วารสาร Holy News ฉบับที่ 1322

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  25  กรกฎาคม  2021

 เรื่อง “ชีวิตนิรันดร์ที่ครบถ้วนบริบูรณ์  (แบบ Full Option)”

โดย  นคร  เวชสุภาพร

 

เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว เราได้คุยกันเรื่อง “ความหวังของท่านอยู่ที่ไหน?” ยังจำคำตอบได้ไหมครับ?  จากพระคัมภีร์เราได้เรียนรู้แล้วว่าท่ามกลางสถานการณ์แห่งความทุกข์ยากลำบาก บนโลกใบนี้ ซึ่งเป็นเรื่องธรรมดา พระคัมภีร์ก็เตือนเรา บอกความจริงเรา ตลอดเวลาว่าอยู่บนโลกใบนี้ ทุกข์ยากลำบากทุกคน ไม่ใช่คริสเตียนคนเดียว  จะคริสเตียน หรือไม่คริสเตียน ทุกข์ยากลำบากหมด แม้กระทั่งธรรมชาติที่ถูกสร้างขึ้นมา สัตว์เอย สรรพสิ่งเอย ก็ทุกข์ยากไปกับเราด้วย ในความทุกข์ยากลำบากนี้ เราควรจะมีความคิดอย่างไร? มีความหวังไปที่ใด? ให้เราสามารถที่จะเผชิญกับความทุกข์ลำบากเหล่านี้ไปได้ด้วยความทุกข์น้อยลง สันติสุขมากขึ้น แบบไม่ลำบากมากนัก ความหวังของเรา ซึ่งเป็นคริสเตียนอยู่ที่ไหนเอ่ย?

ครั้งที่แล้วเราได้ยกตัวอย่าง เรื่องราวของคริสเตียนยุคแรกๆ ที่เผชิญกับความทุกข์ลำบาก ถูกข่มเหงรังแกอย่างหนัก เราก็เห็นความเชื่อของเขาเหล่านั้นว่าความหวังของเขาอยู่ที่ไหน? ซึ่งความหวังของเขา ทำให้เขาเหล่านั้นผ่านความทุกข์ยากลำบากอย่างแสนสาหัสเหล่านั้นไปได้ด้วยวิธีใด เพราะเขาเหล่านั้นมองข้ามทุกสิ่งทุกสถานการณ์ที่เกิดขึ้นบนโลกใบนี้ แต่ไปจดจ่ออยู่ที่อะไรบางอย่าง ในความหวังของเขา คือเป้าหมายสุดท้ายของเขา ในการเป็นขึ้นจากความตาย หรือการมีชีวิตนิรันดร์ที่ครบถ้วนบริบูรณ์หลังความตายทางฝ่ายร่างกายนั่นเอง  ความหวังเขาอยู่ที่นี่ ความหวังเขาไม่ได้อยู่บนโลกใบนี้ว่าจะอยู่สุขสบาย หรือมองไปที่ความทุกข์ยากลำบากเหล่านั้น มันไม่มีความหวังอยู่ในความทุกข์ยากลำบากเหล่านั้น  แต่ความหวังเขามองไปที่ชีวิตนิรันดร์ ที่ครบถ้วนบริบูรณ์ ซึ่งผมย้ำตรงนี้ครั้งที่แล้ว ความครบถ้วนบริบูรณ์นี้ว่าชีวิตนิรันดร์แบบ Full Option จำได้ใช่ไหมครับ?  ย้ำกันตรงนี้อีกครั้งว่าคริสเตียน เราต้องมีความหวังของเราไว้ที่ชีวิตนิรันดร์ แบบครบถ้วนบริบูรณ์ มีคริสเตียนบางคนยังมีความเข้าใจว่าความหวังของเรา คือการได้ไปอยู่กับพระเจ้าในสวรรค์สถาน แบบครบถ้วนบริบูรณ์ในอนาคต หลังความตาย

คิดให้ดีๆ นะ ความหวังในชีวิตนิรันดร์แบบครบถ้วนบริบูรณ์ หลังจากตายแล้ว  มันก็เป็นความหวังที่หลายคนมีความหวังอยู่  แต่ถ้าเรามาคิดตามถ้อยคำพระเจ้าจริงๆ  หรือตามหลักของภาษาจริงๆ ว่าความรอดนิรันดร์ที่เราจะไปอยู่กับพระเจ้าในสวรรค์สถาน เรียกว่า Full Option  ครบถ้วนบริบูรณ์ ถ้าเราหวัง ก็แสดงว่าตอนนี้เรายังไม่ได้ ถูกไหมครับ? มันเป็นอนาคต ตายแล้วถึงจะได้ มันก็อาจจะเกิดความกังวล สงสัย ระหว่างที่เดินทางไปสู่ความตาย หลังความตาย จะไปรับชีวิตนิรันดร์ แบบ Full Option เรามีอะไรผิดพลาดไหม?  เราทำได้ครบถ้วนไหม?  เราดีพอไหม?  มันก็เป็นความหวังที่มีคำถามในตัวเราเองว่า …

“เอ๊ะ ถึงวันนั้นจริงๆ แล้ว หลังความตายแล้ว เราจะอยู่ในสวรรค์กับพระเจ้า Full Option อย่างที่หวังไว้จริงหรือไม่?”

เพราะเราก็คอยสังเกตดูว่าเราดำเนินชีวิตอย่างไร? จนมาถึงความตาย  ซึ่งว่ากันตามจริง เราก็เรียนกันมาเยอะแยะแล้วว่าความรอดนิรันดร์ เราได้รับเมื่อเราเชื่อในพระเจ้าแล้ว เป็นความรอดนิรันดร์ที่มันเกิดขึ้นแล้ว เดี๋ยวนี้ทันทีเลยบนโลกใบนี้  คือเมื่อเชื่อในพระเยซูแล้ว วิญญาณได้รับการบังเกิดใหม่ทันที เมื่อต้อนรับพระเยซูคริสต์แล้ว เมื่อเป็นคริสเตียน เริ่มวินาทีแรก บนโลกใบนี้เลย  ในขณะนั้น เริ่มต้นชีวิตนิรันดร์ของเราเรียบร้อยไปแล้วในสวรรค์สถาน ในโลกวิญญาณ พระคัมภีร์บอกเมื่อเราเชื่อพระเจ้า เชื่อพระเยซู เราได้ถูกตรึงตายพร้อมพระเยซูที่ไม้กางเขน นี่ตัวเก่าของเราที่เป็นตัวบาป  วิญญาณได้ตายไปพร้อมพระเยซูที่ไม้กางเขน  ได้ถูกฝังไว้ในอุโมงค์ และวันที่ 3 ได้ถูกชุบให้เป็นขึ้นจากความตายพร้อมกับพระเยซูคริสต์ และได้นั่งอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้าในสวรรค์สถาน  พร้อมกับพระเยซูคริสต์แล้วเดี๋ยวนี้ทันที  ขณะที่ดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ เรานั่งอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้าแล้ว ชีวิตนิรันดร์จึงเกิดขึ้น ณ บัดนี้ ตอนเราดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้แล้ว เลยทีเดียว  และมันจะไปครบถ้วนบริบูรณ์อีกครั้งหนึ่ง  หลังจากที่เราทิ้งร่างเดิมบนโลกใบนี้แล้ว  เข้าสู่มิติวิญญาณนิรันดร์นั่นเอง เห็นไหม?

เพราะฉะนั้น เราจึงเห็นว่าความหวังของเรา ควรจะอยู่ที่ไหน?  ถ้าเราหวังในสิ่งที่เขาเรียกว่ามีอยู่แล้ว ก็ไม่ต้องหวัง พูดง่ายๆ ถ้าเรายังไม่มี เราก็หวัง แต่ในพระคัมภีร์บอกให้เรามีความหวัง เพราะสิ่งที่เรามีอยู่แล้ว คือวิญญาณที่ได้เกิดใหม่แล้วในพระเยซูคริสต์กับจิตใจที่ได้บังเกิดใหม่แล้ว ในพระเยซูคริสต์ เราได้รับแล้ว นั่งอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้าแล้ว ไม่ต้องหวังแล้วตรงนี้ ได้แล้ว สิ่งที่เราหวัง คืออะไร? หวังไว้ว่าวันหนึ่ง วิญญาณใหม่และความคิดจิตใจใหม่นี้ จะไปสวมร่างกายใหม่ ร่างกายที่เป็นขึ้นจากความตาย ที่เหมือนพระเยซู หลังความตายบนโลกใบนี้นั่นเอง นี่คือความหวังของเรา  ถูกต้องไหมครับ? ข้อพระคัมภีร์ที่เราทิ้งท้ายไว้ เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ก็คือโรม 8:24-25 ที่พูดถึงเรื่องความหวังนี้ …

โรม 8:24-25 “24 เพราะว่าในความหวังนี้ เราได้รับความรอดแล้ว แต่ความหวังที่เห็นได้นั้น ไม่ใช่ความหวังเลย ใครเล่าหวังในสิ่งที่ตนเองมีอยู่แล้ว 25 แต่ถ้าเราหวังในสิ่งที่เรายังไม่มี เราย่อมรอคอยสิ่งนั้น ด้วยความอดทน”

 

“ใครเล่าหวังในสิ่งที่ตนมีอยู่แล้ว” มีอยู่แล้ว ไม่ต้องหวัง นั่งอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้าในสวรรค์สถานแล้วเดี๋ยวนี้  ได้รับชีวิตนิรันดร์เรียบร้อยไปแล้ว ตัวตนแท้จริงของมนุษย์ ก็คือวิญญาณ … วิญญาณเราได้รับชีวิตนิรันดร์ เปลี่ยนไปแล้ว บังเกิดใหม่ ก็คือได้รับชีวิตของพระเยซูคริสต์ มาเป็นชีวิตของเรา บังเกิดใหม่เรียบร้อยแล้ว ได้ใจใหม่ เรียบร้อยแล้ว เป็นใจที่เหมือนพระเยซูคริสต์ นี่ไม่ต้องหวังแล้ว ใช้ความเชื่อว่าได้แล้วเดี๋ยวนี้  นั่งอยู่เบื้องขวาร่วมกับพระเยซูคริสต์ เป็นหนึ่งเดียวกับพระเยซูคริสต์ ไม่ต้องหวัง

แต่ถ้าเราหวังในสิ่งที่เรายังไม่มี เราย่อมรอคอยสิ่งนั้นด้วยความอดทน … อะไรยังไม่มีล่ะ  ชีวิตนิรันดร์ประกอบด้วย  วิญญาณที่เหมือนพระเยซู ความคิดที่เหมือนพระเยซูได้แล้ว และร่างกายที่บังเกิดใหม่เหมือนพระเยซูได้หรือยัง?  ยังไม่ได้ ยังอยู่ในร่างกายเก่าอยู่ เพราะฉะนั้น ความหวังของเรา ก็คืออีกนิดเดียว ได้ร่างกายใหม่ มาสวมวิญญาณ ตัวตนเรา ที่แท้จริง บังเกิดใหม่เรียบร้อยแล้ว  เราจึงรอคอยด้วยความอดทน  อดทนด้วยความเชื่อ อดทนด้วยความหวัง มีสัญลักษณ์ ก็คือมีพระวิญญาณบริสุทธิ์ เป็นผู้ยืนยันอยู่ในใจของเรา สิ่งที่มีอยู่แล้ว ก็คือความรอด ชีวิตนิรันดร์ การได้อยู่ในสวรรค์ ในโลกวิญญาณเดี๋ยวนี้เลย สิ่งที่เรายังไม่มี และเป็นความหวังที่พวกเรารอคอย ด้วยความอดทน ก็คือการได้เป็นขึ้นจากความตายเหมือนพระเยซูคริสต์ เป็นความหวังเดียวกันกับคริสเตียนในยุค ที่เขาทนทุกข์ทรมาน ด้วยความเชื่อและวางใจในพระเจ้า  ไม่ว่าจะทุกข์ขนาดไหน? เขาก็ยินดีได้ เพราะความหวังตรงนี้แหละ

ความหวังที่จะเป็นขึ้นจากความตาย หมายถึงการได้รับร่างกายใหม่  หลังจากที่กายนี้ กายเก่า ตายจากโลก เสื่อมสลายไป  ซึ่งพระคัมภีร์เรียกว่ากายสวรรค์ หรือกายวิญญาณ สิ่งที่เรากำลังหวังและรอคอยในชีวิตนิรันดร์ ตอนหลังความตาย  เพิ่มเติมให้เป็น Full Option ก็คือร่างกายสวรรค์ ร่างกายฝ่ายวิญญาณ ร่างกายที่เป็นขึ้นจากความตาย  เพราะฉะนั้น ตอนนี้เราอยู่ในร่างกายเก่า 1 โครินธ์ 15:40 ที่เราได้ยกมาเมื่อครั้งที่แล้ว บันทึกไว้อย่างนี้ว่า …

1 โครินธ์ 15:40  “กายก็มีทั้งแบบสวรรค์และแบบฝ่ายโลกเช่นกัน แต่สง่าราศีของกายแบบสวรรค์ก็อย่างหนึ่ง และสง่าราศีของกายแบบฝ่ายโลกก็อีกอย่างหนึ่ง”

 

การได้รับกายใหม่  ซึ่งเรียกว่ากายสวรรค์ หรือกายวิญญาณ หลังจากที่กายแบบโลก คือกายเก่านี้ ของเรามันเสื่อมสลาย ก็คือตาย เมื่อตายไปปุ๊บ การได้รับชีวิตนิรันดร์ ครบถ้วนบริบูรณ์ คือ Full Option จะเข้ามาแทนที่ ตรงนี้แหละ คือสิ่งที่เรายังไม่มี และเป็นความหวังที่พวกเรารอคอยด้วยความอดทน

วันนี้เราจะมาสรุปกันที่ความหวังของเราตรงนี้ว่ากายสวรรค์ กายโลกวิญญาณ กายที่เป็นขึ้นจากตาย ที่เรารอคอย มันเป็นอย่างไร? หน้าตามันเป็นอย่างไร?  ทำอย่างไร? เราจึงได้รับ และวันนั้น จะมาถึงเมื่อไร?  ในพระคัมภีร์มีบอกไว้ค่อยข้างชัดเจน ซึ่งเรื่องวันนี้ ชื่อเรื่องที่ผมตั้งขึ้นว่า “ชีวิตนิรันดร์ที่ครบถ้วนบริบูรณ์ (แบบ Full Option)” เริ่มต้นที่คำถามแรก …

“คนตายจะเป็นขึ้นมาได้อย่างไร?  เมื่อร่างกายของเราตายไปแล้ว เน่าเปื่อย ย่อยสลายไปแล้ว เราจะเป็นขึ้นมาใหม่ได้อย่างไร?  จะอยู่ในสภาพไหน?”

ทุกคนก็คิดอย่างนี้แหละ ถึงจะเชื่อหรือไม่เชื่อ ก็ต้องคิดอย่างนี้  อยากรู้ใช่ไหมว่าความหวังของคริสเตียนอยู่ที่ไหน? และพระคัมภีร์พูดว่าอย่างไร?  ชัดเจนมาก อาจารย์เปาโลยกตัวอย่างนี้อย่างชัดเจนมากๆ ลองติดตาม เราจะได้รู้ว่าความหวังของเราอยู่ตรงไหน? 1 โครินธ์ 15:35-44

1 โครินธ์ 15:35-44 “35 บางคนอาจจะถามว่า “คนตายเป็นขึ้นมาได้อย่างไร? เมื่อเป็นขึ้นร่างกายของเขาจะเป็นแบบไหน?” 36 ช่างเขลาเสียจริง! สิ่งที่ท่านหว่านลงจะไม่มีชีวิตขึ้นมา ถ้าสิ่งนั้นไม่ตายเสียก่อน 37 เมื่อท่านหว่าน ท่านไม่ได้ปลูกต้นที่โตเต็มที่แล้ว แต่ท่านปลูกแค่เมล็ด ไม่ว่าจะเป็นเมล็ดข้าวสาลี หรือเมล็ดพืชใดๆ 38 แต่พระเจ้าประทานลำต้นตามที่ได้ทรงกำหนดไว้  และพระองค์ประทานลำต้นของมันเอง ให้แก่เมล็ดแต่ละชนิด 39 เนื้อทั้งปวงไม่เหมือนกัน เนื้อมนุษย์ก็อย่างหนึ่ง สัตว์ต่างๆ ก็อีกอย่างหนึ่ง สัตว์ปีก สัตว์น้ำก็อีกอย่างหนึ่ง 40 กายก็มีทั้งแบบสวรรค์และแบบฝ่ายโลกเช่นกัน แต่สง่าราศีของกายแบบสวรรค์ก็อย่างหนึ่ง และสง่าราศีของกายแบบฝ่ายโลกก็อีกอย่างหนึ่ง 41 สง่าราศีของดวงอาทิตย์เป็นแบบหนึ่ง ดวงจันทร์ก็อีกแบบหนึ่ง และดวงดาวก็อีกแบบหนึ่ง อันที่จริงสง่าราศีของดาวแต่ละดวงก็ต่างกัน 42 การเป็นขึ้นมาของคนตายก็เช่นกัน กายที่หว่านลงนั้น เสื่อมสลายได้ ที่เป็นขึ้นมาใหม่ จะไม่เสื่อมสลาย 43 ที่หว่านลงนั้นไร้ศักดิ์ศรี ที่เป็นขึ้นเปี่ยมด้วยศักดิ์ศรี ที่หว่านลงนั้นอ่อนแอ ที่เป็นขึ้นทรงพลัง 44 ที่หว่านลงนั้นเป็นกายธรรมชาติ ที่เป็นขึ้นเป็นกายวิญญาณ ถ้ามีกายธรรมชาติ ย่อมมีกายวิญญาณด้วย”

 

บางคนถาม ทุกวันนี้เราอาจจะถามเหมือนกัน … “คนตายจะเป็นขึ้นมาได้อย่างไร? เมื่อเป็นขึ้นมาร่างกายของเขาจะเป็นแบบไหนเล่า?”

เปาโลก็อธิบายให้ฟังว่า … “สิ่งที่หว่านลง จะไม่มีชีวิตขึ้นมา ถ้าสิ่งนั้นไม่ตายเสียก่อน”

หว่านลงคืออะไร?  อาจารย์เปาโลก็ยกตัวอย่าง หว่านเมล็ด เราปลูกต้นไม้ เราไม่ได้เอาลำต้นไปปลูก เราใช้เมล็ดเปล่าๆ  ไม่มีอะไรเลยสักนิดหนึ่ง  เป็นเม็ดเล็กๆ ใบก็ไม่มี สีสันก็ไม่มี ทิ้งไป พอเมล็ดนั้นลงไปในดิน  มันก็เริ่มเน่า เริ่มตาย  พอตายจนหมดปุ๊บ ก็เกิดเป็นลำต้นขึ้นมา พูดถึงต้นไม้ ลำต้น คือร่างกายของต้นไม้

“ตามที่ได้ทรงกำหนดไว้” พระเจ้ากำหนดไว้ ต้นไม้ต้นนี้ หว่านลงไป จะออกมาเป็นต้นอะไร? มันก็จะออกมาเป็นต้นนั้น แตกต่างจากเมล็ดที่หว่านลงไป ยกตัวอย่าง ต้นข้าวสาลี หว่านเมล็ดข้าวสาลีลงไป ไม่เห็นเกี่ยวกับลำต้นเลย ไม่มีเงาของลำต้นให้เห็นได้เลยว่าเป็นอย่างไร? แต่พระเจ้าเตรียมลำต้นของข้าวสาลีไว้  เมื่อเมล็ดลงไป ตามกฎปุ๊บ เน่าเปื่อย แล้วมันก็เกิดเป็นต้นข้าวสาลี ต่างกันลิบลับ

แล้วยังยกตัวอย่าง ข้อ 39 ว่า … “เนื้อทั้งปวงไม่เหมือนกัน” เนื้อ หมายถึงอะไร? ก็หมายถึงร่างกาย พูดถึงสัตว์แล้ว พูดถึงสิ่งที่เป็นอีกสปีซี่ส์หนึ่ง ตะกี้ต้นไม้ คราวนี้มาพูดถึงสิ่งมีชีวิตที่เป็นสัตว์ … “เนื้อทั้งปวงไม่เหมือนกัน เนื้อมนุษย์ก็อย่างหนึ่ง” เนื้อ หมายถึงกาย … “สัตว์ต่างๆ ก็อีกอย่างหนึ่ง” ร่างกายของสัตว์ต่างๆ ก็อีกอย่างหนึ่ง  สัตว์ปีก สัตว์น้ำก็อีกอย่างหนึ่ง เห็นไหมครับ? สัตว์น้ำก็มีร่างกายอีกแบบหนึ่ง  สัตว์ปีกก็มีร่างกายอีกแบบหนึ่ง  นี่อาจารย์เปาโลเริ่มยกตัวอย่างให้เห็น พระเจ้าสร้างสิ่งเหล่านี้ทั้งหมดว่าไม่เหมือนกัน เป็นสิ่งมีชีวิตเหมือนกัน  ต้นไม้ก็มีชีวิต สัตว์ก็มีชีวิต มนุษย์ก็มีชีวิต สัตว์มีชีวิต มีทั้งร่างกายและมีความคิดด้วย  ต้นไม้มีร่างกาย แต่ไม่มีความคิด แต่มนุษย์แตกต่างตรงที่มีร่างกาย  มีความคิด และเป็นวิญญาณ  ซึ่งสัตว์ไม่มี เพราะฉะนั้น มนุษย์เป็นผู้ประเสริฐ เป็นพระฉายของพระเจ้า  คือมีวิญญาณพระเจ้าอยู่ภายใน เป็นตัวเริ่มต้นชีวิต นี่คือสิ่งที่พระเจ้ากำหนด และสร้างขึ้นมา

ในข้อ 40 บอกว่า … “เพราะฉะนั้น กายก็มีทั้งแบบสวรรค์และฝ่ายโลกเช่นกัน”

พูดถึงกายของมนุษย์ ร่างกายของมนุษย์ก็จะมีแบบสวรรค์ด้วย  และมีแบบฝ่ายโลกด้วย เปรียบเทียบเมื่อตะกี้นี้ว่าเมล็ดพืชกับต้นไม้ที่มันเกิดมาทีหลัง 2 อย่าง ตอนนี้มาเปรียบเทียบให้เห็นว่าร่างกายของมนุษย์ ก็มีร่างกายแบบสวรรค์กับร่างกายแบบโลกที่เรามองเห็นทุกวันนี้ แต่สง่าราศีกายแบบสวรรค์ ก็อย่างหนึ่ง และสง่าราศีของกายแบบฝ่ายโลก ก็อีกอย่างหนึ่ง

“สง่าราศี” คือครั้งที่แล้ว ที่ผมบอกว่าเป็นสปีซี่ส์ เป็นลักษณะชีวิตที่พระเจ้าสร้างขึ้นมา  เป็นสิ่งมีชีวิตเหมือนกัน แต่ว่ามีคุณภาพของชีวิตแตกต่างกัน  ร่างกายแบบที่ถูกสร้างขึ้นมา จากดิน เรียกว่าฝ่ายโลก  ก็เป็นอีกอย่างหนึ่ง ร่างกายที่ถูกสร้างมาแบบสวรรค์ แบบวิญญาณก็อีกแบบหนึ่ง มีคุณภาพ  ลักษณะแตกต่างกัน

ข้อ 41 บอกว่า … “สง่าราศีของดวงอาทิตย์ ก็อีกแบบหนึ่ง  ดวงจันทร์ก็อีกแบบหนึ่ง และดวงดาวก็อีกแบบหนึ่ง  อันที่จริงสง่าราศีของดวงดาวแต่ละดวง ก็ต่างกัน”

เห็นไหม?  ก็คือลักษณะที่ถูกสร้างขึ้นมา จะไม่เหมือนกัน เนื้อจะไม่เหมือนกัน  ความสง่างามก็ไม่เหมือนกัน

ท่านลองนึกภาพต้นกุหลาบกับต้นไมยราบ มันก็ต่างกันนะ  กุหลาบก็เป็นต้นไม้ ไมยราบก็เป็นต้นไม้ แต่เราว่าสง่าราศีของใครเด่นกว่า กุหลาบนะเด่นกว่า ถูกไหม?

สัตว์ล่ะ เหมือนครั้งที่แล้ว ที่ผมยกตัวอย่างมด ตัวหนึ่งก็มีชีวิตตัวหนึ่ง  มาเทียบกับลิง ลิงก็มีชีวิต ใครดูมีราศีกว่ากัน ก็ต้องเป็นลิงสิ ในทำนองเดียวกัน ร่างกายมนุษย์ก็เหมือนกัน ร่างกายของโลกใบนี้กับร่างกายสวรรค์ก็แตกต่างกันลิบลับเหมือนกัน  ดวงดาวก็เช่นเดียวกัน อย่างที่บอกดวงอาทิตย์กับดวงดาวเล็กๆ ดวงหนึ่ง  ดาวอังคารที่ไม่มีแสงในตัวเอง ต่างกันไหม? มันก็ต่างกัน

ข้อที่ 42 จึงบอกว่า … “การเป็นขึ้นมาของคนตายก็เช่นกัน” นี่เปรียบเทียบให้เห็น “การเป็นขึ้นมาของคนตายก็เช่นกัน กายที่หว่านลงนั้น เสื่อมสลายได้” ก็คือร่างกายที่เราเห็นอยู่นี้  ที่ถูกสร้างมาจากดิน เมื่อวันหนึ่งที่มันต้องตาย  คือมันเน่าไปเหมือนกับเมล็ด  พืช มันเสื่อมสลายไป  ที่เป็นขึ้นมาใหม่จะไม่เสื่อมสลาย” ต้นที่เป็นขึ้นมาใหม่ คือร่างกายที่เป็นขึ้นจากความตาย  ร่างกายสวรรค์จะเป็นอมตะ ไม่มีการตายอีกต่อไปเลย ไม่มีการเสื่อมสลายอีกต่อไปเลย ไม่มีเน่าเปื่อย  ไม่มีเจ็บไข้ได้ป่วย ไม่มีน้ำตา ไม่มีทุกข์ยากลำบากอีกต่อไป  ไม่มีการแก่อีกต่อไป

ข้อ 43 … “หว่านลงนั้นไร้ศักดิ์ศรี ที่เป็นขึ้นเปี่ยมด้วยศักดิ์ศรี” เปรียบเทียบ 2 อัน กายที่ตายลงไปแล้ว ไม่มีอะไรเลย  มันอ่อนแอ มันไม่มีศักดิ์ศรีเลย แต่ร่างกายที่เป็นขึ้นจากความตาย จะเปี่ยมไปด้วยศักดิ์ศรี  ที่หว่านลงนั้นอ่อนแอ ที่เป็นขึ้นทรงพลัง  เต็มไปด้วยศักดิ์ศรี  เหมือนพระเยซู

ข้อ 44 … “ที่หว่านลงนั้นเป็นกายธรรมชาติ” กายธรรมชาติ ก็คือกายแบบวัตถุ ที่เหมือนโลกใบนี้ กายธรรมดา … “ที่เป็นขึ้นมาเป็นวิญญาณ หรือเรียกว่ากายสวรรค์ ถ้ามีกายธรรมชาติ ก็ย่อมมีกายสวรรค์ด้วย” คือมันมีจริงๆ  ตามที่ยกตัวอย่างขึ้นมา

เพราะฉะนั้น กายธรรมชาติที่ทุกวันนี้อยู่ มันเป็นกายที่อ่อนค่า ด้อยค่าไม่มีสง่าราศี  ไม่มีเกียรติ แต่กายใหม่ ที่พระเจ้าจัดเตรียมไว้ให้กับเรา ที่จะสวมวิญญาณใหม่  ที่บังเกิดใหม่แล้วเดี๋ยวนี้ ใจใหม่ที่ได้รับแล้วเดี๋ยวนี้ มันต้องเข้ากันได้ พูดง่ายๆ ว่าเป็นกายที่เหมาะสำหรับชาวสวรรค์จะสวมนั่นเอง มันเข้ากันได้

และถามว่ากายวิญญาณ กายสวรรค์ที่เหนือธรรมชาตินี้ ที่จะมาแทนที่ ผู้เชื่อสามารถที่จะคาดคะเนได้ไหมว่าลักษณะเป็นเช่นไร? พระเจ้าทรงทราบดีว่ามนุษย์ก็ต้องคิดอย่างนี้  ก็เลยให้พระเยซูเป็นตัวอย่าง พระเยซูเป็นขึ้นจากความตาย  ร่างกายของพระเยซูเป็นขึ้นจากความตาย  อย่างนั้นแหละ เราก็จะได้รับร่างกายเหมือนพระเยซู เป็นขึ้นจากความตาย และพระเยซูหลังจากเป็นขึ้นจากความตาย จึงมาปรากฏ 40 วันให้ผู้คนและสาวกให้เห็นมากมาย เป็นพยานยืนยันว่านี่แหละ เป็นอย่างนี้ๆ  เพื่อจะไปเล่าสู่กันฟัง  ไปบอกกันฟังว่าเป็นอย่างนี้  เป็นสง่าราศีอย่างนี้

พระคัมภีร์บอกว่าพระเยซูเป็นผลแรกของบรรดามนุษย์ทั้งหลายที่เป็นขึ้นจากความตาย คือผู้ที่เป็นขึ้นจากความตายผู้แรกนั่นเอง  และเราทั้งหลาย ก็จะเป็นขึ้นจากความตายเหมือนพระองค์เช่นเดียวกัน  ร่างกายก็จะเหมือนพระองค์ สามารถจับต้องมองเห็นได้ บางคนบอกว่าแล้วตอนที่เราตาย แล้วเราเป็นขึ้นจากความตาย ยังจำกันได้ไหม?  ลองดูพระเยซูเป็นตัวอย่าง

พระเยซูเป็นขึ้นจากความตาย มาปรากฏกับสาวก สาวกจำพระเยซูได้ไหมครับ? ตอบว่าได้  นี่พระเยซู  เดินทะลุกำแพงเข้ามา  ไม่ต้องเปิดประตู ตกใจนึกว่าเป็นผี พอตั้งสติได้ พระเยซูนี่นา เห็นไหม? จำได้นะ  แล้วสามารถเดินผ่าน ทะลุกำแพงได้ กินอาหารได้ ลอยขึ้นไปบนสวรรค์ บนฟ้าได้ด้วย อย่างนี้เป็นต้น

เพราะฉะนั้น นี่คือลักษณะกายสวรรค์ กายฝ่ายวิญญาณที่จะเป็นขึ้นจากความตาย  ในวันหนึ่งที่เราทิ้งร่างเก่าไปแล้วนั่นเอง เรามาต่อ 1 โครินธ์ 15:45-50 บันทึกไว้อย่างนี้ …

1 โครินธ์ 15:45-50 “45 จึงมีเขียนไว้ว่า “อาดัมมนุษย์คนแรก จึงกลายเป็นผู้มีชีวิต” ส่วนอาดัมคนหลังเป็นวิญญาณ ผู้ให้ชีวิต 46 กายวิญญาณไม่ได้มาก่อน แต่กายธรรมชาติมาก่อน และกายวิญญาณมาทีหลัง 47 มนุษย์คนแรกมาจากธุลีดินของโลกนี้ มนุษย์คนที่สองมาจากสวรรค์ 48 คนฝ่ายโลกเป็นอย่างไร ชาวโลกก็เป็นอย่างนั้น คนจากสวรรค์เป็นอย่างไร ชาวสวรรค์ก็เป็นอย่างนั้น 49 และเราเกิดมามีลักษณะเหมือนกับคนฝ่ายโลกอย่างไร เราก็จะมีลักษณะเหมือนกับคนจากสวรรค์อย่างนั้น 50 พี่น้องทั้งหลาย ข้าพเจ้าขอประกาศว่าเนื้อและเลือด ไม่อาจรับอาณาจักรของพระเจ้าเป็นมรดก และสิ่งที่เสื่อมสลาย ไม่อาจรับสิ่งที่ไม่เสื่อมสลายเป็นมรดก”

 

“อาดัมมนุษย์คนแรก จึงกายเป็นผู้มีชีวิต” ก็คืออาดัมถูกสร้างมาจากดิน จากธรรมชาติของวัตถุ หรือธาตุที่สร้างโลกนี้ขึ้นมา เป็นร่างกายของอาดัม เราทั้งหลาย ก็เหมือนอาดัมนั่นแหละ  ถูกสร้างขึ้นมาจากดิน  แล้วพระเจ้าประทานชีวิตให้

“ส่วนอาดัมคนหลัง” ทำไมพระเยซูถูกเรียกว่าเป็นอาดัม คนที่สอง หรือว่าอาดัมคนหลัง  เพราะพระเยซูมาเกิดเป็นมนุษย์  แล้วก็ได้กระทำการสิ่งหนึ่งที่เริ่มต้นเผ่าพันธุ์มนุษย์พันธุ์ใหม่บนโลกใบนี้  เพื่อให้บรรดามนุษย์เผ่าพันธุ์เก่า ได้ย้ายเข้ามาอยู่ในเผ่าพันธุ์ใหม่  คือเผ่าพันธุ์ของพระเยซู เผ่าพันธุ์ของพระเจ้า  มนุษย์พันธุ์ใหม่ พันธุ์ที่มีชีวิตนิรันดร์อยู่ในตัว

ส่วนอาดัมคนหลัง  ก็คือพระเยซู เป็นวิญญาณผู้ให้ชีวิต เห็นไหมครับ? พระองค์เป็นชีวิตเลย  พระองค์มาเพื่อประทานชีวิต ให้กับคน แตกต่างกับอาดัม ผู้รับชีวิตมาจากพระเจ้า แต่พระเยซูเป็นพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์ เพื่อประทานชีวิตให้กับมนุษย์ เกิดเป็นมนุษย์พันธุ์ใหม่  เป็นหัวหน้าของมนุษย์พันธุ์ใหม่ เป็นต้นตระกูลของมนุษย์พันธุ์ใหม่  เรียกว่าพันธุ์พิเศษ พันธุ์พระเยซูคริสต์ เพราะฉะนั้นก่อนหน้าพระเยซูมีพันธุ์เดียว ก็คือพันธุ์อาดัม ตอนนี้มีพันธุ์ใหม่ ก็คือพันธุ์พระเยซูคริสต์

ข้อ 46 “กายวิญญาณไม่ได้มาก่อน แต่กายธรรมชาติมาก่อน และกายวิญญาณมาทีหลัง” พูดง่ายๆ ว่ากายธรรมชาติ คือกายแบบอาดัมมาก่อน เกิดก่อน แล้วหลังจากนั้น ค่อยมีกายมนุษย์พันธุ์ใหม่ คือกายพระเยซูคริสต์  เราที่อยู่ในกายของอาดัม เมื่อเชื่อในพระเยซูคริสต์แล้ว อยู่ในขบวนการแห่งชีวิตนิรันดร์ที่ครบถ้วนบริบูรณ์แล้ว ได้รับวิญญาณนิรันดร์จากพระเจ้าแล้ว จิตใจใหม่จากพระเจ้าที่เหมือนพระเยซูคริสต์เรียบร้อยแล้ว ขณะดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้  เมื่อวันหนึ่งร่างกายเก่า ร่างกายอาดัมสิ้นสุดลง เราก็จะไปรับร่างกายใหม่ ร่างกายวิญญาณจึงเรียกว่าทีหลัง

ข้อ 47 “มนุษย์คนแรกมาจากธุลีดินของโลกนี้ มนุษย์คนที่สองมาจากสวรรค์” อันนี้ชัดเจน  ที่ตะกี้นี้อธิบายไปแล้ว

ข้อ 48 “คนฝ่ายโลกเป็นอย่างไร ชาวโลกก็เป็นอย่างนั้น” … คนฝ่ายโลก ก็คืออาดัมเป็นอย่างไร? ชาวโลกก็เป็นอย่างนั้น มนุษย์ที่เกิดมาจากอาดัม ก็เป็นอย่างนั้น หมายถึงคนที่ยังไม่ได้เชื่อในพระเยซูคริสต์ ยังไม่ได้ยอมให้พระเยซูคริสต์ย้ายเขาเข้ามาอยู่ในมนุษย์พันธุ์ใหม่  พันธุ์ที่พระเยซูคริสต์เริ่มต้น พันธุ์ชีวิตนิรันดร์นั่นเอง  คนฝ่ายโลก ก็คือฝ่ายอาดัม  เป็นอาดัม มนุษย์ทุกคนที่ยังไม่ได้ย้ายเข้ามาอยู่ในพระเยซู ก็เป็นอย่างนั้นเหมือนกัน

“คนจากสวรรค์เป็นอย่างไร ชาวสวรรค์ก็เป็นอย่างนั้น” … พระคัมภีร์เรียกเราว่าเป็นชาวสวรรค์ … คนจากสวรรค์ ก็คือพระเยซูคริสต์เป็นอย่างไร? พวกเราที่เชื่อในพระเยซูคริสต์ ก็เป็นอย่างนั้นเหมือนกัน  เป็นตั้งแต่วินาทีแรกที่เรารับเชื่อในพระเยซูคริสต์ พอรับเชื่อในพระเยซูคริสต์เมื่อไรก็ตามบนโลกใบนี้  ทางด้านโลกฝ่ายวิญญาณ พระเจ้าได้ย้ายวิญญาณเราออกจากอาณาจักรของความมืด ออกจากในอาดัมมาสู่ในพระคริสต์ มาอยู่ในอาณาจักรแห่งแสงสว่างของพระคริสต์ มานั่งอยู่ที่เบื้องขวาของพระองค์ในพระคริสต์  อยู่ในสวรรค์สถานเรียบร้อยไปแล้ว  รอคอยวันหนึ่งที่จะได้รับร่างกายใหม่เข้ามาสวมนั่นเอง

