วารสาร Holy News ฉบับที่ 1367

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  29  พฤษภาคม  2022

เรื่อง “หนังสือเอเฟซัส” ตอน 12

โดย พาสเตอร์ วราพร  คงล้วน

            ขอบคุณพระเจ้า วันนี้เราจะมาต่อในหนังสือเอเฟซัส 2:12 …

เอเฟซัส 2:12 “จงระลึกถึงตอนนั้น ท่านได้ถูกแยกจากพระคริสต์ ไม่ได้มีความสัมพันธ์กับพระองค์ ไม่ได้เป็นพลเมืองยิว และเป็นคนต่างด้าว อยู่นอกพันธสัญญาที่พระเจ้าทรงสัญญาไว้ ไม่มีความหวัง และอยู่ในโลก โดยปราศจากพระเจ้า”

 

พระเจ้าเลือกอาจารย์เปาโลไว้ เฉพาะเจาะจงเลย ที่จะประกาศข่าวประเสริฐของพระเจ้า ความจริงในเรื่องราวของพระองค์ให้กับคนต่างชาติ เราเรียนรู้กันแล้ว

คำว่า “คนต่างชาติ” ก็คือใครก็ได้ เชื้อชาติใดก็ได้ ที่ไม่ใช่คนยิว ที่ไม่ใช่คนอิสราเอล

เฉพาะคนอิสราเอล คนยิวจะเป็นชนชาติที่พระเจ้าแยกมาโดยเฉพาะ เลือกไว้ก่อนหน้านั้น ที่พระเจ้าให้มาเป็นแบบอย่างในความเชื่อในพระเจ้า คนยิวถูกแยกมาเฉพาะ ในยุคนั้น แต่ว่าแผนการของพระเจ้า คือต้องการเลือกทั้งคนยิวและคนไม่ยิว คือพวกเรา เรียกว่าคนต่างชาติ ก็คือพระเจ้าเลือกไว้ล่วงหน้าแล้ว เพียงแต่ว่าพระเจ้าจัดลำดับไว้ว่าให้ยิวมาก่อน แล้วจากนั้น คนต่างชาติจะได้มารู้จักพระนามของพระเจ้า ฉะนั้น คนยิวมีความภาคภูมิใจในตัวเอง และคิดว่าเขาเป็นชนชาติของพระเจ้า  แล้วอาจารย์เปาโลก็เป็นคนยิวเหมือนกัน

อาจารย์เปาโลก็อธิบายให้คนต่างชาติเหล่านี้ คือคนที่อาจารย์เปาโลได้ไปประกาศข่าวประเสริฐ แล้วเขาได้เปิดใจต้อนรับพระองค์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดแล้ว ให้เขารู้ว่าก่อนที่เขามาเชื่อพระเจ้า เขาอยู่ในสถานะแบบไหน?

เริ่มต้นจาก “จงระลึกว่าตอนนั้น” คือตอนที่เขายังไม่เชื่อพระเจ้า “ท่านได้ถูกแยกจากพระคริสต์” ถูกแยกเลยนะ จริงๆ แล้วมนุษย์ทุกคน ตั้งแต่วันแรกที่อาดัม เอวาล้มลงในความบาป อาดัม เอวาถูกแยกขาดจากพระเจ้าเลย พระเจ้าบอกว่า …

“ทันทีที่เจ้ากินผลไม้ต้นนี้ เจ้าจะตาย”

ตายอันดับแรก คือวิญญาณตายจากพระเจ้า เดิมทีที่มนุษย์คู่แรกมีวิญญาณนิรันดร์ มีคุณภาพชีวิตแบบพระเจ้าเลย เป็นแบบชอบธรรม สวยงามมาก แต่พระเจ้าก็บอกว่าถ้าเขาเลือกจะกินผลไม้จากต้นนี้ เมื่อไรที่เขาตัดสินใจเลือก ก็คือไม่เชื่อฟังพระเจ้า เขาจะตาย วิญญาณตาย ก็คือพระสิริของพระเจ้าหายไปจากมนุษย์

เรารู้ได้อย่างไรว่าพระสิริของพระเจ้าหายไปจากมนุษย์ จากปฐมกาล  ตอนที่พระเจ้าสร้างอาดัมกับเอวาใหม่ๆ มีวิญญาณนิรันดร์ชนิดแบบเป็นของพระเจ้า มีพระสิริของพระเจ้าเป็นเครื่องนุ่งห่ม ปกคลุมกายอยู่ ในปฐมกาลบอกว่าทั้งสองคนเปลือยเปล่า คือไม่ต้องใส่เสื้อผ้า แต่เขาไม่ต้องอายกัน เพราะเขาไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองโป๊อยู่ เพราะว่าไร้เดียงสามาก ไม่มีความคิดแบบว่าโป๊หรืออะไร? เขาไม่ได้รู้สึกอะไรเลย 2 คน ถ้าภาษาเราปัจจุบัน ก็คือแก้ผ้าเดินไปเดินมาในสวนเอเดน แล้วเขามีความสุขมากในการที่จะดูทุกสิ่งที่พระเจ้าประทานให้ พระเจ้าบอกผลไม้ทุกอย่างในสวนนี้ เจ้ากินได้หมดเลย ยกเว้นต้นเดียว

ฉะนั้น เมื่ออาดัมกับเอวาถูกล่อลวงโดยผ่านทางมาร มารมาในคราบของงู มาหลอกล่อให้อาดัมเอวาไม่เชื่อฟังพระเจ้า มาหลอกล่อว่าที่พระเจ้าพูดว่า …

“ถ้าเธอกิน เธอจะตาย”

แต่มารมาบอกเอวาว่า … “ไม่จริงหรอก ไม่ตาย ถ้าเธอกิน เธอจะเหมือนพระเจ้า”

ซึ่งจริงๆ แล้ว เขาทั้งสองคนเหมือนพระเจ้า เหมือนเลยตั้งแต่วันแรกที่พระเจ้าทรงสร้างเขา พระเจ้าบอกพระเจ้าระบายลมปราณของพระองค์เข้าไปในดินก้อนนั้น แล้วมนุษย์ก็มีชีวิต คุณภาพแบบพระเจ้าเลย เขาไปเชื่อว่าเขาสามารถที่จะทำการงานดี ด้วยกำลังของตัวเอง ถ้าเขากินผลไม้ต้นนี้ที่พระเจ้าห้าม เขาจะได้รู้ว่าอะไรดี อะไรชั่ว ซึ่งพระเจ้าบอกเขาแล้วว่า …

“เธอไม่จำเป็นต้องรู้ว่าอะไรชั่ว  ไม่ต้องรู้ว่าอะไรดี แค่ฉันบอกเธอว่าเธอดีที่สุดแล้ว ฉันสร้างเธอมาดีที่สุดแล้ว แค่นี้พอแล้ว”

นี่คือน้ำพระทัยของพระเจ้า แต่อาดัม เอวาหลงกลการล่อลวงของมาร ก็เลยไปกินผลไม้ที่พระเจ้าห้าม ทันทีที่กิน กฎของพระเจ้าตั้งไว้แล้ว กินเมื่อไร ตายเมื่อนั้น วิญญาณของอาดัมกับเอวาตายจากพระเจ้า เมื่อตายจากพระเจ้าปุ๊บ พระสิริของพระเจ้าหายไป ความชอบธรรมที่เคยอยู่ในตัวอาดัม เอวา ก็หายไปด้วย พอหายไปปุ๊บ อาดัมและเอวามองดูกันและกัน แล้วรู้ว่าตอนนี้ทำไมโป๊อยู่ล่ะ ก่อนหน้านั้นไม่เคยรู้สึก มันมีอะไรบางอย่าง คือความบาปมันวิ่งเข้ามาในชีวิตของอาดัมกับเอวาแล้ว เขารับรู้ถึงความดี ความชั่วเรียบร้อยไปแล้ว เขารู้สึกว่าเขาโป๊อยู่ เขาก็เลยไปหลบพระเจ้า

แต่ภาพที่พี่น้องเห็นในปฐมกาล ขณะที่มนุษย์ไปหลบพระเจ้า เพราะว่าขัดคำสั่ง แต่พระเจ้าตามหา พระเจ้าเรียกหา พระเจ้ารู้ว่าอาดัมเอวาทำบาปแล้ว ไม่เชื่อฟังพระองค์แล้ว แต่พระองค์ก็มาเรียกหาอาดัมกับเอวา ในปฐมกาลเขียนว่าพระเจ้ามาที่สวน

แล้วพระองค์ก็ถามว่า … “อาดัม เอวาเจ้าอยู่ไหน?”

อาดัม เอวาตอบเหมือนกันนะ … “ข้าพระองค์อยู่ที่นี่ หลบอยู่ อายพระองค์ โป๊อยู่ เปลือยกายอยู่”

พระเจ้าก็ถามต่อ … “รู้ได้อย่างไรว่าเปลือยกาย ก่อนหน้านั้นไม่เห็นรู้เลย ก่อนหน้านั้นเดินไปเดินมามีความสุข ทำไมตอนนี้รู้” แล้วพระเจ้าเลยถามต่อว่า … “เจ้ากินผลไม้ที่เราห้ามแล้วใช่ไหม?”

มนุษย์คิดว่าทำอะไร แล้วพระเจ้าไม่รู้ แต่ในความเป็นจริง ไม่ว่าเราทำอะไร พระเจ้ารู้หมด  แม้แต่อยู่ในความคิด พระเจ้าก็รู้ แต่ทำไมพระเจ้ายังอนุญาตให้ทำอยู่ เหตุผลเดียว เพราะพระเจ้าสร้างมนุษย์เหมือนพระองค์ ให้สิทธิ เสรีภาพกับมนุษย์ในการเลือกที่จะทำ พระเจ้าไม่ได้สร้างมนุษย์มาเป็นหุ่นยนต์ กดปุ่ม แล้วก็บอกว่า …

“ฉันสั่งเธอแล้วนะ ห้ามกินผลไม้ต้นนี้”

กดปุ่มไว้เลย เป็นโปรแกรมเลย แล้วอาดัม เอวาก็จะไม่กินผลไม้ต้นนี้แน่นอน  เพราะว่าถูกกดปุ่มไว้ แต่เราขอบคุณพระเจ้า ที่พระเจ้าไม่ได้สร้างลูกของพระองค์ให้เป็นหุ่นยนต์ พระเจ้าสร้างลูกของพระองค์เป็นเหมือนพระองค์ เป็นพระฉายของพระองค์ มีโอกาส มีสิทธิที่จะเลือกทำ หรือไม่ทำในสิ่งที่พระเจ้าบอก แต่พระเจ้าได้บอกล่วงหน้าแล้วว่า …

“อย่าไปกินนะ กินเมื่อไรเธอตาย”

บอกหรือเปล่า? บอก

“เธอไม่ต้องไปยุ่งกับต้นไม้ต้นนี้ปล่อยเขาไว้อย่างนี้แหละ ต้นอื่นทั้งหมดเลย ทั้งสวน  เธออยากจะหยิบกินอันไหน เธอหยิบกินได้เลย ได้แบบอิ่มหนำสำราญเลย แต่มนุษย์ก็ล้มลงในความบาป ไม่เชื่อฟังพระเจ้า เมื่อไม่เชื่อฟังพระเจ้า บรรพบุรุษของเราคู่แรก ณ เวลานั้น อาดัมกับเอวายังไม่มีลูกนะ มีกันอยู่แค่ 2 คน เมื่อวิญญาณของมนุษย์ตายจากพระเจ้า ไม่สามารถอยู่ด้วยกันกับพระเจ้า เป็นศัตรูกับพระเจ้า แยกห่างจากพระเจ้า มาบรรจบกันไม่ได้ ระหว่างความบาปและความบริสุทธิ์ของพระเจ้า ถ้าพระเจ้ามาอยู่ใกล้ปุ๊บ อาดัม เอวาตายทันทีเลย เพราะว่ามันเป็นกฎ เป็นเรื่องจริงที่บอกไว้ว่าความบาปกับความบริสุทธิ์อยู่ด้วยกันไม่ได้ มนุษย์อยู่ใกล้ความบริสุทธิ์ปุ๊บ มนุษย์คนนั้นจะตาย

พระเจ้าก็เลยแยกอาดัมกับเอวาออกมา แล้วผลที่ตามมาจากวันแรก คือครั้งแรกที่มนุษย์ล้มลงในความบาป ผิดครั้งเดียว ส่งผลมาถึงทุกวันนี้ มนุษยชาติทั้งหมด บนโลกใบนี้ ได้รับผลหมดเลย คือผลของเชื้อบาปของอาดัมกับเอวา

แต่ทันทีที่มนุษย์ล้มลงในความบาปปุ๊บ พระเจ้าไม่ได้นิ่งเฉย ในปฐมกาลเหมือนกัน พระเจ้า วางแผนการ สำหรับมนุษยชาติ ที่จะช่วยให้มนุษย์สามารถกลับมาคืนดีกับพระเจ้าได้อีกครั้งหนึ่ง โดยผ่านทางพระเยซูคริสต์ พระบุตรองค์เดียวของพระองค์ พระเจ้าเขียนไว้เลยว่าพงศพันธุ์ของหญิงจะทำให้หัวของเจ้าแหลก แต่เจ้าจะทำให้ส้นเท้าเขาฟกช้ำ  เป็นคำเผยพระวจนะของพระเจ้าที่เขียนไว้ตั้งแต่เริ่มแรกที่มนุษย์ล้มลงในความบาป ว่าพระเจ้าจะจัดเตรียมพงศ์พันธุ์ของหญิงมาช่วย

มนุษย์ทั่วไป บนโลกใบนี้ เราไม่เรียกว่าพงศ์พันธุ์ของหญิงนะ เรียกว่าพงศ์พันธุ์ของชาย  เพราะว่ามนุษย์ทุกคนเกิดจากเชื้อของคุณพ่อ  แล้วก็เป็นเชื้อบาปด้วย ฉะนั้น มนุษย์ทุกคนเป็นคนบาปหมดเลย แต่พระเยซูคริสต์ไม่เหมือนกัน พระเยซูคริสต์ถูกจัดเตรียมไว้ ให้มาเกิดในครรภ์ของหญิงพรหมจารี ซึ่งพระเจ้าก็เตรียมคนๆ นั้นไว้แล้ว ก็คือนางมารีย์

คำเผยพระวจนะตั้งแต่ปฐมกาล ผ่านมาหลายพันปี ที่คำเผยพระวจนะเหล่านี้ ถูกประกาศออกไป พระเจ้าก็ให้ผู้เผยพระวจนะของพระเจ้าประกาศครั้งแล้วครั้งเล่า ประกาศไปเรื่อยๆ ปีแล้วปีเล่าว่าวันหนึ่งข้างหน้า พระเจ้าจะส่งพระเยซูคริสต์ ซึ่งเป็นพระมาซีฮาห์  ที่แปลว่าพระผู้ช่วยให้รอดมาให้กับมนุษย์

รอดจากอะไร? รอดจากความบาป รอดจากการถูกสาปแช่ง รอดจากการที่ต้องดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ ที่ไม่มีความหวังอะไร?

มนุษย์บนโลกใบนี้ ไม่มีใครมีความหวังเลย เพราะถ้ามีความหวังที่ชัดเจนว่าเขาจะได้รับความรอด หรือเขามีโอกาสที่จะได้ไปอยู่ที่สวรรค์ มนุษย์เหล่านี้ก็จะไม่แสวงหา  เราจะสังเกต มนุษย์จะแสวงหาทุกอย่างที่เขาว่าดี  ทุกอย่างที่เขาบอกว่าสามารถช่วยเขาให้หลุดพ้นจากในวิญญาณของเขา ที่เขาระลึกอยู่เสมอ  เขารู้ว่าความดี เขาทำไม่พอ เขาพยายามที่จะทำทุกอย่าง ใครว่าดี ก็ไปทำ เพื่อว่าผลบุญที่ทำนี้ จะสามารถช่วยเขา ในวันสุดท้ายที่วิญญาณเขาออกจากร่าง เขาอาจจะมีโอกาสได้ไปอยู่ที่สวรรค์ เพราะจริงๆ ในวิญญาณของมนุษย์ทุกคนรักและอยากจะไปสวรรค์ ไม่มีใครที่คิดอยู่ตลอดเวลาว่า …

“ฉันอยากลงนรกๆ”

มันไม่มี คือทุกคนตั้งใจอยากจะไปสวรรค์ นี่เป็นต้นเหตุที่ทำให้มนุษย์ พยายามแสวงหา ทำสิ่งที่ดี อะไรว่าดี ฉันอยากทำ ทำทุกอย่างเลย ทำเท่าที่กำลังจะทำได้ แต่พระเจ้าบอกไว้ชัดเจนว่าต่อให้มนุษย์ทำดีขนาดไหน? ก็ไม่สามารถถึงมาตรฐานของพระเจ้า ที่จะไปสวรรค์ได้ ไม่มีทาง เพราะว่าเชื้อของมนุษย์อยู่ในเชื้อของบาปเรียบร้อยไปแล้ว มีทางเดียว ก็คือเปลี่ยนจากเชื้อบาป มาเป็นเชื้อบริสุทธิ์ เหมือนพระเจ้า

แล้วเปลี่ยนได้อย่างไร? มนุษย์เปลี่ยนเองไม่ได้ ก็มีวิธีเดียว ก็คือพระเยซูคริสต์มาเกิดเป็นมนุษย์ มาสิ้นพระชนม์ เพื่อเราบนไม้กางเขน แล้วมนุษย์ทุกคน เมื่อเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ วิญญาณเก่าที่เป็นเชื้อบาป เราได้ไปตายพร้อมกับพระเยซูคริสต์ ถ้าเราจะเกิดใหม่ เราต้องตายก่อน ถึงจะเกิดใหม่ได้

ฉะนั้น วิญญาณเก่าที่เต็มไปด้วยความบาป อยู่ในคำสาปแช่ง ถูกแยกจากพระเจ้า เป็นศัตรูกับพระเจ้า คนนั้น ถ้าเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ วิญญาณจะไปตายพร้อมกับพระเยซู ถูกฝังพร้อมกับพระเยซู แล้วก็บังเกิดใหม่ด้วยฤทธิ์เดชอำนาจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ ทำให้เขาได้เป็น เกิดมาเป็นเลยนะ เป็นผู้ชอบธรรมของพระเจ้า เป็นลูกของพระเจ้า ได้คืนดีกับพระเจ้า  เป็นวิญญาณแห่งความรักเลย ทั้งหมดนี้เป็นเรื่องของโลกวิญญาณ ที่พระเยซูมาประกาศ ตอนที่พระองค์เสด็จมาบนโลกใบนี้ อายุ 30 พระองค์เริ่มประกาศแผ่นดินสวรรค์ เริ่มประกาศว่าจะเข้าสวรรค์ได้อย่างไร?

มนุษย์พยายามหาวิธีที่จะเข้าสวรรค์ ด้วยการกระทำดี ด้วยการประพฤติปฏิบัติตามสิ่งที่ตัวเองคิดว่าน่าจะทำให้เขาได้เข้าสวรรค์ได้ แต่พระเยซูกลับมาบอกว่าไม่มีทางหรอก เธอทำไม่ได้ ต่อให้เธอทำดีแค่ไหน เธอก็ไม่มีโอกาสได้เข้าสวรรค์ได้ เหตุผล เพราะต่อให้มนุษย์คนนั้นทำดีขนาดไหน ก็ไม่สามารถเปลี่ยนธรรมชาติที่เขาเป็นอยู่ จากการเป็นคนบาป มาเป็นผู้ชอบธรรม เปลี่ยนไม่ได้ ทำดีขนาดไหนก็ยังอยู่ในอาดัม อยู่ในเชื้อบาป อยู่ในความบาป DNA ก็ยังบาปอยู่ ถูกตัดขาดจากพระเจ้า เป็นศัตรูกับพระเจ้าอยู่ ชัดเจนมาก

แล้วพระเยซูบอกมนุษย์ทำไม่ได้ ทำได้อย่างเดียว คือมาเชื่อในสิ่งที่พระเยซูคริสต์ทำ พระเยซูทำให้เขาสำเร็จแล้ว เมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว มนุษย์ทั้งหมดบนโลกใบนี้ พระเยซูทำครั้งเดียว ให้หมดเลยทุกคน แค่ว่าใครได้มารับรู้ความจริงนี้ และเข้ามารับเอาของขวัญนี้จากพระเจ้า เขาก็จะได้รับเลย

เมื่อพระเยซูเป็นขึ้นมาจากความตาย ทำให้เราบังเกิดใหม่ แล้วเกิดอะไรขึ้น ในโลกวิญญาณ อันนี้สำคัญที่สุดเลย คริสเตียนทุกคนจำเป็นต้องรู้ ก็คือทันทีที่เราบังเกิดใหม่ อันดับแรก …

พระเจ้าได้ย้ายเราจากการเป็นคนบาป เข้ามาเป็นผู้ชอบธรรมของพระเจ้า “เป็น” นะ

ย้ายจากการเป็นคนที่ถูกสาปแช่ง มาเป็นคนที่ได้รับพระพรจากพระเจ้า

ย้ายจากการ “อยู่ใน” ความมืดในอาดัม มา “อยู่ใน” ความสว่างในพระเยซูคริสต์

สิ่งเหล่านี้ พระเยซูทำให้เสร็จแล้ว แค่รอใครก็ได้ ที่ได้ยินได้ฟังเรื่องนี้ แล้วเปิดใจต้อนรับพระเยซู เปิดใจบอกพระเจ้าว่า …

“ลูกอยากได้ อยากได้แบบนี้เลยพระองค์เจ้าข้า”

แล้วพระเยซูก็จะบอกเราว่า … “ฉันทำให้เธอเสร็จแล้ว อยากได้ก็มารับเอา”

แค่นั้นเอง เราก็ได้รับทุกอย่าง ในโลกวิญญาณ เรากลายเป็นลูกของพระเจ้า เราเป็นความรัก เราเป็นความชอบธรรม เราเป็นสันติสุข เราเป็นความชื่นชมยินดี มันเป็นเลยจากข้างในวิญญาณ

ฉะนั้น ความเป็น ที่เราเป็นลูกของพระเจ้า ก็ไม่เกี่ยวกับการประพฤติของเรา ในขณะที่เราอยู่บนโลกใบนี้ พี่น้องแยกให้ชัดเจน การเกิดมาเป็นกับการประพฤติ มันจะแยกออกจากกัน อธิบายง่ายๆ การเกิดมาเป็นลูกของครอบครัวใดครอบครัวหนึ่ง “เป็น” นะ

ยกตัวอย่าง นาย ก. เกิดมาในครอบครัว นาย ข. เกิดมาปุ๊บ นาย ก. เป็นลูกของนาย ข. เลย เกิดมาเป็นเลยนะ อยู่ในครอบครัวนี้ ซึ่งมีสิทธิ์ มีส่วนทั้งหมด ในครอบครัวนี้ เพราะว่าเป็นลูก พ่อแม่มีบ้านอยู่ ลูกก็ไม่ได้รู้สึกว่าเป็นบ้านคนอื่น เวลาพาเพื่อนมา ก็จะไม่บอกว่า …

“ไปเที่ยวบ้านพ่อแม่เรา”

แต่เราจะพูดว่า “ไปเที่ยวบ้านเรา”

ความรู้สึกของความเป็นเจ้าของ มันเกิดมาโดยอัตโนมัติ เพราะเด็กคนนั้นเขารู้ว่าเขาเป็นลูกของบ้านนี้ เป็นลูกของคุณพ่อ ข. ฉันเป็นลูกบ้านนี้

ดังนั้น การ “เป็น” มันจะอยู่ตลอดไป ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้  เป็นลูกแล้ว เป็นลูกเลย ต่อให้นาย ก. เมื่อโตขึ้น เด็กทุกคน โตขึ้นก็จะดื้อ ไม่เชื่อฟัง พ่อแม่สอนว่าอย่างไร? ก็ขอแอบดื้อนิดหนึ่ง ต่อให้เขาไปดื้อขนาดไหน? นาย ก. ก็ไม่สามารถเปลี่ยนสถานะจากการเป็นลูกของนาย ข. ได้เลย ยังคงเป็นลูกอยู่ แค่เขาดื้อ พอดื้อ แล้วเป็นอย่างไร? พ่อแม่ก็แค่ทุกข์ใจนั่นแหละ ตัดขาดเขาไม่ได้ เพราะว่าเขาอยู่ใน DNA ของเรา

ภาพเดียวกันเลย ที่พระเจ้าให้เราเห็น เมื่อเราบังเกิดใหม่ เข้ามาอยู่ในครอบครัวของพระเจ้า เป็นลูกของพระเจ้า เกิดมาเป็นผู้ชอบธรรมเลย ไม่ว่าต่อแต่นี้ไป เราจะไปประพฤติแบบไหน ก็ตาม ดื้อกับพระเจ้าขนาดไหน? ก็ไม่สามารถเปลี่ยนสถานะเป็นลูกของพระเจ้า ในชีวิตของเราได้เลย ไม่สามารถ เราก็ยังคงเป็นลูกอยู่ แต่พระเจ้าบอกแค่ …

“ลูกเอ๋ย อย่าทำอย่างนั้นเลย ทำแล้ว เดี๋ยวลูกจะเจ็บตัวนะ”

แค่นั้นเอง สอนแล้วไม่ฟังใช่ไหม? เขาก็ต้องรับผล เหมือนกัน พ่อแม่บอกลูก เด็กๆ ชอบมากเลย ปลั๊กไฟ ถ้าทำบ้านหลังใหม่ ควรจะทำปลั๊กไฟให้สูง อยู่ข้างบน ส่วนใหญ่ปลั๊กไฟก็จะอยู่ข้างล่าง ซึ่งมือเด็กสามารถสัมผัสได้ แล้วเด็กทุกคนชอบมากเลย เห็นอะไรที่มีรู ขอเอานิ้วจิ้มหน่อย เป็นกันทุกยุคทุกสมัย แล้วพ่อแม่ก็จะบอก …

“ลูกอย่าไปทำนะ อย่าเอานิ้วไปแหย่นะ เดี๋ยวไฟช๊อต”

พูดแล้ว แต่เด็กทุกคนอยากรู้อยากเห็น มันช๊อตอย่างไร? ขอลองหน่อย พอลองปุ๊บ ช๊อต พอช๊อตเป็นอย่างไร? ขยาดไง ทำอย่างนี้แล้วมันเจ็บ วันหลังก็ไม่ทำ แต่ก็ไม่ใช่ไม่ทำตลอดนะ สักพัก ลืมไปว่าวันก่อนเราไปแหย่  แล้วมันช๊อต ก็ไปแหย่ใหม่ นี่คือธรรมชาติของเด็ก เหมือนกัน ธรรมชาติเดียวกันกับพวกเรา ที่พระเจ้าบอกว่าอันนี้ เมื่อเราเชื่อพระเจ้าแล้ว เรามีธรรมชาติใหม่แล้ว เป็นแบบนี้ เป็นเหมือนพระเจ้าเลย อย่าไปทำแบบเดิมนะ ธรรมชาติเดิมที่ตามโลกใบนี้ อย่าไปทำนะ เผลอเราก็ทำ ทำเสร็จ เราก็เจ็บ เราก็รับผล แต่ไม่ว่าเราจะเจ็บขนาดไหน? เราก็ยังคง เป็นลูกของพระเจ้าอยู่ อันนี้ชัดเจน

ในตรงนี้ บอกว่า “เมื่อก่อนท่านถูกแยกจากพระคริสต์” คือไม่ได้อยู่ในพระเยซูคริสต์เลย ตั้งแต่เริ่มต้น พระเจ้าทรงเลือกคนยิวเท่านั้น ที่มาทำพันธสัญญา ก่อนที่พระเยซูคริสต์จะมาเกิด เป็นมนุษย์ คนยิวได้รับพันธสัญญาจากพระเจ้า ตั้งแต่สมัยของอับราฮัม ที่พระเจ้าให้อับราฮัมเข้าสุหนัต ก็คือตัดหนังปลายองคชาติ ให้เลือดออก แล้วก็เป็นพันธสัญญา แล้วจากนั้น พอมาถึงยุคของโมเสส พระเจ้าก็ให้คนยิวทำพิธีถวายแพะ แกะ ที่มาล้างบาป มาไถ่บาปให้กับตัวเอง ปีต่อปี นี่เป็นพันธสัญญา

สิ่งต่างๆ เหล่านี้ ที่พระเจ้าให้ทำ มันเล็งไปถึงอนาคตข้างหน้าที่พระเยซูคริสต์จะมาเกิดเป็นมนุษย์ พระเยซูจะมาเป็นแพะรับบาป ดังนั้น คนยิว ในยุคเดิม เขาต้องทำพิธีนี้ ทุกปี ที่เราเคยคุยกัน ไม่ใช่เฉพาะทุกปีเท่านั้น แทบจะทุกวัน เมื่อทำบาปปุ๊บ ก็ต้องเอาเครื่องบูชา มาถวายให้พระเจ้า มาสารภาพบาป มาลบล้างบาป บาปเล็ก บาปน้อย บาปฝอย บาปย่อย ก็แล้วแต่ มีทุกวี่ทุกวัน แต่บาปที่ใหญ่ๆ ที่จะต้องชำระใหญ่เลย ก็คือปีละหนึ่งครั้ง แล้วพระเจ้าก็รับเครื่องบูชา

แล้วคนที่จะมาทำพิธีถวาย เครื่องบูชานี้ ก็จะเป็นกลุ่มคนที่เฉพาะเจาะจง ไม่ใช่ใครก็ได้มาเสนอตัวว่า …

“ฉันขอเสนอตัวเป็นปุโรหิต มาเป็นคนที่ชำระบาปให้กับคนอิสราเอล”

ไม่ได้ ก็คือปุโรหิต คือกลุ่มคน ที่พระเจ้าเลือกสรรมาโดยเฉพาะ แยกมาเลย  แยกมาทำงานในพระวิหารของพระเจ้า โดยเฉพาะ  พระเจ้าก็จะมีแผนการทุกครั้ง ตั้งแต่สมัยโมเสส ให้โมเสสทำเต็นท์นัดพบ จากนั้น ก็ทำศาลา จากนั้น มาถึงซาโลมอน ก็ทำพระวิหาร ทั้งหมดเป็นเงา เล็งถึงอนาคตข้างหน้า ที่พระเยซูคริสต์จะมาทำเพื่อมนุษยชาติ จะมาทำให้สำเร็จ โดยที่พระเยซูคริสต์จะมาเป็นแกะบูชา ไม่ต้องเอาแกะตัวจริงแล้ว พระเยซูคริสต์เป็นแกะบุชา ให้กับมนุษยชาติ แล้วพระองค์สิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน ครั้งเดียวจบ การถวายเครื่องบูชา เป็นอันจบสิ้น เงาไม่ต้องแล้ว เมื่อก่อนเป็นเงา ที่คนอิสราเอลต้องทำตลอดเวลา พอพระเยซูมาทำเสร็จ เงาไม่ต้องแล้ว ตัวจริงมา พอตัวจริงมาปุ๊บ คนยิว ก็ไม่ต้องถวายเครื่องบูชา แต่ ณ วันนั้น คนยิวก็ยังรักที่จะถวายเครื่องบูชา ก็คือยังคงอยากจะอยู่กฎเดิมอยู่ ซึ่งพระเจ้าบอกว่ากฎใหม่มาแล้ว พระเยซูทำให้แล้ว กฎเดิมโมฆะ ไม่มีประโยชน์อะไร? ถ้ากฎเดิมดี พระเจ้าก็ไม่ต้องให้กฎใหม่ ถ้ามนุษย์สามารถถวายเครื่องบูชา หรือรักษาบทบัญญัติ จนทำให้ตัวเองสามารถกลับคืนดีกับพระเจ้าได้ พระเจ้าก็ไม่ต้องส่งพระเยซูคริสต์มาเกิดเป็นมนุษย์ มาตายแทนเราบนไม้กางเขน และเป็นขึ้นมาจากความตาย

ฉะนั้น เมื่อพระเยซูทำสำเร็จแล้ว จากนี้ต่อไป เป็นบัญญัติใหม่ ที่พระเจ้าให้กับพวกเรา ตอนที่พระเยซูยังอยู่บนโลกใบนี้ พระเยซูบอกว่าบัญญัติใหม่ของเรา คือให้เจ้ารักพระเจ้าสุดจิต สุดใจ สุดกำลัง สุดความคิด รักเพื่อนบ้านเหมือนรักตนเอง  แต่บัญญัตินี้ มนุษย์ทำเองไม่ได้อีก ไม่มีมนุษย์คนไหน?  แม้เราเป็นคริสเตียนแล้ว  ไม่มีใครสามารถรักพระเจ้าสุดจิต สุดใจ สุดกำลัง สุดความคิดของเรา และไม่มีใครสามารถรักเพื่อนบ้าน เหมือนรักตัวเอง แต่สิ่งที่พระเยซูพูดตรงนี้ พระเยซูกำลังเล็งเข้าไปในโลกวิญญาณ ที่พระเยซูบอกว่าวันหนึ่งข้างหน้า เมื่อพระองค์เสด็จมา กระทำภารกิจของพระองค์สำเร็จ คือสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน และฟื้นขึ้นมาจากความตายปุ๊บ ใครก็ตามที่เชื่อวางใจในพระองค์ปุ๊บ เขามีวิญญาณใหม่ ที่พระเจ้าใส่เข้ามา คือวิญญาณแห่งความรัก เขารักเลย สามารถรักพระเจ้าเลย เป็นวิญญาณที่พระเจ้าใส่เข้ามา ไม่ใช่ความพยายามที่เราจะตั้งหน้าตั้งตาอยากจะรักพระเจ้า ไม่ใช่ ในโลกวิญญาณ ต่อให้เรารู้สึกไม่เห็นรักพระเจ้าเลย วันนี้ขี้เกียจอีกต่างหาก อธิษฐานก็ไม่เอาแล้ว ขี้เกียจอธิษฐาน เขาให้อ่านพระคัมภีร์ วันนี้ไม่ได้อ่านเลย รู้สึกว่าเราไม่ได้รักพระเจ้า ต่อให้เรารู้สึกอย่างไร? พระเจ้าบอกวิญญาณของเราเป็นความรักแล้ว วิญญาณของเรารักพระเจ้าเรียบร้อยไปแล้ว วิญญาณเราถูกพระเจ้าทำให้สำเร็จหมด เรียบร้อยไปแล้ว

ฉะนั้น มันไม่ขึ้นอยู่กับความประพฤติ ถ้าพระเจ้าให้เราได้รับความรอด โดยผ่านทางการประพฤติ เราก็สามารถโอ้อวดได้ แต่ถ้อยคำของพระเจ้าบอกว่าเป็นพระคุณ ไม่ใช่การประพฤติ พระคุณที่พระเจ้าให้กับเรา ให้เปล่าๆ ด้วย แค่มารับเอาเท่านั้นเอง แล้วสิ่งเหล่านี้ พระองค์ได้ทำสำเร็จเรียบร้อยไปแล้วในโลกวิญญาณ

หน้าที่ของคริสเตียนทำอะไร? แค่เข้ามาเรียนรู้ว่าเมื่อเราเชื่อพระเจ้า พระเยซูคริสต์ได้ทำอะไรให้เราเรียบร้อยแล้ว ในโลกวิญญาณ รับรู้ความจริง แล้วให้ความจริงนี้ สำแดงออกไป ผ่านทางชีวิตของเราแค่นั้นเอง หน้าที่ของคริสเตียนนะ

คนต่างชาติสมัยก่อน ถูกแยกจากพระเจ้าปุ๊บ ไม่ได้มีความสัมพันธ์กับพระเจ้าเลย เพราะพระเจ้าไม่ได้เลือกเขา เลือกเฉพาะคนอิสราเอล ไม่ได้เป็นพลเมืองยิว ก็คืออยู่นอกเขตเลย

“และเป็นคนต่างด้าว อยู่นอกพันธสัญญาที่พระเจ้าทรงสัญญาไว้” พระเจ้าสัญญาเฉพาะกับคนอิสราเอลเท่านั้น  ฉะนั้น คนต่างชาติไม่มีสิทธิ์เลย ไม่มีทาง ไม่มีโอกาส ถ้าทำตามกฎเดิมที่พระเจ้าตั้งไว้ มีเฉพาะชนชาติยิวเท่านั้น คนยิวก็เหมือนภาคภูมิใจในการทรงเลือกของพระเจ้ามาก ดูถูกคนต่างชาติ ฉันเป็นระดับ ชนชาติของพระเจ้า ระดับสูงมากเลย ก็ไม่ได้เห็นคนต่างด้าวอยู่ในสายตา แล้วในนี้อาจารย์เปาโลบอกว่าไม่มีความหวัง จะไปมีความหวังได้อย่างไร? มนุษย์ทุกคน เมื่อล้มลงในความบาป เขารู้ว่าตัวเองบาป ถ้าเขาไม่รู้ว่าตัวเองบาป เขาก็คงไม่พยายามที่จะทำดี ไม่มีความหวังเลย ต่อให้ทำดีขนาดไหน? ข้างในวิญญาณเขาไม่มีความหวังว่า …        “ฉันทำขนาดนี้ ฉันจะได้ขึ้นสวรรค์ไหม?”

