คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 29 พฤษภาคม 2022
เรื่อง “หนังสือเอเฟซัส” ตอน 12
โดย พาสเตอร์ วราพร คงล้วน
ขอบคุณพระเจ้า วันนี้เราจะมาต่อในหนังสือเอเฟซัส 2:12 …
เอเฟซัส 2:12 “จงระลึกถึงตอนนั้น ท่านได้ถูกแยกจากพระคริสต์ ไม่ได้มีความสัมพันธ์กับพระองค์ ไม่ได้เป็นพลเมืองยิว และเป็นคนต่างด้าว อยู่นอกพันธสัญญาที่พระเจ้าทรงสัญญาไว้ ไม่มีความหวัง และอยู่ในโลก โดยปราศจากพระเจ้า”
พระเจ้าเลือกอาจารย์เปาโลไว้ เฉพาะเจาะจงเลย ที่จะประกาศข่าวประเสริฐของพระเจ้า ความจริงในเรื่องราวของพระองค์ให้กับคนต่างชาติ เราเรียนรู้กันแล้ว
คำว่า “คนต่างชาติ” ก็คือใครก็ได้ เชื้อชาติใดก็ได้ ที่ไม่ใช่คนยิว ที่ไม่ใช่คนอิสราเอล
เฉพาะคนอิสราเอล คนยิวจะเป็นชนชาติที่พระเจ้าแยกมาโดยเฉพาะ เลือกไว้ก่อนหน้านั้น ที่พระเจ้าให้มาเป็นแบบอย่างในความเชื่อในพระเจ้า คนยิวถูกแยกมาเฉพาะ ในยุคนั้น แต่ว่าแผนการของพระเจ้า คือต้องการเลือกทั้งคนยิวและคนไม่ยิว คือพวกเรา เรียกว่าคนต่างชาติ ก็คือพระเจ้าเลือกไว้ล่วงหน้าแล้ว เพียงแต่ว่าพระเจ้าจัดลำดับไว้ว่าให้ยิวมาก่อน แล้วจากนั้น คนต่างชาติจะได้มารู้จักพระนามของพระเจ้า ฉะนั้น คนยิวมีความภาคภูมิใจในตัวเอง และคิดว่าเขาเป็นชนชาติของพระเจ้า แล้วอาจารย์เปาโลก็เป็นคนยิวเหมือนกัน
อาจารย์เปาโลก็อธิบายให้คนต่างชาติเหล่านี้ คือคนที่อาจารย์เปาโลได้ไปประกาศข่าวประเสริฐ แล้วเขาได้เปิดใจต้อนรับพระองค์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดแล้ว ให้เขารู้ว่าก่อนที่เขามาเชื่อพระเจ้า เขาอยู่ในสถานะแบบไหน?
เริ่มต้นจาก “จงระลึกว่าตอนนั้น” คือตอนที่เขายังไม่เชื่อพระเจ้า “ท่านได้ถูกแยกจากพระคริสต์” ถูกแยกเลยนะ จริงๆ แล้วมนุษย์ทุกคน ตั้งแต่วันแรกที่อาดัม เอวาล้มลงในความบาป อาดัม เอวาถูกแยกขาดจากพระเจ้าเลย พระเจ้าบอกว่า …
“ทันทีที่เจ้ากินผลไม้ต้นนี้ เจ้าจะตาย”
ตายอันดับแรก คือวิญญาณตายจากพระเจ้า เดิมทีที่มนุษย์คู่แรกมีวิญญาณนิรันดร์ มีคุณภาพชีวิตแบบพระเจ้าเลย เป็นแบบชอบธรรม สวยงามมาก แต่พระเจ้าก็บอกว่าถ้าเขาเลือกจะกินผลไม้จากต้นนี้ เมื่อไรที่เขาตัดสินใจเลือก ก็คือไม่เชื่อฟังพระเจ้า เขาจะตาย วิญญาณตาย ก็คือพระสิริของพระเจ้าหายไปจากมนุษย์
เรารู้ได้อย่างไรว่าพระสิริของพระเจ้าหายไปจากมนุษย์ จากปฐมกาล ตอนที่พระเจ้าสร้างอาดัมกับเอวาใหม่ๆ มีวิญญาณนิรันดร์ชนิดแบบเป็นของพระเจ้า มีพระสิริของพระเจ้าเป็นเครื่องนุ่งห่ม ปกคลุมกายอยู่ ในปฐมกาลบอกว่าทั้งสองคนเปลือยเปล่า คือไม่ต้องใส่เสื้อผ้า แต่เขาไม่ต้องอายกัน เพราะเขาไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองโป๊อยู่ เพราะว่าไร้เดียงสามาก ไม่มีความคิดแบบว่าโป๊หรืออะไร? เขาไม่ได้รู้สึกอะไรเลย 2 คน ถ้าภาษาเราปัจจุบัน ก็คือแก้ผ้าเดินไปเดินมาในสวนเอเดน แล้วเขามีความสุขมากในการที่จะดูทุกสิ่งที่พระเจ้าประทานให้ พระเจ้าบอกผลไม้ทุกอย่างในสวนนี้ เจ้ากินได้หมดเลย ยกเว้นต้นเดียว
ฉะนั้น เมื่ออาดัมกับเอวาถูกล่อลวงโดยผ่านทางมาร มารมาในคราบของงู มาหลอกล่อให้อาดัมเอวาไม่เชื่อฟังพระเจ้า มาหลอกล่อว่าที่พระเจ้าพูดว่า …
“ถ้าเธอกิน เธอจะตาย”
แต่มารมาบอกเอวาว่า … “ไม่จริงหรอก ไม่ตาย ถ้าเธอกิน เธอจะเหมือนพระเจ้า”
ซึ่งจริงๆ แล้ว เขาทั้งสองคนเหมือนพระเจ้า เหมือนเลยตั้งแต่วันแรกที่พระเจ้าทรงสร้างเขา พระเจ้าบอกพระเจ้าระบายลมปราณของพระองค์เข้าไปในดินก้อนนั้น แล้วมนุษย์ก็มีชีวิต คุณภาพแบบพระเจ้าเลย เขาไปเชื่อว่าเขาสามารถที่จะทำการงานดี ด้วยกำลังของตัวเอง ถ้าเขากินผลไม้ต้นนี้ที่พระเจ้าห้าม เขาจะได้รู้ว่าอะไรดี อะไรชั่ว ซึ่งพระเจ้าบอกเขาแล้วว่า …
“เธอไม่จำเป็นต้องรู้ว่าอะไรชั่ว ไม่ต้องรู้ว่าอะไรดี แค่ฉันบอกเธอว่าเธอดีที่สุดแล้ว ฉันสร้างเธอมาดีที่สุดแล้ว แค่นี้พอแล้ว”
นี่คือน้ำพระทัยของพระเจ้า แต่อาดัม เอวาหลงกลการล่อลวงของมาร ก็เลยไปกินผลไม้ที่พระเจ้าห้าม ทันทีที่กิน กฎของพระเจ้าตั้งไว้แล้ว กินเมื่อไร ตายเมื่อนั้น วิญญาณของอาดัมกับเอวาตายจากพระเจ้า เมื่อตายจากพระเจ้าปุ๊บ พระสิริของพระเจ้าหายไป ความชอบธรรมที่เคยอยู่ในตัวอาดัม เอวา ก็หายไปด้วย พอหายไปปุ๊บ อาดัมและเอวามองดูกันและกัน แล้วรู้ว่าตอนนี้ทำไมโป๊อยู่ล่ะ ก่อนหน้านั้นไม่เคยรู้สึก มันมีอะไรบางอย่าง คือความบาปมันวิ่งเข้ามาในชีวิตของอาดัมกับเอวาแล้ว เขารับรู้ถึงความดี ความชั่วเรียบร้อยไปแล้ว เขารู้สึกว่าเขาโป๊อยู่ เขาก็เลยไปหลบพระเจ้า
แต่ภาพที่พี่น้องเห็นในปฐมกาล ขณะที่มนุษย์ไปหลบพระเจ้า เพราะว่าขัดคำสั่ง แต่พระเจ้าตามหา พระเจ้าเรียกหา พระเจ้ารู้ว่าอาดัมเอวาทำบาปแล้ว ไม่เชื่อฟังพระองค์แล้ว แต่พระองค์ก็มาเรียกหาอาดัมกับเอวา ในปฐมกาลเขียนว่าพระเจ้ามาที่สวน
แล้วพระองค์ก็ถามว่า … “อาดัม เอวาเจ้าอยู่ไหน?”