ข้อ 49 บอกว่า “และเราเกิดมามีลักษณะเหมือนกับคนฝ่ายโลกอย่างไร?” เห็นไหมครับ? มนุษย์เราเกิดมา เรามีลักษณะเหมือนคนฝ่ายโลกอย่างไร?  เมื่อเราเชื่อในพระเยซูคริสต์ นี่เป็นข้อความที่เขียนถึงผู้เชื่อทั้งหลาย  เมื่อเราเชื่อในพระเยซูคริสต์ และได้ถูกย้ายเข้ามาอยู่ในอาณาจักรของพระเยซูคริสต์ ย้ายมาอยู่ในพระคริสต์แล้ว เราก็จะมีลักษณะเหมือนกับคนจากสวรรค์อย่างนั้น  ก็มีลักษณะเหมือนกับพระเยซู เหมือนกันไม่มีผิดเลย

ตอนนี้วิญญาณเหมือนแล้ว พระคัมภีร์บอก 1 ยอห์น 4:17 ขณะที่เราดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้  จิตวิญญาณของเราเหมือนพระเยซูเลย เหมือนแล้วทำอย่างไร?  ก็รอคอยวันหนึ่ง เมื่อออกจากร่างนี้ ก็จะไปสวมร่างกายใหม่ ที่เหมือนนพระเยซูคริสต์นั่นแหละ เรียกว่า Full Option

ข้อ 50 “พี่น้องทั้งหลาย ข้าพเจ้าขอประกาศว่าเนื้อและเลือด ไม่อาจรับอาณาจักรของพระเจ้าเป็นมรดก และสิ่งที่เสื่อมสลาย ไม่อาจรับสิ่งที่ไม่เสื่อมสลายเป็นมรดก” พูดง่ายๆ ก็คือเมื่อเราทั้งหลายมีลักษณะเหมือนกับพระเยซูคริสต์ไม่มีผิด เพื่อว่าเราจะได้มีร่างกายใหม่ที่เหมือนพระเยซู เข้าไปครอบครองร่วมกับพระเยซูในสวรรค์สถานที่พระเจ้าบอกไว้  มีทรัพย์สมบัติมากมาย มีตำแหน่งมากมาย  ครอบครองร่วมกับพระเยซูคริสต์ในสวรรค์สถานนิรันดร์กาล เราจะไปครอบครองนี้ได้ ก็ต่อเมื่อร่างกายของเราต้องเป็นร่างกายใหม่  ร่างกายที่เป็นเหมือนพระเยซูเท่านั้น ร่างกายเก่าจึงเข้าสวรรค์ไม่ได้ ร่างกายเก่านี้ไม่มีคุณภาพเพียงพอ ร่างกายเก่านี้เป็นสปีซี่ส์ที่ไม่เหมาะสมที่จะไปรับมรดกร่วมกับพระเยซูคริสต์ในสวรรค์สถานนิรันดร์ได้  หมายถึงอย่างนั้น

1 โครินธ์ 15:51 “ฟังเถิด ข้าพเจ้าจะบอกข้อล้ำลึกแก่ท่าน คือเราจะไม่ล่วงลับกันทั้งหมด แต่พวกเราทั้งหมดจะได้รับการเปลี่ยนแปลง”

 

“ฟังเถิด ข้าพเจ้าจะบอกข้อล้ำลึก” ก็คือเหมือนกับสิ่งที่พระวิญญาณได้อธิบายให้กับอาจารย์เปาโลได้รู้ แล้วก็มาบอกต่ออีกทีว่าสิ่งลึกซึ้งอันนี้  เป็นหัวใจสำคัญ ในความเชื่อที่พระเจ้าได้จัดเตรียมไว้ให้กับผู้เชื่อของพระองค์ในพระเยซูคริสต์ ที่ได้บังเกิดใหม่แล้ว … “ความล้ำลึก” คือเราจะไม่ล่วงหลับกันทั้งหมด แต่พวกเราทั้งหมดจะได้รับการเปลี่ยนแปลง

จริงๆ ตรงนี้ต้องเป็น “ล่วงหลับ” นะไม่ใช่ “ล่วงลับ”

ทำไมอาจารย์เปาโลใช้คำว่า “หลับ” เพราะว่าเมื่อเป็นผู้เชื่อในพระเจ้าแล้ว ได้เข้าสู่ขบวนการ เขาเรียกว่าได้เข้าสู่ขั้นตอนของชีวิตนิรันดร์ แบบครบถ้วนบริบูรณ์ คือชีวิตนิรันดร์ที่ได้รับจากพระเจ้า เป็นชีวิตนิรันดร์ที่ครบถ้วนบริบูรณ์  Full Option แต่แบ่งเป็น 2 ขั้นตอน

ขั้นตอนแรก เมื่อรับเชื่อปุ๊บ  ก็ได้รับวิญญาณ กับจิตใจใหม่ ที่เป็นเหมือนพระเยซู นี่คือขั้นตอนแรก ได้ไปทันทีเลย  ขณะที่ดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้  เราทั้งหลายที่เป็นคริสเตียน ที่เป็นผู้เชื่อนั้น กำลังดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ด้วยวิญญาณใหม่ ที่เหมือนพระเยซู จิตใจใหม่ที่เหมือนพระเยซู นี่คือขั้นตอนแรก ได้รับเรียบร้อยไปแล้ว  แต่ยังคงอยู่ในร่างกายเก่า ซึ่งดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้  ซึ่งร่างกายเก่าไม่สามารถเข้าไปในสวรรค์ รับมรดก และไม่สามารถเจอพระเจ้าหน้าต่อหน้าได้ ไม่สามารถ

ขั้นตอนที่สอง ต้องมีการเปลี่ยนร่างกาย เป็นร่างกายสวรรค์ ร่างกายใหม่ที่เหมาะสำหรับตัวตนภายในของเรา  ที่เป็นชีวิตที่เหมือนพระเยซู มีจิตใจที่เหมือนพระเยซูแล้วนั้น จึงจะสามารถร่วมครอบครองกับพระเยซูในสวรรค์สถานนิรันดร์ได้ เรียกว่าขั้นตอนที่สอง เพราะฉะนั้น การได้รับร่างกายใหม่ ที่เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์ตอนเป็นขึ้นจากความตายนั้น จะสวมก็ต่อเมื่อครบเวลาที่เราจะได้รับ Full Option เป็นขั้นตอนที่ 2 ของชีวิตนิรันดร์ที่ครบถ้วนบริบูรณ์

เพราะฉะนั้น นึกในใจมี 2 ขั้นตอน เมื่อมี 2 ขั้นตอน อาจารย์เปาโลจึงใช้คำนี้ว่า “เราจะไม่หลับกันทั้งหมด”  ไม่เรียกว่าตาย เรียกว่าหลับ

ทำไมเรียกว่า “หลับ” เดี๋ยวติดตามต่อไป ไม่มีคำว่าตาย เพราะว่าเราหลับ เพื่อจะตื่นขึ้นมาปั๊บ เปลี่ยนแปลงร่างกายของเราเท่านั้น  เราไม่เรียกว่าตาย เราเรียกว่าเราเปลี่ยนร่างกาย เหมือนเปลี่ยนเสื้อผ้า หลับปั๊บ ตื่นมาปุ๊บ ได้รับร่างกายใหม่แล้ว

“เราจะไม่ล่วงหลับกันทั้งหมด แต่พวกเราทั้งหมดจะได้รับการเปลี่ยนแปลง” ตรงนี้เน้นถึงคำว่า “พวกเราทั้งหมดจะได้รับการเปลี่ยนแปลง” … “พวกเราทั้งหมด” คือผู้ที่เชื่อในพระเยซูคริสต์ ที่ถึงวันที่ต้องล่วงหลับไป ทั้งหมดที่ล่วงหลับไป หรือตามภาษามนุษย์เรียกว่าตาย แต่ภาษาคริสเตียนเรียกว่าหลับ  ทุกคนที่ล่วงหลับไป จะได้รับอย่างนี้ ตรงนี้เน้นถึงทุกคนที่ล่วงหลับไปนะ  ไม่ว่าจะล่วงหลับไปเมื่อไรก็ตาม? เมื่อพันปีที่แล้ว  หรือจะหลับเมื่อวานนี้  หรือจะหลับพรุ่งนี้ก็ตาม จะได้รับการเปลี่ยนแปลง  โดยอย่างนี้ นี่คือข้อล้ำลึก 1 โครินธ์ 15:52 ได้บอกไว้ว่า …

1 โครินธ์ 15:52 “ชั่วแว๊บเดียว ในพริบตาเดียว เมื่อเป่าแตรครั้งสุดท้าย เพราะเสียงแตรจะดังขึ้น คนตายจะถูกทำให้เป็นขึ้น แบบไม่เสื่อมสลาย และเราจะได้รับการเปลี่ยนแปลง”

 

หลับอยู่ใช่ไหมครับ? ชั่วแว๊บเดียว  … แว๊บเดียวขนาดไหน? ในพริบตาเดียว เมื่อเป่าแตรครั้งสุดท้าย อันนี้รวมกัน แล้วเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นพร้อมกัน  ชั่วแว๊บเดียว ในพริบตาเดียว  ในขณะที่มีการเป่าแตรครั้งสุดท้าย เพราะเสียงแตรจะดังขึ้น คนตายจะถูกทำให้เป็นขึ้น พูดง่ายๆ ว่าพอเราหลับไป มีการตื่น ถามว่าหลับไปนานเท่าไร?  อาจารย์เปาโลบอกว่าแป๊บเดียว  แค่พริบตา เหมือนที่ผมบอกว่าขณะที่เราล่วงหลับ หรือตายจากร่างกายนี้ เรากำลังก้าวเข้าสู่มิติฝ่ายวิญญาณ  เมื่อเราก้าวเข้าสู่มิติฝ่ายวิญญาณ ในมิติฝ่ายวิญญาณ มันไม่มีกาลเวลาแล้ว ไม่มีคำว่าหลับไปอีก 3 ปี 4 ปี 5 ปี พันปี ไม่มี เพราะในมิติโลกวิญญาณ สำหรับพระเจ้าแล้ว ไม่มีเวลา  เป็นอยู่ ก็เป็นอยู่เลย  เพราะฉะนั้น อาจารย์เปาโลจึงใช้คำนี้ว่าพริบตาเดียว ในโลกวิญญาณ พูดง่ายๆ พริบตาเดียว ชั่วแว๊บเดียว ก็คือทันที เพราะว่าในโลกฝ่ายวิญญาณ สวรรค์ของพระเจ้า ไม่มีเวลา

เราเคยคุยกันเล่นๆ ตอนนั้นบ่อยๆ ว่ามีชายคนหนึ่งบอกกับพระเจ้าว่า …

“พระเจ้า สำหรับพระองค์แล้ว หนึ่งพันปี เท่ากับหนึ่งวัน”

พระองค์บอกว่า “เอเมน ใช่”

“เงินหนึ่งหมื่นล้านของพระองค์  เท่ากับบาทเดียว”

พระองค์บอกว่า “ใช่ ถูกต้อง”

ชายคนนี้เลยบอกว่า “ลูกอธิษฐานขอสัก 50 สตางค์” (50 สตางค์ ก็เท่าไร? ห้าพันล้าน)

พระเจ้าก็ตอบว่า “เอเมน” เหมือนเดิม พอเอเมนปุ๊บ พระเจ้าก็จะหันไปหยิบห้าพันล้านให้  หันกลับมาอีกที ชายที่ขอ มายืนอยู่ต่อหน้าพระเจ้าแล้ว  ตายไปแล้ว เพราะขณะที่หันไปหยิบ เวลาผ่านไปประมาณเป็นร้อยปี

นี่พูดเล่น เอามาเล่าสู่กันฟัง แต่นึกให้ดีๆ มันใช่ไหม?  เวลาสำหรับพระเจ้าไม่มี แต่เราไปคิด เราไปคำนวณกันเองว่ามันกี่ปีๆ  บนโลกใบนี้มีกี่ปี? เพราะว่ามีโลกหมุนรอบตัวเอง  มีดวงอาทิตย์ มีดวงจันทร์ พระเจ้าสร้างโลกใบนี้ให้มีเวลา  เพราะฉะนั้น มันเลยนับได้  แต่ในโลกวิญญาณไม่มีเวลา เพราะฉะนั้น อาจารย์เปาโลบอกว่าชั่วแว๊บเดียว พริบตาเดียว ก็คือทันทีเลย  มีเสียงแตรเป่าขึ้น  ดังขึ้น คนตาย คือเราทั้งหลายที่ตายปั๊บ ก็จะถูกทำให้เป็นขึ้นมาใหม่ คือเปลี่ยนแปลงร่างกายเรา จากร่างกายที่ต้องตาย  คือแบบที่เสื่อมสลายได้ เข้าสู่แบบที่ไม่เสื่อมสลาย  เราจะได้รับการเปลี่ยนแปลงใหม่เอี่ยมเลย

1 โครินธ์ 15:53 “เพราะที่เสื่อมสลาย ต้องสวมที่ไม่เสื่อมสลาย และที่ตายได้ ต้องสวมที่ไม่มีวันตาย”

 

เห็นไหมครับ? “เพราะที่เสื่อมสลาย ต้องสวมที่ไม่เสื่อมสลาย และที่ตายได้” เข้าสู่สวรรค์ไม่ได้ ก็คือเสื่อมสลาย ก็คืออยู่ในอาดัม ไม่ได้ ต้องสวมร่างกายใหม่ ที่เหมือนพระเยซูคริสต์ถึงจะอยู่ในสวรรค์ได้

1 โครินธ์ 15:54 “เมื่อที่เสื่อมสลายนั้น สวมที่ไม่เสื่อมสลาย และที่ตายได้นั้น สวมที่ไม่มีวันตายแล้ว คำกล่าวที่ได้บันทึกไว้ก็จะเป็นจริง คือ “ความตายก็พ่ายแพ้ ถูกกลืนหายไป”

 

เมื่อเกิดเหตุอย่างนี้ขึ้น ความตายก็ไม่มีชัยอีกต่อไป เพราะว่าร่างกายใหม่ของเราไม่มีวันตาย ไม่อยู่ใต้อำนาจของความตายอีกต่อไป  ก่อนหน้านี้ร่างกายเรายังอยู่ใต้ความบาปและความตายอยู่ มันต้องตายอยู่ อาจารย์เปาโลจึงบอกว่าทนทุกข์ยากลำบากบนโลกใบนี้ ในร่างกายเก่านี้ ซึ่งกำลังตายอยู่ทุกวันๆ นี้ เราอดทนได้ ก็เพราะเรามองไปที่วิญญาณที่อยู่ภายใน ที่เจริญเติบโตขึ้นทุกวัน  2 โครินธ์ 4:16-18 บอกไว้ว่าเรามองไปที่สิ่งที่มองไม่เห็น  คือตัวตนข้างในของเรา  คือวิญญาณของเราและความคิดจิตใจที่ได้บังเกิดใหม่ในพระเยซูคริสต์แล้ว มันเจริญเติบโตเข้าไปสู่ Full Option อย่างนี้ เข้าไปสู่ชีวิตนิรันดร์ที่ครบถ้วนบริบูรณ์อยู่ แต่ขณะนี้มันอยู่ในร่างกายเก่าที่ต้องตาย แต่วันหนึ่งข้างหน้า เราจะได้รับร่างกายใหม่ที่ไม่ต้องตายอีกต่อไป ความตายก็พ่ายแพ้ไปเลย มันเป็นเช่นนั้น

เพราะฉะนั้น คริสเตียนหลายคนมีคำถามว่า … “แล้วขบวนการที่เราจะได้รับกายใหม่ หรือกายแบบสวรรค์เป็นอย่างไร? คนตายไปก่อนจะได้รับก่อน หรือรอรับพร้อมกัน หรือต้องรอจนกว่าพระเยซูคริสต์จะเสด็จกลับมาอีกครั้งก่อน”

ที่พวกเรามีคำถามแบบนี้ ก็เพราะว่าเรายังคิดแบบโลกอยู่ อย่างที่ผมบอก โลกนี้มีเวลา มีนาที มีชั่วโมง มีวัน มีเดือน มีปี  แต่ในสวรรค์ไม่มีอีกแล้ว  พระคัมภีร์บอกว่าวันนั้นมาถึง เราจะไม่ล่วงหลับกันทั้งหมด แต่พวกเราทั้งหมดจะได้รับการเปลี่ยนแปลง คือเราจะไม่ล่วงหลับกันทั้งหมด  คำนี้หมายถึงคริสเตียนที่อยู่บนโลกใบนี้  แล้วยังไม่ตาย ไม่ล่วงหลับไป  ยังเป็นๆ อยู่บนโลกใบนี้  แต่พระเยซูเสด็จกลับมา คือวันสิ้นโลก วันที่พระเยซูกลับมาพิพากษาโลก  กลับมาสำเร็จโทษโลก  เพราะว่าโลกได้ถูกสำเร็จโทษ ได้ถูกพิพากษาลงโทษไปเรียบร้อยแล้ว ทั้งมาร ทั้งสิ่งของบนโลกใบนี้ทุกอย่าง บนโลกใบนี้ได้ถูกพิพากษาไปเรียบร้อยแล้ว  วันหนึ่งพระเยซูจะเสด็จกลับมาอีก  ถ้าถึงวันนั้นเสด็จกลับมา คนที่เป็นคริสเตียน ก็ไม่ต้องตายไง ก็จะได้รับการเปลี่ยนแปลงทันทีเลย  หมายถึงพระเยซูคริสต์เสด็จกลับมาอีกครั้งหนึ่ง เพื่อพิพากษาโลก

แต่ถ้าพระเยซูคริสต์ไม่กลับมา ซึ่งยังไม่ได้กลับมาเลย  ในช่วง 2,000 ปีนี้ก็ยังไม่กลับมา ถ้ายังไม่กลับมาผู้เชื่อ หรือคริสเตียนที่ตายหรือล่วงหลับไปแล้วนั้น ก็จะเป็นผู้ไปหาพระเยซูเอง ก็คือออกจากร่างไปพบพระเยซูหน้าต่อหน้า พระเยซูก็มารับเขาเหมือนเดิม ก็เหมือนกัน  เหตุการณ์มันเกิดขึ้นเหมือนกัน  ไม่ว่าพระเยซูจะมาเป็นทางการ พิพากษาโลกหรือไม่? หรือจะมาเพื่อรับคนใดคนหนึ่งที่ได้ล่วงหลับไป ได้ตายไปแล้ว ก่อนที่พระเยซูคริสต์จะกลับมาพิพากษาโลก พระเยซูก็จะกลับมารับเขาเหมือนกัน เรียกว่ากลับมารับเขาไปสู่อ้อมกอดของพระบิดานั่นเอง เหมือนที่พระเยซูพูดกับโจรบนไม้กางเขน บอกว่า …

“วันนี้ท่านจะได้พบกับเราในเมืองบรมสุขเกษม”

วันนี้ คือไม่ต้องรอ พบกันเลย ใช่ไหม? เหมือนเพลงที่เราร้องกัน …

“พระคริสต์กลับมา เหมือนเสียงแตรดังก้องเวหา

เพื่อมารับข้า กลับไปอยู่ในเมืองฟ้า”

เป็นทั้งสองฝ่าย ฝ่ายที่อยู่จนพระเยซูคริสต์กลับมาพิพากษาโลก หรือฝ่ายที่เสียชีวิต ไปพบกับพระเจ้าหน้าต่อหน้าทันที เหมือนดั่งที่เปาโลพูดว่าเมื่อจากร่างกายนี้  ก็จะไปพบพระเจ้าหน้าต่อหน้า  เปาโลบอกตัดสินใจลำบากมากเลย อยู่ก็อยู่ เพราะว่าเป็นห่วงคนที่ยังไม่เชื่อ  และคนที่เชื่อใหม่แล้ว  อยากให้เขาได้รับการเลี้ยงดูด้วยถ้อยคำพระเจ้า ได้รับการสอน ได้รับการประกาศข่าวดี  เป็นประโยชน์ต่อบรรดาผู้คน แต่มันก็ทุกข์นะ อยู่ในร่างกายเก่านี้  แต่ถ้าออกจากร่างกายเก่านี้ ก็ไปเจอพระเจ้าหน้าต่อหน้า ได้กำไร ดีกว่าเยอะ ตัดสินใจลำบากมาก นี่คือความเชื่อของเปาโล

ในข้อ 52 บอกว่า “ชั่วแว๊บเดียว ในพริบตาเดียว เมื่อเป่าแตรครั้งสุดท้าย เพราะเสียงแตรจะดังขึ้น คนตายจะถูกทำให้เป็นขึ้น แบบไม่เสื่อมสลาย และเราจะได้รับการเปลี่ยนแปลง”

เป็นตัวยืนยันว่าไม่มีกาลเวลา ชั่วแว๊บเดียว  ทุกสิ่งที่เกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นผู้ที่เชื่อ ที่ตายไปก่อนหน้านี้ เป็นร้อยปี ผู้เชื่อที่เพิ่งตายไปไม่นาน  หรือพวกเราที่จะต้องตายลงในวันหนึ่งข้างหน้า  ทุกคนที่มีความเชื่อในพระเยซูก็จะมีสภาพเดียวกัน  คือชั่วแว๊บเดียว พริบตาเดียว ก็ไปพบพระเยซูหน้าต่อหน้าทันที มันเป็นอย่างนั้น

เพราะฉะนั้น เปาโลจึงใช้คำนี้ว่าเหมือนหลับ  แล้วก็ตื่นขึ้นมาเจอพระเยซูเลย  เจอพระเจ้าเลย นี่คือความหวังใจ ความชื่นชมยินดีของผู้เชื่อ เพราะฉะนั้นอะไรที่มันน่าจะเป็นไปได้มากกว่า … รอให้พระเยซูคริสต์กลับมาพิพากษาโลก ที่เรียกว่าพระเยซูกลับมาอีกครั้งหนึ่ง  เพื่อพิพากษาโลก และเราไม่ต้องตาย เปลี่ยนแปลงร่างกาย ไปสวรรค์ พบพระเยซูทันทีเลย  หรือเราตายแล้วไปพบพระเยซูเลยทันที

ท่านคิดว่าอะไรน่าจะถึงก่อน ง่ายกว่ากัน  ก็คือเราตาย แล้วไปพบพระเยซู ง่ายกว่านะ  เพราะพระเยซูกลับมาอีกครั้งหนึ่ง มันเป็นเรื่องไม่มีใครรู้ นอกจากพระบิดา พระเยซูก็บอกไม่มีใครรู้ นอกจากพระบิดาเท่านั้น  เพราะฉะนั้น ความหวังเราน่าจะมาอยู่ที่ว่าเมื่อไรหมดการงานบนโลกนี้แล้ว  เราก็จะไปอยู่ในสวรรค์ ไปพบพระเจ้าหน้าต่อหน้าทันที ได้รับชีวิตนิรันดร์ แบบ Full Option ให้เราจำตรงนี้ไว้  ตอนนี้ในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ว่าเรากำลังอยู่ระหว่างการเดินทางไปสู่ Full Opiton เรากำลังเดินทางไปสู่ชีวิตที่ครบถ้วนบริบูรณ์นิรันดร์กับพระเจ้า  เรากำลังเดินทางไป  ไม่ใช่เราหวังว่าจะได้รับเมื่อตอนตายจากโลกนี้  เปล่า เรากำลังเดินทางไป เราได้รับมัดจำเรียบร้อยแล้ว  ในโลกนี้ ภายในวิญญาณของเรา  เราได้รับเรียบร้อย ตัวตนจริงๆ ของเราได้รับเรียบร้อยแล้ว  คือวิญญาณและจิตใจของเรา  ที่เป็นตัวตนแท้ๆ ของเรา  เพียงแต่รอรับร่างกายใหม่เท่านั้น เมื่อวันจบงาน ในโลกนี้เรียบร้อยแล้วนั่นเอง

และสิ่งที่เราได้พบได้เจอนั้น ไม่ได้เจอแค่ร่างกายใหม่เท่านั้น แต่เรายังรอคอยความหวังอีกต่อไป ก็คือโลกใหม่ที่พระเจ้าสัญญาจะสร้างให้เราได้อยู่อาศัย หลังจากที่เราได้รับร่างกายใหม่ หลังจากที่พระเยซูคริสต์กลับมาอีกครั้งหนึ่ง มนุษย์ทุกคนที่เชื่อในพระเยซู ไม่ว่าจะตายไปก่อน หรืออยู่จนกระทั่งพระเยซูกลับมาอีกครั้งหนึ่ง ก็ตาม เขาเหล่านั้นทั้งหมด ก็จะได้เข้าไปอยู่ในโลกใหม่ ที่พระเจ้าได้สร้าง เป็นสวนเอเดนใหม่ที่สวยสดงดงาม  เขาก็จะได้เห็นสิ่งเหล่านี้ ในวิวรณ์ 21:1-4 ได้บันทึกเอาไว้อย่างนี้ …

วิวรณ์ 21:1-4 “1 และข้าพเจ้าเห็นฟ้าใหม่และโลกใหม่ เพราะฟ้าเดิมและโลกเดิมได้ดับสูญไปแล้ว ทะเลก็ไม่มีอีกแล้ว 2 ข้าพเจ้าเห็นนครบริสุทธิ์ คือเยรูซาเล็มใหม่ที่พระเจ้าทรงให้เลื่อนลอยลงมาจากสวรรค์ นครนี้ได้รับการตระเตรียมไว้เหมือนเจ้าสาว แต่งกายงดงามรอรับผู้เป็นสามี 3 และข้าพเจ้าได้ยินเสียงดัง มาจากพระที่นั่งว่า “บัดนี้ที่ประทับของพระเจ้ามาอยู่กับมนุษย์แล้ว พระองค์จะสถิตกับพวกเขา เขาทั้งหลายจะเป็นประชากรของพระองค์ และพระเจ้าเองจะทรงอยู่กับพวกเขาและเป็นพระเจ้าของพวกเขา 4 พระองค์จะทรงซับน้ำตาทุกๆ หยดของพวกเขา จะไม่มีความตาย หรือการคร่ำครวญ หรือการร่ำไห้ หรือความเจ็บปวดรวดร้าวอีกต่อไป เพราะระบบเก่าได้ผ่านพ้นไปแล้ว”

 

“พวกเรา” คือผู้ที่เชื่อในพระเยซูคริสต์ ที่ได้บังเกิดใหม่เรียบร้อยแล้ว ตอนนี้ได้ดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ กำลังเดินทางไปสู่ชีวิตนิรันดร์ อย่างครบถ้วนบริบูรณ์  และชีวิตนิรันดร์ที่ครบถ้วนบริบูรณ์นั้น ก็จะเป็นเหมือนที่ได้อ่านเมื่อสักครู่นี้

พอไหมครับที่จะเป็นความหวังใจ เป็นนิมิตให้กับเราในการดำเนินชีวิต ในความทุกข์ยากลำบาก เหมือนยุคแรกๆ ที่เขาอดทนมาจนกระทั่งทุกวันนี้ 2,000 ปี จะถูกข่มเหงอย่างไร? จะพบกับปัญหาความทุกข์ยากลำบากขนาดไหน? สิ่งเหล่านี้คุ้มค่ากับการรอคอยมาก คุ้มค่ากับคำว่าอดทนรอคอย แต่ทั้งหลาย ทั้งปวงเหล่านี้  ไม่มีใครรู้ว่ามันจะเกิดขึ้นเมื่อไร?  ขอย้ำอีกที ไม่มีใครรู้ว่าจะเกิดขึ้นเมื่อไร? พระเยซูก็บอกว่าพระองค์ก็ไม่รู้ว่าวันสุดท้าย คือเมื่อไร?  คือวันสุดท้ายที่พระเยซูจะกลับมา และเราจะได้อยู่ในโลกใหม่  ที่อ่านไปเมื่อสักครู่นี้ ในวิวรณ์ บทที่ 21 เมื่อไร? เราไม่รู้ อย่าคาดคะเนเอาเองว่าเป็นวันนั้น วันนี้ เพราะพระเยซูเองก็บอกไม่รู้ ในมัทธิว 24:36 พระเยซูได้ตรัสไว้อย่างนี้ …

มัทธิว 24:36 ““ไม่มีใครรู้วันเวลาที่เหตุการณ์นั้นจะเกิดขึ้น แม้แต่ทูตสวรรค์หรือพระบุตรก็ไม่รู้ พระบิดาเท่านั้นที่ทรงทราบ”

 

พระคัมภีร์บอกเพียงว่าเมื่อเวลานั้นใกล้จะเข้ามาถึง จะมีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นบ้าง? แล้วคนก็ไปคำนวณหาเวลา เปรียบเทียบเหตุการณ์ แล้วก็คาดเดากันว่าเดือนนั้น ปีนั้น ปีนี้ พระเยซูจะเสด็จกลับมา โลกจะแตกแล้ว  โลกจะถูกตัดสินแล้ว อย่างนี้ เป็นต้น หนังสือเอย บทความ เยอะแยะเต็มไปหมด ที่ไปโยงเรื่องราว เหตุการณ์ต่างๆ  แล้วก็มาบอกว่าวันนี้ วันนั้น พระเยซูจะเสด็จกลับมาแล้ว ให้เตรียมกันให้ดีๆ  ซึ่งบางครั้ง ข้อมูลเหล่านี้ก็เป็นอันตราย

เช่น บางคนที่เชื่อตาม ก็ไปขายทรัพย์สมบัติ แล้วไปใช้ชีวิต เหมือนกับไม่มีเวลาพรุ่งนี้อีกแล้ว ที่หนักกว่านั้น ก็คือบางคน บางความเชื่อ ถึงขั้นรวมตัวกัน  แล้วก็ใช้เวลาที่คาดเอาไว้ ฆ่าตัวตายพร้อมกัน เพื่อบอกว่าพระเยซูมาแล้ววันนี้  ก็มีข่าวมาให้ได้ยินอยู่บ่อยๆ

เมื่อถ้อยคำพระเจ้าบอกแล้วว่าไม่มีใครรู้ แม้แต่พระเยซูก็ไม่รู้ เพราะฉะนั้น ไม่รู้ ก็ควรจะไม่รู้สิ จริงๆ ก็อย่าไปรู้เลย  เพราะว่าไม่มีใครรู้ ไม่อย่างนั้น เราก็จะกลายเป็นมนุษย์คนเดิม  คือมนุษย์ที่ไม่รู้จักพระเจ้า  ส่วนใหญ่ก็อยากจะรู้อนาคต  อยากอันนั้น อันนี้อยากเป็นอันนั้น อันนี้ เหมือนที่เขาไปดูหมอดูกัน เขาก็อยากจะรู้อนาคต เป็นคริสเตียน เรารู้อนาคตทั้งหมดแล้ว เพราะอนาคตเราอยู่ที่พระเจ้า  พระเจ้าบอกเรา อนาคตเป็นอย่างไร? ก็บอกหมดเรียบร้อยแล้ว  อะไรที่ไม่ได้บอก ก็ไม่ต้องไปนั่งคิด วางใจในพระเจ้า  เชื่อในพระเจ้า  ไม่อย่างนั้น เรามีโอกาสถูกมารหลอกได้ เหมือนอาดัมและเอวาตอนเริ่มต้น ก็เพราะอย่างนี้ ไม่เชื่อในพระเจ้า  อยากรู้อนาคตของตัวเอง  อยากจะมีความรู้มากกว่าที่พระเจ้าบอกให้ พระเจ้าบอกให้แค่นี้ อยากรู้มากกว่านี้ อะไรอย่างนี้ เป็นต้น

สิ่งที่เรารู้แน่ๆ พระคัมภีร์บอกไว้ คือวันสุดท้ายของเราบนโลกใบนี้  มันอีกแป๊บเดียว พระคัมภีร์บอกไว้ว่าแป๊บเดียวเอง  วันสุดท้ายในการดำเนินชีวิตอยู่  ในร่างกายนี้  อย่างที่ผมบอก ในหนังสือ 2 โครินธ์ 4:16  ที่อาจารย์เปาโลบอกว่า …

“ข้าพเจ้าไม่ท้อใจ ข้าพเจ้าไม่กลัว ข้าพเจ้าไม่วิตกกังวล ไม่เสียใจ  ในร่างกายนี้ที่กำลังตายไปทุกวันๆ กำลังตาย คืออีกไม่นานก็ตาย กำลังทุกข์และกำลังตาย  แต่วิญญาณข้างในของข้าพเจ้ากำลังเจริญเติบโตใหม่ขึ้นทุกวัน”

นี่คือการบอกแล้วว่าที่เราตาย มันแป๊บเดียวเอง  อันนี้บอกชัดๆ เลย ทำไมไม่ฟังตรงนี้มากกว่า ตรงนี้ คือความจริง ที่บอกว่าพระเยซูจะกลับมาเมื่อไร? ไม่ได้บอก ก็ไม่ต้องไปยุ่งกับเขา  เพราะว่าจะมาหรือไม่มา เราก็ได้รับสิ่งที่เราหวังไว้  สิ่งที่พระเจ้าทรงสัญญาไว้  มีชีวิตนิรันดร์แบบครบถ้วนบริบูรณ์  ร่างกายใหม่ที่ให้กับผู้เชื่อทุกคน วิญญาณใหม่ที่เกิดขึ้น โดยพระเยซูคริสต์ และจิตใจใหม่ที่เหมือนพระเยซูคริสต์จะได้สวมร่างกายใหม่นี้ ได้รับกันทุกคนแน่นอน เมื่อถึงวันที่จะตาย หรือวันที่พระเยซูคริสต์กลับมาวิธีใดวิธีหนึ่งก็ตาม  แต่วิธีที่เราจะไปหาพระเยซู ตายที่โลกนี้ มันแป๊บเดียว มันเห็นชัดกว่าตั้งเยอะ ตรงนี้แหละ คือความหวังสูงสุด  ที่พวกเราผู้เชื่อ  คริสเตียนทั้งหลาย เฝ้ารอคอย ต่างรอคอยด้วยความอดทน  และเป็นความหวังเดียว  ที่เป็นพลังผลักดันการดำเนินชีวิตของเรา ให้สามารถเผชิญทุกสิ่ง ทุกสถานการณ์บนโลกใบนี้ได้  ไม่ว่าจะทุกข์ขนาดไหน? คริสเตียนที่เชื่อวางในพระเจ้า ก็ทนได้ อีกแป๊บเดียว  มองไปที่ร่างกายใหม่  เขาไม่ได้มองไปที่ชีวิตนิรันดร์ หลังความตาย ที่เน้นตอนต้นให้ฟัง เพราะว่าชีวิตนิรันดร์ เราได้รับแล้ว วิญญาณนิรันดร์ จิตใจที่เป็นนิรันดร์เหมือนพระเยซู ได้รับไปแล้ว บนโลกใบนี้ ไม่ต้องหวังแล้ว  เขารออีกนิดเดียว คือรอที่ยังไม่ได้รับ รอไปสวมร่างกายใหม่ สวมเมื่อร่างกายเก่านี้ถึงเวลาหมดสิ้น ตาย ล่วงหลับ เขาจะได้รับการเปลี่ยนแปลง นั่นแหละ คือชีวิตหลังความตาย  ชีวิตที่เป็นชีวิตนิรันดร์ครบถ้วนบริบูรณ์ในพระเยซูคริสต์ นี่คือความหวัง

เพราะฉะนั้น คริสเตียนในอดีต เราจะเห็น เขาไม่กลัวตาย  ความตายเป็นเรื่องน่ายินดีสำหรับเขาด้วยซ้ำ เพราะเขามองทะลุไปถึงอนาคต มองทะลุไปถึงโลกฝ่ายวิญญาณ  มองทะลุไปถึงโลกข้างหน้าแล้ว เขามองไปที่ร่างกายของเขา  ที่ยังไม่ตาย แต่เขาเห็นวิญญาณของเขา และความคิดจิตใจของเขาที่เหมือนพระเยซูแล้ว ที่เดินอยู่บนโลกใบนี้  พระเยซู คือชีวิตของเขา  …

“ข้าพเจ้าอยู่ ข้าพเจ้าก็อยู่ เพื่อพระคริสต์  ข้าพเจ้าอยู่ในพระคริสต์ พระคริสต์อยู่ในข้าพเจ้า เราเป็นหนึ่งเดียวกัน  พระคริสต์เป็นเจ้าของชีวิตของข้าพเจ้า”

ดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ โดยพระคริสต์  แต่อยู่ในร่างกายเก่า  รอรับร่างกายใหม่ ก็จบงาน ก็แค่นั้นเอง เพราะฉะนั้น ชีวิตของเขาจึงมีความเชื่อ วางไว้ตรงนี้  เขาจึงไม่กลัวไง

ยกตัวอย่างเช่น สตีเฟ่นถูกหินขว้างให้ตาย เขาก็นึกว่าตกใจ ตื่นเต้นว่าสตีเฟ่นมองไปที่ไหน? มองไปที่โลกฝ่ายวิญญาณที่พระเยซูคริสต์มารับ  สตีเฟ่นถูกหินขว้าง เหมือนถูกข่มเหงอย่างหนัก แต่สำหรับสตีเฟ่นเองแล้ว ตอนนั้น กำลังขอบคุณ สรรเสริญ พระเจ้ายิ่งใหญ่ จบงานเขาสักทีหนึ่ง เขาจะไปพบพระเยซูหน้าต่อหน้า  เขาถึงไม่กลัว

เปโตรถูกตรึงไม้กางเขน เปโตรบอกว่า … “ขอถวายเกียรติต่อพระเจ้า  ตรึงข้าพเจ้าแบบเอากลับหัวกลับหางได้ไหม? เอาหัวทิ่มลงดิน  ให้มันทรมานมากกว่านี้อีก”

เพราะรู้แล้วว่าอีกแป๊บเดียว  วันที่เขารอคอย คือความหวังของเขา ที่จะออกจากร่างกายนี้ ไปพบพระเจ้าหน้าต่อหน้า เหลืออีกแป๊บเดียว

เปาโล ยิ่งดีใจใหญ่เลย เปาโลก่อนเดินทางไปโรมถูกข่มเหงรังแกอย่างหนัก ถูกขว้างให้ตาย ถูกตามล่า ตามฆ่า เจ็บปวดทุกอย่าง  ทนได้ แล้วบอกว่า …

“ข้าพเจ้าทนสิ่งเหล่านี้ได้ เพราะความหวังใจตรงนี้แหละ คือเมื่อข้าพเจ้าออกจากร่างเมื่อไร ข้าพเจ้าจะพบกับพระเจ้าทันที หน้าต่อหน้า”

และอยู่ที่กรุงโรม เขาก็พาเปาโลไปตัดคอ ผมเชื่อเลย เปาโลตอนไปตัดคอ คงจะยิ้มแย้มแจ่มใสมากเลย  จบงานสักที  คราวนี้เขาจะได้พบพระเจ้าหน้าต่อหน้า

คริสเตียนที่ถูกรังแก ถูกข่มเหงในกรุงโรมในขณะนั้น  โดยเนโร ก็เช่นเดียวกัน  ถูกจับให้สิงโตกิน ก่อนที่สิงโตกิน เขาก็มองทะลุไปในโลกวิญญาณ เห็นพระเยซูมารับแล้ว เพียงแค่พริบตา เสียงแตรก็ดังก้องเวหา พระเยซูคริสต์กลับมารับข้า ไปเมืองสวรรค์สถาน

เพราะฉะนั้น เราทั้งหลายควรจะฝากความหวังของเราไว้ที่จุดนี้แหละ  จุดที่สำคัญที่สุด ที่ไม่มีใครจะมาขโมยความหวังนี้ของเราออกไปได้อีกเลย คือชีวิตนิรันดร์ที่ครบถ้วนบริบูรณ์ หลังจากล่วงหลับ หรือตายจากโลกนี้ไปแล้ว  พระเจ้าอวยพรครับ

 

******************

 

จากใจคณะศิษยาภิบาล

“ตัวเก่าของเราที่เป็นคนบาป ได้ถูกตรึงตายไปแล้ว พร้อมกับพระเยซูคริสต์บนไม้กางเขน  และได้บังเกิดใหม่พร้อมกับพระองค์ บัดนี้ เราเป็นลูกพระเจ้าที่บริสุทธิ์ ครบถ้วนแล้ว”  โรม บทที่ 6

เมื่อเราต้อนรับพระเยซู เป็นผู้ช่วยให้รอดจากบาปแล้ว พระเจ้าได้ทำให้เรา บังเกิดใหม่เป็นคนชอบธรรม เป็นคนดี เป็นแสงสว่าง  เป็นความรัก บริสุทธิ์สะอาด ครบถ้วนบริบูรณ์เหมือนพระเยซู เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์แล้ว เดี๋ยวนี้เลย และตลอดไป เราจึงมั่นใจในวันพิพากษา เท่าๆ กันกับที่พระเยซูคริสต์มั่นใจ

 

มนุษย์ทุกคนรู้ดีว่าโลกนี้มีแต่ทุกข์  สุขแท้จริงไม่มี มนุษย์จึงหาทางเอาชนะโลกแห่งความทุกข์นี้ให้ได้  ด้วยวิธีการต่างๆ นานา แล้วใครกันล่ะที่เอาชนะโลกนี้ได้

โลกนี้เหมือนเรือแตก ที่กำลังจมลงสู่ความพินาศใต้มหาสมุทร ด้วยแรงดึงดูดของโลก มนุษย์บนโลกนี้ ไม่ว่าจะเป็นคนประพฤติดี หรือประพฤติชั่ว ก็จะถูกดูดลงสู่ความพินาศ ใต้มหาสมุทรทั้งสิ้น ด้วยแรงดึงดูดของโลก ที่มองไม่เห็น แต่มีอยู่จริง ไม่ว่าจะเชื่อหรือไม่ก็ตาม

 

เช่นกัน พระเจ้าบอกความจริงกับเราว่าโลกและทุกสิ่งบนโลก รวมทั้งมนุษยชาติ กำลังจมลงสู่ความพินาศ ใต้บึงไฟ ด้วยแรงดึงดูดของบาป ของมารที่มองไม่เห็น แต่มีอยู่จริง ไม่ว่าจะเชื่อหรือไม่ก็ตาม   แล้วใครกันล่ะ? ที่เอาชนะโลกนี้ได้?

