วารสาร Holy News ฉบับที่ 1344

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  26  ธันวาคม  2021

เรื่อง “การบังเกิดใหม่ เข้าอยู่ในสวรรค์ คือของขวัญจากพระเจ้า”

โดย  นคร  เวชสุภาพร

 

วันนี้หัวข้อเรื่อง “การบังเกิดใหม่ เข้าอยู่ในสวรรค์ คือของขวัญจากพระเจ้า” เราได้ยินบ่อยๆ ว่าคริสตมาส คือเทศกาลของขวัญ สัญลักษณ์ของคริสตมาสทั่วโลกเลย ตั้งแต่เริ่มต้น กี่ปีๆ มาแล้ว จนถึงทุกวันนี้ คือของขวัญ ยินดีที่จะได้รับของขวัญ ยินดีที่จะให้ของขวัญ และสัญลักษณ์นี้มาจากอะไร? ก็มาจากต้นตอของวันคริสตมาส เจ้าของวันคริสตมาส คือพระเยซูคริสต์ พระเจ้าได้ประทานพระบุตร ประทานพระเยซูคริสต์มาช่วยเหลือมนุษย์ทั้งปวง เป็นของขวัญ

ของขวัญ แปลว่าให้ฟรีๆ โดยไม่ต้องทำอะไรเลย ให้ฟรีๆ นี่คือสัญลักษณ์ของคริสตมาส พุ่งตรงไปที่การให้ ซึ่งพระเจ้าเป็นแบบอย่างแห่งการให้นี้ อย่างชัดเจน

แล้วท่านทราบไหมครับว่าความหมายที่แท้จริงของของขวัญวันคริสตมาส คืออะไร?  ความหมายที่แท้จริง ต้นเหตุ ต้นตอของการให้ของพระเจ้า ในวันคริสตมาส คืออะไร? ท่านเคยนึกถึงไหมว่าคริสตมาส คือพระเจ้าได้ประทานของขวัญ และของขวัญนั้น คืออะไร? คำอวยพร Merry Christmas ที่ทุกคนท่องกันได้  พูดกันได้ติดปาก ในวันเทศกาลคริสตมาส ก็คือความหมายที่แท้จริงของวันคริสตมาสนั่นเอง Merry Christmas ซึ่งแปลว่าการเสียสละของพระเยซูคริสต์ ที่ได้ทรงไถ่บาปให้กับท่าน “ท่าน” หมายถึงมนุษยชาติทั้งปวง “Merry Christmas” แปลว่า “พระเยซูคริสต์ สละสภาพพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์ เพื่อไถ่บาปให้กับมวลมนุษยชาติทุกๆ คน”

เพราะฉะนั้น เทศกาลวันคริสตมาสที่เราเดินไปไหนมาไหน? มีแต่คนพูดกันคำนี้ มีแต่คนเขียนคำๆ นี้ ทั้งนั้น  ปิดป้ายประกาศ ปิดตรงโน้นตรงนี้ ตรงนั้น ในบ้าน ในห้างร้าน ทั่วโลกทั้งหมด และพูดกันติดปากเลย Merry Christmas เขากำลังประกาศว่าพระเจ้าได้ประทานพระเยซูคริสต์ เป็นของขวัญให้กับมนุษยชาติ เพื่อไถ่บาปมนุษยชาติ ให้พ้นจากความบาปผิดทั้งหลาย ทั้งปวง กลับมาอยู่กับพระองค์ได้ในสวรรค์นิรันดร์นั่นเอง เห็นไหมครับข่าวดีจริงๆ เลยนะ

ถ้าเรารู้เรื่องความจริงในเรื่องวันคริสตมาส เราจะเห็นทั่วโลก มีคนรับของขวัญนี้มากขึ้นทุกวันๆ เป็นไปตามพระคัมภีร์บอกแล้ว เป็นตามที่พระเยซูบอกแล้ว เป็นไปตามที่พระเจ้าบอกแล้วว่าอาณาจักรของพระเยซูคริสต์ อาณาจักรสวรรค์จะปกคลุมอยู่เหนือโลกใบนี้ ใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ จนสุดท้ายใหญ่ที่สุดกว่าอาณาจักรอื่นๆ ทั้งปวงที่เราเห็น

เพราะฉะนั้น พระเยซูคริสต์จึงเป็นของขวัญ  ที่พระเจ้าประทานให้กับมนุษย์ในวันคริสตมาสที่พระเจ้าให้พระองค์ทรงมาประสูติเป็นมนุษย์ และตายที่ไม้กางเขน เพื่อไถ่บาปเรา  แปลว่าให้อภัยในความบาปผิดของเราทั้งหลายที่เราทำบาป ทำผิด  ทำชั่วต่างๆ ให้อภัย นอกจากให้อภัยเราแล้ว นอกจากพาเราออกจากคุกจากตะราง ในฐานะนักโทษประหาร ช่วยเรา อภัยโทษให้กับเรา ให้พ้นจากการเป็นนักโทษประหาร ออกมาจากเรือนจำแล้ว แค่นั้นยังไม่พอ ไม่ใช่ออกมาจากเรือนจำ แล้วปล่อยให้เราดำเนินชีวิตไปตามลำพังของเราคนเดียว เปล่า แล้วยังทำอะไรอีก พระองค์ให้เราเข้ามาในพระราชวัง รับเรามาเป็นลูก รับเรามาเป็นรัชทายาทของพระองค์ในวังเลย คือในสวรรค์ เราออกจากเรือนจำปุ๊บ มารับเราหน้าประตูเลย ให้มาเป็นลูกของพระองค์ แล้วจะเป็นลูกได้อย่างไร? ก็โดยการบังเกิดใหม่ เพราะฉะนั้น การบังเกิดใหม่ จึงเป็นของขวัญชิ้นสำคัญ รวมอยู่ในห่อของขวัญวันคริสตมาสที่พระเจ้าทรงประทานให้ ผ่านทางพระเยซูคริสต์ นอกจากจะไถ่บาปให้กับเรา ตามที่เราได้เรียนรู้ Merry Christmas พระองค์ไถ่บาปให้กับเรา ไม่ใช่หยุดอยู่แค่นั้น  แต่ Merry บังเกิดใหม่ด้วย Merry แปลว่าขอให้ท่านพบสันติกับความจริงเรื่องนี้ Merry บังเกิดใหม่ด้วย คือชำระเราจนสะอาดหมดจด และให้เราบังเกิดใหม่ เป็นกล่องของขวัญ เป็นห่อของขวัญไปได้ทีหนึ่งพร้อมกันเลย เพียงแต่เราจะรู้หรือไม่ เราจะเปิดดูไหม? ของขวัญชิ้นแรกที่เราจะได้รับจากพระเจ้า ในวันคริสตมาส ตอนที่เราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด เราเห็นอะไรไหม? เราน้ำหูน้ำตาไหล เราเป็น ผู้ที่สะอาดหมดจด บริสุทธิ์ บาปทั้งสิ้น ได้ถูกอภัยให้เรียบร้อยแล้ว ออกจากคุก จากตะราง ไม่ต้องเป็นหนี้บาป ไม่ต้องใช้เวร ใช้กรรมอีกต่อไปแล้ว ดีใจมากๆ เลย จบอยู่แค่นั้นหรือ? ในห่อของขวัญยังมีอีก ข้างในกล่องนั้น ยังมีอีกชิ้นหนึ่ง ชิ้นใหญ่เลยล่ะ สำคัญกว่าตรงนี้อีกด้วยซ้ำไป เราลืมมองไป หรือเรามอง แล้วเราไม่ได้เปิดดู ถ้าเราเปิดดู เราจะเห็นว่าโอ้โห! ให้เราบังเกิดใหม่ รับเราเป็นลูกของพระองค์ อยู่ในกล่องเดียวกันนั่นแหละ บางคนไม่ได้ดูตรงนี้ จนกระทั่งถึงวันสุดท้าย  จากโลกใบนี้ไป เจอพระเจ้าหน้าต่อหน้า เพิ่งจะเห็น เป็นลูกหรือ? ไม่รู้เลย ตอนอยู่บนโลกใบนี้ นึกว่าได้รับการไถ่บาปแค่นั้น ก็โอเคแล้ว พระเจ้าบอกโอเคน่าไม่เป็นไร? แต่ถ้าได้รู้ตอนที่อยู่บนโลกใบนี้ด้วยว่าในห่อของขวัญนั้น มีสิ่งที่สำคัญตรงนี้อยู่ด้วย มันก็จะทำให้ความสนุกสนาน ความปิติยินดีมากขึ้น และได้มีโอกาสสำแดงความรัก ความเมตตาและความจริงของพระองค์ให้ผู้คนรอบข้างเขาได้เห็นว่า …

“ฉันเป็นลูกพระเจ้าจริงๆ ไม่ใช่พูดแต่ปาก แต่ฉันเป็นจริงๆ ฉันได้เกิดใหม่จริงๆ เธออยากจะเกิดใหม่ไหม? เธออยากจะเกิดใหม่ เธอมาเชื่อพระเยซูสิ เธอได้บังเกิดใหม่จริงๆ เธอได้เกิดใหม่จริงๆ”   อย่างนี้เป็นต้น

เพราะฉะนั้น เราจึงรู้ว่าในห่อของขวัญนี้ มีการบังเกิดใหม่ เป็นลูกของพระเจ้า ได้อยู่ในพระราชวัง อยู่ในสวรรค์กับพระเจ้าตั้งแต่ตอนที่ดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้แล้ว ตั้งแต่ตอนที่เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์แล้ว คือรับเอาของขวัญนี้แล้ว ตั้งแต่เปิดประตูใจ แล้วเดินออกไป เอาห่อของขวัญที่พระเจ้าวางไว้หน้าประตูบ้าน หยิบเข้ามาในบ้าน แล้วตั้งแต่วันนั้น เขาได้เข้าไปสู่สวรรค์ เป็นลูกของพระเจ้า ได้บังเกิดใหม่แล้ว แล้วได้รับการชำระบาปหมดจด หมดสิ้น บริสุทธิ์สะอาดทันที

ที่พูดตรงนี้แหละ คือความหมายที่แท้จริงของคำว่า “ของขวัญ” วันคริสตมาสที่ดังที่สุดในมหาจักรวาล ดังมา 2,000 ปีแล้ว คือของขวัญวันคริสตมาส เป็นสัญลักษณ์ที่ชัดเจน  ทั่วมหาจักรวาล ไม่ใช่ทั่วโลกอย่างเดียว ในพระคัมภีร์บอกทั่วมหาจักรวาลเลย แม้กระทั่งก้อนหิน ก้อนดิน ต้นไม้ ใบหญ้า ต่างสรรเสริญ ขอบคุณ และเห็นการอัศจรรย์ ความรักอันยิ่งใหญ่ที่พระเจ้าได้ทรงกระทำตรงนี้แหละ ตรงที่เห็นนี้ ที่เราร้องเพลง “Joy to the world” นั่นแหละ แม้กระทั่งต้นไม้ ใบหญ้า ธรรมชาติต่างๆ ต่างสรรเสริญพระเจ้า พระองค์ทำการอัศจรรย์ยิ่งใหญ่จริงๆ เลย ซึ่งสิ่งเหล่านี้  เป็นของขวัญ เริ่มต้นจากวันคริสตมาสแรก คือวันที่พระเยซูทรงสละสภาพของพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์ เหมือนเราทั้งหลาย เพื่อเป็นตัวแทนมนุษยชาติ ซึ่งเป็นหนทางเดียวที่พระเจ้าจะสามารถทำได้ คือส่งพระบุตรของพระองค์ คือพระเยซูคริสต์มาเกิดเป็นมนุษย์ ที่จะสามารถนำพามนุษย์บนโลกใบนี้ ซึ่งล้วนเป็นคนบาป เป็นคนสกปรก ให้กลับไปสู่ความบริสุทธิ์ กลับไปเป็นผู้ชอบธรรม และสามารถกลับไปอยู่กับพระเจ้า เป็นลูกของพระองค์ ไปอยู่ในสวรรค์กับพระองค์ได้  มีทางเดียวเท่านั้น คือพระเยซูคริสต์ต้องมาเกิดเป็นมนุษย์ เหมือนเราทั้งหลาย เพื่อเข้าร่วมกับชาติพันธุ์ คือมนุษย์เหมือนกับเราทั้งหลาย  มาเป็นร่างกายเหมือนมนุษย์ เพื่อจะได้เป็นตัวแทนของเรา แบกบาปทั้งหลายของเราไว้ เพื่อที่จะให้เราได้มีโอกาสบังเกิดใหม่ เป็นลูกของพระเจ้าได้

พระเยซูบอกว่าอย่างไร? ใครที่อยากจะเข้าสวรรค์ได้ ผู้นั้นจะต้องบริสุทธิ์เหมือนพระเจ้า ตอนที่พระเยซูเดินอยู่บนโลกใบนี้ และประกาศเรื่องแผ่นดินสวรรค์ ประกาศเรื่องข่าวดีของพระองค์ ก่อนที่พระองค์จะกระทำให้สำเร็จ ที่ไม้กางเขนนั้น  และเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่ 3 นั้น พระองค์ประกาศว่าอย่างไร? ใครอยากเข้าสวรรค์ต้องทำอย่างไร?  พระองค์มาสอนให้กระทำดี เพื่อเข้าสวรรค์หรือ? เปล่า ไม่ได้มาสอนกระทำดีเลย พระองค์มาประกาศว่า …

“ใครอยากไปสวรรค์บ้าง?”

ทุกคนยกมือ ใครๆ ก็อยากไปสวรรค์ แล้วต้องทำอย่างไร? ต้องทำให้บริสุทธิ์เท่าๆ กับพระเจ้าเลย ซึ่งไม่มีคนไหนฟังแล้วบอกว่า …

“โอเค จะไปทำ”

ทุกคนฟัง แล้วก็หน้างอหมดเลย  เป็นไปได้อย่างไร? มันไม่มีใครทำได้ จะไปทำจนบริสุทธิ์เท่ากับพระเจ้าได้อย่างไร? มัทธิว 5:48 พระเยซูตรัสอย่างนี้ …

มัทธิว 5:48  “ดังนั้น  ​พระบิดา​ของ​พวก​ท่านบน​สวรรค์  ​ดี​พร้อม​ขนาด​ไหน  ก็​ให้​พวก​ท่านดีพร้อม ​ขนาด​นั้น​ด้วย”

 

พูดง่ายๆ พระเยซูกำลังบอกว่าทำได้ไหม? อยากไปสวรรค์ใช่ไหม? ประพฤติตัวให้ดีนะ ดีเท่าพระเจ้า ทำได้ไหม? ไม่ได้ใช่ไหม? ไม่ได้ทำอย่างไร? มา เกิดใหม่ซะ เหมือนกระซิบข้างหู ตายไปแล้ว อยากไปอยู่ในสวรรค์ไหม? อยาก ทำอย่างไร? มาเชื่อพระเยซู แล้วมาเกิดใหม่ พระเยซูก็บอก …

“มาเกิดใหม่ซะ”

เพราะว่าสวรรค์เป็นของคน ที่บริสุทธิ์ สะอาดเหมือนพระเจ้า จึงจะอยู่กับพระเจ้าได้ และวิถีทางเดียวเท่านั้น คือผ่านทางเรา ผ่านทางพระเยซูคริสต์ พระองค์บอกอย่างนั้น ผ่านทางความเชื่อ ในพระองค์ ที่จะทรงกระทำให้กับเราที่ไม้กางเขน แค่นั้นเอง และพระองค์บอกอย่างไร? อย่าไปคิดมาก ฟังแล้วเชื่อเฉยๆ ไม่ต้องมานั่งคิดว่ามาบังเกิดใหม่อย่างไร? มันต้องเป็นอย่างไรนะ ต้องมุดเข้าไปในครรภ์มารดาอีกครั้งหนึ่งหรือ? ต้องเข้าไปในมดลูกอีกครั้งหนึ่งหรือ? คิดไปคิดมาวุ่นวายไปหมดเลย พระเยซูบอกอย่าคิดมาก ให้เหมือนเด็กเล็กๆ ฟังแล้วก็เชื่อเท่านั้นเอง

เหมือนเด็กเล็กๆ อายุสัก 2, 3 ขวบ จับเขาอุ้มไว้บนธรรมาสนี้ สูงขนาดนี้เลย แล้วเราเป็นพ่อเขา เราบอกโดดมาเลย เขาโดดไหม? โดด เพราะเชื่อเหมือนเด็กๆ เขาไม่คิดว่า …

“สูงขนาดไหน? แล้วถ้าเกิดพ่อรับไม่ได้ แล้วพ่อไม่มีแรง แล้วทำอย่างไร?”

เขาไม่ได้คิดอย่างนั้นเลย เขาคิดอย่างเด็กๆ พระเยซูบอกให้เชื่ออย่างง่ายๆ อย่างนี้ ไม่ต้องสงสัย ไม่ต้องคิดมาก ไม่ต้องพยายามหาเหตุผล ถ้าพยายามหาเหตุผล ไม่มีวันเจอ ไม่มีวันได้  เพราะมันจะไม่มีทางเข้าใจเลย ข่าวดีของพระเยซูคริสต์ไม่ใช่สติปัญญา ไม่ใช่ปรัชญาตามความคิดของมนุษย์ ที่มักจะเปรียบเทียบหาเหตุผลแบบมนุษย์ แต่เป็นสติปัญญาอันล้ำลึก จากพระเจ้า ที่ถูกซ่อนไว้ในโลกวิญญาณ ข่าวดีเป็นฤทธิ์เดช เป็นอำนาจของพระเจ้า เป็นอัศจรรย์ของพระเจ้า  ที่ทำให้มนุษย์สามารถบังเกิดใหม่ได้ ที่เราพูดกันเล่นๆ ภาษาไทยที่บอกว่า …

“เจอกันชาติหน้า”

มันเจอกันจริงๆ ได้ ชาติหน้ามีจริงๆ แต่มีชาติเดียวเลย “ชาติ” แปลตรงๆ เกิด ชาติหน้า คือชาติใหม่ ก็คือเกิดใหม่ มันมีจริงๆ แต่จะเกิดใหม่ได้ ต้องมีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้เท่านั้น ถ้าลมหายใจออกจากร่างแล้ว ไม่ใช่มนุษย์แล้ว เกิดใหม่ไม่ได้แล้ว เพราะพระเยซูมา เพื่อมนุษย์ทั้งหลาย

แล้วฤทธิ์เดชอำนาจนี้เกิดขึ้นกับใคร? คนที่ฉลาดหรือ? ไม่ใช่ เกิดกับคนที่มีเหตุผลเยอะๆ ใช่ไหม? จึงจะมาเชื่อ ไม่ใช่ เกิดจากอะไร?  เกิดจากความเชื่อเหมือนเด็กๆ พระเยซูพูดอะไร ก็เชื่อตามนั้น ไม่ใช้ความคิด หาเหตุผล ตามสติปัญญาของมนุษย์ แต่เชื่อในข่าวดี ข่าวสารที่พระเยซูบอกนั้น พระเยซูบอกอย่างไร? ก็อย่างนั้น พระเยซูบอกว่าทำสิ่งเดียว คือมาเชื่อในเรา วางใจในเราเท่านั้นเอง

เมื่อเชื่อแล้ว วางใจแล้ว ได้รับการอัศจรรย์ คือบังเกิดใหม่แล้ว คราวนี้แหละ จึงสามารถเรียนรู้ เข้าใจด้วยสติปัญญาของพระเจ้าได้ว่าบังเกิดใหม่ เป็นลูกของพระเจ้า เป็นอย่างไร? เริ่มเรียนรู้ทีหลัง ไม่อย่างนั้น มันจะเหมือนที่เราคุยกันบ่อยๆ คำพังเพยไทยบอกว่า …

“ความรู้ท่วมหัว เอาตัวไม่รอด”

มนุษย์จะเป็นอย่างนี้ ความรู้ท่วมหัว เอาตัวไม่รอด แต่พระเยซูมาช่วยให้เรารอดก่อน แล้วค่อยมาเรียนรู้ทีหลัง มันเป็นอย่างนั้น พระเยซูช่วยให้เรารอดก่อน บังเกิดใหม่แล้ว เป็นลูกของพระเจ้าแล้ว พระองค์มาสถิตอยู่ในตัวของเราแล้ว ในวิญญาณของเรา แล้วค่อยๆ สอนเรา บอกเรา เราจึงค่อยๆ เรียนรู้เรื่องราวเกี่ยวกับโลกวิญญาณว่าเกิดอะไรขึ้น? การเข้ามาอยู่ในสวรรค์? สวรรค์คืออะไร? พระเจ้าได้อธิบายให้เราฟังเรื่องเกี่ยวกับสวรรค์ คร่าวๆ

ถามว่าสวรรค์ คืออะไร? เราได้เรียนรู้จากถ้อยคำพระเจ้า บอกว่าสวรรค์ คือสถานที่แห่งหนึ่งในโลกวิญญาณ ฟังให้ดีๆ นะ แม้ว่ามันจะสั้นๆ สรุป แต่ว่ามันมีความหมายมาก

สวรรค์ คือสถานที่แห่งหนึ่งในโลกวิญญาณ ที่มองไม่เห็น พระเยซูบอกอยู่ตรงไหน? จริงๆ เราเอง ก็รู้จากจิตใต้สำนึกของเรา รู้ทั้งโลกเลย ยิ่งคนไทยยิ่งรู้ใหญ่เลย เป็นคำพังเพยเหมือนกัน “สวรรค์อยู่ในอก นรกอยู่ในใจ” ตามนี้เลย พระเยซูก็บอก …

“สวรรค์อยู่ในใจของเธอ อยู่ในอกของเธอ”

เราไปหาสวรรค์ใหญ่เลย ไปหาโน่นหานี่ สวรรค์อยู่ในป่า อยู่ในเขา อยู่ในห้วย อยู่ลึกลงไปในทะเล หาใหญ่ พระเยซูบอกสวรรค์อยู่ในอก นรกอยู่ในใจ แสดงว่าในโลกวิญญาณ มีที่อยู่ ที่เรียกว่าสวรรค์ของพระเจ้า และมีอีกที่หนึ่งเรียกนรกด้วย ถูกไหม?

ตัวตนจริงๆ ของมนุษย์ ตัวตนแท้ๆ ของเรา พระคัมภีร์บอกเรา สอนเรา ชี้แจงให้เราเห็นถึงโลกฝ่ายวิญญาณว่าตัวตนของมนุษย์จริงๆ เป็นวิญญาณ และวิญญาณของมนุษย์ กำลังอาศัยอยู่ในที่แห่งใดแห่งหนึ่งในโลกวิญญาณ สวรรค์อยู่ในอก นรกอยู่ในใจ จำได้ใช่ไหมครับ?

ในโลกวิญญาณมีอยู่ 2 สถานที่ หนึ่งนรก หนึ่งสวรรค์ พระเยซูกำลังบอกว่ามนุษย์เป็นวิญญาณ และวิญญาณนั้นจะอยู่ในสถานที่ใดที่หนึ่ง ไม่ว่าจะเรียกว่าสวรรค์หรือนรกก็ตาม ไม่ว่าจะเป็นความมืด หรือความสว่าง หรือในพระคัมภีร์เรียกว่าในอาณาจักรของความมืด หรือในอาณาจักรของความสว่าง มนุษย์ทุกคนเป็นวิญญาณ และวิญญาณจะอาศัยอยู่ในอาณาจักรแห่งความมืด หรือสว่าง ไม่อยู่เลยทั้งสองมีไหม? ไม่มี ต้องอยู่ในที่ใดที่หนึ่ง เหมือนกับเป็นมนุษย์ แล้วอยู่ในเมืองไทย ถ้าคุณไม่อยู่ในเมืองไทย คุณก็ไปอยู่ที่อเมริกา หรืออยู่ที่รัสเซีย หรืออยู่ที่เอสกิโม หรืออลาสก้า หรืออยู่ในประเทศจีน

คุณจะบอกว่า “ฉันเป็นคนอยู่ในโลกใบนี้ แต่ฉันไม่อยู่ในประเทศอะไรเลย ไม่อยู่ที่ๆ ใดเลย”

เป็นไปไม่ได้ มันต้องอยู่ในที่ใดที่หนึ่ง บนโลกใบนี้ เช่นเดียวกัน ในโลกวิญญาณ ท่านต้องอยู่ในที่ใดที่หนึ่ง ใน 2 แห่งนี้ คือไม่มืด ก็สว่าง ไม่นรก ก็สวรรค์ ไม่ได้อยู่กับพระเจ้า หรืออยู่กับพระเจ้า  พระคัมภีร์สอนเราอย่างนี้ วิญญาณนั้นอยู่กับพระเจ้าหรือเปล่า? หรือไม่ได้อยู่กับพระเจ้า วิญญาณนั้น อยู่ในความทุกข์ทรมานตลอดไหม? หรืออยู่ในความสุขนิรันดร์ตลอด วิญญาณนะวิญญาณ ซึ่งเราเรียกกันว่าทุกข์ตลอด ก็คือนรก สุขตลอด ก็คือนิรันดร์ และมนุษย์ทั้งหลาย รู้เรื่องนี้อยู่แล้ว จิตใต้สำนึกของมวลมนุษยชาติรู้เรื่องเล่านี้หมดแล้ว แต่มันไม่ชัดเจน พระเยซูมาเพียงชี้ให้เห็น สิ่งที่มันรู้อยู่แล้วนั่นแหละ ซ้ำอีกทีหนึ่งเท่านั้นเอง มนุษยชาติจึงแสวงหาการได้ไปอยู่ในที่มืดหรือที่สว่าง  มนุษย์ทุกคนจึงแสวงหา ทุกยุค ทุกสมัย จะไปอยู่ในที่ทุกข์หรือที่สุข? มนุษย์ทุกคนแสวงหาอยากจะไปอยู่ในที่เรียกว่าสวรรค์ หรือนรก? สวรรค์ เห็นไหม?  มันอยู่ในจิตใจของมนุษย์ทุกคนอยู่แล้ว ไม่ว่าจะบอกว่าเชื่อพระเจ้า หรือไม่เชื่อ แต่ข้างในวิญญาณของมนุษย์ มีจิตใต้สำนึกอยู่ จิตใต้สำนึกนั้น เป็นตัวบอกว่าพระเจ้าเป็นผู้สร้างเขา แล้วพระองค์ทรงทราบดีว่าส่วนภายในนั้น เป็นเช่นไรบ้าง?

มนุษย์ทั้งหมดบนโลกใบนี้ ต้องการแสวงหาที่จะไปสวรรค์ ถามว่าเพราะอะไร? จากความจริงที่เราได้เรียนรู้มาเมื่อสักครู่นี้ว่าในโลกวิญญาณมี 2 แห่งเท่านั้น นี่คือความจริง จะปฏิเสธอย่างไร? ความจริงก็เป็นความจริง

เมื่อมี 2 แห่ง ถ้ามนุษย์คนนั้นแสวงหาที่จะไปสวรรค์ ก็แสดงว่าเขากำลังอยู่ใน … ถ้าเขาอยู่ในแสงสว่าง อยู่ในสวรรค์อยู่แล้ว เขาก็คงไม่แสวงหาสวรรค์แล้ว แต่มนุษย์ทุกคนพยายามหา ที่จะไปสวรรค์ พยายามกระทำดีทุกอย่าง  เพื่อที่จะไปสวรรค์ ก็แสดงว่าเขากำลังอยู่ในความมืด อยู่ในที่ตรงกันข้ามกับสวรรค์ ที่ตะกี้เราเรียนรู้มา ในพระคัมภีร์ ถูกหรือไม่ถูก? จริงหรือไม่จริง?  พูดง่ายๆ คือเพราะจิตสำนึกของมนุษย์ทุกคน เขารู้ตัวเองว่าเขาเป็นคนบาป  อยู่ในสวรรค์ไม่ได้ เข้ากับพระเจ้าไม่ได้ เป็นศัตรูกับพระเจ้า เป็นศัตรูกับสวรรค์ ก็เลยพยายามที่จะชำระบาป ชดใช้หนี้บาปให้หมดสิ้น เพื่อตนเองจะได้สามารถเข้าไปอยู่ในสวรรค์ ไปอยู่กับพระเจ้าได้ พยายามทุกวิถีทาง ถูกหรือไม่? ซึ่งพระเยซูตอบว่าอย่างไรในเรื่องนี้ พระองค์ตอบว่า …

“เป็นไปไม่ได้หรอก ทำไม่ได้หรอก ทำให้ตายก็เป็นไปไม่ได้ เธอไม่สามารถชำระตัวเองจนสะอาดหมดจดบริสุทธิ์เหมือนพระเจ้าได้หรอก”

พระเยซูกำลังชี้ให้มนุษย์ทั้งหลายเห็นว่าเขากำลังอยู่ในโลกวิญญาณ อาณาจักรไหน? มืดหรือสว่าง ถ้าเขาแสวงหาพระเจ้า หรือที่เรียกว่าแสวงหาความดีงาม หรือเรียกว่าแสวงหาที่จะไปสวรรค์ และสร้างความดีงามด้วยตัวเอง พยายามกระทำให้ตัวเองดี เข้ากับพระเจ้าให้ได้ พระเยซูบอกไม่มีทางทำได้หรอก พระเยซูยกตัวอย่าง อันนี้คำเดียว ทุกคนรู้เลย ก็คือเหมือนเอาอูฐลอดรูเข็ม อย่าว่าแต่เอาอูฐเลย  เอาหนูลอดรูเข็มก็ไม่ได้ เอามดลอดรูเข็มก็ลำบากนะ เข็มใหญ่หน่อย นี่เอาอูฐลอดรูเข็ม คือมันเป็นไปไม่ได้เลย มันเป็นไปไม่ได้ๆ พระเยซูมาด้วยความเมตตา รักมนุษย์ ชี้ให้มนุษย์เห็นถึงความอ่อนแอของตนเอง แล้วบอกว่า …

“เธอทำไม่ได้หรอก ฉันถึงมาช่วยเธอไง”

พระองค์มาเพื่อสำแดง เพื่อชี้ให้เห็น เพื่อประกาศว่ามนุษย์เราอยู่ที่ไหนในขณะนี้ ในโลกวิญญาณ เรากำลังอยู่ในความมืด เรากำลังโดนลงโทษ เรากำลังเป็นนักโทษ ถูกลงโทษประหารชีวิต รอวันสำเร็จโทษเท่านั้น ย้ำอีกที รอวันสำเร็จโทษเท่านั้น ทำอะไรดีเท่าไร? ก็ไม่มีทางที่จะลดโทษ จนกระทั่งถึงไม่ถูกประหารหรอก มันหมายถึงอย่างนั้น แล้วพระเยซูก็เลยประกาศตรงนี้ ในหนังสือยอห์น 3:16-18 ซึ่งดังมาก …

ยอห์น 3:16-18 “16 พระเจ้าทรงรักมนุษย์และโลกยิ่งนัก ถึงกับได้ประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ คือพระเยซูคริสต์ (เป็นของขวัญ) เพื่อทุกคน ที่เชื่อวางใจในพระบุตรนั้น จะไม่พินาศ ตายนิรันดร์ อยู่ในความบาป แต่ได้รับการบังเกิดใหม่ มาเป็นลูกของพระองค์ มีชีวิตนิรันดร์ ที่เป็นของพระองค์เหมือนพระองค์ 17 เพราะว่าพระเจ้าทรงให้พระบุตร เข้ามาในโลก ไม่ใช่ เพื่อพิพากษาลงโทษมนุษย์และโลก แต่เพื่อช่วยกู้มนุษย์และโลก ให้รอดจากการถูกพิพากษาลงโทษนั้น โดยทางความเชื่อในพระบุตร คือพระเยซูคริสต์ 18 คนที่วางใจ เชื่อในพระบุตร คือพระเยซูคริสต์จะไม่ถูกพิพากษาลงโทษให้พินาศ ส่วนคนที่ไม่ได้เชื่อวางใจ ก็ถูกพิพากษาลงโทษ อยู่ในความพินาศในความตาย ในความบาป เหมือนเดิมอยู่แล้ว เพราะเขา ไม่ได้เชื่อวางใจ ในพระนามพระเยซูคริสต์ พระบุตรองค์เดียวของพระเจ้า”

 

พระเยซูกำลังบอกความจริงในโลกวิญญาณให้กับพวกเรา มนุษย์ทั้งหลายได้รู้ว่าในโลกวิญญาณจริงๆ เป็นอย่างไร? มนุษย์ทั้งหลาย ขณะนี้กำลังอยู่ที่ใดที่หนึ่ง ในโลกวิญญาณ ถ้าท่านได้ฟังขณะนี้ ท่านลองคิดดูสิว่าท่านอยู่ที่ไหน? ในโลกวิญญาณ

พระเยซูบอกว่าพระเจ้าทรงรักมนุษย์ยิ่งนัก จึงได้ประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ คือพระเยซูคริสต์มาเป็นของขวัญ เพื่อทุกคนที่เชื่อในข่าวดี ในพระเยซูคริสต์ พระบุตรนั้น จะไม่พินาศ ตายนิรันดร์ อยู่ในความบาป แต่ได้รับการบังเกิดใหม่ มาเป็นลูกของพระองค์ มีชีวิตนิรันดร์ที่เป็นของพระองค์ เหมือนพระองค์

หมายถึงอะไร? ก็หมายความว่ามนุษย์กำลังอยู่ในโลกวิญญาณ ที่มีลักษณะเป็นความพินาศ ความตายนิรันดร์ อยู่ในความบาปนั่นเอง แต่ได้รับของขวัญนี้ คือการบังเกิดใหม่ มาเป็นลูกของพระองค์ มีชีวิตนิรันดร์เป็นของพระองค์ เหมือนพระองค์ หมายถึงได้บังเกิดใหม่ ด้วย DNA ฝ่ายวิญญาณ ที่เป็นของพระเจ้า ประทานให้กับพระเยซู และพระเยซูประทานให้กับเราทั้งหลาย ให้เราได้บังเกิดใหม่พร้อมพระองค์ เป็นเซลวิญญาณ ที่มาจากพระเจ้า ผ่านทางพระเยซู ที่เป็นลูกของพระเจ้า มี DNA ทางฝ่ายวิญญาณ เป็นเหมือนพระเจ้า คือเป็นชีวิตนิรันดร์ที่เต็มไปด้วยสง่าราศี  พระสิริ จากวิญญาณที่เต็มไปด้วยความบาป จากวิญญาณที่เป็นนักโทษประหารชีวิต กลายมาเป็นลูกของพระเจ้า นี่แหละคือของขวัญที่พระเจ้าประทานให้

ในข้อ 17 ชัดเจนมากเลย “เพราะว่าพระเจ้าทรงประทานพระบุตรให้เข้ามาในโลก” ก็คือประทานพระเยซูคริสต์มา ให้มาเกิดในโลกใบนี้  เจ้าของวันคริสตมาส ไม่ได้มา เพื่อพิพากษาลงโทษมนุษย์และโลก แต่มาเพื่อช่วยกู้มนุษย์และโลกให้รอดพ้นจากการถูกพิพากษาอยู่นั้น เห็นไหม? มาเพื่อช่วยให้มนุษยชาติ ที่ลอยคออยู่ในบึงไฟนรก อยู่ในกระทะทองแดง มาเพื่อช่วยทีละคนๆ ใครที่ยอมชูมือขึ้นมา พระองค์ก็ฉุดขึ้นมาหมด มาเพื่อช่วย ไม่ได้มาเพื่อลงโทษซ้ำเติม

ช่วยใคร? ช่วยคนที่เชื่อ ยอมให้ช่วยไง คือยอมให้พระองค์ช่วย พระองค์มาอยู่บนเรือแล้ว เอามือส่งลงมา ให้กับเราทั้งหลาย ทุกคน  เราจะยอมตอบพระองค์ไหม? ชูมือของเรา แล้วบอกพระองค์ …

“พระองค์ช่วยลูกด้วย อีกคนหนึ่ง”

พระองค์ก็ดึงขึ้นมา ช่วยด้วย อีกคนหนึ่ง ก็ดึงขึ้นมา แต่พระองค์ยื่นมือไป แล้วบอก …

“มาช่วยแล้วๆ”

คนๆ นั้น มองขึ้นไป แล้วก็ไม่เอา ไม่เอา เขาก็ยังอยู่ในที่เดิม

ข้อ 18 คนที่วางใจ เชื่อในพระบุตร คือพระเยซู จะไม่ถูกพิพากษาลงโทษให้พินาศ ก็คือจะไม่ต้องถูกสำเร็จโทษ เพราะเขาได้ถูกตัดสินลงโทษอยู่แล้ว รอสำเร็จโทษ รอประหารเท่านั้น ถูกไหม?

