คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 5 ธันวาคม 2021
เรื่อง “หนังสือเอเฟซัส” ตอน 5
โดย วราพร คงล้วน
วันนี้เรามาต่อในหนังสือเอเฟซัส บทที่ 1 เดือนที่แล้ว เราจบลงข้อที่ 19 วันนี้เราต่อข้อที่ 20 ครั้งที่แล้ว ข้อที่ 19 บอกว่า …
เอเฟซัส 1:19 “เพื่อท่านจะได้เริ่มต้นเรียนรู้ถึงฤทธิ์เดชอำนาจยิ่งใหญ่มหาศาล ที่ไม่มีขีดจำกัดและหาที่เปรียบไม่ได้ของพระเจ้า ซึ่งเป็นฤทธิ์เดชอำนาจพลังที่ยิ่งใหญ่มหาศาลทางฝ่ายวิญญาณ ที่กระทำการงานอยู่ภายในเรา และเพื่อเราผู้ซึ่งได้เชื่อ (รับสิทธิ์ของเราที่พระเยซูได้ไถ่บาปให้)”
อาจารย์เปาโลได้พูดถึงฤทธิ์อำนาจที่ยิ่งใหญ่มหาศาล ที่ไม่มีอะไรสามารถเปรียบได้เลย ที่ได้กระทำการงานอยู่ในพวกเราทุกคนผู้เชื่อ ฤทธิ์เดชอำนาจนี้พวกเราได้รับมาเรียบร้อยไปแล้ว วันที่เราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด ฤทธิ์เดชนี้ก็เข้ามาทำการงานในชีวิตของเรา ในวิญญาณของเรา เมื่อเราเปิดใจปุ๊บ พระเจ้า พระวิญญาณบริสุทธิ์ ก็เข้ามาบัพติศมาเรา ที่เราคุยกันหลายรอบแล้วบัพติศมา เป็นเรื่องที่สำคัญสำหรับชีวิตของเรา ที่เราจำเป็นต้องรู้ บัพติศมาวิญญาณของเรา ก็คือเอาวิญญาณของเราไปฆ่าให้ตาย ไปตรึงพร้อมกับพระเยซูคริสต์ที่ไม้กางเขน วิญญาณของเรา ก็ตายไปแล้ว ถูกฝังไว้พร้อมกับพระเยซูคริสต์ ด้วยฤทธิ์เดชอำนาจที่ยิ่งใหญ่สูงสุด เป็นฤทธิ์เดชอำนาจอันเดียวกัน ที่พระเจ้าได้ทรงชุบพระเยซูคริสต์ให้เป็นขึ้นมาจากความตาย และฤทธิ์อำนาจอันนี้ ก็ได้ชุบวิญญาณของเรา ให้บังเกิดใหม่
ฉะนั้น การบังเกิดใหม่เข้ามาอยู่ในอาณาจักรของพระเจ้า เป็นฤทธานุภาพที่ยิ่งใหญ่สูงสุด เมื่อเราบังเกิดใหม่ในด้านวิญญาณปุ๊บ พระพรนานัปการ ที่พระเจ้า พระเยซูคริสต์ ได้ทรงกระทำบนไม้กางเขน สำเร็จเรียบร้อย ก็เป็นของเรา พระพรนานัปการเหล่านี้ มีเยอะแยะมากมาย ที่ในโลกวิญญาณ พวกเราผู้เชื่อได้รับเรียบร้อยไปแล้ว แล้ว ณ เวลานี้ พวกเราผู้เชื่อก็ทำอย่างเดียว คือเรียนรู้ รับรู้ความจริงที่พระเจ้าได้ทำให้เราสำเร็จแล้วว่ามีอะไรบ้าง? แล้วเราจะขอบคุณพระเจ้าสำหรับพระพรนานัปการเหล่านี้ ในการดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ ให้เราสามารถที่จะมีกำลังที่เข้มแข็งขึ้น แล้วมองไปที่พระพรฝ่ายวิญญาณที่พระเจ้าทำให้เราเรียบร้อยไปแล้ว ซึ่งเราได้คุยกันบ่อยมากในเรื่องของพระพรฝ่ายวิญญาณ ที่พี่น้องจำเป็นจะต้องรับรู้ จำเป็นจะต้องจดจำเอาไว้ว่าเราได้รับอะไรบ้าง ในการที่เราได้เข้ามาตัดสินใจ เปิดใจของเราต้อนรับพระเยซูคริสต์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอดตามเงื่อนไขที่พระเจ้าได้กำหนดไว้เงื่อนไข คือเราเชื่ออย่างเดียวเฉยๆ ไม่ได้ เราต้องแสดงเจตจำนงว่าเราเชื่อ แล้วเราอยากได้รับสิ่งนี้ด้วย โดยการเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอด ก็คือเข้ามาเชื่อนั่นเอง
ทันทีที่เราเชื่อ ขบวนการการผ่าตัดวิญญาณเกิดขึ้นปุ๊บ เราก็ได้บังเกิดใหม่ เข้ามาในอาณาจักรของพระเจ้า พอบังเกิดใหม่ปุ๊บ วิญญาณเก่าที่เป็นบาป ที่อยู่ภายใต้คำสาปแช่งของโลกใบนี้ ตั้งแต่เดิม เมื่อเราเกิดมา เราก็อยู่ภายใต้คำสาปแช่งแล้ว วิญญาณนี้ ก็ได้ตายจากเรา ตายไปแล้วนะ แล้วเราทุกคนผู้เชื่อ ก็มีวิญญาณที่บังเกิดใหม่ เป็นวิญญาณใหม่ ที่สะอาดบริสุทธิ์เหมือนพระเจ้า พระเยซูคริสต์ไม่มีผิดเลย เป็นวิญญาณที่ชอบธรรมจำเพาะพระพักตร์ของพระเจ้า ที่เราคุยกันบ่อยๆ ว่ามนุษย์ไม่สามารถพึ่งพากำลังของตัวเอง ที่จะพยายามตะเกียกตะกายทำความดี เพื่อให้ได้ตามมาตรฐานที่พระเจ้ากำหนดไว้ คือ 100% เต็ม ไม่มีผิดพลาดแม้แต่จุดเดียว ขีดเดียว ไม่ได้ และตลอดทุกเวลาด้วย 24 ชั่วโมงในหนึ่งวัน แล้วก็ 365 