2 เปโตร 3:9-10 “9 องค์พระผู้เป็นเจ้าไม่ได้ทรงเฉื่อยช้าในเรื่องพระสัญญาของพระองค์ ตามที่บางคนคิดนั้น แต่ทรงอดทนกับพวกท่าน พระองค์ไม่ทรงประสงค์ให้ใครพินาศเลย แต่ประสงค์ให้ทุกคนกลับใจใหม่ 10 แต่วันขององค์พระผู้เป็นเจ้านั้น จะมาถึงเหมือนอย่างขโมย และในวันนั้น ฟ้าจะหายลับไป ด้วยเสียงดังกึกก้อง และโลกธาตุจะสลายไปด้วยไฟ และแผ่นดินกับสิ่งสารพัด ที่มีอยู่บนนั้นจะถูกเผาจนหมดสิ้น”

 

นี่คือสาเหตุที่ทำให้มนุษย์ จำเป็นต้องชนะโลก แล้วใครกันล่ะ?  ที่เอาชนะโลกนี้ได้?

1 ยอห์น 5:4-5 “4 เพราะทุกคนที่เป็นลูกของพระเจ้า มีชัยชนะเหนือโลก และความเชื่อของเราเอง คือฤทธิ์อำนาจที่เอาชนะโลกแล้ว 5 ใครกันล่ะ ที่เอาชนะโลกนี้ได้ ก็คนที่เชื่อว่าพระเยซูเป็นพระบุตรของพระเจ้า”

 

เครื่องบินมีชัยชนะเหนือกฎแรงดึงดูดของโลก แต่ด้วยความเชื่อในเครื่องบิน  คนที่เข้าไปนั่งในเครื่องบิน  ก็มีฤทธิ์อำนาจ เอาชนะเหนือแรงดึงดูดของโลก ใครกันล่ะที่เอาชนะเหนือแรงดึงดูดของโลกได้   ก็คือคนที่เชื่อ ในกฎแห่งการยกขึ้นของเครื่องบิน

โรม 8:1-2 “1 เหตุฉะนั้น บัดนี้จึงไม่มีการลงโทษแก่บรรดาผู้ที่อยู่ในพระเยซูคริสต์ 2 เพราะว่าโดยทางพระเยซูคริสต์ กฎของพระวิญญาณแห่งชีวิตได้ปลดปล่อยท่าน ให้เป็นอิสระจากกฎแห่งบาปและความตาย”

 

พระเจ้าอวยพรครับ

 

วารสาร Holy News ฉบับที่ 1321

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  18  กรกฎาคม  2021

 เรื่อง “ความหวังของท่านอยู่ที่ไหน?”

โดย  นคร  เวชสุภาพร

 

สัปดาห์ที่แล้วเราได้คุยกันเรื่อง “ท่ามกลางความทุกข์ลำเค็ญ ท่านมองเห็นอะไร? ท่านมองไปที่ใด?  ซึ่งเราได้เรียนจากพระคัมภีร์ 2 โครินธ์ บทที่ 4 ที่ได้เปรียบเทียบให้เราเห็นความแตกต่างระหว่าง 2 สิ่งที่เราจดจ้องมองไป ท่ามกลางสถานการณ์บนโลกใบนี้ที่กำลังทุกข์ยากลำบากอยู่ มี 2 สิ่งที่ไม่สามารถที่จะเปรียบกันได้เลย  ก็คือ …

(1) ความทุกข์ยากลำบากที่เป็นสิ่งที่เราจับต้องมองเห็นได้   เป็นสิ่งเล็กน้อยยยยย   และเป็นเพียงชั่วคราวอยู่แป๊บเดียว

(2) สง่าราศี และพระสิริของพระเจ้าได้ทรงสำแดงให้เราเห็นแล้ว  ได้เกิดขึ้นภายในเราแล้ว ที่เราได้เชื่อพระเจ้า และการเกิดใหม่ในวิญญาณของเราได้รับรู้จากในวิญญาณของเราแล้ว  เป็นสิ่งยิ่งใหญ่และเป็นสิ่งสมบูรณ์ ถาวร นิรันดร์

สองสิ่งนี้เปรียบกันไม่ได้เลย อันหนึ่งแป๊บเดียว อีกอันหนึ่งถาวรนิรันดร์ และเราก็สรุปทิ้งท้ายไว้ครั้งที่แล้วว่าเมื่อเราได้รับรู้อย่างนี้แล้ว  เราก็ควรจะตัดสินใจได้แล้วว่าจะเลือกมองไปที่ใด?  มองไปที่สิ่งที่มองเห็นได้ คือสถานการณ์บนโลกขณะนี้ หรือมองไปในโลกวิญญาณ  ที่ตามองไม่เห็น สัมผัสไม่ได้  แต่มันเป็นอยู่จริง เรารู้ เพราะอยู่ในใจ  พระวิญญาณยืนยันตามนั้น  ตามถ้อยคำพระเจ้า ซึ่งเป็นความจริง  เห็นไหม ความจริงจะทำให้เราเป็นไท? เพราะอย่างนี้แหละ 2 โครินธ์ 4:18 ที่เราได้พูดกันครั้งที่แล้ว  ก็สรุปไว้อย่างนี้ …

2 โครินธ์ 4:18  “ดังนั้น เราจึงไม่จับตามองดูสิ่งที่มองเห็นอยู่ แต่จับตาดูสิ่งที่มองไม่เห็น  เพราะสิ่งที่มองเห็นอยู่นั้น เป็นเพียงชั่วคราว เดี๋ยวมันก็ผ่านไป ไม่ยั่งยืน (เหมือนเงา) แต่สิ่งที่มองไม่เห็นนั้น เป็นถาวรนิรันดร์”

 

พระเจ้าจึงสอนเรา แนะนำเรา เมื่อเรารู้ความจริงอย่างนี้แล้ว ก็ควรจะทำอย่างนี้  คือจับจ้อง จดจ่อ สนใจ ให้รายละเอียด ฝังความคิด ตั้งเป้าหมายไว้ที่สิ่งที่มองไม่เห็น ก็คือในโลกวิญญาณที่มีอยู่จริงๆ และมีถาวรนิรันดร์ แทนที่จะมองไปในสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในปัจจุบันที่ทำให้เราทุกข์  ที่จับต้องมองเห็นได้เหล่านี้  มันอยู่ชั่วคราวจริงๆ  สิ่งที่เราเห็นบนโลกใบนี้ มันเป็นของชั่วคราว มันเป็นแค่เงาเท่านั้นเอง อย่าไปจับเงา เหมือนคว้าลม แต่ให้คว้าของจริงดีกว่า

และวันนี้เราจะมาดูกันต่อว่า ณ เวลานี้  ที่สถานการณ์ความทุกข์ยากลำบาก  ก็ยังมีให้เห็นอยู่ เต็มไปหมด  มากขึ้นทุกวันด้วยสถานการณ์ไม่ได้ดีขึ้นเลย  ขณะที่ภัยเข้ามาใกล้ตัวมากขึ้นทุกวันๆ  ความหวังของท่านฝากเอาไว้ที่ใด?  ในขณะที่เรายังอยู่บนโลกใบนี้อยู่  แน่นอนเราทุกคน ก็ยังต้องเผชิญความทุกข์ลำเค็ญ ในสารพัดรูปแบบทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นความทุกข์จากเศรษฐกิจ ความทุกข์จากสุขภาพ ความทุกข์จากปัญหาครอบครัว  ความแตกแยกกันในครอบครัว  ความรักที่เสื่อมคลาย ปัญหาสังคม  ความเกลียด ความเห็นแก่ตัว  ความชั่วอะไรต่างๆ เยอะแยะไปหมด นี่คือความทุกข์ ขณะที่ดำเนินบนโลกใบนี้  ถึงแม้ว่าเราจะเชื่อพระเจ้า เป็นลูกพระเจ้า  ได้รับการบังเกิดใหม่แล้วก็จริง แต่เราก็ยังอยู่บนโลกใบนี้อยู่ ก็จะเผชิญกับความทุกข์ยากลำบากเหล่านี้ ไม่แตกต่างอะไรกับผู้คนบนโลกใบนี้ทั้งหมดเลย  พูดกันตรงๆ ไม่ใช่มนุษย์ทุกคนทนทุกข์อย่างนี้นะ สรรพสิ่งทั้งหลายบนโลกใบนี้ ที่พระเจ้าทรงสร้าง ได้บันทึกไว้ในพระคัมภีร์ว่าก็ทนทุกข์ไปพร้อมๆ กับพวกเรานี่แหละ

ถ้าเป็นอย่างนั้น “ความหวังของท่านอยู่ที่ไหน?” นี่คือหัวข้อเรื่องในวันนี้ ท่านลองถามตัวเอง ใช้เวลานิ่งๆ สักเสี้ยววินาที นึกถึงว่าความหวังของท่านอยู่ที่ไหน? ในขณะนี้ หยุดคิดเรื่องข่าวร้าย ข่าวโควิด  ข่าวผลกระทบโควิด หยุดคิดสักแป๊บหนึ่ง แล้วดูว่าความหวังของเราอยู่ที่ไหน?  ความหวัง เป้าหมายในชีวิตของเราอยู่ที่ไหน ในสถานการณ์ตอนนี้  ยกตัวอย่างไวรัสกำลังระบาดหนัก ทั่วโลกในขณะนี้

ถ้าคิดตามหลักของโลกนี้ หลายคนก็คงฝากความหวัง … หวังว่า …

“ไวรัสตัวนี้จะถูกเอาชนะโดยมนุษย์ ด้วยวัคซีน หยุดระบาดเร็วๆ นี้มั้ง คงจะมียาเข้ามารักษาแล้วล่ะ ความหวังอยู่ที่นี่”

หรือคนที่มีปัญหาเรื่องปากท้อง ก็คงคิดว่า … “อีกสัก 3 เดือน 6 เดือน ร้านเรา การทำมาหากิน คงจะทำได้เป็นปกติดี เศรษฐกิจคงจะฟื้นตัวเร็วๆ นี้”

หรือคนที่มีปัญหาเรื่องสุขภาพอยู่ตอนนี้  เครียดอยู่ หรือสุขภาพเรื่องอื่นๆ  ก็มีความหวังว่าเมื่อไรจะหายสักทีหนึ่ง ใช่ไหมครับ?

ความหวังของทุกคนเป็นอย่างนี้ ไม่ว่าใครก็ตามบนโลกใบนี้ ในขณะนี้  ซึ่งมันไม่ผิด เป็นเรื่องธรรมดาของมนุษย์ เพราะมนุษย์ถูกสร้างมาตั้งแต่สมัยโน้น  ตั้งแต่ตอนเริ่มต้นปฐมกาล  มนุษย์ถูกสร้างมาให้มีความสุข เพราะฉะนั้น จิตใต้สำนึก บุคลิกของมนุษย์ทุกคนต้องการความสุข บนโลกใบนี้ เพราะว่าเขาถูกสร้างมาให้มีความสุข อยู่ในสวนเอเดน พูดง่ายๆ คือไม่ต้องทำอะไรเลย เสวยสุขอย่างเดียว จริงๆ เลย  พระเจ้าสร้างทุกอย่าง ทำให้อย่างดีทุกอย่าง ครบหมด บริบูรณ์เลย  ถ้าไม่มีคำสาปแช่งเข้ามา มนุษย์ก็จะอยู่อย่างราชา ไม่มีความทุกข์ยากลำบาก  มีแต่ความสุข

เพราะถึงแม้ว่ามนุษย์จะเอาคำสาปแช่ง โดยผ่านทางการไม่เชื่อฟังพระเจ้า ตกลงไปในความบาป ตั้งแต่สมัยอาดัม-เอวา คำสาปแช่งเข้ามาก็จริงอยู่ แต่เผ่าพันธุ์มนุษย์ ก็ยังมีเชื้อสายที่พระเจ้าได้สร้างขึ้นมาให้มีความต้องการที่จะอยู่อย่างมีความสุขบนโลกใบนี้

นี่จึงเป็นเหตุให้ทุกคนไขว่คว้าหาความสุข เพราะว่าความสุขถูกทำให้หายไปแล้ว มันไม่มีแล้ว มันมีแต่ของปลอม โลกใบนี้มันถูกสาปแช่งไปเรียบร้อยแล้ว  มันมีแต่ความทุกข์ แต่ปรากฏว่าจิตใต้สำนึกของมนุษย์ยังไขว่คว้าหาความสุขเหมือนเดิมอยู่  มันก็เลยยิ่งทุกข์ดับเบิ้ล เพราะมันไม่รู้ความจริง เพราะฉะนั้น มันไม่ได้แปลกเลยว่ามนุษย์ทุกคนไขว่คว้าหวังว่าจะมีความสุขบนโลกใบนี้

เราจะเห็นได้ว่าถ้าเราฝากความหวังไว้กับสิ่งของ หรือสถานการณ์บนโลกใบนี้ ซึ่งมันมีแต่ความทุกข์ โลกนี้เป็นทุกข์ เป็นเรื่องจริง  ชีวิตมีแต่ทุกข์ เป็นเรื่องจริง  ที่หนีไม่พ้น แล้วเราไปฝากความหวังว่ามันจะมีสุขขึ้นมา แล้วเราจะได้รับอะไร?

สถานการณ์บนโลกใบนี้ ที่จับต้องมองเห็นได้ สัมผัสได้  มันจะวนเวียนอยู่ในชีวิตของมนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้ คือความทุกข์ลำบาก  ซึ่งถ้าเราไปฝากความหวังไว้ ความหวังของเรา ก็เป็นความหวังที่เหมือนลมๆ แล้งๆ เปล่าประโยชน์ พระคัมภีร์ไบเบิ้ลบอกว่ากินลม กินแล้ง หวังในเงา ฉวยเงา ก็ไม่เจออะไรเลย แต่สำหรับความจริงที่พระเจ้าได้บอกผู้ที่เชื่อในพระองค์ เชื่อในพระเยซูที่เราเรียกว่าเป็นคริสเตียนแล้ว ก็คือผู้ที่เชื่อในข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์ ก็คือความหวังในพระเยซูคริสต์ ไม่ใช่ความหวังแห่งความสุขบนโลกใบนี้  ไม่ใช่ความหวังในสถานการณ์บนโลกใบนี้ว่าจะเปลี่ยนไป นั่นเป็นความหวังที่ฝากไว้ในพระเยซูคริสต์ต่างหาก แต่ความหวังจริงๆ  ที่เราได้รับแล้ว ในการมาเชื่อพระเยซูคริสต์ เป็นคริสเตียนแล้ว คือเรามีความหวังในชีวิตนิรันดร์ในพระคริสต์ ในสวรรค์แล้ว เรานั่งอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้า ในสวรรค์สถานแล้ว  ซึ่งแม้จะเป็นความหวังที่มองไม่เห็น สัมผัสไม่ได้ ณ วันนี้ ณ ขณะนี้ แต่ด้วยความเชื่อเรามั่นใจ มีอยู่จริงๆ และเป็นอยู่ในใจ เพราะพระวิญญาณบริสุทธิ์สถิตอยู่ข้างใน เป็นพยานยืนยัน บอกเราข้างในว่ามันเป็นจริงตามนั้น

นี่แหละ เราจึงมีความหวังในสิ่งที่โลกใบนี้ไม่สามารถจับต้องมองเห็นได้ แต่ด้วยความเชื่อ เราสามารถเห็น สามารถสัมผัสได้ทางวิญญาณ และนี่คือความหวังเดียวของชีวิตคริสเตียนที่มาเชื่อพระเจ้าบนโลกใบนี้  ก็คือความหวังในชีวิตนิรันดร์ ชีวิตที่เหมือนพระเจ้า ที่ได้รับเรียบร้อยแล้ว  ชีวิตที่ได้บังเกิดใหม่ในพระคริสต์ ชีวิตที่ได้เป็นเหมือนพระเยซู นั่งอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้า ในสวรรค์สถานร่วมกับพระเยซูแล้วเดี๋ยวนี้ เรียบร้อยแล้ว นี่คือความหวังของเราผู้เป็นคริสเตียน

คริสเตียนในยุคแรกๆ ที่ประสบปัญหาความทุกข์ยากลำบากมากมายมหาศาล  ถูกข่มเหงอย่างรุนแรง ถูกเอาไปแสดงโชว์ ในการต่อสู้กับสัตว์ร้าย ให้สัตว์ร้ายกิน หรือเอาไปฆ่ากันเอง เพื่อเป็นการโชว์ให้กับชาวโรมัน ในการเข้ามาดู เหมือนดูการแสดงอะไรต่างๆ  ถูกทรมานอย่างมากมาย แล้วความหวังของเขาอยู่ที่ไหนในขณะนั้น? ความหวังของเขาอยู่ที่การเป็นขึ้นจากตาย การมีชีวิตนิรันดร์ที่ครบถ้วนบริบูรณ์ หลังความตายฝ่ายร่างกายนี้  นี่คือความหวังของเขา  ของคริสเตียน ทุกยุค ทุกสมัย  ความหวังของคริสเตียน อยู่ที่ตรงนี้  ซึ่งพระเจ้ายืนยันในพระคัมภีร์ คือความหวังในชีวิตหลังความตาย  ซึ่งไม่ว่าความทุกข์ทรมานขนาดไหน?  หรือความสุขขนาดไหนที่ได้รับบนโลกใบนี้ ในขณะนี้ ก็ไม่สามารถเทียบกันได้เลย  เหมือนเงากับของจริงที่ผมบอกไปแล้ว เหมือนฟ้ากับเหว

ความสุขขนาดไหนบนโลกใบนี้ ที่จับต้องมองเห็นได้ ความทุกข์ขนาดไหนบนโลกใบนี้ ที่จับต้องมองเห็นได้  จะมาเทียบกับชีวิตหลังความตาย  คือชีวิตนิรันดร์ในพระเจ้า ในสวรรค์สถาน ที่พระเจ้าจัดเตรียมให้กับผู้เชื่อเรียบร้อยไปแล้วนั้น เทียบกันไม่ติดเลย  และความรอดสู่ชีวิตนิรันดร์ ตรงนี้เป็นความหวังที่ยอดเยี่ยมมาก อัศจรรย์ใจใหญ่ยิ่ง  เพราะไม่ได้เป็นความหวังแบบมนุษย์ที่บอกว่าเรามีความหวัง เป็นความหวังที่เป็นอนาคตว่าเราหวังว่าจะได้ในขณะนี้ แต่ความหวังที่เป็นความรอดสู่ชีวิตนิรันดร์ในพระเยซูคริสต์ เป็นความหวัง เป็นความรอด  ที่เป็นขบวนการ มีจุดเริ่มต้น และมีจุดสำเร็จสุดท้าย

จุดเริ่มต้น จุดแรก คือเมื่อคนๆ นั้น เชื่อในข่าวดีของพระเยซูคริสต์ พระวิญญาณบริสุทธิ์ ผู้ทรงชุบพระเยซูให้เป็นขึ้นจากความตาย ก็จะเข้าไปในร่างกายของคนๆ นั้น  และเริ่มการงาน ขบวนการความรอดนิรันดร์ทันทีในคนๆ นั้น จนไปถึงจบขบวนการ คือชีวิตนิรันดร์แบบ Full option เพราะฉะนั้น ความหวังอย่างนี้ จึงเป็นความหวังที่พิสูจน์ได้ เมื่อเราเป็นคริสเตียน เมื่อเราเชื่อในพระเจ้าแล้ว เชื่อในข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์แล้ว เมื่อเปิดใจต้อนรับพระเยซู เป็นพระผู้ช่วยให้รอดแล้ว เกิดอะไรขึ้น พระวิญญาณบริสุทธิ์ ก็จะเสด็จเข้ามาในร่างกายเรา  มาบัพติศมาเรา  มาจุ่มเรา นำเราเข้าส่วน เข้าไปในพระเยซูคริสต์ที่ไม้กางเขน ให้ตัวเก่าของเรา คือวิญญาณเก่า พร้อมกับความคิดจิตใจได้ตายพร้อมพระเยซูคริสต์ ที่ไม้กางเขน  ได้ถูกฝังไว้ในอุโมงค์ และวันที่สามได้เป็นขึ้นจากความตาย  พร้อมกับพระเยซูคริสต์ พระวิญญาณได้เข้ามา เราเรียกกันว่าการผ่าตัดทางวิญญาณ เพื่อขบวนการที่เราได้รับการบังเกิดใหม่ พร้อมพระเยซูคริสต์ ตอนที่พระเยซูถูกชุบให้เป็นขึ้นจากความตาย  เราที่มีส่วนในพระองค์ ในการตายที่ไม้กางเขน ฝังไว้ในอุโมงค์ เราก็มีส่วนในการเป็นขึ้นจากความตายพร้อมพระเยซูคริสต์ด้วยเช่นเดียวกัน

นั่นคือการบังเกิดใหม่ในวิญญาณของเรา และความคิดจิตใจใหม่  เห็นไหมครับ ณ นาทีที่เราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอด เมื่อเราเอ่ยปากว่าเราเชื่อในข่าวดีนี้ จริงๆ เชื่อว่าพระเยซูคริสต์เป็นผู้ช่วยให้รอดจากบาป เชื่อว่าพระเยซูคริสต์เป็นพระมาซีฮาห์ เป็นผู้ที่พระเจ้าเจิมตั้งไว้ ให้เสด็จมาเกิดเป็นมนุษย์ ช่วยเหลือมนุษย์ให้พ้นจากบาป  ให้ได้รับชีวิตนิรันดร์  เมื่อเราเชื่อเปิดใจต้อนรับ ขบวนการนี้เกิดขึ้นทันที พระวิญญาณบริสุทธิ์เข้าไปผ่าตัดวิญญาณเรา ทำให้เราบังเกิดใหม่  มีวิญญาณใหม่ที่เหมือนพระเยซู มีความคิดจิตใจที่เหมือนพระเยซู  บันทึกไว้อย่างนี้เลย

เหมือนพระเยซู คือเหมือน เต็มด้วยสง่าราศี เป็นลูกของพระเจ้าเลย ทันที วิญญาณที่เป็นตัวจริงๆ ของเรากับความคิดจิตใจของเรา จึงเหมือนพระเยซูคริสต์ทันที และในพระคัมภีร์บอกว่าและได้นั่งอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้าในสวรรค์สถาน ร่วมกับพระเยซู ได้อยู่ในสวรรค์แล้วทันทีเลย ไม่ต้องรอ  ไม่ใช่ว่ารอตายแล้ว จึงไปอยู่ในสวรรค์ อยู่ในสวรรค์ทันที ขณะที่เรารับเชื่อ  ขณะที่เราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ พระองค์ได้ทรงประทานพระวิญญาณบริสุทธิ์เข้ามา ย้ายเราออกจากอาณาจักรของความมืด ย้ายเราออกจากอาณาจักรของความบาป เข้ามาสู่อาณาจักรสวรรค์ อาณาจักรแห่งแสงสว่างของพระบุตร ย้ายเราออกจากตระกูลเดิม คืออาดัม เข้ามาสู่ตระกูลใหม่ คือพระคริสต์ ทำให้วิญญาณเรา ที่ตายอยู่ เข้ากับพระเจ้าไม่ได้ เป็นบาปนั้น ได้กลายเป็นลูกของพระเจ้า  ทันทีเลย

นี่เปรียบเหมือนมัดจำ ในขบวนการความรอด นิรันดร์ในพระเยซูคริสต์ แต่ยังไม่ Full option  เพราะว่าพอเราเป็นคริสเตียนแล้ว เราเชื่อแล้ว เราก็ยังอาศัยอยู่ในร่างกายเก่า นี่แหละคือความหวังใจของคริสเตียน ไม่ได้หวังใจว่าจะไปอยู่ในสวรรค์ เพราะเราอยู่ในสวรรค์แล้ว  มั่นใจแล้ว พระวิญญาณบริสุทธิ์ยืนยันแล้วว่าเราอยู่ในสวรรค์แล้ว เป็นลูกของพระเจ้า พระวิญญาณยืนยันให้เราเรียกพระเจ้าว่าพระบิดา พ่อ  เราเป็นลูกของพระเจ้า ได้รับการยืนยันจากภายใน เป็นทายาทที่ได้รับมรดกจากพระเจ้าด้วยนะ  ยืนยันจากภายใน

และความหวังของเรา คือเรารู้แล้วว่าเราเป็นใคร?  เราเป็นลูกพระเจ้า เกิดใหม่แล้ว ในวิญญาณ และความคิดจิตใจที่เหมือนพระเยซู เป็นน้องพระเยซู แต่เรารอคอยความหวังนิดเดียว คือจะได้เข้าไปอยู่ในร่างกายใหม่ สวมร่างกายใหม่ มาแทนที่ร่างกายปัจจุบัน ที่มันทุกข์ลำบากในการดำเนินชีวิต บนโลกใบนี้  ที่มันติดโควิด ที่มันกลัวโควิด  ที่มันเกิดความทุกข์ยากลำบาก มันกลัวโน่นกลัวนี่ วิตกกังวล อ่อนแอเหลือเกิน  นี่เราหวังตรงนั้น นี่คือความรอดอย่าง Full option ครบถ้วนบริบูรณ์  ก็คือวิญญาณและความคิดจิตใจ ที่บังเกิดใหม่เรียบร้อยแล้วนั้น  ได้ถูกย้ายเข้าไปอยู่ในร่างกายใหม่ อย่างครบถ้วนบริบูรณ์  เมื่อตายออกจากร่างกายนี้แล้ว นี่คือความหวังของคริสเตียน

เพราะฉะนั้น มันเทียบกันไม่ได้เลยนะกับความทุกข์ยากลำบาก  ที่บนโลกใบนี้มันแป๊บเดียวเอง  นี่คือความหมายของคำว่าความรอดนิรันดร์ แบบ Full option แบบครบถ้วนบริบูรณ์  ที่เป็นความหวังของคริสเตียนทั้งหลาย  ในโรม 8:10-11 ที่เราได้อ่านไปเมื่อครั้งที่แล้ว วันนี้เอามาย้ำอีกนิดหนึ่ง …

โรม 8:10-11 “10 ถ้าพระคริสต์สถิตในท่าน แม้ว่ากายภายนอกของท่านต้องตาย เพราะอยู่ใต้กฎของความบาปและความตาย แต่วิญญาณภายในของท่านเป็นชีวิตนิรันดร์ (ที่เหมือนพระเยซู) เพราะความชอบธรรม (บังเกิดใหม่ เป็นผู้ชอบธรรมแล้ว) 11 และถ้าพระวิญญาณของพระเจ้า ผู้ทรงได้ชุบพระเยซูให้เป็นขึ้นจากความตาย สถิตอยู่ภายในท่าน พระองค์ผู้ทรงชุบพระเยซู ให้เป็นขึ้นจากความตายนี้ ก็จะประทานชีวิตนิรันดร์ (ที่เหมือนพระเยซู) ให้แก่อวัยวะต่างๆ ของร่างกายภายนอก ที่กำลังเสื่อมสลายของท่านนี้ ด้วยเช่นกัน โดยผ่านทางพระวิญญาณบริสุทธิ์ ผู้ทรงสถิตอยู่ในท่าน”

 

“ถ้าพระคริสต์สถิตในท่าน ก็หมายถึงท่านเป็นคริสเตียนแล้ว  พระคริสต์สถิตอยู่ในท่าน พระเจ้าสถิตอยู่ในท่าน ถ้าเป็นอย่างนั้น กายภายนอกของท่านที่ต้องตาย เพราะอยู่ใต้กฎของความบาป ก็คือต้องตาย ที่ตะกี้นี้บอก  แต่วิญญาณภายในของท่าน เป็นชีวิตนิรันดร์ที่เหมือนพระเยซู เพราะท่านบังเกิดใหม่  เป็นผู้ชอบธรรมแล้ว  ยืนยันตามนั้น

“และถ้าพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า  ทรงได้ชุบพระเยซูให้เป็นขึ้นจากความตาย  สถิตอยู่ภายในท่าน ในขณะนี้  พระองค์ผู้ทรงชุบพระเยซูให้เป็นขึ้นจากความตายนี้  ก็จะประทานชีวิตนิรันดร์ที่เหมือนพระเยซูให้แก่อวัยวะต่างๆ ของร่างกายภายนอก ที่กำลังเสื่อมสลายของท่านด้วยเช่นกัน โดยผ่านทางพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่ทรงสถิตอยู่ภายในท่าน” ก็หมายถึงขณะที่เรากำลังดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ พระวิญญาณทรงสถิตอยู่กับเรา วิญญาณเราเกิดใหม่แล้ว  เหมือนพระเยซู ความคิดจิตใจเหมือนพระเยซูแล้ว แต่ร่างกายที่ต้องตายอยู่นี้  กำลังเดินอยู่บนโลกใบนี้ กำลังพบกับความทุกข์เหล่านี้ พระวิญญาณก็เสริมกำลัง ประทานฤทธิ์อำนาจที่เรียกว่าชีวิตนิรันดร์ ปกคลุมอยู่เหนือร่างกายนี้ตลอดเวลา  เพื่อนำพาเราไปสู่การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ เป็น Full option ก็คือนำพาเรา ปกคลุมเราด้วยชีวิตนิรันดร์ในร่างกายที่ต้องตายนี้ จนกว่าร่างกายนี้จะสูญสิ้นไป  และนำพาเราไปสวมร่างกายใหม่ ร่างกายที่เป็นขึ้นจากความตาย ที่เหมือนพระเยซูคริสต์นั่นแหละ

เพราะฉะนั้น สิ่งที่คริสเตียนหรือผู้เชื่อที่หวังไว้ ก็คือการเป็นขึ้นจากความตาย เหมือนพระเยซู ไม่ใช่เป็นขึ้นจากความตาย ทางวิญญาณ และความคิดจิตใจ ซึ่งได้รับเรียบร้อยไปแล้ว  นั่งอยู่ที่ในสวรรค์สถานแล้วเท่านั้น อันนี้ได้ไปแล้ว  แต่ที่หวัง ที่ยังไม่ได้ ก็คือจะไปสวมร่างกายใหม่ ที่เรียกว่าร่างกายที่เป็นขึ้นจากความตาย  ที่เหมือนพระเยซูนั่นแหละ

ซึ่งมีตัวอย่าง มีคำพยานให้เห็นเยอะแยะมากมาย ในพระคัมภีร์ก็บอกไว้ว่าพระองค์ทรงเป็นขึ้นจากความตาย และทรงปรากฏให้กับสาวกและบรรดาคนอีกมากมายในช่วงเวลานั้น  เรามาอ่านคำพยานเหล่านี้ ที่ 1 โครินธ์ 15:1-7 จะได้รู้ว่านี่คือหลักการของคริสเตียน ตั้งแต่สมัยยุคแรกว่าเขาหวังอะไร?  ชีวิตเขาฝากไว้ที่ไหน? อะไรที่สำคัญที่สุดในความหวัง หรือความต้องการของคริสเตียน  หลังจากที่เชื่อแล้ว  ได้รับการบังเกิดใหม่ เป็นวิญญาณที่เหมือนพระเยซูแล้ว  ความคิดจิตใจ ก็เหมือนพระเยซู แล้วต้องการอะไรอีกล่ะ  นี่คือสิ่งที่เขาต้องการ  ก็คือร่างกายใหม่ที่เป็นขึ้นจากความตายเหมือนพระเยซู ที่เป็นตัวอย่างการเป็นขึ้นจากความตาย ที่มาปรากฏตัวให้เห็นเลย …

1 โครินธ์ 15:1-7 “1 พี่น้องทั้งหลาย ข้าพเจ้าอยากเตือนท่านให้ระลึกถึงข่าวประเสริฐ ที่ข้าพเจ้าได้ประกาศแก่ท่าน ซึ่งท่านได้รับไว้ และตั้งมั่นอยู่บนฐานนี้ 2 ถ้าท่านยึดมั่นในถ้อยคำที่ข้าพเจ้าประกาศแก่ท่าน ท่านก็จะรอด โดยข่าวประเสริฐนี้ มิฉะนั้น ท่านก็เชื่อ โดยเปล่าประโยชน์  3 เพราะเรื่องที่ข้าพเจ้าได้รับมานั้น เป็นเรื่องที่สำคัญที่สุด และข้าพเจ้าได้ถ่ายทอดให้ท่าน คือพระคริสต์ทรงวายพระชนม์ เพราะบาปของเรา ตามที่เขียนไว้ในพระคัมภีร์ 4 ทรงถูกฝังไว้ และในวันที่สาม พระเจ้าทรงให้พระองค์เป็นขึ้นจากตาย ตามที่พระคัมภีร์ระบุไว้ 5 และทรงปรากฏแก่เปโตร จากนั้น ปรากฏแก่อัครทูตทั้งสิบสองคน 6 ต่อมา พระองค์ทรงปรากฏแก่พวกพี่น้อง กว่าห้าร้อยคนในคราวเดียว ซึ่งส่วนใหญ่ยังมีชีวิตอยู่ แม้บางคนได้ล่วงลับไปแล้ว 7 จากนั้น พระองค์ทรงปรากฏแก่ยากอบ และแก่อัครทูตทั้งปวง 8 และในท้ายที่สุด พระองค์ทรงปรากฏแก่ข้าพเจ้าด้วย ผู้เป็นเหมือนทารกที่คลอดผิดปกติ”