ส่วนคนที่ไม่ได้เชื่อวางใจ ก็ถูกพิพากษาลงโทษ อยู่ในความพินาศ ในความตาย ในความบาป เหมือนเดิมอยู่แล้ว พระเยซูกำลังบอกว่า …

“ไม่ได้มาทำอะไรเลย ไม่ได้มาลงโทษให้เธอต้องลงไปได้รับความทุกข์ทรมานในนรกเลย  ไม่ได้ทำเลย  เพราะเธออยู่ตรงนั้นอยู่แล้ว ในโลกวิญญาณในขณะนี้ เธอเป็นอย่างนั้นอยู่แล้ว ถ้าเธอไม่ให้ช่วย เธอก็อยู่ที่เดิม”

เพราะเขาไม่ได้เชื่อวางใจในพระนามพระเยซูคริสต์ พระบุตรองค์เดียวของพระเจ้า  ที่ทรงประทานให้ พระคัมภีร์บอกว่าโดยนามพระเยซูคริสต์นี้เท่านั้น ถึงจะได้รับการอภัยโทษ ได้รับความรอด ได้รับการบังเกิดใหม่ นอกเหนือจากนี้ ไม่มีนามอื่นใดอีกแล้ว คือไม่มีผู้ช่วยอื่นๆ อีกแล้ว มีพระองค์เพียงผู้เดียว ชื่อว่าพระเยซูคริสต์ พระบุตรของพระเจ้า ที่มาช่วยเรา ยื่นมือให้กับเราเรียบร้อยแล้ว เราแค่เปิดใจ ยื่นมือรับ จบ ก็คือยื่นมือขึ้นมาให้พระองค์ทรงช่วย ก็คือยอมให้พระองค์ ย้ายลูกที ย้ายทางโลกวิญญาณ

ตะกี้นี้เราบอกใช่ไหม? เรากำลังอยู่ในโลกวิญญาณ ที่เรียกว่าความมืด  อยู่ในโลกวิญญาณ ที่ไม่มีพระเจ้า อยู่ในโลกวิญญาณที่เรียกว่าพินาศ อยู่ในโลกวิญญาณที่เรียกว่านรก ทุกข์นิรันดร์ พระเยซูมาช่วยใช่ไหม? เราแค่บอกว่า …

“ช่วยลูกด้วย ย้ายลูกที ลูกไม่เอาแล้ว ไม่อยากจะอยู่ในที่นี้แล้ว”

พระองค์ก็ย้ายเรา เข้ามาอยู่ในอาณาจักรสวรรค์ เข้ามาอยู่ในความสว่าง เข้ามาเป็นลูกของพระองค์ ของพระบิดา ด้วยวิธีการได้รับการบังเกิดใหม่ บังเกิดใหม่คืออะไร? คืออัศจรรย์อันยิ่งใหญ่ แตะมือพระเยซูปุ๊บ บังเกิดใหม่เลย วิญญาณเปลี่ยนใหม่ทันที  ถามว่าเมื่อไร? ทันที เมื่อนั้นแหละ ตอนไหน? รอให้ตายก่อน ไม่ใช่ ตายก่อน สายไปแล้ว ต้องตอนอยู่บนโลกใบนี้ เพราะพระองค์มาช่วยเหลือคนที่อยู่บนโลกใบนี้ ตายไปเมื่อไร? วิญญาณออกจากร่างเมื่อไร? ก็ไม่ใช่คนอีกต่อไป แต่เป็นวิญญาณ เป็นผี พระองค์ไม่ได้มาช่วยผีให้รอด พระองค์มาช่วยมนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้ให้รอด ไม่ได้มาช่วยวิญญาณ ไม่ได้มาช่วยผี แต่มาช่วยมนุษย์ทุกคน

มนุษย์ คือใคร? มนุษย์คือวิญญาณที่อยู่ในร่างกายที่เราเห็นกันอยู่ นี่แหละคือมนุษย์  ถ้าจบจากร่างกายนี้ไป ก็ไม่ใช่มนุษย์แล้ว ไม่สามารถจะได้รับสิทธิ์นี้ได้ เพราะพระองค์ไม่ได้มาช่วยวิญญาณ พอเข้าใจใช่ไหมครับ? เพราะฉะนั้น ท่านจะตัดสินใจให้พระองค์ย้ายไหม? หรือท่านพอใจในการอยู่ที่เดิมนี้ ท่านอยากจะย้ายจากอาณาจักรของความมืดมาสู่ความสว่าง เข้ามาอยู่ในสวรรค์กับพระเจ้า โดยการบังเกิดใหม่หรือไม่? ท่านอยากได้บังเกิดใหม่ไหม? ท่านอยากมีชาติหน้าไหม? ชาติ คือเกิดครั้งหน้า ก็คือเกิดใหม่นั่นเอง ท่านเบื่อชีวิตตัวเองแล้วหรือยัง? ท่านเบื่อกับการที่จะแสวงหาการหลุดพ้น จากความทุกข์ยากลำบาก ท่านเบื่อที่จะดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ เพียงลำพังหรือยัง? ท่านเบื่อที่จะพึ่งพาตนเอง แต่เพียงผู้เดียว ท่านเลิกมั่นใจตัวเองแล้วหรือยัง? ยอมให้พระเยซูเข้ามาช่วยท่านหรือไม่? ตรงนี้ต่างหากสำคัญมาก โรม 5:12 ได้บันทึกอย่างนี้ …

โรม 5:12  “ฉะนั้น  เช่นเดียวกับที่บาปเข้ามาในโลก  เพราะมนุษย์คนเดียว และบาปนำความตายมา และโดยทางนี้เอง  ความตายจึงมาถึงมวลมนุษย์ เพราะทุกคนได้ทำบาป”

 

แปลง่ายๆ ก็คือมนุษย์ไม่ต้องทำอะไรเลย ก็เท่ากับได้ทำบาป เป็นนักโทษ เป็นกบฏแล้ว เกิดมา ก็เป็นนักโทษ เป็นกบฏแล้ว เกิดมาปั๊บ วิญญาณก็ตาย แปลว่าวิญญาณก็อยู่ในนรก อยู่ในความพินาศ อยู่ในความมืดอยู่แล้ว ก็คือเกิดมาในโลกวิญญาณ ก็อยู่ในความมืด อยู่ในนรก ที่บอกว่านรกอยู่ในใจ พูดง่ายๆ เกิดมา ก็นรกอยู่ในใจอยู่แล้ว นี่พระคัมภีร์บันทึกไว้อย่างนี้ เกิดมาในใจ ในวิญญาณก็เป็นศัตรูกับพระเจ้า เข้ากับพระเจ้าไม่ได้อยู่แล้ว เกิดมา ก็อยู่ฝ่ายความชั่วร้าย ถ้าพระเจ้าเป็นความดีงาม เราก็เป็นความชั่วร้าย เป็นศัตรูกับพระเจ้า ถ้าพระเจ้าเป็นความชอบธรรม เราเกิดมาทันทีในวิญญาณเรา ก็เป็นคนอธรรม คนชั่ว อยู่ในอาณาจักรของความมืด  ไม่มีพระเจ้าอยู่กับเราเลย ไม่ใช่ผมพูดนะ พระคัมภีร์บอกไว้อย่างนี้ โรม 5:15 ได้เพิ่มความรู้ของเราในเรื่องโลกวิญญาณอีกว่า …

โรม 5:15  “แต่​ของขวัญที่​พระเจ้า​ให้​เปล่าๆ ​นั้น มัน​แตกต่าง​กัน​ เพราะ​ใน​ทาง​หนึ่ง​ ขณะ​ที่​ความผิด​ของ​คนๆ ​หนึ่ง คือ​อาดัม ทำ​ให้​คน​จำนวน​มาก​ต้อง​ตาย  แต่​ใน​อีก​ทาง​หนึ่ง  ความ​เมตตา​กรุณา​ของ​พระเจ้า​  และ​ของขวัญที่​ผ่าน​มา​ทาง​ความ​เมตตาของ​คน​ๆ ​เดียว​ คือ​พระเยซู​คริสต์นั้น  ก็​เป็น​ประโยชน์​กับ​คน​มากมาย”

 

พระเจ้าให้ฟรีๆ โดยไม่ต้องทำอะไรเลย เรียกว่าของขวัญ  แต่ของขวัญจากพระเจ้า คือการบังเกิดใหม่ในวิญญาณ ไม่ต้องทำอะไรเลย แค่เชื่อในข่าวดี เชื่อในสิ่งที่พระเยซูคริสต์ได้บอกให้กับเราว่าพระองค์มา เพื่อช่วยเหลือเรา แค่เชื่อเท่านั้น ก็ได้บังเกิดใหม่ เกิดอัศจรรย์ขึ้น บังเกิดใหม่ มาเป็นลูกของพระเจ้า ที่บริสุทธิ์ สะอาด อยู่ในความชอบธรรม อยู่ในอาณาจักรของความสว่าง อยู่ในสวรรค์กับพระเจ้าเลยทันที

สิ่งที่แตกต่างกับความเชื่ออื่นๆ ในโลกใบนี้ มาตั้งแต่กี่พันปีแล้วก็ตาม ตั้งแต่สมัยมนุษย์ยังบูชาต้นไม้  ภูเขาอยู่ ไม่มีความเชื่อไหน เหมือนตรงนี้เลย แค่เชื่อ อัศจรรย์ก็เกิดขึ้นแล้วทันที ทั้งหมดที่เป็นความเชื่อมาก่อนหน้านี้ เขามักจะบอกว่าให้รอตายไปก่อน แล้วถึงจะรับ แล้วหลายอัน ก็คือตายแล้ว ก็ยังไม่ได้รับ ต้องเกิดใหม่ แล้วก็ตาย แล้วก็เกิดมาใหม่ แล้วก็ตาย เกิดมาเป็นมนุษย์ไม่รู้กี่สิบชาติ แล้วจึงจะได้เห็นผล เป็นหมื่นๆ ชาติก็มี แต่ข่าวดีของพระเยซูคริสต์ คือพิสูจน์ได้ แค่ท่านเชื่อ ในพระนามพระเยซูคริสต์ เชื่อในข่าวดีของพระเยซูคริสต์ เชื่อในข่าวดีของวันคริสตมาสว่าพระองค์เป็นของขวัญ ที่พระเจ้าประทานให้กับมนุษย์ทั้งหลาย สามารถบังเกิดใหม่ มาเป็นลูกของพระเจ้าที่บริสุทธิ์ สะอาด ปราศจากบาปเลย แม้แต่นิดเดียว เข้าสู่สวรรค์ได้เลยทันที  อันนี้ไม่มีใครกล้าพูดเลย  แต่ในพระคัมภีร์บอกทันที  ทันที ก็แสดงว่าพิสูจน์ได้ ถ้าท่านเชื่อจริง ท่านก็จะรู้ว่าสวรรค์เกิดขึ้น ในวิญญาณ คือในใจของท่าน ท่านจะสัมผัสได้ แล้วว่ามันเรื่องจริง ตั้งแต่ข่าวดีนี้เริ่มต้น เมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว เมื่อพระเยซูคริสต์เป็นขึ้นจากความตาย ในวันที่ 3 นั่นเอง โรม 5:16 …

โรม 5:16 “แน่นอน​ ผล​จาก​ของขวัญ​นั้น แตกต่าง​อย่าง​มาก ​จาก​ผล​ของ​ความผิดที่​อาดัม​ได้​ทำ เพราะ​การ​ทำ​ผิด​เพียง​ครั้ง​เดียว ​(ของอาดัม)  ทำ​ให้​ทุก​คน​ต้อง​ถูก​ตัดสิน​ว่า​ผิด  แต่​ของขวัญ​ (การบังเกิดใหม่) นั้น​  ทำให้​คน​เราได้รับ​การ​ตัดสิน​ว่าไม่​ผิด  ทั้งๆ ​ที่​ ทำ​ผิด​​หลาย​ครั้ง”

 

ผลแตกต่างกัน ก็คือมนุษย์เกิดมาบาปเลยทันที เพราะเราติดเชื้อบาป มาจากบรรพบุรุษ คืออาดัม อาดัมทำบาปครั้งเดียว ถือว่าตัดขาดจากพระเจ้าไปเลย เราก็เช่นเดียวกัน เชื้อสายเรามาจากอาดัม พอเกิดออกมา ยังไม่ทำบาป เชื้อสายก็เป็นบาปแล้ว และทำบาปครั้งเดียว  ก็ย้ำยืนยันว่าเป็นคนบาปแน่นอน ครั้งเดียว  แต่พระเยซูคริสต์ให้เราได้บังเกิดใหม่ อภัยในความบาปผิดของเราทั้งหลาย ทั้งบาปอดีต ปัจจุบัน และอนาคต บาปทั้งหมดได้อภัยให้เรา แต่แค่นั้นไม่พอ พระองค์ทรงให้เราบังเกิดใหม่ มีธรรมชาติใหม่ที่เป็นลูกของพระเจ้า ไม่ทำบาปอีกต่อไปเลย อินโนเซ้นกับบาป เป็นคนไร้เดียงสากับการทำบาป ทำชั่วทั้งปวง หมายถึงอย่างนั้น ต่อให้เราทำผิดทำพลาดอะไรต่างๆ ต่อไป เราก็ยังเป็นลูกของพระเจ้าอยู่ เพราะเราเป็นลูกของพระเจ้า ด้วยการบังเกิดใหม่ เราไม่ได้เป็นลูกของพระเจ้า มาเป็นผู้บริสุทธิ์ของพระเจ้า โดยการกระทำของเราเอง รักษากฎบัญญัติ รักษาความดีงาม ซึ่งพลาดไปเมื่อไร? ก็คือผิดพลาด เพราะเราทำไม่ได้ ก็คือเป็นคนบาป แต่นี่ไม่ใช่ เราเป็นความดีงาม เป็นความบริสุทธิ์ เป็นความชอบธรรม อยู่ในสวรรค์ได้ เพราะเราได้บังเกิดใหม่ เชื่อในพระเยซูที่ได้กระทำให้เรา เราบังเกิดใหม่ เกิดแล้ว ก็เกิดเลย เป็นแล้ว ก็เป็นเลย เป็นจากการกำเนิด เป็นโดยธรรมชาติ ไม่มีการเปลี่ยนแปลงอีกแล้ว ตรงนี้ต่างหากที่แตกต่างกัน และการบังเกิดใหม่ เป็นผู้บริสุทธิ์ เป็นลูกของพระเจ้านี้ มนุษย์ไม่สามารถทำด้วยตนเองได้ จะทำดีให้ตาย ให้พยายามขนาดไหน? ใครบ้างที่สามารถพยายามทำดี จนกระทั่งทำให้ตัวเองได้เกิดใหม่อีกทีหนึ่ง ไม่มีทาง เราจึงมักพูดกันว่าให้เราพยายามสะสมความดี พยายามทำความดีเข้าไว้ แต่มันหมายถึงไม่ดีพร้อมนั่นเอง  ไม่ดีพร้อม ก็เข้าสู่สวรรค์ไม่ได้

เพราะฉะนั้น เมื่อมนุษย์ไม่สามารถทำให้ตนเองบริสุทธิ์ ไม่สามารถบังเกิดใหม่ด้วยตนเองได้ พระเจ้าจึงกระทำให้ฟรีๆ จึงเรียกกันว่าของขวัญ เพราะเราทำไม่ได้ พระเจ้าทำให้ผ่านทางพระเยซู จึงเรียกว่าของขวัญ ให้เปล่าๆ ให้ฟรีๆ เป็นปี เติม S เข้าไป เป็นหลายๆ ปีแห่งความโปรดปรานของพระเจ้าที่เทลงมา ให้กับมนุษยชาติทั้งปวง คือเชื่อในพระบุตร ก็ได้รับความรอด จากความพินาศ  เชื่อในพระบุตร ก็ได้บังเกิดใหม่ มาเป็นลูกของเรา กลับคืนสู่สวรรค์ทันที เรียกว่าของขวัญวันคริสตมาสนั่นเอง

เราจึงเห็นได้ว่าพระเยซู เป็นพระผู้ช่วยให้รอดจากบาป พระผู้ช่วยให้รอดจากนรก พระผู้ช่วยให้รอดจากความทุกข์ พระผู้ช่วยให้รอดจากอาณาจักรของความมืด ที่มนุษย์อยู่แล้วนั่น พระองค์เป็นพระผู้มาช่วย พระคัมภีร์ใช้คำว่าพระเยซู คือผู้ช่วย พระองค์มาเพื่อช่วย เป็นผู้ช่วย ประกาศว่าจะมาช่วย พระองค์ไม่ได้มาเป็นพระผู้สอนให้เรากระทำดี ฟังอีกครั้ง พระองค์ไม่ได้เป็นพระผู้มาสอนให้เรากระทำดี ถ้าสอนให้คนทำดี สอนไม่พอหรอก 3 ปี ที่พระองค์มาทำการบนโลกใบนี้ พระองค์มาประกาศข่าวดีว่าพระเจ้าจะทำให้ทุกอย่าง เธอไม่ต้องทำอะไรเลย แค่มาเชื่อในข่าวดีเท่านั้นเอง แค่มาเชื่อ พระองค์ไม่ได้มาสอนให้มนุษย์ทำดีว่าต้องทำอันโน้น ต้องทำอันนี้ พยายามทำอันโน่นอันนี่ เราเข้าใจกันผิด เรานึกว่าพระเยซูมาสอน ให้เราพยายามทำดีที่สุด เท่าที่ทำได้ แต่พระองค์ไม่ได้มาสอนอย่างนั้น พระองค์บอก …

“เธอทำไม่ได้หรอก ทำอย่างไรก็ทำไม่ได้ พยายามก็ทำไม่ได้ ถ้าเธอพยายามทำด้วยตนเอง เธอต้องทำให้ดีเท่ากับพระเจ้าเลยนะ เธอต้องไม่มีการพลาดแม้แต่นิดเดียวเลย พลาดจุดๆ หนึ่ง และขีดๆ หนึ่งก็ไม่ได้เลย เธอต้องสะอาดบริสุทธิ์เหมือนพระเจ้าเลย ซึ่งเธอทำไม่ได้ ไม่ต้องพยายามหรอก”

คติของพระเยซู 3 ปีที่ประกาศ เรื่องข่าวประเสริฐของพระเจ้า ไม่ได้สอนให้ทำดี คติของพระองค์ ก็คือ …

“จะบอกให้ฟังนะ ความพยายามของพวกเธออยู่ที่ไหน? ความพยายามก็อยู่ที่นั่นแหละ ความพยายามที่จะเข้าสู่สวรรค์ด้วยตนเอง สะสมความดีงามด้วยตนเอง เธอพยายามด้วยตนเอง พึ่งในตนเองอย่างไร? ถึงเมื่อไร? ความพยายามก็ยังอยู่ที่นั่น  ก็พยายามต่อไป ไม่มีวันสำเร็จ แต่เราจะบอกให้ ความเชื่อในเราอยู่ที่ไหน? ความสำเร็จอยู่ที่นั่น  ความเชื่อในเราอยู่ที่ไหน? ความสำเร็จที่จะได้เข้าสู่สวรรค์อยู่ที่นั่น  เพราะเราเป็นคนทำให้เธอแทน”

ตรงนี้ต่างหาก พระองค์จึงไม่ได้มา เพื่อสอนคนให้ทำดี ทำอย่างนี้ ทำอย่างนั้น มนุษย์ทั้งหลายรู้อยู่แล้ว อะไรดี อะไรชั่ว ไม่ต้องสอนเลย พระองค์จึงไม่ได้มาสอนผู้คนให้พยายามกระทำดีด้วยตนเอง เพื่อจะรอดจากการลงโทษ พิพากษา เพื่อจะไปสู่สวรรค์ด้วยการกระทำของตนเอง  พระองค์ไม่ได้มาทำอย่างนั้น  แต่มาประกาศเรื่องความรอด มาเพื่อช่วย เธอไม่ต้องทำอะไรเลย แค่ชูขึ้นมาปั๊บ รอดเลย พระองค์มาเพื่ออย่างนี้ พระองค์ไม่ได้มายืนอยู่บนเรือ แล้วบอกว่า …

“ทำอีกนิดหนึ่งสิ กรรเชียงอีกหน่อยหนึ่ง ทำมากขึ้นอีกนิดหนึ่ง ไม่ได้ทำอย่างนั้นเลย อย่าไปเหยียบเขา คนนี้อย่าไปเหยียบคนนี้ คนนี้อย่าไปเหยียบเขา ถ้าเธอเหยียบเขา ฉันไม่ช่วยนะ”

ไม่ได้มาทำอย่างนั้น แต่พระองค์มา เป็นใครก็ได้ ชูมือขึ้นมา 1, 2, 3 เคยเห็นคนจับปลาไหม?  ไม่ได้เลือกเลยนะ หว่านแหไป เอาขึ้นมา เอาอวนลงไป เอาขึ้นมา นี่ไม่ใช่ปลา นี่เป็นมนุษย์ พระเจ้าให้สิทธิในการตัดสินใจด้วยตนเอง ไม่ใช่สร้างเรามาเหมือนโรบอต เหมือนหุ่นยนต์ แต่ให้เรามีความคิดตัดสินใจเอง พระองค์มาบอกว่า …

“ใครต้องการได้รับการบังเกิดใหม่ เข้าสู่สวรรค์ มาเลย ยกมือมา โอเคๆ ขึ้นมาเลย ดีใจด้วย เอาเสื้อผ้ามาให้เขาใส่หน่อย”

ด้วยความดีใจ นี่คือภาพที่เห็น ไม่เหมือนคนอื่นๆ ที่มาสอนก่อนหน้านี้ ต้องทำอย่างนั้นนะ พระเจ้าจึงพอใจ ต้องทำอย่างนี้ พระเจ้าจึงพอใจ  ทำอย่างนี้จึงเข้าสวรรค์ ทำอย่างนี้เข้าสวรรค์ไม่ได้ ต้องทำอย่างนี้ เปล่า พระองค์มาบอกอย่างเดียว คือ …

“ชูมือขึ้นมา เรามาแล้ว มาช่วยเลย  ไม่ต้องคิดอะไรมาก ไม่ต้องกลุ้มใจ มาเลย ขึ้นมา”

ขึ้นมา ก็อยู่ในเรือแล้ว เรือนี้ไปไหน? ไปสวรรค์นิรันดร์ อยู่กับพระเจ้าบนเรือแล้ว

ท่านลองนึกภาพสิ เอาง่ายๆ ลองคิดดู คนกำลังจมน้ำ หายใจก็ไม่ออกแล้ว กินน้ำเข้าไปเท่าไรแล้วไม่รู้ หรือคนกำลังเป็นลม หมดสติ วูบไป แล้วเราเข้าไปช่วย เราจะไปบอกเขาไหมว่าพยายามหายใจหน่อย เขาหมดสติแล้ว หรือคนกำลังจมน้ำ เราต้องไปสอนเขาไหมว่าต้องทำอย่างนี้ ต้องทำอย่างนั้น ต้องถีบขาอย่างนั้น เขาอยู่ในวิกฤตแล้ว ถูกไหม?

คนกำลังจมน้ำ กำลังเป็นลมหมดสติ เขาต้องการอะไร? ต้องการใครก็ได้ ที่มาช่วย ไม่ใช่มาสอนเขา เพราะเขาทำอะไรไม่ได้อยู่แล้ว ตอนนั้น หมดสติไปแล้ว จะทำอะไรได้ล่ะ กินน้ำไปตั้งเท่าไร? นั่นแหละ ในวิญญาณ มนุษย์อยู่ในลักษณะอย่างนั้น เขาไม่ต้องการให้ใครมาสอน ทำอันโน้นอันนี้ เพราะเขาทำไม่ได้อยู่แล้ว ในสภาวะที่ทำอะไรไม่ได้ …

“ไม่ต้องมาแนะนำให้ฉันทำอะไร เพราะฉันทำไม่ได้อยู่แล้ว ฉันหมดสติอยู่”

คนเป็นลมอยู่ แล้วไปบอกเขาว่า … “พยายามกลั้นใจไว้ พยายามหายใจลึกๆ”

เขาไม่ได้ยินเรา เขาไม่รู้เรื่องด้วยซ้ำไป เขาต้องการใครสักคนหนึ่ง อุ้มเลย ขอย้ำ แค่เชื่อเท่านั้น อุ้มเขาขึ้นมาเท่านั้นเอง ถูกหรือไม่?

