วารสาร Holy News ฉบับที่ 1318

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  27  มิถุนายน  2021

 เรื่อง “พระเจ้าอยู่ที่ไหน  ในยามที่ลูกกำลังตกอยู่ในความเลวร้าย?”

โดย นคร  เวชสุภาพร

 

เรามาต่อจากอาทิตย์ที่แล้ว มนุษย์ทุกคนบนโลกประสบความทุกข์ยากลำบากเหมือนๆ กันหมด ทุกข์ยากมากบ้าง? น้อยบ้าง? เพียงแต่ว่าจะเป็นความทุกข์ยากลำบากคนละรูปแบบกัน ไม่เหมือนกัน แต่ทุกคนอยู่ในความทุกข์ยากลำบาก เรียนรู้กันไปแล้ว เมื่อครั้งที่แล้ว  บางคนก็ทุกข์ยากลำบากจากเรื่องปัญหาสุขภาพ บางคนก็เรื่องปากท้อง การกิน การอยู่ การทำมาหากิน พูดง่ายๆ บางคนก็ทุกข์เรื่องปัญหาครอบครัว  เรื่องความสัมพันธ์ในครอบครัว ความสัมพันธ์ในสังคมอะไรต่างๆ  ทะเลาะเบาะแว้ง แม้ในสังคมบ้าน  ในครอบครัว ในบ้านเดียวกัน  พ่อ แม่ ลูก ทะเลาะกันรุนแรงก็มี ปัญหาแก้ไม่ได้ ที่ผมเน้นย้ำไปครั้งที่แล้ว  ก็คือความทุกข์ยากลำบากเหล่านี้  ทั้งหมดทั้งปวง พุ่งตรงมาทำลายเผ่าพันธุ์มนุษย์บนโลกใบนี้  เหมือนกันทุกคน โดนหมดทุกคน ไม่ว่าจะเชื่อพระเจ้าหรือไม่เชื่อพระเจ้าก็ตาม นี่คือพื้นฐานความจริง

และสำหรับคริสเตียนที่มาเชื่อพระเจ้าแล้ว  เราก็ได้รับการสอน ได้รับการยืนยันมาตลอด จากถ้อยคำพระเจ้าว่าท่ามกลางความทุกข์ยากลำบากที่เกิดขึ้นบนโลกใบนี้  พระเจ้าสถิตอยู่กับเรา อยู่ในตัวเรา  ดำเนินชีวิตไปกับเราด้วย  พระองค์กำลังดูแล กำลังนำทางเราเดิน และพระองค์จะสามารถนำพาเราผ่านในทุกสถานการณ์ได้  ทุกสิ่งจะเป็นผลดีสำหรับผู้ที่รัก ผู้ที่เชื่อวางในพระองค์ เพราะฉะนั้น ก็จะมีคนถาม ตามที่เราได้เรียนรู้กันครั้งที่แล้วว่าถ้าอย่างนั้น เราที่เชื่อพระเจ้าแล้ว เป็นลูกพระเจ้าแล้ว พระเจ้าอยู่กับเราแล้ว ทำไมถึงยังต้องประสบกับความทุกข์ยากลำบากอีก ทำไมต้องเกิดเรื่องเลวร้ายในชีวิตของเราด้วย  ทั้งๆ ที่เราเชื่อแล้ว 2 คำถามที่มักจะเกิดขึ้น เมื่อต้องเผชิญกับสิ่งเลวร้าย ก็คือ …

(1) ทำไมพระเจ้าอนุญาตให้สิ่งเลวร้ายเหล่านี้เกิดขึ้นกับมนุษย์    ที่พระองค์ทรงบอกว่ารักดั่งแก้วตาดวงใจ? อันนี้เป็นข้อแรกเลย

(2) พระเจ้าอยู่ที่ไหนในยามที่เราตกอยู่ในความเลวร้ายเหล่านั้น

นี่คือ 2 คำถามที่เราตั้งกันไว้ เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ซึ่งเราก็ได้คุย ได้ตอบคำถามข้อแรกไปแล้วว่า “ทำไมพระเจ้าอนุญาตให้สิ่งเลวร้ายเกิดขึ้นกับมนุษย์ ที่พระองค์บอกว่ารักมากมาย ดั่งแก้วตาดวงใจ”  ซึ่งคำถาม สรุปความจริงในข้อนี้  ก็คือพระเจ้าอนุญาตให้มนุษย์ตัดสินใจด้วยตนเองตั้งแต่แรกแล้ว คือให้เป็นลูกของพระองค์ ไม่ใช่เป็นทาส เป็นลูก มีอิสระในการตัดสินใจได้ สรุป คือพระเจ้าอนุญาตให้เราดื้อ ไม่เชื่อฟัง ตัดสินใจที่ไม่เชื่อก็ได้ แต่พระองค์ไม่ประสงค์ให้เราดื้อ

เพราะเมื่อเราดื้อ เกิดสิ่งเลวร้ายเข้ามาในชีวิต พระองค์อนุญาตให้เรารับสิ่งเลวร้ายนั้น แต่พระองค์ไม่ได้ประสงค์ที่จะให้สิ่งเลวร้ายนั้น เกิดขึ้นกับเรา สรุปครั้งที่แล้วเป็นอย่างนั้น

ความจริง คือมนุษย์เองต่างหากที่นำความบาปเข้ามา  จากการถูกหลอก โดยมาร จึงทำให้มนุษย์ติดเชื้อบาป และเอาความตาย ซึ่งเป็นบ่อเกิดของความทุกข์ยากลำบาก คำสาปแช่งลงมาสู่เผ่าพันธุ์ของมนุษย์ และบ้าน คือที่อาศัยอยู่บนโลกใบนี้  ทุกสิ่งทุกอย่างบนโลกใบนี้ วิปริต เสียหายใหญ่โต กระทบกระเทือนกันไปหมดทั้งสังคมโลกใบนี้เลย ซึ่งหลักใหญ่ของสิ่งมีชีวิตบนโลกใบนี้สำคัญที่สุด ก็คือมนุษย์

มนุษย์จึงถูกทำลายด้วยความเสื่อมเสีย ความเสียหาย  เหตุจากบาปเข้ามาในโลก เราได้เรียนรู้แล้ว เพราะมนุษย์คนเดียว บรรพบุรุษของเรา เผ่าพันธุ์มนุษย์ ตัดสินใจด้วยตัวเองว่าไม่เชื่อฟังพระเจ้า จะดื้อ พูดง่ายๆ  พระเจ้าเตือน แล้วไม่ฟัง เราได้เรียนรู้เมื่อสัปดาห์ที่แล้วแล้วนะ

เราได้เรียนรู้แล้วว่าไม่ใช่พระเจ้าประสงค์ให้เป็นอย่างนั้น ถูกไหม? ตรงกันข้าม พระองค์กลับเสียใจ เศร้าใจอย่างมากมาย ฐานะเป็นพ่อ ลูกไม่เชื่อฟัง ได้รับบาดเจ็บ  ได้รับความเสียหาย มีพ่อที่ไหนจะดีใจ พ่อก็เสียใจ เศร้าใจ คอยวันเวลาที่จะเยียวยารักษาให้หาย ซึ่งพระองค์ก็ได้กระทำสำเร็จแล้ว อันนี้สำคัญมาก นี่คือข่าวดี  พระองค์ทรงเยียวยารักษาให้หายแล้ว โดยผ่านทางพระบุตรของพระองค์ คือพระเยซูคริสต์ ที่มาตายบนไม้กางเขน และพระองค์ทรงตรัสที่ไม้กางเขน บอกว่า “สำเร็จเรียบร้อยแล้ว”

“สำเร็จ” คือรักษามนุษย์ให้หายจากเชื้อบาปเรียบร้อยแล้ว

ท่านอาจจะถามว่า “เรียบร้อยแล้ว แล้วทำไมโลกนี้ ไม่เห็นกลับมาดีเหมือนเดิมเลย  ก็ยังมีโรคภัยไข้เจ็บ มีความเสียหาย มีคำสาปแช่ง มีความทุกข์ยากลำบากเกิดขึ้นเหมือนเดิม มนุษย์ทุกคนยังเจ็บป่วยเหมือนเดิมเลย ไหนล่ะ”

ก็อยากจะบอกว่าคำว่า “พระเยซูคริสต์ทำสำเร็จแล้ว” คือสำเร็จในโลกวิญญาณ ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญมาก ซึ่งมันเป็นนิรันดร์กาล  สำเร็จทางวิญญาณ ในทุกอย่าง ที่พระองค์ทรงกระทำ หายจากการติดเชื้อบาป แต่โลกใบนี้  และร่างกายของเราที่ถูกสร้างมาจากธาตุทั้ง 4 ของโลกใบนี้ที่ประกอบด้วยดิน น้ำ ลม ไฟ มันเป็นของโลกวัตถุ ที่ต้องคำสาปและรับผลไปเรียบร้อยแล้ว คือต้องสิ้นสุดลง ต้องจบ ต้องตาย พระเจ้าทำสำเร็จแล้ว คือวิญญาณของเรา  ได้เกิดใหม่ ได้อยู่ในสวรรค์กับพระเจ้า  แล้วก็รอวันที่พระองค์จะทำให้โลกนี้ เป็นโลกใหม่ สร้างโลกใหม่ให้กับลูกๆ ของพระองค์ได้อยู่อาศัย รอคอยวันที่พระองค์ทำอีกนิดหนึ่งให้สำเร็จ คือวันที่โลกใบนี้มันจะสิ้นสุดลง เราไม่รู้ว่าเมื่อไร?

วันที่โลกใบนี้และทุกสิ่งบนโลกใบนี้ ถูกสำเร็จโทษพร้อมทั้งมารซาตาน  ต้นเหตุของการหลอกลวงมนุษย์ให้ตกลงไปในความบาป ไม่เชื่อฟังต่อพ่อ พระเจ้า มารและสมุนของมัน รวมทั้งโลกใบนี้ทั้งหมด และรวมทั้งร่างกายของมนุษย์ มีวันที่จะจบ สิ้นสุดลง สลาย มารก็ถูกขังไว้ในบึงไฟนรกนิรันดร์ โลกใบนี้ ก็ดับสูญ ธาตุในโลกใบนี้ก็ดับสูญ รวมทั้งร่างกายมนุษย์ก็ดับสูญ แต่พระเจ้าทรงเตรียมร่างกายใหม่ไว้ให้ สำหรับผู้ที่เชื่อในพระองค์ และเตรียมโลกใหม่ ฟ้าใหม่  ทุกสิ่งทุกอย่างใหม่ ในที่นั่นร่างกายของเรา ก็จะเป็นร่างกายใหม่ที่พระเจ้าเตรียมไว้ให้ เป็นร่างกายที่เป็นขึ้นจากความตาย  ในโลกใหม่ ฟ้าใหม่ และร่างกายใหม่ ที่เราจะได้รับนั้น  เราจะอยู่ในโลกใบนั้น โดยไม่มีเชื้อบาปอยู่เลย ไม่มีผลของเชื้อบาป ไม่มีผลของคำสาปแช่ง  ไม่มีความทุกข์ยากลำบากอีกต่อไป  ไชโย เอเมน นี่คือความหวังใจ นี่คือความจริง  ฉะนั้น นี่คือความต้องการตามพระประสงค์ของพระเจ้า แผนการของพระเจ้าที่ทำสำเร็จเรียบร้อยแล้วด้วย เพียงแต่รออีกนิดเดียว

และวันนี้เราจะมาดูคำตอบสำหรับคำถามข้อที่ 2 ที่ผู้เชื่อมักจะถามพระเจ้าว่า “พระเจ้าอยู่ที่ไหน ในยามที่ลูกกำลังตกอยู่ในความเลวร้ายเหล่านั้น”

“โอ้! พระเจ้าอยู่ที่ไหน ขณะนี้ผลกระทบจากโควิดทั้งโลก” คนที่เชื่อพระเจ้าส่วนใหญ่ก็จะถามว่า “โอ้! พระเจ้าอยู่ที่ไหน?” วันนี้เราจะมาคุยกันเรื่องคำถามข้อที่ 2 นี้ ซึ่งในข้อที่ 2 นี้ แบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม ต้องตอบแยกกัน คือ …

“พระเจ้าอยู่ที่ไหน ในยามที่ฉันกำลังตกอยู่ในความเลวร้ายเหล่านั้น” นี่หมายถึงมนุษย์กลุ่มแรก คือมนุษย์ที่ยังไม่ได้รับเชื่อในพระเจ้า คือมนุษย์ที่ยังไม่ได้ใช้สิทธิ์ของเขาในการไถ่บาปของพระเยซูคริสต์ ที่พระเจ้าได้ประทานให้ คือพูดง่ายๆ ยังไม่ได้เป็นผู้เชื่อใช่ไหม? ยังไม่ได้เป็นคริสเตียน เป็นกลุ่มแรก ถ้ากลุ่มแรกถามว่า “พระเจ้าอยู่ที่ไหน ในยามที่ฉันกำลังตกอยู่ในความเลวร้ายอย่างนี้”

คำตอบจากพระคัมภีร์ “พระเจ้าอยู่ที่ไหน?” พระเจ้าอยู่ข้างๆ ท่าน  พระเจ้าอยู่ล้อมรอบท่าน คอยตามท่านตลอดเวลาเลย  แม้ท่านจะนอน ท่านจะตื่น ท่านจะทำอะไรก็ตาม ไม่ว่าท่านจะทำดีขนาดไหน? หรือทำชั่วขนาดไหน? พระเจ้าก็อยู่ข้างๆ ท่านอยู่ เรียกว่าโอบล้อมร่างกายของท่านอยู่ รอวันเวลาที่ท่านจะพบความจริง ในพระเยซูคริสต์ และเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นผู้ช่วยให้รอด ยอมรับว่าช่วยตัวเองไม่ได้ ขอพระเจ้าเข้ามาช่วยด้วย พระองค์มาเคาะประตูใจ เคาะตลอดเวลา ทุกเสี้ยววินาที เพื่อให้ท่านเปิดใจ ตัดสินใจ ยอมให้พระองค์เข้ามาช่วยในการดำเนินชีวิตของท่าน  เมื่อท่านไม่ไหวแล้ว ท่านไปไม่ได้แล้ว  ท่านยอมสยบ

“ด้วยกำลังของฉันเอง ฉันไปไม่ได้แล้ว” แสวงหาอะไร ก็ช่วยท่านไม่ได้แล้ว เหลือแค่พระเจ้าเท่านั้น เหลือแค่พระเยซูคริสต์เท่านั้น ท่านยังไม่เคยลองดู ท่านเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เมื่อไร? นั่นแหละ พระเจ้าก็จะเข้าไปในร่างกายของท่าน  ทำให้ท่านบังเกิดใหม่ และท่านก็จะสามารถมาฟังคำตอบ ข้อ 2 ของกลุ่มที่ 2 นี้ได้

สรุปว่ากลุ่มแรก คือพระเจ้าเคาะประตูใจท่านตลอดเวลา อยู่ที่ไหน? ขณะที่ท่านทนทุกข์ลำบาก อยู่ในความวุ่นวาย บนโลกใบนี้ ไม่ว่าจะเป็นปัญหาเรื่องอะไรก็ตามที่ตะกี้เราพูดกันมา  พระเจ้าอยู่ใกล้ๆ ท่านนั่นแหละ รอให้ท่านตัดสินใจ เปิดใจ บังคับท่านก็ไม่ได้

สำหรับกลุ่มที่ 2 ผู้ที่เชื่อแล้ว ผู้ที่เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดแล้ว  เรียกว่าคริสเตียนแล้ว  ความจริง ก็คือเมื่อเชื่อพระเจ้าแล้ว  พระเจ้าก็เข้ามาสถิตอยู่กับเราแล้ว  สถิตอยู่ในเรา คอยดูแล ช่วยเหลือ ในการที่จะเผชิญกับปัญหาต่างๆ ความทุกข์ยากต่างๆ  ซึ่งเป็นเรื่องธรรมดาบนโลกใบนี้  และในขณะที่เราดำเนินอยู่บนโลกใบนี้นั้น พระองค์บอกว่าพระองค์ชนะโลกนี้แล้ว ชนะเชื้อบาปบนโลกใบนี้แล้ว เมื่อพระองค์เข้ามาสถิตอยู่ในเราผู้เชื่อนั้น หมายถึงว่าในตัวเรา ในวิญญาณของเรา  ที่เป็นคนบาป  มีจิตใจชั่วร้าย โดยกำเนิดนั้น ได้รับการช่วยเหลือ ได้รับการชำระล้าง โดยผ่านทางพระเยซูคริสต์ พระผู้ช่วยให้รอด จนสะอาดหมดจด บริสุทธิ์สะอาด ปราศจากบาป ปราศจากความชั่วร้ายใดๆ นั่นคือตัวจริงๆ ของเราเลย มันเป็นอย่างนั้น  และพระองค์กำลังนำพาวิญญาณของเราที่ได้บังเกิดใหม่ในพระเยซูคริสต์ ได้รับการชำระจนสะอาด ในพระคัมภีร์บอกเหมือนพระเยซูเลย

เพราะฉะนั้น คำตอบของข้อ 2 ในกลุ่มที่ 2 คนที่เชื่อพระเจ้าแล้ว ก็คือพระเจ้าได้เข้ามาอยู่ในร่างกายของท่าน ทำให้ร่างกายของท่านเป็นวิหารของพระเจ้า และพระองค์เข้ามาสถิตอยู่ด้วย  และทำให้ท่านได้บังเกิดใหม่ ในวิญญาณของท่าน วิญญาณท่านได้บังเกิดใหม่  ด้วย DNA ทางฝ่ายวิญญาณ ด้วยวิญญาณชนิดเดียวกันกับของพระเยซูคริสต์

ย้ำอีกทีหนึ่ง ผู้เชื่อทั้งหลาย  ท่านได้บังเกิดใหม่แล้ว บังเกิดใหม่ด้วยวิญญาณที่เหมือนพระเยซูคริสต์ เป็นน้องของพระเยซูคริสต์ ถ้าเป็นพระเยซูคริสต์ เรียกว่ามีพระสิริ พระเกียรติ บารมี ความสง่างาม ความบริสุทธิ์ ความดีงาม ท่านก็ได้รับวิญญาณอย่างนั้นเหมือนกัน

เพราะฉะนั้น วิญญาณของท่านที่เป็นอยู่ในขณะนี้ เป็นวิญญาณที่สะอาด บริสุทธิ์ เต็มไปด้วยสิริ สง่าราศี เหมือนพระเยซูคริสต์เลย  นี่คือความจริง แล้วเราจะเห็นได้อย่างไร?  เห็นไม่ยาก ที่เคยบอกไว้ มองไปที่กระจก อ้าว! มองกระจก แล้วจะเห็นได้อย่างไรล่ะ มองกระจกเงา เห็นตัวท่านเอง  ถ้ามองกระจกเงา เห็นตัวเอง  ท่านหลับตาต่อหน้ากระจกเงา  พอท่านหลับตาปุ๊บ แล้วก็นึกถึงถ้อยคำพระเจ้า  ที่พระเจ้าบอกความจริงในโลกฝ่ายวิญญาณให้กับเราได้รู้ว่าท่านเป็นใครในโลกวิญญาณ

หลับตา ท่านก็จะเห็นวิญญาณของท่าน ที่อยู่ภายในร่างกาย ที่เห็นด้วยกระจกเงาเมื่อตะกี้ ตอนลืมตานั่นแหละ พอหลับตาปุ๊บ ไม่เห็นกระจกเงาแล้ว แต่เห็นถ้อยคำพระเจ้าเป็นจริง ก็คือวิญญาณที่อยู่ข้างใน  พร้อมทั้งความคิดจิตใจ  สะอาดบริสุทธิ์ เหมือนพระเยซูคริสต์ วิญญาณก็เหมือนพระคริสต์ ความคิดจิตใจ ก็เหมือนพระคริสต์ และตัวตนที่แท้จริงตรงนี้  คือวิญญาณและความคิดจิตใจนี้  จะไปอยู่กับพระเจ้าในวันหนึ่ง  ในโลกใหม่ที่ตะกี้นี้ เราพูดถึง

และในขณะนี้  ที่เราหลับตา แล้วเราเห็นความเป็นจริงโลกวิญญาณนั้น มันได้เกิดขึ้นจริงๆ ในโลกวิญญาณเรียบร้อยแล้ว มันเป็นอย่างนั้นอยู่จริงๆ  ก็คือขณะที่เราหลับตา เราจะเห็นวิญญาณของเรา ความคิดจิตใจของเราที่บังเกิดใหม่เหมือนพระเยซูคริสต์ ได้นั่งอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้าในสวรรค์สถานร่วมกับพระเยซูคริสต์ เป็นน้องพระเยซูคริสต์เลยทีเดียว  เราได้อยู่ในสวรรค์แล้ว  เพียงแต่รอคอยวันเวลา ที่ครบกำหนด สำเร็จโทษบนโลกใบนี้  สำหรับมารซาตาน และความบาป รวมทั้งโลกเก่านี้ ที่ถูกปกคลุมไปด้วย ความบาป ความเสียหาย สูญสิ้นไปหมดเมื่อไร? โลกใบนี้ จบเมื่อไร? วิญญาณของเราเป็นเหมือนพระเยซูคริสต์ และความคิดจิตใจที่เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์ ก็จะไปรับร่างกายใหม่ ที่พระองค์ทรงจัดเตรียมไว้ให้ เป็นร่างกายที่เป็นเหมือนพระเยซูตอนเป็นขึ้นจากความตาย และท่านจะได้อาศัยอยู่ในโลกใหม่ที่พระเจ้าสร้างขึ้นมาใหม่ ทุกอย่างใหม่เอี่ยมเลย  ไม่มีสิ่งเสียหายอีกแล้ว  ดีกว่าสวนเอเดนเก่าอีก นี่คือความเป็นจริง … 1 2 3 ลืมตาได้ … หลับตาจึงเห็น ลืมตาไม่เห็น

เพราะฉะนั้น นี่คือเริ่มต้นตอบคำถามข้อที่ 2 “พระเจ้าอยู่ที่ไหนในยามที่ลูกตกอยู่ในความเลวร้ายเหล่านี้ เหล่านั้น ขณะนี้ ขณะนั้น”  เราจะมาเรียนรู้กันต่อในเรื่องนี้  เรียนรู้จากประสบการณ์ของอาจารย์เปาโล เรื่องหนามในเนื้อ ซึ่งเป็นตัวอย่างในเรื่องนี้ ได้อย่างดี

พูดถึงอาจารย์เปาโล ก็การันตีได้ว่าท่านได้เรียนรู้เรื่องพระเจ้าลึกซึ้งมากเป็นพิเศษ โดยการเรียนรู้จากพระเยซูโดยตรง แล้วพระเยซูเคยพาอาจารย์เปาโลไปอยู่ในโลกฝ่ายวิญญาณ ที่เรียกว่าสวรรค์ชั้นที่ 3 ได้เห็นมากับตา แล้วกลับมาอยู่บนโลกใบนี้  มาประกาศเรื่องข่าวประเสริฐต่อ เพราะฉะนั้น สิ่งที่อาจารย์เปาโลพูด มันจึงลึกซึ้ง และชัดเจนในเรื่องโลกวิญญาณอย่างมาก

เปาโลก็จะใช้คำว่า “หนามในเนื้อ” หรือใช้คำว่า “ความอ่อนแอ” ที่อาจารย์เปาโลบอกความอ่อนแอ  มันหมายถึงอาจารย์เปาโลกำลังบอกว่าตั้งแต่ความท้อแท้  ความเครียด ความกังวล ความกลัวในการถูกสบประมาณ กลัวความทุกข์ยากลำบาก ในการถูกกดขี่ข่มเหง ในความยุ่งยาก ลำบากทั้งใจและกาย คือเจ็บป่วยทั้งกายและใจ อาจารย์เปาโลเป็นอย่างนั้นจริงๆ ความทุกข์ยากลำบากในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ อาจารย์เปาโลเผชิญสิ่งเหล่านี้หมด แล้วก็เปิดเผยให้ฟังได้เลยว่านี่คือความอ่อนแอของท่าน ที่ดำเนินอยู่บนโลก ทั้งๆ ที่มองไปที่โลกวิญญาณ รู้ว่าตัวเองเป็นใคร?  พระเจ้าสถิตอยู่ภายในอย่างไร?  ที่ผมยกตัวอย่างให้ฟัง ทั้งๆ ที่รู้ แต่ยอมรับว่าตัวเองอ่อนแอ เมื่อเผชิญกับความทุกข์ยากลำบาก มันเกิดความรู้สึกเมื่อตะกี้นี้ ที่พูด มันยังทุกข์ยากลำบากอยู่

อาจารย์เปาโลเจ็บป่วยนะ เจ็บทางกาย ถึงขนาดตาบอด แต่เราไม่รู้ว่าคำว่าหนามในเนื้อ อาจารย์เปาโลพูดตรงนี้ เน้นไปที่ความเจ็บป่วยทางกาย หรือความเจ็บป่วยทางจิตใจ หรือความทุกข์ยากลำบาก ความเครียด อะไรต่างๆ แต่ที่เรารู้แน่ๆ  ก็คือหนามในเนื้อ  คือความทุกข์ยากลำบากขนาดหนักเลย หนักมากขนาดอาจารย์เปาโลไม่ได้พูดว่าหนามในเนื้อ ถูกเอาหินขว้างให้ตาย แล้วก็ไม่ตาย เป็นขึ้นมาใหม่ ถูกเฆี่ยนไม่รู้กี่ครั้ง  เรือแตก ถูกเขาตามล่า จะฆ่า จะทำลายให้ตาย  แต่ละวันๆ เป็นอย่างนั้น  ความทุกข์ยากลำบากที่เรียกว่าหนามในเนื้อของเปาโลหนักมาก หนักถึงขนาดขอพระเจ้าให้ช่วย เอามันออกไป  แสดงว่าต้องหนักมากทีเดียว

ถ้าเทียบกับพวกเราในปัจจุบัน หนามในเนื้อของเรา คือผลกระทบจากโควิด-19 เหมือนติดคุกติดตาราง ไปไหนก็ไม่ได้ กลัวจะติดเชื้อ กลัวฉีดวัคซีน แล้วเป็นอะไรผลข้างเคียง กลัวโน่น กลัวนี่ ผลกระทบ การทำมาหากินก็ลำบาก นี่พูดถึงเฉพาะแค่ในปัจจุบัน ก่อนโควิดมันก็เป็นอย่างนี้มาตั้งนานแล้ว  คือความทุกข์ยากลำบากมันปกคลุมอยู่ในโลกใบนี้ตลอดเวลา

ฉะนั้น คำถามนี้ที่บอกว่า “พระเจ้าอยู่ที่ไหนในยามที่ลูกตกอยู่ในความเลวร้ายนี้” ไม่ใช่มาถามเฉพาะตอนที่มีโควิดระบาด แต่มีก่อนหน้านี้มาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ตั้งแต่สมัยอาดัมตกลงไปในบาปใหม่ๆ  จนกระทั่งถึงเปาโล จนกระทั่งมาถึงเราทุกวันนี้  จนกระทั่งถึงพี่น้องบางคนที่ก่อนหน้านี้ ก่อนจะมีโควิดอีก เป็นมะเร็ง เจ็บป่วย ประสบกับปัญหา ทุกข์ยากลำบาก นอนเป็นอัมพาตอยู่ จะให้เขาคิดอย่างไรในชีวิต ทั้งๆ ที่เขาเชื่อพระเจ้า เขาก็ต้องตะโกนถามเลยว่า …

“พระเจ้าอยู่ที่ไหนในยามที่ลูกกำลังลำบากถึงขนาดนี้?”

เพราะฉะนั้น คำถามนี้ไม่ได้มานึกถึง เฉพาะโควิดเท่านั้น ก่อนหน้านี้ก็มี และเราทุกคนก็รู้ดีว่าต่างฝ่าย ต่างก็ประสบกับความอ่อนแอ หนามในเนื้อ ความทุกข์ยากลำบากเหล่านี้ เท่าๆ กันทุกคน เป็นทุกคน โดนทุกคน เพราะว่าโลกใบนี้มันเสียหาย มันทุกข์ยากลำบากจริงๆ ตามนั้น

เพราะฉะนั้น ไม่ว่าจะเป็นการป่วยทางกาย ทางใจ ทางความคิดอะไรต่าง ทางความสัมพันธ์ ความหวาดกลัว ความวิตก กังวล ความซึมเศร้า ความเครียด สิ่งเหล่านี้ ก็คือความทุกข์ยากลำบากบนโลกใบนี้ทั้งสิ้น ซึ่งความจริง ก็คือพระเจ้าต้องการเป็นทุกสิ่งทุกอย่าง เป็นที่พึ่ง เป็นที่ปรึกษา เป็นผู้เล้าโลม เป็นผู้นำทางสู่ความสำเร็จ สู่ชัยชนะอย่างแท้จริงของเราทั้งหลาย เพราะพระองค์ทรงเป็นผู้ที่รักเรามากที่สุด เกินกว่าใครในมหาจักรวาลนี้แล้ว

พระองค์ต้องการแสดงให้เราเห็นว่าพระองค์เป็นใคร? ท่ามกลางสถานการณ์ต่างๆ  พระองค์อยากให้เรารู้จักพระองค์ อยากให้เราสนิทกับพระองค์ ในขณะที่พระองค์ทรงสถิตอยู่ในเรา มีชีวิตอยู่กับเราตลอดเวลา  ทุกลมหายใจเข้าออก เราเดินไปที่ไหน? พระองค์ก็ทรงอยู่ด้วย ตกอยู่ในความทุกข์ยากลำบากอย่างไร? พระเจ้าก็ทรงอยู่ด้วยตลอดเวลา เรามักบอกว่า …

“พระเจ้าช่วยเอาหนามในเนื้อนี้ออกไปที”

ก็เหมือนเปาโลอย่างนี้แหละ … “พระเจ้าไม่ไหวแล้ว ช่วยเอาหนามในเนื้อนี้ออกไปเถิด ขอโปรดทรงช่วยเหลือให้หลุดรอดพ้นจากสถานการณ์เลวร้ายอย่างนี้  ไปด้วย เอามันออกไปจากลูกเถิด สถานการณ์ความทุกข์ยากลำบากเหล่านี้ ลูกไม่ไหวแล้ว”

เหมือนที่เปาโลกำลังอธิษฐาน แต่พระเจ้าบอกเปาโล … “ไม่” ไม่เอาออกไป ทั้งๆ ที่รัก ทำไมไม่เอาออกไป เพราะว่าพระเจ้าบอกว่า … “ไม่ เพราะเราต้องการให้เจ้าเห็นว่าเราเป็นใคร? เราสามารถทำอะไรให้เจ้าท่ามกลางสถานการณ์เหล่านี้ ซึ่งอธิบายยาก พระเจ้าคงจะอธิบายให้เราฟังยากมาก เพราะเราเป็นมนุษย์ เราจะเข้าใจไหม? พระองค์จึงให้เราเชื่อในพระองค์ วางใจในความรักของพระองค์ที่มีต่อเรา รักมาก ถึงขนาดประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ลงมาตาย ที่ไม้กางเขน เพื่อเรา ขณะที่เรายังเป็นคนบาปอยู่ สำแดงความรักกับเราอย่างนี้แล้ว เชื่อมั่นในพระองค์ว่าพระองค์พาไปในสิ่งที่ดีได้  ที่ไม่ได้เอาความทุกข์ยากลำบาก ไม่ได้เอาหนามในเนื้อออกไปให้กับลูกนั้น  ไม่ได้ไม่อยากเอาออกไป อยากเอาออกไปแทบขาดใจ  แต่มันมีส่วนประกอบ มีเหตุผลอะไรอีกหลายอย่างที่ลูกไม่เข้าใจเลย”

ยกตัวอย่างเช่น บนโลกใบนี้ มันมีแต่ความทุกข์ยากลำบากทั้งสิ้น ถ้าอยากให้เอาหนามในเนื้อออกไป มีทางเดียว คือเอาลูกออกไปจากโลกใบนี้  ก็คือลูกต้องตาย เอาวิญญาณออกไปจากโลกใบนี้  ก็จบกัน เพราะว่าวิญญาณของลูกก็เกิดใหม่แล้ว อยู่ในสวรรค์แล้ว  อย่างนี้เป็นต้น ซึ่งอธิบายให้เราฟังยาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งยากมากขณะที่เรากำลังประสบกับปัญหาเหล่านั้น กำลังทุกข์ใจ ทุกข์กาย

เปาโลเช่นเดียวกัน เปาโลถาม 3 ครั้ง แสดงว่ามันหินมากนะ  ขนาดเปาโลยังอธิษฐาน 3 ครั้ง คุ้นๆ ไหม?  คำว่าอธิษฐาน 3 ครั้ง พระเจ้าก็ยังตอบยืนยัน ซึ่งเดี๋ยวจะเรียนรู้ต่อไป  จำคำว่า “3 ครั้ง” ได้ไหม?  ใครในพระคัมภีร์ที่บันทึกเอาไว้ พระเยซูเอง ก่อนที่จะยอมให้เขามาจับพระองค์ไปตรึงตายที่ไม้กางเขน  เพื่อไถ่บาปให้มนุษย์ทั้งปวง พระองค์อยู่ที่สวนเกเสมนี อธิษฐานด้วยความทุรนทุราย ด้วยความหวาดกลัว วิตกกังวล กลัวมาก  ถึงขนาดเหงื่อเป็นเลือด อธิษฐานว่า

“ไม่ถูกตรึงได้ไหม? (พูดง่ายๆ)  มีวิธีอื่นไหม? พ่อจ๋า พระเจ้า ไม่ไหวนะ เห็นภาพล่วงหน้าแล้ว ท่าทางจะรับไม่ไหว”

มันหนักมาก อธิษฐาน 3 ครั้ง ได้รับคำตอบเหมือนกันกับที่เปาโลได้รับ ก็คือพระเจ้าปฏิเสธ ไม่ทำตาม

พระเยซูเลยบอกว่า … “ขอให้เป็นไปตามน้ำพระทัย”

เห็นไหม? พระเยซูยังอธิษฐาน 3 ครั้ง เมื่อจะพบกับภาระหน้าที่ที่หนักหนา เสร็จแล้ว ยอมทำตามน้ำพระทัยพระเจ้า  เกิดเป็นผลดีมากมาย ก็คือยอมตายที่ไม้กางเขน  หลั่งพระโลหิต ถูกฝังไว้ในอุโมงค์ และเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่ 3 ทั้งหมดนี้ เป็นไปเพื่อช่วยเหลือมวลมนุษยชาติให้กลับคืนสู่พระเจ้า  ได้สามารถบังเกิดใหม่  เป็นลูกของพระเจ้า สามารถนั่งอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้าในสวรรค์สถานได้ นั่นไงแผนการของพระเจ้า จึงได้สำเร็จ

เรามาดูเปาโลถาม 3 ครั้งที่จะให้พระเจ้าเอาหนามในเนื้อนี้ออกไป แต่พระเจ้าบอกว่าให้หนามในเนื้อนั้นอยู่อย่างนั้นแหละดีแล้ว แต่บอกว่าพระคุณและฤทธิ์อำนาจของเราจะมีเพียงพอ และมีพอที่จะนำพาเจ้าผ่านพ้นไปได้ และได้ดีด้วย  เป็นผลดีสำหรับแผนการของพระองค์ด้วย …

2 โครินธ์ 12:8-10 “8 ข้าพเจ้าทูลวิงวอนองค์พระผู้เป็นเจ้าสามครั้ง ให้ทรงเอาหนามนี้ออกไปจากข้าพเจ้า 9 แต่พระองค์ตรัสกับข้าพเจ้าว่า “พระคุณของเราเพียงพอสำหรับเจ้า เพื่อว่าฤทธิ์อำนาจของเราจะได้ปรากฏเต็มที่ในความอ่อนแอ” ฉะนั้น ข้าพเจ้าจึงอวดความอ่อนแอของตนด้วยความยินดี เพื่อฤทธิ์อำนาจของพระคริสต์จะได้อยู่ในข้าพเจ้าอย่างเต็มบริบูรณ์ 10 ด้วยเหตุนี้แหละ เพื่อพระคริสต์ ข้าพเจ้าจึงชื่นชมในความอ่อนแอ ในการสบประมาท ในความยากลำบาก ในการกดขี่ข่มเหง ในความยุ่งยาก เพราะเมื่อใดที่ข้าพเจ้าอ่อนแอ เมื่อนั้นข้าพเจ้าก็เข้มแข็ง”

 

 

ข้อ 8 “ข้าพเจ้าทูลวิงวอนองค์พระผู้เป็นเจ้า 3 ครั้ง” วิงวอนไม่ใช่ครั้งละสั้นๆ แล้วก็ไปนะ ถึง 3 ครั้ง เอาใจใส่ อุตสาหะ ทูลขอ จริงจัง  3  ครั้ง ช่วยเอาความทุกข์ยากลำบากเหล่านี้ ไม่รู้อะไร ความทุกข์หนักแน่นอน หนามในเนื้อ  เหมือนที่พระเยซูบอกเอาจอกนี้ออกไป เลื่อนออกไปได้ไหม? ไม่ทำได้ไหม จอกนี้ ก็คือหน้าที่ นี่คือหนามในเนื้อ คือความทุกข์ยากลำบาก ไม่ว่ามันจะเป็นอะไรก็ตาม มันคือความเจ็บปวด มันคือความทุกข์ทรมาน อย่างต่อเนื่อง จึงใช้คำว่าหนาม ทิ่มอยู่ตลอด ให้เอาออกไปได้ไหม?