 

ในข้อที่ 3 บอกว่าเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุด คือพระคริสต์ทรงวายพระชนม์  เพราะบาปของเรา  ตามที่เขียนไว้ในพระคัมภีร์  ทรงถูกฝังไว้ และในวันที่สาม  พระเจ้าทรงให้พระองค์เป็นขึ้นจากตาย ตามพระคัมภีร์ระบุไว้

อะไรสำคัญที่สุด? พระเยซูเป็นขึ้นจากความตาย  และทรงปรากฏแก่เปโตร จากนั้นปรากฏแก่อัครทูตทั้ง 12 คน ต่อมาพระองค์ทรงปรากฏแก่พวกพี่น้องกว่า 500 คนในคราวเดียว

500 คน ในสมัย 2,000 ปีที่แล้ว ลองคิดดูสิ เทียบกับปัจจุบัน ควรเป็นกลุ่มใหญ่เท่าไร?  และข้อสำคัญ ก็คือผู้คนเหล่านี้ ส่วนใหญ่ยังมีชีวิตอยู่ เมื่อ 2,000 ปีก่อน ที่เปาโลเขียน หลายคนส่วนใหญ่ยังมีชีวิตอยู่  ไปสัมภาษณ์เขาได้เลย ไปคุยกับเขาได้เลย  บางคนล่วงหลับไปแล้ว  บางคนทิ้งร่างนี้ไปแล้ว เข้าไปอยู่ในสวรรค์เรียบร้อยไปแล้ว รับร่างกายใหม่เรียบร้อยแล้ว เข้าไปอยู่ในสวรรค์นี้ อยู่ๆ แล้วนะ  หมายถึงเข้าไปอยู่ในสวรรค์ แบบ Full option เลย

นี่คือสิ่งที่สำคัญมาก นี่คือหัวใจ แรงจูงใจให้กับบรรดาคริสเตียน คือความหวังเดียวของคริสเตียนที่หวังไว้ ไม่ใช่หวังว่าจะไปสวรรค์ เพราะคริสเตียนเขามีความมั่นใจ  โดยพระวิญญาณบริสุทธิ์แล้วว่าเขาเป็นลูกของพระเจ้า นั่งอยู่กับพระเจ้าในสวรรค์สถานแล้ว พระวิญญาณบริสุทธิ์สถิตอยู่ด้วย เพราะฉะนั้น พระเจ้าสถิตอยู่ด้วยแล้วตอนนี้  เดินอยู่บนโลกนี้ พระเจ้าก็สถิตอยู่แล้ว ทั้งพระเจ้าพระบิดา พระเจ้าพระบุตรพระเยซูคริสต์ พระเจ้าพระวิญญาณบริสุทธิ์ ก็อยู่ในร่างกายเรานี่แหละ เราอยู่ในสวรรค์ อยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้าเรียบร้อยแล้ว ไม่ได้หวังว่าจะไปสวรรค์นะ  แต่ความหวัง คือหวังว่าจะพ้นทุกข์จากร่างกายที่จะต้องตายนี้ พระเจ้าสัญญาไว้ว่าเขาจะได้รับร่างกายใหม่  แทนร่างกายนี้ เมื่อร่างกายนี้สิ้นสุดลง  และร่างกายใหม่ที่จะได้รับนั้น จะเป็นร่างกายที่เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์ ตอนที่พระองค์เป็นขึ้นจากความตาย  มาปรากฏให้กับผู้คนได้เห็น ตามที่เราได้อ่าน เป็นพยานเมื่อสักครู่นี้ จับต้องได้ แตะต้องได้ กอดพระองค์ได้ พระองค์ทานอาหารร่วมกันได้ พระองค์เดินผ่านทะลุกำแพงเข้ามา พระองค์ลอยขึ้นไปสู่สวรรค์ เราก็จะเป็นอย่างนั้น ท่านลองคิดดู แรงบันดาลใจนี้ทำให้อัครสาวกและผู้เชื่อในสมัยโน้น ตายก็ไม่กลัวแล้ว  ทุกข์ยากลำบากก็ไม่กลัว มันแป๊บเดียว ดีด้วยซ้ำไป แป๊บเดียว  กลายเป็นดีไปอีก เหมือนที่เปาโลบอก …

“อยู่ก็อยู่เพื่อพระคริสต์ จากไป ก็ดีเหมือนกัน จะได้ไปพบกับพระเยซูหน้าต่อหน้า อยู่ก็อยู่เพื่อทำงาน  ถวายเกียรติต่อพระเจ้า  ประกาศข่าวดี ถ้าเกิดหมดภาวะในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ คือตายจากร่างกายนี้ ก็ได้ไปปรากฏพบพระเจ้าหน้าต่อหน้า ดีกว่าตั้งเยอะ”

ความหวังใจ ทัศนะคติของคริสเตียนแท้จริง ในความเชื่อ คืออย่างนี้ ซึ่งเราเอามาใช้กับในปัจจุบันได้ อย่างมากมายเลย เพราะปัจจุบันนี้ ความทุกข์ยากลำบากยังน้อยกว่าในสมัยนั้นตั้งเยอะ

ใน 1 โครินธ์ 15:29-32 จึงได้เห็นชัดเจนว่าแรงจูงใจที่อัครสาวกเหล่านี้ เสี่ยงชีวิต ทำอะไรต่างๆ เหนื่อยยาก มากขึ้นอีกกว่ามนุษย์มนาปกติทั่วๆ ไป หรือพูดง่ายๆ ว่าทุกคนที่อยู่บนโลกใบนี้ ก็ทุกข์ยากลำบาก มากอยู่แล้ว แต่การเป็นอัครสาวก และต้องรับใช้ พระเจ้าในการประกาศข่าวประเสริฐ ในยุคแรกๆ  ต้องใช้กำลังความเชื่อ  ชนะความกลัวขนาดไหน? ลองอ่านดูนะครับ …

1 โครินธ์ 15:29-32 “29 เมื่อเป็นเช่นนั้น ถ้าไม่มีการเป็นขึ้นจากตายแล้ว บรรดาผู้ที่รับบัพติศมาสำหรับคนตายจะทำอย่างไร ถ้าคนตายไม่คืนชีวิต ทำไมยังมีคนรับบัพติศมา เพื่อผู้ตาย  30 และสำหรับเรา ทำไมเราจึงต้องเผชิญภยันตรายอยู่ทุกเวลา 31 ข้าพเจ้าตายทุกวัน พี่น้องทั้งหลาย ข้าพเจ้าหมายความเช่นนั้น สิ่งนี้แน่นอน เหมือนที่ข้าพเจ้าภาคภูมิใจในพวกท่าน ในพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา 32 ถ้าข้าพเจ้าต่อสู้กับพวกสัตว์ป่าในเอเฟซัส เพียงเพื่อ เหตุผลของมนุษย์ ข้าพเจ้าได้อะไร หากพระเจ้าไม่ได้ให้คนตายเป็นขึ้นมา “ให้เรากินและดื่ม เพราะพรุ่งนี้ เราก็ตายแล้ว”

 

โอ้โห! สามารถพูดได้กับเหตุการณ์ปัจจุบันอย่างมากเลย

อาจารย์เปาโลบอกว่าถ้าไม่มีการเป็นขึ้นจากความตาย  เหมือนที่พระเยซูเป็นขึ้นจากความตาย เป็นตัวอย่างแล้ว บรรดาผู้ที่รับบัพติศมา สำหรับคนตายจะทำอย่างไร?  “บัพติศมา” แปลว่าเข้าส่วนร่วม บรรดาผู้ที่เข้าส่วนร่วมในพระเยซู คือตายพร้อมพระเยซูที่ไม้กางเขน จะมีความหวังอะไรล่ะ จะทำอย่างไร ถ้าคนตายไม่ฟื้นคืนชีวิตขึ้นมา  คือตายแล้วตายเลย ทำไมยังมีคนมารับบัพติศมา เพื่อผู้ตาย ยังมีคนเข้าส่วนเป็นหนึ่งเดียวกับพระเยซูคริสต์ คือเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เป็นผู้ช่วยให้รอด เป็นผู้เชื่อ  เป็นคริสเตียนอีกมากมาย  เขาจะมาทำไม? ในเมื่อมาแล้ว ก็ไม่มีความหวังอะไรเลย  ก็เพราะว่าพระเยซู ก็ไม่ได้เป็นขึ้นจากความตาย  เปล่าประโยชน์

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง “เรา” ในที่นี่ สำหรับอัครสาวก เหล่าทีมผู้ประกาศในสมัยยุคแรก ซึ่งต้องเสี่ยงชีวิตมากมายอยู่ตลอดเวลานั้น ถ้าไม่มีความหวังว่าชีวิตนี้ รอคอยวันที่ออกจากร่างนี้ และจะได้รับร่างกายใหม่ ที่เป็นขึ้นจากความตาย เหมือนพระเยซู จะไปทำงานเหล่านี้ มีความหวังอะไร? จะไปเสี่ยงชีวิต เพื่อประกาศข่าวประเสริฐเรื่องพระเยซูคริสต์ทำไม?

ข้อ 31 บอกว่าข้าพเจ้าตายทุกวัน  คำว่า “ข้าพเจ้าตายทุกวัน” หมายถึงเรื่องจริงๆ คืออาจารย์เปาโลบอกว่าอัครสาวกทั้งทีม เผชิญอันตรายอยู่ทุกเวลา แต่เฉพาะของอาจารย์เปาโลตายทุกวัน ก็คือเป็นตัวเอกเลยที่เขาจ้องจะฆ่า ทั้งชาวยิวที่ยังไม่เข้าใจเรื่องข่าวประเสริฐ หาว่าเปาโลทรยศ และยังผู้คนอื่นๆ ที่ไม่ใช่ยิว ที่เสียผลประโยชน์จากการที่เปาโลไปประกาศข่าวเรื่องพระเยซูคริสต์ ทำให้คนกลับใจใหม่  เพราะฉะนั้น คนเหล่านี้ คิดแผน จ้องฆ่า ถึงขนาดสาบานว่าจะต้องฆ่าเปาโลให้ได้เลยนะ วางแผนฆ่าตลอดเวลา

แต่ในนี้บอก “ข้าพเจ้าตายทุกวัน ข้าพเจ้าจะมาทำอย่างนี้ทำไม? เสี่ยงชีวิตอย่างนี้ทำไม? ต้องคอยสู้กับพวกที่วางแผนฆ่า ที่รุนแรง ยกตัวอย่างเหมือนพวกสัตว์ป่าในเอเฟซัส  ก็คือผู้คนที่ทำรุนแรง ข่มเหงเปาโลที่เมืองเอเฟซัส  ข้าพเจ้าจะทำอย่างนี้ เพื่อผลประโยชน์ของมนุษย์หรือ? ไม่มีประโยชน์เลย เสี่ยงชีวิตขนาดนี้  แต่ที่ข้าพเจ้าทำสิ่งเหล่านี้ ก็เพราะว่าพระเยซูเป็นขึ้นจากความตายจริงๆ  และเป็นตัวอย่าง เป็นผลแรก ที่จะทำให้ข้าพเจ้าได้เห็นว่าข้าพเจ้าก็จะเป็นขึ้นจากความตายอย่างนั้นเช่นเดียวกัน เมื่อถึงวันเวลาของข้าพเจ้า” มันหมายถึงอย่างนั้น

พระคัมภีร์บรรยายเปรียบเทียบให้เห็นถึงความแตกต่างระหว่างร่างกายทางโลก คือร่างกายที่เราต้องทุกข์ลำบากขณะนี้ บนโลกใบนี้กับร่างกายที่เป็นขึ้นจากความตาย เหมือนพระเยซู ซึ่งเรียกว่าร่างกายสวรรค์ ใน 1 โครินธ์ 15:40 เขียนไว้อย่างนี้ …

1 โครินธ์ 15:40  “กายก็มีทั้งแบบสวรรค์และแบบฝ่ายโลกเช่นกัน แต่สง่าราศีของกายแบบสวรรค์ก็อย่างหนึ่ง และสง่าราศีของกายแบบฝ่ายโลกก็อีกอย่างหนึ่ง”

 

“สง่าราศีของกายแบบสวรรค์ก็อย่างหนึ่ง สง่าราศีของกายแบบโลกก็อย่างหนึ่ง” สง่าราศี ก็หมายถึงลักษณะชีวิต คล้ายๆสปีชีย์  … สปีชีย์ที่ท่านเห็นอยู่ในร่างกายของพวกเราในขณะนี้  ที่ดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ ขณะนี้ ก็เป็นลักษณะหนึ่ง เป็นสปีชีย์หนึ่ง แต่ร่างกายที่เป็นขึ้นจากความตายเหมือนพระเยซู ที่เรียกว่าร่างกายสวรรค์นั้น เป็นอีกลักษณะหนึ่ง เป็นสปีชีย์หนึ่ง ไม่รู้จะยกตัวอย่างอย่างไร? มันเทียบกันไม่ได้เลย 2 สปีชีย์นี้ เทียบกันเหมือนฟ้ากับเหวเลย

ถ้าพูดง่ายๆ ยกตัวอย่างปัจจุบัน  นี่พยายามยกตัวอย่างพอให้เห็นเฉยๆ  เหมือนลักษณะชีวิต สปีชีย์ที่เป็นตัวอะมีบ้า ตัวเชื้อโรค ตัวแบคทีเรีย มีชีวิตไหม? ไวรัสเขาก็มีชีวิต แต่เอามาเทียบกับลิงสักตัวหนึ่ง  สัตว์ชนิดหนึ่ง สักตัวหนึ่ง เทียบกันไม่ติดเลย นี่ก็ชีวิตหนึ่งเหมือนกัน ลิงตัวหนึ่ง ก็มีชีวิตหนึ่ง อะมีบ้าตัวหนึ่ง ก็มีชีวิตหนึ่ง  แล้วถ้าเอาอะมีบ้าตัวหนึ่ง มาเทียบกับมนุษย์ ยิ่งห่างกันเยอะมากเลย

คำว่า “สง่าราศี” ก็คือแบบ ลักษณะชีวิต เปาโลจึงบอกว่าเปรียบเทียบกันไม่ได้เลย ระหว่างความทุกข์ยากลำบากบนโลกใบนี้ ที่เรากำลังเผชิญอยู่ในร่างกาย ในปัจจุบันนี้กับความรอดนิรันดร์ แบบ  Full option  ที่วิญญาณของเรา ที่บังเกิดใหม่แล้วในพระเยซู ความคิดจิตใจที่เป็นเหมือนพระเยซู ที่ได้นั่งอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้า ที่ในสวรรค์สถานแล้วในขณะนี้  จะไปสวมร่างกายใหม่ที่เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์ ตอนที่เป็นขึ้นจากความตาย ครบ Full option อย่างนี้  มันเทียบกันไม่ได้กับร่างกายปัจจุบันที่มันต้องตาย เจออะไรนิดหนึ่งก็ทุกข์ เจอเตะหิน ก็เจ็บแล้ว  ไม่ต้องเตะหิน ไม่ต้องทำอะไรเลย แค่คิดข่าวร้ายแค่นี้ เครียด  ทุกข์ใจ ลำบาก มีแต่ความทุกข์ลำบาก  โรม 8:18-20 อาจารย์เปาโลจึงเขียนไว้อย่างนี้ว่า …

โรม 8:18-20 “18 ข้าพเจ้าเห็นว่าความทุกข์ยากของเราในปัจจุบัน เทียบไม่ได้เลยกับพระเกียรติสิริ ซึ่งจะทรงสำแดงในเรา 19 สรรพสิ่งที่พระเจ้าทรงสร้างจดจ่อรอคอย ให้บรรดาบุตรของพระเจ้าปรากฏ 20 เพราะสรรพสิ่งที่พระเจ้าทรงสร้าง ได้ถูกทำให้ผิดเพี้ยนไร้ค่าไป ไม่ใช่โดยความสมัครใจของมันเอง แต่โดยความตั้งใจของผู้ที่บังคับให้มัน ต้องตกอยู่ในภาวะดังกล่าว”

 

อาจารย์เปาโลจึงได้บอกว่ามันเทียบกันไม่ได้เลย  ความทุกข์ยากลำบากของเราในปัจจุบัน  ในร่างกายกำลังทุกข์อยู่ทุกวันนี้ กำลังเผชิญโควิด เผชิญโรคภัยไข้เจ็บ เผชิญการข่มเหง เผชิญความอดยาก เผชิญโรคอื่นๆ เผชิญการทำร้ายซึ่งกันและกัน เผชิญความอิจฉาริษยา เผชิญกับความทุกข์ทรมาน อยากจะทำ ก็ทำไม่ได้ ไม่อยากจะทำ ก็ต้องทำ อะไรอย่างนี้  มันเทียบไม่ได้เลยกับพระเกียรติสิริที่จะทรงสำแดงในเรา หมายถึงตะกี้ที่บอกสปีชีย์ใหม่  ที่ดีกว่านี้เยอะแยะมากมาย เทียบกันไม่ได้เลยของร่างกายใหม่ ร่างกายสวรรค์ แบบพระเยซูเป็นขึ้นจากความตายนั้น ที่กำลังจะสำแดงในเราทั้งหลาย  “ในเรา” ก็คือผู้เชื่อ พูดง่ายๆ เทียบไม่ได้เลยกับร่างกายสวรรค์ที่พระเจ้าทรงจัดเตรียมให้ วันหนึ่งเราจะไปสวมร่างกายนั้น

ข้อ 19 จึงบอกว่า “สรรพสิ่งที่พระเจ้าทรงสร้าง จดจ่อ รอคอยให้บุตรของพระเจ้ามาปรากฏ” สรรพสิ่งทั้งหลาย ก็คือโลกใบนี้ทั้งใบ ที่พระเจ้าทรงสร้าง สรรพสิ่งบนโลก ก็กำลังรอคอยให้บรรดาบุตรมนุษย์ ก็คือพวกเราทั้งหลาย บรรดาบุตรของพระเจ้า  คือลูกของพระเจ้าด้วยความเชื่อ ในพระเยซูได้บังเกิดใหม่แล้ว ได้ปรากฏ ก็คือได้รับ Full option สักทีหนึ่ง สรรพสิ่งทั้งหลาย ก็อยากจะให้ผู้เชื่อ ได้รับร่างกายใหม่ สวมร่างกายใหม่ Full option  สักทีหนึ่ง ให้ครบหมดเลย  เดี๋ยวจะรู้ว่าทำไมสรรพสิ่งถึงอยากจะให้ผู้เชื่อทั้งหลายได้สวมร่างกายใหม่ ได้ Full option

ข้อ 19 บอกไว้อย่างนั้น … “เพราะว่าสรรพสิ่งที่พระเจ้าทรงสร้างได้ถูกทำให้ผิดเพี้ยน ไร้ค่า ไม่ใช่โดยความสมัครใจของมันเอง”

เพราะว่าสรรพสิ่งเหล่านี้  ทุกสิ่งที่พระเจ้าสร้างมาบนโลกใบนี้ ไม่ว่าจะเป็นต้นไม้ ใบหญ้า สัตว์เลี้ยง สัตว์ต่างๆ อะไรเหล่านี้  มันถูกทำให้เสียหาย ถูกสาปแช่งไป เพราะความบาป เข้ามาบนโลกใบนี้  ไม่ใช่โดยมันอยากทำเอง มันไม่ได้ตั้งใจอยากจะเป็นอย่างนั้นสักหน่อย  แต่ความบาปที่มนุษย์เอาเข้ามาบนโลกใบนี้ ทำความเสียหายให้มันอย่างมากมาย  มันอยากจะได้รับการเปลี่ยนแปลง อยากได้รับการช่วยให้รอดเหมือนกัน เพราะมันรู้ว่าพระเจ้าสัญญาไว้แล้วว่าวันหนึ่ง เมื่อมนุษย์ได้รับความรอด แบบนิรันดร์ แบบ Full option  ครบทุกคน หมดเรียบร้อยแล้ว  เมื่อถึงวันนั้น สรรพสิ่งเหล่านี้  ก็จะถูกเปลี่ยนแปลง สร้างขึ้นใหม่ด้วยเช่นเดียวกัน  เป็นโลกใหม่ เป็นฟ้าใหม่  เป็นทุกสิ่งทุกอย่างใหม่ เป็นบ้านใหม่ ให้กับมนุษย์ใหม่เหมือนกัน ที่จะอยู่อาศัย เรียกว่าสวรรค์สถาน อย่างครบถ้วนบริบูรณ์  มันเลยรอคอยวันนั้น  วันที่พวกเราผู้เชื่อทั้งหลาย จะได้ปรากฏเป็นรูปเป็นร่าง ครบถ้วนบริบูรณ์ด้วยร่างกายใหม่ ที่เหมือนพระเยซูคริสต์

ที่บอกว่าเปรียบเทียบกันไม่ได้  หมายความว่าความทุกข์ยากของเราในปัจจุบัน การดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ในร่างกายนี้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องร้ายแรง เรื่องใหญ่โตขนาดไหนก็ตาม แต่ถ้าเผื่อเรารู้ และเรามีความหวังที่ยิ่งใหญ่ขนาดนี้ว่าร่างกายใหม่ของเรา พระเจ้าได้จัดเตรียมไว้เรียบร้อยแล้ว ทั้งโลกใหม่ที่ไม่มีความบาป  ไม่มีความสกปรกโสโครก ไม่มีความชั่วร้าย  พระองค์ก็ทรงจัดเตรียมให้เรียบร้อยแล้ว เมื่อวันหนึ่งเราจากโลกนี้ไป เราก็จะไปพบกับความจริงเหล่านี้ ในโลกฝ่ายวิญญาณที่พระองค์ทรงจัดเตรียมไว้ให้นั้น  ก็จะไม่มีอะไรที่จะสามารถทำให้เราหวั่นไหว และสามารถจะมาเปรียบเทียบกับความหวังนี้ได้เลย  ไม่ว่ามันจะทนทุกข์ทรมานบนโลกใบนี้มากขนาดไหนก็ตาม ไม่สามารถมาเทียบกันได้กับความยิ่งใหญ่ แห่งสิ่งที่พระเจ้าจัดเตรียมให้กับเรา เป็นความหวังใจของเราทั้งหลายผู้เชื่อในพระองค์

แล้วความหวังที่จะทำให้เราสามารถเผชิญความทุกข์ลำบากบนโลกใบนี้นั้น สรุปแล้วอยู่ที่ไหน? ตอนนี้ใกล้เข้ามาชัดเจนมากยิ่งขึ้นแล้วนะครับ เรามาดูกันว่าเราควรจะฝากความหวังไว้ที่ใด? ไม่ว่าจะดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ในสถานการณ์แห่งความสุข ชอบใจ ดีใจ  หรือสถานการณ์แห่งความทุกข์ยากลำบากทนไม่ไหวก็ตาม  ซึ่งทั้งสองอย่างนี้ มันเป็นชั่วคราวเท่านั้น  แป๊บเดียวเอง และสิ่งที่เราหวังไว้ ที่จะมาทดแทนหรือเป็นรางวัลให้กับเรา คืออะไร? โรม 8:21-23 …

โรม 8:21-23 “21 ด้วยมีความหวังว่าสรรพสิ่งเหล่านั้น จะได้รับการปลดปล่อย จากการผูกมัดให้ต้องเสื่อมสลาย และจะถูกนำเข้าสู่เสรีภาพอันรุ่งโรจน์ของบรรดาบุตรของพระเจ้า 22 เรารู้ว่าสรรพสิ่งที่พระเจ้าทรงสร้าง กำลังคร่ำครวญ ราวกับเจ็บท้องจะคลอดบุตร จนถึงปัจจุบันนี้ 23 ไม่เพียงเท่านั้น แม้แต่เราเอง ผู้มีผลแรกของพระวิญญาณ ก็ยังคร่ำครวญอยู่ภายใน ขณะที่เรา จดจ่อรอคอย การทรงรับเราเป็นบุตร คือการไถ่ร่างกายของเราให้รอด”

 

ในนี้บอกชัดเจนว่าสรรพสิ่งก็มีความหวัง เหมือนกับเราทั้งหลาย แต่เราจะต้องเป็นผลแรกให้กับเขา ก็คือสรรพสิ่งทั้งหลาย ธรรมชาติที่พระเจ้าทรงสร้าง คือโลกใบนี้ทั้งใบ  มีความหวังว่าสรรพสิ่งเหล่านั้น  จะได้รับการปลดปล่อยจากการผูกมัด ให้ต้องเสื่อมสลาย  ก็คือโลกใบนี้ทั้งใบ  สรรพสิ่งทั้งหลาย  ก็เปลี่ยนแปลงเข้าไปสู่ชีวิตนิรันดร์เหมือนกัน  เพราะในนี้เขียนบอกว่าจะนำเข้าสู่เสรีภาพอันรุ่งโรจน์ของบรรดาบุตรของพระเจ้า ก็คือมาร่วมกันกับชีวิตนิรันดร์ของเรา เราได้รับชีวิตนิรันดร์ของเราในฐานะที่เป็นมนุษย์ที่บังเกิดใหม่  ร่างกายที่เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์ ตอนที่เป็นขึ้นจากความตาย  และเราจะอาศัยอยู่ในโลก ที่เป็นโลกใหม่ ที่พระเจ้าสร้างขึ้นใหม่ เหมือนกัน ไม่ต้องตกอยู่ในความตายเหมือนกัน มารับชีวิตนิรันดร์เหมือนกัน

ยกตัวอย่างเช่น ท่านมีสุนัขอยู่ สุนัขท่านเลี้ยงไว้ สุนัขนั้นก็จะเป็นขึ้นจากความตาย เป็นสุนัขที่มีชีวิตนิรันดร์อยู่กับท่าน หรือท่านปลูกต้นไม้อะไรอยู่ ต้นไม้นั้น ก็จะมากับท่านด้วย พูดง่ายๆ ธรรมชาติบนโลกใบนี้  จะถูกทำให้เกิดใหม่เหมือนกับเราทั้งหลาย  เขาเรียกว่าชีวิตนิรันดร์เหมือนกัน ซึ่งสรรพสิ่งเหล่านี้ ในข้อ 22 บอกว่า “เรารู้ว่าสรรพสิ่งที่พระเจ้าทรงสร้าง กำลังคร่ำครวญ ราวกับเจ็บท้องจะคลอดบุตร จนถึงปัจจุบัน” สรรพสิ่งเหล่านี้อยากจะให้ถึงวันนั้นเร็วๆ วันที่เขาจะได้รับความรอดสู่นิรันดร์ Full option เหมือนกัน  แต่ต้องรอให้มนุษย์ได้รับเสียก่อน  ถ้าพูดถึงอีกนัยหนึ่ง ก็คือรอวันสิ้นสุด โลกใบนี้นั่นเอง พูดง่ายๆ วันนี้เราจะไม่ลงรายละเอียด เอาไว้วันหลังเราจะลงรายละเอียดถึงลักษณะของการเปลี่ยนแปลงไปสู่ชีวิตนิรันดร์ วันนี้จะพูดคร่าวๆ พอเข้าใจว่าผู้เชื่อ มีความหวังรอคอยร่างกายใหม่  ซึ่งเป็นร่างกายซึ่งเป็นขึ้นจากความตายเหมือนพระเยซู ขณะเดียวกัน สรรพสิ่งทั้งหลาย คือโลกใบนี้ทั้งใบ ก็รอคอยว่าวันที่มนุษย์ทั้งหลายได้รับร่างกายใหม่ สรรพสิ่งทั้งหลาย ก็จะถูกเปลี่ยนแปลงใหม่ เข้าสู่นิรันดร์ เป็นโลกใหม่ ให้กับมนุษย์ได้อยู่อาศัย เหมือนกัน  มันเป็นลักษณะอย่างนั้น  แต่เมื่อมนุษย์เชื่อในพระเยซูคริสต์ อย่างที่บอกแล้วว่าเขาได้เกิดใหม่ในวิญญาณ ความคิดจิตใจใหม่เหมือนพระเยซู อยู่ในสวรรค์แล้ว อยู่ในมิติหนึ่งที่เรียกว่าสวรรค์ แต่ขณะเดียวกัน ร่างกายเดิม ที่กำลังดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ ยังอยู่ในมิติของโลกใบนี้อยู่  เห็นภาพไหมครับ? วันหนึ่งเมื่อร่างกายนี้สิ้นสุดลง  คือตาย วิญญาณเขาก็อยู่ที่เดิม อยู่ในสวรรค์อยู่แล้ว  เพียงแต่พระวิญญาณบริสุทธิ์ก็จะนำวิญญาณเขาไปสวมร่างกายใหม่  ที่เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์ พระคัมภีร์จึงเขียนว่าเมื่อวันสุดท้ายของโลกใบนี้ คือวันพิพากษาของโลกใบนี้ ที่พระเยซูคริสต์จะเสด็จกลับมาอีกครั้งหนึ่ง เมื่อพระองค์เสด็จกลับมา ก็คือสิ้นสุดของโลกใบนี้ เรียบร้อยแล้ว โลกใบนี้ก็จะถูกเปลี่ยนแปลงเข้าสู่นิรันดร์ เราผู้เป็นคริสเตียน ก็จะอยู่ในร่างกายสวรรค์ ร่างกายที่เป็นขึ้นจากความตาย และอยู่บนโลกใหม่ สวรรค์ใหม่ที่พระเจ้าทรงจัดเตรียมไว้ให้ ไม่มีบาป ไม่มีมาร ไม่มีการล่อลวง ไม่มีสิ่งชั่วร้ายใดๆ ไม่มีโรคภัยไข้เจ็บใดๆ ไม่มีความอดอยากใดๆ  และเราจะอยู่กับพระเจ้าชั่วนิรันดร์

นี่คือสิ่งที่เรียกว่าเปรียบไม่ได้กับความทุกข์ยากลำบากบนโลกใบนี้  ในขณะนี้ เห็นไหม? พอเปรียบกันแล้ว อาจารย์เปาโลจึงบอกว่าน้อยมาก มันนิดเดียวเอง  ความทุกข์ยากลำบากบนโลกนี้ ในปัจจุบัน ที่เรากำลังรับอยู่ ก็เพราะสิ่งนี้แหละที่เรียกว่าความหวัง ซึ่งเป็นความหวังที่ไม่ใช่ความหวังลมๆ แล้งๆ  แต่เป็นความหวังที่มีมัดจำยืนยันอยู่ภายในใจ คือพระวิญญาณ เป็นสิ่งที่หวังไว้  และในความหวังนั้น ได้รับไปแล้ว 99% ก็คือวิญญาณใหม่ ความคิดจิตใจใหม่ที่เหมือนพระเยซูได้ไปแล้ว  อยู่ในสวรรค์อยู่แล้ว  นั่งอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้าในสวรรค์สถานอยู่แล้ว เพียงแต่รออีกนิดหนึ่ง ให้ร่างกายนี้ สิ้นสุดลง แล้วจะเปลี่ยนเป็นร่างกายใหม่ เมื่อสิ้นจากโลกใบนี้ เมื่อหมดลมหายใจ พูดง่ายๆ ว่าได้ไป 99% แล้ว รออีกแป๊บเดียว รออีก 1% เท่านั้น  ก็จบสิ้นแล้ว

มันเหมือนกับเราดูหนัง หนังเรื่องนี้เราดูจบแล้ว  เราก็ไม่ตื่นเต้นอะไร? หนังเรื่องนี้จะตื่นเต้น ถ้าเรายังไม่เคยดูมาก่อน เราก็ไม่รู้ว่าตอนจบจะเป็นอย่างไร?  แต่นี่เหมือนเรารู้ตอนจบไปแล้วว่าตอนจบ ก็คือเราชนะ เราอยู่ในสวรรค์สถานร่วมกับพระเจ้า และได้รับร่างกายใหม่ เมื่อตอนจบเรื่อง ร่างกายที่เป็นทุกข์ลำบากทุกวันนี้ หมดสิ้นไป เราจะไปสวมร่างกายใหม่ที่เหมือนพระเยซูคริสต์ เรียกว่าร่างกายสวรรค์ และจะอยู่อย่างนั้นบนโลกใหม่ ชั่วนิรันดร์

บางคนอาจจะเคยถาม แล้วต้องรออีกกี่ปี ถ้าสมมติว่าพรุ่งนี้ มะรืนนี้ มะเรื่องนี้เราหมดลมหายใจปุ๊บ เราจะรออีกนานเท่าไรถึงจะได้รับ วิญญาณเราออกจากร่างไป สวมร่างกายใหม่ที่เหมือนพระเยซูคริสต์ ที่เป็นขึ้นจากความตายเมื่อไร? ก็อยากจะบอกว่าเมื่อไร ก็เมื่อนั้นเลย ก็ทันที ถามว่าทำไมถึงทันที … เมื่อเราออกจากร่างนี้ไปแล้ว นึกภาพให้ดีๆ ที่เรายังอยู่ในร่างกายเดิมนี้อยู่ เพราะเราดำเนินอยู่บนโลกใบนี้ที่จับต้องมองเห็นได้ เป็นมิติของสิ่งของที่จับต้องมองเห็นได้  มีเวลา มีดวงอาทิตย์ มีดวงจันทร์ มีโลกหมุนรอบตัวเอง ทำให้เกิดวันเวลาขึ้น เราจึงนับว่ากี่ปีๆ 2,000 ปี 3,000 ปี 4,000 ปี แต่โลกมิติทางวิญญาณมันไม่มีเวลา พูดง่ายๆ  เมื่อไม่มีเวลา ขณะที่วิญญาณเราออกจากร่างไป เราหลุดออกจากระบบของเวลาบนโลกใบนี้ไปแล้ว เข้าไปสู่มิติสวรรค์ที่ไม่มีเวลากำหนด เป็นก็คือเป็น เพราะฉะนั้น พระคัมภีร์บอกว่าเมื่อออกจากร่าง ก็พบพระเจ้าทันที อาจารย์เปาโลบอกว่าเมื่อออกจากร่าง ก็จะเจอพระเจ้าทันที จำโจรบนไม้กางเขนได้ไหม? ที่รับเชื่อพระเยซู ฝากชีวิตไว้กับพระเยซู ก่อนตายที่ไม้กางเขน  พระเยซูบอกวันนี้เราพบกันในสวรรค์ พระเยซูไม่ได้บอกรออีกพันปี อีกกี่ปี พระเยซูบอกเดี๋ยววันนี้ได้ไปสวรรค์

เราไปคิดแบบภาษามนุษย์ว่าพอไปสวรรค์ ต้องกี่ปีๆ ในสวรรค์มันไม่มีปีแล้ว พระเยซูเป็นอยู่วานนี้ วันนี้และสืบๆ ไปเป็นนิตย์ คืออะไร? พระเจ้าเป็นทั้งอัลฟาและโอเมก้า  เริ่มต้น ปฐมและอวสานคืออะไร? ก็คือไม่มีเวลาอยู่ นี่คือความหวังใจ พูดง่ายๆ ก็คือยิ่งไปเร็วเท่าไร? ยิ่งดี  นี่เปาโลพูดนะ เปาโลพูดว่า …

“ถ้าเป็นไปได้ ข้าพเจ้าเลือกได้ ข้าพเจ้าอยากออกจากร่างนี้ไปพบกับพระเจ้าหน้าต่อหน้า”

ถ้าเลือกได้ แต่ทุกคนถูกกำหนด ให้ตายเพียงครั้งเดียว  มันมีกำหนดไปแล้ว ก็แล้วแต่พระเจ้าจะทรงนำ แต่เราสบายใจ ตรงที่เราดูหนังเรื่องนี้จบแล้ว  จบด้วย วันหนึ่งเมื่อออกจากร่างนี้ ไม่ว่าจะทุกข์ทรมาน ก่อนจะออกจากร่างขนาดไหนก็ตาม พระวิญญาณอยู่กับเราตลอดเวลา และให้กำลังกับเราในทุกอนุเนื้อ ตับ ไต ไส้ พุง ความคิดอะไรต่างๆ ปกคลุมอยู่เหนือตลอดเวลา ด้วยฤทธิ์อำนาจของชีวิตที่เป็นขึ้นมาใหม่ของพระเยซูอยู่ในร่างกายเรา ตลอดเวลาอยู่แล้ว ประคับประคองจนกระทั่งร่างกายที่ต้องตายได้ มันถึงจบหมดสิ้น มันตายจริงๆ หยุดทำงาน เมื่อนั้นแหละชัยชนะเป็นของเรา จบสิ้นกันสักที หมดงาน พระวิญญาณก็นำวิญญาณเราเข้าไปสู่มิติทางวิญญาณ สวมร่างกายใหม่ อยู่ในสวรรค์ใหม่  ที่อธิบายกันไปแล้วทั้งหมด เฮกันเลย  ขอบคุณพระเจ้า

ซึ่งความเชื่ออย่างนี้ ทำให้เราสามารถเผชิญกับเหตุการณ์ต่างๆ บนโลกใบนี้ได้อย่างมีความหวังใจ คริสเตียนทุกคนน่าจะเป็นผู้คนที่ดูหนังเรื่องนี้จบแล้ว  น่าจะรับรู้ความจริงเหล่านี้ ถ้ารับรู้ความจริงเหล่านี้  ก็เท่ากับดูหนังจบแล้ว  ก็จะตื่นเต้นนิดหนึ่ง จะบอกว่าไม่ตื่นเต้นเลย ก็ไม่ได้ บางทีก็ตกใจเหมือนกันนะ อะไรเกิดขึ้นต่อหน้าต่อตา จับต้องมองเห็นได้กับสิ่งที่หวังไว้ มองไม่เห็น บางทีมันก็สะดุ้งเหมือนกัน แต่เมื่อใช้สติ ค่อยๆ คิด มันก็สามารถที่จะวางใจว่าหนังเรื่องนี้มันจบไปแล้ว