มนุษย์ก็อยู่ในสภาพอย่างนั้นแหละ ต้องการใครคนใดคนหนึ่งมาช่วยเท่านั้นเอง เพราะว่าเขาช่วยตัวเองไม่ได้ เพราะเขาเกิดมา ก็อยู่ในความมืด เกิดมา ก็อยู่ในความอ่อนแอ เกิดมา ก็อยู่ในคำสาปแช่ง  เกิดมา ก็อยู่ในนรกอยู่แล้ว  เกิดมา ก็เป็นศัตรูกับพระเจ้า ไม่รู้จักพระเจ้า ถูกตัดขาดออกจากพระเจ้า เกิดมาขวานก็วางอยู่หน้าชีวิตของเขาแล้ว “ขวาน” คืออะไร? ขวานตรงกันข้ามกับของขวัญ เกิดมาขวานก็อยู่ตรงหน้าแล้ว ก็คือเมื่อเขาสิ้นลมหายใจ ขวานนั้น ก็คือถูกตัด ชีวิตเขาออกจากพระเจ้านิรันดร์ ตอนอยู่บนโลกใบนี้ ขวานนั้น ก็ตัดเขาออกจากโลกวิญญาณของพระเจ้าไปแล้ว แต่ยังไม่นิรันดร์ เขายังมีโอกาสเกิดใหม่ได้ แต่ถ้าเขายังทิ้งไว้อย่างนั้น จนกระทั่งหมดลมหายใจ ขวานนั้นจะสับเป็นครั้งสุดท้าย คือถูกตัดขาดจากพระเจ้าไปอย่างนั้น  อยู่ที่เดิมอย่างนั้นในโลกวิญญาณ ที่เรียกว่านรกนิรันดร์ ถ้าเขายังคงรับขวานนั้นไว้

พระเยซูบอกว่าขวานวางไว้ข้างหน้าแล้ว แต่เขาให้พระเยซูคริสต์ช่วย แทนที่เขาจะเอาขวาน เขาเอาของขวัญดีกว่า เขาได้ของขวัญ ของขวัญ คือการบังเกิดใหม่ หลุดเลย ขวานกระเด็นหายเลย กลายเป็นของขวัญ เป็นลูกของพระเจ้า อยู่ในอาณาจักรของพระเยซูคริสต์ ที่เรียกว่าสวรรค์เลย อยู่เลยทันที พิสูจน์ได้เลยทันที เพราะฉะนั้น เมื่อวิญญาณเขาออกจากร่าง  เขาก็อยู่ที่เดิมแหละ เขาก็อยู่ในสวรรค์ เพียงแต่เปลี่ยนร่างใหม่ ได้ร่างใหม่ที่เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์ ร่างกายใหม่ที่ไม่ต้องเจ็บป่วยอีกต่อไปนิรันดร์ โรม 6:23 บันทึกไว้อย่างนี้ว่า …

โรม  6:23  “เพราะว่าค่าตอบแทนที่ได้จากบาป  คือความตาย (ขวาน) แต่ของขวัญจากพระเจ้า  คือการบังเกิดใหม่  ชีวิตนิรันดร์ในพระเยซูคริสต์  องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา”

 

ผมใส่คำว่าขวานลงไป เพื่อจะให้เห็นชัดๆ “เพราะว่าค่าตอบแทนที่ได้จากบาป คือความตาย (ขวาน)”

ขวานสัญลักษณ์คืออะไร?  ตัดขาด ความตาย หมายถึงถูกตัดขาดออกจากอาณาจักรของพระเจ้า ถูกตัดขาดออกจากครอบครัวของพระเจ้า ก็คือถูกตัดขาดออกจากอาณาจักรสวรรค์ ไม่ได้อยู่ในอาณาจักรสวรรค์นั่นเอง มนุษย์เราเกิดมาก็อยู่ตรงนี้แล้ว  เพราะความบาป ความบาปทำให้เกิดขวานขึ้น สับโช๊หลุดไปเลย แต่ของขวัญจากพระเจ้า คือการบังเกิดใหม่ ไม่ถูกตัดขาดแล้ว กลับมาคืนดีกันกับพระเจ้า เป็นหนึ่งเดียวกัน มาเป็นลูกพระเจ้า อยู่ในสวรรค์ได้เลยทันที ตั้งแต่อยู่บนโลกใบนี้

เพราะฉะนั้น คริสตมาสปีนี้ พระเยซูตรัสว่ามาเชื่อพระเยซูเถิด มารับของขวัญจากพระเจ้า คือการบังเกิดใหม่  เข้าสู่สวรรค์ มาเป็นลูกของพระองค์ทันทีเลย ตอนเดินอยู่บนโลกใบนี้ พระเยซูเชื้อเชิญท่านอีกครั้งหนึ่ง แล้วเมื่อท่านเชื่อพระเยซู อัศจรรย์ยิ่งใหญ่ที่ผมเล่าให้ท่านฟังทั้งหมดนี้ อัศจรรย์ในโลกวิญญาณนี้ จะเกิดขึ้นในชีวิตของท่านทันที  ท่านสามารถพิสูจน์ได้ ท่านจะรู้ว่ามันเกิดจริงๆ  เหมือนกับผู้คนทั้งหลายบนโลกใบนี้ 2,000 ปีมานี้ เยอะแยะมากมายไปหมดเลย นับวันมากขึ้นเรื่อยๆ ทั่วโลกเรื่อยๆ Merry Christmas กันอยู่เรื่อยๆ เพื่อว่าท่านจะได้ไม่ต้องต่อสู้ เผชิญปัญหาต่างๆ ในชีวิต เพียงลำพังคนเดียวอีกต่อไป  แต่มีขบวนการยิ่งใหญ่ของสวรรค์ ก็คือพระเจ้าแบ็คอัพให้กับท่าน พระเจ้าพระบิดา พระเจ้าพระบุตร พระเยซู พระเจ้าพระวิญญาณจะเสด็จมาสถิตอยู่ในตัวของท่านเลย นอกจากท่านบังเกิดใหม่แล้ว พระเจ้ายังมาสถิตอยู่ในตัวของท่าน มาเป็นพี่เลี้ยง มาเป็นผู้นำพาท่านในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ และจะอยู่กับท่านตลอดไป จนกระทั่งถึงจากโลกนี้ไป และจะอยู่กับท่านต่อไปในโลกวิญญาณ ในสวรรค์นิรันดร์กาลของพระองค์ถึงนิรันดร์เลยทีเดียว

ขณะที่ดำเนินอยู่บนโลกใบนี้ พระเจ้าก็จะคอยเข้ามานำท่าน จูงมือท่านเดิน คอยปกปักษ์คุ้มครองดูแลรักษาชีวิตของท่านให้ดีที่สุด และผมมั่นใจเลย ตามพระคัมภ์บอกว่าท่านเริ่มต้นเชื่อพระเจ้าแล้ว พระองค์ทรงเริ่มต้นการงานดีในท่าน คือให้ท่านบังเกิดใหม่แล้ว พระองค์จะทรงกระทำต่อไปเรื่อยๆ วันแล้ววันเล่า จนกระทั่งสำเร็จอย่างดีงาม ตามแผนการของพระองค์ ที่วางไว้ ที่ดีสำหรับท่าน จนกระทั่งถึงวันแห่งองค์พระผู้เป็นเจ้า คือวันที่จบสิ้นโลกใบนี้ ที่ท่านจะจากโลกนี้ไป อยู่กับพระเยซูคริสต์ อยู่กับพระเจ้านิรันดร์กาล มีสุขร่วมกับพระองค์

นี่คือพระเยซูขอร้องท่านด้วย พระเจ้าวิงวอนขอร้องท่าน ผ่านทางผมว่ามาคืนดีกับพระองค์เถิด กลับมาคืนดีกับพระองค์เถิด พระองค์ประทานพระเยซูคริสต์ เพื่อสำแดงว่าพระองค์ต้องการคืนดีกับเรา ต้องการให้เรากลับมาอยู่ในสวรรค์กับพระองค์ เพราะฉะนั้น จงสนองตอบต่อพระองค์ด้วยการเชื่อและชูมือให้พระองค์เถิด พระเจ้าอวยพรครับ

 

*********************

 

 

จากใจคณะศิษยาภิบาล

 

ฟิลิปปี 4:6 “อย่าทุกข์ร้อน กระวนกระวายใจในสิ่งใดๆเลย แต่จงทูลเรื่องความปรารถนาของท่านทุกอย่างต่อพระเจ้า ด้วยการอธิษฐาน การวิงวอน กับการขอบพระคุณ”

 

1 เธสะโลนิกา 5:18 “จงขอบพระคุณในทุกกรณี เพราะนี่แหละเป็นน้ำพระทัยของพระเจ้า ซึ่งปรากฎอยู่ในพระเยซูคริสต์เพื่อท่านทั้งหลาย”

 

เอเฟซัส 1:3 “สรรเสริญพระเจ้าพระบิดาของพระเยซูคริสต์เจ้าของเรา ผู้ได้ให้พระพรฝ่ายวิญญาณนานัปการแก่เราทั้งหลายในสวรรคสถานต่างๆ เรียบร้อยแล้วในพระคริสต์”

ตัวอย่างเช่น …

  1. ขอบคุณพระเจ้าในข่าวดี ที่บอกว่าพระเยซูคริสต์เป็นพระบุตรของพระเจ้ามาเกิดเป็นมนุษย์ และตายที่ไม้กางเขนเพื่อชำระล้างบาปให้กับมนุษย์ทั้งปวง ถูกฝังไว้ในอุโมงค์ และวันที่สามพระเจ้าได้ทรงชุบพระเยซู ให้เป็นขึ้นจากความตาย และแต่งตั้งให้นั่งอยู่ที่เบื้องขวาของพระองค์ ในสวรรค์สถาน และเมื่อลูกได้ยอมรับด้วยปาก และเชื่อด้วยใจแล้ว ลูกจึงได้รอดจากการถูกพิพากษา ลงโทษ และได้รับชีวิตนิรันดร์ บริสุทธิ์เหมือนพระเยซูคริสต์
  2. ขอบคุณพระเจ้าที่ได้ทรงย้ายลูก ออกจากอาณาจักรของความมืด มาสู่อาณาจักรของความสว่างในพระคริสต์ ได้ออกจากความบาป ความสกปรกในอาดัม มาอยู่ในความชอบธรรมบริสุทธิ์ในพระคริสต์ ได้ออกจากการเป็นทาสมารที่ชั่วร้าย มาเป็นลูกพระเจ้าที่แสนดี ได้ออกจากนรกมาอยู่ในสวรรค์ ในพระคริสต์เรียบร้อยแล้ว
  3. ขอบคุณพระเจ้าที่ได้บัพติสมาลูก เข้าไปในการตายของพระเยซูคริสต์ ที่ไม้กางเขนถูกฝังไว้ในอุโมงค์ร่วมกับพระองค์ และได้เป็นขึ้นจากตาย พร้อมกับพระเยซูคริสต์ และได้ให้ลูกนั่งอยู่ที่เบื้องขวาของพระองค์ ร่วมกับพระเยซูคริสต์ ในสวรรค์สถาน
  4. ขอบคุณพระเจ้าที่ได้ทรงให้ลูก บังเกิดใหม่ในวิญญาณ และทรงประทานความคิดจิตใจใหม่ ที่เหมือนพระเยซู ให้กับลูก
  5. ขอบคุณพระเจ้าที่ได้ทรงชำระล้างร่างกายลูก ด้วยพระโลหิตของพระเยซูคริสต์ เพื่อเป็นพระวิหารอันบริสุทธิ์ของพระองค์
  6. ขอบคุณพระเจ้า ลูกเป็นผู้ที่ถูกสร้างใหม่ในพระคริสต์ ตัวเก่าทั้งหมดได้ตายไปแล้วและทุกสิ่งในชีวิตขณะนี้ เป็นใหม่ทั้งสิ้น
  7. ขอบคุณพระเจ้าที่ได้ทรงมาสถิตอยู่ด้วย ในร่างกายของลูกนี้ ทั้งพระเจ้าพระบิดา พระเจ้าพระบุตร และพระวิญญาณบริสุทธิ์ เป็นหนึ่งเดียวกันกับวิญญาณของลูก
  8. ขอบคุณพระเจ้าที่ได้ทรงรับลูก เป็นลูกของพระองค์ ที่ทรงรักมาก เท่าๆ กันกับที่พระองค์ทรงรัก พระบุตร พระเยซูคริสต์
  9. ขอบคุณพระเจ้าที่ทรงอภัยเสมอ เมื่อลูกผิดพลาด หลงทาง ยอมให้อิทธิพลของความบาป ที่อยู่ในความคิด นำให้ทำบาป นำให้ประพฤติตัว ในสิ่งที่ไม่สมกับการเป็นลูกของพระเจ้า เพราะพระองค์ทรงทราบดีว่านั่นเป็นเพียงความประพฤติ ไม่ใช่ธรรมชาติของตัวตนที่แท้จริงของลูก ที่บริสุทธิ์สะอาดแล้ว
  10. ขอบคุณพระเจ้าที่ช่วยลูกรอดจากโทษของความบาป ด้วยพระคุณของพระองค์ ไม่ใช่ด้วยความประพฤติ การพยายามกระทำของตัวลูกเอง
  11. ขอบคุณพระเจ้าที่ทรงประทานพระวิญญาณ มาเป็นพี่เลี้ยง คอยฝึกฝน คอยนำพาด้วยความรัก เมตตา ให้ลูกประพฤติตน ให้เหมาะสมกับการเป็นลูก เป็นทายาทของพระเจ้า ผู้ยิ่งใหญ่สูงสุด
  12. ขอบคุณพระเจ้าด้วยการบังเกิดใหม่แล้ว ทางวิญญาณในพระเยซูคริสต์ ลูกได้เป็นลูกของพระเจ้า ที่ชอบธรรมบริสุทธิ์ สะอาด ปราศจากบาป และได้อยู่ในสวรรค์กับพระองค์ตลอดนิรันดร์
  13. ขอบคุณพระเจ้า แม้ว่ากายภายนอกของลูกนี้ กำลัง เสี่อมโทรม ไปสู่ความตาย แต่วิญญาณข้างในของลูก ซึ่งเป็นตัวตนจริงๆ เจริญเติบโตขึ้นทุกวัน เข้าไปสู่ความไพบูลย์ ในสง่าราศีของพระคริสต์
  14. ขอบคุณพระองค์ สำหรับร่างกายใหม่ ที่จัดเตรียมไว้ให้กับลูกแล้ว ซึ่งเป็นร่างกายที่เหมือนพระเยซูคริสต์ ตอนเป็นขึ้นจากความตาย เต็มไปด้วยพระสิริ ไม่มี ความเสื่อมโทรม ไม่มีความเจ็บไข้ได้ป่วย ไม่มีความทุกข์ ไม่มีน้ำตา และไม่มีความตาย อีกต่อไป
  15. ขอบคุณพระเจ้า สำหรับโลกใหม่ ฟ้าใหม่ สรรพสิ่งทั้งปวงที่พระองค์ทรงเตรียมไว้ให้กับลูก รวมทั้งนครบริสุทธิ์ คือเยรูซาเล็มใหม่ ที่บริสุทธิ์ งดงาม เต็มด้วยสง่าราศี พระองค์จะประทับท่ามกลางพวกเรา คือผู้เชื่อทั้งหมด และเราทั้งหลายจะเป็นประชากรของพระองค์ และพระเจ้าเองจะทรงอยู่กับเรา และเป็นพระเจ้าของเราตลอดไป พระองค์ทรงซับน้ำตาทุกๆ หยดของลูก จะไม่มีความตาย หรือการคร่ำครวญ หรือการร่ำไห้ หรือความเจ็บปวดรวดร้าวอีกต่อไป เพราะระบบเก่า โลกเก่า ผ่านพ้นดับสูญไปแล้ว
  16. ขอบคุณพระเจ้า สำหรับพระคุณของพระองค์ ที่เพียงพอเสมอสำหรับลูก ในการเผชิญกับความทุกข์ลำบาก ความเจ็บปวด ความอ่อนแอ ในการดำเนินชีวิตบนโลกนี้
  17. ขอบคุณพระเจ้าที่จูงมือลูก เดินผ่านหุบเขาเงามัจจุราช ความชั่วร้าย ความทุกข์ยาก ลำบาก บนโลกใบนี้ และสัญญาว่า จะไม่ทอดทิ้งลูกเลย
  18. ขอบคุณพระเจ้าที่พระองค์สัญญาว่าความทุกข์ยากลำบาก ในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้นั้น จะไม่มากเกินกว่า ที่ลูกจะสามารถรับได้
  19. ขอบคุณพระเจ้าที่ได้ประทานความอดทน สันติสุข การปลอบโยน เมื่อลูกต้องเผชิญ ความทุกข์ยากลำบาก และความอ่อนแอ
  20. ขอบคุณพระเจ้าที่ฤทธิ์เดชอำนาจของพระองค์ จะแสดงออกมาอย่างเต็มที่ ในยามที่ลูกอ่อนแอ
  21. ขอบคุณพระเจ้าที่เป็นพ่อที่แสนดีและรักลูก ดังแก้วตาดวงใจของพระองค์
  22. ขอบคุณพระเจ้าที่ได้ใส่ความรักอมตะ เหมือนพระองค์ เข้ามาในวิญญาณของลูก ทำให้ลูกเป็นความรัก สามารถรักพระองค์และรักผู้อื่นได้ เหมือนที่พระองค์ทรงรักลูก

พระเจ้าอวยพรครับ

 

 

 

วารสาร Holy News ฉบับที่ 1343

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  19  ธันวาคม  2021

เรื่อง “ข่าวประเสริฐไม่ใช่ของตาย ในชีวิตประจำวันของเรา”

โดย ธิดารัตน์  ร่มพระคุณ

 

วันนี้จะมาแบ่งปันเรื่อง “ข่าวประเสริฐไม่ใช่ของตาย ในชีวิตประจำวันของเรา” วันนี้จะมาแบ่งปันเรื่องปกติธรรมดาในชีวิตประจำวันของเรา แล้วทุกคนก็จะรู้สึกเบื่อหน่าย เหมือนเวลาที่เราอยู่ในครอบครัวของเรา เรามีพ่อแม่ของเราที่อยู่ดูแลเราที่บ้าน  แล้วเราก็ไม่ค่อยใส่ใจท่าน เราไม่ค่อยให้ความสนอกสนใจท่าน  เราละเลยที่จะสนใจ  สังคมโลกนี้ก็เริ่มเป็นอย่างนั้น เพราะว่ามนุษย์เริ่มฝักใฝ่หาสิ่งของที่อยู่ในโลกนี้ คิดว่าสิ่งนั้น มันเป็นสิ่งที่จะช่วยทำให้พ่อแม่สุขสบาย หรือทำให้ลูกตัวเองสุขสบาย ทำให้ชีวิตมั่นคง ก็ใช้เวลาส่วนนั้นไปมากกว่า แล้วทำให้เราละเลยผู้ที่ต้องการการสนใจจากเรามากที่สุด ก็คือบิดามารดาของเรา

เช่นเดียวกัน เมื่อเรามาอยู่ในพระเยซูคริสต์  มาอยู่ในพระเจ้า เวลาที่อาจารย์ต่างๆ ทุกคนได้มาแบ่งปัน เรื่องข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์ เราจะมุ่ยหน้า เบ้ปากเลย บอกว่า …

“เป็นเรื่องเก่า เป็นเรื่องเดิมๆ ฉันรู้แล้ว ทำไมจะต้องมาพูดซ้ำๆ ย้ำๆ  พูดอย่างนั้น ฉันต้องการการหนุนใจ”

อยากจะบอกพี่น้องทั้งหลาย ให้รู้ว่าแท้ที่จริงแล้ว ข่าวประเสริฐเป็นเรื่องของการหนุนใจ ของจิตวิญญาณของเรา  ที่เป็นรากฐาน ที่จะทำให้ท่านไม่หวั่นไหว และไม่สั่นคลอนในสถานการณ์ใดๆ ที่เข้ามาในโลกนี้เลย เราอยู่ในโลกนี้ เรารู้ว่าเราเป็นเพียงผู้อาศัย  เป็นผู้พเนจร เดี๋ยวเราก็จะกลับบ้านเรา เราไปอยู่โลกใหม่ ที่พระเจ้าทรงจัดเตรียมให้กับเรา ถ้าเรามองไม่ทะลุ การดำเนินชีวิตในโลกนี้ เราชนะแล้ว เราก็จะเหมือนแพ้ เราพ้นจากความบาปไปแล้ว เราก็จะยังดำเนินชีวิตในความบาปอยู่  ทั้งๆ ที่เราพ้นจากความตายไปแล้ว แต่เราจะยังดำเนินชีวิตเหมือนคนที่ตายอยู่อีกเหมือนเดิม ถ้าหากว่าเราไม่รู้จุดประสงค์ที่แท้จริงของข่าวประเสริฐ เราไม่รู้ว่าข่าวประเสริฐมีฤทธิ์อำนาจและทำงานอย่างไรในชีวิตเรา โดยวางรากฐานสิ่งนี้อย่างหนักแน่น มั่นคง ลงไปในจิตวิญญาณของเรา ไม่ว่าเราจะรู้มากขนาดไหน เราก็ล้มได้  ไม่ว่าเราจะเก่งพระคัมภีร์ขนาดไหน รู้เรื่องในพระคัมภีร์มากขนาดไหน? เราก็สามารถที่จะล้มลง แล้วก็ยากลำบากในการดำเนินชีวิต แน่นอนความรอดเราไม่หลุดแน่ๆ เพราะพระเจ้าบอกว่าต่อให้เราไม่รู้อีโหน่อีเหน่เลย ไม่รู้เรื่องราวอะไรเลย เมื่อท่านตัดสินใจเชื่อและวางใจในพระเยซูคริสต์แล้ว วิญญาณท่านรอดแน่นอน แต่ถ้าท่านไม่รับรู้ จดจ่อ จดจำ จนขึ้นใจในเรื่องข่าวประเสริฐของพระเจ้า ท่านจะดำเนินชีวิตในโลกนี้อย่างยากลำบาก ไม่ว่าท่านจะเผชิญหน้ากับสถานการณ์ใดๆ ท่านจะรู้สึกทุกข์ยากกับมัน ท่านจะรู้สึกโดดเดี่ยว ท่านจะรู้สึกเหงา ท่านจะรู้สึกเหมือนลำบากมากในการดำเนินชีวิตในโลกนี้ ทั้งๆ ที่ท่านสามารถดำเนินชีวิตในโลกนี้อย่างง่ายดายที่สุด

ฉะนั้น วันนี้จะมาแบ่งปันว่าข่าวประเสริฐเป็นเรื่องที่เราจะต้องยึดถือไว้ เป็นเรื่องที่เราจะต้องจดจ่อ จดจำ จนขึ้นใจ  จนกระทั่งลมหายใจของเรา หรือว่าระบบของเราสามารถปรับตัว เมื่อเชื่อพระเจ้าแล้ว ร่างกายเรายังจะต้องดำเนินอยู่ในกฎของโลกนี้ ยังต้องเกิด แก่ เจ็บ ตาย ยังต้องทุกข์ ยังต้องเผชิญหน้ากับสถานการณ์ เหตุการณ์ที่เลวร้ายต่างๆ ในโลกนี้ เมื่อใดก็ตามที่เราเผชิญหน้ากับสถานการ์เลวร้ายต่างๆ ในโลกนี้ แรกทีเดียวเลย ร่างกายเรา รูป รส กลิ่น เสียงมาเลย สมมติว่ามันแรงมา เราก็แรงกลับไป แต่ถ้าเรามีข่าวประเสริฐของพระเจ้าอยู่ในจิตวิญญาณของเรา แล้วเรารู้ว่าเราเป็นใครในพระเยซูคริสต์ เรามีสถานะใด  เรามีอะไรอยู่ในตัว เราจะนึกถึงพระคัมภีร์นี้ทันทีเลยว่า …

“จงนิ่งเสีย และรับรู้ว่าเราคือพระเจ้า”

ความสงบจะมาถึงเราทันที ความสงบสุข สันติสุข ซึ่งมีอยู่ภายใน จะสำแดงและทำงานภายในเรา แล้วเราก็จะเกิดสติปัญญาในการที่จะอยู่ในห้องชั้นในกับพระวิญญาณบริสุทธิ์ แล้วขับเคลื่อนไปกับพระวิญญาณบริสุทธิ์ไปด้วยกันกับพระองค์ ฟังพระองค์ ให้พระองค์เป็นที่ปรึกษา ในการดำเนินชีวิตของเราในแต่ละวัน แล้วเคลื่อนไปกับพระองค์วันต่อวัน อย่างมีสันติสุข ซึ่งเกินความเข้าใจ ซึ่งพระเจ้าประทานให้

ความสุขกับสันติสุขไม่เหมือนกัน  ความสุข คือเมื่อเราได้เจอบางสิ่งบางอย่าง แล้วเราพอใจ ชอบใจ เราเกิดความสุข เราเจอสิ่งดี ความรัก ที่เห็นอยู่ข้างหน้าเรา เราเกิดความสุข เราได้กินขนมอร่อย เราเกิดความสุข เราได้ไปเที่ยว ได้ไปเล่น เราเกิดความสุข  แต่สันติสุข ซึ่งพระเจ้าทรงประทานให้เรานั้น เป็นสันติสุข ซึ่งพระวิญญาณบริสุทธิ์ได้กระทำอยู่ภายในเรา มันเกินกว่าที่เราจะเข้าใจ  แม้ว่าเราจะเผชิญหน้ากับสถานการณ์ใดๆ ในโลกนี้  แรกๆ เราอาจจะปะทะมันด้วยความทุกข์ ความวิตกจริต ความกังวล เพราะเรายังอยู่ในร่างกายนี้ เราอาจจะเผชิญหน้ากับความรู้สึกอยากจะบ่น อยากจะต่อว่า อยากจะด่า อยากจะโต้ตอบ อยากจะอะไรก็ตาม แต่หลังจากนั้นไม่นาน ธรรมชาติของเรา ที่เป็นธรรมชาติของพระเจ้าจะกระตุ้นให้เราปรับตัวเอง เข้าสู่การนิ่งสงบในพระเจ้า ปรับให้เราเกิดสันติสุขขึ้นโดยอัตโนมัติในพระเจ้า เพราะอาจารย์เปาโลบอกว่าข่าวประเสริฐนั้น เป็นฤทธิ์เดช ซึ่งทำการงานอยู่ภายในเรา  ซึ่งมันเกินกว่าที่เราจะอธิบายได้ว่ามันคืออะไร?  การบังเกิดใหม่ที่เกิดขึ้นภายในเรา เป็นการย้ายเราจากสภาพเดิม สภาวะเดิม มาเป็นสภาวะลูกของพระเจ้า  บังเกิดใหม่แล้ว  มีธรรมชาติใหม่ในพระองค์แล้วภายในเรา  มีธรรมชาติในการดำเนินชีวิต แบบลูกพระเจ้าเลย เราได้รับมาเลย  เราเป็นอย่างนั้นเลย  แต่ถ้าเราไม่ยืนอยู่ในจุดที่ถูกต้อง ติดกระดุมเม็ดแรกผิด เม็ดต่อไปผิดหมด ถ้าเรามาเชื่อพระเยซูคริสต์บนพื้นฐาน บนบางสิ่งบางอย่างที่ไม่ใช่ข่าวประเสริฐ ในพระเยซูคริสต์ เราล้มเหลวแน่นอน

อย่างที่เคยบอกหลายครั้งต่อหลายครั้ง ถ้าหากคุณมาเชื่อพระเจ้า โดยไม่ได้วางความเชื่อของคุณบนข่าวประเสริฐที่แท้จริง สิ่งที่จะเกิดขึ้นตามมา ก็คือเราล้มลงแน่นอน หรือไม่ พูดง่ายๆ ก็คือข่าวประเสริฐจะวิ่งตรงไปสู่การทำงานที่ประหลาดมาก ก็คือเมื่อใดก็ตามที่ได้ยิน จะเกิดความเชื่อ ใครมีหู ก็ฟังเถิด  ใครมีหู รับเข้าไปอย่างตั้งใจ  เมื่อรับเข้าไปปุ๊บ ข่าวประเสริฐเกิดปฏิกิริยาในชีวิตของเขา ไม่รู้ว่าเมื่อไร? 10 เท่า 5 เท่า แล้วแต่ละคน

เราจำเรื่องดินได้ใช่ไหมค่ะ มีดินดี ดินที่มีหนาม ดินที่มีหิน มีดินที่ริมทาง ถ้าเมื่อใดก็ตามที่เราเปิดจิตใจของเรา แล้วรับเอา ถ่อมใจเอาข่าวประเสริฐของพระเจ้าปุ๊บ สภาวะของความเป็นมนุษย์ของเรา  กลายเป็นดินดีที่เมล็ดพืชของพระเจ้าหล่นลงมาในจิตวิญญาณของเรา  แล้วก็เกิดผลแห่งความเชื่อ เกิดความเชื่อที่แตกหน่อขึ้น เหมือนเมล็ดมัสตาด เกิดขึ้นมาอย่างอัศจรรย์ ซึ่งมาถึงจุดหนึ่งที่คนๆ นั้นจะแสดงตนออกมาว่ารับเชื่อเมื่อไร? บางคนวางแป๊บเดียวเกิดแล้ว บางคนวางอีก 10 ปีต่อมา ค่อยมาเชื่อ  บางคนอีก 30 ปีต่อมา ค่อยมาเชื่อ  บางคนจนใกล้จะเสียชีวิตแล้วค่อยมาเชื่อ

มีผู้ที่อยู่ในคริสตจักรของเราท่านหนึ่ง พอพูดอย่างนี้ ก็นึกถึงท่านทั้งสองคนมากเลย  เพราะว่าในช่วงยุคนั้น  ท่านเป็นคนที่น่ารักมากๆ อายุมากแล้ว ภรรยาเป็นพยาบาล ส่วนสามีก็จะต่อต้านพระคริสต์ตลอดเวลา ต่อสู้เรื่องพระเจ้า คุณยายไม่ได้ไปโบสถ์เลย  ไม่ได้ไปหาพระเจ้าเลย แต่ว่าจิตใจ จิตวิญญาณของท่านก็ยังเชื่อมั่นในพระเยซูคริสต์อยู่ จนกระทั่งท่านจะหมดอายุขัยแล้ว สามีท่านก็กลับใจมาเชื่อพระเจ้า ท่านก็มาโบสถ์ ไม่พอ ท่านยังขนลูกขนหลานมา ลูกหลานของท่านก็ยังอยู่ในคริสตจักรจนถึงทุกวันนี้  แต่ว่าอีกไม่นาน ท่านก็จากเราไป หลังจากที่ท่านจากเราไป  ภรรยายท่านก็ตามไป  ฤทธิ์อำนาจแห่งข่าวประเสริฐหล่นลงไปในวิญญาณของมนุษย์ แล้วเกิดผลอย่างอัศจรรย์มาก แต่บางคนจบอยู่แค่นั้น  เกิดผล เชื่อปุ๊บ  จบอยู่แค่นั้น ฉันคิดว่าฉันไม่อยากฟังอย่างอื่นแล้ว ฉันอยากฟังคำหนุนใจที่ดีกว่านั้น ไม่มีคำหนุนใจ จะยืนยันตรงนี้เลยว่าถ้าท่านรู้จักข่าวประเสริฐแท้ จะไม่มีคำหนุนใจใดๆ ในโลกนี้ ที่ดีเท่ากับข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์ว่าพระคริสต์ได้สละพระองค์เอง  และได้บังเกิดบนโลกมนุษย์นี้ ได้ตายบนไม้กางเขน เพื่อเรา และได้ชำระล้างความผิดบาปของเรา ลงไปอยู่ในอุโมงค์ และวันที่สามพระองค์ได้ฟื้นขึ้นจากความตาย แค่เรื่องแค่นี้ เชื่อไหมพี่น้อง ตอนนี้ เรามีกลุ่มเล็กๆ จะสองปีแล้ว เรายังเรียนไม่จบ  ยิ่งเรียน ยิ่งเดินเข้าไป ยิ่งเห็นว่าข่าวประเสริฐของพระเจ้ามีกลไกที่ซับซ้อน เกินสติปัญญาของมนุษย์ ที่จะเข้าใจว่ามีฤทธิ์อำนาจมากยิ่งเพียงใดที่จะสามารถกระชากคนหนึ่ง จากคนที่ตายแล้ว มาสู่คนที่มีชีวิตใหม่อีกรอบหนึ่งได้  สามารถเปลี่ยนมนุษย์คนหนึ่ง ที่มีนิสัยบางสิ่งบางอย่างที่แย่มากๆ ให้กลายเป็นอีกบุคคลหนึ่งได้

ฤทธิ์อำนาจแห่งข่าวประเสริฐ ไม่ใช่แค่ทำงานกับเราแล้วจบ  แต่ยังคงทำงานกับเราอยู่เรื่อยๆ ทุกวัน เมื่อเราเผชิญหน้ากับสิ่งหนึ่งสิ่งใดก็ตาม  ถ้าเรายังหวนกลับมาระลึกถึงสิ่งนั้น สิ่งที่พระเยซูคริสต์ทำบนไม้กางเขน  เราจะค่อยๆ ผ่านสิ่งนั้นไป ทีละสเต็ปๆ โดยการช่วยเหลือ โดยความเชื่อที่เรามีในพระเยซูคริสต์

ในพระเยซูคริสต์ เราแค่วางความเชื่อลงไปที่พระองค์ แล้ววางใจในพระองค์ พระเยซูคริสต์มาในโลกนี้ พระองค์ไม่ได้สอนศีลธรรม จริยธรรม เพราะว่าไม่ต้องสอน ศีลธรรมและจริยธรรมอยู่ในตัวของท่าน เมื่อท่านบังเกิดใหม่  ท่านเป็นมนุษย์พันธุ์ใหม่ มีวิญญาณใหม่ ท่านเป็นลูกของพระเจ้าแล้ว ปฏิกิริยาธรรมชาติใหม่นี้ จะบังเกิดขึ้นภายในท่าน ท่านจะรู้คิดว่าอันไหนพูดได้ อันไหนพูดไม่ได้ อันไหนพูดแล้ว ไปทำร้ายจิตใจคนอื่น  อันไหนพูดแล้วดี  อันไหนทำแล้วถูก อันไหนทำแล้วไม่ถูก พระวิญญาณบริสุทธิ์ ซึ่งอยู่ภายในท่าน  ซึ่งเป็นธรรมชาติใหม่  จะไปกับท่านอย่างสอดคล้องเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน  แล้วเกิดพฤติกรรมใหม่ ที่ไม่ต้องเรียกว่าศีลธรรม เพราะว่าเรากลายเป็นมนุษย์สวรรค์ ที่เดินอยู่บนดิน  แต่อย่างที่บอก  ทำไมเรายังทำผิด ทำบาปอยู่ หรือทำสิ่งที่ไม่ดีอยู่ เพราะว่าร่างกายเรายังอยู่ภายใต้กฎของความบาปและความตายของโลกนี้อยู่

ดังนั้น เมื่อกฎของโลกนี้ ได้พยายามที่จะชักจูง และนำพาเรา ถ้าเราหันและมอบความคิดของเรา มอบร่างกาย อวัยวะของเราให้กับความคิดที่ไม่ถูกนั้น  หรือความคิดทางลบนั้น ร่างกาย ปฏิกิริยา คำพูดเรา ปากเรา ก็จะเป็นเครื่องมือ หรือเป็นทาสของความบาปนั้นๆ  แต่เราเป็นของความบาปนั้นหรือเปล่า? ไม่ใช่แล้ว เราแค่ถูกหลอก เราแค่หลงไป  เราแค่ลืม  เราแค่ไม่จดจ่อ จดจำ จนขึ้นใจว่าเราเป็นใครในพระเยซูคริสต์

กระดุมเม็ดแรกนี้ ก็คือความเชื่อที่อยู่ในพระเยซูคริสต์ กระดุมเม็ดแรกนี้ คือพระเยซูคริสต์เท่านั้น

เรามาดูคำอธิษฐานของเปาโล เปาโลเป็นคนที่รู้พระคัมภีร์ เชี่ยวชาญมาก ในพระคัมภีร์ได้เอ่ยอ้างถึงประวัติของบุคคลนี้ว่าเป็นคนที่รู้บัญญัติของพระเจ้า เป็นคนที่เคร่งบัญญัติของพระเจ้า เป็นฟาริสีที่ดำเนินชีวิตที่ระมัดระวัง และเป็นคนที่มีชื่อเสียงดี ท่ามกลางบุคคลที่แต่ก่อนนี้เป็นคนยิว เปาโลก็จะรู้ลึกถึงเรื่องของธรรมบัญญัติ หรือหนังสือโทราทั้งหมด เมื่อเปาโลได้มาเชื่อในพระเยซูคริสต์ พระเยซูคริสต์ได้มาพบเขา แล้วเขาได้กลับใจใหม่ ได้เกิดใหม่ปุ๊บ มันเหมือนแตกฉานไปหมดเลย ทั้งหมดในหนังสือโทรานี้ กำลังพูดถึงพระเยซูคริสต์เท่านั้น  และสิ่งนั้นเกิดขึ้นในพระเยซูคริสต์

