วารสาร Holy News ฉบับที่ 1362

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  24  เมษายน  2022

เรื่อง “การปลอบประโลมจากพระเจ้า  ท่ามกลางความทุกข์ยากลำบาก”

ตอน 5 “ทิ้งเสื้อเก่า แล้วสวมเสื้อใหม่ซะ”

โดย นคร  เวชสุภาพร

 

สวัสดีครับพี่น้อง เรากลับมาที่การบรรยายเรื่อง “การปลอบประโลมจากพระเจ้า ท่ามกลางความทุกข์ยากลำบาก” วันนี้เป็นตอน 5 ชื่อตอนว่า “ทิ้งเสื้อเก่า  แล้วสวมเสื้อใหม่ซะ” ผู้เชื่อทั้งหลาย ถ้าพูดอะไรเกี่ยวกับการเตือน  ส่วนใหญ่ทั้งหมด 100% คือพูดกับตัวเองก่อนนั่นแหละ

เพราะฉะนั้น พูดกับตัวเองว่า “ทิ้งเสื้อเก่า แล้วสวมเสื้อใหม่ซะ”

ใน 4 ตอนที่ผ่านมา  จากซีรี่ย์นี้ เราได้เรียนรู้จากพระคัมภีร์ใน 1 เปโตร บทที่ 1 ซึ่งเขียนโดยอัครทูตเปโตร  เพื่อหนุนใจบรรดาผู้เชื่อทั้งหลาย ซึ่งส่วนใหญ่เป็นชาวยิว ที่เผชิญกับความทุกข์ทรมาน ความทุกข์ยากลำบาก จากการถูกข่มเหงรังแก อย่างหนัก จากจักรวรรดิโรมัน ในสมัยนั้น ซึ่งเราก็สามารถใช้คำหนุนใจ อันเดียวกันนี้ มาหนุนใจพวกเรากันเอง ผู้เชื่อในยุคปัจจุบันได้ด้วย ในการที่เราจะเผชิญกับความทุกข์ยากลำบาก วิกฤตปัญหา ที่เกิดขึ้นกับเราในยุคปัจจุบันนี้ด้วยเช่นเดียวกัน

ซึ่งเราจะทบทวน สรุปประเด็น ในหนังสือ 1 เปโตร บทที่ 1 ที่เราได้เรียนรู้กันไป 4 ตอน ตอนนี้ ตอนที่ 5 แล้ว

สรุป บทที่ 1 ว่าท่ามกลางความทุกข์ยากลำบาก อย่างแสนสาหัส พระเจ้าได้ปลอบประโลมจิตใจ ลูกๆ ของพระองค์ คือผู้เชื่อทั้งหลาย โดยให้เราได้รับรู้ความจริง ในเรื่องราวเกี่ยวกับโลกฝ่ายวิญญาณที่เกิดขึ้นจากข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์ ว่าเมื่อเราเชื่อในข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์เรียบร้อยแล้ว ในโลกวิญญาณ เราเป็นใครในพระเยซูคริสต์แล้ว เราได้บังเกิดใหม่ เป็นผู้บริสุทธิ์ เป็นผู้ชอบธรรม เป็นทายาท “เป็น” หมดเลย คือได้บังเกิดใหม่ เป็น ในโลกวิญญาณ เราได้เกิดใหม่ ได้เป็นผู้บริสุทธิ์ ได้เป็นผู้ชอบธรรม ได้เป็นทายาท รับมรดกในโลกฝ่ายวิญญาณ จากพระเจ้าเรียบร้อยไปแล้ว ซึ่งเรียกว่าในโลกวิญญาณ หรือในสวรรคสถาน และทั้งหมดนี้ พระเจ้าเป็นผู้ดูแลปกป้อง คุ้มครองวิญญาณของเรา และสิ่งต่างๆ ที่เราได้ทั้งหมดนี้ ด้วยฤทธิ์เดชอำนาจของพระองค์เองเลย  นี่เราเรียนรู้ไปแล้วจากบทที่ 1

แล้วพระเจ้าก็แนะนำเรา ใน 1 เปโตร บทที่ 1 บอกว่าความจริง ที่มันเกิดขึ้นแล้วในโลกวิญญาณ ในสวรรค์ ทั้งหมดนี้ ให้เราใคร่ครวญ ระลึกถึง จดจ่ออยู่เสมอๆ ตลอดเวลายิ่งดี เพื่อที่จะสามารถดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ให้มันสม สอดคล้องกับความเป็นจริง ให้เหมาะสมกับตัวตนที่แท้จริงของเราในโลกวิญญาณ ในสวรรคสถานที่เราได้อยู่ในพระคริสต์แล้ว นั่นแหละ เพื่อเราจะได้ไม่ถูกหลอก ถูกล่อลวงให้หลง ด้วยความเท็จ คำโกหกหลอกลวงต่างๆ

โดยให้เรามองเห็นความเป็นจริงในการดำเนินชีวิต บนโลกใบนี้ สรุปในบทที่ 1 บอกไว้อย่างนี้ว่าให้เรามองเห็นความเป็นจริงในโลกวิญญาณว่าในการดำเนินชีวิต บนโลกใบนี้ มนุษย์ทุกคนจำเป็นต้องเผชิญความทุกข์ยากลำบาก เศร้าโศกชั่วขณะหนึ่งเท่านั้น มนุษย์ทุกคนนะ ไม่ใช่เรา คนเดียว โลกใบนี้เสียหาย ถูกสาปแช่ง มีความทุกข์อยู่แล้ว เพราะฉะนั้น ทุกคนจำเป็นต้องเผชิญความทุกข์ยากลำบากเหล่านี้ ไม่มากก็น้อยเป็นเรื่องธรรมดา ในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ แต่มันชั่วขณะหนึ่งเท่านั้น เมื่อเทียบกับโลกฝ่ายวิญญาณ ที่เราได้อยู่ในสวรรค์ บังเกิดใหม่ เป็นลูกของพระเจ้าแล้วนั้น

และสุดท้ายในข้อ 25 ของบทที่ 1 ได้สรุปว่าไม่ว่าเราจะทุกข์ยากลำบากเพียงใด  ในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ เจ้าร่างกายที่มันอ่อนแอนี้ ที่มันต้องรับความทุกข์ยากลำบาก ทั้งกลัว ทั้งเจ็บปวด อยากได้ ต่อสู้อะไรต่างๆ เหล่านั้น ร่างกายที่ดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ มันเปรียบเหมือนต้นหญ้า และสง่าราศีของมัน เหมือนดอกหญ้า เหมือนอย่างไร? คือชีวิตเหมือนต้นหญ้า … ต้นหญ้า แป๊บเดียว มันก็ร่วงโรยไปแล้ว และดอกหญ้า คือความสง่างามของร่างกายนี้ ร่างกายเราแข็งแรง ดูสดใส มันอยู่ได้นานไหม? แป๊บเดียว เดี๋ยวมันก็ร่วงโรย แก่เหี่ยว แล้วก็ตาย ทั้งต้นหญ้าและสง่าราศีของมัน ก็คือดอกหญ้า ทั้งคู่ มันอยู่ไม่นาน แป๊บเดียว เดี๋ยวมันก็ไปแล้ว มันไม่สามารถที่จะมาเทียบอะไรกันกับชีวิตจริงๆ ถาวรนิรันดร์ของเราในพระเยซูคริสต์ เป็นชีวิตที่ได้บังเกิดใหม่ในโลกฝ่ายวิญญาณ เป็นชีวิตที่ได้บังเกิดใหม่ โดยการเชื่อในข่าวดีของพระเยซูคริสต์ ถ้อยคำของพระเยซูคริสต์ ในข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์ ซึ่งเป็นชีวิตที่ให้กับเรา เมื่อเราเปิดใจต้อนรับข่าวประเสริฐนี้เข้ามา ต้อนรับพระเยซูคริสต์เข้ามา เป็นพระผู้ช่วยให้รอด เป็นพระผู้ไถ่บาป และเราจึงได้บังเกิดใหม่ เข้าไปในโลกฝ่ายวิญญาณ เข้าไปอยู่ในสวรรค์กับพระเจ้า เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์ ตรงนี้อยู่ถาวรนิรันดร์ อยู่ตลอดกาลเลย

เพราะฉะนั้น ร่างกายบนโลกใบนี้ ที่ทนทุกข์อยู่ มันแป๊บเดียวเอง มันเทียบอะไรไม่ได้เลย ซึ่งสิ่งเหล่านี้ เมื่อพูดแล้ว ทำให้ผู้เชื่อ ลูกๆ ของพระองค์ ที่ได้รู้ความจริงเหล่านี้ มีความสามารถอดทนกับความทุกข์ยากลำบากได้มากขึ้น เห็นชัดเจนขึ้นว่าชีวิตที่อยู่บนโลกใบนี้ เป็นชีวิตที่อยู่แป๊บเดียว แต่จริงๆ แล้ว เราอยู่ถาวรนิรันดร์ในโลกฝ่ายวิญญาณ แล้วจะอยู่อย่างนี้กับพระเจ้านิรันดร์กาล รออีกแป๊บเดียวนะ เราก็จะได้พักผ่อนนิรันดร์กาล ในสวรรคสถานกับพระเจ้า ไม่ต้องทุกข์ทรมานอยู่ในร่างกายนี้ตลอดไป เอเมนไหม? อย่างนี้เป็นการหนุนผู้เชื่ออย่างมากมาย

เรามาดูกันต่อในสัปดาห์นี้ว่าเมื่อเราได้เรียนรู้จาก 1 เปโตร บทที่ 1 มาแล้วอย่างละเอียด 4 ตอนแล้ว เมื่อรู้แล้ว เราควรจะประพฤติตัวเช่นไร? กระทำตัวอย่างไร หลังจากที่ได้รู้จักตัวตนแท้จริงในโลกวิญญาณของเราว่าที่จะอยู่นิรันดร์กาล มันเป็นอย่างไร? อยู่ในพระคริสต์เป็นลักษณะอย่างไร? เป็นลูกพระเจ้าหน้าตาเป็นอย่างไร? เราได้รับรู้ไปแล้วว่าเมื่อเราบังเกิดใหม่ เป็นลูกพระเจ้า ที่บริสุทธิ์ ดีพร้อมเหมือนพระองค์แล้ว เราควรจะมีความประพฤติในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้อย่างไร? ให้มันสอดคล้องกับความเป็นจริงในโลกวิญญาณ ที่เราเป็นอยู่นั้น

หัวข้อในการบรรยายในวันนี้ จึงมีชื่อว่า “การปลอบประโลมจากพระเจ้า ท่ามกลางความทุกข์ยากลำบาก” ตอน 5 “ทิ้งเสื้อเก่า แล้วสวมเสื้อใหม่ซะ” รู้ความจริงแล้วว่าเราเป็นใครในพระเยซูคริสต์ เราได้บังเกิดใหม่ เป็นลูกพระเจ้าที่บริสุทธิ์แล้ว  รู้ สะอาดแล้ว อยู่ในสวรรค์แล้ว ให้ทิ้งเสื้อเก่า แล้วสวมเสื้อใหม่ซะ  ให้พูดกับตัวเอง  1 เปโตร 2:1 …

1 เปโตร 2:1  “เพราะฉะนั้น  ท่านทั้งหลายจงขจัดสารพัดความมุ่งร้าย การฉ้อฉล ความหน้าซื่อใจคด  ความอิจฉาริษยา  และการว่าร้ายทุกอย่าง   ไปจากตัวท่าน (ทิ้งเสื้อเก่า  ซึ่งหมายถึง  ความประพฤติเดิมๆ)”

 

“เพราะฉะนั้น ท่านทั้งหลายจงขจัดสารพัดความมุ่งร้าย การฉ้อฉล ความหน้าซื่อใจคด ความอิจฉาริษา และการว่าร้ายทุกอย่าง ไปจากตัวท่าน ผมวงเล็บไว้ว่า (ทิ้งเสื้อเก่า ซึ่งหมายถึงความประพฤติเดิมๆ ของท่านนั่นแหละ)

ในนี้บอกว่า “จงขจัดสารพัดความมุ่งร้าย” ภาษาเดิมตรงนี้คือ “จงขจัดสารพัดความชั่วร้าย” เรายังเป็นคนชั่วร้ายอยู่อีกหรือ? นี่พูดกับใคร? นี่พูดกับผู้เชื่อที่ได้บังเกิดใหม่แล้วนะ เรายังเป็นคนชั่วร้ายอยู่หรือ? สงสัยอยู่ไหม?

เรามาวิเคราะห์กันดูว่ามันคืออะไร? ขจัดสารพัดความชั่วร้ายเหล่านี้ ยกตัวอย่างให้ 2-3 อัน ที่เขียนมาในนี้ อย่างเช่น อิจฉาริษยา หน้าซื่อใจคดอะไรต่างๆ เหล่านี้ ผมจะพาท่านไปดูความชั่วร้ายที่จริงๆ ที่ละเอียดขึ้นว่าความชั่วร้ายนี้ คืออะไร? จากหนังสือโรม 1:28-32  ดูลักษณะของความชั่วร้าย หรือเสื้อเก่ามันเป็นลักษณะอย่างไร? มันไม่ใช่มีแค่ฉ้อฉล หน้าซื่อใจคด อิจฉาริษยา การว่าร้ายทุกอย่าง มันมีอะไรอยู่ในนั้น โรม 1:28-32 ได้บอกไว้ …

โรม 1:28-32  “28 ยิ่งกว่านั้น  เนื่องจากเขาไม่เห็นคุณค่าของการรู้จักพระเจ้า พระองค์จึงทรงปล่อยเขา  ให้มีจิตใจเสื่อมทราม  ให้ทำสิ่งที่ไม่สมควร 29 พวกเขาจึงเต็มไปด้วยความเลว ความชั่วร้าย ความโลภโมโทสัน และความเสื่อมทรามสารพัดชนิด พวกเขามีแต่ความอิจฉาริษยา การเข่นฆ่า การแก่งแย่งชิงดี การล่อลวง และการคิดร้าย พวกเขาชอบนินทา 30 ใส่ร้ายป้ายสี  เกลียดชังพระเจ้า หยาบคาย หยิ่งยโส และโอ้อวด  พวกเขาคิดหาทางใหม่ๆ ในการทำชั่ว พวกเขาไม่เชื่อฟังบิดามารดาของตน 31 พวกเขาเป็นคนไร้สติ ไร้สัตย์ ไร้หัวใจ ไร้ความปรานี 32 แม้เขารู้กฎเกณฑ์อันชอบธรรมของพระเจ้าว่าผู้ที่ทำเช่นนั้นสมควรตาย เขาไม่เพียงยังคงทำสิ่งเหล่านี้ต่อไป แต่ยังเห็นชอบกับผู้ที่ทำสิ่งเหล่านี้ด้วย”

 

นี่คือลักษณะของเสื้อเก่า ซึ่งออกมาจากวิญญาณเก่า ประพฤติออกมาเป็นเสื้อเก่า

ในข้อ 28 บอกว่า “ยิ่งกว่านั้น เนื่องจากเขาไม่เห็นคุณค่าของการรู้จักพระเจ้า” มันแปลว่าอะไร? ไม่เห็นคุณค่าของข่าวประเสริฐของพระเจ้า ไม่เห็นคุณค่าของพระเยซูคริสต์ พระผู้ช่วยให้รอด ที่จะทำให้เขาสามารถเข้ามารู้จักกับพระเจ้า เป็นหนึ่งเดียวกับพระเจ้าได้ พูดง่ายๆ เขาไม่เชื่อในข่าวประเสริฐของพระเจ้า เขาจึงไม่ได้บังเกิดใหม่ เมื่อเขาไม่ได้บังเกิดใหม่ เขาก็ยังอยู่ในตัวเดิมของเขา วิญญาณของเขาก็อยู่ในตัวเก่าของเขา วิญญาณตัวเก่า ก็จะผลิตผลออกมาเป็นตะกี้นี้ทั้งหมดนั่นแหละ

พระองค์จึงทรงปล่อยให้เขา หมายถึงอะไร? พระองค์จึงทรงจำเป็นต้องปล่อยให้เขาเป็นอย่างนี้ เพราะเขาตัดสินใจด้วยตัวของเขาเอง เขาจะไม่รับข่าวดี เขาจะไม่รับพระคุณ การช่วยเหลือจากพระเยซูคริสต์ เขาจะอยู่ด้วยตัวเอง เขาจะพึ่งตนเอง แล้วมันก็จะเป็นอย่างนี้แหละ เมื่อเขาพึ่งตนเอง เขาก็จะไม่ได้บังเกิดใหม่ เมื่อไม่บังเกิดใหม่ วิญญาณของเขา ก็ตายอยู่ … ตายอยู่ในไหน? ในความพินาศ ในความชั่ว เป็นทาสของความบาป และผลของความบาป คือความตาย ก็คืออาการทั้งหมดที่ตะกี้อ่านมา ตั้งแต่ฆ่าคนตาย โลภโมโทสัน จนกระทั่งถึงไม่เชื่อฟังบิดามารดา จนกระทั่งถึงเมาเหล้าเล็กๆ น้อยๆ ทั้งหมดนี้ มันเป็นอาการประพฤติออกมา เหตุเนื่องจากวิญญาณข้างใน เป็นบาปอยู่  เพราะเขาไม่เห็นคุณค่าในการรู้จักพระเจ้า

แล้วเราผู้เชื่อ ก็กลับกัน เราผู้เชื่อในข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์ ได้รับการบังเกิดใหม่แล้ว ก็คือคนที่เห็นคุณค่า ในการู้จักพระเจ้า ก็คือเราเห็นคุณค่าของการที่จะรู้จักพระเจ้า

“การรู้จักพระเจ้า” คือการเข้าไปมีส่วนร่วมเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเยซูคริสต์ ที่เราได้เรียนรู้ไปเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว วันอีสเตอร์ วันศุกร์ประเสริฐนั่นแหละ  การรู้จักกับพระเจ้า คือการเข้าไปเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์ ถูกผ่าตัดทางฝ่ายวิญญาณ ได้บังเกิดใหม่นั่นเอง เราเห็นคุณค่าของการได้บังเกิดใหม่ในพระเยซูคริสต์ เราจึงเปิดใจต้อนรับข่าวประเสริฐ ข่าวดีนี้ จึงได้รับการบังเกิดใหม่ และเมื่อบังเกิดใหม่แล้ว เป็นหนึ่งเดียวกับพระองค์แล้ว เราก็สะอาดหมดจด อยู่ในพระคริสต์ ไม่ได้มีวิญญาณ ที่จะทำอะไรต่างๆ เหล่านี้ ออกมาเป็นความประพฤติแล้ว

นี่คืออาการของมัน ใน 1 เปโตร 2:1 ที่บอกว่า “เพราะฉะนั้น ท่านทั้งหลายจงขจัดสิ่งสารพัดความมุ่งร้าย” คือความชั่วร้ายเหล่านี้  ขจัดออกไป คือตัวข้างในท่านเปลี่ยนแล้ว ตัวข้างในท่านเป็นคนใหม่ บังเกิดใหม่ เป็นลูกพระเจ้าแล้ว ตรงนี้ คือความประพฤติเดิม คือเสื้อเก่า ที่ท่านเคยใส่มาแล้วนั่นเอง

เพราะฉะนั้น เมื่อท่านได้รับรู้ถึงข่าวประเสริฐแห่งพระคุณของพระเจ้า ในพระเยซูคริสต์ ที่ทำให้ท่านหรือทำให้เราได้บังเกิดใหม่ ชำระท่าน ชำระเราด้วยข่าวประเสริฐนี้ จนสะอาดหมดจด แยกเราออกมาเป็นทรัพย์สมบัติส่วนพระองค์เลย บริสุทธิ์ ดีพร้อม เหมือนพระเจ้า เหมือนพระเยซูคริสต์ มีค่ามากมาย ในสายพระเนตรของพระเจ้า และให้เรานั้นได้บังเกิดใหม่ ด้วย DNA หรือหน่อเชื้อ ชีวิตของพระองค์เอง คือของพระเจ้าเอง  โดยเราเป็นเหมือนพระเยซูคริสต์ เราได้เรียนรู้มาแล้ว ซึ่งไม่ได้เกิดใหม่ โดยมนุษย์ ซึ่งตายได้ แต่เป็น DNA นิรันดร์ ที่จะอยู่นิรันดร์ เป็นวิญญาณเดียวกับพระเจ้า ที่จะอยู่กับพระองค์นิรันดร์ ท่านได้รับความรอดนิรันดร์นี้เรียบร้อยแล้ว และอยู่ในสวรรคสถานกับพระองค์แล้ว ขณะนี้ เดี๋ยวนี้ ทันทีที่กำลังดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ ก็อยู่อย่างนี้แล้ว ไม่ใช่ด้วยตัวท่านเอง?  แต่ด้วยพระคุณความเมตตา จากข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์ นี่หมายถึงอย่างนี้

เพราะฉะนั้น เมื่อท่านรู้ว่าในโลกวิญญาณ สถานะตัวตนที่แท้จริงของท่านจะดำรงอยู่ตลอดไป เป็นอย่างไรในพระเยซูคริสต์ จะเกิดอะไรขึ้น หลังความตายฝ่ายร่างกายนี้  ท่านรู้แล้ว  หลังความตายฝ่ายร่างกาย  วิญญาณท่านก็อยู่ที่เดิม  อยู่กับพระเจ้าในสวรรคสถานนิรันดร์นั่นเอง ดีกว่าด้วยซ้ำไป เพราะจะได้ไม่ต้องทุกข์ทรมาน อยู่ในร่างกายที่อ่อนแอ ที่กำลังดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้

นี่แหละ เมื่อรู้ความจริงเหล่านี้แล้ว ก็จงถอดเสื้อเก่าออกซะ ซึ่งเสื้อเก่าตรงนี้ คือความประพฤติเดิมๆ ก่อนที่จะได้รับการบังเกิดใหม่ มาเป็นลูกของพระเจ้า เสื้อเก่า ก็คือลักษณะตะกี้ที่เราอ่านพร้อมกัน ตั้งแต่ฆ่าคนตาย จนกระทั่งถึงไม่เชื่อฟังพ่อแม่ ทั้งหมดนั่นแหละ ตัวเก่าของเรา

นี่พูดถึงวิญญาณ ตัวตนแท้ๆ ของเรา ตัวตนเก่าของเรา ได้ตายไปพร้อมกับพระเยซูคริสต์ เรียบร้อยไปแล้ว ที่ไม้กางเขน

ยังจำได้ไหม? เมื่ออาทิตย์ที่แล้ว เราได้เรียนรู้เรื่องนี้ บัพติศมาเข้าส่วนเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเยซูคริสต์ ตายที่ไม้กางเขนร่วมกับพระเยซูคริสต์ ฝังไว้ในอุโมงค์ร่วมกับพระเยซูคริสต์ พระเยซูเป็นขึ้นจากความตาย เราก็เป็นขึ้นจากความตายร่วมกับพระเยซูคริสต์ เราได้นั่งอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้าในสวรรคสถาน ร่วมกับพระเยซูคริสต์เรียบร้อยแล้ว ถ้าเราเปิดใจต้อนรับความจริงนี้  มันก็จะเกิดขึ้นกับเรา และมันเกิดขึ้นแล้ว เพราะเราเชื่อแล้ว เราเป็นหนึ่งเดียวกับพระเยซูคริสต์c]h;

ความเป็นจริงนั้น เกิดอะไรขึ้น เมื่อเรารู้ว่าตัวเก่าของเราตายไปแล้ว ดังนั้น ความประพฤติเดิมของเรา ที่เคยทำมาก่อนที่จะบังเกิดใหม่ ก็คือเสื้อเก่าของเรา ที่เราเคยประพฤติ ที่เราเคยสวม ตอนก่อนที่เราบังเกิดใหม่ ตอนที่เราเป็นทาสของความบาป นึกภาพออกนะ และเป็นทาสของกิเลสตัณหาฝ่ายเนื้อหนัง ให้เราทำสิ่งที่ตรงกันข้ามกับความดีงามของพระเจ้า ซึ่งเปรียบเสมือนเสื้อเก่าที่เราควรจะกำจัดมันออกไปซะ เพราะเราไม่ได้เป็นทาสมันอีกต่อไปแล้ว และเพราะมันไม่เข้ากันกับวิญญาณตัวใหม่ของเราเลย ไม่เหมาะสมแล้วกับสถานะใหม่ของเรา ที่เป็นถึงลูกของพระเจ้า ผู้ยิ่งใหญ่สูงสุดแล้ว มันไม่เข้ากันกับเราแล้ว ก็เอามันออกไปจากตู้ซะ ทุกวันเปิดตู้ดู มี 2 ตู้ ตู้หนึ่ง คือเสื้อใหม่ อีกตู้หนึ่งเสื้อเก่ายังอยู่ อยู่ที่ไหน? อยู่ที่ในความคิดของเราเดิมๆ นั่นแหละ แล้วทำอย่างไร? เลือกสวมซะ อย่าไปใส่เสื้อเดิม มันเคยชิน ทำอะไร? ฝึกฝนในการที่จะบอกตัวเองว่า …

“ฉันเป็นคนใหม่แล้ว สวมเสื้อใหม่ดีกว่า อันนี้เข้ากว่า”

ดูในกระจก น่ารัก เป็นความรัก เป็นการให้อภัย ไปสวมเสื้อความโกรธ ความเกลียด ความเคียดแค้น ความวิตกกังวล มันไม่เข้ากับตัวใหม่ของฉัน ก็อย่าไปสวมมัน

เสื้อเก่า เช่น การมุ่งร้าย  การฉ้อฉล ความหน้าซื่อใจคด ที่ตะกี้เราอ่านกัน ยกตัวอย่างให้ คือเมื่อเรารู้ว่าเราเป็นคนมีค่า ในสายพระเนตรของพระเจ้า เป็นลูกของพระเจ้า ที่บริสุทธิ์ ดีพร้อมเหมือนพระเจ้า อยู่ในสวรรคสถาน  มีมรดกนิรันดร์แล้ว ก็จงภูมิใจ มั่นใจ ชื่นชมยินดี ถูกไหม? ถ้าเราเตือนตัวเองอยู่บ่อยๆ ว่าเราเป็นสิ่งต่างๆ เหล่านี้ เรามีสิ่งต่างๆ เหล่านี้  เราก็จะชื่นใจ มั่นใจในตัวเอง เมื่อมีความภูมิใจแล้ว มั่นใจแล้ว มันก็จะไม่มุ่งร้ายกับใคร? ไม่โกหกใคร? ไม่เป็นคนหน้าซื่อใจคด ไม่มีใจริษยาใคร? เพราะตัวเราเองมีครบ พร้อมหมดแล้ว แล้วเราจะไปอิจฉาเขาทำไม? มันมีแล้ว เราน่าจะเป็นคนที่ถูกเขาอิจฉามากกว่า

“คนนี้เป็นใคร ทำไมยิ้มแย้มแจ่มใสตลอดเวลา ทั้งๆ ที่ไม่ค่อยมีเงิน”

คนมีเงิน ก็บอก … “เราน่าจะทำตามอย่างเขานะ เรามีเงินตั้งเท่าไร? เราก็โลภไม่รู้จักหยุดหย่อน หาไม่พอสักทีหนึ่ง เอ๊ะ! เขามีน้อยๆ ทำไมรู้สึกพอเพียง มีความสุข”

ใครน่าอิจฉา ลองคิดดู มันเป็นอย่างนี้แหละ

และเมื่อเราเป็นคนที่สะอาดบริสุทธิ์ ดีพร้อมเหมือนพระเจ้าแล้ว เราก็ไม่อยากจะทำบาป จริงไหม? เมื่อเรามองดูที่กระจก เราเห็นตัวเราเอง สะอาด บริสุทธิ์ ผุดผ่อง ใส่เสื้อขาว วันนี้ออกจากบ้านไป ถ้าวันนี้ท่านใส่ชุดขาวทั้งชุดเลยออกจากบ้านไป ท่านระวังตัวไหม? ไม่ให้สกปรก ไม่ให้มีอะไรกระเด็นใส่เลย ถูกไหม? เพราะถ้ากระเด็นใส่เมื่อไร มันเห็นชัดเลยนะ แต่ถ้าวันนี้ท่านใส่เสื้อสีดำออกไป ท่านจะระวังไหม ท่านคงคิดในใจว่าไม่มีใครเห็นหรอก ก็โดนนิดหน่อย ช่างมัน ฉันใดฉันนั้น เมื่อรู้ว่าธรรมชาติในตัวตนของเราสะอาด บริสุทธิ์ เหมือนพระเจ้าแล้ว เราก็ไม่อยากจะไปยุ่ง วุ่นวายอะไรกับสิ่งสกปรก โสโครก แม้นิดหนึ่งก็ไม่อยากได้ เพราะมันเห็นชัด เพราะธรรมชาติข้างใน เราเปลี่ยนไปแล้วนั่นเอง

ธรรมชาติตัวตนข้างในของเรา เป็นลูกของพระเจ้า ที่เต็มไปด้วยสง่าราศี และมีมรดกนิรันดร์ในสวรรคสถานที่พระเจ้าจัดเตรียมไว้ให้ อย่างที่ไม่มีเน่าเปื่อย ไม่มีสูญเสีย มันจะอยู่ตลอดไป  แค่นี้ก็ชื่นชมยินดีมากมายแล้ว ถ้าเราเห็นความจริงเหล่านี้ชัดเจน ในโลกวิญญาณนี้นะ

พอเรามีความมั่นใจ ในความจริง ในข่าวประเสริฐอย่างนี้ ธรรมชาติ ลักษณะของเรา ก็จะออกมา เป็นความประพฤติแบบนี้ คือเราจะไม่มุ่งร้ายใคร? ไม่ฉ้อฉล ไม่โกหกใคร? ไม่ริษยา ไม่ทำความชั่ว ก็คือต้องการที่จะสวมเสื้อใหม่ ที่เป็นธรรมชาติใหม่ของเรานั่นเอง

นี่คือความต้องการ แบบธรรมชาติของผู้เชื่อทุกคนที่บังเกิดใหม่ แล้วมันจะเป็นอย่างนี้ และมันจะเป็นธรรมชาติได้ง่ายขึ้น เมื่อผู้เชื่อคนนั้น ได้รับรู้ความจริงในโลกฝ่ายวิญญาณ ตรงนี้ แต่อย่างไรก็ตาม จงจำไว้ว่าความจริง คือพอพูดถึงอย่างนี้เมื่อไร? ทิ้งเสื้อเก่า ใส่เสื้อใหม่ หมายถึงความประพฤติ ท่านต้องจำตรงนี้ให้ได้ เสื้อไม่ได้มีผลอะไรกับการกำเนิดเกิดมาเป็นมนุษย์ ฉันใด ความประพฤติก็ไม่มีผลอะไรกับการกำเนิดเกิดมาเป็นลูกของพระเจ้า ที่บริสุทธิ์ ดีพร้อมฉันนั้น

เสื้อไม่ได้ทำให้มนุษย์คนนั้นกลายเป็นสัตว์ได้ ต่อให้ใส่ชุดหมี ก็ยังเป็นคน ต่อให้ใส่ชุดลิง ก็ยังเป็นคน ต่อให้สวมชุดกระต่าย ก็ยังเป็นคน ถูกหรือไม่? เสื้อ คือความประพฤติ

แต่การกำเนิดเกิดมาเป็นลูกของพระเจ้า ดีพร้อมแล้วนั้น มันมีผลจากภายใน  ที่จะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงความประพฤติภายนอก

พูดง่ายๆ ว่าการกำเนิดเกิดมาเป็นอะไร มันจะมีผลต่อความประพฤติภายนอก การกำเนิดเกิดมาเป็นอะไร มันมีผลต่อเสื้อภายนอก การกำเนิดเกิดมาเป็นคน ก็จะมีผลต่อการสวมเสื้อผ้าภายนอก ถูกหรือไม่? เพราะฉะนั้น การกำเนิดเกิดมาเป็นลูกของพระเจ้า ดีพร้อมแล้วนั้น มันมีผลจากภายใน ที่จะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงภายนอก ภายนอกไม่สามารถเปลี่ยนแปลงภายในได้ พูดง่ายๆ แต่ภายในต่างหากที่มีอิทธิพล จะเปลี่ยนแปลงภายนอกได้ นี่คือข่าวประเสริฐ

ต่อมา 1 เปโตร 2:2-3 ได้บอกไว้อย่างนี้ว่า …

1 เปโตร 2:2-3  “2 เหมือนทารกแรกเกิด ที่กระหายน้ำนมฝ่ายวิญญาณอันบริสุทธิ์ (ไม่มีปลอมปนใดๆ)  เพื่อโดยน้ำนมนั้น  จะทำให้ท่านทั้งหลายเจริญขึ้น สู่ความสมบูรณ์ในความรอด (ที่ท่านได้รับโดยการบังเกิดใหม่แล้วนั้น) 3 ในเมื่อท่านได้ลิ้มรสความดีงาม และพระกรุณาคุณขององค์พระผู้เป็นเจ้าแล้ว (คือได้บังเกิดใหม่  โดยข่าวประเสริฐแห่งพระคุณแล้ว)”

 

“ในเมื่อได้บังเกิดใหม่ ด้วยฤทธิ์เดชอำนาจของข่าวประเสริฐ แห่งพระคุณของพระเจ้า” คือได้เกิดมาเป็นลูกของพระเจ้า โดยไม่ต้องทำอะไรเลย เรียกว่า “พระคุณ”  พระคุณ คือเราไม่ต้องทำอะไรเลย และในข่าวประเสริฐนี้เรียกว่า “พระคุณประหลาด” “พระคุณมหัศจรรย์” ประหลาด มนุษย์ไม่สามารถเข้าใจได้เลย คือให้เปล่าๆ ให้เป็นของขวัญ แม้ว่าคนรับไม่สมควรได้ มนุษย์ไม่สมควรที่จะได้ แต่พระเจ้าจะให้ แล้วให้มาก จนมนุษย์คาดไม่ถึง คิดไม่ถูกว่าเป็นไปได้หรือ? แต่มันเป็นไปแล้ว ตรงนี้เขาถึงเรียกว่า “พระคุณ” และเป็นข่าวดี “ข่าวดีแห่งพระคุณ”

ข่าวดีตรงนี้ ความจริง ก็คือข่าวดีแห่งพระคุณ พอได้ตรงนี้แล้ว ในนี้บอกว่า “ก็เป็นเหมือนทารกของพระเจ้าในพระเยซูคริสต์” พูดง่ายๆว่าก็ได้บังเกิดใหม่ ด้วยฤทธิ์อำนาจของพระเจ้า โดยพระคุณของพระเจ้าให้เราบังเกิดใหม่ใช่ไหม?  พอเกิดใหม่แล้ว เราก็เป็นเหมือนกับทารกของพระเจ้า ในพระเยซูคริสต์ ที่ต้องการน้ำนมฝ่ายวิญญาณ อันบริสุทธิ์ จากพระองค์ เพื่อเจริญเติบโตขึ้นในพระคริสต์

น้ำนมฝ่ายวิญญาณ อันบริสุทธิ์ ก็คือถ้อยคำแห่งพระคุณ  … ถ้อยคำแห่งพระคุณ ก็คือข่าวประเสริฐของพระเจ้า ที่เต็มไปด้วยพระคุณ ซึ่งต้องเป็นถ้อยคำของพระเจ้าที่เป็นความจริง ตามถ้อยคำของพระเจ้า เกี่ยวกับข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์เท่านั้น เพราะในนี้บอกว่าน้ำนมฝ่ายวิญญาณ อันบริสุทธิ์ ไม่มีปลอมปนใดๆ

ก็หมายถึงถ้อยคำที่เป็นความจริงแท้ๆ เกี่ยวกับข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์ ซึ่งเป็นข่าวประเสริฐแห่งพระคุณของพระเจ้าที่เป็นความจริงเท่านั้น ที่ไม่มีปลอมปน ไม่มีผสมความคิด สติปัญญาของมนุษย์เข้าไปอยู่ในนั้นเลย

พระคัมภีร์เขียนไว้อย่างนี้ว่ามันมีน้ำนมไม่บริสุทธิ์ด้วย ก็คือมีน้ำนมปลอมนั่นเอง ในนี้เขียนบอกว่าน้ำนมฝ่ายวิญญาณอันบริสุทธิ์ ที่ไม่มีปลอมปน ก็แสดงว่ามันมีบางอัน มีปลอมปน ถูกไหม? ก็แสดงว่ามันมีน้ำนมที่ไม่บริสุทธิ์ คือน้ำนมปลอมปน ซึ่งหมายถึงข่าวดี หรือข่าวประเสริฐพระเยซูคริสต์ ที่ไม่จริงแท้ 100% มีความเทียมเท็จปนมาด้วย ให้ระวัง

เราเกิดใหม่แล้ว เราต้องการถ้อยคำเกี่ยวกับข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์ ที่เป็นพระคุณแท้ๆ 100% จึงเป็นน้ำนมฝ่ายวิญญาณอันบริสุทธิ์ ถ้ามีของปลอมเจือปนมา ไม่บริสุทธิ์ เราจะเรียนรู้กันต่อไป

เมื่อเราได้รับการบังเกิดใหม่แล้ว ได้เป็นทารกเกิดใหม่แล้ว เราต้องดื่มน้ำนมอันบริสุทธิ์ ก็คือเราต้องรับรู้เรื่องราวความจริงในพระคริสต์ ซึ่งเป็นข่าวประเสริฐแห่งพระคุณ ที่เราได้เคยชิมรสมาแล้ว จนได้บังเกิดใหม่ ในวิญญาณ ก็เพราะว่าเราไปเจอข่าวประเสริฐแห่งความจริง แห่งพระคุณของพระเจ้า และได้ลิ้มรส  ลิ้มรสคืออะไร? ได้เปิดใจต้อนรับข่าวประเสริฐนี้เข้ามาใช่ไหม? แล้วทำให้เราได้บังเกิดใหม่ อุแว้ๆ  เป็นลูก เป็นทารก ที่บังเกิดใหม่ในวิญญาณแล้ว นั่นมันหมายถึงอย่างนี้

เมื่อลิ้มรส เมื่อเกิดใหม่แล้ว ก็ให้กระหายหาน้ำนมบริสุทธิ์อย่างเดียวกันนี้ ที่ทำให้เราเกิดใหม่ รับรู้ความจริงนี้ต่อไป เพื่อเราจะได้เจริญเติบโตขึ้น เพื่อน้ำนมฝ่ายวิญญาณ คือถ้อยคำของพระคริสต์นี้ อันเป็นความจริงของพระเจ้าในพระเยซูคริสต์ พระผู้ช่วยให้รอดนี้ จะทำให้เราเจริญเติบโต เข้าไปสู่ความไพบูลย์ ในพระเยซูคริสต์ เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์ ประพฤติเหมือนพระเยซูคริสต์มากขึ้น ทิ้งเสื้อเก่าได้มากขึ้น สวมเสื้อใหม่ได้มากขึ้นนั่นเอง เรารู้แล้วว่าต้องทำอะไร? ต้องเอาความจริงแห่งข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์ ที่เกี่ยวกับพระคุณของพระเจ้าในข่าวดีนี้ กระหาย ดื่ม รับรู้ ซึ่งในขณะที่เราได้รับความรอด ทางวิญญาณแล้ว ในการดำเนินชีวิตอยู่บนโลกนี้ ความคิดจิตใจของเรา ก็ต้องเจริญเติบโตขึ้น

ความประพฤติของเรา ก็จะเปลี่ยนแปลงไป เจริญเติบโตขึ้นด้วย ความจริงแห่งถ้อยคำพระเจ้าเกี่ยวกับข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์นี่แหละ แต่ต้องเป็นของแท้นะ บริสุทธิ์ ไม่มีปลอมปน เพราะว่าน้ำนมฝ่ายวิญญาณ อันบริสุทธิ์ คือถ้อยคำของพระเจ้า ที่พูดถึงข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์ ซึ่งเป็นข่าวประเสริฐแห่งพระคุณ อันบริสุทธิ์ ก็หมายถึงที่เป็นความจริง 100% ไม่มีสิ่งเจือปนใดๆ เลย แม้แต่นิดเดียว เพราะว่าถ้ามีอะไรเจือปนแม้แต่นิดเดียว ก็จะทำให้มันเสียหมดเลย บูดหมดเลย เป็นพิษหมดเลย เขาเรียกว่าปลาตายตัวเดียว ทำให้เน่าทั้งข้อง เหมือนกัน ลักษณะเดียวกัน

ยกตัวอย่าง อยากรู้แล้วใช่ไหมว่าตัวอย่างมันเป็นอย่างไร? ชัดเจนเลย …

น้ำนมฝ่ายวิญญาณอันบริสุทธิ์บอกว่าเราได้รับความรอด ไม่ใช่ด้วยการกระทำของตัวเราเอง แต่เป็นพระคุณของพระเจ้าที่ให้เป็นของขวัญ พระองค์ก็เป็นผู้ปกป้องคุ้มครอง ดูแลวิญญาณที่เกิดใหม่นี้ไปตลอดนิรันดร์ โดยที่เราไม่ต้องกระทำเอง เช่นเดียวกันกับตอนที่บังเกิดใหม่ ใช่หรือไม่? ถูกเลยใช่ไหม? ตรงเป๊ะเลย ที่เราบังเกิดใหม่ เป็นอย่างนี้ใช่ไหม? นี่คือน้ำนมฝ่ายวิญญาณ อันบริสุทธิ์ สังเกตนะ

น้ำนมที่มีสิ่งแปลกปลอมเจือปนอยู่ด้วย คือถึงแม้เราจะได้รับความรอดแล้ว ก็ตาม บังเกิดใหม่ เป็นทารกของพระเจ้าแล้วก็ตาม แต่เรายังจำเป็นต้องประพฤติตัวให้ดีด้วย เพื่อรักษาความรอด มิฉะนั้น พระเจ้าจะคายเราทิ้ง หรือจะปฏิเสธเราในวันพิพากษาหลังความตาย

ฟังดูเพลินๆ มันคล้ายๆ น้ำนมนะ  แต่ไม่ใช่ เห็นไหม? มันแย้ง น้ำนมฝ่ายวิญญาณที่บริสุทธิ์บอกว่ารอดแล้ว รอดเลย  น้ำนมปลอมบอกว่ารอดแล้ว ยังต้องระวังนะ ประพฤติไม่ดี สวมเสื้อเก่าไปบ่อยๆ เดี๋ยวพระเจ้าคายทิ้งหรอก ตายไป ไม่ได้ไปสวรรค์อะไรอย่างนี้ ตกลงได้ไปหรือไม่ได้ไป? เห็นไหมครับ? เป็นพิษไหม? โตไหม?

น้ำนมบริสุทธิ์บอกว่าเรารอดแล้ว รอดเลย เป็นความรอดนิรันดร์ พระเจ้าปกปักษ์คุ้มครอง ดูแลความรอดของเรา ด้วยตัวพระองค์เองเลย ไม่มีทางเสื่อมสูญ พระองค์คุ้มครอง ความรอดของเราในพระเยซูคริสต์ ด้วยฤทธิ์เดชอำนาจของพระองค์ เราอยู่ในพระหัตถ์อันทรงฤทธิ์ของพระองค์แล้ว ไม่มีใครเอาเราออกไปจากมือของพระองค์ได้เลย เอเมน นี่คือน้ำนมอันบริสุทธิ์ คือข่าวประเสริฐของพระเจ้าแท้จริง 100% ตะโกนกัน “เอเมน” เลย

มาดูของปลอมปนนะ น้ำนมที่มีสิ่งแปลกปลอมเจือปนอยู่ด้วย อาจจะบอกไว้อย่างนี้ว่า “จงระวังบาปที่อภัยให้ไม่ได้” คุ้นๆ ไหม? อ้าว! ข่าวประเสริฐของพระเจ้าบอกว่าพระเยซูคริสต์อภัยบาปให้เราทั้งในอดีต ปัจจุบัน และอนาคตตลอดไปเลย แล้วพระองค์ทรงปกปักษ์วิญญาณที่ไถ่แล้ว อยู่นิรันดร์แน่นอนในสวรรค์ แล้วมาบอกว่าบาปบางอย่างที่เรากระทำ อภัยไม่ได้ โดยที่ไปเอาข้อความจากพระคัมภีร์มา

พระคัมภีร์บอกว่า “ผู้ใดหมิ่นประมาทพระวิญญาณ ผู้นั้น ไม่ได้รับการอภัย”

“นี่ไง  พระคัมภีร์เขียนไว้อย่างนี้ ฟังดูเหมือนจริง พระเยซูพูดเองเลยนะ ถ้าหมิ่นพระวิญญาณ ไม่ได้รับการอภัย”

“อ้าว! ไหนบอกได้รับอภัยทั้งหมดแล้ว ตกลงเป็นอย่างไร?”

จริงๆ แล้วพระเยซูพูดว่าหมิ่นพระวิญญาณ ไม่อภัย นั่น กำลังพูดกับคนที่ไม่เชื่อ

“หมิ่นพระวิญญาณ” หมายถึงว่าท่านไม่ต้อนรับการกระทำของพระเยซูคริสต์ว่าเป็นพระบุตรของพระเจ้า เพราะว่าพระองค์ทรงกระทำในนามของพระวิญญาณบริสุทธิ์ ท่านปฏิเสธพระเยซู ไม่ยอมรับพระเยซูว่าเป็นพระผู้ช่วยให้รอด เป็นพระเมซิยาห์ ท่านก็อยู่ในความพินาศเหมือนเดิม ไม่ได้ทำอะไรเลย ก็อยู่ในความพินาศอยู่แล้ว ท่านไม่ได้รับความรอดอยู่แล้ว เมื่อปฏิเสธพระเมซิยาห์ ปฏิเสธพระเยซู ไม่ใช่เป็นพระผู้ช่วยให้รอด ก็คือไม่เชื่อนั่นเอง

มันคนละเรื่องกันกับผู้เชื่อและบังเกิดใหม่แล้ว เขาเป็นลูกพระเจ้าไปเรียบร้อยแล้ว ยกตัวอย่างอย่างนี้ ฟังดู แล้วมันเหมือนใช่ พอเห็นบาปต่างๆ ที่อภัยให้ไม่ได้ปุ๊บ ก็เอามาใช้กับคนที่บังเกิดใหม่ เอามาสอน เอามาบอกผู้เชื่อว่าสังเกตดูนะ ลองดูว่าเราประพฤติอะไรที่เป็นบาป ที่อภัยให้ไม่ได้ ในพระคัมภีร์ไม่มี พระองค์ตายเพียงครั้งเดียว อภัยให้เราหมดสิ้น เรียบร้อยแล้ว อภัยก่อนที่เราจะทำด้วยซ้ำไป นี่คือข่าวประเสริฐ

ข่าวไม่ประเสริฐ น้ำนมปลอม ก็คือระวังนะ บาปบางบาป อภัยให้ไม่ได้ โดยยกข้อพระคัมภีร์มา ข้อพระคัมภีร์หลายข้อในนี้ บาปที่อภัยให้ไม่ได้ คือบาปที่ไม่ยอมรับว่าพระเยซูเป็นพระผู้ช่วยให้รอด เป็นพระเมซียาห์ ไม่เปิดใจต้อนรับพระเยซู มีอันเดียวเท่านั้น ที่อภัยให้ไม่ได้ ไม่รู้จะอภัยให้อย่างไร? เขาไม่เอาเอง ผู้อภัยความบาปผิดให้กับเขา คือพระเยซูคริสต์ เขาไม่รับ แต่เราทั้งหลายผู้เชื่อรับไปแล้ว ได้รับความรอดไปแล้ว มันคนละเรื่องกัน อย่างนี้เป็นต้น

อีกอันหนึ่ง อย่างเช่น ทุกครั้งที่เผลอไปใส่เสื้อเก่า คือทำบาป ต้องสารภาพบาปต่อพระเจ้านะ ลืมก็ไม่ได้นะ ถ้าไม่สารภาพบาป พระเจ้าจะไม่ให้อภัย มีตรงไหน? ไปยกเอาจาก 1 ยอห์น 1:9 ซึ่งก็พูดถึงคนไม่เชื่ออีกแหละว่าคนที่ปฏิเสธว่าตัวเองไม่ได้เป็นคนบาป ข่าวประเสริฐบอกว่าท่านเป็นคนบาป ท่านต้องการการช่วยเหลือ จงเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ มาเป็นพระผู้ช่วย คนนี้ไม่เชื่อข่าวประเสริฐ บอกว่า …

“ฉันไม่บาป  ฉันก็ไม่ต้องการการช่วยเหลือจากใคร?”