วันในหนึ่งปี ทุกวัน ทุกเวลา ทุกวินาที คือไม่พลาดเลยแม้แต่นิดเดียว เราถึงสามารถมาถึงมาตรฐานของพระเจ้าได้ เป็นผู้ชอบธรรม ฉะนั้น พระเยซูกำลังชี้ให้มนุษย์ซึ่งเป็นคนบาปได้เห็นว่ามนุษย์ไม่สามารถทำได้หรอก มีวิธีเดียวเท่านั้น ก็คือมาพึ่งในพระเยซูคริสต์เท่านั้น พึ่งในการกระทำของพระเยซูคริสต์ที่ได้สิ้นพระชนม์ เพื่อเรา บนไม้กางเขน และได้ทำให้เราหลุดพ้น จากการเป็นทาสของความบาปและความตาย และผู้เชื่อทุกคน เมื่อได้ตัดสินใจเปิดใจต้อนรับแล้ว ขบวนการทั้งหมด ก็ถูกกระทำการในโลกวิญญาณ
“โลกวิญญาณ” ตรงนี้หมายความว่ามือเราไม่สามารถสัมผัสได้ ตาเราไม่สามารถมองเห็นได้ ความรู้สึกเราก็จะไปรู้สึกไม่ได้ด้วย ถ้าเราเชื่อพระเจ้าด้วยความรู้สึก มันก็ทำให้เราพลาดได้ เพราะว่าความรู้สึกของมนุษย์ จะขึ้นลงตามสถานการณ์รอบด้านของเรา แต่พระเจ้าบอกเราว่าให้เราเชื่อตามที่ถ้อยคำของพระเจ้าได้บันทึกไว้ หรือระบุไว้ว่าเมื่อเราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์แล้ว อะไรบ้างที่เกิดขึ้นกับชีวิตใหม่ของเรา
อันดับแรกเลย ทันทีที่เราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอด วิญญาณเราเปลี่ยนจากวิญญาณบาป มาเป็นวิญญาณชอบธรรม เราเป็นผู้ชอบธรรมของพระเจ้าทันทีเลย เราสะอาดบริสุทธิ์ทันทีเหมือนพระเจ้าเลย เราเข้ามาอยู่ในอาณาจักรของพระเจ้าทันที เราได้มาเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเจ้าพระเยซูคริสต์ พระเจ้าพระบิดา พระเจ้าพระวิญญาณบริสุทธิ์ทันทีเลย พระเจ้าทั้ง 3 พระภาคเข้ามาสถิตอยู่ในเราทันทีด้วย เพราะว่าเราได้รับการชำระให้บริสุทธิ์แล้ว แล้วทันทีอีกเช่นกัน เราได้นั่งอยู่ที่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้า ร่วมกับพระเยซูคริสต์ที่สวรรคสถาน ณ เวลานี้ ในโลกวิญญาณ มันเกิดขึ้นแล้ว และเป็นอย่างนั้นด้วย ฉะนั้น เมื่อเราใคร่ครวญถึงสิ่งต่างๆ เหล่านี้ เราจะมีกำลังใจในการดำเนินชีวิต ซึ่งต้องเผชิญกับความทุกข์ยากลำบาก บนโลกใบนี้ ซึ่งโลกใบนี้ ในพระคัมภีร์บอกว่ามันถูกสาปแช่งไปแล้ว แล้วในขณะเดียวกัน พระเยซูคริสต์ก็บอกกับเราว่าในโลกนี้ ท่านจะประสบกับความทุกข์ยาก แต่ให้ชื่นใจ เพราะเราชนะโลกแล้ว เราผู้ที่อยู่ในพระเยซูคริสต์ เราได้ชนะโลกใบนี้แล้ว โลกใบนี้ ความยากลำบากไม่สามารถมีชัยเหนือเราได้เลย เพราะว่าเรารู้ความจริงเหล่านี้ ทำให้เรามีความสามารถที่จะอดทน
ฉะนั้น ความทุกข์ยากอีกอย่างหนึ่ง ที่มันเกิดขึ้นกับคริสเตียน คือทันทีที่เราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอด วิญญาณเราอยู่ฝ่ายพระเจ้าเลย พออยู่ฝ่ายพระเจ้าปุ๊บ เราก็เป็นศัตรูกับฝ่ายของมาร นึกออกไหม? เมื่อก่อนเราอยู่ฝ่ายมาร เราเป็นพวกเดียวกัน แต่พอเราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ปุ๊บ เราอยู่กันคนละพวกเลย ดำกับขาวทันทีเลย เมื่อเป็นดำกับขาวปุ๊บ การข่มเหง หรือความทุกข์ยากลำบาก ที่เกิดขึ้นอีกอย่างหนึ่ง สำหรับผู้เชื่อหรือคริสเตียน ก็คือเราจะถูกข่มเหง เพราะเราเชื่อและรักพระเยซู
นี่เป็นอีกอันหนึ่งที่เราขอบคุณพระเจ้าได้ ในหนังสือยากอบที่บอกว่าเมื่อท่านประสบกับความทุกข์ยากลำบาก ให้ท่านชื่นชมยินดี … ชื่นชมยินดีตรงไหน? ตรงที่ว่าถ้าเขาข่มเหงเรา เพราะเราเชื่อพระเยซู แปลว่าเราของจริง เราเชื่อพระเจ้าจริงๆ เขาถึงข่มเหงเรา ถ้าเราเชื่อพระเจ้าไม่จริง เราก็ยังเป็นพวกเดียวกันกับเขาเหมือนเดิม เขาก็ไม่ข่มเหงเรา ฉะนั้น ชัดเจนมากเลย เราก็ขอบคุณพระเจ้า สำหรับสิ่งดีเหล่านี้ เรามาต่อข้อที่ 20 …
เอเฟซัส 1:20 “ซึ่งเป็นฤทธิ์เดชอำนาจพลังที่ยิ่งใหญ่มหาศาลเดียวกันกับที่พระเจ้าได้กระทำในพระเยซู เมื่อตอนที่พระองค์ได้ชุบพระเยซูให้เป็นขึ้นจากความตาย และได้แต่งตั้งให้พระเยซูนั่งอยู่ที่เบื้องขวาของพระองค์ ในย่านฟ้าอากาศ (สวรรค์) ต่างๆ ในโลกฝ่ายวิญญาณ”