ดังนั้น สิ่งหนึ่งที่เป็นสิ่งที่หนักอยู่ภายในจิตวิญญาณของเปาโล จนกระทั่งอธิษฐานอยู่เรื่อยๆ จนกลายมาเป็นจดหมายฝาก ที่เขียนถึงเมืองเอเฟซัสได้บอกว่า …

เอเฟซัส 1:15-23 “15 เหตุฉะนั้น  ครั้นข้าพเจ้าได้ยินว่าท่านทั้งหลายได้วางใจในพระเยซูเจ้า  และท่านรักธรรมิกชนทั้งปวง 16 ข้าพเจ้าจึงได้ขอบพระคุณ เพราะท่านทั้งหลายไม่หยุดเลย  ในเมื่อข้าพเจ้าอธิษฐานเพื่อท่าน 17 ข้าพเจ้าอธิษฐานว่าขอพระเจ้าแห่งพระเยซูคริสต์เจ้าของเรา  คือพระบิดาผู้ทรงพระสิริทรงโปรดประทานให้ท่านทั้งหลาย  มีจิตใจอันประกอบด้วยสติปัญญา  และความประจักษ์แจ้งในเรื่องความรู้ถึงพระองค์ 18 และขอให้ตาใจของท่านสว่างขึ้น  เพื่อท่านจะได้รู้ว่าในการที่พระองค์ทรงเรียกท่านนั้น  พระองค์ได้ประทานความหวังอะไรแก่ท่าน  และรู้ว่ามรดกของพระองค์ สำหรับธรรมิกชนมีสง่าราศีอันอุดมบริบูรณ์เพียงไร 19 และรู้ว่าฤทธานุภาพอันใหญ่ของพระองค์มีมากยิ่งเพียงไร  สำหรับเราทั้งหลายที่เชื่อ  ตามอำนาจของพระกำลัง  และฤทธานุภาพอันใหญ่ยิ่งของพระองค์ 20 ซึ่งพระองค์ได้ทรงกระทำในพระคริสต์  เมื่อทรงชุบให้พระองค์เป็นขึ้นมาจากความตาย  และให้สถิตเบื้องขวาพระหัตถ์ของพระองค์  ในสวรรค์สถาน 21 สูงยิ่งเหนือบรรดาเทพผู้ครอง  เหนือศักดิเทพ  เหนืออิทธิเทพ  เหนือเทพอาณาจักร  และเหนือนามทั้งปวงที่เขาเอ่ยขึ้น  มิใช่ในยุคนี้เท่านั้น  แต่ในยุคที่จะมาถึงด้วย 22 พระเจ้าได้ทรงปราบสิ่งสารพัดลงไว้ใต้พระบาทของพระคริสต์  และได้ทรงตั้งพระองค์ไว้เป็นประมุขเหนือสิ่งสารพัดแห่งคริสตจักร 23 ซึ่งเป็นพระกายของพระองค์  คือซึ่งเต็มบริบูรณ์ด้วยพระองค์  ผู้ทรงอยู่เต็มทุกอย่างทุกแห่งหน”

 

นี่คือคำอธิษฐานของอาจารย์เปาโล ซึ่งอธิษฐานเผื่อคนที่เมืองเอเฟซัส  เป็นเมืองที่เต็มไปด้วยเทพเยอะแยะมากมาย พวกเขาบูชาเทพหลายเทพมาก มีพระหลายองค์ที่เขาได้ยกขึ้น มีทั้งได้บูชาเทพที่เป็นผู้หญิง ที่ได้มีการกระทำหลายสิ่งหลายอย่าง ที่แย่มากๆ ฉะนั้น คนที่อยู่เมืองเอเฟซัสก็จะต้องเผชิญหน้า ทั้งการข่มเหงไม่พอ  ยังต้องเผชิญหน้ากับความเชื่อ  เดิมที่เขาเคยเชื่อมาก่อน  ทั้งคนที่มีอำนาจทางด้านศาสนาเดิมที่เขามี  รวมทั้งคนยิวที่มาเชื่อพระเจ้าที่ยังหันไปเหมา ยังไม่มั่นคงในการที่จะเข้าใจความหมายที่แท้จริงของข่าวประเสริฐ เขาต้องต่อสู้กับสิ่งนั้น เปาโลเป็นคนที่พระเจ้าใช้มา เพื่อให้สร้างคริสตจักร เปาโลจึงจะต้องเป็นผู้ที่นำ ข่าวประเสริฐจริงๆ แท้ๆ เพียวๆ  นำไปสู่ที่ต่างๆ  ที่เขาจะต้องออกไป  ดังนั้น เปาโลจึงเห็นว่ามันเป็นสิ่งที่สำคัญมาก เปาโลอธิษฐานสิ่งนี้ ก็คือเปาโลต้องการให้ผู้เชื่อทุกคน ตาใจฝ่ายวิญญาณเปิดออก และเห็นถึงความจริง ที่พระเยซูคริสต์ได้กระทำบนไม้กางเขน เพื่อเราว่ามีฤทธานุภาพยิ่งใหญ่ มากยิ่งเพียงใด ที่ทำการงานในชีวิตของเรา

เหมือนบิ๊กแบงค์ ที่ระเบิดลงไปในจิตวิญญาณของเรา แล้วทำให้เราบังเกิดใหม่ เรามองไม่เห็น แต่สิ่งนั้น ได้ทำการงานภายในเรา  เรากลายเป็นคนใหม่ มนุษย์พันธุ์ใหม่ เป็นพงศ์พันธุ์ที่ต่อมาจากพระเยซูคริสต์ แล้วการงานนั้น ได้กระทำให้เราแปลสภาพ กลายเป็นลูกของพระเจ้า  เป็นบุตรของพระเจ้า  มีสิทธิอำนาจเดียวกันกับพระเจ้า

แต่หลายคนใช้คำว่า “สิทธิอำนาจ” ไปในทางที่ผิด  เพราะว่าไม่ได้ยืนอยู่บนข่าวประเสริฐแท้ เมื่อใดก็ตามที่เราไม่ได้ยืนอยู่บนข่าวประเสริฐแท้ปุ๊บ เราจะใช้คำพูด หรือเรื่องใดๆ ก็ตามในพระคัมภีร์แถไถไปเรื่อย  แล้วใช้ผิด  และเมื่อเราใช้ผิดปุ๊บ  คริสตจักรก็เสียหาย  คริสตจักรก็บาดเจ็บ  คริสตจักรก็อ่อนแอ คริสตจักรก็อยู่ในสภาวะที่ไม่เติบโตเข้มแข็ง และเต็มไปด้วยปัญหา เต็มไปด้วยการทะเลาะเบาะแว้ง  การแตกแยก การชิงดีชิงเด่นกัน ถ้าหากเรา ซึ่งเป็นผู้รับใช้พระเจ้า หรือเป็นผู้นำของคริสตจักร ได้สอนสิ่งหนึ่ง สิ่งใดผิดไปจากข่าวประเสริฐของพระเจ้า จะทำให้ร่างกายของพระคริสต์อ่อนแอ ทำไมดิฉันถึงพูดอย่างนั้น  เพราะว่าเดี๋ยวเราอ่านพระคัมภีร์ต่อๆ ไป เราจะรู้เลยว่าข่าวประเสริฐเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ การก่อร่างสร้างคริสตจักรของพระเจ้าแข็งแรง

ดังนั้น เมื่อใดก็ตาม หากเราติดกระดุมเม็ดแรกผิด เม็ดต่อไปก็ผิด ถ้าเราเข้าใจความหมายของข่าวประเสริฐผิด เวลาเราอ่านพระคัมภีร์ เราก็ตีความหมายผิดหมด  เราจะเอาความหมายของพระคัมภีร์ เป็นไปตามวิถีที่เราคิดว่าน่าจะเป็นแบบนั้น  น่าจะเป็นแบบนี้  เพราะเรารู้มากอย่างนี้ เอาอันนี้ มาบวกอันนี้ปุ๊บ มันต้องกลายเป็นอย่างนี้ สรุปว่าต้องเป็นอย่างนี้ เราใช้วิธีแตกแขนงจากความคิดของเรา  แต่ไม่ได้แตกแขนงจากรากของข่าวประเสริฐแท้

พวกเราที่เชื่อในพระเยซูคริสต์ เริ่มต้นก็ความเชื่อ  จบลงก็ความเชื่อ

หนังสือพระคัมภีร์ของเรา จะพูดเรื่องเดียว คือเรื่องความเชื่อ เชื่อวางใจในพระเจ้า เรามาอ่านดูนะ เวลาไปเยี่ยมสมาชิก หลายคนจะถามว่า …

“เทศน์เรื่องอื่นไม่ได้เหรอ ทำไมต้องเทศน์เรื่องเดียว”

เพราะเราเห็นว่าเรื่องเดียวนี้ เป็นสิ่งที่สำคัญ สำหรับจิตวิญญาณของคุณ และเราไม่มีเรื่องอื่นพูด นอกจากเรื่องนี้ เมื่อเราอ่านพระคัมภีร์ เมื่อเรารู้ความจริงแล้ว เราจะรู้เลยว่าพระคัมภีร์ไม่ได้พูดเรื่องใดๆ เลยนอกจากการเตรียมพระเยซูคริสต์ไว้  สำหรับไถ่บาปเรา  ทั้งพระคัมภีร์เดิม ทั้งพระคัมภีร์ใหม่ไม่ได้พูดเรื่องอะไรเลย นอกจากการมาเพื่อช่วยเหลือมนุษย์  ออกจากอำนาจแห่งความบาปและความตาย ส่วนเรื่องที่เหลือพระเจ้าให้เราอยู่ด้วยกัน หนุนใจกัน เสริมสร้างกันและกัน เราจึงจำเป็นต้องมีการประชุมกัน เพื่อดูแลกันและกันให้หนุนใจ ตักเตือน ว่ากล่าวกัน หรือเสริมสร้างกันในพระกายของพระคริสต์ คอยบอก คอยดูแลกันและกัน คอยหนุนกันขึ้น คอยเตือนสติว่าอย่าแถ อย่าไถ อย่าไปทางอื่น กลับมาๆ วิธีคิด คิดอย่างนี้นะ วิธีทำ ทำอย่างนี้นะ คิดอย่างนี้ถูกหรือเปล่า? คิดอย่างนี้ไม่ถูก หรือว่าถ้าคิดอย่างนี้ คุณคิดเองสิว่ามันถูกหรือมันผิด นั่นคือหน้าที่ของเราที่จะรดน้ำ พรวนดิน แล้วพระเจ้าจะทำให้เราเจริญเติบโตในพระกายของพระองค์ ฉะนั้น เราจึงไม่มีเรื่องอื่นพูดนอกจากเรื่องของข่าวประเสริฐในพระเยซูคริสต์เท่านั้น …

1 โครินธ์ 1:18-25 “18 คนทั้งหลายที่กำลังจะพินาศก็เห็นว่าเรื่องกางเขนเป็นเรื่องโง่  แต่พวกเราที่กำลังจะรอดเห็นว่าเป็นฤทธานุภาพของพระเจ้า 19 เพราะมีคำเขียนไว้ในพระคัมภีร์ว่าเราจะทำลายสติปัญญาของคนมีปัญญา  และจะทำให้ความฉลาดของคนฉลาดสูญสิ้นไป 20 คนมีปัญญาแห่งยุคนี้อยู่ที่ไหน  บัณฑิตแห่งยุคนี้อยู่ที่ไหน  นักโต้ปัญหาแห่งยุคนี้อยู่ที่ไหน  พระเจ้าได้ทรงกระทำปัญญาของโลกให้โฉดเขลาไปแล้ว 21 เพราะตามที่ทรงกำหนดไว้ตามพระสติปัญญาของพระเจ้า  โลกไม่รู้จักพระเจ้าได้ โดยปัญญาของตน  พระเจ้าจึงทรงโปรดช่วยคนที่เชื่อให้รอดโดยคำเทศนาเรื่องโง่ๆ 22 พวกยิวขอเห็นหมายสำคัญ  และพวกกรีกเสาะหาปัญญา 23 แต่พวกเราประกาศเรื่องพระคริสต์ผู้ทรงถูกตรึงที่กางเขนนั้น  อันเป็นสิ่งที่ให้พวกยิวสะดุด  และให้พวกต่างชาติถือว่าเป็นเรื่องโง่  24 แต่สำหรับผู้ที่พระเจ้าทรงเรียกนั้น  ทั้งพวกยิวและพวกกรีก  ต่างถือว่าพระคริสต์ทรงเป็นฤทธานุภาพ และพระปัญญาของพระเจ้า 25 เพราะความเขลาของพระเจ้ายังมีปัญญายิ่งกว่าปัญญาของมนุษย์  และความอ่อนแอของพระเจ้า ก็ยังเข้มแข็งยิ่งกว่ากำลังของมนุษย์”

 

ในโรม 1:16 อันนี้เป็นคำพูดของเปาโล ผู้นำข่าวประเสริฐของพระเจ้าไปในต่างแดน จากเยรูซาเล็ม แล้วก็นำเอาออกไป ที่เมืองเอเฟซัส เมืองโครินธ์ ออกไปทางตุรกี หลังจากตุรกี ก็ข้ามไปสู่ยุโรป แล้วค่อยย้อนกลับมาหาเรา จริงๆ เปาโลอยากจะมาหาเรา ในหนังสือพระคัมภีร์บอกว่าเปาโลตั้งใจจะมาทางนี้ ทางเอเซีย แต่มาไม่ได้ สุดท้ายพระเจ้าก็พาออกไป แล้วย้อนกลับมาหาเรา จริงๆ แล้วข่าวประเสริฐของพระเจ้าเกิดในเอเชีย …

โรม 1:16 “เพราะว่าข้าพเจ้าไม่มีความละอาย  ในเรื่องข่าวประเสริฐ  เพราะว่าข่าวประเสริฐนั้นเป็นฤทธิ์เดชของพระเจ้า  เพื่อให้ทุกคนที่เชื่อได้รับความรอด  พวกยิวก่อน  แล้วพวกต่างชาติด้วย”

 

ในพระคัมภีร์ที่เราถืออยู่ ไม่ว่าจะเป็นพระคัมภีร์เดิมหรือพระคัมภีร์ใหม่ ทั้งหมดพูดถึงเรื่องพระเยซูคริสต์ว่าพระเยซูคริสต์จะมาบังเกิดอย่างไร? ตายอย่างไร? ตั้งแต่เริ่มต้นของเผ่าพันธุ์มนุษย์ขึ้นมา พระคัมภีร์พูดถึงต้นกำเนิดของโลกนี้ โดยมีมนุษย์ และให้มนุษย์บังเกิดมา แล้วมนุษย์ล้มลงในความบาปปุ๊บ พระองค์พูดถึงการช่วยกู้ทันที  พระองค์เตรียมแผนไว้เรียบร้อยแล้วว่าพระองค์จะช่วยกู้ทันที แล้วเมื่อพระองค์ช่วยกู้เสร็จเรียบร้อยปุ๊บ พระองค์ก็เตรียมเชื้อชาติไว้ คือชนชาติยิว ซึ่งผ่านทางอับราฮัม ดึงอับราฮัมออกจากเมืองของตน แล้วตั้งเป็นชนชาติ คือชาติอิสราเอล เพื่อเตรียมพระเยซูคริสต์ให้มาบังเกิดในนั้น  แล้วไม่ว่าอะไรก็ตามที่จะถูกนำไปในที่ต่างๆ ในชีวิตของตระกูลและสายพันธุ์ของอับราฮัม ต่างก็ถูกนำพาโดยการนำของพระเจ้า  และมีการเผยพระวจนะเป็นขั้นตอน ในทุกยุค ทุกสมัย ในทุกๆ เหตุการณ์ ในยุคของชั่วชาติพันธุ์ของอายุคน คนนั้นไม่ได้นัด คนนี้ไม่ได้นัดหมาย เป็นคนละเพศ เป็นคนละวัย เกิดคนละยุค คนละสมัย แต่เขียนเรื่องของพระเยซูคริสต์ว่าจะมาบังเกิดบนโลกนี้ และไถ่ถอนเราจากอำนาจของความบาป และความตายอย่างไร?  ถูกร้อยสายพันธุ์ออกมา กลายเป็นเรื่องราวที่อยู่ในพระคัมภีร์เดิม ที่ซ่อนอยู่ตรงนั้นตรงนี้

พระคัมภีร์ไม่ได้พยายามที่จะบอกให้เราเห็นว่าชีวิตโมเสสเป็นอย่างไร? ชีวิตอับราฮัมเป็นอย่างไร? ต้องเอาแบบอย่าง? ชีวิตของคนนั้นเป็นอย่างไร? ชีวิตของคนนี้เป็นอย่างไร? หรือต้องขอหมายสำคัญแบบนั้นแบบนี้  เหมือนที่คนในพระคัมภีร์ทำกัน แต่พระคัมภีร์พยายามที่จะบอกเราถึงเรื่องของพระเยซูคริสต์ว่าพระองค์กำลังจะมาบังเกิด พระองค์มาอย่างไร? เพื่อเรา นี่คือความล้ำลึกที่ซ่อนอยู่ แล้วมารก็รู้สิ่งนี้ ก็พยายามทำลายแผนงานของพระองค์ แต่พระเจ้าพยายามกลับเรื่องที่มันจะทำ ให้กลายเป็นเรื่องที่เข้าร่องพระเจ้า

ถ้าเรารู้ว่าเรื่องราวทั้งหมด กำลังพูดถึงอะไร? เราจะสนุกในการอ่านพระคัมภีร์มาก เราจะไม่ง่วงนอนอีกต่อไป เราจะรู้สึกว่าเราอยากรู้ เราอยากจะเข้าใจ เราอยากจะเห็นว่าอะไรอยู่ในนั้น

พอมาถึงยุคพระเยซูคริสต์ปุ๊บ ในขณะที่พระเยซูคริสต์กำลังพูดในมัทธิว มาระโก ลูกา ยอห์น พระเยซูคริสต์ไม่ได้พูดกับคนที่เชื่อ  แต่เวลาเราเอามาใช้  เราเอามาใช้กับคนที่เชื่อ พระองค์กำลังพูดกับคนที่ไม่เชื่อ พระองค์กำลังจะบอกว่าถ้าเราอยากจะทำชีวิตให้ขึ้นสวรรค์ได้ คุณต้องทำ 100%

100% คืออะไร? บัญญัติบอกว่าถ้าใครตบแก้มซ้าย หันแก้มขวาให้ตบด้วย  ทำได้ไหม? ต้องทำให้ได้นะ เขาเกณฑ์ให้เดิน 2 กิโล ต้องเดิน 5 กิโล ทำให้ได้นะ ใครก็ตามที่กดขี่ข่มเหงเรา เราต้องเดินให้ได้ พระเยซูกำลังอธิบายว่าคุณคิดว่าคุณถือบัญญัติดีแล้ว จะบอกให้ว่าความหมายของบัญญัติมากกว่านั้น นั่นหมายความว่าคุณต้องทำให้ได้ 100% ของข้อนั้น และถ้ามี 613 ข้อ คุณต้องทำให้ได้ 613 ข้อไม่ผิดเลย แล้วพระเยซูจบลงด้วยว่า … “แอกก็พอเหมาะ ภาระก็เบานะ ถ้ามาหาพระองค์” … มาหาพระองค์จะได้ไม่ต้องแบกสิ่งนั้นอีกต่อไป บาปทั้งหมด  เราแบกให้ท่านเอง  ท่านไม่ต้องแบกอีกต่อไป  ท่านไม่ต้องพยายามตะเกียกตะกายอีกต่อไป เพราะว่าท่านไม่สามารถตะเกียกตะกายได้

บางทีเราไปแปลความหมายในพระคัมภีร์ ในพระกิตติคุณทั้ง 4 เล่มใช้ในการประพฤติ นึกว่าพระเยซูสอนศีลธรรมและจริยธรรม ไม่ใช่ พระองค์กำลังจะชี้ให้เห็นว่าคุณทำให้ตาย คุณก็ไม่รอด เพราะว่าบรรทัดฐานของสวรรค์ คือคุณต้องทำให้ได้ 100% ถ้าคุณถือ 5 ข้อ คุณต้องทำให้ได้ 5 ข้อ โกหกครั้งเดียว ก็ไม่ได้ พระเยซูคริสต์บอกว่า …

“เราไม่ได้มาลบล้างธรรมบัญญัติ แต่มาทำให้บัญญัติสมบูรณ์ เราเคารพบัญญัติมากกว่าท่านอีก เรารู้ว่าบัญญัตินั้น ท่านทำไม่ได้”

บัญญัตินั้นเขียนละเอียดและซีเรียสกว่าที่คุณคิด คุณต้องทำให้ได้ 100% ถ้าคุณถือ 8 ข้อ คุณต้องทำให้ได้ 8 ข้อ  ถ้าคุณไม่มีบัญญัติใดๆ ไม่มีศาสนาอะไรเลย คุณมีจิตสำนึกภายในคุณเอง จิตสำนึกฟ้องว่าผิด แล้วคุณไม่แก้ไข คุณก็ผิด พระคัมภีร์บอกว่าแม้แต่สิ่งที่ดี แล้วคุณไม่ทำ คุณก็ผิด

รอดไหมค่ะ? ไม่รอด  นั่นเอง ทำให้พระเยซูคริสต์ จำเป็นจะต้องสละสภาพความเป็นพระเจ้าของพระองค์ลงมาเป็นมนุษย์ เพื่อไถ่บาปเรา  แปลสภาพ เปลี่ยนสภาพจากพระบุตรของพระเจ้าผู้สูงสุดมาเป็นมนุษย์ เพื่อไถ่บาปเรา เพื่อลบล้างความผิด เอาความผิดบาปของเราออกไป  แล้วล้างเราใหม่  ล้างเสร็จเรียบร้อยปุ๊บ ให้ชีวิตใหม่กับเรา สวมเสื้อใหม่ให้กับเรา แล้วอยู่กับเรา อยู่ในเรา นี่คือข่าวประเสริฐแท้ แล้วหลุดจากร่างนี้  คุณจะได้ร่างใหม่ แล้วมีโลกใหม่ โลกนี้กำลังจะเสื่อมสลายไป แต่ว่าโลกใหม่ก็กำลังมา  นั่นคือมรดกซึ่งพระเจ้าจัดเตรียมไว้ สำหรับเรา แล้วเราก็ตีความหมายของคำว่า “มรดก” ไม่ถูกต้อง

“มรดก” คือสิ่งที่พระเจ้าจัดเตรียมไว้มี  2 สิ่ง ก็คือร่างใหม่และโลกใหม่ ที่พระเจ้าจัดเตรียมให้กับเรา ที่ยังต้องรอ ส่วนเรื่องอื่นเราได้หมดแล้ว ได้เท่าเทียมกัน ทำไมต้องเท่าเทียมกัน จำคำอุปมาที่พระเยซูคริสต์บอกได้ไหม? เป็นนายสวน ออกไปจ้างคน เช้าจ้างมา บ่ายจ้างมา เย็นจ้างมา พอถึงตอนเย็นปุ๊บ จ่ายค่าจ้างเท่ากัน  ทำมาก ก็ได้เท่ากัน  ทำน้อย ก็ได้เท่ากัน แต่ที่คุณทำมากหรือน้อย ขึ้นอยู่กับพระเจ้าใช้ท่านทำอะไร?  แต่คนที่ถูกใช้ ส่วนใหญ่ คือเต็มใจ 100% จะทำมากกว่าคนอื่น ก็จะไม่รู้สึกว่าทำมากกว่าคนอื่น อยากจะทำ เพราะเป็นธรรมชาติใหม่ ซึ่งอยู่ภายในคนๆ นั้น แล้วคนๆ นั้นทำ ก็จะไม่รู้สึกว่ายากลำบากอะไร?  เพราะว่าถ้าเขาทำแล้วฝืน นั่นก็ไม่ใช่แล้ว  แต่ถ้าเขาทำ เพราะว่ามันเป็นธรรมชาติที่ขับเคลื่อน อยู่ภายในเขา  รู้เลยว่านั่นพระเจ้าเป็นผู้ใช้เขา อยู่ในเขา และเป็นผู้นำพาเขา ทำในสิ่งนั้น เพื่อพระองค์

การทำมากทำน้อยในโลกนี้ เราได้รับแน่ เราได้รับความรักจากพี่น้อง  ที่อาจจะมากกว่าคนอื่น มีคนส่งขนม ส่งข้าว ส่งน้ำมากกว่าคนอื่น ประมาณนี้นะ เราได้บำเหน็จแน่ๆ เราได้เยอะกว่าคนอื่นแน่ๆ อันนี้ในโลกนี้ เราได้เก็บเกี่ยวแน่ๆ เพราะเราทำงานในโลกนี้ใช่ไหม? พระเจ้าไม่ติดค้างเรา ไปรอให้ขึ้นสวรรค์แล้วค่อยจ่ายเรานะ พระเจ้าจ่ายให้เราเรียบร้อยในโลกนี้ เสร็จเรียบร้อยแล้ว  ส่วนที่พระองค์สัญญาไว้ เราได้เท่ากัน  เราได้เหมือนกัน

เพราะฉะนั้น พระคัมภีร์ไม่ว่าจะเป็นพระคัมภีร์เดิมหรือว่าพระคัมภีร์ใหม่ พูดถึงพระเยซูคริสต์ ไม่ว่าจะเป็นจดหมายฝาก ไปอ่านให้ละเอียด จดหมายใดๆ ก็ตาม เปาโลพูดถึงแต่การตาย การเป็น การลบล้างบาป  การเป็นทาสบาป การหลุดพ้นจากบาป การอยู่ภายใต้อำนาจของบาป และการหลุดพ้นจากอำนาจของบาป  การเป็นขึ้นมาจากความตายร่วมกับพระเยซูคริสต์ เปาโลก็พูดอยู่แค่นี้ แต่แค่นี้ เรารู้สึกไม่อิ่มใช่ไหม?  เรารู้สึกว่าอยากมากกว่านี้ …

“ฉันอยากได้รับคำหนุนใจว่าพระเจ้าอยู่ด้วย”

ถ้าท่านรู้ข่าวประเสริฐ จะต้องมีคนมานั่งบอกท่านไหมว่าพระเจ้าอยู่กับท่าน ในขณะที่ท่านยากลำบาก กำลังเหน็ดเหนื่อย เผชิญปัญหาอยู่นั้น ต้องมีใครมานั่งบอกเราไหมว่าพระเจ้าอยู่กับเรา ถ้าเรารู้ข่าวประเสริฐจริง แต่ถ้าเราไม่ไหว เราคุกเข่าลง  ถ้าข่าวประเสริฐอยู่ในชีวิตเราจริงๆ เราคุกเข่าลง เราร้องหาพระเจ้า พระเจ้าก็จะตอบเรา พระเจ้าอยู่เคียงข้างเราเสมอ มันมากกว่านั้น เมื่อเรารู้ว่าข่าวประเสริฐแท้คืออะไร? เราจะไม่อยากได้อันอื่นมากไปกว่าเรื่องของความรักที่พระเยซูคริสต์มีต่อชีวิตของเราเลย การพูดถึงไม้กางเขน คือการพูดถึงความรักของพระเยซูคริสต์ที่มีในชีวิตของเรา  ที่ไม่มีผู้ใดในจักรวาลนี้ ในโลกนี้มอบให้กับเราได้ เป็นความรักที่มั่นคง เป็นความรักที่แสดงออกอย่างละเอียดอ่อน จนกระทั่งเรารู้แน่ชัดแล้ว เมื่อใดก็ตามที่เข้าไปอยู่ในห้องชั้นในกับพระองค์ หรืออยู่กับพระองค์ คุยกับพระองค์ สนทนากับพระองค์ เราจะรู้จักคุณค่าที่เรามีอยู่แล้ว สิ่งที่มีอยู่แล้วภายในเรา มากกว่าปัจจุบันที่เราเป็นอยู่ ณ ขณะนี้

พอพูดถึงเรื่องนี้ปุ๊บ ก็จะนึกถึงเพลงคริสเตียนหลายๆ เพลง มักจะพูดถึงว่า … “โปรดนำไปถึงกางเขน อย่าให้ข้าลืมเกสเสมาเน” ก็คือสถานที่ที่พระเยซูคริสต์อธิษฐาน สถานที่ที่พระเยซูคริสต์ถูกตรึง สถานที่ที่พระเยซูคริสต์ถูกฝังไว้ สถานที่ที่พระเยซูคริสต์เป็นขึ้นมาจากความตาย และอยู่ร่วมกับสาวกของพระองค์

คริสเตียนหลายคน แม้แต่ดิฉันเองก็อยากนะ จริงๆ แล้วก็คืออยากไปเดินตามรอย เส้นทางที่เกิดเหตุการณ์นี้ หลายคนเป็นอย่างนั้น แต่จริงๆ มันไม่จำเป็น ไม่สำคัญ ความอยากของดิฉันเป็นความอยากของเนื้อหนัง เป็นกิเลสส่วนตัว ไม่ต้องเอาเป็นแบบอย่าง อยากที่จะไปเดินจุดนั้น  ที่พระเยซูคริสต์ไปอธิษฐานคืนนั้นกับเปโตร อยากไปที่โกละโกธา แต่ไม่ใช่ว่าการอยาก หรือการได้ไปของเราจะเพิ่มพูนความเชื่อของเรา ไม่ใช่ อยากเพราะมันเป็นกิเลสส่วนตัว เป็นความต้องการเนื้อหนังส่วนตัว

ความละเอียดอ่อนในความรักของพระเจ้า เมื่อเราใคร่ครวญเรื่องต่างๆ ที่พระเยซูคริสต์ทำให้กับเรา ยิ่งใคร่ครวญมากเท่าไร? หรือคิดไปถึงมากเท่าไร? เราจะเห็นถึงความละเอียดอ่อนในความรักของพระเจ้าที่มีต่อเรามากเท่านั้น เพิ่มขึ้นทุกวัน แม้แต่พระเยซูคริสต์เอง ก็พูดในวันที่พระองค์ทำพิธีปัสกากับสาวกของพระองค์ว่าให้กินขนมปังกับน้ำองุ่นนี้บ่อยๆ แทบจะบอกว่าทุกวัน ทำไมล่ะ? การที่ระลึกถึงน้ำองุ่นกับขนมปัง ก็คือการนึกถึงโลหิตของพระเยซูคริสต์ที่หลั่งออก บนไม้กางเขนเพื่อเรา นึกถึงรอยแผลเฆี่ยนที่พระองค์ต้องถูกเฆี่ยนตี ถูกทุบตี เพื่อให้เราได้รับการชำระล้างบาป ได้หลุดพ้นจากความบาป ได้บังเกิดใหม่ในพระเยซูคริสต์ พระองค์ไม่ได้ให้เราระลึกถึง เพื่อมานั่งร้องไห้ ร้องได้ เราซาบซึ้ง เราอธิษฐาน เราร้องได้ แต่พระองค์ไม่ได้ให้เราจมอยู่ในความเศร้า ไม่ใช่นึกถึงกางเขน แล้วนึกถึงความเศร้า รู้สึกถึงความเจ็บปวดของพระองค์ พระองค์คงเจ็บปวดใช่ไหม?  แต่อยากนึกถึงความเจ็บปวดของพระองค์ที่ทำเพื่อเรา ด้วยความรักของพระองค์ที่มีต่อเรา ให้เรารู้สึกซาบซ่านในความรักที่พระองค์มีต่อเรา ในพิธีปัสกาหรือพิธีมหาสนิทของเรา เพื่อเราจะสามารถยืนอยู่อย่างมั่นคง เข้มแข็งได้  ลูกา 4:16-21 …

ลูกา 4:16-21 “16 แล้วพระองค์เสด็จมาถึงเมืองนาซาเร็ธ  เป็นที่ซึ่งพระองค์ทรงเจริญวัยขึ้น  พระองค์เสด็จเข้าไปในธรรมศาลาในวันสะบาโตตามเคย  และทรงยืนขึ้นเพื่อจะอ่านพระธรรม 17 เขาจึงส่งพระคัมภีร์อิสยาห์ผู้เผยพระวจนะให้แก่พระองค์  เมื่อพระองค์ทรงคลี่หนังสือนั้นออก ก็ค้นพบข้อที่เขียนไว้ว่า 18 พระวิญญาณแห่งพระเป็นเจ้าทรงอยู่เหนือข้าพเจ้า  เพราะว่าพระองค์ได้ทรงเจิมตั้งข้าพเจ้าไว้  เพื่อนำข่าวดีมายังคนยากจน  พระองค์ได้ทรงใช้ข้าพเจ้าให้ร้องประกาศอิสรภาพแก่บรรดาเชลย  ให้ประกาศแก่คนตาบอดว่าจะได้เห็นอีก  ให้ปล่อยผู้ถูกบีบบังคับเป็นอิสระ 19 และให้ประกาศปีแห่งความโปรดปรานของพระเป็นเจ้า 20 แล้วพระองค์ทรงม้วนหนังสือส่งคืนให้แก่เจ้าหน้าที่  แล้วทรงนั่งลง  และตาของคนทั้งปวงในธรรมศาลาก็เพ่งดูพระองค์ 21 พระองค์จึงเริ่มตรัสแก่เขาว่า  “คัมภีร์ตอนนี้ที่ท่านได้ยินกับหูของท่านก็สำเร็จในวันนี้แล้ว”

 

คนอิสราเอลรอคอยพระเมสิยาห์ อย่างใจจดใจจ่อ พวกเขาตั้งไว้เลยว่าพระเมสิยาห์จะมาบังเกิดในโลกนี้ แล้วไถ่เขาจากการเป็นทาส เขาเข้าใจผิด คำว่า “การเป็นทาส” ไม่ใช่จากการเป็นทาสของโรม หรือเป็นทาสของนานาประชาชาติ ที่เข้ามาตีเมืองเขา  แล้วทำให้เขาต้องตกเป็นเชลย แต่ความหมายของพระคัมภีร์ คือปลดปล่อยเขาจากการเป็นทาสของความบาป  เขาตีความหมายผิดไป เมื่อตีความหมายผิดไป เขาจึงไม่สามารถมองเห็นความจริงที่เกิดขึ้นในตัวของพระเยซูคริสต์ได้

พระเยซูช่วง 30 ปีแรกอยู่กับครอบครัวอย่างสงบเสงี่ยม ดูแลครอบครัว แล้วก็ทำหน้าที่ของลูกที่ดี พออายุ 31 ปี พระองค์ก็เริ่มปฏิบัติหน้าที่ของพระองค์ ตั้งแต่นั้นมา พระองค์ก็เริ่มพูดถึงสวรรค์ แผ่นดินสวรรค์มาถึงแล้ว  พระองค์ก็เริ่มปฏิบัติภารกิจของพระองค์ แล้วคนอิสราเอลก็ไม่เชื่อ  แล้วก็ปฏิเสธพระองค์ ปฏิเสธไม่พอ ยังปรารถนาจะฆ่าพระองค์ด้วย …

ยอห์น 5:39 “ท่านทั้งหลายค้นดูในพระคัมภีร์  เพราะท่านคิดว่าในนั้นมีชีวิตนิรันดร์  และพระคัมภีร์นั้น เป็นพยานให้แก่เรา”

 

พระคัมภีร์พุ่งเป้าไปที่พระเยซูเท่านั้น และเมื่อพระองค์ปฏิบัติหน้าที่ การงานของพระองค์ในโลกนี้  คนต่างก็พูดถึงพระองค์ไปต่างๆ นานาว่าเป็นผู้เผยพระวจนะบ้าง?  ก็คิดถึงพระองค์แบบที่คิดถึงโมเสส เคยคิดถึงอิสยาห์ เอลีชา เอลียาห์ ผู้เผยพระวจนะดาเนียล อะไรต่างๆ ทั้งปวง แต่ว่าพระเยซูคริสต์ได้ฟังการพูดคุยสนทนาของสาวก พระองค์ก็เลยหันไปถามสาวกของพระองค์ว่า …

“แล้วท่านคิดว่าเราเป็นใคร?”