นี่เขากำลังพูดถึงตรงนี้ว่าคนที่ไม่เชื่อ บาปตัวนี้ ว่าตัวเองเป็นคนบาป ถ้าเขาเชื่อว่าตัวเขาเองเป็นคนบาป แล้วขอสารภาพบาปต่อพระเจ้า พระเจ้าจะช่วยเขาให้รอด เพราะว่าพระองค์ทรงประทานพระเยซูคริสต์มาเพื่อทุกคน ที่รู้ว่าตัวเองเป็นคนบาป แล้วต้องการความช่วยเหลือ มันแปลว่าอย่างนี้ พอเข้าใจผิดปุ๊บ เอามาใช้กับคนที่เป็นคริสเตียน คนที่เชื่อแล้ว ก็เลยไม่โต ตกลง …

“ตายไปแล้ว ฉันจะรอดไหม มีบาปอะไรบ้างที่ฉันทำ”

วันๆ คิดแต่บาปอะไรก็ตามที่ฉันทำแล้ว พระเจ้าไม่ให้อภัย บาปที่ทำซ้ำๆ ซากๆ 30 ครั้งแล้วมั้ง ถึงไม่ให้อภัย อะไรประมาณนั้น

บางครั้ง ก็มาบอกว่า “เป็นคริสเตียน ประพฤติตัวที่เรียกว่าบาปบ่อยๆ ซ้ำๆ แล้วก็ไม่รู้จักเปลี่ยนแปลงแก้ไขสักที อย่างนี้พระเจ้ารังเกียจ พระเจ้าจะไม่ให้อภัยเธออีกแล้ว”

มันตรงพระคัมภีร์ที่ไหน? มันไม่ตรง มันไม่ใช่ อย่างนี้เป็นต้น

“เดี๋ยวพระเจ้าเอือมระอาเธอ แล้วจะคายเธอออกมา ไม่รู้จักเปลี่ยนแปลงชีวิตเสียใหม่”

อะไรต่างๆ เหล่านี้เป็นต้น นี่ชี้ให้ท่านเห็นว่าน้ำนมฝ่ายวิญญาณที่บริสุทธิ์ เป็นลักษณะอย่างไร? ต้องเป็นไปด้วยกันกับถ้อยคำของพระเจ้า ในพระคัมภีร์เท่านั้น

เอาอีกสัก 2 ตัวอย่างแล้วกัน ตะกี้ตัวอย่างเน้นไปที่บอกว่าถ้าประพฤติบาป ทำบาปบ่อยๆ พระเจ้าจะไม่ให้อภัย คราวนี้ตกขอบไปอีกอย่างหนึ่ง อันนี้มีจริงเลยนะ ข่าวประเสริฐเหมือนกัน ข่าวประเสริฐบอกว่าเราได้ความรอด โดยพระคุณแล้ว เป็นความรอดนิรันดร์ ไม่ว่าเราจะทำอะไรก็ตาม เราได้รับความรอด ได้รับการอภัยโทษบาปตลอดไป นี่คือข่าวประเสริฐจริงๆ ใช่ไหม?

ของปลอมบอกว่าอย่างไร? เมื่อเราได้รับความรอด โดยพระคุณแล้ว ทำบาปอะไร พระเจ้าก็อภัยให้หมดแล้ว ทั้งอดีต ปัจจุบัน และอนาคต เพราะฉะนั้น เราไปทำบาปกันดีกว่า มาเชื่อพระเจ้า จะได้สนุกสนานกับการทำบาปต่อไป

อาจารย์เปาโลก็ได้พูดไว้ในหนังสือโรม 6:1 บอกคิดอย่างนั้นได้อย่างไร? มันเป็นไปได้อย่างไร? มันเป็นไปไม่ได้ ท่านบังเกิดใหม่แล้ว ท่านทำบาปไม่เป็นแล้ว ท่านแพ้บาปแล้ว บาปทำไม่ได้แล้ว เพราะวิญญาณของท่านบังเกิดใหม่แล้ว แต่คนเอาไปบิดเบือน ก็เป็นอย่างนี้

พระคัมภีร์บอกไว้อย่างนั้น ก็ดีสิ เราก็ทำบาปได้สนุกสนานไปเลย เพราะว่าพระเจ้าอภัยให้แล้ว เปาโลบอกไม่ใช่ ไม่ได้เป็นอย่างนั้น มันเป็นไปไม่ได้เลย ท่านไม่รู้หรือว่าตัวเก่าท่านได้ตายไปแล้ว ท่านไม่สามารถสวมเสื้อตัวเก่าไปเรื่อยๆ ได้ เพราะท่านจะแพ้ ท่านไม่สามารถดำเนินชีวิตเหมือนเดิมได้ เพราะท่านจะแพ้ ท่านจะไม่สบายใจ เพราะว่าวิญญาณของท่านมันเปลี่ยนเป็นใหม่เรียบร้อยแล้ว ธรรมชาติใหม่ของท่าน เป็นเหมือนพระเจ้าแล้ว ทำบาปไม่เป็นแล้ว แต่ที่ท่านยังทำอยู่ คิดอย่างนั้น เพราะท่านยังไม่บังเกิดใหม่นั่นเอง และเมื่อท่านบังเกิดใหม่แล้ว พระเยซูคริสต์ผู้สถิตในท่าน จะนำท่าน จะสอนท่านถึงความประพฤติใหม่ เสื้อใหม่ โดยผ่านทางพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระองค์เอง นี่ยกตัวอย่างให้ฟัง

เอาอีกตัวอย่างไหม? น่าจะยกตัวอย่างบ่อยๆ จะได้ระมัดระวังเรื่องข่าวประเสริฐปลอม อย่างเช่นในหนังสือ 2 ทิโมธิ 2:11-13 ก็มีคนเอาไปทำให้มันเจือปนด้วยสติปัญญา ด้วยความคิดของตนเองอีกแล้ว  ลองอ่านดูว่าตรงนี้เขาเอาไปใช้กันอย่างไร? …

2 ทิโมธี 2:11-13  “11 นี่เป็นคำกล่าวที่เชื่อถือได้ คือถ้าเราตายกับพระองค์ เราก็จะมีชีวิตกับพระองค์ด้วย 12 ถ้าเราอดทน  เราก็จะได้ครองร่วมกับพระองค์ด้วย  ถ้าเราปฏิเสธพระองค์ พระองค์ก็จะทรงปฏิเสธเราด้วย 13 ถ้าเราไม่สัตย์ซื่อ พระองค์ก็ยังคงสัตย์ซื่อ เพราะพระองค์ปฏิเสธพระองค์เองไม่ได้”

 

ความหมายของข่าวประเสริฐตรงนี้ ก็คือว่าถ้าเราตายกับพระองค์ ก็คือถ้าเรายอมรับข่าวประเสริฐของพระเจ้า พระวิญญาณจะเข้ามาบัพติศมาเรา ให้ตายพร้อมกับพระเยซูคริสต์ ที่ไม้กางเขน เพื่อว่าเราจะได้เป็นขึ้นมาใหม่ เกิดใหม่พร้อมพระเยซูคริสต์ มีชีวิตกับพระองค์ด้วย มันหมายถึงอย่างนั้น

“และถ้าเราอดทน เราก็จะครอบครองร่วมกับพระเยซูคริสต์ด้วย” หมายถึงถ้าเราอดทน เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเยซูคริสต์ พระเยซูบอกแล้วว่าเมื่อเข้ามาเป็นหนึ่งเดียวกับพระองค์ โลกก็จะไม่เข้าใจเรา โลกก็จะเกลียดเรา เราจะไม่เข้ากับโลกนี้แล้ว เราต้องอดทนต่อความทุกข์ยากลำบาก ในการข่มเหงรังแก ในการเป็นศัตรูกันทางวิญญาณ ตรงนี้หมายถึงอย่างนี้ เพราะว่าเราได้เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์

“ถ้าเราปฏิเสธพระองค์ แล้วพระองค์ก็จะปฏิเสธเราด้วย” ก็หมายความว่าถ้าเราปฏิเสธพระองค์ ไม่ยอมรับพระองค์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด ไม่ยอมรับพระองค์ว่าพระองค์เป็นพระมาซีฮาห์ นั่นแหละ พระองค์ก็ไม่รู้จะช่วยเราได้อย่างไร? ก็ต้องปฏิเสธเรา ไม่รู้จักเรา คือเราไม่ได้เป็นหนึ่งเดียวกับพระองค์นั่นเอง

ข้อ 13 จึงบอกว่า “ถ้าเราไม่สัตย์ซื่อ พระองค์ก็ยังคงสัตย์ซื่อ” หมายถึงถ้าเราตายพร้อมพระองค์ เรารับเชื่อในพระองค์ เราบังเกิดใหม่พร้อมกับพระองค์ เป็นหนึ่งเดียวกับพระองค์แล้ว แม้ว่าเราทำอะไร ไม่สัตย์ซื่อ ก็หมายความว่าไม่เชื่อฟัง ยังสวมเสื้อเก่าอยู่ พระองค์อยากให้เราสวมเสื้อใหม่ เราไปสวมเสื้อเก่าอยู่ ไม่เป็นไร พระองค์ยังคงสัตย์ซื่ออยู่  พระองค์ยังคงสถิตอยู่กับเราอยู่ ไม่ว่าเราจะใส่เสื้อเก่าอีกสักกี่ครั้ง พระองค์ก็ยังอยู่กับเราเสมอ อยู่กับเราตลอดไป และปกปักษ์คุ้มครองดูแลวิญญาณที่พระองค์ทรงไถ่นั้น ไปถึงนิรันดร์กาล รอดแล้วรอดเลย ไม่ต้องกลัว

นี่พูดถึงการประกาศข่าวประเสริฐ พอเอามาใช้ผิด เรามาบอกผู้เชื่อว่าเชื่อพระเจ้าแล้ว ปฏิเสธพระเจ้าไม่ได้นะ แล้วเกิดอะไรขึ้น? เกิดความระแวง เกิดความกลัวขึ้น โดยเฉพาะในขณะที่ได้เขียนจดหมายฉบับนี้ไปหนุนใจคนที่ได้รับการทนทุกข์ทรมาน จากการถูกข่มเหงรังแก ในสมัยโรม ลองคิดดูสิ เขาวิ่งหนีหัวซุกหัวซุน ใจเขาก็ฟ้องผิดอยู่แล้วว่าเขาปฏิเสธพระเยซู ในใจเขาปฏิเสธพระเยซูเพราะอะไร? เพราะเขาต้องแอบๆ ซ่อนๆ ไม่กล้าบอกว่าตัวเองเป็น คริสเตียน เพราะว่ากลัวถูกจับ ผ่านด่านก็ต้องแอบๆ ซ่อนๆ เขาถาม ก็อาจจะบอกว่าไม่เป็น หรือไม่อย่างนั้น ทหารก็จ่อดาบไว้ที่ลูกและเมีย แล้วก็บอกเขาว่า …

“ถ้าคุณไม่ปฏิเสธพระเยซูคริสต์ ผมจะฆ่าเขาให้ตาย”

แล้วเราคิดว่าจะมีผู้เชื่อสักกี่คน คนไหนที่ได้ถูกเลือกมา เพื่อสละชีวิตตรงนี้ อย่างนี้จริงๆ

“ไม่สนใจหรอก เราปฏิเสธพระเยซูไม่ได้ เพราะฉะนั้น เรายอมตาย”

เราไม่ตาย แต่คนที่เรารัก เราเห็นต่อหน้าต่อตาตอนนี้เป็นอย่างไร? แล้วถ้ามีคนไปบอก …

“คุณปฏิเสธพระเยซู เพราะฉะนั้น คุณไม่ได้ไปสวรรค์”

มันคนละเรื่องกันเลย อย่างนั้นไม่เรียกว่าปฏิเสธ เรียกว่าไม่ซื่อ ไม่เชื่อฟังในบางครั้ง เพราะความกลัวอะไรต่างๆ เหล่านั้น พระเจ้าเข้าใจ พระเยซูเข้าใจดี เห็นไหมครับ?

ถ้าเราเอาข่าวประเสริฐปลอมนี้ไปให้เขากิน เขาก็จะระแวงและฟ้องผิดตลอดเวลาว่าเขาแย่มาก เหมือนเปโตรก่อนที่จะเชื่อ ก่อนที่จะบังเกิดใหม่ ปฏิเสธพระเยซูตั้ง 3 ครั้ง นั่นคือความประพฤติของเขา ไม่ใช่ตัวตนแท้จริงในวิญญาณของเขา ซึ่งยังไม่ได้บังเกิดใหม่

ท่านเห็นไหมครับว่ามันเป็นพิษ เป็นภัยขนาดไหน? ถ้าเผื่อเรารับรู้ข่าวประเสริฐปลอมๆ นี้ เท่ากับเรากินนมที่เป็นพิษเข้าไป แล้วเกิดอะไรขึ้น?

มาอีกสักตัวอย่างหนึ่ง เมื่อพูดถึงตรงนี้ แล้วอยากพูดอันนี้ด้วย น้ำนมปลอม โดยการตีถ้อยคำพระเจ้าแบบผิดๆ เจือปนความโลภเข้าไปด้วย อันนี้ชัดเลย เมื่อพูดแล้ว พูดให้มันสุดๆ ไปเลย

ตัวอย่างของน้ำนมปลอม โดยการตีความถ้อยคำพระเจ้าแบบเจือปนความโลภของตัวเองเข้าไป  “ตัวเอง” คือความคิดที่อยู่ข้างใน ความคิดแบบมนุษย์ ความคิดแบบเสื้อเก่า เช่นบอกว่าถ้าเราอธิษฐานมากๆ เพียงพอ เพิ่มพูนความเชื่อเยอะๆ เราก็จะได้อะไรก็ตาม ที่เราอยากได้บนโลกใบนี้ ไม่ว่าจะเป็นความร่ำรวย ความสุข ความแข็งแรง ความปลอดภัยจากอันตราย ทุกพื้นที่ชีวิตเลยทีเดียว จะมีแต่ความสำเร็จ ความดีงามทั้งสิ้น ตามที่เราอยากได้ เคยได้ยินใช่ไหม?

อาจารย์เปาโลบอกว่าเอาความจริงในถ้อยคำพระเจ้ามาใช้ในความโลภ ในวัตถุสิ่งของบนโลกใบนี้ ไม่ว่าจะเป็นความสำเร็จหรืออะไรก็ตามบนโลกใบนี้ เห็นหรือยังครับ? แต่ข่าวประเสริฐจริงๆ ของพระเจ้า คือเมื่อท่านบังเกิดใหม่แล้ว คือจงพอใจในสิ่งที่ท่านมีอยู่ ไม่ว่าจะรวย หรือจะจน ไม่ว่าจะแข็งแรง หรือเจ็บป่วย ไม่ว่าจะในสถานะใด ท่านจงเรียนรู้จักในการพึงพอใจในสถานะเช่นนั้น เพราะว่าพระเยซูคริสต์สถิตอยู่ในท่าน เป็นผู้ให้กำลังกับท่าน เห็นไหม? มันต่างกันไหม?

ทำให้คนโลภ และมีความรู้สึกเหมือนกับว่าเขาสามารถที่จะบีบบังคับ ให้พระเจ้าประทานสิ่งที่อยากได้ ตามใจปรารถนาของเขา ตามขนาดความเชื่อของเขา ก็คือตามความต้องการส่วนลึกในเสื้อเก่าของเขา ที่ต้องการสนองกิเลสตัณหาของฝ่ายเนื้อหนัง เหมือนบีบบังคับพระเจ้า อยากได้มากๆ ทำอย่างไร? พี่น้อง ถ้าท่านอยากได้มากๆ ท่านต้องถวายเยอะๆ คุ้นๆ ไหม? ถวายเยอะๆ เพื่อท่านจะได้ 30 เท่า 60 เท่า 100 เท่ากลับคืน ถ้ายังไม่ได้เลย ก็แสดงว่าท่านถวายน้อยไป

ถ้ายังไม่ได้อีก แสดงว่าท่านถวายแล้ว พระเจ้าสัตย์ซื่ออยู่แล้วล่ะ พระเจ้าเที่ยงตรง ไม่มีการลำเอียงอยู่แล้ว ถ้าท่านยังไม่ได้ ไม่ใช่ว่าพระเจ้าผิด แต่ตัวท่านนั่นแหละผิด ลองไปสังเกตดูสิว่าท่านถวายไม่ตรงตามอะไรบ้าง? ความเชื่อยังไม่พอ ถวายยังไม่พอ อธิษฐานไม่พอ ท่านต้องอดอาหารด้วย ท่านไปสังเกตว่าท่านบาปอะไร?  บาปท่านขวางในการอธิษฐานของท่าน ทำให้ท่านถวาย แล้วไม่ได้กลับคืน หรือว่ามารมันขโมยท่านไป ท่านอธิษฐานไม่พอ ท่านต้องมาให้คนช่วย … คนช่วยนี่แหละ คือคนที่จะได้เงิน อ๋อ! ท่านอธิษฐานผิดที่ ท่านต้องถวายให้มันถูกที่ ถูกคน เพราะว่าคนที่มีความเชื่อสูงๆ เป็นดินดี ถวายคนที่ความเชื่อสูงๆ เขาจะได้อธิษฐานอวยพรท่าน ท่านจะได้รับ 30 เท่า 60 เท่า 100 เท่า พอแล้วไม่ต้องเยอะนะ พูดไป ขำกันใหญ่  แต่มันเป็นเรื่องจริงนะ นี่เป็นทุกข์ทรมานของชาวคริสเตียนผู้เชื่อ ที่ได้รับข่าวประเสริฐ แบบปลอมปนอย่างนี้

ข่าวประเสริฐทั้งหลายที่มีความเท็จอย่างนี้ มีความไม่จริงแอบแฝงอยู่ เป็นน้ำนมฝ่ายวิญญาณ ที่ไม่บริสุทธิ์ มีสิ่งปลอมปน ตามที่ข้อพระคัมภีร์ได้พูดไว้เมื่อตะกี้นี้ ที่ได้เตือนไว้นั่นแหละ พวกนี้เป็นพิษทั้งหมด ฟังดูผิวเผิน เหมือนน่าเชื่อถือ เพราะมีถ้อยคำพระเจ้าอยู่ในนั้นด้วย ถูกไหม? ก็คือเอาถ้อยคำพระเจ้ามา  แล้วตีความ บิดเบือน ให้เข้ากับอุปทานของตนเอง ความอยากได้ของตนเอง จากกิเลสตัณหาทางฝ่ายเนื้อหนัง ที่ยังคงฝังอยู่ในความคิดเดิมๆ ก็คือเสื้อเก่าๆ ที่อยู่ในความคิดเดิมๆ ที่ตัวเองอยากได้นั่นเอง และเข้าใจผิดว่าถ้อยคำพระเจ้า หมายถึงอย่างนั้น

ถ้อยคำพระเจ้าเป็นถ้อยคำแห่งความจริง เป็นพระคุณ อันนี้เป็นหลักเลยนะ พระคุณ ก็คือพึ่งพาในพระเจ้า อะไรก็พึ่งพาในพระเจ้า ทั้งหลายทั้งหมด เกิดใหม่ในพระเยซูคริสต์ ในข่าวประเสริฐ ก็คือเกิดมา เพื่อจะพึ่งพระเจ้าในทุกอย่าง พึ่งพระเยซูคริสต์ในทุกอย่าง เราไม่ได้ทำอะไรเลย เราได้รับความรอด

แต่ถ้อยคำที่เหมือนกับถ้อยคำพระเจ้าที่เป็นความจริง ถ้อยคำที่ทำเหมือนกับว่าเป็นน้ำนม แต่มีของปลอมปน ก็คืออ้างถ้อยคำพระเจ้ามา แล้วสรุปสุดท้าย เคี่ยวเข็ญ ขู่เข็ญ ให้เราประพฤติ ต้องพึ่งพา การกระทำของตนเอง ของตัวเราเอง ใช่หรือไม่? ที่สังเกตง่ายๆ คืออะไรที่พึ่งพาตนเองนั่นแหละ คอยสังเกตให้ดีๆ ถ้อยคำแห่งพระคุณพระเจ้า ที่ให้เราพึ่งพาในพระองค์ พระเยซูคริสต์ ถ้าจะมีความประพฤติที่เกี่ยวข้องด้วย ก็คือให้เรากระทำตัวให้เหมือนกันกับตัวตนที่เป็นธรรมชาติใหม่ อยู่ภายในเราเท่านั้น

เหมือนที่ตะกี้เราพูด เป็นเสื้อเก่าเสื้อใหม่เท่านั้น ซึ่งถ้าทำไม่ได้ นี่ข่าวประเสริฐของจริงนะ ซึ่งถ้าทำไม่ได้ สวมเสื้อเก่า เดี๋ยวๆ ก็ยังสวมอีก สมมติเป็นอย่างนั้น ซึ่งถ้าทำไม่ได้ เราก็ต้องเผชิญกับผลแน่นอน แต่เป็นผลที่เกิดขึ้นบนโลกใบนี้ คือความไม่สุขสบายบนโลกใบนี้ ความทุกข์มากขึ้นนั่นเอง แต่ทางวิญญาณไม่ได้รับผลอะไรเลย ทางวิญญาณคนละเรื่องกัน ยังคงเป็นลูกของพระเจ้าเหมือนเดิม ได้รับความรอดนิรันดร์ เหมือนเดิม แต่น้ำนมฝ่ายวิญญาณที่เป็นของปลอม จะบอกว่าต้องทำให้ได้ ถ้าทำไม่ได้พระเจ้าจะคายทิ้ง ถ้าทำไม่ได้ จะไม่ได้รับชีวิตนิรันดร์ มันต่างกันอย่างนี้แหละ

ถ้าเราใส่เสื้อเก่า มันก็ไม่สบายในการดำเนินชีวิต บนโลกใบนี้  แต่มันไม่ได้ทำให้วิญญาณเราเสียหายเลย วิญญาณเราเป็นลูกพระเจ้าเหมือนเดิม แต่เราอาจจะคัน  อาจจะอึดอัด ลำบากลำบน  เหมือนทาร์ซาน พ่อพากลับมาอยู่บ้านแล้ว วันดีคืนดี ยังนุ่งหนังสัตว์ ใส่กางเกงในตัวเดียว ออกไปจากบ้าน ใส่สร้อยเขี้ยวเสือ แล้วก็พกมีดสั้นที่ทำด้วยกระดูกสัตว์ ไม่ใส่เสื้อผ้า ใส่แค่นี้ออกไป ทำให้เขากลายเป็นสัตว์ไหม? ไม่ เขายังเป็นคนเหมือนเดิม เพียงแต่เขาไม่สบายตัว ไม่สบายกาย ไม่สบายใจ มันไม่เหมือนอยู่ในป่า มันอยู่ในป่าคอนกรีต ไปนั่งเก้าอี้ ไม่ใช่ต้นไม้แล้ว มันกลายเป็นพื้นหิน ร้อนก้น เสื้อผ้าก็ไม่ใส่ ร้อน ไม่สะดวกสบาย นึกภาพออกไหม? ถ้าเขาใส่กางเกง แบบมนุษย์ทั่วไป นั่งยังทนความร้อนได้ อะไรประมาณนั้น มันไม่ได้เกี่ยวกับตัวตนแท้จริงของเขาเลย

สิ่งเหล่านี้ ที่พูดทั้งหมดนี้ เป็นความแตกต่างระหว่างน้ำนมอันบริสุทธิ์กับน้ำนมปลอมปน ปนเปื้อน เป็นพิษ และถ้าทารกคนใดกินพิษเข้าไป ทำให้ท้องเสียและมันแกรน ไม่โต เมื่อไม่โตแล้วทำอย่างไร? ทารกคนนั้น เมื่อไม่โต ก็จะมีพฤติกรรมแบบแปลกๆ ตลกๆ อะไรต่างๆ เหล่านั้น ซึ่งมันไม่สมฐานะของลูกพระเจ้า ของผู้เชื่อ ที่บริสุทธิ์สะอาด ตามธรรมชาติข้างในแล้ว ซึ่งผู้ที่จะเยาะเย้ย ก็คือมารซาตาน ศัตรูของพระเจ้าตัวจริง มันก็จะเยาะเย้ยพระเจ้า ลูกของพระองค์เป็นอย่างนี้ เพราะน้ำนมเป็นพิษ

แต่ถ้าได้กินน้ำนมอันบริสุทธิ์ ถูกต้อง เป็นความจริง 100% ความคิดก็จะเปลี่ยนไป เมื่อได้เรียนรู้ในถ้อยคำของพระเจ้า ข่าวประเสริฐที่แท้จริง ความคิดก็จะเปลี่ยนไป ก็จะมีความประพฤติ ปฏิบัติตัวเปลี่ยนไป เป็นไปตามธรรมชาติ ที่อยู่ภายในมันออกมา ตัวตนที่อยู่ภายใน ที่บังเกิดใหม่ เป็นลูกของพระเจ้าแล้ว มันก็จะสำแดงออกมามากขึ้นในความประพฤตินั้น พอได้รู้มากขึ้นเรื่อยๆ ก็จะยิ่งเจริญเติบโตมากขึ้นเรื่อยๆ เหมือนพระเยซู เพราะพระเยซูสถิตอยู่ในเรา เป็นผู้นำพาชีวิตเรา โดยพระวิญญาณของพระองค์อยู่ในเราตลอดเวลา

เมื่อเราเรียนรู้จักพระองค์มากขึ้น เข้าใจพระองค์มากขึ้นในข่าวประเสริฐมากขึ้น ไม่ถูกหลอก มันก็จะประพฤติตัวออกมาเหมือนพระเยซูมากขึ้น ทำตัวต่างๆ เหมือนพระเยซู เต็มไปด้วยความรัก การให้อภัย เหมือนมากขึ้น แต่จะไม่มีวันเหมือน 100% จนกว่าวันที่วิญญาณออกจากร่าง มันเป็นไปไม่ได้เลย ที่จะทำได้ครบ 100% เพราะร่างกายอันอ่อนแอของเรานี้ ยังอยู่ภายใต้ระบบของโลกใบนี้ ที่เต็มไปด้วยความบาป เต็มไปด้วยความต่อต้าน เป็นศัตรูกับพระเจ้า ซึ่งมีผลเข้ามาอยู่ในความคิดของเราด้วยเช่นเดียวกัน  แต่ไม่มีผลมาที่วิญญาณ เพราะเราไม่ได้เป็นทาสมันอีกต่อไปแล้ว

เพราะฉะนั้น สรุปถ้อยคำความจริงแห่งข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์ สรุปวันนี้ ก็คือ …

“ฉันได้บังเกิดใหม่แล้วในพระเยซูคริสต์ พระคริสต์สถิตอยู่ในฉัน เป็นความหวังแห่งพระสิริ ฉันรู้จักคุ้นเคย สนิทสนมกับพระเยซูเป็นอย่างดีแล้ว เพราะวิญญาณฉันได้เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์แล้ว เอเมน”

จบลงที่ 2 ทิโมธี 1:12 แล้วเราร้องเพลงนี้ด้วยกัน …

2 ทิโมธี 1:12 “นั่นเป็นเหตุให้ฉันสามารถอดทน มีสันติสุข ท่ามกลางความทุกข์ยาก ลำบากบนโลกนี้ได้ ฉันไม่ละอาย ไม่ขลาดกลัว เพราะฉันได้รู้จักพระเยซูคริสต์ที่ฉันเชื่อ และมั่นใจว่าพระองค์ทรงสามารถรักษาสิ่งสารพัด ที่ฉันมอบไว้กับพระองค์จนถึงวันนั้นได้”

 

ทั้งหมด 5 ตอนใน 1 เปโตรที่เราได้เรียนมา จะทำให้เกิดสิ่งนี้ขึ้น  คนที่เรียนรู้ตรงนี้ เขาก็จะสามารถอดทน และเผชิญกับอุปสรรคปัญหาที่ดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ได้ด้วยความไว้วางใจ และมอบทุกสิ่งไว้ในพระหัตถ์อันทรงฤทธิ์ของพระเยซูคริสต์ ที่เขาเชื่อ ที่เขารู้จัก เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์แล้ว

“ฉันสามารถอดทน มีสันติสุข ท่ามกลางความทุกข์ยากลำบากบนโลกนี้ได้ ฉันไม่ละอาย ไม่ขลาดกลัว เพราะฉันได้รู้จัก เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเยซูคริสต์ ที่ฉันเชื่อ และมั่นใจว่าพระองค์ทรงสามารถรักษาสิ่งสารพัด ที่ฉันมอบไว้กับพระองค์ จนถึงวันนั้นได้ เอเมน”

พระเจ้าอวยพรครับ

 

**********************

จากใจคณะศิษยาภิบาล

 

ความรักคืออะไร? ความรักคือการเสียสละ ความรักคือการให้ เราได้เรียนรู้ความรักของพระเจ้า ว่าเป็นกฎแห่งการให้ ตามพระคัมภีร์ บอกว่ายิ่งให้ ยิ่งได้ ยิ่งอยากให้คนอื่นมีความสุข เรายิ่งได้ความสุข ยิ่งอยากให้คนอื่นมีทุกข์ เราก็ยิ่งมีทุกข์ ยิ่งเกลียดคนอื่น เราก็ยิ่งมีทุกข์ ยิ่งรักคนอื่น เราก็ยิ่งสุข เพราะฉะนั้น ยิ่งให้ ยิ่งได้ ยิ่งอยากได้ ยิ่งไม่ได้ใหญ่เลย จำไว้ให้ดีๆ ยิ่งอยากได้ ยิ่งไม่ได้ แต่ยิ่งอยากให้ ยิ่งได้ นี่คือหลักการของพระเจ้า  นี่คือกฎธรรมชาติ

 

กิจการของอัครทูต 20:35 “ทุกอย่างที่ข้าพเจ้าทำไป ข้าพเจ้าแสดงให้ท่านเห็นแล้วว่าโดยการทำงานหนักเช่นนี้ เราต้องช่วยผู้อ่อนแอ จงระลึกถึงพระดำรัสที่องค์พระเยซูเจ้าเองตรัสไว้ว่า ‘การให้เป็นเหตุให้มีความสุขยิ่งกว่าการรับ’”

 

บางคนก็จะบอกว่า “ฉันไม่ได้เป็นคริสเตียน ฉันยังไม่เชื่อพระเจ้า”

แต่อยากจะบอกว่านี่คือกฎธรรมชาติ และทุกคนอยู่ภายใต้กฎนี้ทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตามมนุษย์บนโลกใบนี้ เหมือนดวงอาทิตย์ ที่พระเจ้าสร้างขึ้นมา ดวงอาทิตย์ฉายแสงสาดไปบนโลกใบนี้ ก็ไปโดนทุกคน ไม่ว่าจะเป็นคนขี้เกียจ ขยัน ก็โดนแสงอาทิตย์เหมือนกัน ถูกไหม? ไม่ว่าจะเป็นคนแข็งแรง หรือเจ็บป่วย เดินไปใต้ดวงอาทิตย์ ก็ได้รับแสงอาทิตย์เช่นเดียวกันหมด เหมือนฝนตก มันก็เปียกหมด ไม่ใช่ว่าฝนตกมา คนทำดีไม่เปียก ท่านทำดี ทำไมต้องเปียกด้วย ก็เพราะมันเป็นกฎ ถ้าคุณทำดี คุณต้องถือร่มด้วย มันจะได้ไม่เปียก มันเป็นกฎใช่ไหม? ไม่อย่างนั้นเอะอะอะไรก็จะบอกว่าไม่ยุติธรรมๆ ก็มันเป็นกฎ เราต้องเรียนรู้จากกฎ เราจะได้รับสิ่งที่ดีๆ จากกฎ

ใครทำตามกฎเหล่านี้ ก็จะได้รับสิ่งเหล่านี้ ถ้าใครทำตามที่พระเจ้าบอกไว้ เขาก็จะได้รับตามที่พระเจ้าบอกไว้ ถ้าเขายิ่งให้ เขาก็ยิ่งได้รับ ถ้าเขายิ่งเห็นแก่ตัว เขาก็ยิ่งสูญเสีย ยิ่งเห็นแก่ตัว ยิ่งไม่ได้ ยิ่งไม่ได้ ยิ่งเห็นแก่ตัวเพิ่มขึ้นอีก ยิ่งไม่ได้ใหญ่เลย ยิ่งเสียหายมากมาย ยิ่งให้ยิ่งได้ นี่คือกฎธรรมชาติ กฎของพระเจ้า ทุกคนอยู่ภายใต้กฎนี้ หมดเลย

พระเจ้าอวยพรครับ

 

วารสาร Holy News ฉบับที่ 1361

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  17  เมษายน  2022

เรื่อง “ฉลองวันเกิดใหม่ในพระคริสต์  และความรอดนิรันดร์ จากการถูกพิพากษาหลังความตาย”

โดย นคร  เวชสุภาพร

 

สุขสันต์วันอีสเตอร์ วันอีสเตอร์ ก็คือวันบังเกิดใหม่ของพระเยซูคริสต์ที่เรารู้จักกันดี วันนี้เรามาร่วมกันเฉลิมฉลองวันประกาศชัยชนะ ครั้งยิ่งใหญ่และสำคัญที่สุด แห่งประวัติศาสตร์ของมวลมนุษยชาติ

เช้าวันนี้ ถ้าย้อนกลับไป 2,000 ปีที่แล้ว  เป็นวันอาทิตย์หลังวันศุกร์ประเสริฐ เมื่อ 2,000 กว่าปีที่แล้ว พระเยซูซึ่งถูกตรึงที่ไม้กางเขน เมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว และถูกนำไปฝังไว้ที่อุโมงค์ เมื่อประมาณ 2,000 ปีที่แล้ว และเช้าวันนี้ เมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว พระเยซูได้เป็นขึ้นจากความตาย ออกจากหลุมฝังศพ เป็นขึ้นจากความตาย ก็คือพระเยซูได้บังเกิดใหม่อีกครั้งหนึ่ง หลังจากที่ตายไปแล้ว ตรงนี้เป็นเรื่องสำคัญมากของวันอีสเตอร์

และทำไมเราต้องฉลองวันเกิดใหม่ของพระเยซู เพราะว่าการเป็นขึ้นจากความตายของพระเยซูคริสต์ ได้ทำให้เรามนุษย์ทั้งหลายทั้งปวง ได้รับการบังเกิดใหม่ด้วย อันนี้สำคัญ มันเกี่ยวข้องกับชีวิตของเรา เราจึงจำเป็นต้องมาเรียนรู้ ไม่ใช่ฉลองเฉยๆ ต้องเรียนรู้ว่ามันเกี่ยวอะไรกับเรา พระเยซูเป็นขึ้นจากความตาย ทำให้เราได้บังเกิดใหม่ เป็นขึ้นจากความตายด้วย

“พระเยซูเป็นขึ้นจากความตาย ฉันก็เป็นขึ้นจากความตายด้วย มนุษย์ทุกคนก็เป็นขึ้นจากความตายด้วยเช่นเดียวกัน”

เพราะฉะนั้น วันนี้ ที่เรามาเฉลิมฉลองการเป็นขึ้นจากความตายของพระเยซู ฉลองการบังเกิดใหม่ของพระเยซู ก็เท่ากับว่าเรามาฉลองวันเกิดใหม่ของเราด้วย  “เรา” ในที่นี้ หมายถึงมนุษยชาติทุกคน และโดยเฉพาะอย่างยิ่งเรา คือมนุษยชาติที่ได้รู้เรื่องข่าวดีนี้แล้วว่าเราสามารถบังเกิดใหม่ได้เหมือนพระเยซู และใช้สิทธิ์ ต้อนรับสิทธิ์ของเรา ก็คือผู้เชื่อทั้งหลาย เพราะฉะนั้น เรามาฉลองวันเกิดใหม่ของตัวฉันเองด้วย ถูกไหมครับ? เพราะฉะนั้น เมื่อเรามาฉลองวันเกิด เราก็ต้องร้องเพลงวันเกิด

“เป็นขึ้นแล้ว  เป็นขึ้นแล้ว   พระเยซูทรงเป็นขึ้นแล้ว

เป็นขึ้นแล้ว  เป็นขึ้นแล้ว   ฉันก็เป็นขึ้นพร้อมพระองค์”

ดีใจไหม? ให้ร้องเพลงนี้ ด้วยความดีใจ  แล้วฉลองวันเกิด ก็ต้องร้องเพลงอะไรอีก เมื่อกี้ร้องเพลงฉลองวันเกิดเกี่ยวกับข่าวดีของพระเจ้า คราวนี้ฉลองวันเกิดแบบทั่วๆ ไป แบบสากล เดี๋ยวนี้เขาร้องอะไรกัน?  “Happy birthday to you”

“Happy birthday Jesus        Happy birthday to me

Happy birthday  Happy birthday  Happy birthday Jesus”

เพราะฉะนั้น ต่อไปนี้ เวลานึกถึงพระเยซูบังเกิดใหม่ นึกถึงตัวเราเองก็ตาม จงให้ความจริงนี้กระจ่างในจิตใจของเรา  ที่เราพูดด้วยความเชื่อ ที่เราร้องเพลงด้วยความชื่นชมยินดีเหล่านี้ เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นในโลกวิญญาณของมนุษย์ทั้งหลาย และวิญญาณของเรา ซึ่งเป็นโลกที่จะอยู่ตลอดไป โลกวัตถุที่เราจับต้องมองเห็นได้ มันอยู่เพียงชั่วคราว เดี๋ยวมันก็สูญสิ้นไปแล้ว แต่วิญญาณนี้ต้องอยู่นิรันดร์ เราได้บังเกิดใหม่ร่วมกับพระเยซูคริสต์ เป็นหนึ่งเดียวกันแล้ว เพราะฉะนั้น นึกถึง Happy Birthday ของตัวเองฉลอง Happy Birthday ของตัวเองเมื่อไร? คิดถึงวิญญาณของเราเบิร์ดเดย์เมื่อไร? ของพระเยซูเบิร์ดเดย์เมื่อไร? เมื่อวันเทศกาลอีสเตอร์

วันนี้เราจะมาเรียนรู้กันว่าทำไมมนุษย์ต้องเกิดใหม่ในวิญญาณ ขบวนการการเกิดใหม่ในวิญญาณเป็นอย่างไร? และได้รับอะไรจากการบังเกิดใหม่ บังเกิดใหม่แล้ว เป็นอย่างไรบ้าง? วันนี้เราจะมาเรียนรู้จากถ้อยคำพระเจ้า ในพระคัมภีร์ หัวข้อการบรรยายในวันนี้ จึงมีชื่อเรื่องว่า “ฉลองวันเกิดใหม่ในพระคริสต์ และความรอดนิรันดร์ จากการถูกพิพากษาหลังความตาย”

ทำไมมนุษย์ต้องเกิดใหม่?  ท่านลองคิดดู อย่าลืมนะ เรากำลังพูดถึงเรื่องเกี่ยวกับโลกวิญญาณ ซึ่งสำคัญที่สุดในชีวิตของมนุษย์ทุกคน

ทำไมมนุษย์ต้องเกิดใหม่? ก็เพราะมวลมนุษย์ทั้งหลาย ล้วนกำเนิดเกิดมาเป็นคนบาป ในพระคัมภีร์บอกไว้ อยู่ในความพินาศ อยู่ในความเสียหาย อยู่ในอาณาจักรของความมืด ล้วนกำเนิดเกิดมาเป็นอย่างนั้นเลย ไม่ใช่ทำบาป แล้วมาเป็นคนบาป แต่เพราะเกิดมาเป็น

“กำเนิดเกิดมาเป็น”

กำเนิดเกิดมาเป็นคนบาป ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับการประพฤติบาป แล้วเป็น มันเป็นก่อนแล้ว แล้วถึงมีอาการไปประพฤติ มันเป็นอย่างนั้น

จากเชื้อสายที่กำเนิดเกิดมาเป็น ก็คือจากบรรพบุรุษของเรา ไล่ไปเลย ปู่ย่าตาทวด แล้วก็ซุปเปอร์ทวด ไล่ไปเรื่อยๆ จนกระทั่งบรรพบุรุษคู่แรก ก็คืออาดัมและเอวา ได้ทำบาป ได้เอาเชื้อบาปเข้ามา และลูกหลานเหลนโหลน ก็คือมนุษย์ทั้งหลาย ก็เกิดมาเป็นคนบาป โดยไม่ต้องทำอะไรเลย แล้วทำไม? จึงจำเป็นต้องมาเกิดใหม่ จึงจำเป็นต้องย้าย จากบรรพบุรุษเดิม มาสู่บรรพบุรุษใหม่ ย้ายมากำเนิดใหม่ มาเป็นผู้ไม่บาป เรียกว่าผู้ชอบธรรม ย้ายมาอยู่ มาเป็นผู้ชอบธรรม มาเป็นคนบริสุทธิ์ ไม่บาปแล้ว ในบรรพบุรุษใหม่ คือในพระเยซูคริสต์

นี่คือคำตอบของคำถามที่ถามว่าทำไมมนุษย์ต้องเกิดใหม่? ถ้าไม่เกิดใหม่ ก็ต้องอยู่ที่เดิม เกิดมา ก็อยู่ที่เดิมอยู่แล้ว เป็นคนบาป เราก็รู้อยู่แล้ว ต้องรับใช้ความบาปเหล่านั้น ก็คือต้องทำบาป เพราะมันเกิดมาเป็นอย่างนั้น อาการของโรคมันกำเริบ เกิดมาก็ต้องทำบาป และผลของความบาป ก็คือความตาย ฝ่ายวิญญาณ ก็คืออยู่ในความพินาศ หลังจากออกจากร่างนี้ ตายจากโลกนี้ไปปุ๊บ ก็เข้าสู่การพิพากษา พิพากษาว่าเป็นคนดีหรือคนบาป ท่านจะเห็นชัดนะ เป็นคนชอบธรรมหรือเป็นคนบาป เมื่อเกิดเป็นคนบาป ก็เป็นคนบาป ไม่มีทางแก้ได้ เพราะการกระทำ มันไม่เกี่ยวกัน ท่านเห็นภาพไหม?