ข้อ 9 บอกว่า “แต่พระองค์ตรัสกับข้าพเจ้าว่า “พระคุณของเราเพียงพอสำหรับเจ้า” ก็คือ “ไม่” นั่นเอง แต่บอกว่าพระคุณของเราเพียงพอสำหรับเจ้า

“พระคุณ” หมายถึงการบังเกิดใหม่  การได้รับการชำระ เป็นลูกของพระเจ้าที่ได้บังเกิดใหม่  เต็มด้วยสง่าราศี มีวิญญาณที่เหมือนพระเยซูคริสต์ เป็นตัวตนแท้ๆ ของเปาโลและพวกเราทั้งหลายผู้เชื่อ ในวิญญาณเป็นอย่างนั้นจริงๆ แล้วพระเจ้าก็สถิตอยู่ในเรานั่นแหละ และเราก็นั่งอยู่ที่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้า ในสวรรค์สถานแล้ว  พระองค์ทรงสถิตอยู่ในเรานั้น ตรงนี้เพียงพอแล้วสำหรับเปาโล ในการเผชิญความทุกข์ยากลำบากเหล่านั้น

แล้วบอกต่อไปว่า “เพื่อว่าฤทธิ์อำนาจของเราจะปรากฏเต็มที่ในความอ่อนแอ” ตรงนี้สำคัญ ไม่เอาออกไปหรอก แต่ความทุกข์ยากลำบากเหล่านั้น พระคุณของเราเพียงพอสำหรับเจ้า เพื่อว่าฤทธิ์อำนาจที่อยู่ในตัวของเปาโล เพื่อว่าฤทธิ์อำนาจที่อยู่ในตัวของท่านนั่นแหละ ที่ท่านหลับตามองที่กระจกเงา แล้วท่านเห็นว่าตัวของท่านจริงๆ เป็นเหมือนพระเยซู เป็นน้องพระเยซู เต็มด้วยสง่าราศี เต็มด้วยฤทธิ์เดชอำนาจเหมือนพระเยซูเลย  นั่งอยู่ที่เบื้องขวาร่วมกับพระเยซู ด้วยสิทธิอำนาจที่พระเจ้าทรงให้ท่าน ในสวรรค์ก็ดี ในโลกก็ดี แล้วพระเจ้าก็สถิตอยู่ในท่าน เป็นหนึ่งเดียวกันกับท่าน  ตัวนี้คือตัววิญญาณและความคิดจิตใจของท่าน ที่เหมือนพระเยซูเต็มไปด้วยฤทธิ์อำนาจของพระเจ้าที่ทรงสถิตอยู่ในท่านเดี๋ยวนี้แล้ว ในตัวของเปาโลนั่นแหละ มันเป็นอย่างนั้น

และความอ่อนแอเหล่านี้ ความทุกข์ยากลำบากเหล่านี้ เป็นเหตุทำให้ฤทธิ์อำนาจตรงนี้ สำแดงออกมาอย่างเต็มที่ เอเมน ขณะที่ความทุกข์ยากลำบากเกิดขึ้นนั้น  ผู้เชื่อทั้งหลาย จงรับทราบเถิด หลับตาเห็นฤทธิ์เดชอำนาจของการบังเกิดใหม่ของเราในวิญญาณ ที่เหมือนพระเยซู ที่เป็นหนึ่งเดียวกับพระเจ้า  และพระเจ้าสถิตอยู่ในเรา ในร่างกายนี้ ในขณะนั้น ในฤทธิ์เดชอำนาจนี้กำลังปรากฎออกมาเต็มที่ในความอ่อนแอนั้น

เปาโลจึงตอบว่า “ฉะนั้น ข้าพเจ้าจึงอวด” … “อวด” ก็คือยินดีนั่นเอง มีอะไรดีๆ เราก็อยากอวด ภูมิใจ “เพราะฉะนั้น ข้าพเจ้าจึงภูมิใจ  (ใช้คำนี้ก็ได้) จึงอวดด้วยความภูมิใจว่าฉันเป็นคนดี  ฉันเป็นคนเข้มแข็ง ฉันเป็นคนเชื่อฟัง ฉันเป็นคนอธิษฐานเยอะ ไม่ใช่  … ฉะนั้น ข้าพเจ้าจึงอวด ภูมิใจในความอ่อนแอของตน” เราเรียนรู้ไปเมื่อตะกี้ ความอ่อนแอ ก็คือความทุกข์ยากลำบาก ความเครียด ความวิตกกังวล  ความท้อแท้ … “ข้าพเจ้าจึงอวดด้วยความภูมิใจในความท้อแท้ของข้าพเจ้า” มีใครอยากอวดบ้างตรงนี้  เพราะฉะนั้น อวดได้นะ อวดว่าตัวเราเองท้อแท้ แต่ข้างในเราเข้มแข็ง โดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้าที่สถิตอยู่ในเรา … “ข้าพเจ้าจึงอวดความอ่อนแอของตน  อวด ชื่นชม ภูมิใจ ด้วยความยินดี” เห็นไหม? ยินดี เพราะรู้แล้วว่าเพื่อฤทธิ์อำนาจของพระคริสต์จะได้อยู่ในข้าพเจ้าอย่างเต็มบริบูรณ์” เห็นไหม? เพื่อฤทธิ์อำนาจของพระคริสต์ ก็คือเพื่อฤทธิ์อำนาจของพระเยซูคริสต์ ซึ่งสถิตอยู่ในข้าพเจ้า เป็นหนึ่งเดียวกันกับข้าพเจ้า  เป็นศีรษะ ข้าพเจ้าเป็นอวัยวะส่วนหนึ่งในร่างกายของพระคริสต์ เราเป็นหนึ่งเดียวกัน เพื่อฤทธิ์อำนาจของพระคริสต์ ซึ่งมีข้าพเจ้าเป็นส่วนหนึ่งอยู่ในนั้น จะได้ฉายแสงออกมาอย่างครบถ้วนบริบูรณ์ เต็มที่

ข้อ 10 “ด้วยเหตุนี้แหละ เพื่อพระคริสต์ ข้าพเจ้าจึงชื่นชม ในความอ่อนแอ” ตรงนี้ ภาษาเดิมจะมีคำเพิ่มเติมมา คือ “ข้าพเจ้าจึงชื่นชม และมีความยินดีในความอ่อนแอนั้น  ในการถูกสบประมาท”

ใครสบประมาทมา เรายินดีเลย  ยิ้ม ขณะที่ยิ้มไป เจ็บปวดไหมล่ะ อ่อนแอ เจ็บปวด บางครั้งทนไม่ไหว อาจจะเครียด หงุดหงิด ลองอ่านดูในนี้ชัดเจนเลย

“ข้าพเจ้าจึงชื่นชมในความอ่อนแอ และยินดีในการสบประมาท ในความยากลำบาก ในการถูกกดขี่ข่มเหง ในความยุ่งยาก เพราะเมื่อใดที่ข้าพเจ้าอ่อนแอ เมื่อนั้นข้าพเจ้าก็เข้มแข็ง  เมื่อใดที่ข้าพเจ้าอ่อนแอ ฤทธิ์อำนาจที่อยู่ภายใน ซึ่งพลังมหาศาลจะโผล่ออกมาชัดเจนขึ้น”

เห็นไหมครับ? ชัดเจนแจ่มใสเลย  เราสามารถใส่ตรงนี้ เป็นตัวเราได้เลย ถึงบอกว่าประสบการณ์ของเปาโล เรื่องหนามในเนื้อ เป็นตัวอย่างอย่างดีสำหรับพวกเราทุกคน  ผู้เชื่อ ที่จะเผชิญกับความทุกข์ยากลำบาก อย่างนี้เหมือนกัน เราสามารถนะ แต่จะทำหรือยัง ยังไม่รู้นะ แล้วแต่พระวิญญาณจะนำเรา เจริญเติบโตมากขึ้นเท่าไร? เราอาจจะใส่คำนี้ว่า …

“ฉันชื่นชมยินดีในความอ่อนแอของตัวของฉันเอง ในร่างกายนี้ ในการถูกสบประมาท (ต้องเป็นตอนนี้นะ)  คนนั้นก็ว่าฉันไม่ได้เรื่อง คนนี้ก็ว่า ฉันมีความอ่อนแอตรงนั้น ฉันรู้สึกฟ้องผิด ในความทุกข์ยากลำบากในขณะนี้ ถูกผลกระทบของโควิด-19 ตกงาน รายได้ ก็ไม่มี  แถมยังติดเชื้ออีก แถมยังติดเชื้อมากด้วย  คนก็สบประมาทฉันว่า … ‘เชื่อพระเจ้า พระเจ้าอยู่ไหนไม่เห็นมาช่วยเลย  ไหนบอกเชื่อพระเจ้า พระเจ้าอยู่ด้วย อยู่ไหน ทำไมเป็นอย่างนี้’  นี่แหละ คือลักษณะเดียวกันอย่างนี้   ไหนล่ะๆ  นี่คือความยุ่งยากและลำบากในการดำเนินชีวิต บนโลกใบนี้ของคริสเตียน ของคนที่เชื่อแล้ว

แต่ชัยชนะของเราอยู่ที่ภายในร่างกายนี้ คือในวิญญาณของเรา ที่ตะกี้นี้บอกไปแล้ว ฤทธิ์เดชอำนาจอันยิ่งใหญ่ของพระเจ้า กระทำการงานอยู่ในตัวของเราทั้งหลาย ผู้เชื่อ หลับตาลงก็จะเห็นฤทธิ์อำนาจยิ่งใหญ่สูงสุด  พระพรอันนับไม่ถ้วนในสวรรค์สถาน  ที่พระเจ้าได้ทรงประทานให้กับเราเรียบร้อยไปแล้ว  ตั้งแต่วินาทีแรกที่เราเปิดใจต้อนรับพระเจ้า จนถึงวินาทีนี้  เราก็ได้รับพระพรนั้น และเราได้อยู่ในสวรรค์แล้ว และจะอยู่ในสวรรค์นี้ตลอดไป  จนถึงนิรันดร์กาล  เมื่อโลกนี้สิ้นสุดลง มีโลกใหม่เข้ามาแทนที่ เราก็จะอยู่ในสวรรค์นี้เหมือนเดิม แต่มีลักษณะที่เป็นร่างกายใหม่ ร่างกายที่เป็นขึ้นจากความตาย ที่เหมือนพระเยซูคริสต์ ที่เป็นขึ้นจากความตาย เป็นร่างกายที่ไม่มีความเจ็บปวด  เจ็บป่วย ทุกข์กาย ทุกข์ใจ  ไม่มีบาปอีกต่อไป  และอยู่ในโลกใหม่ที่ไม่มีมาร  ไม่มีการหลอกลวง ไม่มีบาปอีกต่อไป  เราจะอยู่ในความสุขจริงๆ อย่างถาวรนิรันดร์ ร่วมกับพระเจ้าของเรา  เป็นครอบครัวของพระเยซูคริสต์ เอเมน

นี่คือวิธีเผชิญกับความทุกข์ยากลำบาก  ความอ่อนแอของเรากับวิถีทางที่พระเจ้าจะช่วยเรา ไม่เหมือนที่เราคิด

มีคำสอน มีทฤษฏีมากมาย ที่บอกว่า … “ถ้าท่านมีความเชื่อมากพอ จะสามารถเปลี่ยนสถานการณ์ทุกอย่างได้”

ท่านคิดอย่างไรกับทฤษฏีเหล่านี้ “ถ้าท่านมีความเชื่อมากพอนะ จะสามารถเปลี่ยนสถานการณ์ทุกอย่างบนโลกใบนี้ได้” แต่ความจริง ก็คือพระเจ้าไม่เคยสัญญาว่าจะเปลี่ยนแปลงสถานการณ์ สิ่งที่พระเจ้าสัญญาและได้ทรงกระทำสำเร็จแล้ว ก็คือพระองค์ได้ประทานความคิด จิตใจใหม่ที่เหมือนพระคริสต์ ตามพันธสัญญาใหม่ ท่ามกลางสถานการณ์เลวร้ายบนโลกใบนี้ ที่เต็มไปด้วยความทุกข์ยากลำบากอยู่แล้ว พระองค์ทรงจัดเตรียมให้เรียบร้อยแล้ว ในพระคริสต์ ก็คือในพระคริสต์ เรามีวิญญาณใหม่ มีความคิดจิตใจที่เหมือนพระคริสต์อยู่ สถานการณ์ต่างๆ อาจเปลี่ยน หรืออาจไม่เปลี่ยน แต่สิ่งที่ควรเปลี่ยน คือความคิด เปลี่ยนความต้องการของเรา ให้เป็นไปตามความประสงค์ของพระองค์ ให้เป็นไปตามความคิด จิตใจ ที่เหมือนพระคริสต์ ที่พระเจ้าได้ประทานให้กับเราเรียบร้อยแล้ว  ตอนที่เราบังเกิดใหม่ และอยู่ภายในเราเรียบร้อยแล้ว

เพราะฉะนั้น จงเปลี่ยนโปรแกรมความคิดเดิมๆ ของเรา ที่อยู่ในสมองของเรา  ตอนก่อนที่จะมาเชื่อพระเจ้า  จากความคิดเดิมๆ ที่เรามักต้องการให้พระเจ้าช่วยเปลี่ยนแปลง สถานการณ์ให้เป็นไปตามที่เราอยากได้ เปลี่ยนมาเป็นเชื่อวางใจที่จะมอบสถานการณ์ความทุกข์ยากลำบากเหล่านั้น ให้พระเจ้าเป็นผู้นำพาเราผ่าน  แค่เรามั่นใจว่าพระเจ้าอยู่ด้วย  พระองค์นำหน้าอยู่ในชีวิตเรา และพระองค์ทรงสถิตอยู่ในเรา แค่นั้น เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด สำหรับเราผู้ที่เชื่อในพระองค์ และควรที่จะเปลี่ยนแปลงความคิดเดิมๆ  เป็นความคิดใหม่อย่างนี้ แล้วเราก็จะรับรู้ และเข้าใจอย่างนี้ ลึกซึ้งถึงพระคุณและฤทธิ์เดชอำนาจที่แท้จริงของพระเจ้า ซึ่งอยู่ในเราตลอดเวลาแล้ว ตั้งแต่เราเริ่มเปิดใจเชื่อในพระเยซูคริสต์

เพราะฉะนั้น ไม่ว่าสถานการณ์รอบด้าน จะเป็นเช่นไร เมื่อเราเปลี่ยนแปลงความคิดจิตใจเราอย่างนี้  ให้เป็นไปตามน้ำพระทัยพระเจ้าอย่างนี้  เราก็จะเกิดความอดทน รอคอย มองไปที่สิ่งที่มองไม่เห็น ก็คือต้องหลับตา ไม่สนใจในสิ่งที่มองเห็นในสถานการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้น

สถานการณ์ติดเชื้อโควิด เราก็มองเห็น  สถานการณ์ที่เงินเดือนไม่มี เราก็มองเห็น  สถานการณ์ที่อดๆ อยากๆ เงินไม่พอใช้ เราก็มองเห็น สถานการณ์ที่ทะเลาะกัน วิวาทกัน เห็นแก่ตัว แย่งกัน เราก็เห็น สถานการณ์ที่เราเครียดอยู่ เราวิตกกังวล ท้อแท้ใจ ไม่มีกำลังใจในการดำเนินชีวิตอยู่ เราก็เห็น

เพราะฉะนั้น หลับตาสิ เราจึงจะเห็นในสิ่งที่ตามองไม่เห็น หลับตาปุ๊บ เราเห็นถ้อยคำพระเจ้าที่บอกเราไว้  เราเรียนรู้จากถ้อยคำพระเจ้าแล้วว่าเราเป็นใครในพระเยซูคริสต์ เราเป็นลูกพระเจ้า เรามีวิญญาณที่บังเกิดใหม่ เป็นวิญญาณเดียวกับพระเยซูคริสต์ และความคิดจิตใจใหม่ที่เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์ และเรานั่งอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้า ในสวรรค์สถานร่วมกับพระเยซูคริสต์ เราเป็นลูกของพระองค์ เป็นทายาทของพระองค์ พระองค์สถิตอยู่กับเรา คอยนำพาชีวิตตลอดเวลา ทุกลมหายใจเข้าออก หายใจเข้าก็เป็นพระคริสต์ หายใจออกก็เป็นพระคริสต์ ไปไหนก็อยู่กับพระคริสต์ เดินไปไหน ก็เป็นพระคริสต์ เผชิญกับโควิด-19 หรือผลกระทบจากโควิด-19 ก็เผชิญกับพระคริสต์ ว่ากันตามจริง ไม่ได้เผชิญกับพระคริสต์ คือพระคริสต์นำหน้า เราเดินตาม

ต้องใช้วิธีหลับตาลง แล้วดูในถ้อยคำพระเจ้าที่บอกไว้ ไม่ว่าสถานการณ์จะเป็นอย่างไร? ก็ตามพระเจ้าต้องการเป็นที่พึ่งของเรา เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด เพราะพระองค์สถิตอยู่ในเรา และพระองค์ทรงรู้ว่าเป็นสิ่งที่ดี เพราะพระองค์ชนะโลกใบนี้เรียบร้อยแล้ว ให้เรารับรู้ ให้พระองค์เป็นหนึ่งอยู่ในใจตลอดเวลา พระองค์อยากจะเป็นที่ปรึกษา เป็นผู้นำทางในชีวิต ทุกเสี้ยววินาทีของเรา พระเจ้าต้องการให้เราซึมซับเอาพระประสงค์ของพระเจ้าตรงนี้ เข้ามาเปลี่ยนแปลงความคิดจิตใจเดิมของเรา ให้เข้าใจอย่างถ่องแท้ ถึงพระคุณความรักของพระเจ้าที่อยู่ในเรา ที่พระองค์ทรงเทใส่เข้ามาในเรา ผ่านทางพระวิญญาณบริสุทธิ์ ให้รู้ถึงความรักที่อยู่ภายในเรา  เป็นฤทธิ์อำนาจอันยิ่งใหญ่สูงสุดแล้ว

เพราะฉะนั้น เปลี่ยนแปลงความคิดจิตใจเดิม โปรแกรมเดิมๆ เสียใหม่ ที่จะพึ่งพาตนเอง ที่จะคิดด้วยตนเองว่าสถานการณ์นี้มันน่าจะเปลี่ยนอย่างนี้ มันน่าจะเป็นอย่างนี้ ด้วยเหตุผลของมนุษย์อะไรต่างๆ น่าจะเป็นอย่างนี้ น่าจะเป็นอย่างนั้น ตัดสินใจมอบให้พระเจ้า นึกถึงที่เปาโลอธิษฐาน 3 ครั้ง  นึกถึงที่พระเยซูอธิษฐาน 3 ครั้ง เราจะอธิษฐานกี่ครั้งไม่รู้ ก็ว่าไป แต่สุดท้ายแล้ว ขึ้นอยู่กับพระองค์ มอบให้พระองค์ตัดสิน ในโรม 5:1-5 ก็ได้บันทึกอย่างนี้เช่นเดียวกันว่า …

โรม 5:1-5 “1 “เหตุฉะนั้น เมื่อเราได้เป็นคนชอบธรรม (ได้บังเกิดใหม่ในพระคริสต์) โดยความเชื่อแล้ว ก็ให้เราชื่นชมยินดี มีสันติสุข (ที่ได้กลับคืนดีกัน) กับพระเจ้า ผ่านทางพระเยซูคริสต์ องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา 2 โดยทางพระองค์ เราจึงได้เข้าในร่มพระคุณ ที่เรายืนอยู่ โดยความเชื่อ ให้เราชื่นชมยินดี ในความหวังใจ (ที่มีหลักฐานประกัน ที่มั่นคงแน่ใจ) ว่าเราได้มีส่วนในสง่าราศี (มีส่วนในพระสิริของพระเยซูคริสต์ มีส่วนในชีวิตนิรันดร์ของพระองค์) 3 และไม่ใช่เพียงเท่านี้   แต่ให้เราชื่นชมยินดี    ในความทุกข์ยากลำบากด้วย   เพราะเรารู้ว่าความทุกข์ยาก (ความกดดัน ท้อแท้ ลำบาก เครียด) นั้น ทำให้เกิดความอดทน และความอดทน ทำให้เกิดความทรหด 4 ความทรหด ผ่านประสบการณ์ ความทุกข์ยากต่างๆ ทำให้เกิดอุปนิสัยที่เจริญเติบโตเป็นผู้ใหญ่ในฝ่ายวิญญาณ ที่ผ่านการทดสอบแล้ว ทำให้ความหวังใจในความรอดนิรันดร์ ในพระเยซูคริสต์ ที่ได้รับแล้วนั้น มีหลักฐานที่มั่นคงชัดเจนแน่ใจ 5 และความหวังใจนี้ ไม่เคยทำให้เราผิดหวังเลย เพราะว่าเราได้รับความรักของพระเจ้าอย่างเหลือล้น ท่วมท้นอยู่ในวิญญาณและจิตใจของเราแล้ว โดยผ่านทางพระวิญญาณบริสุทธิ์ ซึ่งพระองค์ได้ประทานให้แก่เราแล้ว (ตั้งแต่เริ่มเชื่อ และได้บังเกิดใหม่)”

 

อาจารย์เปาโลเขียนตรงนี้  เพื่อให้เราได้เห็นชัดเจนว่าเราควรจะปฏิบัติตัวอย่างไร และตอบสนองอย่างไรต่อความทุกข์ยากลำบาก? บนโลกใบนี้ที่เราเจอแน่ๆ 100% ไม่ว่าจะเชื่อพระเจ้าหรือไม่เชื่อ ก็ต้องเจอ เราควรจะมีท่าทีอย่างไร?

ข้อ 1 “เหตุฉะนั้น เมื่อเราได้เป็นคนชอบธรรม”  … “คนชอบธรรม” ก็คือคนที่ได้บังเกิดใหม่ในพระคริสต์ เชื่อแล้วได้บังเกิดใหม่ ได้คืนดีกับพระเจ้าแล้ว ผ่านทางพระเยซูคริสต์

ข้อ 2 “โดยทางของพระเยซูคริสต์ โดยทางพระองค์ เราจึงได้เข้าในร่มพระคุณที่ยืนอยู่ โดยความเชื่อ ให้เราชื่นชมยินดีในความหวัง” … “ในความหวังใจ” นี้ เป็นความหวังใจที่มันเกิดขึ้นแล้วนะ ไม่ใช่ความหวังใจแบบมนุษย์ที่หวังใจ หวังว่าจะมีอะไรเกิดขึ้น  ไม่ใช่ มันมีอะไรเกิดขึ้นแล้ว  เรียบร้อยแล้ว มีหลักประกันมั่นคงแน่ใจแล้ว เรามีความหวังใจตรงนั้น

เหมือนที่เราบอกว่าเรามีที่ดินอยู่แปลงหนึ่ง เราไม่ไปเห็น แต่เรามีความมั่นใจ เพราะว่าเราถือโฉนดไว้ในมือแล้ว  เพราะฉะนั้น เราก็มีความหวังใจว่าวันหนึ่งเราจะไปสร้างบ้านที่ที่ดินนั้น เห็นหรือยัง? ไม่เห็นที่ดิน แต่รู้ได้อย่างไร? เป็นความหวังใจที่โฉนดอยู่ในมือแล้ว  ความหวังใจตรงนี้ หมายถึงความหวังใจลักษณะนี้ มีร่องรอย หลักฐานที่แน่ใจมั่นคง

ในนี้บอกว่าในความหวังใจ มีหลักฐานอันมั่นคง แน่ใจว่าเราได้มีส่วนในสง่าราศี ก็คือมีส่วนในพระสิริของพระเยซูคริสต์ มีส่วนในชีวิตนิรันดร์ของพระองค์ ก็เหมือนตะกี้ที่บอก หลับตาต่อหน้ากระจกเงา ท่านลืมตาต่อหน้ากระจกเงา ก็จะเห็นร่างกายตัวเองที่ทรุดโทรมไปทุกวัน ที่เสื่อมโทรมไปสู่ความตายขึ้นทุกวัน สิว ฝ้าขึ้นทุกวัน กระขึ้นทุกวัน เริ่มแก่ไปทุกวันๆ แต่หลับตา เราจะเห็นภายในร่างกายของเรานั่น เป็นวิญญาณที่เต็มไปด้วยพระสิริของพระเยซูคริสต์ เป็นส่วนหนึ่งของชีวิตนิรันดร์ของพระเยซูคริสต์ มีสง่าราศีเหมือนพระเยซูคริสต์ ก็คือวิญญาณของเรา พร้อมด้วยความคิดจิตใจที่เหมือนพระเยซูทันที เมื่อหลับตาเห็น

ข้อที่ 3 จึงบอกว่าและไม่ใช่เพียงเท่านี้ ดีใจ ยินดีว่าตัวจริงๆ ของเราบังเกิดใหม่แล้ว  เป็นเหมือนพระเยซู ทั้งวิญญาณและความคิดจิตใจเป็นเหมือนพระเยซูเลย เต็มด้วยสง่าราศี  ไม่ใช่ยินดี เฉพาะแค่นั้น แต่ให้เราชื่นชมยินดี

“ให้เรา” ชวนพวกเราผู้เชื่อทั้งหลาย  เมื่อเห็นอย่างนั้นแล้ว  ไม่ใช่ชื่นชมยินดีตอนที่ได้เป็นลูกของพระเจ้า  มีส่วนในพระสิริของพระเจ้า พระเยซูคริสต์เท่านั้น แต่ให้เราชื่นชมยินดีในความทุกข์ยากลำบากด้วย  ให้เราชื่นชมยินดีในความอ่อนแอของเราด้วย ให้เราชื่นชมยินดีในหนามในเนื้อของเราด้วย  หนามในเนื้อของแต่ละท่าน ก็ไม่เหมือนกันนะ ไม่จำเป็นต้องมาก๊อปปี้กัน ใครรับได้เท่าไร พระเจ้าทรงทราบ เพราะเรารู้ว่าความทุกข์ยากลำบาก  ความกดดัน ความท้อแท้ ความลำบาก ความเครียดนั้น ทำให้เกิดเป็นผลดี คือเกิดความอดทน พอเรามีความหวังใจ หลับตา เราเห็นอะไรที่เกิดขึ้นในโลกวิญญาณ เราเห็นตัวเราเองเป็นใครจริงๆ ในโลกวิญญาณ พอเกิดความทุกข์ยากลำบาก เกิดความท้อแท้ เครียด มันทำให้เราเกิดความอดทนได้  และความอดทนนี้ ทำให้เกิดความทรหด เริ่มจากอดทน อดทนได้มากขึ้น เขาเรียกว่าทรหด ลำบากเท่าไร ก็ไปได้

ข้อ 4 บอกว่าความทรหด ผ่านประสบการณ์มากๆ ประสบการณ์ความทุกข์ยากลำบากต่างๆ ทำให้เกิดอุปนิสัย ที่เจริญเติบโตทางฝ่ายวิญญาณ เป็นผู้ใหญ่ในฝ่ายวิญญาณ ที่ผ่านการทดสอบแล้ว  ไม่ใช่โตแต่ความรู้พระเจ้าอย่างเดียว  แต่ไม่เคยผ่านประสบการณ์จริงๆ เลย  ประสบการณ์จริงๆ คือ ประสบกับความทุกข์ยากจริงๆ  นี่แหละ เขาเรียกประสบการณ์แห่งหนามในเนื้อ ไม่ใช่แค่เรียนเท่านั้นเอง  แต่เรียนรู้ผ่านประสบการณ์ เมื่อเรียนรู้ผ่านของจริงแล้ว ได้ถูกทดสอบแล้ว นั่นแหละเป็นผู้ใหญ่ของแท้ๆ  อาจารย์เปาโลอธิบายให้ฟังชัดมาก

เมื่อเจริญเติบโตเป็นผู้ใหญ่ในฝ่ายวิญญาณ ผ่านการทดสอบแล้วนั้น ทำให้ความหวังใจที่มีอยู่ เกี่ยวกับความรอดในพระเยซูคริสต์ ที่ตะกี้นี้ ที่บอกเราเป็นวิญญาณที่ได้รับส่วนชีวิตนิรันดร์ของพระเยซู นั่งอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้ากับพระเยซูคริสต์ นั่งอยู่ในสวรรค์สถานแล้ว เราอยู่กับพระเจ้าในสรรค์แล้วนั้น ความหวังใจที่มันเป็นอย่างนี้แล้วนั้น  เห็นชัดเจนแล้ว มันชัดเจนยิ่งขึ้น  ทำให้ความหวังในใจความรอดนิรันดร์ในพระคริสต์ ที่ได้รับแล้วนั้น มีหลักฐานที่มั่นคง ชัดเจน แน่ใจมากขึ้น แสดงว่าความอ่อนแอ หนามในเนื้อ ความทุกข์ยากลำบาก ทำให้ความชัดเจน  ในการหลับตาและมองเห็นตัวเองเป็นใครในพระเยซูคริสต์ มันชัดเจนยิ่งขึ้นนั่นเอง

ข้อ 5 จึงบอกไว้อย่างนี้ว่า “และความหวังใจนี้ ไม่ทำให้เราผิดหวังเลย” ความหวังนี้ คือหลับตา แล้วเห็นอะไร? เห็นว่าตัวเราเองเป็นเหมือนพระเยซู เห็นว่าเรานั่งอยู่กับพระเยซูในสวรรค์สถานแล้ว  และความหวังใจ ไม่เคยทำให้เราผิดหวังเลย  เพราะว่าเราได้รับความรักจากพระเจ้าอย่างเหลือล้น ท่วมท้นอยู่ในวิญญาณและจิตใจของเราแล้ว

พูดง่ายๆ ว่าเราได้รับมัดจำไปเรียบร้อยแล้ว  คือเราได้รับแล้ว ไม่ทำให้เราผิดหวังเลย เพราะว่าเราได้รับความรักจากพระเจ้า ที่พระองค์ใส่เข้ามาตอนที่ให้เราได้บังเกิดใหม่ ตอนที่ให้เรารับเชื่อในพระเจ้า  พอเรารับเชื่อในพระเจ้า ประทานพระวิญญาณบริสุทธิ์เข้ามา ทำให้เราบังเกิดใหม่ เราบังเกิดใหม่ด้วยวิญญาณที่เป็นเหมือนพระเยซู และวิญญาณนี้ เป็นวิญญาณที่มาจากพระเจ้า ประทานให้พระเยซู และพระเยซูแบ่งให้กับเรา เป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของเราที่บังเกิดใหม่ และวิญญาณตัวนี้ เป็นวิญญาณความรัก เหมือนแหล่งที่มา เหมือนพระเจ้านั่นเอง  พูดง่ายๆ ว่าเราเป็นความรักนั่นเอง  อยู่ที่วิญญาณและจิตใจเราเรียบร้อยไปแล้ว

เพราะฉะนั้น ที่วิญญาณและจิตใจของเรา  มีพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า คอยย้ำยืนยันให้กับเรา เป็นมัดจำในวิญญาณของเราว่าเราเป็นลูกของพระเจ้า  เป็นทายาทของพระองค์ เราเป็นใครในพระเยซูคริสต์ เป็นจริงอย่างนั้น  คอยกระตุ้นเตือนเราอยู่ตลอดเวลา  ทำให้เรามีความมั่นใจมากยิ่งขึ้น

ดังนั้น ไม่ว่าสถานการณ์รอบด้าน ที่เราเผชิญอยู่จะเป็นอย่างไร?  วันนี้ หรือวันข้างหน้า จะเกิดอะไรขึ้น ให้สิ่งที่เราเรียนรู้วันนี้  ฝังรากลึกลงไปที่ความคิดจิตใจของเรา  อันเดิมของเรา เปลี่ยนแปลงมันซะว่าพระเจ้าเป็นที่พึ่ง  ที่ปรึกษา และผู้ที่สามารถนำพาเราผ่านทุกๆ สถานการณ์ ทุกๆ ปัญหา ทุกๆ ความทุกข์ยากลำบาก ได้อย่างดี เกินกว่าที่เราจะสามารถคิดหรือเข้าใจได้ พระองค์จะคอยเป็นที่ปรึกษา เป็นสติปัญญา เป็นกำลัง คอยปลอบโยน จูงมือเราเดิน พระองค์ต้องการสำแดงให้เราได้เห็นว่าพระองค์ทรงรักเราขนาดไหน? และความรักที่พระองค์ใส่ลงมาอยู่ในวิญญาณของเรานั้นเป็นอย่างไร? เยอะขนาดไหน? ใหญ่ขนาดไหน? และพระองค์เป็นใคร? เราเป็นใคร?  พระองค์ทรงอยู่ในเราท่ามกลางสถานการณ์เลวร้ายของโลกใบนี้นั้น  พระองค์ทรงอยู่กับเราตลอดเวลา  และพระองค์ต้องการให้ ไม่ใช่เรารับรู้อย่างเดียว  แต่พระองค์ต้องการให้โลกได้เห็นความยิ่งใหญ่ การทรงสถิตอยู่ของพระองค์ ในเราด้วย  โดยผ่านทางการดำเนินชีวิตของเรา นี่มันหมายถึงอย่างนี้

เพราะฉะนั้น หน้าที่ของเรา คือเชื่อ วางใจในพระเจ้า หลับตาเดิน หลับตาแล้วเห็นพันธสัญญาใหม่ พันธสัญญาที่พระเจ้าบอกว่าเราเป็นใครในพระเยซูคริสต์ ที่พระองค์กระทำสำเร็จเรียบร้อยแล้วบนไม้กางเขน ที่พระองค์บอก … “สำเร็จแล้ว” … อะไรสำเร็จบ้างในโลกวิญญาณ เกี่ยวกับชีวิตของเราที่ได้บังเกิดใหม่  ในพระเยซูคริสต์

ยกตัวอย่างเช่นว่าวางไว้บนความเชื่อ หลับตาให้เห็นว่าเราเป็นลูกพระเจ้า เราได้บังเกิดใหม่แล้ว พระเจ้าสถิตอยู่กับเรา  วิญญาณเรากับวิญญาณพระเยซูเป็นวิญญาณเดียวกัน  เราได้นั่งอยู่กับพระเจ้าในสวรรค์สถานแล้ว พระเจ้าสถิตอยู่กับเรา เป็นใหญ่กว่ามันทั้งหลายที่อยู่ในโลก ไม่ว่าสถานการณ์จะเป็นเช่นไร เรารู้ว่าพระเจ้านำพาเราผ่านไปได้  เรารู้อนาคตของเราว่าเราจะอยู่กับพระเจ้าอย่างนี้ ในสวรรค์สถานนิรันดร์  ด้วยร่างกายใหม่ที่พระองค์ทรงจัดเตรียมไว้ให้ เป็นร่างกายที่ไม่ต้องเจ็บปวด เจ็บป่วย  เป็นร่างกายที่เหมือนพระเยซูคริสต์ ตอนเป็นขึ้นจากความตาย