อาดัม เอวาตอบเหมือนกันนะ … “ข้าพระองค์อยู่ที่นี่ หลบอยู่ อายพระองค์ โป๊อยู่ เปลือยกายอยู่”
พระเจ้าก็ถามต่อ … “รู้ได้อย่างไรว่าเปลือยกาย ก่อนหน้านั้นไม่เห็นรู้เลย ก่อนหน้านั้นเดินไปเดินมามีความสุข ทำไมตอนนี้รู้” แล้วพระเจ้าเลยถามต่อว่า … “เจ้ากินผลไม้ที่เราห้ามแล้วใช่ไหม?”
มนุษย์คิดว่าทำอะไร แล้วพระเจ้าไม่รู้ แต่ในความเป็นจริง ไม่ว่าเราทำอะไร พระเจ้ารู้หมด แม้แต่อยู่ในความคิด พระเจ้าก็รู้ แต่ทำไมพระเจ้ายังอนุญาตให้ทำอยู่ เหตุผลเดียว เพราะพระเจ้าสร้างมนุษย์เหมือนพระองค์ ให้สิทธิ เสรีภาพกับมนุษย์ในการเลือกที่จะทำ พระเจ้าไม่ได้สร้างมนุษย์มาเป็นหุ่นยนต์ กดปุ่ม แล้วก็บอกว่า …
“ฉันสั่งเธอแล้วนะ ห้ามกินผลไม้ต้นนี้”
กดปุ่มไว้เลย เป็นโปรแกรมเลย แล้วอาดัม เอวาก็จะไม่กินผลไม้ต้นนี้แน่นอน เพราะว่าถูกกดปุ่มไว้ แต่เราขอบคุณพระเจ้า ที่พระเจ้าไม่ได้สร้างลูกของพระองค์ให้เป็นหุ่นยนต์ พระเจ้าสร้างลูกของพระองค์เป็นเหมือนพระองค์ เป็นพระฉายของพระองค์ มีโอกาส มีสิทธิที่จะเลือกทำ หรือไม่ทำในสิ่งที่พระเจ้าบอก แต่พระเจ้าได้บอกล่วงหน้าแล้วว่า …
“อย่าไปกินนะ กินเมื่อไรเธอตาย”
บอกหรือเปล่า? บอก
“เธอไม่ต้องไปยุ่งกับต้นไม้ต้นนี้ปล่อยเขาไว้อย่างนี้แหละ ต้นอื่นทั้งหมดเลย ทั้งสวน เธออยากจะหยิบกินอันไหน เธอหยิบกินได้เลย ได้แบบอิ่มหนำสำราญเลย แต่มนุษย์ก็ล้มลงในความบาป ไม่เชื่อฟังพระเจ้า เมื่อไม่เชื่อฟังพระเจ้า บรรพบุรุษของเราคู่แรก ณ เวลานั้น อาดัมกับเอวายังไม่มีลูกนะ มีกันอยู่แค่ 2 คน เมื่อวิญญาณของมนุษย์ตายจากพระเจ้า ไม่สามารถอยู่ด้วยกันกับพระเจ้า เป็นศัตรูกับพระเจ้า แยกห่างจากพระเจ้า มาบรรจบกันไม่ได้ ระหว่างความบาปและความบริสุทธิ์ของพระเจ้า ถ้าพระเจ้ามาอยู่ใกล้ปุ๊บ อาดัม เอวาตายทันทีเลย เพราะว่ามันเป็นกฎ เป็นเรื่องจริงที่บอกไว้ว่าความบาปกับความบริสุทธิ์อยู่ด้วยกันไม่ได้ มนุษย์อยู่ใกล้ความบริสุทธิ์ปุ๊บ มนุษย์คนนั้นจะตาย
พระเจ้าก็เลยแยกอาดัมกับเอวาออกมา แล้วผลที่ตามมาจากวันแรก คือครั้งแรกที่มนุษย์ล้มลงในความบาป ผิดครั้งเดียว ส่งผลมาถึงทุกวันนี้ มนุษยชาติทั้งหมด บนโลกใบนี้ ได้รับผลหมดเลย คือผลของเชื้อบาปของอาดัมกับเอวา
แต่ทันทีที่มนุษย์ล้มลงในความบาปปุ๊บ พระเจ้าไม่ได้นิ่งเฉย ในปฐมกาลเหมือนกัน พระเจ้า วางแผนการ สำหรับมนุษยชาติ ที่จะช่วยให้มนุษย์สามารถกลับมาคืนดีกับพระเจ้าได้อีกครั้งหนึ่ง โดยผ่านทางพระเยซูคริสต์ พระบุตรองค์เดียวของพระองค์ พระเจ้าเขียนไว้เลยว่าพงศพันธุ์ของหญิงจะทำให้หัวของเจ้าแหลก แต่เจ้าจะทำให้ส้นเท้าเขาฟกช้ำ เป็นคำเผยพระวจนะของพระเจ้าที่เขียนไว้ตั้งแต่เริ่มแรกที่มนุษย์ล้มลงในความบาป ว่าพระเจ้าจะจัดเตรียมพงศ์พันธุ์ของหญิงมาช่วย
มนุษย์ทั่วไป บนโลกใบนี้ เราไม่เรียกว่าพงศ์พันธุ์ของหญิงนะ เรียกว่าพงศ์พันธุ์ของชาย เพราะว่ามนุษย์ทุกคนเกิดจากเชื้อของคุณพ่อ แล้วก็เป็นเชื้อบาปด้วย ฉะนั้น มนุษย์ทุกคนเป็นคนบาปหมดเลย แต่พระเยซูคริสต์ไม่เหมือนกัน พระเยซูคริสต์ถูกจัดเตรียมไว้ ให้มาเกิดในครรภ์ของหญิงพรหมจารี ซึ่งพระเจ้าก็เตรียมคนๆ นั้นไว้แล้ว ก็คือนางมารีย์
คำเผยพระวจนะตั้งแต่ปฐมกาล ผ่านมาหลายพันปี ที่คำเผยพระวจนะเหล่านี้ ถูกประกาศออกไป พระเจ้าก็ให้ผู้เผยพระวจนะของพระเจ้าประกาศครั้งแล้วครั้งเล่า ประกาศไปเรื่อยๆ ปีแล้วปีเล่าว่าวันหนึ่งข้างหน้า พระเจ้าจะส่งพระเยซูคริสต์ ซึ่งเป็นพระมาซีฮาห์ ที่แปลว่าพระผู้ช่วยให้รอดมาให้กับมนุษย์
รอดจากอะไร? รอดจากความบาป รอดจากการถูกสาปแช่ง รอดจากการที่ต้องดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ ที่ไม่มีความหวังอะไร?