ทุกคนก็นิ่ง ส่วนเปโตรเป็นคนที่ไม่มีความรู้ที่สุด เป็นชาวประมง เปโตรก็มองพระเยซู แล้วเปโตรก็บอกว่า …

“พระองค์เป็นพระคริสต์ เป็นพระบุตรของพระเจ้า เป็นพระผู้ช่วยให้รอด”

พระเยซูก็เขม่นดูเปโตรแล้วพูดกับเปโตรว่า …

มัทธิว 16:18 “ฝ่ายเราบอกท่านว่าท่านคือเปโตร  และบนศิลานี้  เราจะสร้างคริสตจักรของเราไว้  และพลังแห่งความตายจะมีชัยต่อคริสตจักรนั้นหามิได้”

 

พระเยซูคริสต์เป็นศิลามุมเอกของคริสตจักร สาวกรุ่นแรกได้พูดถึงเรื่องนี้ว่าไม่ว่าเราจะก่อสร้างคริสตจักรอย่างไรก็ตาม เราต้องก่อร่างสร้างขึ้นบนรากฐานที่พระเยซูคริสต์สร้างและอัครทูต

พระเยซูคริสต์บอกว่าพระองค์เป็นศิลามุมเอก  และสาวกก็มาก่อร่างต่อจากพระเยซู ก็คือวางรากต่อจากพระองค์ พระองค์เป็นหินก้อนนั้นแหละ ที่ถูกตอกลงไป บนรากฐานของคริสตจักรแห่งความเชื่อในพระเยซูคริสต์ ตอกลงไปปุ๊บ สาวกของพระองค์ก็มาสานต่อจากศิลามุมเอกก้อนนั้น

อันนี้ดิฉันอธิบายตามความเข้าใจของตัวเอง ถ้าผิดพลาดอย่างไร? ก็บอกกันได้ค่ะ … ศิลามุมเอก คือการวางศิลาอันนั้น เจาะลึกลงไป เพื่อให้การวางเสาเข็มต่างๆ  ถูกกระจายออกไป ทำให้การก่อสร้างอาคารนั้น มันมั่นคง ยิ่งอาคารสูงมากเท่าไร? ศิลานั้น ก็ต้องหยั่งลึกมากเท่านั้น

ฉะนั้น ในหนังสือเอเฟซัส เปาโลได้พูดถึงพวกเราที่เป็นคริสตจักรของพระเยซูคริสต์ว่า …

เอเฟซัส 2:20-22 “20 ท่านได้ถูกประดิษฐานขึ้น  บนรากแห่งพวกอัครทูตและพวกผู้เผยพระวจนะ  พระเยซูคริสต์ทรงเป็นศิลามุมเอก 21 ในพระองค์นั้นทุกส่วนของโครงร่างต่อกันสนิท  และเจริญขึ้นเป็นวิหารอันบริสุทธิ์ในองค์พระผู้เป็นเจ้า 22 และในพระองค์นั้น  ท่านก็กำลังจะถูกก่อขึ้นให้เป็นที่สถิตของพระเจ้าในฝ่ายพระวิญญาณด้วย”

 

ข่าวประเสริฐทำไมจึงสำคัญในชีวิตของเรา  ข่าวประเสริฐเป็นเหมือนรากแรก เป็นเหมือนสิ่งแรก ไม่ว่าเราจะอ่านพระคัมภีร์ หรือเราจะสอน หรือเราจะเอาไปพูด ดำเนินชีวิตประจำวัน ข่าวประเสริฐเป็นตัวขับเคลื่อนเรา ในพระคัมภีร์เอเฟซัสบอกว่าเราเดินไปไหนมาไหน? ก็คือเป็นเหมือนรองเท้าที่ต้องไปกับเรา ข่าวประเสริฐก็ต้องไปกับเรา

การพูดถึงศิลามุมเอก จะพูดถึงในพระคัมภีร์หลายตอนมาก ไม่ว่าจะเป็นสดุดี 118:22-23,  อิสยาห์ 28:16, กิจการ 4:11, โรม 9:33, โรม 10:11, 1 เปโตร 2:6-7

พระเยซูคริสต์ได้พูดถึงอุปมาอุปมัยการสร้างบ้าน ในลูกา 6:46-49 และมีอ้างถึงในมัทธิว 7:24-27 ลองไปอ่านดู ได้พูดถึงการวางรากของตัวอาคาร ของบ้านที่มั่นคง

ลูกา 6:46-49 “46 “เหตุไฉนท่านทั้งหลายจึงเรียกเราว่า  ‘พระองค์เจ้าข้า  พระองค์เจ้าข้า’  แต่ไม่กระทำตามที่เราบอกนั้น 47 ทุกคนที่มาหาเราและฟังคำของเรา  และกระทำตามคำนั้น  เราจะแจ้งให้ท่านทั้งหลายรู้ว่าเขาเปรียบเหมือนผู้ใด 48 เขาเปรียบเหมือนคนหนึ่งที่สร้างตึก  เขาขุดลึกลงไปแล้วตั้งรากบนศิลา  และเมื่อน้ำมาท่วม  กระแสน้ำไหลเชี่ยวกระทบกระทั่ง  แต่ทำให้หวั่นไหวไม่ได้  เพราะได้สร้างไว้มั่นคง  49 ส่วนคนที่ได้ยินและมิได้กระทำตาม  เปรียบเหมือนคนหนึ่งที่สร้างตึกบนดิน  ไม่ก่อราก  เมื่อกระแสน้ำไหลเชี่ยวกระทบกระทั่งตึกนั้น  ตึกนั้นก็พังทลายลงทันที  และความพินาศของตึกนั้นก็ใหญ่ยิ่งนัก”

 

ทำไมเราต้องวางรากฐานของข่าวประเสริฐลงไปในจิตวิญญาณของผู้เชื่อ ก็เพราะว่าเราจะได้ไม่ต้องเป็นเด็กอีกต่อไป …

เอเฟซัส 4:14-16 “14 เพื่อเราจะไม่เป็นเด็กอีกต่อไป  ถูกซัดไปซัดมาและหันไปเหมาด้วยลมปากแห่งคำสั่งสอนทุกอย่าง  และด้วยเล่ห์กลของมนุษย์ตามอุบายฉลาดอันเป็นการล่อลวง 15 แต่ให้เรายึดความจริงด้วยใจรัก  เพื่อจะจำเริญขึ้นทุกอย่างสู่พระองค์ผู้เป็นศีรษะ  คือพระคริสต์ 16 คือเนื่องจากพระองค์นั้น  ร่างกายทั้งสิ้นที่ติดต่อสนิทและประสานกันโดยทุกๆข้อต่อที่ทรงประทาน  ได้จำเริญเติบโตขึ้นด้วยความรัก  เมื่ออวัยวะทุกอย่างทำงานตามความเหมาะสมแล้ว”

 

น้ำพระทัยของพระเจ้า สิ่งเดียวที่พระเจ้าต้องการจากเรา ก็คือการเชื่อและวางใจ พระเจ้าไม่ได้ให้เราทำอะไร ไม่ได้พยายามให้ทำดี เดี๋ยวการเป็นคนดี มันจะเกิดขึ้นเองโดยอัตโนมัติ จากเราเอง ถ้าเรามอบความคิดและร่างกายของเราให้กับพระคริสต์ เมื่อเผชิญหน้ากับเหตุการณ์ต่างๆ ทั้งปวงปุ๊บ  เรารับรู้ จดจำถ้อยคำของพระเจ้าอยู่ในจิตวิญญาณของเรา  แล้วเราก็ดำเนินชีวิต โดยการมอบอวัยวะของเราให้กับพระเจ้า ด้านศีลธรรมเรา มันจะไปของมันเอง มันจะขับเคลื่อนของมันเอง แต่น้ำพระทัยของพระเจ้า ต้องการให้เราเชื่อ เชื่ออะไร? เชื่อว่าพระเยซูคริสต์เป็นพระบุตรของพระเจ้า เป็นพระผู้ช่วยให้รอด  วางใจในการงานของพระองค์ ที่พระองค์ได้มาทำบนโลกนี้ เพื่อเรา

นี่เป็นคำอธิษฐานตอนจบของหนังสือเอเฟซัส ของอาจารย์เปาโล ซึ่งก็เป็นคำอธิษฐานของศิษยาภิบาลของคริสตจักรแห่งนี้ เพื่อพวกเราทุกคนด้วย …

เอเฟซัส 3:14-21 “14 เพราะเหตุนี้  ข้าพเจ้าจึงคุกเข่าต่อพระบิดา 15 (คำว่า  “บิดา”  ของทุกตระกูล  ทุกชาติ  ในสวรรค์ก็ดี  ที่แผ่นดินโลกนี้ก็ดีมาจากคำว่า  “พระบิดา”) 16 ขอให้พระองค์ทรงโปรดประทานกำลังเรี่ยวแรงมากฝ่ายจิตใจแก่ท่าน  โดยเดชพระวิญญาณของพระองค์ตามความไพบูลย์แห่งพระสิริของพระองค์ 17 เพื่อพระคริสต์จะทรงสถิตในใจของท่านทางความเชื่อ  เพื่อว่าเมื่อท่านได้วางรากลงมั่นคงในความรักแล้ว 18 ท่านก็จะได้มีความสามารถหยั่งรู้พร้อมกับธรรมิกชนทั้งหมด  ถึงความกว้าง  ความยาว  ความสูง  ความลึก 19 คือให้ซาบซึ้งในความรักของพระคริสต์ซึ่งเกินความรู้  เพื่อท่านจะได้รับความไพบูลย์ของพระเจ้าอย่างเต็มเปี่ยม 20 ขอให้พระเกียรติจงมีแด่พระองค์ผู้ทรงฤทธิ์  กระทำสารพัดมากยิ่งกว่าที่เราจะทูลขอหรือคิดได้  ตามฤทธิ์เดชที่ประกอบกิจอยู่ภายในตัวเรา 21 ขอให้พระเกียรติจงมีแด่พระองค์ในคริสตจักร  และในพระเยซูคริสต์ตลอดทุกชั่วอายุคนเป็นนิตย์  อาเมน”

 

พระเจ้าอวยพรค่ะ

 

 

*************************

 

 

จากใจคณะศิษยาภิบาล

 

กรุณาเลือกคำตอบข้างล่างนี้ …

ท่ามกลางความทุกข์ลำเค็ญในปัจจุบัน เหมือนความมืดเลวร้ายปกคลุมอยู่เหนือโลกและมนุษย์ทั้งปวง ท่านมองไปที่ใด?

  1. สิ่งที่มองเห็นอยู่
  2. สิ่งที่มองไม่เห็น

 

2 โครินธ์ 4:16-18 “ฉะนั้น เรา​ไม่​ท้อถอย (ผิดหวัง เสียใจ กลัว) แม้​ว่า​กาย​ภาย​นอก​ของ​เรา​กำลัง​ทรุดโทรม​ไป แต่​ตัวตนภายใน (วิญญาณและจิตใจที่ได้บังเกิดใหม่แล้ว ในพระคริสต์) ของ​เรา​กำลังได้รับการเลี้ยงดูเสริมสร้างขึ้นใหม่ให้เจริญเติบโตทุก​วัน เพราะ​ความ​ทุกข์ยากลำบาก​ที่เราได้รับอยู่เพียงชั่วคราวในขณะนี้ซึ่งเล็กน้อยมาก เดี๋ยวก็ผ่านไปแล้วนั้น ไม่สามารถมาเทียบกับสง่าราศีสิริอันยิ่งใหญ่สมบูรณ์นิรันดร์​ของตัวตนภายใน (วิญญาณและจิตใจที่ได้บังเกิดใหม่แล้ว ในพระคริสต์) ของเราได้เลย ดังนั้น ​เรา​จึง​ไม่​จับตามองดูสิ่ง​ที่​มอง​เห็นอยู่ แต่​จับตา​ดู​สิ่ง​ที่​มอง​ไม่​เห็น เพราะ​สิ่ง​ที่​มอง​เห็นอยู่นั้น​เป็น​เพียงชั่วคราวเดี๋ยวมันก็ผ่านไปไม่​ยั่งยืน (เหมือนเงา) แต่​สิ่ง​ที่​มอง​ไม่​เห็น​นั้น​เป็นถาวร​นิรันดร์”

 

พระเจ้าอวยพรครับ

 

 

 

 

วารสาร Holy News ฉบับที่ 1342

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  12  ธันวาคม  2021

เรื่อง “ความจริงที่ขัดแย้งกับข่าวประเสริฐ”

โดย นคร   เวชสุภาพร

 

หัวข้อการบรรยายในวันนี้ คือ “ความจริงที่ขัดแย้งกับข่าวประเสริฐ” อย่าเพิ่งงงนะ ตั้งใจฟังให้ดีๆ ความจริงที่ขัดแย้งกับข่าวประเสริฐ ท่านไม่ได้ฟังผิด และไม่ได้พิมพ์ผิดด้วย  ท่านลองอ่านตามผมนะ ความจริงที่ขัดแย้งกับข่าวประเสริฐ

จากที่พวกเราได้เรียนรู้กันมาในเรื่องความหมาย และความเข้าใจในแก่นแท้ของข่าวประเสริฐของพระเจ้า หัวใจของข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์ ซึ่งผมเชื่อว่าตอนนี้ สมาชิกของเราทุกคนจะมีพื้นฐานเข้าใจอย่างถูกต้องแล้ว พอสมควร ผมมั่นใจ และวันนี้เราจะยกระดับความรู้เรื่องข่าวประเสริฐ ความรู้เรื่องข่าวดีในพระเยซูคริสต์ ที่เราได้รับรู้เรียบร้อยไปแล้วบ้าง กระเถิบรู้ในพื้นฐาน ให้รู้มากขึ้นมาอีกนิดหนึ่ง ซึ่งเราเรียกกันว่าเติบโตขึ้นมาในข่าวประเสริฐของพระเจ้า อีกขั้นตอนหนึ่ง ขั้นตอนเดิมที่เรารู้ไปแล้ว คืออะไร?  พื้นฐานของข่าวดีของพระเจ้าคืออะไร? สั้นๆ ข่าวดีของพระเยซูคริสต์ คือพระเยซูเป็นพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์ มาช่วยเหลือมนุษย์ให้รอดพ้นจากความบาป ใครที่เปิดใจเชื่อในข่าวประเสริฐนี้ ในข่าวดีนี้ แค่เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เขาก็จะได้บังเกิดใหม่ เป็นลูกของพระเจ้า เข้าสู่สวรรค์นิรันดร์เลยทันที จากโลกนี้ไป ก็อยู่ในสวรรค์เหมือนเดิม ได้รับร่างกายใหม่ จบข่าว ข่าวประเสริฐมีแค่นี้ นี่พื้นฐาน

ฟังดูเหมือนง่ายๆ แป๊บเดียว แต่ไม่ง่าย เดี๋ยวลองตามไปดูว่าความจริงที่ขัดแย้งกับข่าวดีที่เราเพิ่งจะพูดไปสั้นๆ พื้นฐานมันคืออะไร? ก็แสดงว่ามันสรุปสั้นๆ จริงๆ แต่มันมีความหมายลึกซึ้ง

เรื่องที่เราจะเรียนรู้กันในวันนี้ ก็คือเราจะมาดูตัวอย่างคำพูด หรือวลี บางคำ ที่เราได้ยินได้ฟังมาเยอะมาก จนเป็นที่คุ้นเคยสำหรับเรา และเราก็เข้าใจว่าเป็นถ้อยคำในพระคัมภีร์ แต่จริงๆ แล้วไม่ใช่ คุ้นหูเราด้วย คือตั้งแต่เราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด เราก็ได้ยินคำพูดเหล่านี้ จนชินหู ชินปาก แล้วก็เข้าใจว่าเป็นสิ่งที่ถูกต้อง เข้าใจว่ามาจากพระคัมภีร์ โดยที่ยังไม่เคยค้นคว้าศึกษา หาความจริงจากคำพูดเหล่านี้เลยว่าถูกต้องตามพระคัมภีร์จริงๆ หรือเปล่า? แต่พูดกันไปแล้ว เชื่อกันไปแล้วว่าเป็นอย่างนั้น คือพูด แล้วก็ฟังกันเยอะ จนกระทั่งเชื่อกันไป โดยปริยายว่าถูกต้องและเป็นจริงตามพระคัมภีร์แน่ๆ ลืมตระหนักถึงว่าตกลงในพระคัมภีร์ว่าไว้อย่างไร? ไม่ได้เอะใจ หรือสงสัยอะไรเลยว่าที่เชื่อนั้น ที่พูดจนชินปากนั้น มันตรงกับพื้นฐานข่าวดีที่ตะกี้เราสรุปรวมๆ แล้วหรือไม่? ลืมคิดไป เขาก็พูดกันอย่างนี้ทั้งนั้น เขาก็เชื่อกันอย่างนี้ทั้งนั้น ก็เลยพูดตามไปเลย

ยกตัวอย่างเช่น ก่อนที่เราจะมาเชื่อพระเจ้า  เราทุกคนจะคุ้นหูกับคำว่า “ทำดีได้ไปสวรรค์ ทำชั่วตกนรก” ได้ยินกันตั้งแต่เด็กๆ เลย คนส่วนใหญ่ก็เชื่อว่ามันเป็นอย่างนั้นแหละ ไม่ว่าศาสนาใด ก็เป็นอย่างนั้นแหละ นี่เราเชื่อไปแล้ว ใช่ไหม? ถูกไหม?

ซึ่งถามว่าคำพูดนี้มาจากไหน? ใครเป็นคนพูด เขียนไว้ที่ไหน? มีพื้นฐานความจริงหรือเปล่า? คนส่วนใหญ่ก็จะตอบไม่ได้ ไม่รู้สิ มาจากไหนก็ไม่รู้ แต่เชื่อกันต่อๆ มา ตามที่เราคุ้นเคย ได้พูดด้วยตัวเอง หรือได้ยินมาอย่างนั้น เป็นประเพณี  เป็นวัฒนธรรมก็ว่าได้  ซึ่งคำพูดที่คุ้นชิน คุ้นเคยเหล่านี้ บางอันถึงแม้ว่าจะไม่มีพื้นฐานของความเป็นจริงที่ถูกต้อง แต่ถ้าไม่กระทบกระเทือน ไปบิดเบือนความจริงของพื้นฐานของข่าวดีของพระเยซูคริสต์ มันก็ไม่อันตรายเท่าไร?

อย่างเช่น คำพูดที่ติดปาก ที่บอกว่า “กรรมตามทัน” หรือ “ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่วบนโลกใบนี้” ถึงแม้จะไม่ได้ปรากฏชัดเจนในข้อพระคัมภีร์มากสักเท่าใด เพราะข่าวประเสริฐไม่ได้เน้น สิ่งที่เกิดขึ้นบนโลกวัตถุนี้มากนัก แต่มันก็ไม่ถึงกับทำให้ข่าวประเสริฐเสียหาย ถูกบิดเบือนไปมากมายนัก ก็ไม่ค่อยได้สำคัญมากเท่าไร?

สิ่งที่เราจะเรียนรู้กันในวันนี้ คือคำพูดที่คุ้นหู คุ้นเคย จนเหมือนเป็นจริง แต่เป็นความจริงที่ขัดแย้งกับแก่นแท้ของความจริงของข่าวดีของพระเยซูคริสต์ ทำให้ข่าวดี ข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์เกิดการบิดเบือน เสียหาย นี่ต่างหาก ที่จำเป็นต้องมาคุย อยากรู้แล้วใช่ไหมว่าเป็นอะไร? นี่คือสิ่งที่ผมตั้งเป็นหัวข้อนี้ขึ้นมาเลย ความจริงที่ขัดแย้งกับข่าวประเสริฐ มันก็เป็นความจริงสิ ก็ใช่ แต่ทำไมมันขัดแย้งกับข่าวประเสริฐ เรามาดูสิว่าเป็นอย่างไร? ทำไมสังคมคริสเตียนเราถึงพูดอย่างนั้น  ถึงคิดอย่างนั้น มันเป็นความจริงนะ แต่มันขัดแย้งกับข่าวประเสริฐ อันนี้หัวใจสำคัญเลย ขัดแย้งกับข่าวประเสริฐนี้ ไม่ได้เลยนะ พื้นฐานของข่าวประเสริฐนั้น มีแค่นั้น แล้วทำไมขัดแย้งกับข่าวประเสริฐ มันจะทำให้เละ จะทำให้ข่าวประเสริฐไม่ส่งต่อออกไปถึงลูก หลาน เหลน โหลน และมันไม่ใช่น้ำพระทัยพระเจ้า  อะไรจริง ก็บอกว่าจริง  อะไรไม่จริง ก็บอกว่าไม่จริง

เริ่มต้นที่คำพูดแรก  ที่ผู้เชื่อทุกคนคุ้นเคยกันดี และหลายคนก็เชื่อแบบนี้มาตลอด คือคำพูดที่บอกว่า “เราทุกคนทำบาป และเป็นคนบาป” คริสเตียนนะ พูดอย่างนี้เสมอ เราทุกคนทำบาป และเป็นคนบาป  เพราะโรม 3:23 ได้บันทึกไว้อย่างนี้ว่า …

โรม 3:23  “เพราะว่าทุกคนทำบาป และเสื่อมจากพระเกียรติสิริของพระเจ้า”

 

ถ้อยคำในพระคัมภีร์ตรงนี้ บอกว่า “ทุกคนทำบาป และเสื่อมจากพระเกียรติสิริของพระเจ้า” เสื่อมจากพระเกียรติสิริของพระเจ้า ก็คือเป็นคนบาปนั่นเอง ก็เลยพูดสั้นๆ ว่ามนุษย์ทุกคนทำบาป  และเป็นคนบาป

ถามว่าคำพูดที่ว่า “เราทุกคนทำบาป และเป็นคนบาป” เป็นคำพูดที่ตรงตามข้อพระคัมภีร์ไหม? ก็ตรง ก็ใช่ คำตอบ ก็คือถูกต้อง ตรงตามถ้อยคำของพระเจ้า ในพระคัมภีร์ แต่เดี๋ยวก่อน  สังเกตให้ดีๆ โดยที่ผมจะเน้นช้าๆ แต่ถูกต้องเฉพาะก่อนที่เราจะเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เท่านั้น ใช่หรือไม่? เป็นความจริงถูกต้องไหม? ถูกต้อง แต่เป็นความถูกต้องก่อนที่เราจะเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ ก่อนที่เราจะเป็นคริสเตียน ใช่หรือไม่? คิดในใจไว้ ไม่ต้องตอบ คิดตามถ้อยคำพระเจ้า ใช่หรือไม่?  คิดตามข่าวดีของพระเยซูคริสต์ว่าเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ มาเป็นพระผู้ช่วยให้รอด เราได้รับความรอด เราเปิดใจต้อนรับพระเยซู มาเป็นคริสเตียน เราได้รับความรอดเรียบร้อยแล้ว

เพราะฉะนั้น ความจริงนี้ มันเป็นความจริงที่ไม่ถูกต้อง ถ้าเอามาใช้กับผู้ที่รับเชื่อแล้ว  ถูกไหม? เรารับเชื่อเรียบร้อยแล้ว เราไม่ได้เป็นคนบาปอีกต่อไป แล้วทำไมบอกเราเป็นคนบาป นั่นสิ มันแย้งกันไหมล่ะ แย้งกันเพราะอะไร? เพราะว่าพื้นฐานของข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์ ไม่ได้ถูกตอกย้ำเข้าไปในคนๆ นั้น

นี่คือเหตุที่ทำไมผมและผู้สอนในคริสตจักรแห่งนี้ ผู้ที่ขึ้นมาสอนท่าน เป็นครู หรือพี่เลี้ยงท่าน จึงพร่ำพูดแต่เรื่องข่าวประเสริฐ ย้ำแล้วย้ำอีก ก็เพื่อให้ท่านได้รู้ความจริงของความจริงอีกทีหนึ่ง ความจริงที่ไม่ขัดแย้งกับข่าวประเสริฐ ท่านจะได้รู้ว่าอะไรคือความจริงที่ขัดแย้ง อะไรคือความจริงที่ไม่ขัดแย้ง ไม่อย่างนั้นมันจะงง เพราะว่าสำหรับผู้ที่เชื่อในพระเยซูคริสต์แล้ว เป็นคริสเตียนแล้ว ต้องใช้คำอย่างนี้

ต้องใช้คำว่า “เราทำบาป แต่ยังเป็นคนชอบธรรม” หรือ “เราเป็นคนชอบธรรม ที่ยังทำบาปอยู่” นี่ตามพระคัมภีร์ ตามข่าวประเสริฐของพระเยซูเลย ถ้อยคำพระเจ้าไม่ได้บอกว่าเราเป็นคนบาป เพราะเราทำบาป แต่เราเป็นคนบาป มาตั้งแต่ก่อนเกิดมา ก็เป็นแล้ว นี่คือพื้นฐานของข่าวประเสริฐ โรม 5:19 ได้บันทึกไว้อย่างนี้ว่า …

โรม 5:19  “เพราะการไม่เชื่อฟังของมนุษย์คนเดียว ทำให้คนเป็นอันมากเป็นคนบาป”

 

“เป็นคนบาป” เราไม่ได้เป็นคนบาป จากการกระทำบาป เพราะเรายังไม่ได้กระทำอะไรเลย ยังไม่ได้เกิดด้วยซ้ำไป  แต่เราเป็นคนบาป จากเชื้อบาปที่ส่งต่อกันมาจากบรรพบุรุษ คืออาดัม มนุษย์ทุกคนเกิดมาเป็นบาปแล้ว  โดยที่ยังไม่ต้องทำอะไรเลย ก็เป็นบาปแล้ว แต่สิ่งที่พระเยซูคริสต์ได้กระทำ ในข่าวดีของพระองค์ บนไม้กางเขนนั้นคืออะไร? คือได้ลบล้างเอาความบาปของเราไปจนหมดสิ้น เรียบร้อยแล้ว เมื่อความบาปในตัวเราหมดสิ้นลง เราก็ไม่ใช่เป็นคนบาปอีกต่อไป เราได้เป็นคนชอบธรรม เป็นลูกของพระเจ้าแล้ว และไม่มีวันที่จะกลับไปเป็นคนบาปได้อีกแล้ว เพราะเราเกิดมาเป็นผู้ชอบธรรม เราเกิดแล้ว เกิดเป็นผู้ชอบธรรมแล้ว แต่ในพระคัมภีร์ก็สอนเราบอกว่าแม้เป็นผู้ชอบธรรมแล้ว แต่อาจจะเป็นผู้ชอบธรรมที่บางครั้งยังทำบาปอยู่ นี่ต่างหาก เป็นความจริง เป็นพื้นฐานพระคัมภีร์มากกว่า

พระคัมภีร์บันทึกไว้ชัดเจนว่าพระคุณของพระเจ้า ที่ประทานพระเยซูคริสต์ เพื่อมาไถ่บาปให้กับมนุษย์ทั้งหลายนั้น พระเยซูทำครั้งเดียวพอ ที่ไม้กางเขน และเป็นขึ้นจากความตาย การกระทำครั้งเดียวพอ ได้ทำให้มนุษย์ทั้งหลาย คนบาปที่เกิดมาบาป  จากบรรพบุรุษนั้น ได้สามารถกลายมาเป็น … “กลายมาเป็น” ก็คือบังเกิดมาเป็นนั่นเอง ได้สามารถมาบังเกิดเป็นผู้ชอบธรรมนิรันดร์ได้ ในโรม 5:15-16 ได้บันทึกไว้อย่างนี้ …

โรม 5:15-16  “15 แต่ของประทานนั้น ต่างจากการล่วงละเมิด เพราะถ้าคนเป็นอันมาก ตาย เพราะการล่วงละเมิดของมนุษย์เพียงคนเดียว ยิ่งกว่านั้นสักเท่าใด  พระคุณของพระเจ้า  และของประทาน โดยพระคุณของพระเยซูคริสต์เพียงผู้เดียวนั้น  ย่อมล้นไหลไปสู่คนเป็นอันมาก 16 และของประทานจากพระเจ้า ก็ต่างจากผลของบาปของมนุษย์คนเดียว กล่าวคือการพิพากษาเกิดขึ้น หลังจากการทำบาปเพียงครั้งเดียว และนำไปสู่การลงโทษ แต่ของประทานเกิดขึ้น หลังจากการล่วงละเมิดหลายๆ ครั้ง และนำไปสู่การนับเป็นผู้ชอบธรรม”

 

ทำผิดครั้งเดียว บาป พูดง่ายๆ ทำผิดหลายๆ ครั้ง ก็ยังเป็นผู้ชอบธรรมอยู่ นี่สรุปสั้นๆ เกิดมาบาป ทำอะไรก็บาป เพราะมันเกิดมาบาป เกิดมาตรงกันข้ามกับบาป ก็คือเกิดมาเป็นผู้ชอบธรรม ทำอะไรบาป ก็ยังเป็นผู้ชอบธรรม เพราะมันเกิดมาเป็น

พระคัมภีร์ยังมีบอกไว้ชัดเจนเลยว่าเราเป็นคนบาป โดยไม่ใช่จากการกระทำของเราฉันใด เราเป็นผู้ชอบธรรม ก็ไม่ได้มาจากการกระทำของเราฉันนั้น  ทิตัส 3:5 ได้บันทึกไว้อย่างนี้  …