แล้วก็มอบสถานการณ์ต่างๆ บนโลกนี้  ทุกอย่างที่ตามองเห็นทั้งหลาย  ที่พอลืมตา มันมองเห็น สถานการณ์ต่างๆ ความทุกข์ยากลำบาก ความเครียด ความเบื่อหน่าย ความเจ็บป่วย ความยากจน ความขัดสน ที่เกิดขึ้นบนโลกใบนี้ ไม่ว่าจะเป็นโควิด หรือเป็นความทุกข์ยากลำบากอื่นๆ ที่จะเข้ามาอีก อะไรต่างๆ เหล่านั้น  สงคราม เป็นอะไรก็ตาม สิ่งเหล่านั้นทั้งหมด  มอบให้พระองค์เป็นผู้ตัดสินใจ  ไม่ใช่หน้าที่เราแล้ว  พระองค์ไม่ได้สัญญาสิ่งเหล่านั้นไว้  แต่ที่หลับตามองเห็นในพระเยซูคริสต์ พระองค์ทรงสัญญา และพระองค์ทรงทำสำเร็จเรียบร้อยแล้ว เราไปรับเอาได้เลย พระพรนานับประการ ในโลกวิญญาณ ในสวรรค์สถานต่างๆ ที่พระองค์ทรงประทานให้ ไปรับได้เลย พระองค์ทรงสถิตอยู่กับเราไปรับได้เลย  พระองค์ทรงเป็นความรัก ไปรับได้เลย

แต่สถานการณ์บนโลกใบนี้จะเป็นเช่นไร จะเปลี่ยนแปลงไปตามที่เราต้องการหรือไม่? ไม่รู้ แล้วแต่พระเจ้า  แต่เราสามารถอธิษฐาน วิงวอน ขอบพระคุณ ปรึกษาพระเจ้า อยากให้ตรงนี้เปลี่ยน อยากให้ตรงนั้นเปลี่ยน อยากให้ตรงนี้เป็นอย่างนั้น  พูดได้หมดเลย  คุยกับพ่อของเรา สนิทสนมกันเลย  ลูกไม่ไหวแล้ว ก็เหมือนอาจารย์เปาโล เหมือนพระเยซูยังพูดเลย เราอาจจะพูดไม่ใช่ 3 ครั้ง อาจจะพูดเกิน 3 ครั้ง เป็น 30 ครั้ง เป็น 300 ครั้งก็ได้ แต่จบสุดท้าย ก็คือ …

“แล้วแต่พระเจ้า ลูกรู้ว่าพระองค์ทรงมีหนทางที่ดีกว่า”

ไม่ใช่ปรึกษาไม่ได้ ไม่ใช่พูดไม่ได้ พูดได้ … “ขอให้ตรงนี้เปลี่ยนไปเลย ขอให้ตรงนั้นเปลี่ยนไป ลูกไม่ไหวแล้ว  ถ้าจะตกงานขนาดนี้ ไม่มีเงินใช้  จะทำอย่างไร? ช่วยลูกด้วยเถิด ขายของตรงนี้ ต้องขายให้ได้ ถ้าขายไม่ได้อดตายแน่ๆ อย่างไรต้องขายให้ได้”

สรุปสุดท้ายก็คือ … “จะขายได้ไม่ได้  ลูกฝากไว้ที่พระองค์ แล้วแต่พระองค์” อย่างนี้เป็นต้น

ไม่ใช่ … “ออกไปไหน พระเจ้าปกปักษ์คุ้มครองดูแล อย่าให้ติดเชื้อโควิด” แล้วก็ออกไป แล้วก็อธิษฐานตลอดเวลา  “ฉันต้องไม่ติดโควิด พระเจ้าไม่ให้ฉันติดโควิดหรอก”

พระเจ้าไม่ให้ท่านติดโควิดได้อย่างไร? ก็ทั้งโลก คนที่เป็นคริสเตียนก็ติดโควิดกันตั้งเยอะแยะมากมาย แล้วท่านเป็นใคร? มันมีแฟคเตอร์อีกหลายอย่างที่ทำให้ท่านติดหรือไม่ติดอะไรต่างๆ เหล่านั้น เยอะแยะมากมายไปหมดเลย ที่พระองค์ทรงควบคุมดูแลได้ว่าอะไรมันออกมาเป็นผลดีที่สุด สำหรับใครแต่ละคน ไม่เหมือนกัน เพราะฉะนั้น มอบให้กับพระองค์ไปเถิด อย่าไปวิตกกังวล มัวแต่ไปจดจ่อที่มองเห็นนั้น  พยายามจะเปลี่ยน พยายามจะแก้ พระองค์อาจจะมีวิธี ไม่ใช่อาจ มีวิธีแน่นอน พระองค์มีวิธีที่ดีกว่านี้อีก ดีกว่าที่ท่านคิดเยอะ เพราะฉะนั้น สามารถที่จะคุยกับพระเจ้าได้ทุกเมื่อตลอดเวลา แต่มอบการตัดสินใจไว้ที่พระองค์ ให้พระองค์เป็นผู้ตัดสินใจดีกว่าพูดง่ายๆ

เราอาจถามพ่อแห่งฟ้าสวรรค์ตอนนี้ ขณะนี้ได้ เมื่อเราเรียนมาถึงตรงนี้แล้วว่า …

“พระเจ้าอยู่ที่ไหน? ลูกกำลังประสบกับความทุกข์ยากลำบากมากเหลือเกินในขณะนี้”

เราถามได้ เรามีสิทธิ์ถาม  และเพระเจ้าก็อยากให้ถาม ให้เราสนิทกับพระองค์ …

“พ่อลูกกำลังทุกข์ลำบากมากเลย กำลังวิตกกังวลมาก  กำลังท้อแท้เหลือเกิน ความเชื่อถดถอยมาก ช่วยลูกด้วยเถิด ขณะที่ลูกกำลังท้อแท้ ถดถอยด้วย พ่ออยู่ที่ไหน? พระเจ้าของลูกอยู่ที่ไหน?”

พระเจ้าก็จะตอบเราเหมือนในอิสยาห์ 41:10 ว่า …

อิสยาห์ 41:10  “อย่ากลัวเลย เพราะพ่ออยู่กับลูก อย่าท้อแท้ เพราะพ่อเป็นพระเจ้าของลูก พ่อจะทำให้ลูกเข้มแข็งขึ้น และจะช่วยลูก พ่อจะชูเจ้าไว้ ด้วยมือขวาอันชอบธรรมของพ่อ (คือพระเยซูคริสต์)

 

เราอาจจะวิงวอนต่อพระเจ้า พ่อของเรา … “พ่อ เงินเดือนๆ นี้ก็ไม่มีเลย แล้วจะอยู่อย่างไร? ลูกไม่พอใช้ ต้องจ่ายค่าโน่น ค่านี่”

หรืออาจจะบอกกับพ่อว่า … “ลูกไม่มีแรงจะไปทำงานแล้ว หมดแรง เพราะลูกเจ็บป่วยตรงนี้อยู่ตั้งนานแล้ว รักษาไม่หายสักที”

หรือ … “พ่อ ลูกนอนไม่หลับมาหลายเดือนแล้ว ลูกก็พยายามเต็มที่ ทั้งอธิษฐาน ปรึกษาพ่อตลอด พ่ออยู่ที่ไหน?”

พระเจ้าก็ตอบเรา  เหมือนในหนังสือฮีบรู 13:5 พระเจ้าก็ตอบว่า …

ฮีบรู 13:5 “จงพอใจในสิ่งที่ลูกมี ลูกเป็นอยู่ในขณะนี้ พ่อสัญญากับลูกว่า “พ่อจะไม่มีวันทอดทิ้งลูกเหมือนเด็กกำพร้า พ่อจะไม่มีวันละทิ้งลูกให้อยู่ตามลำพัง”

 

และเมื่อได้ยินถ้อยคำของพระเจ้า พ่อของเราอย่างนี้แล้ว เราที่เป็นลูก ก็สามารถตอบได้อย่างมั่นใจ ฮีบรู  13:6  ว่าอย่างนี้ …

ฮีบรู 13:6 “องค์พระผู้เป็นเจ้า พ่อของลูก ทรงเป็นผู้ช่วยเหลือลูก ลูกจะไม่กลัว ความทุกข์ทรมานที่เกิดขึ้น ใครจะทำอะไรฉันได้เล่า?”

 

สรรเสริญพระเจ้า และขอบคุณพระบิดา ผู้ทรงสถิตอยู่ในสวรรค์สถาน พระเจ้าผู้ทรงสร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก พระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่สูงสุด พระเจ้าผู้ทรงเที่ยงแท้แต่เพียงพระองค์เดียว นอกจากพระองค์ไม่มีพระเจ้าอื่นใด  ผู้ทรงเป็นพระเจ้าที่ตรัสไว้ว่าพระองค์ทรงประกอบกิจการงานใด ไม่มีใครขวางพระองค์ได้ หมายถึงพระองค์ทรงทำทุกสิ่งทุกอย่างได้ และพระองค์ทรงรักเราทั้งหลาย ลูกของพระองค์ และพระองค์ทรงสถิตอยู่ในเราแล้ว และจะโอบกอดเรา อุ้มเรา ยกเรา แบกเราไว้บนบ่าของพระองค์ ไปจนถึงนิรันดร์ ไม่มีอะไรทำร้ายเราได้เลย  แม้แต่นิดเดียว  ไม่มีสถานการณ์ใด ความทุกข์ยากลำบากใดๆ มารซาตาน หรือสิ่งใดสามารถทำอันตรายเราได้เลย  หรือจะมาเอาเราออกจากพระหัตถ์อันทรงฤทธิ์ของพระองค์ไปได้ ออกจากฝ่ามือของพระองค์ไปได้ ไม่มีสิ่งใดมาแยกหรือพรากเราออกจากความรักของพระเจ้า ที่ทรงเทลงมาอยู่ในวิญญาณของเราเรียบร้อยแล้วในพระคริสต์ได้เลย พระองค์ทรงกระทำให้สำเร็จแล้ว และพระองค์ทรงตรัสเช่นนี้ ให้เรามีความมั่นใจเถิด ขอบคุณพระเจ้า   พระเจ้าอวยพรครับ

 

*************************

 

จากใจคณะศิษยาภิบาล

 

บางครั้งพระเจ้าทำให้พายุสงบ แล้วจูงมือเราเดินผ่านอย่างอัศจรรย์ แต่หลายครั้ง พระเจ้าทำให้เราสงบ แล้ว “แบกเราขึ้นบ่า” ผ่านพายุที่โหมกระหน่ำ อย่างอัศจรรย์มากยิ่งกว่า

 

พระเจ้าตรัสว่า … “อย่ากลัวเลย! เราจะไม่ละเจ้า หรือทอดทิ้งเจ้าเลย เราอยู่กับเจ้าในยามทุกข์ยากลำบาก จงมองให้เห็นเถิด! เราโอบกอดเจ้าอยู่ตลอดเวลา ไม่มีอะไรทำอันตรายทำร้ายเจ้าได้  แม้ว่าความเชื่อของเจ้าจะสั่นคลอน เปลี่ยนแปลงไปตามสถานการณ์ที่เลวร้าย แต่ความรักของเราที่มีต่อเจ้าไม่มีวันสั่นคลอนเปลี่ยนแปลงเลย ฉะนั้น อย่ากลัวเลยลูก! เรารักเจ้า”

 

“จงนิ่งเสีย และรู้เถิดว่าเรา คือพระเจ้า เราเป็นที่ยกย่องท่ามกลางบรรดาประชาชาติ เราเป็นที่ยกย่องในแผ่นดินโลก” พระยาห์เวห์จอมทัพสถิตกับเราทั้งหลาย พระเจ้าของยาโคบทรงเป็นที่กำบังอันแข็งแกร่งของเรา เส-ลาห์”   (สดุดี 46:10-11)

 

เมื่อเราต้อนรับพระเยซูแล้ว เราได้รับการบังเกิดใหม่เป็นลูกของพระเจ้า ที่บริสุทธิ์สะอาดปราศจากบาปทันทีเช่นเดียวกัน

 

“พระองค์​ได้​ช่วย​ให้​เรา​รอด ไม่​ใช่​ เพราะ​เรา​ทำดี  แต่​เป็น ​เพราะ​ความ​เมตตา​กรุณา​ของ​พระองค์​ต่างหาก พระองค์​ได้​ชำระ​ล้าง​เรา ซึ่ง​ทำ​ให้​เรา​เกิด​ใหม่ และ​ถูก​สร้าง​ขึ้น​มา​ใหม่ ​ด้วย​ฤทธิ์เดช​ของ​พระวิญญาณ​บริสุทธิ์”  (ทิตัส 3:5 THA-ERV)

 

พระเจ้าอวยพรครับ

 

 

วารสาร Holy News ฉบับที่ 1317

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  20  มิถุนายน  2021

 เรื่อง “ทำไมพระเจ้าอนุญาตให้สิ่งเลวร้ายเหล่านี้  เกิดขึ้นกับฉัน”

โดย นคร  เวชสุภาพร

 

หัวข้อเรื่องในวันนี้ คือ “ทำไมพระเจ้าอนุญาตให้สิ่งเลวร้ายเหล่านี้ เกิดขึ้นกับฉัน” ฟังถ้อยคำแห่งความจริงวันนี้แล้ว จะทำให้ท่านเป็นไท เป็นอิสระ สามารถดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ท่ามกลางอุปสรรค ปัญหา ความเลวร้ายต่างๆ เหล่านี้ ด้วยสันติสุขและความสงบสุขตลอดไปเลย

มนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้ ขณะนี้ ก็ประสบปัญหาความทุกข์ยากลำบากเหมือนกันหมด ไม่ว่าจะเป็นคริสเตียน หรือไม่เป็นคริสเตียน ก็โดนหมด ถูกคุกคาม ตอนนี้เน้นที่สุด คือไวรัสโควิดระบาด บางคนถึงกับเสียชีวิตด้วยความทุกข์ทรมาน ไม่ใช่การทุกข์ทรมานทางกายอย่างเดียว จิตใจด้วย คือไม่มีญาติอยู่ข้างๆ ไม่มีเพื่อนสนิทอยู่ข้างๆ  ไม่มีคนรักอยู่ข้างๆ ก่อนสิ้นลม  อันนี้ความทุกข์ทางใจอย่างมากมาย  บางคนได้รับการรักษาให้หาย แต่ยังต้องใช้เวลา 2-3 เดือน หรือเป็นปีในการฟื้นฟูสุขภาพขึ้นมาใหม่ บางคนอยู่ในกลุ่มเสี่ยง  ก็ต้องไปกักตัว 14 วัน 21 วัน กี่วันก็ต้องลุ้นกันต่อไป  ธุรกิจค้าขายต่างๆ ก็ลำบากลำบน  รายได้เคยมี ก็หดหายไปหมด

มันเกิดอะไรขึ้น คริสเตียนก็เป็น ไม่ใช่ไม่เป็น ไม่ใช่ประเทศไทยที่เดียว ทั้งโลกเป็นอย่างนี้หมด  ขาดแคลนรายได้ รายได้ที่เคยมีก็หดหาย ก็ไม่พอ แถมจะไปไหนมาไหน ติดต่ออะไร ทำการค้าขาย เดินทาง ออกจากบ้านไป เหมือนออกสู่สงคราม  ตรงนี้ไปไม่ได้ ตรงนั้นไปไม่ได้ ตรงนี้อย่าไป  ตรงนั้นอย่าไป  มันเหมือนคนทั้งโลกกำลังติดคุกติดตะรางอยู่ นี่คือความทุกข์ลำบาก  ความกดดันที่มาถึงมนุษย์ในช่วงนี้ เฉพาะช่วงนี้เท่านั้น

ความทุกข์ลำบาก ความกดดันเหล่านี้ พุ่งตรงมาที่มนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้ สังเกตดู ไม่ว่าจะเชื่อพระเจ้าหรือไม่เชื่อพระเจ้าก็ตาม  เป็นเป้าหมายใหญ่ที่ความทุกข์ลำบากเหล่านี้วิ่งเข้ามาหา ถ้าเป็นคริสเตียน ยิ่งจะถามในช่วงแบบนี้  คือมีสิ่งเลวร้ายอะไรบางอย่างเกิดชัดๆ หน่อย คริสเตียนก็มักจะถามว่า …

“ทำไมพระเจ้าอนุญาตให้สิ่งเลวร้ายเหล่านี้ เกิดขึ้นกับฉัน ที่เป็นลูกของพระองค์ ที่เชื่อในพระองค์แล้ว”

คริสเตียนก็มักจะใช้สิทธิของตัวเองในการถามแบบนี้ ซึ่งไม่ผิดเลยนะ  ตั้งแต่สมัยยุคคริสเตียนเริ่มต้น  จักรพรรดิเนโร คือจักรพรรดิ์ของโรม  ก็ข่มเหงคริสเตียน ตอนเริ่มต้นมีคริสเตียนใหม่ๆ  ทุกๆ สมัยมา ก็เป็นอย่างนี้  คือคริสเตียนมักจะบ่นว่าเราถูกข่มเหงรังแกเยอะ ซึ่งแม้กระทั่งปัจจุบัน  คริสเตียนก็ถูกข่มเหงรังแกคล้ายๆ แบบโรมข่มเหงรังแกคริสเตียนสมัยโน้นเหมือนกัน ซึ่งจริงๆ แล้วคิดดูกันให้ดีๆ เรามักจะคิดกันในแง่ของเราเป็นคริสเตียน เป็นผู้เชื่อ  เราก็มองแต่พวกเราเอง ในกลุ่มเล็กๆ แต่ว่ากันตามตรงแล้ว ความทุกข์ลำบากที่ก่อโดยคนที่ข่มเหงรังแกเรา  มันก็มีผลกระทบไปถึงคนที่ไม่เป็นคริสเตียน ก็โดนด้วย

ยกตัวอย่างเช่น จักรพรรดิเนโร แห่งโรม ที่ข่มเหงรังแกคริสเตียนอย่างมากมาย เขาก็ทำสิ่งต่างๆ ที่ข่มเหงรังแกคนทั้งโลก ขณะนั้นเหมือนกัน บางกลุ่มชนที่เล็กหน่อย  โรมเข้าไปยึดอำนาจ แล้วก็ล้างเผ่าพันธุ์ไปเลย  ฆ่าตายหมดเลย  ซึ่งคนเหล่านั้น ก็ไม่ใช่คริสเตียน  ก็ถูกความทุกข์ยากลำบากที่เกิดจากการกระทำของจักรพรรดิเนโรในช่วงนั้น เหมือนกันกับคริสเตียนที่โดน ลองคิดถึงภาพตรงนี้ นี่คือความจริง

เพราะฉะนั้น ในปัจจุบัน เราก็เห็นคริสเตียนอย่างมากมาย ยังเป็นมะเร็ง  ยังประสบอุบัติเหตุ ในวันสงกรานต์ ยังเจอสิ่งเลวร้ายเหมือนคนอื่นๆ เขา ยังทุกข์ทรมาน  ยังเจอปัญหา ครอบครัวแตกแยก ไม่เชื่อฟัง  เหมือนคนที่ยังไม่เชื่อ เหมือนกันเลย  เราจะสังเกตเห็นอย่างนั้นจริงๆ

ทั้งๆ ที่เป็นคริสเตียน ยังต้องประสบอุปสรรคปัญหาในการดำเนินชีวิตต่างๆ เหมือนๆ กับคนอื่นๆ ในโลกใบนี้ ที่ยังไม่ได้เชื่อพระเจ้าเลย มันเกิดอะไรขึ้น  ซึ่งทำให้บางครั้ง คริสเตียนบางคนก็อาจจะกระซิบ ไม่กล้าพูดดัง เกรงใจพระเจ้า  แต่บางคนสนิทกับพระเจ้ามาก  คริสเตียนผู้เชื่อคนนั้นอาจจะอยากตะโกนดังๆ  เพราะรู้สึกว่าพระเจ้าไม่ได้ยิน หรือยังไงว่ามันทุกข์มาก อยากจะตะโกนถาม  อาจจะถามพระเจ้า หรือประชดถามตัวเอง  หรือถามคนข้างเคียงว่า …

“ทำไมเป็นเช่นนี้  ทำไมพระเจ้าอนุญาตให้สิ่งเลวร้ายเหล่านี้  เกิดขึ้นกับฉัน ที่ได้ชื่อว่าเป็นคริสเตียน เป็นผู้เชื่อแล้ว  พระเจ้าสถิตอยู่แล้ว เป็นลูกของพระเจ้าแล้ว”

ใช่ไหม? บางทีเราอยากจะตะโกน เกรงใจพระเจ้า แต่ในวิญญาณข้างใน  ความคิดจิตใจข้างใน ตะโกนอยู่แล้ว ซึ่งก็เป็นอย่างนี้มาตั้งแต่สมัยอดีต มาจนถึงปัจจุบัน  และมันก็จะดำเนินอย่างนี้ต่อไป จนกระทั่ง ถึงวันสิ้นโลกใบนี้นั่นเอง  ก็คือความทุกข์ยากลำบากยังคงอยู่กับเรา  อยู่บนโลกใบนี้ ตราบที่โลกใบนี้ยังอยู่ ระบบของความบาปในโลกใบนี้ที่ครอบครองโดยมาร  จะเป็นศัตรูต่อต้าน ทำลายเผ่าพันธุ์มนุษย์  โดยผ่านทางมนุษย์ด้วยกันเองนี่แหละ  แล้วมันก็จะทำอย่างนี้ตลอดไป เพราะมันเป็นศัตรูผู้เดียวของมนุษย์และพระเจ้า นี่คือความจริง ที่จะทำให้เราเป็นไท เรารู้แล้วว่าศัตรูเรา ก็คือมาร ซึ่งครอบครองด้วยระบบของบาปบนโลกใบนี้  ซึ่งต่อต้าน ต้องการทำลายเผ่าพันธุ์ของมนุษย์ ก็คือมวลมนุษยชาติทั้งปวง โดยกระทำการผ่านทางมนุษย์ด้วยกันนี่แหละ  เดี่ยวเราค่อยๆ เรียนรู้ต่อไป

          คำถามก็คือ …

          (1)  ทำไมพระเจ้าอนุญาตให้สิ่งเลวร้ายเหล่านี้     เกิดขึ้นกับมนุษย์    ที่พระองค์ทรงบอกว่ารักมากมาย  ดั่งแก้วตาดวงใจ

          (2) พระเจ้าอยู่ที่ไหน ในยามที่ลูกกำลังตกอยู่ในความเลวร้ายนั้น

นี่คือสองคำถามที่อยู่ในใจของผู้ที่เชื่อพระเจ้าแล้ว  หรือแม้แต่คนไม่เชื่อ บางครั้งก็คิดเหมือนกัน  เพราะเคยได้ยิน ที่บอกว่าพระเจ้าทรงเป็นพระเจ้าที่ดี และรักมนุษย์ยิ่งนัก

เพราะฉะนั้นตอบคำถามข้อที่ 1 ก่อน … “ทำไมพระเจ้าอนุญาตให้สิ่งเลวร้ายเหล่านี้ เกิดขึ้นกับมนุษย์ ที่พระองค์ทรงบอกว่ารักมากมาย  ดั่งแก้วตาดวงใจ”

 

ในโรมบทที่ 5 บอกว่ามนุษย์ชั่วร้าย ตกลงไปในความบาป ขณะที่เป็นคนบาป เป็นคนชั่วอยู่นั้น พระเจ้าทรงสำแดงความรักต่อมนุษย์ โดยการประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ลงมา เพื่อตายที่ไม้กางเขน  เพื่อช่วยเหลือให้มนุษย์หลุดพ้นจากความทุกข์ลำบาก ความบาป ความชั่วเหล่านั้น  นี่แหละความรักของพระเจ้าที่สำแดงออก โดยพระเยซูถูกตรึงที่ไม้กางเขน

หรือในยอห์น 3:16 ที่เราได้เรียนรู้กันดี บันทึกไว้อย่างนี้ว่า … “เพราะพระเจ้าทรงรักโลกยิ่งนัก เพราะพระองค์ทรงรักมนุษย์ยิ่งนัก จึงได้ประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ลงมา เพื่อมนุษย์จะไม่พินาศ อยู่ในความบาป  แต่ได้กลับมามีชีวิตนิรันดร์” นี่คือมั่นใจเลยว่าพระเจ้ารักเรามาก ดั่งแก้วตาดวงใจ

เพราะฉะนั้น ถ้าเราถามว่าทำไมพระเจ้าอนุญาตให้สิ่งเลวร้ายนี้ เกิดขึ้นกับเรา ซึ่งเป็นมนุษย์ที่พระองค์ทรงรัก ดั่งแก้วตาดวงใจ  ก็อยากจะตอบดังต่อไปนี้  ตั้งใจฟังให้ดีๆ นี่คือความจริงจากถ้อยคำพระเจ้าที่กระทำให้เป็นอิสระ รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นในความทุกข์ยากลำบากเหล่านั้น  มันมาได้อย่างไร?

พระเจ้าอนุญาตให้เรารับสิ่งเลวร้ายเหล่านั้น แต่พระองค์ไม่ประสงค์ให้เราประสบกับสิ่งเลวร้ายเหล่านั้น

ถามว่าทำไมพระเจ้าอนุญาตให้สิ่งเลวร้ายเหล่านี้ เกิดขึ้นกับมนุษย์ ก็ต้องตอบว่าพระเจ้าทรงอนุญาตให้สิ่งเลวร้ายเหล่านี้เกิดขึ้น แต่พระองค์ไม่ต้องการ ให้มันเกิดขึ้นกับเราเลย

พระเจ้าอนุญาตให้สิ่งเลวร้ายนี้เกิดขึ้นกับมนุษย์ แต่ไม่ประสงค์ให้มนุษย์ต้องพบกับสิ่งเลวร้ายเลย ค่อยๆ คิดตาม พระเจ้าอนุญาตให้สิ่งเลวร้ายเกิดขึ้น เพราะว่าพระเจ้าอนุญาตให้มนุษย์นั้นดื้อ ไม่เชื่อฟัง สิ่งเลวร้ายจึงเกิดขึ้น  สิ่งเลวร้ายเกิดขึ้นจากมนุษย์ เพราะว่ามนุษย์ไม่เชื่อฟังพระเจ้า  ไม่ได้มาจากพระเจ้า พอนึกออกไหม?

พูดง่ายๆ เหมือนกับเราเป็นพ่อแม่ เราเลี้ยงลูก แล้วก็เลี้ยงแบบให้เขามีอิสระ เราไม่ได้ไปล่ามโซ่ ผูกขาเขา ไม่ให้ไปไหน?  แล้วก็บอกว่าเขาเชื่อฟังเรามาก  ไม่ใช่อย่างนั้น ถูกไหม?  เรารักลูกของเรา เลี้ยงเขาเป็นลูก  ให้อิสรภาพเขาในการตัดสินใจ  จะเชื่อฟังหรือไม่ก็ตาม  เราก็ยังรักเขาเป็นลูก

ยกตัวอย่าง เราบอกลูกเราว่า …

“อย่าเดินเร็วๆ นะ ตรงนั้นมันลื่น”

แล้วเขาเดินไป  แล้วเดินเร็วด้วย วิ่งด้วย ไม่เชื่อฟัง เขาก็ลื่น แล้วล้มลง หัวแตก เลือดอาบ ถามว่าหัวแตก เลือดอาบ เราประสงค์ให้เกิดขึ้นไหม? เราไม่ประสงค์ แต่เราอนุญาตให้มันเกิดขึ้นไหม? อนุญาต เพราะเราอนุญาตให้เขามีอิสระในการที่จะเชื่อฟังเราหรือไม่เชื่อฟัง  เขาเป็นอิสระ พูดง่ายๆ ว่าเราอนุญาต เพราะเราไม่ได้ไปล่ามโซ่เขาไว้ แล้วบอกว่า … “

“อย่าวิ่งนะ ตรงนี้มันลื่น เดี๋ยวหกล้ม”

เช่นเดียวกัน พระเจ้าก็เป็นลักษณะนั้น ตั้งแต่สมัยบรรพบุรุษของเรา ก็คืออาดัม ต้นพันธุ์ของมนุษย์ทั้งปวง  พระเจ้าก็บอกอย่างนี้แหละ พระเจ้าทรงรักมาก  จึงบอกว่า …

“อย่าดื้อนะ  เชื่อฟังพ่อนะ จะได้ได้ดี”

แต่อาดัมก็ไม่เชื่อฟัง  ในสิ่งที่พ่อเตือนแล้ว เตือน เพราะหวังดี  เพราะรักใช่ไหม? เตือนบอกว่า…

“เชื่อฟังนะ อย่าดื้อนะ ถ้าวันใดเจ้าดื้อ ฝืนคำสั่งไปทำ เจ้าจะได้รับทุกข์ทรมาน ตาย เจ้าจะลำบากนะ”

ก็เหมือนเมื่อสักครู่นี้ที่บอกว่าถ้าเจ้าวิ่งไปตรงนั้นมันลื่น เจ้าจะหกล้ม หัวแตกนะ เหมือนกัน พระเจ้าสร้างอาดัมและเอวา และมนุษย์ทั้งปวงให้เป็นลูก  มีอิสระในการตัดสินใจ  จะเชื่อฟังพระองค์ก็ได้ ไม่เชื่อฟังพระองค์ก็ได้  จะเชื่อฟังพ่อหรือไม่เชื่อฟังพ่อก็ได้  เป็นอิสระ มีอิสรภาพในการตัดสินใจ เป็นลูก  ไม่ใช่เป็นหุ่นยนต์  ทำตามคำสั่งอย่างเดียว กดปุ่มก็สั่ง กดปุ่มให้รักพ่อ ก็รักพ่อๆ อย่างนั้นหรือ?  ไม่ใช่ เราก็รู้อยู่แล้ว  นี่แหละ เราต้องจำให้ดีๆ เลย  สั้นๆ ก็คือพระเจ้าอนุญาตให้เราดื้อ แต่ไม่ประสงค์ให้เราดื้อ

ในโรม 5:12 ได้บอกถึงผลของการไม่เชื่อฟังของมนุษย์ว่ามันเกิดขึ้นที่ไหน? และเมื่อไร? และเกิดขึ้นแล้ว เป็นเช่นไรที่พระเจ้าเตือนไว้แล้วว่า “อย่าๆ” แต่เราดื้อ เราเป็นผู้นำเอาความทุกข์ยากลำบาก  สิ่งเลวร้ายต่างๆ เข้ามาบนโลกใบนี้ ด้วยตัวของเราเอง ก็คือด้วยมนุษย์เอง  โรม 5:12 ได้บันทึกไว้อย่างนี้นะ …

โรม 5:12 “ฉะนั้น เช่นเดียวกับที่บาปเข้ามาในโลก เพราะมนุษย์คนเดียว และบาปนำความตายมา และโดยทางนี้เอง ความตายจึงมาถึงมวลมนุษย์ เพราะทุกคนได้ทำบาป”

 

“ฉะนั้น เช่นเดียวกับที่บาปเข้ามาในโลก” ผมอยากจะยกตัวอย่าง อย่างนี้ เพราะว่าตอนนี้  ในช่วงขณะนี้ ในปีค.ศ.นี้ ไม่มีใครไม่รู้จักคำว่า “ไวรัส” โดยเฉพาะ “ไวรัสโควิด-19”  เลยอยากยกคำว่าไวรัสมาให้เห็นชัดๆ มาเปรียบเทียบให้ดู

ฉะนั้น เช่นเดียวกับที่บาป ไวรัสบาปเข้ามาในโลก เพราะมนุษย์คนเดียว และไวรัสบาป ได้นำเอาความตายมา ความตายตรงนี้ ก็คือเอาชีวิตของพระเจ้าที่มีอยู่ในวิญญาณของมนุษย์ ที่พระองค์ทรงสร้างขึ้นมา ในเผ่าพันธุ์ของมนุษย์ทุกคน  เอาวิญญาณที่เรียกว่าชีวิตนี้ ออกไปจากมนุษย์ ทำให้มนุษย์จากมีชีวิตของพระเจ้า ก็กลายเป็นไม่มีชีวิตของพระเจ้า เรียกว่าตาย

และชีวิตของพระเจ้า คือสิริของพระเจ้า  คือความสง่างาม ความดี  ความบริสุทธิ์ของพระเจ้า หายไปจากตัวจริงๆ ของมนุษย์  ก็คือในวิญญาณของเขา  นั่นเป็นเพราะไวรัสบาป ที่มันเข้ามา  แล้วมันเข้ามาที่เผ่าพันธุ์ของมนุษย์ ตั้งแต่เริ่มต้น คืออาดัมและเอวา และไวรัสตัวนี้ ติดเชื้อกันต่อๆ มา โดยสายเลือดนี้ มีไวรัสบาปติดอยู่ ส่งต่อๆ กันมา โดยเริ่มจาก DNA แรกของมนุษย์เลย  เกิดมา ก็มี DNA ของไวรัสบาป มีอยู่แล้ว แล้วมันก็จะแสดงอาการของตัวไวรัสบาปนี้ออกมา เมื่อค่อยๆ เติบโต โรม 5:19 ได้บันทึกไว้อย่างนี้ว่า …

โรม 5:19 “เพราะการไม่เชื่อฟัง (ความดื้อ) ของมนุษย์คนเดียว ทำให้คนเป็นอันมาก เป็นคนบาป (ติดเชื้อ) ฉันใด การเชื่อฟัง (ยอมทำตามพระเจ้า) ของมนุษย์คนเดียว ก็ทำให้คนเป็นอันมาก เป็นผู้ชอบธรรม (ได้รับการรักษาให้หายจากเชื้อบาป) ฉันนั้น”

 

“เพราะการไม่เชื่อฟัง ความดื้อของมนุษย์คนเดียว” อาดัม บรรพบุรุษของเรากับเอวา เพราะการไม่เชื่อฟัง  ก็คือความดื้อ พ่อเตือนแล้ว พระเจ้าเตือนแล้ว แต่ยังดื้ออยู่ใช่ไหม?  เพราะเราดื้อเอง  ทำให้เชื้อของบาปมันเข้ามา ทำให้คนเป็นอันมาก คือลูกหลานเหลนโหลน ที่จะเกิดจากเรามา  ในอนาคตนั้น ติดเชื้อนี้กันหมด ติดเชื้อไวรัสบาปตัวนี้ มาจากคนๆ เดียวเลย

ในนี้บอก ฉันใดก็ฉันนั้น  การเชื่อฟัง ยอมทำตามพระเจ้า ของมนุษย์คนเดียว ก็ทำให้คนเป็นอันมาก เป็นคนชอบธรรม  มนุษย์คนเดียว คนนี้ ก็คือพระเยซู พระบุตรของพระเจ้าองค์เดียว ที่พระองค์ได้ทรงยอมเสียสละ สภาวะพระเจ้า ลงมาเกิดเป็นมนุษย์เหมือนอย่างเรา  และกระทำตามที่พระเจ้าได้สั่งไว้  ได้บอกไว้ มาช่วยดูแลพวกเราทั้งหลาย มนุษย์ที่ตกลงไปในความบาป  โดยให้พระองค์ลงมาเกิดเป็นมนุษย์  และให้ไปรับโทษของมนุษย์ทั้งปวง  ตายที่ไม้กางเขน ฝังไว้ในอุโมงค์ และเป็นขึ้นมาจากความตายในวันที่ 3 เพื่อให้มนุษย์ได้มีโอกาสหลุดพ้นจากเชื้อไวรัสบาปนั้น  เพื่อมารักษามนุษย์ให้หายจากบาป

พูดง่ายๆ ส่งพระเยซูมาเป็นหมอ มารักษาบาปให้กับมนุษย์นั่นเอง  ้ และพระเยซูก็ยอมเชื่อฟัง นี่ไง การยอมเชื่อฟังของมนุษย์คนเดียวเอง มนุษย์คนนั้น ก็คือพระเยซูคริสต์ ทำให้มนุษย์ทั้งปวง มีโอกาสได้หายจากเชื้อบาปนี้

เชื้อบาป หรือไวรัสบาปนี้ มีผล หรือเรียกว่าอาการ มีผลกระทบเกิดขึ้น จากไวรัสบาป ก็คือทำให้พระสิริของพระเจ้าหายไป อย่างที่ตะกี้นี้บอก ทำให้มนุษย์ไม่เห็นพระเจ้าอยู่ในสายตา คือทั้งๆ ที่รู้ว่ามีพระเจ้าอยู่ แต่ไม่เห็นพระเจ้าอยู่ในสายตา (ทางฝ่ายวิญญาณ)  เพราะว่าพระสิริของพระเจ้าได้หายไป  ความบริสุทธิ์ของพระเจ้าได้หายไป  ความดีงามของพระเจ้าได้หายออกไปจากวิญญาณข้างในของมนุษย์ทุกคนแล้ว

เชื้อบาป อาการออกมาอย่างนี้แหละ  และมันเป็นบ่อเกิดของการทำไม่ดี ตรงกันข้ามกับทางพระเจ้า ถ้าพระเจ้าเรียกว่าพระเจ้าดีงาม  สิ่งที่ตรงกันข้ามกับดีงามทั้งหมด มนุษย์ในใจอยากทำ เรียกว่าทำชั่วทั้งสิ้น  มันทำให้เกิดอาการเหล่านี้ขึ้นมา  ซึ่งถามว่าพระเจ้าอนุญาตให้เกิดขึ้นไหม? อนุญาต เพราะเป็นไปตามที่บอกไว้แล้วไงว่าอย่าทำ ให้อิสระ ในการตัดสินใจ ในเมื่อตัดสินใจอย่างนี้ ก็รับผลของมันอย่างนี้  พระเจ้าไม่ได้เป็นคนต้องการให้มันเป็นอย่างนี้เลย

โรม 1:28-32 ได้บอกอย่างชัดเจนว่าเจ้าเชื้อไวรัสบาปนี้ มันมีผลมาถึงมวลมนุษยชาติอย่างไร? มีอาการออกมาอย่างไร?  ในอาการของมัน เมื่อติดเชื้อแล้ว  เหมือนกับพูดในปัจจุบัน ไวรัสโควิด-19 ใครๆ ก็รู้ดี  พอติดเชื้อไวรัสแล้วเกิดอะไรขึ้น? เกิดปวดหัว อาการไข้ ไวรัสไปกินอวัยวะต่างๆ  ในร่างกาย จนสุดท้ายไปกินที่ปอด เสียชีวิตอะไรอย่างนี้ นี่คืออาการ

ในทำนองเดียวกัน ลักษณะเดียวกัน ไวรัสบาปนี้  ทำให้เกิดอาการอะไรบางอย่าง ซึ่งพระคัมภีร์ได้เขียนไว้ว่ามนุษย์ทุกคน เมื่อติดเชื้อไวรัสนี้  ก็จะมีอาการเหล่านี้ เรามาดูสิว่าในพระคัมภีร์เขียนไว้ว่าอย่างไรว่าอาการเหล่านี้ เป็นอาการอะไรบ้าง ซึ่งบางคนก็โผล่อาการเหล่านี้ออกมา ไวรัสโควิด-19 ที่ติดเชื้อแล้ว บางคนก็ถูกกินปอด บางคนติดเชื้อแล้ว ก็ไม่ถูกกินปอด แต่ถูกกินที่อวัยวะส่วนอื่น  ระบบหายใจบกพร่อง ระบบเลือดบกพร่อง แล้วแต่มันจะวิ่งไปที่ไหน?