เพราะฉะนั้น คริสเตียนทุกคนก็จะใคร่ครวญเรื่องความจริงเหล่านี้อยู่ตลอดเวลา อย่าประมาท คิดถึงตลอดเวลา ในเรื่องของความมรณาบนโลกใบนี้ คือชัยชนะของคริสเตียนทั้งหลายในโลกหน้านั่นเอง โรม 8:24-25 …

โรม 8:24-25 “24 เพราะว่าในความหวังนี้ เราได้รับความรอดแล้ว แต่ความหวังที่เห็นได้นั้น ไม่ใช่ความหวังเลย ใครเล่าหวังในสิ่งที่ตนเองมีอยู่แล้ว 25 แต่ถ้าเราหวังในสิ่งที่เรายังไม่มี เราย่อมรอคอยสิ่งนั้น ด้วยความอดทน”

 

“ถ้าเราหวังในสิ่งที่เรายังไม่มี เราย่อมรอคอยสิ่งนั้นด้วยความอดทน” เพราะเรายังไม่มีจริงๆ แต่เรารู้ว่าเราได้รับเรียบร้อยแล้ว ได้รับมัดจำไว้ตั้ง 99% แล้ว เหลืออีกนิดเดียว มันก็สามารถหวังและอดทนได้  อดทนต่อความทุกข์ยากลำบากบนโลกใบนี้ ที่เรากำลังดำเนินอยู่ และขอบคุณพระเจ้า พระเจ้าไม่ได้ปล่อยให้เราดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ตามลำพัง ได้รับ 99% แล้วอยู่ตามลำพัง ไม่ใช่ พระองค์บอกแล้วว่าจะไม่ทอดทิ้งเราให้เป็นลูกกำพร้า จะไม่ละเราให้อยู่ตามลำพัง จะอยู่กับเราเสมอตลอดเวลาเลย  ตั้งแต่วินาทีแรกที่เราเริ่มต้นรับเชื่อ เชิญพระเยซูเข้ามาสถิตอยู่ในร่างกายของเรา พระองค์เข้ามาทั้ง 3 พระภาค และก็อยู่กับเรา จะไม่ทอดทิ้งเราเลย  คอยจูงมือเราเดินไปตลอด จนกว่าจะหมดลมหายใจบนโลกใบนี้  ใช้อวัยวะในร่างกายของเราให้เป็นประโยชน์ในแผนการของพระองค์ นั่นแหละคือสิ่งที่พระองค์ต้องการทำ แค่นั้นเอง เราจึงสามารถอดทนได้ และขณะที่พระองค์ดำเนินไปกับเราบนโลกใบนี้ พระองค์ก็ทรงช่วยเรา นำพาเราให้เกิดผลอันดีในทุกสิ่ง ในโรม 8:26-30 จึงได้บันทึกอย่างนี้ …

โรม 8:26-30 “26 ในทำนองเดียวกัน พระวิญญาณทรงช่วยเราในยามเราอ่อนแอ เราไม่รู้ว่าเราควรอธิษฐานขอสิ่งใด แต่พระวิญญาณเองทรงอธิษฐานวิงวอนแทนเรา ด้วยการคร่ำครวญที่ไม่อาจหาถ้อยคำใดมาบรรยาย 27 และพระเจ้าผู้ทรงชันสูตรใจของเรา ทรงรู้พระทัยของพระวิญญาณ เพราะพระวิญญาณทรงอธิษฐานวิงวอนแทนประชากรของพระเจ้า ตามพระประสงค์ของพระเจ้า 28 และเรารู้ว่าในทุกๆ สิ่งพระเจ้าทรงทำให้เกิดผลดีแก่บรรดาผู้ที่รักพระองค์ คือผู้ที่ ได้ทรงเรียกตามพระประสงค์ของพระองค์ 29 เพราะบรรดาผู้ที่พระเจ้าทรงเลือกไว้ล่วงหน้าแล้ว  พระองค์ก็ทรงกำหนดไว้ก่อนแล้ว ให้เป็นเหมือนพระบุตรของพระองค์ เพื่อพระบุตรจะได้เป็นบุตรหัวปี ท่ามกลางพี่น้องมากมาย 30 และบรรดาผู้ที่ทรงกำหนดไว้ก่อนนั้น พระองค์ก็ทรงเรียกด้วย บรรดาผู้ที่พระองค์ทรงเรียก พระองค์ก็ทรงนับว่าเป็นผู้ชอบธรรมด้วย บรรดาผู้ที่ทรงนับว่าเป็นผู้ชอบธรรม พระองค์ก็ทรงให้รับพระเกียรติสิริด้วย”

 

ท่านผู้เป็นผู้ชอบธรรมแล้ว ก็คือเป็นคริสเตียนแล้ว รับเชื่อในพระเยซู ได้บังเกิดใหม่แล้ว  อ่านข้อความในโรม 8:26-30 บ่อยๆ  เหมือนได้ดูหนังจบแล้ว  ปล่อยให้พระเจ้านำพาเราไป

พระวิญญาณผู้ทรงสถิตอยู่ในเรา จะช่วยเราในยามที่เราอ่อนแอ ไม่รู้จะอธิษฐานอย่างไร? พูดก็ไม่ออก เจอความทุกข์ลำบากบนโลกใบนี้ ไม่เป็นไร? อธิษฐานไม่ได้ ไม่เป็นไร อธิษฐานไม่ออก ไม่เป็นไร? พระวิญญาณอยู่ภายในเรา ช่วยวิงวอนแทนเรา  คร่ำครวญแทนเรา  ให้อธิษฐานเป็นไปตามน้ำพระทัยพระเจ้า เห็นไหม?  ทุกอย่างอยู่ในการดูแลของพระเจ้าทั้งสิ้นเลย  พูดง่ายๆ ว่าไม่ได้ทิ้งเราให้อยู่คนเดียวโดดเดียว ต่อสู้กับอุปสรรคปัญหาบนโลกใบนี้ แล้วมีความหวังว่าจะได้รับชีวิตนิรันดร์ เปล่าเลย คอยช่วยเราตลอดเวลา  เราเพียงแต่ทำสิ่งเดียว ก็คืออดทน และรอคอยวันจะเสร็จงานการของเราบนโลกนี้เท่านั้นเอง

ในข้อ 28 ยิ่งเห็นชัดใหญ่เลย … “และเรารู้ว่าในทุกสิ่ง พระเจ้าทรงกระทำให้เกิดผลดีกับบรรดาผู้ที่รักพระองค์”

ข้อ 28 นี้ ภาษาเดิมบอกว่า … “พระเจ้าทรงสามารถกระทำให้ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นกับเรา” คือทั้งที่เราชอบและเราไม่ชอบ พูดง่ายๆ ทั้งที่เราทุกข์ลำบาก หรือเราสุขก็ตาม พระองค์จะทรงกระทำให้ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นกับเราในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ไม่ว่ามันจะทุกข์หรือมันจะสุข ไม่ว่าเราจะเห็นว่าดีหรือไม่ดี ไม่ว่าคนอื่นเขาจะมองว่ามันดีหรือไม่ดี สำหรับชีวิตของเราก็ตาม พระองค์มีความสามารถที่จะทำให้สิ่งเหล่านี้  ผสมปนเป ทำงานร่วมกัน เกิดเป็นผลดี สำหรับเราผู้ที่รักพระองค์

คำว่า “เป็นผลดี” ไม่ได้หมายความว่าเป็นผลดี ตามที่เราต้องการนะ  แต่เป็นผลดีสำหรับเรา เหมาะสำหรับเรา แต่เราไม่อยากได้อย่างนี้ เพราะเราไม่รู้ความจริง เราฉลาดไม่พอ แต่พระเจ้ารู้ว่าอย่างนี้ดีกว่า พระเจ้าสามารถทำสิ่งเหล่านั้นทั้งหมดให้เกิดเป็นผลดี เป็นไปตามน้ำพระทัยของพระองค์ ซึ่งดีกว่าเรามาก เกินกว่าที่เราจะคิด หรือขอ หรือคาดด้วยซ้ำไป พระองค์สามารถ ทำให้เกิดผลดีเหล่านั้นได้ ตามน้ำพระทัยของพระองค์ ไม่ใช่ตามใจเรา ในทุกสิ่งที่เกิดขึ้นกับเราในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ตั้งแต่วินาทีที่เราเริ่มต้นรับเชื่อพระเจ้า เป็นคริสเตียน  จนถึงวันแห่งลมหายใจสุดท้าย ออกจากร่างกายนี้ไป  จบสิ้นการงาน  เราจะไปอยู่กับพระองค์ในสวรรค์สถานนิรันดร์ด้วยร่างกายใหม่  ที่เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์ ตอนที่เป็นขึ้นจากความตาย  ไม่ต้องทุกข์ ไม่ต้องโศก ไม่ต้องมีโรคภัยไข้เจ็บ  ไม่ต้องอ่อนแอเหมือนเดิมอีกต่อไปแล้ว และไม่มีบาป  ไม่มีอะไรมาล่อลวงให้เราทำบาปอีกต่อไป และเราจะอยู่ในสวรรค์สวยสดงดงามที่พระองค์ทรงสร้างขึ้นใหม่หมด ต้นไม้ ใบหญ้า สัตว์ทั้งหลาย ทุกสิ่งที่พระองค์ทรงสร้าง สวยกว่าสมัยเอเดนเดิมอีกด้วยซ้ำไป นิรันดร์

นี่เป็นความหวังใจของคริสเตียนทั้งหลาย ผู้เชื่อในพระเยซูคริสต์ ขอบคุณพระเจ้า พระเจ้าอวยพรครับ

 

***********************

จากใจคณะศิษยาภิบาล

 

พระเจ้าไม่ได้รอตอบคำอธิษฐานของเรา ตามที่เราต้องการ เราต่างหากที่รอพระเจ้าตอบคำอธิษฐาน ให้เป็นไปตามความต้องการของพระองค์ จงอดทนรอให้พระเจ้า ทำตามแผนการของพระองค์  ไม่ใช่แผนการของเรา  เพราะพระองค์ทรงรักเราดั่งแก้วตาดวงใจ

 

พระเยซูผู้ซึ่งไม่ได้ทำบาปเลย  ต้องกลายเป็นคนบาป ในขณะที่เราทั้งหลาย (ผู้เชื่อ) อดีตเป็นคนบาป แต่ได้กลายเป็นคนดีของพระเจ้า

เราได้เรียนรู้จากถ้อยคำพระเจ้าแล้วว่าความชอบธรรมของเรา คือการสามารถยืนอยู่ต่อหน้าบัลลังก์ของมหาจักรวาล  คือพระเจ้า ผู้บริสุทธิ์สะอาดได้

เราเป็นคนดีพร้อมในสายพระเนตรของพระเจ้า และความชอบธรรมนี้ เป็นของประทาน เป็นของขวัญ โดยพระคุณ และผ่านทางความเชื่อ ในพระเยซูคริสต์

พระเจ้า ได้ทรงทำให้พระเยซูคริสต์ ผู้ซึ่งไม่เคยเป็นคนบาป ไม่เคยทำบาปเลย แต่ต้องกลายมาเป็นคนบาป เพื่อเห็นแก่เราทั้งหลาย ผู้ซึ่งเป็นคนบาป และทำบาปมากมาย เพื่อที่เราทั้งหลาย จะได้กลายมาเป็นผู้ชอบธรรม

พระเยซู ผู้ซึ่งไม่ได้ทำบาปเลย แต่ต้องกลายเป็นคนบาป

ในขณะที่เราทั้งหลาย (ผู้เชื่อ) ไม่ได้ทำดีเลย แต่ได้กลายเป็น คนดีของพระเจ้า

เราเป็นคนดี เป็นคนชอบธรรม เพราะได้กำเนิด เกิดมาเป็น ลูกพระเจ้า ไม่ใช่โดยความประพฤติ

“He made Christ who knew no sin to [judicially] be sin on our behalf, so that in Him we would become the righteousness of God [that is, we would be made acceptable to Him and placed in a right relationship with Him by His gracious loving kindness.” 2 Corinthians 5:21 AMP

 

พระเจ้ากระทำสำเร็จแล้ว ผ่านทางพระเยซูคริสต์ พร้อมแล้วที่จะให้มนุษย์ได้ใช้สิทธินี้ ใครเปิดใจต้อนรับสิทธินี้  เชื่อในข่าวดีนี้  ก็จะได้รับการเปลี่ยนแปลง  ได้บังเกิดใหม่ทันที

 

เมื่อบังเกิดใหม่แล้ว เราบริสุทธิ์สะอาด มากเท่าไหร่?

อ่านถ้อยคำนี้แล้ว ท่านอาจจะตกใจ …

1 ยอห์น 4:17  “เราจึงมีความมั่นใจในวันพิพากษา ที่เรามีความมั่นใจอย่างเต็มเปี่ยม ก็เพราะชีวิตที่เรามีในโลกนี้ เป็นชีวิตที่เหมือนกับชีวิตของพระคริสต์”

เป็นเหมือนพระองค์ เดี๋ยวนี้ ที่นี่ บนโลกใบนี้เลย   พระเจ้าอวยพรครับ

 

 

 

วารสาร Holy News ฉบับที่ 1320

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  11  กรกฎาคม  2021

 เรื่อง “ท่ามกลางความทุกข์ลำเค็ญ  ท่านมองไปที่ใด?”

โดย นคร   เวชสุภาพร

 

วันนี้เรายังอยู่ในเรื่องราวของความทุกข์ยากลำบากที่กำลังเกิดขึ้นบนโลกใบนี้  จากสถานการณ์บ้านเมืองในขณะนี้ รวมทั้งสถานการณ์โลกด้วย นอกเหนือจากการดูแลเรื่องปากท้อง เรื่องการรักษาสุขภาพอนามัย ปกป้องให้ห่างจากโรคภัยไข้เจ็บ สิ่งที่พวกเราต้องการเป็นอย่างมากในตอนนี้ ก็คือความหวัง คือกำลังใจ การหนุนใจ ใช่ไหมครับ แน่นอนสิ่งที่เราต้องการ อาจจะขาดแคลนเรื่องทรัพย์สินเงินทอง การกิน การอยู่ แต่สิ่งสำคัญกว่านั้น คือความหวัง  ความหวังเราอยู่ที่ไหน? เราต้องการความหวัง ต้องการกำลังใจ ต้องการการหนุนใจอย่างจริงๆ  ของแท้ และจริงๆ  ที่จะพยุงเราผ่านพ้นสถานการณ์ต่างๆ เหล่านี้ไปได้ ซึ่งปัจจุบันนี้ ข่าวสารข้อมูลรายล้อมพวกเราในขณะนี้ เกือบทั้งหมด มีแต่ข่าวร้ายทั้งนั้น ข่าวติดลบทั้งนั้น  ทำให้เกิดความเครียด ช่วงนี้ไม่ว่าจะไปอ่านข่าวที่ไหน? โดยเฉพาะอย่างยิ่งในโซเชียวมีเดีย ทั้งข่าวจริง ข่าวปลอม ข่าวใหม่  ข่าวใช่ ไม่ใช่ ส่วนใหญ่เป็นข่าวร้ายทั้งสิ้น มาถึงพวกเราในแต่ละวัน เขาเรียกว่ากองขยะ เต็มไปหมดเลย

เพราะฉะนั้น เรื่องเหล่านี้ไม่ได้ทำให้เกิดความหวังใจ เกิดความหนุนใจ เกิดกำลังใจในการดำเนินชีวิตเลย แต่ตรงกันข้าม เกิดความเครียด เกิดการเจ็บป่วยทางจิตใจ โควิดยังไม่ติด ที่ติดแล้ว ก็คือความกังวล ความวิตก ท้องอืด ท้องเฟื้อ ปวดเมื่อยอะไรต่างๆ เหล่านี้ มาก่อนโควิดอีก เพราะข่าวร้ายเหล่านี้  หลายคนมัวแต่ดูแลรักษาสุขภาพร่างกาย ลืมคิดถึงด้านจิตใจไปว่าจิตใจสำคัญกว่าร่างกายอีก เพราะฉะนั้น เราต้องดูแลเรื่องของร่างกายไปด้วยพร้อมๆ กัน  ไม่เช่นนั้น เราจะสะสมความเครียด แล้วเกิดการจับป่วยต่อร่างกายเราขึ้นมาแทนที่ ก็ได้

สองสัปดาห์ที่ผ่านมา เราได้เรียนรู้คำตอบกันไปแล้วว่า “ทำไมพระเจ้าอนุญาตให้สิ่งเลวร้ายเกิดขึ้นกับลูก” และ “พระเจ้าอยู่ที่ไหน ในยามที่ลูกๆ อยู่ท่ามกลางความทุกข์ยากลำบาก” คำตอบเราก็รู้แล้ว คือพระเจ้าอนุญาตให้สิ่งเลวร้ายนี้ เกิดขึ้นกับลูก คำตอบสั้นๆ เพราะมนุษย์เป็นผู้ตัดสินใจเอง พระเจ้าให้สิทธิในการมีอิสระในการตัดสินใจของมนุษย์ แล้วมนุษย์ก็ตัดสินใจผิดพลาดไป ตั้งแต่สมัยเริ่มต้น  จนตกลงไปในความบาป  ความทุกข์ยากลำบาก จึงเข้ามาสู่มวลมนุษยชาติทั้งปวง เท่าเทียมกันหมด  นี่คือคำตอบว่าพระเจ้าอนุญาตให้สิ่งเลวร้ายเกิดขึ้น บนโลกใบนี้กับมนุษยชาติที่พระองค์ทรงรัก เพราะว่าพระองค์อนุญาตให้เราตัดสินใจด้วยตัวเราเอง แต่พระองค์ไม่ประสงค์ให้เราต้องเจ็บปวด ทุกข์ทรมานเลยแม้แต่นิดเดียว  ไม่อยากให้เป็น คืออยากให้เราเชื่อฟังนั่นเอง

และพระเจ้าอยู่ที่ไหน ตอนที่เกิดความทุกข์ยากลำบาก เรามาเชื่อพระเจ้าแล้ว เป็นลูกพระเจ้าแล้ว พระเจ้าอยู่ที่ไหน? คำตอบ ก็คือพระเจ้า ก็อยู่ในตัวเรานั่นเอง พระเจ้าเข้ามาสถิตอยู่กับเราเลย ทั้ง 3 พระภาค นำพาเรา จูงมือเราเดินผ่านหุบเขา เงามัจจุราช ไม่ต้องกลัวอะไรลูก ไปด้วยกัน ไม่เคยทอดทิ้ง ไม่ห่างเราเลย นี่คือคำตอบของ 2 หัวข้อที่ได้เรียนรู้กันไปเมื่อ 2 สัปดาห์ที่แล้ว

และวันนี้เราจะมาหาคำตอบกันต่อว่าท่ามกลางความทุกข์ลำเค็ญ ที่เกิดขึ้นอยู่ในขณะนี้  ซึ่งเปรียบเสมือนมีความมืด  หรือสิ่งเลวร้ายที่ปกคลุมอยู่เหนือโลก และเหนือมนุษย์ทั้งปวง  ท่ามกลางสถานการณ์เช่นนี้ เราควรจะมองไปที่ใด?  ชื่อเรื่องการบรรยายวันนี้ ก็คือ “ท่ามกลางความทุกข์ลำเค็ญ ท่านมองไปที่ใด?” ในยามเกิดความทุกข์ลำบากไปทั่วทุกหย่อมหญ้า ในขณะนี้  ลองถามตัวท่านเอง ท่ามกลางความทุกข์ลำเค็ญเหล่านี้  ท่านมองไปที่ใด?  ฉันมองไปที่ไหน?  นึกในใจว่าท่านกำลังมองไปที่ไหน?  ท่ามกลางความทุกข์ลำบาก ท่ามกลางปัญหา  ความยุ่งยาก  ท่ามกลางผลกระทบโควิด-19 ทุกรูปแบบ เรามองไปที่ไหน?  มีคำตอบให้เลือกอยู่ 2 ข้อ  ก็คือ …

(1) มองไปที่สิ่งที่มองเห็นอยู่

(2) มองไปที่สิ่งที่มองไม่เห็น

ท่านเลือก 1 หรือ 2 หรือท่านกำลังเลือก 1 หรือ 2 หรือท่านได้เลือกไปแล้ว คือ 1 หรือ 2 หรือท่านกำลังอยู่ในข้อ 1 หรือข้อ 2 มองไปที่สิ่งที่มองเห็นอยู่ หรือ 2 มองไปที่สิ่งที่มองไม่เห็น  ลองถามตัวเองขณะนี้ …

“ฉันมองไปที่สิ่งที่มองเห็นอยู่ในขณะนี้ รอบข้าง  ความเดือดร้อน หรือความทุกข์ยากลำบากต่างๆ หรือฉันมองไปที่สิ่งที่มองไม่เห็น เป็นความหวังในพระคริสต์”

ชีวิตของมนุษย์บนโลกใบนี้  ทุกคน ไม่ว่าจะเป็นคริสเตียนหรือไม่ได้เป็นคริสเตียน  รู้จักพระเจ้า หรือไม่รู้จักพระเจ้า ผมอยากยกตัวอย่างเหมือนนั่งรถไฟเหาะ  จำได้ไหมสมัยเด็กๆ เราชอบไปเล่นรถไฟเหาะ รถไฟตีลังกา ก็ได้ ในสวนสนุก มนุษย์ทุกคนเหมือนนั่งอยู่ในรถไฟเหาะ เพียงแต่ถ้าไม่มีพระเจ้า ไม่มีพระเยซูสถิตอยู่ด้วย ยังไม่ได้เป็นคริสเตียน ก็คือนั่งรถไฟเหาะตัวคนเดียว แล้วแถมไม่มีเข็มขัดรัดอีก ท่านลองคิดดู ต้องใช้กำลังตัวเองในการยึด จับราวให้แน่น เข็มขัดก็ไม่มี กลัวก็กลัว  แล้วออกเดินทาง พอถึงที่สูง ก็สบาย ยิ้ม ดูวิว แป๊บเดียว ลง ต้องหลับตา ตะโกนดังลั่น  ว๊ายยยย  แรกๆ มันลงไปเล็กๆ ขึ้นมาแล้ว หายใจได้นิดเดียว มาอีกแล้ว ตอนลง เขาเรียกว่าความทุกข์ยากลำบากเข้ามา  แล้วเราต้องใช้ตัวเราเองจับอยู่อย่างนั้น  แล้วเราจะไปถึงที่หมายไหม  มันหนักกว่านั้น หลายครั้ง ไม่ใช่ลงอย่างเดียว มันหมุนตีลังกา เขาเรียกรถไฟตีลังกาแล้ว  มันหมุนอย่างนี้เลย แล้วเราเอากำลังตัวเองยึดอยู่ พอไหวหรือ? จะได้สักกี่หมุน? หรือกี่ครั้ง?

แต่สำหรับคริสเตียน  ผู้ที่เชื่อในพระเจ้าแล้ว  มีพระเจ้าสถิตอยู่ด้วย เมื่อมีพระเจ้าสถิตอยู่ด้วย  ก็เหมือนนั่งในรถไฟเหาะนี้  ไม่ใช่มีพระเจ้าอย่างเดียวนะ พระคัมภีร์บอกว่าเมื่อเราเชื่อในข่าวดีแล้ว ให้เรามองไปที่ข่าวดี ข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์ ให้ข่าวดีนี้  ซึ่งเป็นความจริง  ข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์คาดไว้ที่เอว พูดง่ายๆ ว่านั่งรถไฟเหาะ แล้วคาดเอวด้วยข่าวดี ข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์ ที่เราเชื่อนั้น แล้วก็เอามือจับราวเหมือนกัน ไม่พอ พระเยซูยังนั่งข้างๆ ไม่ใช่นั่งข้างๆ คลุมตัวเราอยู่เลย  กอดเราอยู่ตอนนั้น อยู่กับเราตอนนั้น  แล้วก็บอกเราว่าไปด้วยกัน  นี่แหละ รถไฟเหาะมันก็เป็นอย่างนี้เสมอ  สำหรับคริสเตียน ผู้ที่เชื่อแล้ว ไปด้วยกัน พอถึงเวลาลงเหว ก็คือเวลาขาลง  เกิดความทุกข์ยากลำบากขึ้นมา  เราก็เหมือนเดิม  มันเคยชิน มันก็ต้อง (ขอโทษที) มันก็ต้องแหกปากร้อง ตกใจ แล้วก็หลับตา  แต่ในขณะหลับตา เราเห็นพระเยซูคริสต์สถิตอยู่ในเรา เราเห็นเอามือจับ หลับตา สัมผัสได้ว่าเราคาดเข็มขัดอยู่ ก็ตกใจ ว๊ายยยย แต่ลึกๆ ก็คือเรามีความหวัง เราปลอดภัยแน่นอน เพราะเรารัดเข็มขัดแล้ว  นี่แหละ แล้วมันก็ขึ้นมา ดู ชมวิวปุ๊บ เดี๋ยวลงอีกแล้ว  จะลงมากถึงขนาดตีลังกากี่ตลบก็ตาม  เข็มขัดก็รัดเราไว้อยู่ แล้วพระเยซูก็โอบกอดเราอยู่  เราก็แค่ตกใจ แล้วก็สนุกสนานไปกับความทุกข์ลำเค็ญ ตีลังกา หมุน เหมือนรถไฟเหาะนั้น

นั่นแหละสิ่งที่ผมอยากยกตัวอย่างให้ท่านเห็นชัดๆ เลย คือมันแตกต่างตรงที่เราไม่พึ่งพากำลังของตนเองอีกแล้ว แต่เราพึ่งพากำลังของพระเยซูคริสต์ พึ่งพาในข่าวดีของพระเยซูคริสต์ ถ้าสมัยก่อนเราไม่รู้จักพระเจ้าเลย  ไม่รู้จักพระเยซูคริสต์ ยังไม่ได้รับเชื่อในพระเยซูคริสต์ เราพึ่งพาตนเอง เราพึ่งพากำลังของตนเอง  เข็มขัดก็ไม่มี เราก็ไม่มีความหวัง

เพราะฉะนั้น ข่าวดีของพระเยซูคริสต์ เป็นความจริง ความจริงที่ไม่ตาย  ชีวิตคริสเตียน คือชีวิตที่มีพระเยซูคริสต์เป็นผู้นำ  สถิตอยู่ภายใน และเป็นหนึ่งเดียวกันกับวิญญาณของผู้เชื่อ ท่านลองนึกถึงภาพว่านี่คือความเป็นจริง  นี่คือข่าวดีของพระเยซู ข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์ ชีวิตคริสเตียน  คือชีวิตที่มีพระเยซูสถิตอยู่ภายใน  เป็นหนึ่งเดียวกับวิญญาณของเรา  ไปไหน ไปกับเราตลอดเวลา  มีพระเยซูคริสต์ปกคลุมอยู่เหนือตลอดเวลา นี่คือความจริงของข่าวดี

ท่านเชื่อไหมว่าพระเยซูถูกตรึงที่ไม้กางเขน ฝังไว้ในอุโมงค์ และถูกชุบให้เป็นขึ้นจากความตาย ในวันที่ 3 ถ้าถามคริสเตียนทุกคน ผู้เชื่อทุกคน ก็แน่นอนนี่คือเริ่มต้นของความเชื่อ ในข่าวดี ก็คือต้องเชื่อว่าพระเยซูได้ถูกตรึงที่ไม้กางเขน  เพื่อไถ่บาปเรา  ได้ถูกฝังไว้ในอุโมงค์ แล้วเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่ 3 เชื่อแน่นอนอย่างนี้ ถ้าท่านเชื่อแบบนี้ คือเป็นคริสเตียนแล้ว ท่านเชื่ออย่างนี้ ท่านก็ต้องเชื่อด้วยว่าพระเยซูผู้นี้ สถิตอยู่ในท่าน เป็นความจริง อันเดียวกันกับตอนที่เริ่มต้น เชื่อว่าพระเยซูตายที่ไม้กางเขน พระเยซูตายที่ไม้กางเขนเป็นความจริง พระเยซูสถิตอยู่ในท่าน ก็เป็นความจริงเช่นเดียวกัน  เหมือนๆ กัน เป็นความจริงที่สำคัญ

ความเชื่อ ก็คือการจดจ่อ หลับตา มองไปที่สิ่งที่ถ้อยคำพระเจ้าบันทึกไว้  ซึ่งตาฝ่ายเนื้อหนัง ตาฝ่ายร่างกาย มองไม่เห็น สัมผัสแตะต้องไม่ได้  เราจึงเรียกว่าความเชื่อ  ไม่ใช่ความเชื่อ แล้วไม่มีหลักฐาน ไม่มีอะไร ไปเชื่อลมๆ แล้งๆ ไม่ใช่ เชื่อตามถ้อยคำของพระเจ้า ที่ได้บันทึกเอาไว้ บอกว่านี่คือความจริง แล้วเราก็จดจ่อ  มองไปที่ถ้อยคำพระเจ้าเหล่านั้น ที่บันทึกเอาไว้ หลับตามอง  ถ้าลืมตาไม่เห็น  ลืมตา ก็จะเห็นสิ่งที่สัมผัสแตะต้องได้

ความทุกข์ลำบากต่างๆ บนโลกที่เรามองเห็นอยู่ทุกวันนี้  สัมผัสได้ แตะต้องได้  มีผลกระทบต่อชีวิตของเรา ทุกคนบนโลกใบนี้  เหตุก็เพราะว่าความอ่อนแอของร่างกายที่เราเห็นอยู่นี้  ซึ่งมันตกอยู่ในกฎของความบาปและความตายอยู่ แม้ว่าเราเป็นคริสเตียนแล้วก็ตาม เนื้อหนัง  ร่างกายที่เราเห็นอยู่นี้  ตกอยู่ใต้กฎของความบาปและความตาย  เพียงแต่ว่าพระเยซูคริสต์สถิตอยู่กับเรา แล้วช่วยให้เรารอดทางวิญญาณ และความคิดจิตใจที่ได้บังเกิดใหม่แล้วเท่านั้น  แต่เรายังอยู่ในร่างกายเก่า  อยู่ภายใต้อวัยวะที่ยังอยู่ภายใต้กฎของความบาปและความตาย คือต้องดำเนินไปสู่ความตายอยู่

และนอกเหนือจากนั้น ร่างกายนี้ยังดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ ก็ยังมีอิทธิพลของความบาปและกิเลสตัณหาของเนื้อหนัง ก็คือความเคยชิน ในการเป็นศัตรูกับพระเจ้า  ที่แอบแฝงอยู่ ก่อให้เกิดความทุกข์ยากลำบากต่างๆ นานา แม้ว่าจะเชื่อพระเจ้าแล้วก็ตาม ก็จะเกิดความทุกข์เหล่านี้  เพราะเนื้อหนังร่างกายที่อ่อนแอตรงนี้แหละ

และเนื้อหนังร่างกายที่อ่อนแอ มันจะส่งผลมาเป็นอย่างไร? เราก็เห็นๆ อยู่ เช่น แก่ เจ็บ ตาย กลัว วิตกกังวล เครียด ท้อแท้ ซึมเศร้า โกรธ เกลียด วิวาท ทำร้ายกัน แก่งแย่งกัน ฆ่ากัน ทำลายกัน นี่คือกระทบต่อร่างกายที่อ่อนแอของเรา ผู้เชื่อ ทำให้เราเกิดความทุกข์

เราจะเห็นว่ามนุษย์ทุกคน ก็จะทุกข์อย่างนี้แหละ  เพราะร่างกายที่มันอ่อนแอ และรับไม่ได้กับสิ่งที่เกิดขึ้น  มันก็เกิดความทุกข์  ถ้ารับได้ มันก็ไม่เกิดความทุกข์  แต่นี่รับไม่ได้ เพราะร่างกายมันเป็นอย่างนี้ มันเป็นธรรมชาติของความบาป ที่ปกคลุมอยู่เหนือโลกใบนี้  และยังทำงาน มีอิทธิพลอยู่ในร่างกายที่เราเห็นอยู่ทุกวันนี้  แต่ขอบคุณพระเจ้า พระเยซูมาช่วยเราแล้ว เราจะเรียนรู้กันต่อไปว่ามาช่วยขนาดไหน? เราเริ่มต้นที่โรม 8:10-11 ในวันนี้ก่อน ได้บันทึกไว้อย่างนี้ว่า …

โรม 8:10-11 “10 ถ้าพระคริสต์สถิตในท่าน  แม้ว่ากายภายนอกของท่านต้องตาย เพราะอยู่ใต้กฎของความบาปและความตาย แต่วิญญาณภายในของท่าน เป็นชีวิตนิรันดร์ (ที่เหมือนพระเยซู) เพราะความชอบธรรม (บังเกิดใหม่ เป็นผู้ชอบธรรมแล้ว) 11 และถ้าพระวิญญาณของพระเจ้า ผู้ทรงได้ชุบพระเยซูให้เป็นขึ้นจากความตาย สถิตอยู่ภายในท่าน พระองค์ผู้ทรงชุบพระเยซูให้เป็นขึ้นจากความตายนี้ ก็จะประทานชีวิตนิรันดร์ (ที่เหมือนพระเยซู) ให้แก่อวัยวะต่างๆ ของร่างกายภายนอก ที่กำลังเสื่อมสลายของท่านด้วยเช่นกัน โดยผ่านทางพระวิญญาณบริสุทธิ์ ผู้ทรงสถิตอยู่ในท่าน”

 

ข้อ 10 “ถ้าพระคริสต์สถิตในท่าน ผู้เชื่อแล้ว  ถ้าพระคริสต์สถิตอยู่ในท่าน  แม้ว่ากายภายนอกของท่านต้องตาย เพราะอยู่ใต้กฎของความบาปและความตาย แต่วิญญาณ จิตใจภายในของท่าน เป็นชีวิตนิรันดร์ ที่เหมือนพระเยซู เพราะความชอบธรรม (บังเกิดใหม่ เป็นผู้ชอบธรรมแล้ว)”

ถ้าท่านเชื่อในพระเยซู วิญญาณของท่านได้บังเกิดใหม่  จิตใจของท่านได้ถูกเปลี่ยนเป็นใหม่ทั้งสิ้น  วิญญาณเหมือนพระเยซู จิตใจก็เหมือนพระเยซูไม่มีผิดเลย แต่อาศัยอยู่ในร่างกายที่ยังอยู่ใต้กฎของความบาปและความตาย คือต้องเสื่อมโทรมไปสู่ความตายนั่นเอง

ข้อ 11 บอกว่าอย่างนี้ … “และถ้าพระวิญญาณของพระเจ้าผู้ทรงได้ชุบพระเยซูให้เป็นขึ้นจากความตาย  สถิตอยู่ภายในท่าน พระวิญญาณผู้ทรงชุบพระเยซูให้เป็นขึ้นจากความตายนี้  ก็จะประทานชีวิตนิรันดร์ ที่เหมือนพระเยซูให้แก่อวัยวะต่างๆ ของร่างกายภายนอก  ที่กำลังเสื่อมสลายของท่านด้วยเช่นเดียวกัน”

พูดง่ายๆ ก็คือแม้ว่าร่างกาย อวัยวะภายนอกนี้ จะต้องตาย เสื่อมสลายไปก็ตาม แต่ในขณะเดียวกัน พระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า  ซึ่งเป็นพระวิญญาณที่ชุบพระเยซูให้เป็นขึ้นจากความตาย ด้วยฤทธิ์อำนาจนี้ ด้วยฤทธิ์อำนาจอันเดียวกันนี้  ก็จะประทานชีวิตของพระเยซูคริสต์ให้แก่อวัยวะต่างๆ ของร่างกายภายนอกนี้ด้วย

พระคัมภีร์เขียนให้เห็นชัดเจนเลย ให้เห็นถึงรายละเอียดเลยว่าชีวิตแบบนิรันดร์ของพระคริสต์ที่สถิตอยู่ในเรา พระวิญญาณจะปกคลุมอยู่เหนือทุกส่วนในร่างกายของเรา ทุกเซลเลย  นั่นหมายถึงขณะที่อวัยวะทุกชิ้นในร่างกายนี้  หัวใจ ตับ ไต ไส้ พุง กระดูก เส้นเอ็น เส้นประสาท ตา หู จมูก ลิ้น สมอง พูดง่ายๆ ทุกเซลในร่างกายของเรา กำลังเสื่อมโทรม เสื่อมสลาย เสียหาย เจ็บป่วย เป็นทุกข์ ไปสู่ความตาย  แน่นอน ไปสู่ความตาย เพื่อลงไปสู่ดิน  สู่ความสูญสิ้น  ในขณะนั้น พระวิญญาณบริสุทธิ์ที่สถิตอยู่ในท่าน ก็กำลังให้พลังชีวิตแบบพระคริสต์ ให้ฤทธิ์เดชแบบพระคริสต์ ปกคลุม ควบคุมอยู่เหนืออวัยวะต่างๆ  ที่กำลังเสื่อมสลาย เสียหายอยู่นั้น ตลอดเวลาเลย  ไม่ว่าจะนอนหรือตื่น ตลอดเวลา  ทุกลมหายใจเข้าออก พระวิญญาณบริสุทธิ์  ให้พลังฤทธิ์เดชแบบพระเยซูคริสต์ ให้กับเนื้อหนังร่างกาย อวัยวะทุกส่วนในร่างกายของท่าน  พระวิญญาณช่วยเราให้สามารถที่จะชื่นชมยินดี  ทรหด อดทน เต็มไปด้วยสันติสุข ท่ามกลางความทุกข์ยากลำบาก เหล่านี้ได้ ด้วยพลังชีวิต ที่เหมือนพระเยซูคริสต์ ในขณะที่อวัยวะต่างๆ เหล่านี้เสื่อมโทรมไป ทุกข์ลำบากไป  ขณะเดียวกันมีพลังอะไรบางอย่าง  มีฤทธิ์เดชอำนาจอะไรบางอย่างจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ มาเสริมให้ เต็มไปด้วยความชื่นชมยินดี  เต็มไปด้วยความอดทน รับได้กับสิ่งเหล่านี้ มีความหวังกับสิ่งเหล่านี้