มนุษย์บนโลกใบนี้ ไม่มีใครมีความหวังเลย เพราะถ้ามีความหวังที่ชัดเจนว่าเขาจะได้รับความรอด หรือเขามีโอกาสที่จะได้ไปอยู่ที่สวรรค์ มนุษย์เหล่านี้ก็จะไม่แสวงหา เราจะสังเกต มนุษย์จะแสวงหาทุกอย่างที่เขาว่าดี ทุกอย่างที่เขาบอกว่าสามารถช่วยเขาให้หลุดพ้นจากในวิญญาณของเขา ที่เขาระลึกอยู่เสมอ เขารู้ว่าความดี เขาทำไม่พอ เขาพยายามที่จะทำทุกอย่าง ใครว่าดี ก็ไปทำ เพื่อว่าผลบุญที่ทำนี้ จะสามารถช่วยเขา ในวันสุดท้ายที่วิญญาณเขาออกจากร่าง เขาอาจจะมีโอกาสได้ไปอยู่ที่สวรรค์ เพราะจริงๆ ในวิญญาณของมนุษย์ทุกคนรักและอยากจะไปสวรรค์ ไม่มีใครที่คิดอยู่ตลอดเวลาว่า …
“ฉันอยากลงนรกๆ”
มันไม่มี คือทุกคนตั้งใจอยากจะไปสวรรค์ นี่เป็นต้นเหตุที่ทำให้มนุษย์ พยายามแสวงหา ทำสิ่งที่ดี อะไรว่าดี ฉันอยากทำ ทำทุกอย่างเลย ทำเท่าที่กำลังจะทำได้ แต่พระเจ้าบอกไว้ชัดเจนว่าต่อให้มนุษย์ทำดีขนาดไหน? ก็ไม่สามารถถึงมาตรฐานของพระเจ้า ที่จะไปสวรรค์ได้ ไม่มีทาง เพราะว่าเชื้อของมนุษย์อยู่ในเชื้อของบาปเรียบร้อยไปแล้ว มีทางเดียว ก็คือเปลี่ยนจากเชื้อบาป มาเป็นเชื้อบริสุทธิ์ เหมือนพระเจ้า
แล้วเปลี่ยนได้อย่างไร? มนุษย์เปลี่ยนเองไม่ได้ ก็มีวิธีเดียว ก็คือพระเยซูคริสต์มาเกิดเป็นมนุษย์ มาสิ้นพระชนม์ เพื่อเราบนไม้กางเขน แล้วมนุษย์ทุกคน เมื่อเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ วิญญาณเก่าที่เป็นเชื้อบาป เราได้ไปตายพร้อมกับพระเยซูคริสต์ ถ้าเราจะเกิดใหม่ เราต้องตายก่อน ถึงจะเกิดใหม่ได้
ฉะนั้น วิญญาณเก่าที่เต็มไปด้วยความบาป อยู่ในคำสาปแช่ง ถูกแยกจากพระเจ้า เป็นศัตรูกับพระเจ้า คนนั้น ถ้าเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ วิญญาณจะไปตายพร้อมกับพระเยซู ถูกฝังพร้อมกับพระเยซู แล้วก็บังเกิดใหม่ด้วยฤทธิ์เดชอำนาจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ ทำให้เขาได้เป็น เกิดมาเป็นเลยนะ เป็นผู้ชอบธรรมของพระเจ้า เป็นลูกของพระเจ้า ได้คืนดีกับพระเจ้า เป็นวิญญาณแห่งความรักเลย ทั้งหมดนี้เป็นเรื่องของโลกวิญญาณ ที่พระเยซูมาประกาศ ตอนที่พระองค์เสด็จมาบนโลกใบนี้ อายุ 30 พระองค์เริ่มประกาศแผ่นดินสวรรค์ เริ่มประกาศว่าจะเข้าสวรรค์ได้อย่างไร?