ทิตัส 3:5 “พระองค์ทรงช่วยเราให้รอด ไม่ใช่เพราะความชอบธรรมที่เราได้ทำ แต่เพราะพระเมตตาของพระองค์ พระองค์ทรงช่วยเราให้รอด ผ่านทางการชำระแห่งการบังเกิดใหม่ และการทรงสร้างขึ้นใหม่ โดยพระวิญญาณบริสุทธิ์”

 

“ผ่านทางการชำระแห่งการบังเกิดใหม่” ก็คือบริสุทธิ์สะอาด พ้นจากบาป โดยการบังเกิดใหม่ ไม่ใช่โดยการกระทำ เกิดมาเป็นผู้ชอบธรรม ดีงามเลย โดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ โดยฤทธิ์เดช ไม่ใช่โดยการกระทำของเรา  แต่เป็นอัศจรรย์ เป็นฤทธิ์เดชของพระเจ้า ที่กระทำการงาน เมื่อเราเปิดใจเชื่อพระเจ้าปุ๊บ เราได้บังเกิดใหม่ทันที ฤทธิ์อำนาจนี้เข้าไปทำงานทันที นำพาเราให้เกิดใหม่ เกิดใหม่ไปอยู่ไหน? เข้าไปอยู่ในความชอบธรรมของพระเจ้า เข้าไปอยู่ในสวรรค์ของพระเจ้า เข้าไปเป็นผู้ชอบธรรมของพระเจ้า เป็นลูกของพระเจ้านั่นเอง ก็คือเข้าสวรรค์นั่นเอง ไม่ใช่โดยการกระทำเลย

เพราะฉะนั้น คติสำหรับการเข้าสู่สวรรค์ ได้เป็นลูกของพระเจ้า สำหรับผู้ที่เป็นมนุษย์ทั่วๆ ไปทั้งหมด ที่ยังไม่ได้เชื่อ หรือเหมือนเราในอดีต คือ “ความพยายามอยู่ที่ไหน? ความพยายามก็อยู่ที่นั่น” คติของเราในอดีต ที่เราแสวงหา จะไปอยู่ในสวรรค์ คือความพยายามจะไปสู่สวรรค์อยู่ที่ไหน? ความพยายามก็ยังคงอยู่ที่นั่น ไม่มีวันสำเร็จเลย แต่เมื่อมาเชื่อในพระเยซูคริสต์แล้ว ในข่าวดีของพระเยซูคริสต์ จะเปลี่ยนเป็น “ความเชื่อพระเยซูอยู่ที่ไหน? ความสำเร็จอยู่ที่นั้น” “ความพยายามอยู่ที่ไหน? ความไม่สำเร็จอยู่ที่นั้น” พระคัมภีร์บอกชัดเจนเลย ทำอย่างไรก็ไม่มีทางได้  ต้องเชื่อเท่านั้นเอง เชื่อในใคร? เชื่อในพระเยซูคริสต์ พระผู้ช่วยให้รอดเท่านั้น ที่พระเจ้าส่งมาให้

ความเชื่อในพระเยซูอยู่ที่ไหน? ความสำเร็จอยู่ที่นั่น พระเยซูบอกสำเร็จแล้ว ผ่านทางเราสำเร็จเรียบร้อยแล้ว สู่สวรรค์ แต่ถ้าความพยายามอยู่ที่ไหน?  คือทำด้วยตนเอง ความพยายามก็ทำต่อไป  ไม่สำเร็จ นี่คือคติที่ฝากไว้

เพราะฉะนั้น  สรุปว่าคำพูดที่เราคุ้นเคยกันมายาวนานว่า “เราทุกคนทำบาป และเป็นคนบาป” เป็นคำพูดที่ถูกต้องหรือไม่? ตามหลักพระคัมภีร์หรือเปล่า? นึกในใจ ตอบในใจ ใช่หรือไม่? คำตอบ ก็คือถูกต้อง (ถูกต้อง ตอนก่อนที่จะมาเชื่อพระเจ้า” ถูกไหม? คิดตามนะ แต่หลังจากเชื่อแล้ว ไม่ถูกต้อง เอามาใช้กับฉันไม่ได้แล้ว ถูกหรือไม่ถูก? ความจริงที่ถูกต้อง สำหรับผู้เชื่อ คือเราเป็นผู้ชอบธรรมแล้ว ไม่ได้เป็นคนบาปอีกต่อไปแล้ว จากการมีส่วนร่วมในการตายพร้อมพระเยซูคริสต์ และได้บังเกิดใหม่พร้อมพระองค์เรียบร้อยไปแล้ว ในวันที่เราเปิดใจรับเชื่อ และเราได้เป็นขึ้นมาใหม่พร้อมพระองค์ นั่งกับพระองค์ในสวรรคสถาน เราเป็นแค่อดีตคนบาป  แต่ปัจจุบันเป็นคนชอบธรรม ที่บางครั้งทำบาป

เราเคยตอบใครอย่างนี้ไหม? เราเป็นคริสเตียนแล้ว เป็นผู้ชอบธรรมแล้ว เคยตอบใครอย่างนี้ไหมว่าขณะนี้เราเป็นใคร? เราเคยบอกกับพระเจ้าไหมว่า …

“ขอบคุณพระเจ้า ลูกไม่สมควรเลย ที่จะเป็นลูกของพระองค์ ขอบคุณพระเจ้า ลูกเลว  ไม่สมควรที่จะได้รับความรอดจากพระองค์เลย ขอบคุณพระเจ้าที่ลูกสกปรก เต็มไปด้วยความชั่วร้าย ไม่เหมาะสมที่จะเป็นลูกของพระองค์เลย ขอบคุณพระเจ้า แต่ว่า …”

มันต้องมีอย่างนี้ … “แต่ว่าขอบคุณพระเจ้า เดี๋ยวนี้ ด้วยพระคุณอันมหาศาลของพระองค์ ที่ทรงชุบให้ลูกเป็นขึ้นจากความตายร่วมกับพระเยซูคริสต์ ลูกจึงได้เป็นลูกของพระองค์ที่ชอบธรรมเรียบร้อยแล้ว เป็นลูกของพระองค์ที่สะอาดหมดจด บริสุทธิ์เหมือนพระองค์เลยทีเดียว ขอบคุณพระเจ้า ลูกเป็นผู้ชอบธรรม”

มันต้องเป็นอย่างนี้  ไม่อย่างนั้นเราอธิษฐานครึ่งเดียว ครึ่งแรก แล้วก็จบ ก็กลายเป็นผู้ชอบธรรม ที่เต็มไปด้วยความสกปรก โสโครก ลูกพระเจ้าโสโครกได้อย่างไร? มันขัดแย้งกันไหม?  เห็นอะไรบางอย่างไหม? มันก็เป็นจริง เฉพาะในอดีต อธิษฐานได้ครั้งเดียว ก่อนมาเชื่อพระเจ้า …

“ฉันเลวขนาดไหน?”

แต่พอเชื่อปั๊บ ไม่เลวแล้ว มันต้องพูดตามถ้อยคำพระเจ้า ตามข่าวประเสริฐ ตามข่าวดีของพระเจ้า บอกว่าหลังจากนั้น เราได้บังเกิดใหม่อย่างไรบ้าง? เหมือนตะกี้นี้ที่เราเล่าสู่กันฟังมา ถูกไหม?  พอเราเชื่อในพระเจ้า เราได้เกิดใหม่เป็นลูกของพระเจ้าแล้ว มีชีวิตนิรันดร์เรียบร้อยแล้ว มีหรือยัง? มีแล้ว เรามีชีวิตนิรันดร์เหมือนพระเจ้า นอกจากพระเยซูแล้ว เราไม่มีทางที่จะมีชีวิตนิรันดร์ คือการพยายามทำด้วยตนเองเลย  เรายังคงสกปรก โสโครก เป็นคนบาปอยู่ แต่ด้วยความเชื่อในพระเยซูคริสต์  พระเยซูคริสต์ได้ทำให้เรามีชีวิตนิรันดร์ ได้มีส่วนหนึ่งของชีวิตนิรันดร์ ของพระองค์ เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของเรา  พระองค์แบ่งชีวิตให้กับเรา ซึ่งเราไม่มีชีวิตเลย  ก่อนหน้านี้ เราเป็นคนตายอยู่ วิญญาณเราตายอยู่ คือไม่มีพระเจ้าอยู่ในนั้น เขาเรียกว่าไม่มีชีวิต ก็เหมือนกับไม่มีแสงสว่าง ไม่มีแสงสว่าง ก็ไม่มีความรัก  ไม่มีความรัก ก็ไม่มีพระเจ้า  เราอยู่ในความพินาศ  พระคัมภีร์บอก เราอยู่ในนรก ในขณะนั้น ตายอยู่

แต่พอเรามาเชื่อในข่าวประเสริฐปุ๊บ เราได้กลับทันทีเลย มาเป็นผู้ที่พระเจ้าประทานชีวิตให้กับเรา ชีวิตนิรันดร์ ชีวิตที่จะเป็นชีวิตอย่างนี้ตลอดไป ไม่มีการกลับมาตายอีกแล้ว นี่คือชีวิตที่เราได้รับหลังจากเราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ และข่าวดีของพระองค์ และได้บังเกิดใหม่เรียบร้อยแล้ว  เอเมนไหม? นี่คือความเป็นจริงที่เราจะต้องใส่ใจ และไตร่ตรอง และสำนึกอยู่ตลอดเวลา  เพื่อเราจะได้พูดข่าวประเสริฐ ให้มันตรงกับคำพูดที่ปากเราพูดออกไป ข่าวประเสริฐเป็นอย่างไร? เราก็พูดอย่างนั้น ตอบใคร ก็ตอบอย่างนั้น

ถ้าใครมาบอกว่า … “เธอเป็นคนบาป ไม่เหมาะสมที่จะได้รับความรอด”

“ใช่ แต่ตอนนี้ พระเจ้าประทานพระคุณให้ฉันรอดแล้ว ฉันเกิดใหม่แล้ว ฉันเป็นผู้ชอบธรรมแล้ว”

และเมื่อเกิดใหม่ ในพระเยซูแล้ว  เมื่อเริ่มต้นเชื่อ และได้เกิดใหม่แล้ว พระคัมภีร์บันทึกว่าเกิดแล้ว ก็เกิดเลย  ไม่มีเกิดๆ ตายๆ เป็นลูกของพระเจ้าแล้ว ก็เป็นเลย ไม่มีการเปลี่ยนแปลงอีกแล้ว ถูกหรือไม่?

เราก็คิดในใจ ใช่เนอะ จะเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาได้อย่างไร? เป็นลูกพระเจ้าแล้ว พระเจ้าไม่ปล่อยเราออกมาจากมือของพระองค์แล้ว เพราะฉะนั้น เราไม่สามารถเป็นทั้งคนบาป และเป็นทั้งคนชอบธรรมในเวลาเดียวกันได้เลย ถูกหรือไม่ถูก?

นี่ไง หลายครั้ง เราไม่เข้าใจ เราได้ยินเขาพูดมาอย่างนั้น แต่ไหนแต่ไร เราก็เชื่ออย่างนั้น เราก็พูดออกไปอย่างนั้น เรากำลังพูดแย้งกับตัวเราเองว่าตอนนี้เราเป็นคนบาป  ทั้งๆ ที่เราเป็นคนชอบธรรม สรุปแล้ว ตกลงเราจะเป็นอะไรกันแน่ ต้องเป็นสักอย่างหนึ่ง

มนุษย์หนึ่งคน มีได้แค่หนึ่งสัญชาติบนโลกฉันใด มนุษย์ 1 คนก็มีได้เพียง 1 สัญชาติในโลกวิญญาณฉันนั้น

ในโลกวิญญาณก็เหมือนโลกใบนี้ โลกใบนี้ท่านเป็นสัญชาติไทย ท่านก็เป็นไทย ก็ไม่สามารถเป็นสัญชาติอื่นได้ ในโลกวิญญาณยิ่งชัดเจนใหญ่ว่าท่านจะเป็นสัญชาติไหน? สัญชาติในโลกวิญญาณ คือเป็นคนบาป หรือเป็นคนชอบธรรม มีอยู่ 2 อันให้เลือกเท่านั้นเอง 2 สัญชาติ สัญชาติหนึ่งมาจากอาดัม เรียกว่าสัญชาติของคนบาป  สัญชาติอันหนึ่งมาจากพระเยซูคริสต์ เรียกว่าชนชาติชอบธรรม

สัญชาติบาป ก็คือสัญชาติที่อยู่ในอาณาจักรของความมืด

สัญชาติชอบธรรม ก็คือสัญชาติที่อยู่ในพระเยซูคริสต์ อยู่ในอาณาจักรหนึ่งที่เรียกว่าแสงสว่างที่มีพระเจ้าอยู่ ที่ไม่ต้องถูกลงโทษ ที่ได้รับการอภัยโทษทั้งสิ้น

มีอยู่แค่ 2 อันเอง ไม่สามารถอยู่ตรงกลางๆ ได้

เพราะฉะนั้น ชัดเจนแล้วนะว่าตัวอย่างคำพูดคุ้นหู ที่ขัดแย้งกับข่าวประเสริฐ หรือข่าวดี เป็นอย่างไร? อันแรกผ่านไปแล้ว “เราทุกคนทำบาป และเป็นคนบาป” สรุปสำหรับคริสเตียน เป็นคำพูดที่บิดเบือน เป็นคำพูดที่ไม่ถูกต้อง สำหรับผู้ที่เชื่อแล้ว เป็นคำพูดที่ทำลาย ให้ข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์ เสียหาย เป็นคำพูดที่ปฏิเสธพระเยซู เป็นคำพูดที่กำลังกล่าวหาพระเยซูว่าพระองค์ทรงโกหก พระองค์ทรงบอกว่าสำเร็จแล้ว ที่ไม้กางเขน ชำระบาปให้กับเราเรียบร้อยแล้ว แต่เรายังบอกว่าพระองค์โกหก ไม่จริงหรอก เพราะเราพูดว่า “เรายังเป็นคนบาปอยู่”

มาดูตัวอย่างคำพูดคุ้นเคย ที่ไม่ตรงตามพระคัมภีร์อีกอันหนึ่ง  ที่เด่นดังพอสมควร สับสนมากพอสมควร ก็คือ “ได้รับแล้ว แต่ต้องรอก่อน” ยกตัวอย่างให้เห็นชัดๆ เหมือนแม่สั่งให้เราซื้อก๋วยเตี๋ยว แล้วก็สั่ง Grab มาส่ง ปรากฏว่า Grab ส่งมาให้เรียบร้อยแล้ว วางอยู่บนโต๊ะเรียบร้อยแล้ว จัดเรียบร้อยแล้ว แม่ถาม เราก็บอกว่ารอก่อน รออะไร? รอก๋วยเตี๋ยวมา ก๋วยเตี๋ยววางอยู่บนโต๊ะนั่นแหละ แล้วเราบอกรอก่อน อะไรประมาณนี้ มายัง มาแล้ว แต่รอก่อน ทั้งๆ ที่มันตั้งอยู่บนโต๊ะแล้ว รอก่อนอะไรล่ะ ไหนบอกมาแล้วไง งง คนพูดก็ไม่รู้จะตอบว่าอย่างไร?

คริสเตียนเป็นอย่างนี้จริงๆ นะ ไม่เชื่อ เดี๋ยวผมจะพาไปดู ได้รับแล้ว แต่ต้องรอก่อน ซึ่งแน่นอน เมื่อเรามาเชื่อพระเจ้าแล้ว อาจมีบางอย่างที่ถ้อยคำพระเจ้าบอกว่าเมื่อเชื่อพระเจ้าแล้ว พระคัมภีร์บอกว่าอย่างไร? พระองค์ได้ประทาน หรือจัดเตรียมให้เราแล้ว และเราจะได้รับเมื่อถึงเวลา ถูกไหม? มีหลายอย่างที่พระเจ้าบอกว่าพระองค์ประทานให้แล้ว และเราก็ได้รับมาเรียบร้อยแล้ว สำเร็จแล้ว ถูกไหม?  มี 2 อย่าง มีอย่างหนึ่ง พระองค์บอกว่าจบแล้ว ได้รับไปเลย แต่มีอันหนึ่ง พระองค์สัญญาว่าแล้วจะได้รับทีหลัง เต็มไปด้วยความหวังที่มีกำลัง นี่เต็มไปด้วยความเชื่อ นี่คือข้อมูลจากข่าวดีของพระเยซูคริสต์ในพระคัมภีร์

ตัวอย่างสิ่งที่พระคัมภีร์บอกว่าพระองค์ประทานให้แล้ว แต่ยังอยู่ในกระบวนการที่ต้องรอ ให้ถึงเวลาที่เหมาะสมก่อน คืออะไร? เช่นอะไรบ้าง? ในพระคัมภีร์บอกไว้ เช่น ให้รอก่อน ก็คือเป็นกระบวนการ พอเชื่อพระเจ้าปั๊บ  เริ่มขบวนการนี้ทันเลย กระบวนการ ก็คือยังไม่ได้รับ แต่อยู่ในขบวนการ ค่อยๆ มา ค่อยๆ ไป อยู่ในความหวังที่เต็มไปด้วยความเชื่อในพระองค์ เช่น ให้รอ เป็นกระบวนการ ค่อยๆ เจริญเติบโตเรื่อยๆ เช่น สติปัญญาไง  ความรู้เรื่องพระเจ้า ความรู้เรื่องข่าวประเสริฐไง ความเข้าใจในเรื่องของพระเจ้า  ในเรื่องของการเป็นลูกของพระเจ้า  เป็นอย่างไร?  การเจริญเติบโตในทางของพระเจ้าเป็นอย่างไร?  การเปลี่ยนแปลงความคิดจิตใจใหม่ ค่อยๆ เปลี่ยนแปลงความคิดจิตใจให้เหมือนพระเยซูไง สิ่งเหล่านี้  เป็นสิ่งที่พระเจ้าสัญญาว่าพระองค์จะกระทำการงานของพระองค์ ผ่านทางพระวิญญาณบริสุทธิ์ ที่ทรงสถิตอยู่ในเรา เมื่อวันแรกที่เราเริ่มต้นรับเชื่อ พระวิญญาณเข้ามาสถิตอยู่ด้วย และจะกระทำสิ่งเหล่านี้ ไปเรื่อยๆ จนกระทั่งสิ้นยุค

ทำเพื่อให้มันค่อยๆ เกิด ค่อยๆ เป็น ค่อยๆ ไป ซึ่งแต่ละคนไม่เหมือนกันด้วย ช้าหรือเร็ว ไม่เท่ากันอีกต่างหาก แต่ละคนที่มาเชื่อ แต่สิ่งเหล่านี้อยู่ในกระบวนการ การเจริญเติบโต การค่อยๆ ได้มาทีละนิด ทีละหน่อย การโต เห็นไหม?

หรืออีกตัวอย่างหนึ่ง อันนี้ก็ชัดเจน ที่พระเจ้ายังไม่ให้ แต่จะให้ คืออยู่ในคำสัญญานั่นแหละ ก็คือร่างกายสวรรค์ ร่างกายใหม่ที่พระคัมภีร์ว่าหลังจากที่เราจากโลกนี้ไปแล้ว หลังจากที่วิญญาณออกจากร่างนี้เรียบร้อยแล้ว ร่างกายเก่านี้ มันเสื่อมสลาย กลายเป็นดินแล้ว  หมดลมหายใจแล้ว  เราจะออกจากร่าง และรับร่างกายสวรรค์ ร่างกายใหม่ ที่เหมือนพระเยซูคริสต์ทันทีเลย เมื่อออกจากร่าง เปลี่ยนมิติวิญญาณ ออกจากร่างปั๊บ ได้รับร่างกายใหม่ทันทีเลย

ถามว่าได้รับหรือยังร่างกายใหม่? ยัง ต้องรอไหม? รอ อันนี้ชัดเจนเลย

นี่คือบางตัวอย่างของสิ่งที่พระเจ้าบอกว่าให้รอก่อน  ด้วยความหวังที่เต็มไปด้วยความเชื่ออย่างชัดเจน เพราะว่าได้รับมา สิ่งที่ได้รับมาแล้ว อยู่ข้างใน เต็มไปหมดเลย ซึ่งเรากำลังจะมาดูต่อไปว่ามีอะไร?

ตะกี้นี้ ก็คือตัวอย่างของสิ่งที่พระเจ้าบอกว่าให้รอก่อน แล้วจะได้รับ ให้มีความหวังไว้

คราวนี้มีหลายอย่างที่พระคัมภีร์บอกว่า “เราได้รับมาเรียบร้อยแล้ว” เวลาเราพูดอย่างนี้ ที่ผมให้พูดอย่างนี้ ฟังดูเหมือนง่ายๆ นะ แต่บอกท่านได้ว่ามันไม่ง่ายเลย สำหรับสังคมของคริสเตียนบนโลกใบนี้ ที่เรากำลังพูดตอนนี้ ถ้าท่านเชื่อตามที่ท่านพูดเมื่อสักครู่นี้ แล้วรับรู้ว่าอะไรที่ได้มาแล้ว ท่านจะสังเกตได้เลยว่าเมื่อท่านออกจากที่นี่ไป ไปสู่สังคมของผู้เชื่อ หรือคริสเตียนทั้งโลกนี้ …

“เอ๊ะ! ทำไมเขาพูดไม่เหมือน ตรงกับข่าวประเสริฐตรงนี้เลย” มันเป็นอย่างนั้นจริงๆ

สิ่งที่พระคัมภีร์บอกเราได้รับเรียบร้อยแล้ว สังคมข้างนอก  ก็ยังมีการบิดเบือน คำพูดบิดเบือน คำสอนว่ายังได้ไม่ครบถ้วน ยังต้องรอก่อน จับตรงนี้ไปรวมกับที่รอ กลายเป็นไปรอด้วยกันเลย อันที่ได้ ก็เลยยังไม่ได้ ก็เลยรวมไปรออยู่กับรับร่างกายใหม่ แล้วค่อยได้ด้วย พอเข้าใจใช่ไหมครับ?

สิ่งที่พระคัมภีร์บอกว่าได้รับเรียบร้อยแล้ว แต่ความเท็จบอกว่ายังไม่ได้ครบถ้วน ยังต้องรอก่อน อะไรที่ได้รับมาเรียบร้อยแล้ว เช่น บอกว่า …

“เราได้รับความรอดแล้ว”

เมื่อเชื่อพระเจ้า เราได้รับความรอดหรือยัง? ได้รับแล้ว แต่มีคนบอกว่าเราได้รับความรอดแล้ว และให้เรารอจนถึงวันพิพากษา วันที่เราจากโลกนี้ไปแล้ว เราจึงจะได้ไปอยู่ในสวรรค์กับพระเจ้า ทั้งๆ ที่พระคัมภีร์เขียนไว้ชัดเจนว่า ณ บัดนี้ เราได้นั่งอยู่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้า ในสวรรค์สถานแล้ว

ฟังดูเหมือนต่างกันไม่เยอะ เดี๋ยวจะชี้ให้เห็นว่าต่างกันเยอะขนาดไหน?

ถ้ามีคนบอกว่าท่านได้รับความรอดแล้ว แล้วก็รอให้ได้รับความรอด ในวันพิพากษา ซึ่งท่านต้องดูแลตัวเองให้ดีๆ ไม่เช่นนั้น ถึงวันพิพากษา ท่านอาจจะไม่รอด กับความเป็นจริง ในถ้อยคำพระเจ้าบอกว่าเมื่อท่านเชื่อในพระเจ้าแล้ว ท่านรอดเข้าสู่สวรรค์เลยทันที นั่งอยู่กับพระเยซูคริสต์ในสวรรค์เรียบร้อยแล้ว มันต่างกันฟ้ากับเหวเลย แต่สิ่งสำคัญ ก็คือทำให้ข่าวประเสริฐของพระเจ้าเสียหายไง มันกระทบถึงคำพูดของพระเยซูว่าพระองค์พูดไม่จริง พระองค์ทำไม่จริง เอเฟซัส 2:3-6 ได้อธิบายเรื่องนี้ชัดเจน …

เอเฟซัส 2:3-6  “3 ครั้งหนึ่งเราเคยมีชีวิต เหมือนกับผู้คนเหล่านั้นที่ (ไม่เชื่อ) ทำตามตัณหาของวิสัยบาปของเรา สนองความอยากกับความคิดของมัน ตามธรรมชาติบาปของวิญญาณที่ตายของเรา (ซึ่งไม่บริสุทธิ์ ไม่มีพระลักษณะของพระเจ้า) เราจึงควรแก่การถูกลงโทษสาปแช่งเหมือนคนอื่นๆ (ที่ไม่เชื่อไม่ได้ใช้สิทธิ์ในการไถ่บาปที่พระเยซูได้กระทำให้) 4 แต่เนื่องด้วยความรักใหญ่หลวงที่ทรงมีต่อเรา พระเจ้าผู้เปี่ยมด้วยพระเมตตาอันอุดม 5 จึงได้ทรงกระทำให้วิญญาณของเรา กลับมีชีวิตอยู่กับพระคริสต์ แม้ในขณะที่วิญญาณเราได้ตายแล้วในบาป คือท่านทั้งหลายได้รับความรอด (จากการลงโทษจากคำสาปแช่ง) โดยพระคุณ 6 และพระองค์ได้ทรงให้วิญญาณของเราเป็นขึ้นมา (บังเกิดใหม่) กับพระคริสต์ และในพระเยซูคริสต์ พระเจ้าได้ทรงให้เรานั่งในสวรรคสถานกับพระคริสต์”

 

สรุปสั้นๆ ง่าย ก็คือ ข้อ 3 บอกว่า “ครั้งหนึ่ง” คือครั้งในอดีต ก่อนเรารับเชื่อ  เราตายอยู่

ข้อ 6 บอกว่าและเดี๋ยวนี้เมื่อเราเชื่อแล้ว “แต่เดี๋ยวนี้ เราได้บังเกิดใหม่” และจบสุดท้ายบอกว่า “พระองค์ได้ทรงให้วิญญาณของเรา เป็นขึ้นจากความตาย คือได้ให้เราบังเกิดใหม่” ก็คือเมื่อเราเชื่อพระเจ้าปั๊บ เราได้รับทันทีเลย คือการบังเกิดใหม่ แบบเป็นลูกของพระเจ้า วิญญาณเราเปลี่ยนทันทีเลย ได้บังเกิดใหม่ทันที การบังเกิดใหม่นั้น ก็คือการเข้าสู่สวรรค์ทันที และไปอยู่ที่ไหนล่ะ มันต้องมีที่อยู่ในสวรรค์ ก็คือเบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้า ก็หมายถึงได้รับสิทธิอำนาจเท่าๆ กันกับพระเยซูคริสต์ อยู่กับพระเยซูคริสต์แล้ว ในวิญญาณเป็นอย่างนั้นจริงๆ ไม่ว่าเราจะเข้าใจในข้อความนี้หรือไม่เข้าใจก็ตาม แต่เราต้องเชื่อว่าในนี้เป็นอย่างนั้น แต่เราไม่เข้าใจ เพราะว่าเราเป็นมนุษย์ เราไม่สามารถจะเข้าใจได้ว่านั่งอยู่กับพระเยซูคริสต์ ที่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้าในสวรรค์สถานเป็นอย่างไร? แต่แน่นอน ไม่ว่าจะเป็นอย่างไร เราไม่เข้าใจจริงๆ แต่เรารู้อย่างเดียวว่าเราอยู่ในสวรรค์ เพราะในพระคัมภีร์บอกไว้อย่างนั้น เราอยู่ในสวรรค์ ในพระคริสต์

นี่คือข้อหนึ่งในจำนวนหลายๆ ข้อที่บันทึกไว้ในพระคัมภีร์ พูดถึงเรื่องนี้ว่าเราอยู่ในสวรรค์แล้ว สิ่งที่เราได้รับเรียบร้อยแล้ว ตามพระคัมภีร์บันทึกเอาไว้ มีนี่อีก โคโลสี 1:12-14 อีกข้อหนึ่ง …

โคโลสี 1:12-14 “12 ขอบพระคุณพระบิดา ผู้ทรงทำให้พวกท่านเหมาะสมที่จะมีส่วนในกรรมสิทธิ์ของประชากรของพระเจ้า ในอาณาจักรแห่งความสว่าง 13 เพราะพระองค์ได้ทรงช่วยเรา ให้พ้นจากอาณาจักรของความมืด (ในอาดัม) และได้ย้ายเราเข้ามา (บัพติศมาอาศัยอยู่ใน) อาณาจักรของพระบุตรที่รักของพระองค์ (พระเยซูคริสต์) 14 ในพระบุตรนี้ เราได้รับการไถ่บาป คือการอภัยโทษบาปของเรา”

 

“ขอบคุณพระบิดาผู้ได้ทรง ทำให้พวกท่าน” ภาษาเดิมตรงนี้หมายถึง “ได้ทรง” เป็นอดีตแล้ว ได้ทรงทำให้พวกท่านเหมาะสม ที่มีส่วนในกรรมสิทธิ์ของประชากร ก็คืออยู่ในสวรรค์ ในอาณาจักรแห่งแสงสว่าง ก็คือในสวรรค์ได้หรือยัง? ได้แล้ว  อยู่ในสวรรค์หรือยัง? อยู่แล้ว  อยู่ในอาณาจักรแห่งแสงสว่างหรือยัง? อยู่แล้ว เป็นประชากรของพระเจ้าหรือยัง? เป็นแล้ว

“เพราะพระองค์ได้ทรงช่วยเราให้พ้นจากอาณาจักรของความมืด (ในอาดัม)  และย้ายเราเข้ามาเป็นส่วนหนึ่ง ก็คือบัพติศมาเรา ให้อยู่ในพระเยซูคริสต์ พระบุตรอันเป็นที่รักของพระองค์ พระองค์ได้ทรงช่วยเรา” ได้หรือยัง? ได้แล้ว ย้ายจากอาณาจักรของความมืดหรือยัง? ย้ายแล้ว  อยู่ในอาณาจักรของความสว่างแล้ว เข้ามาเป็นส่วนหนึ่ง ในพระเยซูคริสต์หรือยัง? ได้ย้ายแล้ว นั่งแล้ว อยู่ที่ตรงไหน? อยู่ที่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้า ในสวรรค์สถาน

ในข้อ 14 บอก “ในพระบุตรนี้ คือในพระเยซูคริสต์ ในตำแหน่งนี้ เราได้รับการไถ่บาป หรือการอภัยโทษบาปของเราทั้งหมดแล้ว”

บาปทั้งหมด  หมดยัง? หมดแล้ว พรุ่งนี้ ไปโกรธใคร? ไปเกลียดใคร?  ไปอิจฉาใคร? ทำบาปหรือเปล่า? ทำหรือไม่ทำ? ทำ  คิดหงุดหงิดเขา ทำไหม? ทำ ซึ่งเป็นบาปหรือเปล่า? เป็น การกระทำอย่างนั้น เป็นบาป แต่เราไม่ได้เป็นคนบาป เราเป็นคนชอบธรรม เป็นลูกของพระเจ้าที่เผลอ ที่ถูกล่อลวง ที่หลงไปเชื่อระบบของกิเลสตัณหาทางฝ่ายเนื้อหนัง ระบบของบาป  โปรแกรมเก่าๆ ในสมองของเรา และก็ไปทำตาม ล้มลงไปในความบาป เรียกว่าประพฤติบาปเท่านั้นเอง ก็คือเราเป็นผู้ชอบธรรม บางครั้งทำบาปนั่นเอง เป็นลูกของพระเจ้า ซึ่งบางครั้ง ทำเป็นเหมือนไม่ใช่ลูกพระเจ้า อะไรประมาณนั้น

เราจะเห็นได้ว่าพื้นฐานของความจริง ของข่าวประเสริฐของพระเจ้า ถ้าเผื่อพื้นฐานของข่าวดีของพระเยซูคริสต์ไม่หนักแน่น ไม่ลึกซึ้ง ไม่แข็งแกร่งอย่างศิลาอย่างนี้ สิ่งที่พูด สิ่งที่อธิบาย มันจะขัดแย้งกันไปมาแบบนี้ เห็นไหมครับ ผมชี้ให้ดูวันนี้ รายละเอียดบางๆ ซึ่งเขาทำกันอยู่ ทุกวันนี้ก็ทำกันอยู่อย่างนี้  ต่อไปนี้ ท่านจะสามารถสังเกตดูได้มากขึ้น จากคำบรรยายในวันนี้

ความจริงที่ขัดแย้งกัน คือคนที่ไม่รู้ความจริง แล้วก็ไปพูดเรื่องถ้อยคำพระเจ้า ในที่อื่นๆ ในการประกาศ หรือในการสอน คือไม่รู้เรื่องข่าวประเสริฐจริงๆ ลึกซึ้ง แล้วไปทำการสอน และก็เอาความคิด เอาความคุ้นเคย ความเชื่อเดิมๆ ก่อนที่จะมาเชื่อพระเจ้า ผสมผเสเข้าไป ก็เลยกลายเป็นเละตุ้มเป๊ะ คนที่เขาประกาศ หรือสอนแบบนี้ เขาก็แย้งตัวเอง และก็แย้งกันเองด้วย เช่นบอกว่า …

“ได้รับความรอดแล้ว แล้วก็บอกว่าต้องรอตายก่อน ถึงจะได้รับความรอด”

ไปโบสถ์นี้บอกว่าได้รับความรอดแล้ว แต่โบสถ์นี้บอกว่าได้รับความรอดแล้วก็จริง แต่ต้องรอให้ตายก่อน แล้วค่อยถึงจะพิสูจน์ว่ารอดจริงไหม? นี่เป็นอย่างนั้น เพราะฉะนั้น คนฟังก็เลยบอกว่า …

“แล้วตกลงผมจะเชื่อทางไหนดี? ตกลง รอดแล้ว ตายไป ผมไปสวรรค์จริงๆ หรือไม่?”