ให้พลังชีวิตกับเรา ในทุกอวัยวะในร่างกายที่ต้องตายนี้  ที่ได้รับความทุกข์นี้ จะให้พลังนี้ไปจนกระทั่งถึงสิ้นสุด ขบวนการเสื่อมสลายในที่สุด คือหมดลมหายใจ บนโลกใบนี้ แล้วก็กลับไปสู่ดิน  วิญญาณและความคิดจิตใจของเรา ที่เป็นเหมือนพระเยซู พระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า ก็จะนำวิญญาณของเรา พร้อมทั้งจิตใจที่เหมือนพระเยซูนั้น ไปสวมร่างกายใหม่  ที่เต็มด้วยสง่าราศี เต็มด้วยพระสิริ เป็นร่างกายที่เหมือนพระเยซู ตอนที่เป็นขึ้นจากความตายเลยทีเดียว เรียกว่าร่างกายสวรรค์ที่ไม่ได้ตกอยู่ใต้อำนาจของความบาปและความตาย ไม่ได้ตกอยู่ใต้ความเสื่อมโทรมอีกต่อไป เป็นร่างกายนิรันดร์ เป็นร่างกายอมตะ

สรุป ก็คือโลก และทุกสิ่งบนโลก กำลังต่อต้าน ทำร้าย ทำลายเรา ให้สูญสิ้น ตามกฎของความบาปและความตาย แต่พระเยซูผู้ทรงสถิตอยู่ในเรา  กำลังเสริมสร้างเราขึ้นใหม่ ไปจนถึงชีวิตนิรันดร์ โดยผ่านทางพระวิญญาณบริสุทธิ์  ที่สถิตอยู่ในเรา ฮาเลลูยา

นี่คือความหวังของเรา ในขณะที่เราอยู่ท่ามกลางความทุกข์ลำเค็ญ และเรามองไปที่พันธสัญญาของพระเจ้า  ที่มองไม่เห็นด้วยตาเนื้อ สัมผัสแตะต้องไม่ได้ แต่มันเป็นจริงตามนั้น เรารู้อยู่ภายในจิตใจของเรา  2 โครินธ์ 4:16-18 ย้ำยืนยันในเรื่องนี้อีกว่า …

2 โครินธ์ 4:16-18 “16 “ฉะนั้น เราไม่ท้อถอย (ผิดหวัง เสียใจ กลัว) แม้ว่ากายภายนอกของเรากำลังทรุดโทรมไป แต่ตัวตนภายใน (วิญญาณและจิตใจ ที่ได้บังเกิดใหม่แล้วในพระคริสต์) ของเรา กำลังได้รับการเลี้ยงดู เสริมสร้างขึ้นใหม่ ให้เจริญเติบโตขึ้นทุกวัน 17 เพราะความทุกข์ยากลำบากที่เราได้รับอยู่ในขณะนี้นั้น เป็นเพียงสิ่งชั่วคราว และเป็นสิ่งเล็กน้อย ที่กำลังเสริมสร้างหล่อหลอม และจัดเตรียมเราเข้าไปสู่สง่าราศี พระสิริอันยิ่งใหญ่ สมบูรณ์นิรันดร์ ที่ไม่มีสิ่งใด สามารถเปรียบได้เลย 18 ดังนั้น เราจึงไม่จับตามองดูสิ่งที่มองเห็นอยู่ แต่จับตาดูสิ่งที่มองไม่เห็น เพราะสิ่งที่มองเห็นอยู่นั้น เป็นเพียงชั่วคราว เดี๋ยวมันก็ผ่านไป ไม่ยั่งยืน (เหมือนเงา)  แต่สิ่งที่มองไม่เห็นนั้น เป็นถาวรนิรันดร์”

 

ข้อ 16 เริ่มต้น “ฉะนั้น เราไม่ท้อถอย ผิดหวัง เสียใจ กลัว เครียด ซึมเศร้า  แม้ว่ากายภายนอกเรากำลังทรุดโทรมไป”

ท่านสามารถพูดตามนี้ได้ไหมว่า … “ฉันไม่ท้อแท้ ไม่ท้อถอย ไม่กลัว แม้ว่ากายภายนอกนี้ ตับ ไต ไส้ พุง  อวัยวะทุกชิ้นนี้ กำลังทรุดโทรมไปสู่ความตาย  ฉันไม่กลัว ฉันไม่ท้อแท้ ฉันไม่วิตกกังวล”

คำว่า “ท้อแท้” ตรงนี้ ภาษาอังกฤษ หลายฉบับได้ใช้คำว่า “Lost Heart” ที่แปลเป็นภาษาพูด เรามักใช้คำว่า “ถอดใจ ท้อแท้ หมดหวัง”

“ฉันไม่หมดหวังเลย  แม้ว่าจะเจ็บป่วย ฉันไม่หมดหวังเลย  แม้ว่าจะทนทุกข์อยู่ตอนนี้  ฉันไม่หมดหวังเลย แม้จะเครียดกับความกดดัน  จากผลกระทบของโควิด-19 ในขณะนี้มาก เท่าไรก็ตาม ฉันไม่ปฏิเสธหรอกว่าฉันอยู่ในความทุกข์  แต่ฉันมีความหวังในความทุกข์เหล่านี้” มันแปลว่าอย่างนี้

เราไม่ท้อแท้ หรือเราไม่ถอดใจจากเหตุที่ว่ากายภายนอกของเรากำลังทรุดโทรมไปก็จริง ซึ่งเป็นสิ่งที่ปฏิเสธไม่ได้  เห็นอยู่จริงๆ  จับต้องมองเห็นได้  มันกำลังทุกข์

คำว่า “กายภายนอกของเรากำลังทรุดโทรมไป” ตรงนี้หมายรวมถึงทั้งการเสื่อมโทรมของอวัยวะต่างๆ ในร่างกายที่เป็นไปตามธรรมชาติ  ความเสื่อม ความแก่ที่เป็นไปตามอายุขัย  ความเจ็บไข้ได้ป่วย โรคร้าย โรคเรื้อรังต่างๆ  รวมไปถึงความเครียด จนนอนไม่หลับ  รวมถึงความทุกข์ทรมาน ทุกรูปแบบ เป็นผลกระทบมาจากเรื่องอะไรก็ตามที่เราได้รับอยู่  ไม่ว่าด้วยสาเหตุใดก็ตาม  บางครั้งอาจจะทุกข์มาจากความสูญเสีย ในสิ่งที่รักไป สูญเสียคนที่รัก หรือบางครั้ง เหมือนกับสิ่งที่อยากทำ ก็ไม่ได้ทำ สิ่งที่ไม่อยากทำ ก็ไปทำ มันวุ่นวายไปหมด สิ่งที่ต้องการกลับไม่ได้ สิ่งที่ไม่ต้องการกลับได้มา โลกใบนี้มันช่างวุ่นวายเหลือเกิน

ทั้งหมดเหล่านี้ ล้วนมีส่วนในกายภายนอกของเรากำลังทรุดโทรมไปทั้งสิ้น อย่างนี้แหละ มันกำลังนำเราไปสู่ความตาย ความทุกข์ลำบากนั่นเอง เป็นเรื่องของกฎของความบาปและความตาย  และคำสาปแช่งที่ปกคลุมอยู่เหนือโลกใบนี้  และมนุษย์ทุกคนก็อยู่ใต้กฎนี้ทั้งสิ้น

แต่ถึงแม้ว่าเราต้องเผชิญกับสิ่งเหล่านี้ คือความทุกข์ลำบากเหล่านี้ ก็ตาม เราก็ไม่ท้อแท้  ไม่ถอดใจ เต็มไปด้วยความหวัง  ในถ้อยคำตรงนี้ได้บอกต่อว่าเพราะถึงแม้กายภายนอกของเรากำลังทรุดโทรมไป  กำลังทุกข์ ลำบาก  เครียด ท้อแท้  เห็นๆ อยู่  แต่ตัวตนภายในของเรา  ซึ่งก็คือวิญญาณและจิตใจใหม่ที่เหมือนพระเยซูคริสต์ ที่เราได้รับการบังเกิดใหม่แล้ว ในพระคริสต์นั้น  กำลังได้รับการเลี้ยงดู เสริมสร้างขึ้นใหม่ ให้เจริญเติบโตขึ้นทุกวันๆ ในขณะเดียวกันกับที่ร่างกายกำลังทรุดโทรมไป  แต่วิญญาณข้างในของเรา  ที่เป็นตัวจริงๆ เป็นตัวตนแท้ๆ ของเรา  ที่อยู่นิรันดร์นั้น ที่บังเกิดใหม่ด้วยความเชื่อในพระเยซูคริสต์ ที่เหมือนพระเยซูไม่มีผิดเลย ที่เหมือนทั้งวิญญาณและที่เหมือนทั้งจิตใจนั้น  โตขึ้นทุกวันๆ  ตั้งแต่วันแรกที่เราเริ่มเชื่อพระเยซู และได้บังเกิดใหม่แล้ว  จนถึงวันนี้ มันก็โตขึ้นไปเรื่อยๆ  โดยได้รับการเลี้ยงดูจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่สถิตอยู่ในเรานั่นเอง เห็นอะไรบางอย่างหรือยัง?

นี่คือความหวังใจของเรา  ข้างนอก คือสิ่งที่มองเห็นอยู่  อาจดูเสื่อมโทรมลงทุกวันๆ แย่ลงทุกวัน  ทุกข์มากขึ้นทุกวัน  แต่เราก็ไม่ท้อแท้ ไม่ถอดใจ ไม่สิ้นหวัง เพราะเรารู้ว่าตัวตนที่แท้จริงของเรา กำลังเติบโตขึ้นทุกวัน รู้ได้อย่างไร? ก็เพราะพระวิญญาณบริสุทธิ์อยู่ในใจของเรา ถามคริสเตียนว่ารู้ได้อย่างไร? ผู้เชื่อทั้งหลาย ก็จะตอบว่า …

“ข้ารู้ เพราะอยู่ในใจ”

มีอะไรบางอย่างยืนยันอยู่ในใจ  มีอะไรบางอย่างย้ำยืนยัน  เป็นพยานอยู่ในใจว่ามันใช่ มันถูกต้องในความหวังนี้  มันจับต้องมองเห็นได้ในสิ่งที่หวังไว้ สิ่งนั้น ก็คือพระวิญญาณของพระเจ้าที่สถิตอยู่ในเราทั้งหลายผู้เชื่อ และวิญญาณเราทั้งหลายที่ได้บังเกิดใหม่  พร้อมกับจิตใจที่เหมือนพระเยซูคริสต์ นี่แหละเป็นตัวยืนยันว่า … “ข้ารู้ เพราะอยู่ในใจ” นี่คือความหวังของเรา

มาดูข้อ 17 กันต่อ อธิบายเพิ่มเติม เพื่อให้เราเกิดความมั่นใจ ที่บอกว่ากายภายนอกกำลังทรุดโทรมลง แต่ตัวตนที่แท้จริงข้างใน กำลังเจริญเติบโตขึ้นใหม่ทุกวัน  หมายความว่าอะไร?  เรามาค่อยๆ วิเคราะห์กันต่อ ในข้อ 17 บอกว่า … “เพราะความทุกข์ยากลำบากที่เราได้รับอยู่ในขณะนี้นั้น เป็นเพียงสิ่งชั่วคราว และเป็นสิ่งเล็กน้อย ที่กำลังเสริมสร้างหล่อหลอม และจัดเตรียมเราเข้าไปสู่สง่าราศี พระสิริอันยิ่งใหญ่ สมบูรณ์นิรันดร์ ที่ไม่มีสิ่งใด สามารถเปรียบได้เลย”  ฮาเลลูยา

สังเกตให้ดี ในข้อนี้ ใช้คำว่า “เปรียบ” ก็แปลว่ามีการเปรียบเทียบของสิ่งต่างๆ ที่เราอ่านเมื่อสักครู่นี้ ดูสิว่าเขาเปรียบอะไรกันอย่างไร? ถ้อยคำตรงนี้กำลังเปรียบเทียบระหว่าง …

(1) ความทุกข์ยากลำบาก

(2) สง่าราศี และพระสิริของพระเจ้าที่อยู่ในเรา

 

มาดูลักษณะของ 2 สิ่งนี้ ที่เราเปรียบเทียบกัน

(1) ความทุกข์ยากลำบากที่เรากำลังรับอยู่ในขณะนี้นั้น   นึกถึงความทุกข์ยากลำบากที่เกิดขึ้น ในขณะนี้ เป็นเพียงสิ่งชั่วคราว และเป็นสิ่งเล็กน้อย  ความทุกข์ยากลำบากที่เราได้รับอยู่ในขณะนี้นั้น ไม่ว่าจะมาจากผลกระทบจากโควิด-19  หรือได้รับมาก่อนหน้าโควิด-19 จะมีด้วยซ้ำไป ได้รับมาตั้งแต่เมื่อไร? ได้รับมาตั้งแต่ 3 ขวบ 7 ขวบ 10 ขวบ 50 ขวบ 60, 70 เพิ่มไปเมื่อไรก็ตาม มากขึ้นเมื่อไรก็ตาม  เรื่องอะไรก็ตาม ความทุกข์ยากลำบาก เหล่านี้ ที่ท่านได้รับอยู่ในขณะนี้นั้น คือขณะที่ดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ อยู่ในร่างกายนี้อยู่นั้น มันเป็นสิ่งชั่วคราวเท่านั้น และเป็นสิ่งเล็กน้อย ต้องใช้คำนี้เลยนะ เพราะภาษาเดิมแปลจริงๆ ต้องใช้สำเนียงเสียงช่วยด้วย คือไม่ใช่ว่าเป็นสิ่งเล็กน้อย ต้องเรียกว่าเป็นสิ่งเล็กน้อย (ใช้เสียงเล็กน้อยจริงๆ)  มากเลย  นี่คือลักษณะของสิ่งที่หนึ่ง

(2)  สง่าราศี พระสิริ อันยิ่งใหญ่ สมบูรณ์นิรันดร์  นี่เทียบกัน สง่า ราศี พระสิริของพระเจ้า อันยิ่งใหญ่ สมบูรณ์ นิรันดร์ ตะกี้นี้บอกว่าความทุกข์ยากลำบากชั่วคราว อันนี้บอกสง่าราศีอันยิ่งใหญ่นิรันดร์ ตะกี้บอกความทุกข์ยากลำบากเล็กน้อย มาเทียบกับสง่าราศีอันยิ่งใหญ่ของพระเจ้า ที่สมบูรณ์ เห็นความแตกต่างที่ชัดเจนใช่ไหมครับ?

อันแรก คือความทุกข์ลำบาก เป็นสิ่งชั่วคราว เป็นสิ่งเล็กน้อยยยยยย มากเลย ในขณะที่สง่าราศี พระสิริของพระเจ้า เป็นสิ่งถาวรนิรันดร์ และยิ่งใหญ่ มโหฬาร มากมาย

นี่คือที่บอกว่าสองสิ่งนี้ เปรียบเทียบกันไม่ได้เลย  เหมือนกับฟ้ากับเหว  เปรียบกันไม่ได้เลย สูงสุด กับต่ำสุด หาไม่เจอเลย ต่ำสุด อยู่ขนาดไหน? ฟ้ากับเหว  หรือเหมือนกับเงาและของจริง เงาอยู่ถึงเมื่อไร? แป๊บเดียว ของจริงอยู่นิรันดร์ นี่คือการเปรียบเทียบกันระหว่างเล็กน้อยยยยย ชั่วคราวกับความยิ่งใหญ่ ถาวร นิรันดร์

เห็นอะไรบางอย่างหรือยังว่าท่านมองไปที่ไหน?  สำคัญไหม?  ท่านมองไปที่สิ่งที่เล็กน้อยยยย ชั่วคราว มองไปที่เงา หรือท่านกำลังมองไปที่สิ่งของที่ยิ่งใหญ่ ถาวร และอยู่นิรันดร์ ของจริง ไม่ใช่เงา ของจริงเลย  โรม 8:18 ก็ได้บันทึกอย่างนี้ เป็นตัวย้ำยืนยัน อยากให้ท่านดูถ้อยคำตรงนี้  เพื่อเป็นการสนับสนุนในการมองไปที่ความทุกข์ยากลำบากบนโลกใบนี้ ว่าพระเจ้าต้องการให้เรามีท่าที มองไปที่ความทุกข์ยากลำบากนั้น ในลักษณะอย่างไร? …

โรม 8:18   “และด้วยความเชื่อ ข้าพเจ้าจึงเห็นว่าความทุกข์ยากลำบาก ที่เราได้รับอยู่ในปัจจุบันนั้น ไม่สามารถเปรียบเทียบได้เลยกับพระเกียรติสิริ ซึ่งได้ทรงสำแดงในเรา”

 

“ด้วยความเชื่อ ข้าพเจ้าจึงเห็นว่า …” เห็นอะไรบางอย่างไหม?  …

“เพราะฉันเชื่อ ฉันจึงเห็น” พูดง่ายๆ

“เพราะว่าฉันหลับตาเห็นนั่นเอง”

“เพราะฉันเชื่อ ฉันหลับตา จึงเห็น ลืมตาไม่เห็น”

“ด้วยความเชื่อ ข้าพเจ้าจึงเห็นว่าความทุกข์ยากลำบากที่เราได้รับอยู่ในปัจจุบันนั้น  ไม่สามารถเปรียบเทียบได้เลยกับพระเกียรติสิริ ซึ่งพระองค์ได้สำแดงในเราทั้งหลาย”

“เมื่อหลับตา เต็มไปด้วยความเชื่อ ฉันจึงเห็นว่าชีวิตที่เหมือนพระเยซูคริสต์ ที่อยู่ภายในวิญญาณของฉัน และจิตใจของฉัน ที่บังเกิดใหม่นั้น  มันยิ่งใหญ่ เต็มไปด้วยบารมี เต็มไปด้วยสิริมากมายขนาดไหน?

เมื่อหลับตา จึงเห็น ที่ผมเคยบอก มองในกระจก แล้วตกใจ  เพราะว่ามองไปทีไร ก็เห็นใบหน้าตัวเองแก่ลงทุกวัน เต็มไปด้วยความทุกข์ ลำบาก มีปัญหาโน้น ปัญหานี้ แต่มองกระจก แล้วหลับตา  คราวนี้ยิ้มแฉ่งเลยนะ คือ …

“หลับตามองด้วยความเชื่อ สายตาวิญญาณเปิดออก เห็นตัวจริงๆ ของฉันที่อยู่ข้างใน คือวิญญาณและความคิดจิตใจที่ได้บังเกิดใหม่ เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์ไม่มีผิดเลยแม้แต่นิดเดียว  เอเมน และนอกเหนือจากนั้น ยังเห็น 3 พระภาคของพระเจ้าสถิตอยู่กับฉันด้วย  เอเมน”

เพราะฉะนั้น  เมื่อเกิดความทุกข์ยากลำบาก ทุกข์ลำเค็ญมากมายมหาศาล เราควรจะหลับตาเดิน แต่อย่างที่บอก ไม่ใช่ความทุกข์ยากลำบากที่เกิดขึ้นกับเรา จะไม่มีประโยชน์กับเราเลย จะทำลายเราลูกเดียว  ไม่ใช่ พระเจ้าสามารถทำให้ความทุกข์ยากลำบากที่เกิดขึ้นกับเรานั้น  เป็นประโยชน์ เป็นผลดี สำหรับชีวิตของเรา ที่พระองค์ทรงรักได้ด้วย  พระองค์ทรงยิ่งใหญ่สูงสุด มีความสามารถ มีสติปัญญาล้ำเลิศ  พระองค์ไม่ได้เป็นคนเอาความทุกข์ยากลำบากมาให้กับเรา เรารู้แล้ว  จากการเรียนรู้เมื่อ 2 สัปดาห์ที่แล้ว แม้ว่าความทุกข์ยากลำบากจะเกิดขึ้นกับลูกๆ ของพระองค์เพราะลูกๆ ของพระองค์ไม่เชื่อฟัง แต่พระองค์ยิ่งใหญ่  เต็มไปด้วยความสามารถ พระองค์สามารถเอาความทุกข์ยากลำบากเหล่านั้น ที่ไม่อยากให้เกิดขึ้นกับลูกนั้น มันจำเป็นต้องเกิดขึ้น โอเคไม่เป็นไร เกิดขึ้นปุ๊บ เอามาใช้ให้เป็นประโยชน์ ให้เกิดผลดี  สำหรับลูกของตัวเองเสียเลย  นี่มันเป็นอย่างนั้น

ความทุกข์ยากลำบากที่เราได้รับอยู่นั้น ถึงแม้จะเป็นเพียงสิ่งเล็กน้อยยยยมาก และเป็นเพียงแค่ชั่วคราว  แต่พระเจ้าเอากลับมาใช้ให้เป็นประโยชน์ ก็คือใช้มันให้เป็นการเสริมสร้าง หล่อหลอมและเตรียมเรา ในการเข้าสู่สง่าราศี พระสิริอันยิ่งใหญ่ สมบูรณ์แบบนิรันดร์  ในอนาคตนั่นเอง  ซึ่งพระองค์ทรงเตรียมไว้เรียบร้อยแล้ว  ทุกอย่าง ทุกประการ

พูดง่ายๆ ว่าเป็นการตระเตรียมเราเข้าไปสู่การรับความรอด จากพระเยซูคริสต์อย่างครบถ้วนบริบูรณ์ สมบูรณ์แบบนั่นเอง  เพราะขณะที่เรากำลังดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ อยู่ในร่างกายนี้อยู่ เราได้รับความรอด ในพระเยซูคริสต์แล้วก็จริง  แต่มันยังไม่สมบูรณ์แบบ เพราะว่าวิญญาณและความคิดจิตใจเราได้รับการบังเกิดใหม่แล้ว จบสิ้นไปแล้ว ได้รับความรอด เป็นลูกของพระเจ้า ได้รับการบังเกิดใหม่แล้ว สะอาด หมดจด บริสุทธิ์ เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์เลย  ซึ่งเป็นตัวตนแท้ๆ ของเรา แต่เรายังสวมร่างกายเก่า  ซึ่งตกอยู่ใต้ความบาปและความตาย ในความทุกข์ทรมานเหล่านี้ อย่างที่บอก มันยังไม่ครบถ้วนบริบูรณ์และแถมยังอยู่ในโลกเดิม  โลกเก่า ที่เต็มไปด้วยระบบของความบาปและความสาปแช่ง ปกคลุมอยู่เหนือโลกใบนี้

เพราะฉะนั้น มันยังไม่เป็น Full option ของความรอดนิรันดร์ ที่พระเจ้าทรงประทานให้ผ่านทางพระเยซูคริสต์ เพราะความรอดนิรันดร์นั้น  จะได้รับก็ต่อเมื่อ  ขาด Option อีก 2 อย่างที่ยังไม่ได้รับ ก็คือ …

(1) ร่างกายใหม่ที่เป็นเหมือนพระเยซู ที่เป็นขึ้นจากความตาย ที่เรียกว่าร่างกายสวรรค์ ที่พระเจ้าจัดเตรียมไว้ให้กับเรา

(2) โลกใหม่ที่พระองค์จะทรงสร้างขึ้นใหม่ และสรรพสิ่งบนโลกใหม่เอี่ยมเลย เป็นสวรรค์ใหม่เลย ให้กับเราทั้งหลาย แทนโลกใบนี้ ที่จะอยู่กับพระองค์เป็นนิรันดร์

สองสิ่งนี้ เรายังไม่ได้รับไง แต่สิ่งที่เราได้รับไปแล้ว ก็คือตัวตนจริงๆ ของเรา คือวิญญาณ ความคิดจิตใจของเราบังเกิดใหม่ เหมือนพระเยซูแล้ว ได้รับชีวิตนิรันดร์ไปเรียบร้อยแล้ว รอเพียงร่างกายใหม่ ร่างกายที่มีชีวิตนิรันดร์เหมือนพระเยซู ที่เป็นขึ้นจากความตาย และรอไปอยู่ในโลกใหม่  หลังจากโลกใบนี้สิ้นสุดลง  ถูกทำลายหมดสิ้นลงแล้ว พระเจ้าทรงประทานโลกใหม่ สรรพสิ่งบนโลกใหม่ๆ ให้กับเราทั้งหลาย ได้อยู่อาศัย นั่นแหละคือ Full option ของความรอด  นี่คือความหวังใจของคริสเตียน ผู้เชื่ออย่างเต็มบริบูรณ์นั่นเอง

ขนาดไม่เต็มบริบูรณ์ ตอนนี้ก็ยังโอ้โห ขอบคุณพระเจ้ามากมายเลย แต่ยังมีความหวังไว้ว่าเมื่อไรจะถึง Full option สักที  และความทุกข์ยากลำบากเหล่านี้  ที่กำลังดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ ในขณะที่เรากำลังเผชิญกับความทุกข์ยากลำบาก ความลำเค็ญเหล่านี้  จงมองให้เห็นเถิดว่าความหวังเราอยู่ที่ไหน? ท่ามกลางความทุกข์ยากลำบากเหล่านี้ พระเจ้าใช้ความทุกข์ยากลำบากเหล่านี้ ให้เป็นตัวเสริมสร้าง ให้เรามีกำลัง ให้เรามีความหวังชัดเจนมากยิ่งขึ้นว่าสิ่งที่เราหวังไว้ คือร่างกายใหม่ ที่เหมือนพระเยซู ที่เป็นขึ้นจากความตาย  ที่เราจะสวมในอนาคต รวมทั้งโลกใหม่นั้น  มีอยู่จริง และชัดเจนมากยิ่งขึ้นนั่นเอง และพระวิญญาณบริสุทธิ์ ประทานความจริงนี้ ชีวิตที่เหมือนพระเยซูคริสต์ เข้าไปอยู่ในอวัยวะทุกส่วน  ทุกระบบในร่างกายนี้ที่มันกำลังเสื่อมสลายไป ให้หล่อเลี้ยง ด้วยพลังเสริมนี้ตลอดเวลา ให้รู้ว่าขณะที่ทรุดโทรมลงไป เราจะมีชีวิตใหม่ เรามีความหวังอยู่ในพลังอำนาจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า  โรม 5:3-4 จึงได้บันทึกไว้ลักษณะนี้ว่า …

โรม 5:3-4 “3 และไม่ใช่เพียงเท่านี้ แต่ให้เราชื่นชมยินดีในความทุกข์ยากลำบากด้วย เพราะเรารู้ว่าความทุกข์ยาก (ความกดดัน ท้อแท้ ลำบาก เครียด) นั้น ทำให้เกิดความอดทน และความอดทน ทำให้เกิดความทรหด 4 ความทรหด ผ่านประสบการณ์ความทุกข์ยากต่างๆ ทำให้เกิดอุปนิสัยที่เจริญเติบโต เป็นผู้ใหญ่ในฝ่ายวิญญาณ ที่ผ่านการทดสอบแล้ว ทำให้ความหวังใจ ในความรอดนิรันดร์ในพระเยซูคริสต์ ที่ได้รับแล้วนั้น มีหลักฐานที่มั่นคง ชัดเจน แน่ใจ”

 

เพราะเหตุนี้แหละ ที่อธิบายให้ฟังไปเมื่อสักครู่นี้  ไม่ใช่เพียงเท่านี้ เราจึงชื่นชมยินดีในความทุกข์ยากลำบากด้วย  ไม่ได้ชื่นชมยินดีที่ได้เป็นลูกของพระเจ้า ได้เกิดใหม่เหมือนพระเยซู แต่เรายังชื่นชมยินดีในความทุกข์ยากลำบากด้วย เพราะเรารู้แล้วว่าอะไรเกิดขึ้นในโลกวิญญาณ เรากำลังเดินทางไปสู่สิ่งใดที่เราหวังไว้? พระเจ้ากำลังทำอะไร?  เราจึงสามารถมีความชื่นชมยินดีในความทุกข์ยากลำบากเหล่านี้ได้

พูดง่ายนะครับ แต่เวลาเผชิญอยู่ ลำบากมากจริง เพราะขณะที่เราลืมตามองดูในสิ่งที่มองเห็น คือความทุกข์ยากลำบากบนโลกใบนี้ มันดูเหมือนทุกข์สาหัสจริงๆ เลย เมื่อไรจะหมดทุกข์สักที ทั้งๆ ที่ความจริง มันแป๊บเดียว พระเจ้าบอกเรา แต่เราหลับตา เรามองเห็นชีวิตนิรันดร์ ความสุขนิรันดร์ที่รอเราอยู่ และเราได้รับมัดจำไปแล้ว เราจึงสามารถชื่นชมยินดีในความทุกข์ยากลำบากด้วย เพราะเรารู้ว่าความทุกข์ยากลำบากนั้น มันก่อให้เกิดผลดีในชีวิตของเรา พระเจ้าใช้ความทุกข์ยากลำบากเหล่านั้น ก่อให้เกิดผลดี

“เพราะเรารู้ว่าความทุกข์ยากลำบาก ความกดดัน ความท้อแท้ ความลำบาก ความเครียด ความกลัว ความเสื่อมสลายของร่างกาย ผมหงอก ตาเริ่มมองไม่เห็น  สายตาเริ่มยาว ประสาทเริ่มเสียลง เดินทรงตัวไม่ค่อยได้ เจ็บโน่น เจ็บนี่ เข่าตึง เข่าทรุด เข่าเสีย หัวใจเต้นผิดปกติ กินยาลดความดัน เป็นโน่น เป็นนี่ ไม่เป็น ก็โดนโน่นโดนนี่ โดนนั่น เครียดไปหมดเลย  แต่เรารู้ว่าสิ่งเหล่านี้ที่ตะกี้บอก คือความทุกข์ลำบากเหล่านี้ มันทำให้เราเกิดความอดทน ความอดทนเยอะๆ ทำให้เกิดความทรหด เขาเรียกว่าทรหดอดทน แล้วเกิดมีประสบการณ์ขึ้นมา  แล้วประสบการณ์นี้ทำให้เราเจริญเติบโต เป็นผู้ใหญ่ในฝ่ายวิญญาณ  มีกล้ามเนื้อฝ่ายวิญญาณที่เข้มแข็งขึ้น ที่พระเจ้าจะสามารถใช้ได้  ซึ่งเต็มไปด้วยความหวัง ในชีวิตนิรันดร์นั่นเอง  และความหวังนี้ ทำให้เราเกิดความหวังใจในความรอดนิรันดร์ในพระเยซูคริสต์ ที่เราได้รับมาแล้วนั้น เรามองไม่เห็น แต่เรารู้อยู่ในใจ  และทำให้ความรู้อยู่ในใจ และความเชื่อในความรอดตรงนี้ ในความหวังตรงนี้ มีหลักฐานที่มั่นคงชัดเจน  แน่ใจมากยิ่งขึ้น  คือมีกล้ามเนื้อของวิญญาณ กล้ามเนื้อของความเชื่อและความหวังใหญ่ขึ้น

ผมนึกถึงภาพ เหมือนคนเข้ายิม ทุกคนที่เข้ายิมหรือฟิตเนส ถามว่าเข้าไปทำอะไร? เข้าไปทรมานตัวเอง หลักการ คือทำให้เกิดความทุกข์ เกิดความกดดัน เกิด สเตทต่ออวัยวะในร่างกาย กล้ามเนื้อเหล่านั้น เพื่อจะใช้ความอดทน จะเห็นชัดเลย ยกน้ำหนัก จะให้กล้ามเนื้อขึ้น ต้องยกให้มันหนักเข้าไว้  หนักขนาดกล้ามเนื้อนั้นๆ เกือบจะรับไม่ไหวแล้ว ให้มันเกิดความกดดัน  เกิดความทุกข์ต่อกล้ามเนื้อนั้น  พอทุกข์ปุ๊บ  แล้วปล่อยให้มันพัก มันก็จะเสริมสร้างตัวเองขึ้นมา เพื่อจะรอรับความทุกข์อันต่อไป ตามธรรมชาติ เผื่อมีความทุกข์ขึ้นมา  จะได้รับได้  เกิดความอดทน ความอดทนทำให้เกิดกล้ามเนื้อค่อยๆ แข็งแรงขึ้น  เกิดเสริมสร้างขึ้น  พอได้ระดับหนึ่งปุ๊บ ก็ต้องยกหนักขึ้นอีก  เพื่อให้เกิดความทรหด  ให้กล้ามเนื้อนั้นได้เสริมสร้างขึ้นอีก  เป็นขั้นเป็นตอน เสริมสร้างขึ้นเรื่อยๆ อดทน ทรหด

ทรหดแล้วก็มีความทรหดมากขึ้น  มีประสบการณ์ทรหดนั้น แล้วก็เกิดอุปนิสัยใหม่ของร่างกาย อุปนิสัยใหม่ของกล้ามเนื้อนั้น ก็เกิดขึ้น คือกล้ามเนื้อที่เล็กๆ ก็กล้ามใหญ่ขึ้น มีกำลังมากขึ้น  เอาไปประกวดเพาะกายได้  เบ่งกล้ามออกมาสวยงาม

ถามว่าเขาทุกข์ทรมาน เพราอะไร? เพราะหวังไว้ว่าวันหนึ่งจะได้ตามรูปที่บอกไว้  จะได้เพาะกายกล้ามเนื้อ นักเพาะกาย ถ่ายรูปมาสวยๆ กว่าเขาจะได้อย่างนั้น เขาทำความทุกข์ยากลำบากให้เกิดขึ้นกับกล้ามเนื้อเหล่านั้น เป็นเวลานานเท่าไร? อดทนครั้งแล้วครั้งเล่า นานเท่าไร? เพราะฉะนั้น ก็ลักษณะเดียวกันในโลกวิญญาณ

พระเจ้าทราบดีหมดว่าคนไหนเหมาะสมอย่างไร? ไม่ใช่เข้ายิม ทุกคนก็ทำได้เท่ากันหมด  ทุกคนเข้ายิม ยกน้ำหนักเท่ากันหมด ทุกคนเข้ายิมยกน้ำหนักตั้งแต่ 2, 3 กิโลฯ แล้วไปถึง 100 กิโลฯ ได้ เราเข้าไปใหม่ๆ สรีระร่างกาย อาจไม่ได้เท่ากับนักเพาะกายคนนี้ หรืออาจจะไม่มีโอกาสได้เข้าเลย เพราะเราต้องเกิดมาเป็นเขา จะไปเปรียบเทียบกับเขา ทำตามเขา ไม่ใช่อย่างนั้น  เทรนเนอร์คงไม่ทำอย่างนั้นกับเรา  เทรนเนอร์ก็คงดูแลเราว่าสรีระร่างกาย ความสามารถของกล้ามเนื้อของเราขณะนี้ และด้วยการเกิดของสายพันธุ์ เชื้อชาติของเรา ขณะนี้ เรารับได้ขนาดไหน? ก็ค่อยๆ ฝึกไป ค่อยๆ ตามแต่ความสามารถของแต่ละคนไม่เหมือนกัน  เห็นไหมครับ? ไม่ใช่เข้าไป ก็อยากจะเป็นนักเพาะกาย เหมือนคนที่เขาทำซะสวยเลย  …

“ผมอยากได้แบบนั้นบ้าง?”

“ฉันอยากได้แบบนี้บ้าง?”