ไม่มีหลักประกันอะไรเลย ข้างในยังคงโหวงอยู่ว่าท่าจะไม่รอด อะไรประมาณนั้น

“และอยู่ในโลกโดยปราศจากพระเจ้า” ไม่มีพระเจ้า จะมีพระเจ้าได้อย่างไร? อยู่กันคนละขั้ว อยู่ในธรรมชาติบาป เป็นศัตรูกับพระเจ้า เข้ากับพระเจ้าไม่ได้เลยแม้แต่นิดเดียว ไม่เหมือนคนยิวที่พระเจ้าเลือกสรร คนยิวสมัยก่อนเขาเกรงกลัวพระเจ้ามากเลยนะ เขาไม่กล้าเข้าใกล้พระเจ้าเลย เพราะพระเจ้าอยู่สูงมาก แค่เขามีความรู้สึกภาคภูมิใจว่าเป็นประชาชน ที่พระเจ้าเลือกสรรเท่านั้นเอง แต่เขากลัวพระเจ้า จนตัวสั่นนั่นแหละ

นั่นคือสมัยเดิม แล้วอาจารย์เปาโล ก็พยายามอธิบายให้ภาพชัดเจนว่าคนต่างชาติ ตกอยู่ในสภาวะแบบนี้  แต่ ข้อ 13 บอกว่า …

เอเฟซัส 2:13 แต่บัดนี้ ในพระเยซูคริสต์ ท่านทั้งหลายซึ่งเมื่อก่อนอยู่ไกลพระเจ้า ได้ถูกนำเข้ามาใกล้แล้ว โดยพระโลหิตของพระคริสต์”

 

“เมื่อก่อนอยู่ไกล” ซึ่งคนยิวคิดว่าพวกคนต่างชาติจะมารับความรอด เหมือนเขาได้อย่างไร? ไม่มีทาง แต่พระเจ้าวางแผนไว้แล้ว ตั้งแต่เริ่มต้นเลยว่าพระองค์ จะให้คนยิวมาก่อน จากนั้นพระองค์ก็เลือกคนต่างชาติด้วย หมายความว่าพระองค์เลือกมนุษยชาติทั้งหมดบนโลกใบนี้ ไม่ว่าจะอยู่เชื้อชาติใด? สัญชาติใด? ก็ตาม พระเจ้าเลือกไว้แล้ว แค่ว่าใครที่ยอมเข้ามาหาพระเจ้า ก็เท่ากับได้รับการทรงเลือก ฟังแล้ว อธิบายยากเนอะ แต่เหมือนพระเจ้าให้ของขวัญแล้ว ใครมารับ ก็ได้ไป ไม่มารับของขวัญห่อนั้น ก็ตั้งทิ้งไว้เฉยๆ ซึ่งเขามีสิทธิ์ที่จะเข้ามารับ แค่นั้นเอง

ตรงนี้ อาจารย์เปาโลอธิบายให้ฟังว่าเมื่อก่อน  พวกเธอที่ไม่ใช่ชนชาติอิสราเอล  อยู่ไกลจากพระเจ้ามาก ไกลขนาดที่เขา ไม่เคยรู้เรื่องพระเยซูคริสต์ ไม่เคยรู้เรื่องของพระเจ้าพระบิดา ไม่เคยรู้ว่าพระเยโฮวาห์คือใคร? ไม่เคยรู้กฎระเบียบต่างๆ ที่พระเจ้าได้มอบหมายให้กับคนอิสราเอลเลย ไม่มีทางเลย ไม่รู้เรื่อง อยู่ไกลมากเลย แล้วบัดนี้ ได้ถูกนำเข้ามาใกล้  ใกล้ได้อย่างไร? ใกล้โดยพระโลหิตของพระเยซูคริสต์ อย่างที่พระเยซูคริสต์บอก พระองค์ทรงหลั่งพระโลหิตครั้งเดียวเป็นพอ ได้ชำระล้างความผิดบาปของเรา มนุษยชาติทั้งหมด ทั้งบาปในอดีต บาปในปัจจุบัน และบาปในอนาคตด้วย รู้ว่าอย่างไรก็ต้องทำอีก ชำระหมดเลย โลหิตหลั่งแค่ครั้งเดียว แล้วมนุษย์จะสามารถคืนดีกับพระเจ้าได้ ด้วยพระโลหิตของพระองค์ เมื่อถูกชำระให้สะอาดบริสุทธิ์ ก็ไม่เป็นคนบาปอีกต่อไป ไม่มีบาปในตัว เพราะว่าทำบาปเมื่อไร? พระโลหิตก็ชำระเรา

ภาพที่เราเห็น เหมือนกับพ่อแม่เตรียมมรดกไว้ให้ลูก สมมติว่าคุณพ่อคุณแม่รวยมาก เป็นอภิอัครมหาเศรษฐี ก็เก็บเงินไว้ในธนาคารให้ลูก เก็บไว้สักหนึ่งพันล้าน  หนึ่งพันล้านใช้ตลอดชีวิตน่าจะได้เนอะ ถ้าไม่เล่นการพนัน หรือไปลงทุนที่มีความเสี่ยง ถ้าใช้ชีวิตตามปกติ ก็น่าจะอยู่ได้ตลอดชีวิต พ่อแม่ก็ฝากเงินไว้ที่ธนาคาร และเมื่อไรที่ลูกต้องการใช้ ก็ไปเบิกมาใช้ มีเงินพร้อมที่จะให้ลูกใช้  หรือถ้าบังเอิญลูกไปก่อหนี้ ก่อสินไว้ ก็ไปเบิกมาจ่ายหนี้ได้

ภาพเดียวกัน พระเจ้าได้กระทำให้เราสำเร็จแล้ว พระโลหิตของพระเยซูคริสต์พร้อมตลอดเวลา เราทำบาปเมื่อไร? พระเจ้าชำระให้เลย คือพระโลหิตเหมือนคลังในธนาคาร เมื่อเราทำบาป พระโลหิตชำระเราทันทีเลย เราก็เป็นผู้ชอบธรรม

ฉะนั้น คนที่เชื่อวางใจในพระเจ้า พระเจ้าบอกทันทีที่เราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอด อันดับแรกเลย วิญญาณได้รับการเปลี่ยนใหม่เลย เป็นวิญญาณใหม่ ที่เป็นเหมือนพระเจ้า เป็นวิญญาณที่ชอบธรรม มีวิญญาณนิรันดร์ คุณภาพแบบพระเจ้าเลย ความคิดจิตใจก็ถูกเปลี่ยนใหม่เหมือนกัน เป็นความคิดแบบพระเจ้าเลยไม่มีผิดเหมือนกัน แต่ตรงความคิดในสมอง เราจะมีโปรแกรมเดิม ความเคยชินเดิม มันยังเกาะอยู่ ไม่ไปไหน? แล้วร่างกายเรา ก็ถูกชำระให้สะอาดบริสุทธิ์เลย ด้วยพระโลหิตของพระเยซูคริสต์ ร่างกายนี้นะ ที่เรายังอยู่ ชำระให้สะอาด จนขนาดที่พระเจ้าพระบิดา พระเจ้าพระบุตร พระเจ้าพระวิญญาณบริสุทธิ์เข้ามาสถิตอยู่ในร่างกายเราได้ ร่างกายเราเป็นวิหารของพระเจ้า ถ้าพระเจ้าไม่ชำระเราให้บริสุทธิ์ พระวิญญาณบริสุทธิ์ พระเจ้าพระบิดา พระเจ้าพระเยซูคริสต์เข้ามาไม่ได้ ถ้าเรายังสกปรกอยู่ เข้ามาปุ๊บ เราตายเลย แต่พระเจ้าชำระให้บริสุทธิ์ พระองค์เข้ามา แต่เนื่องจากร่างกายนี้ยังอยู่ ในโลกใบนี้ ที่อยู่ในความบาปและความตาย ฉะนั้น เราก็เลยมีโอกาสที่จะรับเอาอิทธิพล หรือความเคยชินเก่าๆ เข้ามาในความคิดในสมองของเรา ซึ่งมีโปรแกรมเดิมอยู่ แล้วถ้าเรารับอิทธิพลมากเท่าไร? ก็จะส่งผลออกมาเป็นการประพฤติมากเท่านั้น

ที่เราคุยกันว่าเมื่อเราเป็นคริสเตียนปุ๊บ เราจะมีการประพฤติอยู่ 2 อย่างในแต่ละวัน คืออันแรก ประพฤติตามพระวิญญาณ ก็คือมีถ้อยคำของพระเจ้า ความจริงของพระเจ้า ที่บอกเราว่าเราเป็นใครแล้วในพระเยซูคริสต์ ความจริงเหล่านี้ เมื่อถูกสะสมไว้ในความคิด ในสมองของเรามากเท่าไร? มันจะส่งผลเหมือนกับศูนย์บัญชาการที่จะสั่งมาที่ร่างกาย ทำให้ส่งผลออกมาเป็นเหมือนพระเจ้า เขาเรียกว่าประพฤติตามพระวิญญาณ แต่ถ้าเราอนุญาตให้ระบบของโลกนี้ ส่งเข้ามา ในความคิดในสมองของเรา ซึ่งความคิดเก่าของเรา ความเคยชินเก่าๆ ของเรา มันยังมีอยู่ มันไม่ได้ไปไหน มันวนเวียนอยู่แถวนี้ ถ้าเรารับสื่อของข้างนอกเข้ามามากเท่าไร? สมองเราจะสั่งการให้ร่างกายเราทำตาม ก็คือประพฤติตามเนื้อหนัง แค่นั้นเอง

ฉะนั้น เมื่อเราเป็นคริสเตียนทุกวัน เราจะมีการตัดสินใจว่าเราจะประพฤติตามวิญญาณ หรือประพฤติตามเนื้อหนังแค่นั้นเอง แต่ว่าสงครามมันจะเกิดขึ้นตรงความคิด อย่างที่บอก ถ้าเรารู้ความจริงตรงนี้ เราก็สะสมความจริงที่พระเจ้าบอกว่าเราเป็นใครแล้วในพระเยซูคริสต์ ตอนนี้เราเป็นอย่างไร? เมื่อสะสมมากเท่าไร? เราก็จะกินเนื้อที่ของระบบเดิมที่พยายามหลอกเราให้เชื่อฟังมัน แต่เรามีอำนาจ ซึ่งเป็นพลังแห่งความชอบธรรมที่อยู่ภายในเรา เมื่อเราบังเกิดใหม่แล้ว  พลังนี้จะทำให้เรามีกำลังที่จะทำตามน้ำพระทัยของพระเจ้า

ความคิดมันจะวิ่งเข้ามาตลอดเวลา ทั้งความคิดของระบบของโลกใบนี้ กับความจริงในถ้อยคำของพระเจ้า ที่เราสะสม ที่เรารับรู้ ที่เราได้อ่าน ได้เรียนรู้ ได้ยิน ได้ฟัง มันเข้ามาเหมือนกัน ฉะนั้น เราสามารถที่จะรับเอาสิ่งที่พระเจ้าบอกเราแล้วว่าเราเป็นใครในพระเยซูคริสต์ ถ้าเรารับรู้มากเท่าไร? เราก็จะสามารถส่งผลของความจริง ธรรมชาติใหม่ ที่เป็นตัวตนจริงๆ ของเราออกไปได้มากเท่านั้น มันก็จะกินเนื้อที่ของระบบของโลกนี้ไปเรื่อยๆ เมื่อเราเจริญเติบโตในด้านวิญญาณมากเท่าไร? มันจะเห็นผลของพระเจ้า สำแดงออกมา ความสว่างที่เป็นตัวตนจริงๆ ของเราออกมาได้มากเท่านั้น พระเจ้าอวยพรค่ะ

 

***********************

จากใจคณะศิษยาภิบาล

 

1โครินธ์ 15:22 “เพราะว่าในอาดัม คนทั้งปวงตายฉันใด ในพระคริสต์ คนทั้งปวงจะได้รับชีวิต บังเกิดใหม่ เหมือนพระองค์ฉันนั้น”

 

ถ้าพระเยซูคริสต์ไม่ได้เป็นจากความตาย  ไม่ได้บังเกิดใหม่  เราก็ไม่ได้บังเกิดใหม่  ไม่ได้เป็นขึ้นจากความตายด้วย  ถ้าเป็นเช่นนั้น  เราก็ยังคงอยู่ในบาปของตนในอาดัม  ต้นตระกูลเดิมของเรา  ซึ่งตายทั้งวิญญาณ จิตใจ และร่างกาย เราก็ยังเป็นคนเดิม ที่อยู่ในบาป ในอาดัม ในความตาย ทั้งร่างกาย จิตใจ และวิญญาณ ตายขาดจากพระเจ้า ขาดความสัมพันธ์กับพระเจ้า เข้ากับพระเจ้าไม่ได้

 

แต่ว่าความจริง คือพระเจ้าได้ให้พระเยซูคริสต์เป็นขึ้นจากความตายบังเกิดใหม่ เพื่อเราจริงๆ เราจึงมีสิทธิ์ที่จะเกิดใหม่ เป็นขึ้นจากความตายเหมือนพระเยซู เช่นเดียวกัน

 

ถ้าเราได้ใช้สิทธิของเรา ได้เกิดใหม่พร้อมพระเยซู เราก็มีชีวิต บังเกิดใหม่ อยู่ในความชอบธรรม อยู่ในพระคริสต์ บริสุทธิ์ทั้งวิญญาณ จิตใจ และร่างกาย เพราะว่าพระเยซูคริสต์เป็นขึ้นจากตาย เราก็เป็นขึ้นจากตาย บังเกิดใหม่ด้วยเช่นเดียวกัน

 

เกิดใหม่ทั้งวิญญาณ จิตใจ และร่างกาย แต่วิญญาณและจิตใจ เป็นขึ้นมาก่อน ทันทีทันใดเลย ที่ใช้สิทธิ์บนโลกนี้ ส่วนร่างกายเป็นขึ้นมาใหม่เหมือนกัน แต่รอก่อน รอให้ร่างกายเดิม หมดเวลาของเขาที่จะดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ พระเจ้าเตรียมร่างกายใหม่ให้เราเรียบร้อยทันทีเลย เมื่อเราเชื่อและวางใจในข่าวดีของพระเยซู และได้บังเกิดใหม่ ได้เป็นขึ้นจากความตาย ร่วมกับพระเยซูคริสต์

 

1 เปโตร 1:3 “สรรเสริญพระเจ้า พระบิดาขององค์พระเยซูคริสต์เจ้าของเรา ด้วยพระเมตตายิ่งใหญ่ พระองค์ทรงให้เราทั้งหลาย (เป็นขึ้นจากตาย) บังเกิดใหม่ เข้าในความหวังอันยืนยง โดยการเป็นขึ้นจากตาย (บังเกิดใหม่) ของพระเยซูคริสต์”

 

“พระองค์ทรงให้เราทั้งหลายเป็นขึ้นจากตาย บังเกิดใหม่ เข้าในความหวังใจอันยืนยง” ก็คือหวังใจในความรอดนิรันดร์เลย ไม่ใช่เดี่ยวนี้อย่างเดียว แต่เดี๋ยวนี้ไปจนกระทั่งถึงนิรันดร์ “โดยการเป็นขึ้นจากตาย บังเกิดใหม่ ของพระเยซูคริสต์”

 

เราได้รับการบังเกิดใหม่ เป็นขึ้นจากความตาย ด้วยฤทธิ์เดชอำนาจของการเป็นขึ้นจากความตาย บังเกิดใหม่ของพระเยซู เราได้เป็นผู้ชอบธรรมเป็นลูกของพระเจ้าโดยไม่ต้องทำอะไรเลยแค่ใช้สิทธิ์ของเราเท่านั้น เช่นเดียวกันกับในอดีต เราไม่ต้องทำอะไรเลย กำเนิดมาเราก็อยู่ในความตาย อยู่ในคำสาปแช่ง เป็นศัตรูกับพระเจ้า อยู่ในความบาป ในอาดัม ต้นตระกูลเดิมของเรา

 

เพราะฉะนั้น พระเยซูเป็นขึ้นจากความตายแล้ว บังเกิดใหม่แล้ว ถ้าท่านเชื่อ และใช้สิทธิ์ ท่านก็สามารถเป็นขึ้นจากตาย บังเกิดใหม่ด้วยกันกับพระองค์ ทั้งวิญญาณ จิตใจ และร่างกายได้ อย่างนี้ไม่ตื่นเต้นหรือ? อย่างนี้ไม่เรียกว่าอัศจรรย์หรือ? แล้วทดลองได้ไหม? ชิมได้ไหม? ชิมได้ แล้วใครจะรู้? ส่วนตัวท่านจะรู้เลยว่าวิญญาณและจิตใจท่าน ได้บังเกิดใหม่ มันเป็นอย่างไร?

 

ท่านจะมีประสบการณ์แห่งการเป็นขึ้นจากความตาย ณ บัดนาว ณ เดี๋ยวนี้ บนโลกใบนี้เลย จนไปถึงนิรันดร์ การเป็นขึ้นจากความตาย วิญญาณ จิตใจ ทันทีเลย ส่วนร่างกายรอก่อน รอให้หมดหน้าที่บนโลกใบนี้เสียก่อน

 

“พระเจ้าบอกอดทนรอคอยแป๊บเดี๋ยวนะลูก!”

 

พระเจ้าอวยพรครับ

 

 

 

วารสาร Holy News ฉบับที่ 1366

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  22  พฤษภาคม  2022

เรื่อง “การปลอบประโลมจากพระเจ้า ท่ามกลางความทุกข์ยากลำบาก”

ตอน 7 “แต่ข้าอาศัยอยู่ในพระเยซูคริสต์ และเชื่อมั่นคงว่าพระองค์ทรงฤทธา”

โดย นคร  เวชสุภาพร

 

เราอยู่ในซีรี่ย์ “การปลอบประโลมจากพระเจ้า ท่ามกลางความทุกข์ยากลำบาก” วันนี้ตอนที่ 7 ให้ชื่อตอนว่า “แต่ข้าอาศัยอยู่ในพระเยซูคริสต์ และเชื่อมั่นคงว่าพระองค์ทรงฤทธา” คุ้นๆ นะอยู่ในเนื้อเพลง

คำพูดที่เราได้ยินกันบ่อยๆ เมื่อมาเชื่อพระเจ้า แล้วบอกว่าเมื่อเกิดมรสุม พายุเข้ามาในชีวิตของเรา บางครั้ง พระเจ้าก็นำพาพวกเราเดินผ่าน โดยทำให้พายุนั้นสงบลง แต่หลายครั้ง พระองค์ทรงทำให้เราสงบ แต่พายุยังอยู่เหมือนเดิม แล้วก็เดินผ่านไปเหมือนกัน

สรุปแล้ว ผลเหมือนกัน ก็คือสอบผ่าน พายุ ก็คือความทุกข์ยากลำบาก  เกิดความทุกข์ยากลำบากในชีวิตของเรา หลายครั้ง พระเจ้าพาเราผ่านความทุกข์ยากลำบาก โดยความทุกข์ยากลำบากหายไปเลย แต่หลายครั้ง มากกว่านั้น คือเกิดความทุกข์ยากลำบากขึ้น ปรากฏว่าเราผ่านโดยความทุกข์ยากลำบากยังอยู่ แต่เราเปลี่ยนแปลง จากทนไม่ได้ เป็นการทนได้ และมีสันติสุข ท่ามกลางพายุเหล่านั้น นี่คือวิธีการของพระเจ้า ในชีวิตของเราทั้งหลาย ที่พระเจ้าทรงสถิตอยู่กับเราแล้ว แล้วก็นำพาชีวิตเรา ทรงสถิตอยู่กับเราเสมอตลอดเวลา ตามที่พระองค์ทรงสัญญาไว้ว่าเมื่อเราเชื่อในพระเจ้าแล้ว พระองค์เข้ามาสถิตอยู่กับเรา  ทั้งพระเจ้าพระบิดา พระเจ้าพระบุตรพระเยซูคริสต์ และพระเจ้าพระวิญญาณบริสุทธิ์ เป็นหนึ่งเดียวกันในร่างกายของเรานี้ นำพาชีวิตเรา และไม่ทอดทิ้งให้เราอยู่ลำพัง ไม่ทอดทิ้งให้เราเป็นเด็กกำพร้า หลายครั้งเราไปมองที่ …

“อ้าว! อยู่กับเราตลอดเวลา ทำไมเหตุการณ์มันไม่เปลี่ยนแปลง พระเจ้าบอกอยู่กับเราตลอดเวลา”

แต่ทำให้เราเปลี่ยนแปลง อัศจรรย์มากกว่าเยอะ นี่คือน้ำพระทัยพระเจ้า ในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ของเราทั้งหลาย

วิธีการของพระเจ้า ก็คือเปลี่ยนแปลงเรา โดยเปลี่ยนแปลงความคิดของเรา ให้คิดเหมือนพระองค์นั่นเอง เพราะเราคิดแบบโลกใบนี้ เราอยากได้อะไรต่างๆ ตามโลกใบนี้ ตามชีวิตเดิมของคนที่ไม่รู้จักพระเจ้า แต่พอเรารู้จักพระเจ้าแล้ว พระองค์มีสิ่งที่ดีกว่านั้นให้เราดำเนินชีวิต ซึ่งเราไม่เข้าใจหรอก พระองค์จึงจำเป็นต้องเปลี่ยนแปลงเรา

เปลี่ยนแปลงเราที่ตรงไหน? ก็เปลี่ยนแปลงที่ความคิดของเรา เพราะความคิดจะออกมาเป็นผล คือการปฏิบัตินั่นเอง เปลี่ยนแปลงแปลงความคิดของเรา ให้เป็นเหมือนความคิดของพระองค์นั่นเอง

วิธีการเปลี่ยนแปลงความคิดของเราเหมือนพระองค์ ก็คือเอาความจริง ในโลกฝ่ายวิญญาณมาบอกเราว่าตอนนี้เราเป็นใครในโลกวิญญาณ ให้เราเห็นชัดๆ เมื่อเราเห็นในโลกวิญญาณอย่างชัดเจน เห็นว่าเราเป็นใครแล้วในพระเยซูคริสต์ พระเจ้าสถิตอยู่กับเราจริงๆ เราได้เห็นชัดเจนอย่างนั้นแล้ว ชีวิตเราก็จะเปลี่ยนแปลงไปเป็นเหมือนพระองค์ เพราะฉะนั้น หัวใจสำคัญ พระองค์จึงนำพาเราไปสู่ความเปลี่ยนแปลง โดยให้เรารับรู้ความจริงว่าเราเป็นใครแล้วในพระเยซูคริสต์

“ฉันเป็นใครแล้วในพระเยซูคริสต์” ก็คือหัวใจในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ รับรู้ว่าฉันเป็นใคร? วันต่อวัน ควรที่เราจะต้องรับรู้มากขึ้นว่าเราเป็นใครแล้วในโลกวิญญาณในพระเยซูคริสต์ เราได้บังเกิดใหม่เป็นเช่นไร? คือเราได้เรียนรู้แล้ว จากหลายตอนเลย ซี่รี่ย์นี้ จากหนังสือ 1 เปโตร บทที่ 1 ได้รู้ว่าพระเจ้าปลอบโยนจิตใจของบรรดาผู้คนที่เชื่อในพระองค์ ที่อยู่ท่ามกลางความทุกข์ลำบาก อย่างแสนสาหัสนั้น ด้วยการบอกความจริงกับเขาว่าเขาเป็นใครแล้ว ในพระเยซูคริสต์ ซึ่งเราได้รับรู้ไปแล้วบ้าง ก็คือเราได้กลับมาคืนดีกับพระเจ้าแล้ว เราได้บัพติศมาในพระเยซูคริสต์แล้ว เราได้บังเกิดใหม่ในพระคริสต์แล้ว เป็นลูกของพระเจ้าแล้ว เราได้สามัคคีธรรมเข้าเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระคริสต์แล้ว พระคริสต์เป็นเช่นไร? เราก็เป็นเช่นนั้นด้วยแล้ว อะไรเหล่านี้ เราควรจะเรียนรู้ รู้และรับรู้ นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้น ในโลกวิญญาณแล้ว ในเราทั้งหลายที่เชื่อในพระเยซูคริสต์แล้ว เราได้กลายมาเป็นศิลาก้อนหนึ่งที่ต่อติดกับศิลามุมเอก เป็นเหมือนศิลามุมเอกเลย คือเป็นเหมือนพระเยซูคริสต์แล้ว ชีวิตจิตใจ จิตวิญญาณของเรา เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์ เพราะฉะนั้น ชีวิตในการดำเนินบนโลกใบนี้ ชีวิตเราจริงๆ คือวิญญาณของเรา ที่อยู่ในร่างกายนี้ เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์ จึงเป็นชีวิตที่ดำเนินอยู่บนโลกใบนี้ โดยชีวิตของพระคริสต์นั่นเอง  ต้องเติมคำว่า “แล้ว”

เพราะฉะนั้น ถ้าตายจากร่างกายนี้ ก็คือวิญญาณออกจากร่าง เราก็จะได้พบพระเจ้าพระบิดา พระเจ้าพระบุตร พระเจ้าพระวิญญาณบริสุทธิ์หน้าต่อหน้าอย่างแน่นอน เพราะเราอยู่ที่นั่นแล้ว และเราก็จะได้เห็นด้วยตาของเราจริงๆ ว่าเราเป็นใคร? สง่างามขนาดไหน? ในพระเยซูคริสต์ด้วยตาเป็นๆ ของเรา เมื่อตอนที่เราจากโลกนี้ จากร่างกายนี้ เข้าไปสู่โลกวิญญาณนั่นเอง

นี่คือเป้าหมายของพระเจ้า ที่จะหนุนใจพี่น้องทั้งหลายที่เชื่อในพระเยซูคริสต์ ได้บังเกิดใหม่ เป็นลูกของพระองค์แล้ว ดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ซึ่งเราได้เรียนรู้ทั้งหมดนี้แล้ว พระคัมภีร์ใช้คำว่า “เราได้รู้จักพระเยซูคริสต์แล้ว” ที่พูดมาตะกี้ ที่บอกว่าในพระเยซูคริสต์เราเป็นใคร? ทั้งหมดนั้น เราเรียกว่าเราได้รู้จัก สนิทสนม เป็นอย่างดีกับพระคริสต์แล้ว เราจึงสามารถพูดเหมือนกับเปาโลพูด แต่เขาเอามาแต่งเป็นเพลงว่าท่ามกลางความทุกข์ยากลำบากบนโลกใบนี้ เปาโลบอกว่าอย่างไร?

“แต่ข้ารู้จักพระคริสต์ที่ข้าเชื่อ และเชื่อมั่นคงว่าพระองค์ทรงฤทธา”

เห็นไหม? ท่ามกลางปัญหาต่างๆ ที่เรากำลังเผชิญอยู่บนโลกใบนี้ เราสามารถพูดคำนี้ได้ไหม? ถ้าได้ ก็แสดงว่าเราได้รู้จัก เราได้เรียนรู้ เราได้รับความจริง ตาวิญญาณเราเปิดออกมากขึ้น เราเข้าใจ พระเจ้าสามารถเปลี่ยนแปลงความคิดของเราให้เป็นเหมือนพระองค์ได้มากขึ้นแล้ว เพราะว่าเราได้รู้จักพระคริสต์ที่เราเชื่อ และเชื่อมั่นคงว่าพระองค์ทรงฤทธา รักษาซึ่งมอบไว้กับพระองค์ จนถึงกาลวันนั้นได้

“รักษาสิ่งที่มอบให้กับพระองค์” ก็คือการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ แต่ละวันๆ อะไรจะเกิดขึ้น พายุจะมาหรือไม่มา พายุจะมีหรือไม่มี จะมีกินหรือไม่มีจะกิน จะสุข ทุกข์ สบายหรือเจ็บป่วย ยากจนลง หรือร่ำรวย เราก็ได้อยู่กับพระคริสต์ เพราะเราได้รู้จักพระคริสต์ที่เราเชื่อ ใช่ไหม?

เพราะฉะนั้น เราสามารถใส่ความจริงในโลกวิญญาณที่เราได้เรียนรู้เมื่อสักครู่นี้ทั้งหมด การกลับคืนดีกับพระเจ้า คือเมื่อเราเชื่อพระเยซูคริสต์ เราได้อาศัยอยู่ในพระเยซูคริสต์ เราได้บัพติศมาในพระเยซูคริสต์ เป็นหนึ่งเดียวกับพระเยซูคริสต์ เราสามารถใส่เข้าไปในนี้ได้หมดเลยว่า …

“แต่ข้าอาศัยอยู่ในพระเยซูคริสต์ และเชื่อมั่นคงว่าพระองค์ทรงฤทธา รักษาซึ่ง มอบไว้กับพระองค์ จนถึงกาลวันนั้นได้”

“จนถึงกาลวันนั้น” ก็คือจนกว่าวิญญาณเราจะออกจากร่าง จนกว่าเราจะไปพบพระเยซูหน้าต่อหน้า หมดความทุกข์ยากลำบากเสียทีหนึ่ง เห็นไหม? ใส่อะไรไปก็ได้ ถ้าเรารู้ คำว่า “รู้จักพระเยซูคริสต์” หมายถึงทั้งหมดที่ตะกี้นี้อธิบายมา ลองใส่สิ สมมติเราได้กลับคืนดี ร้องอย่างไร? …

“แต่ข้าได้กลับคืนดีกับพระเจ้าในพระเยซูคริสต์แล้ว และเชื่อมั่นคงว่าพระองค์ทรงฤทธา”

“แต่ข้าบัพติศมาอยู่ในพระเยซูคริสต์แล้ว” สมมติว่าเราเรียนรู้ในใจ เรียนรู้จากโลกวิญญาณแล้วว่าเราได้บัพติศมา เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเยซู บอกว่า …

“แต่ข้าบัพติศมาในพระเยซูคริสต์”

ใส่อะไรก็ได้ในนั้น  สมมติใส่คำว่า “บังเกิดใหม่”

“แต่ข้าได้บังเกิดใหม่ในพระเยซูคริสต์ และเชื่อมั่นคงว่าพระองค์ทรงฤทธา รักษาซึ่ง มอบไว้กับพระองค์ จนถึงกาลวันนั้นได้”

“แต่ข้าสามัคคีธรรมอยู่กับพระเยซูคริสต์ และเชื่อมั่นคงว่าพระองค์ทรงฤทธา รักษาซึ่ง มอบไว้กับพระองค์ จนถึงกาลวันนั้นได้”

มันเป็นอย่างนี้หมดเลย  นี่แหละคือสิ่งที่เป็นความจริงในโลกวิญญาณ และพระเจ้าต้องการนำพาเราไปตรงนี้ ถ้าเราไปตรงนี้ได้เมื่อไร? เราก็พอใจในทุกสิ่งที่มีอยู่ เต็มไปด้วยสันติสุข เพราะว่าเราเชื่อมั่นคงว่าพระองค์ทรงฤทธา รักษาซึ่ง ทุกสถานการณ์ที่เรากำลังเผชิญอยู่ตรงนี้ ไม่ว่าอะไรก็ตาม จนถึงวันเวลา ที่จะหมดภาระในโลกนี้ เอเมนไหม?

เพราะฉะนั้น ท่ามกลางความทุกข์ยากลำบาก ที่เราเผชิญอยู่นั้น พระเจ้าก็กำลังนำเรา ให้ร้องบทเพลงนี้อยู่ในใจตลอดเวลานั่นเอง แต่ร้องเพียงแค่ … ไม่ใช่ร้องตลอดไป เห็นไหม? จนถึงกาลวันนั้น “กาลวันนั้น” มันแป๊บเดี๋ยว คือวันที่เราจากโลกนี้ไป นานไหม? จะอยู่บนโลกใบนี้อีกนานเท่าไร? 80 ปี 100 ปี แล้วอยู่มาเท่าไรแล้ว เหลือเท่าไรตอนนี้กับชีวิตนิรันดร์หลังความตาย มันเทียบกันไม่ได้เลยนั่นเอง เพราะฉะนั้น ร้องเพลงนี้ไปแค่แป๊บเดี๋ยว

พระองค์จึงหนุนใจเราใน 1 เปโตรว่าทนทุกข์ลำบากแค่ชั่วขณะหนึ่งเท่านั้น พูดกับใคร? มีใครไม่ทุกข์ยากลำบากในโลกใบนี้บ้าง  แต่เราสามารถเรียนรู้ แล้วสันติสุขจะอยู่ในจิตใจของเรา ในพระเยซูคริสต์

เรามาเรียนรู้กันต่อในวันนี้ ครั้งที่แล้วเราได้เรียนรู้ไป 1 เปโตร 2:5 วันนี้เราก็มาต่อข้อที่ 6 อย่าลืมนะว่าเรากำลังเรียนรู้จากพระคัมภีร์ใน 1 เปโตร บทที่ 1 แล้วก็มา 1 เปโตร บทที่ 2 ซึ่งเราให้ชื่อเรื่องว่า “ท่ามกลางความทุกข์ยากลำบาก พระเจ้าปลอบประโลมจิตใจของเราทั้งหลายด้วยวิธีเช่นใด” อะไรคือสาระสำคัญของการปลอบประโลมใจของพระองค์ 1 เปโตร 2:6 เรามาต่อวันนี้เลยครับ …

1 เปโตร 2:6   “เพราะมีคำเขียนไว้ในพระคัมภีร์แล้วว่า  ‘ดูก่อน  เราวางศิลาก้อนหนึ่งลงในศิโยน  เป็นศิลาหัวมุมที่ทรงเลือกแล้ว  และเป็นศิลาที่มีค่าอันประเสริฐ  และผู้ใดที่เชื่อในพระองค์ ก็จะไม่ได้รับความอับอาย”

 

“เพราะมีคำเขียนไว้ในพระคัมภีร์แล้ว หมายถึงว่าเพราะได้รับการเผยพระวจนะ พระเจ้าบอกล่วงหน้าแล้ว ตั้งแต่สมัยโน้น  เป็นพันๆ ปีแล้วว่าศิลาหัวมุมที่ทรงเลือกแล้ว และเป็นศิลา มีค่าอันประเสริฐ ก็หมายถึงพระบุตร  คือพระเยซูคริสต์ ซึ่งพระองค์ทรงเลือก กำหนดแล้วว่าจะเป็นพระผู้ช่วยของมวลมนุษยชาติบนโลกใบนี้ เลือกแล้ว แต่พระเยซูต้องทำสิ่งหนึ่ง ก็คือต้องยอมรับในการทรงเลือกนี้ ถูกไหม? พระเยซูมีสิทธิ์ที่จะไม่รับการทรงเลือกก็ได้  มีสิทธิ์ปฏิเสธได้ ถูกไหม? พระเยซูเคยปฏิเสธการทรงเลือกนี้ไหม? คิดในใจ เคย มีหลักฐาน ที่สวนเกทเสมนี พระองค์ทรงอธิษฐานก่อนถูกเขาจับไปตรึงที่ไม้กางเขน ในคืนนั้น พระองค์ทรงอธิษฐาน 3 ครั้งว่าไม่ไปได้ไหม? ไม่เอาได้ไหม? แต่พระเจ้าเงียบ ในที่สุด พระองค์ก็ยอม ก็เลยรับการทรงเลือกของพระเจ้า ให้เป็นผู้ช่วยให้รอดของมวลมนุษยชาติ

ในนี้เขียนว่า “และผู้ใดที่เชื่อในพระองค์ก็จะไม่ได้รับความอับอาย” ก็หมายถึงผู้ที่วางใจในพระเยซูคริสต์จะไม่ได้รับความพินาศ  ไม่ได้รับความอับอายเลยในโลกวิญญาณ เมื่อวันหนึ่งที่อยู่หน้าการพิพากษาหลังความตาย เพราะว่าความอับอายตรงนี้ หมายถึงความบาปนั่นเอง ผู้ที่วางใจในพระเยซูคริสต์จะไม่ได้รับความอับอายเลย ก็คือผู้นั้นจะหลุดพ้นจากความบาป กลายมาเป็นผู้ชอบธรรม ห่มเสื้อแห่งความชอบธรรม ด้วยความภูมิใจและเต็มไปด้วยสง่าราศีว่าไม่อับอาย คนที่ไม่ได้ห่มเสื้อแห่งความชอบธรรม เป็นคนบาป เป็นผู้ที่น่าอับอาย มันเป็นเช่นนั้น

เหมือนวันหนึ่งที่อาดัมและเอวาไม่เชื่อฟังพระเจ้า ทำบาปเป็นครั้งแรกของมวลมนุษยชาติ พอทำบาปปุ๊บ ความชอบธรรม พระสิริของพระเจ้า เหมือนเสื้อผ้าอาภรณ์ได้หลุดหายไป ห่มความบาปแทน ก็คือเปลือย เปลือยจากความชอบธรรม ก็กลายเป็นคนบาป อับอาย

รู้ได้อย่างไรอับอาย เพราะในพระคัมภีร์ได้บันทึกไว้ว่าอาดัมและเอวา รู้สึกอาย พระเจ้าจึงต้องมาช่วย นำหนังสัตว์มาห่มให้ ซึ่งเล็งถึงพระโลหิตของพระเยซู แต่เอาโลหิตของสัตว์มาห่มให้ชั่วคราว อะไรประมาณนี้  แต่วันนี้เราไม่ได้มาเรียนรู้เรื่องนี้  1 เปโตร 2:7 ต่อไป …

1 เปโตร 2:7 “พระองค์ทรงมีค่าอันประเสริฐ สำหรับท่านทั้งหลายที่เชื่อ แต่สำหรับคนทั้งหลายที่ไม่เชื่อนั้น  ศิลาที่ช่างก่อทั้งหลายทิ้งเสียแล้วนั้น ได้กลับกลายเป็นศิลามุมเอกแล้ว”

 

สำหรับคนทั้งหลายที่เชื่อและวางใจในพระเยซู พระองค์ก็ทรงเป็นศิลาอันมีค่า ที่ประเสริฐ เพราะพระองค์ได้ทำให้พวกเขาหลุดพ้นจากความบาป กลายมาเป็นความชอบธรรมแล้วนั่นเอง จึงมีค่ามาก

แต่สำหรับคนทั้งหลายที่ไม่เชื่อนั้น ศิลาซึ่งช่างก่อทั้งหลาย ทิ้งเสียแล้วนั้น ได้กลับกลายเป็นศิลามุมเอกไปเสียแล้ว อย่าลืมว่าตรงนี้ เปโตรกำลังอ้างถึงพระคัมภีร์เดิม คือคำเผยพระวจนะที่พระเจ้าได้บอกล่วงหน้า ตั้งแต่ในอดีต ข้อความนี้ อยู่ในหนังสือสดุดี 118:22 นั่นเอง ซึ่งตรงนี้เปโตรดึงเอาข้อพระคัมภีร์นั้นมา เปโตรกำลังชี้ให้เห็นว่าพระเยซูคริสต์ถูกปฏิเสธ โดยคนของพระองค์เอง ก็คือชาวยิวนั่นเอง

คำว่า “ช่างก่อ” เป็นคำเปรียบให้เห็นว่าชาวยิว ตั้งแต่ในอดีต ทุกยุคทุกสมัย มีความพยายามที่จะก่อสร้างวิหารของพระเจ้า แบบทำด้วยมือ ให้สง่างาม เป็นที่พอพระทัยพระเจ้า และรอคอยพระเมสิยาห์ คือพระผู้ช่วยให้รอด ที่พระเจ้าสัญญาว่าจะมาช่วย รอคอยกัน ใจจดใจจ่อ แต่ขณะเดียวกันที่รอคอยนั้น ก็สร้างวิหารที่ทำด้วยมืออย่างประณีตที่สุด เท่าที่จะทำได้ คิดว่าพระเจ้าจะพอใจมาก สำหรับวิหารสวยงามอันนั้น เช่นวิหารของซาโลมอนเป็นต้น ในอดีตเป็นอย่างนี้ แต่จนกระทั่ง เมื่อพระเยซูได้มาปรากฏตัวจริงๆ ตามคำเผยพระวจนะแล้วนั้น เขาทั้งหลายที่ดำเนินชีวิต คิดว่าเป็นที่พอพระทัยพระเจ้า  คือสร้างวิหารด้วยมือของตนเอง กลับไม่เชื่อในพระเมสิยาห์ คือพระเยซูคริสต์ที่พระเจ้าได้ทรงสัญญาไว้แล้ว และประทานมาให้ และเกิดแล้วเดี๋ยวนี้ และตรงในคำเผยพระวจนะมากมายไปหมดเลย กลับไม่เชื่อ ซึ่งในบริบทนี้ คนทั้งหลายที่ไม่เชื่อ คนที่ปฏิเสธพระเยซู จะเน้นถึงพวกที่ต่อต้านพระเยซู ที่กล่าวร้ายและจับพระเยซูไปตรึงที่ไม้กางเขน ก็คือพวกฟาริสี ธรรมาจารย์ หัวหน้าพระทั้งหลายในนั้น เซ็นเฮดริน คายาฟาส ที่ต่อต้าน อิจฉาพระเยซู เขานึกว่าเขาสร้างวิหารทางวัตถุ รักษาความสง่างามทางวัตถุ นั่นคือสิ่งที่พอพระทัยของพระเจ้าแล้ว แต่พระเจ้ากำลังเผยพระวจนะ เล็งถึงการสร้างวิหารทางฝ่ายวิญญาณ ซึ่งมีพระเยซูคริสต์เป็นศิลามุมเอก  เป็นผู้ที่สำคัญที่สุดนั่นเอง จับพระเยซูคริสต์ไปตรึงที่ไม้กางเขน เพราะสำหรับคนเหล่านี้ที่ไม่เชื่อ ที่ปฏิเสธพระมาซีฮาห์ คือพระเยซู เป็นเหมือนเขาทิ้งศิลาก้อนสำคัญ คือศิลามุมเอกนี้ เพราะคนเหล่านี้ไม่เห็นคุณค่าทางด้านฝ่ายวิญญาณ คือโยนศิลามุมเอก ที่พระเจ้าสัญญาไว้ เป็นศิลาเดียวที่จะสร้างพระวิหารของพระเจ้าได้ ก็คือพระเยซูคริสต์นั่นเอง ซึ่งเราก็ได้เห็นแล้วว่าเมื่อเขาจับพระเยซูไปฆ่า สิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน แล้วอะไรเกิดขึ้น พระองค์กลายเป็นศิลามุมเอก เป็นวิหารทางฝ่ายวิญญาณจริงๆ ของมวลมนุษยชาติ ในขณะที่เขาต่อต้าน และไม่เชื่อฟัง ในที่สุด ศิลาที่ช่างก่อต่อต้าน คนที่ไม่เชื่อต่อต้าน โยนทิ้ง ฆ่าทิ้ง  ก็ได้กลายมาเป็นศิลามุมเอก ซึ่งเป็นส่วนที่สำคัญที่สุดของคริสตจักร

คริสตจักร หมายถึงวิหารของพระเจ้าทางฝ่ายวิญญาณ พระเจ้าให้สร้างวิหารทางฝ่ายวัตถุในอดีต ตามพระคัมภีร์เดิม จากคนยิวนั้น ก็เพื่อเล็งให้เห็น ถึงวันหนึ่ง พระองค์จะส่งพระเยซูคริสต์มาบังเกิดเป็นมนุษย์ เป็นศิลามุมเอก ในฝ่ายวิญญาณ ในการสร้างวิหาร แบบนี้ แต่เป็นฝ่ายวิญญาณ แต่เขาไม่เข้าใจ เขาเลยปฏิเสธพระเยซูซะ ซึ่งสำคัญที่สุด  และศิลามุมเอก คือพระเยซู ก็ได้กลายเป็นหินที่ทำให้เขาเหล่านั้นที่ไม่เชื่อสะดุด และรวมถึงในปัจจุบัน ใครที่ไม่เชื่อในพระบุตร พระเยซูคริสต์ก็สะดุดไปด้วย 1 เปโตร 2:8 บันทึกไว้อย่างนี้ …

1 เปโตร 2:8  “และเป็นหินที่ทำให้คนสะดุด และเป็นที่ทำให้คนหกล้ม ที่เขาสะดุดนั้น เพราะเขาไม่เชื่อฟังพระวจนะของพระเจ้า ตามที่เขาถูกกำหนด ให้กระทำเช่นนั้น”

 

เป็นหินที่ทำให้คนสะดุด “สะดุด” ก็คือเป็นหินที่ทำให้คนพินาศ คือไม่เชื่อพระเยซูก็พินาศ เป็นศิลาที่ยากที่จะเชื่อ และเป็นเหตุให้เป็นอุปสรรคในการเข้าสวรรค์ของบรรดามนุษยชาติ และของเขาทั้งหลาย

เป็นเหตุทำให้เขาหกล้ม “หกล้ม” คือข่มเหง ไม่ใช่ปฏิเสธพินาศอย่างเดียว แต่ยังข่มเหงรังแก พยายามไปบอกคนอื่นว่าอย่ามาเชื่อด้วย หนักถึงขนาดนั้น ที่เขาสะดุดและข่มเหงพระเยซู เพราะเขาไม่เชื่อพระวจนะที่เผยตั้งนานมาแล้ว ตลอดเวลา เล็งถึงพระเยซูคริสต์ ตรงนี้สำคัญ เพราะเขาไม่เชื่อฟัง พระวจนะของพระเจ้า ที่บอกไว้แล้วตั้งแต่ในอดีต ตามที่เขาถูกกำหนดให้กระทำเช่นนั้น