ในเชื้อไวรัสบาป  ที่บรรพบุรุษเรานำเข้ามา  ติดเชื้อ หมายถึงพวกเราทุกคนบนโลกใบนี้ ก็เป็นอย่างนั้นแหละ  แต่เป็นอาการอย่างนี้ คือโรม 1:28-32 …

โรม 1:28-32 “28 ยิ่งกว่านั้น เนื่องจากเขาไม่เห็นคุณค่าของการรู้จักพระเจ้า พระองค์จึงทรงปล่อยเขาให้มีจิตใจเสื่อมทราม ให้ทำสิ่งที่ไม่สมควร 29 พวกเขาจึงเต็มไปด้วยความเลว ความชั่วร้าย ความโลภโมโทสัน และความเสื่อมทรามสารพัดชนิด พวกเขามีแต่ความอิจฉาริษยา การเข่นฆ่า การแก่งแย่งชิงดี การล่อลวง และการคิดร้าย พวกเขาชอบนินทา 30 ใส่ร้ายป้ายสี เกลียดชังพระเจ้า หยาบคาย หยิ่งยโส และโอ้อวด พวกเขาคิดหาทางใหม่ๆ ในการทำชั่ว พวกเขาไม่เชื่อฟังบิดามารดาของตน 31 พวกเขาเป็นคนไร้สติ ไร้สัตย์ ไร้หัวใจ ไร้ความปรานี 32 แม้เขารู้กฎเกณฑ์อันชอบธรรมของพระเจ้าว่าผู้ที่ทำเช่นนั้น สมควรตาย เขาไม่เพียงยังคงทำสิ่งเหล่านี้(ตามธรรมชาติบาป) ต่อไป แต่ยังเห็นชอบกับผู้ที่ทำสิ่งเหล่านั้นด้วย”

 

“เนื่องจากเขา” คือใคร? คือมวลมนุษยชาติ เผ่าพันธุ์มนุษย์นั่นเอง  ตกลงไปในความบาปแล้ว ติดเชื้อแล้ว พระเจ้ากำลังบอกความจริงกับเราว่าในโลกวิญญาณ  มนุษย์ตกอยู่ในสภาพเช่นไร? มนุษย์ไม่เห็นคุณค่าของการรู้จักกับพระเจ้า สัมพันธภาพกับพระเจ้า คือไม่เห็นพระเจ้าอยู่ในสายตานั่นเอง พระองค์จึงทรงปล่อยให้เขามีจิตใจเสื่อมทราม

“ปล่อยให้เขา” อย่างที่ตะกี้นี้บอก  ก็คือพระองค์ก็อนุญาต ทั้งๆ ที่ไม่ประสงค์เลย ไม่อยากให้ลูกของพระองค์เป็นอย่างนั้นเลย  เราไม่อยากให้ลูกของเราหัวแตก หน้าฉีก เพราะล้มลงเลย แต่เราอนุญาต ให้เขาตัดสินใจ เขาไม่เชื่อฟัง เขาได้รับตรงนี้ไป  ไม่ต้องการให้มันเกิดขึ้นอย่างนั้นเลย เหมือนกัน พระองค์ทรงอนุญาตให้เขาติดเชื้อไวรัสบาป อาการเหล่านี้ คืออาการ อิทธิพล เรียกว่าพลังอำนาจของไวรัสบาป เมื่อติดเข้าไปแล้ว  เมื่อเป็นแล้ว มันจะทำให้มนุษย์มีอาการเหล่านี้ ก็คือทำให้มีจิตใจเสื่อมทราม

ฟังให้ดีๆ นี่คืออาการต่างๆ  ให้ทำสิ่งที่ไม่สมควรทำ ทำอะไรที่ไม่เป็นมนุษย์ ที่เราเคยคุยกันอยู่บ่อยๆ  ทำในสิ่งที่ไม่สมควร มวลมนุษยชาติเต็มไปด้วยความเลว ความชั่วร้าย นึกในใจ ขณะที่ผมอ่านไปทีละข้อๆ  นึกในใจว่าสิ่งเหล่านี้ มาจากเชื้อไวรัสบาป  ที่ทำให้มันเกิดขึ้น ในวิญญาณของมนุษย์ทุกๆ คน ความโลภโมโหสัน ความเสื่อมทรามสารพัดชนิด คือนับไม่หมด เต็มไปหมดเลย พวกเขามีแต่ความริษยา

เมื่อพูดถึงพวกเขาเมื่อไร? ท่านนึกถึงคำว่า “มวลมนุษย์” การอิจฉาริษยา การเข่นฆ่า การแก่งแย่งชิงดี การล่อลวง การคิดร้าย มนุษย์ชอบนินทา ชอบใส่ร้ายป้ายสี  เกลียดชังพระเจ้า หยาบคาย หยิ่งยโส โอ้อวด มวลมนุษย์คิดหาทางใหม่ๆ ในการทำชั่ว ยกตัวอย่างง่ายๆ  คิดหาทางใหม่ๆ แรกๆ เริ่มทำชั่วด้วยมีด ยกตัวอย่างง่ายๆ  มีดเอาไว้ป้องกันตัว เอาไปทำร้ายคนอื่นก็ได้ เห็นแก่ตัว อะไรอย่างนี้ จากมีดก็พัฒนาไปเป็นปืน จากปืนก็ไปเป็นปืนกล จากปืนกลก็ไปเป็นจรวด จากจรวดก็กลายเป็นระเบิดปรมาณู  จากระเบิดปรมาณูก็กลายเป็นอะไรบางอย่าง ที่เขาเรียกว่าอาวุธสารเคมี อาวุธเชื้อโรค คิดไปเยอะแยะมากมาย นี่ความใหม่ๆ ในการกระทำชั่ว เพราะข้างใน มันชั่ว ก็คิดแต่ความชั่วร้าย

มนุษย์ไม่เชื่อฟังบิดามารดาของตน อันนี้ก็เป็นเรื่องธรรมดา ที่เราบอก เด็กมันดื้อ มันไม่ธรรมดาก่อนที่มนุษย์จะอนุญาตให้เชื้อไวรัสนี้เข้ามา  เมื่อติดเชื้อไวรัสนี้เข้าไปแล้ว มันก็เรียกว่าเป็นอย่างนี้ มันธรรมดาของการติดเชื้อไวรัสนั้น  พวกเขาเป็นคนไร้สติ ไร้สัตย์ ไร้หัวใจ ไร้ความปราณี แม้เขารู้กฎเกณฑ์อันชอบธรรมของพระเจ้า

“รู้กฎเกณฑ์ของพระเจ้า” คือข้างในใจของเขา ในจิตใต้สำนึกเขารู้ว่ากระทำสิ่งเหล่านี้ ไม่ถูกต้อง เรียกว่ากระทำบาป  สู้ไม่ได้ เพราะว่ามันไม่ได้เกิดจากตัวเขาจริงๆ มันเกิดจากไวรัสตัวหนึ่ง ที่เรียกว่าไวรัสบาป  เป็นตัวกระตุ้นให้เกิดอาการนี้ออกมา แม้เขาจะรู้ว่ามันไม่ดี มันจะเกิดความเสียหาย เขาจำเป็นต้องทำ เพราะถูกบังคับ  เพราะมันเป็นอาการของไวรัสตัวหนึ่ง  ในนี้ยังบอกว่า “เขาไม่เพียงทำสิ่งเหล่านี้  ตามธรรมชาติบาปต่อไป” ตรงนี้ คำว่า “ทำสิ่งเหล่านี้” ยังคงทำตามธรรมชาติบาปที่อยู่ข้างใน  ที่ติดเชื้อไวรัสมาแล้ว นั่นหมายถึงอย่างนี้  ยังทำต่อไป และยังเห็นชอบต่อผู้ที่ทำสิ่งเหล่านี้ด้วย ก็คือต่างฝ่ายก็อยู่ในกงกรรมกงเกวียนของเชื้อไวรัสบาป อาการของเชื้อไวรัสบาปนี้ เหมือนกันทั้งหมด  พูดง่ายๆ พระเจ้ากำลังจะบอกเราว่ามนุษย์ทุกคนอยู่ในต้นไม้ ต้นเดียวกัน คือต้นไม้แห่งตระกูลอาดัม  ซึ่งติดเชื้อไวรัสบาปแล้ว

เชื้อไวรัสบาปนี้ มันติดตั้งแต่ต้นนี้แล้ว กิ่ง ก้าน สาขาต่างๆ ที่อยู่บนต้นไม้นี้  มันก็ติดเชื้อไปหมดนั่นแหละ  และเชื้อนี้ มันก็จะออกผลออกมาต่างกัน  ระหว่างกิ่งนั้น ก้านนี้ อาจจะออกแบบนี้ ออกแบบนั้น ตั้งแต่ฆ่าคนตาย จนถึงนินทาว่าร้าย ป้ายสี ไม่เชื่อฟังพ่อแม่ อยู่ในต้นเดียวกันทั้งหมด พูดง่ายๆ เมื่ออยู่ในต้นนี้ ก็จะทำอาการแบบนี้ คืออาการของการติดเชื้อไวรัสบาป เกิดความไม่สบายนั่นเอง  มาจากเชื้อไวรัสบาป

เพราะฉะนั้น การมารับเชื่อในพระเยซูคริสต์ ได้รับการบังเกิดใหม่  ได้รับการอภัยโทษ จากบาปทั้งสิ้น  ได้รับพระพรต่างๆ นานัปการ ฝ่ายวิญญาณในสวรรค์ตามพระคัมภีร์บอกไว้เรียบร้อยแล้ว เป็นจริงอยู่ แต่ว่าคริสเตียน ก็คือคนที่เชื่อพระเจ้า ที่ได้รับพระพรก็จริง แต่ยังคงดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ ยังหายใจอยู่บนโลกใบนี้อยู่ ยังเดินอยู่บนโลกใบนี้ ซึ่งเป็นโลกแห่งความวิปริตเสียหาย เต็มไปด้วยความบาป ซึ่งเป็นผลจากอิทธิพลของไวรัสบาปนี้  ที่เป็นศัตรูกับพระเจ้า  ศัตรูกับมนุษย์ ไม่เชื่อฟังพระเจ้า  ซึ่งมันคอยจดจ้อง คอยทำลายมวลมนุษยชาติตลอดเวลา ตราบใดที่มนุษย์คนนั้นยังมีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ ไม่ว่าจะเชื่อพระเจ้าหรือไม่เชื่อพระเจ้า ก็ตาม มนุษย์ที่อยู่บนโลกใบนี้  ก็ได้รับผลกระทบเหมือนๆ กัน ไม่มีผิดเลย

พระเจ้าไม่ได้สัญญาว่าเชื่อพระเยซู เกิดใหม่ในพระเยซูคริสต์แล้ว จะไม่ต้องประสบกับความทุกข์ยากลำบากบนโลกใบนี้ ไม่เลย  จริงๆ แล้วพระองค์ทรงเตือนต่างหาก ด้วยว่าเมื่อเชื่อพระเจ้าแล้ว ท่านยังอยู่บนโลกใบนี้ ซึ่งเต็มไปด้วยความทุกข์ยากลำบากต่างๆ นานาอยู่แล้ว ไม่ใช่มาเป็นคริสเตียนแล้วมีความทุกข์มากขึ้น มีความสุขมากขึ้น  แต่ยังคงอยู่บนโลก ที่เต็มไปด้วยความทุกข์ยากลำบากนี้ เหมือนเดิม ซึ่งเราได้รับผลกระทบอย่างแน่นอน

ซึ่งแน่นอนจะมีวันหนึ่งที่เราจะไม่ต้องรับความทุกข์ยากลำบากอย่างนี้อีกแล้ว เพราะเราเป็น คริสเตียน  รู้จักพระเจ้าแล้วใช่ไหม? พระองค์ทรงสัญญา ก็คือในวันหนึ่งข้างหน้า  ในโลกใหม่ที่พระเจ้าสร้างมาใหม่ ซึ่งจัดเตรียมไว้ให้กับเรา  ซึ่งในโลกนั้น ไม่มีเชื้อไวรัสบาปอีกต่อไป ไม่มีมารอีกต่อไป นั่นแหละ ก็จะไม่มีความทุกข์ยากลำบาก ไม่มีผลของไวรัสบาปเหลืออยู่

เราลองคิดย้อนกลับไปเมื่อสักครู่นี้ ที่เราพูดกันว่าในยุคคริสเตียนตอนเริ่มต้น  สมัยคริสตจักรตอนเริ่มต้น สมัยยุคโรมันเรืองอำนาจ ที่เมื่อสักครู่นี้ที่เราคุยกันว่าคริสเตียนผู้เชื่อในยุคเริ่มต้น อดอยาก ลำบาก เพราะเกิดความกันดารไปทั่วโลก  คริสเตียนหรือไม่คริสเตียนก็อดอยากเหมือนกัน แต่เวลาเราเขียนถึง พูดถึงพี่น้องคริสเตียน ก็คิดว่ามีแต่พี่น้องคริสเตียนเท่านั้นที่อดอยาก มันอดอยากไปทั้งหมดนั่นแหละ โดนไปหมด หนีจากตาย จากการข่มเหงของจักรพรรดิ์โรมัน ซึ่งขณะนั้นถือว่าเป็นมหาอำนาจ เห็นแก่ตัว ก็เห็นแก่ตัวทุกคนแหละ เห็นแก่ตัวทุกประเทศแหละ มากหรือน้อย ก็อย่างที่บอกอยู่ในอาการของเชื้อไวรัสบาปทั้งนั้น ก็ข่มเหงกันไปทั่วแหละ อย่างที่บอกว่าเข้าไปครอบครองเลย โดยล้างเผ่าพันธุ์นี้ไปให้สิ้น แล้วก็ไปยึดมา อะไรต่างๆ เหล่านี้ มีหลายประเทศ หลายเผ่าพันธุ์ที่สูญหายไปเลยก็มี

อย่างอิสราเอลก็เคยเหมือนกับสูญสิ้นชาติไปแล้ว แล้วก็ได้กลับมาใหม่ มีกี่ประเทศ กี่ชาติที่เป็นอย่างชาวยิว ชาวอิสราเอล ถูกข่มเหงไปหมดแหละ รู้จักพระเจ้า หรือไม่รู้จักพระเจ้า เป็นคริสเตียน หรือไม่เป็นคริสเตียน  เพราะว่ามันเป็นความชั่วร้ายที่มาพร้อมกับไวรัสบาป  แล้วมาโผล่ผลต่างๆ ที่มนุษย์ แล้วก็ทำให้มนุษย์ทำชั่ว ทำร้ายซึ่งกันและกัน  ก่อให้เกิดความทุกข์ยากลำบาก เบียดเบียนซึ่งกันและกันนั่นเอง

เพราะฉะนั้น ไม่ว่าจะเป็นยุคของโรม ยุคของจักรพรรดิเนโร หรือแม้กระทั่งยุคของเริ่มต้นใหม่ๆ  ตั้งแต่ฟาริสี คนเคร่งศาสนายิวที่ข่มเหงรังแก ให้ความทุกข์ยากลำบากกับคริสเตียนตอนเริ่มต้นใหม่ๆ ตอนนั้น ล้วนมาจากเชื้อเดียวกัน คือเชื้อบาป ซึ่งกระตุ้นให้เขาทำเช่นนั้น กันทั้งนั้นเลย ไม่ว่ามากหรือน้อย คริสเตียนจึงเหมือนถูกข่มเหงรังแก แต่คริสเตียนมีภาษีมากกว่าตรงที่คริสเตียน มีความหวัง มีพลัง มีสันติสุข มีความปิติยินดีในโลกวิญญาณ ในใจของเขา ในขณะที่ประสบกับความทุกข์ยากลำบาก ถูกข่มเหงรังแกต่างๆ นานาเหล่านั้น  เขามีความหวังในใจ เต็มที่เลย เขารอคอยวันแห่งการไถ่ถอน  ครบถ้วนบริบูรณ์ คือวันที่พระเจ้า นำเขาออกจากร่าง ไปสู่โลกสวรรค์นิรันดร์ หรือวันที่พระองค์จะทรงไถ่มนุษย์ให้ครบถ้วนบริบูรณ์อีกครั้งหนึ่ง ก็คือวันที่โลกนี้สิ้นสุดลง และโลกใหม่เข้ามาแทนที่ ที่จะไม่มีบาป ไม่มีมาร ไม่มีเชื้อไวรัสอีกต่อไป ก็จะมีความสุขชั่วนิจนิรันดร์นั่นเอง

เพราะฉะนั้น คริสเตียนจึงมีความหวังในสันติสุขตรงนี้ คริสเตียนในยุคนั้น ที่ถูกข่มเหงรังแกอย่างหนักมาก อาจจะหนักมากกว่าในยุคปัจจุบันที่เราคิดว่าเราหนักมากแล้วนะ แต่ในยุคแรกนั้นลองคิดดูสิ ถูกใส่ร้ายป้ายสี นำไปขังคุก  นำไปให้สัตว์ร้ายกิน  หรือให้ไปสู้กับสัตว์ร้าย เป็นเกมให้คนเขาดู หรือไม่ก็ถูกเผาประจานบนไม้กางเขน บนต้นไม้  หรือถูกตัดคอ หรือถูกขังลืม  และไม่ใช่จับเฉพาะคริสเตียนเท่านั้น  จับทั้งครอบครัว ทั้งลูกเด็กเล็กแดงโดนหมดอะไรเหล่านั้น ทุกคนต้องหนีกันจ้าละหวั่น ทั้งหวาดกลัวเขาเหล่านั้น

ในพระคัมภีร์ได้บันทึกว่าเขาเหล่านั้นมีใจที่เต็มไปด้วยความหวัง รอคอยโลกหน้าที่พระเจ้าทรงจัดเตรียมไว้ให้กับเรา  เรามีความเชื่อวางใจในพระเยซู ที่สถิตอยู่กับเรา  อย่างนี้เป็นต้น

คริสเตียนในขณะนั้น หลายคนตั้งคำถามเดียวกันอย่างนี้แหละ  เหมือนปัจจุบันและตลอดเสมอมา คำถามเดียวกันนี่แหละ ก็คือว่า …

“พระเจ้าอยู่ที่ไหน? ทำไมพระองค์อนุญาตให้ความทุกข์ยากลำบากอันแสนสาหัส เกิดขึ้นกับลูกและครอบครัว พระองค์อยู่ไหน?”

เขาก็ถามเรื่องอย่างนี้ เป็นเรื่องธรรมดา …

“ทำไมพระองค์ไม่ช่วยให้รอดจากสถานการณ์เลวร้ายเหล่านั้น ช่วยให้รอดจากจักรพรรดิเนโร ช่วยให้รอดจากการข่มเหงของชาวยิวที่ยังไม่รู้จักพระองค์” … อะไรต่างๆ เขาก็ถามอย่างนี้

เรารู้แล้วตอนนี้ว่าความจริง ก็คืออิทธิพลของระบบบาปในโลกนี้ ซึ่งคลุมไปด้วยเชื้อไวรัสบาป เต็มไปหมดเลย ซึ่งเร่งปฏิกิริยา ยุแยงให้อาการมันกำเริบขึ้น โดยมารซาตานที่อยู่เบื้องหลัง  คอยเพิ่มให้อาการ ใส่ให้อาการ ที่มันมีอยู่แล้วให้มันเพิ่มพูนขึ้น  คือยุแยงให้มันเกิดขึ้น  สนับสนุนและยุแยงโดยมาร ผ่านทางความบาป ทำให้มนุษย์ เกิดความเสียหาย มารมันคอยมาเป็นผู้ต่อต้าน เป็นปฏิปักษ์กับมนุษย์ทุกๆ คนบนโลกใบนี้  คอยยุแยงตะแคงรั่ว ทำลายมนุษย์ นี่คือเป้าหมาย

แต่ขอบคุณพระเจ้า ที่คริสเตียน ผู้เชื่อ ที่มีพระเยซูคริสต์สถิตอยู่ ทำการงานอยู่นั้น เหมือนมีภูมิ มีกำลัง เหนือกว่ามารที่อยู่ในโลก เหนือกว่าไวรัส ซึ่งอยู่ในโลกนี้  มีภูมิที่ชนะ ต่อต้านเชื้อไวรัสบาปอยู่แล้ว  ขณะที่ถูกข่มเหง ใส่ร้าย ทำให้เกิดความเจ็บปวด ทุกข์ทรมาน เราก็อาจจะถามพระองค์ …

“ทำไมพระเจ้าทำให้เราเจ็บปวด เป็นทุกข์ขนาดนี้  ทำไมพระเจ้าให้ความเจ็บปวดเหล่านี้เกิดขึ้นกับเรา”

แต่ความจริง คือผู้ที่ทำให้สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นนั้น ไม่ได้มาจากพระเจ้า  ความทุกข์ไม่ได้มาจากพระเจ้า ไวรัสตัวนี้ไม่ได้มาจากพระเจ้า  แต่เป็นมนุษย์เองต่างหาก ที่นำมันเข้ามาเอง เพราะไม่เชื่อฟัง ทำไมพระเจ้าให้เราถูกเนโรข่มเหง? ทำไมพระเจ้าให้เราทั้งครอบครัวต้องถูกเอาไปต่อสู้กับสัตว์ ให้สิงโตกิน? ทำไมพระเจ้าปล่อยให้เป็นอย่างนั้น? ทำไมทำอย่างนั้นกับเรา? ผู้ที่ทำ คือเนโร … เนโรเป็นมนุษย์ ทำไมทำ เพราะเนโรติดเชื้อบาป และใครเร่งอาการของเนโรให้มากขึ้นเรื่อยๆ  มารที่อยู่เบื้องหลังคอยกระตุ้นเนโร ครอบงำเนโรให้กระทำ

ขณะที่เราซึ่งเป็นคริสเตียน ถูกข่มเหงรังแก ถูกใส่ร้าย  เจ็บปวด ทุกข์ทรมานในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ เราอาจจะถามพระเจ้าว่า … “ทำไมพระเจ้าถึงให้เราเจ็บปวด เป็นทุกข์” แต่ความจริงแล้ว ไม่ใช่พระเจ้าทำให้เราเจ็บปวด เป็นทุกข์ ผู้ที่ทำสิ่งเหล่านั้น ก็คือมนุษย์ด้วยกันเองนี่แหละ  แต่เป็นมนุษย์ที่ยอมเป็นเครื่องมือของมาร เนื่องจากความบาปครอบงำอยู่ เชื้อไวรัสบาปครอบงำอยู่

เราจึงเห็นภาพชัดเจนว่าเมื่อยอมให้เป็นเครื่องมือของมาร มารก็จะใช้อาการของไวรัสบาป มาทำสิ่งเสียหายต่างๆ ทำความชั่วต่างๆ คนละเล็กคนละน้อย คนนั้นมาก คนนี้น้อย แล้วก็ทำสิ่งเสียหายให้กับโลกใบนี้  และมนุษย์ทั้งปวงบนโลกใบนี้  ทำร้าย ทำลายซึ่งกันและกันนั่นเอง  ซึ่งคำว่ามารล่อลวง หลอกล่อให้มนุษย์ทำบาปนั้น มันรวมทั้งคริสเตียนก็อยู่ในนั้นด้วย ไม่ใช่รวมทั้งคริสเตียนเท่านั้น รวมทั้งตัวเราเองก็อยู่ในนั้นด้วย  บาปเล็กบาปน้อย บาปใหญ่ มันรวมมาทำให้สิ่งที่เสียหายเกิดขึ้นบนโลกใบนี้ แล้วอาจคิดว่าไม่ใช่ๆ  แต่เราก็คือส่วนหนึ่งนั่นแหละ เหมือนที่ตะกี้พระคัมภีร์ได้ยกตัวอย่าง ตั้งแต่ฆ่าคนตาย จนกระทั่งถึงนินทาว่าร้าย หรือความไม่เชื่อฟังพ่อแม่ จนกระทั่งถึงความโลภโมโทสันอะไรต่างๆ  การทำร้ายซึ่งกันและกัน นั่นแหละครับ

เพราะฉะนั้น ถ้าพูดถึงในอดีต ตั้งแต่สมัยจักรพรรดิเนโร ก็แสดงว่าไม่ใช่จักรพรรดิเนโรเป็นผู้กระทำ แต่มารที่อยู่ข้างหลัง เบื้องหลัง คอยกระตุ้นให้เชื้อไวรัสบาป ที่อยู่ในเนโร ให้ทำอาการความชั่วร้ายมากมายไปหมดเหล่านั้นได้ อย่างนี้เป็นต้น เพราะฉะนั้น ความทุกข์ยากลำบากเหล่านั้น ไม่ได้มาจากพระเจ้า

กำลังพูดถึงขณะนี้ โควิด-19 ที่หลายคนบอกว่าพระเจ้าเอาเข้ามา เพื่อลงโทษมนุษย์ พระเจ้าไม่ได้เอาเข้ามา  พอจะมองเห็นภาพแล้วใช่ไหม?  พระเจ้าไม่ได้เอาเข้ามาเลย หลายคนต่อว่าว่าพระองค์ทรงนำโควิด-19 มา แต่ความจริง คือความบาป มีอิทธิพลต่อมนุษย์ต่างหาก ที่เป็นบ่อเกิดของไวรัสโควิด-19 นี้ ถูกไหมครับ? ความจริง คือมนุษย์เองนั่นแหละ เป็นผู้นำเอาความบาปเข้ามา ในโลกนี้ เป็นเหตุให้ติดเชื้อและเสียหายไปทั้งโลก เพราะถูกมารหลอก มนุษย์อยากจะเป็นพระเจ้าเสียเอง อยากจะดูแลตัวเองตามที่มารมันหลอก แล้วเราก็หลง ตกลงไปในความบาปนั้น แทนที่จะยอมรับความจริงเหล่านี้ มารก็หลอกมนุษย์ให้กล่าวหาว่าพระเจ้าเป็นผู้ทำให้เกิดขึ้น ไปยุแยง เป็นมือที่ 3

“นี่เป็นพระประสงค์ของพระเจ้าให้เธอได้รับความทุกข์ยากลำบาก เป็นพระประสงค์ของพระเจ้าที่จะนำเอาความทุกข์ยากลำบากเข้ามาสู่มนุษยชาติเพื่อลงโทษ”

ทั้งๆ ที่พระเจ้าได้ประกาศอย่างชัดเจนว่าประทานพระเยซูคริสต์ มาตายที่ไม้กางเขน เพื่อยกโทษบาปทั้งปวงให้กับมนุษยชาติไปแล้ว  มารก็หลอกไปเรื่อยๆ ไม่ว่าจะเป็นโรคภัยไข้เจ็บ  ทั้งทางกายหรือทางใจ หรือความทุกข์ยากลำบากในการหากินบนโลกใบนี้ ความสัมพันธ์ของมนุษย์ ความเสียหาย แตกหักอย่างรุนแรง การฆ่ากัน การทำร้ายกัน ทำลายกัน การแตกแยกกันในครอบครัวเดียวกัน ก็มีให้เห็นอยู่บ่อยๆ  ความวิปริตเหล่านี้ ความสับสนวุ่นวาย  ความเละเทะของบนโลกใบนี้  ล้วนเกิดขึ้นจากมารล่อลวงมนุษย์ ให้ทำบาป นำเอาเชื้อไวรัสบาปเข้ามา ก่อเชื้อบนโลกใบนี้  โดยมนุษย์รู้เท่าไม่ถึงการณ์ ตั้งแต่เริ่มต้นจนกระทั่งถึงทุกวันนี้ ไม่ใช่พระเจ้าเลยที่ประสงค์ให้มันเป็นอย่างทุกวันนี้  มันเป็นอยู่บนโลกใบนี้ พระองค์กลับเสียใจ และทุกข์ใจมากมายต่างหาก และรอคอยวันเวลาที่จะเยียวยา รักษาให้เราหาย จากเชื้อไวรัสบาปนี้  ซึ่งพระองค์ก็กระทำสำเร็จแล้ว  คือประทานพระเยซูคริสต์ลงมาตายที่ไม้กางเขน และเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่สาม เพื่อมนุษย์ทั้งหลายจะได้หายจากบาป จะได้บังเกิดใหม่ และก็เตรียมโลกใหม่ให้กับเราเรียบร้อยแล้ว  ให้เรารออีกนิดหนึ่งเท่านั้น

สรุป ก็คือโศกนาฏกรรม ความทุกข์ลำบากบนโลกใบนี้ ไม่ว่าจะเรื่องอะไรมา เรียกอะไรก็ตามที่เกิดขึ้นบนโลกใบนี้ทั้งหมดนั้น สรุปว่าไม่ได้มาจากพระเจ้าเลยแม้แต่นิดเดียว  พระเจ้าอยู่ฝ่ายเรา มนุษย์ต่างหากที่ทำให้มันเกิดขึ้น มนุษย์เป็นคนนำเข้ามา โดยการถูกหลอก โดยมารซาตาน

เราจะจบลงแค่นี้ก่อน แล้วสัปดาห์ต่อไป  ค่อยมาตอบคำถามข้อที่ 2 “พระเจ้าอยู่ที่ไหน ในยามที่เราตกอยู่ในความกลัว ตกอยู่ในความทุกข์ลำบาก ความเลวร้ายนั้น พระเจ้าอยู่ที่ไหน?”  เราจะมาตอบข้อ 2 กันในสัปดาห์หน้า สำหรับสัปดาห์นี้ พระเจ้าอวยพรครับ

 

***********************

 

จากใจคณะศิษยาภิบาล

 

พระเยซูผู้สถิตอยู่ในเราทั้งหลาย ที่เชื่อวางใจในพระองค์ และต้อนรับพระองค์เข้ามาเป็นผู้ช่วยให้รอดส่วนตัวของเราแล้ว พระองค์กำลังจูงมือเราผ่านอุปสรรคปัญหา ความทุกข์ยากลำบากต่างๆ ที่ทำให้เรามีความรู้สึกกลัวท้อแท้สิ้นหวังหมดกำลังในขณะนี้ พระองค์สัญญากับเราว่าจะอยู่กับเราตลอดเวลาจะไม่ละทิ้งเรา รักและห่วงใยเราด้วยสุดหัวใจ และพระเยซูให้ความมั่นใจกับเราว่าพระองค์มีความสามารถที่จะนำพาเรา ผ่านสถานการณ์ความทุกข์ยากเหล่านี้ไปได้ด้วยดี อย่างแน่นอน

 

พระเยซูบอกว่า … “เรา​พูด​เรื่อง​พวกนี้​ เพื่อ​ว่า​คุณ​จะ​ได้​มี​สันติสุข ​เพราะ​คุณ​มี​ส่วนร่วม​ใน​ตัวเรา  ใน​โลกนี้​คุณ​จะ​มี​ปัญหา​เดือด​ร้อน​สารพัด แต่​ให้​เข้มแข็ง​ไว้ เพราะ​เรา​ชนะ​โลก​แล้ว”  ยอห์น 16:33 THA-ERV

 

พระเจ้าอวยพรครับ

 

 

 

วารสาร Holy News ฉบับที่ 1316

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  13  มิถุนายน  2021

 เรื่อง “2 สิ่งที่เป็นพระประสงค์  อันดีเลิศสำหรับท่าน”

โดย นคร  เวชสุภาพร

 

สิ่งหนึ่งที่อยากบอกวันนี้ ให้กำลังใจ เบอร์หนึ่ง อย่าไปนึกว่าความทุกข์ทรมานต่างๆ เหล่านี้มาจากพระเจ้า พระเจ้าอนุญาตให้เกิดขึ้นไหม? หลายคนถาม …

“ทำไมพระเจ้าอนุญาตให้ความทุกข์ลำบากเหล่านี้เกิดขึ้นกับมวลมนุษยชาติ ทำไมพระเจ้าอนุญาตให้ความทุกข์ลำบากเหล่านี้เกิดขึ้นกับฉันผู้ที่เชื่อในพระองค์”

ถามมาเยอะ ตอนนี้ตอบสั้นๆ ไม่ได้จะมาบรรยายเรื่องนี้  แต่ว่ามาหนุนใจ เพื่อจะได้มีความสบายใจ  เมื่อเรารู้ความจริง ความจริงจะทำให้เราเป็นไท

ถามว่า “พระเจ้าอนุญาตให้เกิดขึ้นใช่ไหม?”

ต้องตอบว่า “ใช่ พระเจ้าอนุญาตให้เกิดขึ้น”

พระองค์อนุญาตให้เกิดขึ้น  แต่ไม่ได้เป็นพระประสงค์ของพระองค์ที่ให้เกิดขึ้น  2 ข้อแค่นี้ ท่านสามารถคิดได้เลย แล้วก็ช่วยให้ท่านมีกำลังใจในการดำเนินชีวิตมากขึ้นว่าพระเจ้าอยู่ข้างเรา  พระองค์อนุญาตให้เกิดขึ้น เพราะเป็นความรักที่พระเจ้าให้กับเราทั้งหลาย มนุษย์บนโลกใบนี้  มีอิสระในการตัดสินใจ เมื่อบรรพบุรุษของเราไม่เชื่อฟัง ตัดสินใจนำเอาคำสาปแช่งเข้ามา ทำบาป กบฏต่อพระเจ้า เราก็ได้รับไปด้วย

ถามว่าพระเจ้าอนุญาตให้เกิดขึ้นไหม? อนุญาต โดยให้อิสรเสรีภาพกับมนุษย์ที่พระองค์ทรงรัก ในการที่จะเชื่อฟังหรือไม่เชื่อฟังก็ได้ แล้วก็สั่งไว้แล้วว่าถ้าไม่เชื่อฟัง จะเกิดอะไรขึ้น?