เทรนเนอร์บอก … “ไม่ได้หรอก ต้องไปเกิดใหม่ เป็นไปไม่ได้หรอก” อะไรต่างๆ เหล่านี้

เพราะฉะนั้น  พระเจ้าก็เป็นเหมือนเทรนเนอร์  ทรงทราบดีว่าแต่ละคนมีคุณสมบัติ  มีความสามารถ มี DNA จากพ่อแม่ที่เกิดมา จากเชื้อพันธุ์ที่เกิดมา มีโรคประจำตัวอะไรไหม? เป็นอย่างไรไหม?  รับได้ขนาดไหน? พระองค์ทรงทราบดี  พระองค์จึงจัดเตรียมให้แต่ละคนรับได้ไม่เหมือนกัน  เพราะว่าแต่ละคนไม่เหมือนกัน พระองค์จัดเตรียมให้เหมาะสำหรับแต่ละคน พอดีๆ พระคัมภีร์บอกว่าจะไม่เกินกว่าที่เราจะรับได้

ความทุกข์ยากลำบากที่เกิดขึ้นกับเรา จะไม่เกินกว่าที่เราจะรับได้ แต่พระองค์ทรงสัตย์ซื่อ สัตย์ธรรม พระองค์ทรงเตรียมแผนการบอกให้กับเราเรียบร้อยแล้ว  คือให้เราได้พัก เพื่อเสริมสร้างกล้ามเนื้อต่อไป  ไม่ให้ถึงขนาดบาดเจ็บนั่นเอง เทรนเนอร์ที่ไม่ดี ก็คือทำตามใจคนออกกำลังกาย อยากจะทำอย่างนี้ ปล่อยให้ทำไป ยกน้ำหนักเกินกว่าตัว ที่จะสามารถทำได้ ก็เกิดความบาดเจ็บ พระเจ้าไม่ทำอย่างนั้น

ดังนั้น เมื่อเรารู้อย่างนี้แล้วว่า 2 สิ่งนี้ มันเปรียบเทียบกันไม่ได้เลย คือ …

(1) ความทุกข์ยากลำบาก ซึ่งเป็นสิ่งที่เราจับต้องมองเห็นได้ เป็นสิ่งเล็กน้อยมาก  และเป็นสิ่งชั่วคราว เหมือนเงา

(2) สง่า ราศี และพระสิริของพระเจ้า ที่ได้ทรงสำแดงในเราเรียบร้อยไปแล้ว  และได้สัญญากับเราว่าจะให้กับเรา หลังจากเราจากโลกนี้ไปแล้ว  เป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่ และเป็นสิ่งที่สมบูรณ์ ครบถ้วนถาวรนิรันดร์ เปรียบกันไม่ได้เลย

เมื่อเราได้รับรู้อย่างนี้แล้ว เราจะจดจ่อ จดจ้อง มองไปที่ใดในชีวิตบนโลกใบนี้  ถ้าเรารู้อย่างนี้แล้ว  ความจริงเหล่านี้ลงไปอยู่ในจิตใจของเราแล้ว  เราจะจดจ่อชีวิตของเรา  จิตใจของเรา จดจ่อมองไปที่สิ่งไหน? สิ่งที่มองเห็น หรือสิ่งที่มองไม่เห็น สิ่งที่เป็นความทุกข์ยากลำบาก  ที่มองเห็นอยู่ หรือสง่าราศี พระสิริพระเจ้า การบังเกิดใหม่ในพระเยซูคริสต์ และชีวิตนิรันดร์แบบสมบูรณ์แบบ ที่พระเจ้าจัดเตรียมไว้ให้ในโลกวิญญาณ และในสวรรค์เบื้องหน้านั้น เราจะมองไปที่ใด

คำตอบ สรุปจบอยู่ในข้อ 18  ที่เราได้อ่านไปเมื่อสักครู่นี้  เราวิเคราะห์ด้วยกัน ข้อ 18 นี้  เป็นบทสรุปที่เยี่ยมยอดมากเลย 2 โครินธ์ 4:18 …

2 โครินธ์ 4:18 “ดังนั้น เราจึงไม่จับตามองดูสิ่งที่มองเห็นอยู่ แต่จับตาดูสิ่งที่มองไม่เห็น เพราะสิ่งที่มองเห็นอยู่นั้น เป็นเพียงชั่วคราว เดี๋ยวมันก็ผ่านไป ไม่ยั่งยืน (เหมือนเงา) แต่สิ่งที่มองไม่เห็นนั้น เป็นถาวรนิรันดร์”

 

แทบจะเอาไปท่อง หรือเอาไปคิดไตร่ตรองกันได้อย่างสงบเลยนะ  … “ดังนั้น เราจึงไม่จับตามองดูสิ่งที่มองเห็นอยู่ แต่จับตาดูสิ่งที่มองไม่เห็น เพราะสิ่งที่มองเห็นอยู่นั้น มันเป็นเพียงชั่วคราว เดี๋ยวมันก็ผ่านไปแล้ว ไม่ยั่งยืน เป็นเหมือนเงา แต่สิ่งที่มองไม่เห็น เป็นถาวรนิรันดร์”

ผลกระทบจากโควิด-19  ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไร? ความทุกข์ยากลำบาก ที่เกิดขึ้นกับเราก่อนโควิด-19 ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไร? ความทุกข์ทางกาย ไม่ว่าจะโรคอะไรก็ตาม ไม่ว่าอวัยวะส่วนไหนจะเสื่อมไป  ไตจะเสียไป ตับจะแย่ไป  ลำไส้จะเป็นมะเร็ง คือทุกคนเป็นมะเร็งอยู่แล้ว  ถ้ามีอายุแก่พอนะ เป็นมะเร็งกันทุกคนแหละ เพราะมันเสื่อมไปเรื่อยๆ  ไม่ว่าจะเป็นโรคอะไรก็ตาม ไม่ว่าความทุกข์ในรูปแบบลักษณะใดก็ตาม  มันเหมือนเงา แป๊บเดียวก็ผ่านไปแล้ว  แต่สิ่งที่มองไม่เห็นนั้น มันถาวรนิรันดร์

สิ่งที่มองไม่เห็น คือสิ่งที่สามารถเห็นได้ โดยการหลับตา หลับตาแล้วเห็นถ้อยคำพระเจ้า เขียนเอาไว้ สัญญาที่พระเจ้าบอกไว้ หลับตา แล้วเห็นโลกวิญญาณ …

“หลับตา แล้วเห็นชีวิตของฉันได้เกิดใหม่ ฉันเป็นลูกของพระเจ้า ฉันเป็นวิญญาณที่เหมือนพระเยซู และมีความคิดจิตใจที่เหมือนพระเยซูแล้ว เดี๋ยวนี้ ในขณะนี้  อยู่อาศัยในร่างกายเดิมนี้อยู่ ชั่วคราว แป๊บเดียวเอง และเมื่อร่างกายนี้สิ้นสุดลง จบลง จะกี่ปีก็ตาม วิญญาณของฉัน ซึ่งเป็นตัวตนแท้จริงของฉัน รวมทั้งความคิดจิตใจของฉันเป็นเหมือนพระเยซู พระวิญญาณบริสุทธิ์ ก็จะนำไปสวมร่างกายใหม่ ที่เป็นร่างกายที่เป็นเหมือนพระเยซู ตอนเป็นขึ้นจากความตาย  ที่เรียกว่าร่างกายสวรรค์ ฉันจะไปสวมในร่างกายนี้  และฉันก็จะอาศัยอยู่ในโลกใหม่ ที่พระเจ้าจัดเตรียม  สร้างให้  ในวันที่โลกใบนี้สิ้นสุดลง  โลกใหม่ ฟ้าใหม่ ที่ไม่มีมารซาตาน  ไม่มีความบาป ไม่มีคำสาปแช่ง ก็คือไม่มีความทุกข์ยากลำบากอีกต่อไป (ถามว่านานเท่าไร?) เป็นนิจนิรันดร์ ร่างกายที่ไม่ต้องเจ็บป่วย ร่างกายที่ไม่ต้องเจ็บปวด ร่างกายที่ไม่ต้องทนทุกข์ เครียด ร่างกายที่เต็มไปด้วยสง่าราศี ที่เหมือนพระเยซู จะเป็นร่างกายของฉัน และเป็นร่างกายที่ไม่ต้องมาต่อสู้กับความบาปอีกต่อไป ไม่ต้องต่อสู้กับกิเลสตัณหาของเนื้อหนังอีกต่อไป  เพราะมันไม่มีแล้ว และฉันจะอยู่ในโลกใหม่ ที่มีสัตว์เลี้ยงที่ฉันรัก แต่เป็นสัตว์เลี้ยงที่สร้างใหม่ เกิดใหม่ พร้อมๆ กับโลกใหม่ ต้นไม้ใหม่ ธรรมชาติใหม่ สวยสดงดงามกว่าสมัยสวนเอเดนอีกด้วยซ้ำไป  แล้วฉันจะอยู่อย่างนั้นกับพระเจ้าชั่วนิรันดร”

นี่คือ Full option ของความรอดนิรันดร์ในพระเยซูคริสต์ที่เราควรจะมองไปที่นี่ ในขณะที่เราดำเนินชีวิตอยู่ในขณะนี้ เราควรจะหลับตา แล้วมองสิ่งเหล่านี้  ควรจะหลับตา ผ่านทางความเชื่อ ผ่านทางถ้อยคำ คำสัญญาจากพระเจ้า เห็นถึงความจริงเหล่านี้ ที่เกิดขึ้น และขอบคุณพระเจ้า และรับรู้ได้ ด้วยวิญญาณของเรา ที่มีพระวิญญาณบริสุทธิ์สถิตอยู่ข้างใน เรารู้ว่ามันใช่ เรารู้ว่ามันจริง เรารู้แม้กระทั่งเราหลับตา เราก็เห็นชัดเจน เพราะเรารู้อยู่ในใจของเรา ได้รับการยืนยันด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่สถิตอยู่กับเรา ได้รับการยืนยันจากตัวเราเอง คือวิญญาณที่อยู่ภายใน และจิตใจของเราที่ได้บังเกิดใหม่ เหมือนพระเยซูคริสต์ ยืนยันว่าสิ่งเหล่านี้ เป็นความจริงทุกประการ เรามีความหวังอยู่ตรงนี้แหละ ขอบคุณพระเจ้า  พระเจ้าอวยพรครับ

 

**************************

 

จากใจคณะศิษยาภิบาล

 

ความจริง 3 ประการ ที่ทำให้ท่านชนะ โควิด-19 อย่างเด็ดขาด

(1) พระเจ้าพระบิดาพูดกับท่านว่า …

“เราจะไม่ละเจ้าหรือทอดทิ้งเจ้าเลย”

(2) พระเยซูพูดกับท่านว่า …

“เรากับพระบิดาได้อาศัยอยู่กับท่านในร่างกายของท่าน”

(3) พระวิญญาณบริสุทธิ์พูดกับท่านว่า …

“ท่านเป็นลูกของพระเจ้าและเป็นทายาทของพระองค์ด้วย”

(4) ท่านพูดกับตัวเองว่า …

“God is for me who can be against me”

“ความจริงจะทำให้ท่านเป็นอิสระ จากความกลัวและความวิตกกังวล ความจริงจะนำท่านสู่ชัยชนะ ไม่ว่าสถานการณ์จะเป็นเช่นไรก็ตาม”

 

“เพราะ​ว่า​พระเจ้า​รัก​ผูกพัน​กับ​มนุษย์​ใน​โลกนี้​มาก จน​ถึง​ขนาด​ยอม​สละ​พระบุตร​เพียง​องค์​เดียว​ของ​พระองค์ เพื่อ​ว่า​ทุก​คน​ที่​ไว้วางใจ​ใน​พระบุตร​นั้น​จะ​ไม่​สูญ​สิ้น (พินาศ) แต่​จะ​มี​ชีวิต​กับ​พระเจ้า​ตลอด​ไป พระเจ้า​ไม่​ได้​ส่ง​พระบุตร​ของ​พระองค์​เข้า​มา​ใน​โลกนี้ เพื่อ​ตัดสิน​ลงโทษ​โลกนี้ แต่​เพื่อ​ช่วย​โลกนี้​ให้​รอดพ้น คน​ที่​ไว้วางใจ​พระบุตร​จะ​ไม่​ถูก​ตัดสินลงโทษ แต่​คน​ที่​ไม่​ไว้วางใจ​ก็​ได้​ถูก​ตัดสินลงโทษ​ไป​แล้ว เพราะ​พวก​เขา​ไม่​ไว้​วางใจ​พระบุตร​เพียง​องค์​เดียว​ของ​พระเจ้า”  ยอห์น 3:16-18

 

เราไม่สามารถพึ่งความดีกระทำความดี เพื่อไปสวรรค์ เป็นลูกของพระเจ้าได้ แต่เราพยายามทำดี เพื่อจะได้มีสันติสุข ทุกข์น้อยลง ในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้

 

พระเจ้าไม่ได้รอตอบคำอธิษฐานของเรา ตามที่เราต้องการ เราต่างหากที่รอพระเจ้าตอบคำอธิษฐาน ให้เป็นไปตามความต้องการของพระองค์ จงอดทนรอให้พระเจ้า ทำตามแผนการของพระองค์  ไม่ใช่แผนการของเรา  เพราะพระองค์ทรงรักเราดั่งแก้วตาดวงใจ

 

พระเจ้าอวยพรครับ

 

 

 

วารสาร Holy News ฉบับที่ 1319

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  4  กรกฎาคม  2021

 เรื่อง “เราต่างก็เป็นเครื่องมือของพระเจ้า”

โดย วราพร  คงล้วน

 

วันนี้เราก็มาคุยเรื่องใหม่ หัวข้อของเรื่องในวันนี้ คือ “เราต่างก็เป็นเครื่องมือของพระเจ้า” เราจะมาดูในหนังสือ 1 โครินธ์ 3:1-17 (ฉบับ TNCV)

ในหนังสือ 1 โครินธ์ เป็นจดหมายของอาจารย์เปาโลที่เขียนถึงคริสตจักรเมืองโครินธ์ พอดีมีการวุ่นวายเกิดขึ้น มีการแตกก๊ก แตกเหล่ากัน  อาจารย์เปาโลก็เลยเขียนจดหมายฉบับนี้ มาถึงผู้เชื่อในเมืองโครินธ์  1 โครินธ์ 3:1-3 บอกว่า …

1 โครินธ์ 3:1-3 “1 พี่น้องทั้งหลายข้าพเจ้าไม่อาจพูดกับท่านแบบผู้ที่อยู่ฝ่ายจิตวิญญาณ แต่ต้องพูดกับท่านแบบผู้ที่อยู่ฝ่ายโลก คือเป็นเพียงทารกในพระคริสต์ 2 ข้าพเจ้าได้ป้อนนมให้ท่าน มิใช่อาหารแข็ง เพราะท่านยังไม่พร้อมจะรับ อันที่จริง จนเดี๋ยวนี้ท่านก็ยังไม่พร้อม 3 ท่านยังอยู่ฝ่ายโลก เพราะยังมีการอิจฉาริษยาและการทุ่มเถียงกันในหมู่พวกท่าน เช่นนี้แล้วท่านก็อยู่ฝ่ายโลกมิใช่หรือ? ท่านก็ประพฤติตัวเหมือนอย่างคนธรรมดา มิใช่หรือ?”

 

อาจารย์เปาโลเริ่มต้นจดหมาย ในบทที่ 3 ด้วยลักษณะเหมือนกับพูดให้คริสตจักรชาวโครินธ์ให้รับรู้ว่าที่ทะเลาะเบาะแว้งกัน หรือที่แตกก๊ก แตกเหล่ากัน มันไม่ใช่วิสัยของผู้ใหญ่ในวิญญาณนะ ยังเป็นเด็กอยู่เลย ถ้าเป็นเด็ก อาจารย์เปาโลก็ไม่สามารถที่จะป้อนอาหารแข็งได้ ก็ยังคงป้อนน้ำนมอยู่

เด็กๆ เราจะเห็นภาพทารก เราต้องใช้น้ำนมในการป้อนเขา ให้เขาเจริญเติบโต แล้วจะมีขบวนการว่าเด็กอายุประมาณกี่เดือน สามารถที่จะให้อาหารอย่างอื่นได้ ให้น้ำส้ม ให้กล้วย ให้โจ๊ก ให้ข้าว ให้กับข้าว หรืออะไรอื่นๆ  มันจะมีระยะเวลาของการเจริญเติบโต

แต่อาจารย์เปาโลบอกสมาชิกในคริสจักร เมืองโครินธ์น่าจะเชื่อมาประมาณหนึ่ง  แต่ทำไมยังเป็นเด็กอยู่ล่ะ  ทำไมยังอิจฉาริษยากัน ทำไมยังแตกก๊ก แตกเหล่ากัน ซึ่งมันไม่ใช่นิสัยของผู้ใหญ่เลย อาจารย์เปาโลก็ยังคงต้องใช้น้ำนมให้กับผู้เชื่อเหล่านี้ …

1 โครินธ์ 3:4-5 “4 ในเมื่อคนหนึ่งว่า “ข้าพเจ้าติดตามเปาโล” และอีกคนหนึ่งว่า “ข้าพเจ้าติดตามอปอลโล” พวกท่านก็เป็นเพียงคนธรรมดามิใช่หรือ? 5 อปอลโลเป็นใคร? และเปาโลเป็นใครกัน? ก็เป็นเพียงผู้รับใช้ ที่นำท่านมาเชื่อตามที่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงมอบหมายหน้าที่ให้แต่ละคน”

 

อาจารย์เปาโลกำลังอธิบายให้ฟัง เมื่อมีการแตกก๊ก แตกเหล่า ในลักษณะ …

“ฉันเป็นฝ่ายของอาจารย์เปาโลนะ”

“ฉันเป็นฝ่ายของอาจารย์อปอลโลนะ”

หรือ “ฉันเป็นฝ่ายของอาจารย์อีกท่านหนึ่ง ไม่รู้ อาจารย์ ก. ข. ค. ง. ที่มาสอนถ้อยคำของพระเจ้า อาจารย์คนนี้พูดเก่งกว่านะ มีตัวอย่างมายกให้ฟังเยอะแยะมากมาย ไม่น่าเบื่อเหมือนอาจารย์เปาโล พูดอยู่เรื่องเดียว เรื่องพระเยซูมาเกิดเป็นมนุษย์ มาตายบนไม้กางเขน ถูกฝัง แล้วก็เป็นขึ้นมาจากความตาย  พูดอยู่แค่นี้ วนไปวนมา ไม่น่าสนใจเลย  แต่อาจารย์อีกท่านหนึ่ง สุดยอดเลยนะ เขาสามารถที่จะเอาเรื่องโน้นเรื่องนี้ ตัวอย่างโน้นตัวอย่างนี้มายกให้เราฟัง เราฟังแล้วชอบมากเลย เหมือนจรรโลงใจ ฟังแล้วทำให้เกิดมีความสุขกว่า พูดแต่เรื่องพระเยซูคริสต์เกิด ตาย เป็น มันไม่น่าสนุกเลย”

แต่สิ่งที่เรารู้สึกไม่น่าสนุก นั่นคือข่าวดี  คือฤทธิ์เดชอำนาจของพระเจ้าที่ผู้เชื่อทุกคนจำเป็นจะต้องรับรู้ และปลูกฝังลงไปในวิญญาณของพวกเราทุกคน เพราะไม่มีคำพูดสวยหรูอะไรที่จะสามารถทดแทนข่าวประเสริฐของพระเจ้าได้เลย  ไม่ว่าจะเป็นตัวอย่างคำพยาน หรือคนโน้นคนนี้มาพูดอะไรก็ตาม สิ่งต่างๆ เหล่านี้ แค่เราฟัง แล้วรู้สึกดี แต่ไม่มีฤทธิ์อำนาจ ไม่สามารถทำให้เราเกิดการเปลี่ยนแปลง ปรับปรุง แก้ไขชีวิตเราให้เป็นเหมือนพระเจ้ามากขึ้นได้

ฉะนั้น ไม่ว่าอะไรก็ตาม อาจารย์เปาโลก็ยังคงยืนยันที่จะประกาศข่าวประเสริฐ ที่จะบอกกับพี่น้องว่าเมื่อเราเชื่อพระเยซูคริสต์แล้ว เราได้รับอะไรจากพระเจ้าบ้าง? เราเกิดใหม่ในพระเยซูคริสต์แล้ว เราถูกวางรากลงไปอย่างมั่นคงในพระเยซูคริสต์แล้ว  ไม่ว่าใครก็ตามที่จะมาสอนต่อ ถ้าสอนตามความจริง ตามถ้อยคำของพระเจ้า ผู้เชื่อเหล่านั้น ก็จะเจริญเติบโตตามระบบที่พระเจ้าตั้งไว้  แล้วเขาจะสามารถดำเนินชีวิตด้วยความเชื่อศรัทธาในพระเจ้า  ไม่ใช่หันไปเหมา ใครว่าตรงนั้นดี เราก็แถไป ใครว่าตรงนี้ดี เราก็แถไป  แล้วไม่มีจุดยึดเหนี่ยวอย่างมั่นคงในการเดินติดตามพระเจ้า แล้วคนเหล่านั้นก็จะไม่โต

ทำไมเรารู้ว่าไม่โต?  เพราะว่าพอเขาได้รับข่าวประเสริฐที่ไม่ใช่ความจริง ในพระเยซูคริสต์ ข่าวประเสริฐที่มนุษย์พยายามปั้นแต่งขึ้นมา ที่พยายามให้ฟังดูดี ดูแล้ว มันดีนะ ฟังแล้ว เราได้รับการเล้าโลมใจ แต่หลายอย่างที่ได้ยินได้ฟัง มันไม่ใช่เรื่องจริงในถ้อยคำของพระเจ้า  แค่ได้รับการหนุนจิตชูใจ  แค่แป๊บเดียว แต่ว่าระยะยาวไม่สามารถช่วยให้คนๆ นั้นเจริญเติบโตได้ เมื่อเขาเจอกับปัญหาปุ๊บ เขาก็จะล้มลง  เขาก็ไม่สามารถติดตามพระเจ้าได้อย่างมั่นคง

ฉะนั้น เรื่องนี้ เป็นเรื่องที่สำคัญ  ซึ่งอาจารย์เปาโลก็จำเป็นจะต้องบอกให้ชัดเจนว่าข่าวประเสริฐของพระเจ้า คือฤทธิ์เดช พี่น้องอย่าเอือมละอาที่จะฟังถ้อยคำซ้ำไปซ้ำมา ซึ่งขนาดซ้ำไปซ้ำมา เรายังจำไม่ได้เลย  เราก็อยากจะได้ยินสิ่งใหม่ๆ  ซึ่งถ้าเราอ่านในจดหมายของอาจารย์เปาโล เราจะได้ยินคำนี้บ่อยมากว่า …

“ข้าพเจ้าจะไม่ประกาศเรื่องอื่น นอกจากเรื่องของพระเยซูคริสต์”

เรื่องเดียวเท่านั้นที่อาจารย์เปาโลจะประกาศ อาจารย์เปาโลเป็นคนที่รู้เรื่องของบทบัญญัติเยอะมาก จะเรียกว่ารู้แจ้งเห็นจริงก็ได้ รู้หมด และจำได้หมดด้วย  แต่พออาจารย์เปาโลได้กลับใจใหม่  มาเชื่อวางใจในพระเยซูคริสต์ปุ๊บ อาจารย์เปาโลบอกว่าความรู้ทั้งหมดที่อาจารย์เปาโลเคยมี มันเป็นหยากเยื่อ มันไม่มีประโยชน์เลย  มันเป็นแค่ความรู้ของบนโลกใบนี้ ซึ่งไม่สามารถที่จะช่วยมนุษย์ให้หลุดพ้น  ให้สามารถเป็นอิสระอย่างแท้จริงตามที่พระเจ้าต้องการให้เราเป็นได้  ฉะนั้น อาจารย์เปาโลเลยไม่เลือกที่จะสอน …

“ประสบการณ์ชีวิตของเราเป็นอย่างโน้นเป็นอย่างนี้ ฉันได้ทำโน่นทำนี่เยอะแยะมากมาย”

อาจารย์เปาโลไม่สอน  แต่สอนเรื่องของพระเยซูคริสต์ การที่พระเยซูคริสต์ได้มาบนโลกใบนี้ เกิดในหญิงพรหมจารี ถึงเวลากำหนด พระองค์ได้ยอมสละชีวิตของพระองค์เอง ไปสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน  และได้ถูกฝังในอุโมงค์ ได้เป็นขึ้นมาจากความตายในวันที่สาม นั่นคือฤทธิ์เดชอำนาจของพระเจ้า

ดังนั้น สิ่งที่อาจารย์เปาโลพยายามที่จะบอกกับผู้เชื่อ ไม่เพียงแต่คริสตจักร เมืองโครินธ์เท่านั้น  แต่กับผู้เชื่อในทุกที่ทุกแห่งที่อาจารย์เปาโลไปประกาศ

อาจารย์เปาโลถูกเรียกมา เพื่อที่จะประกาศกับคนต่างชาติ คือลักษณะเหมือนพวกเรา ซึ่งไม่ใช่อิสราเอล โดยกำเนิด แต่เราเป็นอิสราเอลโดยความเชื่อ

สมัยก่อนคนอิสราเอล เขาก็จะดูถูกคนต่างชาติว่าไม่ใช่เป็นคนของพระเจ้า เป็นคนละเกรดกับเขา เขาจะมองด้วยหางตา พวกนี้ ไม่มีสกุลรุนชาติ ถ้าจะพูดอีกนัยหนึ่ง พวกนี้คบไม่ได้ อะไรอย่างนี้ แต่ว่าเราขอบคุณพระเจ้า  พระเยซูคริสต์ทรงรัก ไม่เฉพาะคนอิสราเอล  แต่พระเยซูคริสต์ทรงรักคนต่างชาติด้วย ก็คือรักมนุษย์ทั้งโลกแหละ ที่พระเยซูมาเกิด มาสิ้นพระชนม์และเป็นขึ้นมาจากความตาย ก็เพื่อมนุษยชาติทั้งหมดบนโลกใบนี้  ที่เขาจะสามารถหลุดพ้นจากการเป็นทาสของบาป ทาสของมาร  เมื่อเขามาได้รับอิสรภาพจากพระเจ้า มาเป็นลูกของพระเจ้า

ฉะนั้น สิ่งที่อาจารย์เปาโลพยายามที่จะพร่ำสอนให้ผู้คนในอดีต ในสมัยของท่านได้รับรู้ความจริงในถ้อยคำของพระเจ้า  เพื่อที่จะหยั่งรากลึก แล้วเพื่อที่จะถูกก่อขึ้นมาเป็นวิหารที่สวยงามของพระเจ้า เป็นตึกที่มั่นคงของพระองค์

ในข้อที่ 5 อาจารย์เปาโลอธิบายให้ฟัง …

1 โครินธ์ 3:5 “อปอลโลเป็นใคร? และเปาโลเป็นใครกัน? ก็เป็นเพียงผู้รับใช้ที่ นำท่านมาเชื่อตามที่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงมอบหมายหน้าที่ให้แต่ละคน”

 

ชัดเจนนะ ไม่ว่าจะเป็นเปาโล อปอลโล เคฟาส หรือเป็นใครก็ตาม อาจารย์ทั้งหลาย หลังจากอาจารย์เปาโลมา จนถึงยุคปัจจุบัน มีหน้าที่เป็นผู้รับใช้ของพระเจ้า  ที่จะทำตามที่พระเจ้ามอบหมาย พระเจ้ามอบหมายให้แต่ละคนทำหน้าที่แตกต่างกัน อาจารย์เปาโลถูกมอบหมายให้เป็นอัครทูต ก็คือไปประกาศข่าวประเสริฐ ให้คนมาเชื่อ วางใจในพระเจ้า  พอหลังจากนั้น อาจารย์เปาโลก็เดินทางไป ต่อ ก็จะมีผู้รับใช้อีกกลุ่มหนึ่งที่ถูกใช้ โดยพระเจ้า มาเป็นผู้ดูแลผู้เชื่อเหล่านั้น ให้เขาได้เจริญเติบโต ถ้าเปรียบให้ชัดเจน ก็คือในข้อที่ 6 บอกว่า …

1 โครินธ์  3:6 “ข้าพเจ้าปลูกอปอลโลรดน้ำ แต่พระเจ้าทรงให้เติบโต

 

อันนี้สำคัญชัดเจนเลยนะ “แต่พระเจ้าทรงให้เติบโต” อาจารย์เปาโลเป็นคนปลูก ก็คือไปประกาศข่าวประเสริฐของพระเจ้า  หว่านเมล็ดแห่งความเชื่อลงไป  ในผู้คนที่ได้ยินได้ฟังเรื่องราวของพระองค์ และผู้คนเหล่านั้น เมื่อเปิดใจต้อนรับเมล็ดพันธุ์แห่งความเชื่อนี้ ก็จะถูกปลูกฝังลงไปในวิญญาณจิตของเขา  แล้วจากนั้น ก็จะมีขบวนการที่เราเรียนรู้กันมาตลอด ก็คือเมื่อคนตัดสินใจต้อนรับพระเยซูคริสต์มาเป็นพระผู้ช่วยให้รอด ก็จะเข้าสู่ขบวนการการบังเกิดใหม่  โดยฤทธิ์เดชอำนาจแห่งพระวิญญาณบริสุทธิ์ นำเอาวิญญาณเก่าที่เป็นความบาป ไปไว้ในพระเยซูคริสต์ แล้วก็ถูกตรึงพร้อมกับพระองค์ ถูกฝังพร้อมกับพระองค์ แล้วก็เป็นขึ้นมาใหม่ด้วยพระเกียรติสิริ เหมือนกับพระเยซูคริสต์เป๊ะเลย ฉะนั้น ณ เวลานี้ ผู้เชื่อในเมืองโครินธ์ก็เป็นแบบนั้นเลย คือวิญญาณใหม่ที่สะอาด บริสุทธิ์ เอี่ยมอ่อง เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์ไม่มีผิด

จากนั้น อาจารย์เปาโลเปรียบเทียบว่าอปอลโลรดน้ำ  การรดน้ำ เมื่อคนปลูกพืช ไม่ว่าชนิดอะไรก็ตาม มันก็จะมีขบวนการรดน้ำ พรวดดิน ใส่ปุ๋ย ก็ทำหน้าที่ส่วนของเขา  พอทำหน้าที่ส่วนของเขา คนที่รดน้ำ  ก็ไม่มีความสามารถ ที่จะไปบีบให้ต้นไม้ต้นนั้น ที่เราปลูก ให้มันเกิดผล เราแค่ทำหน้าที่ส่วนของเรา  คือรดน้ำ พรวดดิน ใส่ปุ๋ย ไปหาข้อมูล ใครว่าอะไรดีเราควรจะทำอย่างนี้ พืชชนิดนี้ ชอบดินชุ่ม รดน้ำให้เยอะหน่อย พืชชนิดนี้ ไม่ชอบดินชุ่ม ก็รดน้ำให้น้อยหน่อย  พืชชนิดนี้ 3 วันรดที อีกชนิดหนึ่งต้องรดเช้ารดเย็น  คือเราก็จะไปหาข้อมูลว่ามันจะเป็นอย่างไร?  แต่ว่าไม่ว่าข้อมูลจะเป็นอย่างไร? เราจะทำเป๊ะขนาดไหน? ผู้ที่ทำให้เกิดผล คือพระเจ้า  เราไม่สามารถที่จะทำให้มันเกิดผล เราแค่เฝ้ารอ  รอเวลาที่พืชที่เราปลูก มันค่อยๆ งอกขึ้นมา ค่อยๆ เจริญเติบโต ค่อยๆ แตกกิ่งก้านสาขา แล้วคนที่รดน้ำ ดูแล ประคบประหงม พอเห็นความเจริญเติบโตของต้นไม้ต้นนั้น ที่เราประคบประหงม เราก็ชื่นใจ มันเป็นเรื่องแปลก แต่เป็นเรื่องจริง

สมมติเราปลูกต้นมะม่วงต้นหนึ่ง เราคอยมากเลย ต้นมะม่วงน่าจะ 4-5 ปีถึงจะออกผลให้เราได้กิน แต่เราก็จะเฝ้าอดทน รอคอย ทะนุถนอม คอยที่จะริดใบที่เหลือง หรือคอยไปสอดส่องว่ามีแมลงไหม? เราก็จะไปดูแลอย่างดี  พอถึงเวลาที่มันออกผล  มันต้องมาเป็นดอกก่อนใช่ไหม? แล้วค่อยมาเป็นลูก แค่เราเห็นดอกอยู่บนต้นมะม่วง เราก็มีความสุขล่ะ พอมันออกมาเป็นลูกเล็กๆ  เราก็ยิ่งมีความสุข  พอมันโตขึ้นมา ให้เราเด็ดกิน ยิ่งมีความสุขใหญ่เลย แล้วพอกินเสร็จ มันหวานมากเลย ตอนนี้ยิ้มจนตาหยีไปเลย มันเป็นความสุขของผู้ที่ดูแลประคบประหงม

ฉะนั้น อาจารย์เปาโลใช้เรื่องนี้มาเปรียบเทียบกับผู้เชื่อ ที่ถูกหยั่งรากลงไปในพระเยซูคริสต์ ก็คืออาจารย์เปาโลประกาศแล้วไงว่าเรื่องของพระเยซูคริสต์ ก็คือถูกหยั่งรากลงไปแล้ว  ใครจะมาย้ายอีกไม่ได้  ใครจะมาวางรากฐานอื่น ก็ไม่ได้ ก็คือคนที่เกิดแล้วเกิดเลย นึกออกไหม? บังเกิดใหม่แล้ว  บังเกิดใหม่เลย ใครจะมาดึงเราออกจากพระหัตถ์ของพระเจ้าไม่ได้แล้ว  ก็คือคนนั้นได้เป็นลูกของพระเจ้าแล้ว พอจากนั้น ก็จะมีพี่เลี้ยงค่อยๆ มาสอนเรา ในเรื่องราวของพระเจ้า ให้เราเจริญเติบโต ในข้อที่ 7-8 …

1 โครินธ์ 3:7-8 “7 ฉะนั้น ไม่ใช่คนปลูกหรือคนรดน้ำ แต่พระเจ้าทรงให้เติบโตต่างหากที่สำคัญ 8 คนปลูกและคนรดน้ำมีเป้าหมายเดียวกัน และต่างก็ได้รับบำเหน็จตามการงานของตน”

 

คนปลูก คนรดน้ำ คนพรวดดิน คนดูแลประคบประหงม ต่างก็ได้รับบำเหน็จจากพระเจ้า  การงานที่เขาทำ  ในข้อที่ 8 ที่พูดถึง “บำเหน็จ” สมัยก่อน เราก็ถูกสอนว่าถ้าเราทำอะไรบนโลกใบนี้ เรารับใช้พระเจ้าเยอะๆ เราไปประกาศเยอะๆ เราไปเลี้ยงดูลูกแกะเยอะๆ  เราไปคอยเยี่ยมเยือน ประคบประหงมเช้า สาย บ่ายเย็น โทรศัพท์หาตลอดเวลา เราก็จะได้บำเหน็จตรงนี้ หลังความตาย เราถูกสอนมาแบบนี้

แต่ความเป็นจริง  ในถ้อยคำของพระเจ้า ตอนนี้พระเจ้าเปิดให้เราเห็นว่ามันไม่ใช่ บำเหน็จที่พูดถึงนี้ เราจะได้เก็บเกี่ยวบนโลกใบนี้ ดังนั้น หลังความตาย พวกเราทุกคนจะได้เท่ากัน พระเยซูคริสต์บอกอย่างนั้น  ก็คือพระเยซูคริสต์บอกว่าเมื่อเราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด  ทันที เราได้บังเกิดใหม่  พอเราได้บังเกิดใหม่ปุ๊บ พระพรนานัปการในฝ่ายโลกวิญญาณ พระเจ้าได้ให้กับพวกเราเรียบร้อยแล้ว แปลว่าไม่มีใครสามารถไปเพิ่มเติม หรือไปเอาออกได้ มันครบเสร็จเรียบร้อยแล้วตรงนั้น ผู้เชื่อทุกคนที่ได้บังเกิดใหม่  จะได้เท่ากัน ตามที่พระเยซูคริสต์กระทำให้เขา ได้เป็นลูกของพระเจ้า ได้เป็นผู้ชอบธรรมของพระเจ้า ได้หลุดจากความมืด เข้ามาสู่ความสว่างของพระเจ้า ได้หลุดจากมือของมาร เข้ามาอยู่ในพระหัตถ์ของพระเจ้า ได้เปลี่ยนสถานะจากเคยเป็นทาสของมาร เข้ามาเป็นลูกของพระเจ้า  ได้รับสง่าราศี พระสิริของพระเจ้า ได้นั่งอยู่ในที่เดียวกันกับพระเยซูคริสต์ที่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้าบนสวรรค์สถาน  และได้อีกอันหนึ่งที่สำคัญที่สุด  พระเจ้าพระบิดา  พระเจ้าพระเยซูคริสต์ พระเจ้าพระวิญญาณบริสุทธิ์เข้ามาอยู่ในเรา  เป็นหนึ่งเดียวกัน เมื่อเราบังเกิดใหม่  เราถูกชำระให้สะอาดหมดจดแล้ว พระเจ้าทั้ง 3 พระภาคเข้ามาอยู่ในร่างกาย ร่างกายของเราสะอาดพอที่จะเป็นที่สถิตของพระเจ้าทั้ง 3 พระภาค คือเป็นวิหารของพระเจ้า

ร่างกายของเราเป็นวิหารของพระเจ้า ดังนั้น วิญญาณของเราถูกชำระสะอาดหมดจดเรียบร้อยไปแล้ว วิญญาณเรารอด โดยพระคุณของพระเจ้า  เมื่อเราบังเกิดใหม่ วิญญาณเราถูกแยกออกไปแล้วนะ ในชีวิตของมนุษย์ เราจะมีวิญญาณ ความคิดจิตใจ และร่างกาย พอเราต้อนรับพระเจ้า  เป็นพระผู้ช่วยให้รอดปุ๊บ  พระเจ้าก็จะชำระหมดเลยทั้ง 3 อย่าง  คือวิญญาณ ความคิดจิตใจ และร่างกายของเราให้สะอาด  แต่เนื่องจากร่างกายและความคิดจิตใจของเรา ยังคงอยู่บนโลกใบนี้  คือวิญญาณเราแยกไปแล้วนะ ไม่ต้องไปยุ่งกับเขา วิญญาณเราสะอาดบริสุทธิ์ เป็นลูกของพระเจ้า  ถึงวันที่ลมหายใจเราออกจากร่าง  เราไปอยู่กับพระเจ้าบนสวรรค์ ซึ่งจริงๆ แล้ว ณ เวลานี้เราก็อยู่ของเราอยู่แล้ว แต่เนื่องจากร่างกาย และความคิดจิตใจของเรายังอยู่บนโลกที่มันเสียหายไปแล้ว  แล้วร่างกายที่เราเป็นอยู่ เป็นเรือนดิน แม้ว่าเราเชื่อพระเจ้าแล้ว  เราก็จะรอวันตาย คือมันถูกพิพากษา ไปเรียบร้อยแล้ว มันจะค่อยๆ แก่ลง

ใครอย่ามาบอกว่าเป็นคริสเตียนแล้วไม่แก่ อย่าโดนหลอก เป็นคริสเตียนแล้วไม่ตาย ก็อย่าโดนหลอกอีก ร่างกายเรายังต้องตายอยู่ เรายังต้องแก่ เรายังมีโอกาสที่อวัยวะทุกส่วนในร่างกายเราทำงานผิดปกติ แล้วเราเจ็บป่วย มันเป็นเรื่องปกติ ตามธรรมชาติของมนุษย์ทั่วไป  แต่สิ่งที่เราได้รับ คือวิญญาณเราได้รับความรอดแล้ว วิญญาณเราสะอาดหมดจดเรียบร้อยไปแล้ว เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์ หลังความตาย เราไม่ต้องไปยืนอยู่ต่อหน้าการพิพากษาของพระเจ้า เพราะเราไม่มีความผิดใดๆ เหมือนกับที่พระเจ้าบอกในหนังสือโรม ไม่มีการลงโทษใดๆ สำหรับผู้ที่อาศัยอยู่ในพระเยซูคริสต์

ดังนั้น ตอนนี้ผู้เชื่อทุกคน อาศัยอยู่ในพระเยซูคริสต์ เรากับพระเยซูคริสต์เป็นหนึ่งเดียวกัน  ไปไหน ไปด้วยกัน  พี่น้องไปไหน พระเจ้าทั้ง 3 พระภาคไปกับเราด้วย เราอยู่ในความทุกข์ พระเจ้าทั้ง 3 พระภาค ทุกข์กับเราด้วย  เรามีความสุข พระเจ้าทั้ง 3 พระภาค ก็มีความสุขกับเราด้วย  พระเจ้าก็จะนำพาเราเดินไปบนโลกใบนี้ที่มันเสียหายไปแล้วล่ะ รอวันหนึ่งข้างหน้าที่พระเจ้าจะให้โลกนี้ถูกทำลายไป แล้วพระเจ้าจะสร้างโลกใหม่ที่เป็นโลกที่สวยงาม ให้กับผู้เชื่อทุกคนได้ไปอยู่ นี่คือความหวังใจของผู้เชื่อทุกคน

ฉะนั้น อย่าให้ใครหลอกเราว่าพอเรามาเชื่อพระเจ้าแล้ว เราอธิษฐานอะไร พระเจ้าก็จะทำให้เราหมดเลย จะไม่มีสิ่งชั่วร้ายใดๆ เกิดขึ้นกับคริสเตียน มันไม่จริงหรอก เราก็ยังคงเป็นเหมือนคนอื่น เวลาฝนตก คริสเตียนเดินออกไปข้างนอก ก็เปียกเหมือนกัน  เวลาแดดออก เราเดินออกไปข้างนอก  เราก็ร้อนเหมือนกัน ถ้าตอนนี้มีโควิด เราเดินออกไปข้างนอก โดยไม่ระวังตัว หน้ากากก็ไม่ใส่ มือก็ไม่ล้าง แล้วก็เดินฉลุย เดินช๊อปปิ้ง เข้าไปในคนกลุ่มใหญ่  เยอะแยะมากมาย เราก็ติดโควิด เหมือนกัน ไม่ใช่คริสเตียนติดโควิดไม่เป็น ติดเหมือนกัน  หรือแม้แต่บางคนระวังตัว อย่างดีเลย ยังอุตส่าห์ติดอีก  เราจะว่าอย่างไร?