ตรงนี้ทุกคนเข้าใจว่าคงหมายถึงพระเจ้ากำหนดให้เขาไม่เชื่อ หรืออย่างไร? ถูกกำหนดให้กระทำ หมายความว่าพระเจ้าทรงรู้ล่วงหน้าแล้วว่าในอิสราเอลมีใครบ้าง ที่ไม่เชื่อพระองค์ พระองค์ทรงเป็นสัพพัญญู รู้ทุกสิ่ง ก่อนที่เราจะคิด พระองค์ก็ทรงทราบล่วงหน้าว่าเราคิดอะไรอยู่ เพราะฉะนั้น พระองค์ทรงรู้ แต่พระองค์ไม่ได้ทำให้มันเกิดขึ้น เพราะพระองค์ทรงรู้จิตใจของมนุษย์ดี พระองค์ไม่อยากทำให้เป็นอย่างนั้นเลย คือพระองค์ไม่อยากจะทำให้เขาไม่เชื่อ อยากจะทำให้เขาเชื่อ แต่รู้ล่วงหน้าว่าเขาจะทำแบบนี้ เขาจะปฏิเสธพระเยซู

และพระองค์รู้ล่วงหน้า เพราะพระองค์รู้จิตใจเขาก่อน รู้ว่าคนนี้คิดอะไร? พระองค์จึงต้องปล่อยให้เป็นไปตามนั้น คือเป็นไปตามจิตใจของเขาที่ดื้อและตัดสินใจอย่างนั้น ด้วยตัวของเขาเอง พระองค์เคารพในการตัดสินใจของมนุษย์ทั้งหลาย  ไม่ใช่เป็นพระประสงค์ของพระเจ้า แต่พระเจ้าจำเป็นต้องอนุญาตให้เป็นไปตามนั้น  เพราะเขาตัดสินใจของเขาเอง เพราะพระเจ้าสร้างมนุษย์มา ไม่ได้สร้างมาให้เป็นโรบอท กดให้เชื่อ ก็เชื่อ ไม่ใช่ สร้างให้มีอิสระเสรีภาพในการตัดสินใจ เมื่อเขาตัดสินใจอย่างไร ก็เป็นอย่างนั้น เหมือนตอนที่อาดัมและเอวาตัดสินใจไม่เชื่อฟังพระเจ้า  เขาก็ตัดสินใจได้ เพราะพระองค์ทรงสร้างเขามาเป็นลูกของพระองค์ให้มีอิสระ

เพราะฉะนั้น ถามว่าในเมื่อพระองค์ทรงรู้ล่วงหน้าก่อนแล้ว ก็เท่ากับว่าพระองค์กำหนดไว้ก่อนแล้วสิ ก็เหมือนกับว่ากำหนดให้มันเป็นอย่างนั้นใช่ไหม? ไม่ใช่ การกำหนดนี้ไม่ใช่ โดยพระเจ้า แต่เป็นการกำหนดด้วยการตัดสินใจของคนๆ นั้นเอง

จำพระเยซูได้ไหม ในสวนเกทเสมนี พระเยซูได้ถูกเลือกสรรมาเป็นพระบุตรของพระเจ้า ผู้ช่วยให้รอด แต่พระเยซูปฏิเสธพระเจ้า 3 ครั้ง ไม่เอาๆ แต่ในที่สุด ก็เอา แต่คนที่ไม่เชื่อ ขณะที่ไม่เอาๆ อยู่นั้น พระเจ้าต้องการให้เขารอดไหม? ต้องการให้เขาเชื่อไหม? ต้องการ แต่เขาก็ดื้อ ไม่เอาๆ บางคนสุดท้าย ก็เหมือนพระเยซู ก่อนตาย  ก่อนถึงกาลวันนั้น  เอา หันมารับเชื่อ แต่บางคนไม่เอาๆ จนวันสุดท้าย ก็ไม่รับพระเยซูอยู่ดี หมายถึงอย่างนั้น

“เขาได้ถูกกำหนดไว้แล้ว” ถามว่าใครกำหนดครับ? ก็คือตัวเขาเอง  ซึ่งพระเจ้าเคารพในการตัดสินใจ ก็คือตัวเขาเองกำหนดเองว่าเขาไม่เชื่อ ไม่ใช่พระเจ้าทำให้เขาไม่เชื่อ แต่เขาไม่เชื่อเอง มันเกิดขึ้นมาเองข้างใน ซึ่งพระเจ้าทรงทราบล่วงหน้า ด้วยว่าเขาจะไม่เชื่อ อธิบายยากนิดหนึ่ง

เรามาดูนิดหนึ่ง ตรงนี้มันสำคัญมาก ผมเลยยกข้อพระคัมภีร์มา เพื่อให้ท่านเห็นว่าอะไร คือพระประสงค์ของพระเจ้าจริงๆ ก็คือมนุษย์ทุกคนได้รับความรอด ผ่านทางการสิ้นพระชนม์ของพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ คือพระเยซูคริสต์ พระมาซีฮาห์ที่พระเจ้าทรงจัดเตรียมไว้ เป็นศิลามุมเอก ให้กับมนุษย์ทั้งหลาย ทั้งปวงนั่นเอง ลองดูข้อพระคัมภีร์เหล่านี้ 2 ข้อเท่านั้น ท่านจะเห็นว่านี่คือน้ำพระทัยจริงๆ ต้องการมากๆ ให้มนุษย์ทุกคนเชื่อในพระศิลามุมเอก ก็คือพระเยซูคริสต์นี้ …

โคโลสี 1:19-20 “19 เพราะว่าพระเจ้าพอพระทัย ที่จะให้ความบริบูรณ์ทั้งสิ้นของพระองค์อยู่ในพระบุตร 20 และให้ทุกสิ่งทั้งบนแผ่นดินโลกและในสวรรค์ กลับคืนดีกับพระองค์ ผ่านทางพระบุตร สันติภาพนี้ มีขึ้นโดยพระโลหิต”

 

พระเจ้าพอพระทัย ก็คือพระเจ้าประสงค์ ต้องการให้ทุกคนเชื่อ ไม่ปฏิเสธพระศิลานี้ …

2 โครินธ์ 5:19-20 “19 คือพระเจ้าทรงให้โลกนี้ คืนดีกันกับพระองค์ โดยพระคริสต์มิได้ทรงถือโทษในการผิดของเขา และทรงมอบเรื่องการคืนดีกันนั้น ให้เราประกาศ 20 ฉะนั้น เราจึงเป็นทูตของพระคริสต์ โดยที่พระเจ้าทรงขอร้องท่านทั้งหลายทางเรา เราจึงขอร้องท่านในนามของพระคริสต์ ให้คืนดีกันกับพระเจ้า”

 

โลกนี้ ก็คือมนุษยชาติบนโลกใบนี้และสรรพสิ่งบนโลกใบนี้  คืนดี ผมพยายามเลือกสรรเอา ข้อพระคัมภีร์ที่เกี่ยวข้องกับการคืนดีมาให้เห็น  เพราะ 2-3 ตอนที่แล้ว ได้บอกแล้วว่าเวลาเราบังเกิดใหม่ และเชื่อในพระเยซูคริสต์ คือเราได้บัพติศมาเข้าส่วนร่วมเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเยซูคริสต์ ร่วมได้อย่างไร? โดยการบังเกิดใหม่ ด้วย DNA ของพระเจ้า เมื่อเป็น DNA ของพระเจ้า ก็สามารถเข้าคืนดีกับพระเจ้าได้ กลับเข้าหากันได้ แต่ก่อนนี้ไม่คืนดีเข้ากันไม่ได้ เพราะฝ่ายหนึ่งบริสุทธิ์ อีกฝ่ายหนึ่งเป็นบาป เป็นสกปรก ตอนนี้เราได้รับการบังเกิดใหม่ เป็นหนึ่งเดียวกับพระเยซูคริสต์ เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์ ได้ชีวิตที่สะอาดบริสุทธิ์ มันก็กลับคืนดีกับพระเจ้า สามารถเข้ากันได้นั่นเอง พระเจ้าต้องการตรงนี้แหละ พูดง่ายๆ คือพระเจ้าต้องการให้โลกนี้ บัพติศมาเข้าในพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า เข้ามากับพระองค์ เข้ามาเป็นหนึ่งเดียวกับพระองค์ นี่เรียกว่าคืนดี คือพระเจ้าทรงให้โลกนี้คืนดีกับพระองค์ โดยพระคริสต์ มิได้ทรงถือโทษ ในการผิดของเรา และทรงมอบเรื่องการคืนดีนั้นให้เราประกาศ

ประกาศว่าอย่างไร? ประกาศว่าจงมารับบัพติศมาในพระเยซูคริสต์ จงมาคืนดี ก็คือบัพติศมาเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของพระเจ้าพระบิดา พระเจ้าพระบุตรพระเยซู และพระเจ้าพระวิญญาณบริสุทธิ์ แล้วจะเป็นหนึ่งได้อย่างไร? คืนดีได้อย่างไร? โดยการต้อนรับคำเชิญจากพระเจ้า ในเรื่องข่าวดีของพระองค์ รับสิทธิที่พระองค์ทรงกระทำให้เรียบร้อยแล้ว โดยพระบุตรของพระองค์ที่ไม้กางเขนนั่นเอง เรียกว่าคืนดี

ข้อ 20 บอกฉะนั้น เราจึงเป็นทูตของพระคริสต์ นี่หมายถึงอาจารย์เปาโลและทีมงาน ผู้ประกาศข่าวดี ก็เป็นเหมือนตัวแทนของพระเจ้ามาประกาศ เป็นปุโรหิตของพระเจ้าในฝ่ายวิญญาณ

“ฉะนั้น เราจึงเป็นทูตของพระคริสต์ โดยพระเจ้าทรงขอร้องท่านทั้งหลาย  (อ่านแล้วชื่นใจมากเลย) โดยที่พระเจ้าทรงขอร้องท่านทั้งหลายทางเรา เราจึงขอร้องท่านในนามของพระเยซูคริสต์ให้คืนดีกับพระเจ้า ให้มาบังเกิดใหม่ในพระเยซูคริสต์ ให้มาเชื่อในพระเยซูคริสต์ ให้มาบัพติศมาในพระเยซูคริสต์ ให้มาสามัคคีธรรมกับพระเยซูคริสต์ ให้มารู้จักพระเยซูคริสต์ เพื่อท่านจะได้ร้องเพลงนี้ได้ในการดำเนินชีวิตต่อไปว่า” …

“แต่ข้ารู้จักพระคริสต์ที่ข้าเชื่อ และเชื่อมั่นคงว่าพระองค์ทรงฤทธา

รักษาซึ่ง มอบไว้กับพระองค์ จนถึงกาลวันนั้นได้”

นี่แหละ พระเจ้าประสงค์ ต้องการอย่างมาก ให้มนุษย์ทุกคนได้มารู้จัก สนิทสนม เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเยซูคริสต์ โดยพระเจ้าสำแดงความรักของพระองค์ ความห่วงใย และพระประสงค์ของพระองค์อย่างสุดใจ โดยการบอกว่า “เราขอร้อง” ท่านลองคิดดูสิ พระเจ้าเป็นพระเจ้าผู้ทรงสร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก เราเป็นมนุษย์คนหนึ่ง  และโทษทีนะ เราเป็นมนุษย์บาปด้วย สกปรก แต่พระเจ้าขอร้องเรา นี่ไม่ได้ขอร้องคนที่เชื่อแล้วนะ ขอร้องคนที่ยังไม่เชื่อ ขอร้องให้เขามาคืนดีกับพระองค์ เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์ 1 เปโตร 2:9 …

1 เปโตร 2:9 “แต่ท่านทั้งหลายเป็นชาติที่พระองค์ทรงเลือกไว้แล้ว เป็นพวกปุโรหิตหลวง เป็นประชาชาติบริสุทธิ์ เป็นชนชาติของพระเจ้าโดยเฉพาะ เพื่อให้ท่านทั้งหลาย ประกาศพระบารมีของพระองค์ ผู้ได้ทรงเรียกท่านทั้งหลาย ให้ออกมาจากความมืด เข้าไปสู่ความสว่างอันมหัศจรรย์ของพระองค์”

 

แต่ท่านทั้งหลายเป็นชาติที่พระองค์ทรงเลือกไว้แล้ว เลือกให้มาเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์ มาเป็นลูกของพระองค์

ถามว่าพระเจ้าทรงเลือกสรรพวกนี้ แล้วพวกนี้ไม่ได้เลือกอย่างนั่นหรือ? ฟังดูเหมือนๆ อย่างนั้น

คำตอบ ก็คือไม่ใช่  พระเจ้าเลือกหมดทุกคน แต่คนที่ยอมรับการเชิญของพระเจ้า ตอบรับการทรงเลือกของพระเจ้า ก็ได้กลายเป็นคนที่พระเจ้าทรงเลือกไว้นั่นเอง เหมือนยกตัวอย่างพระเยซูเมื่อสักครู่นี้

ส่วนคนที่ไม่ตอบรับคำเชิญ ไม่ตอบรับการเลือกของพระเจ้า ก็เท่ากับไม่ได้ทรงเลือกอย่างนั้น นั่นเอง ถูกไหม?

พวกท่านเป็นประชากรที่พระเจ้าได้เลือกไว้แล้ว คือเป็นประชากรที่ได้รับการเชิญของพระเจ้า เข้ามาเป็นลูกของพระเจ้า เข้ามาอยู่ในบ้านของพระองค์แล้ว ตรงนี้จริงๆ หมายถึงว่าพระองค์ทรงเลือกทั้งชนชาติอิสราเอลและชนชาติที่ไม่ใช่อิสราเอล ทั้งหมดให้มารวมกันอยู่ในพระเยซูคริสต์นั่นเอง มนุษย์คนไหนก็ตาม ไม่ว่าจะเป็นอิสราเอลหรือไม่เป็นอิสราเอลก็ตาม พอท่านเชื่อปุ๊บ ในข้อพระคัมภีร์ตะกี้ ท่านก็ได้เป็นชนชาติเดียวกัน คือเป็นประชากรของพระองค์ ท่านก็ได้เป็นปุโรหิต

สังเกตคำว่า “เป็น” ท่านได้เป็นประชาชนบริสุทธิ์ เป็นชนชาติของพระเจ้าโดยเฉพาะ เพื่อให้ท่านทั้งหลายประกาศพระบารมี

สังเกตคำว่า “เป็น” ท่านทั้งหลายก็ได้เป็นปุโรหิต ไม่ใช่ท่านทั้งหลายต้องประพฤติเป็นปุโรหิต พระองค์ทรงกระทำให้เราเป็นปุโรหิตเลย ด้วยความเชื่อของเราในพระเยซูคริสต์

เห็นไหมครับ จะมีคำว่า “เป็น” หมดเลย เป็นเพราะอะไร? เพราะประพฤติหรือ? ไม่ใช่ เพราะความเชื่อ

ท่านถูกเลือกสรร เพราะท่านเชื่อในพระเยซูคริสต์ ท่านก็ได้เป็นปุโรหิตหลวง เพราะท่านได้กลับมาคืนดีกับพระเยซูคริสต์ กับพระเจ้าแล้ว ท่านก็เลยได้กลายเป็นปุโรหิตหลวง ที่ผมพยายามเน้นคำว่า “เป็น” อยู่เรื่อยๆ ท่านจะได้รู้ว่าพระเจ้าต้องการให้เรารู้อะไร? เราเป็นปุโรหิตหลวงแล้วตอนนี้ เราเป็นแล้ว ไม่ใช่ว่าเรากำลังประพฤติตัวให้เป็น สร้างตัวให้เป็น ไม่ใช่ เราเป็นแล้ว

เป็นปุโรหิตหลวง ก็คือเป็นผู้ที่ถูกแยกออกมาต่างหาก เป็นทรัพย์สมบัติส่วนพระองค์ของพระเจ้า ที่ได้รับการชำระ สะอาด หมดจด เป็นของใช้ส่วนตัวของพระองค์ ผู้ทรงพระชนม์อยู่ ในพระหัตถ์อันทรงฤทธิ์ของพระองค์นั่นเอง อยู่หรือยัง? อยู่แล้ว เป็นหรือยัง? เป็นแล้ว สำคัญตรงนี้ “เป็นแล้วๆ” ซึ่งในข้อพระคัมภีร์นี้  ที่เปโตรยกตัวอย่างว่าเป็นปุโรหิต  คนยิวสมัยนั้น สมัยนี้ก็ได้ ฟังดูแล้วเข้าใจเลย ปุโรหิตหลวง คือปุโรหิตที่แยกออกมาจากโลกใบนี้เลย มารับใช้พระเจ้าอย่างเดียว การงานไม่ต้องทำ อยู่ในพระนิเวศน์อย่างเดียว รับหน้าที่ถวายเครื่องบูชา คือโลหิตของสัตว์ต่อพระองค์ เป็นตัวแทนของมนุษย์บาป ในโลกใบนี้ หรือในประชากรอิสราเอลในอดีตนั่นเอง

แต่ตอนนี้ เราทั้งหลายที่เชื่อในพระเยซูคริสต์ เราได้เป็นปุโรหิตแบบนั้น แต่เป็นแบบวิญญาณ ในอดีต พระเจ้าตั้งขึ้นมาเป็นอย่างนั้น เพื่อเล็งให้เห็นถึงยุคของพระคัมภีร์ใหม่ ยุคของพระเยซูคริสต์นั่นเอง เราเป็นปุโรหิต แบบวิญญาณ ผ่านทางพระเยซูคริสต์ เราไม่ต้องถวายโลหิตของสัตว์แล้ว แต่เราถวายตัวเราเอง ซึ่งสะอาดหมดจดแล้ว บริสุทธิ์แล้ว แยกออกมาแล้ว เป็นทาสรับใช้พระเจ้า  เป็นลูก แต่เป็นดั่งทาส ไม่มีทางเป็นอื่นเลย คือเป็นลูกแน่นอน เชื่อฟังแน่นอน

คำว่า “เป็นทาสรับใช้” เป็นทาสที่เชื่อฟัง  พระเจ้าพูดอะไร เราก็เอเมนหมด ในวิญญาณเราเอเมน ซึ่งเราเรียกกันว่าปรนนิบัติรับใช้พระเจ้าดั่งทาสในฝ่ายวิญญาณ เชื่อฟังดั่งทาส ซึ่งตรงนี้เรียกว่านมัสการพระเจ้าด้วยวิญญาณและความจริง

“นมัสการ” แปลว่ายอมจำนน เชื่อฟัง ยอมรับ อย่างไม่มีเงื่อนไข นมัสการแปลว่าอย่างนี้ นมัสการไม่ได้แปลว่าถวายทรัพย์ นมัสการไม่ได้แปลว่าร้องเพลง นมัสการไม่ได้แปลว่าท่านมาในวันอาทิตย์ ไม่ใช่ ตัวคำว่านมัสการเองจริงๆ แปลว่ายอมจำนน เชื่อฟัง ยอมรับอย่างไม่มีเงื่อนไข เหมือนดั่งทาส นมัสการพระเจ้า ก็คือยอมจำนนต่อพระเจ้า  เป็นดั่งทาสด้วยวิญญาณ  ก็คือด้วยวิญญาณ เรายอมจำนน แต่ทางร่างกายอาจจะทำเหมือนไม่ยอมจำนน พระเยซูยังเคยไม่จำนนเลย ไม่ยอมปฏิบัติ ไม่เอาได้ไหม?  แต่ในที่สุด ก็ยอม นั่นแหละเป็นลักษณะอย่างนั้น

เพราะฉะนั้น ทางร่างกาย บางครั้งอาจทำเหมือนไม่ยอมจำนน ดื้อ ซึ่งอันนี้ไม่เกี่ยวกัน เรามีหน้าที่ในวิญญาณของเรา ที่บังเกิดใหม่ ที่เชื่อพระเจ้า เชื่อฟังต่อพระเจ้า เพราะว่าพระเจ้าให้เราเกิดมา และให้วิญญาณเราเป็นวิญญาณแห่งการเชื่อฟัง วิญญาณนะ เพราะฉะนั้น เราเชื่อฟังในพระเยซูคริสต์ เป็นหนึ่งเดียวกับพระเยซูคริสต์ เราเป็นวิญญาณที่เชื่อฟังพระเจ้า 100% ดั่งทาสเลย “เป็น” นะ แต่ความประพฤติ บางครั้งอาจจะไม่เชื่อฟัง แต่วิญญาณของเรา ตัวจริงๆ ของเรา เป็นวิญญาณแห่งการเชื่อฟัง

เชื่อฟัง เพราะพระเจ้าได้สร้างเราให้เป็นวิญญาณแห่งการเชื่อฟัง เราได้บังเกิดใหม่ หนึ่งคุณลักษณะของการบังเกิดใหม่ คือเป็นวิญญาณแห่งการเชื่อฟังพระเจ้า คืนดีกับพระเจ้า พระเจ้าว่าอะไรเออออห่อหมก พระเจ้าบอกนก ก็นก พระเจ้าบอกไม้ ก็ไม้ อะไรประมาณนั้น

แล้วเราเป็นอะไรอีก ในพระคัมภีร์เมื่อสักครู่นี้ ที่เราอ่าน เมื่อเราต้อนรับพระเยซูคริสต์ เมื่อเราสร้างชีวิตของเราบนศิลามุมเอกนี้ ในพระเยซูคริสต์ เมื่อเราเชื่อในพระเยซูคริสต์ เราได้เป็นอะไรอีก? เป็นผู้ที่ถูกแยกออกมา เป็นผู้รับใช้พระเจ้าฝ่ายวิญญาณ เป็นชนชาติบริสุทธิ์  ก็คือเป็นประชากรของพระเจ้า เป็นประชากรของสวรรค์ที่บริสุทธิ์ ปราศจากบาป ไม่มีตำหนิอะไรเลย แม้แต่นิดเดียว จึงสามารถอยู่กับพระเจ้าได้ กลับคืนดีกับพระเจ้าตลอดชั่วนิรันดร์ได้นั่นเอง

นี่เห็นไหมพระเจ้ากำลังทำอะไร? พระเจ้ากำลังพาเราไปสู่ความจริง และให้เราเรียนรู้ความจริง ให้เรารับรู้ความจริงเหล่านี้ เพื่อเป็นกำลังให้กับเรา ในการดำเนินชีวิต บนโลกใบนี้ ที่จะเผชิญกับความทุกข์ยากลำบาก เป็นเรื่องธรรมดาบนโลกใบนี้นั่นเอง ไม่ว่าจะสุขภาพ ไม่ว่าจะความลำบาก เรื่องการกิน การอยู่ ไม่ว่าอะไรก็ตาม ที่เขียนอยู่ขณะนี้ เผชิญอะไร หนักกว่าเราตั้งเยอะ เผชิญกับการข่มเหงรังแกของโรม ต้องหนีเตลิดเปิดเปิงทั้งครอบครัว ที่อยู่ที่กินไม่มีเลย บางคนถูกจับไปทรมาน จับไปให้สิงโตกิน จับไปฆ่า เพื่อความสนุกสนาน จับไปตรึงที่ไม้กางเขน เผา อะไรอย่างนั้น

แสดงว่าสิ่งที่พูดไปนี้ พระเจ้าต้องการให้คนเหล่านั้นที่อยู่ในความทุกข์ยากลำบาก ได้รับรู้ เพื่อเป็นพลังในการดำเนินชีวิตของเขาว่า …

“ทุกสิ่งอยู่ในพระหัตถ์อันทรงฤทธิ์ของเรา ไม่ต้องกลัวลูกๆ”

แล้วเราเป็นอะไรอีกในนี้บอก ในข้อพระคัมภีร์เมื่อสักครู่นี้ นอกจากนั้น เรายังเป็นพลเมืองของพระเจ้า ก็คือเป็นลูกๆ ของพระเจ้า อยู่ในครอบครัวของพระเจ้า อยู่ในสวรรคสถานแล้ว  เป็นแล้วในขณะนี้ ที่ดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ ขณะที่เราโกหก ในขณะที่เราทำอะไรไม่เหมาะสม เราก็เป็นอยู่ เป็นพลเมืองในสวรรค์ เป็นลูกๆ ของพระเจ้า เป็นแล้ว เป็นอยู่ กำลังเป็นอยู่ เป็นปุโรหิตหลวง เป็นชนชาติบริสุทธิ์ เป็นพลเมืองของพระเจ้า เป็นๆๆ เป็นอยู่ กำลังเป็นอยู่ และจะเป็นอย่างนี้ตลอดไป เอเมน พอเรารู้อย่างนี้แล้ว เกิดอะไรขึ้น …

“แต่ข้ารู้จักพระองค์ที่ข้าเชื่อ และเชื่อมั่นคงว่าพระองค์ทรงฤทธา

รักษาซึ่ง มอบไว้กับพระองค์ จนถึงกาลวันนั้นได้”

พอเรารู้อย่างนี้ คำว่า “รู้จัก” หมายถึงเรารู้พวกนี้ทั้งหมดเลย เปาโลรู้อย่างนี้ เปาโลจึงบอกได้ว่าแต่ข้ารู้จักพระเจ้าที่ข้าเชื่อ ข้ารู้จักพระองค์ที่ข้าเชื่อ สิ่งเหล่านี้ เปาโลเรียนรู้หมดแล้ว ในโลกวิญญาณว่าเป็นอะไรบ้าง? 3 เป็นเลย คือ …

  1. เมื่อเชื่อแล้ว เป็นประชากรของพระเจ้า ที่พระเจ้าเลือกสรร ก็คือเป็นผู้ที่เชื่อในพระเจ้า เชื่อในพระเยซูคริสต์
  2. เมื่อเชื่อแล้ว กลายเป็นปุโรหิตหลวง
  3. เมื่อเชื่อแล้ว กลายเป็นชนชาติบริสุทธิ์ของพระเจ้า เป็นพลเมืองของพระเจ้า

สรุปรวม คือกลายเป็นพลเมืองของพระเจ้า ทั้ง 3 อันนี้ เกิดขึ้นจากการต้อนรับข่าวประเสริฐ ข่าวดีของพระเยซู ต้อนรับว่าพระเยซูคริสต์เป็นพระมาซีฮาห์ เป็นศิลามุมเอก ไม่ปฏิเสธ แต่ยอมรับ และมาสร้างชีวิตของเราทั้งหลาย สร้างชีวิตของฉันบนศิลานี้ พระเจ้าตรัส เผยพระวจนะไว้ …

“บนศิลานี้ เราจะสร้างคริสตจักรของเรา และความตายจะไม่มีอำนาจ ไม่มีชัยเหนือคริสตจักรนี้ได้” เอเมนไหม?

คริสตจักร ก็คือวิหารของพระเจ้า ทางฝ่ายวิญญาณ  บนศิลานี้ คือศิลามุมเอก คือพระเยซูคริสต์นี้ และตอนนี้เราสร้างชีวิตเราบนไหน? ถามตัวเองดู ถ้าเราสร้างบนศิลามุมเอกนี้ บนพระเยซูคริสต์นี้ เราก็ได้เป็นอย่างนี้ ตามที่เราได้เรียนรู้ไปแล้ว ที่พระเจ้าบอกเราในโลกวิญญาณว่าเราเป็นใครแล้วในพระเยซูคริสต์ เราได้มาอาศัยอยู่ในพระเยซูคริสต์แล้ว เราไม่ได้อาศัยอยู่ที่เดิม คืออยู่ในอาดัมอีกต่อไป เรามาอาศัยอยู่ในพระเยซูคริสต์ เรามาอาศัยอยู่ในอาณาจักรแห่งแสงสว่างแล้ว เราไม่ได้อยู่ในอาณาจักรของความมืดเดิมแล้ว ถูกย้ายมาเรียบร้อยแล้ว เราไม่ได้กำลังสร้างบ้านของเรา บนตัวเราเอง บนความชอบธรรมของเราเอง ซึ่งไปไม่รอด บนความดีงามของเรา ที่เราจะกระทำเอง ซึ่งไปไม่รอด แต่เรากำลังสร้างชีวิตของเราอยู่ในพระเยซูคริสต์ ซึ่งรอดแล้ว

และในข้อความเมื่อสักครู่นี้ที่บอกว่าที่เราเป็นทั้งหมดนี้ เพื่ออะไร? เพื่อให้ท่านทั้งหลายประกาศพระบารมี เพื่อให้ท่านทั้งหลายสำแดงพระบารมีของพระองค์ ผู้ได้ทรงเลือกท่านทั้งหลาย ให้ออกจากอาณาจักรแห่งความมืด เข้ามาสู่อาณาจักรแห่งแสงสว่างมหัศจรรย์ของพระองค์ นี่คืองานของเรา

ตะกี้นี้บอกว่าเราถูกเลือกมา และเราอยู่ไหนตอนนี้ เราเป็นใครในพระเยซูคริสต์ อันนี้บอกถึงงานของเราว่าดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้แล้ว งานของเราทำอะไร? พระเจ้าต้องการอะไร? เพื่อท่านจะได้แสดง คือการประกาศ โดยชีวิตของท่าน ไม่ใช่แค่คำพูดอย่างเดียว ประกาศพระราชกิจอันยิ่งใหญ่ของพระองค์ นี่คือชีวิตของเราทั้งหลาย ที่เราดำเนินอยู่บนโลกใบนี้ว่าเราเป็นอะไร? และงานของเรา คือสำแดงการงานอันมหัศจรรย์ของพระองค์

การงานมหัศจรรย์ของพระองค์ คือสิ่งที่พระองค์ทรงกระทำแล้ว ตอนที่เราได้บังเกิดใหม่ สิ่งอัศจรรย์ที่พระองค์ทรงกระทำแล้วให้กับมนุษย์ทั้งปวง ตอนที่พระเยซูคริสต์ได้ตายที่ไม้กางเขน หลั่งพระโลหิต ถูกฝังไว้ในอุโมงค์ และวันที่  3 ได้เป็นขึ้นจากความตาย นั่นแหละ คืออัศจรรย์

พระราชกิจอันอัศจรรย์นี้ คือสิ่งที่ทำให้ท่านได้บังเกิดใหม่ การงานของข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์ ที่ไม้กางเขน การตายที่ไม้กางเขน การเป็นขึ้นจากความตาย เพื่อมนุษย์ทุกคนจะได้รับความรอดนั้น เป็นการอัศจรรย์ ที่ทำให้มนุษย์ทุกคนได้บังเกิดใหม่ ได้เป็นผู้ชอบธรรมของพระเจ้า ได้เป็นลูกของพระเจ้า ที่สะอาดบริสุทธิ์แล้ว เมื่อได้เป็นอย่างนั้นแล้ว ก็ประกาศความยิ่งใหญ่ อัศจรรย์ของพระเจ้า ที่ได้ทำให้ท่านได้บังเกิดใหม่แล้ว ทำให้ท่านย้ายออกจากความมืด เข้ามาสู่ความสว่างอันอัศจรรย์ของพระองค์แล้ว ท่านก็มีชีวิตอยู่อย่างนั้น มันเป็นอยู่ในตัวท่านอยู่แล้ว ท่านไม่ต้องทำอะไรเลย พูดง่ายๆ เพราะมันเป็นอยู่แล้ว ไปที่ไหน? อยู่ที่ไหน? ก็ประกาศด้วยชีวิต

ประกาศด้วยชีวิต คือให้เห็นว่าชีวิตของเรา เป็นชีวิตอัศจรรย์ ที่พระเจ้าทำให้บังเกิดใหม่ เป็นลูกของพระเจ้าแล้ว อยู่ในความสว่างแล้ว

และทุกคนก็ถามว่าประกาศด้วยชีวิตหมายถึงอย่างไร? หมายถึงไม่ต้องทำอะไร ต่อไปนี้ มารับใช้พระเจ้าอย่างเดียว ตามที่เราคิดกันหรือ? มาที่โบสถ์อย่างเดียว มีงานประกาศอย่างเดียว ไม่สนใจโลกนี้เลย อะไรต่างๆ เหล่านั้นหรือไม่? เรามาสังเกตดู ประกาศด้วยชีวิต คืออย่างไร? ต้องทำอย่างไร? คำตอบ ก็คือไม่ต้องทำอะไรเลย ด้วยตัวเอง เพราะว่าพระองค์จะทรงกระทำเอง พระองค์ทรงอยู่ในเรา พระองค์จะเป็นผู้นำพาเราเอง  และพระองค์เตรียมแผนการดีๆ ไว้ให้กับเรา ซึ่งเราไม่รู้ด้วยว่าวิธีใด? เตรียมไว้อย่างไร? เราไม่รู้ แต่ที่เรารู้ ก็คือ …

“แต่ข้ารู้จักพระองค์ที่ข้าเชื่อ และเชื่อมั่นคงว่าพระองค์ทรงฤทธา

รักษาซึ่ง มอบไว้กับพระองค์ จนถึงกาลวันนั้นได้”

ชีวิตต่อไปที่มอบไว้กับพระองค์ ใครนำพาเรา? นี่แหละ นี่เปาโลเป็นผู้พูด เพราะฉะนั้น จะนำด้วยวิธีใด? ขณะนี้เราไม่รู้ แต่รู้ว่าพระองค์ทรงนำอยู่ ให้เราไปก็แล้วกัน เพราะเราเชื่อในพระองค์ เรารู้จักพระองค์ ที่เราเชื่อแล้ว รู้จักมาก ก็วางใจได้มาก รู้จักน้อย ก็วางใจได้น้อย บางคน พระองค์เลือกให้ประกาศเหมือนเปาโล ออกไปตระเวน ประกาศโน่นประกาศนี่ ฟันฝ่าอุปสรรค ต้องเผชิญกับการข่มเหงรังแกถึงชีวิต ตามฆ่า ตามล่า ทุกข์ทรมานติดคุกอะไรอย่างนี้ บางคนอาจจะถูกเรียกมา พระเจ้าจะนำให้ทำอย่างนี้ก็ได้ คือประกาศ แต่ปุโรหิตบางคน พระเจ้าเลือกมา เป็นลูกพระเจ้าแล้ว ถูกแยกออกมาเป็นปุโรหิต เป็นผู้รับใช้ พระเจ้าอาจจะใช้ ตรงกันข้ามกับเปาโลเลย เหมือนโจร ที่ถูกตรึงบนไม้กางเขน พร้อมพระเยซูเลย อาจจะใช้แค่นั้นเอง รับเชื่อปุ๊บ ประกาศให้เพื่อนที่เป็นโจร ที่ถูกตรึงที่ไม้กางเขนข้างๆ ประกาศพระเยซูให้เขา แค่นั้น ชีวิต และที่เหลือมีแต่คำพยานว่าแม้โจรบนไม้กางเขน ยังรอดได้ แล้วท่านเป็นใคร กลัวจะไม่รอดหรือ? โจรบนไม้กางเขนยังรอดเลย

เพราะฉะนั้น วินาทีสุดท้าย บนเตียงผู้ป่วย กำลังจะจากโลกนี้ไป ท่านยังมีโอกาส สามารถตัดสินใจ วางใจ ต้อนรับข่าวประเสริฐ ข่าวดี ต้อนรับพระเยซูคริสต์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอดได้เลย เอเมนไหม? แล้วมาจากคำพยานของใคร? คำพยานของโจรบนไม้กางเขน อยู่แป๊บเดียวเอง

ไม่ว่าจะวิธีใด ก็คือประกาศพระบารมี ประกาศความล้ำเลิศของพระองค์ ประกาศข่าวดีของพระองค์ ที่ไม้กางเขน การเป็นขึ้นจากความตาย ประกาศให้มนุษย์ทั้งหลายรู้ว่าความรอดนี้ ได้รับง่ายๆ แค่นี้เอง คือวางใจในพระเยซูคริสต์ ประกาศด้วยชีวิต คือชีวิตของพระคริสต์ ที่อยู่ในเรา คือชีวิตตัวจริงๆ ของเรา ตัวเก่าของเรานั้น มันตายไปแล้ว

เมื่อเรารู้ความจริงอย่างนี้ เราก็รู้ว่าประกาศด้วยอะไร? ด้วยชีวิต ชีวิตนี้หมายถึงชีวิตที่อยู่ข้างใน เป็นชีวิตที่เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์ ที่เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเยซู เพราะฉะนั้น เป็นชีวิตของพระเยซูที่ดำเนินอยู่ในเรา ชีวิตของเรานะ ไม่ใช่ชีวิตของพระเยซูคริสต์ ของพระเยซูก็อีกส่วนหนึ่ง แต่ชีวิตเราจริงๆ คือวิญญาณของเราจริงๆ ที่เป็นเหมือนพระเยซู นี่หมายถึงประกาศด้วยตรงนี้ ประกาศด้วยวิญญาณของเรา ที่เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์

ความหมาย ก็คือประกาศด้วยชีวิตของพระเยซูคริสต์ที่อยู่ในตัวข้าพเจ้า เปาโลก็จะพูดอย่างนี้ เพราะฉะนั้น ข้าพเจ้าจึงมีหน้าที่อย่างเดียว คือเอเมน และทำตาม ที่วิญญาณเรา เอเมนตลอด แล้วก็ทำตาม เอเมนแล้วก็ทำตาม เนื้อหนังบางครั้งมันก็ดื้อบ้าง? แต่เดี๋ยวพระเจ้าก็ให้กำลัง ให้ความรู้กับเรา เราก็จะเอเมนและทำตาม

ซึ่งในที่สุด ตามพระคัมภีร์บอกไว้ เหมือนที่เปาโลบอก เปาโลเป็นตัวอย่างได้ดี เขาเผชิญกับหลายเรื่อง ความทุกข์ยากลำบาก เปาโลบอกว่าในที่สุด พระองค์ก็ทำสำเร็จ ในหนังสือฟีลิปปี 1:6 เปาโลบอกว่า …

“ข้าพเจ้ามั่นใจมากเลยว่าพระเจ้าผู้ทรงเริ่มต้นกระทำการงานดี ในพวกท่านทั้งหลายแล้ว” หมายถึงเริ่มต้นนำพาพวกท่าน และพวกท่านเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ คือเริ่มต้นทำให้ท่านบังเกิดใหม่แล้ว เมื่อท่านบังเกิดใหม่แล้ว ข้าพเจ้ามั่นใจว่าพระเจ้าผู้ทรงเริ่มต้นทำให้ท่านบังเกิดใหม่แล้ว พระองค์สามารถที่จะนำพาท่านได้ ไปสู่ความสำเร็จในการงานที่พระองค์ทรงเริ่มต้นนั้นได้

ข้าพเจ้ามั่นใจว่าพระเจ้าผู้ทรงเริ่มต้นการงานดีในพวกท่านทั้งหลายแล้ว พระองค์จะทรงสามารถกระทำต่อไปได้ จนกระทั่งสำเร็จ จนกว่าจะถึงวันพระเยซูคริสต์จอมเจ้านาย ก็คือจนกว่าจะถึงวันพระเยซูคริสต์กลับมา หรือเรากลับไปหาพระองค์นั่นเอง

คืออย่างไรพระองค์ก็ทำสำเร็จ วางแผนการไว้แล้ว เพราะฉะนั้น จงหายเหนื่อยและเป็นสุขเถิด แผนการของพระเจ้าต้องสำเร็จ เพราะพระเจ้าผู้เริ่มต้นการงานดีในเรา พระองค์จะทรงกระทำต่อไปจนสำเร็จ  โดยพระองค์เอง ไม่ใช่โดยกำลัง หรือความพยายามของเรา เพราะว่าพระเจ้าสถิตในเรา เป็นความหวังแห่งพระสิริ พระเยซูคริสต์สถิตในเรา เป็นผู้นำพาชีวิตของเราทุกลมหายใจ …

1 เปโตร 2:10 “เมื่อก่อนท่านทั้งหลายไม่มีชาติ แต่บัดนี้ท่านเป็นชนชาติของพระเจ้าแล้ว เมื่อก่อนท่านทั้งหลายหาได้รับพระกรุณาไม่ แต่บัดนี้ ท่านได้รับพระกรุณาแล้ว”

 

แต่ก่อนนี้ท่านไม่ได้เป็นคนของพระเจ้า ท่านอยู่ในอาดัม ตอนนี้ท่านอยู่ในพระเยซู เห็นภาพง่ายๆ แต่ก่อนนี้ เราอยู่ที่ไหนไม่รู้ เราไม่ได้อยู่ในเมืองไทย ตอนนี้เราอยู่ในเมืองไทยแล้ว จะเห็นภาพไหม? ตอนนี้ท่านเป็นคนของพระเจ้าแล้ว แต่ก่อนนี้ท่านอยู่ในอาดัม อยู่ในความพินาศ “พินาศ” ถ้าตามภาษาบ้านๆ คืออยู่ในนรกนั่นเอง

ก่อนนี้ หมายถึงก่อนที่ท่านจะเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอด ท่านอยู่ในความพินาศ อยู่ในนรก ในอาดัม ในความบาป แต่เดี๋ยวนี้ ท่านเชื่อแล้ว ท่านวางใจในพระเยซูคริสต์แล้ว เป็นลูกพระเจ้าแล้ว ท่านได้รับความรอด ได้รับชีวิตนิรันดร์อยู่ในพระเจ้า อยู่ในพระเยซูคริสต์ อยู่ในสวรรค์กับพระองค์แล้ว