เป็นฤทธานุภาพอันเดียวกัน เมื่อเราเชื่อและวางใจในพระเจ้าปุ๊บ วิญญาณเราได้เปลี่ยนใหม่ปุ๊บ ได้เกิดพลังอำนาจที่มหาศาลมากในโลกวิญญาณ ที่พระเจ้าทรงกระทำการงานในวิญญาณของเรา ซึ่งตัวเรา เราไม่รู้หรอก และเราไม่เข้าใจ และเราสัมผัสไม่ได้ แต่ถ้อยคำของพระเจ้าบอกว่าทันทีที่เราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ มันมีขบวนการที่ยิ่งใหญ่มหาศาล อลังการเกิดขึ้นในวิญญาณของผู้เชื่อทุกคน ก็คือพระเจ้าได้ทำการบัพติศมาเราเข้ามาเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเจ้าพระบิดา พระเจ้าพระบุตร และพระเจ้าพระวิญญาณบริสุทธิ์ คือเข้ามาดองกัน เป็นหนึ่งเดียวกัน เป็นครอบครัวเดียวกัน เข้ามาเป็นวิญญาณเดียวกัน
พอพูดถึงคำว่า “บัพติศมา” เรามาทำความเข้าใจกับคำว่า “บัพติศมา” นิดหนึ่ง คืออยากจะให้เข้าใจ สมัยก่อน คือตัวดิฉันเองก็ไม่เข้าใจเรื่องนี้หรอก เมื่อก่อนตอนที่เราเชื่อพระเจ้าใหม่ๆ เราถูกสอนมาเรื่องของการบัพติศมาในน้ำ เราไม่เคยเข้าใจเรื่องของการบัพติศมาในพระวิญญาณเลย ที่พระเจ้าพูดกับเรา จริงๆ ในพระคัมภีร์เขาก็พูดชัดเจน แต่เราไม่เข้าใจ คือความสามารถในการเข้าใจในโลกวิญญาณเรายังไปไม่ถึง พอไปไม่ถึง เราก็จะคิดแค่ตื้นๆ ว่าคำว่า “บัพติศมา” อย่างเวลาเราเชื่อพระเจ้าปุ๊บ วิญญาณเราได้บังเกิดใหม่แล้ว ตรงนั้น เราก็ยังไม่ค่อยเข้าใจเท่าไร? เราแค่รู้ว่าเราเชื่อพระเจ้านะ พอเชื่อพระเจ้ามาประมาณหนึ่ง เราก็จะไปเรียนถ้อยคำของพระเจ้า เพื่อเราจะได้ทำพิธีบัพติศมาในน้ำ พี่น้องจำได้ใช่ไหมค่ะ ทำพิธีบัพติศในน้ำ แล้วเราก็มีความเข้าใจผิด คิดว่าถ้าผู้เชื่อคนไหนที่เชื่อพระเจ้าแล้ว เกิดจากไปอยู่กับพระเจ้า แล้วยังไม่ได้ทำพิธีบัพติศมาในน้ำ เขาอาจจะไม่รอดก็ได้ คือเราให้ความสำคัญของพิธีบัพติศมาในน้ำผิดไป พอผิดไปปุ๊บ ความเชื่อเราก็เลยไม่หนักแน่น มั่นคงพอ
ตอนที่มารับใช้พระเจ้าใหม่ๆ เมื่อเชื่อพระเจ้า เมื่อก่อนเรายังเข้าใจว่าเราต้องไปติดตามผล ภายใน 24 ชั่วโมง เพื่อว่าผู้เชื่อคนนั้นจะได้ไม่ตาย วิญญาณเขาไม่ตาย เขาจะได้เจริญเติบโต แต่ความเป็นจริง คือมันไม่จริง ไม่ใช่ มันไม่ได้ขึ้นอยู่กับเราไปติดตาม ไม่ติดตาม แต่ขึ้นอยู่กับว่าคนนั้น เขาเชื่อจริงหรือไม่จริง เมื่อเขาเปิดใจต้อนรับพระเจ้า พระวิญญาณบริสุทธิ์จะเป็นผู้ดูแลเขาเอง การเจริญเติบโตของผู้เชื่อคนหนึ่ง คนใดไม่ได้ขึ้นอยู่กับผู้รับใช้เลย ไม่ได้ขึ้นอยู่กับเราไปสอนพระคัมภีร์เขา ไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่าเราไปเยี่ยมเยือนเขา ไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่าเราอธิษฐานเผื่อเขาทุกวินาที ไม่เกี่ยวกันเลย แต่ขึ้นอยู่กับพระเจ้า พระเจ้าเป็นผู้กระทำการงานให้เขาเจริญเติบโต
แต่ว่าการไปเยี่ยมเยือนดีไหม? ดี การอธิษฐานเผื่อดีไหม? ดี การได้ไปสอนถ้อยคำของพระเจ้าดีไหม? ก็ดีอีก แต่ว่ามันเป็นแค่ส่วนหนึ่งของการหนุนจิตชูใจ เพื่อให้ผู้เชื่อคนนั้น ได้เข้าใจเรื่องราวของพระเจ้ามากขึ้น แต่ไม่มีผลอะไรเกี่ยวกับด้านวิญญาณของผู้เชื่อคนนั้นเลยว่าเขาจะเป็นหรือจะตาย ไม่ได้ขึ้นอยู่กับผู้รับใช้ อันนี้พี่น้องต้องชัดเจนนะ ก่อนหน้านั้นไม่ชัดเจน ก็เข้าใจว่าถ้าเกิดผู้เชื่อคนไหนตาย ไม่ใช่ตายในด้านของร่างกาย แต่ตายในด้าน คือทิ้งพระเจ้าไป เราก็ทุกข์มากเลย ทุกข์ตรงที่ว่าเราดูแลเขาไม่ดีพอ เราไปเยี่ยมเยือนเขาไม่มากพอ เราอธิษฐานเผื่อเขาน้อยไป เขาถึงได้ทิ้งพระเจ้าไป เป็นความรู้สึกฟ้องผิดมาประมาณหนึ่ง ระยะหนึ่งที่เรายังไม่เข้าใจความจริงของพระเจ้า