วารสาร Holy News ฉบับที่ 1305

คำบรรยายวันศุกร์ประเสริฐที่  2  เมษายน  2021

 เรื่อง “บริสุทธิ์ สมบูรณ์แบบตลอดกาล  ด้วยพระโลหิตพระเยซู”

โดย นคร  เวชสุภาพร

 

หลายแห่งเขาก็ฉลองเทศกาลศุกร์ประเสริฐและอีสเตอร์ วันสิ้นพระชนม์กับวันเป็นขึ้นจากความตาย ต้องคู่กัน เขาฉลองเป็นสัปดาห์ เรียกว่าสัปดาห์แห่งการทนทุกข์ อาทิตย์ที่ผ่านมาเป็นปาล์มซันเดย์ พระเยซูคริสต์เดินทางเข้ามากรุงเยรูซาเล็ม พระคัมภีร์บอกหมด ตั้งแต่นานมาแล้ว ก่อนหน้าที่จะเดินทางเข้ากรุงเยรูซาเล็ม เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา ตลอด 3 ปี ที่พระเยซูได้ประกาศบนโลกใบนี้ ถึงเรื่องราวเกี่ยวกับพระองค์ พระองค์บอกล่วงหน้าแล้วว่าพระองค์จะเข้ามากรุงเยรูซาเล็ม ในสุดท้ายชีวิตของพระองค์ เพื่อให้เขาจับไปฆ่า เพราะเป็นการงานที่พระองค์ได้ถูกแต่งตั้งให้กระทำสิ่งนี้ บอกมาเป็นระยะๆ ตลอดเวลา

วันนี้เราเลยจะมาระลึกถึงเหตุการณ์นี้ร่วมกัน ว่าพระเยซูทราบล่วงหน้า แล้วว่าจะเข้ากรุงเยรูซาเล็มในสัปดาห์นี้ เพื่อให้เขาจับไปฆ่าด้วยการถูกตรึงที่ไม้กางเขนอย่างทรมาน  เพราะความรักยิ่งใหญ่ขนาดไหน? ว่าพระองค์ทรงทุกข์ทรมาน เพื่อเรามากขนาดไหน?  เราจะมาเริ่มต้นที่ยอห์น 19:28-30 เลยว่าเมื่อพระองค์ทรงเดินทางเข้ากรุงเยรูซาเล็ม เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา รู้แล้วว่ามาครั้งนี้ พระองค์จะถูกจับไปตรึงที่ไม้กางเขน  และพระองค์ทรงว้าวุ่นใจ กังวลใจตั้งแต่แรกแล้ว รู้ว่าพระเจ้าให้กระทำสิ่งนี้  แต่ก็รู้ว่ามันหนักหนาสาหัส ยิ่งใกล้วันมา วันจันทร์ วันอังคาร วันพุธ วันพฤหัส ยิ่งกังวลใจมาก ยิ่งกลัวในสิ่งที่พระองค์ทรงกระทำ ลองคิดดูสิว่าพระเยซู พระบุตรของพระเจ้าที่พระองค์มาเกิดเป็นมนุษย์ ก็เป็นพระบุตรของพระเจ้าที่พูดคุยกับพระเจ้าตลอดเวลา  แล้วพระองค์ทรงบอกว่าพระองค์ทรงกังวลใจ  พระองค์ทรงกลัว มันจะเป็นภาระหนักขนาดไหนที่พระเยซูจะทรงก้าวเข้าไปทำ ในการถูกตรึงที่ไม้กางเขน  ทั้งๆ ที่รู้ บันทึกไว้ในพระคัมภีร์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสวนเกทเสมนีในวันพฤหัส คือเมื่อวานนี้  ก่อนที่จะถูกจับไปทุกข์ทรมาน และตรึงบนไม้กางเขน พระองค์อยู่กับเหล่าสาวก แล้วขอร้องให้เหล่าสาวกมาเป็นเพื่อนหน่อย  แสดงว่ากลัว กังวล

กังวลถึงขนาดบันทึกไว้ในพระคัมภีร์บอกว่าพระองค์อธิษฐานด้วยความทุกข์ทรมานถึง 3 ครั้ง  พระเจ้าพระบุตร อธิษฐานกับพระบิดา ขอให้ภาระนี้ หน้าที่นี้ การถูกตรึงที่ไม้กางเขนนี้ เป็นไปได้ไหมที่จะผ่านไป ไม่รับ ไม่เข้าไป  ไม่ถูกตรึงได้ไหม? มีวิธีอื่นไหม? แต่ทั้ง 3 ครั้ง เนื่องจากพระองค์ทรงทราบล่วงหน้า มาตั้งเป็นพันๆ ปีมาแล้วว่าพระองค์ทรงถูกแต่งตั้งให้มาทำงานนี้ พระองค์ก็ทรงทราบ  แต่ในใจหนึ่ง ก็ทรงกลัว แล้วพระองค์ก็ทรงชนะจิตใจตัวเอง โดยการอธิษฐานว่า …