ตรงกันข้ามกัน แต่ก่อนนี้ ตอนที่ยังไม่ได้อยู่ในพระเยซูคริสต์ ตอนที่ท่านยังไม่ได้เชื่อในพระเจ้า ท่านอยู่ในความพินาศ อยู่ในนรก ไม่ได้รับพระคุณ ความเมตตาของพระเจ้า ทั้งๆ ที่พระองค์ทรงกระทำสำเร็จแล้ว แต่ท่านไม่เอาเอง แต่ตอนนี้ท่านเชื่อแล้ว ก็เท่ากับว่าท่านรับเอาความเมตตาของพระเจ้า เข้ามาในชีวิตแล้ว มันหมายความว่าอย่างนี้ พระคัมภีร์เมื่อตะกี้นี้ที่เราอ่าน

ไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่าพระเจ้าจะเลือกใคร? หรือไม่เลือกใคร? เลือกหมดทุกคน แต่ขึ้นอยู่กับคนๆ นั้นเอง ครั้งหนึ่งท่านเคยไม่เชื่อ ก็ไม่ได้รับความเมตตา แต่พระเจ้าอยากให้ความเมตตาอย่างนั้นกับท่านไหม? ขอร้องท่าน รับไว้เถอะ ให้แล้วด้วย ผ่านทางพระเยซูคริสต์ที่ตายแล้วที่ไม้กางเขน และเป็นขึ้นจากความตายแล้ว ที่ไม้กางเขน แต่ท่านไม่รับเอาไง พระเจ้าให้หรือเปล่า? ให้แล้ว แต่ท่านไม่เอาเอง แต่มาตอนนี้ ท่านยอมแล้ว ท่านบอกเอาก็ได้ ท่านเปิดใจรับเอาของขวัญนั้น รับเอาความเมตตา ความรักจากพระเจ้า ท่านก็ได้รับความเมตตาแล้วนั่นเอง นี่กำลังพูดถึงข้อพระคัมภีร์ 1เปโตร 2:10 ตรงนี้

เพราะฉะนั้น สรุปในวันนี้ ก็คือพระเจ้าต้องการให้เรารู้ว่าเราเป็นใครในโลกวิญญาณ ตัวนี้สำคัญมาก เป็นสาระสำคัญที่สุดเลยของข่าวประเสริฐ ในการดำเนินชีวิตในพระเยซูคริสต์ ที่จะเต็มไปด้วยสันติสุข เพราะว่าเมื่อเราเชื่อในพระเยซูคริสต์แล้ว ถ้อยคำความจริงเหล่านี้ ที่บอกว่าเราเป็นใครในพระเยซูคริสต์แล้ว ในโลกฝ่ายวิญญาณ เป็นน้ำนมฝ่ายวิญญาณอันบริสุทธิ์ ที่ในหนังสือ 1 เปโตรได้บอกไว้ว่าเป็นน้ำนมฝ่ายวิญญาณ อันบริสุทธิ์ ที่ผู้เชื่อทั้งหลายจะดื่มกิน รับรู้ทุกวันๆ เพื่อจะได้เจริญเติบโต เข้าสู่ความไพบูลย์ในพระคุณความรอด และสันติสุขในพระเยซูคริสต์ ที่ได้รับมาแล้วนั้น เกินกว่าความคิดของมนุษย์ที่จะเข้าใจ เพื่อที่จะเข้าไปสู่พระคุณ สันติสุข และความรัก ความเมตตาของพระเจ้า ให้มันล้นออกมา ถ้าได้ความจริงมากเท่าไร? เราก็จะล้นด้วยพระคุณมากเท่านั้น ถ้าได้ความจริงมากเท่าไร? เราก็จะเต็มไปด้วยสันติสุขมากเท่านั้น เพราะฉะนั้นอะไรสำคัญ  ความจริง คือน้ำนมฝ่ายวิญญาณจึงสำคัญ

น้ำนมฝ่ายวิญญาณ คือให้เรารู้ว่าพระเจ้าบอกเราในพระคัมภีร์ บอกเราด้วยตัวของพระองค์เองว่าเราเป็นใครแล้วในพระเยซูคริสต์นั่นเอง และเราสามารถเชื่อและวางใจในพระองค์ได้มากขึ้นๆ เรื่อยๆ จากความรู้ความจริงเหล่านี้ เราสามารถเชื่อและวางใจในพระองค์ ผู้ทรงสถิตอยู่ในเราตลอดเวลา วางใจได้ในทุกสถานการณ์ของชีวิต จนกว่าจะถึงกาลวันนั้น และจนกระทั่งถึงนิรันดร์ พระเจ้าอวยพรครับ

 

********************

 

จากใจคณะศิษยาภิบาล

 

ข่าวดี คือพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด ที่พระเจ้าส่งมาบนโลกใบนี้ พระองค์ทรงตายที่ไม้กางเขน ฝังไว้ในอุโมงค์ และวันที่ 3 พระองค์ทรงเป็นขึ้นจากความตาย ถ้าท่านเชื่อและรับข่าวดีนี้ ซึ่งคือความจริงนี้นั่นเอง ความจริงนี้ได้เกิดขึ้นในโลกวิญญาณแล้ว เป็นจริงๆ ตามนี้ ใครที่เชื่อ ก็จะได้รับการเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ ที่สำคัญที่สุด ในตัวตนแท้จริงในวิญญาณ และจิตใจข้างในของท่านเปลี่ยนแปลงทันทีที่ท่านเชื่อ คือได้บังเกิดใหม่เหมือนพระเยซู เริ่มต้นชีวิตใหม่อัศจรรย์ที่ท่านสามารถพิสูจน์ได้ด้วยตนเอง

 

ถ้าท่านใช้สิทธิของท่านตรงนี้ ผล ก็คือท่านจะได้ไม่ต้องดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ตามลำพังคนเดียว มีความหวังแบบลมๆ แล้งๆ อีกต่อไป ไม่ต้องหวาดกลัว วิตกกังวลว่าจะทำอย่างไร? จะไปอย่างไรดี? ตายแล้วจะไปไหน? วันนี้จะเกิดอะไรขึ้น? ไปดูดวง? กังวลเรื่องอนาคต มันไม่มีความหวังอะไรเลย ไม่มีเป้าหมายอะไรเลย

 

ท่านจะมีพระเจ้าผู้สร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก ผู้ทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งหลาย สถิตอยู่กับท่าน เป็นผู้พาท่าน นำท่าน จูงมือท่าน เดินอยู่บนโลกใบนี้เลยทีเดียว ทันทีเลย ท่านไม่ต้องเดินคนเดียวอีกต่อไป ความหวังทั้งหลายก็อยู่ในพระองค์ และท่านสามารถพิสูจน์ได้ด้วยทันที ในการดำเนินชีวิต ตั้งแต่ชั่วโมงแรก หรือวินาทีแรก ที่ท่านเปิดใจเชื่อข่าวดีนี้

 

การเป็นขึ้นจากความตาย คือการบังเกิดใหม่ของพระเยซูคริสต์ หลังจากตายที่กางเขนและถูกฝังไว้ในอุโมงค์เป็นรากฐานที่สำคัญที่สุดของข่าวดี ซึ่งส่งผลให้มนุษย์ที่เชื่อทุกคน ได้เข้าสู่ขบวนการการเป็นขึ้นจากตาย และการบังเกิดใหม่ เป็นผู้ชอบธรรมที่ครบถ้วนบริบูรณ์ บริสุทธิ์สะอาดหมดจด ตามที่พระเจ้าวางแผนไว้ล่วงหน้าแล้ว หลายๆ พันปี ด้วยความรักมนุษย์อย่างมากมาย เพื่อว่าท่านจะได้เป็นขึ้นมาใหม่และพระเจ้าจะได้มาสถิตอยู่กับท่าน เดินกับท่านในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ เดี่ยวนี้ จนกระทั่งถึงหลังความตาย จนกระทั่งถึงนิรันดร์

 

หลายท่านยังไม่ได้ใช้สิทธิของท่านในพระเยซูคริสต์ ที่พระเจ้าได้กระทำให้ โดยเฉพาะในสถานการณ์อย่างนี้ ท่านจะพึ่งใคร? ท่านจะพึ่งวัคซีนหรือ? หรือจะพึ่งรัฐบาล? หรือท่านจะพึ่งเงินที่ท่านมีอยู่เยอะแยะล้นฟ้า? หรือจะพึ่งใคร? ในเรื่องเหล่านี้ทั้งหมด มันเป็นปัญหาที่ยุ่งยากวุ่นวายไปหมด ซึ่งในอดีตมีเรื่องราวที่เป็นอุปสรรคในการดำเนินชีวิตของมนุษย์มากกว่านี้อีกเยอะแยะ แล้วเขาพึ่งใครกัน? เขาถึงจะได้รับความรอด ดำเนินมาถึงทุกวันนี้ เราไปดูในอดีตได้ ก็พึ่งในพระเจ้า ผู้ทรงนำพาเขาได้

 

นี่แหละ เราต้องพึ่งในพระเจ้าในขณะนี้ จะกิน จะอยู่ จะดำเนินชีวิตอย่างไร? ด้วยความหวาดกลัวอย่างนี้ต่อไปหรือ? เฉพาะแค่เหตุการณ์ในตอนนี้ แค่นี้ก็เพียงพอแล้ว ที่จะน่าเปิดใจต้อนรับข่าวประเสริฐนี้ เข้ามาใช้สิทธิของท่าน ในพระเยซูคริสต์ที่พระเจ้าได้กระทำให้ท่าน เพื่อท่านจะได้ไม่ต้องเดินคนเดียวอีกต่อไป แต่มีพระเจ้าสถิตอยู่กับท่าน

 

ถ้อยคำพระเจ้าบอกว่าถ้าปราศจากการบังเกิดใหม่ของพระเยซู คือการเป็นขึ้นจากความตาย ความเชื่อของเหล่าผู้ที่เชื่อในพระเยซูหรือเชื่อในพระเจ้า ก็ไร้ประโยชน์ เพราะว่าพระเยซูตรัสว่าผู้ที่จะเข้าสวรรค์ได้นั้น ต้องบังเกิดใหม่ ดังนั้น พระเจ้าจึงได้ชุบพระเยซูให้เป็นขึ้นจากความตาย บังเกิดใหม่ เพื่อเราทั้งหลาย มนุษย์ทั้งปวงจะได้เป็นขึ้นจากความตาย บังเกิดใหม่ด้วยกันกับพระองค์

 

1 โครินธ์ 15:20-22 “20 แต่นี่ทรงให้พระคริสต์เป็นขึ้นจากตายจริงๆ เป็นผลแรกของบรรดาผู้ที่ล่วงลับไป 21 เพราะในเมื่อความตายสืบเนื่องมาจากมนุษย์คนเดียว การเป็นขึ้นจากตาย ก็สืบเนื่องมาจากมนุษย์คนเดียวเช่นกัน 22 เพราะว่าในอาดัม คนทั้งปวงตายฉันใด ในพระคริสต์ คนทั้งปวงจะได้รับชีวิต บังเกิดใหม่ เหมือนพระองค์ฉันนั้น”

 

พระเจ้าอวยพรครับ

 

 

วารสาร Holy News ฉบับที่ 1365

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  15  พฤษภาคม  2022

เรื่อง “การปลอบประโลมจากพระเจ้า  ท่ามกลางความทุกข์ยากลำบาก”

ตอน 6 “พระเยซูคริสต์เป็นเช่นไร เราก็เป็นเช่นนั้นด้วย”

โดย นคร  เวชสุภาพร

 

เรากลับมาที่คำบรรยาย เรื่อง “การปลอบประโลมจากพระเจ้า ท่ามกลางความทุกข์ยากลำบาก” วันนี้ตอนที่ 6 ชื่อตอนว่า “พระเยซูคริสต์เป็นเช่นไร เราก็เป็นเช่นนั้นด้วย”

ทบทวนครั้งที่แล้วนิดหนึ่ง ตอนที่ 5 “จงทิ้งเสื้อเก่า และสวมเสื้อใหม่ซะ” ประเด็นหลักที่เราเรียนรู้กันไป ก็คือเมื่อเราได้ทราบความจริง ในโลกวิญญาณว่าตัวตนแท้จริงของเรานั้นเป็นใคร? เป็นอย่างไร ในพระเยซูคริสต์  เราได้รับการบังเกิดใหม่แล้วอย่างไร? ดังนั้น ก็จงทำตัวให้สมกับฐานะใหม่ที่เราได้รับมาแล้วในทางวิญญาณ คือฐานะของการเป็นลูกของพระเจ้า ที่บริสุทธิ์สะอาด ดีพร้อมนั่นเอง อะไรที่เป็นความคิดเดิมๆ ความประพฤติเดิมๆ ซึ่งเปรียบเสมือน เสื้อผ้าเก่าๆ ก็ให้ถอดทิ้งซะ กำจัดมันออกไป ทิ้งให้หมดเลย แล้วเปลี่ยนมาสวมเสื้อใหม่ให้มันสมฐานะของลูกของพระเจ้าสักหน่อย แต่อย่างไรก็ตาม สิ่งสำคัญที่สุด ต้องจำเอาไว้เลย  เพราะเรื่องเมื่อสักครู่นี้ ก็เป็นความนึกคิดของมนุษย์ทั้งหลายที่ต้องการทำอยู่แล้วล่ะ ไม่อยากทำสิ่งที่ไม่ดีหรอก อยากทำสิ่งที่ดี สิ่งที่ไม่ดี ก็คือเสื้อเก่า ไม่มีใครอยากไปใส่เสื้อเก่า อยากจะใส่เสื้อใหม่ทั้งนั้น

คราวนี้ ถ้อยคำพระเจ้าก็มาเน้นให้ว่าเราเป็นลูกพระเจ้าแล้ว เรายิ่งควรที่จะสำนึก หรือคอยคิดดูเรื่องความจริงเรื่องนี้อีกทีหนึ่งว่าเราควรถอดเสื้อเก่าอย่างไร? คราวนี้ถ้าเผื่อเราไม่มีตรงนี้ เป็นข่าวประเสริฐแห่งพระคุณของพระเจ้ามาเป็นความจริง ที่เราจะสวมเอาไว้ในจิตใจของเราแล้ว จะทำให้เขวไป เขวไปที่ไหน? เมื่อเราสวมเสื้อใหม่ พยายามทิ้งเสื้อเก่า แล้วมันทิ้งไม่ได้หมด แล้วทำอย่างไรล่ะ  เราก็เขวว่าเราจะไม่ได้รับความรอด พระเจ้าไม่ให้อภัยเรา ซึ่งมันไม่ใช่อย่างนั้นเลย เราสรุปเมื่อครั้งที่แล้วว่าแม้ว่าพระคัมภีร์จะบอกเรา เน้นให้เรา สอนให้เราเชื่อพระเจ้าแล้ว เป็นลูกของพระเจ้าแล้ว ก็ควรจะสวมเสื้อใหม่

“เสื้อใหม่” ก็คือความประพฤติเก่าๆ ทิ้งไปซะ มีความประพฤติใหม่ที่สมกับเป็นลูกของพระเจ้า ซึ่งก็เป็นจริงอย่างนั้น

อย่างไรก็ตาม เมื่อสอนอย่างนั้นแล้ว พระคัมภีร์ก็ยังบอกต่อไป ซึ่งเราเรียนรู้แล้ว จากตอนที่แล้วว่าเสื้อ ก็คือความประพฤติ ไม่มีผลอะไรกับการกำเนิดเกิดมาเป็นมนุษย์ ฉันใด ความประพฤติ ก็ไม่มีผลอะไรกับการกำเนิดเกิดมาเป็นลูกของพระเจ้าที่บริสุทธิ์ สะอาด ดีพร้อม ฉันนั้น จำได้ใช่ไหม? ตรงนี้สำคัญมาก  นี่คือหัวใจของข่าวประเสริฐเลย คือไม่ว่าจะทำอะไรก็ตาม เราได้รับความรอดในโลกวิญญาณแล้ว ซึ่งมันก็เข้าใจยากนะ

“เสื้อไม่ได้มีผลอะไรกับการกำเนิดเกิดมาเป็นมนุษย์ฉันใด ความประพฤติก็ไม่มีผลอะไรกับการกำเนิดเกิดมาเป็นลูกพระเจ้าที่บริสุทธิ์ ดีพร้อมฉันนั้น”

และเมื่อเราได้บังเกิดใหม่ เป็นลูกพระเจ้าแล้ว ก็เป็นเหมือนทารกของพระเจ้า  ที่ต้องการน้ำนมฝ่ายวิญญาณอันบริสุทธิ์ เพื่อให้เจริญเติบโตขึ้นทางฝ่ายวิญญาณ  เราได้เรียนรู้กันไปเมื่อตอนที่แล้ว

น้ำนมฝ่ายวิญญาณอันบริสุทธิ์ ก็คือถ้อยคำแห่งพระคุณ ถ้อยคำที่เป็นความจริงแท้ๆ เกี่ยวกับข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์ ที่ไม่มีการปลอมปน ไม่ผสมความคิดและสติปัญญาการเรียนรู้ของมนุษย์เข้าไปอยู่ในนั้นเลย คือไม่ใช่ความคิดและเหตุผลของมนุษย์เลย พระคัมภีร์จึงเตือนให้เราระวังน้ำนมฝ่ายวิญญาณปลอม ก็คือข่าวประเสริฐปลอม ซึ่งจะทำให้เราไม่โต เป็นคริสเตียนแกน ดังนั้น เราต้องทำอะไร? นอกจากพยายามที่จะถอดเสื้อเก่าทิ้งแล้ว ยังยอมให้เราทำอะไร? แสวงหา ดื่มน้ำนมอันบริสุทธิ์ ก็คือถ้อยคำแห่งความจริงของข่าวประเสริฐแห่งพระคุณของพระเจ้า ที่ปราศจากการเจือปนเท่านั้น ที่เราต้องการ ซึ่งก็คือถ้อยคำของพระเจ้าที่เกี่ยวกับข่าวดีของพระเยซูคริสต์ ข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์ ต้องเป็นข่าวประเสริฐแห่งพระคุณ คือถ้อยคำที่บอกว่าเราเป็นใครแล้วในพระเยซูคริสต์ เราเป็นใคร? ไม่ใช่แค่นั้นเอง แต่เราเป็นใครแล้วในพระเยซูคริสต์ ไม่ใช่เราจะเป็นใครในพระเยซูคริสต์ หรือในพระเยซูคริสต์เราจะได้เป็นอะไร? ไม่ใช่ แต่ให้เราศึกษาถ้อยคำที่บอกว่าเราเป็นใครเรียบร้อยแล้วในพระเยซูคริสต์ ซึ่งเราก็ได้ยกตัวอย่างแล้วเยอะแยะ วันนี้เรายกตัวอย่างอีกนิดหนึ่ง น้ำนมฝ่ายวิญญาณอันบริสุทธิ์ ถ้อยคำข่าวประเสริฐแห่งพระคุณของพระเจ้าในพระเยซูคริสต์ ก็คือข่าวดีแห่งพระคุณอันบริสุทธิ์ ไม่มีเจือปน แต่น้ำนมที่ปลอมปน ก็คืออะไรก็ตามที่ขัดแย้งกับความจริงแห่งข่าวดีแห่งพระคุณนี้ แค่นั้นเอง อะไรที่มันแย้งกับข่าวดีแห่งพระคุณ ก็คือไม่ดี หรือข่าวดีของปลอมนั่นเอง

ยกตัวอย่างพระเยซูคริสต์ เป็นพระบุตรของพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์ และตายที่ไม้กางเขน  เพื่อชำระล้างบาปให้กับมนุษย์ทั้งปวง อันนี้ข่าวดีไหม? ข่าวดี แล้วถ้าข่าวไม่ดีล่ะ ข่าวไม่ดี ก็จะแย้งกับเมื่อสักครู่นี้

ยกตัวอย่างพระเยซูคริสต์ เป็นพระบุตรของพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์ พระเยซูคริสต์ไม่ใช่บุตรของพระเจ้าหรอก เป็นศาสดาที่เป็นคนดีเท่านั้นเอง  เป็นมนุษย์คนหนึ่งที่ดี  เห็นไหม? แย้งไหม? เชื่อในพระเยซูไหม? เชื่อ ฟังดูเหมือนข่าวดีไหม? เหมือน แต่มันปลอม เห็นไหม?

แล้วมีอะไรอีก พระเยซูคริสต์เป็นพระบุตรของพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์และตายที่ไม้กางเขน

มาข่าวปลอมสิ พระเยซูคริสต์เป็นพระบุตรของพระเจ้า แต่ไม่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์หรอก เป็นวิญญาณบริสุทธิ์ ทำการงาน

พระคัมภีร์บอกเป็นมนุษย์  แต่คำสอนนี้บอกไม่ใช่มนุษย์ เห็นหรือยัง? ปลอมหรือไม่ปลอม? ปลอม

พระเยซูคริสต์เป็นพระบุตรของพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์ ตายที่ไม้กางเขน พระองค์ไม่ได้ตายที่ไม้กางเขนจริงหรอก พระองค์เป็นพระเจ้า ตายได้อย่างไร? ไม่ตายหรอก แล้วก็อ้างเหตุผลต่างๆ

นี่ยกตัวอย่างให้ฟังเยอะแยะมากมายไปหมด  เพราะฉะนั้น ข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์จริงๆ ต้องเป็นข่าวประเสริฐแห่งพระคุณตามที่ได้บันทึกเอาไว้จริงๆ พระองค์ถูกฝังไว้ในอุโมงค์ วันที่สามพระเจ้าได้ทรงชุบพระเยซูให้เป็นขึ้นจากความตาย  และตั้งให้นั่งอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้า ในสวรรค์สถาน  และเมื่อใครก็ตามที่เชื่อ ยอมรับด้วยปาก และเชื่อด้วยใจแล้ว ก็จะได้รับความรอดจากการถูกพิพากษาลงโทษ  ได้รับชีวิตนิรันดร์ในพระเยซูคริสต์ ได้รับชีวิตนิรันดร์ที่บริสุทธิ์ เหมือนพระเยซูคริสต์เลย นี่คือข่าวดี

ข่าวไม่ดี หรือข่าวปลอม อะไรก็ตามที่มันแย้งกับเมื่อตะกี้นี้ ที่ผมพูดมาสักครู่นี้  ที่ยกตัวอย่างให้ฟัง

ยกตัวอย่างเช่น ข่าวดีอีกอันหนึ่งที่บอกว่าเมื่อเรามาเชื่อในพระเยซูคริสต์ ได้รับการบังเกิดใหม่แล้ว  พระเจ้าได้ย้ายเราออกจากอาณาจักรแห่งความมืด มาสู่อาณาจักรแห่งความสว่างของพระเยซูคริสต์แล้ว ออกจากอาณาจักรของความบาป  มาสู่อาณาจักรของผู้ชอบธรรมในพระเยซูคริสต์แล้ว ทำเรียบร้อยแล้ว เป็นเรียบร้อยแล้ว ขณะที่ดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้  ทางวิญญาณเป็นอย่างนี้แล้ว  อย่าให้มีอะไรบางอย่างที่มาแย้งกับสิ่งที่เราได้รู้ความจริงนี้  ซึ่งมันก็คือน้ำนมปลอมนั่นเอง จะเห็นชัดแล้วนะ

เรามาต่อกันในวันนี้ “การปลอบประโลมจากพระเจ้า ท่ามกลางความทุกข์ยากลำบาก” ตอนที่ 6 “พระเยซูคริสต์เป็นเช่นไร เราก็เป็นเช่นนั้น”

ก่อนอื่นเลย เราอย่าลืมนะว่าเราเรียนรู้จากถ้อยคำพระเจ้าในหนังสือ 1 เปโตร บทที่ 2 ซึ่งเป็นหนังสือที่พระเจ้าปลอบประโลมใจให้กับบรรดาผู้เชื่อทั้งหลาย  ที่กำลังทนทุกข์ทรมานอย่างแสนสาหัส ต้องนึกในใจไว้ แสดงว่าสิ่งที่พระเจ้าปลอบโยนนี้ต้องเป็นสิ่งที่เป็นสาระสำคัญมาก  ที่จะทำให้ลูกๆ ของพระองค์คลายความทุกข์ลำบากบนโลกใบนี้ได้นั่นเอง

ครั้งที่แล้ว เราจบลงข้อที่ 3 วันนี้มาต่อหนังสือ 1 เปโตร 2:4 …

1 เปโตร 2:4 “ท่านทั้งหลายได้เข้ามาหาพระคริสต์แล้ว (ได้ถูกย้ายจากในอาดัม เข้ามาอยู่ในพระเยซูคริสต์ เป็นกิ่งก้านที่ถูกนำเข้ามาต่อติดกับลำต้นของพระเยซูคริสต์ เป็นศิลาที่ถูกนำมาเชื่อมต่อกับศิลามุมเอก คือพระคริสต์แล้ว)  ซึ่งเป็นศิลาที่ทรงชีวิต  ที่มนุษย์ไม่ยอมรับ  แต่พระเจ้าทรงเลือกสรรพระองค์  และถือว่าพระองค์ล้ำค่า  เป็นพระเมสสิยาห์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอด สำหรับมนุษยชาติ”

 

อย่างที่บอกไว้เมื่อสักครู่นี้ว่าพระเจ้ากำลังหนุนใจ ให้กำลังใจลูกๆ ของพระองค์ที่ดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้  ที่กำลังทุกข์ยากลำบากอย่างแสนสาหัส  สิ่งที่พระองค์แนะนำจึงเป็นสิ่งที่สำคัญมากๆ  สำหรับลูกๆ ของพระองค์ที่ดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้  ที่จะผ่านความทุกข์ยากลำบากไปได้ ซึ่งเราก็สามารถเอามาใช้ได้ด้วย

ใน 1 เปโตร สรุปเมื่อครั้งที่แล้ว บทที่ 2 ข้อ 1-3 ที่ตะกี้นี้ที่บอก ให้ทิ้งเสื้อเก่า ใส่เสื้อใหม่ แล้วให้ขวนขวายในการดื่มน้ำนมอันบริสุทธิ์ … น้ำนมฝ่ายวิญญาณอันบริสุทธิ์ ก็คือถ้อยคำแห่งความจริงของข่าวประเสริฐแห่งพระคุณของพระเจ้าใช่ไหม? แล้วก็มาถึงบอกว่าถ้อยคำแห่งความจริงนั้น จะทำให้เราเจริญเติบโต เข้มแข็งขึ้น จะได้ผ่านความทุกข์ยากลำบากไปได้ด้วยดีนั่นเอง

แล้วพอมาถึงข้อ 4 กำลังพูดถึงน้ำนมอันบริสุทธิ์นั่นแหละ คือความจริงแห่งถ้อยคำแห่งข่าวประเสริฐของพระเจ้า  ถ้อยคำแห่งพระคุณของพระเจ้า  อธิบายต่อ แนะนำให้ทิ้งเสื้อเก่า เสร็จปุ๊บ แนะนำให้ดื่มน้ำนมอันบริสุทธิ์ ก็คือถ้อยคำพระเจ้า  พอต่อมา ก็มาบอกความจริงแห่งโลกวิญญาณ ซึ่งเป็นน้ำนมอันบริสุทธิ์แห่งข่าวประเสริฐของพระเจ้าให้เราฟังว่าเมื่อเราเชื่อในพระเยซูแล้ว  เราเป็นใครแล้ว? เรามีลักษณะเป็นเช่นไรนั่นเอง  จะได้รู้แบ็คกราว์นว่าใน 1 เปโตร 2:4 ที่เราเริ่มต้นอ่านเมื่อสักครู่นี้ มาด้วยเหตุผลอย่างไร?

ซึ่งตรงนี้หมายถึงท่านทั้งหลาย เข้ามาต่อสนิทติดอยู่กับพระคริสต์ ท่านทั้งหลายได้ถูกย้ายเข้ามาอยู่ในพระคริสต์ ในโลกวิญญาณ  ซึ่งผมได้วงเล็บไว้ว่า “ได้ถูกย้ายจากในอาดัม เข้ามาอยู่ในพระเยซูคริสต์ เป็นกิ่งก้านที่ถูกนำเข้ามาต่อติดกับลำต้นของพระเยซูคริสต์ เป็นศิลาที่ถูกนำมาเชื่อมต่อกับศิลามุมเอก คือพระคริสต์แล้ว” นั่นคือในโลกฝ่ายวิญญาณ ซึ่งเดี๋ยวเราจะเรียนรู้อย่างละเอียดต่อไป

พระเยซูคริสต์บอกตอนที่ดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ ได้ประกาศถึงแผ่นดินสวรรค์ว่าท่านทั้งหลายต้องเข้าไปอยู่ในพระองค์ และพระองค์จะเข้าไปอยู่ในท่าน ก็คือท่านทั้งหลายจะต้องเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์ ท่านทั้งหลายต้องติดสนิทอยู่ในเรา  และเราจะติดสนิทอยู่ในท่าน จำได้ใช่ไหมครับ? ยอห์น 15:4-6  พระเยซูประกาศตอนที่ยังทำงานนี้ไม่เสร็จ ตอนที่ยังไม่ถูกตรึงที่ไม้กางเขน บอกความจริงในโลกวิญญาณว่าเมื่อพระองค์ทรงกระทำที่ไม้กางเขนสำเร็จแล้ว ทางฝ่ายวิญญาณ เมื่อเชื่อในพระองค์แล้ว ก็จะเป็นเช่นนั้น พระองค์ทรงช่วยมนุษย์ให้รอดพ้นจากความบาป ความพินาศด้วยวิธีใด? ยอห์น 15:4-6 …

ยอห์น 15:4-6 “4 จงมาอาศัยอยู่ในเรา (เป็นส่วนหนึ่งของเรา) และเราจะอาศัยอยู่ในพวกท่าน (เป็นส่วนหนึ่งของท่าน)  กิ่งก้านจะให้ผลตามลำพังไม่ได้  นอกจากว่าจะต่อติดอยู่กับเถาองุ่น ฉันใด  พวกเจ้าจะออกผลเองไม่ได้ นอกจาก เจ้าจะอาศัยต่อติดอยู่ในเราฉันนั้น 5 เราเป็นเถาองุ่น (ลำต้น) ท่านทั้งหลาย เป็นกิ่งก้านต่างๆ ของลำต้นนั้น  ใครก็ตามที่อาศัย (ต่อติด) อยู่ในเรา และเราอาศัย (ต่อติด) อยู่ในเขา  ผู้นั้นก็จะออกผลสมบูรณ์ดีมาก หากแยกห่างจากเรา (ไม่ได้อาศัยต่อติดในเรา) ท่านทั้งหลาย จะทำอะไร ก็ไม่เกิดผลดีเลย 6 ถ้าผู้ใดไม่อาศัยต่อติดอยู่ในเรา (แต่ยังอาศัยต่อติดอยู่ในลำต้นเดิม คืออาดัม ซึ่งตายอยู่ในบาป) เขาก็เหมือนกิ่งก้าน  ที่จะถูกโยนทิ้งให้แห้งตาย รังแต่จะมีคนเก็บไปเผาไฟทิ้ง (พินาศในบึงไฟ)

 

นี่คือน้ำนมฝ่ายวิญญาณอันบริสุทธิ์ คือถ้อยคำพระเจ้า ที่เกี่ยวกับข่าวดีแห่งพระคุณ … “แห่งพระคุณ” คือไม่ได้พึ่งพาการกระทำของมนุษย์เลย พระเจ้ากระทำผู้เดียวเลย  เราแค่เชื่อเท่านั้นเอง  และที่กำลังยกขึ้นมาให้เห็นตอนนี้ คือหัวกะทิของน้ำนมฝ่ายวิญญาณ  คือจุดสำคัญมากๆ ของข่าวประเสริฐแห่งพระคุณ ความรอดที่มาโดยพระคุณ  ความรอดที่มาโดยการเชื่อและวางใจในการกระทำของพระเยซูคริสต์ พระเยซูประกาศแผ่นดินสวรรค์ว่าคนที่จะเข้าสู่สวรรค์ได้นั้นต้องทำเช่นไร? คือเชื่อและวางใจในพระองค์

ในข้อ 4 ที่บอกว่าจงมาอาศัยอยู่ในเรา ก็คือมาเป็นส่วนหนึ่งในตัวเรา คือพระเยซู และเราจะอาศัยอยู่ในพวกท่าน เป็นส่วนหนึ่งของท่าน มาดองกัน กิ่งก้านจะให้ผลตามลำพังไม่ได้ นอกจากจะต่อติดอยู่กับเถาองุ่นฉันใด พวกเจ้าจะออกผลเองไม่ได้ นอกจากพวกเจ้าจะอาศัยต่อติดอยู่ในเราฉันนั้น ก็คือความรอด มาผ่านทางพระเยซูคริสต์เท่านั้น เราทำเองมันไม่เกิดผล

ข้อ 5 บอกว่าเราเป็นเถาองุ่น ก็คือเราคือลำต้นองุ่น ท่านทั้งหลายเป็นกิ่งก้านต่างๆ ของลำต้นนั้น ใครก็ตามที่อาศัยต่อติดสนิทอยู่ในลำต้น ก็คืออยู่ในเรา และเราอาศัยต่อติดอยู่ในเขา ผู้นั้นก็จะออกผลสมบูรณ์ดีมาก ก็ได้รับความรอด หากแยกห่างจากเรา  ไม่ได้อาศัยต่อติดในเรา ท่านทั้งหลายจะทำอะไรก็ไม่เกิดผลดีเลย ทำดี ทำอะไรต่างๆ ก็ไม่เกิดผลเลย ในการพึ่งพาความดีของตนเอง ต้องพึ่งพระเยซูคริสต์เท่านั้น

ข้อ 6 บอกว่าถ้าผู้ใดไม่อาศัยต่อติดอยู่ในเรา ก็คือยังอาศัยต่อติดอยู่ในลำต้นเดิม  คือลำต้นที่มีชื่อว่าอาดัม บรรพบุรุษของเรา ซึ่งตายอยู่ในบาป  เขาก็จะเหมือนกิ่งก้านที่จะถูกโยนทิ้งให้แห้งตาย รังแต่จะมีคนเก็บไปเผาไฟทิ้ง ก็คือพินาศในบึงไฟนรกนั่นเอง

เห็นไหม? นี่คือหัวกะทิ ข่าวประเสริฐของพระเจ้า พระเยซูคริสต์อธิบายให้ประชากรของพระองค์ มนุษย์ทั้งหลายบนโลกนี้ได้ยินได้ฟังกับตัวของพระองค์เองเลย

คราวนี้ พระองค์อธิบายต่อในเรื่องนี้ ผ่านทางเปาโล โรม 6:3-5 จำหัวกะทิได้ใช่ไหม? หัวกะทิ คือการเป็นหนึ่งเดียวกัน การเข้าไปต่อติด เข้าไปสนิท อาศัยอยู่ในพระคริสต์ …

โรม 6:3-5 “3  ท่านไม่รู้หรือว่าเราทั้งปวงที่เชื่อ (พระเยซู) ก็ได้ถูก (บัพติศมา) นำเข้าไปเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเยซูคริสต์ และได้ (บัพติศมา) เข้าส่วนร่วมในความตายของพระองค์ (ที่ไม้กางเขน) 4 ฉะนั้น  เราจึงถูกฝังไว้กับพระองค์แล้ว  โดยการได้ (บัพติศมา) เข้าส่วนร่วมในความตาย  เพื่อว่าเราเองก็จะได้มีชีวิตใหม่ (บังเกิดใหม่) เช่นเดียวกับที่ ทรงให้พระคริสต์เป็นขึ้นจากตาย (บังเกิดใหม่) โดยฤทธิ์อำนาจแห่งพระวิญญาณ และพระเกียรติสิริของพระบิดา 5 ถ้าเราได้มีส่วนร่วม เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์ในการตาย  แน่นอน เราจะมีส่วนร่วม เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์ ในการเป็นขึ้นจากตาย (บังเกิดใหม่)

 

ผมจะแปลให้ท่านจากภาษาเดิม  เพื่อท่านจะได้เห็นชัดขึ้น ข้อ 3 บอกว่าท่านไม่รู้หรือว่าเราทั้งปวงที่เชื่อ “ท่าน” ก็หมายถึงผู้เชื่อในพระเยซูคริสต์ทั้งหลาย ท่านควรจะรู้ว่าสิ่งนี้เป็นของท่าน ก็คือท่านไม่รู้หรือว่าเราทั้งปวงที่เชื่อในพระเยซู ก็ได้ถูกบัพติศมา นำเข้าไปเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเยซูคริสต์ และได้บัพติศมา เข้าส่วนร่วมในความตายของพระองค์ที่ไม้กางเขน ความหมายดั้งเดิม มันคือตรงนี้

ข้อ 4 ฉะนั้น  เราจึงถูกฝังไว้กับพระองค์แล้ว  โดยการได้บัพติศมาเข้าส่วนร่วมในความตาย  เพื่อว่าเราเองก็จะได้มีชีวิตใหม่ คือบังเกิดใหม่ เช่นเดียวกับที่ ทรงให้พระคริสต์เป็นขึ้นจากตาย คือบังเกิดใหม่ โดยฤทธิ์อำนาจแห่งพระวิญญาณ และพระเกียรติสิริของพระบิดา

บัพติศมา คือการเข้าไปมีส่วนร่วมเป็นหนึ่งเดียวกัน  บัพติศมาในพระเยซูคริสต์ ก็คือการเข้าไปมีส่วนร่วมเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเยซูคริสต์

ข้อ 5 บอกว่าถ้าเราได้มีส่วนร่วม เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์ในการตาย ก็คือถ้าเราได้บัพติศมาในพระคริสต์ เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์ในการตาย แน่นอน เราจะมีส่วนร่วม เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์ ในการเป็นขึ้นจากตาย คือบังเกิดใหม่พร้อมพระองค์ด้วย

บัพติศมา คือการเข้าส่วนร่วม เป็นหนึ่งเดียวกัน นี่คือหัวกะทิ นี่คือความจริงที่เป็นน้ำนมฝ่ายวิญญาณ ที่เกี่ยวกับข่าวดีแห่งพระคุณของพระเจ้า คือการบัพติศมามีส่วนร่วมเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเยซูคริสต์ ก็คือขบวนการบังเกิดใหม่นั่นเอง  การได้รู้จักพระเยซูคริสต์อย่างลึกซึ้งในวิญญาณ เป็นหนึ่งเดียวกัน  ส่วนความคิด ความเข้าใจนั้น รับรู้ได้ระดับหนึ่ง ค่อยๆ เจริญเติบโตไป  จากน้ำนมฝ่ายวิญญาณ ค่อยๆ เรียนรู้ไป  แต่ในทางวิญญาณ มันเกิดขึ้นเลยทันที เมื่อได้รับการบัพติศมา

บัพติศมา คือการเข้าเป็นหนึ่งเดียวกัน เข้ามาเป็นอวัยวะชิ้นหนึ่ง ในพระกายของพระคริสต์  ได้กลับมาคืนดีกับพระเจ้า สามารถเข้ามาเป็นวิญญาณเดียวกันกับพระองค์ได้ ที่พระคัมภีร์ใช้คำว่า “สามารถมาสามัคคีธรรมกับพระเจ้าได้”

สามัคคีธรรม คือต่อติดกัน รู้จักกัน นี่คือรู้จักกันสนิทมาก  สามัคคีธรรมกับใคร? สามัคคีธรรมกับพระเจ้าพระบิดา พระบุตรพระเยซู พระวิญญาณบริสุทธิ์  ท่านสามารถสามัคคีธรรมกับพระเจ้าได้ เพราะท่านได้เข้าบัพติศมาในพระองค์แล้ว มันหมายถึงอย่างนั้น

ท่านทั้งหลายบัพติศมาในพระคริสต์  ผู้ทรงเป็นพระศิลาอันทรงมีชีวิต ท่านทั้งหลาย ได้มาต่อติดสนิทกับพระคริสต์ ได้มาเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระคริสต์ ได้มาสร้างชีวิตของท่านบนศิลา คือพระคริสต์นี้

นี่คือความหมายของถ้อยคำเมื่อสักครู่นี้ ยังจำได้ไหมครับที่พระเยซูบอกว่า “ผู้ที่วางใจในพระองค์ ก็เหมือนสร้างบ้านไว้บนศิลา  เมื่อถึงวันพิพากษา คนที่สร้างบ้าน สร้างชีวิตไว้บนศิลา ก็จะคงทนอยู่ได้  แต่คนที่สร้างบ้านบนดินทราย ก็คือสร้างบ้านบนการกระทำของตนเอง  พึ่งตนเอง ก็จะไม่ผ่านการพิพากษาหลังความตายนั่นเอง  เราลองไปดูนิดหนึ่งว่าพระเยซูพูดว่าอย่างไร? มัทธิว 7:24-27 เพราะนี่เป็นเรื่องสำคัญมาก เป็นหัวกะทิ เป็นสาระสำคัญมากๆ ของข่าวประเสริฐแห่งพระคุณของพระเจ้า เป็นแกนของข่าวประเสริฐเลยก็ว่าได้ …

มัทธิว 7:24-27 “24 เพราะฉะนั้น ทุกคนที่ได้ยินคำเหล่านี้ของเรา และประพฤติตาม ก็เปรียบเสมือนผู้ที่มีสติปัญญา สร้างบ้านของตนไว้บนศิลา 25 แล้วฝนก็ตก และน้ำก็ไหลเชี่ยว ลมก็พัดปะทะบ้านนั้น  แต่บ้านไม่ได้พังลง เพราะว่ารากตั้งอยู่บนศิลา 26 แต่ทุกคนที่ได้ยินคำเหล่านี้ของเรา และไม่ประพฤติตาม ก็เปรียบเสมือนคนที่โง่เขลา สร้างบ้านของตน ไว้บนทราย 27 แล้วฝนก็ตก และน้ำก็ไหลเชี่ยว ลมก็พัดปะทะบ้านนั้น บ้านนั้นก็พังทลายลง และการพังทลายนั้น ก็ยิ่งใหญ่”

 

ข้อ 24 เพราะฉะนั้น ทุกคนที่ได้ยินคำเหล่านี้ของเรา พระเยซูบอก พระเยซูประกาศเรื่องแผ่นดินสวรรค์ ให้คนมาอาศัยอยู่ในพระองค์ ให้มาบัพติศมาในพระองค์ จำได้ใช่ไหมครับ?