มนุษย์พยายามหาวิธีที่จะเข้าสวรรค์ ด้วยการกระทำดี ด้วยการประพฤติปฏิบัติตามสิ่งที่ตัวเองคิดว่าน่าจะทำให้เขาได้เข้าสวรรค์ได้ แต่พระเยซูกลับมาบอกว่าไม่มีทางหรอก เธอทำไม่ได้ ต่อให้เธอทำดีแค่ไหน เธอก็ไม่มีโอกาสได้เข้าสวรรค์ได้ เหตุผล เพราะต่อให้มนุษย์คนนั้นทำดีขนาดไหน ก็ไม่สามารถเปลี่ยนธรรมชาติที่เขาเป็นอยู่ จากการเป็นคนบาป มาเป็นผู้ชอบธรรม เปลี่ยนไม่ได้ ทำดีขนาดไหนก็ยังอยู่ในอาดัม อยู่ในเชื้อบาป อยู่ในความบาป DNA ก็ยังบาปอยู่ ถูกตัดขาดจากพระเจ้า เป็นศัตรูกับพระเจ้าอยู่ ชัดเจนมาก
แล้วพระเยซูบอกมนุษย์ทำไม่ได้ ทำได้อย่างเดียว คือมาเชื่อในสิ่งที่พระเยซูคริสต์ทำ พระเยซูทำให้เขาสำเร็จแล้ว เมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว มนุษย์ทั้งหมดบนโลกใบนี้ พระเยซูทำครั้งเดียว ให้หมดเลยทุกคน แค่ว่าใครได้มารับรู้ความจริงนี้ และเข้ามารับเอาของขวัญนี้จากพระเจ้า เขาก็จะได้รับเลย
เมื่อพระเยซูเป็นขึ้นมาจากความตาย ทำให้เราบังเกิดใหม่ แล้วเกิดอะไรขึ้น ในโลกวิญญาณ อันนี้สำคัญที่สุดเลย คริสเตียนทุกคนจำเป็นต้องรู้ ก็คือทันทีที่เราบังเกิดใหม่ อันดับแรก …
พระเจ้าได้ย้ายเราจากการเป็นคนบาป เข้ามาเป็นผู้ชอบธรรมของพระเจ้า “เป็น” นะ
ย้ายจากการเป็นคนที่ถูกสาปแช่ง มาเป็นคนที่ได้รับพระพรจากพระเจ้า
ย้ายจากการ “อยู่ใน” ความมืดในอาดัม มา “อยู่ใน” ความสว่างในพระเยซูคริสต์
สิ่งเหล่านี้ พระเยซูทำให้เสร็จแล้ว แค่รอใครก็ได้ ที่ได้ยินได้ฟังเรื่องนี้ แล้วเปิดใจต้อนรับพระเยซู เปิดใจบอกพระเจ้าว่า …
“ลูกอยากได้ อยากได้แบบนี้เลยพระองค์เจ้าข้า”
แล้วพระเยซูก็จะบอกเราว่า … “ฉันทำให้เธอเสร็จแล้ว อยากได้ก็มารับเอา”
แค่นั้นเอง เราก็ได้รับทุกอย่าง ในโลกวิญญาณ เรากลายเป็นลูกของพระเจ้า เราเป็นความรัก เราเป็นความชอบธรรม เราเป็นสันติสุข เราเป็นความชื่นชมยินดี มันเป็นเลยจากข้างในวิญญาณ
ฉะนั้น ความเป็น ที่เราเป็นลูกของพระเจ้า ก็ไม่เกี่ยวกับการประพฤติของเรา ในขณะที่เราอยู่บนโลกใบนี้ พี่น้องแยกให้ชัดเจน การเกิดมาเป็นกับการประพฤติ มันจะแยกออกจากกัน อธิบายง่ายๆ การเกิดมาเป็นลูกของครอบครัวใดครอบครัวหนึ่ง “เป็น” นะ
ยกตัวอย่าง นาย ก. เกิดมาในครอบครัว นาย ข. เกิดมาปุ๊บ นาย ก. เป็นลูกของนาย ข. เลย เกิดมาเป็นเลยนะ อยู่ในครอบครัวนี้ ซึ่งมีสิทธิ์ มีส่วนทั้งหมด ในครอบครัวนี้ เพราะว่าเป็นลูก พ่อแม่มีบ้านอยู่ ลูกก็ไม่ได้รู้สึกว่าเป็นบ้านคนอื่น เวลาพาเพื่อนมา ก็จะไม่บอกว่า …
“ไปเที่ยวบ้านพ่อแม่เรา”
แต่เราจะพูดว่า “ไปเที่ยวบ้านเรา”
ความรู้สึกของความเป็นเจ้าของ มันเกิดมาโดยอัตโนมัติ เพราะเด็กคนนั้นเขารู้ว่าเขาเป็นลูกของบ้านนี้ เป็นลูกของคุณพ่อ ข. ฉันเป็นลูกบ้านนี้
ดังนั้น การ “เป็น” มันจะอยู่ตลอดไป ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ เป็นลูกแล้ว เป็นลูกเลย ต่อให้นาย ก. เมื่อโตขึ้น เด็กทุกคน โตขึ้นก็จะดื้อ ไม่เชื่อฟัง พ่อแม่สอนว่าอย่างไร? ก็ขอแอบดื้อนิดหนึ่ง ต่อให้เขาไปดื้อขนาดไหน? นาย ก. ก็ไม่สามารถเปลี่ยนสถานะจากการเป็นลูกของนาย ข. ได้เลย ยังคงเป็นลูกอยู่ แค่เขาดื้อ พอดื้อ แล้วเป็นอย่างไร? พ่อแม่ก็แค่ทุกข์ใจนั่นแหละ ตัดขาดเขาไม่ได้ เพราะว่าเขาอยู่ใน DNA ของเรา
ภาพเดียวกันเลย ที่พระเจ้าให้เราเห็น เมื่อเราบังเกิดใหม่ เข้ามาอยู่ในครอบครัวของพระเจ้า เป็นลูกของพระเจ้า เกิดมาเป็นผู้ชอบธรรมเลย ไม่ว่าต่อแต่นี้ไป เราจะไปประพฤติแบบไหน ก็ตาม ดื้อกับพระเจ้าขนาดไหน? ก็ไม่สามารถเปลี่ยนสถานะเป็นลูกของพระเจ้า ในชีวิตของเราได้เลย ไม่สามารถ เราก็ยังคงเป็นลูกอยู่ แต่พระเจ้าบอกแค่ …
“ลูกเอ๋ย อย่าทำอย่างนั้นเลย ทำแล้ว เดี๋ยวลูกจะเจ็บตัวนะ”
แค่นั้นเอง สอนแล้วไม่ฟังใช่ไหม? เขาก็ต้องรับผล เหมือนกัน พ่อแม่บอกลูก เด็กๆ ชอบมากเลย ปลั๊กไฟ ถ้าทำบ้านหลังใหม่ ควรจะทำปลั๊กไฟให้สูง อยู่ข้างบน ส่วนใหญ่ปลั๊กไฟก็จะอยู่ข้างล่าง ซึ่งมือเด็กสามารถสัมผัสได้ แล้วเด็กทุกคนชอบมากเลย เห็นอะไรที่มีรู ขอเอานิ้วจิ้มหน่อย เป็นกันทุกยุคทุกสมัย แล้วพ่อแม่ก็จะบอก …