พอได้เข้าใจความจริงของพระเจ้าปุ๊บ เป็นอิสระเลย อย่างที่พระเยซูบอก ถ้าท่านรู้ความจริง ความจริงจะทำให้ท่านเป็นไท คือเป็นอิสระ เรารู้ความจริงตรงที่ว่าใครก็ตามที่เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ พระเจ้าสถาปนาเขาไว้แล้ว พระวิญญาณบริสุทธิ์เป็นผู้ประทับตราเขาว่าเขาเป็นลูกของพระเจ้า พอประทับตราเรียบร้อยแล้ว พระวิญญาณบริสุทธิ์ ซึ่งเป็นพี่เลี้ยงของคนๆ นั้น คือเรารับรู้ความจริงตรงที่ว่าทันทีที่เราเปิดใจรับเชื่อ พระวิญญาณบริสุทธิ์จะสถิตในเรา พระเจ้าพระเยซูคริสต์สถิตอยู่ในเรา พระบิดาอยู่ในเรา เป็นหนึ่งเดียวกัน
ฉะนั้น พระวิญญาณบริสุทธิ์จะทำหน้าที่เป็นพี่เลี้ยงของคนๆ นั้น ที่เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ แล้วก็จะค่อยๆ เลี้ยงดู ส่วนคนอื่นที่เป็นผู้รับใช้ หรือเพื่อนคริสเตียนด้วยกัน ที่เป็นผู้เชื่อนานกว่า ก็จะเป็นแค่หน่วยเสริม เป็นกำลังเสริมเท่านั้น แต่ไม่ได้เป็นกำลังหลัก ดังนั้น กำลังหลักของผู้เชื่อ คืออยู่ที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ เมื่อเขาเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ พระวิญญาณบริสุทธิ์จะเข้าไปทำการงาน จะเข้าไปสอนเขา ผ่านทางสิ่งที่เขาได้ยิน คือถ้อยคำของพระเจ้า ผ่านทางเวลาเขาอ่านถ้อยคำของพระองค์ ผ่านทางการอธิษฐาน พระวิญญาณบริสุทธิ์จะค่อยๆ เปิดให้เขาเข้าใจในเรื่องราวของพระเจ้า
เหตุการณ์ตรงนี้เกิดขึ้น นี่พูดถึงตอนที่ดิฉันรับใช้ใหม่ๆ มีผู้เชื่อคนหนึ่งมาเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ในวันอาทิตย์ ปรากฎว่าเขายังไม่ได้บัพติศมาในน้ำเลย เขาตายจริงๆ คือเขาตายจากโลกนี้ไปเลย ตอนนั้นทุกข์สาหัสตรงที่ว่าเขายังไม่บัพติศมาในน้ำเลย แล้วเขาจะรอดไหม? นั่นคือสิ่งที่ให้เรารับรู้และเห็นว่าเราไม่รู้ความจริงชัดเจน เลยทำให้เราทุกข์ เราไม่เป็นไท เราถูกพันธนาการ เราไม่เป็นอิสระ
ณ เวลานี้ สิ่งที่พระเจ้าได้เปิดให้เราเห็น ให้เรารู้ถึงเรื่องบัพติศมา มันเกี่ยวกับเรื่องของวิญญาณ พระเจ้าเพิ่งมาเปิดให้รู้นะ เชื่อพระเจ้ามา 35 ปีแล้ว เพิ่งจะได้พบความจริงตรงนี้ว่าที่พระเยซูบอกการบัพติศมา มันเกี่ยวกับเรื่องของวิญญาณ แล้วถ้อยคำของพระเจ้าที่เราเรียนรู้ ที่เราอ่าน ที่เราอะไรทั้งหมด พระเยซูพุ่งเป้าไปที่วิญญาณอย่างเดียว เรื่องของวัตถุมีน้อยมาก พระพรทางฝ่ายวัตถุ พระเจ้าจะประทานให้กับพวกเราตามที่พระองค์เห็นชอบว่าใครควรจะได้รับอะไร? อย่างไร? เมื่อไรตามน้ำพระทัยของพระเจ้า พระองค์ก็จะดูแล ส่วนเรื่องของโลกวิญญาณพวกเราได้รับเท่ากัน เราจำเป็นต้องรับรู้
วันนี้เรามาคุยเรื่องบัพติศมาในน้ำนิดหนึ่ง เมื่อก่อนดิฉันก็สอน พระธรรมยอห์น คำสอนก็คือเราเข้าใจตามแบบมนุษย์ เราก็สอนตามที่เราเข้าใจ แต่ตอนนี้ เรามาเริ่มเข้าใจตามแบบที่พระเจ้าเปิดให้เห็น ในโลกวิญญาณ เรามาทำความเข้าใจใหม่ พี่น้องที่เคยได้ยินคำสอนเดิม ที่ดิฉันสอนไป ลบคำสอนนั้นออกไป เอาคำสอนใหม่ คือความเข้าใจใหม่ที่พระวิญญาณเปิดให้เราเห็น อันใหม่เลย
เพื่อพี่น้องจะได้รับรู้ความจริง คืออะไร? ตอนที่เราพูดเรื่องบัพติศมาในน้ำ ในช่วงที่พระเยซูมาทำภารกิจของพระองค์ตอนเริ่มแรก ที่เราเรียนมาในพระธรรมยอห์น จำได้ใช่ไหม? ที่ยอห์นบัพติศโต เป็นคนที่พระเจ้าส่งมา เป็นผู้เผยพระวจนะที่จะมาประกาศให้คนยิว ในยุคของพระกิตติคุณทั้งหมด จะพูดถึงคนยิวเลย คนต่างชาติยังไม่เกี่ยวนะ อาจจะมีประปรายมานิดหน่อย แต่ส่วนใหญ่จะพูดถึงคนยิวโดยเฉพาะ และเป็นพื้นฐานที่คนยิวเขาเข้าใจอยู่แล้ว เป็นประเพณีดั้งเดิมที่คนยิวเขาเข้าใจอยู่แล้ว