เพราะฉะนั้น ทุกคนที่ได้ยินคำเหล่านี้ของเรา และประพฤติตาม  คือพระองค์กำลังบอกเรื่องสวรรค์ว่าเข้าสวรรค์ โดยผ่านทางการเชื่อและวางใจในพระเยซูคริสต์ วางใจในเราพระมาซีฮาห์  วางใจในเรา คือพระเจ้ามาช่วย วางใจในเรา คือผู้ที่พระเจ้าส่งมาเป็นพระผู้ช่วยให้รอดของท่านทั้งหลาย อย่าพึ่งการกระทำของตนเอง มันไปไม่รอดหรอก  อย่าพึ่งความชอบธรรม โดยการกระทำของตนเอง ซึ่งมันไม่ได้ครบถ้วนบริบูรณ์หรอก ทิ้งซะ อย่าไปพึ่งพาตนเองซะ มาพึ่งพาในเราเถิด คนเหล่านั้น คือคนที่ประพฤติตามที่พระองค์บอก คนที่ทำตามพระองค์บอก ก็คือพึ่งพาในพระเจ้า พึ่งพาในพระเยซูคริสต์ พึ่งพาในการกระทำของพระเยซู ก็เปรียบเสมือนผู้ที่มีสติปัญญา สร้างบ้านของตนไว้บนศิลา คือบนพระเยซูคริสต์ ในความเชื่อในพระเยซูคริสต์ เมื่อฝนตก น้ำไหลเชี่ยว ก็คือวันพิพากษาหลังความตายนั้น ก็ได้รับความรอด

ส่วนฝั่งตรงข้าม ก็คือไม่ประพฤติตาม พระองค์บอกอย่าวางใจในตนเอง อย่าวางใจในการกระทำดีของตนเอง  แต่ให้มาวางใจในการกระทำของพระเยซูคริสต์ ไม่เชื่อ ชีวิตก็ไม่ผ่าน หลังความตาย ก็ต้องถูกพิพากษา เข้าไปสู่ความพินาศ บ้านคือชีวิตก็พังทลายลง  นี่เห็นชัดเจนเลยนะ

เพราะว่าพระเยซูคริสต์ดำเนินชีวิตอยู่บนโลกนี้ และสอน คือประกาศถึงวิธีเข้าอาณาจักรสวรรค์ โดยการทิ้งความไว้วางใจในการกระทำดีของตนเอง การสร้างความดีด้วยตนเอง  แล้วหันมาพึ่งการกระทำของพระเยซูคริสต์ ที่พระองค์จะทรงกระทำที่ไม้กางเขนนั้น จนกระทั่งเป็นขึ้นจากความตายเท่านั้น

นี่คือสิ่งที่พระองค์ทรงสอน พระองค์ไม่ได้มาสอนว่าให้ทำอย่างโน้น ให้ทำอย่างนี้ ให้ทำดีอย่างนั้น พระองค์กำลังบอกว่าทำดีอย่างนั้น ทำไม่พอ ใช่มันดีจริง แต่ท่านทำไม่ได้ครบถ้วนบริบูรณ์หรอก แล้วเราก็ไปเอามาสอนว่าพระเยซูคริสต์สอนให้เราทำดี ไม่ใช่ พระองค์กำลังบอกว่าทำดีอย่างนั้น มันดี แต่ว่ามันดีไม่พอ แค่คุณไม่ได้ฆ่าคนตาย  แค่นั้นไม่พอ  เพราะว่าถ้าแค่คิด หรือแค่บ่น หงุดหงิดกับชาวบ้านเขา  แค่นั้นก็เท่ากับฆ่าคนตาย ก็คือติดบาปอยู่แล้ว เพราะฉะนั้น ท่านไม่สามารถที่จะดี ครบถ้วนบริบูรณ์เหมือนพระเจ้าได้หรอก มีทางเดียว คือต้องมาเชื่อและวางใจในพระเยซูคริสต์ จะได้บังเกิดใหม่ มาบังเกิดใหม่ซะ พูดง่ายๆ

เรากลับมาที่ 1 เปโตร 2:4 เมื่อตะกี้นี้  ท่านทั้งหลายได้เข้ามาหาพระเยซู ได้เข้ามาอยู่ในพระเยซูคริสต์ ผู้ทรงเป็นศิลาอันทรงชีวิต เห็นไหมครับ?

สาระสำคัญของข่าวประเสริฐ คือการเข้าไปอยู่ในพระเยซูคริสต์ ที่เรียกว่าบังเกิดใหม่  การเข้าไปอยู่ เรียกว่าบัพติศมา … บัพติศมา คือขบวนการการเข้าไปอยู่ในพระคริสต์ เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์ ในนี้บอกว่าเข้ามาอยู่ในพระเยซูคริสต์ผู้ทรงเป็นศิลาอันทรงชีวิต ซึ่งมนุษย์บางคนไม่ยอมรับ แต่พระเจ้าทรงเลือกสรรพระองค์ และถือว่าพระองค์ทรงล้ำค่า เป็นพระเมสสิยาห์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอด สำหรับมวลมนุษยชาติ

“ศิลา” ก็หมายถึงพระเยซูคริสต์ ที่มนุษย์บางท่านไม่เชื่อว่าพระองค์เป็นพระบุตรของพระเจ้า  ที่พระเจ้าได้แต่งตั้งให้เป็นพระมาซีฮาห์

“พระมาซีฮาห์” แปลว่าพระผู้ถูกแต่งตั้งให้มาช่วยมนุษย์ให้รอดพ้น จากความพินาศในนรก มันแปลว่าอย่างนี้  พระเมสสิยาห์ แปลเป็นภาษาไทยว่า พระเยซูคริสต์ พระมาซีฮาห์ ก็คือพระเยซูคริสต์นั่นเอง พระคริสต์ คือพระมาซีฮาห์ ก็หมายถึงพระเยซูคริสต์ พระคริสต์ที่กำเนิดบนโลกใบนี้ ใช้ชื่อว่าพระเยซู หรือชื่อว่าเยซู แต่ทรงเป็นพระคริสต์ด้วย  ก็เลยมีพระนามเต็มๆ ว่าพระเยซูคริสต์

มนุษย์ไม่ยอมรับพระองค์ว่าเป็นพระเจ้า  เป็นพระผู้ช่วยให้รอด เป็นพระมาซีฮาห์  แต่พระเจ้าได้เลือกสรร กำหนดพระเยซูคริสต์ คือพระบุตรของพระองค์ให้กับมนุษยชาติเรียบร้อยแล้วว่าจะมาเป็นผู้ช่วยให้มนุษย์รอดพ้นจากความพินาศในนรก ช่วยมนุษย์ให้พ้นจากความบาป ความตายในนรกนั่นเอง แล้วพระองค์ก็ทรงกระทำสำเร็จแล้ว ที่ไม้กางเขน  ที่เราได้เรียนรู้กันไป

ลองคิดดูนะ นี่มาถึงข้อที่ 4 ของ 1 เปโตรบทที่ 2 เราสังเกตดูว่าวิธีการปลอบใจของพระเจ้า  ที่ปลอบใจลูกๆ ของพระองค์  ที่อยู่ในความทุกข์ทรมาน  ที่แสนสาหัส  อย่างประชากรของพระองค์ที่พูดถึงในหนังสือเล่มนี้  ที่เรากำลังเรียนรู้นี้  ท่านคิดดูสิว่าพระองค์ทรงปลอบใจ ลักษณะเช่นไร? ก็คือชี้ให้เห็นว่าในโลกฝ่ายวิญญาณ …

“ลูกเอ๋ย ลูกเป็นใครในพระเยซูคริสต์ พ่อได้ทำอะไรให้เจ้าเรียบร้อยไปแล้วบ้างในโลกวิญญาณ ตัวเป็นๆ จริงๆ ของเจ้า เป็นวิญญาณนั้นอยู่ที่ไหนขณะนี้ เป็นหนึ่งเดียวกับเรา เราสถิตอยู่กับเจ้า เจ้าอยู่ในเรา  เราเป็นหนึ่งเดียวกัน เจ้ามีคุณค่าขนาดไหน? เจ้ารอดแล้ว ทุกอย่างทำให้สำเร็จเรียบร้อยไปแล้วในโลกวิญญาณ เจ้านั่งอยู่ที่เบื้องขวาของเราในสวรรคสถานเรียบร้อยไปแล้ว เจ้าอยู่ในสวรรค์เรียบร้อยแล้ว”

พอถึงความทุกข์ยากบนโลกใบนี้ ไม่พูดถึงเลย  พูดแต่ว่า “เพราะฉะนั้น จงมองไปที่เบื้องบน ในโลกวิญญาณที่เราทำให้กับเจ้า สำเร็จเรียบร้อยไปแล้วในพระเยซูคริสต์ ที่ไม้กางเขนนั้น จนเป็นขึ้นจากความตาย มันสำเร็จเสร็จสิ้นเรียบร้อยแล้ว  วิญญาณของเจ้าอยู่กับเราที่นั่นแล้ว ส่วนความทุกข์ยากลำบากบนโลกนี้ อดทนชั่วขณะหนึ่ง รอแป๊บหนึ่ง”

ไม่พูดถึงเลย ไม่พูดรายละเอียดว่าอดทนต้องทำอย่างไร? พอมาถึงความทุกข์ยากลำบาก อดทน  เพราะรู้ว่าอย่างไรก็ผ่านได้ เพราะพระเจ้าทรงสถิตอยู่ในเราแล้ว เดี๋ยวพระองค์ก็จะทรงพาเราผ่านไปเท่านั้นเอง และมันเรื่องเล็กน้อยมาก สำหรับความทุกข์ยากลำบากบนโลกใบนี้

นี่คือการปลอบโยนจิตใจของบรรดาผู้เชื่อ จากพระเจ้า  สุดท้าย ก็คือให้เราวางใจในพระเจ้าด้วยสุดจิตสุดใจ ไม่พึ่งพาความคิด ความรอบรู้ของตนเอง  ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม มั่นใจได้ 100% เลยว่าเจ้าอยู่ในสวรรค์แล้ว อยู่กับเราพระเจ้านิรันดร์  เพราะฉะนั้น ทนทุกข์ลำบากบนโลกใบนี้ แป๊บเดียว ชั่วขณะเดียว  เดี๋ยวก็ไปแล้ว เพราะฉะนั้น ดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ ก็ให้มองไปที่สิ่งที่เราทำสำเร็จแล้ว สิ่งที่เจ้าอยู่แล้ว ในพระเยซูคริสต์ ที่เรียกว่าเบื้องบน ในสวรรค์นั่นเอง  จดจ่อ จดจำ จนขึ้นใจ หมกมุ่นกับสิ่งเหล่านี้ทั้งหมด  พูดถึงความทุกข์ยากลำบาก ก็อย่าไปสนใจมันมากนัก อะไรประมาณนั้น

นี่จะเห็นวิธีการปลอบโยนจิตใจของพระเจ้า ที่มีต่อบรรดาลูกๆ ของพระองค์ที่ดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้  1 เปโตร 2:5 …

1 เปโตร 2:5 “และท่านทั้งหลาย ก็เสมือนศิลาที่มีชีวิต ที่กำลังก่อขึ้น เป็นพระนิเวศฝ่ายพระวิญญาณ  เป็นปุโรหิตบริสุทธิ์  เพื่อถวายสักการะบูชาฝ่ายวิญญาณ  ที่ชอบพระทัยของพระเจ้า โดยทางพระเยซูคริสต์”

 

เห็นไหมครับ? พระเจ้าปลอบใจเราทั้งหลายด้วยวิธีอะไร? บอกความจริงกับเรา ในโลกวิญญาณว่าเราเป็นใครในพระเยซูคริสต์ เราเป็นอะไรอยู่ตอนนี้ในโลกวิญญาณ? เราอยู่ที่ไหน? ลักษณะเป็นอย่างไร? พูดอีกแล้ว  พูดตลอดเวลาทั้งเล่มเลย จะพูดถึงเรื่องเหล่านี้ทั้งสิ้น เพราะนี่เป็นหัวกะทิของน้ำนมฝ่ายวิญญาณ อันบริสุทธิ์  คือข่าวประเสริฐ ข่าวดีแห่งพระคุณของพระเจ้า

และท่านทั้งหลายก็เป็นเหมือนศิลาที่มีชีวิต” ศิลาที่มีชีวิต คือใคร? พระเยซู ที่กำลังก่อขึ้นเป็นพระนิเวศน์ฝ่ายวิญญาณ เป็นปุโรหิตบริสุทธิ์  เพื่อถวายสักการะบูชาฝ่ายวิญญาณ ที่ชอบพอพระทัยของพระเจ้า โดยทางพระเยซูคริสต์ เมื่อท่านเข้ามาต่อติด สนิทอยู่กับพระเยซูคริสต์ เข้ามาบัพติศมาเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเยซูคริสต์เรียบร้อยแล้ว ได้บังเกิดใหม่ในพระเยซูคริสต์นี้แล้ว  ก็คือได้บังเกิดใหม่ในพระศิลานี้ คือในพระคริสต์นี้ ท่านทั้งหลายก็จะเป็นเหมือนกับศิลานี้ ก็คือจะเป็นเหมือนกับพระเยซู ก็จะเป็นเหมือนเลย ดองกันเลย  1 ยอห์น 4:17 ยืนยันเรื่องนี้ …

1 ยอห์น 4:17 “ในการได้เข้าส่วนร่วมเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระคริสต์นี้ ความรัก (อากาเป้ แบบพระเจ้า)  จึงได้เกิดขึ้น อย่างสมบูรณ์ครบถ้วน ในตัวเรา  (ทั้งวิญญาณและจิตใจ) เราจึงมีความมั่นใจในวันพิพากษา ที่เรามีความมั่นใจอย่างเต็มเปี่ยม ก็เพราะวิญญาณและจิตใจของเรา ขณะที่อยู่ในโลกนี้นั้น  เป็นวิญญาณและจิตใจที่เหมือนกับวิญญาณและจิตใจของพระคริสต์”

 

“ในการได้เข้าส่วนร่วมเป็นหนึ่งเดียวกับพระคริสต์นี้” ก็คือในการได้รับบัพติศมา เข้าเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระคริสต์นั่นเอง  แล้วอะไรเกิดขึ้น? ความรักแบบอากาเป้ ที่เป็นแบบพระเจ้าจึงได้เกิดขึ้นอย่างสมบูรณ์ครบถ้วน ในตัวเรา คือทั้งในวิญญาณและจิตใจเรา เป็นความรักเลยทีเดียว เพราะมันบังเกิดใหม่ไง เป็นหนึ่งเดียวกัน อย่างที่ตะกี้นี้บอก เหมือนพระเยซูเลย

“เราจึงมีความมั่นใจในวันพิพากษา (คือหลังความตาย) ที่เรามีความมั่นใจอย่างเต็มเปี่ยม ก็เพราะความจริงที่เรารู้แล้ว ก็เพราะวิญญาณและจิตใจของเรา ขณะที่ดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้นั้น เป็นวิญญาณและจิตใจที่เหมือนกับวิญญาณและจิตใจของพระคริสต์ ของพระศิลานี้แหละ พอจะนึกภาพออกแล้วนะ?

เพราะเราเข้าไปเชื่อมต่อ เป็นหนึ่งเดียวกันแล้ว เราได้บังเกิดใหม่ด้วยชีวิตนิรันดร์  ที่เป็นของพระเจ้า พระเจ้าทรงประทานให้กับพระเยซูคริสต์ ตอนที่ชุบพระเยซูคริสต์ให้เป็นขึ้นจากความตาย ในวันที่ 3 การชุบพระเยซูคริสต์ให้เป็นขึ้นจากความตาย คือประทานชีวิตนิรันดร์ให้กับพระเยซูคริสต์ ซึ่งเป็นวิญญาณที่ตายอยู่ ที่รับบาปแทนเรา พระเจ้าได้ประทานชีวิตนิรันดร์ ให้พระเยซูเป็นขึ้นจากความตาย  และเราทั้งหลายบัพติศมา คือเข้าส่วนร่วมในพระเยซูคริสต์ เป็นหนึ่งเดียวกับพระเยซูคริสต์ พอชุบพระเยซูคริสต์ให้เป็นขึ้นจากความตาย เราทั้งหลาย ก็เลยเป็นขึ้นจากความตายพร้อมกับพระเยซูคริสต์ด้วย แล้วพระเยซูคริสต์ก็เลยแบ่งให้เรา แบ่งอย่างไร? แบ่งปันให้เรา  แบ่งวิญญาณชีวิตนิรันดร์ที่พระเจ้าทรงประทานให้กับเราด้วย เพราะเราเป็นส่วนหนึ่งในพระกายของพระองค์แล้ว

และเมื่อเราได้ชีวิตนิรันดร์ที่เป็นเหมือนพระเยซู ซึ่งเป็นศิลาอันมีชีวิต  เพราะฉะนั้น เราจึงเหมือนศิลาที่มีชีวิตเช่นเดียวกับพระเยซู เหมือนกัน  ถ้าพระเยซูเป็นพระศิลา  ใส่ “พระ” เข้าไป เพื่อจะให้เห็นว่าเป็นพระเยซู เราก็เป็นหนึ่งเดียวกับพระองค์ เราก็เป็นศิลาเหมือนพระองค์ มีวิญญาณลักษณะเดียวกันเลย  เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์ ซึ่งกำลังได้รับการก่อขึ้น เป็นวิหารฝ่ายวิญญาณ เป็นส่วนหนึ่งของร่างกายของพระเยซูคริสต์ ซึ่งเมื่อเราเข้ามาเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเยซูคริสต์ เรามาต่อกับพระองค์แล้ว เราก็ได้ถูกก่อขึ้น  เป็นส่วนหนึ่งของวิหาร  “วิหาร” ก็คือสถานที่สถิตของพระเจ้า  สถานที่ของพระวิญญาณของพระเจ้าสถิตอยู่ เป็นวิหารที่พระเจ้าทรงสถิตอยู่

ตรงนี้มันจะรวมไปถึง พระเจ้าเข้ามาสถิตอยู่กับคนๆ นั้นด้วย นึกออกใช่ไหมครับ? เมื่อเปิดใจต้อนรับพระเยซูปุ๊บ พระเจ้าเข้ามาสถิตอยู่กับคนๆ นั้น แล้วคนๆ นั้นก็เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเยซูคริสต์ด้วย พูดง่ายๆ ว่าถูกก่อสร้างขึ้นเป็นอวัยวะชิ้นหนึ่งในคริสตจักรของพระเจ้า  คริสตจักร ก็คือวิหารของพระเจ้า ก็คือ 3 พระภาคเข้ามาสถิตอยู่ในเรา ทั้งพระเจ้าพระบิดา พระเจ้าพระบุตร พระเจ้าพระวิญญาณเข้ามาอยู่ในเรา และเราก็เข้าไปอยู่ใน 3 พระภาคนี้ เรียกว่าเรานั้นได้เป็นวิหารของพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์  วิหารของพระเจ้า คือพระเจ้าเข้ามาสถิตอยู่ด้วย

คิดดูสิ พระเจ้ากำลังพูดอะไรกับเรา กำลังบอกถึงหัวกะทิ สาระสำคัญ  ในการที่เราจะดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ อย่างเต็มไปด้วยสันติสุข  เต็มไปด้วยชัยชนะอย่างแท้จริง เหนือความทุกข์ยากลำบากบนโลกใบนี้ได้ ก็โดยการรู้เรื่องความจริง  หัวกะทิ สาระสำคัญตรงนี้แหละ คือการบัพติศมา การเข้าร่วมเป็นหนึ่งเดียวกัน  แล้วอะไรเกิดขึ้นในพระเยซูคริสต์ เมื่อเราบัพติศมา เมื่อเราบังเกิดใหม่ในพระเยซูคริสต์ ซึ่งคริสตจักรของพระเจ้ามีชื่อว่าวิหารของพระเจ้านั่นเอง  วิหารของพระเจ้าฝ่ายวิญญาณ ซึ่งมีหัวหรือว่าศีรษะ คือพระเยซูคริสต์

แล้วท่านทั้งหลาย ก็เป็นเหมือนอวัยวะชิ้นหนึ่งในร่างกายนี้ วิหาร เปรียบเหมือนร่างกาย พระเยซูคริสต์เป็นศีรษะของร่างกาย  เป็นศีรษะของคริสตจักร ท่านทั้งหลายก็เป็นอวัยวะชิ้นหนึ่งในร่างกายนี้ เพราะฉะนั้น ท่านทั้งหลายก็เป็นเหมือนกับศิลาก้อนหนึ่ง ในอาคารนี้นั่นเอง ศิลาหัวมุม คือพระเยซู เป็นรากฐานสำคัญที่สุดในการก่อสร้างอาคาร

อาคารนี้เป็นอาคารคริสตจักร เป็นวิหารของพระเจ้า  เราทั้งหลายเป็นก้อนหิน  เป็นศิลาก้อนเล็กๆ  เข้ามาต่อ สร้างขึ้นมาเป็นวิหารของพระเจ้า  เพราะฉะนั้น พระคริสต์ทรงเป็นศีรษะของคริสตจักร ท่านทั้งหลายก็เป็นอวัยวะชิ้นหนึ่งในร่างกายของพระคริสต์นี้ ก็คือท่านทั้งหลายเป็นหินก้อนหนึ่งนั่นเอง ในวิหารนี้ ตรงนี้กำลังพูดอย่างนั้น

พระเยซูเป็นหินก้อนใหญ่ เป็นศีรษะ ท่านทั้งหลายเป็นหินก้อนหนึ่ง มีลักษณะเดียวกันเลย เข้ากันได้ ที่เอามาต่อติดกับพระองค์ สร้างขึ้นมาเป็นวิหารฝ่ายวิญญาณของพระเจ้า ท่านลองคิดดูสิ บริสุทธิ์ขนาดไหน? ชีวิตเราในพระเยซูคริสต์ ที่ได้บังเกิดใหม่นั้น บริสุทธิ์สะอาด ศักดิ์สิทธิ์ และสำคัญขนาดไหน?  พระเจ้าให้เกียรติขนาดไหน? พอท่านเป็นส่วนหนึ่ง  เป็นหินก้อนหนึ่งในคริสตจักรของพระเจ้าฝ่ายวิญญาณนี้  ท่านเป็นศิลาก้อนหนึ่งในคริสตจักรของพระเจ้าฝ่ายวิญญาณ  ซึ่งมีพระเยซูคริสต์เป็นศิลามุมเอก

ศิลามุมเอก ก็คือเป็นศีรษะที่สำคัญที่สุด ท่านทั้งหลายเป็นอวัยวะชิ้นหนึ่ง หรือเรียกว่าเป็นศิลาก้อนหนึ่งที่ถูกก่อขึ้น เป็นคริสตจักรฝ่ายวิญญาณของพระเจ้า หรือที่เรียกว่าวิหารของพระเจ้า ทั้งหมดนี้ มันเสร็จไปแล้ว มันเรียบร้อยไปแล้วอย่างที่ผมบอกว่าพระเจ้าต้องการให้เราเห็นถึงสิ่งที่พระเยซูคริสต์ได้ทรงกระทำที่ไม้กางเขนนั้น เรียบร้อยไปแล้ว

และเกิดอะไรขึ้นกับมนุษย์ทั้งหลายบนโลกใบนี้  และเขาจะได้รับสิ่งที่พระเจ้าทรงกระทำทั้งหมดเหล่านั้น แค่เปิดใจเชื่อและรับเอาเท่านั้นเอง  และเราทั้งหลายผู้ที่เชื่อและรับเอาแล้ว เราควรจะรู้ว่าเราเป็นใครแล้วในพระเยซูคริสต์

ที่อธิบายเรื่องการเป็นหนึ่งเดียวกัน การเป็นศิลาในวิหารของพระเจ้า ทั้งหมดนั้น มันเป็นแล้ว มันเสร็จแล้ว ในขณะที่เรากำลังดำเนินชีวิตอยู่บนโลกนี้ ความจริงในโลกวิญญาณมันเป็นอย่างนั้น อย่างตะกี้นี้เรียบร้อยแล้วจริงๆ และเมื่อเป็นแล้ว แล้วเป็นอะไรต่อในนี้ได้บอกไว้ว่าเมื่อเป็นศิลาก้อนหนึ่ง ในวิหารของพระเจ้า  เป็นอวัยวะชิ้นหนึ่ง  ที่เรียกว่าศิลาก้อนหนึ่ง ในคริสตจักรของพระเจ้าแล้ว เราจึงได้เป็นปุโรหิตบริสุทธิ์  มาอีกแล้ว

สิ่งเหล่านี้ในหนังสือเขียนเล็งไปถึงวัฒนธรรมของชาวยิว ในสมัยพระคัมภีร์เดิม คนยิวจะเข้าใจสิ่งเหล่านี้หมดเลย แต่สามารถอธิบายได้  ขณะนี้ เมื่อเราเชื่อในพระเยซูคริสต์ เมื่อเราได้บัพติศมาเข้าเป็นส่วนหนึ่งในพระเยซูคริสต์แล้ว เป็นอวัยวะชิ้นหนึ่งในคริสตจักรของพระเจ้า ที่มีพระเยซูคริสต์เป็นศีรษะแล้ว เป็นหินก้อนหนึ่ง ในวิหารของพระเจ้า  ที่มีศิลามุมเอกเป็นพระเยซูคริสต์แล้ว  เรายังเป็นปุโรหิตบริสุทธิ์ ในตระกูลปุโรหิตหลวง

ปุโรหิตหลวง ที่มีพระเยซูคริสต์เป็นหัวหน้าปุโรหิต ทำหน้าที่ถวายเครื่องบูชารับใช้พระเจ้า  เข้าไปเป็นตระกูลเดียวกันกับพระเยซูคริสต์ และในพระคัมภีร์นี้เขียนว่าเป็นตระกูลปุโรหิตบริสุทธิ์  ถูกแยกออกมาเป็นทรัพย์สมบัติส่วนพระองค์  ที่พระองค์ทรงใช้ตามน้ำพระทัยของพระองค์ และพระองค์ทรงหวงแหนมาก เพราะรักดั่งแก้วตาดวงใจ

“กำลังพูดถึงใคร?”

“กำลังพูดถึงฉัน”

ฉันคือใคร? ฉันคือผู้ที่เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด วางใจในการกระทำของพระเยซู  ไม่พึ่งพาการกระทำของตนเองอีกแล้ว

ปุโรหิต ผู้ที่ถูกแยกออกมาจากโลกที่สกปรก โลกที่เต็มไปด้วยความบาป โลกที่เป็นศัตรูกับพระเจ้า เราได้ถูกแยกออกมาจากโลกแล้ว  โลกที่ถูกเรียกว่าอยู่ในอาดัม

ปุโรหิต คือผู้ที่ถูกแยกออกมาพิเศษ ชำระให้สะอาดบริสุทธิ์ เอาไว้ให้พระเจ้าใช้โดยเฉพาะ  ต้องบริสุทธิ์เท่าพระเจ้า ถึงจะเข้าไปอยู่กับพระเจ้าได้

แปลตรงๆ ก็คือปุโรหิต คือผู้ที่ละทางโลกเรียบร้อยแล้ว  นึกออกใช่ไหม? มนุษย์ก็พยายามทำเหมือนกัน แต่นี่ไม่ใช่มนุษย์ทำ แต่เป็นพระเจ้าทำ  แยกเราออกจากโลกที่เต็มไปด้วยความบาป ละทางโลกแล้ว  แล้วได้กลายเป็นทรัพย์สมบัติส่วนพระองค์ เข้ามาอยู่ในสวรรค์ บริสุทธิ์ ให้พระองค์ใช้  แยกออกมา ในฐานะเป็นลูก ไม่ใช่เป็นคนใช้  ไม่ใช่เป็นทูตสวรรค์ ไม่ใช่เป็นผู้รับใช้  แต่เป็นผู้รับใช้ในฐานะที่เป็นลูก ลูกที่รับใช้พ่อ  เพราะฉะนั้น จึงต้องบริสุทธิ์สะอาด  ศักดิ์สิทธิ์เหมือนพ่อ ซึ่งพระเจ้าได้ชำระด้วยพระโลหิตของพระเยซูคริสต์ จนสะอาดหมดจด  และได้บังเกิดใหม่เรียบร้อยแล้ว

พระเยซูตรัส จำได้ไหมว่าท่านไม่ได้เป็นของโลกนี้ เมื่อท่านมาเชื่อในพระเยซูคริสต์ ได้บังเกิดใหม่ ได้บัพติศมา เป็นหนึ่งเดียวกับพระองค์แล้ว  ท่านไม่ใช่เป็นของโลกนี้อีกต่อไป  โลกนี้เป็นศัตรูกับท่าน โลกสกปรก แต่ท่านสะอาด โลกเต็มไปด้วยความมืด แต่ท่านเต็มไปด้วยความสว่าง  โลกคืออยู่ในอาดัม แต่ท่านอยู่ในพระคริสต์แล้ว

คราวนี้ปุโรหิตทำหน้าที่อะไร?  พอชาวยิวเขาอ่านพระคัมภีร์ตรงนี้ เขาก็เข้าใจแล้วว่าปุโรหิตทำหน้าที่อะไร? แต่เนื่องจากเราไม่ใช่ยิว  เราก็ต้องมาแปลนิดหนึ่ง  อธิบายให้กันฟังนิดหนึ่ง เพื่อให้เห็นถึงความยิ่งใหญ่ที่พระเจ้าได้ช่วยเราให้หลุดรอดพ้นออกจากโลกใบนี้  ซึ่งเต็มไปด้วยความบาป ย้ายเราเข้ามาสู่อาณาจักรแห่งแสงสว่าง อยู่ตระกูลปุโรหิตหลวง อยู่ตระกูลเดียวกับพระเยซูคริสต์ ในฐานะเป็นลูกของพระองค์  และมันเป็นเช่นไร

ปุโรหิตทางฝ่ายวิญญาณทำหน้าที่อะไร?  ปุโรหิตในพระคัมภีร์เดิมทำหน้าที่อะไร? ปุโรหิตเป็นทูตของพระเจ้า เป็นคนกลางที่พระเจ้าจะใช้ ในการสื่อสารกับมนุษย์  ทำหน้าที่ถวายเครื่องบูชาฝ่ายวิญญาณ ก็คือยอมจำนนเชื่อฟังต่อพระเจ้า ผู้ทรงให้กำเนิดชีวิตของปุโรหิต หรือของคนๆ นั้น คือยอมเชื่อฟัง เหมือนดั่งทาส  แต่จริงๆ เป็นลูก

การเชื่อฟัง คือพระเจ้าพูดอะไร ในวิญญาณคนนั้น ก็เอเมนหมด  ใช่ ถูกต้อง  เพื่อถวายคำขอบพระคุณต่อพระเจ้าว่าพระองค์ทรงทำอะไรในพระเยซูคริสต์แล้ว ในวิญญาณมันจะรับรู้ทั้งหมดเลย เรียบร้อยแล้ว และตรงนี้ ปุโรหิตมีหน้าที่เป็นทูต เป็นคนกลาง นำเอาความจริงเหล่านี้ ออกไปยังบรรดามนุษย์ สื่อสารให้กับมนุษย์ทั้งหลาย ซึ่งตรงนี้ ภาษาเดิมแปลว่าอย่างนี้

ปุโรหิต คือผู้ที่ถูกแยกออกมา ทำหน้าที่เชื่อฟังต่อพระเจ้า  เป็นเหมือนดั่งทาส ยอมมอบถวายอวัยวะทุกส่วนในชีวิตทั้งหมด เป็นของพระองค์ ทั้งร่างกาย ความคิดจิตใจและวิญญาณ ซึ่งได้รับการชำระเรียบร้อยแล้ว บริสุทธิ์ สะอาดด้วยพระโลหิตของพระเยซูคริสต์แล้ว ถวายแด่พระองค์  เป็นที่ยอมรับได้ของพระองค์แล้ว  คือสะอาด บริสุทธิ์ เพียงพอแล้ว ที่พระองค์จะทรงสามารถใช้ได้ เข้ามาเป็นทรัพย์สมบัติส่วนพระองค์ได้ ซึ่งเป็นที่พอพระทัยของพระเจ้า และการได้ถูกชำระจนสะอาดหมดจดนี้ เป็นที่รับได้ของพระเจ้าตรงนี้ ทำให้เขาสามารถคืนดีกับพระเจ้า  เป็นหนึ่งเดียวกับพระเจ้าได้   และการจะได้สิ่งเหล่านี้ทั้งหมด ต้องผ่านทางความเชื่อในพระเยซูคริสต์ ในการกระทำของพระเยซูคริสต์เท่านั้น

ดังนั้น ปุโรหิต คือผู้ที่ถูกแยกออกมา เป็นลูกที่คอยรับใช้พ่อ ที่บริสุทธิ์สะอาด ผ่านทางการกระทำของพระเยซูคริสต์บนไม้กางเขน เป็นปุโรหิต ทำหน้าที่เหมือนพระเยซูคริสต์ทำ  พระเยซูคริสต์มาประกาศสวรรค์ มาช่วยเหลือมนุษย์  มารับใช้มนุษย์  และเราทั้งหลายเป็นเหมือนพระเยซูคริสต์ เป็นตระกูลปุโรหิตเหมือนกัน  เป็นเหมือนหัวหน้าเราเลย เราก็เป็นทูตของพระเจ้าเหมือนกัน ทำหน้าที่รับใช้พระเจ้า  ก็คือรับใช้มนุษย์

เพราะฉะนั้น คริสเตียนผู้เชื่อทั้งหลาย คือผู้ที่รับใช้มนุษย์ โดยผ่านทางพระเยซูคริสต์ ผู้ทรงสถิตอยู่ในเรา  เราเป็นหนึ่งเดียวกับพระองค์ เราเป็นปุโรหิตที่บริสุทธิ์ พระเจ้าจะใช้เรา ใช้ในการเป็นสื่อกลางในการประกาศพระบารมี ประกาศการทรงสถิตอยู่ของพระองค์ ประกาศความรักของพระองค์ ประกาศแสงสว่างของพระองค์ ประกาศความดีงามของพระองค์  ด้วยชีวิตของเรา ด้วยตา หู จมูก ลิ้น กาย ความคิดของเรา  การดำเนินชีวิตของเราแต่ละวัน ทุกเสี้ยวของชีวิต ทุกลมหายใจเข้าออกเลย  ไม่เฉพาะออกไปประกาศข่าวดี ตะโกนที่ตลาด ไม่ใช่แค่นั้น แต่ตรงนี้หมายถึงชีวิตของเรา รู้หรือไม่รู้ก็ตาม แต่เป็นดังนั้นอยู่แล้ว  ท่านไม่รู้หรอก ท่านก็เป็นอย่างนั้นอยู่แล้ว ท่านไม่รู้ว่าท่านกำลังประกาศอยู่ด้วยชีวิตท่าน ท่านก็เป็นอย่างนั้นอยู่แล้ว ท่านไม่จำเป็นต้องพยายามเป็นนักประกาศ ท่านเป็นนักประกาศทุกคน โดยกำเนิดเกิดมาเป็นทูตของพระเจ้า โดยกำเนิดเกิดมาเป็นผู้ประกาศอยู่แล้ว ส่วนจะประกาศด้วยลักษณะเช่นไร? แต่ละคนไม่เหมือนกันแล้ว แล้วแต่พระเจ้าจะแต่งตั้ง นำพาแต่ละคน ประกาศแบบไหน? อย่างไร? ก็ว่ากันไป

เหมือนโจรบนไม้กางเขนได้รับความรอด ก็มาเป็นหนึ่งเดียวกับพระเยซูคริสต์ที่ไม้กางเขนแป๊บเดียวเอง ก็ได้ประกาศข่าวดีให้กับเพื่อนที่ถูกตรึงที่ไม้กางเขน  แต่ขณะเดียวกัน เหตุการณ์นี้ก็หนุนจิตชูใจ และเป็นพยาน   สำหรับผู้ที่จะเชื่อพระเยซูคริสต์ในยุคต่อๆ มาจนกระทั่งถึงปัจจุบัน  นี่พระเยซู พระเจ้าก็ใช้อย่างนี้แหละ เพราะฉะนั้น จงรับรู้ว่าเรากำลังทำอยู่  ทำหน้าที่เป็นปุโรหิต

เพราะฉะนั้น สรุปของวันนี้ ก็คือเราได้รับบัพติศมา  หรือเรียกว่าการผ่าตัดวิญญาณก็ได้ มันมีการเปลี่ยนแปลงในโลกฝ่ายวิญญาณ เกิดขึ้นกับผู้ที่เชื่อในพระเยซูคริสต์ เชื่อในข่าวดีของพระเยซูคริสต์ ผู้ที่ได้บังเกิดใหม่แล้ว ในโลกวิญญาณมันเป็นอย่างนี้ มันเป็นจริง และตรงนี้คือหัวกะทิของความจริงในเรื่องนี้ เป็นหัวกะทิของนมฝ่ายวิญญาณอันบริสุทธิ์ เป็นถ้อยคำแห่งความจริง ถ้อยคำแห่งข่าวดีของพระเยซูคริสต์ที่เป็นข่าวดีแห่งพระคุณ คือพึ่งพาในการกระทำของพระเยซูคริสต์อย่างเดียวเท่านั้น ก็คือเราได้กลับมาคืนดีกับพระเจ้าแล้ว ผมจะพูดทีละประโยค แล้วท่านตอบว่า “เอเมน” นะ จะได้ฝึกฝนไปด้วย เอเมนของท่าน ก็คือการดื่มน้ำนมฝ่ายวิญญาณ  ถ้าไม่จริงตามข่าวประเสริฐ ท่านก็ไม่ต้องเอเมน ก็คือท่านไม่ดื่ม ถ้าใครมาพูดอะไรที่แย้งกับความจริงในถ้อยคำพระเจ้า ท่านก็ไม่ต้องพูด ท่านก็เงียบๆ  ถ้าเขาพูดมาตรงกับถ้อยคำพระเจ้า ท่านก็ดื่มซะ ท่านก็บอกเอเมน … เอเมน คือท่านดื่ม ดูว่าท่านดื่มหรือเปล่านะ

“เราได้กลับมาคืนดีกับพระเจ้าแล้ว” … คำว่า “แล้ว” แปลว่าเสร็จแล้ว เป็นแล้ว

“เอเมน”

“เราได้บัพติศมาในพระเยซูคริสต์แล้ว”

“เอเมน”

“เราได้บังเกิดใหม่ในพระคริสต์แล้ว”

“เอเมน”

“เราได้สามัคคีธรรม ได้เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระคริสต์แล้ว”

“เอเมน”

“เราได้รู้จักสนิทสนมกับพระคริสต์แล้ว”

“เอเมน”

สนิทแน่เหรอ? รู้จักแน่เหรอ? รู้จักละเอียดเลยไหม? เข้าใจหมดเลยไหม? เข้าใจไม่หมดหรอก ไม่เข้าใจหรอก แต่ในวิญญาณ มันเป็นอย่างนี้แล้ว เอเมน ในวิญญาณมันเป็นอย่างนี้ จะเอาความเข้าใจของมนุษย์ มันเป็นไปไม่ได้ มันคนละเรื่องกัน นี่คือความจริงในโลกฝ่ายวิญญาณ เกี่ยวกับเรื่องข่าวประเสริฐแห่งพระคุณของพระเยซูคริสต์ ซึ่งเป็นเรื่องเกี่ยวกับวิญญาณทั้งสิ้น  ไม่สามารถเข้าใจด้วยสติปัญญา เหตุผล ความเข้าใจแบบมนุษย์ได้ ครบ 100%

“เราได้รู้จักสนิทสนมกับพระคริสต์แล้ว”

ก็ได้รู้จักแล้วไง วันหนึ่ง วันพิพากษา

พระเยซูคริสต์ก็จะได้บอกว่า … “เราก็รู้จักเจ้า เพราะเจ้ารู้จักเรา”

ถ้าเราไม่รู้จักเจ้า วันพิพากษา พระเยซูคริสต์ก็จะบอกว่า … “เราไม่รู้จักกับเจ้าเลย เจ้ายังไม่ได้เข้ามาบัพติศมา เข้ามาเป็นหนึ่งเดียวกับเราเลย”

“พระคริสต์เป็นอย่างไร? เราก็เป็นอย่างนั้นด้วยแล้ว”

“เอเมน”

“เราได้กลายมาเป็นศิลาก้อนหนึ่ง ที่ต่อติดกับศิลามุมเอก เป็นเหมือนศิลามุมเอก คือพระเยซูคริสต์แล้ว”

“เอเมน”

ต้องเติมคำว่า “แล้ว” เพราะพระองค์ทรงกระทำสำเร็จเรียบร้อยแล้ว

อันนี้ชอบมากเลย … “เราได้กลายมาเป็นศิลาก้อนหนึ่ง ที่ต่อติดกับศิลามุมเอก เป็นเหมือนศิลามุมเอกเลย คือพระเยซูคริสต์ เราได้กลายมาเป็น คือเราได้เกิดมาเป็นศิลาก้อนหนึ่งที่ต่อติดกับศิลามุมเอก เป็นเหมือนศิลามุมเอก คือพระเยซูคริสต์”

“ชีวิต จิตวิญญาณของเราที่ดำเนินอยู่ในร่างกายขณะนี้  ก็โดยชีวิตของพระคริสต์”

“เอเมน”

อาจจะไม่เข้าใจ แต่ในวิญญาณมันเป็นจริง  พระเจ้าต้องการให้เรารู้ความจริงในโลกวิญญาณ ชีวิตจิตวิญญาณของเราที่ดำเนินอยู่ในร่างกายขณะนี้  ก็โดยชีวิตของพระคริสต์  เอเมน ถ้าตายจากร่างกายนี้ ก็ดีกว่า เพราะจะได้เห็นพระคริสต์หน้าต่อหน้า เอเมน กลัวตาย กลัวส่วนกลัว แต่โลกวิญญาณมันเป็นอย่างนี้ ในโลกวิญญาณ คือถ้าตายจากร่างกายนี้ วิญญาณออกจากร่าง ก็ดีกว่าอยู่ในร่างกาย เพราะว่าอยู่ในร่างกายนี้ มองพระเยซูก็ไม่เห็น มองพระเจ้าก็ไม่เห็น ต้องใช้ความเชื่อเอา แต่ถ้าตาย วิญญาณออกจากร่างเมื่อไร? ไม่ต้องใช้ความเชื่ออีกต่อไปแล้ว เอเมนไหม?  เราจะเห็นพระเจ้าหน้าต่อหน้า ไม่ต้องใช้ความเชื่ออีกแล้ว  แล้วเราจะเห็นพระเยซูคริสต์หน้าต่อหน้า ตื่นเต้น เห็นพระเจ้าหน้าต่อหน้า ตื่นเต้น เห็นใครอีกคนหนึ่งน่าตื่นเต้นกว่าเลย เห็นตัวเองที่เต็มด้วยสิริที่เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์ ร่างกายใหม่ที่เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์ ที่เป็นร่างกายสวรรค์ ที่พระเจ้าจัดเตรียมไว้ให้ ไม่ตื่นเต้นหรือว่ามันจะเป็นลักษณะเช่นไร?