เพราะฉะนั้น ถ้าไม่มีการแก้ไข คนๆ นั้นเกิดมา อยู่ในอาดัม เป็นคนบาป ก็ต้องจบชีวิตลง หลังความตายอยู่นิรันดร์ ก็อยู่ในความบาป ก็ต้องได้รับโทษของความบาป คือความตาย ถูกพิพากษาให้พินาศ ในบึงไฟนั่นเอง เพราะฉะนั้น มนุษย์จึงจำเป็นต้องย้าย และพระเจ้าก็ทรงทราบสิ่งเหล่านี้ จึงประทานผู้หนึ่งมาช่วยเหลือมนุษย์ให้สามารถย้ายได้ ผู้ซึ่งมาเริ่มต้น บรรพบุรุษใหม่ของมนุษย์ มาเริ่มต้นพันธุ์ใหม่ของมนุษย์ เรียกว่าพันธุ์ที่ดีงาม  พันธุ์ที่ชอบธรรม โดยให้พระบุตรของพระองค์มาเกิดเป็นมนุษย์ เพื่อเป็นต้นพันธุ์ของพันธุ์ใหม่ พระองค์มีนามว่าพระเยซู พระผู้ช่วยให้รอด และเมื่อถูกแต่งตั้งให้มาช่วยเหลือมนุษย์ทั้งหลายให้รอดพ้น จากความบาป ที่กำเนิดมาเป็นนั้น เมื่อถูกแต่งตั้ง การแต่งตั้ง จึงเรียกพระเยซู ผู้ช่วยให้รอดว่าพระคริสต์ พระมาซีฮาห์

“พระมาซีฮาห์” เป็นภาษาฮีบรู “พระคริสต์” เป็นภาษากรีก แปลว่าผู้ที่ได้รับการเจิมตั้ง เลือกสรรเอาไว้ มาเพื่อช่วยเหลือมนุษย์ให้รอดพ้นจากความเป็นคนบาป เพื่อมาตั้งต้นตระกูลใหม่ ตระกูลคนชอบธรรม เป็นผู้ชอบธรรม เป็นผู้บริสุทธิ์ สามารถอยู่กับพระเจ้าได้ หลังความตาย ไม่ต้องรับการพิพากษาให้พินาศนิรันดร์ ในบึงไฟนรก รอดพ้นจากความพินาศนั่นเอง เราจึงมาฉลองวันนี้ ที่พระองค์ทรงกระทำสำเร็จแล้ว เมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว ฉลองวันที่พระเยซูคริสต์ได้ช่วยเหลือมนุษย์ทั้งหลายบนโลกใบนี้ ให้สำเร็จเรียบร้อยแล้ว ก็คือย้ายมนุษย์ ช่วยเหลือมนุษย์ หลุดพ้นออกจากอำนาจมืดของโลกวิญญาณ คืออยู่ในความบาป อยู่ในโทษนิรันดร์นั้น ให้หลุดพ้นจากโทษได้

วันนี้เราจะมาสรุปให้เห็นชัดๆ ว่าขบวนการการบังเกิดใหม่ในพระคริสต์ ซึ่งเป็นต้นพันธุ์ใหม่ที่พระเจ้าทรงประทานให้กับมนุษย์ทั้งหลาย เป็นพระผู้ช่วยให้รอด เป็นพระเจ้ามาเกิดเป็นมนุษย์ ขบวนการมันเกิดขึ้นอย่างไร? แบบรัดกุม ชัดๆ สั้นๆ

พระคัมภีร์บอกว่าพระเยซูเป็นตัวแทนของมนุษยชาติ เป็นต้นพันธุ์ใหม่ของมนุษยชาติ และสิ่งทั้งหลายทั้งปวง ที่พระเยซูกระทำ เมื่อเป็นตัวแทน ก็เป็นการกระทำแทนมนุษยชาติ นึกภาพออกนะ เป็นตัวแทน ถ้านึกภาพไม่ออก  ผมจะยกตัวอย่าง เหมือนกับแม่ทัพ ตัวแทนของกองทัพและประชาชน เป็นผู้นำ สิ่งที่แม่ทัพทำ สิ่งที่เกิดขึ้นกับแม่ทัพ ก็เท่ากับเกิดขึ้นกับกองทัพทั้งหมดและประชาชนทั้งหมดด้วยใช่หรือไม่? ถ้าแม่ทัพชนะ กองทัพก็ชนะ  ประชาชนก็ชนะ ถ้าแม่ทัพถูกสังหาร หรือประกาศยอมแพ้ ก็เท่ากับว่าทั้งกองทัพ ทั้งประชาชนทั้งหลาย ต้องพ่ายแพ้ไปด้วย ไม่ต้องทำอะไร อยู่บ้าน ไม่ได้ไปรบกับเขา ถูกไหม? นี่เราเห็นชัด

สรุป ก็คือสิ่งที่พระเยซูกระทำ หรือสิ่งที่เกิดขึ้นกับพระเยซู ซึ่งเป็นต้นพันธุ์ เป็นตัวแทนของเรามนุษยชาติทั้งปวง ก็เท่ากับว่าพวกเราทั้งหลาย มนุษย์ทั้งหลายบนโลกใบนี้ มีส่วนเข้าร่วมอยู่ด้วย ในการกระทำนั้นๆ ใช่หรือไม่? นี่คือสิ่งที่พระคัมภีร์บอกไว้ เรากำลังคุยถึงเรื่องโลกวิญญาณ ซึ่งสำคัญมากที่สุด ตาเราอาจจะมองไม่เห็น หูเราไม่ได้ยิน แต่เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจริงๆ ในโลกวิญญาณ

แล้วสิ่งที่พระเยซูกระทำ หรือสิ่งที่เกิดขึ้นกับพระเยซู ที่บอกว่าเราทั้งหลาย มนุษย์ทั้งหลาย ทั้งปวง มีส่วนเข้าไปร่วมอยู่ด้วยนั้น มีอะไรบ้าง? แม่ทัพเราไปทำอะไรบ้าง? คราวนี้เราจะมาตรวจดู แม่ทัพเรา เป็นตัวแทนของเรา ทำอะไรบ้างที่เป็นประโยชน์ หรือเป็นโทษต่อตัวเรา มนุษย์ทั้งหลายบนโลกใบนี้บ้าง? อดีต เรารู้แล้ว พระคัมภีร์บอกแล้วว่าบรรพบุรุษของเรา คืออาดัมและเอวา บรรพบุรุษเดิมของเรา ที่เราเกิดมาเป็นมนุษย์ ทำไม่ดีไว้ เราร่วมรับไปด้วย โดยไม่รู้เรื่องเลย เกิดมา ก็เป็นคนบาปแล้ว เกิดมาเป็นคนชั่วแล้ว ยังไม่ได้ทำอะไรเลย เกิดมาก็เป็นคนบาปแล้ว ยังไม่ทันเกิดมา ก็เป็นคนบาปแล้ว เพราะเกิดมาเป็นมนุษย์ ก็เป็นคนบาปแล้ว ในพระคัมภีร์บอกไว้อย่างนั้น เพราะบรรพบุรุษเราทำไว้ แต่ตอนนี้ตัวแทนผู้ใหม่ ผู้ที่พระเจ้าส่งมา คือพระเยซูคริสต์ได้ทำอะไรไว้ เพื่อจะมาแก้ไขสิ่งเหล่านี้ ที่ทำให้เราสามารถ ที่จะได้รับอะไร? ชัยชนะอย่างไรบ้าง? เรามาดูกันนะ

มีอะไรบ้างที่พระเยซูได้กระทำ และเกิดขึ้นกับพระเยซู ตอนที่พระองค์ดำเนินชีวิตเป็นมนุษย์เหมือนเราเลย บนโลกใบนี้ ทำไมต้องเหมือนเรา เพราะว่าจะได้เป็นตัวแทนของเราได้ ตัวแทนของมนุษย์ ก็ต้องเป็นมนุษย์สิ เป็นตัวแทนของมนุษย์จะเป็นพระเจ้าได้อย่างไร?  ตัวแทนของมนุษย์ต้องมาเกิดเป็นมนุษย์

เพราะฉะนั้น พระองค์จึงมาเกิดในรางหญ้า ในร่างกายของผู้ที่เป็นมนุษย์อย่างเรา มีเลือด มีเนื้อ เหมือนกับเรา เดินเหมือนกับเรา และต้องเกิดในหญิงพรหมจารี จากครรภ์ของมารดา การเกิดจากครรภ์ของมารดา เป็นตัวกำหนดมาตรฐานว่านี่คือมนุษย์

มนุษย์จะต้องเกิดจากครรภ์ของหญิงเท่านั้น นี่คือกฎของวิญญาณและกฎของวัตถุ สิ่งที่จับต้องมองเห็นได้ มนุษย์ต้องเกิดอย่างนี้ พระเยซูก็เลยมาเกิดเป็นมนุษย์ ถามว่าทำไมถึงต้องเป็นมนุษย์ ก็เพราะเกิดในหญิง การเกิดในหญิงพรหมจารีนั้น เป็นการตัดตอนของบรรพบุรุษเดิม คือเซลแรกไม่ได้มาจากอาดัมและเอวา แต่เซลแรกมาจากพระวิญญาณของพระเจ้า จึงเกิดในหญิงพรหมจารี แต่พอเข้าไปในครรภ์ ก็เกิดขบวนการการบังเกิดของมนุษย์ทั้งหลายทั้งปวง เพียงแต่เซลแรกมาจากพระเจ้านั่นเอง พระองค์จึงเป็นมนุษย์ และเป็นพระเจ้าในขณะเดียวกัน ก็คือมาเกิดเป็นมนุษย์ที่สะอาดบริสุทธิ์ ไม่ใช่มนุษย์คนบาป แต่ยังคงเป็นมนุษย์ เพราะว่ามาเกิดเป็นมนุษย์ เพื่อจะได้เป็นตัวแทนของมนุษยชาติ

“มนุษยชาติ” คือใครก็ตาม ที่เกิดจากครรภ์ของหญิง เป็นมนุษย์ทั้งหลาย พระเยซูจึงได้บอกไว้ตอนที่เดินอยู่บนโลกใบนี้ว่าท่านทั้งหลาย มนุษย์ทั้งหลายเอ๋ย ถ้าท่านจะไปสวรรค์ พ้นจากการถูกพิพากษา หลังความตายนั้น ท่านจะต้องเกิดใหม่  “เกิดใหม่” ก็คือเกิดอีกครั้งหนึ่ง แปลว่าท่านเกิดจากครรภ์ของหญิงแล้วใช่ไหม?  ท่านต้องเกิดอีกครั้งหนึ่ง ในโลกวิญญาณ เรากำลังจะเรียนรู้นะว่าพระเยซูมาทำอะไรบ้าง? ที่จะสามารถทำให้พวกเราทั้งหลายได้เกิดใหม่

ย้อนกลับไปในอดีต ตอนที่พระองค์ทรงกระทำสิ่งเหล่านี้สำเร็จ ที่ไม้กางเขน ก็คือเทศกาลวัน อีสเตอร์ วันศุกร์ประเสริฐ

(1) พระองค์หลั่งพระโลหิต ชำระหนี้บาป มนุษย์เป็นคนบาป ต้องชดใช้บาป และเวรกรรมของตัวเอง เพราะเกิดมาเป็นคนบาป เมื่อไรเวรกรรมมันจะหมดสักที มันอยู่ในจิตใต้สำนึกของมนุษย์ทั้งหลายทั้งปวงที่เกิดมาเป็นคนบาป เพราะรู้จากจิตใต้สำนึกว่าตัวเองเป็นคนบาป และจะถามตัวเองเสมอว่าเมื่อไรมันจะหมดสักที เมื่อไรจะชดใช้หมด จบสักที ในนี้บอกว่าพระเยซูตัวแทนของเรา ที่เราได้มีส่วนร่วมในสิ่งต่างๆ ที่พระองค์ทรงกระทำ ได้หลั่งพระโลหิต ชำระหนี้บาป เท่ากับเราได้ชำระหนี้บาปด้วย ใช่หรือไม่? ถูกใช่ไหม?

พระเยซูหลั่งพระโลหิต ชำระหนี้บาป ก็เท่ากับว่าเรา ได้รับการชำระหนี้บาปเรียบร้อยแล้ว โดยพระโลหิตของพระเยซู เราใช้พระเยซูคริสต์เหมือนเป็นแพะรับบาปแทนเรา เอาเลือดไปให้กับพระเจ้า และก็บอกว่าเราสะอาดหมดจดแล้ว เราได้รับการชำระ เราต้องใช้พระโลหิตของพระเยซูคริสต์ ซึ่งเป็นเครื่องชำระเราจนสะอาดหมดจดแล้ว จากความบาปของเรา ที่ได้บังเกิดมา เป็นคนบาป หมดบาปแล้วนะ

(2)  พระองค์ทรงหลั่งพระโลหิต    บนไม้กางเขน      ก่อนจะยอมสิ้นพระชนม์ อันดับที่ 2 คือพระองค์ยอมสิ้นพระชนม์ ที่เขียนว่ายอมสิ้นพระชนม์ เป็นเพราะว่าพระองค์เป็นพระเจ้า ไม่มีใครทำอะไรให้พระองค์ตายได้ ที่พวกเราตาย เพราะเราเป็นคนบาป แต่พระเยซูเป็นมนุษย์ที่ไม่ได้บาป จึงไม่สามารถที่จะตายได้  ไม่มีใครสามารถทำให้พระองค์ตายได้ และพระองค์ก็ไม่ตาย นอกจากพระองค์จะยอมตาย

“พระองค์ยอมตาย”

ถามว่ายอมตาย เพื่ออะไร? ยอมตาย เพื่อเรา  เรานะต้องตาย แต่พระองค์ยอมตาย พระองค์ยอมสิ้นพระชนม์ ก็เพื่อว่าเราทั้งหลาย มนุษย์ทั้งหลายที่เกิดมาเป็นคนบาป ตัวที่เป็นคนบาป มันแก้ไขไม่ได้แล้ว มันต้องตาย เพราะว่ามันเกิดมาเป็น  เพราะฉะนั้น มันต้องตาย พระเยซูจึงเป็นตัวแทนให้กับเรา ยอมตาย เพื่อเราทั้งหลายจะได้เข้าส่วนร่วมในการตายด้วย

(3) พระองค์ทำอะไรอีก? เห็นภาพแล้วน๊า หลั่งพระโลหิต จบสิ้น  เราได้รับการชำระบาปเรียบร้อย เสร็จปุ๊บ ตัวเก่าเราต้องตาย เพราะฉะนั้น พระองค์ยอมตาย เท่ากับเราตายไปแล้ว ที่ไม้กางเขน พร้อมพระเยซู ตัวเก่าเรา วิญญาณเก่าเราที่เป็นคนบาป สกปรกตั้งแต่อาดัมนั้น ตายไปแล้ว

อันดับที่ 3 พระองค์ถูกฝังไว้ในอุโมงค์ เราก็เท่ากับถูกฝังในอุโมงค์เหมือนกัน  เช่นเดียวกันกับพระเยซูเลย เพราะเราเข้าไปมีส่วนร่วมในตัวแทนด้วย เห็นภาพนะ

ถูกฝังไว้ในอุโมงค์ เพื่อเป็นการพิสูจน์ ยืนยันว่าตายจริงๆ ไม่ใช่สลบ  ตายจริงๆ เพื่อให้มหาจักรวาล ในโลกฝ่ายวิญญาณ ทูตสวรรค์ทั้งหมด และสิ่งที่พระองค์ทรงสร้างทั้งหมด ได้เห็นกับตาว่าพระเยซูตายจริงๆ ยอมตายจริงๆ และเราทั้งหลาย ผู้เป็นคนบาป ได้ตายแล้วจริงๆ

(4) อันดับที่ 4 พอตายแล้วทำไม? พระองค์เป็นขึ้นจากความตาย บังเกิดใหม่ เป็นบุตรของพระเจ้า ทั้งร่างกาย วิญญาณและจิตใจ ท่านจะเห็นภาพนะ

อันดับที่ 4 คือพระองค์ทรงเป็นขึ้นจากความตาย แล้วใครมีส่วนอยู่ในนั้นด้วย มนุษย์ทั้งหลายทั้งปวงที่ตะกี้นี้ตายไปแล้ว ในความบาป เป็นคนบาป ก็ได้เป็นขึ้นจากความตาย Happy Birthday ไปด้วย บังเกิดใหม่ มาเป็นบุตรของพระเจ้า ทั้งร่างกาย วิญญาณและจิตใจเลย ทั้งหมดเลย นี่ ทำให้กับมนุษย์ทั้งหลายทั้งปวง เป็นตัวแทนของมนุษย์ทั้งปวง เพียงแต่ว่าต้องประกาศให้มนุษย์ได้รู้  เพื่อเขาจะได้มาใช้สิทธิของเขาไง ไม่อย่างนั้น เขาได้รับก็จริง สิทธิเป็นของเขาก็จริง แต่เขาไม่รู้ เขาไม่ได้รับสิทธิ เขาไม่ได้ใช้สิทธิของเขา มันก็เสียหายไปเปล่าๆ เห็นภาพชัดเจนนะ

เพราะฉะนั้น เมื่อเชื่อในพระเยซูคริสต์ เข้าเป็นหนึ่ง ให้พระเยซูคริสต์เป็นตัวแทนของเรา เราได้ตายจากวิญญาณเก่าที่อยู่ในความบาป ได้บังเกิดใหม่ทั้งวิญญาณ ทั้งจิตใจและร่างกาย เพียงแต่ร่างกายใหม่นี้ รอรับเมื่อวันที่ออกจากร่างเก่านี้แล้ว ส่วนวิญญาณและใจใหม่นั้น ได้รับเลยทันที

(5) อันดับที่ 5 พระองค์ทำอะไรอีก? นอกจากเกิดใหม่แล้ว อันดับที่ 5 พระคัมภีร์บันทึกไว้ว่า …

“พระเจ้าประทานพระสิริ สง่าราศี สิทธิอำนาจทั้งหมดในสวรรค์ก็ดี ในโลกก็ดี ให้กับพระเยซู และให้พระเยซูนั่งอยู่ที่บนบัลลังก์ เบื้องขวาของพระเจ้าผู้สร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก ครอบครองสรรพสิ่งทั้งหลาย”

ทั้งหมดนี้ มอบให้กับพระเยซู พระเยซูเป็นแม่ทัพของเรา เป็นตัวแทนของเรา เพราะฉะนั้น เราได้รับด้วยไหม? ได้รับด้วย อย่างที่ตะกี้นี้บอกว่าถ้าแม่ทัพเราได้รับชัยชนะ เราก็ชนะด้วย นี่แม่ทัพเราชนะ ทำอย่างนี้ให้เรา เราก็ได้ด้วย จะเอาไหม? เท่านั้นเอง การได้ยินได้ฟังข่าวเรื่องพระเยซู ก็มีจบลงตรงนี้ว่าท่านได้รับสิ่งต่างๆ เหล่านี้แล้ว ท่านจะเอาไหม? จะเอาหรือไม่เอา มีแค่นี้เอง

เพราะฉะนั้น มนุษย์ทุกคน ไม่ต้องทำอะไรเลย จะเห็นไหมครับ มนุษย์ทุกคน  ไม่ต้องทำอะไรเลย แค่รับรู้สิทธิของตน และเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์มาเป็นตัวแทนของเรา เป็นพระผู้ช่วยให้รอดของเรา  คือยอมรับว่านี่เป็นความจริง และเป็นตัวแทนของเรา และเราจะได้รับสิทธิเหล่านี้ทั้งหมด นี่แหละคือการเปิดใจต้อนรับข่าวดี ต้อนรับสิทธินี้ และสิทธินี้มีให้ไว้ตลอดเวลา เพราะว่ามันทำเพื่อมนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้ ซึ่งยังไม่เกิดมา ก็มี เกิดมาแล้วก็มี แล้วจะมีเกิดมาอีกกี่ยุค? กี่สมัยก็ไม่รู้? ประกาศให้กับทุกคน โดยที่พระเยซูยกตัวอย่างว่าพระองค์ประกาศในโลกวิญญาณตลอดเวลา ทุกวันนี้กำลังเคาะประตู มนุษย์ทุกคน ให้เปิดใจรับสิทธิของเขาไปในสิ่งเหล่านี้ทั้งหมด ที่พระองค์ทรงกระทำให้แล้วที่ไม้กางเขนนั้น และให้เป็นขึ้นจากความตายเหล่านี้ โดยการเปิดใจรับไป เคาะไปเรื่อยเลยครับ คนไหนเปิดใจแล้ว พระเจ้า พระเยซูคริสต์ก็เข้าไปสถิตอยู่กับเขา ก็ไม่ต้องเคาะแล้ว ก็คุยไป เรียนรู้กันไป ในเรื่องโลกวิญญาณ พาไปถึงสวรรค์นิรันดร์กาล

แต่คนที่ยังไม่เปิดใจ พระเยซูทำอย่างไร? “ดีแล้ว ไม่เปิดใจก็ดีแล้ว ช่างเธอ” ไม่ใช่ ก็ยังเคาะอยู่นั่นแหละ เคาะๆ พระคัมภีร์บอกไว้อย่างนั้น เราเคาะอยู่ที่ประตูใจของท่าน ให้ท่านเปิดใจต้อนรับ เคาะทำอะไร? เคาะให้ท่านได้ฟัง ได้ยินข่าวประเสริฐนี้ ข่าวดีนี้ ข่าวดีที่สุด สำหรับมนุษย์ทั้งหลาย ทั้งปวงบนโลกใบนี้ ที่พระองค์ได้ทรงกระทำให้แล้ว เมื่อผู้ใดเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์แล้ว พระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า ก็จะเข้าไปในชีวิตของคนๆ นั้น “ทันที” เปิดใจเมื่อไร ก็ได้รับทันที เพราะทุกอย่างมันพร้อมหมดแล้ว ทำให้เสร็จเรียบร้อยมา 2,000 ปีแล้ว

จริงๆ คำว่า “2,000 ปี” มันเป็นเวลาของมนุษย์ที่มีอยู่บนโลกใบนี้ ที่เรานับได้ มีดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ นับเป็นวันๆ แต่ในโลกวิญญาณ มิติทางวิญญาณ มันไม่มีวัน ไม่มีเดือน “มิติในวิญญาณ” คือเป็นอยู่วันนี้ วานนี้ และสืบๆ ไปเป็นนิตย์ เป็นอยู่ในอดีต เป็นเช่นไร? ปัจจุบันก็เป็นเช่นนั้น และเป็นเช่นนี้ตลอดไป หมายถึงไม่มีเวลา พระเยซูเป็นพระเจ้า ตั้งแต่วานนี้ วันนี้และสืบๆ ไปเป็นนิตย์ แปลว่าพระองค์เป็นพระเจ้าตลอดกาล เป็นพระเจ้าตั้งแต่เมื่อไร? ไม่มีเวลา  เพราะฉะนั้น ตอนนี้เป็นพระเจ้ามากี่ปีแล้ว ไม่มีเวลา นี่คือโลกวิญญาณ

จะถามว่าพระเยซูหลั่งพระโลหิตแล้วหรือยัง? เมื่อไร? เดี๋ยวนี้ ตายเมื่อไร? ตายเดี๋ยวนี้ ถูกตรึงกางเขนเมื่อไร? เดี๋ยวนี้ ถูกฝังไว้ในอุโมงค์เมื่อไร? เดี๋ยวนี้ เป็นขึ้นจากความตายเมื่อไร? เดี๋ยวนี้ นั่งในสวรรค์สถานเมื่อไร? เดี๋ยวนี้ และมนุษย์ทั้งปวงได้สิทธินี้เมื่อไร? เดี๋ยวนี้

มนุษย์ทั้งปวงในโลกใบนี้ ได้สิทธินี้เมื่อไร? เดี๋ยวนี้ เพียงแต่เขารู้ไหม? พอเขารู้ เขาฉวยเอา และได้ทันทีเมื่อไร? ก็คือเมื่อเขาเปิดใจ พอเขาเปิดใจปุ๊บ ได้รับเมื่อไร? เดี๋ยวนี้ทันที ผมจึงพยายามบอกคำว่า “ทันที” ในโลกวิญญาณ มันไม่มีเวลา เราจะมานั่งคิด เอาไปเปรียบเทียบวันนี้กี่ปีมาแล้วๆ ในเรื่องโลกวิญญาณไม่มีคำว่าเวลา เวลาได้ถูกกำหนดขึ้นบนโลกใบนี้ วัตถุสิ่งของบนโลกใบนี้เท่านั้น พระเจ้าเป็นผู้สร้างเท่านั้นเอง ในโลกวิญญาณ ไม่มีวันเวลา

ถามว่า “ทันที เมื่อไร?”  เมื่อเราเปิดใจต้อนรับข่าวประเสริฐ ต้อนรับสิทธิของเราบนโลกใบนี้ปุ๊บ เกิดขึ้นทันทีในโลกวิญญาณ ในโลกวัตถุ ก็คือเปิดใจต้อนรับ ในโลกวิญญาณ เปิดใจต้อนรับปั๊บ เกิดขึ้นทันที เกิดอะไรขึ้น? เกิดสิทธิตะกี้ที่บอกทั้งหมด มันเกิดขึ้นที่ในโลกวิญญาณ เรารู้ได้อย่างไร?

“ข้ารู้ เพราะอยู่ในใจ”

มันจะรู้ในใจเอง แต่สิ่งหนึ่งที่สำรวจได้ รู้ในใจ เพราะคนๆ นั้นเขาจะเลิกแสวงหาการกระทำอะไรก็ตาม ที่เกี่ยวกับโลกวิญญาณว่าเขาจะได้ไปสวรรค์ หลังความตาย เขาจะเลิกทำเลย นี่เรื่องจริง

ขบวนการการเริ่มต้น ที่พระวิญญาณบริสุทธิ์เข้ามากระทำการงานในวิญญาณของเรา เมื่อตอนที่เราเปิดใจต้อนรับสิทธิของเราในพระเยซูคริสต์นี้ เริ่มต้นขบวนการ การบังเกิดใหม่ทันที คำว่า “ทันที” หมายถึงขบวนการในการบังเกิดใหม่ที่สำคัญมาก Happy birthday to me มันเกิดขึ้น ณ วินาทีนั้น เปรี้ยงเดียว แต่พอพูดภาษามนุษย์ มันก็ต้องพูด 1 ก่อน 2, 3 แต่ทั้งหมด มัน คือเกิดขึ้นเปรี้ยงเดียว ทันทีเลย เพราะมันเข้าไปในโลกวิญญาณแล้ว มันไม่มีอะไรก่อนอะไรหลัง

ขบวนการการบังเกิดใหม่ ในการใช้สิทธิของตนเอง ในการเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ ก็เกิดขึ้นทันที เกิดขึ้นโดยพระเยซูเคาะประตู พอท่านต้อนรับความจริงนี้ ท่านเปิดใจ เอาแล้ว ฉันจะรับพระเยซูให้เป็นผู้ช่วย พอเปิดใจปุ๊บ พระเยซูส่งพระวิญญาณของพระเจ้าที่เรียกว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์ ที่เรียกว่าพระวิญญาณของพระคริสต์ วิญญาณของพระองค์เข้าไปทันที เข้าไปในชีวิตของท่าน เข้าไปในร่างกายของท่าน เข้าไปนั่งอยู่ในใจของท่าน เป็นพระเจ้าประจำตัวของท่านจะอยู่กับท่านตลอดไป และโดยฤทธิ์เดชอำนาจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ตรงนี้ พระองค์เข้าไปในภาษากรีก สมัยโบราณ ที่เขาบันทึกเอาไว้ พระคัมภีร์แปลมาจากภาษากรีก คือในพระคัมภีร์เขียนไว้ว่าพระวิญญาณเข้าไปทันที เปิดใจปุ๊บ พระวิญญาณเข้าไปบัพติศมา

“บัพติศมา” ฟังดูแล้วเหมือนศาสนาเลยนะ พระวิญญาณบริสุทธิ์เข้าไปบัพติศมา ให้ท่านได้ทั้ง 5 สิ่ง 5 อย่างที่พระเยซูกระทำให้ทั้งหมดตะกี้นี้ ที่เป็นตัวแทน ยอมรับว่าพระองค์เป็นตัวแทนจริงๆ เข้าไป ก็ได้รับ 5 อย่างที่ตัวแทนของเราทำไว้แล้ว ก็คือพระเยซูนั่นเอง ได้รับเมื่อไร?  เปรี้ยงเดียวได้รับทันที 5 อย่าง โดยการที่พระวิญญาณบริสุทธิ์เข้ามาบัพติศมา

บัพติศมา แปลว่าพระวิญญาณเข้ามาให้ท่านเข้าส่วนร่วม บัพติศมา แปลว่าการเป็นหนึ่งเดียวกัน การเข้าส่วนร่วม เห็นภาพหรือยัง ตะกี้จึงบอกว่าเป็นแม่ทัพ เปิดใจ ก็เข้าส่วนร่วมในการเป็นแม่ทัพด้วย ในการได้รับสิทธิต่างๆ ตามที่แม่ทัพทำ เข้าไปมีส่วนร่วมในการกระทำของพระเยซู พระวิญญาณบริสุทธิ์เข้ามากระทำสิ่งนี้ ในหนังสือโรม 6:3-6 ได้บันทึกไว้อย่างนี้ว่า …

โรม 6:3 “ท่านไม่รู้หรือว่าเราทั้งปวงที่เชื่อ (พระเยซู) ก็ได้ถูกนำเข้าไปเป็นหนึ่งเดียวกัน กับพระเยซูคริสต์ และได้เข้าส่วนร่วมในความตายของพระองค์ (ที่ไม้กางเขน)”

 

ในโรมบทที่ 6 บอกว่า “ท่านไม่รู้หรือ?” พูดกับใคร? พูดกับผู้ที่เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ แล้วยังไม่ค่อยรู้เรื่อง ท่านไม่รู้หรือว่าเกิดอะไรขึ้นในโลกวิญญาณ เราทั้งปวงที่เชื่อ ที่เปิดใจต้อนรับพระเยซูมาเป็นพระผู้ช่วยให้รอด เป็นตัวแทนของเราแล้ว ได้ถูกนำเข้าไปเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเยซูคริสต์ ตรงนี้ในภาษาเดิม ก็คือเข้าบัพติศมากับพระเยซูคริสต์ ก็คือการเข้าไปเป็นหนึ่งเดียวกัน ให้พระเยซูเป็นตัวแทน เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์ และได้เข้าส่วนร่วมในการตายของพระองค์ที่ไม้กางเขน

เห็นไหมครับ เหมือนตะกี้นี้ที่ผมพูด พระเยซูตายที่ไม้กางเขน  เพื่อว่าเราทั้งหลาย มนุษย์ทั้งปวงจะได้สามารถตายร่วมกับพระองค์ได้  เห็นหรือยัง? ถ้าไม่ตาย ก็เกิดใหม่ไม่ได้ ตัวเก่าของเราที่เป็นคนบาป กำเนิดเกิดมาเป็นบาป จากบรรพบุรุษของเรา อาดัม มันต้องตาย ถ้าไม่ตาย เราจะเกิดใหม่ไม่ได้  เราเป็นหนึ่งแล้ว พระเยซูตาย เราตายด้วย …

โรม 6:4 “ฉะนั้น เราจึงถูกฝังไว้กับพระองค์แล้ว โดยการได้เข้าส่วนร่วมในความตาย เพื่อว่าเราเอง ก็จะได้มีชีวิตใหม่ (บังเกิดใหม่) เช่นเดียวกับที่ทรงให้พระคริสต์เป็นขึ้นจากตาย (บังเกิดใหม่) โดยฤทธิ์อำนาจแห่งพระวิญญาณ และพระเกียรติสิริของพระบิดา”

 

“ฉะนั้น เราจึงถูกฝังไว้กับพระองค์แล้ว โดยการเข้าส่วนร่วมในการตาย” เห็นไหมครับ? ก็เพราะว่าเราเข้าไปเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์ เมื่อพระองค์ถูกฝังไว้ เราก็ถูกฝังไว้ด้วย เพราะเราอยู่ในพระองค์แล้ว เราเป็นหนึ่งเดียวกับพระองค์ เรามีส่วนอยู่ในพระองค์ พระองค์ถูกฝังไว้ในอุโมงค์ เราก็ถูกฝังไว้ในอุโมงค์แล้ว ถูกฝังไว้ในอุโมงค์ เพื่อว่าเราเองก็จะได้มีชีวิตใหม่ บังเกิดใหม่เช่นเดียวกันกับที่พระเจ้าได้ทรงชุบพระเยซูคริสต์ให้เป็นขึ้นจากความตาย บังเกิดใหม่ โดยฤทธิ์เดชอำนาจแห่งพระวิญญาณ และพระเกียรติสิริของพระบิดา

พูดง่ายๆ ตรงนี้ ก็คือการถูกฝังไว้ในอุโมงค์เป็นการที่ตะกี้นี้บอกว่าสำแดงว่าตายจริงๆ ไม่มีอะไรแล้ว พระเยซูถึงแม้เป็นพระเจ้าก็ยอมตาย แล้วก็ตายจริงๆ ถูกฝังไว้ในอุโมงค์ ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้แล้วนะตอนนั้น ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านั้น สามารถชุบคนตายให้เป็นขึ้นจากความตาย อย่างลาซารัสก็ได้  แต่ตอนนี้ทำอะไรไม่ได้เลย เพราะตายจริงๆ ถูกฝังไว้ในอุโมงค์ เป็นตัวแทนของเรา

วันที่ 3 ในนี้บอกว่าโดยฤทธิ์เดชของพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า พระเจ้าได้ให้พระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระองค์ ลงมาชุบพระเยซูให้เป็นขึ้นจากความตาย  ผู้ที่ชุบพระเยซูให้เป็นขึ้นจากความตาย คือพระบิดา พระเจ้าผู้สถิตในสวรรค์ มองดูถึงแผนการของพระองค์ ที่จะช่วยเหลือมนุษย์ทั้งหลาย ทั้งปวงผ่านทางพระเยซูคริสต์ เห็นชัดๆ เลย พระเยซูตายที่ไม้กางเขน ดูในมหาจักรวาล ดูทั้งในโลกวิญญาณ โลกวัตถุ มองดูสิ มองดูตายจริงนะ นี่ตายจริงๆ เลย  ไม่มีใครเถียงพระองค์ได้ พระเยซูไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้เลย พระเจ้าชุบพระเยซูให้เป็นขึ้นจากความตาย ด้วยฤทธิ์เดชอำนาจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระองค์ และเมื่อพระเยซูถูกชุบให้เป็นขึ้นจากความตาย และได้ประทานพระเกียรติสิริแด่พระองค์ ก็คือให้พระองค์กลับมามีสง่าราศี เป็นพระเจ้าเหมือนแต่ก่อนนี้ ตรงนี้มันหมายถึงอย่างนั้น

ที่เน้นให้ท่านเห็นตรงนี้ เพื่อท่านจะได้เริ่มสังเกตดูว่าชุบพระเยซูให้เป็นขึ้นจากความตาย ไม่ใช่แค่นั้น พระเยซูเป็นมนุษย์ เป็นขึ้นจากความตาย แล้วยังประทานพระสิริ คือสถานะ สง่าราศี  แด่พระเจ้า ซึ่งเคยเป็นของพระองค์มาก่อน  ก่อนจะเกิดมาเป็นมนุษย์ ให้ประทานกลับคืน ให้กับพระเยซู เป็นขึ้นจากความตาย กลับมามีสถานะเป็นพระเจ้าเหมือนเดิม

ถามว่า “ใครมีส่วนร่วมในตรงนี้ด้วย?” มนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้ อัศจรรย์ขนาดไหน? เรียกว่าเป็น Amazing Grace เป็นพระคุณอันประหลาดมากเลย เป็นไปได้หรือ? มนุษย์เป็นใครหนอ ที่พระเจ้าทรงรักเขายิ่งนัก มากถึงขนาดนี้ มนุษย์เป็นคนบาปแล้วนะ แค่อภัยในความบาปผิดของเรา แล้วก็ยกโทษให้เรา เราไม่ต้องพินาศหลังความตาย แค่นั้นก็เยอะพอแล้ว นี่ให้เราบังเกิดใหม่ ได้เข้าส่วนร่วมในการเป็นขึ้นจากความตายร่วมกับพระเยซูคริสต์ และได้เข้าส่วนร่วมในชีวิตที่เป็นสง่าราศี เหมือนพระเจ้า เหมือนพระเยซูคริสต์เลยทีเดียว ใน 1 ยอห์น 4:17 บอกไว้อย่างนี้ว่าในขณะที่เราดำเนินอยู่บนโลกใบนี้นั้น จิตวิญญาณและจิตใจของเราสะอาด บริสุทธิ์ เป็นเหมือนพระเยซูแล้ว ขณะที่เรารับเชื่อ เรารับสิทธิของเราในขณะนี้ เราเดินบนโลกใบนี้ เราเป็นเหมือนพระองค์

คำว่า “เหมือน” ก็เป็นเหมือนจริงๆ นะ อย่าพยายามแก้คำนี้ ให้น้อยกว่า ยกพระเยซูขึ้นสูง แล้วเราต่ำ  ไม่ใช่การถ่อมใจที่แท้จริง ความหมายของการถ่อมใจที่แท้จริง  หมายถึงพูดในสิ่งที่พระเยซูหรือพระเจ้าทรงพูดกับเราว่ามันจริง มันเอเมน นั่นแหละคือการถ่อมใจ

การถ่อมใจ คือการยอมรับว่ามันเป็นจริง การถ่อมใจ คือเชื่อฟังถ้อยคำพระเจ้าเหมือนดั่งทาส ถ้อยคำพระเจ้าบอกว่าอย่างไร? ก็บอกไว้อย่างนั้น ถ้อยคำพระเจ้าบอกว่าเราอยู่ในพระเยซูคริสต์ ในอุโมงค์ ตายพร้อมกับพระองค์ เมื่อพระองค์เป็นขึ้นมา เราก็ถอยออกมา เราไม่เป็นด้วย หรือไม่ พระองค์เป็นขึ้นมา เราเป็นขึ้นด้วย  แต่พระองค์ได้รับพระเกียรติสิริกลับคืน สู่สง่าราศี วิญญาณเป็นแบบพระเจ้าเหมือนเดิมแล้ว เราบอกว่าเราเกิดใหม่ เราไม่เอา เราขอด้อยกว่าได้ไหม?

พระเยซูบอก “น้อง ไม่ใช่อย่างนั้น เราเท่ากันเลย  เราอยู่ในครอบครัวเดียวกัน เราได้รับเหมือนกัน”

ถ้าจะเคารพ สรรเสริญพระเจ้า ควรจะเป็นแบบนี้ว่า “ขอบคุณพระเจ้า ขอบคุณพระองค์เหมือนเกิน ในสิ่งที่เกิดขึ้น”

โรม 6:5 “ถ้าเราได้มีส่วนร่วม  เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์ ในการตาย แน่นอน เราจะมีส่วนร่วม เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์ ในการเป็นขึ้นจากตาย (บังเกิดใหม่)”

 

อันนี้ยิ่งชัดเลย เหมือนอธิบายไปแล้วเมื่อตะกี้นี้ ถ้าเรามีส่วนร่วมเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์ในการตาย หรือภาษาเดิมบอกว่าถ้าเรามีส่วนร่วมในการบัพติศมาเข้ากับพระองค์ พระเยซูคริสต์ในการตาย แน่นอนเราจะมีส่วนร่วมเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์ ในการเป็นขึ้นจากความตายและบังเกิดใหม่ด้วย ไม่ใช่หรือ?

บัพติศมา แปลว่ามีส่วนร่วมอยู่ในนั้น พูดง่ายๆ ก็คืออดีตที่เราเป็นคนบาป เพราะเราบัพติศมาอยู่ในอาดัม  บัพติศมา ก็แปลว่าเราอยู่ในร่วมกันกับสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ก่อนที่เราจะเชื่อพระเยซูคริสต์ มนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้ เกิดมา ก็บัพติศมาอยู่ในอาดัม ก็ให้เปลี่ยนมาบัพติศมาอยู่ในพระเยซูคริสต์ มันก็เท่านี้เองข่าวประเสริฐ จบ ไม่มีอะไรเลย

แล้วใครจะทำให้เราบัพติศมาเข้าในอาดัมได้ เราทำเองได้ไหม? ทำไม่ได้ เราบัพติศมาตัวเองไม่ได้  เกิดมา ก็บัพติศมาในอาดัมแล้ว เพราะฉะนั้น เมื่อจะย้ายมาบัพติศมาในพระเยซูคริสต์ เราทำบัพติศมาเองไม่ได้เหมือนเดิม ก็ให้พระวิญญาณของพระองค์ช่วย  ก็คือเปิดใจขอความช่วยเหลือ

“พระเจ้าช่วยด้วย อยากจะบัพติศมาแล้ว อยากจะย้ายจากบัพติศมาที่อยู่ในอาดัม อยู่ในสถานที่เดิม เป็นคนบาป อยากจะย้ายมาอยู่ในที่บริสุทธิ์ ที่สะอาดในพระเยซูคริสต์แล้ว ช่วยที”

จบ ไม่ต้องทำอะไรอีกแล้วจริงๆ  แล้วก็ได้รับสิ่งต่างๆ ที่พระเยซูทำให้ทั้งหมดนั้น บริสุทธิ์สะอาด และมีชีวิตที่บังเกิดใหม่ เหมือนพระเยซู เหมือนพระเจ้าเลย เป็นลูกพระเจ้า ก็เป็นเหมือนพระเจ้า   … แล้วก็มาสรุปในข้อที่ 6 ว่า …

โรม 6:6 “เพราะเรารู้ว่าตัวเก่าของเรา (ที่อยู่ในบาป ในอาดัม) ถูกตรึงไว้กับพระองค์แล้ว  เพื่อตัวบาปเก่านั้น จะถูกขจัดไป เพื่อเราจะไม่เป็นทาสบาปอีกต่อไป”

 

“เพราะเรารู้ว่าตัวเก่าของเรา ที่อยู่ในบาป อยู่ในอาดัม ที่บัพติศมาในอาดัมนั้น มันได้จบสิ้นไปแล้ว ถูกตรึงไว้กับพระองค์แล้ว ที่ไม้กางเขน มันจบไปแล้ว เพื่อตัวบาปเก่านั้น จะได้ถูกขจัดออกไป เพื่อเราจะไม่เป็นทาสบาปอีกต่อไป”

ไปหรือยังตัวเก่า? ไปหมดแล้ว เพื่อเราจะได้ไม่ต้องอยู่ใต้อำนาจของบาป ใต้อำนาจของความพินาศนั้นต่อไป เพราะว่าเราได้ย้ายมาเป็นส่วนหนึ่งกับพระเยซูคริสต์ ผู้มีชัยชนะ เหนือความบาป เหนือความตายแล้ว

ในเอเฟซัส 2:5-6 ได้บันทึกไว้อย่างชัดเจนว่าขณะที่เราบังเกิดใหม่  ทันที เมื่อเราเปิดใจต้อนรับสิทธิของเราแล้ว อะไรเกิดขึ้นในวิญญาณ …

เอเฟซัส 2:5-6 “5 จึงได้ทรงกระทำให้วิญญาณของเรากลับมีชีวิต อยู่กับพระคริสต์ แม้ในขณะที่วิญญาณเราได้ตายแล้วในบาป  คือท่านทั้งหลายได้รับความรอด (จากการลงโทษจากคำสาปแช่ง) โดยพระคุณ 6 และพระองค์ได้ทรงให้วิญญาณของเราเป็นขึ้นมา (บังเกิดใหม่) กับพระคริสต์ และในพระเยซูคริสต์ พระเจ้าได้ทรงให้เรานั่งในสวรรคสถานกับพระคริสต์”

 

“จึงได้ทรงกระทำให้วิญญาณของเรากลับมีชีวิต อยู่กับพระคริสต์” ก็คือให้เราเกิดใหม่ร่วมกับพระคริสต์ อยู่กับพระคริสต์ อยู่กันได้อย่างไร? เพราะวิญญาณชนิดเดียวกัน วิญญาณบริสุทธิ์สะอาด เรียกว่านิรันดร์ “นิรันดร์” ตัวนี้ ไม่ได้หมายถึงว่าอยู่ไปตลอดกาล  เพราะต่อให้ท่านไม่ได้เชื่อ ท่านบัพติศมาอยู่ในอาดัม อยู่ในวิญญาณเก่า ซึ่งเต็มไปด้วยความบาป ท่านก็อยู่นิรันดร์อยู่แล้ว เพียงแต่พินาศนิรันดร์

แต่คำว่า “นิรันดร์” ตัวนี้มันหมายถึงลักษณะชีวิตที่เป็นวิญญาณที่เหมือนพระเจ้า เรียกว่าวิญญาณนิรันดร์

“แม้ในขณะที่วิญญาณเราได้ตายแล้วในบาป คือท่านทั้งหลายได้รับความรอด จากการลงโทษจากคำสาปแช่ง โดยพระคุณ และพระองค์ได้ทรงให้วิญญาณของเราเป็นขึ้นมา บังเกิดใหม่ กับพระคริสต์ และในพระเยซูคริสต์ พระเจ้าได้ทรงให้เรานั่งในสวรรคสถานกับพระคริสต์”

ยืนยันไหม? ตะกี้นี้ที่ผมพูดว่ามันเกิดขึ้นทันที ตอนนี้ท่านเปิดใจต้อนรับแล้วหรือยัง? ต้อนรับแล้ว ถามว่าต้อนรับแล้ว ท่านเป็นเหมือนใคร? ท่านบังเกิดใหม่แล้วหรือยัง? บังเกิดใหม่แล้ว เมื่อไรไม่รู้? อย่างผมเกิดใหม่แล้วประมาณ 30 กว่าปี นั่งอยู่ที่ไหน? นี่ภาษามนุษย์ มีวันเวลา นั่งอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้าในสวรรค์สถาน  นั่งกับใคร? นั่งกับพระเยซู แล้วนั่งกับใครอีก? กับใครก็ตามที่เขาเชื่อและต้อนรับสิทธิ์นี้ เพราะสิทธิ์นี้ พระเยซูทำให้มนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้ ผมก็นั่งอยู่ที่นั่น พร้อมกับอัครทูตเปโตร  อัครทูตเปาโล นั่งพร้อมกับยอห์น นั่งพร้อมกับท่านทั้งหลายที่นั่งอยู่ที่นี่ แค่ท่านเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดเท่านั้น 1 เปโตร 1:3-4 ได้ยืนยันตรงนี้อีก …

1 เปโตร 1:3-4 “3 “สรรเสริญพระเจ้า พระบิดาขององค์พระเยซูคริสต์เจ้าของเรา ด้วยพระเมตตายิ่งใหญ่  พระองค์ทรงให้เราทั้งหลายบังเกิดใหม่ เข้าในความหวังอันยืนยง โดยการเป็นขึ้นจากตายของพระเยซูคริสต์” 4 “และ (ได้เป็นทายาท) เข้าในมรดก อันไม่มีวันเสื่อมสลาย เน่าเสีย หรือเลือนหายไป ซึ่งได้ทรงเตรียมไว้ในสวรรค์แล้ว เพื่อพวกท่าน”

 

“สรรเสริญพระเจ้า พระบิดาของพระเยซูคริสต์เจ้าของเรา ด้วยพระเมตตาใหญ่ยิ่ง พระองค์ทรงให้เราทั้งหลายบังเกิดใหม่ ได้เกิดใหม่ เข้าในความหวังอันยืนยง โดยการเป็นขึ้นจากตายของพระเยซูคริสต์”

เพราะการเป็นขึ้นจากความตายของพระเยซูคริสต์ ก็คือเราได้เป็นขึ้นจากความตายร่วมกับพระองค์ด้วย เอเมน

“ในความหวังอันยืนยง” มิได้หมายถึงว่าในอนาคต ความหวังอันยืนยง คือสิ่งที่เราได้รับแล้ว มันเป็นอยู่นิรันดร์ และได้เป็นทายาท นี่เพิ่มเติมให้ว่ามิได้บังเกิดใหม่ เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์เท่านั้น พระเยซูคริสต์เป็นพระบุตร เราก็เป็นบุตร ไม่กล้าพูดคำว่า “พระ” เขินปาก คำว่าพระ เรายกย่อง พระเยซูคริสต์ได้บังเกิดใหม่ เป็นบุตรของพระเจ้า เราทั้งหลายก็เป็นบุตรของพระเจ้า พระเยซูคริสต์ได้บังเกิดใหม่ เป็นบุตรของพระเจ้า  ได้รับสิทธิอำนาจ ได้รับพระสิริ สง่าราศี ครอบครองอยู่เหนือสวรรค์ก็ดีและโลกก็ดี พระองค์ทรงประทานให้ ตรงนี้เรียกว่ามรดก  และพระองค์ทรงได้รับสิ่งต่างๆ เหล่านั้น  เราก็มีส่วนร่วมในมรดกนี้ด้วย ใช่ไหม? ถูกไหม? เรามีมรดก แล้วเรารับหรือยัง? รับแล้ว มีสิทธิได้มรดก มรดกรอเราอยู่แล้ว เราเซ็นชื่อรับเท่านั้นเอง

และการรับมรดก เหตุเนื่องจากว่าทั้งหมดนี้เกิดขึ้น ในโลกวิญญาณเรียบร้อยแล้ว ทันที แต่เรายังค้างอยู่ที่กำลังดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ ยังอยู่ในร่างกายเดิมนี้อยู่ ร่างกายภายนอก ซึ่งรอมันสิ้นสุดลง ก็คือวันตาย พอตายไปปุ๊บ เราก็เข้าสู่มิติวิญญาณ ไปรับสิ่งทั้งหมด ที่พระเยซูบอกไว้ในโลกวิญญาณ ที่พระคัมภีร์บอกไว้ในโลกวิญญาณ ก็คือสง่าราศี การครอบครองร่วมกับพระเยซูในสวรรคสถาน ตรงนี้เรียกว่าเป็นทายาท เราได้รับมรดกแล้วก็จริง เราเป็นทายาทที่ยังเด็กอยู่  ยังไม่ได้ครอบครอง แต่เรามีสิทธิ์เรียบร้อยแล้วในพระเยซูคริสต์