พระเจ้าบอกเราว่าเราอย่าไปมองสิ่งเหล่านี้  เพราะสิ่งเหล่านี้ เป็นของที่อยู่บนโลกใบนี้  ซึ่งรอวันที่จะเสื่อมสูญไป แต่ให้เราหลับตามองทะลุไปที่ถ้อยคำของพระเจ้า  ที่พระองค์ได้ทรงกระทำสำเร็จแล้ว เป็นพันธสัญญาที่พระเจ้าให้กับเราเรียบร้อยไปแล้ว  ที่ไม้กางเขน วันที่พระเยซูคริสต์เป็นขึ้นมาจากความตาย  ทุกสิ่งได้ถูกกระทำสำเร็จแล้ว แล้วเราผู้เชื่อ ก็ได้รับทุกสิ่งอย่างนี้เรียบร้อยไปแล้ว  ไม่ได้หมายความว่าเราต้องไปขวนขวายหา ไม่ต้อง เราได้รับเรียบร้อยไปแล้ว นี่คือพระคุณซ้อนพระคุณ ที่เราไม่ต้องทำอะไรเลย  เราแค่มาเชื่อ แล้วเราก็จะได้รับตามนั้น

พอบอกไม่ต้องทำอะไรปุ๊บ มนุษย์ก็เริ่ม ไม่ต้องทำอะไรเลยเหรอ มันง่ายไปไหม? พอง่ายไป ก็จะพยายาม ตอนมาเชื่อพระเจ้าใหม่ๆ พระเจ้าบอกว่าเรารอดแล้ว เราไม่ต้องทำอะไร พระเจ้า พระเยซูคริสต์ทำให้เราหมดแล้ว  เราแค่เชื่อเท่านั้น พออยู่ไปนานวัน ก็มีผู้คน พี่เลี้ยงที่แสนดีมาสอนเราว่าไม่พอๆ แต่เรายังต้องทำนั่นทำนี่ ทำเยอะแยะมากมาย เพื่อให้พระเจ้าพอใจ  ถามจริง พระเจ้าพอใจเราตั้งแต่วันที่เราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดแล้ว ถ้าพระเจ้าไม่พอใจ พระเจ้าก็ไม่ให้เราบังเกิดใหม่ พระเจ้าไม่พอใจ พระเจ้าก็ไม่มาสถิตอยู่ในร่างกายของเรา  ร่างกายของเรา ก็ไม่สามารถเป็นวิหารของพระเจ้าได้ ถ้าพระเจ้าไม่พอใจ  แปลว่าทุกอย่าง คือพระเจ้าพอใจในสิ่งที่พระองค์กระทำให้เราเรียบร้อยไปแล้ว และเราเชื่อตามนั้น  คือสิ่งที่พระเจ้าพอใจที่สุด ฉะนั้น อย่าให้ใครบอกเราว่าเรา “ต้อง” ทำโน่นทำนี่ ทำนั่น เพื่อให้พระเจ้าพอใจ  หรือเราต้องทำนั่น ทำนี่ ช่วยพระเจ้าหน่อยหนึ่ง เราได้รับความรอดโดยพระคุณแล้ว แต่เรายังต้อง

ในหนังสือโครินธ์ตรงนี้  ในยุคของผู้เชื่อในโครินธ์  ก็คือยังอยู่ในยุคสมัยหลังจากที่พระเยซูคริสต์ได้สิ้นพระชนม์ และเป็นขึ้นมาจากความตาย ในยุคสมัยสาวกแรกๆ ก็จะมีพวกฟาริสี พวกธรรมาจารย์ พวกคนยิวที่เขาถือกฎบัญญัติเยอะแยะมากมาย ที่โมเสสให้มา พระเจ้าให้ผ่านโมเสสนั่นแหละ  เขายังถือกฎเหล่านี้ แล้วยังมีคนต่างชาติมาเชื่อพระเจ้า เขาก็บอก …

“มาเชื่อพระเยซูอย่างเดียวไม่พอ เธอเป็นคนต่างชาตินะ ถ้าเธอจะมาเป็นคนของพระเจ้า เธอต้องมาเข้าสุหนัตเหมือนพวกฉัน เธอจึงจะมาเป็นคนของพระเจ้าได้ครบถ้วน สมบูรณ์แบบ” อะไรประมาณนั้น

หรือ “เธอต้องมารักษากฎบัญญัติวันสะบาโต หรือต้องอะไรเยอะแยะมากมาย ที่มนุษย์พยายามคิดขึ้นมา  เมื่อมาสร้างขึ้นบนรากฐานของผู้เชื่อใหม่  แล้วพี่น้องลองคิดดู ผู้เชื่อใหม่เขาไม่รู้เรื่อง ใครว่าอะไร เขาก็เชื่อตามนั้น  แต่ว่าสิ่งที่ผู้เชื่อใหม่มี ก็คือวิญญาณเขารอดแล้ว อย่างไรเขาก็ได้ไปสวรรค์แหละ  แต่ว่าเมื่อถูกสอน หรือถูกก่อขึ้นมาแบบไม่ได้เป็นถ้อยคำจริงๆ  ข่าวประเสริฐของพระเจ้าจริงๆ  มันก็จะเฉไปเฉมา  เหมือนกับก่อไปก่อมา ก็ล้มลุกคลุกคลาน มันไม่ใช่นะ

เมื่อก่อนเราก็เคยถูกหลอกนะ เช่น เมื่อเรามาเชื่อพระเจ้าแล้ว ถ้าเราเจ็บป่วย เราไม่ต้องไปหาหมอ

“ในนามพระเยซู ใช้ความเชื่อ วางมือเลย อธิษฐาน แล้วเราจะหาย”

บางคนหาย  ดิฉันก็เคยวางมือแล้วก็หาย แต่ก็หลายๆ ครั้งที่ดิฉันวางมือ แล้วดิฉันก็ไม่หาย ดิฉันก็ต้องไปหาหมออยู่ดี นึกภาพออกไหมค่ะ ดังนั้น อันนี้ไม่ได้เป็นพันธสัญญาที่พระเยซูคริสต์ทำสำเร็จแล้ว บนไม้กางเขน  ก็คือเราเอามายึดเป็นหลักในการประกาศข่าวประเสริฐไม่ได้  ก็คือจะไปสอนผู้เชื่อใหม่ว่า …

“เธอต้องวางมืออธิษฐาน  เพราะว่าพระเจ้าให้สิทธิอำนาจเราแล้ว ถ้ามีความเชื่อที่ไหน? หมายสำคัญจะเกิดขึ้นที่นั่น จะวางมือบนคนเจ็บคนป่วย คนเหล่านั้นจะหายโรค”

อะไรอย่างนี้ แล้วพอคนวางมือแล้ว  ไม่หาย ตอนนี้เป็นเรื่องแล้วล่ะ  เป็นเรื่องตรงที่ว่าความเชื่อเราไม่พอใช่ไหม?  พี่เลี้ยงก็บอกความเชื่อไม่พอ ไปอดอาหารอธิษฐาน  เราก็ทำ ทำทุกอย่างเลย มันก็ยังไม่ดีขึ้นเลย เราก็ยังป่วยอยู่  แล้วทำอย่างไร? หาหมอ ก็ไม่กล้าไปหา  เพราะเดี๋ยวเขาว่าความเชื่อเราไม่พอ  ไปๆ มาๆ ก็ตาย เพราะความเชื่อเราไม่พอ มันไม่ใช่เรื่องจริง

ตั้งแต่เชื่อพระเจ้ามา 30 กว่าปี  ไม่รู้ทำร้ายใครไปกี่คนแล้ว  พอเรารู้ความจริง แบบมันไม่จริง แล้วเราก็สอนไปเรื่อยๆ คนก็เชื่อ เพราะเราเป็นผู้รับใช้ พอเชื่อเราปุ๊บ มันก็เฉ ออกมาสะเปะสะปะ คนก็เริ่มสงสัยพระเจ้า

“ไหน เขาบอกว่ามาเชื่อพระเจ้า เราจะร่ำรวย”

มีคริสเตียนกี่คนที่ร่ำรวยตามที่ถูกสอนมาล่ะ มีคริสเตียนกี่คนที่สุขภาพแข็งแรงตลอดชีวิต โดยไม่เจ็บป่วยเลย ตามที่ถูกสอนมาล่ะ  มันไม่มีกี่คนหรอก เปอร์เซ็นต์มันน้อยมาก อาจจะมีนะ เพราะเรื่องนี้ เป็นพระพรพิเศษที่พระเจ้า จะให้ใคร พระองค์ก็จะทำ ถ้าเราอ่านหนังสือกิตติคุณ ตอนที่พระเยซูอยู่บนโลกใบนี้ พระเยซูก็รักษาโรค คนเจ็บคนป่วย แต่ก็จะมีกลุ่มหนึ่ง ที่พระเยซูไม่รักษา  จะมีกลุ่มหนึ่งที่หายโรค  มีอีกเยอะแยะมากมายที่ไม่หายโรค  มันไม่ได้ขึ้นอยู่กับความเชื่อว่าเราเชื่อมั่นคงในพระเจ้า  ความเชื่อเราพุ่งไปถึงฟ้าสวรรค์ แล้วจะทำให้เราได้ทุกอย่างตามใจของเรา อันนั้นไม่ใช่  พอมันไม่ใช่ปุ๊บ  มันเป็นเรื่องแล้วล่ะ เพราะว่าเราไม่โตเต็มที่  เราก็เชื่อแบบผิดๆ  แล้วเราก็นั่งฟ้องผิดตัวเองว่าความเชื่อเราไม่พอ เราไปทำอย่างนั้นไม่ดี วันนี้เราไปทำบาป แล้วตกลงเราจะรอดหรือไม่รอด  ถ้าเป็นอย่างนั้นปุ๊บ ความเชื่อเรา สั่นคลอน

พอความจริงในถ้อยคำของพระเจ้า ถูกบิดเบือนปุ๊บ  ไม่สามารถที่จะเชื่อ อย่าง 100% ว่าพระเยซูบอกเราแล้ว พระเยซูทำสำเร็จแล้ว บนไม้กางเขน ความรอด  ไม่ได้ขึ้นอยู่กับการประพฤติของมนุษย์คนหนึ่งคนใด  แต่ขึ้นอยู่กับความเชื่อ  เมื่อเราเชื่อ เรารอดแล้ว ความประพฤติเป็นอีกเรื่องหนึ่ง  ไม่เกี่ยวกัน ฉะนั้น พอเป็นอย่างนี้ปุ๊บ เรามาดูต่อนะ ในข้อที่ 9-15 …

1 โครินธ์ 3:9-15 “9 ด้วยว่าเราเป็นผู้ร่วมงานกับพระเจ้า ท่านทั้งหลายเป็นไร่นาของพระเจ้าเป็นตึกของพระเจ้า 10 โดยพระคุณซึ่งพระเจ้าประทานแก่ข้าพเจ้า ข้าพเจ้าได้วางฐานรากอย่างช่างผู้ชำนาญ และคนอื่นมาก่อขึ้นบนรากนั้น ทว่าแต่ละคนควรระวังว่าตนก่อขึ้นอย่างไร    11 เพราะใครจะมาวางรากฐานอื่นอีกไม่ได้ นอกจากที่ได้วางไว้แล้ว คือพระเยซูคริสต์ 12 ถ้าใครจะใช้ทองคำ เงิน เพชรพลอย ไม้ หญ้าแห้งหรือฟาง ก่อขึ้นบนรากฐานนั้น 13 ผลงานของเขาจะถูกแสดงให้เห็นว่าเป็นอย่างไร เพราะวันนั้น สิ่งนี้จะถูกทำให้เห็นเป็นที่ประจักษ์ ผลงานของเขาจะถูกเปิดเผยด้วยไฟ ไฟจะทดสอบคุณภาพผลงานของแต่ละคน 14 ถ้าสิ่งที่เขาก่อขึ้นคงอยู่ เขาก็จะได้รับบำเหน็จของตน 15 ถ้าสิ่งที่เขาก่อขึ้นถูกเผาวอด เขาก็จะสูญสิ้น ตัวเขาเองจะรอด แต่ก็เหมือนคนที่รอดจากไฟเท่านั้น”

 

อาจารย์เปาโลมาเปรียบเทียบให้ฟังอีกครั้งหนึ่ง ว่าเมื่ออาจารย์เปาโลหยั่งรากลงไปเรียบร้อยแล้ว ในพระเยซูคริสต์ คนนั้นเชื่อแล้ว ตอนนี้ขึ้นอยู่กับแต่ละคนว่ามาก่อนขึ้นด้วยอะไร อาจารย์เปาโลใช้เปรียบเทียบอยู่ 6 สิ่ง ก็คือทองคำ เงิน เพชรพลอย 3 สิ่งนี้ เมื่อโดนไฟ  จะไม่ถูกเผาไหม้ แต่อีก 3 สิ่ง คือไม้ หญ้าแห้ง และฟาง ถ้าผลงานที่เขาทำ ถูกพิสูจน์ด้วยไฟปุ๊บ  มันเผาวอดหมดเลย  พอเผาวอดหมดเลย แปลว่ามันไม่มีอะไรให้เราชื่นใจเลย

ดังนั้น คำว่า “บำเหน็จ” ตรงนี้  มันจะเป็นเรื่องของปัจจุบัน เหมือนเราเลี้ยงลูกแกะคนหนึ่ง หรือเลี้ยงผู้เชื่อคนหนึ่ง  เลี้ยงสมาชิกคนหนึ่ง แล้วเราค่อยๆ อดทนในการสอนเขา ค่อยๆ ก่อขึ้นมา บนรากฐานที่เขาเชื่อแล้ว  ในถ้อยคำแห่งความจริงของพระเจ้า  เราจะบอกเขาเลยว่าเขารอดแล้ว พระเยซูทำให้เสร็จ เขามั่นใจได้เลยว่าหลังความตาย เขาได้ไปอยู่กับพระเยซูคริสต์แน่นอน หรือแม้แต่ ณ เวลานี้ ถ้อยคำของพระเจ้าบอกว่าในโลกวิญญาณ เขาได้นั่งอยู่ที่สวรรค์สถาน ร่วมกับพระเยซูคริสต์แล้ว  ฉะนั้น ไม่ว่าอะไรเกิดขึ้นบนโลกใบนี้ ไม่ว่าความทุกข์ยากลำบาก  หรืออะไรที่มันไม่ได้ดั่งใจเรา  ไม่ต้องไปสนใจ เราอย่าไปมองแค่ปัญหาตรงนั้น อาจารย์เปาโลบอกว่าความทุกข์ยากเล็กๆ น้อยๆ ที่เราเผชิญอยู่บนโลกใบนี้ มันสั้นมาก มันแค่ไม่กี่สิบปีเอง  เผชิญไปเถอะ ต่อให้เราต้องเผชิญทุกวี่ทุกวัน  ก็ให้เราอดทน เพราะถ้าเราอดทน เราจะได้สำแดงพระลักษณะของพระเจ้าออกมา

เพราะฉะนั้น พอเราก่อขึ้นมาในความจริง ในถ้อยคำของพระเจ้า  ผู้เชื่อคนนั้น ก็จะเข้าใจ หยั่งรากลึกลงไป รู้ว่าตอนนี้เขาเป็นใคร เขาเป็นลูกของพระเจ้าแล้ว เขาได้รับสิ่งสารพัดในโลกวิญญาณจากพระเจ้าเรียบร้อยไปแล้ว  เขามองทะลุไปที่ข้างหน้าว่าเขาจะรอวันเวลาที่เขาจะทิ้งร่างกายนี้  ซึ่งอย่างไรมันก็ต้องเปื่อยเน่าไป  เพื่อเขาจะได้ไปรับร่างกายใหม่ ที่พระเจ้าทรงสัญญาไว้ แล้วเขาจะได้รับสิ่งสารพัด ทำให้เขาเกิดความชื่นชมยินดี  ทำให้เขามีกำลังใจที่จะเดินผ่านความทุกข์ยากลำบากบนโลกใบนี้ไปได้  แล้วเขามั่นใจเลย ถ้อยคำของพระเจ้าบอก พระเยซูคริสต์ไม่ทิ้งเขาไปไหน? ไม่ว่าเขาจะเจอปัญหาอะไร พระเจ้าพระบิดา พระเจ้าพระเยซูคริสต์ พระเจ้าพระวิญญาณบริสุทธิ์ อยู่ในเขา จูงมือเขาเดิน ผ่านไปด้วยกัน เพราะถ้อยคำเหล่านี้ ทำให้เกิดการหนุนกำลังใจในผู้เชื่อคนนั้น  แล้วเขาก็จะค่อยๆ เจริญเติบโตในความเชื่อที่ถูกต้อง ความทุกข์ยากลำบากไม่สามารถสั่นคลอนความเชื่อของเขาได้เลย   เขาก็จะเจริญเติบโตไป

แต่ส่วนอีกคนหนึ่งที่ถ้าไปก่อสร้างในข่าวประเสริฐที่ไม่ถูกต้อง เหมือนกับไปเชียร์เขา …

“มาเชื่อพระเจ้าแล้วนะ  พระเจ้าสัญญาว่าเธอจะร่ำรวย เธอจะแข็งแรง ครอบครัวเธอจะไม่มีปัญหา เชื่อนะๆ”

แล้วคนนั้นฟังแล้ว เขาก็จะเชื่อตามนั้น พอเชื่อเสร็จ ปรากฏว่าผลที่ออกมา มันไม่ได้เป็นจริงอย่างที่พี่เลี้ยงเราสอนไว้ มันไม่จริง เพราะว่าเรายังเจอปัญหาอยู่เลย ครอบครัวเรายังทะเลาะกันอยู่เลย  เรายังมีสุขภาพที่อ่อนแออยู่เลย  เรายังเจ็บโน่นเจ็บนี่อยู่เลย  แล้วยังไงล่ะ เสร็จ คนนั้นก็เริ่มเขวแล้ว

“ตกลงพระเจ้ามีจริงไหม? สิ่งที่พระเจ้าสัญญากับเรา พระเจ้าโกหกเราไหม?”

ซึ่งความเป็นจริง พระเจ้าไม่เคยสัญญากับเราในเรื่องนี้เลย  ไม่ได้อยู่ในพันธสัญญาที่พระเจ้าเยซูคริสต์ทำสำเร็จแล้ว แต่พระเจ้าทำได้ไหม?  พระเจ้าทำได้ มันเป็นเรื่องสิทธิอำนาจของพระเยซูคริสต์ว่าพระองค์จะทรงกระทำให้ใคร พระองค์ก็จะกระทำ  มันไม่ได้เป็นสูตรสำเร็จว่า …

“คนนั้นร่ำรวย ฉันต้องร่ำรวยกับเขาด้วย คนนั้นสุขภาพแข็งแรง ฉันต้องสุขภาพแข็งแรงเหมือนเขาด้วย หรือคนนั้นครอบครัวดีจังเลย ฉันต้องเป็นเหมือนเขาด้วย”

มันไม่เกี่ยวกัน  ตรงนี้พระเจ้าไม่ได้สัญญา  แต่เราถูกสอนผิด เราก็โตแบบทุลักทุเล พี่น้องนึกภาพออกไหม? เซไปเซมา ความเชื่อ  ก็ไม่ได้ตั้งมั่นคงอยู่ในข่าวประเสริฐของพระเจ้า เลี้ยงเท่าไรก็ไม่โต เลี้ยงตั้งแต่ 50 ปีที่แล้ว ยังไม่โตเลย ถ้าเป็นอย่างนั้น  ลองคิดดูว่าคนที่เลี้ยงเขาจะชื่นใจไหมล่ะ  ก็ไม่ชื่นใจ บำเหน็จตรงนี้แหละ ความชื่นชมยินดีที่เราได้เห็นผู้เชื่อคนหนึ่ง  ที่ถูกสอนให้อยู่ในความจริง ในถ้อยคำของพระเจ้า แล้วเขาเจริญเติบโต เขาอดทนกับความทุกข์ยากลำบาก  เขาเชื่อวางใจในพระเยซูคริสต์ เขาไม่ทิ้งพระองค์เลย เขาบากบั่น เขากัดฟัน แล้วเขาเชื่อมั่นว่าในความทุกข์ยากลำบากนั้น พระเจ้าอยู่ด้วยกับเขา แล้วพระเจ้าพาเขาผ่าน แล้วเขาก็ผ่านได้ทุกครั้ง ด้วยพระคุณของพระเจ้า  พอเราเห็นแล้วเราชื่นใจ

ขอบคุณพระเจ้านะ คนนี้เราเห็นเขาตั้งแต่ลูกเขาตัวนิดเดียวเอง จนตอนนี้ลูกเขาโตเป็นหนุ่มแล้ว เขาทุกข์ยากลำบาก เขาไม่ได้อยู่สบาย แต่เขาก็ยังเชื่อ เขาวางใจในพระเจ้าว่าสิ่งที่พระเจ้าสัญญากับเขาเป็นจริง ความรอดในพระเยซูคริสต์เป็นจริง แค่เรื่องการดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ มันนิดเดียว  เขาก็อดทน รอคอยพระเจ้า แล้วพระเจ้าก็พาเขาผ่าน

กับอีกคนหนึ่ง  ไม่ยอมโต แล้วคิดดูว่าคนที่ดูแลเขาจะกลุ้มใจขนาดไหน?  เชื่อพระเจ้ามา 20 ปีผ่านไป ยังปัญหาเดิมๆ ที่จะต้องมาบอกเราให้ช่วย ให้อธิษฐาน ซึ่งไม่ชื่นใจ การงานที่เราทำลงไปทั้งหมด ก่อขึ้นมา ก็เหมือนกับไม้ เหมือนฟาง เหมือนหญ้าแห้งที่ถูกเผาไฟไป  พอเผาไป มองแล้ว ในพระคัมภีร์ตรงนี้ บอกการงานจะประจักษ์ คือให้เราเห็นว่าคนนี้โต แต่คนนี้ไม่ยอมโตสักที กลุ้มใจ เราต้องคอยแบกเขาตลอดเวลา

ซึ่งตรงนี้แหละ ส่วนใหญ่ คนจะเข้าใจผิด  อย่างที่ตะกี้ได้คุยให้ฟังว่าบำเหน็จที่อาจารย์เปาโลพูดถึงตรงนี้   ก็คือบำเหน็จบนโลกใบนี้ เพราะฉะนั้น อะไรก็ตามที่ถูกก่อขึ้นมาบนรากฐานที่ถูกหว่านเรียบร้อยไปแล้ว ถ้าไม่ได้พุ่งไปที่การพึ่งพระเยซู แต่พุ่งไปที่การพึ่งผลของการกระทำของตัวเองเมื่อไร? อันนั้นแหละ การงานจะไม่เกิดผล  วันหนึ่งข้างหน้า ก็จะถูกเผาด้วยไฟ คนจะมองเห็น ก็คือทำเหนื่อยแทบตาย เหนื่อยจนไม่รู้จะพูดอย่างไร ไม่โต ทำให้คนที่ดูแลไม่ชื่นใจ  เพราะคนที่ดูแล ก่อขึ้นมา ในหนทางที่ผิด คำว่า “รอดจากไฟ” แปลว่าการงานที่ลงแรงทำลงไปนั้น ไม่เกิดประโยชน์ใดๆ เลย ถูกเผาหมด แต่เขาก็ยังรอดอยู่ เพราะเชื่อพระเจ้าแล้ว ในข้อที่ 16 …

1 โครินธ์ 3:16 “ท่านไม่รู้หรือว่าท่านเองเป็นวิหารของพระเจ้า และพระวิญญาณของพระเจ้าทรงสถิตภายในท่าน?”

 

อาจารย์เปาโลถาม “ท่านไม่รู้หรือ?” แปลว่าท่านควรจะรู้นะ เมื่อเชื่อวางใจในพระเจ้าแล้ว  พระเจ้าบอกเราชัดเจนว่าท่านเป็นวิหารของพระเจ้า  เป็นที่สถิตของพระวิญญาณบริสุทธิ์ ท่านควรจะรู้ ถ้าเราเป็นที่สถิตของพระวิญญาณบริสุทธิ์ เราก็จะสามารถสำแดงความเป็นบุคลิกลักษณะของพระเจ้าออกมาให้ผู้อื่นได้เห็น  ข้อที่ 17 บอกว่า …

1 โครินธ์ 3:17 “ผู้ใดทำลายวิหารของพระเจ้า พระเจ้าจะทรงทำลายผู้นั้น เพราะวิหารของพระเจ้าบริสุทธิ์ศักดิ์สิทธิ์ และท่านคือวิหารนั้น”

 

คำตรงนี้ หมายถึงพระเยซูกำลังบอกผู้เชื่อว่าเมื่อเราเชื่อวางใจในพระเจ้าแล้ว เราเป็นวิหารของพระเจ้า เป็นที่สถิตของพระวิญญาณบริสุทธิ์แล้ว พระเจ้าจะรับผิดชอบชีวิตของเราเอง พี่น้องมองภาพให้เห็น เมื่อเราเป็นลูกของพระเจ้าแล้ว พระเจ้าเป็นพ่อของเรา  พระเจ้าจะรับผิดชอบชีวิตของเราเอง  ฉะนั้น ไม่ว่าใครข่มเหงเรา หรือไม่ว่าใครทำอะไรกับเราก็ตาม เราไม่ต้องไปต่อล้อ ต่อเถียง ไม่ต้องไปฮึดสู้ เพื่อพระเจ้า ไม่ต้อง ให้วางใจในพระเจ้า พระเจ้าจะจัดการเอง

เหมือนภาพอาจารย์เปาโล ตอนที่ยังไม่ได้เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอด อาจารย์เปาโลก็ข่มเหงคริสตจักร  คือไปขอทหาร ไปไล่ล่าพวกที่เชื่อวางใจในพระเยซูคริสต์ เพื่อจับมาทรมาน จับมาฆ่าบ้าง แต่ระหว่างทางที่อาจารย์เปาโลเดินทางไปเมืองดามัสกัส  พระเยซูมาหาอาจารย์เปาโล  แล้วทำให้อาจารย์เปาโลตกม้า แล้วก็ตาบอด  แล้วพระเยซูก็พูดกับอาจารย์เปาโล

อาจารย์เปาโลได้ยินเสียงเลยนะ พระเยซูถามว่าเซาโล ตอนนั้นยังไม่ได้ชื่อเปาโล …

“เซาโลๆ เจ้าข่มเหงเราทำไม”

อาจารย์เปาโล “ข่มเหงพระเยซูตรงไหน เปล่าเลยนะ เราไม่ได้ข่มเหงพระเยซู”

แต่พระเยซูบอกว่า “เจ้าข่มเหงผู้ที่เชื่อวางใจในพระเจ้า  ก็เท่ากับเจ้าข่มเหงเรา”

พี่น้องเห็นภาพไหม?  ใครก็ตามข่มเหงผู้เชื่อ ก็เท่ากับข่มเหงพระเยซูคริสต์ ฉะนั้น พระเยซูก็บอกกับอาจารย์เปาโลว่า “เจ้าถีบปฏัก ก็เจ็บตัวเอง” มันจะเด้งกลับมาโดนตัวเอง

พระเยซูกำลังจะบอกเราว่าไม่ต้องกังวลเรื่องใดๆ ทั้งสิ้น ให้เราเชื่อวางใจในพระเจ้า  พระเจ้าจะดูแลชีวิตของเราเอง  แล้วพระเจ้าจะนำพาย่างเท้าของเรา ไม่ว่าบนโลกใบนี้เราจะเจออะไรก็ตาม เจอปัญหาอุปสรรค เจอคนข่มเหง เจอคนดูถูกเยาะเย้ย ดูหมิ่น เหยียดหยามอะไรก็ตาม ให้เรานิ่งและวางใจในพระเจ้า พระองค์จะจัดการให้กับพวกเราทุกคนเอง

วันนี้จบแล้ว จะแถมให้ ตรงที่ทำไมอาจารย์เปาโลจะคอยสอนเราว่าให้เราจดจ่อความคิดของเรา ไปที่ถ้อยคำของพระเจ้า ความคิดของเราเป็นที่เก็บข้อมูล  เนื่องจากว่าร่างกายและความคิดจิตใจของเรายังอยู่บนโลกใบนี้ ที่เสียหายไปแล้ว  ฉะนั้น ความคิดเรายังมีข้อมูลเก่า ที่อาจารย์นครชอบพูดว่าโปรแกรมเก่าอยู่ในความคิดของเรา ฉะนั้น อาจารย์เปาโลก็บอกเราว่าให้เราจดจ่อที่ถ้อยคำของพระเจ้า  เปลี่ยนแปลงความคิดจิตใจของเราเสียใหม่ ก็คือเอาโปรแกรมใหม่ ที่เป็นเรื่องราวของพระเจ้า พระสัญญาของพระเจ้า สิ่งที่พระเจ้าบอกเราว่าเราเชื่อแล้ว เราเป็นใคร พระเจ้าได้ให้อะไรกับเรา  พยายามจดจ่อ แล้วก็มาใส่ข้อมูลที่ความคิดของเรา เมื่อข้อมูลของเรามีมากเท่าไร? ความคิดจะสั่งการให้กับร่างกายของเรา ให้ทำตามความคิดนั้น เมื่อความคิดไม่สั่งการ ร่างกายจะไม่ทำตาม  ดังนั้น ความคิดจะสั่งการ ให้เราทำตามถ้อยคำของพระเจ้า หรือทำตามระบบของโลกนี้  การหลอกล่อ หลอกลวงทุกรูปแบบ ที่พยายามชักจูง ดึงเรา  ให้ไปทำตามมัน  ซึ่งเราสามารถต่อสู้ ขัดขืนได้ เมื่อก่อนเราเป็นทาสมัน แต่ตอนนี้เราไม่ใช่แล้ว เราเป็นอิสระแล้ว เราเป็นลูกของพระเจ้าแล้ว วิญญาณเราสะอาด เป็นวิญญาณใหม่ เราไม่ได้เป็นทาสมันอีกต่อไป  แต่มันก็ยังคอยหลอกเราว่า …

“เธอยังเป็นทาสฉันอยู่  เธอต้องทำตามฉัน”

ซึ่งถ้าเรารู้ความจริงตรงนี้ว่า “ฉันไม่ได้เป็นทาสเธอแล้ว เธอมาหลอกฉันไม่ได้หรอก ฉันไม่เชื่อเธอ ไม่ทำตาม”

พอเราไม่ทำตาม มันทำอะไรเราไม่ได้เลย … “ฉันไม่เชื่อแก” … ต้องบอกอย่างนี้เลย

ฉะนั้น  พอระบบความคิดของเราเข้ามาอยู่ในระบบที่พระเจ้าบอกเราปุ๊บ พระเจ้าบอกเราว่าเมื่อเราเชื่อพระเจ้า บุคลิกลักษณะของพระเจ้าจะอยู่ในชีวิตของเรา คือเราเป็นเลย เป็นลูกของพระเจ้า เป็นความบริสุทธิ์ เป็นความสว่าง เป็นความรัก เป็นความชื่นชมยินดี เป็นความอดทนนาน  เป็นการรู้จักบังคับตัวเอง เราเป็นหมด คือพระเจ้าที่อยู่ในเราเป็น  พอเป็นปุ๊บ เราเป็นอย่างนั้น พอระบบความคิดของเราถูกใส่เข้าไปในสิ่งต่างๆ เหล่านี้ปุ๊บ  พอเรารู้ว่าเราเป็นความสว่าง

ความคิดตรงนี้ก็จะสั่งการ ทำให้ร่างกายเราสำแดงความสว่างออกมา มันออกมาเอง โดยอัตโนมัติ ยิ่งความรู้เรื่องพระเจ้ามากเท่าไร? ความคิดเรายิ่งสะสมความรู้ของพระเจ้าได้มากเท่าไร? มันก็ยิ่งทำให้ส่งผลออกมาเป็นการกระทำ ให้คนอื่น ผู้คนรอบข้างได้เห็นพระเยซูคริสต์ในชีวิตของเรามากเท่านั้น อย่างที่บอก พอเราคิดตามพระเจ้า คิดเยอะๆ เราก็จะเริ่มเห็นด้วยกับพระเจ้า แล้วก็ทำตามพระเจ้า แต่ถ้าเราคิดแบบเอาความคิดเก่าๆ เข้ามา เอาความเคยชินเก่าๆ ที่เราเคยทำ ก่อนที่เรามาเชื่อพระเจ้า  ความโสโครก สกปรก โสมม อิจฉา ริษยา  มันฝังในความคิดเราปุ๊บ พอเราคิดเยอะๆ มันก็จะทำให้เราเชื่อตามนั้น แล้วก็สั่งการให้ร่างกายเราทำตามมันด้วย มันก็จะออกมาเป็นลักษณะที่หลายครั้ง เราก็ล้มลง ไปทำตามตรงนั้น แต่ไม่ว่าเราจะล้มลง หรือเราจะเผลอทำตามธรรมชาติเก่าของเรา  ยังคงยืนยันอันเดิม พี่น้องต้องบอกตัวเองเลย พระเจ้าบอกว่าวิญญาณเราสะอาดแล้ว  เราเป็นผู้ชอบธรรมแล้ว เราได้ย้ายจากต้นไม้บาปของอาดัม  มาอยู่ในต้นไม้ของพระเยซูคริสต์เรียบร้อยไปแล้ว ต่อให้เราทำผิดพลาดขนาดไหน? ให้รับรู้ว่าตัวตนจริงๆ ของเราไม่ได้เป็นคนทำบาปเลย วิญญาณเรารอด และเราเป็นต้นไม้ดี เราอยู่ในต้นไม้ดีของพระเจ้า  พระเจ้าอวยพรค่ะ

 

********************

 

จากใจคณะศิษยาภิบาล

 

“เมื่อท่านเป็นทาสของบาป   ท่านก็ไม่ได้อยู่ภายใต้การควบคุมของความชอบธรรม   (ความดี)” โรม 6:20

 

เราตั้งใจทำความดี  ไม่ใช่เพื่อจะได้รับความรอดจากบาปจากเวรกรรม แต่เป็นธรรมชาติของวิญญาณภายในที่ดีเหมือนพระเจ้า  เพราะเราได้รับความรอดจากบาป และได้บังเกิดใหม่เป็นลูกของพระเจ้าแล้ว …

– โดยพระคุณ พ่อแห่งฟ้าสวรรค์ นำเรา สอนเราให้ทำดี เหมือนพ่อ

– พระคุณสอนให้ใจเราเคารพยำเกรงพ่อ และไม่กลัวที่จะเข้าหาพ่ออีกต่อไป

– พระคุณของพระเจ้าทำให้เราฝึกวินัยตนเอง  รู้จักบังคับตนเอง  อยากทำดีเหมือนพ่อ  ทำให้พ่อชื่นใจ

 

พระเจ้าอวยพรครับ