“เกิดโทษกับชีวิตของเจ้า และครอบครัวของเจ้านะ”

แต่มนุษย์ก็พลาดและไม่เชื่อฟัง ก็เอาความทุกข์ลำบากเข้ามาสู่ตนเองและครอบครัว  เผ่าพันธุ์ของตนเองนั่นเอง  พระเจ้าก็ต้องอนุญาตเหมือนถูกบังคับ  เพราะว่าเราเลี้ยงลูกด้วยความรัก ให้เขามีอิสรภาพ ไม่ใช่เลี้ยงลูกเหมือนหุ่นยนต์ ผูกมัด บังคับ …

“ต้องเชื่อฉันอย่างนั้น อย่างนี้”

ไม่ใช่ แต่พระเจ้าสร้างสรรพสิ่งทั้งหลาย ด้วยความรักทั้งสิ้น  ให้ทุกสิ่งสามารถมีอิสรภาพในการตัดสินใจว่าจะเชื่อฟังพระองคหรือไม่? พระองค์ไม่ได้ประสงค์ให้มนุษย์ตกอยู่ในความสาปแช่งอย่างนี้เลย ไม่ได้ประสงค์ให้มนุษย์ทำบาป  ไม่ได้ประสงค์ให้อาดัม เอวาไม่เชื่อฟังพระองค์ ไม่ได้ประสงค์เลย ถ้าพระองค์ประสงค์ พระองค์คงไม่เตือนว่า …

“อย่านะ อย่าไม่เชื่อฟัง ถ้าเจ้าดื้อ เจ้าจะรับผลกรรมของมันนะ เจ้าจะตายจากเรา เจ้าจะได้รับคำสาปแช่ง”

นี่คือความรักของพระเจ้าที่บอกแล้ว  เพราะฉะนั้น จำแค่ 2 อัน ก็คือพระเจ้าอนุญาตให้เกิดขึ้น  เพราะรักมนุษย์ ให้มนุษย์มีอิสรภาพ ในการตัดสินใจ มนุษย์ตัดสินใจพลาด ผิดเอง พระเจ้าไม่ประสงค์ให้มนุษย์ตกลงไปในความทุกข์ยากลำบาก  แต่พระองค์ทรงอยู่ข้างเรา ตกลงไปแล้ว พระองค์ทรงช่วยแก้ไข เปลี่ยนแปลงให้มันดีขึ้น เอายาไปรักษา บอกเราดื้อ เราล้มลง เจ็บ เอายามาทาให้ อยู่ฝ่ายเราตลอดเวลา  เพราะฉะนั้น ตอนนี้พระเจ้ากำลังดูแลเราอยู่ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ผู้ที่เชื่อ ผู้ที่เป็นคริสเตียนแล้ว ไม่ต้องห่วง  พระเจ้าอยู่กับท่านด้วย และอยู่ฝ่ายท่าน  กำลังดูแลเอาใจใส่ ช่วยท่านทุกวิถีทางที่จะหลุดพ้นออกจากความทุกข์ลำบากเหล่านี้

วันนี้เอาแค่นี้ เอาสั้นๆ ให้รู้ว่าพระเจ้าอยู่ข้างเรา  แล้วกำลังช่วยเหลือเรา  กำลังดูแลชีวิตของเราอย่างเต็มที่  ให้พ้นจากความทุกข์ทรมานจากผลของโควิด-19 นี่แหละ เอเมน แล้วเราค่อยมาหนุนใจกันในเรื่องนี้อีกยาวมาก สนุกมาก เพราะถ้าท่านรู้ความจริง แล้วความจริงจะทำให้เราเป็นไท เพราะพระเจ้าอยู่ข้างเราตลอด พ่อเราอยู่ข้างเราตลอด  พ่อเราคอยดูแลเราอยู่ตลอด  เราล้มอะไรต่างๆ เราเจ็บ พ่อเจ็บกว่าเราอีก เพราะฉะนั้น ให้รู้ รับทราบเรื่องนี้ร่วมกัน

วันนี้เราจะมาคุยกัน เรารู้ว่าพระประสงค์ของพระเจ้า หรือเรียกกันว่าน้ำพระทัยพระเจ้า สำหรับมนุษย์ทุกๆ คนบนโลกใบนี้ ที่ยังไม่ได้เชื่อในพระองค์ ที่ยังไม่ได้เป็นลูกของพระองค์ ที่ยังไม่ได้เป็นคริสเตียน ที่ยังไม่เชื่อในพระเยซู น้ำพระทัยของพระเจ้าที่มีต่อมนุษย์เหล่านี้ทั้งหมด คืออะไร?  น้ำพระทัยของพระเจ้า พระประสงค์ของพระเจ้าที่มีต่อมนุษย์ผู้ที่ยังไม่เชื่อ  มีสิ่งเดียวเอง อย่างเดียวเอง  เราเรียนรู้แล้ว ก็คือให้เขาเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด ที่พระองค์ทรงประทานให้ อย่างเดียวเท่านั้นเอง ทุกอย่างจบลงตรงสิ่งเดียวที่เขาตัดสินใจนั้น เหมือนเราทั้งหลายที่เชื่อแล้ว ตัดสินใจแล้ว สิ่งเดียวนั่นแหละ สำคัญที่สุด คือเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด นี่คือความประสงค์ สิ่งเดียวที่พระเจ้ามีต่อบรรดาท่านทั้งหลายที่ยังไม่ได้เชื่อในพระเยซูคริสต์

สำหรับคนที่เชื่อแล้ว เป็นคริสเตียนแล้ว  เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดแล้ว  เราก็ได้ยินกันมาตลอด ถูกสอนกันมาตลอดว่าเป็นคริสเตียนแล้ว ให้เราดำเนินชีวิตตามน้ำพระทัยพระเจ้าหรือตามพระประสงค์ของพระเจ้านั่นเอง พระเจ้าต้องการอะไร ให้ทำตามนั้น ทั้งคำเทศนาเอย คำประกาศข่าวประเสริฐเอย  หนังสือคริสเตียนเอย คำอธิษฐานเอย ก็สอนตรงกันว่าเราควรทำตามน้ำพระทัยพระเจ้า    มาเชื่อพระเจ้าแล้ว ก็ต้องหาว่าพระเจ้าต้องการอะไรจากเรา พระประสงค์ที่มีต่อเรานั้น คืออะไร?

เราก็ได้รับคำสอนจากพี่เลี้ยงบ้าง? หนังสือคริสเตียนบ้าง? ว่าให้เราแสวงหาน้ำพระทัยของพระเจ้า เมื่อเราเริ่มต้นเชื่อพระเจ้าแล้ว เป็นคริสเตียนแล้ว แล้วเราก็อยากรู้ว่าน้ำพระทัยพระเจ้าสำหรับชีวิตของเรานั้น คืออะไร? หรือไม่มีใครอยากรู้  อยากรู้ทุกคน น้ำพระทัยพระเจ้า คืออะไร? คำเทศนาหลายแห่ง หนังสือหลายเล่ม  ก็ยกเอาหัวข้อนี้ บวกกับเรื่องศีลธรรม ประเพณี วัฒนธรรมต่างๆ ที่ตัวเองคิด ที่เขาว่าเป็นประเพณี ความคิดของโลกใบนี้ ที่เขาเรียกว่าสิ่งที่ดี ก็เอามาผนวกใส่เข้าไปเป็นน้ำพระทัยด้วย  แล้วก็บรรยายเป็นฉากๆ ว่าสิ่งเหล่านี้ คือน้ำพระทัย พระประสงค์ของพระเจ้า  ที่ให้เราทำ สำหรับชีวิตคริสเตียนทุกๆ คน

เพราะฉะนั้น จงทำสิ่งเหล่านี้ คือ 1, 2, 3, 4, 5

จงอย่าทำสิ่งเหล่านี้ ไม่ใช่น้ำพระทัยพระเจ้า 1, 2, 3, 4, 5, 6, 7, 8 ไปเรื่อยๆ แล้วก็ไปฟังเรื่อยๆ มามากขึ้นเรื่อยๆ เป็น 9, 10, 11, 12, 14, 15, 17, 18, 19, 20 จนกระทั่งเราชักงง  ตกลงน้ำพระทัยพระเจ้าให้เราทำอะไร? แล้วไม่ให้ทำอะไร?  เราก็จดจำกันมา  สอนกันต่อๆ มาเรื่อยๆ หนักๆ เข้า ที่บอกว่าเป็นน้ำพระทัยพระเจ้า เป็นพระประสงค์ของพระเจ้า จงกระทำสิ่งเหล่านี้ และห้ามทำสิ่งเหล่านี้ หลายๆ คนมาเชื่อพระเจ้า เลยเข้าใจผิด คิดไปว่าสิ่งเหล่านั้น คือกฎระเบียบที่ต้องทำ เมื่อมาเป็นคริสเตียนแล้ว  เพราะเป็นน้ำพระทัยพระเจ้า  ต้องจำให้ได้ และต้องทำให้ได้  เพราะฉะนั้น แทนที่จะหายเหนื่อยและเป็นสุข  ก็กลายเป็นภาระสำหรับคริสเตียน เหนื่อยเหมือนเดิม เหมือนก่อนเชื่อพระเจ้า  หรือเผลอๆ จะเหนื่อยมากกว่าด้วยซ้ำไป

วันนี้เราจะมาทำความเข้าใจในเรื่องนี้กัน หัวข้อการบรรยายในวันนี้ มีชื่อเรื่องว่า “2 สิ่งที่เป็นพระประสงค์อันดีเลิศ สำหรับท่าน” สำหรับเราผู้ที่เชื่อในพระเยซูคริสต์  ผู้ที่เป็นคริสเตียนแล้ว  อยากรู้แล้วใช่ไหมว่า 2 สิ่งนั้นคืออะไร?  ซึ่งแน่นอนพระคัมภีร์สอนว่าให้ดำเนินชีวิตตามพระประสงค์ของพระเจ้า  และพระคัมภีร์ก็มีคำตอบไว้ให้เรียบร้อยแล้วว่าสำหรับคนที่เชื่อแล้ว  เมื่อเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอดแล้ว มีอยู่แค่ 2 สิ่งที่พระเจ้าอยากให้ผู้เชื่อทุกคนทำตาม ซึ่งจะเป็นประโยชน์ เป็นพร สำหรับเขา สองสิ่งเองหรือ? ใช่ สองสิ่งเอง แล้วที่เรียนรู้มาตั้งหลายอย่าง 100  8,009  ก็อยู่ในแค่สองสิ่งนี้เท่านั้น  ในพระคัมภีร์เขียนไว้แค่สองสิ่งนี้เท่านั้น

สองสิ่งที่เป็นพระประสงค์ของพระเจ้านี้  เป็นสองสิ่งที่เป็นพระประสงค์อันดีเลิศ สำหรับท่าน ดีเลิศ ก็คือดีที่สุด สำหรับท่าน  เป็นสองสิ่งที่จะทำให้พระเยซูคริสต์ มีความรู้สึกชื่นใจในตัวของท่านแต่ละคน  และจะเป็นสองสิ่งที่พระเจ้าให้อิสรภาพกับท่านในการตัดสินใจด้วย สองสิ่งนี้ เป็นพระประสงค์ของพระเจ้าด้วยความรัก  ให้ท่านตัดสินใจเอง  มาดูกันว่า 2 สิ่งนี้คืออะไร?  คำตอบอยู่ที่ข้อพระคัมภีร์ โรม 12:1-2 …

โรม 12:1-2 “1 พี่น้อง เพื่อเห็นแก่พระคุณความเมตตาของพระเจ้า ที่มีต่อเราทั้งหลาย  ข้าพเจ้าขอร้องท่าน ให้ยอมมอบอวัยวะทุกส่วนในร่างกาย พร้อมทั้ง (สมอง) ความคิด และสติปัญญาของท่าน ให้เป็นเหมือนเครื่องบูชาที่มีชีวิตอยู่ ที่บริสุทธิ์ สะอาด ศักดิ์สิทธิ์ (เป็นสมบัติส่วนตัวของพระเจ้า) และเป็นที่พอใจพระเจ้าแล้ว ซึ่งเป็นการกตัญญูต่อพระเจ้าที่สมควร ในวิญญาณของเราที่ได้บังเกิดใหม่ โดยพระคุณพระเจ้า ซึ่งเป็นการนมัสการพระเจ้าด้วยวิญญาณ และความจริง 2 อย่าประพฤติตามระบบของโลกนี้ แต่มายอมรับการเปลี่ยนแปลงความประพฤติ   โดยการเปลี่ยนแปลง (โปรแกรมในสมอง) ความคิด สติปัญญาเสียใหม่ เพื่อท่านจะสามารถรับรู้ว่าอะไรที่เป็นความต้องการของพระเจ้า อะไรที่ดี อะไรที่ดียอดเยี่ยม สมบูรณ์แบบ ในสายตาของพระองค์ ตามแผนการของพระเจ้า (ในพระคริสต์) ที่วางไว้ให้กับท่าน”

 

โรม 12:1-2 เราเริ่มต้นที่ข้อ 1 “พี่น้อง เพื่อเห็นแก่พระคุณ ความเมตตาของพระเจ้า ที่มีต่อเราทั้งหลาย” คือผู้เชื่อทั้งหลาย

พระคุณ ความเมตตา คืออะไร? เราต้องย้อนกลับไปที่บริบทของหนังสือโรม  “เห็นแก่พระคุณ ความเมตตาของพระเจ้า ที่ได้เล่าสู่กันฟัง ได้เรียนรู้มาตั้งแต่โรม บทที่ 1 ถึงบทที่ 12 ตอนนี้ 11 บทมาแล้ว  ได้บอกความจริงอะไรกับเราบ้างว่าพระเจ้าได้ ทำให้เสร็จเรียบร้อยแล้ว ประทานอะไรให้กับเรา  คือ …

อภัยในความบาปผิดของเราทั้งหลาย ผู้เป็นคนบาปตั้งแต่กำเนิด อภัยในความบาปของเราตั้งแต่อดีต ปัจจุบัน และตลอดไปเลย   ทำผิดเมื่อไร? ก็อภัยตลอด  โดยเราไม่ต้องทำอะไรเลย  โดยผ่านทางพระเยซูคริสต์ และนอกจากอภัยให้เราแล้ว ยังรับเรามาเป็นลูกของพระองค์ ให้เราบังเกิดใหม่พร้อมพระเยซู มีวิญญาณเดียวกับพระเยซู แล้วพระองค์ก็ทรงเข้ามาสถิตอยู่กับเรา

นี่คือพระคุณความเมตตาของพระเจ้าที่เราได้เรียนรู้กันมาอย่างละเอียด ในบทที่ 1 – 11 ของหนังสือโรม มันหมายถึงอย่างนั้น พี่น้อง เพื่อเห็นแก่พระคุณเหล่านั้น  ความเมตตาของพระเจ้าเหล่านั้นที่มีต่อเราทั้งหลาย หมายถึงความเมตตาเหล่านั้น

แล้วอย่างไรต่อ? พอเห็นพระคุณ ความเมตตาเหล่านั้น แล้วทำไม? “ข้าพเจ้าขอร้องท่าน ให้ยอมมอบอวัยวะทุกส่วนในร่างกาย” กำลังจะบอกว่าเห็นพระคุณ ความเมตตาแล้ว  ให้เราตัดสินใจยอมมอบถวาย ก็คือยอมก็ได้ ไม่ยอมก็ได้  ซึ่งอยู่ในโรม 12:1-2 นี้ มีอยู่แค่สองสิ่งเท่านั้นเอง  เพื่อทดแทนในพระคุณ เป็นความกตัญญูต่อพระคุณของพระเจ้า ที่ได้ทำให้เราอย่างที่บอก อภัยให้เรา  และรับเรามาเป็นลูกของพระองค์  ขอแค่ 2 สิ่งเท่านั้นเอง  และให้เราตัดสินใจเองด้วยนะ ให้อิสรภาพกับเรา

สองสิ่งที่พระเจ้าขอร้องผู้เชื่อทุกคน  ก็อยู่ในข้อพระคัมภีร์ 2 ข้อนี้

สิ่งที่หนึ่ง ก็คือที่บอกไว้ในโรม 12:1 คือยอมมอบอวัยวะในร่างกายทั้งหมด  ทั้งตา หู จมูก ลิ้น กาย ความคิด สมองให้พระองค์ได้ใช้งาน ตามน้ำพระทัย

อย่าลืมนะ  มอบก็ได้ ไม่มอบก็ได้  เป็นอิสระ ตัดสินใจได้เลย  เพราะว่าความรักของพ่อที่มีต่อเรา  ให้กำเนิดเราเป็นลูก ไม่ใช่ให้กำเนิดเรามาเป็นหุ่นยนต์

โรม 12:1 “พี่น้อง เพื่อเห็นแก่พระคุณความเมตตาของพระเจ้า ที่มีต่อเราทั้งหลาย  ข้าพเจ้าขอร้องท่าน ให้ยอมมอบอวัยวะทุกส่วนในร่างกาย พร้อมทั้ง (สมอง) ความคิด และสติปัญญาของท่าน ให้เป็นเหมือนเครื่องบูชาที่มีชีวิตอยู่ ที่บริสุทธิ์ สะอาด ศักดิ์สิทธิ์ (เป็นสมบัติส่วนตัวของพระเจ้า) และเป็นที่พอใจพระเจ้าแล้ว ซึ่งเป็นการกตัญญูต่อพระเจ้าที่สมควร ในวิญญาณของเราที่ได้บังเกิดใหม่ โดยพระคุณพระเจ้า ซึ่งเป็นการนมัสการพระเจ้าด้วยวิญญาณ และความจริง”

 

ให้เรามาวิเคราะห์กัน “เพื่อเห็นแก่พระคุณ ความเมตตาของพระเจ้า” สิ่งแรก ก็คือให้เรายอมมอบถวายอวัยวะทุกส่วนในร่างกาย พร้อมทั้งสมองเรา ความคิด สติปัญญาของเราให้กับพระเจ้า ไม่ใช่ต้องทำนะ บอกแล้ว เรามีสิทธิ์ที่จะไม่ทำก็ได้ เพราะว่าในนี้บอกว่า … “ข้าพเจ้าขอร้องท่าน” ถ้าเปาโลเป็นตัวแทนของพระเจ้า พระเจ้าก็กำลังขอร้องเรา

พระเจ้านี่นะ  ใช่ ก็อ่านไปแล้ว เห็นชัดไหม? พระเจ้าผู้ทรงสร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก ผู้ทรงประทานความเมตตาให้กับเรา รับเราเป็นลูกของพระองค์ อภัยในความบาปทั้งสิ้นของเรา  มาขอร้องเราหรือ? ใช่ เพราะว่าพระองค์ทรงรักเราไง  เหมือนเรามีลูก เราคงไม่บังคับลูก ล่ามโซ่ แล้วบอกต้องรักเราๆ เราให้อิสระเขา เขาจะรักเราหรือไม่รักเรา ก็เป็นตัวของเขาที่จะตัดสินใจถูกไหม? เหมือนกัน พระเจ้าเป็นต้นแบบของพ่อผู้ให้กำเนิด  พระเจ้ากำลังขอร้องคริสเตียนทุกคน มนุษย์ทุกคน ที่เชื่อในพระองค์ เป็นลูกของพระองค์แล้ว ให้ยอม ก็คือพระองค์ไม่บังคับ  ให้ยอมมอบถวายอวัยวะทุกส่วนในร่างกาย

ทุกส่วนในร่างกายของเรา ก็มี ตา หู จมูก ลิ้น กาย ความคิด สมอง และสติปัญญา

ในนี้บอกว่าถวาย ให้เป็นเครื่องบูชาที่มีชีวิตอยู่ ที่บริสุทธิ์ สะอาด ศักดิ์สิทธิ์ ที่เป็นสมบัติส่วนตัวของพระเจ้า และเป็นที่พอพระทัยของพระเจ้าแล้ว ตรงนี้หมายถึงให้ถวายร่างกายของเรา  ที่พระเยซูคริสต์ได้ทรงชำระเราด้วยพระโลหิตของพระองค์เรียบร้อยไปแล้ว ได้ทำให้เราเป็นเครื่องบูชาที่มีชีวิตอยู่ สะอาด บริสุทธิ์ เป็นทรัพย์สมบัติส่วนตัว พระเจ้าได้ซื้อเราด้วยราคาแพง  โดยการสิ้นพระชนม์ของพระบุตร คือพระเยซูคริสต์ ซื้อชีวิตของเราทั้งหมด ร่างกายของเราเป็นของพระองค์ทั้งหมดแล้ว ซื้อมาด้วยราคาแพงด้วย และตอนนี้ เราได้รับการชำระด้วยพระโลหิตของพระเยซูคริสต์ สะอาด หมดจดแล้ว เป็นที่พอใจของพระเจ้า ร่างกายของผู้เชื่อทั้งหลาย เป็นสมบัติส่วนตัวของพระเจ้าแล้ว สะอาด หมดจด บริสุทธิ์  พระเจ้าพอใจมากเลย ไม่พอใจได้อย่างไร? ไม่บริสุทธิ์ได้อย่างไร?  ก็พระองค์มาสถิตอยู่ด้วยเลย

ร่างกายท่านเป็นวิหารของพระเจ้าแล้ว ถ้าเราเข้าใจอย่างนี้  เรายินดีไหมที่จะมอบตา หู จมูก ลิ้น กาย ความคิด สติปัญญา สมอง หรือมีอะไรมากกว่านั้นอีก ไม่รู้ สมมติถ้ามี เราก็อยากจะให้พระองค์ทั้งหมด เพราะว่าพระองค์ทรงชำระแล้ว เป็นของพระองค์ส่วนตัวแล้ว ไม่ใช่เป็นของเราแล้ว พระองค์เพียงมาขอความร่วมมือกับเราอีกทีหนึ่ง คิดดูสิ  เราเป็นผู้ให้กำเนิดลูกของเรา เรารู้ว่าเราให้กำเนิดเขา  DNA ของเขา ก็มาจากเรานั่นแหละ เราให้เขาทุกอย่าง  แล้วเราจะมาขอลูกเราอีกว่า …

“ลูกเอ๋ย เชื่อฟังพ่อเถิดนะ เชื่อฟังแม่เถอะ”

ใช่ไหม? มนุษย์ธรรมดาทุกคน ก็คิดอย่างนี้ในครอบครัว … เชื่อฟังพ่อแม่เถอะนะ ขอร้องเลย เหมือนกัน พระเยซูได้ทำให้เราได้บังเกิดใหม่ มี DNA ในวิญญาณเหมือนพระองค์ไม่มีผิดเลย แล้วร่างกายเราได้รับการชำระ ด้วยพระโลหิตของพระเยซูคริสต์จนสะอาดหมดจด บริสุทธิ์ตลอดไป  พระเจ้าเข้ามาสถิตอยู่ แล้วบอกว่า …

“จงมอบร่างกายที่สะอาดหมดจด ให้กับพ่อนะ พ่อจะดูแลให้ พ่อจะนำให้”

มันหมายถึงอย่างนั้น อ่านต่อไปบอกว่า … “ซึ่งเป็นการกตัญญูต่อพระเจ้า ที่สมควร” สมควรไหมล่ะ พอเรารู้ความจริงอย่างนี้ สมควรไหม?  ซึ่งเป็นการตอบสนองต่อพระคุณของพ่อแม่เรา ซึ่งสมควรในวิญญาณของเรา  เพราะในวิญญาณเราได้บังเกิดใหม่แล้ว เรารู้ความจริงในวิญญาณของเรา  ที่ได้บังเกิดใหม่เป็นลูกของพระเจ้า โดยพระคุณของพระเจ้านั้น เพราะเราเชื่อ เราก็ได้รับการบังเกิดใหม่ เป็นลูกของพระเจ้า โดยพระคุณของพระเจ้า ด้วยความเชื่อ ไม่ใช่โดยการกระทำของเราเอง  เราเกิดจากพระองค์ ด้วยความรักของพระองค์จริงๆ เราจึงสมควรที่จะกตัญญูต่อความรักนี้ อย่างมากมาย ที่รับเราเป็นลูก มันหมายถึงอย่างนั้น

ในนี้บอกว่า … “ซึ่งเป็นการนมัสการพระเจ้าด้วยวิญญาณและความจริง” การกระทำอย่างนี้  การมอบถวายอวัยวะ คือร่างกายของเรา ตา หู จมูก ลิ้น กาย ความคิด สมอง สติปัญญาของเราให้กับพระเจ้าอย่างนี้  เป็นการนมัสการพระเจ้า

นึกว่าการนมัสการพระเจ้า คือการนมัสการ ด้วยการถวายทรัพย์ การนมัสการพระเจ้าด้วยการร้องเพลง  นมัสการพระเจ้าด้วยการเต้นรำ  นมัสการพระเจ้าด้วยการอธิษฐาน เรานึกว่าแค่นั้น ในนี้บอกว่าการมอบถวายร่างกายทั้งหมดให้พระเจ้า เป็นการนมัสการพระเจ้า ด้วยวิญญาณและความจริง

นมัสการ คือการยอมจำนน เชื่อฟัง เหมือนดั่งทาส  ถ้าแปลตรงๆ นะ นมัสการ คือการยอมจำนน เชื่อฟัง เหมือนดั่งทาส  คือพูดคำไหน? เป็นคำนั้น  ซึ่งเป็นการนมัสการ เป็นเหมือนดั่งทาส ด้วยวิญญาณของเราเลย  คือยอมจำนนต่อพระองค์ทุกอย่าง  มอบทุกอย่างให้กับพระองค์

และด้วยความจริง  คือถ้อยคำของพระเจ้าที่เป็นความจริง ก็คือพระเยซูคริสต์นั่นเองว่าเราเกิดในพระเยซูคริสต์ เราเชื่อฟัง  เราเป็นลูกของพระเจ้าในพระเยซูคริสต์ ความจริงอยู่ในเรา และเรานมัสการพระเจ้า ด้วยการมอบถวายอวัยวะเหล่านี้ให้กับพระเจ้าใช้ และรู้ตามความจริงว่าอวัยวะต่างๆ เหล่านี้ทั้งหมด มันบริสุทธิ์ สะอาด เป็นทรัพย์สมบัติส่วนพระองค์ แต่เพียงผู้เดียว เอเมน ในโรม 6:13 …

โรม 6:13 “อย่ายอมยกอวัยวะของท่านให้แก่บาป ให้เป็นเครื่องใช้ในการอธรรม แต่ยอมมอบตัวของท่านแด่พระเจ้า เหมือนหนึ่งคนที่เป็นขึ้นมาจากความตายแล้ว และยอมให้อวัยวะของท่าน เป็นเครื่องใช้ในการชอบธรรม ถวายแด่พระเจ้า”

 

เห็นไหมครับ ลักษณะเดียวกัน  “อย่ายอมยกอวัยวะของท่าน” ก็คือให้ท่านเป็นผู้ตัดสินใจ ให้อิสรภาพกับท่าน พระเจ้าเป็นเจ้าของเรา แต่ให้เราเป็นผู้ตัดสินใจด้วยตัวเราเอง

“อย่ายอมยกอวัยวะของท่านให้แก่บาป ให้เป็นเครื่องใช้ในการอธรรม” ก็คือให้กับศัตรู  เพื่อใช้ในการดื้อต่อพระเจ้า ในความชั่ว แต่ยอมมอบตัวของท่าน คือร่างกายของท่าน แด่พระเจ้า เหมือนหนึ่งคนที่เป็นขึ้นจากความตายแล้ว หมายถึงเหมือนกับวิญญาณของท่าน ความคิดจิตใจของท่าน ที่ได้บังเกิดใหม่แล้ว  ร่างกายของท่านที่ได้รับการชำระจนสะอาดหมดจด โดยพระโลหิตของพระเยซูคริสต์แล้ว หมายถึงอย่างนั้นแหละ จงมอบร่างกายท่าน เหมือนคนที่เกิดใหม่แล้ว พูดง่ายๆ ว่าตัวเก่ามันตายไปแล้ว  ตอนนี้เป็นของพระเจ้า เป็นทรัพย์สมบัติของพระเจ้าส่วนตัวแล้ว

“และยอมให้อวัยวะของท่านเป็นเครื่องใช้ในความชอบธรรม ถวายแด่พระเจ้า” ก็คือให้พระเจ้าใช้ ถ้าพระเจ้าใช้ พระเจ้าดี พระองค์ทรงใช้ไปในทางที่ดีทั้งหมด ใครเป็นคนใช้? พระเจ้า เราใช้หรือเปล่า? เราไม่ได้ใช้ เราไม่ได้เข้าเกียร์ด้วยตัวเราเอง  เราเข้าเกียร์ว่างไว้ พระเจ้าใช้ พระเจ้าทำงานในเรา มันหมายถึงอย่างนั้น

ตอนนี้เราก็ได้รับทราบแล้วว่าสิ่งที่เป็นพระประสงค์อันดีเลิศ สำหรับเราคริสเตียนผู้เชื่อแล้ว อย่างแรก คือให้ยอมมอบอวัยวะในร่างกายทั้งหมด ทั้งสิ้น ตา หู จมูก ลิ้น กาย ความคิด สมอง สติปัญญา ให้เป็นเครื่องมือ ให้พระเจ้าใช้งาน

เรามาดูสิ่งที่สอง อยู่ในหนังสือโรม 12:2 นั่นเอง ที่เราได้อ่านไปเมื่อตะกี้นี้  ก็คือ …

สิ่งที่สอง คือให้ยอมรับการเปลี่ยนแปลงความคิด คือเปลี่ยนแปลงโปรแกรมในสมองของเราเสียใหม่ เพราะมีคำว่าให้เปลี่ยนแปลงเสียใหม่ คือมีโปรแกรมเก่า ต้องเปลี่ยนใหม่  ด้วยการเชื่อในถ้อยคำของพระองค์ ก็คือเชื่อในถ้อยคำของพระเจ้าที่เป็นความจริง ที่พระองค์ทรงบอกเราถึงเรื่องเกี่ยวกับความสำเร็จในโลกฝ่ายวิญญาณ ที่พระเยซูคริสต์ได้ทรงกระทำให้เรา ให้ท่าน สำเร็จเรียบร้อยไปแล้ว

พูดง่ายๆ ว่าให้เราเปลี่ยนโปรแกรมในสมอง  แล้วก็เชื่อในความจริงนั้น  ปากพูดต่อความจริงนั้นว่าเอเมน โดยไม่มีข้อแม้ เดี๋ยวเราจะรู้กันว่าไม่มีข้อแม้คืออะไร?

เอเมน คือใช่ มันเป็นไปตามนั้น  เพราะเรามองไม่เห็น …

พระเจ้าบอกเราเป็นลูกของพระองค์ เอเมน เราเป็นลูกของพระองค์

พระเจ้าบอกเราบริสุทธิ์สะอาดแล้ว เราบอกเอเมน พระเจ้าบอกเราบริสุทธิ์สะอาดแล้ว  มันหมายถึงอย่างนั้น

ถ้อยคำแห่งความจริงของพระเจ้าบอกว่าร่างกาย อวัยวะทั้งหมดได้รับการชำระด้วยโลหิตพระเยซูคริสต์ บริสุทธิ์ สะอาดแล้ว เราก็บอกเอเมน จงเป็นไปตามนั้น  ก็คือเชื่อไปตามนั้น  เชื่อในความจริงเหล่านั้น มันหมายถึงอย่างนั้น

และโปรแกรมสมองเดิมเรา คืออะไร? บอกว่าเรายังเป็นคนเดิมอยู่เลย เรายังไม่สะอาดหมดจดอะไรต่างๆ เหล่านั้น  เรามาอ่านดูในรายละเอียด โรม 12:2 …

โรม 12:2 “อย่าประพฤติตามระบบของโลกนี้ แต่มายอมรับการเปลี่ยนแปลงความประพฤติ   โดยการเปลี่ยนแปลง (โปรแกรมในสมอง) ความคิด สติปัญญาเสียใหม่ เพื่อท่านจะสามารถรับรู้ว่าอะไรที่เป็นความต้องการของพระเจ้า อะไรที่ดี อะไรที่ดียอดเยี่ยม สมบูรณ์แบบ ในสายตาของพระองค์ ตามแผนการของพระเจ้า (ในพระคริสต์) ที่วางไว้ให้กับท่าน”

 

“อย่าประพฤติตามระบบของโลกนี้” ระบบของโลกนี้ ก็คือบาป ศัตรู ต่อต้าน  ตรงกันข้ามกับพระเจ้า ดื้อกับพระเจ้า พูดง่ายๆ อย่าประพฤติตามระบบของโลกนี้ ก็คืออย่าดื้อกับพระเจ้า แต่มายอมรับการเปลี่ยนแปลง ความประพฤติ ก็คือยอมให้พระเจ้าเปลี่ยนแปลง

ตรงนี้ สังเกตนิดหนึ่ง ที่บอกว่า “แต่มายอมรับการเปลี่ยนแปลง” ยอมรับการเปลี่ยนแปลง แสดงว่าไม่ได้เปลี่ยนด้วยตัวเอง ยอมรับการถูกเปลี่ยนแปลง ยอมให้พระเจ้ามาเปลี่ยนแปลง โดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้าที่สถิตอยู่ในเรานั่นแหละ มาเปลี่ยนแปลงความประพฤติเดิมๆ  ตามระบบของโลกใบนี้  ซึ่งเป็นศัตรู เป็นบาป ต่อต้านพระเจ้า ดื้อต่อพระเจ้า

ตรงนี้สำคัญมาก โดยการเปลี่ยนแปลงโปรแกรมในสมอง ความคิด สติปัญญาในสมองเสียใหม่ ก็แสดงว่าไม่ได้เน้นเรื่องความประพฤติ แต่เน้นเรื่องความคิด สติปัญญาในสมอง  โปรแกรมในสมองต้องรับการเปลี่ยนแปลง  พอสมองเปลี่ยนแปลง ความคิดเปลี่ยนแปลงปุ๊บ  ความประพฤติมันเปลี่ยนแปลงเอง  เพราะฉะนั้น เมื่อเราถูกหลอกด้วยกลยุทธ์ทางสงครามฝ่ายวิญญาณ  ซึ่งศัตรู ก็คือมารพยายามให้เราไปเน้นเรื่องความประพฤติ ให้เปลี่ยนแปลงความประพฤติ (ให้เปลี่ยนเองอีกต่างหาก)

ในนี้บอกว่าให้เราเปลี่ยนแปลงความคิด  ร่วมมือกับพระเจ้า เปลี่ยนแปลงความคิด ให้พระวิญญาณเข้ามาช่วยเรา  ในการเปลี่ยนแปลงโปรแกรมความคิดเสียใหม่  แสดงว่ามีของเก่าอยู่ เอาของใหม่เข้ามา แล้วพอเปลี่ยนแปลงได้ปุ๊บ ความประพฤติมันจะถูกเปลี่ยนไป โดยพระวิญญาณเอง เช่นเดียวกัน เราไม่ต้องทำอะไรเลย  ทำแค่สิ่งเดียว คือยอม หรือไม่ยอม ถ้าเราไม่รู้ความจริงเหล่านี้ เราพยายามๆ ที่จะไปเปลี่ยนแปลงความประพฤติ มันก็จะออกมาเป็นข้อ 1 – 10 แล้วข้อ 10 ทำได้ปุ๊บ ไปอีก 20 ข้อ ไปอีก 30 ข้อ  อันนั้นผิด อันนั้นถูก อันนี้ต้องอย่าทำ อันนี้ทำ อันนี้ห้ามทำ

อย่างที่ตะกี้ที่บอกมาตั้งแต่แรกแล้ว  ใช่หรือไม่? แล้วเราทำไปเรื่อยๆ ความคิดเดิมๆ ยังอยู่ โปรแกรมความคิดเดิมๆ ยังอยู่ สติปัญญาเดิมๆ ยังอยู่  อิทธิพลความบาป ความดื้อ เป็นศัตรูกับพระเจ้ายังอยู่เลย เพราะฉะนั้น ทำไป ก็ไม่มีประโยชน์  ทำไปก็ไร้ค่า ทำไป พระเจ้าก็เสียพระทัย  เพราะไม่ได้เป็นน้ำพระทัยพระเจ้าสักหน่อย น้ำพระทัยพระเจ้า คือให้เราเปลี่ยนแปลงความคิด โปรแกรมความคิด  สติปัญญาเก่าๆ ให้เป็นใหม่ซะ