“และได้เป็นทายาท เข้าในมรดก อันไม่มีวันเสื่อมสลาย” มรดกพวกนี้ อยู่ตลอด ถาวรนิรันดร์ เพราะพระเจ้าเป็นผู้ประทานให้ พระเยซูเป็นผู้ประทานให้ แบ่งให้กับเรา ให้เรามีส่วนร่วมอยู่ในนั้น ก็คือสภาวะพระเจ้าที่ปกปักษ์คุ้มครองดูแลโลกใบนี้ทั้งใบ ครอบครองโลกใบนี้ทั้งใบ ทั้งโลกวิญญาณ และโลกสวรรคสถานที่พระเจ้าได้ประทานให้กับพระเยซู และพระองค์ประทานให้กับเราด้วย

ในมรดกอันไม่มีวันเสื่อมสลาย เน่าเสีย หรือเลือนหายไป มันตลอดกาลเลย หลังความตายในโลกวิญญาณ  เราครอบครองอยู่ในสวรรค์ ไม่ใช่อยู่ในสวรรค์เฉยๆ แต่ครอบครองอยู่ในสวรรค์ มีสิทธิอำนาจเป็นบุตรของพระเจ้าร่วมกับพระเยซูคริสต์ตลอดไป ซึ่งได้ทรงเตรียมไว้ในสวรรค์ ให้ท่านเรียบร้อยแล้ว เพื่อพวกท่านทั้งหลาย  ในโลกวิญญาณนั่นเอง

เพราะฉะนั้น วันนี้ จึงเป็นวันที่ อย่างที่บอกเมื่อตะกี้นี้ว่าเราควรจะร้องเพลงบทนี้ ด้วยการแปลงเนื้อข้างล่างเป็น

“เป็นขึ้นแล้ว  เป็นขึ้นแล้ว   พระเยซูทรงเป็นขึ้นแล้ว

เป็นขึ้นแล้ว  เป็นขึ้นแล้ว   ฉันก็เป็นขึ้นพร้อมพระองค์”

มนุษย์ทุกคนใช้ตรงนี้ได้ มนุษย์ทุกคนมีสิทธิ์ร้องเพลงนี้ได้ทันที เป็นของเขาแล้ว เพียงแต่เขาเปิดใจต้อนรับสิทธิของเขาในพระเยซูคริสต์เท่านั้น เขาก็จะสามารถร้องเพลง

“Happy birthday Jesus        Happy birthday to me

Happy birthday Jesus          Happy birthday to me

Happy birthday my dear Jesus  Happy birthday to me”

ท่านยืดอกเมื่อไร? พระเจ้าพระบิดา พระเจ้าพระเยซู มองจากสวรรค์มา ยิ้มแฉ่งเลย ดีใจมาก ที่เราได้ภูมิใจว่าพระองค์ทรงรักเรา ถึงขนาดนี้  พระเจ้าอวยพรครับ

 

***********************

จากใจคณะศิษยาภิบาล

ความชอบธรรม  คือการเป็นคนดีพร้อมสมบูรณ์ สามารถยืนอยู่ต่อหน้าพระเจ้าผู้บริสุทธิ์  ได้อย่างสง่าผ่าเผย ผู้พิพากษาของมหาจักรวาล คือพระเจ้า ผู้ซึ่งมนุษย์ทุกคนต้องไปยืนอยู่ต่อหน้า วันหนึ่งในอนาคต หลังจากตายจากโลกใบนี้แล้ว และพระเจ้าผู้นี้มีพระนามว่า “พระเจ้าผู้บริสุทธิ์ สะอาด ศักดิ์สิทธิ์”

 

เพราะฉะนั้น ใครที่จะยืนอยู่ต่อหน้าพระเจ้าได้ ต้องเป็นคนที่ดีพร้อม เราได้เรียนรู้แล้วว่าเราผู้ที่เชื่อในพระเยซูคริสต์ ไม่ใช่ดีพร้อมในสายตาของมนุษย์ แต่ดีพร้อมในสายพระเนตรของพระเจ้า ซึ่งสำคัญกว่าสายตาของมนุษย์เยอะ เพราะพระองค์เป็นผู้พิพากษาของมหาจักรวาล และทุกคนต้องไปยืนอยู่ต่อหน้าพระองค์ ไม่ใช่ยืนอยู่ต่อหน้ามนุษย์ และความชอบธรรมนี้ ที่เราสามารถยืนอยู่ต่อหน้าพระเจ้า เป็นคนดีพร้อมได้ เป็นของประทานฟรีๆ เป็นของขวัญจากพระเจ้า โดยพระคุณ ผ่านทางความเชื่อของเรา ในพระผู้ช่วยให้รอด ที่มีชื่อว่าพระเยซูคริสต์นั่นเอง ซึ่งเป็นทางเดียวเท่านั้น ที่มนุษย์จะสามารถกลายเป็นผู้ชอบธรรม เป็นคนดีพร้อมในสายพระเนตรพระเจ้าได้

 

2 โครินธ์ 5:21 “พระเจ้าได้ทำให้พระเยซูคริสต์ ผู้ซึ่งไม่เคยเป็นคนบาป ไม่เคยทำบาปเลย แต่ต้องกลายมาเป็นคนบาป เพื่อเห็นแก่เราทั้งหลาย ผู้ซึ่งเป็นคนบาปและทำบาปมากมาย เพื่อเราทั้งหลาย ผู้เป็นคนบาปนั้น จะได้กลายมาเป็นผู้ชอบธรรมของพระเจ้าผ่านทางพระองค์”

 

พระเยซูคริสต์ผู้ไม่รู้จักบาป ผู้ไม่ได้เป็นคนบาป แต่พระเจ้าทรงกระทำให้พระเยซูคริสต์ กลายเป็นคนบาป เพื่อว่าเราทั้งหลาย มนุษย์ทุกคน บนโลกใบนี้ ซึ่งเป็นคนบาป ทำบาปมากมาย แต่พระเจ้าได้ทรงทำให้เราทั้งหลายที่เป็นคนบาปนั้น กลับกลายเป็นคนดีพร้อม ผ่านทางการเชื่อในพระเยซูคริสต์นั่นเอง พระคัมภีร์บอกไว้อย่างนั้น พระเยซูผู้ซึ่งไม่ได้ทำบาปเลย แต่ต้องกลายเป็นคนบาป แลกกัน เราทั้งหลายผู้ไม่เคยทำดีเลยสักนิดหนึ่ง แต่กลายเป็นคนดีพร้อม พระเยซูผู้เดียวดีพร้อม แต่ต้องกลายมาเป็นคนบาป อีกหลายคนมากมาย มนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้ ไม่มีใครดีพร้อมเลยสักคนหนึ่ง กลายเป็นคนดีพร้อมได้ โดยการกระทำของพระเจ้า พระเมตตา เรียกกันว่าพระคุณ ประทานให้ฟรีๆ ฉะนั้น เราเป็นคนดี เป็นคนชอบธรรม ดีพร้อม โดยการกระทำของพระเจ้า ให้เราบังเกิดใหม่

“เราเป็นคนดีพร้อม เป็นคนชอบธรรม เพราะเราได้กำเนิด เกิดมาเป็นผู้ดีพร้อม วิญญาณซึ่งเป็นตัวตนแท้จริงของเราภายใน สะอาดบริสุทธิ์ปราศจากบาปใดใดซึ่งเรียกกันว่าลูกของพระเจ้า”

 

 

 

 

วารสาร Holy News ฉบับที่ 1360

คำบรรยายวันศุกร์ที่  15  เมษายน  2022

เรื่อง “วันศุกร์ประเสริฐ”

โดย วราพร  คงล้วน

 

เรื่องพิธีมหาสนิท โดย พาสเตอร์นคร  เวชสุภาพร

วันนี้ก็เป็นอีกวันหนึ่งที่เราได้มาฉลององค์พระเยซูคริสต์ พระผู้ช่วยให้รอดของเรา  เราจะคุ้นเคยกับวันคริสตมาสดี แต่จริงๆ แล้ว เทศกาลนี้ เป็นเทศกาลที่สำคัญไม่น้อยไปกว่าคริสตมาส ว่ากันตามจริงแล้ว ถ้าเผื่อเป็นผู้เชื่อแล้ว เป็นคริสเตียนแล้ว เข้าใจถึงข่าวประเสริฐแล้ว วันนี้เป็นวันสำคัญกว่าวันคริสตมาสอีกด้วยซ้ำ แต่ยังไม่ค่อยมีใครรู้จักความจริง คือไม่ได้เป็นคริสเตียน เขาก็ไม่ค่อยให้ความสนใจกับเทศกาลนี้เท่าไร? เทศกาลวันอีสเตอร์ ก็คือวันเป็นขึ้นจากความตายของพระเยซูคริสต์ ก่อนจะเป็นขึ้นจากความตาย ก็ต้องตายก่อน ก็คือวันศุกร์ประเสริฐ

เทศกาลศุกร์ประเสริฐและวันอีสเตอร์ จึงเป็นเรื่องที่สำคัญมาก ซึ่งวันนี้เราได้มีโอกาสมาร่วมฉลองชัยชนะ ฉลองความรักของพระเจ้าที่มอบให้กับเราทั้งหลายร่วมกัน ซึ่งเราจะย้อนหลังไป 2,000 ปี ให้เห็นว่าพระเยซูทำอะไรให้เรา และกระทำสิ่งนี้ เพื่ออะไร? ใครที่อยู่ที่บ้านเตรียมขนมปังและน้ำองุ่นหรือยัง?

ขนมปังกับน้ำองุ่น ก็คืออาหารของชาวยิวในยุคนั้น ซึ่งถ้ามาในยุคปัจจุบัน คนไทยเรา ก็คือข้าวกับน้ำ มีข้าวกับน้ำอยู่ที่บ้านไหม? เตรียมไว้นะ เพราะสิ่งนี้พระเยซูให้เราทำ เพื่ออะไร? เดี๋ยวเราจะได้เรียนรู้กัน

ในหนังสือ 1 โครินธ์ 11:23-26 ได้บันทึกถึงเรื่องราว เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ที่พระเยซูได้กระทำ ถึงเทศกาลนี้ เมื่อ 2,000 ปีที่ผ่านมา บันทึกไว้อย่างนี้ ตอนต้นนี้ อาจารย์เปาโลเป็นผู้ได้รับการบอกเล่าจากพระเยซูคริสต์ว่าให้แนะนำ ให้คริสเตียนได้กระทำสิ่งนี้  สิ่งที่พระองค์ทรงกระทำจริงๆ ตอนที่เกิดเป็นมนุษย์ อยู่บนโลกใบนี้ ก่อนที่จะไปถูกเขาจับตรึงที่ไม้กางเขน และตายที่ไม้กางเขน และถูกฝังไว้ในอุโมงค์ และเป็นขึ้นจากความตาย ก่อนนั้น พระองค์ทรงกระทำสิ่งนี้ คือ …

1 โครินธ์ 11:23-26 “23 เพราะสิ่งที่ข้าพเจ้าถ่ายทอดแก่พวกท่านนั้น ข้าพเจ้ารับมาจากองค์พระผู้เป็นเจ้า คือในคืนที่เขาทรยศพระเยซูเจ้านั้น พระองค์ทรงหยิบขนมปัง 24 เมื่อขอบพระคุณพระเจ้าแล้ว  ทรงหักและตรัสว่า  “นี่คือกายของเรา  ซึ่งให้แก่ท่านทั้งหลาย  จงทำเช่นนี้เป็นที่รำลึกถึงเรา” 25 เมื่อรับประทานแล้วทรงหยิบถ้วยขึ้นกระทำอย่างเดียวกัน  และตรัสว่า  “ถ้วยนี้คือพันธสัญญาใหม่  ด้วยโลหิตของเรา  เมื่อใดที่พวกท่านดื่ม จงทำเช่นนี้เป็นที่รำลึกถึงเรา26  เพราะเมื่อใดก็ตามที่พวกท่านรับประทานขนมปังนี้  และดื่มจากถ้วยนี้  พวกท่านก็ประกาศการวายพระชนม์ขององค์พระผู้เป็นเจ้า  จนกว่าพระองค์จะเสด็จมา”

 

“เรา” หมายถึงใคร? พระเยซู

นี่คือสิ่งที่พระเยซูกระทำในคืนก่อนเขามาจับพระเยซูไปตรึงที่ไม้กางเขน  ตอนนั้นเขาเรียกเทศกาลปัสกา “ปัสกา” คือวันลบบาปของชาวยิว ที่ทำมาดั้งเดิม หลายพันปีแล้ว พระเยซูอยู่ในปัสกา ซึ่งปัสกา หลายพันปีก่อนชาวยิวทำ เล็งถึงพระเยซูคริสต์จะมาไถ่มวลมนุษยชาติให้พ้นจากความบาป พระเยซูคริสต์จะเป็นแกะปัสกา เป็นผู้รับบาปตัวจริง ตัวเป็นๆ คือพระเจ้ามาเกิดเป็นมนุษย์ เล็งถึงตรงนี้ พระเยซูตรัสว่าให้ทำพิธีนี้ เป็นที่ระลึกถึงสิ่งที่พระองค์ได้ทรงกระทำแล้ว ที่ไม้กางเขน

“ระลึกถึงสิ่งที่พระองค์ทรงกระทำสำเร็จที่ไม้กางเขน”

ตอนที่กระทำครั้งแรก ตอนที่เดินอยู่บนโลกใบนี้ ตอนที่กระทำปัสกากับพวกสาวกนั้น ตอนนั้น ระลึกถึงสิ่งที่พระองค์จะทำ จะทำเมื่อไร? จะทำพรุ่งนี้ จะตายที่ไม้กางเขนแล้ว ให้ทำสิ่งนี้ กลัว เดี๋ยวเราลืม พระองค์ให้เราทำ เพื่อระลึกถึงนะ ระลึกถึงสิ่งที่พระองค์ทรงกระทำสำเร็จเรียบร้อยแล้ว ที่ไม้กางเขน 2,000 ปีมาแล้ว ไม่ให้เราลืม  พระองค์ไม่ได้สั่งให้เราทำพิธีนี้ เพื่อจะเกิดสิ่งอะไรขึ้นเลย แม้แต่นิดเดียว  เพราะสิ่งที่ทำทั้งหมด เพื่อระลึกถึงสิ่งที่มันสำเร็จแล้ว คือพระเจ้า พระเยซูคริสต์ทำสำเร็จแล้ว ที่ไม้กางเขน มันไม่ใช่พิธีที่ทำ เพื่อให้สิ่งใหม่ๆ เกิดขึ้นจากการกระทำนี้

ยกตัวอย่างเช่น จะกินขนมปังและดื่มน้ำองุ่นนี้ ไม่ใช่กินและดื่ม เพื่อจะเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเยซูคริสต์ไม่ใช่ การเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์นั้น ด้วยความเชื่อ ในการตายและการเป็นขึ้นจากความตายมากกว่า หรือไม่ใช่ เพื่อให้เราทำพิธีนี้แล้ว เดี๋ยวกินน้ำองุ่น กินขนมปังแล้ว เราจะได้สนิทกับพระเจ้ามากขึ้น ไม่มี มากเท่าเดิม ถ้าท่านเชื่อในพระเยซูคริสต์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอด ท่านก็สนิทกับพระองค์สุดแล้ว ไม่มีมากกว่านั้น

ที่พระองค์ให้เราทำนั้น ทำเพื่อระลึกถึงสิ่งที่พระองค์ทำสำเร็จแล้ว  ความบริสุทธิ์ของเรา ความเป็นหนึ่งเดียวกับพระเจ้า เราได้รับเรียบร้อยไปแล้ว ด้วยความเชื่อ ที่พระองค์ทรงกระทำสำเร็จเรียบร้อยแล้ว ที่ไม้กางเขน

เพราะฉะนั้น การกระทำของเราตอนนี้ เป็นแค่ตามที่พระเยซูบอก เพื่อเป็นการประกาศความเชื่อ ในสิ่งที่พระเยซูได้ทรงกระทำให้แล้ว ที่ไม้กางเขน  เราจึงทำสิ่งนี้ เพื่อเป็นการฉลอง เพื่อเป็นการเข้าใจและขอบคุณ  ที่พระเจ้าได้กระทำให้สำเร็จแล้ว ขณะที่เรากินขนมปัง  ดื่มน้ำองุ่น เรากำลังประกาศชัยชนะ  ประกาศว่าเรากำลังอยู่ในพันธสัญญาใหม่  ด้วยโลหิตของพระเยซูคริสต์ ที่หลั่งออกมาที่ไม้กางเขน เราเป็นอิสระจากความบาป เราเป็นขึ้นจากความตายพร้อมกับพระเยซูคริสต์แล้ว

พิธีมหาสนิทนี้ คือการระลึกถึงความสนิทที่สุดของพวกเราทั้งหลาย ที่เชื่อในพระเยซูคริสต์ สนิทขนาดไหน? สนิทถึงขนาดร่วมเป็นวิญญาณเดียวกับพระองค์เลยทีเดียว เป็นเมื่อเราเชื่อในข่าวดี เชื่อในพระเยซูคริสต์ ที่ตายที่ไม้กางเขนและเป็นขึ้นจากความตาย และเรากระทำพิธีนี้ เพื่อระลึกถึงสิ่งที่มันเป็นแล้วนั่นเอง  คือมาขอบคุณ มาสรรเสริญ  มาฉลอง  ทำได้ทุกเมื่อ ไม่ใช่เทศกาลอีสเตอร์เท่านั้น  ทำได้ทุกวัน ท่านกินข้าว ท่านก็อธิษฐาน ก่อนกินข้าวท่านก็คิดในใจว่าท่านจะกินข้าว คิดถึงร่างกายของพระเยซูคริสต์ถูกตรึงที่ไม้กางเขน กินน้ำก็นึกถึงพระโลหิตพระเยซูคริสต์ กินวันละ 3 มื้อ ก็นึกถึง 3 มื้อ แล้วถ้าไม่กิน อยากจะนึกถึงได้ไหม? ได้ หลับตาอธิษฐานก็ได้  ขอบคุณพระเจ้าที่พระองค์ตายที่ไม้กางเขน เพื่อลูก

เพราะฉะนั้น เราทำได้ทุกเมื่อ ไม่ต้องรอเทศกาล นี่เราเพียงแต่มาฉลองกัน เลยระลึกถึงประเพณีตอนนั้น ระลึกถึงในวันนั้น เหมือนเราระลึกถึงวันเกิดเรา เราระลึกถึงวันโน้น ย้อนกลับไป พระเยซูไม่ต้องการให้เราลืม เพราะฉะนั้น เราสามารถทำอย่างนี้ได้ทุกวัน  ไม่ต้องมีข้าว ไม่ต้องมีขนมปัง ไม่ต้องมีน้ำองุ่น ไม่ต้องมีน้ำ  เราตื่นขึ้นมา เราก็นึกได้แล้ว แล้วเราก็ทำพิธีมหาสนิทนี้ได้แล้ว  ลืมตาขึ้นมา ก็ …

“ขอบคุณพระเจ้า ที่ทรงตายที่ไม้กางเขน เพื่อลูก หลั่งพระโลหิตชำระบาปให้กับลูก เป็นขึ้นมาในวันที่ 3 ทำให้ลูกได้เป็นขึ้นมาใหม่ด้วย ขอบคุณพระเจ้า”

นี่คือทั้งวันทั้งคืน พิธีมหาสนิททำได้หมด เรียบร้อย

ในคืนวันนั้น พระเยซูทำเป็นตัวอย่าง คืนปัสกา ชาวยิวเขาก็กินปัสกากัน มาหลายพันปีแล้ว เพื่อระลึกถึงพระเยซูมาตายที่ไม้กางเขน แล้ววันนี้ ตัวจริง คือพระเยซูมาทำปัสกาที่เขาทำมาเป็นพันๆ ปี ทำด้วยตัวเองเลยว่าพระองค์เองนั้น คือปัสกานั่นแหละ คืนนี้เขาจะมาจับพระองค์ พระองค์ทรงทราบดีว่าถึงเวลาแล้ว นึกถึงภาพนะ พร้อมกันปุ๊บ พระองค์ก็หยิบขนมปังขึ้นมา แล้วก็ให้เล็งถึงร่างกายของพระองค์ เพราะทุกคนต้องมาเป็นส่วนหนึ่งของพระองค์ เข้ามาเป็นขนมปังก้อนเดียวกัน เป็นวิญญาณเดียวกัน ขนมปังนี้ นึกถึงวิญญาณของพระเยซูและวิญญาณของเราจะต้องรวมกัน เป็นหนึ่งเดียวกัน ในการเกิดใหม่ ในการไถ่บาป วันนี้เราจะกินขนมปังนี้ ระลึกถึงร่างกายของพระเยซูที่แตกหัก ที่ไม้กางเขน เพื่อเราจะได้เข้าเป็นหนึ่งเดียวกับพระองค์ เข้าไปเป็นขนมปังก้อนเดียวกัน

ขนมปัง หมายถึงร่างกายของพระเยซูคริสต์ที่ตายที่ไม้กางเขน เรากินขนมปัง หมายถึงเราเข้าไปเป็นหนึ่งเดียวกับร่างกายของพระองค์ พระองค์ตาย เราก็ตายด้วย พระองค์ทรงเป็นขึ้นจากความตาย เราก็เป็นขึ้นมาด้วย ในวันอีสเตอร์ อีก 3 วันข้างหน้า

พระองค์ทรงแจก แล้วก็ให้ทุกคนกิน

“ทรงหักขนมปัง (เพราะเป็นขนมปังไร้เชื้อ หักได้) แล้วตรัสว่า ‘นี่คือกายของเรา ซึ่งให้แก่ท่านทั้งหลาย จงทำเช่นนี้ เพื่อรำลึกถึงเรา’”

เรารับประทานขนมปังพร้อมกัน เรากำลังกินขนมปัง ระลึกถึงร่างกายของพระเยซู เราได้เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์ เพราะเรากินร่างกายของพระองค์ ก็คือเราได้เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์ทางวิญญาณ

“เมื่อทรงรับประทานแล้ว ทรงหยิบถ้วยขึ้น กระทำอย่างเดียวกัน ตรัสว่า ‘ถ้วยนี้ จอกนี้ คือพันธสัญญาใหม่ ด้วยโลหิตของเรา เมื่อใดที่พวกท่านดื่ม จงกระทำเช่นนี้ เพื่อรำลึกถึงเรา’”

ถ้วยน้ำองุ่น ถ้วยเหล้าองุ่น ซึ่งเป็นเครื่องดื่มประจำคนสมัยนั้น ในตอนนั้น คือน้ำบริสุทธิ์ที่จะดื่มหายาก แต่น้ำองุ่นมีเยอะมาก และมันก็กลายเป็นเหล้าทั้งนั้น เพราะฉะนั้น เหล้าองุ่น เขาก็กินกันปกติ นึกถึงกินข้าว แล้วก็กินน้ำ พระองค์ก็หยิบเหล้าองุ่นขึ้นมา แล้วก็บอกว่าให้เราดื่ม เล็งถึงพระโลหิตของพระองค์ ที่จะหลั่งออกมา เพื่อจะชำระบาปให้กับเรา  ให้เราดื่มพร้อมกันและระลึกถึงพระโลหิตของพระเยซูคริสต์

ท่านจะเห็นว่ามันเป็นภาพธรรมดา ทุกวันนี้เราก็ทำกันอย่างนี้ กินข้าว แล้วมันติดคอ ก็ต้องดื่มน้ำ ก็ธรรมดา ก็คือรับประทานอาหารนั่นเอง แต่ให้เราเล็งถึงการกระทำสิ่งนี้ ให้รำลึกถึงสิ่งที่พระเยซูกระทำ แล้วพระองค์ก็ตรัสต่อไปว่าเมื่อทรงรับประทานและทรงหยิบถ้วยขึ้น กระทำอย่างเดียวกัน ตรัสว่า …

“ถ้วยนี้ คือพันธสัญญาใหม่ ด้วยโลหิตของเรา เมื่อใดที่ท่านดื่ม จงทำเช่นนี้ เป็นที่รำลึกถึงเรา”

ดื่มหรือยัง? ดื่มแล้ว รำลึกถึงพระองค์แล้วหรือยัง? รำลึกถึงพระโลหิตของพระองค์ที่ทรงชำระบาปให้กับเรา ที่หลั่งพระโลหิตที่ไม้กางเขน ชำระเรา จากคนบาป  กลายเป็นผู้ได้รับคำตัดสินว่าเป็นผู้ถูกต้อง เป็นผู้ชอบธรรม

พระองค์ตรัสต่อไปว่า “เมื่อใดก็ตามที่พวกท่านรับประทานขนมปังนี้และดื่มจากถ้วยนี้ พวกท่านกำลังระลึกถึงเรา พวกท่านก็ประกาศการวายพระชนม์ของพระเยซูคริสต์ พวกท่านก็ประกาศการวายพระชนม์ขององค์พระผู้เป็นเจ้า”

คือพระองค์ทรงประกาศว่าพระองค์ทรงเป็นพระเจ้า ตั้งแต่ตอนก่อนถูกตรึงที่ไม้กางเขนแล้ว

“พวกท่านก็ประกาศการวายพระชนม์ขององค์พระผู้เป็นเจ้า จนกว่าพระองค์จะเสด็จมา”

ก็คือกำลังประกาศว่า “ฉันเป็นอิสระแล้ว ฉันเชื่อในพระบุตรของพระเจ้า คือพระเยซูคริสต์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอดของฉัน  ฉันได้ตายพร้อมพระองค์ และถูกฝังไว้ในอุโมงค์ และได้บังเกิดใหม่ในวันที่ 3 ร่วมกับพระองค์แล้ว ฉันมีชัยชนะเหนือความตายแล้ว”

นั่นเป็นการกระทำเช่นนี้ และพระองค์ทำเสร็จแล้ว ในพระคัมภีร์ได้บันทึกไว้ว่าเมื่อพระองค์ทรงกระทำสำเร็จเรียบร้อยแล้ว หมายถึงว่าทำปัสกาเสร็จเรียบร้อยแล้ว  ก็ลุกขึ้น กำลังจะเดินไปสวนเกเสมนี เพื่อให้เขาจับ เอาไปทุบตี ด้วยความโหดร้าย และเอาไปตรึงที่ไม้กางเขน วันรุ่งขึ้น คือวันศุกร์ ตอนก่อนที่จะลุกขึ้น  พอกินเสร็จเรียบร้อยแล้ว พระองค์กับเหล่าสาวกร้องเพลง ความชื่นชมยินดีว่าเป็นวันที่พระเจ้าจัดเตรียมไว้ให้กับมวลมนุษยชาติ  คือวันที่พระเจ้าเสด็จมาบนโลกใบนี้  เพื่อเกิดเป็นมนุษย์และตายที่ไม้กางเขน  หลั่งพระโลหิต เพื่อชำระบาป เพื่อช่วยมนุษย์ให้หลุดพ้นออกจากความบาป และคำสาปแช่ง  และความตายในนรก

ประกาศด้วยสิ่งเหล่านี้ และพระองค์ได้ทรงร้องเพลง ก่อนจะเดินทางไปให้เขาจับ เราจะร้องเพลงนี้ด้วยกัน เพลงนี้อยู่ในหนังสือสดุดี  118 พระเจ้าเผยพระวจนะไว้เรียบร้อยแล้ว พระเยซูบอกวันนี้แหละ คือวันที่พระเจ้าจัดเตรียมไว้ วันที่พระบุตรของพระเจ้า จะมาตาย เพื่อท่านทั้งหลาย …

“วันนี้เป็นวัน วันนี้เป็นวัน ที่พระเจ้าจัดไว้ ที่พระเจ้าจัดไว้

เราจะยินดี เราจะยินดี และเบิกบานในใจ และเบิกบานในใจ

วันนี้เป็นวันที่พระเจ้าจัดไว้ เราจะยินดี และเบิกบานในใจ

วันนี้เป็นวัน วันนี้เป็นวัน ที่พระเจ้าจัดไว้”

เป็นเพลงที่เขาร้องกันมาตั้งแต่สมัยปัสกาแรก ตั้งแต่สมัยโมเสสพาประชากรของพระเจ้าออกมาจากแผ่นดินอียิปต์ เขาร้องกันอย่างยินดีและดีใจ เขาออกจากอียิปต์แล้ว พระเยซูก็ดีใจด้วย เพราะว่ามาช่วยมนุษย์ ถึงวันที่เขารอคอยมาตั้งนาน กว่าพระองค์จะเสด็จกลับมา พระองค์เสด็จกลับมาช่วย ต้องรอกันเป็นพันๆ ปี นี่พระองค์มา พรุ่งนี้ก็จะทำสำเร็จเรียบร้อย  ก็ต้องรื่นเริงยินดี ชื่นชมยินดี และยินดีตั้งแต่ก่อนพระเยซูจะมา ตั้งหลายพันปี เขาก็ยินดีกันแล้ว  พอทำปัสกา ประจำปีเสร็จปุ๊บ เขาก็จะร้องเพลงนี้ด้วยกัน นึกถึงชาวอิสราเอลในคืนวันนั้น ที่เขากินปัสกากันวันแรกของโลกนี้เลย กินเสร็จ เขาก็ร้องเพลงนี้  ร้องด้วยความยินดี พรุ่งนี้พระเจ้าพาไปแล้ว เป็นเงาของเรื่องการไถ่ของพระเยซูคริสต์

 

******************

 

คำบรรยายจากพาสเตอร์วราพร  คงล้วน

วันนี้ก็ศุกร์ประเสริฐ จริงๆ ถ้อยคำของพระเจ้าก็มีไม่เยอะ เรื่องข่าวประเสริฐของพระเจ้า ของพระเยซูคริสต์ ก็มีที่เราคุยกันบ่อยๆ ว่าพระเยซูคริสต์ทรงเป็นพระบุตรของพระเจ้า  มาเกิดเป็นมนุษย์ มาตายแทนเราบนไม้กางเขน  และได้เป็นขึ้นมาจากความตาย  ด้วยฤทธิ์เดชอำนาจแห่งพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระองค์ เพราะว่าฤทธิ์เดชอำนาจนี้ ทำให้พวกเราทุกๆ คน ผู้เชื่อ ได้สามารถบังเกิดใหม่ เข้ามาอยู่ในครอบครัวของพระเจ้า อยู่ในอาณาจักรของพระเจ้า เข้ามาเป็นลูกของพระเจ้า

ฉะนั้น วันคริสตมาส ก็เป็นวันดีที่พวกเราเฉลิมฉลองกัน วันที่พระเยซูประสูติ แต่วันศุกร์ประเสริฐก็เป็นอีกวันหนึ่ง ที่เรามาเฉลิมฉลองกันอีกว่าพระเยซูกำลังเข้ามาทำการงานของพระองค์ ที่พระเจ้าได้มอบหมายไว้ให้กับพระเยซูคริสต์ เพื่อมาชำระล้างพวกเราให้สะอาดบริสุทธิ์ เรามาดูในหนังสือยอห์น 3:16

ยอห์น 3:16 “พระเจ้าทรงรักมนุษย์และโลกยิ่งนัก  ถึงกับได้ประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ คือพระเยซูคริสต์ เพื่อทุกคนที่เชื่อวางใจในพระบุตรนั้น จะไม่พินาศตายนิรันดร์อยู่ในความบาป แต่ได้รับการบังเกิดใหม่มาเป็นลูกของพระองค์มีชีวิตนิรันดร์ ที่เป็นของพระองค์เหมือนพระองค์”

 

ในยอห์น 3:16 พวกเราผู้เชื่อจะคุ้นเคยมาก เป็นถ้อยคำที่ประกาศความจริงของพระเจ้า ในเรื่องเกี่ยวกับการช่วยกู้ของพระเยซูคริสต์ พระเจ้าได้เตรียมแผนการนี้ไว้ตั้งแต่วันแรก ที่มนุษย์ล้มลงในความบาป พระองค์ก็เตรียมแผนการนี้ว่าจะส่งพระเยซูคริสต์ พระบุตรองค์เดียวของพระองค์มาเกิดบนโลกใบนี้  เพื่อที่จะมาสิ้นพระชนม์ที่ไม้กางเขน  เพื่อช่วยมนุษยชาติทั้งหมด ให้สามารถคืนดีกับพระเจ้าได้ ได้สามารถกลับบ้านของเราได้ เป็นบ้านจริงๆ ของเรา ซึ่งก่อนหน้านั้น  ก่อนที่มนุษย์ล้มลงในความบาป  เราก็อยู่กับพระเจ้าอย่างมีความสุข เมื่อมนุษย์ล้มลงในความบาป  ถูกตัดขาดจากพระเจ้า ต้องไประหกระเหินออกนอกบ้าน ต้องไปทุกข์ทรมาน ทำงานเหงื่อซกๆ  แล้วพยายามที่จะแสวงหาวิธีการที่จะช่วยตัวเอง ให้สามารถเข้าสวรรค์

ซึ่งไม่ว่าวิธีการอะไรที่มนุษย์พยายามใช้กำลังของตัวเอง เพื่อที่จะทำให้ตัวเองครบถ้วน สมบูรณ์หรือชอบธรรม ที่จะให้พระเจ้ารับได้  เพื่อจะได้กลับคืนดีกับพระเจ้า หรือขึ้นสวรรค์ ไม่มีมนุษย์คนไหนสามารถทำได้เลย ฉะนั้น พระเจ้ารู้ดี เพราะว่ามนุษย์ทุกคน เมื่อล้มลงในความบาปปุ๊บ เขาติดเชื้อบาป มี DNA บาป ไม่ว่าเขาจะทำดีขนาดไหน? ก็ไม่สามารถเปลี่ยน DNA จากการเป็นคนบาป มาเป็นคนชอบธรรมได้ มีทางเดียวเท่านั้น ก็คือมนุษย์ต้องตาย แล้วก็เกิดใหม่ จึงสามารถเข้ามาในอาณาจักรของพระเจ้าได้ แล้วพระเจ้าก็วางแผนการนี้ไว้ ตั้งหลายพันปี จนวันที่พระเยซูคริสต์มาเกิดเป็นมนุษย์ แผนการก็เริ่มค่อยๆ ก้าวมาถึงจุดที่วันนี้ พวกเราเข้ามาเฉลิมฉลอง คือวันที่พระเยซูคริสต์ได้ถูกตรึงบนไม้กางเขน

และในข้อที่ 16 ที่บอกว่า “พระเจ้าทรงรักโลกนี้ยิ่งนัก” “โลก” หมายถึงมนุษยชาติทั้งหมด บนโลกใบนี้ สรรพสิ่งทั้งหมดบนโลกใบนี้ ที่พระองค์ทรงรัก ตั้งแต่เริ่มต้นที่พระองค์สร้างมา อย่างดี ให้เป็นแบบดีเลิศเลย  แต่เมื่อมนุษย์ล้มลงในความบาปปุ๊บ มนุษย์ก็ทุกข์ยากลำบาก  สรรพสิ่งทั้งหมดบนโลกใบนี้ ก็ทุกข์ยากลำบากไปหมด โลกนี้ก็เสียหายไปหมด จากที่ทุกวันนี้ ที่เราเผชิญกับปัญหาความทุกข์ยากลำบากต่างๆ หลายครั้ง เราคิดว่าเราทำผิดอะไรถึงต้องเจอเรื่องราวแบบนี้ แต่ในความเป็นจริง คือโลกนี้เสียหายไปแล้ว ต่อให้เราไม่ทำอะไร อยู่เฉยๆ เราก็เจอแจ๊กพ็อตได้เหมือนกัน ก็เจอความทุกข์ยากลำบาก เพราะว่าเกิดมาในบาปแล้ว ฉะนั้น พระเจ้าก็เลยวางแผนการว่าก่อนหน้านั้น ที่พระเจ้าทรงเลือกชาวอิสราเอล ให้คนอิสราเอลเชื่อในพระเจ้า เชื่อว่าพระเจ้ามีอยู่จริง  ถ้าเขาเชื่อว่าพระเจ้ามีอยู่จริง เขาก็เป็นประชากรของพระเจ้า แล้วพระเจ้าก็เตรียมแผนการไว้ให้คนอิสราเอลทำพิธีชำระบาป ในแต่ละปี ต้องเอาเลือดแพะ เลือดแกะมาถวายให้พระเจ้า เพื่อมาชำระบาปให้กับตัวเอง  ปีต่อปี เหมือนมาผ่อนส่งดอกเบี้ย  แล้วคนอิสราเอลก็ทำมาตลอด

จนวันหนึ่ง คำเผยพระวจนะ ที่พระเจ้าบอกไว้ให้กับคนอิสราเอลรับรู้ว่าวันหนึ่งข้างหน้า พระองค์จะส่งพระมาซีฮาห์มา  เมื่อพระมาซีฮาห์มาปุ๊บ คนอิสราเอลไม่ต้องทำพิธีกรรมเหมือนเดิมอีกแล้ว แพะแกะไม่ต้องใช้แล้ว เพราะว่าพระเยซูคริสต์ทรงมาเป็นแกะปัสกา ให้กับมนุษยชาติทั้งหมด ไม่ใช่เฉพาะชาวยิวเท่านั้น แต่ทั้งหมดบนโลกใบนี้  แล้วพระเยซูก็ทำสำเร็จแล้ว 2,000 ปีที่แล้ว

สิ่งที่พระเยซูคริสต์กระทำเรียบร้อยไปแล้ว เมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว มันมีผลทันที สำหรับมนุษยชาติ  มนุษย์คนไหนก็ตาม ที่เชื่อในสิ่งที่พระเยซูคริสต์กระทำเพื่อเขาบนไม้กางเขน แล้วก็เข้ามารับเอาความช่วยเหลือจากพระเจ้า มนุษย์คนนั้น ก็ได้รับความรอด ตามในข้อที่ 16 บอกว่าใครก็ตามที่เชื่อในพระเจ้า เชื่อในพระเยซูคริสต์ เขาก็จะได้บังเกิดใหม่  เพราะพระวิญญาณบริสุทธิ์จะช่วยเขา จะเข้ามา ทำการงานในชีวิตของทุกคน ที่เปิดใจบอกพระเจ้าต้องการการช่วยเหลือ พระองค์เข้ามาบัพติศมา ฆ่าวิญญาณเก่าที่เป็น DNA เก่า ที่เป็นความบาป ให้ตายไปพร้อมกับพระเยซูคริสต์ ถูกฝังไปพร้อมกัน  และได้บังเกิดใหม่ เข้ามาในแผ่นดินของพระเจ้า  พร้อมกับพระเยซูคริสต์ เป็นฤทธิ์เดชอำนาจอันเดียวกัน ที่พระเจ้าได้ทรงกระทำในพระเยซูคริสต์ แล้วพวกเราที่ได้บังเกิดใหม่ เราก็มีวิญญาณใหม่ ที่เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์เลย ไม่มีบาปติดตัวอีกเลย

สิ่งนี้แหละ คือสิ่งที่พระเจ้าให้มนุษยชาติทุกคนประกาศออกไป เพื่อให้รับรู้ว่านี่คือความจริง นี่คือสิ่งที่พระเจ้าต้องการ  พระองค์ต้องการให้มนุษย์ทั้งหมดบนโลกใบนี้ ได้กลับคืนดีกับพระเจ้า

ดังนั้น ในยอห์น 3:16-18 ไม่ใช่มีไว้ให้สำหรับผู้เชื่อเท่านั้น แต่พระเจ้าทำเรียบร้อยไปแล้ว ให้กับมนุษย์ทั้งหมด บนโลกใบนี้ คือพระเจ้า พระเยซูคริสต์ตายครั้งเดียว เพื่อไถ่บาป ให้กับมนุษยชาติทั้งหมดบนโลกใบนี้ ครั้งเดียวจบเลย แล้วข่าวประเสริฐนี้ ก็ทำเสร็จสมบูรณ์ เรียบร้อย เมื่อ 2 พันปีที่แล้ว  เมื่อพระเยซูคริสต์ได้เป็นขึ้นมาจากความตาย ก่อนที่พระเยซูจะสิ้นพระชนม์ พระเยซูบอกว่าสำเร็จแล้ว

สำเร็จ คือแผนการทั้งหมดของพระเจ้า พระบิดาได้วางแผนไว้ ได้ทำสำเร็จ เสร็จสิ้นสมบูรณ์ในพระเยซูคริสต์เรียบร้อยไปแล้ว ครั้งเดียว จบเลย ไม่ต้องทำอีก  พระเยซูทำครั้งเดียว ทุกอย่างจบสิ้นหมด ของขวัญที่พระเจ้าให้กับมนุษยชาติ ก็เตรียมไว้เรียบร้อยแล้ว เพียงแต่รอใครก็ตามที่ได้ยินได้ฟังเรื่องราวของพระเจ้า  แล้วก็เปิดใจยอมรับความช่วยเหลือจากพระเยซูคริสต์ปุ๊บ เขาก็จะได้ของขวัญชิ้นนี้ไปเลย ได้ไปแบบฟรีๆ ไม่ต้องทำอะไร

ยอห์น 3:17 “เพราะว่าพระเจ้าทรงให้พระบุตรเข้ามาในโลก ไม่ใช่เพื่อพิพากษาลงโทษมนุษย์และโลก แต่เพื่อช่วยกู้มนุษย์และโลกให้รอด จากการถูกพิพากษาลงโทษนั้น โดยทางความเชื่อในพระบุตร คือพระเยซูคริสต์”

 

ในยุคของพระเยซูคริสต์ กฎของพระเจ้า คือใครก็ตามที่เชื่อวางใจในพระเยซูคริสต์ เขาจะได้รับความรอด  เขาจะไม่ต้องพินาศ เขาจะไม่ต้องถูกพิพากษาลงโทษ เพราะว่ามนุษย์ทุกคน ได้รับการพิพากษาลงโทษเรียบร้อยไปแล้ว ตั้งแต่วันแรก ที่อาดัมกับเอวาล้มลงในความบาป จากนั้น ลูกหลานเหลนโหลน  อยู่ในการสาปแช่งหมดเลย  อยู่ในการลงโทษเรียบร้อยไปแล้ว  ฉะนั้น เมื่อพระเยซูมาครั้งแรก พระองค์ไม่ได้มาพิพากษามนุษย์  แต่มาเพื่อช่วยมนุษย์ให้รอด  มาทำภารกิจใหญ่มาก  ที่พระเจ้าได้มอบหมายไว้ให้  เพื่อใครก็ตามที่เชื่อวางใจในสิ่งที่พระเยซูคริสต์กระทำ จะได้รับความรอด แต่ในอนาคตข้างหน้า เมื่อพระเยซูคริสต์เสด็จกลับมาอีกครั้งหนึ่ง ที่พวกเรารอคอยอยู่ ใครก็ตามที่ไม่ยอมเชื่อในสิ่งที่พระเยซูคริสต์กระทำเพื่อเขาบนไม้กางเขน ไม่ยอมเปิดใจ ยังคงพึ่งพาในความดีงามของตัวเอง  พึ่งพาความชอบธรรมของตัวเอง  คนเหล่านั้น ก็จะอยู่ที่เดิม  คืออยู่ในการพิพากษาอยู่แล้ว เมื่อวิญญาณออกจากร่าง เขาก็ต้องไปถูกพิพากษา เที่ยวนี้เด็ดขาดเลย เป็นการพิพากษาครั้งสุดท้าย

ส่วนพวกเราผู้เชื่อ เราก็ไม่ต้องถูกพิพากษาอีกแล้ว ตั้งแต่บนโลกนี้ ไปจนถึงอนาคตข้างหน้า  เมื่อวิญญาณเราออกจากร่าง เราก็ไม่ต้องถูกพิพากษาอีก  เพราะว่าเราสะอาดบริสุทธิ์ หมดจด เหมือนพระเจ้าเลย นี่คือสิ่งที่ถ้อยคำของพระองค์บอกไว้  ตอนนี้ในโลกวิญญาณ เราเป็นแบบนั้น

ยอห์น 3:18 “คนที่วางใจเชื่อในพระบุตร   คือพระเยซูคริสต์จะไม่ถูกพิพากษาลงโทษให้วิญญาณพินาศหลังความตาย  ส่วนคนที่ไม่ได้เชื่อวางใจ  ก็ถูกพิพากษาลงโทษในวิญญาณ อยู่ในความพินาศในความตายในความบาปเหมือนเดิมอยู่แล้ว เพราะเขาไม่ได้เชื่อวางใจในพระนามพระเยซูคริสต์พระบุตรองค์เดียวของพระเจ้า”

 

นี่คือความจริง ฉะนั้น เราเป็นผู้เชื่อ เราไม่ต้องกลัวอะไรแล้ว ไม่ต้องกลัวว่าถ้าเราอยู่บนโลกใบนี้ เกิดเราทำผิด โน่นนี่นั่น ซ้ำไปซ้ำมา แล้วเราจะรอดไหม? วิญญาณเราจะไปถูกพิพากษาหลังความตายไหม? ถ้อยคำพระเจ้าตรงนี้บอกเราชัดเจนเลย เมื่อเราบังเกิดใหม่ เกิดแล้วเกิดเลย  เป็นลูกพระเจ้า เป็นแล้วเป็นเลย สะอาดบริสุทธิ์หมดจด โดยที่ตั้งแต่วันที่เราอยู่บนโลกใบนี้ จนถึงวิญญาณเราออกจากร่าง เราก็ยังสะอาดหมดจดเหมือนพระเยซูคริสต์เลย ฉะนั้น เราไม่ต้องกลัวว่าหลังความตาย เราจะได้ไปถูกพิพาษาลงโทษ ไม่มีทาง

ส่วนคนที่ไม่ได้เชื่อวางใจ ในนี้แบ่ง 2 พวกนะ คนที่เชื่อวางใจในพระเยซูคริสต์ ตั้งแต่ที่อยู่บนโลกใบนี้  เขาได้รับพระพรนานับประการในโลกวิญญาณ เขาได้เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์ ได้ไปอยู่ที่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้า ร่วมกับพระเยซูคริสต์ในโลกวิญญาณ เรียบร้อยไปแล้ว ส่วนคนที่ไม่เชื่อ คนที่ยังคงต้องการพึ่งพาความสามารถของตัวเอง หรือพึ่งพาความชอบธรรมของตัวเอง วันหนึ่งข้างหน้า เมื่อวิญญาณเขาออกจากร่าง เขาจะต้องพินาศ ได้รับการพิพากษา ก็คือวิญญาณเขาจริงๆ อยู่บนโลกใบนี้ ก็ตายไปแล้ว พระเยซูบอกว่าวิญญาณตายแล้ว จะเกิดใหม่ ก็คือต้องเข้ามาเชื่อพระเจ้า อยากเข้าสวรรค์ต้องมาเชื่อพระเยซูคริสต์ผู้เดียวเท่านั้น

ฉะนั้น วิญญาณของผู้ที่ไม่เชื่อ ตั้งแต่อยู่บนโลกใบนี้ เขาก็ตายไปแล้ว ถูกพิพากษาแล้ว พินาศแล้ว เพียงแต่เขาไม่รู้ตัว เขาคิดว่าเขายังดีอยู่ เพราะว่าดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ เขาก็ไม่เห็นว่าเขาจะทุกข์ร้อนอะไร? เขาก็สามารถทำความดีได้ เขาก็ได้รับพร เขาโน่นนี่นั่น  แต่นั่นเป็นเรื่องของโลกวัตถุ เฉพาะบนโลกใบนี้  ไม่ว่าเขาจะทำดีขนาดไหน? ก็ไม่สามารถเปลี่ยน DNA ที่เป็นคนบาป ให้มาเป็นคนชอบธรรมได้ พระเจ้ามอง ไม่ได้มองที่การประพฤติ แต่พระเจ้ามองที่เราเป็นใคร?