นี่แหละ คือเป้าหมายที่พระเจ้าต้องการให้ลูกๆ ของพระองค์เรียนรู้ และจดจ่ออยู่ จะได้ไม่ทุกข์ทรมานกับความทุกข์ยากลำบากบนโลกใบนี้ต่างๆ ที่เกิดขึ้นอยู่ นี่แหละ คือน้ำนมฝ่ายวิญญาณ ที่เป็นหัวกะทิ ที่พระเจ้าต้องการให้เรารับรู้ในวันนี้ พระเจ้าอวยพรครับ

 

**********************

 

จากใจคณะศิษยาภิบาล

ฟีลิปปี 3:20-21 “20 แต่เราเป็นพลเมืองสวรรค์ และเราเฝ้ารอคอยพระผู้ช่วยให้รอดจากสวรรค์ คือองค์พระเยซูคริสต์เจ้า  21 พระองค์จะทรงเปลี่ยนกายอันต่ำต้อยของเรา ให้เหมือนพระกายอันทรงพระเกียรติสิริของพระองค์ โดยฤทธานุภาพที่สยบทุกสิ่งไว้ใต้อำนาจของพระองค์”

 

“แต่เราเป็นพลเมืองสวรรค์” … “แต่เรา” หมายถึงผู้เชื่อที่ยอมรับพระเยซูเป็นผู้ช่วยให้รอดจากบาปแล้ว ได้เกิดใหม่ในวิญญาณแล้ว เป็นชีวิตจิตวิญญาณที่เหมือนพระเยซูแล้ว อยู่กับพระเยซูในสวรรค์แล้วเป็นพลเมืองของสวรรค์แล้ว เป็นแล้วนะ

 

และเราเฝ้ารอคอยผู้ช่วยให้รอดจากสวรรค์ “คือองค์พระเยซูคริสต์เจ้า พระองค์จะทรงเปลี่ยนกายอันต่ำต้อยของเรานี้”

 

เราเป็นลูกพระเจ้าแล้ว บังเกิดใหม่แล้ว วิญญาณและจิตใจข้างในของเรา เป็นชีวิตนิรันดร์ที่เหมือนพระเยซูแล้ว แต่ร่างกายภายนอกนี้ จำเป็นต้องตาย เพื่อจะได้รับร่างกายใหม่ ที่เป็นนิรันดร์เหมือนพระเยซู เพื่อให้เข้ากันได้กับวิญญาณและจิตใจใหม่ที่เป็นชีวิตนิรันดร์เหมือนพระเยซูแล้วตอนนี้

 

พระเยซูจะเปลี่ยนแปลงกายอันต่ำต้อยของเรา ให้เหมือนพระกายอันทรงพระเกียรติสิริของพระองค์ ด้วยฤทธานุภาพที่สยบทุกสิ่งไว้ใต้อำนาจของพระองค์ ด้วยฤทธิ์อำนาจอันยิ่งใหญ่ คือพระสิริของพระเจ้า

 

เรามองทะลุความทุกข์ยากลำบาก มองไปที่รางวัลข้างหน้า ก็คือร่างกายใหม่ เต็มไปด้วยพระสิริ ที่เหมือนพระเยซูคริสต์ ตอนนี้ได้มัดจำไปแล้ว 99.99% ได้เกิดใหม่ข้างในแล้ว มีพระวิญญาณบริสุทธิ์สถิตอยู่ข้างในของเรา เป็นพยานยืนยันว่ามันเป็นจริง เราเป็นลูกของพระเจ้าแล้ว ตามถ้อยคำของพระเจ้าเหล่านี้ ตามข่าวดีของพระเยซูเหล่านี้ แล้วเราก็มุ่งตรงไปข้างหน้าว่าทำงานให้พระเจ้าบนโลกนี้อีกไม่นาน ให้พระเยซูคริสต์ฉายแสงสว่างออกมาจากชีวิตของเรา แล้วแต่พระองค์จะนำไปที่ไหน ก็ตาม เราจะอดทนรอคอย เราไม่สนใจในโลกใบนี้แล้ว จะวิ่งไปที่เป้าหมายเดียวของเรา คือร่างกายใหม่ ร่างกายที่เหมือนพระเยซูคริสต์

 

เพราะฉะนั้น หลายสิ่งหลายอย่างที่เกิดขึ้นบนโลกใบนี้ ความทุกข์ยากลำบากต่างๆ เราอาจจะไม่เข้าใจ ไม่มีคำตอบว่าเพราะอะไร? มันถึงเกิดขึ้น เราก็ไม่สนใจ สิ่งเดียวที่เรารู้และมั่นใจ และเป็น ความเชื่อและความหวังที่จับต้องมองเห็นได้ของเรา ก็คือ เรากำลังอยู่ในสวรรค์แล้วตอนนี้และพระเจ้าสถิตอยู่กับเราแล้วตอนนี้ ตลอดเวลา ไม่เคยทอดทิ้ง ไม่เคยละเราเลย และพระองค์ทรงห่วงใย รักเราดั่งแก้วตาดวงใจของพระองค์ แล้วพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่สถิตอยู่กับเรา ก็ยืนยันอย่างนั้น และเรารู้อยู่ว่าเราได้อยู่ในสวรรค์ เรียบร้อยแล้ว ตั้งแต่ตอนเริ่มต้นเชื่อแล้ว เราได้เข้าไปอยู่ในสวรรค์ มีชีวิตนิรันดร์ อยู่ในครอบครัวของพระเจ้าเรียบร้อยไปแล้ว 99.99% แล้ว

 

รออีกนิดเดียวเอง ก็จะครบถ้วนบริบูรณ์ เมื่อเรารับร่างกายใหม่ ที่เหมือนพระเยซูคริสต์ มาแทนร่างกายอันต่ำต้อยนี้ ในวันหนึ่งที่ทิ้งร่างนี้ หมดการงานบนโลกใบนี้แล้ว พระเจ้าอวยพรครับ

 

 

 

วารสาร Holy News ฉบับที่ 1364

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  8  พฤษภาคม  2022

เรื่อง “หนังสือเอเฟซัส”  ตอน 11

โดย วราพร  คงล้วน

 

วันนี้เราจะมาต่อในหนังสือเอเฟซัส บทที่ 2 ข้อที่ 11 สัปดาห์ที่แล้ว เราจบลงข้อที่ 10 ที่บอกว่าเราเป็นผลงานชิ้นเอกของพระเจ้า ที่พระองค์ทรงประณีตบรรจงสร้างเราขึ้นมา ก็คือสร้างสรรค์เราใหม่ เมื่อเราได้บังเกิดใหม่เข้ามาอยู่ในอาณาจักรของพระเจ้า เข้ามาเป็นครอบครัวใหม่ของพระองค์ วิญญาณเราสะอาดหมดจด พระเจ้าได้เปลี่ยนวิญญาณใหม่ให้กับพวกเราทุกๆ คนให้เป็นเหมือนวิญญาณของพระเยซูคริสต์ มีชีวิตนิรันดร์แบบเป็นคุณภาพเหมือนพระเจ้า

เอเฟซัส 2:10 “เพราะเราทั้งหลายเป็นผลงานศิลปะชิ้นเอก ที่ประณีตยอดเยี่ยมของพระเจ้า ที่สร้างสรรค์ขึ้นในพระเยซูคริสต์ ซึ่งวิญญาณได้บังเกิดใหม่ พร้อมที่จะให้พระเจ้าใช้ เพื่อทำการดีต่างๆ ซึ่งพระเจ้าได้เตรียมไว้ล่วงหน้าแล้ว เพื่อเราจะได้ดำเนินชีวิตที่ดี เป็นไปตามแผนการของพระองค์”

 

เราคุยกันเรื่องของชีวิตนิรันดร์ว่ามนุษย์ถูกสร้างมาให้มีวิญญาณนิรันดร์  แล้ววิญญาณของมนุษย์ทุกคน เป็นตัวตนจริงๆ ของเรา ฉะนั้น วิญญาณนิรันดร์ตรงนี้ ณ เวลานี้ ที่เรามาเชื่อพระเจ้า เรามีวิญญาณนิรันดร์ ที่เป็นคุณภาพ มีธรรมชาติใหม่ เหมือนพระเจ้าเลย แต่ก่อนหน้านั้น ก่อนที่เรามาเชื่อพระเจ้า วิญญาณเราอยู่นิรันดร์เหมือนกัน แต่เป็นนิรันดร์ที่อยู่ในนรก เป็นวิญญาณที่ถูกสาปแช่งนิรันดร์ เป็นวิญญาณที่เป็นศัตรูกับพระเจ้า อยู่ตรงข้ามกับพระเจ้า  ฉะนั้น วิญญาณของมนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้ จำเป็นจะต้องเปลี่ยนแปลงใหม่ ก็คือเข้ามาหาพระเจ้า  เพื่อเราจะได้มีวิญญาณที่มีคุณภาพเหมือนพระเจ้า

ถ้ามนุษย์ยังรักที่จะพึ่งพาตัวเอง คิดว่าตัวเองสามารถทำได้ ถึงมาตรฐานของพระเจ้า ไม่ยอมมาพึ่งพาในพระเยซูคริสต์ ยังคงอยู่ที่เดิม “ที่เดิม” ก็คืออยู่ในที่ที่ไม่มีพระเจ้าอยู่ ณ เวลานี้ คนที่ไม่เชื่อพระเจ้า แม้ลักษณะเหมือนกับเขายังเป็นอยู่ มีชีวิตอยู่ แต่ในพระคัมภีร์บอกว่าคนเหล่านั้น ได้ตายแล้ว ก็คือวิญญาณเขาตายจากพระเจ้า  ไม่ได้อยู่ฝั่งพระเจ้า เป็นศัตรูกับพระเจ้า อยู่ในความมืด  อยู่ในคำสาปแช่ง นี่คือความจริงในโลกวิญญาณ

แล้วพระเจ้าก็ได้บอกว่าพระองค์ได้ทรงสร้างสรรค์เราผู้เชื่อทั้งหลาย ที่บังเกิดใหม่  ให้เราสามารถที่จะกระทำการงานดีต่างๆ ตามน้ำพระทัยของพระเจ้า  ก็คือเมื่อเราบังเกิดใหม่ปุ๊บ พระวิญญาณบริสุทธิ์เข้ามาอยู่ในเรา แล้วพระวิญญาณบริสุทธิ์นี่แหละ จะทรงประกอบกิจ ก็คือทำงานในร่างกายในวิญญาณของเรา  ทำให้เราสามารถที่จะทำตามน้ำพระทัยของพระเจ้าได้

เอเฟซัส 2 :11 “เหตุฉะนั้น ท่านจงระลึกว่าแต่ก่อนท่านเป็นคนต่างชาติ คือไม่ใช่ชาวยิวโดยกำเนิด และบรรดาผู้ที่เรียกตนเองว่า “พวกที่เข้าสุหนัต” (ซึ่งกระทำทางกาย ด้วยมือมนุษย์) (ชาวยิว) เรียกท่านว่า “พวกไม่เข้าสุหนัต”

 

อาจารย์เปาโลกำลังอธิบายให้ผู้เชื่อ ชาวต่างชาติ ซึ่งหมายถึงพวกเราด้วย พวกเราไม่ได้เป็นชาวยิวโดยกำเนิด  แต่เราได้บังเกิดใหม่แล้ว เป็นลูกของพระเจ้าแล้ว เราเป็นยิว โดยความเชื่อในวิญญาณ อาจารย์เปาโลกำลังพูดคุยกับคนที่ไม่ใช่เกิดมาเป็นชนชาติยิว เขาเรียกว่าคนต่างชาติ คนไม่มีระดับ คนยิวเขาจะไม่คบหา คนยิวเขาจะมีความรู้สึกว่ามาตรฐานเขาสูงมาก เขาเป็นประชากรของพระเจ้า  พระเจ้าทรงเลือกสรรเขาไว้ พระเจ้าเป็นพระเจ้าของเขาคนเดียว อะไรอย่างนี้ แต่ว่าพอถึงวันที่พระเยซูคริสต์มาเกิดเป็นมนุษย์ มาสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน เป็นขึ้นมาจากความตาย พระเจ้าวางแผนตั้งแต่ต้นแล้ว ตั้งแต่วันแรกที่มนุษย์ล้มลงในความบาป แผนการที่ลี้ลับนี้ พระเจ้าก็วางว่าพระเจ้าจะให้คนยิวมาก่อน ก็คือเรียกคนยิวมาเป็นชนชาติของพระเจ้า ให้มาเป็นแบบอย่าง ในการรักษาธรรมบัญญัติของพระองค์ พอถึงพระเยซูคริสต์มา กฎใหม่ ก็คือคนยิวไม่ได้โดยปริยายว่าเขาเป็นชนชาติของพระเจ้า คนยิวก็ต้องเหมือนพวกเราคนต่างชาติ คือต้องบังเกิดใหม่ ต้องยอมรับความช่วยเหลือ จากพระเยซูคริสต์ เปิดใจรับเอาพระเยซูคริสต์เข้ามา เป็นพระเจ้าส่วนตัวของเขา ไม่พึ่งพา ในการรักษากฎบัญญัติที่เขาเคยพึ่งพามาตั้งแต่เริ่มต้น ตั้งแต่บรรพบุรุษเลยว่ารักษากฎบัญญัติตรงนี้นะ เพื่อเขาจะได้เป็นชนชาติของพระเจ้า

พอถึงพันธสัญญาใหม่ปุ๊บ คนยิวก็จะไม่สามารถเป็นแบบนี้อีกแล้ว  ไม่ได้โดยปริยายว่าเขาเป็นคนของพระเจ้า คนยิวต้องเหมือนพวกเรา คนต่างชาติ ต้องเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เข้ามาในชีวิตของเขา ไม่พึ่งพาความประพฤติ ปฏิบัติตามกฎบัญญัติอีกต่อไป เมื่อพระคุณมา ความประพฤติตรงนั้น ก็เท่ากับจบไป บัญญัติเก่าก็จบไป แล้วพระเจ้าบอกว่า …

“ตอนนี้บัญญัติใหม่มาแล้วนะ พวกเธอไม่ต้องทำอะไรแล้ว ไม่ต้องพยายามทำตามกฎบัญญัติใดๆ เพราะว่าทำตามกฎ ก็ไม่สามารถทำได้ครบถ้วนสมบูรณ์ ตอนนี้เปลี่ยนเป็นว่าให้มาพึ่งพาในสิ่งที่พระเยซูคริสต์กระทำ เพื่อเขาบนไม้กางเขน”

นั่นแหละ คือเงื่อนไขใหม่ ให้เชื่อในสิ่งที่พระเยซูคริสต์ทำ พอเป็นแบบนี้ปุ๊บ คนยิวก็ไม่คุ้นชิน  เหมือนกับเขาเคยทำของเขามาตั้งนาน เขาเคยปฏิบัติตามธรรมบัญญัติที่พระเจ้าสั่งโมเสส โมเสสก็สั่งต่อ แล้วเขาก็เคร่งครัดในการปฏิบัติ แล้วเขามีความภาคภูมิใจ  รู้สึกว่า …

“ฉันปฏิบัติได้เยอะนะ อยู่ดีๆ บอกฉันไม่ต้องทำแล้ว ให้มาเชื่อพระเยซูอย่างเดียว”

มันรับไม่ได้ ตั้งแต่พระเยซูคริสต์ได้บังเกิดใหม่ จนถึงยุคปัจจุบัน คนยิวอีกมากมายที่ไม่สามารถยอมรับสิ่งนี้ได้ เขามีความรู้สึกว่ามันง่ายไป ให้พึ่งพาพระเยซูอย่างเดียว ก็ได้รับความรอด แต่ถ้อยคำของพระเจ้าบอกความรอดนี้ เป็นพระคุณ

เป็นพระคุณที่พระเจ้าให้เราเปล่าๆ  เพราะพระเจ้ารู้อยู่แล้วว่ามนุษย์ ไม่ว่าชาติยิว ชาติไหนก็ตาม ไม่สามารถที่จะทำความดี หรือประพฤติ ปฏิบัติตามกฎบัญญัติ จนครบถ้วนสมบูรณ์ 100% เพื่อที่จะได้รับความรอด  เพื่อที่จะมาคืนดีกับพระเจ้าได้ คือต่อให้ทำดีแค่ไหน? เชื้อที่เขาติดมา คือเชื้อบาป DNA บาป ยังอยู่ที่เดิม เขาจำเป็นต้องเปลี่ยน เปลี่ยนโดยวิธีที่พระเยซูบอก ก็คือการบังเกิดใหม่   แล้วถ้าคนจะเกิดใหม่ ก็ต้องตายก่อน ถ้าไม่ตาย ก็เกิดใหม่ไม่ได้

ฉะนั้น ขบวนการตรงนี้แหละที่พระเยซูคริสต์บอกว่าเราจำเป็นจะต้องบัพติศมาในวิญญาณ คือวิญญาณเราจำเป็นจะต้องไปตายพร้อมกับพระเยซู ฝังพร้อมกับพระเยซู เป็นขึ้นมาใหม่พร้อมกับพระเยซู คือบังเกิดใหม่ด้วยฤทธิ์เดชอำนาจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ ตรงนี้ คือพระคุณ แล้วพอเราได้บังเกิดใหม่ปุ๊บ ในข้อที่ 11 ก็เกิดผลเลย ตรงที่ว่าเราไม่ได้เป็นคนยิว แล้วพวกคนยิวเขาก็ดูถูกเรา พวกคนต่างชาติว่าไม่ใช่เป็นประชากรของพระเจ้า ไม่ได้อยู่ในพันธสัญญาของพระเจ้า ตรงนี้เขาใช้คำว่า “พวกที่เข้าสุหนัต”

พวกที่เข้าสุหนัต ก็คือตอนสมัยของอับราฮัม พระเจ้าก็ทำสัญญากับอับราฮัม ด้วยเลือด  เราจะสังเกตว่าพระสัญญาของพระเจ้าทุกอย่างต้องเกี่ยวข้องกับเลือดหมดเลย เพราะเลือด คือชีวิต แล้วพระเจ้าก็บอกว่าให้คนอิสราเอล เริ่มตั้งแต่อับราฮัม ตอนที่อับราฮัมทำพิธีเข้าสุหนัต ก็คือขลิบหนังปลายองคชาติ ให้เลือดออก ตอนนั้น อับราฮัมอายุ 99 ปี แล้วพระเจ้าก็ให้ชนชาติอิสราเอลที่เป็นบริวารของอับราฮัม ให้ทำแบบนี้หมดเลย ก็คือผู้ชายทุกคนจะทำพิธีนี้ คือพิธีเข้าสุหนัต เพื่อยืนยันว่าเขาเป็นประชากรของพระองค์ นั่นคือยุคสมัยเดิมนะ พระเจ้าทำอย่างนี้

แต่พอถึงยุคพันธสัญญาใหม่ การเข้าสุหนัต คือเข้าสุหนัตฝ่ายวิญญาณ ที่พระเจ้าก็ใช้เลือดเหมือนกัน แต่ไม่ใช่เลือดของมนุษย์แล้ว ก่อนหน้านั้น ให้เลือดมนุษย์หลั่งออก  เพื่อทำสัญญากับพระเจ้า แล้วจากนั้น พระเจ้าก็ตั้งเงื่อนไข กฎเกณฑ์ว่าคนอิสราเอล ต้องเอาเลือดของสัตว์ที่ไม่มีตำหนิ ตามที่พระเจ้ากำหนดไว้ มาถวายเป็นเครื่องบูชาทุกปี เพื่อกลบเกลื่อนบาป ไม่ใช่ลบหายไปเลยนะ กลบเกลื่อนเฉยๆ  ปีต่อปี  เพื่อมาส่งดอกเบี้ย เพื่อยืดชีวิตที่ตัวเองเป็นประชากรของพระเจ้าเท่านั้น พอตรงนี้ คนอิสราเอลทำมาตลอดเลย โดยใช้เลือดของแกะ หรือแพะ หรือนกพิราบ หรืออะไรก็แล้วแต่ แล้วแต่บาปแต่ละคนเป็นอย่างไร? แต่ว่าถ้าเป็นการถวายเครื่องบูชา เพื่อลบบาปใหญ่ คือปีหนึ่งแค่ครั้งหนึ่ง ก็ต้องใช้ลูกแกะที่ไม่มีตำหนิ อายุกี่ขวบ อะไร พระเจ้าก็กำหนดไว้หมดเลย  แล้วต้องนำมาให้กับมหาปุโรหิต เพื่อฆ่าแกะตัวนั้น  แล้วจะมีแพะด้วย  ตอนที่อธิษฐาน ก็จะเอามือวางที่หัวของแพะ เหมือนเป็นแพะรับบาป แล้วก็ปล่อยไป คือมีขบวนการพิธีเยอะแยะมากมาย แล้วเมื่อฆ่าแกะเสร็จ ก็จะเอาเลือดมาเป็นเครื่องถวายบูชา ตรงนั้นแหละ คือขบวนการสมัยอดีต พอพระเยซูคริสต์มาปุ๊บ พระเยซูได้ใช้พระโลหิตของพระองค์เอง ก็คือเดินเข้าไปที่ไม้กางเขน หลั่งพระโลหิตของพระองค์

ฉะนั้น เมื่อก่อน เลือดของสัตว์ชำระได้ปีต่อปี แล้วไม่ใช่ปีหนึ่งทำครั้งเดียว พอคนอิสราเอลทำบาปปุ๊บ ก็ต้องดูว่าบาปเล็กหรือบาปใหญ่ บาปขนาดไหน แล้วบาปแต่ละชนิด พระเจ้าก็มีข้อกำหนดด้วยว่าถ้าทำผิดอย่างนี้ สมมติว่าไปขโมยของของพี่น้อง ต้องเอาอะไรมาถวายเป็นเครื่องบูชา เพื่อลบบาป แล้วไม่ใช่ถวายเครื่องบูชาอย่างเดียวนะ ต้องเอาของที่ขโมย มาคืนให้กี่เท่า สมัยก่อนมีคืนให้ 2 เท่า 3 เท่า แล้วแต่ แต่ละอย่าง คือข้อกำหนดเยอะมาก คนอิสราเอลเขาก็ทำตามมาตลอด แต่ว่าทำได้บ้าง ไม่ได้บ้าง ทำผิดแล้วผิดอีกอะไรอย่างนี้ พอถึงยุคของพระเยซูคริสต์ พระเจ้าบอกว่าพระเยซูตายแค่ครั้งเดียว หลั่งพระโลหิตแค่ครั้งเดียว  โลหิตของพระเยซูคริสต์ได้ชำระล้างบาปของมนุษยชาติทั้งหมด ไม่ใช่เฉพาะผู้เชื่อบนโลกใบนี้  อดีต ปัจจุบัน อนาคต ที่เราจะทำอีก ชำระหมด เที่ยวเดียวจบเลย ในพระคัมภีร์บอกอย่างนั้น พระเยซูไม่ต้องมาทำแล้วทำอีก เหมือนกับสมัยโบราณ ที่คนอิสราเอลต้องเอาแกะ เอาแพะมาถวายเป็นเครื่องบูชา ปีหนึ่งครั้งหนึ่ง แล้วก็บาปเล็กบาปน้อย เอามาถวาย อาจจะเรียกว่าทุกวี่ทุกวัน เพราะว่าคนทำบาปทุกวันอยู่แล้ว

ตรงนี้แหละ คือพระคุณ แล้วพระเจ้าบอกว่าพระคุณตรงนี้ พระเยซูคริสต์ได้ทำให้สำเร็จแล้ว การหลั่งพระโลหิตของพระเยซูได้ชำระล้างความผิดบาปของเราเรียบร้อยแล้ว พระเยซูยอมละวิญญาณของพระองค์เอง คือยอมสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน เพื่อว่ามนุษยชาติจะได้สามารถไปตายพร้อมกับพระองค์ ถ้าไม่ตาย ก็เกิดใหม่ไม่ได้ ก็ยังอยู่ในบาปอยู่ ตายพร้อมกับพระองค์ แล้วก็เป็นขึ้นมาใหม่พร้อมกับพระองค์ ในภาษาพระคัมภีร์ใช้คำว่า “บังเกิดใหม่” เข้ามาในอาณาจักรของพระเจ้า เป็นครอบครัวของพระเจ้า  เข้ามาอยู่ฝ่ายพระเจ้า เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเจ้า  ก็คือเข้ามาคืนดีกับพระเจ้า

ก่อนหน้านั้น เป็นศัตรูกับพระเจ้า  อยู่คนละฝั่งกับพระเจ้า อยู่ในความตาย  อยู่ในความบาป แต่พอเราบังเกิดใหม่ปุ๊บ พระเจ้าบอกวิญญาณเราได้รับการเปลี่ยนใหม่เลย ไม่ใช่ว่าต้องมาซ่อมแซม หรือว่ามาชำระตลอด ไม่ใช่ เปลี่ยนวิญญาณใหม่ให้กับเรา เป็นเหมือนวิญญาณของพระเยซูคริสต์ ฉะนั้น พอเราได้รับการเปลี่ยนวิญญาณใหม่ปุ๊บ ในพระคัมภีร์บอกว่าตรงนี้แหละ คือพระพรที่พระเจ้าให้ เป็นพระคุณที่พระเจ้าให้เราเปล่าๆ โดยที่เราไม่สมควรได้รับเลย  เราเป็นคนบาป เราควรจะได้รับกรรม หรือได้รับโทษตรงนี้ แต่พระเจ้าบอกว่าถ้าขืนปล่อยให้เธอทำ เพื่อลบล้างบาป ลบล้างโทษ สงสัยไม่ไหว  คืออย่างไรก็ทำไม่ได้ พระเยซูก็เลยถูกส่งมา  เป็นแผนการตั้งแต่เริ่มต้น

พระเยซูทำเรียบร้อยแล้ว ก่อนที่จะเสด็จขึ้นสวรรค์ ในพระคัมภีร์บอกว่าพระเยซูเป็นขึ้นมาจากความตาย แล้วมาอยู่กับสาวก 40 วัน … 40 วันที่เดิน กิน นอนด้วยกันกับสาวก สาวกเห็นพระเยซู คือร่างกายที่สามารถจับต้องมองเห็นได้ แล้วเป็นร่างกายที่เต็มไปด้วยสง่าราศี แต่จำกันได้อยู่ว่าเป็นพระเยซูคริสต์ และเป็นร่างกายที่ไม่ถูกจำกัดด้วยสถานที่  ก็คือก่อนที่พระเยซูจะสิ้นพระชนม์ พระเยซูไปไหน ไปได้ที่เดียว  แล้วต้องใช้เวลาเดินทาง ต้องเดินบนบก หรือลงเรือ ข้ามฟากอะไรต่างๆ  คือต้องใช้เวลาเดินทาง  แต่หลังจากที่พระเยซูคริสต์เป็นขึ้นมาจากความตาย คือไม่ต้องใช้เวลาเดินทาง พระเยซูจะมาตอนไหน? พระองค์ก็มาเลย

ภาพนี้เป็นภาพเดียวกันกับในอนาคตข้างหน้า เมื่อผู้เชื่อละร่างกายนี้ วิญญาณเราออกจากร่าง เราจะได้ไปรับร่างกายใหม่ ที่เต็มไปด้วยสง่าราศีเหมือนพระเยซูคริสต์ ก็คือเราจะเป็นเหมือนพระเยซูเลย ฉะนั้น พระเยซูมา เพื่อให้สาวกได้เห็นว่าพระองค์เป็นขึ้นมาใหม่จริงๆ แล้วตอนที่พระเยซูเป็นขึ้นมาใหม่ ยังมีสาวก โธมัสไม่เชื่อว่าพระเยซูเป็นขึ้นมาใหม่

“ไม่ได้ ฉันไม่เชื่อหรอก ต้องให้ฉันเอานิ้วมาแหย่ที่รอยตะปู เพื่อให้มั่นใจว่าเป็นพระเยซูจริงๆ”

พระเยซูก็ให้ดูเลย พอมาเจอโธมัส มาๆ เอานิ้วมาแหย่ เราจะเห็นภาพความรัก ความเมตตา ที่พระเจ้ามีต่อมนุษยชาติ หลายคนคิดว่าเราเป็นคริสเตียน ถ้าเราสงสัยพระเจ้า พระองค์จะโกรธเราไหม? โธมัสเป็นตัวอย่างที่ดีนะ โธมัสสงสัยเหมือนกัน เขาไม่ได้เชื่อเลย

เมื่อเพื่อนๆ บอกว่า … “องค์พระผู้เป็นเจ้าเป็นขึ้นมาจากความตายแล้วนะ เราเห็น”

โธมัสบอก … “ไม่เชื่อๆ” ต้องเห็นด้วยตาของตัวเอง ต้องเอานิ้วแหย่ด้วยมือของตัวเอง สัมผัสด้วยตัวเองว่าเป็นจริงๆ เขาถึงจะเชื่อ แล้วพระเยซูก็ไม่เคยโกรธเลย พระองค์บอกมาๆ เอานิ้วมาแหย่เลย เพื่อพิสูจน์ว่าเราเป็นพระเจ้า แล้วเราได้บังเกิดใหม่จริงๆ ได้เป็นขึ้นมาจากความตายจริงๆ

ซึ่งความสงสัยตรงนี้ ก็ไม่มีผลอะไรกับวิญญาณของเรา อย่างปัจจุบัน ตอนที่พระเยซูเป็นขึ้นมาจากความตาย แล้วผู้เชื่อ ตอนนั้นคนที่ติดตามพระเยซู ยังไม่ได้รับการบังเกิดใหม่ อย่างตอนที่พระเยซูอยู่ด้วย 40 วัน คือสาวกที่ติดตามพระองค์ยังไม่ได้บังเกิดใหม่เหมือนพวกเรา คือพระเยซูให้รอ รอตามพระสัญญาที่พระองค์บอกว่าพระองค์จะส่งพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระองค์มาสถิตอยู่ในผู้เชื่อ แล้วเมื่อวันเพ็นเตคอส ก็คือหลังจาก 40 วัน ตอนที่พระเยซูลอยขึ้นไปที่สวรรค์ พระเยซูบอกว่าให้ไปรอ แล้วก็ให้ออกไปสั่งสอนชนทุกชาติให้เป็นสาวกของเรา ให้เขารับบัพติศมาในพระนามของพระบิดา พระบุตร พระวิญญาณบริสุทธิ์

ดังนั้น คำว่า “รับบัพติศมา” ของพระเยซูคริสต์ตรงนี้  สมัยก่อน เราก็เข้าใจว่าพระเยซูสั่งว่าให้เราไปประกาศ ให้คนมาเชื่อพระเจ้า พอเชื่อพระเจ้าปุ๊บ ก็ให้ผู้เชื่อมาบัพติศมาในน้ำ เป็นพิธีที่แสดงว่าคนนั้นได้กลับใจใหม่ แล้วเราก็ทำอยู่แค่นี้  แต่ว่าความเป็นจริงในโลกวิญญาณ พระเยซูไม่ได้หมายถึงการบัพติศมาในน้ำ

การบัพติศมาในน้ำ ทำดีไหม? ดี แต่ไม่มีผลกับวิญญาณเรา ต่อให้เราบัพติศมาในน้ำกี่ครั้งก็ตาม แต่ถ้าวิญญาณเราไม่ได้บังเกิดใหม่ มันก็ไม่มีผลอะไร  เราก็อยู่ที่เดิม เราไม่ได้เชื่อพระเจ้าจริงๆ เราไม่ได้รับเอาพระเยซูคริสต์เข้ามาอยู่ในเราจริงๆ ไม่ได้เปิดใจต้อนรับพระองค์จริงๆ ไม่ได้กลับใจใหม่ ไม่ได้ตายกับพระองค์ ไม่ได้เป็นขึ้นมากับพระองค์ เราก็ยังอยู่ที่เดิม คือวิญญาณเก่าของเราอยู่ที่เดิม อยู่ในความบาปและความตายเหมือนเดิม

ฉะนั้น การทำพิธีบัพติศมาในน้ำไม่มีผลอะไรกับวิญญาณเรา แต่ว่าวิญญาณเรา เมื่อบังเกิดใหม่ปุ๊บ เราเป็นลูกพระเจ้าเลย ลูกพระเจ้าที่ต่อให้คนๆ นั้นเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์แล้ว เป็นลูกของพระเจ้าแล้ว เชื่อปุ๊บ เขาตายไปเลย คือจากไปอยู่กับพระเจ้าเลย โดยที่ยังไม่ได้ทำพิธีบัพติศมาในน้ำเลย  อ้าว! ตกลงเขาจะรอดหรือไม่รอด? คือโดยความคิดของมนุษย์ หรือเราถูกสอนมา เราคิดว่าไม่รอดแน่เลย เพราะว่ายังไม่ได้ทำอะไรให้ครบถ้วนสมบูรณ์ ตามที่เขากำหนดไว้ว่ามาเชื่อพระเจ้าแล้ว ต้องบัพติศมาในน้ำ ต้องอย่างโน้นต้องอย่างนี้ แต่ความเป็นจริงในโลกวิญณาณ ก็คือเมื่อเขาเชื่อปุ๊บ วิญญาณเขาได้รับความรอดทันที ได้ไปนั่งอยู่ที่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้าร่วมกับพระเยซูคริสต์ทันทีเลย ก็คือเขาเป็นลูกของพระเจ้าทันที วิญญาณเขาได้รับการบังเกิดใหม่ เปลี่ยนแปลงใหม่เลย เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์ทันที แล้วต่อให้เขาไม่ได้บัพติศมาในน้ำ เมื่อเขาจากโลกนี้ไป วิญญาณเขาก็อยู่ที่เดิม  คืออยู่ที่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้าร่วมกับพระเยซูคริสต์เหมือนเดิม นี่คือความจริงในโลกวิญญาณ

ซึ่งหลายๆ ครั้งเราก็ถูกหลอก ไปให้ความสำคัญกับพิธีกรรมมากกว่าความจริงในโลกวิญญาณ ที่พระเจ้าบอกเราว่าความจริง คือแบบนี้ พระเยซูจึงบอกว่าให้ทำตามความจริง ก็คือมนุษย์ทุกคนจำเป็นต้องบัพติศมาในพระวิญญาณ เมื่อพระวิญญาณบัพติศมา ก็คือเอาวิญญาณเราไปตาย ฝัง เป็นขึ้นมา นี่คือขบวนการบัพติศมาที่แท้จริงในถ้อยคำของพระเจ้า

ฉะนั้น พอถึงวันเพ็นเตคอส  ที่พระเยซูบอกให้สาวกไปรอ พระวิญญาณบริสุทธิ์ลงมาอยู่เหนือผู้เชื่อ ครั้งแรก เมื่อ 2,000 กว่าปีที่แล้ว ก็คือผู้เชื่อที่เชื่อวางใจในพระเยซูคริสต์ได้รับการชำระให้สะอาดบริสุทธิ์ ร่างกายถูกชำระให้บริสุทธิ์ วิญญาณถูกเปลี่ยนใหม่ ความคิดจิตใจถูกเปลี่ยนใหม่ แล้วบริสุทธิ์ถึงขนาดที่พระเจ้าสามารถรับได้ พระวิญญาณบริสุทธิ์เข้ามาสถิตอยู่ในผู้เชื่อได้ แปลว่าทันทีที่เราเชื่อ พระเจ้าทำขบวนการนี้เสร็จสมบูรณ์เลย เราสะอาดบริสุทธิ์หมดจดเลยตั้งแต่วันนั้น  ตั้งแต่วินาทีนั้นเลย ที่เราเปิดใจต้อนรับพระเจ้า

ฉะนั้น ความจริงตรงนี้จะทำให้เราสามารถเป็นอิสรภาพ เราจะไม่ถูกหลอกว่า …

“ร่างกายเธอสกปรกอยู่นะ เธอไม่สะอาด เพราะ …”

ไม่สะอาด เพราะอะไร?  “เพราะเธอยังทำบาปอยู่ไง แต่ถ้อยคำพระเจ้าบอกว่าเธอสะอาดแล้ว ฉันชำระจนสะอาด ถ้าเธอไม่สะอาด ฉันเข้ามาอยู่ด้วยไม่ได้ ถ้าอยู่ด้วย เธอตาย” นี่คือความจริง

พระเจ้าบริสุทธิ์มาก บริสุทธิ์ถึงขนาดที่ว่าถ้ามาเจอความบาป  คนบาปอยู่ใกล้พระเจ้าตายทันที พี่น้องจำตอนที่กษัตริย์ดาวิดไปนำเอาหีบพันธสัญญาของพระเจ้ากลับมาได้ไหม? นี่พระคัมภีร์เดิม แค่กฎระเบียบที่พระเจ้าตั้งไว้ หีบพันธสัญญา มนุษย์ไม่สามารถเอามือเปล่าๆ แตะได้เลย แตะปุ๊บ ตาย นั่นคือเงื่อนไข กฎ

ตอนที่เอาหีบพันธสัญญาเดินทาง แล้วเกวียนตกหล่ม คนที่ดูแลเกวียนอยู่ เขาก็กลัวหีบพันธสัญญาหล่นลงมา  เขาก็เอามือไปช้อน ช้อนปุ๊บ ตายเลย ที่ตายไม่ใช่เพราะว่าพระเจ้าโกรธ แล้วพระเจ้าก็ทำให้เขาตายไม่ใช่ แต่มันเป็นกฎ กฎที่พระเจ้าตั้งไว้ ก็คือความบาปกับความบริสุทธิ์ อยู่ด้วยกันไม่ได้ ถ้าเธอยังเป็นคนบาปอยู่ เธอมาแตะต้องหีบพันธสัญญา สมัยก่อนเขาเรียกว่าพระเจ้าสถิตอยู่ด้วย  แตะต้องการทรงสถิตของพระเจ้า เธอตายอย่างเดียวเลย นั่นคือกฎ

แล้วพี่น้องลองคิดดูจะมีมนุษย์คนไหนที่สามารถสะอาดบริสุทธิ์ จนพระเจ้ารับได้ ไม่มีทาง พระเจ้าเลยต้องส่งพระเยซูคริสต์มา พอพระเจ้าส่งพระเยซูคริสต์มา พระเจ้าก็ชำระเราสะอาดบริสุทธิ์ หมดจดทุกอย่างเลย โดยที่เราไม่ต้องทำอะไร พระเจ้าทำให้หมด  โดยการสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขนของพระเยซูคริสต์ หลั่งพระโลหิต ถูกฝัง เป็นขึ้นมาจากความตาย ขบวนการนี้ทำสำเร็จเรียบร้อย แล้วใครก็ตามที่ได้ยินได้ฟังข่าวประเสริฐของพระเจ้า เรื่องราวนี้ แล้วเราเดินเข้ามาบอกพระองค์ว่า …