ประโยชน์อะไรเกิดขึ้น? ในนี้บอกว่าเปลี่ยนแปลงโปรแกรมสมอง ความคิด สติปัญญาเสียใหม่  เพื่อท่านจะสามารถรับรู้ว่าอะไรเป็นความต้องการของพระเจ้า  ก็คือพระประสงค์ของพระเจ้า อะไรดี อะไรดียอดเยี่ยม  อะไรดีสมบูรณ์แบบ  ในสายพระเนตรของพระองค์ ตามแผนการของพระเจ้า ในพระคริสต์  ที่วางไว้ให้กับท่าน  สำเร็จเรียบร้อยไปแล้ว  แปลว่าเปลี่ยนแปลงความคิด โปรแกรมในสมองของท่าน  เพื่อท่านจะได้รับรู้ว่าอะไรที่เป็นที่พอใจของพระเจ้า  ที่พระองค์ได้ทรงกระทำสำเร็จแล้ว ในพระเยซูคริสต์ คือให้ท่านเป็นลูกของพระเจ้า สะอาด บริสุทธิ์ ศักดิ์สิทธิ์ เป็นที่อาศัยของพระเจ้า คืนดีกับพระเจ้าได้  สมบูรณ์แบบครบถ้วน เรียบร้อยไปแล้ว ในพระเยซูคริสต์ นี่คือความต้องการของพระเจ้าที่สำเร็จแล้ว สิ่งที่พระเจ้าต้องการให้เรารู้  ก็คือให้รู้ความจริง ให้เปลี่ยนแปลงความคิดที่มันเคยดื้อ ที่มันไม่เชื่อต่อสิ่งเหล่านี้ ให้มาเชื่อฟัง เปลี่ยนแปลงความคิดเท่านั้นเอง สำคัญมากเลยตรงนี้

เราเข้าใจผิด เราคิดว่าต้องทำอะไรก็ตามให้พระเจ้าพอใจ  แต่สิ่งที่พระเจ้าพอใจ พระองค์ทรงกระทำสำเร็จแล้ว ไม่ใช่ให้เราทำ  พระองค์ทรงกระทำสำเร็จแล้วในสิ่งที่พระองค์พอใจ ก็คือทำให้เราครบถ้วนบริบูรณ์ในพระเยซูคริสต์ และต้องการให้เรารู้ว่าเราสมบูรณ์แบบแล้ว โดยพระองค์ผู้ทำให้ เมื่อเรารู้ว่าเราสมบูรณ์แบบแล้ว พระองค์ก็พอใจ  พระองค์ยิ่งชื่นใจในสิ่งที่เรารับรู้นั้น

แล้วเราจะรับรู้ได้อย่างไร? คือเราต้องยอม ยอมเปลี่ยนความคิด  โปรแกรมในสมองที่มันบอกว่าเรายังไม่ดีพร้อม เราไม่ใช่หรอก เราต้องทำอันโน้น อันนี้ให้มันสมบูรณ์แบบขึ้น ไม่ใช่ พระเจ้าบอกสมบูรณ์แบบแล้ว ในพระคริสต์ เราก็บอกยังไม่สมบูรณ์แบบหรอกๆ เรา คือถูกอิทธิพลของโปรแกรมของความคิดเก่าๆ  ซึ่งเป็นอิทธิพลของความบาป  ก่อนที่เราจะเชื่อนั่นแหละ  เห็นไหมว่ามันมีประโยชน์อย่างไร?  ในฮีบรู 10:38 จึงบอกอย่างนี้ว่า …

ฮีบรู 10:38  “แต่คนชอบธรรมจะมีชีวิตดำรงอยู่โดยความเชื่อ แต่ถ้าผู้ใดเสื่อมถอย ใจของเราจะไม่มีความชื่นใจ ในคนนั้นเลย”

 

“แต่คนชอบธรรมจะมีชีวิตดำรงอยู่โดยความเชื่อ” จะอยู่ในความเชื่อนั่นเอง  “ดำรงชีวิต” ก็คืออยู่ เหมือนเราอยู่ในพระคริสต์ อยู่ในความเชื่อ

ถามว่าเชื่ออะไร? ท่านคิดซิว่าเชื่อในอะไรล่ะ คนชอบธรรม คือคนที่เป็นคริสเตียนแล้ว มาเชื่อในพระเจ้า  แล้วเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์แล้ว มีชีวิตอยู่ในความเชื่อ … เชื่ออะไร? ก็ตะกี้นี้ที่บอกมาแล้ว  ถ้าขาดความเชื่อนี้ พระเจ้าเสียใจ  ไม่ชื่นใจกับคนนั้นเลย  มันหมายถึงอย่างนั้น  พ่อเราจะชื่นใจ เมื่อเราอยู่ในความเชื่อ  ถามว่าเชื่ออะไร? เชื่อในความจริงในพระคริสต์ หรือในพระเยซูคริสต์ ที่เราอยู่นั่นแหละ ก็คือความจริงในโลกวิญญาณที่มองไม่เห็น สัมผัสทางร่างกาย ตา หู จมูก ลิ้น กาย ไม่สามารถสัมผัสได้ สมองมนุษย์ไม่สามารถเข้าใจได้ ตรงนี้แหละ ต้องใช้ความเชื่อ  เชื่อในความจริงในโลกวิญญาณที่ตา หู จมูก ลิ้น กาย สมอง ความคิด ที่ไม่สามารถที่จะสัมผัส  ที่จะรับรู้ได้

ยกตัวอย่าง เช่นเรารับรู้ความจริงในส่วนนี้ว่าเมื่อพระเจ้าบอกเราในความจริง ให้เราวางใจในความจริงเหล่านั้น  เราก็บอกว่าเอเมน  มันเป็นไปตามนั้นแหละ ไม่ว่าความคิดของเราจะต่อต้านเท่าไร? ไม่ว่าเนื้อหนังร่างกาย ความรู้สึกเราจะไม่รู้สึกเห็นด้วย คล้อยตามด้วย  เราก็บอกว่าเป็นไปตามนั่นแหละ เพราะมันเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ในโลกวิญญาณ และพระเจ้าเป็นผู้บอกเรา

อย่างเช่น พระเจ้าได้บอกกับเราว่าเราได้รับบัพติศมา เข้าส่วนร่วมในพระเยซูคริสต์เรียบร้อยแล้ว เมื่อเราเปิดใจต้อนรับเชื่อในพระเจ้า เราเข้าสู่ขบวนการผ่าตัดทางวิญญาณ พระเจ้าได้เอาวิญญาณของเราเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของพระเยซูคริสต์ ตายพร้อมพระเยซูคริสต์ที่ไม้กางเขน  ถูกฝังไว้ในอุโมงค์ และวันที่สามได้เป็นขึ้นจากความตายร่วมกับพระเยซูคริสต์ ได้บังเกิดใหม่ เป็นลูกของพระเจ้า ได้รับวิญญาณของพระเยซูคริสต์ ที่พระองค์ทรงแบ่งให้เรา เป็น DNA ทางฝ่ายวิญญาณ  เต็มด้วยสง่าราศี เป็นวิญญาณที่ได้บังเกิดใหม่ของเรา และพระเยซูก็เข้ามาสถิตอยู่กับเรา ร่วมกับเรา เป็นหนึ่งเดียวกันกับเรา เราดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ด้วยความเชื่อ ในความเป็นจริงว่าเรา คือลูกของพระเจ้า พระเยซูอยู่ในเรา และเราอยู่ในพระเยซู เราอยู่ในพระคริสต์ พระคริสต์อยู่ในเรา  ทุกลมหายใจเข้าออก มีชีวิตอยู่ โดยพระคริสต์ สัมผัสแตะต้องได้ไหม? ไม่ได้ มองเห็นไหม? ไม่เห็น  แต่เชื่อเอาว่าได้บังเกิดใหม่แล้ว

ได้รับการย้ายแล้ว จากอาณาจักรของความมืด  ย้ายจากในอาดัม เข้ามาอยู่ในพระคริสต์ ย้ายจากอาณาจักรแห่งความพินาศ เข้ามาสู่อาณาจักรของสวรรค์ อาณาจักรของพระเยซูคริสต์ อาณาจักรแห่งแสงสว่างแล้ว  รับรู้ว่าเราเป็นใคร? ตัวเองเป็นใครในพระเยซูคริสต์? เพื่อที่จะไม่ถูกหลอกให้คิดและต่อต้านกับความจริง ที่พระเจ้าบอกเรานี่แหละ เพราะยิ่งถ้าเรารู้มากเท่าไรว่าเราเป็นใครในพระเยซูคริสต์ พระเจ้าทำอะไรให้กับเราบ้าง? เมื่อเรารู้มากเท่าไร เท่ากับเราเปลี่ยนแปลงความคิด โปรแกรมในสมอง จากการต่อต้านความจริงนี้  เป็นยอมรับความจริง  เอเมนในความจริงมากขึ้น  ยิ่งมากขึ้นเท่าไร? ก็ยิ่งทำให้เรามีความประพฤติที่เปลี่ยนไปเท่านั้นไง  เห็นไหมครับ พระเจ้ายอดเยี่ยมมากจริงๆ  และเป็นการงานของพระวิญญาณบริสุทธิ์เท่านั้น  เราเพียงแต่ยอมให้พระองค์ทรงกระทำตามกลยุทธ์นี้เท่านั้น คือยอมเปลี่ยนแปลงความคิด เปลี่ยนโดยเอาความจริงของพระเจ้าเข้ามาแทน การโกหกหลอกลวงของมาร  ในโปรแกรมความคิดของเรา

เมื่อเรารู้มาก ในโปรแกรมความคิดของเรามีความจริงตรงนี้มาก เราก็จะประพฤติให้เป็นไปด้วยกันกับถ้อยคำพระเจ้า  เราก็จะประพฤติ สมควรแก่ความจริงนั้น  ก็คือสมฐานะ เมื่อเรารู้ว่าเราเป็นลูกกษัตริย์มากเท่าไร? เราก็จะแต่งตัวสมฐานะ เหมือนที่ผมยกตัวอย่างอยู่บ่อยๆ  เมื่อเรารู้ว่าเราเป็นคนมากเท่าไร? เราก็จะแต่งตัว ใส่กางเกง ใส่เสื้อเหมือนคน ถ้าเรารู้น้อย เราก็แต่งตัวเหมือนลิง ที่แต่ก่อนนี้ทาร์ซานเคยอยู่กับลิงมาก่อน ท่านพอมองเห็นภาพไหมครับว่ามันเป็นอย่างนั้นแหละ

เพราะฉะนั้น ผู้เชื่อต้องดำเนินชีวิตด้วยความเชื่อเท่านั้น  ไม่ใช่ด้วยตามองเห็น หรือความรู้สึก ที่แตะต้องได้ด้วยร่างกายนี้  และต้องเชื่อในสิ่งที่พระเจ้าได้สัญญาไว้เท่านั้น ซึ่งพระเจ้าสัญญาไว้ ก็คือสิ่งที่พระเยซูคริสต์ได้กระทำสำเร็จเรียบร้อยแล้วที่ไม้กางเขน ในพระเยซูคริสต์ หรือเรียกว่าในพระคริสต์ ที่พระองค์ทรงกระทำสำเร็จแล้วเท่านั้น ที่พระองค์ทรงสัญญาไว้

และสิ่งสำคัญมาก ถึงมากที่สุด  คือเราต้องจับแก่นแท้จริงของข่าวประเสริฐให้ได้  แก่นแท้จริงของข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์ว่าผลของข่าวดี ที่พระเยซูทำสำเร็จแล้ว ที่ไม้กางเขนนั้น แก่นแท้ทั้งหมด เกี่ยวกับเรื่องโลกวิญญาณทั้งสิ้น  เพื่อเราจะได้ไม่เข้าใจผิด หรือถูกหลอก ล่อลวง ขโมยเอาความจริงนี้ไป ตรงนี้สำคัญมาก  เราต้องจับแก่นแท้ของข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์ให้ได้ว่าแก่นแท้ของข่าวประเสริฐ เรื่องพระเยซูคริสต์ คือเรื่องเกี่ยวกับโลกวิญญาณทั้งสิ้น ซึ่งไม่มีทางที่จะเข้าใจได้ด้วยสติปัญญาของมนุษย์เลย ต้องให้พระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า สำแดงสิ่งเหล่านี้ออกมาให้เราได้เห็น และพระองค์ทรงสำแดงแล้ว ที่ในถ้อยคำของพระองค์เกี่ยวกับเรื่องพระเยซูคริสต์ เกี่ยวกับเรื่องความสำเร็จที่พระองค์ทรงกระทำที่ไม้กางเขนเหล่านั้น ในพระคัมภีร์ใหม่ ในหนังสือจดหมายฝากจะเห็น เขียนไว้ชัดเจนมากเลยว่าในพระคริสต์ เราเป็นใคร?  เพื่อเราจะได้ไม่ถูกหลอก โดยระบบของโลกนี้  ก็คือปกครองและครอบงำ โดยมาร  มันจะส่งความคิด หลอกล่อ

ยกตัวอย่างว่าในพระคริสต์ พระเจ้าบอกเราว่าเราได้รับการชำระจนบริสุทธิ์ สะอาด เป็นลูกของพระเจ้าเรียบร้อยไปแล้ว ระบบของโลกนี้ มารก็พยายามส่งความคิดมาว่า …

“ไม่เห็นบริสุทธิ์เลย บริสุทธิ์อะไร เมื่อวานนี้ยังหงุดหงิดอยู่เลย เมื่อวานนี้ยังโลภอยู่เลย เมื่อวานนี้ยังโกรธเขาอยู่เลย เมื่อวานนี้ยังอิจฉาเขาอยู่เลย  อย่างนี้บริสุทธิ์หรือ?”

ยกตัวอย่างให้เห็น นี่มันส่งความคิดนี้มา เห็นไหมครับ?  และโปรแกรมความคิดเก่าของเราคิดอย่างนี้  คิดว่าถ้าเราประพฤติอย่างนี้ แสดงว่าเราไม่บริสุทธิ์ เราก็คิดอย่างนี้ แต่พระเยซู พระเจ้าบอกว่า …

“เจ้าบริสุทธิ์แล้ว เราตายเพื่อเจ้า หลั่งพระโลหิตเพื่อเจ้า”

มันแย้งกันเห็นไหม? มารก็จะส่งความคิดมาว่า … “เรามันแย่  เรามันเลว”

คือต่อต้านความจริง พระเจ้าบอกว่า … “เจ้าเป็นคนชอบธรรมในพระเยซูคริสต์ เราทำให้เจ้าเป็นผู้ชอบธรรมนะ พระเยซูผู้ชอบธรรม ได้ถูกทำให้เป็นคนบาป เพื่อว่าเจ้าผู้เป็นคนบาป จะได้กลายเป็นผู้ชอบธรรม โดยไม่ต้องทำอะไรเลย”

สลับที่กันเท่านั้นเอง พระเจ้าเป็นคนทำให้ มันก็พยายามต่อต้าน ส่งความคิดมาบิดเบือนความจริงเหล่านี้ เพื่อให้เราไขว้เขว หรือสงสัย หรือเริ่มต้นไม่เชื่อในความจริงที่พระเจ้าบอกเรา เมื่อไม่เชื่อในความจริง ความคิดเราไม่เปลี่ยน ความประพฤติเราก็ไม่เปลี่ยน พระเจ้าก็ไม่มีอะไร อย่างมาก ก็แค่เสียใจ แล้วก็ทำงานต่อไป ช่วยเราต่อไป

ให้เราเปลี่ยนความคิด เพื่อเปลี่ยนความประพฤติของเราให้ได้ เป็นไปตามน้ำพระทัยของพระเจ้า  เพราะมันจะเป็นผลประโยชน์ เป็นผลดีสำหรับชีวิตของเรานั่นเอง เพราะฉะนั้น สิ่งเหล่านี้จึงสำคัญมาก ไม่อย่างนั้น เราจะถูกหลอกได้

ยกตัวอย่าง เช่น ในหนังสือ 1 เปโตร 2:24 นี่ก็ถูกหลอกอีกแบบหนึ่ง  ตะกี้ถูกหลอกแบบหนึ่งนะ  คราวนี้มาหลอกอีกแบบหนึ่ง  คือบิดเบือนถ้อยคำพระเจ้านิดๆ หน่อยๆ  เมื่อเราจำถ้อยคำพระเจ้าได้ มันก็บิดเบือนนิดหนึ่ง แต่ความเสียหายเยอะเลย  ยกตัวอย่างเช่น 1 เปโตร 2:24 ที่เรารู้จักกันดีนะ

1 เปโตร 2:24 “พระองค์เองทรงรับแบกบาปของเราทั้งหลายไว้ที่พระกาย บนไม้กางเขนนั้น เพื่อเราจะได้ตายต่อบาปและมีชีวิตอยู่ เพื่อความชอบธรรม และด้วยบาดแผลของพระองค์ พวกท่านได้รับการรักษาให้หาย”

 

ถ้าเราอ่านตรงนี้ และยึดในความจริง ในถ้อยคำพระเจ้าที่ได้เรียนรู้มาเมื่อสักครู่นี้ เราก็จะเข้าใจได้ว่ามันเป็นเรื่องของโลกวิญญาณ ที่พระเยซูคริสต์ได้กระทำให้สำเร็จแล้ว โลกวิญญาณเท่านั้น ด้วยบาดแผลของพระองค์ พวกท่านได้รับการรักษาให้หายแล้ว ทางวิญญาณ หายจากโรคบาป  หายจากการอธรรม กลายเป็นผู้ชอบธรรม หายจากบาป  เป็นผู้ชอบธรรม ซึ่งเป็นความจริงนั่นเอง  แต่มันบิดเบือนนิดๆ หน่อยๆ อย่างที่บอก  แต่ถ้าเราไม่ยึดตามแก่นแท้ของโลกวิญญาณ เราก็อาจถูกหลอกได้ เช่น เมื่อมาเชื่อพระเจ้าแล้ว โดยรอยบาดแผลของพระเยซูคริสต์ได้รักษาเราให้หายจากโรคแล้ว เราไม่ป่วย ไม่เจ็บ ไม่ปวดไข้อีกแล้ว เพราะฉะนั้น ถ้าใครที่ไม่หายจากโรคภัยไข้เจ็บ เมื่อมาเชื่อพระเจ้าแล้ว ก็แสดงว่าไม่เชื่อในพระเจ้า ยิ่งไปกันใหญ่เลย  กลับกันเลย แสดงว่าไม่เชื่อพระเจ้า  เชื่อไม่พอ เพราะฉะนั้น ต้องพยายามทำ  มีความเชื่อให้มากขึ้น  ก็มีความรู้สึกฟ้องผิดในตัวเองอีก มีความรู้สึกอยู่ห่างจากพระเจ้ามากขึ้น มีความรู้สึกพระเจ้ากับเราอยู่คนละฝ่าย ไม่ใช่เลย ไม่ถูกเลย

ซึ่งผมเองก็ถูกหลอกอย่างนี้มาเยอะ มานานแล้ว แรกๆ  คิดว่าเป็นอย่างนั้น เพราะว่าตัวเองอยากได้ ก็พยายามสร้างความเชื่อด้วยตัวเอง วางรากฐานบนถ้อยคำพระเจ้า ซึ่งอ้างว่าเป็นถ้อยคำพระเจ้า แต่ถูกหลอก บิดนิดหนึ่ง  บนถ้อยคำพระเจ้าที่ดูเหมือนเป็นถ้อยคำพระเจ้า อ้างถ้อยคำพระเจ้า แต่ถูกหลอกให้เข้าใจผิด  สร้างความเชื่อของตัวเอง บนรากฐานของถ้อยคำพระเจ้าที่ไม่ใช่ถ้อยคำพระเจ้า  วางรากฐานบนกิเลส ตัณหา บนสิ่งที่ตัวเองอยากได้  แล้วก็คิดว่านั่นคือพระประสงค์ของพระเจ้า  เห็นไหม?

สิ่งที่ตัวเองอยากได้ คืออะไร?  คืออยากจะแข็งแรง อยากจะร่ำรวย อยากจะสำเร็จ พออยากได้สิ่งเหล่านี้ ก็วางรากฐานบนความเชื่อ  บนสิ่งเหล่านี้แหละ บนสิ่งที่ตัวเองอยากได้  และเข้าใจผิดว่านั่นคือพระประสงค์ของพระเจ้า  เมื่อมาเชื่อพระเจ้าแล้ว จะต้องร่ำรวย ให้ออกไป  แล้วสมบัติของท่านจะเพิ่มพูนขึ้น  ยัด สั่น แน่น พูนล้น 100 เท่า 1000 เท่า ฟังดูคล้ายๆ เราเคยอ่านถ้อยคำพระเจ้าเหล่านี้ เป็นถ้อยคำพระเจ้านี่นา เห็นไหม? หรือเมื่อมาเชื่อพระเจ้าแล้วจะหายป่วย มาเชื่อพระเจ้าสุดใจแล้ว วางมืออธิษฐานแล้ว หายทุกโรคเลย

สิ่งเหล่านี้ มาจากส่วนหนึ่งในถ้อยคำพระเจ้า แล้วเอาไปใส่กิเลสตัณหาของตัวเอง  ถูกหลอกนั่นเอง  โปรแกรมความคิดในสมองเก่าๆ มันยังอยู่ มันผสมกิเลสตัณหาของตัวเองที่อยากได้เข้าไป แต่มันไม่ใช่ความจริงของถ้อยคำพระเจ้าที่บอกให้เราเชื่อ เพราะนั่นคือความจริงในโลกฝ่ายวิญญาณ  ที่พระเยซูคริสต์ได้กระทำให้สำเร็จแล้วเท่านั้น อันนี้ไม่ได้อยู่ในความสำเร็จที่พระเยซูคริสต์ทำให้สำเร็จแล้ว บนโลกใบนี้ ที่ไม้กางเขน  รวมความ ก็คือมันพยายามทำให้เราเชื่อแบบผิดๆ ทำแบบผิดๆ แล้วพอไม่ได้อย่างที่เชื่อ ซึ่งมันก็ไม่ได้แน่นอนแหละ  มันเป็นไปไม่ได้  ในที่สุด เราก็จะเศร้าและสับสน สงสัยในพระเจ้าของเรา เห็นไหม?  ดึงเราออกห่างจากพระเจ้า เป็นศัตรูกับพระเจ้า  อยู่คนละข้างกับพระเจ้า  แล้วเกิดอะไรขึ้น? พระเจ้าก็เสียใจ  ไม่ชื่นชมยินดี  แล้วมันก็มาหลอกเราอีก พระเจ้าโกรธ พระเจ้าแค้น พระเจ้าโมโหที่ความเชื่อเราน้อย พระเจ้าบ้วนเราทิ้งแล้ว อะไรอย่างนี้  มันก็พยายามยุแยงให้ครอบครัวแตกแยก ทำให้ครอบครัวของพระเจ้า เรากับพ่อของเราแตกแยกกัน เพราะมือที่ 3 นี่แหละ

พระเจ้าต้องการให้เปลี่ยนแปลงความคิดเสียใหม่  ก็เพราะอย่างนี้ เปลี่ยนแปลงความคิดในสมองเสียใหม่ ซึ่งเป็นต้นเหตุของทุกอย่าง  ต้นเหตุของการเปลี่ยนแปลงความประพฤติ ให้เป็นไปตามถ้อยคำพระเจ้า  นี่คือหัวใจหลักเลย คือเปลี่ยนแปลงความคิดเสียใหม่  ให้เราวางรากฐานอยู่บนเฉพาะ ความเป็นจริงจากถ้อยคำของจริงๆ อะไรที่เป็นความจริงในโลกฝ่ายวิญญาณ ก็ให้รู้ว่านั่นมันเป็นเรื่องจริงๆ  มันไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับโลกวัตถุเลย  ต้องสังเกตให้ดี อย่างเช่นในหนังสือ 2 โครินธ์ 8:9  แถมอีกนิดหนึ่งก็ได้ ลองอ่านดูสิ …

2 โครินธ์ 8:9 “เพราะท่านทั้งหลายรู้จักพระคุณของพระเยซูคริสต์ องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา ว่าแม้พระองค์มั่งคั่ง พระองค์ก็ยังทรงยอมเป็นคนยากจน เพราะเห็นแก่ท่านทั้งหลาย เพื่อท่านทั้งหลายจะได้เป็นคนมั่งมี เนื่องจากความยากจนของพระองค์”

 

เห็นไหมอ่านแค่นี้ แทบไม่ต้องอธิบายแล้ว เพราะอธิบายมาเยอะแล้ว ท่านสามารถเข้าใจว่าคืออะไร? มันเกี่ยวเรื่องโลกวิญญาณทั้งสิ้น แต่ถ้าท่านเอามาตีความเป็นโลกวัตถุ บนโลกใบนี้ จับต้องมองเห็นได้  ท่านก็จะเจ็บปวดรวดร้าว เสียใจ สงสัย เหน็ดเหนื่อย แล้วพระเจ้าก็ไม่ชื่นใจ เสียใจเช่นเดียวกัน เพราะลูกเราถูกหลอก ใน 1 ยอห์น 4:4 กับข้อ 15 บันทึกไว้อย่างนี้นะ …

1 ยอห์น 4:4,15 “4 ลูกเล็กๆ ทั้งหลายเอ๋ย ท่านเป็นฝ่ายพระเจ้า และได้ชนะเขาเหล่านั้น เพราะว่าพระองค์ผู้สถิตอยู่ในท่านทั้งหลาย เป็นใหญ่กว่าผู้นั้น ที่อยู่ในโลก

            15 ”ผู้ใดยอมรับว่าพระเยซูทรงเป็นพระบุตรของพระเจ้า     พระเจ้าก็ทรงสถิตอยู่ในคนนั้น และคนนั้นอยู่ในพระเจ้า”

 

เห็นไหม? มารก็จะมายุแยง นี่กำลังพูดถึงโลกวิญญาณ มารก็จะมายุแยง ทำให้เรารู้สึกกร่างเลย ฉันใหญ่มาก ก็เอาความยิ่งใหญ่นั้น ยกตนข่มท่าน ข่มเหงคนอื่น โดยไม่รู้ตัว ข่มเหงคนอื่นนะ แทนที่จะให้คนอื่นข่มเหง

“ฉันมีพระเจ้าสถิตอยู่ในฉัน ยิ่งใหญ่กว่าคนทั้งหลายที่อยู่ในโลก ฉันทำอะไรก็ต้องสำเร็จ ไม่มีใครขวางได้ ฉันทำธุรกิจอะไร ก็ต้องสำเร็จ ไม่มีใครขวางได้  ไม่มีใครเอาเปรียบฉันได้ ฉันทำอะไรยิ่งใหญ่เสมอ เพราะพระเจ้าของฉันยิ่งใหญ่ สถิตอยู่กับฉัน”

แต่พระเยซูบอกเราว่าอย่างไร? … “ศิษย์ไม่ใหญ่กว่าครู ท่านเป็นผู้เชื่อเรา  เราเกิดมาเป็นผู้รับใช้เขา ท่านเป็นสาวกของเรา เป็นผู้เชื่อในเรา ก็รับใช้เขา อดทน รับใช้ ยอมให้เขาทำ  อยู่ด้วยความสงบ เขาตบหน้าข้างซ้าย ให้ข้างขวาอีกด้วย”

เป็นผู้ที่ให้ ไม่ใช่มารับ  อะไรอย่างนี้ เห็นไหมครับ?

นี่คือโลกวิญญาณจริงๆ ถ้าถูกหลอก แล้วมันจะเป็นอย่างไร? ท่านคิดดู ความประพฤติจะออกมาอย่างไร  โดยที่ไม่รู้ตัวด้วย  เพราะมันถูกหลอกมาแล้ว เพราะฉะนั้น  หัวใจ คือต้องเปลี่ยนแปลงโปรแกรม ความคิด สมองเสียใหม่ ในโปรแกรมเก่าๆ มันอยู่ในสมอง  ที่ผมใช้คำว่า “โปรแกรม” เพราะว่ามันเป็นเหมือนอะไรบางอย่างที่เป็นอัตโนมัติ โปรแกรมนี้ทำงานอย่างไร? ถ้าโปรแกรมยังอยู่ มันทำงานตามโปรแกรม โปรแกรมนี้บันทึกอะไรไว้  มันก็ทำตามนั้น โปรแกรมในสมอง ในความคิดของเรา ก่อนเชื่อ มันยังอยู่ ถ้าเราไม่เปลี่ยน ความประพฤติก็ไม่เปลี่ยน เพราะโปรแกรมเหล่านี้ เป็นตัวสั่งงานให้อวัยวะทุกส่วนในร่างกาย ทำตามโปรแกรม หรือความคิด ในสมองเหล่านั้น สมองสั่งการ ร่างกายก็ทำตาม

พระเจ้าได้ไถ่เรา โดยพระเยซูคริสต์ได้ช่วยให้เรารอด เมื่อเราเชื่อในพระเยซูคริสต์แล้ว พระองค์ทรงให้เราบังเกิดใหม่ วิญญาณเกิดใหม่ ความคิดจิตใจ ก็ใหม่เอี่ยม  ไม่มีที่ติ แต่ร่างกายที่ได้รับการชำระแล้ว ยังเป็นร่างกายเดิมอยู่ ถึงแม้จะชำระให้สะอาดหมดจดด้วยพระโลหิตพระเยซูคริสต์แล้ว แต่ยังเป็นร่างกายเดิมอยู่ ที่อยู่ภายใต้คำสาปแช่ง  ภายใต้เนื้อหนังเก่าที่ตกลงไปภายใต้ความบาป มันเสื่อมสลายไป มันรอวันหนึ่งที่พระเจ้าจะให้ร่างกายใหม่มา  แต่วันนั้นยังมาไม่ถึง ยังอยู่ในร่างกายเก่าที่ต้องตายอยู่นี้ เสื่อมโทรมลงไปทุกวัน  ร่างกายเก่าที่มีสื่อในการรับอิทธิพลจากความบาป หรือการเป็นศัตรูของพระเจ้าที่อยู่ภายนอกเข้ามาได้ มันเป็นอย่างนี้ ถ้าวันหนึ่งเราไม่ได้อยู่บนโลกใบนี้แล้ว ก็ไม่ต้องยุ่งกับโปรแกรมนี้แล้ว ไม่ต้องไปเปลี่ยนแล้ว แต่ตราบใดที่เรายังอยู่บนโลกใบนี้ ยังมีคลื่นความถี่ที่ส่งเข้ามาต่อต้านความจริงของพระเจ้าอยู่ ตราบนั้นยังคอยเช็คโปรแกรมนี้  และต้องเปลี่ยนความคิดนี้อยู่เสมอ

คืออย่างนี้ ตั้งใจฟังให้ดีนะ ผมพยายามเรียบเรียงและยกตัวอย่างมาให้เห็นชัด เพื่อท่านจะได้เห็นภาพว่าทำไมพระเจ้าจึงให้เราให้ความสำคัญกับการเปลี่ยนโปรแกรมความคิดเสียใหม่ เพื่อความประพฤติเราจะได้เปลี่ยนแปลงไป  ไม่ใช่มอบถวายอวัยวะทุกส่วนให้กับพระเจ้าเท่านั้น  มอบไป แต่ต้องรับการเปลี่ยนแปลงความคิดจิตใจเสียใหม่ด้วย 2 สิ่งเท่านั้นที่ต้องทำร่วมกัน และ 2 สิ่งนี้ สิ่งสำคัญที่สุด ก็คือการเปลี่ยนแปลงความคิดเสียใหม่  เปลี่ยนแปลงโปรแกรมความคิดเสียใหม่

ความคิดของเราสามารถรับสื่อแห่งความชั่วร้าย สกปรก เป็นศัตรูกับพระเจ้า อยู่ตรงข้ามกับพระเจ้า อยู่ตรงข้ามกับความดีงามของพระเจ้าได้ จากระบบของโลกนี้  เมื่อเราดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้  ความชั่วร้ายเหล่านี้ ศัตรูของพระเจ้าเหล่านี้  มันส่งกระแสออกมา เข้าไปในร่างกาย ในความคิด ในสมองของเราได้ ซึ่งเป็นบาป เป็นศัตรูกับพระเจ้า ต่อต้านความจริงของพระเจ้า  ต่อต้านผู้ที่เชื่อในพระเจ้า  โดยเฉพาะเลย เพราะผู้ที่เชื่อเท่านั้น จะมีความจริงอยู่ในตัวเขา มันก็มา เพื่อจะต่อต้านความจริง โดยส่งเข้ามาทางความคิด กระตุ้นในความคิดของเรา

สำคัญตรงที่เราต้องรู้ว่าความคิด ไม่ใช่ตัวเรา ที่เกิดใหม่แล้ว ทั้งวิญญาณและความคิด จิตใจ ซึ่งเหมือนพระเยซู ความคิดอาจจะเป็นอย่างอื่นเยอะแยะไปหมดเลย  แต่ตัวเราจริงๆ เลย คือความคิด จิตใจของเราที่เกิดใหม่  เป็นเหมือนพระเยซูทั้งสองส่วนเลย  คือทั้งวิญญาณและความคิดจิตใจ เพราะฉะนั้น ความคิดไม่ใช่ตัวของเรา  ความคิดอาจจะเป็นไปกับความจริงว่าเราเป็นลูกพระเจ้า เหมือนพระเยซู หรือความคิดอาจจะต่อต้านกับพระเจ้าว่าเราไม่ได้เป็นเหมือนพระเยซู เรายังเป็นคนสกปรกอยู่ก็ได้ เห็นไหมครับ ความคิดไม่ใช่ตัวตนจริงๆ ของเรา เราชอบคิดว่าเราคิดอย่างนี้ เรารู้สึกอย่างนี้  เป็นตัวเรา เรามันแย่  เราไม่แย่ เพราะความจริง ก็คือความจริง  คือตัวเราเป็นเหมือนพระเยซู จะแย่ได้อย่างไร?