ยอห์นบัพติศโตเป็นผู้เผยพระวจนะคนสุดท้าย ที่พระเจ้าส่งมา ก็คือส่งมาเพื่อกรุยทาง เหมือนกับบอกทาง เพื่อที่จะเตรียมทางให้กับเรื่องของฝ่ายวิญญาณ ที่ในอนาคตข้างหน้าเมื่อพระเยซูคริสต์ทรงกระทำภารกิจของพระองค์สำเร็จ บนไม้กางเขนปุ๊บ มนุษย์ทุกคนจะวิ่งเข้ามาสู่โลกฝ่ายวิญญาณทันทีเลย ก่อนหน้านั้น ตอนที่พระเยซูยังเดินอยู่บนโลกใบนี้ ทุกคนเขายังไม่เชื่อ แค่รู้ว่าพระเยซูเป็นพระเจ้า แล้วมาติดตาม เป็นแค่ผู้ติดตามเท่านั้น แล้วผู้ติดตามเหล่านั้น ไม่ว่าจะเป็นสาวก 12 คน หรือว่าเป็นใครก็ตาม ก็ยังอยู่ในบาป ฟังชัดๆ นะ คนเหล่านั้น ตอนที่ติดตามพระเยซูคริสต์ วิญญาณเขายังอยู่ในบาป เพราะว่าพระเยซูคริสต์ยังไม่ได้กระทำภารกิจของพระองค์สำเร็จ ยังไม่ได้มาชดใช้ความผิดบาปให้กับมนุษยชาติ ยังไม่มีหนทางใหม่ ที่จะให้มนุษย์ได้เดิน ได้เลือก ฉะนั้น มนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้ ยังเป็นคนบาปอยู่ อยู่ในธรรมชาติบาปอยู่ เพียงแต่มนุษย์กลุ่มนี้ ก็คือชาวยิวเหล่านี้ ได้ยินได้ฟังเรื่องราวของพระเจ้า ที่พระเจ้าบอกว่าวันหนึ่งข้างหน้า พระองค์จะประทานพระมาซีฮาห์มาให้กับพวกเขา ซึ่งเป็นพระผู้ช่วยให้รอดของเขา และเขาคอยติดตามว่าพระผู้ช่วยให้รอดคนนี้มาถึงเมื่อไร? ดังนั้นใจเขาเปิดประมาณหนึ่งแล้วว่า …
“ฉันเชื่อในสิ่งที่พระยะโฮวาห์ได้บอกไว้ในอดีต แล้วคนกลุ่มนี้ เขาก็จะพยายามจ้องว่าเมื่อไร? อย่างไร? พอยอห์นบัพติศโตมาประกาศว่าให้ทุกคนกลับใจใหม่ แล้วก็มาบัพติศมาในน้ำ คนยิวที่มีความตั้งใจอยู่แล้ว คือเฝ้ารอคอยว่าพระมาซีฮาห์จะมาเมื่อไร พอได้ยินปุ๊บ ทุกคนก็แห่แหนกันมาเลย มาทำพิธีบัพติศมาในน้ำกับยอห์น เพราะเขาเชื่อว่ายอห์น คือผู้เผยพระวจนะที่พระเจ้าส่งมาจริงๆ พอคนในยุคนั้นเชื่อปุ๊บ เขาก็มาบัพติศมาในน้ำ แต่สิ่งที่พระเจ้าอนุญาตให้ยอห์นทำพิธีบัพติศมาในน้ำ คือมันเป็นประเพณีเดิมของพวกชาวยิวอยู่แล้ว ที่คนยิว มักจะใช้น้ำ เกี่ยวกับทุกอย่าง เราจะเห็นว่าชาวยิวก่อนขึ้นเรือน ก็ใช้น้ำล้างเท้า ก่อนเข้าวิหาร พวกมหาปุโรหิตจะเข้าไปถวายเครื่องบูชา ก็ต้องใช้น้ำในการล้างมือ แล้วปุโรหิตที่ต้องเตรียมตัวจะเข้าไปถวายเครื่องบูชา ซึ่งในยุคนั้น ที่พระเยซูยังอยู่บนโลกใบนี้ ณ ที่เราเรียนอยู่ตรงนี้ ในพระธรรมยอห์น ก็คือคนยิว ก็ยังปฏิบัติภารกิจ ตามที่พระเจ้าได้กำหนดไว้ให้กับโมเสสว่าเขาต้องทำอย่างไร? ในแต่ละปี ต้องถวายเครื่องบูชา เพื่อไถ่บาปเขา ก็คือแค่ลบล้างบาปปีต่อปีเท่านั้น คนอิสราเอลทุกคน เมื่อถึงวันเวลาที่กำหนดว่าต้องเอาสัตว์มาถวาย เป็นเครื่องบูชา สำหรับที่จะลบบาปของเขาในปีนั้น เขาก็จะเดินทางมาที่กรุงเยรูซาเล็ม แล้วก็เอาแกะที่พระเจ้ากำหนดไว้ มาให้กับมหาปุโรหิต เพื่อทำการนำเลือดของแกะเข้าไปถวายในอภิสุทธิสถาน ซึ่งพระเจ้ากำหนดไว้ในพระคัมภีร์เดิม
ฉะนั้น ก่อนประมาณอาทิตย์หนึ่ง ปุโรหิตที่ต้องทำหน้าที่เขาจะอาบน้ำ วันละ 3 รอบ 4 รอบ เพื่อชำระร่างกายภายนอกให้สะอาด เพื่อเตรียมพร้อมที่จะเข้าไปข้างในห้องอภิสุทธิสถาน เพื่อถวายเลือดให้กับประชาชน คนยิว ปุโรหิตถ้าไม่ทำอะไรให้เรียบร้อย เข้าไปในอภิสุทธิสถานปุ๊บ เขาตายเลย ก็คือถ้าไม่บริสุทธิ์ ไม่ได้ชำระร่างกายข้างนอกให้บริสุทธิ์ ไม่ได้ชำระใจของตัวเอง ก็คือปุโรหิตต้องถวายเลือดแกะ สำหรับตัวเองด้วย ไถ่บาปให้กับตัวเองก่อน แล้วถึงสามารถที่จะนำเลือดของแกะที่ประชากรชาวยิวเอามาถวาย แล้วก็นำเข้าไปในอภิสุทธิสถาน นี่คือกฎในสมัยโบราณ สมัยที่พระเจ้าให้กับโมเสส