ดังนั้น ให้เรารับรู้ว่าเราเป็นใครในพระเยซูคริสต์ ณ เวลานี้ เราเป็นลูกของพระเจ้า เราเป็นผู้ชอบธรรม เราเป็นความสว่าง เราเป็นเกลือ  เราเป็นเหมือนกับพระเยซูคริสต์เป๊ะเลย นี่คือสิ่งที่ในโลกวิญญาณ ขณะนี้ ธรรมชาติใหม่ที่ผู้เชื่อเป็นอยู่ ฉะนั้น พระเยซูคริสต์บอกให้เราจดจ่อ รับรู้ความจริงเรื่องนี้ว่าพระเยซูคริสต์ได้ทำอะไรให้กับพวกเราเรียบร้อยไปแล้ว แล้วให้เรารับรู้ความจริงว่าขณะนี้ เราเป็นผู้ชอบธรรมของพระเจ้า  เรามีธรรมชาติใหม่ ที่เต็มล้นไปด้วยความรัก เราเป็นความรัก ไม่ใช่มีความรัก เราเป็นเลย พอบังเกิดใหม่ปุ๊บ เราเป็นความรัก เราเป็นแสงสว่าง เราเป็นผู้ชอบธรรม เราเป็นเหมือนพระเยซูคริสต์ เราเป็นลูกของพระเจ้า  ทั้งหมดเกิดทันทีเมื่อเราเปิดใจ ยอมรับการช่วยเหลือจากพระเยซูคริสต์ อันนั้น คือสิ่งที่พระเยซูคริสต์ให้พวกเราประกาศ มีเรื่องเดียวที่พวกเรา จะประกาศ ไม่ว่าจะประกาศกี่ครั้ง ก็ต้องประกาศเรื่องเดียว คือเรื่องในโลกวิญญาณ ที่พระเยซูคริสต์ได้กระทำให้กับพวกเราเรียบร้อยไปแล้ว เรามาดูในหนังสือฮีบรู 7:27 บอกว่า …

ฮีบรู 7:27 “พระเยซูไม่จำเป็นต้องถวายเครื่องบูชาทุกๆ วันเหมือนมหาปุโรหิตอื่นๆ  ซึ่งตอนแรกต้องถวายเครื่องบูชา  สำหรับบาปของตนเอง  จากนั้นจึงถวายเครื่องบูชา สำหรับบาปของประชาชน พระเยซูทรงถวายพระองค์เองเป็นเครื่องบูชา  สำหรับบาปของเขาทั้งหลาย  เพียงครั้งเดียวเป็นพอ”

 

ก่อนหน้าพระเยซูคริสต์เสด็จมาเกิดเป็นมนุษย์ คนอิสราเอลต้องถวายเครื่องบูชาเกือบทุกวัน  ไม่นับวันที่สำคัญที่สุด ที่พระเจ้าบอกว่าใน 1 ปี ต้องมาถวายแกะ เพื่อลบบาปของตัวเอง ให้ปุโรหิตทำพิธี แต่ว่าในช่วงระหว่างปี คนอิสราเอล พอทำบาปปุ๊บ ในกฎหมายของพระเจ้าที่เขียนไว้ในเลวีนิติ ทำผิดอย่างนี้ ต้องเอาอันนี้มาถวายให้พระเจ้า ต้องไปกักตัวอะไร? เยอะแยะมากมาย  กฎเยอะ คิดดูว่าหลายหมื่นคน หรืออาจจะเป็นแสน เป็นล้าน ก็ได้ 1 คนทำผิด ให้นับว่าเราทุกวันนี้ วันหนึ่งทำผิดกี่ครั้ง? สมมติว่าทำผิดวันละครั้ง ก็พอ แล้วคนเป็นหมื่นเป็นแสน ทำผิดวันละครั้ง ก็ต้องเอาเครื่องบูชามาให้ปุโรหิตถวายเป็นเครื่องบูชา  เพื่อลบล้างบาปของตัวเอง แล้วคิดดูว่าพวกปุโรหิตต้องทำงานทุกวัน เหนื่อยมาก ก็คือยืนทำงานตลอดเวลา ไม่มีวันหยุดพักเลย เหน็ดเหนื่อย เพราะว่าต้องทำด้วยกำลังของตัวเอง แต่พระเยซูคริสต์บอกว่าเมื่อพระเยซูคริสต์เสด็จมา พระองค์ไม่ได้ถวายเลือดแพะเลือดแกะ แต่ว่าพระองค์ถวายพระโลหิตของพระองค์เอง เพื่อชำระล้างบาปของมนุษยชาติทั้งหมด โดยพระโลหิตของพระเยซูคริสต์ ที่หลั่งออกเพียงครั้งเดียว  ในพระคัมภีร์บอกว่าครั้งเดียวเป็นพอ ดังนั้น พระโลหิตของพระเยซูคริสต์มา เพื่อชำระล้างบาปของมนุษยชาติ ทั้งหมดบนโลกใบนี้ ตั้งแต่บาปในอดีต บาปในปัจจุบัน  และบาปที่เรากำลังจะทำ ในอนาคตข้างหน้าด้วย

คริสเตียนเหมือนกัน เมื่อเรามาเชื่อวางใจในพระเจ้า ถ้อยคำของพระองค์บอกว่าพระโลหิตของพระเยซูคริสต์ได้ชำระบาปของเรา เรียบร้อยไปแล้ว ทั้งหมดเลย ไม่ใช่ว่าชำระเฉพาะบาปในอดีต แล้วพอปัจจุบันเราทำบาป เราต้องมาสารภาพบาปกับพระเจ้าอีก แล้วพระเยซูคริสต์ต้องไปถูกตรึงบนไม้กางเขน  เลือดออก เพราะลบล้างบาปของเราอีกไม่ต้อง เพราะพระเยซูทำเสร็จเรียบร้อย คำว่าสำเร็จแล้ว คือครบถ้วนสมบูรณ์ คริสเตียนทุกคนได้รับการชำระบาป ทั้งอดีต ปัจจุบัน และในอนาคตข้างหน้าที่อาจจะทำ  มันทำแน่ๆ นั่นแหละ  พระเจ้าได้ชำระหมดเรียบร้อยไปแล้ว วันที่พระเยซูคริสต์ได้หลั่งพระโลหิต นั่นคือพระเมตตาของพระเจ้า และการหลั่งพระโลหิตตรงนี้ ไม่ใช่เฉพาะผู้เชื่อเท่านั้น  แต่ชำระบาปให้มนุษยชาติทั้งหมดบนโลกใบนี้เรียบร้อยไปแล้วด้วย เพียงแต่ว่ามนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้  จำเป็นต้องรับรู้ความจริงว่าเขาได้รับของขวัญชิ้นนี้เรียบร้อยไปแล้ว พระเยซูคริสต์ได้ชำระบาปให้กับเขาเรียบร้อยไปแล้ว แต่เราขอบคุณพระเจ้าที่พระเยซูคริสต์ ไม่ใช่เฉพาะหลั่งพระโลหิตชำระบาปเราเท่านั้น ถ้าแค่ชำระบาปเรา เราก็ยังเป็นคนบาปเหมือนเดิม มี DNA บาปเหมือนเดิม  แค่ได้รับการยกโทษบาปเท่านั้น ค่อยๆ ประมวลภาพตาม แต่พระเยซูคริสต์ยังยอมสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน นี่คือศุกร์ประเสริฐวันนี้

พระเยซูทรงเป็นพระเจ้าแท้ และเป็นมนุษย์แท้ พระเยซูตายไม่ได้ พระเจ้าตายไม่เป็น แต่พระเยซูยอมตาย ทรงเป็นมนุษย์ จึงสามารถตายแทนพวกเรามนุษยชาติ เพื่อแผนการที่พระเจ้าทรงเตรียมไว้  สำหรับมนุษย์ว่าจะให้มนุษย์ได้บังเกิดใหม่ กลับคืนดีกับพระเจ้า แต่ถ้าพระเยซูคริสต์ไม่ได้สิ้นพระชนม์  มนุษย์ก็บังเกิดใหม่ไม่ได้  เกิดใหม่ต้องตายก่อน  พระเยซูจึงยอมสิ้นพระชนม์ เพื่อพวกเราทุกๆ คน ที่เชื่อในสิ่งที่พระเยซูคริสต์กระทำ  จะได้เข้าไปตายพร้อมกับพระองค์บนไม้กางเขน

เราคุยกันหลายรอบว่าเรื่องของวิญญาณไม่มีเวลา  เราไม่ต้องมาคิดหาเหตุผลว่าพระเยซูตายเมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว แล้วเราเพิ่งมาเชื่อเมื่อ 2,000 ปีหลัง แล้วเราจะไปตายพร้อมกับพระเยซูได้อย่างไร?  อันนั้น ไม่ต้องคิดถึงเลย  แต่ถ้อยคำของพระเจ้าบอกว่าในโลกวิญญาณ ไม่มีมิติเวลา  เมื่อคนหนึ่งคนใดเปิดใจ เข้ามา ยอมรับความช่วยเหลือจากพระเจ้า บอกพระเยซูคริสต์ว่า …

“พระองค์เจ้าข้า ช่วยลูกด้วย ลูกไม่ไหว ลูกต้องการความช่วยเหลือ”

ปุ๊บ คือพระวิญญาณบริสุทธิ์ ก็จะเริ่มขบวนการของพระองค์ โดยนำเอาวิญญาณเก่าที่มี DNA บาปในอาดัมของเรา เข้าไปในพระเยซูคริสต์ ถูกตรึงพร้อมกับพระเยซูคริสต์ แล้วจากนั้น เอาเราไปฝังพร้อมกับพระเยซูคริสต์ เพื่อยืนยันว่าตายจริงๆ และหลังจากนั้น ให้เราบังเกิดใหม่เข้ามาในอาณาจักรของพระเจ้า ร่วมกับพระเยซูคริสต์ นี่คือขบวนการทั้งหมด ขบวนการการบังเกิดใหม่ และขบวนการนี้ เมื่อเราบังเกิดใหม่ เมื่อเรายอมรับความช่วยเหลือจากพระเจ้า พระเจ้าก็ใส่ของประทานแห่งความเชื่อทั้งหมด ทำให้เรามีความสามารถเชื่อว่าพระเยซูคริสต์เป็นพระมาซีฮาห์

ขบวนการนี้ คือมันยากเนอะ ยากสำหรับมนุษย์ แต่พระเจ้าจะสามารถให้เราเข้าใจได้ ดังนั้น  ของประทานแห่งความเชื่อตรงนี้ พระเจ้าใส่เข้ามา  ทำให้เราสามารถเชื่อว่าพระเยซูคริสต์ทรงเป็นพระมาซีฮาห์  แล้วจากนั้น เมื่อวิญญาณเราได้บังเกิดใหม่ปุ๊บ พระเจ้าก็ให้วิญญาณแห่งความรักเข้ามาในวิญญาณใหม่ของเรา พระเยซูกับเราเป็นหนึ่งเดียวกัน  วิญญาณแห่งความรักมันเกิดขึ้นทันทีเลย โดยที่เราไม่ต้องพยายามทำให้มันเกิดขึ้น มันเป็นวิญญาณแห่งความรัก ความสะอาด ความบริสุทธิ์  ความชอบธรรม การเป็นลูกของพระเจ้า มันเกิดขึ้นในขบวนการทั้งหมดเลย เขาเรียกว่าขบวนการการบังเกิดใหม่

ตรงนี้แหละ ให้เรารับรู้ความจริงว่าเมื่อเราบังเกิดใหม่แล้ว ธรรมชาติใหม่ของเราเป็นแบบนี้ ที่พระเจ้าบอกเรา เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์ เป็นความรัก เป็นความดีงาม เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์เลย แล้วเราค่อยๆ พัฒนา พระเจ้าพระวิญญาณบริสุทธิ์จะค่อยๆ ฝึกฝนเรา ให้เราพัฒนาในการประพฤติให้เป็นไปด้วยกันกับตัวข้างในของเรา ก็คือวิญญาณที่เกิดใหม่ มันเป็นขบวนการ จะค่อยๆ เกิดขึ้น

เราจะสังเกตว่าคนที่เชื่อใหม่ๆ อาจจะทำอะไรที่สะเปะสะปะ เพราะยังเด็ก เป็นทารกฝ่ายวิญญาณ แล้วเมื่อเขาค่อยๆ เรียนรู้ความจริงในถ้อยคำของพระเจ้าว่าเขาเป็นใครในพระเยซูคริสต์ ตอนนี้เขาเป็นอย่างไร? เมื่อเรียนรู้มากขึ้นเท่าไร? ผลของการประพฤติจะถูกส่งออกมามากขึ้นเท่านั้น

เรามาดูอีกถ้อยคำหนึ่งในเอเสเคียล 36:25-27 เป็นคำเผยพระวจนะ ตั้งแต่สมัยเอเสเคียล เพื่อที่จะบอกชาวอิสราเอลว่าในอนาคตข้างหน้า พระองค์จะกระทำสิ่งนี้ แล้วเมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว สิ่งนี้ก็สำเร็จในพระเยซูคริสต์แล้ว แล้วตอนนี้ทุกอย่างที่เผยพระวจนะไว้ในหนังสือเอเสเคียล ก็สำเร็จเรียบร้อยแล้ว  แล้วพวกเราผู้เชื่อ ก็ได้รับเรียบร้อยแล้วด้วย …

เอเสเคียล 36:25 “เราจะประพรมน้ำ ชำระลงบนเจ้า แล้วเจ้าจะสะอาด เราจะชำระล้างเจ้า  จากมลทินโสโครกทั้งปวง และจากรูปเคารพทั้งปวงของเจ้า”

 

ตรงนี้ เป็นคำเผยพระวจนะที่พระเจ้าบอกไว้ล่วงหน้าว่าในอนาคตข้างหน้า เมื่อพระเยซูคริสต์เสด็จมา  พระองค์จะทำการงานตรงนี้ คือเมื่อพระเยซูคริสต์ถูกตรึงบนไม้กางเขน พระโลหิตของพระเยซูคริสต์จะชำระล้างเราให้สะอาดบริสุทธิ์  ก็คือร่างกายเราจะสะอาดบริสุทธิ์เลย ทำไมเรารู้ว่าร่างกายเราสะอาดบริสุทธิ์ เพราะถ้าไม่สะอาดบริสุทธิ์ พระเจ้าเข้ามาสถิตอยู่ในเราไม่ได้ ความบาปกับความบริสุทธิ์อยู่ด้วยกันไม่ได้  เพราะร่างกายเราถูกชำระล้าง จนสะอาดบริสุทธิ์ หมดจด พอที่พระเจ้าจะเสด็จเข้ามา อยู่ในเราได้ ร่างกายเราเป็นวิหารของพระเจ้า เพียงแต่ว่าพอร่างกายได้รับการชำระให้สะอาดบริสุทธิ์แล้ว  แต่เพราะเหตุที่ร่างกายเราอ่อนแอ เราก็เลยเผลอ ถ้าเผลอ ลืมตัว ไม่ระวังตัว เราก็จะติดเชื้อ เราอ่อนแอ บางครั้งเราก็จะโอนเอนตามระบบของโลกนี้ หรือความคิดเดิมๆ ที่มันเคยชิน แล้วเราก็ไปทำมัน แต่ให้เรารับรู้ว่าร่างกายเราถูกชำระให้บริสุทธิ์แล้ว ในวันที่พระเยซูคริสต์ถูกตรึงบนไม้กางเขน และพระโลหิตของพระองค์ชำระเราให้บริสุทธิ์แล้ว …

เอเสเคียล 36:26 “26 เราจะให้จิตใจใหม่แก่เจ้า และใส่วิญญาณใหม่ในเจ้า เราจะขจัดใจหินออกจากเจ้า และให้เจ้ามีใจเนื้อ”

 

ตรงนี้ คำเผยพระวจนะยังใช้คำว่า “จะ”  เราจะให้จิตใจใหม่แก่เจ้า  แต่วันที่พระเยซูคริสต์สิ้นพระชนม์ที่ไม้กางเขน  และเป็นขึ้นมาจากความตายปุ๊บ การงานของพระเยซูคริสต์สำเร็จ ณ เวลานี้ มนุษย์ทุกคนได้รับใจใหม่กับวิญญาณใหม่ ก็คือเปลี่ยนใหม่เลย พระเจ้าเปลี่ยนวิญญาณใหม่ให้กับมนุษย์เลย วิญญาณเก่าที่เป็นวิญญาณบาป อยู่ใน DNA ของอาดัม ได้ตายไปพร้อมกับพระเยซูคริสต์แล้ว และพระเจ้าได้ให้วิญญาณใหม่ ให้กับพวกเรา เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์ และให้ใจใหม่ให้กับพวกเราด้วย

ตอนนี้มีอยู่ 3 อย่างในร่างกายของเรา คือวิญญาณเราได้รับการเปลี่ยนใหม่แล้ว ความคิดจิตใจ เราก็ได้รับการเปลี่ยนใหม่แล้ว  ร่างกายเราได้รับการชำระให้สะอาดบริสุทธิ์แล้ว เพียงแต่ว่ายังเป็นร่างกายเดิมอยู่ ต้องรอเวลาให้ครบกำหนด ในโลกใบนี้  เพื่อเราจะได้ไปรับร่างกายใหม่ ที่เต็มไปด้วยสง่าราศี  ที่พระเจ้าทรงเตรียมไว้ให้กับพวกเรา

ฉะนั้น ในขณะที่เราอยู่ในร่างกายเก่านี้ เป็นร่างกายที่อ่อนแอ เผลอก็จะลืมตัว ถูกโน้มน้าวให้ทำสิ่งที่ตรงกันข้ามกับความเป็นจริง ตามวิญญาณของเรา ซึ่งตอนนี้ ความเป็นจริงในวิญญาณ เราเป็นเหมือนพระเจ้า เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์เลย สะอาด บริสุทธิ์ มีความคิดที่ดี เป็นความรัก เป็นความชื่นชมยินดี เป็นเหมือนพระเจ้าเลย  แต่ว่าเรามีโอกาสที่จะถูกหลอกล่อ ให้ออกนอกลู่นอกทาง ที่เราจะไม่เชื่อฟัง ไม่ทำตามพระวิญญาณหรือทำตามธรรมชาติใหม่ของเรา แต่ไปทำตามเนื้อหนัง หรือการหลอกล่อหลอกลวงของระบบของโลกใบนี้

ซึ่งไม่ว่าเราจะถูกหลอกล่อหลอกลวงเยอะขนาดไหน? พี่น้องจำตรงนี้ให้ชัดๆ นะว่าไม่ว่าเราจะทำผิดขนาดไหน? ก็ตาม พระเยซูคริสต์ได้ชำระเราเรียบร้อยไปแล้ว วิญญาณเราสะอาดเหมือนเดิม ความคิดจิตใจเราก็เป็นใหม่ เพียงแต่ความคิดจิตใจ เราคล้ายๆ กับตรงนี้เป็นศูนย์บัญชาการ  ที่เราจะสามารถรับสื่อจากพระเจ้า และได้รับสื่อจากระบบของโลกใบนี้ เราเป็นผู้ตัดสินใจว่าเราจะฟัง หรือตัดสินใจจะทำตามที่พระเจ้าบอก หรือจะทำตามระบบของโลกนี้  โน้มนำหรือหลอกล่อ ให้เราไปทำตาม มันอยู่ตรงนี้ เป็นศูนย์บัญชาการ บังคับ ถ้าเราจดจ่อในเรื่องของพระเจ้า รับรู้ความจริงที่พระเยซูบอกว่าตอนนี้ …

“เธอเป็นใคร? เธอเป็นเหมือนฉันเลยนะ เป็นความรัก เป็นสิ่งที่สวยงาม เป็นผู้ชอบธรรม ไม่ไปทำเหมือนกับเมื่อก่อนทำนะ” …  เราก็จะฟังแล้ว โอเค ตอนนี้เราเป็นแบบนี้

ทุกวันนี้เราในฐานะคริสเตียน ตื่นขึ้นมา เราเลือกเสื้อ เราคุยกันอยู่บ่อยๆ เอาเสื้อเก่าทิ้งไป เสื้อเก่าขาดๆ วิ่นๆ เสื้อเก่ามีอะไร? เสื้อเก่ามีตามในกาลาเทีย บทที่ 5 ตั้งแต่ข้อ 16 เป็นต้นไป คือความอิจฉาริษยา ความโกรธ ความเกลียด ความอะไรก็แล้วแต่ นั่นคือเสื้อเก่าที่เราเป็นอยู่ในธรรมชาติบาปเดิม แต่ตอนนี้  เราไม่ได้อยู่ในธรรมชาติบาปเดิมแล้ว เรามีธรรมชาติใหม่ที่เป็นเหมือนพระเจ้า ฉะนั้น เสื้อพวกนั้น ถ้าเราเอามาใส่ มันก็ไม่สวย ขาดๆ วิ่นๆ เราก็ต้องเลือก บางวันเราเผลอ ลืม ไปหยิบมาใส่ออกไป เราจะรู้เลยว่าน่าเกลียด  ไม่สวย ไม่เหมาะกับเรา เราก็ถอดมันทิ้ง แล้วก็ใส่เสื้อใหม่ที่พระเจ้าเตรียมไว้เต็มตู้ให้กับเราเลย ไปรับรู้ความจริงว่าตอนนี้เราเป็นอย่างไร?

พระเจ้าบอกว่าตอนนี้เรามีธรรมชาติใหม่ เป็นอย่างไร?  แล้วเราก็ฝึกฝนทุกวัน พระวิญญาณบริสุทธิ์จะช่วยเรา เมื่อเราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดปุ๊บ พระเจ้าไม่ได้ทิ้งเราให้ดำเนินชีวิตด้วยกำลังของเราเอง พระวิญญาณบริสุทธิ์ จะคอยช่วยเหลือเรา คอยบอกเรา คอยแนะนำเราแต่ละวันว่า …

“ลูกทำอย่างนี้มันไม่โอเค มันไม่เหมือนตัวตนจริงๆ ของลูกเลยนะ”

เหมือนที่เราคุยกันว่าเป็นคน ลูกต้องเดินนะ  ไปคลานอย่างนี้ ไม่เหมาะ อะไรประมาณนั้น

นี่คือลักษณะของการดำเนินชีวิต หลังจากที่เรารับเชื่อแล้ว  แต่ให้เรารับรู้ความจริงตรงนี้ว่าหลังจากที่เราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดแล้ว เราไม่ต้องกลัวว่าเมื่อเราทำบาป วิญญาณวิ่งกลับไปที่เดิม มันไม่มีทาง อย่างที่เราคุยกัน พี่น้องให้จำ 2 คำนี้ให้ได้ …

“เกิดแล้วเกิดเลย  เป็นแล้วเป็นเลย”

เกิดเป็นลูกพระเจ้าแล้ว ก็เป็นลูกพระเจ้าเลย  ไม่ว่าเราจะทำอะไรไม่ดี มันจะวิ่งกลับไปเป็นลูกมารไม่ได้เด็ดขาด แต่สิ่งที่เราทำบนโลกใบนี้ ถ้าเรายอมถูกหลอกล่อ ให้ไปทำสิ่งที่ตรงกันข้ามกับธรรมชาติใหม่ของเรา ที่พระเจ้าบอกเรา  เราก็จะได้รับผล อย่าคิดว่าคริสเตียน เมื่อพระเจ้าบอกว่าไม่มีการลงโทษใดๆ สำหรับผู้ที่อยู่ในพระเยซูคริสต์แล้ว เราจะทำอะไรก็ได้ ไม่ใช่  พระเจ้าบอกว่าทุกอย่างที่เราทำบนโลกใบนี้ เราจะต้องรับผล เพราะกฎของโลกใบนี้มี กฎของความบาปและความตายมีอยู่ ก็คือเราต้องได้รับผล แล้วเราก็ทุกข์ทรมาน ในร่างกายนี้ แต่วิญญาณเราไม่เกี่ยวกันเลยนะ แล้วเราจะไปทำทำไม? ให้มันทุกข์ทรมาน  อย่างที่บอก เราจะไปทำบาปทำไม เมื่อก่อนเราก็ทำบาปมาตั้งเยอะแล้ว พอเรามาเชื่อพระเจ้า เรายังจะไปทำมันอีกทำไม?  ทำแล้วเหนื่อยนะ เวลาเราทำบาป มันก็เหนื่อย ทำบาปเสร็จ เราก็ทุกข์ใจ เพราะฉะนั้น ในพระคัมภีร์ ไม่ว่าจะเป็นอาจารย์เปาโล อาจารย์เปโตร เขาก็จะหนุนใจว่า …

“ตอนนี้เราเป็นลูกพระเจ้าแล้ว เราฝึกฝนตัวเองให้ดีๆ  เราจะไปทำบาปทำไม?  ทำไปก็เหนื่อย” อะไรอย่างนี้ ประมาณนี้

ฉะนั้น ตรงนี้แหละ คือสิ่งที่ถ้อยคำของพระเจ้า บอกเราไว้

เอเสเคียล 36:27 “เราจะใส่วิญญาณของเราไว้ในเจ้า  โน้มนำเจ้า   ให้ปฏิบัติตามกฎหมายของเรา  และใส่ใจรักษาบทบัญญัติของเรา”

 

เห็นไหม? พระเจ้าทำให้หมดเลยนะ “เราจะ” แล้วพอถึงยุคปัจจุบัน ยุคที่พระเยซูคริสต์ได้ทำสำเร็จแล้ว ก็คือทำเรียบร้อยแล้ว พระองค์ได้ใส่วิญญาณของพระองค์เข้ามาในวิญญาณของเรา เป็นหนึ่งเดียวกัน โน้มนำเราให้ปฏิบัติตาม พระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้าจะทำการงาน ในวิญญาณของเรา ให้เราพร้อมที่จะปฏิบัติตามถ้อยคำของพระเจ้า  เมื่อเราบังเกิดใหม่แล้ว แล้วใส่ใจ รักษาบัญญัติ ก็คือพระเจ้าใส่ให้เราเรียบร้อยไปแล้ว เมื่อก่อนเราต้องพยายามทำด้วยกำลังของเราเอง  แต่ตอนนี้ไม่ต้อง  คือมันมีอยู่ในตัวเราเองแล้ว  แค่เรารู้ว่ามันมี แล้วก็หยิบมันออกมาใช้แค่นั้นเอง

“เราจะใส่ใจใหม่และใส่วิญญาณใหม่ในเจ้า ก็คือวิญญาณที่ไม่ได้อยู่ภายใต้กฎเดิม คือกฎของความบาปและความตาย  วิญญาณที่ไม่ได้เป็นทาสของบาป ไม่ได้อยู่ในความพินาศอีกต่อไป”

 

นี่คือวิญญาณใหม่ที่พระเจ้าให้กับพวกเรา ผู้เชื่อ แล้วให้กับมนุษยชาติทั้งหมดด้วย คือให้มาแล้ว เพียงแต่ว่าทุกคนจำเป็นต้องมารับเอาเอง รับแทนกันไม่ได้ด้วย ต้องมารับเอง รับรู้ความจริงว่าสิ่งเหล่านี้ พระเยซูคริสต์ได้ทำสำเร็จเรียบร้อยแล้ว  สำหรับมนุษย์ทั้งหมด บนโลกใบนี้ แค่ข่าวดีตรงนี้ ที่พระเจ้า พระเยซูคริสต์ให้เราประกาศออกไป เมื่อผู้คนได้รับรู้ความจริง เขารับรู้ไปเรื่อยๆ จนวันหนึ่ง เขาตัดสินใจขอความช่วยเหลือจากพระเยซูคริสต์ปุ๊บ เขาจะได้เหมือนเราเลย  ทันทีทันใด  นี่คือพระคุณที่พระเจ้าให้กับเราเปล่าๆ เป็นความรอดที่เราไม่ต้องดิ้นรน  หรือพยายามทำด้วยกำลังของเราเอง ซึ่งทำอย่างไร เราก็ทำไม่ได้  แต่พระเจ้าให้กับพวกเรา  เป็นพระคุณซ้อนพระคุณ แล้วทุกครั้ง เมื่อเราระลึกถึงสิ่งนี้ อย่างที่พระเยซูบอก เราประกาศเรื่องของพระเยซูคริสต์ ประกาศการวายพระชนม์ของพระเยซูคริสต์ ที่พระเยซูคริสต์วายพระชนม์ ก็เพื่อพระองค์จะได้เป็นขึ้นจากความตาย เพื่อพวกเราทั้งหลายจะได้บังเกิดใหม่ เข้ามาในอาณาจักรของพระเจ้า   พระเจ้าอวยพรค่ะ

 

***************************

จากใจคณะศิษยาภิบาล

 

เรากำเนิดเกิดมาเป็น ตรงนี้เป็นหัวใจ เป็นพื้นฐานของความรอด ในพระเยซูคริสต์ที่ต้องจำไว้แม่นๆ ว่าเราได้รับสิ่งทั้งหมดเหล่านี้ เราเป็นคนดีพร้อม เพราะเรากำเนิด เกิดมาเป็นลูกพระเจ้า

 

พอพูดอย่างนี้ ก็รู้แล้วนะว่าไม่มีใครกำเนิดด้วยตัวเองได้ ต้องมีผู้ที่ให้กำเนิดเรา แล้วผู้ที่ให้กำเนิดเรานั้น ก็คือพระเจ้า ผ่านทางพระเยซูคริสต์ ไม่ใช่ โดยการประพฤติของตัวเราเอง ที่ทำให้เราเกิดใหม่ได้ รู้กันอยู่ เป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว

 

และพระเจ้าได้กระทำสิ่งเหล่านี้ สำเร็จแล้ว ตามพระคัมภีร์บันทึกเอาไว้ผ่านทางพระเยซูคริสต์ ซึ่งผลของการกระทำเหล่านี้ ที่พระเยซูทำสำเร็จแล้วที่ไม้กางเขน พร้อมแล้วที่จะให้มนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้ มาใช้สิทธิของเขา ที่พระเจ้าได้ทรงกระทำให้ คือรับของขวัญนี้ไป โดยการเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์มาเป็นพระผู้ช่วยให้รอดเท่านั้น ก็จะเกิดการเปลี่ยนแปลงในชีวิต หรือเรียกว่า “ได้รับการบังเกิดใหม่” ทันที หลังจากการเปิดใจต้อนรับสิทธินี้ในพระเยซูคริสต์ เชื่อในข่าวดีของพระเยซูคริสต์ว่าพระเยซูช่วยได้ ช่วยให้คนไม่ดี กลายเป็นคนดีได้ ช่วยให้คนบาป กลายเป็นคนดีพร้อม กลายเป็นผู้คนชอบธรรม สามารถยืนอยู่ต่อหน้าพระเจ้าได้ สิ่งเหล่านี้ ถ้าเผื่ออยากได้ เปิดใจต้อนรับ พร้อมแล้วสำหรับท่าน พระเจ้าทำให้สำเร็จเรียบร้อยไปแล้ว ที่ไม้กางเขน บริสุทธิ์ สะอาด ศักดิ์สิทธิ์เป็นลูกของพระเจ้า

 

สำหรับผู้ที่เปิดใจต้อนรับสิทธิไปแล้ว หรือว่าเชื่อในพระเจ้าแล้ว ลองถามตัวท่านเองว่าท่านบังเกิดใหม่แล้วหรือยัง? ทุกคนก็ต้องมั่นใจว่าเราบังเกิดใหม่แล้ว เพราะว่าเราเชื่อในพระเยซู ถ้อยคำพระเจ้าบอกไว้อย่างนั้น เราเป็นลูกพระเจ้าแล้ว อันนี้ตอบได้ไม่ยาก

 

ที่บอกว่า “เราเป็นลูกพระเจ้าแล้ว” ถามตัวเองดูสิว่าท่านสะอาด บริสุทธิ์ ศักดิ์สิทธิ์เท่าไร? ตอนที่ท่านรับเชื่อในพระเจ้าแล้ว ขณะนี้เลย ขณะที่ดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ ที่บอกท่านเป็นลูกพระเจ้าแล้ว ท่านสะอาด ศักดิ์สิทธิ์ บริสุทธิ์เท่าไร? …

“ฉันศักดิ์สิทธิ์ บริสุทธิ์เท่าไร?”

 

เรามาหาคำตอบกัน เมื่อลองถามตัวเองแล้ว คราวนี้ลองมาถามพระเจ้าดีกว่า มาดูในพระคัมภีร์เขียนไว้ว่าอย่างไร? ในขณะที่เรารับเชื่อแล้ว เราดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ เป็นผู้เชื่อ เป็นคริสเตียนแล้ว เราบริสุทธิ์ เป็นลูกพระเจ้า บริสุทธิ์ขนาดไหน? เท่าเปาโลได้ไหม? หรือเท่าเปโตร? หรือบริสุทธิ์เท่าพาสเตอร์ที่เราชื่นชอบ? หรือบริสุทธิ์เท่าคนโน้นคนนี้ได้ไหม? และตัวเราเองทำอะไรบ้าง? ที่เรียกว่าเราบริสุทธิ์เท่านั้นได้ เรามั่นใจขนาดไหน?

 

อ่านข้อพระคัมภีร์นี้ ข้อเดียวเท่านั้นเอง ท่านจะตกใจเลย เป็นไปได้หรือ? เป็นไปแล้วสิ จริงๆ มันมีหลายข้อ ในพระคัมภีร์ที่บันทึกไว้ตรงนี้ ซึ่งเราอาจจะไม่ค่อยได้สังเกต แต่ข้อนี้มันชัดเจนมาก

 

1 ยอห์น 4:17 “ในการได้เข้าส่วนร่วมเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระคริสต์นี้ ความรัก​​ (อากาเป้ แบบพระเจ้า) จึงได้เกิดขึ้นอย่างสมบูรณ์ครบถ้วนในตัวเรา เรา​จึง​มี​ความ​มั่นใจ​ใน​วัน​พิพากษา ที่​เรา​มี​ความ​มั่นใจ​อย่าง​เต็มเปี่ยม​  ก็​เพราะชีวิตจิตวิญญาณที่​เรา​มี​ขณะที่อยู่ในโลก​นี้นั้น เป็นชีวิตจิตวิญญาณที่​เหมือน​กับ​ชีวิตจิตวิญญาณของ​พระคริสต์”

 

ในบริบทก่อนหน้านี้ ที่พระคัมภีร์บันทึกเอาไว้ในหนังสือ 1 ยอห์น กำลังพูดถึงความเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเจ้าว่าผู้ที่เชื่อในพระเยซูคริสต์ ที่ได้บังเกิดใหม่แล้ว ได้เข้าไปอยู่ในความรักของพระเจ้า พระเจ้าเป็นความรักและเขาเองก็เป็นความรัก ได้บังเกิดใหม่เป็นความรัก ความรักของเขาสมบูรณ์ เพราะเขาเข้าไปอาศัยอยู่ในความรักของพระเจ้า คือวิญญาณเขากับพระเจ้าเข้าสวมเป็นหนึ่งเดียวกัน ที่เราเรียกกันว่าบัพติศมา หมายถึงการเข้าส่วนร่วม วิญญาณของมนุษย์เข้าไปเป็นวิญญาณเดียวกันกับพระเจ้า เป็นหนึ่งเดียวกันเลย สะอาด บริสุทธิ์พร้อมเท่ากับพระเจ้าเลย

ความรักของพระเจ้าถึงสำเร็จตามเป้าหมายของพระองค์ตามน้ำพระทัยของพระเจ้า ในพวกเรา เราจึงมีความมั่นใจในวันพิพากษา

 

จำได้ไหมตะกี้นี้บอก “ผู้พิพากษาของมหาจักรวาล คือพระเจ้าผู้บริสุทธิ์สะอาด ศักดิ์สิทธิ์ เราจึงมีความมั่นใจในวันพิพากษา ที่เรามีความมั่นใจอย่างเต็มเปี่ยม ก็เพราะชีวิตที่เรามีอยู่ในโลกนี้ เป็นชีวิตที่เหมือนกับชีวิตของพระคริสต์”

เพราะฉะนั้น เท่ากับเราบริสุทธิ์เท่ากันกับพระเยซู

 

กล้าพูดหรือยังคราวนี้ เราบริสุทธิ์เท่ากับพระคริสต์ เราไม่ได้บริสุทธิ์เท่ากับศิษยาภิบาลเท่านั้น รู้สึกว่าเขารู้เรื่องพระเจ้าเยอะ มีความเชื่อเยอะ เราไม่ได้บริสุทธิ์เท่ากันกับอาจารย์เปาโล หรือเปโตร อัครทูตเท่านั้น แต่ในพระคัมภีร์บอก ว่าเราบริสุทธิ์เท่ากันกับพระเยซูคริสต์ เพราะฉะนั้น เราจึงมั่นใจในการยืนอยู่ต่อหน้าบัลลังก์ของผู้พิพากษาของมหาจักรวาล ในวันสุดท้าย วันที่เราจากโลกนี้ไป เราอยู่ในสวรรค์ได้ เพราะเรายืนอยู่ต่อหน้าพระเจ้า ผู้บริสุทธิ์และศักดิ์สิทธิ์ เพราะว่าเราบริสุทธิ์เหมือนพระคริสต์ เรามั่นใจพอๆ กันกับที่พระเยซูคริสต์มั่นใจ ท่านคิดว่าพระเยซูคริสต์มั่นใจไหมว่าพระองค์สามารถยืนอยู่ต่อหน้าพระเจ้าได้ เรามั่นใจเท่าพระเยซูคริสต์เลย

 

และข้อสำคัญ ก็คือเหมือนพระองค์ในโลกนี้ ก็แปลว่าเดี๋ยวนี้ ที่นี่ บนโลกนี้เลย เอเมน บางทีเราไม่ค่อยได้สังเกต พอเราสังเกต เราไปวิเคราะห์ดู ตกใจเลย ในโลกนี้ หลายคนก็รอว่าเราจะบริสุทธิ์เมื่อวันหนึ่งที่เราตายจากโลกใบนี้ไปแล้ว ออกจากร่างกายนี้แล้ว แต่พระคัมภีร์บอกเราว่าเราบริสุทธิ์เท่าพระเยซูคริสต์ตั้งแต่อยู่บนโลกใบนี้เลย เพราะเรามั่นใจว่าเราอยู่บนโลกใบนี้ เราก็บริสุทธิ์ ศักดิ์สิทธิ์แล้ว เราจึงมั่นใจว่าเราก็บริสุทธิ์อย่างนี้ เมื่อวันหนึ่งที่เราออกจากร่างนั่นเอง เป็นคนชอบธรรม เป็นคนดีพร้อมในสายพระเนตรพระเจ้า ก็คือเป็นแสงสว่างดั่งที่พระเยซูคริสต์บอกว่าเราเป็นแสงสว่าง เป็นความรักที่บริสุทธิ์ สะอาด ศักดิ์สิทธิ์ ครบถ้วนบริบูรณ์ เหมือนพระเยซู เหมือนพระเจ้า เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์ตั้งแต่เดี๋ยวนี้เลย ทันทีที่เราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เราได้เป็นตรงนี้ และจะเป็นอยู่อย่างนี้ตลอดไป

 

เพราะฉะนั้น เราจึงมั่นใจในการพิพากษา 100% เลย มั่นใจเท่าๆ กับพระเยซูมั่นใจนั่นแหละ จริงๆ คริสเตียน ความเชื่อน่าจะเป็นอย่างนี้ว่าเราหวังไว้ว่าจะไปสวรรค์ไหม หลังความตาย? เราไม่หวังหรอก เพราะความหวังของเรา คือเราอยู่ในสวรรค์แล้วเดี๋ยวนี้ มันน่าจะเป็นอย่างนั้น

ความหวังของเรา ก็คือความหวังที่เป็นเดี๋ยวนี้ Now ความหวังของเรา คือพระวิญญาณยืนยันกับเราว่าเราอยู่ในสวรรค์แล้วเดี๋ยวนี้ และเราจะอยู่ในสวรรค์นี้ตลอดไป พระเจ้าไม่ให้ใครมาเอาเราออกจากพระหัตถ์อันทรงฤทธิ์ของพระองค์ได้ ไม่ว่าใครก็ตาม ใหญ่ขนาดไหนก็ตาม มีฤทธิ์อำนาจขนาดไหนก็ตาม ไม่มีใครสามารถเอาเราออกไปจากพระหัตถ์อันทรงฤทธิ์ของพระเจ้าได้ ในพระเยซูคริสต์ เอเมน

 

นี่คือความมั่นใจครับ  พระเจ้าอวยพรครับ

 

วารสาร Holy News ฉบับที่ 1359

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  10  เมษายน  2022

เรื่อง “การปลอบประโลมจากพระเจ้า  ท่ามกลางความทุกข์ลำบาก” ตอน 4

“พระเยซู คือถ้อยคำของพระเจ้า คือข่าวประเสริฐ”

โดย นคร  เวชสุภาพร

 

เรายังอยู่ในหัวข้อบรรยายเรื่อง “การปลอบประโลมจากพระเจ้า ท่ามกลางความทุกข์ลำบาก” วันนี้เป็น ตอนที่ 4 ผมใช้ชื่อเรื่องว่า “พระเยซู คือถ้อยคำของพระเจ้า คือข่าวประเสริฐ”

ถ้อยคำของพระเจ้า ข่าวประเสริฐ เป็นความหวังของเรา เป็นแสงสว่างแห่งชีวิตของเรา เป็นความรอดของเรา รวมแล้วมาอยู่ที่ที่เดียว คือพระนามพระเยซูคริสต์ พระมาซีฮาห์ของเรา พระผู้ช่วยให้รอดของเรา

วันนี้เป็นตอนที่ 4 จากหนังสือ 1 เปโตร เราเรียนรู้กันแล้วว่าหนังสือนี้เขียนไปปลอบประโลมจิตใจของผู้ที่อยู่ในความทุกข์ยากลำบาก อย่างแสนสาหัส คือผู้เชื่อพระเจ้าในขณะนั้น ซึ่งเราเอามาใช้ได้ในชีวิตของเรา ในขณะนี้ด้วย อย่าลืมว่าการปลอบประโลมจากพระเจ้า ถึงบรรดาผู้คนที่ทุกข์หนักๆ อย่างนั้น เป็นกำลังใจอย่างดี เพราะฉะนั้น จึงเป็นเหมือนเคล็ดลับอันหนึ่ง ให้เรารู้ว่าถ้าเผื่อเผชิญกับความทุกข์ยากลำบาก แล้วเราควรจะทำตัวอย่างไร? ควรจะรับรู้เรื่องอะไรเป็นสิ่งสำคัญ ซึ่งเรียนมาแล้ว 3 ตอน วันนี้เป็นตอนที่ 4

เราได้เรียนรู้จากตอนที่แล้วๆ มาว่าเมื่อเราเปิดใจ ต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดแล้ว เป็นผู้เชื่อ หรือเรียกว่าเป็นคริสเตียนแล้ว ด้วยการรับการบังเกิดใหม่ เป็นลูกของพระเจ้าที่สะอาด บริสุทธิ์ ดีพร้อม เหมือนพระเจ้า ผู้เป็นพ่อ โดยทำสิ่งเหล่านี้ทั้งหมด ผ่านในพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า  ไม่ใช่ตัวเราเองเลย  ไม่ใช่การกระทำ และการได้บังเกิดใหม่ เป็นลูกของพระเจ้าที่ดีพร้อมแล้วนั้น เป็นการบังเกิดใหม่ครั้งเดียว และไม่มีการเปลี่ยนแปลงอีกเลย บริสุทธิ์  สะอาด ดีพร้อม เหมือนพ่อ ที่เป็นพระเจ้าเลย  ความจริงนี้ ปลอบโยนจิตใจเราได้อย่างไร? ก็คือทำให้เรารู้สึก สบายใจ มั่นใจในความรอด ในชีวิตทางฝ่ายวิญญาณ คือชีวิตนิรันดร์ รอดจากการถูกพิพากษาลงโทษ หลังความตาย ต้องไปอยู่ในความพินาศในนรกตลอดกาลนั่นเอง เราก็มีความสบายใจ มั่นใจในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ว่าตายแล้ว เราไม่ต้องกลัว เราอยู่กับพระเจ้า อยู่ในสวรรค์แล้ว อะไรประมาณนั้น

เพราะฉะนั้น เมื่อเรามั่นใจ ในการเป็นลูกของพระเจ้า ไม่กลัวความตาย ไม่กลัวการพิพากษาหลังความตาย  เพราะเราบริสุทธิ์สะอาด เป็นลูกของพระเจ้าที่บริสุทธิ์สะอาด ทางวิญญาณ เรียบร้อยแล้ว เมื่อรับรู้อย่างนี้แล้ว ก็ให้ดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ให้สมกับเป็นลูกของพระเจ้าที่บริสุทธิ์แล้วนั้น ขณะที่ดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ ก็ให้ประพฤติตน สมกับที่ในวิญญาณนั้นเป็นลูกพระเจ้า ที่บริสุทธิ์สะอาด ดีพร้อมแล้ว ใหฝึกฝนในการประพฤติตัวอย่างนั้น เช่นเดียวกัน คือพูดถึงสมัยที่ถ้อยคำพระเจ้าได้เขียนไปให้กำลังใจ ผู้เชื่อที่ตกทุกข์ได้ยาก  ถูกเขาข่มเหง รังแก ใส่ความ ตามฆ่า จับไปลงโทษ หนึ่งในจำนวนนั้น คือให้เราประพฤติ เมื่อเรารู้ว่าเราเป็นใครในพระเยซูคริสต์แล้ว เราเป็นลูกพระเจ้าที่บริสุทธิ์สะอาดแล้ว ให้เราประพฤติตัวดีพร้อม ก็คือให้เราอภัยให้คนที่ทำร้ายเรา  อภัยให้การข่มเหง ที่เขาข่มเหงเราอย่างไม่มีเหตุ ไม่มีผล  อย่างนี้เป็นต้น นี่ยกตัวอย่างให้ฟัง  นี่คือการฝึกฝนในการประพฤติตนให้เป็นไปตามวิญญาณที่เราได้บังเกิดใหม่แล้วนั้น

เราจึงเห็นว่าการบังเกิดใหม่ในวิญญาณ จึงเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุด และเป็นสิ่งที่มนุษย์ทุกคนไม่สามารถที่จะทำได้  คือทำให้ตัวเองบังเกิดใหม่ มันเป็นไปไม่ได้ เมื่อเป็นไปไม่ได้ ก็ไม่มีใครสามารถทำให้ตัวเองบริสุทธิ์ สะอาด เท่าเทียมพระเจ้า หรือเป็นที่พอใจของพระเจ้าได้เลย แม้แต่คนเดียว เพราะฉะนั้น พึ่งพาในการกระทำของตนเอง เป็นไปไม่ได้เลย แม้แต่นิดเดียว  และนี่คือข่าวดี ก็คือเราไม่ต้องทำ พระเจ้าทำให้เรา

