการของพระองค์”

 

พอเราได้บังเกิดใหม่  เราทุกคนเป็นผลงานชิ้นเอกของพระเจ้าเลย พระองค์สร้างเราอย่างประณีตบรรจง แล้วพระองค์บอกว่าโดยพระเยซูคริสต์ เราได้รับการสร้าง โดยทำให้เรามีวิญญาณใหม่ พอวิญญาณใหม่ เป็นวิญญาณที่ดีพร้อม พร้อมที่จะทำการดี ก็คือวิญญาณข้างในดี เกิดจากการเป็นคนดี ทำให้เราสามารถกระทำความดี มันจะต่างกันนะ

สมัยก่อน ก่อนที่เราจะมาเชื่อพระเจ้า เราพยายามกระทำความดี เพื่อเราจะได้รับวิญญาณที่ดี หรือได้เป็นลูกของพระเจ้า ทำอย่าไรก็ทำไม่ได้ แต่บัดนี้ เราได้บังเกิดใหม่ วิญญาณข้างในเราดี เกิดมาเป็นลูกของพระเจ้าแล้ว เป็นความดีงาม เป็นภาชนะที่พระเจ้าพร้อมที่จะใช้เราได้ คือพระเจ้าบอกดีงาม แต่รอเวลา แต่ละคนจะมีเวลาของการเจริญเติบโตไม่เหมือนกัน ดังนั้น การเจริญเติบโตขึ้นอยู่กับการที่เด็กทารก หรือผู้เชื่อคนนั้นได้กินนมที่ถูกต้อง กินอาหารที่ถูกหลักอนามัย มีสุขภาพทางวิญญาณที่แข็งแรง เมื่อกินถูกที่ถูกทาง เขาจะเจริญเติบโตได้สมส่วน เขาเรียกว่าไม่เจริญเติบโตแบบแปลกๆ เมื่อเขาเจริญเติบโตถึงขั้นที่พระเจ้าเห็นว่าคนนี้สามารถใช้การได้ พระองค์ก็จะใช้เขา

ตรงนี้ฟังให้ชัดๆ นะ พระเจ้าเป็นผู้ใช้เรา ไม่ใช่เราพยายามอยากจะออกไปทำเอง พยายามรู้สึกว่าตรงนี้ดี เราออกไปทำดีกว่า ไม่ใช่ ขึ้นอยู่กับพระเจ้าจะใช้เราเมื่อไร? อย่างไร?  ดังนั้น การใช้ของพระเจ้า อาจจะเป็นสิ่งเล็กน้อย แต่ว่าถ้าสิ่งเล็กน้อยนั้น พระเจ้าเป็นผู้ใช้เราไป มันจะเกิดผลในอาณาจักรของพระเจ้า แต่ถ้าเราทำสิ่งใหญ่โต โดยที่พระเจ้าไม่ได้ใช้ แต่เราออกไปด้วยกำลังของเราเอง มันไม่มีผลอะไรกับอาณาจักรของพระเจ้า ถ้าเราชัดเจนตรงนี้ปุ๊บ เราก็จะไม่ดิ้นรน พยายาม ตะเกียกตะกาย เพื่อว่าเราจะพยายามรับใช้พระองค์ แต่พระเจ้าบอกอยู่เฉยๆ ถึงเวลา พระองค์จะใช้เอง

อย่างที่เรายกตัวอย่างต้นไม้ อยู่เฉยๆ  ถึงเวลาที่พระเจ้าจะให้ต้นไม้นี้สวยงาม โชว์ให้คนอื่นได้เห็นความสวยงาม มันจะออกมาเอง ตามฤดูกาล ดังนั้น พระเจ้าจะมีฤดูกาลสำหรับเราแต่ละคนที่ต่างกัน การทรงเรียกก็ต่างกัน มันขึ้นอยู่กับพระเจ้า ไม่ได้ขึ้นอยู่กับเราเลยว่าเราอยาก

“พระองค์เจ้าข้า ลูกอยากทำโน่นทำนี่”

“ไม่ๆ อยู่เฉยๆ ดีกว่า เพราะทำไป เธอก็เหนื่อยเปล่า เพราะว่าไม่ใช่มาจากพระองค์”