ความคิดอย่างนี้ มันมาจากข้างนอกตัวเรา  ส่งกระแสกระตุ้น มีพลัง อิทธิพล ทำให้เราคิดตามมัน เชื่อตามมัน และในที่สุด ทำตามมัน เจ้าความคิดเหล่านี้  มันมาจากข้างนอกตัวเรา  ส่งกระแส กระตุ้น มีพลัง อิทธิพล กระตุ้นให้เรา ทำให้เราคิดตามมันก่อน แล้วก็เริ่มเชื่อตามมันก่อน  และในที่สุด ก็ทำตามมัน  คิดตามมัน เชื่อตามมัน และในที่สุด ทำตามมัน  “มัน” คือศัตรูต่อพระเจ้า ศัตรูของพระเจ้า คิดตามศัตรูของพระเจ้า เชื่อตามศัตรูของพระเจ้า และในที่สุด ก็ทำตามศัตรูของพระเจ้า คือบาปนั่นเอง

เพราะฉะนั้น เวลาเราทำบาป ก็มาจากความคิด เริ่มทำบาป เชื่อในความบาป  และมันมาจากใครทั้งหมดนี้  มาจากเจ้าของบาป ที่อยู่นอกตัวเรา นั่นเอง ไม่ได้มาจากตัวเราเลย  ในตัวเราสะอาดหมดจด พระเจ้าครอบครองอยู่แล้ว คิดตามมัน เชื่อตามมัน และในที่สุด ทำตามมัน  ตามความเคยชิน ตามสัญชาตญาณบาป ก่อนที่เราจะรู้จักพระเจ้า  ซึ่งเรายังเป็นคนบาปอยู่ เรามีสัญชาตญาณเดิม ความเคยชินเดิมๆ ที่อยู่ในโปรแกรม ที่ผมใช้คำว่าโปรแกรม แต่บัดนี้ ขณะนี้  ที่เราเชื่อในพระเยซูแล้ว ความจริง ก็คือเราไม่ได้เป็นทาสของมันอีกต่อไป เพราะฉะนั้น อย่ายอมให้มันมีอิทธิพลต่อความคิดของเราเหมือนเดิมได้อีกแล้ว อย่าไปเชื่อมันอีกต่อไป เราเป็นอิสรภาพจากมันแล้ว แต่ตรงกันข้าม ให้ความคิดจิตใจ แบบพระคริสต์ในเรา ที่เกิดใหม่แล้ว ให้มีอิทธิพล เข้าครอบครอง แทนที่ คือเรามีความคิดจิตใจใหม่ ที่บังเกิดใหม่  ที่เรารับเชื่อ  ความคิดจิตใจใหม่ที่อยู่ภายในตัวเรา เอาความคิดจิตใจที่อยู่ในพระคริสต์ที่เป็นความจริง เข้ามาครอบครองความคิด เข้ามาอยู่ในโปรแกรมใหม่ เอาโปรแกรมเก่าออกไป เชื่อพระเจ้า และทำตามเหมือนดั่งเป็นทาสของพระคริสต์เลย ความคิดจิตใจที่เป็นแบบพระคริสต์ ที่อยู่ในความคิดจิตใจของเรา  เป็นตัวตนจริงๆ ของเรา  มาพร้อมวิญญาณใหม่ของเรา  ให้ครอบครองเข้าไปที่ความคิด โปรแกรมสมองของเรา  พอครอบครองแล้ว มันก็จะนำไปสู่ความเชื่อฟังต่อพระเจ้า ดั่งชนิดเป็นเหมือนทาสเลย  โปรแกรมที่เปลี่ยนใหม่ ในความคิดของเรา ในสมองของเรา ก็จะเชื่อฟังต่อพระคริสต์ ดั่งเป็นทาส

เมื่อเราเป็นทาส ยอมให้พระวิญญาณบริสุทธิ์เปลี่ยนเราเป็นอย่างนั้นแล้ว คือเชื่อในพระเจ้า เหมือนดั่งเป็นทาสของพระคริสต์ ทุกเซลในตา หู จมูก กาย สมอง ความคิดของเรา ที่เชื่อในพระเจ้าแล้ว ล้วนปกคลุมไปด้วยชีวิตของพระคริสต์ เต็มไปด้วยพระสิริ สง่าราศี  ขณะเดียวกัน ทุกเซลกำลังถูกต่อต้าน และถูกโจมตีด้วยศัตรู ซึ่งก็คืออิทธิพลของความบาปในโลกนี้  ท่านเดินไปไหนก็ตาม ในร่างกายของท่าน  ทุกเซลเต็มไปด้วยรัศมี สง่าราศีของชีวิตของพระคริสต์ ที่ท่านได้บังเกิดใหม่แล้ว อยู่ในนั้นตลอดเวลา แต่ในขณะที่ท่านดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ รอบตัวท่านทั้งหมด มันคือศัตรูต่อพระเจ้า  ต่อความจริง ต่อสง่าราศี  ทุกเซลที่อยู่ในตัวท่าน มันต่อสู้กันตลอด จะส่งเข้ามา พยายามที่จะแฮกส์เข้ามาในตัวของท่านให้ได้ โดยจะเข้าไปอยู่ที่สมองของท่าน เพื่อที่จะสั่งการให้ได้ มันพยายามต่อสู้ แทรกตัวเข้ามา มีอิทธิพลเหมือนแต่ก่อนนี้ ที่มันเป็นเจ้าของอยู่ มันถูกขับออกไปแล้ว ตอนนี้มันอยากจะเข้ามาอยู่เหมือนเดิมมากเลย

เพราะฉะนั้น ทำอย่างไร? อย่ายอมมันเด็ดขาด พระคัมภีร์ก็บอกว่าอย่ายอมมันเด็ดขาด พระเจ้าบอกอย่ายอมมันเด็ดขาด พระวิญญาณบอกอย่ายอมมันเด็ดขาด อย่ายอมให้มันทำเหมือนแต่ก่อนนี้ อย่ายอมมันเด็ดขาด ถ้าพลั้งพลาดไป ยอมมัน ก็ไม่เป็นไร ลุกขึ้นมาใหม่ ด้วยกำลัง พลังจากภายใน  คือพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่สถิตอยู่ในท่าน  พระเจ้าที่สถิตอยู่ในท่าน  เหมือนดั่งที่เราร้องว่า “พระเจ้าที่อยู่ในเรา ใหญ่กว่ามันทั้งหลายที่อยู่ในโลก” เอามาใช้ตรงนี้เลย พระเจ้าที่อยู่ในเรา ใหญ่กว่ามันทั้งหลายที่อยู่ในโลก คือทางวิญญาณ คือพระเจ้าที่สถิตอยู่ในเราทั้ง 3 พระภาค เป็นใหญ่กว่ากระแสของระบบศัตรูของพระเจ้า ที่เป็นบาปรอบข้างเรา ที่พยายาม จะผลักดัน เข้ามาโจมตีความคิดของเรา ให้เราเชื่อฟังมัน  และประพฤติตาม คือเป็นศัตรูกับพระเจ้า ไม่เชื่อฟังต่อพระเจ้า ประพฤติชั่วนั่นเอง  มีแค่นี้เอง

วันนี้ เราได้เรียนรู้แล้วว่า 2 สิ่งที่พระเจ้าต้องการจากเรา อยากให้เราทำ ขอร้องให้เราทำ แล้วเราก็มีอิสระ เสรีภาพที่จะตัดสินใจเองว่าจะทำหรือไม่ทำ เป็นการตัดสินใจของเราเอง แต่เห็นแก่พระคุณของพระเจ้า  ที่ทรงรักเรามากขนาดไหน? ในพระเยซูคริสต์ ก็จงยอมให้พระองค์กระทำเถิด จงยอมมอบอวัยวะทั้งสิ้นในร่างกายของท่านให้กับพระองค์ และยอมที่จะเปลี่ยนแปลงความคิดจิตใจเสียใหม่  โปรแกรมความคิดจิตใจเสียใหม่  เพื่อท่านจะได้มีความประพฤติที่เป็นไปด้วยกันกับความจริงของถ้อยคำพระเจ้า ซึ่งพระเจ้าก็จะชื่นใจ พระเยซูก็จะชื่นใจ พระเจ้าอวยพรครับ

 

***********************

 

จากใจคณะศิษยาภิบาล

 

ต้นไม้และผลของมัน (วิญญาณภายในและผลของมัน)

 

มัทธิว12:33-37 “33“จงทำให้ต้นไม้ดีและได้ผลดี หรือทำให้ต้นไม้เลวและได้ผลเลว เพราะว่าพวกเรารู้จักต้นด้วยผลของมัน (ถ้าวิญญาณภายในดีก็จะส่งผลดี คือเชื่อฟังพระเยซูถ้าวิญญาณภายในเลวบาปชั่วก็จะส่งผลเลว คือต่อต้านปฏิเสธเป็นศัตรู) 34 โอ พวกชาติงูร้าย ท่านทั้งหลายเป็นคนชั่วแล้วจะพูดความดีได้อย่างไร? ด้วยว่าปากนั้นพูดสิ่งที่มาจากใจ (โอ้มนุษย์ซึ่งตกอยู่ในความบาปในตระกูลของอาดัมท่านทั้งหลายเป็นคนบาปคนชั่วในวิญญาณ จะพูดยอมรับเราได้อย่างไร เพราะที่ท่านพูดต่อต้านเรานั้น ก็เพราะในใจของท่านเป็นบาป เป็นศัตรูกับเราต่อต้านความดีของพระเจ้า) 35คนดีก็เอาของดีมาจากคลัง แห่งความดีในตัวของเขา  คนชั่วก็เอาของชั่วมาจากคลัง แห่งความชั่วในตัวของเขา (คลังแห่งความดีในวิญญาณของเขา หรือคลังแห่งความชั่วในวิญญาณของเขา) 36 ส่วนเราบอกพวกท่านว่าคำที่ไม่เป็นสาระทุกคำ ซึ่งมนุษย์พูดนั้น มนุษย์จะต้องรับผิดชอบถ้อยคำ เหล่านั้นในวันพิพากษา (ส่วนเราบอกท่านว่าทุกคำที่ท่านพูด เป็นศัตรู ปฏิเสธ ไม่ยอมรับเราเป็นผู้ช่วยให้รอดจากบาปนั้น จะทำให้ท่านถูกพิพากษาลงโทษ เพราะท่านไม่ยอมรับผู้เดียว ที่พระเจ้าทรงส่งมาช่วยท่าน ให้รอดพ้นจากโทษของความบาป)  37 เพราะว่าพวกท่านจะพ้นผิด หรือถูกตัดสินลงโทษ ก็เพราะคำพูดของท่าน” (ฉันนั้น ท่านจะรอดจากการถูกพิพากษาลงโทษ เนื่องจากบาป ที่อยู่ในตัวท่านในวิญญาณของท่านหรือไม่ ขึ้นอยู่กับท่านปฏิเสธ หรือยอมรับผู้ช่วยให้รอด คือพระเยซูหรือไม่)”

 

พระเยซูเท่านั้น ที่สามารถเปลี่ยนวิญญาณของท่าน จากต้นไม้เลว ให้เป็นต้นไม้ดีได้

 

พระเจ้าอวยพรครับ

 

 

วารสาร Holy News ฉบับที่ 1315

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  6  มิถุนายน  2021

 เรื่อง “อย่ากลัวเลย”  ตอน 49

โดย วราพร   คงล้วน

 

เดือนที่แล้ว เราจบลงในหนังสือลูกา 2:23 บอกไว้ว่า …

ลูกา 2:23 “ตามที่เขียนไว้แล้วในธรรมบัญญัติของพระเป็นเจ้าว่า “บุตรชายทุกคนที่เบิกครรภ์ครั้งแรก จะได้เรียกว่าเป็นบุตรที่ถวายแด่พระเจ้า”

 

อันนี้เป็นกฎที่พระเจ้าให้มาตั้งแต่สมัยโมเสส ที่มีกำหนดอะไรเยอะแยะมากมาย เขาเรียกว่าบทบัญญัติ และบทบัญญัติตรงนี้ บอกว่าบุตรชายทุกคนที่เบิกครรภ์ครั้งแรก หรือแม้แต่สัตว์ทุกตัวที่เบิกครรภ์ครั้งแรก พระเจ้าถือว่าเป็นของพระองค์ ต้องนำมาถวาย คนอิสราเอลก็ทำตามมาตลอด  ตรงนี้เป็นเวลาที่พระเยซูคริสต์ได้กำเนิดมาแล้ว 8 วัน มารีย์กับโยเซฟก็นำพระเยซูมามอบถวายในพระวิหารของพระเจ้า

ถ้าเราประมวลภาพทั้งหมด เราจะเห็นพระคุณของพระเจ้าอย่างมากมายที่ได้ทรงประทานความรอดให้กับมนุษยชาติ จากเริ่มต้นเลยที่เราเรียนรู้มา พระเจ้าทรงสร้างโลกใบนี้ พระเจ้าทรงสร้างอาดัม เอวา พระเจ้าสร้างให้เป็นเหมือนพระเจ้าไม่มีผิดเพี้ยน  100% เลย บริสุทธิ์ สะอาด หมดจด  มีวิญญาณนิรันดร์เหมือนพระเจ้า  ก็คือถือว่าอาดัม เป็นคนชอบธรรม เหมือนพระเจ้าเลย  แต่เมื่ออาดัมดื้อกับพระเจ้า ไม่เชื่อฟังพระเจ้า  ไปเชื่อฟังการหลอกล่อของมารปุ๊บ ตามที่พระเจ้าได้บอกอาดัมไว้ ก็คือมันเป็นกฎ เป็นคำสั่ง ที่พระเจ้าบอกว่า …

“ถ้าเจ้ากินผลไม้จากต้นนี้เมื่อไร? เจ้าจะตาย”

ถ้าเราเชื่อฟังพระเจ้า เราก็เชื่อฟังตามกฎที่พระเจ้าบอกไว้ อาดัมเชื่อฟังพระเจ้า อาดัมก็จะไม่ตาย แต่ในพระคัมภีร์เขียนไว้ว่าอาดัมไม่เชื่อฟัง อาดัมไปเชื่อฟังมารที่หลอกล่อ ทำให้ล้มลงในความบาป  นั่นแหละความบาปครั้งแรกที่ได้เกิดขึ้น บนโลกใบนี้ ที่อาดัมขายพวกเราให้เป็นทาสของมาร  เริ่มต้นเลยนะ

ในพระคัมภีร์บอกว่าจากตรงนั้น วิญญาณของพระเจ้าไม่อยู่กับอาดัมแล้ว คือจากที่อาดัมมีวิญญาณนิรันดร์เหมือนพระเจ้า  ตอนนี้ไม่มีแล้ว วิญญาณของอาดัมกลายเป็นวิญญาณบาป ที่กำลังเดินไปสู่ความตาย ถึงกระนั่น วิญญาณที่ยังเป็นอยู่ เดินไปสู่ความตายนี้ ก็ยังเป็นวิญญาณนิรันดร์เหมือนเดิม อันนี้น่ากลัว  ถ้าวิญญาณที่เดินไปสู่ความตาย แล้วก็ไม่นิรันดร์ ก็แค่อยู่บนโลกใบนี้ เราจะทำอะไรก็ได้  จบโลกใบนี้ ทุกอย่างก็จบ อันนั้น ง่าย แต่ปรากฏว่าในพระคัมภีร์บอกว่ามันไม่ใช่ วิญญาณของมนุษย์ทุกคน เป็นวิญญาณนิรันดร์  เมื่ออาดัมขายเราให้เป็นทาสของบาป  ทาสของมารปุ๊บ วิญญาณของมนุษย์ทุกคนที่เกิดมาหลังจากอาดัม เป็นวิญญาณบาปหมดเลย

จนถึง ณ วันที่พระเจ้าให้โมเสสเขียนบทบัญญัติ บอกโมเสสว่าเอามาให้มนุษย์ทำนะ ถ้าใครทำได้ ก็จะดูเหมือนตัวเองชอบธรรมมาบ้าง แต่มันทำไม่หมดอยู่แล้ว  กฎเหล่านี้ทำให้มนุษย์เรียนรู้ว่ากฎว่าอย่างนี้ ถ้าเราข้ามเส้น ก็เท่ากับเราละเมิดกฎ ประมาณนั้น  แต่ถึงกระนั้น ตั้งแต่ที่อาดัมล้มลงในความบาป  มนุษย์ไม่มีทางเลือกเลย  ก็คือทุกยุคทุกสมัย  เกิดมาก็อยู่ในธรรมชาติบาปของอาดัม  ซึ่งไม่ว่ามนุษย์จะดิ้นรนขนาดไหนก็ตาม ก็ไม่สามารถหลุดพ้นจากความบาปนี้ได้ ไม่ว่าเขาจะประพฤติปฏิบัติตามกฎบัญญัติเยอะแยะมากมาย  พยายามให้ครบถ้วนสมบูรณ์ มันก็ไม่ครบถ้วนอยู่นั่นแหละ เพราะมนุษย์เป็นคนบาป

เมื่อมนุษย์ล้มลงในความบาป  เอาเชื้อบาปเข้ามาในโลกใบนี้ปุ๊บ พระเจ้าก็วางแผนที่จะส่งพระเยซูคริสต์ พระผู้ช่วยให้รอดมา เพื่อช่วยให้มนุษย์หลุดพ้นจากความบาป  สามารถเป็นผู้ชอบธรรมเหมือนเดิมได้  พระเจ้าเขียนเอาไว้อย่างนั้น  แล้วในหนังสือลูกาตรงนี้ คือสิ่งที่พระเจ้าได้ทรงสัญญากับมนุษยชาติ หรืออีกนัยหนึ่งที่เราเรียนรู้ในพระคัมภีร์ พระเจ้าเลือกชนเผ่าหนึ่ง คือชนชาติอิสราเอลมาเป็นเหมือนเงาที่บอกให้เราเห็นว่าอนาคตข้างหน้า พระเจ้าจะทำอะไรให้กับมนุษยชาติ ไม่ใช่เฉพาะอิสราเอลเผ่าเดียว กลุ่มเดียว ชนชาติเดียว  แต่ว่าสิ่งที่พระเจ้าเตรียมพระเยซูคริสต์ไว้ ก็คือเพื่อมนุษยชาติทั้งหมด บนโลกใบนี้จะได้สามารถหลุดพ้น จากบาปได้

และถึงตรงนี้  พระผู้ช่วยให้รอดได้ถูกส่งมาแล้ว เกิดแล้ว แต่ว่าพระเยซูคริสต์ยังไม่ได้เดินไปถึงจุดที่พระเจ้าให้ทำการงานของพระองค์ คือสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน ถูกฝังในอุโมงค์ และเป็นขึ้นมาจากความตาย เพราะฉะนั้น คนอิสราเอลหรือคนยิวในยุคนี้ ยุคที่เราเรียนพระคัมภีร์อยู่ ทุกคนก็รอคอยพระมาซีฮาห์ว่า …

“พระมาซีฮาห์ พระเจ้าบอกไว้แล้วว่าพระองค์จะส่งมา เพื่อช่วยพวกเราให้รอด พ้นจากบาป”

แล้วเขาก็รอ คอยทุกยุคทุกสมัย  คอยมาจนเขาก็ไม่รู้ว่าพระมาซีฮาห์มาถึงแล้วยัง พอถึงตอนที่พระเยซูคริสต์เสด็จมาเกิดบนโลกใบนี้  หลายคนก็ไม่เชื่อว่าพระองค์คือผู้นั้นแหละ ที่พระเจ้าส่งมา เป็นพระมาซีฮาห์จะมาช่วยเขาให้รอดพ้นจากบาป  ให้เขาสามารถเป็นผู้ชอบธรรมได้

ฉะนั้น ในยุคของพระเยซูคริสต์ เราจะเห็นพระเยซูคริสต์ทำหมายสำคัญ การอัศจรรย์เยอะแยะมากมาย  ก็มีเหตุผลเดียว คือเพื่อยืนยันตัวพระองค์เองให้กับคนยิวได้รับรู้ว่า …

“ฉันไง ฉันเป็นคนที่พระเจ้าส่งมา เพื่อช่วยพวกเธอให้รอด” ก็แค่นั้นเอง

พอถึงตรงนี้ มารีย์กับโยเซฟนำพระเยซูมามอบถวาย ทำพิธีเข้าสุหนัต แล้วก็ทำตามบัญญัติสมัยก่อน มันยุ่งยากมาก เรามาดูข้อที่ 24 …

ลูกา 2:24 “และถวายของบูชาตามที่ได้ตรัสสั่งไว้แล้ว ในธรรมบัญญัติของพระเป็นเจ้า คือนกเขาคู่หนึ่ง หรือนกพิราบหนุ่มสองตัว”

 

อันนี้เบาะๆ นะ ถวายแค่นี้ นกเขาคู่หนึ่งกับนกพิราบหนุ่ม 2 ตัว คือเด็กเกิดใหม่ แล้วชนชาติอิสราเอลยังมีพิธีกรรมมอบถวายเยอะแยะมากมาย ที่โมเสสเขียนไว้  ทำผิดอย่างนี้ ต้องเอาอะไรมาถวาย? ต้องไปกักตัวเอง ออกข้างนอก โดยที่เข้ามาในพระวิหารของพระเจ้าไม่ได้ คือกฎเกณฑ์เยอะมาก แล้วคนอิสราเอล ก็พยายามที่จะทำตามกฎเกณฑ์นั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งพวกธรรมจารย์และพวกฟาริสี  พวกผู้รู้ทั้งหลาย  รู้กฎเยอะ ก็พยายามจะทำให้ตัวเองชอบธรรม โดยปฏิบัติตามกฎทุกประการ แต่ถึงกระนั้น เขาก็ไม่สามารถทำได้ทุกประการ  พระเยซูก็บอกแล้ว …

“อย่างไรเธอก็ทำไม่ได้หรอก”

พอทำได้มากกว่าคนอื่นนิดหนึ่ง  ก็มีความรู้สึกว่าฉันชอบธรรมมาก ก็ไปเบ่งทับคนอื่น ไปจี้คนอื่น  ไปบีบบังคับคนอื่นให้ทำตามอย่างที่ตัวเองต้องการ  เรามาดูข้อที่ 25 …

ลูกา 2:25-32 “25 นี่แน่ะ มีชายคนหนึ่งในกรุงเยรูซาเล็มชื่อสิเมโอน เป็นคนชอบธรรมและเกรงกลัวพระเจ้า และคอยเวลาซึ่งพวกอิสราเอลจะได้รับความบรรเทาทุกข์ และพระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงสถิตกับท่าน 26 พระวิญญาณบริสุทธิ์ได้ทรงสำแดงแก่ท่านว่าท่านจะไม่ตายจนกว่าจะได้เห็นพระคริสต์ของพระเป็นเจ้า 27 สิเมโอนเข้าไปในบริเวณพระวิหาร โดยพระวิญญาณทรงนำ และเมื่อบิดามารดาได้นำพระกุมารเยซูเข้าไป เพื่อจะกระทำแก่พระกุมารตามธรรมเนียมแห่งธรรมบัญญัติ 28 สิเมโอนจึงอุ้มพระกุมาร และสรรเสริญพระเจ้าว่า 29 “ข้าแต่พระเจ้า บัดนี้พระองค์ทรงให้ทาสของพระองค์ไปเป็นสุข ตามพระดำรัสของพระองค์ 30 เพราะว่าตาของข้าพระองค์ได้เห็นความรอดของพระองค์แล้ว 31 ซึ่งพระองค์ได้ทรงจัดเตรียมไว้ต่อหน้าบรรดาชนชาติทั้งหลาย 32 เป็นสว่างส่องแสงแก่คนต่างชาติ และเป็นศักดิ์ศรีของพวกอิสราเอลชนชาติของพระองค์”

 

ในสมัยก่อน ก่อนที่พระเยซูคริสต์จะมาสิ้นพระชนม์  และเป็นขึ้นมาจากความตาย ก็คือพระวิญญาณบริสุทธิ์จะไม่ได้อยู่ข้างในเรา พระวิญญาณบริสุทธิ์จะทำงานเฉพาะกิจ พระวิญญาณบริสุทธิ์จะสำแดงให้ใคร? คนไหนไปทำอะไร? พระวิญญาณก็จะทำงาน  แล้วเชื่อว่าสิเมโอนเหมือนกัน พระวิญญาณบริสุทธิ์ได้คุยกันเขาว่าพระผู้ช่วยให้รอดมาเกิดแล้วนะ  ซึ่งเขารอคอยพระผู้ช่วยให้รอดอยู่ เขาเชื่อในสิ่งที่พระเจ้าได้บอกเขา แล้วเขาก็เฝ้ารอคอยวันนั้นแหละว่าเมื่อไร พระผู้ช่วยให้รอดจะมา  พระเจ้าก็สัญญากับเขาด้วยว่าตาเขาจะเห็นพระผู้ช่วยให้รอด ก่อนที่เขาจะตาย อายุเขาเยอะแล้ว เขาก็รอคอย จนวันที่เขาได้เห็นพระเยซูคริสต์ในพระวิหาร ข้างในใจเขาเชื่อเลยว่าพระองค์คือผู้นั้นแหละ ที่พระเจ้าได้ส่งมา เขาได้เห็นแล้ว เขามีความสุขแล้ว  แม้ว่าเขาจะต้องตาย เขาก็แฮปปี้มาก ก็คือได้เห็นพระผู้ช่วยให้รอด ที่พระเจ้าบอกว่าจะเป็นสว่าง ส่องให้กับทุกคนบนโลกใบนี้ ให้ได้รับความรอด  โดยทางพระเยซูคริสต์ แล้วเขาก็สรรเสริญพระเจ้าใหญ่เลย  ก็คือพูดถึงสิ่งที่พระเจ้าได้ทรงสัญญาไว้กับชนชาติอิสราเอล แล้วเขาได้เห็นแล้ว เขามีความสุข

ลูกา 2:33 “ฝ่ายบิดามารดาของพระกุมารก็ประหลาดใจ เพราะถ้อยคำซึ่งท่านได้กล่าวถึงพระกุมารนั้น”

 

คนสมัยนั้น คนที่เดินอยู่บนโลกใบนี้  หลายเรื่องที่เขาได้ยินได้ฟัง เขาก็งงอยู่ อย่างมารีย์กับโยเซฟจริงๆ ไม่น่างง แต่เขาก็ยังงง เหมือนกับพวกเรา เมื่อเราเชื่อพระเจ้า หลายสิ่งที่พระเจ้าเขียนไว้ในพระคัมภีร์ เราก็ไม่เข้าใจ หลายสิ่งเราก็งง  แต่สิ่งที่พวกเราทำในยุคปัจจุบัน ที่พระเจ้าบอกว่าอะไรก็ตามที่พระองค์ได้เขียนไว้ในถ้อยคำของพระเจ้า  เป็นคำสัญญาของพระองค์ ไม่ว่าเราจะเข้าใจหรือไม่เข้าใจก็ตาม เห็นหรือไม่เห็นก็ตาม สัมผัสจับต้องได้หรือไม่ได้ก็ตาม งงๆ อย่างไรก็ตาม เราจะเชื่อตามนั้นเลย  เพราะว่ามันเป็นการสำแดงให้เห็นว่าเราเชื่อฟังพระองค์อย่างไม่มีข้อแม้ เราจะเอเมนกับพระองค์ในทุกๆ เรื่องที่พระองค์บอกว่าพระองค์ได้ให้กับพวกเราแล้ว

ก็เหมือนกับสิเมโอน เขาก็เอเมนกับพระเจ้า เพราะพระเจ้าบอกเขาแล้วว่าจะส่งพระผู้ช่วยให้รอดมา ก่อนที่เขาจะตาย  เมื่อเขาได้เห็นแล้ว เขาก็ชื่นชมยินดีมาก เขาได้สรรเสริญพระเจ้า  แม้ว่ามารีย์กับโยเซฟจะงงขนาดไหนก็ตาม แต่ว่าสิ่งที่พระเจ้าทรงสัญญากับชนชาติอิสราเอลว่าจะประทานพระผู้ช่วยให้รอด ให้กับชนชาติอิสราเอล แล้วก็มนุษยชาติทั้งหมดบนโลกใบนี้ มันก็ได้เกิดขึ้นแล้ว

ลูกา 2:34-35 “34 แล้วสิเมโอนก็อวยพรแก่เขา แล้วกล่าวแก่นางมารีย์  มารดาพระกุมารนั้นว่า “ดูก่อน ท่านทรงตั้งพระกุมารนี้ไว้ เป็นเหตุให้หลายคนในพวกอิสราเอลล้มลง หรือยกตั้งขึ้น และจะเป็นหมายสำคัญ ซึ่งคนปฏิเสธ 35 เพื่อความคิดในใจของคนเป็นอันมาก จะได้ปรากฏแจ้ง ถึงหัวใจของท่านเอง ก็ยังจะถูกดาบแทงทะลุด้วย”

 

สิเมโอนได้พูดใน  ลักษณะเหมือนเผยพระวจนะในอนาคตข้างหน้า คืออนาคตตรงนี้มันใกล้มากเลย เพราะว่าพระเยซูมาประสูติแล้ว ก็อีกประมาณ 30 ปีข้างหน้า ในสิ่งที่พระเยซูคริสต์ได้กระทำ เพื่อมนุษยชาติบนไม้กางเขน เป็นฤทธิ์เดชอำนาจ ซึ่งมนุษย์ฟังแล้วไม่เข้าใจ  แล้วสิ่งที่พระเยซูคริสต์ทำ จะทำให้กลุ่มคนกลุ่มหนึ่งสะดุด ซึ่งรับไม่ได้ เหมือนกับพวกฟาริสี พวกธรรมาจารย์ เมื่อได้ยินคำสอนของพระเยซูคริสต์ เขารับไม่ได้ ตั้งแต่อาดัมจนมาถึงยุคนี้  ยุคที่พระเยซูเกิดมาแล้ว มนุษย์ก็ยังเป็นเผ่าพันธุ์เดียว  คือพันธุ์บาป  มนุษย์ทุกคนเกิดมาบาป เราเกิดมาบาป หลังจากนั้น เราก็ทำบาป เกิดมาเป็นเลย เป็นเหมือนอาดัม บรรพบุรุษของเราเลย  ก็คือเป็นบาปเลย  แล้วมนุษย์ไม่สามารถช่วยเหลือตัวเอง ไม่ว่าเราจะทำดีขนาดไหน? ยึดถือกฎบัญญัติมากขนาดไหน? ตั้งใจมากขนาดไหน?  ก็ไม่สามารถเปลี่ยนความเป็นคนบาปของเราได้  เปลี่ยนไม่ได้ เราเห็นคนบาปที่ทำความดี มีเยอะแยะ แต่เขาก็ยังเป็นคนบาปอยู่ ทำอย่างไรก็ไม่สามารถเปลี่ยนธรรมชาติบาปของมนุษย์ให้กลายเป็นผู้ชอบธรรม โดยผ่านทางการกระทำของมนุษย์คนหนึ่งคนใดได้  เพราะพระเจ้าบอกไม่มีใครชอบธรรมเลย เพราะไม่มีใครสามารถทำได้ 100% ตามมาตรฐานที่พระเจ้าตั้งไว้

พอพระเยซูคริสต์มาประกาศแผ่นดินของพระเจ้าปุ๊บ ข่าวดี คือเมื่อก่อนมนุษย์ไม่มีทางเลือก มีทางเลือกเดียว คือเกิดมาเป็นคนบาปเลย ดิ้นรนอย่างไร ก็ยังเป็นคนบาปอยู่ดี พอพระเยซูมาเสนอทางเลือกใหม่ ก็คือพระเยซูคริสต์มาสิ้นพระชนม์ เพื่อมนุษยชาติบนไม้กางเขน  และพระเยซูคริสต์ได้ถูกฝังในอุโมงค์ แล้วพระเยซูคริสต์ได้เป็นขึ้นมาจากความตาย  โดยฤทธิ์เดชอำนาจของพระเจ้า พระวิญญาณบริสุทธิ์ ทำให้พระเยซูคริสต์เป็นขึ้นมาจากความตาย เต็มไปด้วยสง่าราศี  ทำให้มนุษย์ใครก็ได้บนโลกใบนี้  ถ้าเชื่อในสิ่งที่พระเยซูคริสต์กระทำปุ๊บ  เขาเป็นผู้ชอบธรรมเลย ไม่ต้องทำอะไรเลย  ซึ่งมันง่ายเกินไป  ง่ายจนมนุษย์ยอมรับไม่ได้ อะไรจะง่ายเว่อร์ขนาดนั้น  ไม่ต้องทำอะไรเลยเหรอ แค่เชื่อก็เป็นผู้ชอบธรรมเลยเหรอ แค่เชื่อ ก็หลุดพ้นจากบาปเลยหรือ?  แค่เชื่อ ก็บริสุทธิ์สะอาดเหมือนพระเยซูคริสต์เลยหรือ? แค่เชื่อก็ได้นั่งอยู่ที่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้าร่วมกับพระเยซูคริสต์เลยหรือ? แค่เชื่อในสิ่งที่พระเยซูคริสต์กระทำ ก็ได้เป็นทายาทร่วมกับพระเยซูคริสต์เลยหรือ?  เป็นทุกสิ่งที่พระเยซูคริสต์เป็น  ซึ่งเรื่องนี้ มันมีวิธีเดียวที่เราจะสามารถรับได้ ก็คือรับด้วยความเชื่อ เชื่อเท่านั้น

เชื่อทั้งๆ ที่เราไม่เข้าใจ … เชื่อทั้งๆ ที่เรามองไม่เห็น … เชื่อทั้งๆ ที่มือเราสัมผัสจับต้องไม่ได้  … เชื่อทั้งๆ ที่บางทีข้างในเราก็ยังงงๆ อยู่เลย แต่ว่าเราเชื่อไง พระเจ้าว่าอย่างไร เราเอเมนตามนั้น  พระเจ้าบอกกับเราว่าเมื่อพระเยซูคริสต์ทรงกระทำภารกิจของพระองค์สำเร็จ บนไม้กางเขน  ใครก็ตาม มนุษย์คนไหนก็ตามบนโลกใบนี้ ไม่ยกเว้นคนอิสราเอล คนอิสราเอลเขาคิดว่าเขาเป็นชนชาติของพระเจ้า เขาไม่ต้องกลับใจใหม่  ไม่จริงนะ ก็คือทุกคนจำเป็นจะต้องกลับใจใหม่ เพื่อเขาจะได้เข้ามาอยู่ในอาณาจักรของพระเจ้า  ก็คือเปลี่ยนจากที่เราเคยพึ่งในการประพฤติของตัวเอง ความชอบธรรมของตัวเอง  มาพึ่งในความชอบธรรมของพระเยซูคริสต์ แล้วก็มนุษย์ไม่สามารถที่จะเปลี่ยนได้เลย ก็คือเกิดมาเป็นไง เราเป็นคนบาปอยู่แล้ว เราจะเป็นผู้ชอบธรรมได้อย่างไร?  เป็น 2 อย่างในคนเดียวกัน มันเป็นไปไม่ได้

ไม่ได้แล้วต้องทำอย่างไร? วิธีการของพระเจ้า ก็คือต้องตาย  ถ้าไม่ตาย ก็เปลี่ยนมาเป็นผู้ชอบธรรมไม่ได้  ฉะนั้น มนุษย์มีสิทธิ์เลือก ในสิ่งที่พระเยซูคริสต์บอก ถ้าเชื่อว่า …

“พระเจ้าบอกลูกเชื่อนะ อยากจะเป็นอย่างนั้นแหละ เพราะว่าลูกเหนื่อยมากเลย  ทำมาตลอดทั้งชีวิต พยายามทำ”

บางทียิ่งพยายามมากเท่าไร? ก็ยิ่งเละมากเท่านั้น คือมันไม่ได้ไง  แล้วก็ทำเหนื่อยมาก เหนื่อยจนแทบจะหายใจไม่ทัน  ไม่เอาดีกว่า พระเจ้าบอกว่า …

“มาเชื่อพระองค์สิ  แล้วพระองค์จะทำให้เราหายเหนื่อยและเป็นสุข”

แล้วเราก็บอกกับพระเจ้าเลย … “พระเจ้า ลูกอยากได้อย่างนั้น ก็คืออยากหายเหนื่อย อยากเป็นสุข”

จริงๆ แล้ว พระเจ้าของเรา เป็นพระเจ้าที่สุภาพมาก  พระเจ้าไม่เคยบังคับเราเลยนะว่าต้องเชื่อ  พระเจ้าให้สิทธิ์สำหรับมนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้ที่จะตัดสินใจ เมื่อเราตัดสินใจแล้วว่า …

“ไม่เอาแล้ว เราไม่พึ่งตัวเองแล้ว เราไม่พึ่งบทบัญญัติแล้ว เราจะพึ่งพระเยซูคริสต์”

ทันทีที่เราเปิดใจต้อนรับพระเจ้าปุ๊บ พระเยซูคริสต์ก็จะเอาวิญญาณเก่าที่เต็มไปด้วยความบาปของเรา  เข้าไปอยู่ในฤทธิ์เดชอำนาจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ จากนั้น พระวิญญาณบริสุทธิ์ก็จะเริ่มทำงาน  โดยผ่าตัดเอาวิญญาณเก่าของเราออกมา แล้วเข้ามาฝังอยู่ในพระเยซูคริสต์ มาเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเยซูคริสต์ เป็นหนึ่งเดียวกันปุ๊บ พอพระเยซูคริสต์ถูกตรึงบนไม้กางเขน เราที่อยู่ในพระเยซูคริสต์ เป็นหนึ่งเดียวกัน เราก็ถูกตรึงด้วย เมื่อพระเยซูคริสต์ถูกฝัง เราซึ่งอยู่ในพระเยซูคริสต์ เป็นหนึ่งเดียวกัน เราก็ถูกฝังด้วย เมื่อพระเยซูคริสต์เป็นขึ้นมาจากความตาย เราที่อยู่ในพระเยซูคริสต์ เป็นหนึ่งเดียวกัน เราก็เป็นขึ้นมาจากความตายพร้อมกับพระเยซูคริสต์ด้วย  เต็มไปด้วยฤทธานุภาพ สง่าราศี  เป็นเหมือนพระเจ้าไม่มีผิด เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์ไม่มีผิดเลย