ข่าวดี สั้นๆ ที่เราได้เรียนรู้กันมาเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว พระเจ้าได้ทำให้เราบริสุทธิ์ สะอาด ดีพร้อม โดยพระองค์เอง ไม่ใช่เราเลยแม้แต่นิดเดียว  โดยผ่านทางพระเยซูคริสต์ พระบุตรของพระองค์ ซึ่งเป็นข่าวดีที่สุดในมหาจักรวาล  ที่พระเจ้าประกาศข่าวดีนี้ ประกาศพระเยซูคริสต์นี้ ถ้อยคำแห่งข่าวประเสริฐของพระองค์นี้ ไม่ใช่เฉพาะกับชาวยิวเท่านั้น  แต่ให้กับมวลมนุษยชาติ ทุกๆ คน เป็นข่าวดีที่ว่ามนุษย์สามารถจะบริสุทธิ์ สะอาด ศักดิ์สิทธิ์ ดีพร้อม เหมือนพระเจ้าได้ โดยไม่ต้องทำอะไรเลย  เพราะพระเจ้าทรงกระทำให้สำเร็จเรียบร้อยแล้ว  เรียกว่าข่าวดี  ข่าวไม่ดีหรือดีไม่พอ ก็คือทรงจะกระทำให้สำเร็จ คือพระคัมภีร์เดิมนั่นเอง  เพราะฉะนั้น พระเจ้าทรงกระทำให้สำเร็จเรียบร้อยแล้ว ผ่านทางพระเยซูคริสต์ พระเยซูคริสต์มาปรากฏแล้ว ตายที่ไม้กางเขนแล้ว หลั่งพระโลหิตแล้ว และได้เป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่ 3 เรียบร้อยแล้ว คือการกระทำให้สำเร็จของพระเจ้าที่ทำให้มนุษย์สะอาด หมดจด บริสุทธิ์แล้ว เพียงแต่รับรู้ความจริง แล้วก็ยอมเปิดใจ ขอความช่วยเหลือจากพระเจ้า แค่นั้นเอง

ซึ่งการที่พระเจ้า ทำให้ หรือต้องการให้มนุษย์สะอาด บริสุทธิ์ เหมือนพระองค์ เพื่อกลับมาเป็นลูกของพระองค์ เพื่อกลับมาคืนดีกับพระองค์ เข้ากับพระองค์ได้เหมือนเดิม เป็นความประสงค์ของพระเจ้าตั้งแต่ไหนแต่ไรมาแล้ว ตั้งแต่ดึกดำบรรพ์มาแล้วว่าเป็นเช่นนั้น เมื่อมนุษย์ตกลงไปในความบาป หลุดออกจากพระเจ้าไปสู่ความตาย สู่คำสาปแช่ง พระเจ้าก็รอวันรอคืน ที่จะพามนุษย์กลับคืนมาสู่สภาพเดิม คือสู่ครอบครัวของพระองค์ มาเป็นลูกที่บริสุทธิ์สะอาดเหมือนกับพระองค์ วางแผนไว้ล่วงหน้า ก็บอกมาตลอดๆ เป็นพันๆ ปี ที่เราได้เรียนรู้ไปครั้งที่แล้ว ที่ยกตัวอย่างในหนังสือเลวีนิติ ที่พระเจ้าบอกว่า …

“เจ้าจะบริสุทธิ์ เพราะเราบริสุทธิ์”

เป็นการบอกล่วงหน้า เลวีนิติ ก็ประมาณสักพันกว่าปี ก่อน ค.ศ. ก่อนที่พระเยซูคริสต์จะมาเกิดเป็นมนุษย์ บอกก่อนล่วงหน้า ตลอดระยะเวลาเป็นพันๆ ปี บอกมาตลอด หนึ่งในจำนวนนั้น คือเลวีนิติที่บอกว่า …

“เจ้าจะบริสุทธิ์ เพราะเราบริสุทธิ์”

ก็เป็นการบอกล่วงหน้าว่าจะทำให้เจ้าบริสุทธิ์นั่นเอง เพราะไม่มีใครทำให้ตัวเองบริสุทธิ์ได้

“เจ้าจะบริสุทธิ์ เพราะเราคือพ่อของเจ้า ผู้ให้กำเนิดเจ้าบริสุทธิ์ จำไว้” อะไรประมาณนั้น

ในเลวีนิติ ประมาณพันกว่าปี  ก่อน ค.ศ. ก่อนจะทำให้สำเร็จ เริ่มต้น ค.ศ. เมื่อพระเยซูมา พระองค์กระทำให้สำเร็จแล้ว ตอนนี้ห่างกันพันกว่าปี ตอนนี้มาอีกข้อหนึ่ง ห่างกันประมาณ 500 กว่าปี ก็บอกล่วงหน้าอีก ก็คือสัญญากับมนุษย์อีก เผยพระวจนะ บอกล่วงหน้าว่าพระเจ้าสัญญาว่าจะทำให้มนุษย์บริสุทธิ์นะ …

“ฉันจะทำให้เธอบริสุทธิ์ให้ได้ ฉันจะทำ ฉันสัญญา”

ยกตัวอย่างในเอเสเคียล 36:25-27 นึกภาพนะ ตะกี้เลวีนิติ 1,000 กว่าปี ก่อนจะทำให้สำเร็จ ตอนนี้มาเอเสเคียล 500 กว่าปีก่อนที่จะกระทำให้สำเร็จ ลองอ่านดูนะว่าพระเจ้าสัญญาไว้อย่างไรว่าจะกระทำให้มนุษย์บริสุทธิ์ ลักษณะเป็นแบบไหน? …

เอเสเคียล 36:25-27  “25 เราจะประพรมน้ำ  ชำระลงบนเจ้า  แล้วเจ้าจะสะอาด  เราจะชำระล้างเจ้า  จากมลทินโสโครกทั้งปวง  และจากรูปเคารพทั้งปวงของเจ้า 26 เราจะให้จิตใจใหม่แก่เจ้า และใส่วิญญาณใหม่ในเจ้า เราจะขจัดใจหินออกจากเจ้า และให้เจ้ามีใจเนื้อ  27 เราจะใส่วิญญาณของเราไว้ในเจ้า  โน้มนำเจ้า ให้ปฏิบัติตามกฎหมายของเรา และใส่ใจรักษาบทบัญญัติของเรา”

 

นี่คือขบวนการการบังเกิดใหม่นั่นเอง  บังเกิดใหม่เพื่ออะไร? เพื่อมนุษย์จะได้สะอาดบริสุทธิ์ เหมือนพระเจ้า ตามที่พระเจ้าสัญญาไว้ และบอกล่วงหน้าว่า “เจ้าจะบริสุทธิ์” มาเป็นพันๆ ปีแล้ว

“เราจะใส่ใจใหม่ และใส่วิญญาณใหม่ในเจ้า” เห็นไหม? ก็คือการเกิดใหม่ วิญญาณใหม่ คือวิญญาณที่ไม่ใช่วิญญาณเก่า วิญญาณเก่า คือวิญญาณที่อยู่ใต้กฎเดิม คือกฎของความบาปและความตายของคำสาปแช่ง เรียกว่าอยู่ในความพินาศ ในนรกที่ไม่มีพระเจ้านั่นเอง เพราะฉะนั้น วิญญาณใหม่ที่พระเจ้าให้เรา ก็คือวิญญาณที่ไม่ได้เป็นทาสของความบาป ไม่ได้อยู่ในความพินาศ ในนรกอีกต่อไปนั่นเอง ซึ่งปัจจุบันพระเจ้าทำสำเร็จเรียบร้อยแล้ว ที่พระเยซูคริสต์ตายที่ไม้กางเขน และเป็นขึ้นจากความตาย นั่นแหละผ่านทางพระเยซูคริสต์ ตายที่ไม้กางเขน และเป็นขึ้นจากความตาย ซึ่งเป็นข่าวประเสริฐ

ตรงนี้ ทำให้มนุษย์ได้รับวิญาณใหม่ และจิตใจใหม่เรียบร้อยไปแล้ว เพียงแต่รู้หรือไม่? รู้แล้ว เปิดใจรับไหม? เท่านั้นเอง  ถ้ารับแล้วเกิดอะไรขึ้น  ก็ได้วิญญาณใหม่และใจใหม่ ที่จะอยู่นิรันดร์กาล หลังความตาย วิญญาณก็ยังอยู่ และเป็นวิญญาณที่อยู่กับพระเจ้า เพราะว่าเป็นวิญญาณที่สะอาดบริสุทธิ์ เหมือนกับพระเจ้า เข้ากับพระเจ้าได้แล้ว

ใน 1 ยอห์น 4:17-18 ได้บอกชัดเจนว่าถ้าใครที่ได้ยินได้ฟังข่าวดีของพระเยซูนี้ แล้วเปิดใจรับ อยากได้ ขอความช่วยเหลือจากพระเจ้า เปิดประตูหัวใจให้กับพระเยซูคริสต์ เขาก็จะได้รับสิ่งนี้แหละ คือได้รับวิญญาณใหม่ ใจใหม่ ก็คือได้การบังเกิดใหม่ โดยผ่านทางพระเยซูคริสต์นั้นเอง  1  ยอห์น 4:17-18 อ่านแล้วลองสังเกตให้ดีๆ ว่าวิญญาณใหม่ จิตใจใหม่ ที่ได้บังเกิดใหม่ บริสุทธิ์ เป็นเหมือนพระเจ้าแล้วนั้น ในนี้บอกละเอียดขึ้นมาอีกนิดหนึ่งว่าเป็นเหมือนใคร? คอยสังเกตให้ดีๆ นะ นี่คือขบวนการบังเกิดใหม่แล้ว  ได้รับชีวิตใหม่ ได้รับการบังเกิดใหม่จากพระเจ้า …

1 ยอห์น  4:17-18 “17  “ในการได้เข้าส่วนร่วม  เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระคริสต์นี้  (บังเกิดใหม่)  ความรัก​​ (อากาเป้ แบบพระเจ้า) จึงได้เกิดขึ้น  อย่างสมบูรณ์ครบถ้วนในตัวเรา (ทั้งวิญญาณและจิตใจ ที่เกิดใหม่นี้) เรา​จึง​มี​ความ​มั่นใจ​ใน​วัน​พิพากษา  ที่​เรา​มี​ความ​มั่นใจ​อย่าง​เต็มเปี่ยม  ​ก็​เพราะวิญญาณและจิตใจของเรา  ขณะที่อยู่ในโลก​นี้นั้น เป็นวิญญาณและจิตใจ  ที่​เหมือน​กับ​วิญญาณและจิตใจของ​พระคริสต์” 18  ไม่มีความกลัวในความรัก (อากาเป้แบบพระเจ้า) แต่ความรัก (อากาเป้แบบพระเจ้า) ที่สมบูรณ์ครบถ้วน (ภายในวิญญาณและจิตใจใหม่) ขจัดความกลัวออกไปจนหมดสิ้น เพราะความกลัว (ไม่มั่นใจในความชอบธรรมของตนเอง) ทำให้เกิดความคิดฟ้องผิด (ว่าถูกตัดสินลงโทษ) ดังนั้น  ผู้ที่ยังกลัวอยู่ (ยังไม่ได้บังเกิดใหม่ไม่มั่นใจในความชอบธรรมของตนเอง กลัวการถูกลงโทษในวันพิพากษา หลังความตาย)  คือผู้ที่ยังไม่มีความรัก (อากาเป้ แบบพระเจ้า) ที่สมบูรณ์ครบถ้วน ภายในเขา”

 

นี่อาจารย์ยอห์นอธิบายละเอียดขึ้นอีกนิดหนึ่งว่าถ้าผู้ที่เปิดใจ รับเอาข่าวดีนี้ รับเอาการช่วยเหลือจากพระเจ้านี้ไป จะเกิดสิ่งนี้ขึ้น คือ …

“ในการการได้เข้าส่วนร่วม เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเยซูคริสต์”

การร่วมเป็นหนึ่งเดียวกัน ก็หมายถึงการบังเกิดใหม่นั่นเอง  พูดสั้นๆ

ในการบังเกิดใหม่นี้ วิญญาณใหม่ของเรา จะเป็นวิญญาณที่เหมือนพระเจ้า  คือเป็นความรักเหมือนพระเจ้า ความรักแบบอากาเป้ แบบพระเจ้านั้น จึงเกิดขึ้นอย่างสมบูรณ์ในตัวเรา ก็คือในวิญญาณใหม่นั้น ทั้งวิญญาณและจิตใจที่เกิดใหม่นี้ สมบูรณ์ครบถ้วน เป็นวิญญาณและจิตใจที่เต็มไปด้วยความรักที่สมบูรณ์แบบ คือเหมือนพระเจ้า เป็นอากาเป้เลย  เราจึงมีความมั่นใจในวันพิพากษา เห็นไหม? เพราะวิญญาณของเราใหม่เอี่ยมเลย ไม่มีบาป มีแต่ความรัก เป็นความรัก เหมือนพระเจ้า  เราจึงมั่นใจว่าเมื่อไรที่เราจากร่างนี้ ตายไป  เราอยู่ในสวรรค์ เพราะเราอยู่ในสวรรค์อยู่แล้ว เข้ากับพระเจ้าได้อยู่แล้ว

ที่เรามีความมั่นใจอย่างเต็มเปี่ยม เพราะวิญญาณและจิตใจของเรา ที่ได้บังเกิดใหม่ แม้ว่ากำลังดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ อยู่ในร่างกายเก่านี้ก็ตาม  แต่วิญญาณและจิตใจได้บังเกิดใหม่เรียบร้อยแล้ว ได้บังเกิดใหม่เลย เป็นความรักเหมือนพระเจ้า  ในนี้บอกว่าเป็นวิญญาณและจิตใจที่เหมือนกับวิญญาณและจิตใจของพระเยซูคริสต์ ที่วิญญาณเราบริสุทธิ์ ดีพร้อม เหมือนพระเจ้าเลย ตอนนี้อาจารย์ยอห์น อธิบายให้ละเอียดขึ้น คือที่บริสุทธิ์ ดีพร้อม เหมือนพระเยซูคริสต์เลย

ข้อ 18 บอกว่าจึงไม่มีความกลัว ในความรัก แบบอากาเป้ เพราะวิญญาณเราเป็นความรักแบบอากาเป้  จึงไม่มีความกลัว  ก็คือความกลัวที่อยู่ในความพินาศ ในวิญญาณรู้ จิตใต้สำนึกรู้ ตอนนี้ในวิญญาณรู้ จิตใต้สำนึกรู้ เรารอดแล้ว เราเป็นความรักแล้ว จึงไม่มีความกลัว ในความรักแบบอากาเป้  แบบพระเจ้าในการบังเกิดใหม่นี้  ภายในวิญญาณและจิตใจใหม่นี้  เต็มไปด้วยความรักแบบอากาเป้แบบสมบูรณ์ ครบถ้วน และความรักแบบนี้  ไม่มีคาวมกลัวมาผสม เพราะเป็นความรักเหมือนพระเจ้า และมั่นใจการไปสวรรค์เรียบร้อยไปแล้ว 100% เลย

นี่คือเหตุที่ไม่มีความกลัวอยู่ในนั้น พูดง่ายๆ คือถ้าบังเกิดใหม่ ก็ไม่มีความกลัวในการพิพากษา หลังความตาย ถ้ายังไม่ได้บังเกิดใหม่ ก็กลัวอยู่แล้ว อย่างไรก็กลัว คือลึกๆ ข้างใน ก็กลัวว่าตายไปแล้ว ต้องไปอยู่ที่ไหนสักแห่งหนึ่ง ต้องชดใช้เวรกรรม อันนี้ คือเรื่องจริงของมนุษยชาติ พอเชื่อพระเจ้าแล้ว เราก็หมดความกลัวแล้ว มันเป็นอย่างนี้

อาจารย์ยอห์นได้พูดต่อไป แต่เราอ่านแค่นี้ แต่ในบริบทของอาจารย์ยอห์นที่พูดไว้ ใน 1 ยอห์น 4:17-18 เพราะฉะนั้น อย่างนี้ ถึงสามารถเรียกว่าเป็นข่าวดีอย่างยิ่งของมหาจักรวาลของมนุษย์ทุกๆ คนบนโลกใบนี้ ที่จะได้รับรู้ว่าขณะนี้ สภาพของวิญญาณของมนุษย์ทุกๆ คนอยู่ที่ไหน?  อยู่ที่ความพินาศ อยู่ที่การพิพากษาในวันที่ทิ้งร่างนี้ และวิญญาณออกจากร่าง แต่ข่าวดีนี้ ก็คือเขาไม่จำเป็นต้องอยู่ที่นั่นตลอดไป  เพราะพระเจ้าได้ช่วยเขาให้หลุดพ้นออกจากความพินาศนั้น เรียบร้อยแล้ว เมื่อตอนพระเยซูคริสต์สิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน  และเป็นขึ้นจากความตาย ซึ่งกระทำไปเรียบร้อยแล้ว เมื่อรับรู้ความจริง ก็เปิดใจ รับความช่วยเหลือจากพระเจ้า รับของขวัญจากพระเจ้าเท่านั้นเอง ยอมรับคำเชิญจากพระเจ้าเท่านั้นเอง เชิญให้กลับบ้าน  เชิญให้กลับมาคืนดีกับพระองค์  เชิญให้เข้ามาเป็นลูกของพระองค์ เป็นทายาทของพระองค์ที่บริสุทธิ์ สะอาด เชิญมารับของขวัญจากพระเจ้า คือบังเกิดใหม่ ได้ตายพร้อมพระเยซูคริสต์ และเป็นขึ้นจากความตาย พร้อมกับพระเยซูคริสต์ ได้บังเกิดใหม่ในวิญญาณ ได้วิญญาณใหม่และจิตใจใหม่เหมือนพระเยซูคริสต์นั่นเอง เขาเรียกว่าได้บังเกิดใหม่

การบังเกิดใหม่จึงเป็นเรื่องสำคัญมาก เมื่อใครรู้อย่างนี้ ได้อย่างนี้ไป  มันก็มีกำลังใจในการดำเนินชีวิต บนโลกใบนี้ ไม่กลัวแม้ความตาย  แน่นอนทุกข์มันก็ต้องทุกข์ เจอความทุกข์ลำบาก มันก็ต้องทุกข์ลำบาก แต่ไม่เอะอะโวยวายจนเกินกว่าเหตุ ถูกไหม? เพราะมันมีฐานมั่นคงว่ามนุษย์ทุกคนต้องตายอยู่แล้ว  แต่เราไม่กลัวเลย แต่ก่อนนี้ เราไม่เชื่อพระเจ้า  เรายังไม่บังเกิดใหม่ เราก็กลัวว่าตายแล้ว เราจะไปไหน? เราไม่รู้ที่ไป แต่ตอนนี้เรารู้ว่าตายไปแล้ว เราก็อยู่ที่เดิม  อยู่ในสวรรค์ อยู่กับพระเจ้าอยู่แล้ว เป็นเหมือนพระเยซู เพราะฉะนั้น เราก็สามารถทนกับความทุกข์ยากลำบาก บนโลกใบนี้ได้อย่างมั่นอกมั่นใจนั่นเอง

การได้บังเกิดใหม่ เข้ามาอยู่ในอาณาจักรของพระเจ้า  ได้รับการชำระล้างด้วยพระโลหิตของพระเยซูคริสต์ ได้รับการอภัยโทษบาปผิดทั้งหมด ที่ได้ทำ และเคยทำ และกำลังทำ หรือจะทำผิดพลาด แน่นอนในอนาคต ได้รับการยกโทษทั้งหมด แค่นั้นไม่พอ การบังเกิดใหม่ตรงนี้ นอกจากได้รับการอภัยโทษแล้ว  พระเจ้ายังประทานให้เราได้บังเกิดใหม่ มาเป็นลูกของพระองค์ นั่งอยู่ที่เบื้องขวาของพระองค์ร่วมกับพระเยซูคริสต์ เป็นทายาทร่วมกับพระเยซูคริสต์ในการบังเกิดใหม่นี้ ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญที่สุด  ล้ำค่าที่สุด

การบังเกิดใหม่ เป็นลูก ก็คือเป็นลูกเหมือนพระเยซูเลย มันเกินกว่าที่เราจะคิดเลยนะว่าเป็นถึงขนาดนั้น นั่นแหละเป็นถึงขนาดนั้น เป็นจริงๆ เขาถึงเรียกกันว่าพระคุณอันหาที่เปรียบไม่ได้ พระคุณอันอัศจรรย์ ที่มนุษย์ไม่สามารถหาคำพูดใดมาพูดได้ หยั่งรู้ได้ถึงพระคุณอันอัศจรรย์นี้ว่ารับเราเป็นลูกได้อย่างไร?  แต่มันก็เป็นไปตามนั้นจริงๆ  นี่คือข่าวประเสริฐ แห่งพระคุณของพระเจ้า ซึ่งถ้าคิดตามประสามนุษย์ แล้วมันเชื่อยาก เมื่อเชื่อยาก พระเยซูจึงยกตัวอย่าง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ยกตัวอย่างนี้ให้กับชาวยิว ซึ่งมั่นใจในความดีงามของตัวเองเยอะ แสวงหาความดีงามด้วยตัวเองเยอะ จึงมีความรู้สึกว่าไม่ต้องทำอะไรเลยหรือ? รับไม่ได้อย่างนี้  จึงเป็นประตูแคบ สำหรับชาวยิว ซึ่งเราสามารถเอามาใช้ได้ว่าเป็นประตูแคบสำหรับมนุษย์ทุกคนที่คิดว่ามันเป็นไปได้หรือ?  ก็มันเป็นไปแล้ว มันเป็นไปได้จริงๆ ทุกวันนี้ คนมาเชื่อในข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์เต็มไปหมดเลย ถามว่ามันเป็นไปได้ไหมล่ะ  ถ้าเป็นไปไม่ได้ เป็นเรื่องโกหก จะมีมาถึงขนาดนี้เหรอ  โกหกแบบน่าเกลียดมากแล้ว ไม่ต้องทำอะไรเลย แหม! ให้เราทำบ้าง ก็ให้มีส่วนทำอะไรบ้างนิดหน่อย ก็ยังดี นี่เป็นข่าวดีจริงๆ ข่าวดีอันยิ่งใหญ่ ข่าวดีอันมหัศจรรย์ อย่างนี้ เป็นอย่างนี้สิ ถึงเรียกว่าข่าวดีจริงๆ ข่าวดีของมหาจักรวาล แด่มนุษย์ทุกคนจริงๆ ก็มันเป็นอัศจรรย์ ไม่รู้จะบอกว่าอย่างไร? ได้เกิดใหม่  เพราะฉะนั้น ถ้าใครไม่ได้เกิดใหม่ ก็ไม่สามารถเข้าใจได้หรอก

ขบวนการการบังเกิดใหม่นี้ พระเจ้าได้ทรงกระทำให้สำเร็จเรียบร้อย สำหรับเราทั้งหลาย ผู้ที่เชื่อแล้ว ผู้ที่เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ ต้อนรับการช่วยเหลือเรียบร้อยแล้ว เรียกว่าผู้เชื่อ หรือเรียกว่า คริสเตียนแล้ว ได้รับสิ่งเหล่านี้เรียบร้อยแล้วในโลกวิญญาณ วิญญาณและจิตใจใหม่ เราได้รับเรียบร้อยแล้ว จะไม่มีการพิพากษาใดๆ สำหรับผู้ที่อาศัยอยู่ในพระคริสต์ เพราะกฎของวิญญาณแห่งชีวิต ในพระเยซูคริสต์ทำให้เราพ้นจากกฎของความบาป และความตาย โรม 8:1 บอกไว้

กฎของวิญญาณ ทำให้เรารอดพ้น ย้ำยืนยันว่าเรารอดพ้นแน่นอน รอดพ้นจากการถูกพิพากษา นี่คือสิ่งที่เราได้เรียนรู้กันมา เมื่อ 3 ตอนที่แล้ว  ที่เป็นรากฐาน เป็นกำลังใจให้กับผู้คนของพระเจ้า  ผู้คนที่เรียกว่าผู้เชื่อทั้งหลาย  ที่ได้บังเกิดใหม่นั้น ให้สามารถดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ได้อย่างสง่างาม ท่ามกลางความทุกข์ยากลำบาก บนโลกใบนี้  (อย่างแสนสาหัสในช่วงนั้น) ซึ่งเราสามารถเอามาใช้ในช่วงนี้ได้ อย่างที่บอก ไม่ว่าความทุกข์ยากลำบากธรรมดา หรือความทุกข์ยากลำบากปานกลาง หรือความทุกข์ยากอย่างแสนสาหัส อย่างไรก็ตามสิ่งเหล่านี้เป็นพื้นฐาน เมื่อเราเรียนรู้ รับรู้ความจริงในข่าวประเสริฐ ในพระเยซูคริสต์เหล่านี้ ว่าเราเป็นใครแล้ว ในโลกวิญญาณ มันจะทำให้เรามั่นคง และสามารถดำเนินชีวิตได้อย่างสง่างาม ท่ามกลางความทุกข์ยากลำบาก

และวันนี้ เราจะมาเรียนรู้กันต่อจากครั้งที่แล้ว ครั้งที่แล้วเราจบกันที่ข้อ 17 เราได้เรียนรู้ถึงความแตกต่างระหว่าง “การเป็น” กับ “การประพฤติ” ต่างกันอย่างไร?

ความแตกต่างระหว่างการเป็นกับการประพฤติ ก็คือเรารู้แล้วว่าพระเจ้าได้กระทำให้เราเป็นผู้บริสุทธิ์แล้ว นี่หมายถึงผู้เชื่อนะ  ผู้ที่เชื่อแล้ว เป็นคริสเตียนแล้ว เราได้รู้ว่าพระเจ้าได้ทำให้เรา เป็นผู้บริสุทธิ์แล้วทุกคน ไม่ได้ด้วยตัวเอง พระเจ้าเป็นผู้ทำให้

“พระเจ้าทำให้ฉันบริสุทธิ์ และดีพร้อมแล้ว ฉันเป็นคนบริสุทธิ์ เป็นคนดีพร้อมแล้ว ฉันมีวิญญาณบริสุทธิ์ และมีวิญญาณที่ดีพร้อมแล้ว”

“เป็น” นะเป็น ตัวหลัก แต่ในเรื่องความประพฤติ ค่อยๆ คิดตามนะ …

“แต่ในเรื่องความประพฤติ ฉันประพฤติดีพร้อมแล้วหรือยัง?” … คิดในใจ แล้วค่อยตอบ

“ฉันเป็นผู้ดีพร้อมแล้ว พระเจ้าทำให้ แล้วฉันประพฤติดีพร้อมแล้วหรือยัง?”

ใครบอกดีพร้อม ยกมือขึ้น เราจะได้ช่วยกันอธิษฐานให้ท่าน ไม่ ถูกไหม? นี่คือความเป็นจริง เพราะฉะนั้น ไม่ต้องตื่นเต้นว่าเวลาท่านคิดอะไรสกปรก คิดอิจฉาริษยา คิดโกรธ คิดเกลียดเขา  บางครั้งสบถสาบาน ไม่บริสุทธิ์ พูดง่ายๆ  ไม่เห็นจะดีพร้อมเลย  หงุดหงิดใส่เขา ดีพร้อมไหม? เคยกินเหล้ากินเบียร์ ไม่กินนานแล้ว เจอเพื่อน เผลอๆ กินเยอะไปหน่อย เมา  เมาดีพร้อมไหม? หรือโลภ ดีพร้อมไหม? มันไม่ดีพร้อม แต่อย่าตื่นเต้น เพราะนั่นคือความประพฤติ ถ้าท่านเกิดใหม่แล้ว ท่านดีพร้อม บริสุทธิ์แล้วในวิญญาณ แต่ความประพฤติท่านอาจจะตกๆ หล่นๆ บ้าง

ท่านเป็นผู้บริสุทธิ์ดีพร้อมแล้ว พระเจ้าทำให้เสร็จแล้วหรือยัง?  ในวิญญาณ เสร็จแล้ว เป็น พอถามถึง “เป็น” ท่านเป็นผู้ตอบนะ

“พระเจ้าทำให้ท่านบริสุทธิ์ดีพร้อมแล้ว ท่านเป็นหรือยัง?”

“เป็นแล้ว”

“พระเจ้าทำให้ท่านประพฤติดีพร้อมแล้วหรือยัง?”

“ยัง”

เพราะถ้าประพฤติดีพร้อม ต่อไปนี้ท่านก็ไม่คิดชั่วแล้ว แม้แต่คิด ก็ไม่คิดแล้ว  ไม่คิดอิจฉาริษยาใครแล้ว พร้อมเสมอเลย ดีพร้อมเสมอ  มันไม่ใช่อย่างนั้น ในเรื่องของความประพฤติ พระองค์กำลังทำอยู่ กำลังฝึกฝนเราให้ดีพร้อม  ให้เหมือนกับข้างใน กำลังสร้างเรา เหมือนเพลงที่เราเคยร้อง

“ขอทรงสร้างเรา ให้มั่นคงเถิด   ให้เราร่วมอยู่ในพระบุตร”

ในวิญญาณต้องสร้างไหม? ไม่ต้องสร้าง  ต้องขอไหม? ไม่ต้องขอ เพราะว่าสร้างเสร็จแล้ว มั่นคงเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเยซูคริสต์ เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์แล้ว  จะไปสร้างอะไรอีกเล่า แข็งแกร่งแล้ว แต่ให้สร้างบุคลิกของเรา ฝึกสอนเรา ให้เป็นเหมือนกับพระเยซูมากขึ้นเรื่อยๆ แล้วไปจนกระทั่งวันที่วิญญาณออกจากร่าง  ถึงวันนั้น สำเร็จไหม? ไม่สำเร็จ ได้แค่ไหนก็ไม่รู้ พระเจ้าก็นำไป สอนไปเรื่อยๆ  แต่มันจะสำเร็จวันสุดท้าย คือวันที่เราออกจากร่างแล้ว ได้รับร่างใหม่แล้ว นั่นแหละจบสิ้น ไม่ต้องสร้างแล้ว ร่างกายใหม่ไม่มีเชื้อบาป ไม่มีความทุกข์ทรมาน ไม่มีความชั่วร้ายใดๆ เป็นร่างกายที่เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์เลย

ตอนนี้ร่างกายเป็นเหมือนพระเยซูคริสต์หรือยัง? ยังไม่เป็น พอจะเห็นภาพไหม? เพราะฉะนั้น พระเจ้าก็นำพาเรา สอนเรา ในแต่ละวัน ผ่านทางพระวิญญาณของพระองค์ ให้เราฝึกฝนในการประพฤติ ให้สมกับวิญญาณเราเป็นลูกพระเจ้า ที่ดีพร้อมแล้วนั่นเอง

โอเค เรื่องที่เราจะมาเรียนต่อกันในวันนี้ ก็ยังเป็นเรื่องเดิม คือ “การปลอบประโลมใจจากพระเจ้า ท่ามกลางความทุกข์ยากลำบาก” ตอนที่ 4 ซึ่งมีชื่อตอนว่า “พระเยซู คือถ้อยคำของพระเจ้า คือข่าวประเสริฐ” ว่ากันตามจริงแล้ว พระเยซู คือศูนย์กลาง เป็นทุกสิ่งทุกอย่าง เป็นความหวังของเรา เป็นแสงสว่าง เป็นความรอดของเรา เป็นสวรรค์ เป็นความจริง เป็นทางนั้นที่เราจะไปสู่พระเจ้า แต่พูดสั้นๆ คือพระเยซู คือถ้อยคำของพระเจ้า คือข่าวประเสริฐ  เมื่อมีการประกาศข่าวประเสริฐ ต้องประกาศเรื่องเกี่ยวกับพระเยซู เพราะข่าวประเสริฐ คือพระเยซู เมื่อพูดถึงการเผยพระวจนะ ถ้อยคำพระเจ้า สอนถ้อยคำพระเจ้า ต้องสอนถึงเรื่องเกี่ยวกับพระเยซู และเมื่อพูดถึงพระเยซู ต้องพูดถึงพระเยซูคริสต์

เพราะคำว่า “คริสต์” แปลว่าพระมาซีฮาห์ พระเยซูเฉยๆ ไม่ได้ ต้องพระเยซูคริสต์ พระเยซูคริสต์ คือพระมาซีฮาห์ที่พระเจ้าจัดเตรียมไว้ในการไถ่มนุษย์ คือหัวใจของข่าวดี นี่เอง เพราะฉะนั้น อะไรก็ตามที่พูดถึงเรื่อง “พระเยซู” ไม่มี “คริสต์” ก็ไม่ได้พูดถึงเรื่องข่าวประเสริฐในการช่วยให้รอด ไม่ได้พูดถึงการไถ่ ไม่ได้พูดถึงการเป็นขึ้นจากความตายของพระเยซู ไม่ได้พูดถึงการสิ้นพระชนม์ของพระเยซูที่ไม้กางเขน ถูกฝังไว้ในอุโมงค์และเป็นขึ้นมาจากความตายว่ามันเกิดอะไรขึ้นในโลกวิญญาณ  นั่นไม่ใช่ถ้อยคำของพระเจ้า ถ้อยคำพระเจ้าที่พูดในพระคัมภีร์ทั้งหมด เป็นถ้อยคำพระเจ้าที่เกี่ยวกับพระเยซูคริสต์ พระมาซีฮาห์ ว่าวางแผนการไว้อย่างไร? ต้องโยงมาถึงตรงนี้ให้ได้  ถ้าไม่โยงมาถึงตรงนี้ จะเป็นการพูดถึงประวัติศาสตร์ พูดถึงเรื่องเล่าอะไรต่างๆ ก็เป็นถ้อยคำเฉยๆ  ไม่ใช่ถ้อยคำพระเจ้า  ที่พูดถึงนี้  ผมจึงใช้ชื่อเรื่องว่า “พระเยซู คือถ้อยคำพระเจ้า คือข่าวประเสริฐ”

จะประกาศข่าวประเสริฐ จะร้องเพลงเพื่อข่าวดี จะร้องเพลงเกี่ยวกับนมัสการพระเจ้า นมัสการยกย่องพระเยซู ต้องเกี่ยวพันกับข่าวประเสริฐเท่านั้น ซึ่งก็หมายถึงเรื่องราวในหนังสือ 1 เปโตร 1 ที่เราได้เรียนรู้มา 10 กว่าข้อนี้ การบังเกิดใหม่ในพระเยซูคริสต์ การได้เป็นลูก การเข้าสู่มรดกนิรันดร์  การบริสุทธิ์เหมือนพระเจ้า อะไรประมาณนี้ นี่คือถ้อยคำของพระเจ้า ที่เรียกว่าถ้อยคำพระเจ้าจริงๆ  นี่คือข่าวประเสริฐ ที่เรียกว่าข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์จริงๆ นี่คือพระเยซูคริสต์ พระมาซีฮาห์ เรื่องของพระองค์ ซึ่งเป็นหัวใจ เป็นความหวังของเรา  ผู้เชื่อ เพียงผู้เดียวเท่านั้น

เรายังอยู่ในหนังสือ 1 เปโตร บทที่ 1 วันนี้เราจะมาเริ่มต่อที่ข้อ 18 …

1 เปโตร 1:18  “ท่านจำเป็นต้องรู้ และระลึกอยู่เสมอว่าท่านได้รับการไถ่ จากการดำเนินชีวิต  แบบไร้ประโยชน์ ไร้ค่า (อยู่ในความพินาศ ในความบาปและในความตาย) ซึ่งเป็นสิ่งที่ตกทอดมาจากบรรพบุรุษของท่าน (ตั้งแต่อาดัม) และการไถ่นี้ มิใช่การไถ่ด้วยสิ่งที่สูญสลายได้ เช่น เงินหรือทอง”

 

จำได้นะ ชื่อตอนคือ “พระเยซู คือถ้อยคำของพระเจ้า คือข่าวประเสริฐ”

“ท่านจำเป็นต้องรู้และระลึกอยู่เสมอ” รู้และระลึกอยู่เสมอ ถึงเรื่องพระเยซู ถึงเรื่องถ้อยคำพระเจ้า ถึงเรื่องข่าวประเสริฐ ก็มีอยู่แค่นี้เอง ไม่ใช่ไประลึกถึงประวัติศาสตร์ว่าอิสราเอลเดินทางมาอย่างไร? ปีที่เท่าไร? วันอะไร? ซึ่งไม่เกี่ยวกับข่าวประเสริฐ ท่านจำเป็นต้องรู้และระลึกอยู่เสมอว่าท่านได้รับการไถ่ จากการดำเนินชีวิตที่ไร้ประโยชน์ ไร้ค่า ก็คือชีวิตเดิมที่อยู่ในความพินาศ ในความบาป ในความตาย  อยู่ในอาดัม บรรพบุรุษ ซึ่งเป็นสิ่งที่ตกทอดมาจากบรรพบุรุษของท่าน ก็คือตั้งแต่สมัยอาดัม พูดถึงในวิญญาณที่ตกทอดกันมา คือเต็มไปด้วยความบาป  และการไถ่นี้ มิใช่การไถ่ด้วยสิ่งที่สูญสลายได้ เช่น เงินหรือทอง ไม่ใช่มีคนเอาทรัพย์สินมีค่า วัตถุที่มีค่าเอาไปแลกชีวิตท่านมา ไม่ใช่แบบนั้น  นี่พูดถึงเรื่องเกี่ยวกับการไถ่ การสิ้นพระชนม์ของพระเยซูคริสต์ที่ไม้กางเขน  ก็คือเรื่องของข่าวประเสริฐนั่นเอง ท่านจำเป็นต้องรู้และระลึกอยู่เสมอ เรื่องพระเยซูคริสต์ ท่านต้องรู้จักพระเยซูคริสต์ให้มากขึ้น ก็แสดงว่าท่านต้องรู้จักถ้อยคำพระเจ้าให้มากขึ้น  ถ้อยคำพระเจ้า คือข่าวประเสริฐ ท่านต้องรู้ให้มากขึ้นถึงเรื่องเกี่ยวกับข่าวประเสริฐของพระองค์ แล้วจะรู้มากขึ้นได้อย่างไร? ท่านก็ต้องฟังวนเวียนเกี่ยวกับเรื่องข่าวประเสริฐ ตรงนี้แหละ ท่านอย่าคิดว่าท่านรู้แล้ว แล้วท่านก็ไปเรียนเรื่องอื่นอะไรเยอะแยะ วิชาความรู้ของโลกใบนี้ ของประวัติศาสตร์ ของประเพณีนิยม ก็ว่ากันไป คำพูด คำจาแบบมีปัญญา แบบมนุษย์ ฟังแล้วสนุกสนาน แต่ไม่เกี่ยวกับข่าวประเสริฐ มันเสียเวลาเปล่าๆ มันหมายถึงตรงนี้นะ ข้อ 19 ต่อเลย …

1 เปโตร 1:19  “แต่ท่านถูกซื้อด้วยพระโลหิตอันล้ำค่าของพระเยซูคริสต์ พระเมสิยาห์ ผู้เปรียบเสมือนลูกแกะบูชา  ที่ปราศจากตำหนิ  และจุดด่างพร้อยใดๆ”

 

แต่ท่านต้องรู้และระลึกอยู่เสมอว่าท่านถูกซื้อ ก็คือถูกไถ่ ด้วยพระโลหิตอันล้ำค่าของพระเยซูคริสต์ พระเมสิยาห์ คือพระบุตรของพระเจ้า ผู้ที่พระเจ้าแต่งตั้งไว้  เพื่อมาช่วยเหลือมนุษย์  ก็คือหัวใจของข่าวประเสริฐ  ผู้เปรียบเสมือนลูกแกะบูชาที่ปราศจากตำหนิ และจุดด่างพร้อยใดๆ  อันนี้โยงไปถึงหลักการดั้งเดิมของคนยิวในสมัยก่อนพระเยซูคริสต์จะกระทำให้สำเร็จที่ไม้กางเขน  พระเจ้าได้ให้กฎระเบียบเขาไว้ ก็คือให้เอาสัตว์ไปฆ่า แล้วก็เอาเลือดสัตว์ที่ไม่มีตำหนินั้นมา ไม่ใช่ ลบล้างบาปนะ มาผ่อนบาป มาปกปิดบาปไว้ชั่วคราว ปีต่อปี แต่ตอนนี้พระเยซูมาทำให้สำเร็จตลอด ครั้งเดียวเป็นพอ ตามหนังสือฮีบรูที่บอกไว้

เพราะฉะนั้น ในอดีตที่พระเจ้าบอกให้เอาสัตว์ที่ไม่มีตำหนิ เอาเลือดมาปะพรม เพื่อปกปิดบาป ไว้ปีต่อปีนั้น  เป็นเงาของข่าวประเสริฐนี้ “เงาของข่าวประเสริฐนี้” คือเป็นเงาของเรื่องพระเยซูคริสต์ มาตายที่ไม้กางเขน หลั่งพระโลหิต  ข่าวดีนี้ เห็นหรือยังครับ

ถ้าท่านพูดถึงเรื่องเกี่ยวกับการไถ่บาป การปกปิดบาป การชดเชยบาปในอดีต ว่าต้องใช้เลือดสัตว์ที่บริสุทธิ์สะอาด แล้วท่านพูดเฉพาะแค่นี้พอ  แล้วไม่พูดต่ออีกว่าพระเยซูคริสต์ พระผู้ช่วยให้รอด พระมาซีฮาห์ ที่พระเจ้าจัดเตรียมไว้ ท่านกำลังไม่ได้พูดถึงเรื่องถ้อยคำของพระเจ้านะ เพราะถ้อยคำพระเจ้า เป็นถ้อยคำพระเจ้าที่เกี่ยวกับพระเยซู ท่านไม่ได้พูดถึงพระเยซูเลย ท่านบอกว่าปกปิดบาป อะไรต่างๆ เหล่านี้ ทำพิธีอย่างโน้นอย่างนี้  ทำพิธีวันไหน?  ปีอะไร? ทำกี่ครั้ง? รู้หมดเลย  แต่ไม่มีประโยชน์เลย ท่านต้องต่อด้วยว่านั่นคือเงาของสิ่งที่พระเยซูคริสต์มากระทำที่ไม้กางเขน  ตรงนี้ถึงเรียกว่าข่าวประเสริฐ และท่านต้องวนเวียนอยู่ตรงนี้แหละ

เพราะในข้อ 18 ที่ตะกี้เราอ่าน บอกไว้แล้วว่าท่านจำเป็นต้องรู้และระลึกอยู่เสมอ เรื่องพระเยซูคริสต์ เรื่องถ้อยคำของพระเยซูคริสต์ เรื่องข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์ ต่อไปข้อ 20 …

1 เปโตร 1:20  “มันเป็นความจริงที่พระเยซูทรงถูกเลือกและถูกเจิมไว้ ตั้งแต่ก่อนการวางรากฐานสร้างโลก  แต่พระองค์ได้ถูกนำมาเปิดเผย ให้ผู้คนทั้งหลายได้เห็น ในวาระสุดท้ายนี้  เพื่อประโยชน์ของพวกท่านทั้งหลาย”

 

“มันเป็นความจริงที่พระเยซูทรงถูกเลือกและถูกเจิมตั้งไว้” ถึงเรียกว่าพระมาซีฮาห์ ตั้งแต่ก่อนวางรากฐานสร้างโลก จะให้เข้าใจง่ายๆ ก็คือเหมือนมนุษย์ที่มีลูก เรามีครอบครัวใหม่ ที่อยากจะมีลูก เขาเริ่มต้นจัดเตรียมห้องต่างๆ ไว้ให้กับลูก ซื้อข้าว ซื้อของต่างๆ ไว้ให้กับลูก ลูกเกิดหรือยัง? ยังไม่เกิด เตรียมรากฐานก่อนสร้างโลก คือเตรียมสิ่งเหล่านี้ทั้งหมดไว้ให้กับลูกที่มาเกิด เตรียมไว้ทั้งหมดเลย ก่อนลูกจะมาเกิด ฟังให้ดีๆ นะ ตรงนี้เตรียมไว้ด้วยไหม?  เขาเตรียมซื้อข้าวของไว้ให้กับลูก และเขาเตรียมรักลูกไหม? เตรียมถูกไหม? เขารักลูกไปแล้ว ตั้งแต่ลูกยังไม่เกิด เขารักแล้ว  แล้วเขาเตรียมไหมว่าถ้าเผื่อลูกเขาดื้อ ไม่เชื่อฟังเขา เขาก็จะรักเหมือนเดิม  เตรียมไหม? เตรียม  มันหมายถึงอย่างนั้นแหละ ตั้งแต่ก่อนวางรากฐานสร้างโลก ก่อนจะสร้างโลกใบนี้ขึ้นมาให้กับมนุษยชาติ พระเจ้าเหมือนจะมีลูก ก็คือมนุษย์  รักมนุษย์ ก่อนสร้างมนุษย์ก็รักแล้ว  สร้างบ้านให้เขาอยู่ คือโลกใบนี้ แล้วก็คิดรักเขาด้วย ถ้าวันใดวันหนึ่งที่เขาดื้อ ก็จะยังคงรักเขา และนี่เขาดื้อไหม? ดื้อ เขาไม่เชื่อฟัง ยังคงรักเขาหรือเปล่า?  ขนาดเขาไม่เชื่อฟัง ยังรักเขาอยู่ไหม?  อาดัมและเอวาไม่เชื่อฟัง ยังคงรักเขาอยู่หรือเปล่า?  เรารู้ได้อย่างไร พระเจ้ายังคงรักอยู่  พระคัมภีร์บอกว่าเพราะว่าพระเจ้าทรงรักโลกยิ่งนัก  จึงได้ประทานพระบุตร เพราะความรักของพระเจ้าสำแดงออกที่พระเยซูคริสต์ ที่ไม้กางเขน พระองค์ทรงสิ้นพระชนม์ ขณะที่เรายังเป็นคนบาป ก็คือขณะที่เรายังดื้อ ไม่เชื่อพระเจ้า เป็นศัตรูกับพระเจ้า  พระเจ้าทรงส่งพระเยซูคริสต์มาตายที่ไม้กางเขน  นี่คือสิ่งที่พระเจ้าทรงเลือกไว้ล่วงหน้า  มันแปลว่าอย่างนี้  และความจริงที่เลือกไว้ล่วงหน้า สำเร็จเมื่อไร? แต่พระองค์ได้ทรงนำมาเปิดเผยให้ผู้คนทั้งหลายได้เห็น ในวาระสุดท้ายนี้ “ในวาระสุดท้าย” คือในวาระที่พระเยซูคริสต์สิ้นพระชนม์ที่ไม้กางเขนจริงๆ เมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว ถูกฝังไว้ในอุโมงค์และเป็นขึ้นมาจากความตาย นั่นแหละ