ฉะนั้น การชำระล้างด้วยน้ำ ไม่ว่าจะเป็นล้างเท้า ล้างมือ อาบน้ำ อะไรทั้งหมด เป็นเรื่องของภายนอกเท่านั้น มันไปไม่ถึงข้างใน ไม่ถึงพระเจ้า ก็คือคนยิวในยุคนั้น ไปไม่ถึงพระเจ้า เขาแค่สามารถทำระดับหนึ่งเท่านั้น แล้วตอนที่ยอห์นมาให้บัพติศมาในน้ำ จะเล็งถึงการชำระล้าง เตรียมใจของคนอิสราเอล เตรียมใจสำหรับคนที่เขาเปิดใจอยู่แล้ว รอคอยพระมาซีฮาห์ เพื่อคนที่แสวงหาพระเจ้าอยู่แล้ว พอเตรียมใจปุ๊บ พิธีกรรมตรงนี้ ก็คือล้างด้วยน้ำซะก่อน คือเข้าไปบัพติศมาในน้ำ แล้วค่อยเหมือนปุโรหิตล้างชำระตัวเอง แล้วค่อยนำเอาเลือดเข้าไปถวายให้กับพระเจ้า มันเป็นพิธีกรรมเดียวกัน ก่อนเข้าพระวิหารลานชั้นนอก ถ้าพี่น้องไปอ่านกฎสมัยโบราณ พระเจ้าให้โมเสสทำเยอะแยะมากมาย ลานชั้นนอกมีอ่าง มีอะไรเยอะแยะมากมาย ก็คือทุกอย่างต้องชำระข้างนอกก่อนที่จะไปถึงลานชั้นใน จนเข้าถึงพระเจ้า
พระเจ้าให้ยอห์นทำตรงนี้ เพื่อเตรียมตัวคนอิสราเอลให้พร้อม เพื่อที่จะสามารถรับพระมาซีฮาห์ คือพระผู้ช่วยให้รอด ที่กำลังจะมา ซึ่งจริงๆ มาแล้วแหละ ตอนที่ยอห์นมาให้บัพติศมา มาแล้ว แต่ยังไม่ได้กระทำภารกิจของพระองค์สำเร็จ แต่สิ่งที่ยอห์นทำ ก็คือพอยอห์นเห็นพระเยซูคริสต์ปุ๊บ พี่น้องจำได้ใช่ไหม? ยอห์นเห็นพระเยซูคริสต์ปุ๊บ ยอห์นจะบอกสาวกของตัวเองเลย …
“นั่นไง พระเมษโปดก ผู้ซึ่งพระเจ้าได้เตรียมไว้ ผู้ซึ่งจะมาไถ่บาปของมนุษยชาติ คนนี้แหละที่พระเจ้าได้ส่งมา”
ยอห์นบอกว่า … “พอคนนี้มา พวกเธอไม่ต้องมายุ่งกับฉันแล้ว ไปตามพระเยซูเลย”
แล้วเราจะสังเกตว่าสาวกเยอะแยะมากมายตามพระเยซูไป แล้วยังมีสาวกส่วนหนึ่งที่ยังติดตามยอห์นอยู่ เขาก็รู้สึกเดือดร้อนแทนยอห์น
ถามยอห์น … “ไม่เห็นหรือไง คนไปตามพระเยซูหมดเลย”
ยอห์นบอก … “ไปเดือดร้อนทำไมล่ะ นั่นคือเรื่องจริง”
นั่นคือสิ่งที่ยอห์นต้องการมาทำ เพื่อให้มนุษยชาติรับรู้ว่าตัวเอง ยอห์นไม่ได้เป็นพระมาซีฮาห์เลย ไม่ได้เป็นพระผู้ช่วยให้รอด เป็นแค่คนที่พระเจ้าส่งมา เพื่อบอกว่าเตรียมตัวให้ดีพร้อมนะ เมื่อพระเยซูทำภารกิจสำเร็จแล้ว พวกเธอจะได้เข้าไปผ่าตัดวิญญาณ เข้าไปบัพติศมาในพระวิญญาณ ไม่ใช่เฉพาะล้างร่างกายภายนอกอย่างเดียว คือชำระด้วยน้ำ นี่คือความเป็นจริงที่พระเจ้าเขียนไว้ในถ้อยคำของพระเจ้า
จำได้ไหมค่ะ วันที่พระเยซูคริสต์เป็นขึ้นมาจากความตาย แล้วอยู่กับสาวก 40 วัน แล้วพระองค์ก็ถูกรับขึ้นไปบนฟ้าสวรรค์ แล้วพระเยซูคริสต์ก็บอกให้สาวกไปรอ เพื่อที่จะรับตามพระสัญญา แล้วสาวกก็ไปรอที่ห้องชั้นบน ที่พระเยซูบอกให้กลับไปที่กรุงเยรูซาเล็ม กรุงเยรูซาเล็ม คือที่ๆ พระเยซูถูกตรึงบนไม้กางเขน เป็นที่ๆ คนข่มเหงคริสเตียน เป็นที่ๆ อันตรายที่สุด ที่คริสเตียนพยายามวิ่งหนี ผู้ที่เชื่อว่าพระเยซูเป็นพระเจ้า พยายามวิ่งหนี แต่พระเยซูบอกว่าให้กลับไปที่นั่นแหละ ที่กรุงเยรูซาเล็ม ไปรอรับตามพระสัญญา แล้วพอหลังจากนั้น 10 วัน พระวิญญาณบริสุทธิ์ถูกส่งมาในวันเพ็นเตคอส นั่นแหละเป็นวันที่ผู้เชื่อ ที่อยู่บนห้องชั้นบนทั้งหมด 120 ชีวิตได้รับการเจิม ได้รับการผ่าตัดวิญญาณในข้อที่ 20 ที่เราพูดถึงฤทธิ์เดชอำนาจที่ยิ่งใหญ่สูงสุด ที่พระเจ้าได้ทรงกระทำการในพระเยซูคริสต์ ที่ทรงชุบพระเยซูคริสต์ให้เป็นขึ้นมาจากความตาย เป็นฤทธิ์เดชเดียวกัน ที่พระเจ้าได้เทลงมา ในวันเพ็นเตคอส แล้วผู้เชื่อบนนั้น 120 คนได้กลับใจใหม่ ได้บังเกิดใหม่ ได้เข้ามาอยู่ในอาณาจักรของพระเจ้า นั่นคือที่เริ่มแรก วันแรกของการมีผู้เชื่อจริงๆ ตอนนี้ คือคนที่ติดตามพระเยซูคริสต์ เป็นผู้เชื่อที่ติดตามจริงๆ เป็นผู้เชื่อที่เข้ามาอยู่ในอาณาจักรของพระเจ้าจริงๆ เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเจ้า หลอมเป็นหนึ่งเดียวกัน พระวิญญาณบริสุทธิ์ได้เข้ามาอยู่ในคนกลุ่มนั้น ก่อนที่พระเยซูจะเสด็จขึ้นสู่สวรรค์ พระเยซูก็สั่งสาวกว่า …
“ท่านจงรออยู่ที่กรุงเยรูซาเล็ม แล้วหลังจากนั้น ให้ไปประกาศสั่งสอนชนทุกชาติให้เป็นสาวกของเรา ให้เขาบัพติศมาในพระนามพระบิดา พระบุตร และพระวิญญาณบริสุทธิ์ แล้วเราจะอยู่กับท่านทั้งหลาย จนกว่าจะสิ้นยุค”