ผู้ที่สอนแบบไม่เข้าใจ เขาก็จะตอบไม่ได้  เขาก็จะบอกว่า …

“ก็ไม่รู้นะ ก็พยายามรักษาความรอดให้ดีแล้วกัน  พยายามรักษาตัวให้ดีๆ ถึงวันนั้น แล้วจะรู้เองว่าเราจะรอดหรือไม่รอด” … มันเป็นอย่างนั้นจริงๆ นะ

ได้รับความรอดแล้ว แต่ยังไม่รอดจริง  ต้องรักษาความเชื่อ รักษาความรอดด้วย อย่าพูดอย่างนั้นไปนะ มาเชื่อพระเจ้าแล้วบอกว่ารอดแล้ว รอดเลย ต้องรักษาความรอดให้ดีๆ จนถึงวันสุดท้าย  อดทนให้ถึงที่สุดนะ ถ้าอดทนไม่ถึงที่สุด พระเจ้าจะคายท่านออกมา ตายเลยแบบนี้ เครียดไหมล่ะ สรุปเราเลยไม่รู้ว่ารอดหรือไม่รอด?

เพราะฉะนั้น เราต้องการย้ำว่าข่าวประเสริฐบอกให้ชัดๆ ตรงๆ อย่างนี้ว่าอะไร? อะไรที่ได้แล้ว ก็บอกว่าได้แล้ว เช่นบังเกิดใหม่ เป็นลูกของพระเจ้าแล้ว รอดนิรันดร์แล้ว ชีวิตนิรันดร์ได้รับแล้ว อยู่กับพระเจ้าในสวรรค์แล้ว นั่งที่เบื้องขวาของพระเจ้าในสวรรค์แล้ว  สิ่งเหล่านี้เราต้องพูดตามนั้นว่าเราได้รับเรียบร้อยแล้ว มั่นอกมั่นใจเลย ใครมาถาม ใครมาประกาศให้กับใคร? บอกอย่างนี้เลย ชัดเจน อะไรที่ยังไม่ได้ ก็บอกว่ายังไม่ได้  เช่น ความรู้ ความเข้าใจในเรื่องของพระเจ้า ที่ต้องผ่านการค่อยๆ เป็น ค่อยๆ ไป การเรียนรู้ เป็นขบวนการ อย่างนี้ต้องรอก่อน ค่อยๆ เป็น ค่อยๆ ไปนะ หรือไม่ก็เรื่องเกี่ยวกับร่างกายใหม่ โลกใหม่ที่เราจะอยู่กับพระองค์ในสวรรคสถานนิรันดร์ รับร่างกายใหม่ ต้องรอ อันนี้ต้องอดทน ถึงวันสุดท้ายนะ ไม่ใช่อดทนรักษาไว้นะ  ไม่ต้องรักษา มันเป็นของเราอยู่แล้ว ด้วยความเชื่อ พระเจ้าเตรียมไว้ให้เรียบร้อยแล้ว แต่ให้อดทนต่อความทุกข์ยากลำบากที่เกิดขึ้นบนโลกใบนี้อีกนิดเดียว อีกแป๊บเดียว เดี๋ยวๆ มันก็ถึงวันนั้น แล้วก็ไปอยู่ในสวรรค์แล้ว รับร่างกายใหม่ อย่างนี้พูดได้  อย่างนี้รอได้  ตามพระคัมภีร์เลย รอด้วยการมีความหวังที่ชัดเจน ไม่ใช่เอามาผสมกัน อะไรที่ได้แล้ว ก็บอกว่าให้รอตายก่อน ถึงจะได้ เพราะฉะนั้น ท่านฟังจากข้อมูลข้างนอก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยูทูป ในอะไรต่างๆ เยอะไปหมด จะเป็นอย่างนี้ ท่านจะได้ไม่สับสน ในความเข้าใจผิดของผู้คนที่ใส่ข้อมูลเหล่านั้นเข้ามา  ทำให้ข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์เสียหาย  คำพูดที่แย้งกันเอง แย้งกันไปแย้งกันมา ก็อย่างที่บางคนสอนถ้อยคำพระเจ้าไป วันนี้พูดอย่างนี้ แต่พรุ่งนี้พูดอีกอย่างหนึ่ง โดยที่เขาก็ไม่คิด แต่พอเขามาคิดจริงๆ เขาก็คงงงเหมือนกัน แย้งกัน

ยกตัวอย่างเช่น ท่านมาเชื่อพระเจ้าแล้ว พอท่านเปิดใจเชื่อ พระเยซูคริสต์จะมาสถิตอยู่กับท่านเลยทีเดียว พระเจ้าจะมาสถิตอยู่กับท่านเลย พอตอนจบบอกว่าขอพระเจ้าสถิตอยู่ด้วยนะ มันแปลว่าอะไร? บางทีเราฟังดูเล็กน้อย แต่เรากำลังจะบอกว่าตกลงสรุปแล้วตะกี้นี้ตอนเทศน์ บอกว่าเราเชื่อแล้ว เราเป็นคริสเตียนแล้ว พระเจ้าสถิตอยู่กับเรา สถิตอยู่จริงไหม? จริงสิ อ้าวจริง แล้วทำไมตอนจบ บอกว่า … “ขอพระเจ้าสถิตอยู่ด้วย” … แสดงว่าขอพระองค์เข้ามาสถิตอยู่ด้วย

หรือไม่ก็ “ลูกทำบาปผิดไปแล้ว ขอพระองค์ทรงอย่าจากลูกไปเลย ขอพระองค์ทรงกลับมาอยู่เหมือนเดิม”

มีอย่างนี้ด้วยหรือ? แย้งกันใช่ไหม? เพราะถ้ารู้ความจริงตามถ้อยคำพระเจ้า ทุกอย่างมันจะลงตัวหมดเลย มันจะอธิบายได้หมด ทุกถ้อยคำมันจะเสริมกัน มันจะไม่ขัดแย้ง อะไรที่บอกว่ารอ ก็บอกรอ อันไหนที่ได้รับ ก็ได้แล้ว มันจะตรงกับข่าวประเสริฐหมดเกลี้ยงเลย ชัดเจน แจ่มแจ๋ว ไม่มีการแย้งกันเอง ตอบได้ทุกอัน

เพราะฉะนั้น สิ่งเหล่านี้ เป็นสิ่งที่ต้องสำนึก แล้วก็เตรียมไว้ในการประกาศข่าวประเสริฐของเรา ใครถามเราเรื่องข่าวประเสริฐของพระเจ้า  เราตอบได้ทันทีเลย ข่าวดีของพระเยซูคริสต์ คืออะไร? คือเมื่อท่านเปิดใจตอนนี้ เชื่อในพระเยซูคริสต์ว่าเป็นพระผู้ช่วยให้รอด เป็นพระผู้ไถ่บาปที่พระเจ้าทรงประทานให้กับมนุษยชาติ เปิดใจต้อนรับพระองค์ พระองค์จะเข้ามา ทำให้ท่านบังเกิดใหม่ เป็นลูกของพระเจ้า เป็นผู้ชอบธรรม และเข้าสู่สวรรค์ทันทีเลย เดี๋ยวนี้ และเมื่อวันที่ท่านจากโลกนี้ไป วิญญาณท่านออกจากร่าง ท่านจะไปรับร่างกายใหม่ จากพระเจ้าที่เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์ และได้เห็นพระเจ้าหน้าต่อหน้า เห็นตัวเองหน้าต่อหน้าว่า …

“หน้าตาฉันที่บังเกิดใหม่ หน้าตาเป็นอย่างไร?”

และท่านจะได้อยู่ในโลกใหม่ที่พระเจ้าสร้างขึ้นใหม่ สะอาดหมดจด ไม่มีความบาป ไม่มีความชั่วร้าย ไม่มีสิ่งเลวร้าย ไม่มีน้ำตา ไม่มีความทุกข์ยากลำบากอีกต่อไปเลย ท่านจงอดทนต่อความทุกข์ยากลำบาก ในขณะที่อยู่บนโลกใบนี้ ตอนนี้รอคอยสิ่งเหล่านี้นะ แต่ที่บอกว่าท่านเป็นลูกของพระเจ้าแล้ว ท่านเป็นผู้ชอบธรรมแล้ว ต่อให้ท่านทำบาป ท่านก็ยังเป็นผู้ชอบธรรมอยู่ อะไรอย่างนี้

นี่คือข่าวประเสริฐ นี่คือสั้นๆ เอง คือเมื่อเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ ท่านได้รับทันทีเลย เข้าสู่สวรรค์ทันที ไม่ได้เป็นของโลกอีกต่อไป โลกไม่ใช่บ้านเกิดเมืองนอนของท่านอีกต่อไปแล้ว เมื่อท่านเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เมื่อวินาทีไหนก็ตาม ในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้  ที่ท่านเปิดใจต้อนรับพระเยซู ท่านเข้าสู่สวรรค์ทันที  โลกไม่ใช่เป็นบ้านเมืองของท่านอีกต่อไปแล้ว ท่านมุ่งทางตรงกลับบ้านในสวรรค์ทันทีเลย  ชีวิตท่านอยู่ในพระหัตถ์ของพระเจ้าทันที  สวรรค์เป็นของท่านแล้ว เมื่อท่านเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ และมีชีวิตอยู่เพื่อสวรรค์อย่างเดียว โดยท่านไม่ต้องทำอะไรเลย  เพราะสวรรค์เข้ามาอยู่ในตัวของท่าน พระเจ้าเข้ามาสถิตอยู่ในตัวของท่าน และก็จะจูงมือท่านไป …

“เดินทางกลับบ้านเถิดลูก”

พระเจ้าอวยพรครับ

 

***********************

 

จากใจคณะศิษยาภิบาล

เกิดเป็นฝรั่ง อยากเป็นคนไทยต้องทำอย่างไร? … กรุณาเลือกคำตอบ …

  1. ย้ายมาอยู่เมืองไทย
  2. ขอเปลี่ยนสัญชาติ
  3. แต่งงานกับคนไทย
  4. ฝึกกินอาหารไทย
  5. ฝึกพูดภาษาไทย
  6. เรียนรู้ประเพณีไทย
  7. ตายแล้ว มาเกิดใหม่ในแผ่นดินไทย

 

แผ่นดินสวรรค์ของพระเจ้าก็เหมือนกัน …

ยอห์น 3:3-8 “พระเยซูตรัสตอบโดยประกาศว่า “เราบอกความจริงแก่ท่านว่าไม่มีใครเห็นอาณาจักรของพระเจ้าได้ ถ้าเขาไม่บังเกิดใหม่” นิโคเดมัสทูลถามว่า “คนจะเกิดใหม่ได้อย่างไร เมื่อเขาแก่แล้ว? แน่นอน เขาไม่อาจเข้าไปในครรภ์มารดาเป็นครั้งที่สอง เพื่อเกิดออกมาใหม่!” พระเยซูตรัสตอบว่า “เราบอกความจริงแก่ท่านว่าไม่มีใครสามารถเข้าอาณาจักรของพระเจ้าได้ ถ้าเขาไม่ได้เกิดจากน้ำ (ครรภ์มารดา) และจากพระวิญญาณ มนุษย์ให้กำเนิดมนุษย์ แต่พระวิญญาณให้กำเนิดวิญญาณ ท่านไม่ควรแปลกใจที่เราบอกว่าท่านต้องเกิดใหม่ ลมพัดไปที่ไหนก็ได้ตามใจชอบ ท่านได้ยินเสียงลม แต่ท่านไม่อาจบอกว่าลมมาจากไหนหรือจะไปที่ไหน ทุกคนที่เกิดจากพระวิญญาณก็เช่นกัน”

โรม 6:3-6 … “3 ท่านไม่รู้หรือว่าเราทั้งปวงที่เชื่อ (พระเยซู) ก็ได้ถูกนำเข้าไปเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเยซูคริสต์ และได้เข้าส่วนร่วมในความตายของพระองค์? (ที่ไม้กางเขน)  4 ฉะนั้น เราจึงถูกฝังไว้กับพระองค์แล้ว โดยการได้เข้าส่วนร่วมในความตาย เพื่อว่าเราเองก็จะได้มีชีวิตใหม่ (บังเกิดใหม่) เช่นเดียวกับที่ทรงให้พระคริสต์เป็นขึ้นจากตาย (บังเกิดใหม่) โดยฤทธิ์อำนาจแห่งพระวิญญาณและพระเกียรติสิริของพระบิดา 5 ถ้าเราได้มีส่วนร่วม เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์ในการตาย แน่นอนเราจะมีส่วนร่วม เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์ในการเป็นขึ้นจากตาย (บังเกิดใหม่) 6 เพราะเรารู้ว่าตัวเก่าของเรา (ที่อยู่ในบาปในอาดัม) ถูกตรึงไว้กับพระองค์แล้ว เพื่อตัวบาปเก่านั้นจะถูกขจัดไป เพื่อเราจะไม่เป็นทาสบาปอีกต่อไป”

 

โคโลสี 1:13-14 … “13 เพราะพระองค์ได้ทรงช่วยเราให้พ้นจากอาณาจักรของความมืด และทรงนำเราย้ายเรา เข้ามาสู่อาณาจักรของพระบุตรที่รักของพระองค์ 14 ในพระบุตรนี้ เราได้รับการไถ่บาป คือ การอภัยโทษบาปของเรา”

 

การงานของพระเจ้า ก็คือการย้ายวิญญาณของผู้ที่เชื่อในข่าวดี ออกจากในอาดัมสู่ในพระคริสต์ จากตายมาเกิดใหม่ จากทาสมาเป็นลูก ออกจากอาณาจักรของความมืด มาสู่อาณาจักรสว่างของพระบุตรที่รักของพระองค์ ก็คืออาณาจักรสวรรค์  มนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้จะต้องอยู่ในที่ใดที่หนึ่งในโลกวิญญาณในอาดัมหรือในพระคริสต์ ไม่สามารถอยู่พร้อมๆ กันทั้งสองที่ได้ มนุษย์ทุกคนต้องตัดสินใจเลือกเอง

 

พระเจ้าอวยพรครับ

 

 

วารสาร Holy News ฉบับที่ 1341

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  5  ธันวาคม  2021

เรื่อง “หนังสือเอเฟซัส” ตอน  5

โดย  วราพร  คงล้วน

 

วันนี้เรามาต่อในหนังสือเอเฟซัส บทที่ 1  เดือนที่แล้ว เราจบลงข้อที่ 19  วันนี้เราต่อข้อที่ 20 ครั้งที่แล้ว ข้อที่ 19 บอกว่า …

เอเฟซัส 1:19 “เพื่อท่านจะได้เริ่มต้นเรียนรู้ถึงฤทธิ์เดชอำนาจยิ่งใหญ่มหาศาล  ที่ไม่มีขีดจำกัดและหาที่เปรียบไม่ได้ของพระเจ้า ซึ่งเป็นฤทธิ์เดชอำนาจพลังที่ยิ่งใหญ่มหาศาลทางฝ่ายวิญญาณ  ที่กระทำการงานอยู่ภายในเรา  และเพื่อเราผู้ซึ่งได้เชื่อ (รับสิทธิ์ของเราที่พระเยซูได้ไถ่บาปให้)”

 

อาจารย์เปาโลได้พูดถึงฤทธิ์อำนาจที่ยิ่งใหญ่มหาศาล ที่ไม่มีอะไรสามารถเปรียบได้เลย ที่ได้กระทำการงานอยู่ในพวกเราทุกคนผู้เชื่อ ฤทธิ์เดชอำนาจนี้พวกเราได้รับมาเรียบร้อยไปแล้ว วันที่เราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด ฤทธิ์เดชนี้ก็เข้ามาทำการงานในชีวิตของเรา ในวิญญาณของเรา เมื่อเราเปิดใจปุ๊บ พระเจ้า พระวิญญาณบริสุทธิ์ ก็เข้ามาบัพติศมาเรา ที่เราคุยกันหลายรอบแล้วบัพติศมา เป็นเรื่องที่สำคัญสำหรับชีวิตของเรา ที่เราจำเป็นต้องรู้ บัพติศมาวิญญาณของเรา ก็คือเอาวิญญาณของเราไปฆ่าให้ตาย ไปตรึงพร้อมกับพระเยซูคริสต์ที่ไม้กางเขน วิญญาณของเรา ก็ตายไปแล้ว ถูกฝังไว้พร้อมกับพระเยซูคริสต์ ด้วยฤทธิ์เดชอำนาจที่ยิ่งใหญ่สูงสุด เป็นฤทธิ์เดชอำนาจอันเดียวกัน ที่พระเจ้าได้ทรงชุบพระเยซูคริสต์ให้เป็นขึ้นมาจากความตาย และฤทธิ์อำนาจอันนี้ ก็ได้ชุบวิญญาณของเรา ให้บังเกิดใหม่

ฉะนั้น การบังเกิดใหม่เข้ามาอยู่ในอาณาจักรของพระเจ้า เป็นฤทธานุภาพที่ยิ่งใหญ่สูงสุด เมื่อเราบังเกิดใหม่ในด้านวิญญาณปุ๊บ พระพรนานัปการ ที่พระเจ้า พระเยซูคริสต์ ได้ทรงกระทำบนไม้กางเขน สำเร็จเรียบร้อย ก็เป็นของเรา พระพรนานัปการเหล่านี้ มีเยอะแยะมากมาย ที่ในโลกวิญญาณ พวกเราผู้เชื่อได้รับเรียบร้อยไปแล้ว แล้ว ณ เวลานี้ พวกเราผู้เชื่อก็ทำอย่างเดียว คือเรียนรู้ รับรู้ความจริงที่พระเจ้าได้ทำให้เราสำเร็จแล้วว่ามีอะไรบ้าง? แล้วเราจะขอบคุณพระเจ้าสำหรับพระพรนานัปการเหล่านี้ ในการดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ ให้เราสามารถที่จะมีกำลังที่เข้มแข็งขึ้น แล้วมองไปที่พระพรฝ่ายวิญญาณที่พระเจ้าทำให้เราเรียบร้อยไปแล้ว ซึ่งเราได้คุยกันบ่อยมากในเรื่องของพระพรฝ่ายวิญญาณ ที่พี่น้องจำเป็นจะต้องรับรู้ จำเป็นจะต้องจดจำเอาไว้ว่าเราได้รับอะไรบ้าง ในการที่เราได้เข้ามาตัดสินใจ เปิดใจของเราต้อนรับพระเยซูคริสต์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอดตามเงื่อนไขที่พระเจ้าได้กำหนดไว้เงื่อนไข คือเราเชื่ออย่างเดียวเฉยๆ ไม่ได้ เราต้องแสดงเจตจำนงว่าเราเชื่อ แล้วเราอยากได้รับสิ่งนี้ด้วย โดยการเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอด ก็คือเข้ามาเชื่อนั่นเอง

ทันทีที่เราเชื่อ ขบวนการการผ่าตัดวิญญาณเกิดขึ้นปุ๊บ เราก็ได้บังเกิดใหม่ เข้ามาในอาณาจักรของพระเจ้า พอบังเกิดใหม่ปุ๊บ วิญญาณเก่าที่เป็นบาป ที่อยู่ภายใต้คำสาปแช่งของโลกใบนี้ ตั้งแต่เดิม เมื่อเราเกิดมา เราก็อยู่ภายใต้คำสาปแช่งแล้ว วิญญาณนี้ ก็ได้ตายจากเรา ตายไปแล้วนะ แล้วเราทุกคนผู้เชื่อ ก็มีวิญญาณที่บังเกิดใหม่ เป็นวิญญาณใหม่ ที่สะอาดบริสุทธิ์เหมือนพระเจ้า พระเยซูคริสต์ไม่มีผิดเลย เป็นวิญญาณที่ชอบธรรมจำเพาะพระพักตร์ของพระเจ้า ที่เราคุยกันบ่อยๆ ว่ามนุษย์ไม่สามารถพึ่งพากำลังของตัวเอง ที่จะพยายามตะเกียกตะกายทำความดี เพื่อให้ได้ตามมาตรฐานที่พระเจ้ากำหนดไว้ คือ 100% เต็ม ไม่มีผิดพลาดแม้แต่จุดเดียว ขีดเดียว ไม่ได้ และตลอดทุกเวลาด้วย 24 ชั่วโมงในหนึ่งวัน แล้วก็ 365 วันในหนึ่งปี ทุกวัน ทุกเวลา ทุกวินาที คือไม่พลาดเลยแม้แต่นิดเดียว  เราถึงสามารถมาถึงมาตรฐานของพระเจ้าได้ เป็นผู้ชอบธรรม ฉะนั้น พระเยซูกำลังชี้ให้มนุษย์ซึ่งเป็นคนบาปได้เห็นว่ามนุษย์ไม่สามารถทำได้หรอก มีวิธีเดียวเท่านั้น ก็คือมาพึ่งในพระเยซูคริสต์เท่านั้น พึ่งในการกระทำของพระเยซูคริสต์ที่ได้สิ้นพระชนม์ เพื่อเรา บนไม้กางเขน และได้ทำให้เราหลุดพ้น จากการเป็นทาสของความบาปและความตาย และผู้เชื่อทุกคน เมื่อได้ตัดสินใจเปิดใจต้อนรับแล้ว ขบวนการทั้งหมด ก็ถูกกระทำการในโลกวิญญาณ

“โลกวิญญาณ” ตรงนี้หมายความว่ามือเราไม่สามารถสัมผัสได้ ตาเราไม่สามารถมองเห็นได้ ความรู้สึกเราก็จะไปรู้สึกไม่ได้ด้วย ถ้าเราเชื่อพระเจ้าด้วยความรู้สึก มันก็ทำให้เราพลาดได้ เพราะว่าความรู้สึกของมนุษย์ จะขึ้นลงตามสถานการณ์รอบด้านของเรา แต่พระเจ้าบอกเราว่าให้เราเชื่อตามที่ถ้อยคำของพระเจ้าได้บันทึกไว้ หรือระบุไว้ว่าเมื่อเราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์แล้ว อะไรบ้างที่เกิดขึ้นกับชีวิตใหม่ของเรา

อันดับแรกเลย ทันทีที่เราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอด วิญญาณเราเปลี่ยนจากวิญญาณบาป มาเป็นวิญญาณชอบธรรม เราเป็นผู้ชอบธรรมของพระเจ้าทันทีเลย เราสะอาดบริสุทธิ์ทันทีเหมือนพระเจ้าเลย เราเข้ามาอยู่ในอาณาจักรของพระเจ้าทันที เราได้มาเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเจ้าพระเยซูคริสต์ พระเจ้าพระบิดา พระเจ้าพระวิญญาณบริสุทธิ์ทันทีเลย พระเจ้าทั้ง 3 พระภาคเข้ามาสถิตอยู่ในเราทันทีด้วย เพราะว่าเราได้รับการชำระให้บริสุทธิ์แล้ว แล้วทันทีอีกเช่นกัน เราได้นั่งอยู่ที่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้า ร่วมกับพระเยซูคริสต์ที่สวรรคสถาน ณ เวลานี้ ในโลกวิญญาณ มันเกิดขึ้นแล้ว และเป็นอย่างนั้นด้วย ฉะนั้น เมื่อเราใคร่ครวญถึงสิ่งต่างๆ เหล่านี้ เราจะมีกำลังใจในการดำเนินชีวิต ซึ่งต้องเผชิญกับความทุกข์ยากลำบาก บนโลกใบนี้ ซึ่งโลกใบนี้ ในพระคัมภีร์บอกว่ามันถูกสาปแช่งไปแล้ว แล้วในขณะเดียวกัน พระเยซูคริสต์ก็บอกกับเราว่าในโลกนี้ ท่านจะประสบกับความทุกข์ยาก แต่ให้ชื่นใจ เพราะเราชนะโลกแล้ว เราผู้ที่อยู่ในพระเยซูคริสต์ เราได้ชนะโลกใบนี้แล้ว โลกใบนี้ ความยากลำบากไม่สามารถมีชัยเหนือเราได้เลย เพราะว่าเรารู้ความจริงเหล่านี้ ทำให้เรามีความสามารถที่จะอดทน

ฉะนั้น ความทุกข์ยากอีกอย่างหนึ่ง ที่มันเกิดขึ้นกับคริสเตียน คือทันทีที่เราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอด วิญญาณเราอยู่ฝ่ายพระเจ้าเลย พออยู่ฝ่ายพระเจ้าปุ๊บ เราก็เป็นศัตรูกับฝ่ายของมาร นึกออกไหม? เมื่อก่อนเราอยู่ฝ่ายมาร  เราเป็นพวกเดียวกัน แต่พอเราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ปุ๊บ เราอยู่กันคนละพวกเลย ดำกับขาวทันทีเลย เมื่อเป็นดำกับขาวปุ๊บ การข่มเหง หรือความทุกข์ยากลำบาก ที่เกิดขึ้นอีกอย่างหนึ่ง สำหรับผู้เชื่อหรือคริสเตียน ก็คือเราจะถูกข่มเหง เพราะเราเชื่อและรักพระเยซู

นี่เป็นอีกอันหนึ่งที่เราขอบคุณพระเจ้าได้ ในหนังสือยากอบที่บอกว่าเมื่อท่านประสบกับความทุกข์ยากลำบาก ให้ท่านชื่นชมยินดี … ชื่นชมยินดีตรงไหน? ตรงที่ว่าถ้าเขาข่มเหงเรา เพราะเราเชื่อพระเยซู แปลว่าเราของจริง เราเชื่อพระเจ้าจริงๆ เขาถึงข่มเหงเรา ถ้าเราเชื่อพระเจ้าไม่จริง  เราก็ยังเป็นพวกเดียวกันกับเขาเหมือนเดิม  เขาก็ไม่ข่มเหงเรา ฉะนั้น ชัดเจนมากเลย เราก็ขอบคุณพระเจ้า สำหรับสิ่งดีเหล่านี้ เรามาต่อข้อที่ 20 …

เอเฟซัส 1:20 “ซึ่งเป็นฤทธิ์เดชอำนาจพลังที่ยิ่งใหญ่มหาศาลเดียวกันกับที่พระเจ้าได้กระทำในพระเยซู  เมื่อตอนที่พระองค์ได้ชุบพระเยซูให้เป็นขึ้นจากความตาย และได้แต่งตั้งให้พระเยซูนั่งอยู่ที่เบื้องขวาของพระองค์  ในย่านฟ้าอากาศ (สวรรค์) ต่างๆ ในโลกฝ่ายวิญญาณ”

 

เป็นฤทธานุภาพอันเดียวกัน เมื่อเราเชื่อและวางใจในพระเจ้าปุ๊บ วิญญาณเราได้เปลี่ยนใหม่ปุ๊บ ได้เกิดพลังอำนาจที่มหาศาลมากในโลกวิญญาณ  ที่พระเจ้าทรงกระทำการงานในวิญญาณของเรา ซึ่งตัวเรา เราไม่รู้หรอก และเราไม่เข้าใจ และเราสัมผัสไม่ได้ แต่ถ้อยคำของพระเจ้าบอกว่าทันทีที่เราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ มันมีขบวนการที่ยิ่งใหญ่มหาศาล อลังการเกิดขึ้นในวิญญาณของผู้เชื่อทุกคน  ก็คือพระเจ้าได้ทำการบัพติศมาเราเข้ามาเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเจ้าพระบิดา พระเจ้าพระบุตร และพระเจ้าพระวิญญาณบริสุทธิ์ คือเข้ามาดองกัน เป็นหนึ่งเดียวกัน เป็นครอบครัวเดียวกัน เข้ามาเป็นวิญญาณเดียวกัน

พอพูดถึงคำว่า “บัพติศมา” เรามาทำความเข้าใจกับคำว่า “บัพติศมา” นิดหนึ่ง คืออยากจะให้เข้าใจ สมัยก่อน คือตัวดิฉันเองก็ไม่เข้าใจเรื่องนี้หรอก เมื่อก่อนตอนที่เราเชื่อพระเจ้าใหม่ๆ เราถูกสอนมาเรื่องของการบัพติศมาในน้ำ เราไม่เคยเข้าใจเรื่องของการบัพติศมาในพระวิญญาณเลย ที่พระเจ้าพูดกับเรา จริงๆ ในพระคัมภีร์เขาก็พูดชัดเจน แต่เราไม่เข้าใจ คือความสามารถในการเข้าใจในโลกวิญญาณเรายังไปไม่ถึง พอไปไม่ถึง เราก็จะคิดแค่ตื้นๆ ว่าคำว่า “บัพติศมา” อย่างเวลาเราเชื่อพระเจ้าปุ๊บ วิญญาณเราได้บังเกิดใหม่แล้ว ตรงนั้น เราก็ยังไม่ค่อยเข้าใจเท่าไร? เราแค่รู้ว่าเราเชื่อพระเจ้านะ พอเชื่อพระเจ้ามาประมาณหนึ่ง  เราก็จะไปเรียนถ้อยคำของพระเจ้า เพื่อเราจะได้ทำพิธีบัพติศมาในน้ำ พี่น้องจำได้ใช่ไหมค่ะ ทำพิธีบัพติศในน้ำ แล้วเราก็มีความเข้าใจผิด คิดว่าถ้าผู้เชื่อคนไหนที่เชื่อพระเจ้าแล้ว เกิดจากไปอยู่กับพระเจ้า  แล้วยังไม่ได้ทำพิธีบัพติศมาในน้ำ เขาอาจจะไม่รอดก็ได้  คือเราให้ความสำคัญของพิธีบัพติศมาในน้ำผิดไป พอผิดไปปุ๊บ ความเชื่อเราก็เลยไม่หนักแน่น มั่นคงพอ

ตอนที่มารับใช้พระเจ้าใหม่ๆ เมื่อเชื่อพระเจ้า เมื่อก่อนเรายังเข้าใจว่าเราต้องไปติดตามผล ภายใน 24 ชั่วโมง เพื่อว่าผู้เชื่อคนนั้นจะได้ไม่ตาย วิญญาณเขาไม่ตาย  เขาจะได้เจริญเติบโต แต่ความเป็นจริง คือมันไม่จริง ไม่ใช่ มันไม่ได้ขึ้นอยู่กับเราไปติดตาม ไม่ติดตาม แต่ขึ้นอยู่กับว่าคนนั้น เขาเชื่อจริงหรือไม่จริง เมื่อเขาเปิดใจต้อนรับพระเจ้า พระวิญญาณบริสุทธิ์จะเป็นผู้ดูแลเขาเอง  การเจริญเติบโตของผู้เชื่อคนหนึ่ง คนใดไม่ได้ขึ้นอยู่กับผู้รับใช้เลย  ไม่ได้ขึ้นอยู่กับเราไปสอนพระคัมภีร์เขา ไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่าเราไปเยี่ยมเยือนเขา ไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่าเราอธิษฐานเผื่อเขาทุกวินาที ไม่เกี่ยวกันเลย  แต่ขึ้นอยู่กับพระเจ้า  พระเจ้าเป็นผู้กระทำการงานให้เขาเจริญเติบโต