และสิ่งทั้งปวงเหล่านี้เกิดขึ้น เพื่อประโยชน์ของพวกท่านทั้งหลาย พวกท่านทั้งหลาย ก็หมายถึงผู้เชื่อทั้งหลาย จริงๆ “ท่านทั้งหลาย” ก็หมายถึงมนุษย์ทุกคนเลย   แต่ตรงนี้เน้นเอาคนที่เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ ต้อนรับถ้อยคำของพระเจ้า ต้อนรับข่าวประเสริฐของพระองค์ ต้อนรับแสงสว่าง ต้อนรับพระเยซูคริสต์ พระมาซีฮาห์  เอ่ยนามพระองค์ “ช่วยทีๆ” นั่นแหละ เป็นประโยชน์ต่อพวกเขาทั้งหลาย เพราะเขาจะได้บังเกิดใหม่ บริสุทธิ์ สะอาด  อย่างที่เราได้เรียนรู้มาแล้ว  เมื่อตอนก่อนๆ มาต่อข้อ 21 …

1 เปโตร 1:21  “พวกท่านได้มาเชื่อและพึ่งพิงในพระเจ้า ผ่านทางพระองค์ คือพระเยซูคริสต์ และพระเจ้าผู้นี้  คือผู้ที่ได้ชุบพระเยซูให้เป็นขึ้นจากความตาย และประทานพระเกียรติ และพระสิริ แด่พระองค์ เพื่อความเชื่อและความหวังใจของท่านจะได้ตั้งมั่น และได้พักสงบ อยู่ในพระเจ้า”

 

“พวกท่านได้มาเชื่อและพักพิงในพระเจ้า”  พวกท่านได้เข้ามาอยู่ในสวรรค์ เป็นลูกที่เชื่อฟังของพระเจ้า  ท่านไม่ได้ทำเองเลย  ท่านไม่ได้เชื่อด้วยตัวเอง  ท่านไม่ได้พึ่งพาในพระเจ้าด้วยกำลังของตัวท่านเอง  เพราะว่าตัวเองต้องการเข้าไป แต่ผ่านทางองค์พระเยซู พระเยซูทำให้ท่าน ท่านเพียงแต่เปิดใจต้อนรับของขวัญนี้ อย่าไปนึกว่า …

“ฉันมาเชื่อพระเจ้า ฉันวางใจในพระเจ้า” ไม่ใช่

ไม่มีใครในโลกนี้ สามารถวางใจในพระเจ้า  หรือเชื่อในพระองค์ได้ ด้วยตัวเขาเอง เป็นไปไม่ได้ อย่างมากก็ได้แค่ความคิดภายนอก  มันไม่ลงไปถึงวิญญาณและจิตใจหรอก ได้แค่ความคิดภายนอก ซึ่งมันอยู่ไม่ทนหรอก เดี๋ยววันนี้เชื่อ พรุ่งนี้ไม่เชื่อ วันนั้นเชื่อ วันนี้รู้สึกหงุดหงิด ไม่เชื่อ  วันนี้อากาศร้อนไปหงุดหงิด  ยังไม่เชื่อ  เจอความทุกข์ยากลำบาก ไม่เชื่อแล้ว  เจออัศจรรย์ เชื่อๆ  มันไม่ใช่ความเชื่ออย่างนั้น นี่หมายถึงความเชื่อในวิญญาณ เกิดขึ้นจริงๆ นะ มันต้องผ่านทางพระเยซูคริสต์ คือต้องเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ จึงบอกว่าพระเยซูคริสต์ เป็นหัวใจของข่าวประเสริฐ เป็นถ้อยคำของข่าวประเสริฐ เป็นถ้อยคำของพระเจ้า เป็นผู้ที่ให้เราบังเกิดใหม่ แล้วได้รับสิ่งเหล่านี้ บังเกิด แล้วได้มาเป็นผู้เชื่อและพักพิงในพระเจ้า  ผ่านทางพระองค์ คือพระเยซูคริสต์ และพระเจ้าผู้นี้ คือผู้ที่ได้ชุบพระเยซูคริสต์ให้เป็นขึ้นมาจากความตาย และประทานพระเกียรติ และพระสิริแด่พระองค์ ก็คือให้พระเยซูเป็นขึ้นจากความตาย  และประทานสิทธิอำนาจทั้งหมด  ในสวรรค์ก็ดี ในโลกก็ดี ทั้งหมดเลย  รวมทั้งพวกเราทุกคน มนุษย์ทุกคนบนโลกให้กับพระองค์ด้วย  พระคัมภีร์เขียนไว้อย่างนั้น

“เพื่อความเชื่อและความหวังใจของท่านจะได้ตั้งมั่น และได้พักสงบอยู่ในพระเจ้า เพื่อว่าความหวังใจและความตั้งมั่น ในชีวิตของท่านจะได้อยู่ในพระเจ้า” ก็แสดงว่าแต่ก่อนนี้ ถ้าท่านไม่เชื่อในพระเยซูคริสต์ ถ้าท่านไม่ได้เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ ความเชื่อและความตั้งมั่นในหัวใจของท่านตั้งอยู่ที่ไหน? ตั้งอยู่ที่ตัวเอง การกระทำของตัวเอง การทำดีของตัวเอง แล้วท่านจะสงบไหมล่ะ  ไม่สงบ ท่านก็จะแสวงหาไปเรื่อยๆ จากพระเจ้านี้ ไปพระเจ้าโน้น พระเจ้าปลอม มหาจักรวาลนี้ มีพระเจ้าอยู่ผู้เดียว  ก็คือพระเจ้า พระบิดาของพระเยซูคริสต์ พระบิดาของเราทั้งหลายนั่นเอง  พระเจ้าอื่นเป็นพระเจ้าปลอมทั้งหมด ในพระคัมภีร์ เขียนไว้อย่างนั้น  ไม่มีพระเจ้าอื่นใด นอกจากพระองค์

เพราะฉะนั้น ในอดีต ก่อนที่เราจะเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เรามีความหวังในการกระทำของตนเอง ตั้งมั่นอยู่ในการกระทำของตนเอง ซึ่งมันเหมือนไม้หลักปักขี้โคลน มันโลไปเลมา เหมือนกับชีวิตได้ถูกสร้าง หรือเราสร้างชีวิตเราบนทราย  เมื่อพายุพัดมา มันก็เอียงไปเอียงมา แล้วในที่สุด มันก็พัง  แทนที่จะมีชีวิตใหม่ วางใจในพระเยซู สร้างบนศิลา พระเยซูคือศิลา แข็งแกร่ง เมื่อวันที่พายุพัดมา  คือวันแห่งการพิพากษา  วันที่วิญญาณเราออกจากร่าง  วันที่เราตายจากโลกใบนี้ วันนั้นแหละ คือวันที่ลมพายุพัดมา ชีวิตท่านตั้งอยู่ได้ไหม? ถ้าท่านวางอยู่บนศิลา พระเยซูคริสต์ ท่านรอด แต่ถ้าท่านวางอยู่บนตนเอง มั่นใจในตนเอง บ้านนั้นก็จะพังทลายลง ไปสู่ความพินาศ พระเยซูยกตัวอย่างไว้  ต่อไป ข้อ 22 …

1 เปโตร 1:22 “และบัดนี้ โดยการที่ท่านได้เชื่อฟังความจริงของข่าวประเสริฐ ผ่านทางพระวิญญาณบริสุทธิ์แล้วนั้น ท่านก็ได้รับการชำระจิตใจให้บริสุทธิ์ เพื่อที่จะมีความรักอันจริงใจ ให้กับพี่น้อง ซึ่งก็เห็นอยู่แล้วว่าท่านได้รักซึ่งกันและกัน  ด้วยใจที่บริสุทธิ์”

 

“และบัดนี้” หมายถึงอะไร? และบัดนี้ พวกท่านที่ยอมเปิดใจ ไม่เอาแล้ว ไม่วางใจในตัวเอง ไม่พึ่งพาในตัวเองแล้ว ช่วยตัวเองไม่รอดแน่ๆ ขอความช่วยเหลือจากพระเจ้า เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด มาช่วยทีๆ นั่นแหละ บัดนี้ท่านยอมตัวเอง มารับความช่วยเหลือจากพระเจ้าแล้ว ก็คือบัดนี้ท่านได้เชื่อฟังความจริงของข่าวประเสริฐ

เห็นไหมครับ? เปิดใจต้อนรับ โอเค เชื่อในความจริงในข่าวประเสริฐ ก็คือเชื่อฟังในความจริงของพระเยซูคริสต์ พระมาซีฮาห์  พระองค์มาเดินบนโลกใบนี้ พระองค์บอก  พระองค์เป็นพระมาซีฮาห์  เป็นพระเจ้าผู้ทรงส่งพระองค์มา  ท่านเปิดใจต้อนรับพระองค์ว่าเป็นพระมาซีฮาห์จริงๆ ผ่านทางพระวิญญาณบริสุทธิ์แล้วนั้น

พอท่านเปิดใจ ท่านสังเกตดูไหมครับในนี้ ผมจะแยกให้ท่านเห็น ผมจะอ่านตรงนี้ก่อน …

“ผ่านทางพระวิญญาณบริสุทธิ์แล้ว ท่านได้เชื่อฟังความจริงของข่าวประเสริฐ” ถามว่าอะไรเกิดขึ้นก่อน ท่านได้เชื่อฟังความจริงของข่าวประเสริฐ เพราะว่าผ่านทางใคร? ใครเป็นคนช่วยให้ท่านเชื่อฟังพระเยซูคริสต์ พระวิญญาณ เห็นชัดๆ ไหม?  โดยฤทธิ์เดชแห่งพระวิญญาณ ทำให้ท่านเชื่อฟังต่อข่าวประเสริฐ คือพระเยซูคริสต์ คือพระมาซีฮาห์  อย่างที่ผมบอก ไม่มีมนุษย์คนใดที่สามารถ ที่จะเชื่อว่าพระเยซูคริสต์ เป็นพระมาซีฮาห์ เป็นไปไม่ได้ ไม่มีมนุษย์คนใดที่จะเชื่อข่าวดี ที่เหลือที่จะเชื่อ เป็นข่าวดีแห่งพระคุณ อันมหัศจรรย์เหลือล้น แห่งมหาจักรวาล ไม่มีใครเชื่อได้หรอก  นอกจากพระวิญญาณบริสุทธิ์  คือพระวิญญาณของพระคริสต์นั่นเอง  ก็คือนอกจากพระคริสต์เท่านั้น ที่จะมาช่วยเขา ให้เขาสามารถเชื่อในข่าวประเสริฐของพระองค์ได้

และวิธีจะให้พระองค์เข้ามาช่วย ทำอย่างไร? พระคัมภีร์บอกแล้ว พระองค์ก็ขอร้อง เคาะประตูใจของเขาตลอดเวลา มนุษย์เปิดออกสิ เปิดออก แล้วพระองค์จะได้เข้าไปช่วย ด้วยพลังของตัวเอง ด้วยกำลังสติปัญญาของตัวเอง ไม่มีทางที่จะเชื่อข่าวประเสริฐแห่งพระคุณอันล้นเหลือตรงนี้ได้ เป็นไปไม่ได้ เพราะฉะนั้น ขอความช่วยเหลือสิ ขอเลยๆ

ผู้ใดที่แสวงหาพระวิญญาณบริสุทธิ์จากพระเจ้า  มันหมายถึงตรงนี้แหละ พระองค์ก็จะประทานให้กับผู้นั้น  ขนาดท่านเป็นมนุษย์ที่เป็นคนบาป ลูกมาขอปลา ท่านจะให้งูหรือ? ลูกขอขนมปัง ท่านจะให้ก้อนหินหรือ?  ท่านเป็นคนบาป ท่านยังรู้ว่าจะให้ของดีกับลูกๆ อย่างไร? แล้วพระบิดาผู้ทรงสถิตอยู่ในสวรรคสถาน จะให้อะไรกับท่าน เมื่อท่านขอพระวิญญาณของพระองค์ ก็ให้พระวิญญาณ พอท่านได้พระวิญญาณ อะไรเกิดขึ้น? สวรรค์ก็มาทันที ท่านสามารถเชื่อในข่าวดีของพระเยซูคริสต์ สามารถเชื่อในพระเยซูคริสต์ พระผู้ช่วยให้รอด  และการบังเกิดใหม่ ก็เกิดขึ้นทันที นั่นแหละ วินาทีนี้

เพราะฉะนั้น หัวใจมันอยู่ที่ได้ยินได้ฟัง แล้วข้างในต้องการการช่วยเหลือไหม? ต้องการความช่วยเหลือ ก็เปิดปาก

“พระเยซู ลูกขอพระองค์ทรงเข้ามาช่วยลูกด้วย” จบ

เพราะฉะนั้น หัวใจอยู่ที่พระนามของพระเยซูคริสต์ นามเดียวที่มาถึงซึ่งความรอด  ข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์ ถ้อยคำพระเจ้า ก็คือพระเยซูคริสต์ ศูนย์กลางทั้งหมด อยู่ที่พระเยซูคริสต์ทั้งนั้น ผ่านทางพระเยซูคริสต์

ตอนนี้ก็คือ “ผ่านทางพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า ของพระเยซูคริสต์ ท่านจึงสามารถเชื่อฟังข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์ได้  พอได้เสร็จปุ๊บ ท่านก็ได้รับการชำระจิตใจให้บริสุทธิ์” เห็นไหม?  ท่านก็ได้รับการบังเกิดใหม่ มีวิญญาณใหม่ มีใจที่บริสุทธิ์ ตะกี้เราเรียนรู้มาแล้วว่าเป็นเหมือนพระเยซูคริสต์เลย บริสุทธิ์ ดีพร้อม เพื่อจะมีความรักอันจริงใจให้กับพี่น้อง

ท่านก็จะมีความรักจริงใจให้กับพี่น้อง ก็คือรักจากวิญญาณข้างในแล้ว มิได้พูดถึงการกระทำข้างนอก การกระทำข้างนอก บางครั้งเรายังรู้สึกเกลียดเลย รู้สึกรำคาญผู้เชื่อคนนี้ เรารู้ว่าเขาเป็นพี่น้องไหม? รู้ เป็นผู้เชื่ออยู่ในคริสตจักรเดียวกันด้วย  ทำงานอย่างนี้ เรารู้สึกหงุดหงิด หงุดหงิดได้ไหม? ได้ เพราะมันคือความประพฤติ

แต่ตรงนี้กำลังพูดถึงความเป็นความรักที่ส่งต่อกันมา  ในหมู่ของคนที่เป็นคริสเตียน วิญญาณได้เกิดใหม่แล้ว เป็นพวกเดียวกันแล้ว  รักกันจากข้างใน จากวิญญาณ  เป็นวิญญาณแห่งความรัก รักกันจากข้างในที่เป็นวิญญาณ  ที่อยู่ในพระเยซูคริสต์เหมือนกัน ตรงนี้จึงบอกว่า “ซึ่งก็เห็นอยู่แล้วว่าท่านได้รักซึ่งกันและกัน ด้วยใจบริสุทธิ์” ซึ่งท่านก็รู้อยู่  ท่านรักกันและกัน เห็นไหม?  ท่านอิจฉาคนนี้ ท่านเกลียดคนนี้ ท่านรู้สึกว่าไม่ชอบใจคนนี้  แต่วิญญาณท่านรู้สึกรักเขา

ในนี้บอกว่า “ท่านก็เห็นอยู่แล้ว” เราก็รู้กันอยู่แล้ว  ไม่รู้ได้อย่างไร? ก็คนนี้เขาเชื่อพระเจ้าอยู่ที่มาซิโดเนีย ไกลจากเรา ตั้งเยอะ เรายังไม่เห็นหน้าเขา เราได้ยินว่าเขาเชื่อพระเจ้า เราดีใจ ขอบคุณพระเจ้า สำหรับชาวมาซิโดเนียที่รับเชื่อพระเจ้าแล้ว มาเป็นลูกของพระองค์ เหมือนกับเราแล้ว ไปอธิษฐานให้กับเขาทำไม? ใครไปบังคับท่าน

มายุคปัจจุบัน  เดี๋ยวนี้ก็ได้ พอเกิดเหตุ คริสเตียนที่อยู่ในที่ไกลๆ ถูกข่มเหงรังแก เราอยู่ในเมืองไทย เราก็อธิษฐาน เป็นห่วงเป็นใยเขา เห็นหน้ากันหรือ? รู้จักกันหรือ?  แล้วอธิษฐานให้เขาด้วยความรัก ร้องห่มร้องไห้ ส่งเงินไปช่วย ส่งอะไรต่างๆ เพราะอะไร?  เพราะวิญญาณเกิดใหม่ ตรงนี้มันหมายถึงอย่างนั้น ซึ่งได้เห็นอยู่แล้วว่าท่านได้รักซึ่งกันและกัน ด้วยใจบริสุทธิ์ “ซึ่งกันและกัน” คือหมู่ชนของพลเมืองของพระเจ้า ที่ได้บังเกิดใหม่ เหมือนกัน อยู่ในครอบครัวเดียวกัน ในพระเยซูคริสต์ ในโลกฝ่ายวิญญาณนั่นเอง มีพระบิดาเดียวกัน คือพระเยซูคริสต์ ผู้ให้ชีวิต ผู้ให้เราบังเกิดใหม่  เป็นหนึ่งเดียวกับพระเจ้าพระบิดา  พระเจ้าพระบุตร และพระวิญญาณนั่นเอง  เราเป็นหนึ่งเดียวกัน เป็นครอบครัวเดียว เป็นพี่น้องกัน ตรงนี้มันหมายถึงอย่างนั้นนะ  เพราะมีจิตใจบริสุทธิ์เหมือนกัน เหมือนพระคริสต์ ต่อไป ข้อ 23 …

1 เปโตร 1:23 “เพราะท่านได้รับการบังเกิดใหม่แล้ว มิใช่จากเมล็ดพันธุ์ที่เสื่อมสลายได้ แต่จากเมล็ดพันธุ์ที่เป็นอมตะ  ไม่มีวันเสื่อมสลาย  คือพระวจนะของพระเจ้า  ที่มีชีวิตถาวรนิรันดร์”

 

“เพราะ” คือก่อนหน้านี้ทั้งหมด ก่อนหน้าที่ท่านเปิดใจต้อนรับพระเยซู พระวิญญาณพระเยซูเข้ามา  ทำให้ท่านเชื่อ และพึ่งพิงในพระเจ้า  ทำให้ท่านเชื่อฟังข่าวประเสริฐ  ทำให้ท่านเกิดใหม่ สะอาด บริสุทธิ์ ดีพร้อมทั้งวิญญาณและใจ  จึงรักซึ่งกันและกัน เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเยซูคริสต์ และเป็นหนึ่งเดียวกันกับผู้เชื่อทั้งหลาย คริสเตียนทั้งหลาย ทั่วโลก  ทั่วมหาจักรวาลนี้ ก็เพราะอย่างนี้แหละ เพราะท่านได้บังเกิดใหม่แล้ว  ย้ำอีกที เพราะวิญญาณของท่านได้บังเกิดใหม่แล้ว  นี่เขียนไปถึงคนที่กำลังตกทุกข์ได้ยาก ลำบากลำบน หนีตะเลิดเปิดเปิง เขาตามล่า ตามฆ่า  เห็นความทุกข์ทรมานของบรรดาพี่น้องคริสเตียนด้วยกันกับตาเลย

นี่เป็นความหวังใจให้เขาได้เห็นถึงฝ่ายวิญญาณว่าเขาได้บังเกิดใหม่จริงๆ ในวิญญาณของท่านได้บังเกิดใหม่จริงๆ ให้ท่านเรียนรู้ และระลึกถึงในโลกวิญญาณตรงนี้ อย่างสม่ำเสมอ ตลอดเวลายิ่งดี เปาโลบอกว่าให้จดจ่อ จดจำ จนขึ้นใจ ในสิ่งต่างๆ ที่อยู่เบื้องบน คือที่พระเยซูคริสต์สถิตอยู่ นั่นหมายถึงอย่างนี้ คือที่ท่านบังเกิดใหม่แล้ว ตรงนี้

เพราะท่านได้รับการบังเกิดใหม่แล้ว  และการบังเกิดใหม่ในวิญญาณของท่าน ไม่ใช่เกิดใหม่จากเชื้อของมนุษย์ แต่เกิดใหม่จากเชื้อของพระเจ้า  ผู้ทรงพระชนม์ ไม่ได้เกิดจาก DNA ของสิ่งมีชีวิตที่อยู่บนโลกใบนี้  เป็นวัตถุสิ่งของบนโลกใบนี้  แต่เกิดจาก DNA อมตะของวิญญาณนิรันดร์ของพระเจ้าพระบิดา พระเจ้าพระบุตร พระเจ้าพระวิญญาณบริสุทธิ์ ซึ่ง 3 พระภาค เป็นหนึ่งเดียวกัน ท่านเข้าไปร่วมบังเกิดใหม่ เข้าไปร่วม DNA กับทั้ง 3 พระภาคนี้แล้ว ท่านลองคิดดูสิว่าคนกำลังตกใจกลัว ไม่มีความหวัง ได้ยินอย่างนี้ ฮึดสู้ไหม? ฮึดไหม? ความประพฤติเปลี่ยนไปไหม? เปลี่ยนนะ ที่เห็นๆ คือมีความมั่นใจมากขึ้น ตายเป็นตายสิ ให้มันรู้ไป

DNA ที่ท่านบังเกิดใหม่ เป็น DNA ของพระเจ้า เป็นอมตะนิรันดร์กาล ไม่มีวันสูญสิ้น ไม่มีวันเสื่อมสลาย ในนี้บอกไว้ชัดเจน คือพระวจนะของพระเจ้า คือถ้อยคำของพระเจ้า ที่มีชีวิตถาวรนิรันดร์ ถ้อยคำของพระเจ้า คือพระเยซูคริสต์ คือพระมาซีฮาห์ ที่ท่านเชื่อนั่นแหละ  พระผู้ช่วยให้รอดของท่าน ที่ท่านไปเป็นหนึ่งกับพระองค์  ตอนบังเกิดใหม่นั่นแหละ

ท่านเกิดใหม่ด้วยพระเยซูคริสต์ พูดง่ายๆ ด้วยพระวจนะ ก็คือด้วยถ้อยคำของพระเยซูคริสต์เกี่ยวกับข่าวประเสริฐ ท่านถึงได้บังเกิดใหม่ ไม่ใช่ถ้อยคำของพระเจ้า ที่เกี่ยวกับพระเยซูคริสต์ ตอนที่ท่านไปอ่านดูว่าพระเยซูเกิด เป็นญาติใคร? ท่านจำได้หมดเลย แล้วก็จบอยู่แค่นั้น ท่านไม่ได้คิดต่อเลยว่าพระเยซูมาทำอะไรที่ไม้กางเขน ท่านจำได้หมดว่าพระเยซูมีพี่น้องร่วมครอบครัวกี่คน? มาจากเชื้อสายใด? จำได้หมดทุกอย่าง  แต่ไม่รู้สิ่งที่สำคัญที่สุด คือแล้วพระเยซูมาตายที่ไม้กางเขน เพื่อใคร? เกิดอะไรขึ้น เมื่อตอนตายที่ไม้กางเขน ถูกฝังไว้ในอุโมงค์เพื่ออะไร? และทำไมต้องเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่สาม เพื่ออะไร? และมันเกี่ยวอะไรกับชีวิตฉันด้วย นี่แหละคือข่าวประเสริฐ นี่แหละคือถ้อยคำพระเจ้าที่เขียนไว้ ก็คือพระวจนะของพระเจ้า ที่มีชีวิตถาวรนิรันดร์ หมายถึงตัวบุคคล หมายถึงพระเยซู มีชีวิตถาวรนิรันดร์ ให้ชีวิตได้ ไม่ใช่ถ้อยคำของพระเจ้าที่ท่านเคยคิดกันว่ามันอยู่ในพระคัมภีร์ไบเบิ้ล พูดถึงเรื่องพระเยซู มันคนละเรื่องกัน ต้องเป็นถ้อยคำพระเจ้าที่เกี่ยวกับพระเยซูคริสต์ พระคริสต์ พระมาซีฮาห์  ผู้ที่ได้ถูกเจิมตั้งไว้ ก่อนสร้างรากฐานของโลก เพื่อมาช่วยเหลือมนุษย์ให้พ้นจากความบาป ความตาย ให้กลับมาอยู่กับพระเจ้า ได้บังเกิดใหม่ บริสุทธิ์ ดีพร้อม เหมือนพระองค์ ต่อไปข้อ 24

1 เปโตร 1:24  “เพราะว่าบรรดาเนื้อหนัง (ร่างกายที่จับต้องมองเห็นได้นี้ อยู่เพียงชั่วคราว ชั่วขณะหนึ่งเท่านั้น)  ก็เป็นเสมือนต้นหญ้า  และเกียรติ และสง่าราศีของมัน ก็เป็นเสมือนดอกหญ้า  ต้นหญ้าก็เหี่ยวแห้งไป   และดอกก็ร่วงโรยไป”

 

ตอนนี้บอกให้ผู้เชื่อได้เห็น สังเกตถึงโลกที่เราอยู่บนโลกใบนี้ ที่ตามองเห็น ที่ถูกข่มเหงรังแก ที่เกิดความทุกข์ยากลำบากต่างๆ เหล่านี้  มันเป็นโลกวัตถุ มันอยู่ชั่วขณะหนึ่งเท่านั้น

“เพราะว่าบรรดาเนื้อหนัง ร่างกายที่จับต้องมองเห็นได้นี้อยู่เพียงชั่วคราว  ชั่วขณะหนึ่งเท่านั้น” เปรียบเหมือนต้นหญ้า และเกียรติและสง่าราศีของมันก็เหมือนดอกหญ้า ต้นหญ้าก็เหี่ยวแห้งไป และดอกไม้ก็ร่วงโรยไป ร่างกายของเรา ที่ได้รับความทุกข์ทรมาน  ที่ได้รับการข่มเหงรังแก ที่เกิดความทุกข์ยากลำบากในร่างกายนี้ มันอยู่แป๊บเดียวเอง มันเทียบอะไรกันกับชีวิตนิรันดร์ในพระเยซูคริสต์ ตะกี้บอกไม่ได้เลย มันเป็นโลกวิญญาณ เป็นถ้อยคำของพระเยซูคริสต์ เป็นถ้อยคำของพระเจ้าที่เกี่ยวกับข่าวประเสริฐ  ให้ชีวิตถาวรนิรันดร์กับท่านจะอยู่ตลอดไป แต่โลกใบนี้มันสิ้นสุดลงในไม่ช้านี้ ก่อนโลกจะสิ้นสุดลง ร่างกายท่านจะสิ้นสุดลงก่อนก็ได้ มันอีกไม่นาน อีกไม่กี่ปี อีกแป๊บเดียวเอง ชั่วขณะหนึ่ง

เพราะฉะนั้น พอมองเห็นอย่างนี้แล้ว อย่าลืมที่จะเรียนรู้ และจดจำ และระลึกอยู่เสมอ นี่คือเกี่ยวกับข่าวประเสริฐเช่นเดียวกันว่าวิญญาณที่ได้บังเกิดใหม่ในพระเยซูคริสต์นั้น เป็นวิญญาณที่เป็นเหมือนพระเยซู มีชีวิตถาวรนิรันดร์ มันอยู่นิรันดร์กาลเลย ส่วนร่างกายที่ท่านกำลังทนทุกข์ทรมานอยู่บนโลกใบนี้  มันอยู่ชั่วคราว มันแป๊บเดียวเอง มันนิดเดียวเอง มันเหมือนสระอิ สระอะไรที่มันสั้นที่สุด มันเหมือนไม้เอก ในพระคัมภีร์ภาษาไทยทั้งเล่ม

ภาษาไทยทั้งเล่ม ท่านอ่านข้อความทั้งเล่มหนามาก สมมติคือชีวิตนิรันดร์กาลในสวรรคสถานที่วิญญาณท่านบังเกิดใหม่อยู่ในนั้นแล้ว ส่วนร่างกายที่ท่านอยู่บนโลกใบนี้ เต็มไปด้วยความทุกข์ยากลำบาก มันเหมือนแค่ไม้เอก มันเทียบกันได้ไหมล่ะ หาไม้เอกอันหนึ่ง ติ่งหนึ่งอยู่ในหนังสือพระคัมภีร์ทั้งเล่ม มันหมายถึงอย่างนั้น ต่อไปข้อ 25 สุดท้าย …

1 เปโตร 1:25 “แต่ถ้อยคำของพระเจ้ายั่งยืนอยู่เป็นนิตย์  ถ้อยคำนั้น คือข่าวประเสริฐ  ที่ได้ประกาศให้ท่านทั้งหลายทราบแล้ว”

 

สรุปจบ ตามหัวข้อที่บอกไว้ ตอนนี้ ก็คือพระเยซูเป็นทุกสิ่ง เป็นความจริง เป็นชีวิต เป็นถ้อยคำ ข่าวประเสริฐ แต่ถ้อยคำของพระเจ้า ก็คือพระเยซู ก็คือถ้อยคำแห่งข่าวประเสริฐ ยั่งยืนอยู่เป็นนิตย์ อยู่นิรันดร์ พระเยซูอยู่นิรันดร์ พระมาซีฮาห์ คือขบวนการข่าวประเสริฐ  ถ้อยคำนั้น คือพระเยซูคริสต์ พระเยซูคือพระมาซีฮาห์ ซึ่งเรื่องพระมาซีฮาห์นี้ได้ถูกประกาศให้ท่านทั้งหลายทราบแล้ว แล้วท่านทั้งหลายก็เปิดใจต้อนรับพระมาซีฮาห์แล้ว บังเกิดใหม่แล้ว  ท่านจงมั่นใจ สบายใจว่าวิญญาณท่านรอดแล้ว รอดเลย วิญญาณท่านบังเกิดใหม่แล้ว อยู่ในพระหัตถ์ของพระเจ้า ปกปักษ์ดูแลท่านอยู่ตลอดเวลา  สำหรับร่างกายภายนอกมันอยู่อีกแป๊บเดียว มันก็จะไปแล้ว อย่าไปสนใจมันมากนัก อะไรประมาณนั้น

สรุปว่าท่ามกลางความทุกข์บากลำบากบนโลกใบนี้ เราผู้เชื่อทุกคน ไม่ว่าจะเป็นสมัยโน้น หรือสมัยปัจจุบัน ไม่ว่าจะถูกโรมข่มเหง หรือถูกโควิดข่มเหง ในขณะนี้ หรือเรื่องอื่นๆ อีก มากมายบนโลกใบนี้ ที่ทุกข์ยากลำบากบนร่างกายนี้ก็ตาม เราผู้เชื่อได้บังเกิดใหม่แล้ว เป้าหมายเราเรียนรู้จ้องมองระลึกถึงโลกฝ่ายวิญญาณที่เราได้บังเกิดใหม่นั้น เป็นเช่นไรในพระเยซูคริสต์ และให้เราอยู่บนโลกใบนี้ด้วยความอดทน อีกแป๊บเดียว อดทนต่อความทุกข์ยากลำบาก ชั่วขณะเดียว อีกแป๊บเดียวเอง อดทนให้ไม้เอกหายไปก่อน  และเรากำลังมุ่งสู่หลักชัย ชัยชนะนิรันดร์ ได้รับมรดกของเรา คือมงกุฎแห่งชีวิตในสวรรค์สถาน นิรันดร์กาล เพราะนั่นเป็นเรื่องของความจริงในข่าวประเสริฐ และมั่นใจในพระเยซูคริสต์ของเรา เอเมน  พระเจ้าอวยพรครับ

 

*************************

จากใจคณะศิษยาภิบาล

 

โรม 6:1-6 “1 เราจะว่าอย่างไรในเรื่องพระคุณพระเจ้านี้? เราจะยังคงทำบาปต่อไป เพราะรู้แล้วว่าพระคุณมากมายสามารถปกคลุมไปถึงอย่างนั้นหรือ?  2  มันเป็นไปไม่ได้แน่นอน เราได้ตายต่อบาปแล้ว เรายังคงอาศัยอยู่ในบาปต่อไปได้อย่างไร? (วิญญาณของเราไม่ได้ตายอยู่ในบาปในอาดัมแล้ว) 3 ท่านไม่รู้หรือว่าเราทั้งปวงที่เชื่อ (พระเยซู) ก็ได้ถูกนำเข้าไปเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเยซูคริสต์ และได้เข้าส่วนร่วมในความตายของพระองค์? (ที่ไม้กางเขน)  4 ฉะนั้น  เราจึงถูกฝังไว้กับพระองค์แล้ว  โดยการได้เข้าส่วนร่วมในความตาย เพื่อว่าเราเองก็จะได้มีชีวิตใหม่ (บังเกิดใหม่) เช่นเดียวกับที่ทรงให้พระคริสต์เป็นขึ้นจากตาย (บังเกิดใหม่) โดยฤทธิ์อำนาจแห่งพระวิญญาณและพระเกียรติสิริของพระบิดา 5 ถ้าเราได้มีส่วนร่วม เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์ในการตาย แน่นอนเราจะมีส่วนร่วม เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์ในการเป็นขึ้นจากตาย (บังเกิดใหม่)  6 เพราะเรารู้ว่าตัวเก่าของเรา (ที่อยู่ในบาปในอาดัม) ถูกตรึงไว้กับพระองค์แล้วเพื่อตัวบาปเก่านั้นจะถูกขจัดไป เพื่อเราจะไม่เป็นทาสบาปอีกต่อไป”

 

วิญญาณของมนุษย์ที่ตายอยู่  ได้รับการบังเกิดใหม่  เป็นอภิมหาบริสุทธิ์สะอาดที่สุด พระวิญญาณของพระเจ้า ได้เข้ามาบัพติศมาผู้เชื่อในพระเยซู  เพื่อให้ผู้นั้นสะอาดบริสุทธิ์หมดจดชำระ  ตั้งแต่ร่างกายความคิดจิตใจและวิญญาณได้เกิดใหม่บริสุทธิ์สะอาดศักดิ์สิทธิ์ เพื่อพร้อมที่จะเป็นบ้าน ให้พระเจ้าพระบิดา และพระเยซูเข้ามาสถิตอยู่ด้วยกันในวิญญาณที่เกิดใหม่นั้น  ธรรมชาติที่ได้เกิดใหม่นี้ จะมีปฏิกิริยาต่อต้าน เกิดอาการแพ้  เมื่อร่างกายเผลอไปทำบาป

 

พระเจ้าอวยพรครับ

 

 

 

วารสาร Holy News ฉบับที่ 1358

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  3  เมษายน  2022

เรื่อง “หนังสือเอเฟซัส” ตอน 9

โดย วราพร  คงล้วน

 

วันนี้เรามาต่อในหนังสือเอเฟซัส บทที่ 2 วันนี้ต่อข้อที่ 3 เราจะไม่รีบ เราก็ค่อยๆ ช้าๆ เจาะลึกลงไปในโลกวิญญาณ เมื่อเรารับรู้ความจริงในโลกวิญญาณว่าบัดนี้ พระเจ้าได้ทำอะไรให้กับพวกเราเรียบร้อยไปแล้ว และเราเป็นใครในพระเยซูคริสต์ จะทำให้เรามีกำลังในการดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ ที่พระเจ้าบอกว่าพระองค์ไม่ทิ้งเรา หลายครั้งในชีวิตของพวกเราเจอปัญหา อุปสรรคเยอะแยะมากมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยุคปัจจุบันนี้ ที่เราเจอโควิด ลำบากเนอะ

พระเจ้าบอกพระองค์ไม่ทิ้งเราแน่นอน วันแรกที่เราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอดปุ๊บ พระเจ้าเริ่มต้น การงานดี จริงๆ พระเจ้าก็เริ่มต้นการงานดี ตั้งแต่อดีตแล้ว แต่ว่าเริ่มต้นการงานดีพิเศษ สำหรับผู้ที่เปิดใจ สำหรับคนที่ได้บังเกิดใหม่แล้ว เพราะว่าพระเจ้าสามารถเข้ามาทำงานในวิญญาณของเราได้อย่างเต็มที่ เพราะว่าเราเป็นพวกเดียวกัน

ก่อนหน้านั้น ถ้าเราไม่เชื่อพระเจ้า  พระเจ้าก็เข้ามาทำงานไม่เต็มที่ เพราะว่าอยู่คนละพวก แล้วพระเจ้าที่เรารู้จัก เป็นพระเจ้าที่อ่อนสุภาพ เป็นพระเจ้าที่น่ารัก เป็นพระเจ้าที่มีความรักมากๆ รักมนุษย์บนโลกใบนี้มากมาย ต้องการให้มนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้  ได้รับความรอด แล้วพระเจ้าไม่เคยบังคับใคร แม้เรามาเชื่อพระเจ้าแล้ว พระองค์ก็ไม่บังคับเรา พระองค์ให้อิสระเสรีให้กับมนุษย์ เลือกที่จะตัดสินใจ เมื่อข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์ถูกประกาศออกไป พระเยซูบอกว่าพระองค์ทำสำเร็จ เมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว ที่ไม้กางเขน จากคำพยากรณ์ ตั้งแต่พระคัมภีร์เดิม จนถึงพระคัมภีร์ใหม่ เมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว พระเยซูทำสำเร็จครบถ้วนแล้ว หมายความว่าแผนการไถ่ถอน หรือแผนการช่วยเหลือมนุษย์บนโลกใบนี้ ที่ตกลงไปอยู่ในความบาป อยู่ในคำสาปแช่ง ได้ทำเสร็จเรียบร้อยไปแล้ว

ตรงนี้เป็นของขวัญที่มนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้ สามารถได้รับ เราไม่เคยรู้ตรงนี้เลย เมื่อก่อนเราเข้าใจว่าของขวัญชิ้นนี้ พระเจ้าให้เฉพาะคนที่เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด แล้วเราเป็นคริสเตียน เราก็เข้ามารับของขวัญ เราได้ คนที่ไม่เชื่อ ไม่ได้ แต่ความเป็นจริง ในโลกวิญญาณ พระเจ้า พระเยซูคริสต์บอกเราว่าพระองค์ทำครั้งเดียว เรียบร้อย สำเร็จ สำหรับมนุษย์ทั้งหมดบนโลกใบนี้ เป็นของขวัญที่พระเจ้าทำสำเร็จแล้ว

ฉะนั้น เมื่อก่อน เราเคยอธิษฐานให้กับคนที่เรารัก ไม่ว่าจะเป็นพ่อ แม่ ปู่ ย่า ตา ยาย ทวดเรา ลูกหลานเหลนโหลนของเรา หรือเพื่อนฝูงที่เรารัก ที่ยังไม่รู้จักพระเจ้า พอเรารู้จักกับพระเจ้า เรารู้ว่าดีมากเลย เราได้รับการบังเกิดใหม่ เราได้มาเป็นลูกของพระเจ้า เราได้มาเป็นผู้ชอบธรรม เราอยู่ในความสว่าง เราไม่ต้องอยู่ภายใต้กฎของความบาปและความตาย ในวิญญาณแล้ว นี่พูดถึงในโลกวิญญาณ เราสามารถสบายใจได้เลย หลังความตายเราได้ไปอยู่กับพระเจ้า ในสวรรคสถานแน่นอน ตามที่พระเจ้าบอกไว้

แล้วพระคัมภีร์ก็บอกเราในหนังสือเอเฟซัส บอกว่าตั้งแต่ที่เราอยู่บนโลกใบนี้ ในโลกวิญญาณ เราก็ได้ไปนั่งอยู่กับพระเยซูคริสต์เรียบร้อยไปแล้ว ที่สวรรคสถาน  ที่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้า คือสิ่งต่างๆ เหล่านี้มันเกิดขึ้นในโลกวิญญาณ ซึ่งพอบอกโลกวิญญาณปุ๊บ เราต้องใช้ความเชื่อ เชื่อตามที่พระเจ้าบอก เพราะว่าตาเรามองไม่เห็น มือเราสัมผัสไม่ได้ แต่ข้างในลึกๆ ในวิญญาณ พระวิญญาณบริสุทธิ์จะบอกเรา แล้วเราก็เชื่อตามนั้น เหมือนเพลงที่เมื่อกี้ร้อง ไม่รู้ว่าพระเจ้าให้ความเชื่อเราได้อย่างไร? แต่เมื่อเราอ่านถ้อยคำของพระเจ้า สันติสุขมันเข้ามา เราเชื่อถ้อยคำพระองค์บอกเราอย่างนี้ บอกว่าตอนนี้เราเป็นลูกพระเจ้าแล้ว เราเป็นแสงสว่างแล้ว เราเป็นผู้ชอบธรรมแล้ว เราไม่ได้อยู่ภายใต้อิทธิพลของมารอีกแล้ว  เราไม่ต้องไปเชื่อมันแล้ว นี่คือความจริงทั้งหมดในโลกวิญญาณที่พระเจ้าบอกเรา พอเรารับรู้ความจริงในเรื่องนี้ปุ๊บ คำอธิษฐานของเรา ก็จะเปลี่ยน ท่าทีในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ก็จะเปลี่ยน เมื่อก่อนเราอธิษฐาน …

“พระองค์เจ้าข้า ขอความรอดให้กับ 1, 2, 3, 4 นาย ก. นาย ข. เพื่อนที่เรารัก ญาติพี่น้องเราที่ยังไม่เชื่อพระเจ้า เราอธิษฐานขอความรอดให้กับเขา”

แต่ ณ เวลานี้ ความจริงที่พระเยซูคริสต์บอกเรา คือไม่ต้องขอแล้ว พระเจ้าทำให้เสร็จแล้ว ถ้าพระเจ้าทำให้เสร็จแล้ว เราต้องอธิษฐานแบบไหน? คือตอนนี้ไม่ได้ขอความรอดให้กับคนที่เขายังไม่เปิดใจ เราก็อธิษฐานขอพระเจ้าเมตตาเปิดตาใจ ให้คนที่เรารัก สามารถรับรู้ความจริง ในเรื่องข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์ ที่พระเยซูได้ทำให้เราสำเร็จแล้วบนไม้กางเขน

เมื่อเขารับรู้ความจริงเหล่านี้ เราไม่รู้ว่าเมื่อไร? อย่างไร? เมื่อความจริงถูกพูดออกไป แล้วเขาได้ยินได้ฟัง ถี่ขึ้นๆ วันหนึ่ง ข้างในเกิดความรู้สึกว่าเหนื่อยแล้ว เขาทำเองไม่ไหว เขาอยากจะมารับของขวัญชิ้นนี้จากพระเจ้า แล้วก็แค่บอกพระเจ้าว่า …

“พระองค์เจ้าข้า ลูกอยากได้ ลูกเอา รับเอา”

แค่นั้นเอง เขาก็เข้ามารับเอาสิ่งที่พระเยซูคริสต์กระทำ เพื่อเขาบนไม้กางเขน เหมือนตอนที่เรามาเชื่อใหม่ๆ เราก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าเรามาเชื่อได้อย่างไร? งง เหมือนกัน และเชื่อว่าทุกคนที่มาเชื่อพระเจ้า ก็ประมาณงงๆ เหมือนกันว่าเราฟังเขาเล่าเรื่องพระเยซูคริสต์ ฟังไปฟังมา เอ๊ะ! ทำไมข้างในเราเกิดความรู้สึกว่าเราอยากได้ อยากได้สิ่งที่คนนั้นเขามาบอกเราว่าพระเยซูทำอะไร เพื่อเขาเรียบร้อยไปแล้ว บนไม้กางเขน ตอนนี้เขาได้รับอะไร ตอนนี้ข้างในวิญญาณเขา เป็น้ผูชอบธรรมแล้ว เขาไม่ได้อยู่ในความบาปอีกเลย นั่นคือความจริงในโลกวิญญาณ

พอเรารับรู้ความจริง อธิษฐานใหม่ ขอพระเจ้าทรงเมตตา ให้ผู้คนที่เรารัก ผู้คนที่เรารู้จัก ให้เขาสามารถรับรู้ความจริง เมื่อเขารับรู้ความจริงถึงจุดหนึ่ง  ที่เขารู้สึกว่าตัวเองช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ อยากจะขอความช่วยเหลือจากพระเจ้า เขาก็จะเข้ามาในสถานะเดียวกันกับพวกเรา ก็คือวันที่เราบอกพระเจ้าว่า …

“พระองค์เจ้าข้าช่วยลูกด้วย ลูกไม่ไหวแล้ว ลูกทำเองไม่ได้ ลูกต้องการความช่วยเหลือ”

นั่นแหละ พอถึงจุดนั้นปุ๊บ พระวิญญาณบริสุทธิ์จะเริ่มต้นทำงาน  ทำไมพระวิญญาณบริสุทธิ์ต้องรอจนคนๆ นั้นเข้ามาหาพระเจ้า แล้วบอกว่า …

“ไม่ไหวแล้ว พระองค์เจ้าข้าช่วยลูกด้วย”

พระองค์ถึงทำงาน เพราะพระองค์อ่อนสุภาพ พระองค์ไม่บังคับ พระองค์รอ เหมือนกับที่พระเยซูบอกว่า …

“นี่แน่ะ เรายืนเคาะอยู่ที่ประตูใจของท่าน ถ้าใครเปิดประตูมา เราก็จะเจ้าไปหาผู้นั้น”

ก็คือรอจังหวะ รอเวลา รอคนที่เขาได้ยินได้ฟังข่าวประเสริฐของพระเจ้า เขาเปิดใจ เขาต้องการความช่วยเหลือจากพระเจ้า พระองค์ก็เริ่มต้นทำงาน พอพระองค์เริ่มต้นทำงาน พระวิญญาณบริสุทธิ์ได้ทำให้เราสามารถบังเกิดใหม่ หลังจากบังเกิดใหม่ ในโลกวิญญาณปุ๊บ พระองค์ก็เริ่มต้นทำงาน เริ่มต้นพาเรา อย่างในหนังสือฟิลิปปีบอกว่าพระองค์ผู้ทรงเริ่มต้นการงานดี ไว้ในชีวิตของพวกเราทั้งหลาย พระองค์จะทรงนำพาเรา จนถึงวันของพระเยซูคริสต์

หมายความว่าพระองค์ก็จะเริ่มต้นทำงาน ช่วยเหลือเรา คอยแนะแนวทางเรา คอยบอกเรา  คอยให้กำลังใจเรา ในการดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ ไม่ว่าเราจะทุกข์ยากลำบากขนาดไหน? พระเยซูบอกว่าไม่เป็นไร พระองค์อยู่ด้วย พระองค์สถิตอยู่ในเรา พระองค์จะจูงมือเราเดิน ไม่ว่าจะผ่านด้วยวิธีแบบไหนก็ตาม หรือบางครั้ง มันไม่ได้ผ่านตามที่เราอยากได้หรอก แต่พระเจ้าก็พาเราผ่าน แล้วพระเจ้าก็บอกว่าส่วนเรื่องของวิญญาณ เราไม่ต้องห่วงแล้ว วิญญาณเรารอดแล้ว อยู่ในพระหัตถ์ของพระเจ้าแล้ว ส่วนบนโลกใบนี้ พระองค์ก็พาเราไป จนถึงวันสุดท้าย อย่างที่บอก วันสุดท้ายของชีวิตของเรา ที่วิญญาณเราออกจากร่าง แล้วไปอยู่กับพระเจ้า หรือวันที่เรายังอยู่เป็นๆ อย่างนี้ แล้วพระเยซูเสด็จกลับมารับเรา แล้วเราก็ถูกรับไปพร้อมกับพระเยซู ไม่ว่าวันไหนก็ตาม วิญญาณเรารอด  เราก็ได้ไปอยู่กับพระเจ้า