ฉะนั้น พอเรารอเวลาที่สวยงามของพระเจ้า พระองค์ก็จะเป็นคนดันเราออกไป จากภายใน ข้างในวิญญาณของเรา พระองค์จะให้เราสำแดงตัวตนจริงๆ ที่เป็นธรรมชาติใหม่ของเราออกไปให้ผู้คนได้สามารถสัมผัส ได้สามารถเห็นพระเยซูคริสต์ในชีวิตของเรา

พี่น้องออกไป ไปดูต้นหางนกยูง ตอนนี้ออกดอกสวยงามมาก เต็มต้นเลย ที่เราเคยยกตัวอย่าง ต้นหางนกยูงไม่ได้ทำอะไรเลย แต่พระเจ้าทำให้มันออกดอกสวยงาม ในฤดูกาลที่เหมาะสม คนที่รดน้ำ คืออาจารย์นำ รดน้ำทุกวัน แค่นั้น แต่ว่าคนที่ทำให้ออกดอกสวยงาม คือพระเจ้า ผู้ยิ่งใหญ่สูงสุด ตอนนี้เต็มต้นเลย สวยงาม แล้วมันจะอยู่ได้ 2-3 เดือนให้เราเชยชม พอนอกฤดูกาล มันก็ไม่มีอะไรเลย มีแต่ใบ บางฤดูกาลใบก็ร่วงหมดเลย นึกว่าตาย แต่ไม่ตายนะ แล้วพอถึงฤดูกาล ที่ออกดอก มันก็ออกดอกมาอีกครั้งหนึ่ง เป็นวงจรของมัน

ชีวิตคริสเตียนเหมือนกัน พระเจ้าจะเป็นผู้ดันเราออกไป เมื่อพระเจ้าใช้เราทำอะไรก็ได้ แม้ว่าจะเป็นสิ่งที่เล็กน้อยที่สุด แต่มันจะเกิดผลสวยงาม ทำให้ผู้คนได้สามารถเห็นพระสิริของพระเจ้าในชีวิตของเรา  พระเจ้าอวยพรค่ะ

 

**********************

 

จากใจคณะศิษยาภิบาล

 

โรม 8:24-25  “เพราะว่าในขณะที่เราได้รับความรอด  มีชีวิตนิรันดร์  ผ่านทางความเชื่อแล้ว  เราก็ยังมีความหวังนี้อยู่ แต่ความหวังที่เห็นได้นั้น ไม่ใช่ความหวังเลย ใครเล่า หวังในสิ่งที่ตนเองมีอยู่แล้ว แต่ถ้าเราหวังในสิ่งที่เรายังไม่มี  เราย่อมรอคอยสิ่งนั้น  ด้วยความอดทน”

 

ใครเล่า หวังในสิ่งที่ตนเองมีอยู่แล้ว  แต่ถ้าเราหวังในสิ่งที่เรายังไม่มี  เราย่อมรอคอยสิ่งนั้น ด้วยความอดทน

สิ่งที่มีอยู่แล้ว ก็คือความรอด ชีวิตนิรันดร์ การได้อยู่ในสวรรค์ ในโลกวิญญาณ

สิ่งที่เรายังไม่มี และเป็นความหวังที่พวกเรารอคอย ด้วยความอดทน ก็คือการได้เป็นขึ้นจากความตาย  เหมือนพระเยซู  เป็นความหวังเดียวกับคริสเตียนในยุคแรก

 

ความหวัง ที่จะได้เป็นขึ้นจากความตาย หมายถึงการได้รับกายใหม่ หลังจากที่กายฝ่ายโลก เรือนดินของเรานี้ เสื่อมสลายลง ซึ่งพระคัมภีร์ เรียก “กายใหม่” นี้ ว่ากายสวรรค์ กายวิญญาณ

1 โครินธ์ 15:40 “กายก็มีทั้งแบบสวรรค์ และแบบฝ่ายโลกเช่นกัน แต่สง่าราศีของกายแบบสวรรค์ ก็อย่างหนึ่ง และสง่าราศีของกายแบบฝ่ายโลก ก็อีกอย่างหนึ่ง”

 

การได้รับกายใหม่ คือกายสวรรค์ หลังจากที่กายแบบโลกของเราเสื่อมสลายลง (ตาย) ก็คือการได้รับชีวิตนิรันดร์ ที่ครบถ้วนบริบูรณ์ (แบบ Full Option)  ตรงนี้แหละ คือสิ่งที่เรายังไม่มี และเป็นความหวัง ที่พวกเรารอคอย ด้วยความอดทน

 

พระเจ้าอวยพรครับ