แต่ว่าการไปเยี่ยมเยือนดีไหม? ดี การอธิษฐานเผื่อดีไหม? ดี การได้ไปสอนถ้อยคำของพระเจ้าดีไหม? ก็ดีอีก แต่ว่ามันเป็นแค่ส่วนหนึ่งของการหนุนจิตชูใจ เพื่อให้ผู้เชื่อคนนั้น ได้เข้าใจเรื่องราวของพระเจ้ามากขึ้น แต่ไม่มีผลอะไรเกี่ยวกับด้านวิญญาณของผู้เชื่อคนนั้นเลยว่าเขาจะเป็นหรือจะตาย ไม่ได้ขึ้นอยู่กับผู้รับใช้ อันนี้พี่น้องต้องชัดเจนนะ ก่อนหน้านั้นไม่ชัดเจน ก็เข้าใจว่าถ้าเกิดผู้เชื่อคนไหนตาย ไม่ใช่ตายในด้านของร่างกาย แต่ตายในด้าน คือทิ้งพระเจ้าไป เราก็ทุกข์มากเลย ทุกข์ตรงที่ว่าเราดูแลเขาไม่ดีพอ เราไปเยี่ยมเยือนเขาไม่มากพอ เราอธิษฐานเผื่อเขาน้อยไป  เขาถึงได้ทิ้งพระเจ้าไป เป็นความรู้สึกฟ้องผิดมาประมาณหนึ่ง ระยะหนึ่งที่เรายังไม่เข้าใจความจริงของพระเจ้า พอได้เข้าใจความจริงของพระเจ้าปุ๊บ เป็นอิสระเลย อย่างที่พระเยซูบอก ถ้าท่านรู้ความจริง ความจริงจะทำให้ท่านเป็นไท คือเป็นอิสระ เรารู้ความจริงตรงที่ว่าใครก็ตามที่เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ พระเจ้าสถาปนาเขาไว้แล้ว พระวิญญาณบริสุทธิ์เป็นผู้ประทับตราเขาว่าเขาเป็นลูกของพระเจ้า  พอประทับตราเรียบร้อยแล้ว พระวิญญาณบริสุทธิ์ ซึ่งเป็นพี่เลี้ยงของคนๆ นั้น คือเรารับรู้ความจริงตรงที่ว่าทันทีที่เราเปิดใจรับเชื่อ พระวิญญาณบริสุทธิ์จะสถิตในเรา  พระเจ้าพระเยซูคริสต์สถิตอยู่ในเรา  พระบิดาอยู่ในเรา เป็นหนึ่งเดียวกัน

ฉะนั้น พระวิญญาณบริสุทธิ์จะทำหน้าที่เป็นพี่เลี้ยงของคนๆ นั้น ที่เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ แล้วก็จะค่อยๆ เลี้ยงดู ส่วนคนอื่นที่เป็นผู้รับใช้ หรือเพื่อนคริสเตียนด้วยกัน ที่เป็นผู้เชื่อนานกว่า ก็จะเป็นแค่หน่วยเสริม เป็นกำลังเสริมเท่านั้น  แต่ไม่ได้เป็นกำลังหลัก ดังนั้น กำลังหลักของผู้เชื่อ คืออยู่ที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ เมื่อเขาเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ พระวิญญาณบริสุทธิ์จะเข้าไปทำการงาน จะเข้าไปสอนเขา ผ่านทางสิ่งที่เขาได้ยิน คือถ้อยคำของพระเจ้า ผ่านทางเวลาเขาอ่านถ้อยคำของพระองค์ ผ่านทางการอธิษฐาน พระวิญญาณบริสุทธิ์จะค่อยๆ เปิดให้เขาเข้าใจในเรื่องราวของพระเจ้า

เหตุการณ์ตรงนี้เกิดขึ้น นี่พูดถึงตอนที่ดิฉันรับใช้ใหม่ๆ มีผู้เชื่อคนหนึ่งมาเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ในวันอาทิตย์ ปรากฎว่าเขายังไม่ได้บัพติศมาในน้ำเลย เขาตายจริงๆ คือเขาตายจากโลกนี้ไปเลย ตอนนั้นทุกข์สาหัสตรงที่ว่าเขายังไม่บัพติศมาในน้ำเลย แล้วเขาจะรอดไหม? นั่นคือสิ่งที่ให้เรารับรู้และเห็นว่าเราไม่รู้ความจริงชัดเจน เลยทำให้เราทุกข์  เราไม่เป็นไท เราถูกพันธนาการ เราไม่เป็นอิสระ

ณ เวลานี้ สิ่งที่พระเจ้าได้เปิดให้เราเห็น ให้เรารู้ถึงเรื่องบัพติศมา มันเกี่ยวกับเรื่องของวิญญาณ พระเจ้าเพิ่งมาเปิดให้รู้นะ เชื่อพระเจ้ามา 35 ปีแล้ว เพิ่งจะได้พบความจริงตรงนี้ว่าที่พระเยซูบอกการบัพติศมา มันเกี่ยวกับเรื่องของวิญญาณ  แล้วถ้อยคำของพระเจ้าที่เราเรียนรู้ ที่เราอ่าน ที่เราอะไรทั้งหมด พระเยซูพุ่งเป้าไปที่วิญญาณอย่างเดียว เรื่องของวัตถุมีน้อยมาก  พระพรทางฝ่ายวัตถุ พระเจ้าจะประทานให้กับพวกเราตามที่พระองค์เห็นชอบว่าใครควรจะได้รับอะไร? อย่างไร? เมื่อไรตามน้ำพระทัยของพระเจ้า พระองค์ก็จะดูแล ส่วนเรื่องของโลกวิญญาณพวกเราได้รับเท่ากัน เราจำเป็นต้องรับรู้

วันนี้เรามาคุยเรื่องบัพติศมาในน้ำนิดหนึ่ง เมื่อก่อนดิฉันก็สอน  พระธรรมยอห์น คำสอนก็คือเราเข้าใจตามแบบมนุษย์ เราก็สอนตามที่เราเข้าใจ แต่ตอนนี้ เรามาเริ่มเข้าใจตามแบบที่พระเจ้าเปิดให้เห็น ในโลกวิญญาณ เรามาทำความเข้าใจใหม่ พี่น้องที่เคยได้ยินคำสอนเดิม ที่ดิฉันสอนไป ลบคำสอนนั้นออกไป เอาคำสอนใหม่ คือความเข้าใจใหม่ที่พระวิญญาณเปิดให้เราเห็น อันใหม่เลย

เพื่อพี่น้องจะได้รับรู้ความจริง คืออะไร? ตอนที่เราพูดเรื่องบัพติศมาในน้ำ  ในช่วงที่พระเยซูมาทำภารกิจของพระองค์ตอนเริ่มแรก ที่เราเรียนมาในพระธรรมยอห์น จำได้ใช่ไหม? ที่ยอห์นบัพติศโต เป็นคนที่พระเจ้าส่งมา เป็นผู้เผยพระวจนะที่จะมาประกาศให้คนยิว ในยุคของพระกิตติคุณทั้งหมด จะพูดถึงคนยิวเลย คนต่างชาติยังไม่เกี่ยวนะ อาจจะมีประปรายมานิดหน่อย แต่ส่วนใหญ่จะพูดถึงคนยิวโดยเฉพาะ และเป็นพื้นฐานที่คนยิวเขาเข้าใจอยู่แล้ว เป็นประเพณีดั้งเดิมที่คนยิวเขาเข้าใจอยู่แล้ว

ยอห์นบัพติศโตเป็นผู้เผยพระวจนะคนสุดท้าย ที่พระเจ้าส่งมา ก็คือส่งมาเพื่อกรุยทาง เหมือนกับบอกทาง เพื่อที่จะเตรียมทางให้กับเรื่องของฝ่ายวิญญาณ ที่ในอนาคตข้างหน้าเมื่อพระเยซูคริสต์ทรงกระทำภารกิจของพระองค์สำเร็จ บนไม้กางเขนปุ๊บ มนุษย์ทุกคนจะวิ่งเข้ามาสู่โลกฝ่ายวิญญาณทันทีเลย ก่อนหน้านั้น  ตอนที่พระเยซูยังเดินอยู่บนโลกใบนี้ ทุกคนเขายังไม่เชื่อ แค่รู้ว่าพระเยซูเป็นพระเจ้า  แล้วมาติดตาม เป็นแค่ผู้ติดตามเท่านั้น แล้วผู้ติดตามเหล่านั้น ไม่ว่าจะเป็นสาวก 12 คน หรือว่าเป็นใครก็ตาม ก็ยังอยู่ในบาป ฟังชัดๆ นะ คนเหล่านั้น ตอนที่ติดตามพระเยซูคริสต์ วิญญาณเขายังอยู่ในบาป เพราะว่าพระเยซูคริสต์ยังไม่ได้กระทำภารกิจของพระองค์สำเร็จ ยังไม่ได้มาชดใช้ความผิดบาปให้กับมนุษยชาติ ยังไม่มีหนทางใหม่ ที่จะให้มนุษย์ได้เดิน ได้เลือก ฉะนั้น มนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้ ยังเป็นคนบาปอยู่ อยู่ในธรรมชาติบาปอยู่ เพียงแต่มนุษย์กลุ่มนี้ ก็คือชาวยิวเหล่านี้ ได้ยินได้ฟังเรื่องราวของพระเจ้า ที่พระเจ้าบอกว่าวันหนึ่งข้างหน้า พระองค์จะประทานพระมาซีฮาห์มาให้กับพวกเขา  ซึ่งเป็นพระผู้ช่วยให้รอดของเขา และเขาคอยติดตามว่าพระผู้ช่วยให้รอดคนนี้มาถึงเมื่อไร? ดังนั้นใจเขาเปิดประมาณหนึ่งแล้วว่า …

“ฉันเชื่อในสิ่งที่พระยะโฮวาห์ได้บอกไว้ในอดีต แล้วคนกลุ่มนี้ เขาก็จะพยายามจ้องว่าเมื่อไร? อย่างไร? พอยอห์นบัพติศโตมาประกาศว่าให้ทุกคนกลับใจใหม่ แล้วก็มาบัพติศมาในน้ำ คนยิวที่มีความตั้งใจอยู่แล้ว คือเฝ้ารอคอยว่าพระมาซีฮาห์จะมาเมื่อไร พอได้ยินปุ๊บ ทุกคนก็แห่แหนกันมาเลย  มาทำพิธีบัพติศมาในน้ำกับยอห์น เพราะเขาเชื่อว่ายอห์น คือผู้เผยพระวจนะที่พระเจ้าส่งมาจริงๆ พอคนในยุคนั้นเชื่อปุ๊บ เขาก็มาบัพติศมาในน้ำ แต่สิ่งที่พระเจ้าอนุญาตให้ยอห์นทำพิธีบัพติศมาในน้ำ คือมันเป็นประเพณีเดิมของพวกชาวยิวอยู่แล้ว ที่คนยิว มักจะใช้น้ำ เกี่ยวกับทุกอย่าง เราจะเห็นว่าชาวยิวก่อนขึ้นเรือน ก็ใช้น้ำล้างเท้า ก่อนเข้าวิหาร พวกมหาปุโรหิตจะเข้าไปถวายเครื่องบูชา ก็ต้องใช้น้ำในการล้างมือ แล้วปุโรหิตที่ต้องเตรียมตัวจะเข้าไปถวายเครื่องบูชา ซึ่งในยุคนั้น ที่พระเยซูยังอยู่บนโลกใบนี้ ณ ที่เราเรียนอยู่ตรงนี้ ในพระธรรมยอห์น ก็คือคนยิว ก็ยังปฏิบัติภารกิจ ตามที่พระเจ้าได้กำหนดไว้ให้กับโมเสสว่าเขาต้องทำอย่างไร? ในแต่ละปี ต้องถวายเครื่องบูชา เพื่อไถ่บาปเขา ก็คือแค่ลบล้างบาปปีต่อปีเท่านั้น คนอิสราเอลทุกคน เมื่อถึงวันเวลาที่กำหนดว่าต้องเอาสัตว์มาถวาย เป็นเครื่องบูชา สำหรับที่จะลบบาปของเขาในปีนั้น  เขาก็จะเดินทางมาที่กรุงเยรูซาเล็ม  แล้วก็เอาแกะที่พระเจ้ากำหนดไว้ มาให้กับมหาปุโรหิต เพื่อทำการนำเลือดของแกะเข้าไปถวายในอภิสุทธิสถาน ซึ่งพระเจ้ากำหนดไว้ในพระคัมภีร์เดิม

ฉะนั้น ก่อนประมาณอาทิตย์หนึ่ง ปุโรหิตที่ต้องทำหน้าที่เขาจะอาบน้ำ วันละ 3 รอบ 4 รอบ เพื่อชำระร่างกายภายนอกให้สะอาด เพื่อเตรียมพร้อมที่จะเข้าไปข้างในห้องอภิสุทธิสถาน  เพื่อถวายเลือดให้กับประชาชน คนยิว ปุโรหิตถ้าไม่ทำอะไรให้เรียบร้อย เข้าไปในอภิสุทธิสถานปุ๊บ เขาตายเลย ก็คือถ้าไม่บริสุทธิ์  ไม่ได้ชำระร่างกายข้างนอกให้บริสุทธิ์ ไม่ได้ชำระใจของตัวเอง  ก็คือปุโรหิตต้องถวายเลือดแกะ สำหรับตัวเองด้วย ไถ่บาปให้กับตัวเองก่อน แล้วถึงสามารถที่จะนำเลือดของแกะที่ประชากรชาวยิวเอามาถวาย แล้วก็นำเข้าไปในอภิสุทธิสถาน นี่คือกฎในสมัยโบราณ สมัยที่พระเจ้าให้กับโมเสส

ฉะนั้น การชำระล้างด้วยน้ำ ไม่ว่าจะเป็นล้างเท้า ล้างมือ อาบน้ำ อะไรทั้งหมด เป็นเรื่องของภายนอกเท่านั้น มันไปไม่ถึงข้างใน ไม่ถึงพระเจ้า ก็คือคนยิวในยุคนั้น ไปไม่ถึงพระเจ้า เขาแค่สามารถทำระดับหนึ่งเท่านั้น  แล้วตอนที่ยอห์นมาให้บัพติศมาในน้ำ จะเล็งถึงการชำระล้าง เตรียมใจของคนอิสราเอล เตรียมใจสำหรับคนที่เขาเปิดใจอยู่แล้ว รอคอยพระมาซีฮาห์ เพื่อคนที่แสวงหาพระเจ้าอยู่แล้ว พอเตรียมใจปุ๊บ พิธีกรรมตรงนี้ ก็คือล้างด้วยน้ำซะก่อน คือเข้าไปบัพติศมาในน้ำ แล้วค่อยเหมือนปุโรหิตล้างชำระตัวเอง แล้วค่อยนำเอาเลือดเข้าไปถวายให้กับพระเจ้า มันเป็นพิธีกรรมเดียวกัน ก่อนเข้าพระวิหารลานชั้นนอก ถ้าพี่น้องไปอ่านกฎสมัยโบราณ พระเจ้าให้โมเสสทำเยอะแยะมากมาย ลานชั้นนอกมีอ่าง มีอะไรเยอะแยะมากมาย ก็คือทุกอย่างต้องชำระข้างนอกก่อนที่จะไปถึงลานชั้นใน จนเข้าถึงพระเจ้า

พระเจ้าให้ยอห์นทำตรงนี้ เพื่อเตรียมตัวคนอิสราเอลให้พร้อม เพื่อที่จะสามารถรับพระมาซีฮาห์ คือพระผู้ช่วยให้รอด ที่กำลังจะมา ซึ่งจริงๆ มาแล้วแหละ ตอนที่ยอห์นมาให้บัพติศมา มาแล้ว แต่ยังไม่ได้กระทำภารกิจของพระองค์สำเร็จ แต่สิ่งที่ยอห์นทำ ก็คือพอยอห์นเห็นพระเยซูคริสต์ปุ๊บ พี่น้องจำได้ใช่ไหม? ยอห์นเห็นพระเยซูคริสต์ปุ๊บ ยอห์นจะบอกสาวกของตัวเองเลย …

“นั่นไง พระเมษโปดก ผู้ซึ่งพระเจ้าได้เตรียมไว้ ผู้ซึ่งจะมาไถ่บาปของมนุษยชาติ คนนี้แหละที่พระเจ้าได้ส่งมา”

ยอห์นบอกว่า … “พอคนนี้มา พวกเธอไม่ต้องมายุ่งกับฉันแล้ว ไปตามพระเยซูเลย”

แล้วเราจะสังเกตว่าสาวกเยอะแยะมากมายตามพระเยซูไป แล้วยังมีสาวกส่วนหนึ่งที่ยังติดตามยอห์นอยู่ เขาก็รู้สึกเดือดร้อนแทนยอห์น

ถามยอห์น … “ไม่เห็นหรือไง คนไปตามพระเยซูหมดเลย”

ยอห์นบอก … “ไปเดือดร้อนทำไมล่ะ นั่นคือเรื่องจริง”

นั่นคือสิ่งที่ยอห์นต้องการมาทำ เพื่อให้มนุษยชาติรับรู้ว่าตัวเอง ยอห์นไม่ได้เป็นพระมาซีฮาห์เลย ไม่ได้เป็นพระผู้ช่วยให้รอด เป็นแค่คนที่พระเจ้าส่งมา เพื่อบอกว่าเตรียมตัวให้ดีพร้อมนะ เมื่อพระเยซูทำภารกิจสำเร็จแล้ว พวกเธอจะได้เข้าไปผ่าตัดวิญญาณ เข้าไปบัพติศมาในพระวิญญาณ ไม่ใช่เฉพาะล้างร่างกายภายนอกอย่างเดียว คือชำระด้วยน้ำ นี่คือความเป็นจริงที่พระเจ้าเขียนไว้ในถ้อยคำของพระเจ้า

จำได้ไหมค่ะ วันที่พระเยซูคริสต์เป็นขึ้นมาจากความตาย แล้วอยู่กับสาวก 40 วัน แล้วพระองค์ก็ถูกรับขึ้นไปบนฟ้าสวรรค์ แล้วพระเยซูคริสต์ก็บอกให้สาวกไปรอ เพื่อที่จะรับตามพระสัญญา แล้วสาวกก็ไปรอที่ห้องชั้นบน ที่พระเยซูบอกให้กลับไปที่กรุงเยรูซาเล็ม กรุงเยรูซาเล็ม คือที่ๆ พระเยซูถูกตรึงบนไม้กางเขน เป็นที่ๆ คนข่มเหงคริสเตียน เป็นที่ๆ อันตรายที่สุด ที่คริสเตียนพยายามวิ่งหนี ผู้ที่เชื่อว่าพระเยซูเป็นพระเจ้า พยายามวิ่งหนี แต่พระเยซูบอกว่าให้กลับไปที่นั่นแหละ ที่กรุงเยรูซาเล็ม ไปรอรับตามพระสัญญา แล้วพอหลังจากนั้น 10 วัน พระวิญญาณบริสุทธิ์ถูกส่งมาในวันเพ็นเตคอส นั่นแหละเป็นวันที่ผู้เชื่อ ที่อยู่บนห้องชั้นบนทั้งหมด 120 ชีวิตได้รับการเจิม ได้รับการผ่าตัดวิญญาณในข้อที่ 20 ที่เราพูดถึงฤทธิ์เดชอำนาจที่ยิ่งใหญ่สูงสุด ที่พระเจ้าได้ทรงกระทำการในพระเยซูคริสต์ ที่ทรงชุบพระเยซูคริสต์ให้เป็นขึ้นมาจากความตาย  เป็นฤทธิ์เดชเดียวกัน  ที่พระเจ้าได้เทลงมา ในวันเพ็นเตคอส แล้วผู้เชื่อบนนั้น 120 คนได้กลับใจใหม่ ได้บังเกิดใหม่ ได้เข้ามาอยู่ในอาณาจักรของพระเจ้า นั่นคือที่เริ่มแรก วันแรกของการมีผู้เชื่อจริงๆ ตอนนี้ คือคนที่ติดตามพระเยซูคริสต์ เป็นผู้เชื่อที่ติดตามจริงๆ เป็นผู้เชื่อที่เข้ามาอยู่ในอาณาจักรของพระเจ้าจริงๆ เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเจ้า หลอมเป็นหนึ่งเดียวกัน พระวิญญาณบริสุทธิ์ได้เข้ามาอยู่ในคนกลุ่มนั้น ก่อนที่พระเยซูจะเสด็จขึ้นสู่สวรรค์ พระเยซูก็สั่งสาวกว่า …

“ท่านจงรออยู่ที่กรุงเยรูซาเล็ม แล้วหลังจากนั้น ให้ไปประกาศสั่งสอนชนทุกชาติให้เป็นสาวกของเรา ให้เขาบัพติศมาในพระนามพระบิดา พระบุตร และพระวิญญาณบริสุทธิ์ แล้วเราจะอยู่กับท่านทั้งหลาย จนกว่าจะสิ้นยุค”

นี่คือคำสั่งสุดท้ายที่พระเยซูบอก แล้วเราก็เข้าใจว่าพระเยซูคริสต์สั่งให้เราไปประกาศ แล้วก็นำคนมาทำพิธีบัพติศมาในน้ำ ซึ่งไม่ใช่

การสั่งตรงนี้ พระเยซูบอกว่าไปสั่งสอน ประกาศเรื่องความจริง ในการไถ่บาปของพระเยซูคริสต์ให้กับชนทุกชาติ ที่เขาได้ยินได้ฟัง เมื่อใครก็ตามเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ พระวิญญาณจะนำผู้คนเหล่านั้นเข้ามาบัพติศมาในพระเยซูคริสต์ ก็คือเข้ามาผ่าตัดวิญญาณคนนั้น ให้เป็นวิญญาณใหม่ ที่เป็นเหมือนพระเจ้า เข้ามาอยู่ในอาณาจักรของพระเจ้า นี่คือความหมายจริงๆ ที่พระเยซูสั่งไว้

ถ้าพูดอย่างนี้ พิธีบัพติศมาในน้ำของเรา ก็ไม่มีประโยชน์เลยใช่ไหม?  เราทำไปเพื่ออะไร?  ฟังชัดๆ นะ พิธีบัพติศมาในน้ำที่พวกเราทำอยู่ทุกวันนี้ มีประโยชน์ตรงที่ว่าพี่น้องนึกให้ดีๆ นะ พอเราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ปุ๊บ เราบังเกิดใหม่ใช่ไหม?  เราเกิดเป็นลูกพระเจ้าเรียบร้อยไปแล้วใช่ไหม? แปลว่าเราเกิดแล้ว  เราเป็นพลเมืองในแผ่นดินสวรรค์เรียบร้อยไปแล้ว พอเราเป็นพลเมืองในแผ่นดินสวรรค์เรียบร้อยไปแล้วปุ๊บ พิธีบัพติศมาในน้ำ เป็นเหมือนเรามาฉลองการบังเกิดใหม่ของเรา

พี่น้องนึกภาพนะ ประเพณีนี้ยังอยู่ ที่พอวันเกิดของใคร เราก็จะมีแฮปปี้เบิร์ดเดย์ มีร้องเพลงสุขสันต์วันเกิด เขาก็จะซื้อเค้กให้กัน คำอวยพรต่างๆ ที่อวยพร คือคนๆ นั้นเกิดแล้วใช่ไหม? เกิดอยู่ในครอบครัวนั้น ที่เขารู้ว่าคนที่สำคัญที่สุด คือคนในครอบครัวจะอวยพรเขาก่อน  ให้เขารับรู้ว่าเธออยู่ในครอบครัวเดียวกันกับฉันนะ อะไรอย่างนี้ มันเป็นการหนุนจิตชูใจ ทำให้เกิดกำลังใจ ถามว่าถ้าคนไม่จัดฉลองวันเกิด คนนั้นยังเป็นคนอยู่ไหม? เป็นคนอยู่นะ คนนั้นยังเป็นลูกในบ้านของพ่อแม่อยู่ไหม? ยังเป็นอยู่นะ แต่ว่าทุกวันนี้ ที่เราจัดฉลองวันเกิด มันเป็นการหนุนจิตชูใจ มันปลื้ม คือมันเป็นอะไรที่เล็กๆ น้อยๆ  บางทีไม่ได้ทำอะไรเลย แค่เขียนข้อความว่า …

“Happy Birthday ขอพระเจ้าอวยพร ขอให้มีความสุข”

แค่นั้น เราก็มีความสุขเลย เรารู้สึกขอบคุณพระเจ้า มันเป็นการหนุนจิตชูใจ แค่ในด้านของโลกนี้เท่านั้น ไม่เกี่ยวอะไรกับวิญญาณ มีประโยชน์ตรงที่เราชื่นใจ เรามีความมั่นใจ คนที่มองเห็นเรา ก็มีความมั่นใจ คนนี้เชื่อจริงๆ นะ ถ้าไม่เชื่อจริงๆ เขาคงไม่ตัดสินใจที่จะทำพิธีนี้  แต่ว่าพิธีนี้ไม่ใช่ประเด็นสำคัญที่จะชี้ชะตาว่าคนนี้เชื่อหรือไม่เชื่อพระเจ้า ไม่ได้ชี้ชะตาว่าคนนี้เป็นลูกของพระเจ้าหรือไม่? ไม่เกี่ยวกัน เพราะว่าคนนี้ได้เกิดเข้ามาในอาณาจักรของพระเจ้าเรียบร้อยไปแล้ว จากนั้น เขายืนยันการบังเกิดใหม่ของเขาด้วยพิธีบัพติศมาในน้ำ ตามที่คริสตจักรต่างๆ จัดขึ้น เพื่อว่ามีพี่น้องเยอะแยะมากมายมาแสดงความยินดี มีการเอาดอกไม้ให้ มีการกล่าวอวยพรซึ่งกันและกัน คือหนุนจิตชูใจทั้งผู้ที่บัพติศมาในน้ำและผู้ที่ได้อยู่ท่ามกลางพวกเราด้วย ชัดเจนนะ

พอชัดเจนปุ๊บ พี่น้องก็จะเป็นอิสระเลย ขอบคุณพระเจ้า ไม่ต้องไปบีบใครว่า …

“เธอเชื่อพระเจ้าตั้งนาน ทำไมเธอไม่มาลงชื่อบัพติศมาในน้ำสักที”

อะไรอย่างนี้ ไม่ได้เป็นประเด็นหลัก แต่ว่าถ้าทำดีไหม? ดีประมาณหนึ่ง แต่ไม่เกี่ยวอะไรกับโลกวิญญาณเลย โลกวิญญาณ ไม่ทำพิธีนี้เราก็ยังคงเป็นลูกของพระเจ้าอยู่ดี เพราะว่าวันที่เราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ ในโลกวิญญาณ เราเข้ามาอยู่ในอาณาจักรของพระเจ้าเรียบร้อยไปแล้ว เราเป็นลูกของพระเจ้าเรียบร้อยไปแล้ว พระพรนานัปการที่พระเจ้าเตรียมไว้ให้กับเรา เป็นมรดก เป็นชีวิตนิรันดร์ เป็นชีวิตที่ครบถ้วนบริบูรณ์ในอนาคตข้างหน้า  ที่ปัจจุบันเราผู้เชื่อรออยู่ ในขณะที่เราเผชิญกับความทุกข์ยากลำบาก ไม่ว่าจะลำบากขนาดไหน? เราก็ยังมีความหวังใจตรงที่ว่าไม่เป็นไร? แป๊บเดียว เดี๋ยวเราก็กลับบ้านแล้ว เมื่อเรากลับบ้าน ทิ้งร่างกายนี้ปุ๊บ วิญญาณเราออกจากร่าง เราได้ไปสวมร่างกายใหม่ ที่พระเยซูคริสต์ได้ทรงสัญญากับเราว่าเตรียมไว้ให้เรียบร้อยแล้ว เป็นร่างกายที่เต็มไปด้วยสง่าราศี เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์เป๊ะเลย และในขณะเดียวกัน  ก็ไปอยู่ในโลกใหม่ ที่พระเจ้าเตรียมไว้ให้กับผู้เชื่อทุกคน เป็นโลกที่สวยงาม และในพระคัมภีร์วิวรณ์บอกว่าเป็นโลกที่ไม่มีการขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน ไม่มีน้ำตา ไม่มีเจ็บป่วย ไม่มีทุกข์ร้อนอะไรเลย เราจะได้ไปอยู่กับพระเจ้า เห็นพระเจ้าหน้าต่อหน้า นี่ชัดเจนเลย เพราะทุกวันนี้พวกเราไม่เห็นพระเจ้าหน้าต่อหน้า ทุกวันเราต้องใช้ความเชื่อตามถ้อยคำพระเจ้า ที่บอกว่าเราเป็นใคร? หน้าตาเราเป็นอย่างไร? แต่ถ้าถึงวันที่เราทิ้งร่างกายนี้ วิญญาณเราออกจากร่างปุ๊บ เราจะได้ไปเห็นพระเจ้าหน้าต่อหน้า พระเจ้าหน้าเป็นอย่างนี้นี่เอง นึกออกไหมค่ะ คือตอนนี้ เราไม่สามารถนึกภาพพระเจ้าออกเลย อย่างที่ทุกวันนี้  พี่น้องเห็นเขาวาดภาพพระเยซู เราก็ไม่รู้ว่าพระเยซูจริงๆ พระองค์หน้าตาแบบนี้หรือเปล่า?  เพียงแต่ว่าเขาวาดภาพให้เราได้เห็น แต่ว่าความเป็นจริง เป็นอย่างไร เราไม่สามารถรับรู้ได้ แต่เราสามารถรับรู้ว่าที่ร่างกายเราทิ้งไป วิญญาณเราออกจากร่าง เราไปเจอพระเจ้าหน้าต่อหน้า พระเจ้าเป็นอย่างนี้นี่เอง แล้วแถมยังเจอหน้าตาของเราเองด้วยว่าหน้าตาในลักษณะของผู้บังเกิดใหม่ หน้าตาเราเป็นอย่างนี้  ขอโทษนะ โคตรสวยงาม ต้องเป็นอย่างนั้น แล้วเราก็ไปเห็นสิ่งที่พระเจ้าได้ให้กับเรา คือร่างกายใหม่ สวมเข้าไปเลย สวมแบบสง่าราศีเหมือนพระเยซูคริสต์ นั่นคือความหวังใจของคริสเตียนทุกคน ที่ทุกวันนี้ เราต้องเผชิญกับโลกใบนี้  แล้วเราก็ไม่รู้ว่าเราจะเจออะไรอีก โควิดจะหมดเมื่อไร? ปัญหาเรื่องของเศรษฐกิจจะดีขึ้นไหม? หรือเราจะไปทำงานแต่ละวันเราต้องผวา เราต้องเจอโน่นเจอนี่ แต่ว่าการเผชิญกับสิ่งต่างๆ เหล่านี้ กลายเป็นเรื่องที่เล็กน้อยมาก เมื่อเรารู้ความจริงว่า ณ เวลานี้ เราเป็นใครเรียบร้อยไปแล้ว ในโลกวิญญาณ พระเจ้าอวยพรค่ะ

 

*******************************

 

จากใจคณะศิษยาภิบาล

 

สถานการณ์ต่างๆ อาจเปลี่ยนหรืออาจไม่เปลี่ยน แต่สิ่งที่ควรเปลี่ยน คือ …

  1. ความคิดของเราเอง
  2. ความคิดของคนข้างๆ
  3. ความคิดของผู้อื่น

 

สถานการณ์ต่างๆ อาจเปลี่ยนหรืออาจไม่เปลี่ยน แต่สิ่งที่ควรเปลี่ยน คือเราควรเปลี่ยนความคิด เปลี่ยนความต้องการของเรา

จากความคิดเดิมๆ ที่เรามักต้องการให้พระเจ้าช่วยเปลี่ยนแปลงสถานการณ์ ให้เป็นไปตามที่เราอยากได้  เปลี่ยนมาเป็นเชื่อ วางใจที่จะมอบสถานการณ์เหล่านั้น ให้พระเจ้า เป็นผู้นำพาเรา

 

โรม 12:1-2  “1 พี่น้องเพื่อเห็นแก่พระคุณความเมตตาของพระเจ้าที่มีต่อเราทั้งหลาย ข้าพเจ้าขอร้องท่านให้ยอมมอบอวัยวะทุกส่วนในร่างกาย พร้อม (สมอง) ความคิด และสติปัญญาของท่าน เป็นเหมือนเครื่องบูชาที่มีชีวิตอยู่ บริสุทธิ์สะอาดศักดิ์สิทธิ์ (เป็นสมบัติส่วนตัวของพระเจ้า) และเป็นที่พอใจพระเจ้า เป็นการกตัญญูต่อพระเจ้าที่สมควร ในวิญญาณของเราที่ได้บังเกิดใหม่ โดยพระคุณพระเจ้า ซึ่งเป็นการนมัสการพระเจ้าด้วยวิญญาณและความจริง 2 อย่าประพฤติตามระบบของโลกนี้   แต่มายอมรับการเปลี่ยนแปลงความประพฤติ  โดยการเปลี่ยนแปลง (โปรแกรมในสมอง) ความคิดสติปัญญาเสียใหม่ เพื่อท่านจะสามารถรับรู้ว่าอะไรที่เป็นความต้องการของพระเจ้า  อะไรที่ดี  อะไรที่ดียอดเยี่ยมสมบูรณ์แบบในสายตาของพระองค์ ตามแผนการของพระเจ้า (ในพระคริสต์) ที่วางไว้ให้กับท่าน”

 

พระเจ้าอวยพรครับ