นี่คือสิ่งที่พระเยซูคริสต์บอกเราว่าในโลกวิญญาณ มันเป็นอย่างนั้น แล้วเราผู้เชื่อ เมื่อเจอกับปัญหาอุปสรรคมากมาย พระองค์ก็เล้าโลมใจเรา พระองค์ไม่ทิ้งเรานะพี่น้อง ให้รับรู้ว่าพระองค์ไม่เคยทิ้งเรา พระองค์รักเรามาก มากถึงมากที่สุด มากกว่าตัวเราเองอีก แล้วพระองค์ก็เตรียมสิ่งที่ดีที่สุด ให้กับลูกของพระองค์ แล้วพระเจ้าทรงรู้ว่าอะไรคือสิ่งที่ดีที่สุด สำหรับพวกเราแต่ละคนด้วย ซึ่งดีของคนหนึ่ง ก็ไม่ใช่ดีของอีกคนหนึ่ง นึกออกไหมค่ะ คนนี้ พระเจ้าบอกว่าอย่างนี้ดี แต่ส่วนใหญ่ พอเราได้อะไร? เราไม่ค่อยพอใจเท่าไรหรอก เราจะไปชะเง้อมองคนอื่น …

“ทำไมคนนี้ได้อย่างนี้ เราอยากได้เหมือนเขาจังเลย”

พระเจ้าบอก … “อย่าไปอยากได้เหมือนเขาเลย เพราะว่าถ้าเธอได้ตรงนั้น เธอไม่มีความสุขหรอก” นึกออกไหมค่ะ

พระเจ้ารู้ดีกว่าเราเยอะ แล้วพระองค์ก็จะนำพาเรา ให้เราสามารถมีกำลังผ่านไปได้ ในแต่ละวันๆ ด้วยพระคุณ ด้วยความรัก ซึ่งมาจากพระเจ้า … นี่คือเรื่องที่พระเจ้าหนุนใจเรา ในโลกวิญญาณ

เอเฟซัส 2:3 “ครั้งหนึ่ง เราเคยมีชีวิตเหมือนกับผู้คนเหล่านั้น (ไม่เชื่อ ไม่ได้ใช้สิทธิ์ในการไถ่บาปของพระเยซู) ที่ทำตามตัณหาของวิสัยบาปของเรา สนองความอยากกับความคิดของมัน ตามธรรมชาติบาปของวิญญาณที่ตายของเรา (ซึ่งไม่บริสุทธิ์ ไม่มีพระลักษณะของพระเจ้า) เราจึงควรแก่การถูกลงโทษ สาปแช่งเหมือนคนอื่นๆ (ที่ไม่เชื่อ ไม่ได้ใช้สิทธิ์ในการไถ่บาปที่พระเยซูได้กระทำให้)”

 

ในนี้ อาจารย์เปาโลพูดถึงผู้เชื่อที่ครั้งหนึ่ง ก่อนที่เรามาเชื่อพระเจ้า  เราเคยเป็นแบบนี้ เราอยู่ในบาป เราเป็นทาสของบาป เราประพฤติตนตรงกันข้ามกับพระเจ้า เป็นศัตรูกับพระเจ้า

ฉะนั้น คำว่า “เรา” ในข้อที่ 3 ตรงนี้ อาจารย์เปาโล หมายถึงคนยิว ซึ่งเป็นบุคคล พวกแรกที่พระเจ้าได้ทรงเลือกไว้ เพื่อเป็นผู้รักษากฎระเบียบที่ถูกถ่ายทอดมาทางอับราฮัม คนยิวจะมีบทบัญญัติของพระเจ้าที่ถูกสอน ต่อๆ กันมา ตั้งแต่สมัยพระคัมภีร์เดิม ที่พระเจ้าให้กฎบัญญัติ ให้กับโมเสส แล้วคนยิว ก็เอากฎบัญญัติ เหล่านี้มายึดเอาไว้ เมื่อก่อน ก่อนที่พระเยซูคริสต์มาเกิดเป็นมนุษย์ มาตายแทนเราบนไม้กางเขน และเป็นขึ้นมาจากความตาย มนุษย์ทุกคนจำเป็นต้องพึ่งพากำลังของตนเอง ในการดำเนินชีวิต ในแต่ละวัน

แล้วคนยิว พระเจ้าก็เลือกเป็นกลุ่มคนพิเศษ ออกมาก่อน แล้วพระเจ้าก็ให้บทบัญญัติไว้ แล้วคนยิว เขาก็จะสอนบทบัญญัตินี้ ต่อเนื่องไปเรื่อยๆ โมเสสก็จะบอกกับคนอิสราเอลว่าอย่าให้หนังสือธรรมบัญญัตินี้ ห่างไกลจากท่าน ท่านจงตรึกตรองหนังสือนี้ ทั้งกลางวันและกลางคืน ให้ผูกไว้ที่ข้อมือ ให้แปะไว้ที่หน้าผาก ให้แปะไว้ที่เสาเรือน ให้แปะไว้ข้างฝา ถ้าพูดถึงปัจจุบัน ก็แปะไว้ที่ตู้เย็น แปะไว้ที่ตู้กับข้าว แปะไว้ที่ตู้น้ำดื่ม ก็คือเดินไปที่ไหนก็เจอถ้อยคำพระเจ้าเลย มันเป็นอย่างนั้น สมัยก่อนโมเสสก็สั่งอย่างนี้ แล้วคนอิสราเอลเขาก็ท่องบทบัญญัติ พอท่องบทบัญญัติ แล้วเขามีความรู้สึกภาคภูมิใจในความเป็นชนชาติของพระเจ้า ที่พระองค์เลือกสรรไว้

พอมีความภาคภูมิใจในความเป็นชนชาติของพระเจ้า ที่พระเจ้าเลือกสรรไว้ปุ๊บ คนอิสราเอลเขาก็จะเอาหางตามองชาติอื่น ที่ในพระคัมภีร์ใช้คำว่า “คนต่างชาติ” ไม่ว่าจะเป็นชาติไหน? ประเทศไทย ประเทศจีน ประเทศอินเดีย ประเทศอะไรก็แล้วแต่ คนยิวเขาเรียกคนต่างชาติหมดเลย แล้วเขาถือว่าคนต่างชาติ เป็นคนละระดับกับเขา ไม่ได้เป็นคนของพระเจ้า เขาไม่อยากจะเสวนาด้วย อะไรประมาณนั้น แต่พระเจ้าบอกความจริงให้กับคนอิสราเอลรับรู้ ว่าจริงๆ แล้วพระเจ้าแค่เลือกเขามาก่อน ให้มารักษาบทบัญญัติของพระเจ้า แต่ในอนาคตข้างหน้า เมื่อพระเยซูคริสต์เสด็จมา พระองค์ก็จะเลือกคนต่างชาติด้วย หมายความว่าข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์จะถูกประกาศไปถึงคนต่างชาติด้วย

คนอิสราเอล สมัยก่อน คิดว่า … “ฉันเป็นคนของพระเจ้า คนอื่นไม่สามารถเป็นคนของพระเจ้าได้”

แต่พระเจ้าบอกว่า … “แผนการนี้ ฉันเตรียมไว้ ตั้งแต่โน้น สมัยอดีตเลย ตั้งแต่ปฐมกาล ฉันเตรียมไว้แล้วแหละว่าความรอดนี้ เมื่อพระเยซูมาทำสำเร็จ คนยิวก็จะได้ก่อน”

คือมีสิทธิพิเศษ ที่พระเจ้าให้ จะได้ก่อน แต่เป็นเรื่องแปลกและก็เรื่องจริงด้วย คนยิวควรจะได้ก่อน แต่คนยิวก็ไม่เชื่อพระเจ้า อย่างที่เราเรียนไปเมื่อเช้าหนังสือยอห์น พระเยซูมาเดินอยู่ท่ามกลางเขา เขาก็ไม่เชื่อว่าพระเยซูเป็นพระมาซีฮาห์ เขาก็ไม่เอา ไม่เข้ามาขอความช่วยเหลือจากพระเจ้า ยังคงภาคภูมิใจในการกระทำของตนเอง คิดว่าตัวเองสุดยอด เลอเลิศมาก สามารถรักษาบทบัญญัติของโมเสสได้เยอะแยะมากมาย ต่างกับพวกคนต่างชาติ ซึ่งไม่มีวัฒนธรรม ไม่เหมือนเขาหรอก เขาสุดยอดแล้ว

แต่พระเยซูกำลังบอกกับคนยิวว่ามันเท่ากัน ไม่ว่าเธอที่ถูกเลือกสรรมา หรือคนต่างชาติที่ไม่ได้มีบทบัญญัติของพระเจ้า เธออยู่ในกลุ่มเดียวกัน กลุ่มอะไร? ที่เราคุยกัน กลุ่มของคนบาป ถ้าพูดเหมือนอาจารย์นครพูด ก็คืออยู่ในต้นไม้ ต้นเดียวกัน เขาเรียกว่าต้นอาดัม อาดัมเป็นต้นพันธุ์ เป็นลำต้นบาป เป็นต้นไม้ที่เสียหายไปแล้ว ไม่สามารถจะผลิตผลดีอะไรเลย ไม่ว่าทั้งกิ่ง ทั้งใบ ทั้งดอก ทั้งผลจะออกมาดูสวยงามขนาดไหน? ในโลกวิญญาณ ก็คือมันเน่า พระเจ้ามองแล้ว มันเน่า ต่อให้ดูด้วยตาของมนุษย์ว่าสุดยอดเลย เขาเก่ง แต่พระเจ้าบอกว่ามันเสียหายไปแล้ว เขาเป็นเผ่าพันธุ์ที่ถูกสาปแช่ง เป็นเผ่าพันธุ์ที่จะต้องเดินทางไปสู่ความพินาศ ซึ่งจริงๆ แล้วเขาถูกตัดสินว่าพินาศไปแล้ว มนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้ ถูกพระเจ้าตัดสินให้พินาศไปแล้วในวิญญาณ เพราะว่ามนุษย์เมื่อล้มลงในความบาปปุ๊บ ถูกตัดขาดจากพระเจ้า ไม่สามารถคืนดีกับพระเจ้าได้ ความสกปรกกับความบริสุทธิ์ของพระเจ้าอยู่ด้วยกันไม่ได้ แล้วมนุษย์ก็เป็นวิญญาณนิรันดร์ด้วย ที่แน่ๆ ที่น่ากลัวที่สุด คือวิญญาณของมนุษย์ทุกคน เป็นวิญญาณนิรันดร์ เพราะเป็นวิญญาณที่มาจากพระพระเจ้า

พอเป็นวิญญาณนิรันดร์ปุ๊บ พอถูกตัดสินว่าอยู่ในความพินาศ วิญญาณเขาก็อยู่ในความพินาศนิรันดร์นั่นเอง พระเจ้าวางแผนไว้ส่งพระเยซูคริสต์มา เพื่อที่จะมาช่วยมนุษยชาติทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นคนยิวหรือคนต่างชาติ เป็นความลี้ลับของพระเจ้า ที่พระองค์ได้วางแผนการไว้ล่วงหน้า ซึ่งมนุษย์ไม่สามารถเข้าใจได้

ตอนที่ข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์ไปถึงคนต่างชาติ ที่พระเจ้าให้เปาโลเป็นผู้ไปประกาศกับคนต่างชาติ ให้เขากลับใจใหม่ คนยิวเคืองมาก มีความรู้สึกได้อย่างไร? คนต่างชาติที่แบบไม่มีระดับ ไม่มีสกุลรุนชาติ จะมาเป็นลูกของพระเจ้าเหมือนเรา ได้อย่างไร? อะไรประมาณนั้น แต่พระเจ้าบอกว่าสามารถ

ใครก็ตามที่เข้ามาหาพระเจ้า ขอความช่วยเหลือจากพระเยซูคริสต์ คนนั้นก็ได้เข้ามาในอาณาจักรของพระเจ้าเลย ส่วนคนยิวที่ถือตัวว่าตัวเองสามารถรักษาบทบัญญัติได้ ก็เย่อหยิ่ง ไม่ยอมเข้ามาขอความช่วยเหลือจากพระเจ้า เป็นกลุ่มน้อยมากที่จะยอมรับ อย่างกลุ่มน้อยที่สุด ที่ในพระคัมภีร์บันทึก ก็คือพวกกลุ่มของสาวก และกลุ่มคนที่ติดตามพระเยซู ตอนที่พระเยซูยังมีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ แล้วจากนั้นข่าวประเสริฐของพระองค์ประกาศออกไป ก็จะมีกลุ่มน้อยมาก ในคนยิวที่เปิดใจมาต้อนรับพระเยซูคริสต์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอด

พระเยซูบอกว่าไม่ใช่โดยปริยาย ที่คนอิสราเอลทั้งหมด จะได้รับความรอด เพราะเขาถือว่าเขาเป็นชนชาติของพระเจ้า ไม่ใช่ พอถึงเงื่อนไขใหม่ ที่พระเจ้าตั้งไว้ คือวันที่พระเยซูคริสต์เสด็จมาเกิดบนโลกใบนี้ มาสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน ถูกฝัง และเป็นขึ้นมาจากความตาย ในวันที่ 3 เป็นเงื่อนไขใหม่ที่พระเจ้าบอกให้มนุษย์ทั้งหมด ทั้งคนยิวกับคนไม่ยิวว่า …

“ตอนนี้ฉันให้เงื่อนไขใหม่แล้วนะ ตามในหนังสือกิจการ ที่บอกว่าในผู้อื่น ความรอดไม่มี”

ในอะไรก็ได้ นาย ก. นาย ข.  นาย A – นาย Z ที่บอกว่าเขาสามารถช่วยมนุษย์ให้รอดได้ ไม่มี ไม่สามารถทำได้ โกหก มีนามเดียวเท่านั้น ในพระคัมภีร์ที่บันทึกไว้ ก็คือนามของพระเยซูคริสต์ ทุกคนต้องเข้ามาหานามของพระเยซูคริสต์ เข้ามารับความช่วยเหลือจากพระเยซูคริสต์  นี่คือกฎ เงื่อนไขใหม่

แล้วในพระคัมภีร์ พระเจ้าได้บันทึกว่าในยุคของพระเยซูคริสต์นี้ พระเจ้าจะประทานบัญญัติใหม่ให้กับมนุษย์ ก็คือเปลี่ยนใจใหม่ให้กับมนุษย์ แล้วการเปลี่ยนใจใหม่ให้กับมนุษย์ พระเจ้าก็ทำไปแล้ว เมื่อมนุษย์คนหนึ่งคนใด เข้ามาขอความช่วยเหลือจากพระเจ้า พระเยซูคริสต์ว่า …

“ฉันช่วยตัวเองไม่ได้ พระองค์เจ้าข้าช่วยด้วยๆ ลูกขอความช่วยเหลือ”

ปุ๊บ พระวิญญาณบริสุทธิ์ ก็ทำการผ่าตัดวิญญาณ ผ่าตัดเอาใจหิน ใจข้างใน ที่เป็นใจหยาบ ใจบาป ใจที่ถูกพิพากษาไปแล้ว ใจที่อยู่ในความพินาศ พระองค์ก็ผ่าตัดเอาใจนั้นออกไป แล้วก็เอาใจใหม่ใส่เข้ามาในวิญญาณของเรา เมื่อใส่ใจใหม่เข้ามาในวิญญาณของเรา เป็นเหมือนพระเจ้าไม่มีผิด เป็นวิญญาณแห่งความรัก ทันทีที่เราบังเกิดใหม่ ข้างในวิญญาณเรา เป็นความรักเลย เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเจ้า ได้สามัคคีธรรมกับพระเจ้า

สมัยก่อน เราก็คิดอีก เราคิดจนพระเจ้าเปิดให้เห็นเยอะแยะมากมาย ซึ่งมันเหนื่อยเรา คือพอเราคิดด้วยกำลังของเราเอง เราก็ต้องทำด้วยตัวของเราเองใช่ไหม?  สามัคคีธรรมกับพระเจ้า เราก็ว่าสามัคคีธรรม ต้องทำอย่างไร? เราต้องมาอยู่รวมตัวกัน เราต้องมาเรียนพระคัมภีร์ด้วยกัน เราต้องมาร้องเพลงด้วยกัน เยอะแยะมากมาย คือต้องๆ คือเราต้องทำหมด แต่ความจริงในโลกวิญญาณ พระเจ้าบอกว่าทันทีที่เราเข้ามาหาพระเยซูคริสต์ ขอความช่วยเหลือจากพระเจ้า ทันทีที่เราบอกพระเจ้าว่า …

“พระองค์ช่วยด้วย”

พระเจ้าเปลี่ยนวิญญาณเราใหม่ พอเปลี่ยนปุ๊บ เราสามัคคีธรรมกับพระเจ้าเลย เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเจ้า และเป็นหนึ่งเดียวกันกับพี่น้องด้วย พี่น้องในพระคริสต์ ทุกคนที่เชื่อวางใจในพระเจ้า เราจะเป็นหนึ่งเดียวกัน แล้วเราก็รักกันเลย ในวิญญาณ ไม่เกี่ยวอะไรกับการประพฤตินะ เราจะรักกันเลยในวิญญาณ พี่น้องในโบสถ์ของเราเอง พี่น้องโบสถ์อื่น พี่น้องที่เป็นคริสเตียนทั่วโลกใบนี้ เรารักเขาเลย ในวิญญาณ แล้วเราก็สามัคคีธรรมกับเขา เป็นหนึ่งเดียวกัน เป็นขนมปังก้อนเดียวกัน พระเยซูทำให้เห็น ตอนที่กินอาหารมื้อสุดท้าย  ที่พระเยซูบอกว่า … “นี่คือกายของเรา” ขนมปังก้อนนี้ แบ่งๆ ให้ทุกคนกิน

“นี่คือกายของเรา จงกระทำอย่างนี้ ให้เป็นที่ระลึกถึงเรา”

ก็คือวันหนึ่งพระเยซูคริสต์จะเดินไปที่ไม้กางเขน พระกายของพระองค์จะแตกหัก ถูกเฆี่ยนตี ถูกโบยตี ถูกสวมมงกุฎหนาม ถูกเยาะเย้ยถากถาง เพื่อพวกเราจะได้รับการอภัยโทษบาปหมดเลย อดีต ปัจจุบัน อนาคต แล้วโดยโลหิตของพระเยซูคริสต์ ที่หลั่งออก ที่เราดื่มน้ำองุ่น

พระเยซูบอก … “นี่เป็นโลหิตของเรา เมื่อเจ้าดื่มจากถ้วยนี้เวลาใด ให้ระลึกถึงเรา”

ระลึกถึงอะไร? ระลึกถึงสิ่งที่พระเยซูคริสต์ได้กระทำ เพื่อเราเรียบร้อยไปแล้ว บนไม้กางเขน

ฉะนั้น การทำมหาสนิท เราสามารถทำด้วยตัวเอง ที่บ้านได้ ระลึกถึง มันเป็นสัญลักษณ์ที่พระเยซูคริสต์บอกว่าทำเป็นแบบอย่างให้เราดูว่าทุกครั้ง ที่เราดื่มหรือกิน ให้ระลึกถึงสิ่งที่พระเยซูคริสต์กระทำ เพื่อเรา บนไม้กางเขน  ก็คือระลึกถึงข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์แหละว่าพระองค์ทำอะไรให้กับเราเรียบร้อยไปแล้ว หลังจากที่พระองค์เป็นขึ้นมาจากความตาย พระเยซูคริสต์ได้ให้อะไรกับเราเรียบร้อยไปแล้วในโลกวิญญาณ ที่เราเรียนมาตลอดเลย ทันทีที่เราบังเกิดใหม่ เราเป็นผู้ชอบธรรม เราเป็นผู้บริสุทธิ์     เราเป็นลูกของพระเจ้า    เราได้นั่งอยู่ที่เดียวกันกับพระเยซูคริสต์  เราอยู่ที่สวรรคสถานนิรันดร์กาลร่วมกับพระเยซูคริสต์ ในโลกวิญญาณ คือทุกอย่างได้หมดแล้ว

แล้วแถมสิ่งที่เราได้ ก็คือพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่อยู่ในเรา พอพระเจ้าชำระร่างกาย ความคิดจิตใจ วิญญาณเราสะอาด พระองค์ก็เข้ามาอยู่ในเรา พอพระเจ้าเข้ามาอยู่ในเรา เราต้องรับรู้ความจริงตรงนี้เลยว่าเราเดินไปไหน? พระเจ้าไปด้วย สมัยก่อนเราถูกหลอกอีกว่าอย่าไปทำอะไรไม่ดีนะ ถ้าทำบาป พระเยซูก็จะวิ่งออกจากตัวเราไป  สมัยก่อน ดิฉันยังเคยสอน แบบนี้ เพราะถูกสอนมาแบบนี้ แล้วก็เข้าใจว่าเป็นแบบนี้

“ถ้าเธอทำบาป พระเยซูก็จะวิ่งออกจากตัวเธอไป แล้วถ้าเธอทำดี พระเยซูก็จะวิ่งเข้ามา”

แล้วเราก็เชื่อด้วย แต่ความเป็นจริง พระเยซูไม่วิ่งไปไหน พระเยซูบอกว่าพระองค์อยู่ในเรา ไม่ว่าเราจะทำอะไร ทำดี ทำไม่ดีก็ตาม  พระเยซูก็อยู่ด้วยกับเรา แล้วพระเยซูก็ให้คำแนะนำ คอยช่วยเหลือเรา เวลาเราทำสิ่งที่ไม่ถูกต้อง ตรงกันข้ามกับธรรมชาติใหม่ ที่เราเป็น

ธรรมชาติใหม่ที่เราเป็น คือความรัก ถ้าเกิดเราทำอะไร ข้างในวิญญาณเราถูกหลอกให้เกลียด มันตรงกันข้ามแล้วนะ ถูกหลอกให้เกลียดปุ๊บ พระวิญญาณข้างในก็จะบอกเรา …

“ลูกเอ๋ย ตอนนี้ลูกเป็นวิญญาณแห่งความรักแล้วนะ ไม่ใช่วิญญาณแห่งความเกลียด ลูกสามารถขัดขืน ไม่ทำตามระบบของโลกนี้ ที่มันหลอกลูกนะว่าให้ไปเกลียดชัง”

ข้างในวิญญาณเราจะรับรู้ พอพระเจ้าบอก เราก็ใช่ๆ ตอนนี้วิญญาณเราเป็นวิญญาณแห่งความรัก เราก็เริ่มต้นพัฒนา เขาเรียกว่าพัฒนาการเจริญเติบโต รับรู้ความจริงว่าตอนนี้ข้างในวิญญาณเรา ตัวจริงๆ ของเราเป็นอย่างไร?

จะเห็นภาพของมนุษย์ มนุษย์ที่เกิดมา เราเห็นเด็กๆ ที่คลอดออกมาใหม่ๆ คุณพ่อคุณแม่ก็จะคอยดูแลอย่างดี เช้า สาย บ่าย เย็น ถึงเวลาหิว ก็หาข้าวหาปลา ให้กิน ยิ่งเด็กทารก กินเก่งมาก ร้องปุ๊บ ได้กินนม แล้วเด็กคนนั้น ก็จะค่อยๆ เจริญเติบโต พอค่อยๆ เจริญเติบโต เด็กคนนั้น เขาจะมองที่คุณพ่อคุณแม่  เขาจะพัฒนาการเป็นมนุษย์  เขาเกิดมาเป็นมนุษย์แล้วนะ ไม่ต้องไปพยายามทำอะไร เพื่อให้เป็นมนุษย์มากขึ้น ไม่ต้อง แต่ว่าเขาจะพัฒนาความเป็นมนุษย์ของเขา ให้เจริญขึ้น

เด็กทุกคนจะมีพัฒนาการ เริ่มจากเป็นทารกยังทำอะไรไม่ได้ พอไม่กี่เดือน เขาก็ฝึกคว่ำตัว ฝึกกระดื๊บๆ ฝึกคลาน ฝึกตั้งไข่ ฝึกเดิน ฝึกวิ่ง แล้วก็เริ่มมอง มองดูคุณพ่อคุณแม่ว่าทำอะไร? เขาก็จะมอง แล้วเขาก็จะทำตาม เขาก็จะรับรู้ว่าอันนี้ คือลักษณะของมนุษย์ ลักษณะของคน เขาเป็นคน ไม่มีเด็กคนไหน โตจนวิ่งได้แล้ว 5-6 ขวบ ยังคลาน คลานอยู่นั่นแหละ พ่อแม่ก็จะบอกว่า …

“ลูกเอ๋ย ตอนนี้ลูกเดินได้แล้ว ลูกอย่าคลานนะ มันเป็นวัยที่ลูกไม่ควรคลานแล้ว”

ถ้าจะเล่นไม่เป็นไร? คลานเล่นแป๊บๆ  ไม่เป็นไร แต่ไม่ได้หมายความว่าลูกจะคลานตลอดทั้งวัน ทั้งคืน ทุกวี่ทุกวัน มันไม่ได้ ลูกก็ควรฝึกพัฒนาตัวเองว่าตอนนี้ลูกควรฝึกเดิน พอโตอีกระดับหนึ่ง ลูกต้องฝึกอาบน้ำเอง ลูกฝึกใส่กางเกงเอง ฝึกใส่เสื้อเอง ตอนนี้ลูกฝึกกินข้าวเอง อาจจะกินข้าวใหม่ๆ ลูกเอาไม่เข้าปาก นึกภาพออกไหม? ใหม่ๆ จับช้อนไปซ้ายไปขวา แล้วก็จะเลอะเทอะหมดเลย แต่พ่อแม่ก็จะให้เขาฝึก แล้วเขาก็จะค่อยๆ ฝึก เล็งๆ ว่าปากเราอยู่ตรงนี้ เล็งๆ ก็เข้าปากไปเลย ค่อยๆ พัฒนาฝึกฝน นี่คือพัฒนาการของมนุษย์คนหนึ่ง

พระเจ้าก็จะฝึกฝนเราเหมือนกันในโลกวิญญาณ พัฒนาให้เราเจริญเติบโต ให้เรารับรู้ความจริงว่าตอนนี้เราเป็นลูกพระเจ้าแล้ว พระเจ้าให้อะไรเราบ้าง เราเป็นอย่างไรในพระเยซูคริสต์ ตอนนี้เราเป็นเหมือนพระเยซูคริสต์เลย เราเป็นความรัก เราเป็นความปลาบปลื้มใจ เราก็ค่อยๆ พัฒนา พอเรารู้ว่าเราเป็นอย่างนี้นี่เอง เราก็ฝึกฝน แล้วเราก็ค่อยๆ พอเรารับรู้ความจริงมากๆ ข้างในวิญญาณ หรือความคิด สมองของเรา ก็เริ่มยอมให้พระเจ้าใช้เรา ยอมให้พระเจ้าผลักดันจากข้างในนะ ไม่ใช่พยายามทำจากข้างนอก ผลักดันจากข้างใน ความเป็นจริงในการเป็นลูกของพระเจ้าออกมา เขาเรียกว่าส่งผลออกมา ผลของธรรมชาติใหม่ ที่เราเป็นออกมา นี่คือสิ่งที่เราจะทำ

ทุกวันนี้ ทำไมเราต้องมารับรู้ความจริง คุยอยู่นั่นแหละ เรื่องเดิม คุยเรื่องวิญญาณๆ วิญญาณต้องมาก่อน ความประพฤติมาทีหลัง เมื่อวิญญาณเรารับรู้ความจริงปุ๊บ การประพฤติมันจะออกมาเอง โดยธรรมชาติจริงๆ จากข้างในวิญญาณของเรา

ตรงนี้ อาจารย์เปาโลก็บอกว่า “ครั้งหนึ่ง” ก่อนที่เรามาเชื่อพระเจ้า พูดกับ 2 กลุ่มนะ กลุ่มคนยิวกับกลุ่มคนต่างชาติว่า …

“เมื่อก่อน พวกเธอยังไม่มาเชื่อพระเจ้า เธอก็อยู่ในต้นไม้เดียวกัน เธออยู่ในธรรมชาติบาป แต่ ณ วันนี้ เธอบริสุทธิ์แล้ว เมื่อก่อนเธอเป็นศัตรูกับพระเจ้า แต่ตอนนี้ ณ เวลานี้ เธอเป็นลูกของพระเจ้าแล้ว เธออยู่พวกเดียวกันกับพระเจ้า เธอไม่ได้เป็นศัตรูกับพระเจ้า เธออยู่ในพระคุณของพระเจ้า  ฉะนั้น รับรู้ความจริงตรงนี้ว่าตอนนี้เธอเป็นอย่างนี้แล้วนะ ฉะนั้น ให้ความจริงตรงนี้ได้ปรากฏออกไป”

เมื่อเรารู้ว่าเราไม่ได้อยู่ในบาป เราไม่มีธรรมชาติบาปแล้ว พี่น้องต้องจำตรงนี้ คริสเตียนทุกคน ณ เวลานี้ ธรรมชาติใหม่ของเราไม่มีบาปแล้ว วิญญาณเราสะอาด บริสุทธิ์ หมดจด ไม่มีบาปเลย นั่นคือธรรมชาติใหม่ของเรา พอเรารับรู้ความจริง  แต่อย่างที่บอกไง ความจริงตรงนี้ คือเรายังอยู่ในโลกของกฎความบาปและความตาย ร่างกายเรายังเป็นร่างกายเดิมใช่ไหม? สมองเรา  ถูกชำระให้สะอาดแล้ว  แต่ยังมีโอกาสที่จะรับสื่อที่อยู่ภายนอกเข้ามาได้ ดังนั้น สื่อที่ส่งเข้ามา จากข้างนอก พยายามที่จะโน้มน้าวเราไปทำตามวิถีเดิม คือความเคยชินเก่าๆ ที่เราเคยทำ สิ่งที่ไม่ถูกต้อง แล้วเราก็ไม่ได้รู้สึกอะไร? ทำไปก็รู้สึกโอเค สะใจดี เหมือนกับสมมติถ้ามีคนมาทำร้ายเรา  เราก็โต้ตอบกลับไปให้ร้ายกว่าเดิม แล้วเราก็สะใจดี  แต่พอ ณ เวลานี้ เราเชื่อพระเจ้าแล้ว มันไม่สะใจ ถ้าเราตอบโต้ไปแบบนี้ ข้างในเราจะรู้สึกทรมาน พอเราเป็นคริสเตียนแล้ว เราแพ้ความบาป

สมัยก่อน มีพี่น้องคนหนึ่ง เขาบอกว่าคริสเตียนทำบาปไม่ขึ้น ทำบาปปุ๊บ ข้างในเราจะทรมาน คำว่า “แพ้” พี่น้องนึกภาพนะ เดี๋ยวนี้เขามีการแพ้อาหาร ถ้าบอกว่าแพ้เฉยๆ แพ้ความบาป เราอาจจะไม่เข้าใจ ยังไง แพ้ความบาป คืออะไร? เราดูภาพนะ มีบางคนแพ้อาหารทะเล บางคนอาหารเป็นพิษ  กินปุ๊บ มันผะอืดผะอม ไม่ไหวแล้ว ออกอาการทุกอย่าง คริสเตียนเหมือนกัน แพ้ความบาป เราสะอาดบริสุทธิ์แล้ว วิญญาณเราเป็นเหมือนพระเจ้าแล้ว พอเราทำบาปปุ๊บ เกิดอาการแพ้ ผะอืดผะอม แล้วเราก็ทรมาน

เมื่อก่อน ยังไม่เชื่อพระเจ้า เราทำบาป ไม่ทรมานขนาดนี้ แต่พอเรามาเชื่อพระเจ้าปุ๊บ ทำบาปปุ๊บ ข้างในเราทรมาน ผะอืดผะอม ข้างในเราไม่ไหว เราแพ้ ถ้าแพ้แล้วเราไม่เข็ด เรายังไปทำอีก อาการแพ้มันจะสำแดงออกอีก พอแพ้เยอะๆ ไม่ไหวแล้ว มันแพ้เยอะไป เราไม่เอาดีกว่า ไม่ทำดีกว่า อะไรประมาณนั้น

แล้วอาจารย์เปาโลก็จะสอนว่า “ตอนนี้เธอไม่ได้เป็นทาสของบาปแล้ว เธอจะยังไปทำบาปอีกทำไม?” ประมาณนี้

ซึ่งเราก็รับรู้ความจริงตรงนี้ว่าตอนนี้เราไม่ได้อยู่ในธรรมชาติบาปแล้ว  เราไม่ได้เป็นทาสของบาปอีกต่อไป เราไม่จำเป็นจะต้องไปเชื่อฟังอิทธิพลของบาป ที่ส่งเข้ามา พยายามที่จะโน้มน้าว พยายามที่จะหลอกล่อ  หลอกลวงให้เราไปหลงกล แล้วก็ทำตามมัน ทำทีไร เราก็ทุกข์ทุกที แต่ไม่ได้หมายความว่าพอเราไม่ยอม แล้วเราไม่ทำ คริสเตียนยังทำบาปอยู่ไหม? ยังทำบาปอยู่ นี่คือความจริงในโลกวัตถุ แต่ในโลกวิญญาณคริสเตียนทำบาปไม่เป็น พอความจริงในโลกวัตถุ คริสเตียนยังทำบาปอีก ถ้าทำบาปอีกแล้วทำอย่างไร? ทำบาปอีก เราก็ลุกขึ้นมาใหม่ แล้วก็รับรู้ความจริงใหม่ เราพลาดไปแล้ว เราก็ปรับปรุงใหม่

เหมือนคนแพ้อาหารทะเล เผลอลืมไปกิน กินปุ๊บ อาการมันออก บวมๆ เรารับรู้แล้ว ตรงนี้เราแพ้ เราลืม เราเผลอ ทำอย่างล่ะ คราวหน้าก็ระวังมากขึ้น  พอเจออาหารทะเล  แม้เราจะน้ำลายสอ เราก็จะพยายามไม่ไปยุ่ง ไม่ไปแตะ ไม่ไปกิน อะไรอย่างนี้ แต่โอกาสเผลอมีไหม? โอกาสเผลอมี บางคนไม่ได้เผลอเฉยๆ บางคนอยากมาก อยากกิน ไปกินยาแก้แพ้ก่อน แล้วก็ไปกินมันนิดหนึ่ง อะไรประมาณนั้น มันก็ทรมาน

ฉะนั้น ความจริงในโลกวิญญาณมันเป็นอย่างนี้  พอเรารับรู้ความจริงปุ๊บ เราก็จะสามารถมีกำลังในการที่จะต่อต้าน พอทำบาปเยอะๆ เราก็เหนื่อย เหนื่อยมากๆ เราก็เลิกไปเอง เลิกไปเอง หมายความว่าทำน้อยลง ไม่ได้เลิกแบบ 100% คริสเตียนจะเลิกทำบาป 100% ตอนไหนพี่น้องรู้ไหม? ตอนวิญญาณเราออกจากร่าง  คือตอนเราตายนั่นแหละ ตายเมื่อไร? เราก็ไม่ทำบาปแล้ว เพราะร่างกายนี้ถูกทิ้งแล้ว วิญญาณที่สะอาดบริสุทธิ์ของเรา ก็ไปอยู่กับพระเจ้า  คือ ณ เวลานั้น อยู่ที่สวรรคสถาน อยู่จริงๆ ไม่ใช่เหมือนตอนนี้ที่เราต้องใช้ความเชื่อเอา แต่นั่น เราไปอยู่จริงๆ ไปเจอพระเจ้าหน้าต่อหน้าจริงๆ เลย แล้วก็ไปรับร่างกายใหม่ ที่พระเจ้าทรงสัญญาไว้กับเราจริงๆ ด้วย อันนี้ คือความเป็นจริงในโลกวิญญาณ ความหวังใจตรงนี้แหละ ทำให้เรามีกำลังในการเดินบนโลกใบนี้ แล้วก็มั่นใจว่าพระองค์ไม่ทิ้งเราแน่นอน เจออะไรที่ทุกข์ยากลำบาก อธิษฐานขอพระเจ้าได้นะพี่น้อง

“พระองค์เจ้าข้า ยากเหลือเกิน ลำบากเหลือเกิน ช่วยลูกด้วย”

แต่หลายครั้ง “ช่วยลูกด้วย” พระเจ้าก็ไม่ได้ให้ผ่านไปเนอะ แต่พระเจ้าบอกว่าพระคุณของพระองค์มีมากเพียงพอ สำหรับพวกเราทุกๆ คน ให้เราสามารถผ่านได้

ยกตัวอย่าง 2 ตัวอย่างแล้วเราจะจบ ตัวอย่างคำอธิษฐานขอ แล้วพระเจ้าบอก “ไม่” พระเจ้าบอกอย่างไรเธอก็ต้องเจอ อะไรประมาณนั้น

ตัวอย่างแรก คือพระเยซูคริสต์ พี่น้องจำได้ใช่ไหม? พระเยซูคริสต์ตอนก่อนที่จะเดินไปที่ไม้กางเขน สิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน พระเยซูรู้หมด เพราะพระองค์เป็นพระเจ้า รู้ว่าพระองค์จะต้องไปเจออะไร? จะต้องถูกจับ ถูกโบยตี ถูกเฆี่ยนตี ถูกสวมมงกุฎหนาม ถูกตรึงบนไม้กางเขน จนเลือดหยดสุดท้าย แล้วพระองค์ก็สิ้นพระชนม์ พระองค์สละวิญญาณของพระองค์เอง จริงๆ พระองค์เป็นพระเจ้า ไม่มีใครฆ่าพระองค์ได้หรอก แต่พระองค์ยอมยกเลิกวิญญาณ เพื่อมนุษยชาติ

ตอนที่พระเยซูไปที่สวนเกทเสมเน พระเยซูก็อธิษฐานขอพระเจ้า มันทุกข์มาก ทุกข์ทรมาน รู้ว่าจะไปเจออะไร? ในอีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้า แล้วสิ่งที่พระเยซูคริสต์อธิษฐาน คือ …

“พระองค์เจ้าข้า ให้ถ้วยนี้เลื่อนผ่านไปได้ไหม?”

“ถ้วยนี้” หมายความว่าภารกิจ หรืออะไรที่ต้องไปเผชิญ ตรงนี้ไม่อยากเจอ ให้ผ่านไปได้ไหม? แต่อย่างไรก็ตาม ให้เป็นไปตามน้ำพระทัยของพระองค์ พระเยซูอธิษฐานถึง 3 ครั้ง แล้วพระเยซูจบลง ประโยคเดียวกัน คือ …

“ให้เป็นไปตามน้ำพระทัยของพระองค์”

พอหลังจากนั้น ทูตสวรรค์ก็มาเล้าโลมใจ แล้วพระเยซูก็เดินไปที่แดนประหาร ถูกตรึงบนไม้กางเขน ตอนที่พระเยซูถูกตรึงที่ไม้กางเขน พระองค์เป็นมนุษย์จริงๆ มีเลือด มีเนื้อ เจ็บเป็น ทุกข์เป็น กลัวเป็น เหมือนมนุษย์ไม่มีผิดเลย แล้วพระเยซูยอมเดินไปที่ไม้กางเขน แล้วถูกตรึงที่นั่น จนสิ้นพระชนม์ ตอนที่พระเยซูสิ้นพระชนม์ พระเยซูบอกว่า …

“สำเร็จแล้ว”

ก็คือภารกิจทั้งหมด ที่พระเยซูบอกไม่ไปได้ไหม? แต่จบ พระเยซูก็ไป ทำให้สำเร็จ คือการไถ่ถอนมนุษยชาติ ให้สามารถมาคืนดีกับพระเจ้า จนถึงทุกวันนี้ พระเยซูทำสำเร็จแล้ว ครั้งเดียว จบ

แล้วจากนั้น คนที่ 2 คือเปาโล อาจจะมีคนเยอะกว่านั้น  แต่ในพระคัมภีร์บันทึกชัดเจนมาก 2 คน ในพระคัมภีร์ใช้คำว่า “เปาโลมีหนามในเนื้อ” ไม่รู้ว่าหนามในเนื้อ คืออะไร? อาจจะเป็นโรคภัยไข้เจ็บ ที่หนักหนาสาหัสสากัน ถ้าเป็นปัจจุบัน  อาจจะเป็นโรคมะเร็ง ที่พอปวด คือปวดจนทนไม่ไหว

“พระองค์เจ้าข้า ทนไม่ไหว ช่วยด้วย  ให้หายเลยได้ไหม?” อะไรประมาณนั้น

เปาโลอธิษฐาน 3 ครั้งเหมือนกัน แต่พระเจ้าพูดกับเปาโลว่า …

“การที่มีคุณของเราอยู่กับเจ้า ก็เพียงพอแล้ว”

ก็คือไม่ตอบคำอธิษฐานขอของเปาโล แต่ว่าพระเจ้ามีพระคุณเพียงพอ สำหรับเปาโล ที่จะสามารถผ่านมันไปได้ พร้อมๆ กับหนามในเนื้อนี่แหละ ความทุกข์ยากลำบาก ทั้งร่างกาย ทั้งจิตใจ ทั้งสิ่งแวดล้อม ทั้งอะไรทั้งหมด พระเจ้าก็ให้เปาโลสามารถผ่านไปได้ มีพระคุณ

พวกเราเหมือนกัน ก็เผชิญกับความทุกข์ยากลำบาก ในแต่ละคน ไม่เหมือนกัน ความทุกข์ของคนหนึ่ง กับความทุกข์ของอีกคนหนึ่ง เทียบกันไม่ได้ เพราะขนาดของความทุกข์ หรือกำลังของแต่ละคน ที่จะแบก มันไม่เท่ากัน บางคนแค่ไม่มีข้าวกินวันหนึ่ง ทุกข์จะเป็นจะตาย แต่บางคนอดมา 5 วัน 10 วันแล้ว ไม่มีข้าวกิน เขายังสามารถแบกได้ ประมาณนั้นแหละ หรือเป็นความทุกข์แบบที่เขาเปรียบเทียบพระราชากับประชาชน

พระราชาไม่เคยทุกข์ ไม่เคยหิวข้าว เพราะว่ากินอิ่มทุกมื้อ วันหนึ่งออกไปข้างนอก เดินทาง

แล้วมีคนมาบอก … “พระราชาพักหน่อยเถอะ หิวมาก  ลูกน้องทุกคนหิวมาก ขอพักกินข้าวหน่อยได้ไหม?”

พระราชาบอก … “หิวคืออะไร? ไม่ต้องพักหรอก ไปเถอะ หิวนิดเดียวเอง”

เขาก็เลยไม่รู้จะอธิบายให้พระราชาฟังได้อย่างไรว่าความหิวมันคืออะไร?

เขาก็เลยบอกพระราชาว่า … “ความหิวมันเหมือนคนปวดฟันเลย”

ต่อให้เป็นพระราชาก็ปวดฟันเป็น พอพระราชาฟังอย่างนี้ พระราชารีบสั่งว่า … “หยุดๆ หยุดเกี้ยวเลย ให้ทุกคนไปกินข้าวก่อน”

เพราะรู้พิษสงของความปวดฟันว่าเวลาปวด แทบตาย ประมาณนั้น นึกภาพออกไหม?

ฉะนั้น ขนาดของความทุกข์ของแต่ละคนไม่เท่ากัน  แต่พระเจ้ารู้ว่าแต่ละคนสามารถรับได้แค่ไหน? อย่างไร?

พระเจ้าอวยพรค่ะ

 

 

*********************

 

จากใจคณะศิษยาภิบาล

 

“จงชื่นชมยินดีในองค์พระผู้เป็นเจ้าเสมอ   ข้าพเจ้าขอย้ำอีกครั้งว่าจงชื่นชมยินดีเถิด!   ให้ความสุภาพอ่อนโยนของท่าน เป็นที่ประจักษ์แก่คนทั้งปวง องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงอยู่ใกล้แล้ว อย่ากระวนกระวายในเรื่องใดๆ เลย แต่จงทูลขอทุกสิ่งต่อพระเจ้า  ด้วยการอธิษฐานและการอ้อนวอน  พร้อมกับการขอบพระคุณ แล้วสันติสุขของพระเจ้า  ซึ่งเกินความเข้าใจจะปกป้องความคิดจิตใจของท่านไว้ในพระเยซูคริสต์ สุดท้ายนี้พี่น้องทั้งหลาย จงใคร่ครวญถึงสิ่งที่เลอเลิศ  หรือสิ่งที่ควรสรรเสริญ  คือสิ่งที่จริง สิ่งที่น่านับถือ สิ่งที่ถูกต้อง สิ่งที่บริสุทธิ์ สิ่งที่น่ารัก สิ่งที่น่ายกย่อง”  ฟีลิปปี 4:4-8 TNCV

 

สิ่งที่เรามองเห็นทุกวันนี้  ที่เกิดขึ้นรอบตัวเรา มีแต่สิ่งที่ทำให้เราตกใจกลัว ท้อแท้ หมดกำลังใจ   ไม่ว่าจะเป็นโควิด 19 ที่เพิ่มความรุนแรงมากขึ้นทุกวัน มีคนติดเชื้อเพิ่มขึ้นทุกวัน มีคนตายเพิ่มขึ้นทุกวัน ไหนจะปัญหาเรื่องการกิน การอยู่ การงานที่ต้องหยุดชะงัก ความหวาดกลัวที่ประดังเข้ามาผ่านทางข่าวสารต่างๆ​ ที่ถูกส่งผ่านเข้ามา ตาเราได้เห็น หูเราได้ยิน ล้วนทำให้เราขาดกำลังใจ

 

ทำอย่างไรจึงจะสามารถทำให้เราหลุดจากความวุ่นวายเหล่านี้ได้   ถ้อยคำพระเจ้าบอกเราว่าสิ่งที่ตาเรามองเห็นนั้น​ เป็นสิ่งชั่วคราว เกิดขึ้นแล้ว มีวันจบ ฉะนั้น เราไม่ควรให้ความยากลำบาก ปัญหาต่างๆ​ ที่เกิดขึ้น หรือความกระวนกระวาย เข้ามายึดพื้นที่ในชีวิตของเราจนหมด โดยการจดจ่อกับปัญหาที่เรามองเห็น ซึ่งอยู่เพียงชั่วคราวเท่านั้น

 

แต่ให้เราจับตาดูสิ่งที่มองไม่เห็นในโลกวิญญาณ ที่พระเจ้าทรงประทานให้เราเรียบร้อยไปแล้ว ซึ่งจะอยู่กับเราถาวรนิรันดร์ ซึ่งเทียบกันไม่ได้เลย​ อาจารย์เปาโลบอกว่าความทุกข์ยากเล็กๆ​ น้อยๆ​ ที่เราเผชิญอยู่นี้ ไม่สามารถเทียบกับศักดิ์ศรีนิรันดร์ที่พระเจ้าให้กับเราได้เลย

 

พระเจ้าอวยพรค่ะ