“พระองค์เจ้าข้า ลูกต้องการความช่วยเหลือจากพระเจ้า” … คนนั้นได้เลย

นั่นคือเงื่อนไข ที่พระเจ้าตั้งไว้  เขาก็จะได้รับความรอด ได้รับสิ่งต่างๆ ที่พระเจ้าทรงสัญญาไว้กับมนุษยชาติ คือทันที เขาได้บังเกิดใหม่ เขาได้เป็นลูกของพระเจ้า แล้วขณะเดียวกัน พระเจ้าไม่ได้เฉพาะพุ่งเป้าที่วิญญาณเท่านั้น หลายคนอาจจะคิดว่าวิญญาณจ๋า พูดแต่วิญญาณ แล้วเราอยู่บนโลกใบนี้ทำอย่างไรล่ะ เรายังต้องดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ เราเจอความทุกข์ยากลำบาก พระเจ้าไม่สนใจหรือ? ถามว่าพระเจ้าไม่สนใจเราจริงหรือ? ไม่จริงนะ พระเจ้าสน พระเจ้าดูแล พระเจ้าสัญญากับเราว่าใครก็ตามที่เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด เป็นลูกของพระองค์แล้ว พระองค์จะสถิตอยู่ด้วย นั่นสมัยที่พระเจ้าสัญญานะ “จะ” สถิตอยู่ด้วย แต่ ณ เวลานี้ คำว่า “จะ” ไม่มีแล้ว

ผู้เชื่อไม่ใช้คำว่า “จะ”  จะ แปลว่ายังไม่มา อนาคตจะมา  แต่ผู้เชื่อใช้คำว่า “พระเจ้าอยู่ด้วย” ก็คืออยู่แล้ว  ตอนนี้พระองค์อยู่กับเราแล้ว สำหรับคนที่ยังไม่ได้เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ พระเจ้าบอกว่าจะ ในอนาคตข้างหน้า ถ้าเธอเปิดใจปุ๊บ ฉันไปเลยนะ เข้ามาอยู่ในนี้

ดังนั้น ตอนนี้เราไม่ใช้คำว่า “จะ” ก็คือพระเจ้าอยู่ด้วย อยู่ในเรา แล้วพระองค์ก็ทรงนำพาชีวิตของเรา จูงมือเรา ให้สติปัญญาเรา ให้กำลังเรา  ไม่ว่าเราจะเผชิญกับอะไรก็ตามบนโลกใบนี้ พระเจ้าไม่เคยทิ้งเราเลยแม้แต่วินาทีเดียว  อยู่ด้วยตลอด

ตรงนี้แหละ คือพระสัญญา แล้วพระองค์ก็ยังทรงสัญญาว่าพระองค์ผู้ทรงเริ่มต้นการงานดี ทันทีที่เราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอด พระเจ้าก็เริ่มต้นการงานดี ในชีวิตของเราแล้ว พระองค์ก็จะคอยประคบประหงม ดูแล ให้คำปรึกษา  คอยแนะนำเราว่า …

“ตรงนี้ ลูกเอ๋ย ทำอย่างนี้ดีนะ ลูกจะได้ประโยชน์ คือไม่ต้องทุกข์มากบนโลกใบนี้ ลูกทำอย่างนี้ ไม่ค่อยดีเท่าไรนะ เดี๋ยวลูกจะกินผลของมัน ลูกก็จะทุกข์”

พระเจ้าจะคอยช่วยเหลือ แล้วตรงนี้แหละว่าพระองค์จะประคับประคองวิญญาณเรา ถึงวันสุดท้ายของชีวิต ไม่ว่าอยู่บนโลกใบนี้ เราจะล้มลุกคลุกคลานอย่างไร? วิญญาณเรารอดแน่นอน  เพราะพระเจ้าทรงสัญญาไว้ แล้วให้เรารับรู้ ความจริงอีกอันหนึ่ง คือขณะที่เรายังมีลมหายใจอยู่บนโลกใบนี้ เรายังต้องเผชิญกับการทำผิดทำบาป อาจจะทุกวี่ทุกวัน จริงๆ ไม่อาจจะ มันทุกวี่ทุกวันอยู่แล้ว เพราะในพระคัมภีร์บอกว่าแค่เราคิดไม่ดี นั่นคือบาปแล้ว ก็คือทุกวี่ทุกวัน แล้วเราจะชนะมันได้อย่างไร? ชนะวันที่วิญญาณเราออกจากร่าง เราทิ้งร่างกายนี้  ร่างกายที่ยังอยู่ในกฎของความบาปและความตาย เมื่อถูกทิ้งไปปุ๊บ เราไปรับร่างกายใหม่ ตอนนี้เราไม่ต้องลุ้นแล้ว

ตอนที่เราไปอยู่กับพระเจ้า อวัยวะส่วนที่ไปกับพระเจ้า ก็คือวิญญาณ วิญญาณเราถูกเปลี่ยนใหม่เลยใช่ไหม? สะอาด บริสุทธิ์ ก็คือไปอยู่กับพระเจ้า ความคิดจิตใจเราก็ถูกเปลี่ยนจนสะอาดบริสุทธิ์ใช่ไหม? ไปกับพระเจ้า ส่วนร่างกายไม่ไปด้วย เพราะร่างกายนี้ไปกับพระเจ้าไม่ได้ ยังอยู่ในโลกนี้  อยู่ในความบาปและความตาย  ฉะนั้น เราต้องทิ้งร่างกายเก่านี้ ที่พระเจ้าบอกว่าเจ้าถูกสร้างมาจากดิน เจ้าต้องกลายเป็นผงคลีดิน วันที่มนุษย์ล้มลงในความบาป พระเจ้าพูดอย่างนี้เลย ก็คือมนุษย์ยังต้องดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ ที่พอเราเชื่อพระเจ้าปุ๊บ พระเจ้าไม่เอาเรากลับบ้านเลย พระองค์มีงานให้เราทำ ก็คือสำแดงธรรมชาติใหม่ของเรา ที่เป็นลูกของพระเจ้าให้กับผู้คนอื่นๆ ได้รับรู้ เป็นการปะกาศพระเยซูคริสต์อีกรูปแบบหนึ่ง

ตรงนี้แหละ พระเจ้าใช้แต่ละคนไม่เท่ากัน ไม่เหมือนกัน บางคนพระเจ้าก็ใช้เขา คืองานเขามีน้อย พองานเขามีน้อย จบงานพระเจ้าก็เอาเขากลับบ้าน หลายคนเราเห็นว่าคนนี้ยังเด็กอยู่ ทำไมพระเจ้าเอาเขากลับบ้าน พระเจ้าบอกงานเขาจบแล้ว พระเจ้าก็ให้เขากลับบ้าน กลับบ้านไปทำอะไร? ไปพักผ่อนไง เหมือนเราตื่นแต่เช้าไปทำงาน เราก็รอเวลาที่จะเลิกงาน  5 โมงเย็นดีจังเลย พอถึงเวลา 4 โมง 50 อีก 10 นาที เดี๋ยวเราได้กลับบ้านแล้ว ภาพเดียวกันเลย เราอยู่บนโลกใบนี้ เหมือนอาจารย์เปาโลบอก อยู่เพื่อรับใช้  ตายก็ได้กำไร ก็คืองานเราจบ พระเจ้าก็บอกจบงานแล้วนะ ไป ไปพักผ่อน ก็เอาเรากลับบ้าน  ตรงที่เอาเรากลับบ้านนี่แหละ คือวิญญาณเราจะออกจากร่าง ด้วยวิธีอะไรก็ได้ วิธีอะไรไม่เกี่ยง เราเป็นคริสเตียน ตายด้วยวิธีอะไร ก็ไม่มีผลอะไรกับวิญญาณเรา อาจจะถูกอุบัติเหตุตาย ถูกรถชนตาย เดินไม่ดี สะดุด หัวไปฟาดฟุตบาทตาย อะไรแบบนี้ มันก็ต้องตาย คือตายจากปุ๊บ วิญญาณเราก็ออกจากร่าง ไปอยู่กับพระเจ้า ไปรับร่างกายใหม่ที่เต็มไปด้วยสง่าราศี นี่คือความจริงในโลกวิญญาณ ที่เราจำเป็นต้องรับรู้ ไม่อย่างนั้น เราก็จะถูกหลอก

คริสเตียนที่เดินกับพระเจ้า รับรู้ความจริงว่าพระเจ้ารักเราขนาดไหน? รับรู้ความจริงว่าที่เราได้รับความรอด รอดโดยพระคุณ แล้วพระเจ้าบอกว่าพระองค์ให้เราทำอย่างเดียวเลย หลังจากที่เราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด คือเชื่อและวางใจในพระองค์ แค่นั้นเอง

ตอนที่คนยังไม่ได้เชื่อพระเจ้า พวกสาวกเขาก็ถามพระเยซูว่า … “งานของพระองค์คืออะไร?”

งานตอนนั้นยังไม่ได้เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ งานของพระองค์ พระเยซูบอกว่า … “งานเดียวที่พวกเธอต้องทำ คือเชื่อ วางใจในผู้ที่พระเจ้าส่งมา คือเชื่อฉันนั่นแหละ ฉันคือผู้ที่พระเจ้าส่งมา ฉันคือพระมาซีฮาห์  ฉันคือพระผู้ช่วยให้รอด  มีฉันคนเดียวเท่านั้น ที่จะสามารถช่วยเธอให้รอด แค่เธอเชื่อวางใจฉัน งานแค่นี้เอง เธอก็ได้รับความรอด”

พอจากนั้น เมื่อเราได้รับความรอดปุ๊บ เราก็จะถามอีก เพราะว่าเราถูกธรรมชาติเดิม ที่ความเคยชิน มนุษย์เขารู้สึกว่าเราต้องทำงาน  เราต้องทำอะไรสักอย่างหนึ่ง เพื่อแลกกับอะไรสักอย่างหนึ่ง มันเป็นเรื่องปกติของมนุษย์ที่อยู่ในความบาป พระเจ้ารู้ คือยากมาก การที่จะบอกมนุษย์ว่าไม่ต้องทำอะไร ให้เชื่ออย่างเดียว เชื่อ พระเจ้าทำให้หมดแล้ว มันยากมากเลยนะ

แต่คำว่า “เชื่อ ไม่ต้องทำอะไรเลย” ไม่ได้หมายความว่าพระเจ้าให้เรานอนแน่นิ่ง กินลม ไม่ใช่ คำว่า “ไม่ต้องทำอะไรเลย” หมายความว่าไม่ต้องทำอะไร ด้วยกำลังของเราเอง ด้วยความคิดของเราเอง ด้วยสติปัญญาของเราเอง แต่ให้เราแค่รับรู้ว่าเราเป็นใคร? มาจากไหน?  เราได้รับอะไรบ้าง?  พอเรารับรู้เยอะๆ แล้วพระเจ้าจะเป็นคนผลักเราออกไป พูดอีกนัยหนึ่ง คือพระเจ้าจะเป็นคนป้อนงานให้เรา ไม่ใช่เราพยายามอยากทำ เวลาพระเจ้าป้อนงานให้เรา พระเจ้าแบ็คเราอยู่

สมมติว่าพอเรารับรู้ความจริงว่าเราเป็นใคร? แล้วเราก็คอยพระเจ้านิ่งๆ คอยพระเจ้า แล้ววันหนึ่งพระเจ้าจะใช้เรา สมมติพระเจ้าเห็นว่าตรงนี้มีคนๆ หนึ่งที่ถึงเวลาแล้วล่ะ ที่เขาจะเปิดใจ ต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด แล้วพระเจ้าจะใช้เรา เป็นเครื่องมือของพระองค์ พระองค์จะทำงานในใจเราว่าตอนนี้ คนนี้ต้องการการช่วยเหลือ เธอไปคุยเรื่องพระเจ้าให้เขาฟัง แค่นี้เอง

นี่คือการทำงานตามพระวิญญาณ ตามที่พระเจ้าบอกเรา ไม่ใช่ว่าเราต้อง ต้องทุกวัน ไปหาใครก็ตามที่เราจะไปสำแดงความรัก เราทำไม่ไหวหรอก เพราะว่าเราไม่มีกำลังขนาดนั้น เป็นกำลังของเราเอง แต่ถ้าเป็นกำลังจากพระเจ้า มันง่าย  เมื่อพระเจ้าบอกเราปุ๊บ เราก็เอเมน เราก็ไปทำ แล้วมันก็ง่ายมากเลย พูด 2 คำเชื่อแล้วหรือ? เพราะว่าไม่ใช่ฝีมือเรา  ที่เราไปประกาศ แล้วทำให้คนเชื่อ ไม่ใช่ฝีมือเราเลย เราเป็นแค่เครื่องมือให้กับพระเยซูคริสต์ที่พระเจ้าบอกตอนนี้ ฉันจะใช้เธอนะ ไป พอทำเสร็จ พระวิญญาณบริสุทธิ์จะเป็นคนทำงานทั้งหมดเลย  แล้วคนนั้นเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอด พอเราทำเสร็จ ก็ขอบคุณพระเจ้า พระเจ้าใช้เรา ทำแค่นี้ งานแค่นี้ใช่ไหม? งานใหม่ยังไม่มา เราก็ไม่ต้องพยายามต้องไปดิ้นรนขวนขวายทำ เพื่อให้มันรู้สึกว่าเราได้ทำอะไรซะบ้าง ไม่ต้อง พระเจ้าบอกอยู่นิ่งๆ ถึงเวลา พระองค์ก็จะนำเราออกไป โดยง่ายๆ เนียนๆ ไม่ต้องไปพยายามดิ้นรน นี่คืองานของพระเจ้าจริงๆ ทำตามพระวิญญาณ

ยกตัวอย่างนางมารีย์กับมาธา  เราจะเห็นภาพเลย มนุษย์ ที่ธรรมชาติเดิมของเรา เราเหมือนมาธาเลย เราชอบทำ ไม่ใช่ชอบธรรม เรารู้สึกเราได้ทำโน่นทำนี่ เหมือนเรามีค่า เรามีประโยชน์ หรือมีอะไรสักอย่างหนึ่ง ดูดี แต่กลับกัน สำหรับพระเจ้า ไม่ว่าเราจะทำอะไรก็ตาม ถ้าพระเจ้าเป็นผู้นำเราทำ งานนั้นจะเล็กหรือน้อย  มันจะเป็นพรให้กับคนอื่น

มารีย์กับมาธา เป็นตัวอย่างที่ดีมาก ตอนที่พระเยซูยังเดินอยู่บนโลกใบนี้ พระเยซูไปเยี่ยมเยือนมารีย์มาธาบ่อย ครอบครัวนี้มีน้องชายชื่อลาซารัส มารีย์เป็นคนที่นั่งใกล้พระบาทพระเยซู ภาพคือเขาเป็นคนที่นั่งอยู่ที่แทบพระบาทพระเยซูคริสต์ ฟังถ้อยคำของพระเจ้า เขาอยากรู้ว่าพระเยซูคริสต์พูดอะไร? ถ้าเปรียบเหมือนปัจจุบัน ก็คือผู้เชื่อที่จดจ่อ จดจำ ให้รู้ว่าถ้อยคำของพระเจ้าบอกเราว่าอย่างไร? ว่าตอนนี้เราเชื่อพระเจ้าแล้ว  เราเป็นอย่างไร? เรามีอะไรเรียบร้อยไปแล้ว  ก็คือนั่งฟัง จดจ่อมากเลย อยากรู้ว่าพระเยซูจะคุยอะไร?  นี่ภาพมารีย์

อีกภาพหนึ่ง มาธา พระเยซูเสด็จมาถึงบ้านเลยนะ มาธาตื่นเต้นที่พระเยซูมา ไปทำกับข้าวกับปลา ทำโน่นทำนี่เยอะแยะมากมาย ทำด้วยกำลังตัวเองไง เหนื่อย พอเหนื่อยมาฟ้องพระเยซูอีก

“พระองค์เจ้าข้า เตือนมารีย์หน่อย ไม่ยอมไปช่วยงานเลย มานั่งอยู่กับพระเยซูอยู่นั่นแหละ”

แต่พระเยซูพูดกับมาธาว่า … “มาธา เจ้าวุ่นวายด้วยเรื่องเยอะมาก คือหลายสิ่ง แต่หลายสิ่งที่เธอทำ ไม่ได้เป็นน้ำพระทัยของฉัน ฉันไม่ได้ต้องการให้เธอทำซะขนาดนั้นหรอก เธอมานั่งฟังฉันดีกว่า”

แต่สิ่งที่มารีย์ทำ คือเขาทำสิ่งที่ดีที่สุด แล้วไม่มีใครสามารถแย่งไปจากเขาได้เลย  ก็คือเขารับมาเต็มๆ รับถ้อยคำจากพระเยซูมาเต็มๆ

เหมือนกัน หลายคนอาจคิดว่าเราทุกวันมัวแต่มาดูว่าพระเยซูเป็นใคร?  พระเยซูทำอะไรสำเร็จ? พวกนี้วันๆ ไม่เห็นทำอะไรเลย ประกาศ ก็ไม่เห็นออกไปประกาศ เยี่ยมเยือนก็ไม่ออกไปเยี่ยมเยือน เขาทำอะไรกัน ผู้รับใช้ที่นี่ขี้เกียจดีเนอะ อะไรอย่างนี้ แต่ว่าสิ่งที่พระเยซูบอก ก็คือถ้าเราจดจ่อตรงนี้แล้วรับรู้ความจริงตรงนี้ ความจริงตรงนี้มันคือฤทธานุภาพ ที่เรานำมาบอกกับผู้เชื่อ บอกกับสมาชิก เพื่อเขารับรู้ความจริง แล้วเขาจะเกิดผลในโลกวิญญาณ เมื่อเขารับรู้ความจริง เขาจะสามารถแข็งแกร่ง เขาจะสามารถดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ ด้วยกำลังซึ่งมาจากพระเจ้า ไม่ใช่กำลังของตัวเอง ไม่ใช่พยายามต้องๆๆๆๆ

พระเยซูบอกว่า “ต้อง” อย่างเดียวของผู้คนบนโลกใบนี้ คือต้องเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด จากนั้นไม่มีคำว่า “ต้อง” แล้ว  ต้องอธิษฐาน  ต้องอ่านพระคัมภีร์  ต้องมาโบสถ์   ต้องถวายทรัพย์  ต้อง คือตรงนั้น ไม่มีแล้ว แต่พระเยซูใช้คำว่า “ควร” ควรทำ

การมาโบสถ์ดีไหม? ดี แต่ถ้ากลายเป็นกฎว่าต้องมา ถ้าไม่มา พระเจ้าไม่รัก  อันนั้นไม่ดี ไม่ถูกต้อง เพราะว่าต่อให้เรามาโบสถ์ หรือไม่มาโบสถ์ พระเจ้าก็รักเราเท่าเดิม  ไม่มีรักเยอะกว่านี้ คือตายแทนเราบนไม้กางเขน 1 ชีวิต ต่อให้เราไม่อ่านพระคัมภีร์ ต้องนะต้อง ไม่อ่านพระคัมภีร์เดี๋ยวเราจะไม่รัก ก็ไม่ใช่

เมื่อไรที่ใช้คำว่า “ต้อง” เราต้องใช้กำลังเราเองทำ พระเจ้าบอกว่าควรทำ ควรเข้ามารับรู้ความจริง  เราอ่านพระคัมภีร์ เพื่อเราจะรับรู้ความจริงว่าพระเยซูพูดอะไร? พระเยซูทำอะไรเรียบร้อยไปแล้ว? อะไรที่ทำเรียบร้อยไปแล้ว เรารับเอา อะไรที่พระเยซูบอกว่าตรงนี้ยังไม่เรียบร้อย รอ เราก็รอ หรือช่วงที่พระเยซูจะทำงานในจิตใจของเราว่าตอนนี้ให้ไปทำอย่างนี้นะ เราก็ไปทำตามนั้นนั่นแหละ แค่นั่นเอง ฉะนั้น ไม่มีคำว่าต้อง หลังจากเราเชื่อพระเจ้า ข้างในเราทำทุกอย่าง ด้วยใจรัก ด้วยความเต็มใจ ตรงนั้นแหละ คือพระพร เราถวายด้วยความเต็มใจ  เรามาโบสถ์ด้วยความเต็มใจ  เราอ่านพระคัมภีร์ด้วยความเต็มใจ  เราอธิษฐานด้วยความเต็มใจ   เพราะเรารักพระเจ้า

ไม่ใช่ถูกบังคับมา พี่เลี้ยงสอนเราว่า “ต้อง”

“ไม่ได้นะ  ถ้าเธอไม่มาโบสถ์ พระเจ้าจะไม่รัก”

อย่าให้ใครหลอกเราอย่างนี้  พระเจ้ารักเราเท่าเดิม เหมือนที่เมื่อเช้าอาจารย์หนุ่ยบอก ก็คือพระเจ้ารักเราเท่าเดิม ต่อให้เราไปทำบาป พระเจ้าก็ยังคงรักเรา เหมือนพ่อแม่ ไม่มีพ่อแม่คนไหนเกลียดชังลูก ก็คือลูกทำไม่ดี เราเสียใจ เรากังวลแทนเขา ถ้าเขาทำไม่ดี เขาจะรับผล แค่นั้นเอง แต่ว่าไม่สามารถเปลี่ยนแปลงความรัก ที่เรามีต่อลูกได้ ยิ่งกว่านั้นสักเท่าใด ในพระคัมภีร์บอก พระเจ้าผู้ทรงสร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก พระองค์รักเรามากกว่านั้นอีก รักขนาดยอมสละชีวิตของพระองค์เอง  เพื่อเรา ฉะนั้น อย่าให้ใครหลอกเราแม้แต่นิดเดียวว่า …

“เราทำอย่างนี้ พระเจ้าไม่รักเรา เธออธิษฐาน ก็ไม่อธิษฐาน เดี๋ยวนี้อธิษฐานน้อยนะ พระเจ้าจะไม่รัก”

อย่าเด็ดขาด  การอธิษฐาน คือเราคุยกับพระเจ้า  เหมือนเราคุยกับพ่อ  เราสามารถคุยได้ตลอดกับพระเจ้า แล้วเราดำเนินชีวิตตามพระวิญญาณ คืออะไรก็ตามที่เราทำ แล้วข้างในเราไม่ฟ้องผิด  นั่นแหละ คือตามพระวิญญาณ  ถ้าเราทำตามเนื้อหนัง มันจะตามมาด้วยการฟ้องผิด นึกออกไหม?  มันจะตามมาเลย เราไม่น่าทำเลย อะไรแบบนี้

ฉะนั้น การทำตามพระวิญญาณ ก็คือถ้อยคำมีระบุไว้แล้วว่าธรรมชาติใหม่ เราเป็นแบบไหน? ถ้าเราทำตามนั้น ดำเนินชีวิตด้วยความรัก เท่ากับเรากำลังทำตามพระวิญญาณ ถ้าเราดำเนินชีวิตด้วยความเกลียดชัง เรากำลังสนองกิเลสตัณหาของเนื้อหนัง แต่ไม่ว่าเราจะดำเนินชีวิตแบบไหน พระเจ้ายังรักเราเท่าเดิม แล้วความรอดยังเป็นของเรา วิญญาณเรายังอยู่ในพระเจ้าอยู่  พระเจ้าอวยพรค่ะ

 

********************

จากใจคณะศิษยาภิบาล

พ่อค้าคนหนึ่ง ขนสินค้าจำนวนมาก จะไปขายต่างเมือง โดยเอาลาและม้าไปอย่างละหนึ่งตัว และด้วยความที่พ่อค้าเขาอยากจะถนอมม้าไว้ เอาไว้ใช้ยามจำเป็นเท่านั้น ม้าเอาไว้สำหรับขี่เร็วได้ เขาก็เลยจัดสินค้าทั้งหมด เอาไปไว้บนหลังลา แล้วให้ม้าเดินตัวเปล่าไป ไม่ต้องแบกอะไรเลย ก็ให้ลาแบกเพียงผู้เดียว ม้าก็บอกว่าอย่างนี้ก็สบายจัง ไม่ต้องทำอะไรเลย เดินผิวปาก สบายใจ

แต่สำหรับลา เมื่อถูกให้แบกของหนัก พอมันเดินไปได้ครึ่งทางเท่านั้น มันก็เริ่มรู้สึกเหนื่อยล้า

หมดแรง ลาก็เลยหันมาหาเพื่อน คือม้า แล้วก็บอกม้าว่า …

“ม้าข้าเริ่มรู้สึกหมดแรงแล้ว ถ้ายังขืนแบกของบนหลังต่อไปนะ อีกนิดเดียว ข้าตายแน่ ไม่ไหวแล้ว เพื่อนม้าพอจะแบ่งเบาภาระข้าสักนิดได้ไหมเนี้ย เอาแบ่งไปสักหน่อย เอาสักนิดหนึ่งก็ยังดี ช่วยหน่อยนะเพื่อนรัก ไหนบอกรักข้าไง”

ฝ่ายเจ้าม้าผู้หยิ่งทะนง พอได้ยินลา ร้องขอความช่วยเหลือ ก็หันไปพูดอย่างเพื่อนที่ไร้น้ำใจ …

“ฮิ ฮิ ฮิ ได้หมด ถ้าสดชื่น แต่ตอนนี้ข้าไม่สดชื่นเลย เพราะฉะนั้น ไม่ได้ เจ้าก็รู้อยู่แล้วไม่ใช่เหรอว่าข้าไม่มีหน้าที่แบกของหนักๆ การแบกของหนักๆ เป็นหน้าที่ของเจ้า ข้าเป็นม้านะ เจ้าเป็นลา ข้ามีหน้าที่เพียงแค่ให้เจ้านายขี่เท่านั้นเอง ข้าคงไม่สามารถช่วยเจ้าได้หรอก ฮิ ฮิ ฮิ ตัวใครตัวมันนะ”

ม้ามันก็เดินหัวเราะฮิฮิ ไปเรื่อยๆ

ได้ยินดังนั้น เจ้าลาผู้น่าสงสารก้มหน้าก้มตาแบกของทั้งหมด แล้วก็อดทนเดินต่อไป ไม่รู้จะทำอย่างไร? แต่ว่าเพียงเดินต่อไปไม่กี่ก้าว มันก็ล้มลง และขาดใจตายไปเลย พ่อค้าเห็นดังนั้น ก็เลยขนสินค้าทั้งหมด จากหลังลา เอาไปไว้ที่หลังม้า แค่นั้นยังไม่พอ ยังเอาศพลาที่ตายให้ม้าแบกไปด้วย เพราะศพลาก็มีราคา จะได้ไปขายในเมืองด้วย

เพราะฉะนั้น ม้าได้รับ 2 ต่อ ต้องแบกของทั้งหมดนั้น รวมทั้งศพของเพื่อนด้วย หนัก เห็นไหมครับ?  เพราะม้าไร้น้ำใจ ไม่ช่วยเหลือ แบ่งเบาภาระ ความทุกข์ยากลำบากของเพื่อนลา ผลสุดท้าย มันก็แบกหนักขึ้นไปอีกกว่าเพื่อนด้วยซ้ำไป ทุกข์ทรมานยิ่งกว่าลาอีก อาจจะไม่ตายนะ แต่คางเหลืองไปจนตาย ม้าจะทุกข์ทรมานไปจนตาย เพราะมันต้องทำงานหนัก ถ้ามันตาย ก็ดี แต่ถ้ามันไม่ตาย มันก็ทุกข์ทรมานหนักกว่าลาอีกเยอะมาก จนกว่ามันจะสิ้นชีวิตไป เพราะมันต้องทำงานแทนลาทั้งหมด ถ้าเจ้าม้ามันรู้จักเห็นใจผู้อื่น รู้จักแบ่งเบาภาระผู้ที่อยู่ใกล้ๆ ตั้งแต่แรก ซึ่งม้ามันก็คงไม่รู้ตัว มันกำลังทำไม? มันนึกว่ามันไปช่วยลาใช่ไหม? แต่จริงๆ มันช่วยใคร? มันช่วยตัวเองอยู่ เห็นไหม?

ถ้าม้าบอกว่า …  “โอเค แบ่งมา”

มันก็นึกว่ามันกำลังช่วยลา ลาจะขอบคุณมัน มันไม่รู้ตัวหรอก ที่ทำไป มันช่วยตัวเองในอนาคต

 

บางครั้งเราเห็นว่าเรากำลังช่วยคนอื่น เรานึกว่าเราช่วยเขา อย่าคิดอย่างนั้น ท่านกำลังช่วยตัวเอง

 

เพราะฉะนั้น ถ้าเราช่วยเขา เรากำลังช่วยตัวเองนั่นเอง พระคัมภีร์บอกไว้อย่างนั้น นี่คือสัจธรรม นี่คือตัวอย่างให้เห็นภาพว่าการช่วยเหลือ แบ่งเบาภาระผู้อื่น ปลอบประโลมใจผู้อื่น ตัวเราเองก็จะได้รับ ให้สิ่งดีๆ กับผู้อื่น เราก็จะได้รับสิ่งดีๆ กลับมา ได้รับแน่นอน

 

ให้ไม่ได้หมายถึงเงินทองอย่างเดียว ลาก็ไม่ได้ต้องการเงิน … เงินก็ช่วยไม่ได้ ลาต้องการเอาสินค้าที่มันแบกอยู่แบ่งเบาไปบ้างเท่านั้นเอง อาหารก็ช่วยเขาไม่ได้นะ อาหารเขาก็ไม่เอา เขาต้องการการแบ่งเบาภาระ ปลอบโยนใจเขา ช่วยแบ่งภาระสักสองสามถุง เขาต้องการอย่างนั้นมากกว่า เห็นไหม? ไม่ได้หมายถึงเงินอย่างเดียว ไม่ได้หมายถึงอาหารเท่านั้น อาจหมายถึงอะไรที่ดีๆ ที่แบ่งเบาภาระเขาได้ อาจเป็นคำปลอบโยนและกำลังใจ ความเข้าใจในความทุกข์ของเขาก็ได้ เราก็ไม่รู้ว่าอะไรมันจะเกิดขึ้น ในสถานการณ์เช่นใด สิ่งที่เขาจำเป็นอยู่ เราแบ่งเบาภาระเขา เราเองจะได้รับในอนาคต

 

พระเจ้าอวยพรครับ

 

วารสาร Holy News ฉบับที่ 1363

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  1  พฤษภาคม  2022

เรื่อง “หนังสือเอเฟซัส”  ตอน 10

โดย วราพร  คงล้วน

 

วันนี้เรามาต่อ เอเฟซัส 2:4 คราวที่แล้ว เราพูดข้อที่ 3 ที่บอกว่าจริงๆ เราสมควรตาย แต่ด้วยความรักของพระเจ้า พระองค์ได้ช่วยเหลือเรา ให้เราสามารถเข้ามาอยู่ในพระเจ้าได้ การไถ่บาปของพระเยซูคริสต์ จะทำให้พวกเราเป็นอิสรภาพ …

เอเฟซัส 2:4-5 “4 แต่เนื่องด้วยความรักใหญ่หลวงที่ทรงมีต่อเรา พระเจ้าผู้เปี่ยมด้วยพระเมตตาอันอุดม 5 จึงได้ทรงกระทำให้วิญญาณของเรา กลับมีชีวิตอยู่กับพระคริสต์ แม้ในขณะที่วิญญาณเราได้ตายแล้วในบาป คือท่านทั้งหลายได้รับความรอด (จากการลงโทษ จากคำสาปแช่ง) โดยพระคุณ”

 

อาจารย์เปาโลย้ำให้เห็นถึงความจริง ในโลกวิญญาณว่ามนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้ อยู่ภายใต้อำนาจหรืออิทธิพลของความบาปและความตาย เนื่องจากมนุษย์เกิดมา ก็มีธรรมชาติบาป เหมือนบรรพบุรุษของเรา ก็คือเกิดมาเป็นคนบาปเลย พอจากนั้น โดยพระคุณของพระเจ้า พระองค์ก็เตรียมพระเยซูคริสต์ไว้ให้กับมนุษยชาติ คือพระมาซีฮาห์ เตรียมไว้หลายพันปีแล้ว จนกระทั่งวันที่พระเยซูคริสต์เสด็จมาเกิดเป็นมนุษย์ และจนถึงวันที่พระเยซูคริสต์ได้สิ้นพระชนม์ บนไม้กางเขน และเป็นขึ้นมาจากความตาย เป็นแผนการที่ล้ำเลิศของพระเจ้า ตั้งแต่มนุษย์ล้มลงในความบาป พระเจ้าก็มีแผนที่ลี้ลับนี้ไว้แล้ว

ฉะนั้น ความลี้ลับที่พระเจ้าได้วางแผนไว้ ก็คือพระเจ้าได้เตรียมคนอิสราเอลไว้ก่อน เหมือนเป็นต้นพันธุ์ในการที่จะมาเชื่อพระเจ้า แล้วพระองค์ก็ให้คนอิสราเอลรักษากฎบัญญัติ จนถึงวันที่พระเยซูคริสต์มาทำภาระกิจของพระองค์สำเร็จ ถ้อยคำของพระเจ้าก็จะเป็นบัญญัติใหม่

บัญญัติเก่า คือคนอิสราเอลต้องทำตามกฎบัญญัติที่โมเสสว่าไว้ ในแต่ละปี  ต้องไปถวายเครื่องบูชา เพื่อลบล้างความผิดบาปของตัวเอง ปีต่อปี

แต่พอถึงบัญญัติใหม่ พระเจ้าได้ส่งพระเยซูคริสต์มา และพระเยซูคริสต์ก็ทำการงานของพระองค์ครั้งเดียวจบ ในพระคัมภีร์ย้ำตรงนี้มากเลยว่าพระเยซูทรงสิ้นพระชนม์ เพื่อเราบนไม้กางเขน ครั้งเดียวเป็นพอ  ก็คือทำเที่ยวเดียว ได้หมดเลย ก็คือช่วยมนุษยชาติให้หลุดพ้น จากความบาปและความตาย ตั้งแต่วันที่พระเยซูคริสต์ได้เป็นขึ้นมาจากความตาย มนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้ มีตัวเลือก

ก่อนหน้านั้น ไม่มีตัวเลือก มนุษย์ทุกคนอยู่ในบาป และทำบาปด้วย ก็คือเหมือนไฟล์ทบังคับ ดิ้นไม่ได้เลย DNA เป็นบาป อยู่ในธรรมชาติบาป ต่อให้ทำดีขนาดไหน? ข้างในวิญญาณก็ยังเป็นคนบาปอยู่ แต่พอถึงพระเยซูคริสต์มากระทำภารกิจของพระองค์สำเร็จปุ๊บ มนุษย์สามารถที่จะย้ายจาก DNA เดิม คืออยู่ในบาป มาเชื่อวางใจในพระเยซูคริสต์ ตรงนี้เขาเรียกว่าพระคุณ

ในพระคัมภีร์ตรงนี้บอกว่าก่อนหน้านั้น ที่ท่านไม่ได้เชื่อพระเจ้า ยังดำเนินชีวิตอยู่ในบาป แต่เนื่องจากพระคุณที่ยิ่งใหญ่ของพระเจ้า

คำว่า “พระคุณ”  หมายถึงอะไรก็ตาม ที่มนุษย์ไม่สมควรได้รับ แต่พระเจ้ากระทำให้  เป็นของขวัญที่จะได้รับฟรีๆ โดยที่มนุษย์ไม่ต้องทำอะไรเลย แค่เชื่อเอาเท่านั้น ก็ได้รับของขวัญนี้จากพระเจ้า ตรงนี้เรียกว่าพระคุณ

เนื่องจากธรรมชาติบาป ทำให้มนุษย์พยายามดิ้นรนกระทำความดีทุกอย่าง เพื่อช่วยให้ตัวเองหลุดพ้น จากความบาป แล้วมันเป็นธรรมชาติความเคยชิน แม้ว่าหลายคนเปิดใจมาเชื่อ วางใจในพระเจ้าแล้ว ก็ยังเคยชินกับการประพฤติปฏิบัติเหมือนเดิม คือพยายามที่จะทำความดี หรือทำอะไรก็ตาม ด้วยกำลังของตัวเอง เพื่อที่จะทำให้พระเจ้าพอพระทัย แต่ความเป็นจริง ในโลกวิญญาณ คือพระเจ้าพอใจ เมื่อคนๆ นั้นเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดปุ๊บ วิญญาณของเขาได้บัพติศมาเข้าเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเยซูคริสต์ ได้รับการชำระให้สะอาดบริสุทธิ์ โดยพระโลหิตของพระเยซูคริสต์ แล้วพระเยซูสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน ทำให้วิญญาณของคนๆ นั้นที่เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด ได้มีโอกาส ไปตายพร้อมกับพระเยซูคริสต์ ที่ไม้กางเขน และถูกฝังพร้อมกัน

แล้วโดยวิญญาณนั้น วิญญาณเดิมที่เป็นบาป ตายไปพร้อมกับพระเยซูคริสต์ปุ๊บ การเป็นขึ้นมาจากความตาย ที่ภาษาคริสเตียนเราใช้คำว่า “บังเกิดใหม่”  เราได้ยินบ่อยมาก บังเกิดใหม่  ก็คือจาก DNA บาป ที่ตายไปแล้ว ได้บังเกิดใหม่ เป็นวิญญาณ ซึ่งพระเจ้าเปลี่ยนใหม่ เป็นวิญญาณใหม่ที่เป็นเหมือนพระเจ้า พระเยซูคริสต์เลย เป็นวิญญาณที่ไม่มีบาป มี DNA เดียวกับพระเยซูคริสต์ เป็นวิญญาณที่ชอบธรรม เมื่อเราเชื่อวางใจในสิ่งที่พระเยซูคริสต์ทำปุ๊บ มันเกิดขึ้นทันทีเลย เป็นเซตที่เมื่อเราบังเกิดใหม่ปุ๊บ เราจะได้รับหมดเลย อย่างที่ในเอเฟซัส บทที่ 1 บอกว่าพระพรนานัปการ ที่พระเจ้าประทานให้กับพวกเราเรียบร้อยไปแล้ว ก็คือเราได้รับหมดเลย ในโลกวิญญาณ

พอพูดถึงโลกวิญญาณ คือเราสัมผัสจับต้องไม่ได้ เรามองไม่เห็น เราต้องใช้ความเชื่อเอา ก็คือผู้เชื่อทั้งหลาย จำเป็นต้องใช้ความเชื่อ เชื่อตามที่พระเจ้าบอก เชื่อตามที่พระเยซูคริสต์บอกเราว่าพระองค์ได้กระทำทั้งหมดนี้ สำเร็จแล้ว บนไม้กางเขน เมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว ใครก็ตามที่เข้ามาเชื่อในสิ่งที่พระเยซูคริสต์กระทำ คนนั้น ก็จะได้รับของขวัญชิ้นนี้ไป ก็คือหลุดพ้นจากความบาปทั้งหมด พระเยซูคริสต์ได้ชำระบาปของมนุษย์คนนั้น จริงๆ พระเยซูคริสต์ชำระหมดแล้วทั้งโลกนี้ ก็คือมนุษยชาติทั้งหมด ได้รับการชำระ ได้รับการอภัยเรียบร้อยไปแล้ว เพียงแต่ว่าใครก็ตามที่รับรู้ความจริง และเข้ามารับเอาสิ่งที่พระเยซูคริสต์กระทำให้เขาเรียบร้อยไปแล้ว ในโลกวิญญาณ คนๆ นั้น ก็ได้บังเกิดใหม่เข้ามาในอาณาจักรของพระเจ้า  เข้ามาเป็นครอบครัวเดียวกันกับพระเจ้า จากเดิมเป็นศัตรูกับพระเจ้า อยู่ตรงกันข้ามกับพระเจ้า อยู่ฝั่งดำ พอบังเกิดใหม่ปุ๊บ ก็อยู่ฝั่งตรงข้ามเลย ไม่ได้เป็นศัตรูกับพระเจ้าแล้ว เป็นครอบครัวเดียวกันกับพระเจ้า เป็นความขาว เป็นความสว่าง เป็นความสะอาด พระเจ้าบอกว่าดีพร้อม ก็คือพระเจ้าเป็นผู้กระทำให้วิญญาณของผู้เชื่อดีพร้อม

ไม่ใช่เราทำเองนะ เราทำไม่ได้ คือเมื่อวิญญาณเก่าที่สกปรก ที่เต็มไปด้วยความบาป ตายไปกับพระเยซูคริสต์ปุ๊บ วิญญาณใหม่ ที่พระเจ้าให้มา เป็นวิญญาณที่ดีพร้อม สะอาด บริสุทธิ์ เป็นความรักเลย นี่คือความจริงในโลกวิญญาณ

ทำไมเราต้องรับรู้ความจริงเหล่านี้บ่อยๆ เพื่อเราจะได้รู้ว่าตอนนี้เราเป็นลูกของพระเจ้าแล้วนะ เราเป็นความรัก เราเป็นความสว่าง เราเป็นเกลือ เราเป็นความดีงาม พระเจ้าบอกว่า …