“ลูกอย่าไปทำนะ อย่าเอานิ้วไปแหย่นะ เดี๋ยวไฟช๊อต”
พูดแล้ว แต่เด็กทุกคนอยากรู้อยากเห็น มันช๊อตอย่างไร? ขอลองหน่อย พอลองปุ๊บ ช๊อต พอช๊อตเป็นอย่างไร? ขยาดไง ทำอย่างนี้แล้วมันเจ็บ วันหลังก็ไม่ทำ แต่ก็ไม่ใช่ไม่ทำตลอดนะ สักพัก ลืมไปว่าวันก่อนเราไปแหย่ แล้วมันช๊อต ก็ไปแหย่ใหม่ นี่คือธรรมชาติของเด็ก เหมือนกัน ธรรมชาติเดียวกันกับพวกเรา ที่พระเจ้าบอกว่าอันนี้ เมื่อเราเชื่อพระเจ้าแล้ว เรามีธรรมชาติใหม่แล้ว เป็นแบบนี้ เป็นเหมือนพระเจ้าเลย อย่าไปทำแบบเดิมนะ ธรรมชาติเดิมที่ตามโลกใบนี้ อย่าไปทำนะ เผลอเราก็ทำ ทำเสร็จ เราก็เจ็บ เราก็รับผล แต่ไม่ว่าเราจะเจ็บขนาดไหน? เราก็ยังคง เป็นลูกของพระเจ้าอยู่ อันนี้ชัดเจน
ในตรงนี้ บอกว่า “เมื่อก่อนท่านถูกแยกจากพระคริสต์” คือไม่ได้อยู่ในพระเยซูคริสต์เลย ตั้งแต่เริ่มต้น พระเจ้าทรงเลือกคนยิวเท่านั้น ที่มาทำพันธสัญญา ก่อนที่พระเยซูคริสต์จะมาเกิด เป็นมนุษย์ คนยิวได้รับพันธสัญญาจากพระเจ้า ตั้งแต่สมัยของอับราฮัม ที่พระเจ้าให้อับราฮัมเข้าสุหนัต ก็คือตัดหนังปลายองคชาติ ให้เลือดออก แล้วก็เป็นพันธสัญญา แล้วจากนั้น พอมาถึงยุคของโมเสส พระเจ้าก็ให้คนยิวทำพิธีถวายแพะ แกะ ที่มาล้างบาป มาไถ่บาปให้กับตัวเอง ปีต่อปี นี่เป็นพันธสัญญา
สิ่งต่างๆ เหล่านี้ ที่พระเจ้าให้ทำ มันเล็งไปถึงอนาคตข้างหน้าที่พระเยซูคริสต์จะมาเกิดเป็นมนุษย์ พระเยซูจะมาเป็นแพะรับบาป ดังนั้น คนยิว ในยุคเดิม เขาต้องทำพิธีนี้ ทุกปี ที่เราเคยคุยกัน ไม่ใช่เฉพาะทุกปีเท่านั้น แทบจะทุกวัน เมื่อทำบาปปุ๊บ ก็ต้องเอาเครื่องบูชา มาถวายให้พระเจ้า มาสารภาพบาป มาลบล้างบาป บาปเล็ก บาปน้อย บาปฝอย บาปย่อย ก็แล้วแต่ มีทุกวี่ทุกวัน แต่บาปที่ใหญ่ๆ ที่จะต้องชำระใหญ่เลย ก็คือปีละหนึ่งครั้ง แล้วพระเจ้าก็รับเครื่องบูชา
แล้วคนที่จะมาทำพิธีถวาย เครื่องบูชานี้ ก็จะเป็นกลุ่มคนที่เฉพาะเจาะจง ไม่ใช่ใครก็ได้มาเสนอตัวว่า …
“ฉันขอเสนอตัวเป็นปุโรหิต มาเป็นคนที่ชำระบาปให้กับคนอิสราเอล”
ไม่ได้ ก็คือปุโรหิต คือกลุ่มคน ที่พระเจ้าเลือกสรรมาโดยเฉพาะ แยกมาเลย แยกมาทำงานในพระวิหารของพระเจ้า โดยเฉพาะ พระเจ้าก็จะมีแผนการทุกครั้ง ตั้งแต่สมัยโมเสส ให้โมเสสทำเต็นท์นัดพบ จากนั้น ก็ทำศาลา จากนั้น มาถึงซาโลมอน ก็ทำพระวิหาร ทั้งหมดเป็นเงา เล็งถึงอนาคตข้างหน้า ที่พระเยซูคริสต์จะมาทำเพื่อมนุษยชาติ จะมาทำให้สำเร็จ โดยที่พระเยซูคริสต์จะมาเป็นแกะบูชา ไม่ต้องเอาแกะตัวจริงแล้ว พระเยซูคริสต์เป็นแกะบุชา ให้กับมนุษยชาติ แล้วพระองค์สิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน ครั้งเดียวจบ การถวายเครื่องบูชา เป็นอันจบสิ้น เงาไม่ต้องแล้ว เมื่อก่อนเป็นเงา ที่คนอิสราเอลต้องทำตลอดเวลา พอพระเยซูมาทำเสร็จ เงาไม่ต้องแล้ว ตัวจริงมา พอตัวจริงมาปุ๊บ คนยิว ก็ไม่ต้องถวายเครื่องบูชา แต่ ณ วันนั้น คนยิวก็ยังรักที่จะถวายเครื่องบูชา ก็คือยังคงอยากจะอยู่กฎเดิมอยู่ ซึ่งพระเจ้าบอกว่ากฎใหม่มาแล้ว พระเยซูทำให้แล้ว กฎเดิมโมฆะ ไม่มีประโยชน์อะไร? ถ้ากฎเดิมดี พระเจ้าก็ไม่ต้องให้กฎใหม่ ถ้ามนุษย์สามารถถวายเครื่องบูชา หรือรักษาบทบัญญัติ จนทำให้ตัวเองสามารถกลับคืนดีกับพระเจ้าได้ พระเจ้าก็ไม่ต้องส่งพระเยซูคริสต์มาเกิดเป็นมนุษย์ มาตายแทนเราบนไม้กางเขน และเป็นขึ้นมาจากความตาย
ฉะนั้น เมื่อพระเยซูทำสำเร็จแล้ว จากนี้ต่อไป เป็นบัญญัติใหม่ ที่พระเจ้าให้กับพวกเรา ตอนที่พระเยซูยังอยู่บนโลกใบนี้ พระเยซูบอกว่าบัญญัติใหม่ของเรา คือให้เจ้ารักพระเจ้าสุดจิต สุดใจ สุดกำลัง สุดความคิด รักเพื่อนบ้านเหมือนรักตนเอง แต่บัญญัตินี้ มนุษย์ทำเองไม่ได้อีก ไม่มีมนุษย์คนไหน? แม้เราเป็นคริสเตียนแล้ว ไม่มีใครสามารถรักพระเจ้าสุดจิต สุดใจ สุดกำลัง สุดความคิดของเรา และไม่มีใครสามารถรักเพื่อนบ้าน เหมือนรักตัวเอง แต่สิ่งที่พระเยซูพูดตรงนี้ พระเยซูกำลังเล็งเข้าไปในโลกวิญญาณ ที่พระเยซูบอกว่าวันหนึ่งข้างหน้า เมื่อพระองค์เสด็จมา กระทำภารกิจของพระองค์สำเร็จ คือสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน และฟื้นขึ้นมาจากความตายปุ๊บ ใครก็ตามที่เชื่อวางใจในพระองค์ปุ๊บ เขามีวิญญาณใหม่ ที่พระเจ้าใส่เข้ามา คือวิญญาณแห่งความรัก เขารักเลย สามารถรักพระเจ้าเลย เป็นวิญญาณที่พระเจ้าใส่เข้ามา ไม่ใช่ความพยายามที่เราจะตั้งหน้าตั้งตาอยากจะรักพระเจ้า ไม่ใช่ ในโลกวิญญาณ ต่อให้เรารู้สึกไม่เห็นรักพระเจ้าเลย วันนี้ขี้เกียจอีกต่างหาก อธิษฐานก็ไม่เอาแล้ว ขี้เกียจอธิษฐาน เขาให้อ่านพระคัมภีร์ วันนี้ไม่ได้อ่านเลย รู้สึกว่าเราไม่ได้รักพระเจ้า ต่อให้เรารู้สึกอย่างไร? พระเจ้าบอกวิญญาณของเราเป็นความรักแล้ว วิญญาณของเรารักพระเจ้าเรียบร้อยไปแล้ว วิญญาณเราถูกพระเจ้าทำให้สำเร็จหมด เรียบร้อยไปแล้ว
ฉะนั้น มันไม่ขึ้นอยู่กับความประพฤติ ถ้าพระเจ้าให้เราได้รับความรอด โดยผ่านทางการประพฤติ เราก็สามารถโอ้อวดได้ แต่ถ้อยคำของพระเจ้าบอกว่าเป็นพระคุณ ไม่ใช่การประพฤติ พระคุณที่พระเจ้าให้กับเรา ให้เปล่าๆ ด้วย แค่มารับเอาเท่านั้นเอง แล้วสิ่งเหล่านี้ พระองค์ได้ทำสำเร็จเรียบร้อยไปแล้วในโลกวิญญาณ
หน้าที่ของคริสเตียนทำอะไร? แค่เข้ามาเรียนรู้ว่าเมื่อเราเชื่อพระเจ้า พระเยซูคริสต์ได้ทำอะไรให้เราเรียบร้อยแล้ว ในโลกวิญญาณ รับรู้ความจริง แล้วให้ความจริงนี้ สำแดงออกไป ผ่านทางชีวิตของเราแค่นั้นเอง หน้าที่ของคริสเตียนนะ
คนต่างชาติสมัยก่อน ถูกแยกจากพระเจ้าปุ๊บ ไม่ได้มีความสัมพันธ์กับพระเจ้าเลย เพราะพระเจ้าไม่ได้เลือกเขา เลือกเฉพาะคนอิสราเอล ไม่ได้เป็นพลเมืองยิว ก็คืออยู่นอกเขตเลย
“และเป็นคนต่างด้าว อยู่นอกพันธสัญญาที่พระเจ้าทรงสัญญาไว้” พระเจ้าสัญญาเฉพาะกับคนอิสราเอลเท่านั้น ฉะนั้น คนต่างชาติไม่มีสิทธิ์เลย ไม่มีทาง ไม่มีโอกาส ถ้าทำตามกฎเดิมที่พระเจ้าตั้งไว้ มีเฉพาะชนชาติยิวเท่านั้น คนยิวก็เหมือนภาคภูมิใจในการทรงเลือกของพระเจ้ามาก ดูถูกคนต่างชาติ ฉันเป็นระดับ ชนชาติของพระเจ้า ระดับสูงมากเลย ก็ไม่ได้เห็นคนต่างด้าวอยู่ในสายตา แล้วในนี้อาจารย์เปาโลบอกว่าไม่มีความหวัง จะไปมีความหวังได้อย่างไร? มนุษย์ทุกคน เมื่อล้มลงในความบาป เขารู้ว่าตัวเองบาป ถ้าเขาไม่รู้ว่าตัวเองบาป เขาก็คงไม่พยายามที่จะทำดี ไม่มีความหวังเลย ต่อให้ทำดีขนาดไหน? ข้างในวิญญาณเขาไม่มีความหวังว่า … “ฉันทำขนาดนี้ ฉันจะได้ขึ้นสวรรค์ไหม?”
ไม่มีหลักประกันอะไรเลย ข้างในยังคงโหวงอยู่ว่าท่าจะไม่รอด อะไรประมาณนั้น
“และอยู่ในโลกโดยปราศจากพระเจ้า” ไม่มีพระเจ้า จะมีพระเจ้าได้อย่างไร? อยู่กันคนละขั้ว อยู่ในธรรมชาติบาป เป็นศัตรูกับพระเจ้า เข้ากับพระเจ้าไม่ได้เลยแม้แต่นิดเดียว ไม่เหมือนคนยิวที่พระเจ้าเลือกสรร คนยิวสมัยก่อนเขาเกรงกลัวพระเจ้ามากเลยนะ เขาไม่กล้าเข้าใกล้พระเจ้าเลย เพราะพระเจ้าอยู่สูงมาก แค่เขามีความรู้สึกภาคภูมิใจว่าเป็นประชาชน ที่พระเจ้าเลือกสรรเท่านั้นเอง แต่เขากลัวพระเจ้า จนตัวสั่นนั่นแหละ
นั่นคือสมัยเดิม แล้วอาจารย์เปาโล ก็พยายามอธิบายให้ภาพชัดเจนว่าคนต่างชาติ ตกอยู่ในสภาวะแบบนี้ แต่ ข้อ 13 บอกว่า …
เอเฟซัส 2:13 แต่บัดนี้ ในพระเยซูคริสต์ ท่านทั้งหลายซึ่งเมื่อก่อนอยู่ไกลพระเจ้า ได้ถูกนำเข้ามาใกล้แล้ว โดยพระโลหิตของพระคริสต์”
“เมื่อก่อนอยู่ไกล” ซึ่งคนยิวคิดว่าพวกคนต่างชาติจะมารับความรอด เหมือนเขาได้อย่างไร? ไม่มีทาง แต่พระเจ้าวางแผนไว้แล้ว ตั้งแต่เริ่มต้นเลยว่าพระองค์ จะให้คนยิวมาก่อน จากนั้นพระองค์ก็เลือกคนต่างชาติด้วย หมายความว่าพระองค์เลือกมนุษยชาติทั้งหมดบนโลกใบนี้ ไม่ว่าจะอยู่เชื้อชาติใด? สัญชาติใด? ก็ตาม พระเจ้าเลือกไว้แล้ว แค่ว่าใครที่ยอมเข้ามาหาพระเจ้า ก็เท่ากับได้รับการทรงเลือก ฟังแล้ว อธิบายยากเนอะ แต่เหมือนพระเจ้าให้ของขวัญแล้ว ใครมารับ ก็ได้ไป ไม่มารับของขวัญห่อนั้น ก็ตั้งทิ้งไว้เฉยๆ ซึ่งเขามีสิทธิ์ที่จะเข้ามารับ แค่นั้นเอง