นี่คือคำสั่งสุดท้ายที่พระเยซูบอก แล้วเราก็เข้าใจว่าพระเยซูคริสต์สั่งให้เราไปประกาศ แล้วก็นำคนมาทำพิธีบัพติศมาในน้ำ ซึ่งไม่ใช่
การสั่งตรงนี้ พระเยซูบอกว่าไปสั่งสอน ประกาศเรื่องความจริง ในการไถ่บาปของพระเยซูคริสต์ให้กับชนทุกชาติ ที่เขาได้ยินได้ฟัง เมื่อใครก็ตามเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ พระวิญญาณจะนำผู้คนเหล่านั้นเข้ามาบัพติศมาในพระเยซูคริสต์ ก็คือเข้ามาผ่าตัดวิญญาณคนนั้น ให้เป็นวิญญาณใหม่ ที่เป็นเหมือนพระเจ้า เข้ามาอยู่ในอาณาจักรของพระเจ้า นี่คือความหมายจริงๆ ที่พระเยซูสั่งไว้
ถ้าพูดอย่างนี้ พิธีบัพติศมาในน้ำของเรา ก็ไม่มีประโยชน์เลยใช่ไหม? เราทำไปเพื่ออะไร? ฟังชัดๆ นะ พิธีบัพติศมาในน้ำที่พวกเราทำอยู่ทุกวันนี้ มีประโยชน์ตรงที่ว่าพี่น้องนึกให้ดีๆ นะ พอเราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ปุ๊บ เราบังเกิดใหม่ใช่ไหม? เราเกิดเป็นลูกพระเจ้าเรียบร้อยไปแล้วใช่ไหม? แปลว่าเราเกิดแล้ว เราเป็นพลเมืองในแผ่นดินสวรรค์เรียบร้อยไปแล้ว พอเราเป็นพลเมืองในแผ่นดินสวรรค์เรียบร้อยไปแล้วปุ๊บ พิธีบัพติศมาในน้ำ เป็นเหมือนเรามาฉลองการบังเกิดใหม่ของเรา
พี่น้องนึกภาพนะ ประเพณีนี้ยังอยู่ ที่พอวันเกิดของใคร เราก็จะมีแฮปปี้เบิร์ดเดย์ มีร้องเพลงสุขสันต์วันเกิด เขาก็จะซื้อเค้กให้กัน คำอวยพรต่างๆ ที่อวยพร คือคนๆ นั้นเกิดแล้วใช่ไหม? เกิดอยู่ในครอบครัวนั้น ที่เขารู้ว่าคนที่สำคัญที่สุด คือคนในครอบครัวจะอวยพรเขาก่อน ให้เขารับรู้ว่าเธออยู่ในครอบครัวเดียวกันกับฉันนะ อะไรอย่างนี้ มันเป็นการหนุนจิตชูใจ ทำให้เกิดกำลังใจ ถามว่าถ้าคนไม่จัดฉลองวันเกิด คนนั้นยังเป็นคนอยู่ไหม? เป็นคนอยู่นะ คนนั้นยังเป็นลูกในบ้านของพ่อแม่อยู่ไหม? ยังเป็นอยู่นะ แต่ว่าทุกวันนี้ ที่เราจัดฉลองวันเกิด มันเป็นการหนุนจิตชูใจ มันปลื้ม คือมันเป็นอะไรที่เล็กๆ น้อยๆ บางทีไม่ได้ทำอะไรเลย แค่เขียนข้อความว่า …
“Happy Birthday ขอพระเจ้าอวยพร ขอให้มีความสุข”
แค่นั้น เราก็มีความสุขเลย เรารู้สึกขอบคุณพระเจ้า มันเป็นการหนุนจิตชูใจ แค่ในด้านของโลกนี้เท่านั้น ไม่เกี่ยวอะไรกับวิญญาณ มีประโยชน์ตรงที่เราชื่นใจ เรามีความมั่นใจ คนที่มองเห็นเรา ก็มีความมั่นใจ คนนี้เชื่อจริงๆ นะ ถ้าไม่เชื่อจริงๆ เขาคงไม่ตัดสินใจที่จะทำพิธีนี้ แต่ว่าพิธีนี้ไม่ใช่ประเด็นสำคัญที่จะชี้ชะตาว่าคนนี้เชื่อหรือไม่เชื่อพระเจ้า ไม่ได้ชี้ชะตาว่าคนนี้เป็นลูกของพระเจ้าหรือไม่? ไม่เกี่ยวกัน เพราะว่าคนนี้ได้เกิดเข้ามาในอาณาจักรของพระเจ้าเรียบร้อยไปแล้ว จากนั้น เขายืนยันการบังเกิดใหม่ของเขาด้วยพิธีบัพติศมาในน้ำ ตามที่คริสตจักรต่างๆ จัดขึ้น เพื่อว่ามีพี่น้องเยอะแยะมากมายมาแสดงความยินดี มีการเอาดอกไม้ให้ มีการกล่าวอวยพรซึ่งกันและกัน คือหนุนจิตชูใจทั้งผู้ที่บัพติศมาในน้ำและผู้ที่ได้อยู่ท่ามกลางพวกเราด้วย ชัดเจนนะ
พอชัดเจนปุ๊บ พี่น้องก็จะเป็นอิสระเลย ขอบคุณพระเจ้า ไม่ต้องไปบีบใครว่า …
“เธอเชื่อพระเจ้าตั้งนาน ทำไมเธอไม่มาลงชื่อบัพติศมาในน้ำสักที”
อะไรอย่างนี้ ไม่ได้เป็นประเด็นหลัก แต่ว่าถ้าทำดีไหม? ดีประมาณหนึ่ง แต่ไม่เกี่ยวอะไรกับโลกวิญญาณเลย โลกวิญญาณ ไม่ทำพิธีนี้เราก็ยังคงเป็นลูกของพระเจ้าอยู่ดี เพราะว่าวันที่เราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ ในโลกวิญญาณ เราเข้ามาอยู่ในอาณาจักรของพระเจ้าเรียบร้อยไปแล้ว เราเป็นลูกของพระเจ้าเรียบร้อยไปแล้ว พระพรนานัปการที่พระเจ้าเตรียมไว้ให้กับเรา เป็นมรดก เป็นชีวิตนิรันดร์ เป็นชีวิตที่ครบถ้วนบริบูรณ์ในอนาคตข้างหน้า ที่ปัจจุบันเราผู้เชื่อรออยู่ ในขณะที่เราเผชิญกับความทุกข์ยากลำบาก