“เธอดีมากเลย จากวิญญาณที่บังเกิดใหม่ กลายเป็นคนดีพร้อม เหมือนพระเยซูคริสต์เลย”

ฉะนั้น เวลาเราดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ เนื่องจากเรายังมีร่างกายเก่า เป็นร่างกายที่ยังต้องรับผลของความบาปและความตายอยู่บนโลกใบนี้ คือพระเจ้ายังไม่เอาเรากลับบ้าน เรายังคงต้องอยู่ในร่างกายนี้ ฉะนั้น ร่างกายนี้ก็จะมีโอกาสรับอิทธิพลของข้างนอก หรือรับอิทธิพลของความคิดเดิมๆ ก่อนที่เรามาเชื่อพระเจ้า มันไม่ได้หายไปไหน? มันยังอยู่ในโปรแกรมความคิดของเรา เพียงแต่ว่าถ้าเราอนุญาตให้โปรแกรมความคิดเก่าๆ มาฝังอยู่ในหัวของเราเยอะๆ มันก็จะสั่งให้ร่างกายเราทำตาม

ถ้าเรารู้ตรงนี้ชัดเจน เราจะเออ! มันเป็นอย่างนี้นี่เอง ทำไมเราถึงต้องจดจำ ถ้อยคำของพระเจ้า ทำไมเราต้องเรียนรู้ว่าตอนนี้ เราเป็นใครแล้ว ในพระเยซูคริสต์ ที่พระเจ้าบอกว่า …

“ลูกเอ๋ย ตอนนี้เธอสะอาดบริสุทธิ์ เธอเป็นความดีงาม เธอดีพร้อมทุกอย่าง เหมือนพ่อเลยนะ แล้วก็อย่าให้ใครมาหลอกว่าเราสกปรก เพราะพระเจ้าชำระให้เราสะอาดหมดแล้ว”

นี่คือความจริงในโลกวิญญาณ ฉะนั้น ทันทีที่เราบังเกิดใหม่ ทำให้วิญญาณเรากลับมีชีวิต ก่อนหน้าที่เรามาเชื่อพระเจ้า เราดูเหมือนมีชีวิต เดินไปไหนมาไหน เรายังสามารถร่าเริงยินดี สามารถที่จะเที่ยวเล่นสนุกสนานเฮฮา แต่ความเป็นจริง ในโลกวิญญาณ คือวิญญาณเราตายอยู่

ก็คือวิญญาณเราตายจากพระเจ้า วิญญาณไม่ได้อยู่ฝ่ายพระเจ้า วิญญาณเป็นศัตรูกับพระเจ้า วิญญาณเราอยู่ฝั่งดำ ฝั่ง DNA ของอาดัม ซึ่งไม่มีใครรับรู้ เราก็ไม่รู้เหมือนกันว่าวิญญาณเราตายอยู่ ทั้งๆ ที่เรายังเดินเหินได้อย่างสะดวกสบาย  เรายังหายใจอยู่ แต่ถ้อยคำของพระเจ้าบอกว่าวิญญาณของมนุษย์ตายอยู่

ฉะนั้น พอเราเชื่อพระเจ้าปุ๊บ พระเจ้าทำให้วิญญาณเรากลับมีชีวิตขึ้นมาในพระเยซูคริสต์ พระเจ้าให้เราได้รับวิญญาณนิรันดร์

คำว่า “วิญญาณนิรันดร์” ไม่ได้หมายถึงว่าวิญญาณอยู่ตลอดกาล เพราะว่าต่อให้เราไม่ได้บังเกิดใหม่ เราอยู่ใน DNA เดิมที่เป็นของอาดัม วิญญาณเราก็อยู่ตลอดกาลอยู่แล้ว แต่คำว่า “ชีวิตนิรันดร์  ในพระเยซูคริสต์” หมายถึงคุณภาพชีวิต แบบใหม่  ที่เป็นแบบเหมือนพระเจ้า เป็นคุณภาพชีวิตที่เป็นเหมือนพระเจ้า แล้วก็อยู่นิรันดร์ด้วย

ก็คือวิญญาณของมนุษย์มาจากพระเจ้า ถ้าเราเข้าใจตรงนี้ เราจะรับรู้ว่าทำไมพระเจ้าถึงบอกให้พวกเราประกาศข่าวประเสริฐ จงบอกให้ทุกคนในโลกใบนี้ ได้รับรู้ความจริงในเรื่องของพระเยซูคริสต์ รับรู้ว่าพระเยซูคริสต์มาทำให้เราเรียบร้อยไปแล้ว มาชำระเราให้สะอาด เราสามารถรับของขวัญนี้ได้ ทำให้มนุษย์ที่ได้ยินได้ฟัง เรื่องราวข่าวประเสริฐแท้ๆ ของพระเจ้า เมื่อเขาเปิดใจต้อนรับเอาข่าวประเสริฐนี้ วิญญาณของเขาได้รับการเปลี่ยนใหม่ทันที

ก่อนหน้าที่เรามาเชื่อพระเจ้า วิญญาณเราอยู่ในฝั่งพินาศนิรันดร์ วิญญาณเราถูกพิพากษานิรันดร์ไปแล้ว วิญญาณเราตายจากพระเจ้านิรันดร์ แล้วมันจะอยู่อย่างนั้นตลอด จนถึงวันที่วิญญาณเราออกจากร่าง คือหมดลมหายใจ ภาษามนุษย์เขาเรียกว่าตาย  พอตายปุ๊บ วิญญาณนี้ ที่มี DNA ของอาดัม ออกจากร่างปุ๊บ เขาก็จะอยู่ที่เดิม คืออยู่ในการพิพากษาของพระเจ้าเหมือนเดิม อันนั้นน่ากลัว เพราะว่าวิญญาณนิรันดร์ อยู่ในที่ที่ไม่มีพระเจ้า

พระเจ้าบอกมนุษย์มีหนทางเดียว มีโอกาสเดียวที่จะสามารถย้ายจากวิญญาณพินาศนิรันดร์ เข้ามาสู่วิญญาณที่เป็นเหมือนพระเจ้านิรันดร์ ที่ไม่ต้องไปชดใช้หนี้เวรกรรมอีกต่อไป ทำได้เฉพาะตอนที่เรามีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้เท่านั้น

ฉะนั้น ข่าวประเสริฐของพระเจ้า จึงต้องถูกประกาศออกไป จากผู้คน  คนแล้วคนเล่า เหมือนส่งไม้ผลัด ที่บอกต่อๆ เพื่อให้ผู้คนได้ยินได้ฟัง เรื่องนี้เรื่องซีเรียสมาก เป็นเรื่องจริงที่พระเจ้าใส่ใจ ที่พระเจ้าต้องการปรารถนาที่จะให้ทุกคนได้รับความรอด ไม่ปรารถนาเลยที่จะเห็น แม้คนหนึ่งคนใดต้องพินาศไป แต่มันก็ยังมีตรงที่ว่าพระเจ้าไม่บังคับ ถ้าพระเจ้าบังคับมนุษย์ได้ มันก็ดี พระเจ้าก็กดรีโมตเลยให้มนุษย์ทุกคนเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ จะได้ไม่ต้องอยู่ในความพินาศนิรันดร์  แต่พระเจ้าของเรา เป็นพระเจ้าที่น่ารัก เป็นพระเจ้าที่ให้อิสระกับมนุษย์ แม้ว่ามนุษย์คนนั้น ยังไม่ได้รู้จักกับพระเจ้าก็ตาม หรือแม้แต่เรารู้จักกับพระเจ้า พระเจ้าก็ยังให้อิสรภาพเรา ในการสามารถเลือกที่จะทำหรือไม่ทำก็ได้

เมื่อเรามาเชื่อพระเจ้า พระเจ้าให้อิสระเสรีกับเรา ในการเลือกที่จะเชื่อฟังพระเจ้า หรือเลือกที่จะไม่เชื่อฟังพระองค์ก็ได้ อันนี้คือสิทธิพิเศษ สำหรับมนุษย์ทั้งหมดที่พระเจ้าสร้างมา ฉะนั้น มนุษย์ที่ไม่ได้เชื่อพระเจ้า พระเจ้าก็ให้สิทธิเสรีภาพ แต่พระเจ้าลุ้นนะว่าเชื่อเถิด เปิดใจเถิด มารับเอาเถิด เพราะว่านี่คือสิ่งดี พวกเธอจะได้ไม่ต้องไปอยู่ในนรกนิรันดร์กาล ขณะอยู่บนโลกนี้ ก็อยู่ในนรกแล้ว โลกหน้ายังต้องไปอยู่นิรันดร์กาล ถ้าวิญญาณออกจากร่างปุ๊บ แก้ไขอะไรไม่ได้แล้ว ข่าวประเสริฐจึงถูกประกาศออกไปเรื่อยๆ พอคนหนึ่งคนใดที่เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ปุ๊บ ในพระคัมภีร์ใช้คำว่า “สวรรค์” ทุกคนบนสวรรค์ชื่นชมยินดี ทำไมต้องชื่นชมยินดี ดีใจไง  ดีใจกับคนๆ นั้นด้วย ลุ้นแทบตาย  เขาเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์แล้ว ตอนนี้วิญญาณเขาได้บังเกิดใหม่แล้ว เขาได้ชีวิตนิรันดร์ แบบที่มีคุณภาพเหมือนพระเจ้าแล้ว วิญญาณของเขา ไม่ต้องไปตกนรกแล้ว ไม่ต้องถูกพิพากษาแล้ว

คำว่า “ถูกพิพากษา” คือพิพากษาตั้งแต่อยู่บนโลกใบนี้ ไปจนถึงอนาคตข้างหน้า วิญญาณออกจากร่าง ก็ยังถูกพิพากษาอยู่

ฉะนั้น ข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์จึงต้องถูกประกาศออกไป ให้ทุกคนเมื่อได้ยินได้ฟังข่าวนี้ แล้วเปิดใจต้อนรับของขวัญ เรียกว่าการสิ้นพระชนม์ของพระเยซูคริสต์ที่ไม้กางเขน ครั้งเดียว ทำเสร็จตั้งแต่ 2,000 ปีที่แล้ว มันจบแล้ว แล้วตรงที่พระเยซูทำเสร็จ ก็คือมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันนั้น คือ 2,000 ปีที่แล้ว จนถึงปัจจุบัน และจนถึงอนาคตข้างหน้าด้วย ใครก็ตามที่เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ปุ๊บ เขาเข้ามารับของขวัญได้ทันทีเลย วิญญาณเขาก็ได้รับคุณภาพ แบบพระเจ้าเลย ไม่ต้องถูกลงโทษ แล้วก็ได้รับความรอด โดยพระคุณ

ความรอดตรงนี้ โดยพระคุณ คือไม่ใช่กำลัง ไม่ใช่ความสามารถ ไม่ใช่การประพฤติ การทำดีของมนุษย์คนหนึ่งคนใด ที่พยายามตะเกียกตะกายทำๆ เพื่อให้ตัวเองได้มาตรฐานอย่างที่พระเจ้าต้องการ ซึ่งไม่มีมนุษย์คนไหนในโลกใบนี้ ทำได้เลย มาตรฐานพระเจ้าที่เราคุยกัน ก็คือจุดหนึ่ง ขีดหนึ่ง ก็ต้องทำให้ครบถ้วนสมบูรณ์ ไม่เพียงแต่ครบถ้วนสมบูรณ์ จุดกับขีดเท่านั้น แต่ยังต้องครบถ้วนสมบูรณ์ทุกเวลา ทุกวินาที ซึ่งไม่มีมนุษย์คนไหนทำได้ เพราะมนุษย์อยู่ใน DNA บาป เขาเกิดมาเป็นคนบาป เมื่อเป็นคนบาป ต่อให้ทำดีขนาดไหน? ก็ไม่สามารถเปลี่ยน DNA จากการเป็นคนบาปมาเป็นคนชอบธรรมได้

นี่คือง่ายๆ ที่พระเจ้าบอก … “เธอทำอะไรไม่ได้หรอก เปลี่ยนซะ”

ให้พระเจ้าเป็นผู้เปลี่ยน DNA ให้กับเรา ซึ่งการเปลี่ยนตรงนี้ เขาก็ทำเองไม่ได้ เมื่อเราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ปุ๊บ พระวิญญาณบริสุทธิ์ก็เข้ามาทำขบวนการของพระองค์ ผ่าตัดวิญญาณ เปลี่ยนวิญญาณใหม่ให้กับเรา คือเราทำเองไม่ได้เลย ต้องพึ่งพาพระเจ้าเท่านั้น หลังจากที่เราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ โดยพระคุณแล้ว เราก็ได้รับพระพร จากพระเจ้า อย่างที่เราบอก ไม่ได้พูดแต่เรื่องของพระพร ฝ่ายวิญญาณเท่านั้น พระพรฝ่ายวิญญาณนานับประการที่พระเจ้าได้ทรงประทานให้กับพวกเราเรียบร้อยแล้ว ก็คือการที่ได้มาเป็นลูกของพระเจ้า เป็นผู้ชอบธรรม เป็นผู้สะอาดบริสุทธิ์หมดจด ได้นั่งอยู่ที่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้า วิญญาณเราได้หลุดพ้นจากความบาป หลังความตาย เราจะได้ไปอยู่กับพระเจ้านิรันดร์กาล แล้วเราจะได้ไปรับร่างกายใหม่ ที่พระเจ้าเตรียมไว้ให้กับพวกเรา นี่คือพระพรทั้งหมดที่พระเจ้าทรงสัญญาไว้กับพวกเรา แล้วตอนที่เราอยู่บนโลกใบนี้ เรามองไม่เห็น เราก็เชื่อเอา

ทุกวันนี้ คริสเตียนมีความหวังใจ หวังตรงที่ว่าเรารอคอยวันหนึ่งข้างหน้าที่การงานของเราบนโลกใบนี้เสร็จ แล้วพระเจ้าบอกว่าสำเร็จแล้ว ไปกลับบ้าน แล้วลมหายใจเราออกจากร่างปุ๊บ เราก็ไปรับร่างกายใหม่ ที่พระเจ้าเตรียมไว้ให้กับเรา

ร่างกายตรงนี้ ในพระคัมภีร์ใช้คำว่าร่างกายใหม่ ที่เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์ ตอนที่เป็นขึ้นมาจากความตาย เต็มด้วยสง่าราศี

แล้วตอนที่เราอยู่บนโลกนี้ล่ะ พระเจ้าสัญญาอะไรกับเราบ้าง? ตอนที่อยู่บนโลกใบนี้ สิ่งที่พระเจ้าสัญญากับผู้เชื่อ คือพระเจ้าทรงสถิตอยู่ในเรา อันนี้สำคัญมาก  เราจำเป็นจะต้องรับรู้ว่าเมื่อเราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด พระเจ้าทั้งพระบิดา พระบุตร พระวิญญาณบริสุทธิ์เข้ามาอยู่ในเรา

พระองค์เข้ามาอยู่ในเราได้อย่างไร? ในขณะที่ร่างกายเรายังเป็นร่างกายเดิมอยู่ เรารับรู้แล้วใช่ไหม? วิญญาณเราได้รับการเปลี่ยนใหม่ อย่างที่ในพระคัมภีร์เดิมเผยพระวจนะไว้ว่าเราจะเปลี่ยนวิญญาณใหม่ให้กับเขา  ก็คือเผยไว้ตั้งแต่อดีตว่าอนาคตข้างหน้า เมื่อพระเยซูคริสต์มาทำการงานของพระองค์สำเร็จ สิ่งนี้จะเกิดขึ้น คือวิญญาณเราจะถูกเปลี่ยนใหม่ ความคิดจิตใจเราก็ถูกเปลี่ยนใหม่ ส่วนร่างกายเราก็ถูกชำระให้สะอาดหมดจดเลยนะ ร่างกายเรา ซึ่งยังอยู่บนโลกใบนี้อยู่ ร่างกายของผู้เชื่อทุกคน สะอาดหมดจด ไม่สกปรกแล้วนะ แต่เผลอๆ เราก็จะถูกหลอก เวลาเราเผลอไปทำตามเนื้อหนัง การล่อลวงของระบบของโลกนี้ เราก็จะมีความรู้สึก ระบบความคิดของโลกนี้ ที่เขาส่งเข้ามาในความคิดของเราทันทีว่า …

“เธอสกปรก”

เราต้องยืนยันว่าหลังจากที่เราบังเกิดใหม่ ร่างกายเราไม่สกปรกเลย ถ้าสกปรก พระเจ้าเข้ามาอยู่ในเราไม่ได้ ความสกปรกกับความสะอาดของพระเจ้า อยู่ด้วยกันไม่ได้ ถ้าเรายังสกปรกอยู่ พระเจ้าทั้ง 3 พระภาคเข้ามาในร่างกายของเราปุ๊บ เราตาย พระเจ้าไม่เป็นไรหรอก แต่เราจะตาย เพราะว่าเราสกปรก

รับรู้ความจริงตรงนี้อีกเรื่องหนึ่ง คือร่างกายของผู้เชื่อได้รับการชำระให้สะอาด บริสุทธิ์แล้ว จนขนาดที่พระเจ้าทั้ง 3 พระภาคเข้ามาสถิตอยู่ในเราได้ เหมือนในพระคัมภีร์บอกว่าร่างกายของท่านเป็นวิหารของพระเจ้า เป็นที่สถิตของพระวิญญาณบริสุทธิ์แล้ว

แต่ทำไมคริสเตียนยังคงทำบาปอยู่ เราสะอาดแล้ว เราไม่น่าจะทำบาปใช่ไหม? แต่ความเป็นจริงในโลกวัตถุนี้ ก็คือคริสเตียนยังทำบาปอยู่ เนื่องจากร่างกายเรายังอยู่ในระบบของโลกนี้ ยังอยู่ในกฎของความบาปและความตายอยู่ ฉะนั้น สมองและความคิดของเรา เป็นอย่างที่เราคุยกัน เป็นเหมือนศูนย์บัญชาการ ที่สามารถรับข้อมูลได้  ข้อมูลมันมีอยู่ 2 แหล่งที่เราจะรับได้ …

แหล่งแรก คือข้อมูลจากพระเจ้า จากในพระคัมภีร์ ที่บอกเราว่าตอนนี้สถานะของเรา เป็นอย่างไร? สถานะของเราเป็นผู้ชอบธรรมของพระเจ้า เป็นคนบริสุทธิ์ของพระเจ้า สถานะของเราเป็นเหมือนพระเยซูคริสต์เลย นี่คือข้อมูลที่เราต้องรับเข้ามา พอเรารับรู้ว่าเราเป็นใครในพระเยซูคริสต์ปุ๊บ พระเจ้า พระวิญญาณบริสุทธิ์ ก็จะบอกเราว่าสถานะเธอเปลี่ยนแล้ว ตอนนี้ธรรมชาติใหม่ของเธอที่ได้มีวิญญาณใหม่ กลับใจใหม่ เป็นแบบนี้นะ คือเป็นความรัก เป็นความดีงาม เป็นความอดทน คือเป็น ไม่ต้องพยายามทำนะ มันเป็นแล้ว พอเราโตขนาดไหน ความเป็นมันจะออกมาเอง มันจะสำแดงออกมาเอง รับรู้ความจริงได้มากเท่าไร? เราก็จะสามารถสำแดงความเป็นธรรมชาติใหม่ ที่เป็นลูกของพระเจ้าออกมาได้มากเท่านั้น

อีกมุมหนึ่ง คือระบบสมองของเรา ยังสามารถรับข้อมูลจากข้างนอก มันไม่ได้มีอิทธิพลอะไรที่จะมาบังคับให้เราต้องเชื่อมัน แต่มันจะส่งระบบของโลกใบนี้ เข้ามาในสมองของเรา ให้เรารับตรงนี้ ระบบของโลกนี้ มีอะไรบ้าง? คือมีทุกอย่างที่ตรงกันข้ามกับพระเจ้า

พระเจ้าบอกพระเจ้าเป็นความรัก ระบบของโลกนี้ คือความเกลียดชัง

พระเจ้าเป็นสีขาว ระบบโลกนี้ ก็คือสีดำ  มันอยู่ตรงกันข้ามหมดเลย แล้วตรงนี้ เป็นระบบที่อยู่ภายนอก ที่ส่งเข้ามาในความคิดของเราเหมือนกันทุกวัน ถ้าพี่น้องสังเกตว่าความคิดของเราจะไม่หยุด ต่อให้เรานอนหลับ ความคิดเราก็ไม่หยุดนะ มันจะมีความคิดวิ่งเข้าวิ่งออก เป็นความคิดที่ระหว่างพระวิญญาณบริสุทธิ์บอกเราว่า …

“เธอเป็นความดีงามนะ เธอเป็นความรักนะ เขาทำอะไรเธอนิดหนึ่ง ก็ให้ความรัก อดทนนะ ให้อภัยเขา”

นี่คือข้อมูลจากพระเจ้า แต่ข้อมูลจากโลกใบนี้ มันก็จะส่งเข้ามาเหมือนกัน …

“ไม่ได้หรอก เขาทำเธอ เธอต้องจัดการ เธอจะไปยอมได้อย่างไร? อย่างนี้ยอมไม่ได้ ต้องจัดการเลย”

นั่นคือระบบ 2 อย่าง มันจะตีรวนเข้ามาในความคิดของเรา ตอนนี้ความคิดของเรา คือศูนย์บัญชาการ เราต้องเป็นคนตัดสินใจ พระเจ้าไม่ตัดสินใจให้เรานะ พระเจ้าให้สิทธิเสรีภาพกับมนุษย์ทุกคนที่จะตัดสินใจว่าเราจะเชื่อฟังพระเจ้า เชื่อฟังตามพระวิญญาณ เพราะว่าตอนนี้วิญญาณเราเกิดใหม่แล้ว เป็นเหมือนพระเจ้าแล้ว เราก็ให้อภัย เราก็สำแดงความรักออกไป ใครมาเหยียบขาเรา ก็ …

“ไม่เป็นไรๆ ค่ะ”

เขาขอโทษ เราก็ … “ไม่เป็นไรๆ”

ไม่ใช่พอเขามาเหยียบขาเรา เขาขอโทษปุ๊บ เราก็หันกลับไป … “ขอโทษแค่นี้ มันหายหรือ?” อะไรอย่างนี้

นั่นแหละ ระบบของโลกนี้ มันส่งเข้ามาเป็นแบบนี้ ถ้าเราตัดสินใจตามพระวิญญาณบอก พระเจ้าก็ชื่นใจ เพราะเราก็จะมีความสุข แต่ถ้าเราตัดสินใจตามระบบของโลกนี้ส่งเข้ามา พระเจ้าก็ต้องอนุญาต เพราะว่าพระเจ้าไม่บังคับเราไง แต่ไม่ใช่พระประสงค์ของพระเจ้า พระเจ้าก็จะ …

“ลูกเอ๋ย ทำไมลูกตัดสินใจแบบนี้”

มันเจ็บตัวนะ  ถ้าเราตัดสินใจโต้ตอบออกไป มันก็จะมีผล เราก็จะเก็บเกี่ยวผลที่เราโต้ตอบออกไป มันจะเป็นระบบที่เราเจอทุกวัน ในขณะที่พระเจ้ายังให้เราอยู่บนโลกใบนี้อยู่ เราก็จะตัดสินใจอย่างนี้แหละ บางวันเราก็ตามพระวิญญาณ บางวันเราก็ตามเนื้อหนัง บางวันก็ตามใจเรา อะไรก็แล้วแต่ แต่ว่าสิ่งที่สำคัญ ที่เราจำเป็นต้องรับรู้ ที่พระจ้าบอกว่าโดยพระคุณของพระเจ้า  เราได้รับความรอด ไม่ใช่การประพฤติของเรา ฉะนั้น การประพฤติของเราจะไม่มีผลอะไรกับความรอดในวิญญาณของเราเลย แม้แต่นิดเดียว ...

เอเฟซัส 2:6 “และพระองค์ได้ทรงให้วิญญาณของเราเป็นขึ้นมา (บังเกิดใหม่) กับพระคริสต์ และในพระเยซูคริสต์ พระเจ้าได้ทรงให้เรานั่งในสวรรคสถานกับพระคริสต์”

 

นี่คือความจริงในโลกวิญญาณ เมื่อเราได้บังเกิดใหม่ปุ๊บ เราได้นั่งอยู่ที่สวรรคสถานร่วมกับพระเยซูคริสต์ทันที เดี๋ยวนี้ ไม่ต้องรอเราตาย

เมื่อก่อน เราอาจจะเข้าใจผิด แล้วก็ถูกสอนว่าต้องรอก่อน คริสเตียนอยู่บนโลกใบนี้ ก็ทำงานไป พยายามทำสิ่งที่ดี เพื่อให้พระเจ้าพอใจ แต่จริงๆ พึ่งการกระทำของตัวเอง พระเจ้าบอกไม่ต้อง การทำสิ่งที่ดี มันจะออกมาเอง เพราะมันเป็นธรรมชาติของเรา ไม่ใช่เราพยายามตะเกียกตะกาย เพื่อที่จะทำให้พระเจ้าพอใจ ซึ่งพระเจ้าบอกว่าพระเจ้าพอใจเราแล้ว เพราะเราเป็นเหมือนพระเยซูคริสต์

ฉะนั้น การบังเกิดใหม่ตรงนี้     มีผล     คือ  ณ  เวลานี้     วิญญาณของผู้เชื่อทุกคนได้นั่งอยู่ในสวรรคสถาน ร่วมกับพระเยซูคริสต์เรียบร้อยไปแล้ว ตั้งแต่อยู่บนโลกใบนี้ เราก็ได้นั่งอยู่ที่สวรรค์เรียบร้อยแล้ว แล้วพี่น้องลองคิดดูว่าตั้งแต่อยู่บนโลกใบนี้ เราได้นั่งอยู่ที่สวรรค์แล้ว สถานะตรงนี้จะไม่เปลี่ยนแปลงเลย ฉะนั้น หลังจากโลกนี้ไป เราก็แค่เปลี่ยนมิติ เหมือนกับวิญญาณออกจากร่าง เหมือนเรานอนหลับ ตื่นขึ้นมาอยู่ที่เดิมเลย เพราะเรานั่งอยู่ที่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้าร่วมกับพระเยซูคริสต์เรียบร้อยแล้ว ตั้งแต่วินาทีนี้ …

เอเฟซัส 2:7 “เพื่อในยุคต่อๆ ไป พระองค์จะได้ทรงสำแดงความอุดมแห่งพระคุณ อันหาใดเปรียบ ซึ่งได้ทรงแสดงด้วยพระกรุณาที่มีต่อเราในพระเยซูคริสต์”

 

ดังนั้น ยุคต่อๆไป ไปเรื่อยๆ พระคุณตรงนี้ พระเยซูคริสต์ได้ทำสำเร็จแล้ว มนุษย์สามารถได้รับความรอด ผ่านทางพระเยซูคริสต์ผู้เดียวเท่านั้น ที่ทำให้มนุษย์สามารถคืนดีกับพระเจ้าได้ ผ่านทางพระเยซูคริสต์ผู้เดียวเท่านั้น ที่ทำให้เราสามารถเป็นผู้ชอบธรรมของพระเจ้าได้ นี่คือเงื่อนไขเดียว ที่พระเจ้าได้พูดไว้ คือไม่ว่าเราจะทำด้วยวิธีการใดก็ตาม ก็ไม่เข้าเงื่อนไขของพระเจ้า ทำความดีเยอะๆ ก็ไม่ได้อยู่ในเงื่อนไขของพระเจ้า เพราะไม่ว่าจะทำดีอย่างไร ก็ไม่ครบถ้วน หรือทำอะไร คือพยายามดิ้นรนตะเกียกตะกาย ยังไงก็ไม่ได้ เพราะพระเยซูบอก …

“เธอทำไม่ได้หรอก เธอต้องมาพึ่งฉัน เพราะว่าฉันมาทำให้เธอสำเร็จเรียบร้อยไปแล้ว ทุกอย่างเลย แค่เข้ามารับเอาเท่านั้นเอง”

เอเฟซัส 2:8 “เพราะโดยพระคุณ ความเมตตา และความโปรดปรานของพระเจ้า ที่ได้นำท่านเข้ามาอยู่ในพระคริสต์ ท่านทั้งหลายจึงได้รับความรอด พ้นจากการถูกตัดสินลงโทษ เนื่องจากบาป และได้รับชีวิตนิรันดร์ ผ่านทางความเชื่อ”

 

ความเชื่อนะ อันนี้สำคัญมาก ชีวิตนิรันดร์ที่พวกเราได้รับ ผ่านทางความเชื่อเท่านั้น เชื่อในสิ่งที่พระเยซูคริสต์กระทำ เพื่อเราบนไม้กางเขนเรียบร้อยไปแล้ว เมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว นี่คือความเชื่อที่พระเจ้าใส่เข้ามา ทำให้เรามีความสามารถเชื่อในสิ่งที่พระเยซูคริสต์กระทำ

เราเคยคุยกันแล้วว่ามนุษย์ที่เป็นคนบาป ไม่สามารถเชื่อหรอกว่าพระเยซูเป็นพระเจ้า แต่ความเชื่อนี้ พระเจ้าเป็นผู้ใส่เข้ามา ให้เราสามารถเชื่อได้ว่าพระองค์เป็นพระเจ้า เป็นพระมาซีฮาห์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอด พอเชื่อปุ๊บ เราก็เปิดใจรับเอาสิ่งที่พระเจ้าได้ทำให้กับพวกเราเรียบร้อยไปแล้ว ดังนั้น พระคุณตรงนี้ พระเจ้าทำให้เราเรียบร้อยไปแล้ว ได้รับความรอดเรียบร้อยไปแล้ว …

เอเฟซัส 2:9 “ความรอดนี้ ไม่ได้เป็นผลจากการพยายามทำด้วยตัวท่านเอง แต่เป็นพระคุณของพระเจ้าที่ได้ประทานให้ ไม่ใช่ความรอด โดยการประพฤติ หรือความพยายามที่จะรักษาบทบัญญัติของพระเจ้า เพื่อจะไม่มีใครโอ้อวด และแอบอ้างความดีตัวเอง ในความรอดของตนได้”

 

ถ้าสมมติว่าการได้เป็นผู้ชอบธรรม สามารถทำด้วยกำลังของมนุษย์ หรือมนุษย์สามารถประพฤติความดีงาม โดยได้รับความรอดนี้ ก็สามารถทำให้มนุษย์อวดได้ใช่ไหม? คนที่ได้รับความรอด ก็จะบอกว่า …

“เห็นไหม? ฉันทำดีกว่าเธอตั้งเยอะ ฉันถึงได้รับความรอด”

แต่พระเจ้าบอกไม่ใช่ ไม่มีมนุษย์คนไหนทำดีได้ครบถ้วนสมบูรณ์ ตามที่พระเจ้าบอก ฉะนั้น ไม่มีใครโอ้อวดได้เลยว่าที่เขาได้รับความรอด ที่เขาได้บังเกิดใหม่ ที่เขาได้มาเป็นพลเมืองของพระเจ้า ที่เขาได้คืนดีกับพระเจ้า เพราะการกระทำของตัวเอง  เพราะการทำดี การส่ำสมความดีของเรา เราถึงได้รับความรอด อวดไม่ได้เลย เพราะว่าไม่มีใครทำได้เลย พระเจ้า พระเยซูคริสต์ เป็นผู้กระทำให้กับพวกเราบนไม้กางเขน และเป็นขึ้นมาจากความตายเท่านั้น เมื่อเราเชื่อ เราก็ได้รับความรอดนี้เลย คือไปโม้กับใครว่า …

“ฉันทำดี พระเจ้าถึงรักฉัน เพราะฉันทำดี พระเจ้าถึงเลือกฉัน เพราะฉัน ….”

ไม่ใช่เลย พระเจ้าบอกมนุษย์เป็นคนบาปหมด มนุษย์อยู่ในความชั่วร้ายหมด ไม่มีใครดีพอที่จะทำให้พระเจ้ารับได้เลย มีเพียงผู้ที่เข้ามารับเอาความช่วยเหลือจากพระเยซูคริสต์ได้บังเกิดใหม่ พระเจ้าถึงรับเราได้ …

เอเฟซัส 2:10 “เพราะเราทั้งหลายเป็นผลงานศิลปะชิ้นเอก ที่ประณีตยอดเยี่ยมของพระเจ้า ที่สร้างสรรค์ขึ้นในพระเยซูคริสต์ ซึ่งวิญญาณได้บังเกิดใหม่ พร้อมที่จะให้พระเจ้าใช้ เพื่อทำการดีต่างๆ ซึ่งพระเจ้าได้เตรียมไว้ล่วงหน้าแล้ว เพื่อเราจะได้ดำเนินชีวิตที่ดี เป็นไปตามแผนการของพระองค์”

 

พอเราได้บังเกิดใหม่  เราทุกคนเป็นผลงานชิ้นเอกของพระเจ้าเลย พระองค์สร้างเราอย่างประณีตบรรจง แล้วพระองค์บอกว่าโดยพระเยซูคริสต์ เราได้รับการสร้าง โดยทำให้เรามีวิญญาณใหม่ พอวิญญาณใหม่ เป็นวิญญาณที่ดีพร้อม พร้อมที่จะทำการดี ก็คือวิญญาณข้างในดี เกิดจากการเป็นคนดี ทำให้เราสามารถกระทำความดี มันจะต่างกันนะ

สมัยก่อน ก่อนที่เราจะมาเชื่อพระเจ้า เราพยายามกระทำความดี เพื่อเราจะได้รับวิญญาณที่ดี หรือได้เป็นลูกของพระเจ้า ทำอย่าไรก็ทำไม่ได้ แต่บัดนี้ เราได้บังเกิดใหม่ วิญญาณข้างในเราดี เกิดมาเป็นลูกของพระเจ้าแล้ว เป็นความดีงาม เป็นภาชนะที่พระเจ้าพร้อมที่จะใช้เราได้ คือพระเจ้าบอกดีงาม แต่รอเวลา แต่ละคนจะมีเวลาของการเจริญเติบโตไม่เหมือนกัน ดังนั้น การเจริญเติบโตขึ้นอยู่กับการที่เด็กทารก หรือผู้เชื่อคนนั้นได้กินนมที่ถูกต้อง กินอาหารที่ถูกหลักอนามัย มีสุขภาพทางวิญญาณที่แข็งแรง เมื่อกินถูกที่ถูกทาง เขาจะเจริญเติบโตได้สมส่วน เขาเรียกว่าไม่เจริญเติบโตแบบแปลกๆ เมื่อเขาเจริญเติบโตถึงขั้นที่พระเจ้าเห็นว่าคนนี้สามารถใช้การได้ พระองค์ก็จะใช้เขา

ตรงนี้ฟังให้ชัดๆ นะ พระเจ้าเป็นผู้ใช้เรา ไม่ใช่เราพยายามอยากจะออกไปทำเอง พยายามรู้สึกว่าตรงนี้ดี เราออกไปทำดีกว่า ไม่ใช่ ขึ้นอยู่กับพระเจ้าจะใช้เราเมื่อไร? อย่างไร?  ดังนั้น การใช้ของพระเจ้า อาจจะเป็นสิ่งเล็กน้อย แต่ว่าถ้าสิ่งเล็กน้อยนั้น พระเจ้าเป็นผู้ใช้เราไป มันจะเกิดผลในอาณาจักรของพระเจ้า แต่ถ้าเราทำสิ่งใหญ่โต โดยที่พระเจ้าไม่ได้ใช้ แต่เราออกไปด้วยกำลังของเราเอง มันไม่มีผลอะไรกับอาณาจักรของพระเจ้า ถ้าเราชัดเจนตรงนี้ปุ๊บ เราก็จะไม่ดิ้นรน พยายาม ตะเกียกตะกาย เพื่อว่าเราจะพยายามรับใช้พระองค์ แต่พระเจ้าบอกอยู่เฉยๆ ถึงเวลา พระองค์จะใช้เอง

อย่างที่เรายกตัวอย่างต้นไม้ อยู่เฉยๆ  ถึงเวลาที่พระเจ้าจะให้ต้นไม้นี้สวยงาม โชว์ให้คนอื่นได้เห็นความสวยงาม มันจะออกมาเอง ตามฤดูกาล ดังนั้น พระเจ้าจะมีฤดูกาลสำหรับเราแต่ละคนที่ต่างกัน การทรงเรียกก็ต่างกัน มันขึ้นอยู่กับพระเจ้า ไม่ได้ขึ้นอยู่กับเราเลยว่าเราอยาก

“พระองค์เจ้าข้า ลูกอยากทำโน่นทำนี่”

“ไม่ๆ อยู่เฉยๆ ดีกว่า เพราะทำไป เธอก็เหนื่อยเปล่า เพราะว่าไม่ใช่มาจากพระองค์”

ฉะนั้น พอเรารอเวลาที่สวยงามของพระเจ้า พระองค์ก็จะเป็นคนดันเราออกไป จากภายใน ข้างในวิญญาณของเรา พระองค์จะให้เราสำแดงตัวตนจริงๆ ที่เป็นธรรมชาติใหม่ของเราออกไปให้ผู้คนได้สามารถสัมผัส ได้สามารถเห็นพระเยซูคริสต์ในชีวิตของเรา

พี่น้องออกไป ไปดูต้นหางนกยูง ตอนนี้ออกดอกสวยงามมาก เต็มต้นเลย ที่เราเคยยกตัวอย่าง ต้นหางนกยูงไม่ได้ทำอะไรเลย แต่พระเจ้าทำให้มันออกดอกสวยงาม ในฤดูกาลที่เหมาะสม คนที่รดน้ำ คืออาจารย์นำ รดน้ำทุกวัน แค่นั้น แต่ว่าคนที่ทำให้ออกดอกสวยงาม คือพระเจ้า ผู้ยิ่งใหญ่สูงสุด ตอนนี้เต็มต้นเลย สวยงาม แล้วมันจะอยู่ได้ 2-3 เดือนให้เราเชยชม พอนอกฤดูกาล มันก็ไม่มีอะไรเลย มีแต่ใบ บางฤดูกาลใบก็ร่วงหมดเลย นึกว่าตาย แต่ไม่ตายนะ แล้วพอถึงฤดูกาล ที่ออกดอก มันก็ออกดอกมาอีกครั้งหนึ่ง เป็นวงจรของมัน

ชีวิตคริสเตียนเหมือนกัน พระเจ้าจะเป็นผู้ดันเราออกไป เมื่อพระเจ้าใช้เราทำอะไรก็ได้ แม้ว่าจะเป็นสิ่งที่เล็กน้อยที่สุด แต่มันจะเกิดผลสวยงาม ทำให้ผู้คนได้สามารถเห็นพระสิริของพระเจ้าในชีวิตของเรา  พระเจ้าอวยพรค่ะ

 

**********************

 

จากใจคณะศิษยาภิบาล

 

โรม 8:24-25  “เพราะว่าในขณะที่เราได้รับความรอด  มีชีวิตนิรันดร์  ผ่านทางความเชื่อแล้ว  เราก็ยังมีความหวังนี้อยู่ แต่ความหวังที่เห็นได้นั้น ไม่ใช่ความหวังเลย ใครเล่า หวังในสิ่งที่ตนเองมีอยู่แล้ว แต่ถ้าเราหวังในสิ่งที่เรายังไม่มี  เราย่อมรอคอยสิ่งนั้น  ด้วยความอดทน”

 

ใครเล่า หวังในสิ่งที่ตนเองมีอยู่แล้ว  แต่ถ้าเราหวังในสิ่งที่เรายังไม่มี  เราย่อมรอคอยสิ่งนั้น ด้วยความอดทน

สิ่งที่มีอยู่แล้ว ก็คือความรอด ชีวิตนิรันดร์ การได้อยู่ในสวรรค์ ในโลกวิญญาณ

สิ่งที่เรายังไม่มี และเป็นความหวังที่พวกเรารอคอย ด้วยความอดทน ก็คือการได้เป็นขึ้นจากความตาย  เหมือนพระเยซู  เป็นความหวังเดียวกับคริสเตียนในยุคแรก

 

ความหวัง ที่จะได้เป็นขึ้นจากความตาย หมายถึงการได้รับกายใหม่ หลังจากที่กายฝ่ายโลก เรือนดินของเรานี้ เสื่อมสลายลง ซึ่งพระคัมภีร์ เรียก “กายใหม่” นี้ ว่ากายสวรรค์ กายวิญญาณ

1 โครินธ์ 15:40 “กายก็มีทั้งแบบสวรรค์ และแบบฝ่ายโลกเช่นกัน แต่สง่าราศีของกายแบบสวรรค์ ก็อย่างหนึ่ง และสง่าราศีของกายแบบฝ่ายโลก ก็อีกอย่างหนึ่ง”

 

การได้รับกายใหม่ คือกายสวรรค์ หลังจากที่กายแบบโลกของเราเสื่อมสลายลง (ตาย) ก็คือการได้รับชีวิตนิรันดร์ ที่ครบถ้วนบริบูรณ์ (แบบ Full Option)  ตรงนี้แหละ คือสิ่งที่เรายังไม่มี และเป็นความหวัง ที่พวกเรารอคอย ด้วยความอดทน

 

พระเจ้าอวยพรครับ