ตรงนี้ อาจารย์เปาโลอธิบายให้ฟังว่าเมื่อก่อน พวกเธอที่ไม่ใช่ชนชาติอิสราเอล อยู่ไกลจากพระเจ้ามาก ไกลขนาดที่เขา ไม่เคยรู้เรื่องพระเยซูคริสต์ ไม่เคยรู้เรื่องของพระเจ้าพระบิดา ไม่เคยรู้ว่าพระเยโฮวาห์คือใคร? ไม่เคยรู้กฎระเบียบต่างๆ ที่พระเจ้าได้มอบหมายให้กับคนอิสราเอลเลย ไม่มีทางเลย ไม่รู้เรื่อง อยู่ไกลมากเลย แล้วบัดนี้ ได้ถูกนำเข้ามาใกล้ ใกล้ได้อย่างไร? ใกล้โดยพระโลหิตของพระเยซูคริสต์ อย่างที่พระเยซูคริสต์บอก พระองค์ทรงหลั่งพระโลหิตครั้งเดียวเป็นพอ ได้ชำระล้างความผิดบาปของเรา มนุษยชาติทั้งหมด ทั้งบาปในอดีต บาปในปัจจุบัน และบาปในอนาคตด้วย รู้ว่าอย่างไรก็ต้องทำอีก ชำระหมดเลย โลหิตหลั่งแค่ครั้งเดียว แล้วมนุษย์จะสามารถคืนดีกับพระเจ้าได้ ด้วยพระโลหิตของพระองค์ เมื่อถูกชำระให้สะอาดบริสุทธิ์ ก็ไม่เป็นคนบาปอีกต่อไป ไม่มีบาปในตัว เพราะว่าทำบาปเมื่อไร? พระโลหิตก็ชำระเรา
ภาพที่เราเห็น เหมือนกับพ่อแม่เตรียมมรดกไว้ให้ลูก สมมติว่าคุณพ่อคุณแม่รวยมาก เป็นอภิอัครมหาเศรษฐี ก็เก็บเงินไว้ในธนาคารให้ลูก เก็บไว้สักหนึ่งพันล้าน หนึ่งพันล้านใช้ตลอดชีวิตน่าจะได้เนอะ ถ้าไม่เล่นการพนัน หรือไปลงทุนที่มีความเสี่ยง ถ้าใช้ชีวิตตามปกติ ก็น่าจะอยู่ได้ตลอดชีวิต พ่อแม่ก็ฝากเงินไว้ที่ธนาคาร และเมื่อไรที่ลูกต้องการใช้ ก็ไปเบิกมาใช้ มีเงินพร้อมที่จะให้ลูกใช้ หรือถ้าบังเอิญลูกไปก่อหนี้ ก่อสินไว้ ก็ไปเบิกมาจ่ายหนี้ได้
ภาพเดียวกัน พระเจ้าได้กระทำให้เราสำเร็จแล้ว พระโลหิตของพระเยซูคริสต์พร้อมตลอดเวลา เราทำบาปเมื่อไร? พระเจ้าชำระให้เลย คือพระโลหิตเหมือนคลังในธนาคาร เมื่อเราทำบาป พระโลหิตชำระเราทันทีเลย เราก็เป็นผู้ชอบธรรม
ฉะนั้น คนที่เชื่อวางใจในพระเจ้า พระเจ้าบอกทันทีที่เราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอด อันดับแรกเลย วิญญาณได้รับการเปลี่ยนใหม่เลย เป็นวิญญาณใหม่ ที่เป็นเหมือนพระเจ้า เป็นวิญญาณที่ชอบธรรม มีวิญญาณนิรันดร์ คุณภาพแบบพระเจ้าเลย ความคิดจิตใจก็ถูกเปลี่ยนใหม่เหมือนกัน เป็นความคิดแบบพระเจ้าเลยไม่มีผิดเหมือนกัน แต่ตรงความคิดในสมอง เราจะมีโปรแกรมเดิม ความเคยชินเดิม มันยังเกาะอยู่ ไม่ไปไหน? แล้วร่างกายเรา ก็ถูกชำระให้สะอาดบริสุทธิ์เลย ด้วยพระโลหิตของพระเยซูคริสต์ ร่างกายนี้นะ ที่เรายังอยู่ ชำระให้สะอาด จนขนาดที่พระเจ้าพระบิดา พระเจ้าพระบุตร พระเจ้าพระวิญญาณบริสุทธิ์เข้ามาสถิตอยู่ในร่างกายเราได้ ร่างกายเราเป็นวิหารของพระเจ้า ถ้าพระเจ้าไม่ชำระเราให้บริสุทธิ์ พระวิญญาณบริสุทธิ์ พระเจ้าพระบิดา พระเจ้าพระเยซูคริสต์เข้ามาไม่ได้ ถ้าเรายังสกปรกอยู่ เข้ามาปุ๊บ เราตายเลย แต่พระเจ้าชำระให้บริสุทธิ์ พระองค์เข้ามา แต่เนื่องจากร่างกายนี้ยังอยู่ ในโลกใบนี้ ที่อยู่ในความบาปและความตาย ฉะนั้น เราก็เลยมีโอกาสที่จะรับเอาอิทธิพล หรือความเคยชินเก่าๆ เข้ามาในความคิดในสมองของเรา ซึ่งมีโปรแกรมเดิมอยู่ แล้วถ้าเรารับอิทธิพลมากเท่าไร? ก็จะส่งผลออกมาเป็นการประพฤติมากเท่านั้น
ที่เราคุยกันว่าเมื่อเราเป็นคริสเตียนปุ๊บ เราจะมีการประพฤติอยู่ 2 อย่างในแต่ละวัน คืออันแรก ประพฤติตามพระวิญญาณ ก็คือมีถ้อยคำของพระเจ้า ความจริงของพระเจ้า ที่บอกเราว่าเราเป็นใครแล้วในพระเยซูคริสต์ ความจริงเหล่านี้ เมื่อถูกสะสมไว้ในความคิด ในสมองของเรามากเท่าไร? มันจะส่งผลเหมือนกับศูนย์บัญชาการที่จะสั่งมาที่ร่างกาย ทำให้ส่งผลออกมาเป็นเหมือนพระเจ้า เขาเรียกว่าประพฤติตามพระวิญญาณ แต่ถ้าเราอนุญาตให้ระบบของโลกนี้ ส่งเข้ามา ในความคิดในสมองของเรา ซึ่งความคิดเก่าของเรา ความเคยชินเก่าๆ ของเรา มันยังมีอยู่ มันไม่ได้ไปไหน มันวนเวียนอยู่แถวนี้ ถ้าเรารับสื่อของข้างนอกเข้ามามากเท่าไร? สมองเราจะสั่งการให้ร่างกายเราทำตาม ก็คือประพฤติตามเนื้อหนัง แค่นั้นเอง
ฉะนั้น เมื่อเราเป็นคริสเตียนทุกวัน เราจะมีการตัดสินใจว่าเราจะประพฤติตามวิญญาณ หรือประพฤติตามเนื้อหนังแค่นั้นเอง แต่ว่าสงครามมันจะเกิดขึ้นตรงความคิด อย่างที่บอก ถ้าเรารู้ความจริงตรงนี้ เราก็สะสมความจริงที่พระเจ้าบอกว่าเราเป็นใครแล้วในพระเยซูคริสต์ ตอนนี้เราเป็นอย่างไร? เมื่อสะสมมากเท่าไร? เราก็จะกินเนื้อที่ของระบบเดิมที่พยายามหลอกเราให้เชื่อฟังมัน แต่เรามีอำนาจ ซึ่งเป็นพลังแห่งความชอบธรรมที่อยู่ภายในเรา เมื่อเราบังเกิดใหม่แล้ว พลังนี้จะทำให้เรามีกำลังที่จะทำตามน้ำพระทัยของพระเจ้า