ไม่ว่าจะลำบากขนาดไหน? เราก็ยังมีความหวังใจตรงที่ว่าไม่เป็นไร? แป๊บเดียว เดี๋ยวเราก็กลับบ้านแล้ว เมื่อเรากลับบ้าน ทิ้งร่างกายนี้ปุ๊บ วิญญาณเราออกจากร่าง เราได้ไปสวมร่างกายใหม่ ที่พระเยซูคริสต์ได้ทรงสัญญากับเราว่าเตรียมไว้ให้เรียบร้อยแล้ว เป็นร่างกายที่เต็มไปด้วยสง่าราศี เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์เป๊ะเลย และในขณะเดียวกัน ก็ไปอยู่ในโลกใหม่ ที่พระเจ้าเตรียมไว้ให้กับผู้เชื่อทุกคน เป็นโลกที่สวยงาม และในพระคัมภีร์วิวรณ์บอกว่าเป็นโลกที่ไม่มีการขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน ไม่มีน้ำตา ไม่มีเจ็บป่วย ไม่มีทุกข์ร้อนอะไรเลย เราจะได้ไปอยู่กับพระเจ้า เห็นพระเจ้าหน้าต่อหน้า นี่ชัดเจนเลย เพราะทุกวันนี้พวกเราไม่เห็นพระเจ้าหน้าต่อหน้า ทุกวันเราต้องใช้ความเชื่อตามถ้อยคำพระเจ้า ที่บอกว่าเราเป็นใคร? หน้าตาเราเป็นอย่างไร? แต่ถ้าถึงวันที่เราทิ้งร่างกายนี้ วิญญาณเราออกจากร่างปุ๊บ เราจะได้ไปเห็นพระเจ้าหน้าต่อหน้า พระเจ้าหน้าเป็นอย่างนี้นี่เอง นึกออกไหมค่ะ คือตอนนี้ เราไม่สามารถนึกภาพพระเจ้าออกเลย อย่างที่ทุกวันนี้ พี่น้องเห็นเขาวาดภาพพระเยซู เราก็ไม่รู้ว่าพระเยซูจริงๆ พระองค์หน้าตาแบบนี้หรือเปล่า? เพียงแต่ว่าเขาวาดภาพให้เราได้เห็น แต่ว่าความเป็นจริง เป็นอย่างไร เราไม่สามารถรับรู้ได้ แต่เราสามารถรับรู้ว่าที่ร่างกายเราทิ้งไป วิญญาณเราออกจากร่าง เราไปเจอพระเจ้าหน้าต่อหน้า พระเจ้าเป็นอย่างนี้นี่เอง แล้วแถมยังเจอหน้าตาของเราเองด้วยว่าหน้าตาในลักษณะของผู้บังเกิดใหม่ หน้าตาเราเป็นอย่างนี้ ขอโทษนะ โคตรสวยงาม ต้องเป็นอย่างนั้น แล้วเราก็ไปเห็นสิ่งที่พระเจ้าได้ให้กับเรา คือร่างกายใหม่ สวมเข้าไปเลย สวมแบบสง่าราศีเหมือนพระเยซูคริสต์ นั่นคือความหวังใจของคริสเตียนทุกคน ที่ทุกวันนี้ เราต้องเผชิญกับโลกใบนี้ แล้วเราก็ไม่รู้ว่าเราจะเจออะไรอีก โควิดจะหมดเมื่อไร? ปัญหาเรื่องของเศรษฐกิจจะดีขึ้นไหม? หรือเราจะไปทำงานแต่ละวันเราต้องผวา เราต้องเจอโน่นเจอนี่ แต่ว่าการเผชิญกับสิ่งต่างๆ เหล่านี้ กลายเป็นเรื่องที่เล็กน้อยมาก เมื่อเรารู้ความจริงว่า ณ เวลานี้ เราเป็นใครเรียบร้อยไปแล้ว ในโลกวิญญาณ พระเจ้าอวยพรค่ะ
*******************************
จากใจคณะศิษยาภิบาล
สถานการณ์ต่างๆ อาจเปลี่ยนหรืออาจไม่เปลี่ยน แต่สิ่งที่ควรเปลี่ยน คือ …
- ความคิดของเราเอง
- ความคิดของคนข้างๆ
- ความคิดของผู้อื่น
สถานการณ์ต่างๆ อาจเปลี่ยนหรืออาจไม่เปลี่ยน แต่สิ่งที่ควรเปลี่ยน คือเราควรเปลี่ยนความคิด เปลี่ยนความต้องการของเรา
จากความคิดเดิมๆ ที่เรามักต้องการให้พระเจ้าช่วยเปลี่ยนแปลงสถานการณ์ ให้เป็นไปตามที่เราอยากได้ เปลี่ยนมาเป็นเชื่อ วางใจที่จะมอบสถานการณ์เหล่านั้น ให้พระเจ้า เป็นผู้นำพาเรา
โรม 12:1-2 “1 พี่น้องเพื่อเห็นแก่พระคุณความเมตตาของพระเจ้าที่มีต่อเราทั้งหลาย ข้าพเจ้าขอร้องท่านให้ยอมมอบอวัยวะทุกส่วนในร่างกาย พร้อม (สมอง) ความคิด และสติปัญญาของท่าน เป็นเหมือนเครื่องบูชาที่มีชีวิตอยู่ บริสุทธิ์สะอาดศักดิ์สิทธิ์ (เป็นสมบัติส่วนตัวของพระเจ้า) และเป็นที่พอใจพระเจ้า เป็นการกตัญญูต่อพระเจ้าที่สมควร ในวิญญาณของเราที่ได้บังเกิดใหม่ โดยพระคุณพระเจ้า ซึ่งเป็นการนมัสการพระเจ้าด้วยวิญญาณและความจริง 2 อย่าประพฤติตามระบบของโลกนี้ แต่มายอมรับการเปลี่ยนแปลงความประพฤติ โดยการเปลี่ยนแปลง (โปรแกรมในสมอง) ความคิดสติปัญญาเสียใหม่ เพื่อท่านจะสามารถรับรู้ว่าอะไรที่เป็นความต้องการของพระเจ้า อะไรที่ดี อะไรที่ดียอดเยี่ยมสมบูรณ์แบบในสายตาของพระองค์ ตามแผนการของพระเจ้า (ในพระคริสต์) ที่วางไว้ให้กับท่าน”
พระเจ้าอวยพรครับ