พระเยซูได้แบ่งวิญญาณของพระองค์มาให้กับเรา เป็นวิญญาณเดียวกัน พระเจ้าให้เราเป็นขึ้นมาพร้อมกับพระเยซูคริสต์ด้วยสง่าราศี เราก็ได้นั่งอยู่ที่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้าร่วมกับพระเยซูคริสต์ด้วย  บัดนี้ ในโลกวิญญาณที่เรามองไม่เห็น ต้องใช้ความเชื่อเอา คริสเตียนทุกคนต้องใช้ความเชื่อเอา  มองไม่เห็นหรอกว่าเราไปนั่งอยู่ที่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเยซูคริสต์ได้อย่างไร? ถ้าใช้เหตุผล ความคิดของมนุษย์ คิดให้สมองแตก คิดไม่ออกหรอก คิดอย่างไรก็คิดไม่ได้

แต่ถ้าเราใช้ความเชื่อตามที่พระเจ้าบอกเรา เราจะเห็น แล้วยิ่งเราจดจ่ออยู่ หรือภาวนาสิ่งที่พระเยซูคริสต์ได้ทำ เพื่อเราเรียบร้อยไปแล้ว  ทุกวัน หลายคนอาจจะคิดว่าน่าเบื่อจัง ซ้ำซาก พูดเรื่องนี้ทุกวัน  แล้วยังให้พูดเองทุกวันอีก ตื่นขึ้นมาบอกตัวเองอีกว่า …

“ฉันเป็นใครในพระเยซูคริสต์? ฉันเป็นผู้ชอบธรรมแล้ว ฉันเป็นความรัก ฉันเป็นความชื่นชมยินดี ฉันบริสุทธิ์สะอาดเหมือนพระเยซูคริสต์ วิญญาณเก่าที่เป็นบาปของฉันได้ตายไปพร้อมกับพระเยซูคริสต์แล้ว  ตอนนี้วิญญาณของฉันใหม่เอี่ยม ถอดด้ามเลย เป็นวิญญาณที่สะอาด บริสุทธิ์ ทำบาปไม่เป็น อันนี้สำคัญ ทำบาปไม่เป็น บริสุทธิ์ สะอาดแล้ว วิญญาณบาปเราตายไปแล้ว เรามีวิญญาณใหม่ที่เหมือนพระเจ้า เป็นขึ้นมาใหม่

วิญญาณเราสะอาดบริสุทธิ์ ต่อให้ใครมาหลอกลวงอะไรเรา …

“เธอทำอย่างนี้นะ  เธอไม่รอดแน่ๆ เลย เธอไม่ได้เป็นลูกพระเจ้า”

เราก็ต้องยืนยันกลับไปว่า … “ไม่จริง”

ต่อให้พฤติกรรมเราหลงบ้าง? อนุญาตให้อวัยวะของเราในร่างกายนี้ ให้ถูกล่อลวงไปทำสิ่งที่ตรงกันข้ามกับที่พระเจ้าบอก หรือที่เขาเรียกว่าดื้อ ไม่เชื่อฟังพระเจ้า ไปทำสิ่งที่ไม่สมควร น่าเกลียด ไปอิจฉาไปโกรธ ไปอะไร ต่อให้มันเป็นอย่างนั้น แต่ความจริง ในถ้อยคำของพระเจ้าบอกเราว่าวิญญาณเราสะอาดหมดจดเหมือนพระเยซูคริสต์ไม่มีผิด  วิญญาณเราได้นั่งอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้าเรียบร้อยไปแล้ว  ไม่มีใครย้ายเรา เคลื่อนไปที่ไหนได้อีกแล้ว เราอยู่ในสวรรค์สถานนิรันดร์กาล ณ บัดนี้ เรียบร้อยไปแล้ว นี่คือสิ่งที่เราต้องยืนยัน บอกตัวเองเลยว่า …

“ฉันเป็นใคร?  ตอนนี้ฉันอยู่ตรงไหน?  ตอนนี้ฉันเป็นอย่างไร? ตอนนี้ฉันกำลังพัฒนาความเป็นลูกพระเจ้า ที่สะอาดบริสุทธิ์ เป็นแสงสว่าง เป็นความดี เป็นความชื่นชมยินดี เป็นอะไรที่พระเจ้าบอกเรา ฉันมีอยู่แล้วนะ”

คือทันทีที่เราบังเกิดใหม่ ทุกอย่างที่เป็นของพระเยซูคริสต์ มันอยู่ในเราแล้ว มีแล้ว พระเจ้าทั้ง 3 พระภาคมาสถิตอยู่ในเราแล้ว  เป็นหนึ่งเดียวกันกับวิญญาณของเราเรียบร้อยไปแล้ว ต่อแต่นี้ไป  เราก็จะไม่ถูกหลอก ขอให้พระเจ้าสถิตอยู่ด้วยกับเรา  ไม่ขอแล้ว การขอ ก็คือเราโดนหลอก พระเจ้าบอกว่าพระเจ้าสถิตอยู่กับเราแล้ว  แล้วเราก็โดนหลอกว่า …

“เธอขอสิ ขอให้พระเจ้ามาสถิตกับเธอ”

ทันทีที่เราพูดว่า … “ขอให้พระเจ้าสถิตอยู่กับเรา”

แปลว่าเราไม่เชื่อใช่ไหมที่พระเจ้าบอกว่าพระเจ้าสถิตอยู่กับเราแล้ว  เหมือนเรากำลังพูดต่อต้านถ้อยคำของพระเจ้า โดยที่เราไม่รู้ตัว มารมันแอบ แอบเข้ามาลัก ฆ่า ทำลาย ลักเอาสิ่งที่เป็นของเราเรียบร้อยไปแล้ว แล้วก็หลอกเราว่า …

“มันยังไม่เป็นนะ ขอสิ”

แล้วเมื่อไรที่เราตกหลุมพราง เราไปเชื่อมาร เราไปขอไง …

“พระองค์เจ้าข้า ขอพระองค์สถิตอยู่ด้วยกับลูก”

กลายเป็นว่าเราไม่เชื่อแล้ว ในสิ่งที่พระเยซูคริสต์บอกว่าพระเจ้าพระบิดา  พระเจ้าพระเยซูคริสต์ พระเจ้าพระวิญญาณบริสุทธิ์ ทั้ง 3 พระภาคมาสถิตอยู่ในเรา ในวันที่เราเปิดใจต้อนรับพระองค์ เราเข้าสู่ขบวนการบังเกิดใหม่ เราได้เป็นลูกของพระเจ้าแล้ว เราสะอาดบริสุทธิ์หมดจด เรียบร้อยไปแล้ว  เราไม่ต้องขอ เราได้ไปแล้ว

ตอนนี้กำลังฝึกฝนตัวเอง เพราะเราถูกหลอกมานาน เราก็เคยชิน  เหมือนกับทุกครั้งที่เราเจอหน้ากัน เราจะลากัน  เราก็จะบอกว่า …

“ขอพระเจ้าอวยพรค่ะ”

ความหมายแปลว่าพระเจ้ายังไม่ได้อวยพรเรา เราต้องขอ จริงหรือไม่? มันจริงนะ แปลว่าเราโดนหลอกว่าพระเจ้ายังไม่ได้อวยพรเราเลย เราต้องขอ

ฉะนั้น ตอนนี้กำลังฝึกฝนตัวเอง ที่เราจะไม่อนุญาตให้ปากของเรา เป็นเครื่องมือของมาร หรือของโลกนี้ หรือการโกหกหลอกลวง  หลอกให้เราพูดคำว่า “ขอพระเจ้าอวยพร” เราก็จะตัดคำว่า “ขอ” ออก เพราะพระเจ้าอวยพรเราอยู่แล้ว  เราก็จะใช้คำว่า …

“พระเจ้าอวยพรค่ะ”

คนที่ได้ยิน ก็ “เอเมน”

เอเมน แปลว่าใช่เลย เป็นความจริงตามนั้น พระเจ้าบอกว่าพระเจ้าอวยพรเราแล้ว เรารับเอา ด้วยความเชื่อ

นี่คือสิ่งที่มันเกิดขึ้นในโลกวิญญาณ  ซึ่งหลายครั้งเราคิดว่าเป็นเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ซึ่งมันไม่ค่อยสำคัญอะไรเท่าไร? มารมันก็หลอกเรา ไปเรื่อยๆ อันนี้ไม่สำคัญ ให้พูดไป  พูดไป เท่ากับเรากำลังพูดคนละแบบกับที่พระเจ้าบอกว่าเรามีแล้ว  เราเป็นแล้ว  อันนี้สำคัญ

ขอบคุณพระเจ้าที่พระเยซูคริสต์บอกว่าถ้าเรารู้ความจริง ความจริงจะปลดปล่อยเราให้เป็นไท เป็นอิสรภาพ เราจะมีอิสรเสรีที่จะดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ ด้วยพระคุณ ความรัก ความเมตตาที่พระองค์ได้ให้กับเรา เป็นของขวัญเรียบร้อยไปแล้ว ถ้าจะพูดอีกนัยหนึ่ง เหมือนแพ็กเกจ คือเมื่อเรากลับใจใหม่ปุ๊บ พระพรฝ่ายวิญญาณที่พระเจ้าให้กับพวกเราทุกๆ คน มาเป็นชุดเลย ซึ่งเราไม่ต้องขอแล้ว  ถ้าเปรียบเหมือนเราไปเที่ยวทัวร์ เราต้องศึกษาว่าแพ็กเกจของทัวร์ เขามีอะไรให้กับเราบ้าง? เราจะได้รับรู้ ถ้าแพ็กเกจของทัวร์เราเสียตังค์เยอะ เขามีบริการทั้งที่พัก ทั้งพาเราเที่ยว ทั้งอาหาร 3 มื้อ เช้า กลางวัน เย็น  เราต้องรับรู้ ถ้าเราไม่รับรู้ เราก็จะตกลงเช้านี้ เราจะไปกินอะไร เราก็วิ่งไปหาของกิน พอตอนเที่ยง เราจะกินอะไรดี ก็ต้องวิ่งไปหาของกินอีก ซึ่งในแพ็กเกจทั้งหมดบอกเราเรียบร้อยไปแล้ว เธอไม่ต้องไปวิ่ง เธอไปเดินเที่ยวให้สบายใจ ถึงเวลา เธอก็เดินมาที่โรงอาหารของโรงแรม แล้วเธอก็เดินเข้าไปกินเลย สง่าผ่าเผย เพราะว่ามันอยู่ในทั้งหมดที่ครอบคลุมไปเรียบร้อยแล้ว

ความจริงในโลกวิญญาณ จะทำให้เรารับรู้สิ่งที่พระเยซูคริสต์ได้กระทำให้กับเราเรียบร้อยไปแล้ว ฉะนั้น พอเรียบร้อยไปแล้ว สิ่งที่เราต้องทำ คือไม่ได้ขอ แต่พัฒนาความเป็นลูกของพระเจ้าให้เด่นชัดขึ้น  เพื่อเราจะได้สำแดงการเป็นลูกของพระองค์ออกไป

แล้วเราจะพัฒนาได้อย่างไรในแต่ละวัน ถ้าเรามัวแต่สนใจเรื่องสัพเพเหระ วุ่นวายบนโลกใบนี้ สมองเราไม่มีพอที่จะมาจดจ่อกับสิ่งที่พระเจ้าบอกว่าพระองค์ให้อะไรกับเราบ้าง? ไม่ได้หมายความพี่น้องไม่สามารถไปจดจ่อข่าวสารอะไรเลย ไม่ใช่  คือเราสามารถที่จะรับรู้ได้ สามารถที่จะฟังได้ แต่ไม่ได้ใช้เวลาเยอะเกินไป สมมติเราเอา 8 ชั่วโมงไปนอน อีก 16 ชั่วโมง ที่เราตื่นอยู่ ถ้าเราใช้เวลาสัก  14 หรือ 15 ชั่วโมงไปจ่ออยู่ที่ข่าวสารว่าตอนนี้เป็นอย่างไร? โควิดเป็นอย่างไร? ตอนนี้คนนี้เป็นอย่างไร? คนนั้นฆ่าใคร?  หมดไปหนึ่งวัน  เหลือเวลานิดหนึ่งมาดูว่าพระเจ้าให้อะไรเรา  มันก็ซกๆ ไง แล้วเราก็จะได้นิดหนึ่ง บางทีที่ได้ๆ ยังโดนหลอกอีก อะไรอย่างนี้ ฉะนั้น เราก็จะไม่ได้เป็นอิสระ

พี่น้องถามใจตัวเอง ถ้าเราเสพข่าวร้ายทุกวัน  เรามีความสุขไหม? ไม่มีความสุขนะ วิตกจริตไปทุกเรื่อง ใช้ชีวิตปกติไม่ได้ เราก็จะคอยเงี่ยหูฟังว่าตอนนี้เป็นอย่างไร? ตอนนี้ใครว่าอย่างไร? เยอะแยะมากมาย ให้พี่น้องหันกลับมาหาพระเจ้าดีกว่า ตอนนี้พระเจ้าพูดกับเราเรื่องอะไร? พระเจ้ากำลังบอกเราเรื่องอะไร?  ซึ่งอันนั้นจะทำให้เรารับรู้ว่าธรรมชาติของพระองค์เป็นอย่างไร? พอเรารับรู้เยอะๆ เราเรียนรู้เยอะๆ มันจะส่งผลออกมาเองว่านี่คือธรรมชาติของเรา แล้วมันจะส่งผลให้คนรอบข้างได้เห็นพระคริสต์ในชีวิตของเราด้วย

นึกถึงภาพตอนนี้ใน Holy Word พาสเตอร์นคร ก็พูดถึงเรื่องทาร์ซาน … ทาร์ซานเป็นอีกรูปแบบหนึ่งที่จะส่อให้เราเห็นสิ่งที่เรียกว่าความเป็นจริง ในโลกมนุษย์ ก็คือทาร์ซานถูกลิงเอาไปเลี้ยง  แล้วก็มีบุคลิกทุกอย่างเหมือนลิง แต่พอเขาได้กลับมาสู่ครอบครัวของตัวเอง  ก็คือเขาเป็นมนุษย์ เกิดมาเป็นมนุษย์ ต่อให้ลิงเอาไปเลี้ยงนานแค่ไหน? เขาก็ยังเป็นมนุษย์ พฤติกรรมเขาอาจจะแปลกๆ ไม่ค่อยเหมือนมนุษย์ แต่ว่าอย่างไร เขาก็ยังเป็นมนุษย์ ฉะนั้น วิธีที่จะทำให้ทาร์ซานรับรู้ว่าเธอเป็นมนุษย์ ไม่ใช่ลิงนะ ทำอย่างไร? ก็ต้องบอกทาร์ซานให้รู้ว่าธรรมชาติของมนุษย์เป็นอย่างนี้ เขาเดิน เขากินเป็นระเบียบเรียบร้อย บอกไปเรื่อยๆ ทุกวันๆ ให้เขารับรู้ถึงธรรมชาติของตัวเองว่าเขาเป็นอย่างไร? เมื่อเขารับรู้ยิ่งมากเท่าไร? เขาก็ยิ่งจะพัฒนาบุคลิกของเขาให้กลับมาเป็นเหมือนมนุษย์มากขึ้น จากการที่เดินไม่ค่อยเป็น เวลาลิงเดิน จะเดิน 2 ขาและใช้มือปัดไปเรื่อยๆ จากเดินเร็ว เขาก็จะเดินช้าลง เดินให้เป็นแบบคนมากขึ้น ไม่ตัวงอ แต่ตัวตรงขึ้น อะไรอย่างนี้

ก็คือรับรู้ถึงธรรมชาติ ความเป็นคนของเขา แล้วเขาก็จะพัฒนาบุคลิกของเขาให้เป็นเหมือนคนมากขึ้น  คนอื่นมาเห็น ทาร์ซานไม่ใช่ลิงนะ เขาเป็นคน มองเห็นแล้ว เริ่มเห็นภาพลางๆ ว่าเขาเป็นคนแล้วนะ เริ่มแต่งตัวดีขึ้น เริ่มคุยกันรู้เรื่อง ในทางของพระเจ้า เหมือนกันเลย  ธรรมชาติของพระเจ้าเป็นอย่างไร? เราจะเป็นอย่างนั้น  แต่ใหม่ๆ เนื่องจากเราไปคลุกคลีกับธรรมชาติบาปนานจนเกินไป มันเป็นพื้นฐานตั้งแต่เริ่มแรก เรามีวิธีที่จะทำให้ธรรมชาติที่เป็นเหมือนพระเจ้า สำแดงให้ผู้คนได้เห็นมากขึ้นทุกวันๆ  โดยเรารับรู้ธรรมชาติของพระเจ้าได้มากเท่าไร? เราก็สามารถสำแดงออกได้มากเท่านั้น

ยกตัวอย่างอีกอันหนึ่ง เหมือนมนุษย์ คน เกิดมาเป็นคน สมมติเรามีลูกคนหนึ่ง เกิดมาเป็นลูกเรา เด็กเกิดมาตัวแดง ดูแล้วไม่เหมือนมนุษย์มนาเท่าไร? บางทีตัวเหี่ยว แต่ว่าเขาก็เป็นมนุษย์ พอเป็นมนุษย์ปุ๊บ ก็จะมีการพัฒนา แม้จะช้า แต่มันมีระบบของการพัฒนาของเด็ก จากทารกก็จะค่อยๆ พัฒนา รับรู้มากขึ้น จากที่เราเห็นทารกทำเป็น แค่ร้องไห้ กิน นอน ฉี่ แล้วก็อึ แค่นั่นเอง  คือใหม่ๆ เขาจะทำได้แค่นั้น  แล้วก็จะพัฒนามากขึ้น เขาเริ่มพลิกตัว เขาเริ่มเรียนรู้วิธีการลุกขึ้นมานั่ง  นั่งใหม่ๆ อาจจะเหมือนตุ๊กตาล้มลุก นั่งปุ๊บ ก้นกลมๆ ก็จะหัวทิ่มลงไป แต่เขาก็จะค่อยๆ พัฒนา  แล้วเขาก็จะนั่งได้ดีขึ้น  แล้วจากการนั่ง เขาก็เรียนรู้เริ่มจะคลาน เริ่มจะตั้งไข่ เริ่มจะเดิน  เริ่มจะวิ่ง เริ่มจะพูด พูดแรกๆ ภาษาแปลกๆ ผู้ใหญ่ฟังไม่รู้เรื่อง  แต่พอเขาพัฒนาการพูด  เขาพัฒนาได้อย่างไร? เขาฟังจากพ่อแม่ พ่อแม่พูดอย่างนี้  เขาก็ฝึก วิธีการพูดเป็นแบบนี้

ฉะนั้น การพัฒนาเหมือนกัน  ต่อให้เด็กคนนั้นยังไม่สามารถรับรู้เรื่องราว หรือบางคน เรียกว่าพัฒนาการช้า ไม่ทันคนอื่น เด็กคนอื่นป่านนี้วิ่งแล้ว  คนนี้ยังยืนไม่เป็นเลย แต่เราปฏิเสธไม่ได้ว่าเขา คือคน เป็นลูกคน แล้วเขาจะพัฒนาขึ้นมาเป็นคนที่สมบูรณ์แบบมากขึ้นทุกวันๆ

เหมือนกันในโลกวิญญาณพระเจ้าบอกเราว่าเราเป็นลูกของพระเจ้าแล้ว เราสะอาด บริสุทธิ์ เราเป็นผู้ชอบธรรม เราไม่มีบาปแล้ว วิญญาณเราสะอาดหมดจดเหมือนพระเยซูคริสต์ไม่มีผิดเลย  แต่เนื่องจากความคิด หรือร่างกายของเราทั้งหมดยังอยู่บนโลกใบนี้  อวัยวะทุกส่วนในร่างกายของเรายังอยู่บนโลกใบนี้ โอกาสที่เราจะแถไปเชื่อฟังการหลอกล่อของระบบบนโลกใบนี้ มันมี และอีกอย่างหนึ่งที่เราจำเป็นต้องรับรู้ พระเจ้าอนุญาตให้เรามีสิทธิ์ที่จะเลือก เมื่อวิญญาณเราสะอาดหมดจดแล้ว ร่างกายเราที่อยู่บนโลกใบนี้ พระเจ้ายังอนุญาตให้เรามีสิทธิ์เลือกเดินในแต่ละวันว่าเราเลือกที่จะเชื่อฟังทำตามพระเจ้า หรือเลือกที่จะเชื่อฟังการหลอกล่อของโลกใบนี้ หรือเชื่อฟังสิ่งที่แอบแฝง พยายามดึงเราให้ทำเหมือนเดิม ก่อนที่เราจะมาเชื่อพระเจ้า  พฤติกรรมเดิมๆ พระเจ้าให้สิทธิ์เราในการเลือก

ฉะนั้น ถ้าเราเลือกทำตามพระเจ้า พระเจ้าก็ชื่นใจ เพราะว่าเราได้รับผลดี แต่ถ้าวันนี้เลือกที่จะดื้อ ไม่เชื่อฟังพระเจ้า เราจะไปเชื่อฟังการหลอกลวงของระบบของโลกใบนี้  หรือการล่อลวงที่อยู่บนโลกใบนี้  เราก็แถไป พอแถไปปุ๊บ พระเจ้าก็เสียใจ  มีคำหนึ่งที่บอกว่าพระเจ้าอนุญาต หลายคนก็มักจะถามว่าทำไมพระเจ้าอนุญาตให้เรื่องโน้นเรื่องนี้เกิดขึ้น คำว่า “อนุญาต” หมายความว่าพระเจ้าให้เสรีภาพมนุษย์ในการตัดสินใจ  แม้ว่าเราเชื่อพระเจ้าแล้ว หรือไม่เชื่อก็ตาม พระเจ้าให้เสรีภาพเราในการตัดสินใจ  ถ้าเดิมทีเราเป็นคนบาป เราตัดสินใจเลือกที่จะมาเชื่อฟังพระเจ้า เราก็ได้เข้าสู่ขบวนการการบังเกิดใหม่แล้ว เป็นผู้ชอบธรรม แต่ถ้าเราตัดสินใจไม่เชื่อพระเจ้า …

“ฉันจะทำด้วยตัวของฉันเอง ฉันจะใช้กำลัง ความสามารถ สติปัญญาทุกอย่างของฉัน เพื่อให้ตัวเองเป็นผู้ชอบธรรม”

พระเจ้าก็ทำอะไรไม่ได้ เพราะพระเจ้าอนุญาต แต่ถามว่าพระเจ้าต้องการไหม? พระเจ้าไม่ต้องการให้มนุษย์ แม้แต่คนหนึ่งคนใดต้องพินาศ แต่พระเจ้าก็ไม่จับมนุษย์มัดเอาไว้ แล้วบังคับให้มนุษย์ต้องทำตามพระประสงค์ของพระเจ้า

อันนี้ชัดเจนมากเลยนะ ถ้าพี่น้องรับรู้ตรงนี้ปุ๊บ เราเป็นอิสระมากเลย เราก็เรียนรู้ที่จะแยกแยะแล้ว ตอนนี้เรารับรู้แล้วว่าอันนี้ ถ้ามันไม่ได้ตรงกับที่พระเจ้าบอกเรา เราก็ขอกำลังจากพระเจ้า พอเรารับรู้มากเท่าไร? อันนี้ไม่ดี  ไม่โอเคเลย เราไม่เอาดีกว่า เราเลือกที่จะมาทางพระเจ้าดีกว่า แต่ว่าในขณะที่เรายังมีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ เราต้องยอมรับอันหนึ่ง เราก็เหมือนเด็ก ล้ม ลุก คลุก คลาน หัวทิ่มหัวตำ แต่ไม่ว่าหัวทิ่มหัวตำอย่างไร? ก็ไม่สามารถทำให้เราหลุดจากการเป็นลูกของพระเจ้าได้เลย ไม่ได้ พี่น้องต้องชัดเจน ตรงนี้ เพื่อว่าเราจะได้มีอิสระเป็นไทจริงๆ  ที่เราจะได้ไม่โดนหลอกด้วยคำพูดสวยงาม  หรือด้วยเหตุผลอะไรทั้งหมดที่โลกนี้นำเสนอให้กับเรา  ดูเหมือนเหตุผลจะดี แต่ว่าถ้ามาเทียบกับสิ่งที่พระเจ้าบอกเรา มันไม่ใช่นี่หน่า ถ้าไม่ใช่ เราจะไม่เอเมน ถ้าพระเจ้าเปิดให้เราเห็นแล้วว่าอะไรที่ไม่ใช่  เราก็จะไม่เอเมนตาม ถ้าเราเอเมนตาม แปลว่าเราเห็นด้วย ไม่เอเมนๆ

อะไรที่ตรงตามที่ถ้อยคำของพระองค์บอก เราเอเมนได้เลย เราขอบคุณพระเจ้า สำหรับสิ่งที่พระองค์ได้กระทำให้กับเราเรียบร้อยไปแล้ว บนไม้กางเขน เราสามารถเอเมนตามพระเจ้าได้เลย ขอบคุณพระเจ้า

ลูกา 2:36-39 “36 ยังมีผู้เผยพระวจนะหญิงคนหนึ่ง ชื่ออันนา บุตรีฟานูเอล ในเผ่าอาเชอร์ นางเป็นคนชรามากแล้ว มีสามีตั้งแต่สาวๆ และอยู่ด้วยกันเจ็ดปี 37 แล้วก็เป็นม่ายมาจนถึงแปดสิบสี่ปี นางมิได้ไปจากบริเวณพระวิหารเลย อยู่นมัสการถืออดอาหาร และอธิษฐานทั้งกลางวันกลางคืน 38 ในขณะนั้นผู้หญิงคนนี้ ก็เข้ามาโมทนาพระเจ้า และกล่าวถึงพระกุมาร ให้คนทั้งปวงที่คอยการทรงไถ่กรุงเยรูซาเล็มฟัง 39 ครั้นโยเซฟกับนางมารีย์ได้กระทำการทั้งปวง  ตามธรรมบัญญัติของพระเป็นเจ้าเสร็จแล้ว  จึงกลับไปถึงนาซาเร็ธ เมืองของตนในแคว้นกาลิลี”

 

มีผู้หญิงอีกคนหนึ่งเป็นผู้เผยพระวจนะ คือเป็นม่ายตั้งแต่ยังสาว แต่ว่าเขาเชื่อในสิ่งที่พระเจ้าได้สัญญากับเขาไว้ว่าพระเจ้าจะประทานพระผู้ช่วยให้รอดให้กับเขา เขาเลยเฝ้ารอคอยจนถึงวันที่พระเยซูคริสต์มา เขาก็ชื่นชมยินดี โมทนา ขอบพระคุณพระเจ้า เพราะว่าเขาเชื่อตามนั้น

พอเสร็จจากการทำพิธีกรรมทั้งหมด มารีย์กับโยเซฟก็พาพระเยซูกลับ

ลูกา 2:40-52 “40 พระกุมารนั้นก็เจริญวัยแข็งแรงขึ้น ประกอบด้วยสติปัญญาและพระคุณของพระเจ้าอยู่กับท่าน 41 ฝ่ายบิดามารดาเคยขึ้นไปยังกรุงเยรูซาเล็ม ในเทศกาลปัสกาทุกปีๆ 42 เมื่อพระกุมารมีพระชนม์สิบสองพรรษา เขาทั้งหลายก็ขึ้นไปตามธรรมเนียมในเทศกาลนั้น 43 เมื่อครบกำหนดวันเลี้ยงกันแล้ว ขณะเขากำลังกลับไป พระกุมารเยซูยังค้างอยู่ในกรุงเยรูซาเล็ม ฝ่ายบิดากับมารดาก็ไม่รู้ 44 แต่เพราะเขาทั้งสองคิดว่าพระกุมารนั้น อยู่ในหมู่คนที่มาด้วยกัน เขาจึงเดินทางไปได้วันหนึ่ง แล้วเริ่มหาพระกุมารในหมู่ญาติพี่น้องและพวกคนที่รู้จักกัน 45 เมื่อไม่พบจึงกลับไปเที่ยวหาที่กรุงเยรูซาเล็ม 46 ครั้นหามาได้สามวันแล้ว จึงพบพระกุมารนั่งอยู่ในพระวิหารท่ามกลางพวกอาจารย์ ฟังและไต่ถามพวกอาจารย์เหล่านั้นอยู่ 47 คนทั้งปวงที่ได้ยินก็ประหลาดใจในสติปัญญาและคำตอบของพระกุมารนั้น 48 ฝ่ายบิดามารดาเมื่อเห็นแล้ว ก็ประหลาดใจ มารดาจึงว่า “ลูกเอ๋ย ทำไมจึงทำแก่เราอย่างนี้ ดูเถิด พ่อกับแม่แสวงหาเป็นทุกข์นัก” 49 พระเยซูจึงตอบว่า “ท่านเที่ยวหาฉันทำไม ท่านไม่ทราบหรือว่าฉันต้องอยู่ในพระนิเวศแห่งพระบิดาของฉัน50 ฝ่ายบิดามารดาก็ไม่เข้าใจคำ ซึ่งท่านกล่าวแก่เขา 51 แล้วพระกุมารก็ลงไปกับเขา ไปยังเมืองนาซาเร็ธ อยู่ใต้การปกครองของเขา มารดาก็เก็บเรื่องราวทั้งหมดนั้นไว้ในใจ 52 พระเยซูก็ได้จำเริญขึ้นในด้านสติปัญญา ในด้านร่างกาย และเป็นที่ชอบจำเพาะพระเจ้า และต่อหน้าคนทั้งปวงด้วย”

 

ตรงนี้เราจะเห็นภาพคนอิสราเอลสมัยก่อน ก่อนที่พระเยซูคริสต์มาทำภารกิจสำเร็จ  ก็คือยังอยู่ในกฎบัญญัติ มารีย์กับโยเซฟต้องพาพระเยซูมาที่กรุงเยรูซาเล็มทุกปี เพื่อถวายเครื่องบูชา เพื่อกลบเกลื่อนบาปของตัวเองทุกปี คนอิสราเอลต้องทำอย่างนี้หมด พอพระเยซูอายุ 12 ปีพามาเหมือนเดิม ปรากฏว่าพอเสร็จงาน ขบวนของนางมารีย์กลับบ้าน พระเยซูไม่กลับด้วย  มาถกถ้อยคำของพระเจ้าที่พระวิหารของพระองค์ นางมารีย์ก็ไม่เข้าใจเรื่องนี้ เหมือนเดิมนั่นแหละ ถามพระเยซูว่า

“ทำอย่างนี้ได้อย่างไร? หากันแทบตายกว่าจะเจอ”

พระเยซูพูดว่า “ท่านไม่รู้หรือว่าเราจะต้องอยู่ในพระนิเวศน์ของพระเจ้า”

เป็นคำเผยพระวจนะ หรือการบอกล่วงหน้าว่าพระองค์จะต้องอยู่ในพระนิเวศน์ของพระเจ้า พระองค์ คือผู้ที่พระเจ้าส่งมา ทำการงานของพระองค์ให้สำเร็จในอนาคตข้างหน้า แต่พอจบตรงนี้ ในพระคัมภีร์ก็บอกว่าพระเยซูก็กลับไปกับนางมารีย์ โยเซฟ แล้วก็ใช้ชีวิตปกติเลย

อันนั้น เพื่อเล็งให้เห็นว่าพระเยซูทรงเป็นบุตรมนุษย์ เป็นมนุษย์จริงๆ ใช้ชีวิตเหมือนมนุษย์เลย กลับไป ก็ใช้ชีวิตจนถึงอายุ 30 ปี พระเยซูก็ออกมาประกาศแผ่นดินของพระเจ้า ประกาศให้คนอิสราเอลกลับใจเสียใหม่ แล้วก็บอกว่าแผ่นดินของพระเจ้ามาใกล้แล้ว

แล้วเราก็ขอบคุณพระเจ้าที่ถ้อยคำของพระองค์บอกเรา แล้วเราอยู่ในยุคนี้ ยุคที่พระเยซูคริสต์ได้ทำการงานของพระองค์สำเร็จเรียบร้อย เกือบ 2,000 ปีแล้ว แล้วเราผู้เชื่อได้รับพระคุณจากพระเจ้า พระเมตตาจากพระเจ้า ที่ได้ทรงไถ่บาปเราเรียบร้อยไปแล้ว ด้วยพระโลหิตของพระองค์ เป็นพระคุณซ้อนพระคุณที่ให้เราเป็นลูกของพระองค์ ได้กลับใจใหม่ ได้รับสิ่งสารพัด ซึ่งมาจากพระเจ้า ฉะนั้น ข่าวประเสริฐของพระองค์ ก็มีแค่นี้แหละ แล้วพระเจ้า พระเยซูคริสต์ ก็บอกให้พวกเรา ประกาศออกไป ประกาศเรื่องราวของพระเยซูคริสต์ออกไปให้ผู้คนเยอะแยะมากมายเขาได้รับรู้ และได้เรียนรู้ถึงเรื่องนี้  แล้วใครก็ตามที่เข้ามายอมรับในเรื่องนี้ ที่พระเยซูคริสต์ทำให้ เขาก็จะได้รับอิสรภาพ เขาจะได้เป็นไท เขาจะได้เป็นผู้ชอบธรรม เขาจะได้ไม่ต้องไปกลัวว่าตายไปแล้ว เขาจะต้องไปชดใช้หนี้ เวรกรรมที่นรกอีก เขาจะได้อยู่บนสวรรค์กับพระเจ้านิรันดร์กาล และบัดนี้ วิญญาณของพวกเราของผู้เชื่อ ก็ได้อยู่ในสวรรค์กับพระเจ้าเรียบร้อยไปแล้ว ขอบคุณพระเจ้า เอเมน

 

**************************

 

จากใจคณะศิษยาภิบาล

 

1 ยอห์น 4:17 “แบบนี้สิ ความรัก​ของ​พระเจ้า​ถึง​สำเร็จ​ตาม​เป้าหมาย​ของ​พระองค์​ใน​พวก​เรา  เรา​จึง​มี​ความ​มั่นใจ​ใน​วัน​พิพากษา ที่​เรา​มี​ความ​มั่นใจ​อย่าง​เต็มเปี่ยม​ ก็​เพราะชีวิตจิตวิญญาณที่​เรา​มี​ขณะที่อยู่ในโลก​นี้นั้น  เป็นชีวิตจิตวิญญาณที่​เหมือน​กับ​ชีวิตจิตวิญญาณของ​พระคริสต์”

 

เรามีคุณสมบัติ บริสุทธิ์สะอาดปราศจากบาป ครบถ้วนบริบูรณ์เหมาะสม ที่จะอยู่ในสวรรค์กับพระเจ้าเท่าๆ กับพระเยซูเลยทีเดียว พระเยซูเรียกเราว่าพี่น้องร่วมกันอยู่ในครอบครัวของพระบิดาเป็นผู้ชอบธรรมเป็นลูกของพระเจ้าแล้วเดี๋ยวนี้ ทันทีที่ท่านเปิดใจต้อนรับพระเยซูบนโลกใบนี้

 

แล้วเราก็จะพร้อมที่อยากให้พระเยซูกลับมาอีกครั้งเร็วเร็ว หรือเฝ้ารอคอยด้วยความตื่นเต้นใจจดใจจ่อที่จะออกจากร่างกายนี้ไปพบกับพระเจ้า หน้าต่อหน้าในมิติวิญญาณเร็วๆ เพราะเรามั่นใจในการอยู่กับพระเจ้าในสวรรค์สถานแล้วตั้งแต่เดี๋ยวนี้ ไปจนกระทั่งนิรันดร์นั่นเอง

 

เมื่อถึงวันพิพากษา เราไม่ต้องพบเจอกับสิ่งนี้ “พระเยซูจึงตรัสว่าเราไม่เคยรู้จักเจ้า ไม่เคยมีความสัมพันธ์เป็นหนึ่งเดียวกัน เป็นครอบครัวเดียวกันเลย”

 

เพราะฉะนั้นพระประสงค์น้ำพระทัยของพระเจ้า ที่ต้องการให้มนุษย์ทุกคนทำนั้น มีอย่างเดียวคือวางใจในพระบุตรพระเยซู เข้ามามีความสัมพันธ์เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระบุตร ด้วยการบังเกิดใหม่ และดำเนินชีวิตด้วยความเชื่อในความจริงนี้ ไม่พึ่งพาในการกระทำของตนเอง หรือความคิดความเข้าใจของตนเอง แต่จงวางใจในพระเจ้าด้วยสิ้นสุดใจสุดความคิด

 

พระเจ้าอวยพรครับ