ความคิดมันจะวิ่งเข้ามาตลอดเวลา ทั้งความคิดของระบบของโลกใบนี้ กับความจริงในถ้อยคำของพระเจ้า ที่เราสะสม ที่เรารับรู้ ที่เราได้อ่าน ได้เรียนรู้ ได้ยิน ได้ฟัง มันเข้ามาเหมือนกัน ฉะนั้น เราสามารถที่จะรับเอาสิ่งที่พระเจ้าบอกเราแล้วว่าเราเป็นใครในพระเยซูคริสต์ ถ้าเรารับรู้มากเท่าไร? เราก็จะสามารถส่งผลของความจริง ธรรมชาติใหม่ ที่เป็นตัวตนจริงๆ ของเราออกไปได้มากเท่านั้น มันก็จะกินเนื้อที่ของระบบของโลกนี้ไปเรื่อยๆ เมื่อเราเจริญเติบโตในด้านวิญญาณมากเท่าไร? มันจะเห็นผลของพระเจ้า สำแดงออกมา ความสว่างที่เป็นตัวตนจริงๆ ของเราออกมาได้มากเท่านั้น พระเจ้าอวยพรค่ะ
***********************
จากใจคณะศิษยาภิบาล
1โครินธ์ 15:22 “เพราะว่าในอาดัม คนทั้งปวงตายฉันใด ในพระคริสต์ คนทั้งปวงจะได้รับชีวิต บังเกิดใหม่ เหมือนพระองค์ฉันนั้น”
ถ้าพระเยซูคริสต์ไม่ได้เป็นจากความตาย ไม่ได้บังเกิดใหม่ เราก็ไม่ได้บังเกิดใหม่ ไม่ได้เป็นขึ้นจากความตายด้วย ถ้าเป็นเช่นนั้น เราก็ยังคงอยู่ในบาปของตนในอาดัม ต้นตระกูลเดิมของเรา ซึ่งตายทั้งวิญญาณ จิตใจ และร่างกาย เราก็ยังเป็นคนเดิม ที่อยู่ในบาป ในอาดัม ในความตาย ทั้งร่างกาย จิตใจ และวิญญาณ ตายขาดจากพระเจ้า ขาดความสัมพันธ์กับพระเจ้า เข้ากับพระเจ้าไม่ได้
แต่ว่าความจริง คือพระเจ้าได้ให้พระเยซูคริสต์เป็นขึ้นจากความตายบังเกิดใหม่ เพื่อเราจริงๆ เราจึงมีสิทธิ์ที่จะเกิดใหม่ เป็นขึ้นจากความตายเหมือนพระเยซู เช่นเดียวกัน
ถ้าเราได้ใช้สิทธิของเรา ได้เกิดใหม่พร้อมพระเยซู เราก็มีชีวิต บังเกิดใหม่ อยู่ในความชอบธรรม อยู่ในพระคริสต์ บริสุทธิ์ทั้งวิญญาณ จิตใจ และร่างกาย เพราะว่าพระเยซูคริสต์เป็นขึ้นจากตาย เราก็เป็นขึ้นจากตาย บังเกิดใหม่ด้วยเช่นเดียวกัน
เกิดใหม่ทั้งวิญญาณ จิตใจ และร่างกาย แต่วิญญาณและจิตใจ เป็นขึ้นมาก่อน ทันทีทันใดเลย ที่ใช้สิทธิ์บนโลกนี้ ส่วนร่างกายเป็นขึ้นมาใหม่เหมือนกัน แต่รอก่อน รอให้ร่างกายเดิม หมดเวลาของเขาที่จะดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ พระเจ้าเตรียมร่างกายใหม่ให้เราเรียบร้อยทันทีเลย เมื่อเราเชื่อและวางใจในข่าวดีของพระเยซู และได้บังเกิดใหม่ ได้เป็นขึ้นจากความตาย ร่วมกับพระเยซูคริสต์
1 เปโตร 1:3 “สรรเสริญพระเจ้า พระบิดาขององค์พระเยซูคริสต์เจ้าของเรา ด้วยพระเมตตายิ่งใหญ่ พระองค์ทรงให้เราทั้งหลาย (เป็นขึ้นจากตาย) บังเกิดใหม่ เข้าในความหวังอันยืนยง โดยการเป็นขึ้นจากตาย (บังเกิดใหม่) ของพระเยซูคริสต์”
“พระองค์ทรงให้เราทั้งหลายเป็นขึ้นจากตาย บังเกิดใหม่ เข้าในความหวังใจอันยืนยง” ก็คือหวังใจในความรอดนิรันดร์เลย ไม่ใช่เดี่ยวนี้อย่างเดียว แต่เดี๋ยวนี้ไปจนกระทั่งถึงนิรันดร์ “โดยการเป็นขึ้นจากตาย บังเกิดใหม่ ของพระเยซูคริสต์”
เราได้รับการบังเกิดใหม่ เป็นขึ้นจากความตาย ด้วยฤทธิ์เดชอำนาจของการเป็นขึ้นจากความตาย บังเกิดใหม่ของพระเยซู เราได้เป็นผู้ชอบธรรมเป็นลูกของพระเจ้าโดยไม่ต้องทำอะไรเลยแค่ใช้สิทธิ์ของเราเท่านั้น เช่นเดียวกันกับในอดีต เราไม่ต้องทำอะไรเลย กำเนิดมาเราก็อยู่ในความตาย อยู่ในคำสาปแช่ง เป็นศัตรูกับพระเจ้า อยู่ในความบาป ในอาดัม ต้นตระกูลเดิมของเรา
เพราะฉะนั้น พระเยซูเป็นขึ้นจากความตายแล้ว บังเกิดใหม่แล้ว ถ้าท่านเชื่อ และใช้สิทธิ์ ท่านก็สามารถเป็นขึ้นจากตาย บังเกิดใหม่ด้วยกันกับพระองค์ ทั้งวิญญาณ จิตใจ และร่างกายได้ อย่างนี้ไม่ตื่นเต้นหรือ? อย่างนี้ไม่เรียกว่าอัศจรรย์หรือ? แล้วทดลองได้ไหม? ชิมได้ไหม? ชิมได้ แล้วใครจะรู้? ส่วนตัวท่านจะรู้เลยว่าวิญญาณและจิตใจท่าน ได้บังเกิดใหม่ มันเป็นอย่างไร?
ท่านจะมีประสบการณ์แห่งการเป็นขึ้นจากความตาย ณ บัดนาว ณ เดี๋ยวนี้ บนโลกใบนี้เลย จนไปถึงนิรันดร์ การเป็นขึ้นจากความตาย วิญญาณ จิตใจ ทันทีเลย ส่วนร่างกายรอก่อน รอให้หมดหน้าที่บนโลกใบนี้เสียก่อน
“พระเจ้าบอกอดทนรอคอยแป๊บเดี๋ยวนะลูก!”
พระเจ้าอวยพรครับ