“พระเจ้าถ้ามันเลื่อนไม่ได้ มันจำเป็นที่ลูกจะต้องเดินเข้าไป  ก็ขอให้เป็นไปตามน้ำพระทัยของพระองค์ อย่าเป็นไปตามใจลูกเลย”

อธิษฐานอย่างนี้ 3 ครั้ง แสดงให้เห็นถึงความน่าสะพรึงกลัว น่าหวาดกลัว น่าสยดสยองของสิ่งที่พระเยซูคริสต์กำลังเผชิญอยู่ ตั้งแต่เมื่อวานนี้ตอนเย็น จนกระทั่งถึงเมื่อบ่าย 3 โมง วันนี้ที่พระองค์ทรงถูกตรึงที่ไม้กางเขน เราจะมาดูกันว่าพระองค์กลัวอะไร? แล้วเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนั้น เพื่ออะไร? ทำไมพระเจ้าต้องทำสิ่งเหล่านี้ด้วย มารซาตานรู้อย่างเดียวว่าอยากจะเอาชนะพระเยซู สิ่งเดียวที่ทำให้พระเยซูแพ้มารซาตานในเรื่องนี้ได้ ก็คือซาตานมันรู้แล้วว่าพระเยซู เป็นพระบุตรของพระเจ้า  มาเกิดเป็นมนุษย์ แต่มันไม่รู้แผนการทั้งหมดของพระเจ้า ในการไถ่ถอนมนุษย์ มันไม่รู้ลึกซึ้งขนาดนั้น พระคัมภีร์บอกมันไม่รู้ เพราะฉะนั้น มันพยายามที่จะทดลอง ที่จะยุแหย่พระเยซูให้ทำอะไรก็ได้  ให้ละเมิดสิทธิ์ในการเป็นตัวแทนมนุษย์ ในการสำแดงตัวพระเจ้าออกมา ถ้าสำแดงตัวของพระเจ้าออกมาเมื่อไร? ก็ไม่ได้เป็นมนุษย์เมื่อนั้น เข้าใจใช่ไหมครับ?

ยกตัวอย่างเช่นเมื่อวานนี้ถูกจับ มันทั้งล้อเลียน ยุแหย่ ทั้งไม่ให้เกียรติ ถ่มน้ำลาย ตบหน้าพระเยซู เฆี่ยนพระเยซู เยาะเย้ยต่างๆ เพื่อให้พระเยซูบอกว่า …

“ไม่เอาแล้ว ไม่ไหวแล้ว กลับมาเป็นพระเจ้าดีกว่า ไม่ยอมให้ถูกรังแกอย่างนี้  ไม่เอาเด็ดขาด”

นั่นแหละ คือพระเยซูแพ้ แต่ขอบคุณพระเจ้า ผลปรากฏออกมาแล้วว่าพระเยซูไม่แพ้  ทนจนกระทั่งสุดท้ายที่ไม้กางเขน แบกรับเอาความน่าอาย แบกรับเอาความทุกข์ทรมาน  แบกรับเอาความยุแหย่ เจ็บปวด ทั้งๆ ที่ตัวเองเป็นพระเจ้า สามารถที่จะหนีจากสิ่งเหล่านี้ สามารถที่จะชนะสิ่งเหล่านี้  สามารถลงจากกางเขนได้ทันที เรียกทูตสวรรค์มาเป็นกองๆ ทันทีเลย  ใครจะทำอะไรพระองค์ได้ แต่พระองค์ไม่ทำ  ยอมทำให้เป็นไปตามน้ำพระทัยพระเจ้า  ยอมทนทุกข์ทรมานด้วยความเจ็บปวด ความรักอันยิ่งใหญ่นี้พระองค์ทำเพื่อใคร? ในที่สุด พระองค์ก็ทรงชนะ คือทรงสิ้นพระชนม์ รับบาปของมวลมนุษยชาติ จนกระทั่งคนสุดท้าย

สมมติว่ามนุษย์มีทั้งหมด แสนล้านคน พระองค์รับแบกบาปมวลมนุษยชาติไว้ที่ตัวพระองค์ ตั้งแต่คนแรก รับไปเรื่อยๆ ตั้งแต่เย็นวันพฤหัส ถูกจับปุ๊บ ค่อยๆ รับความทุกข์ทรมาน รับเพิ่มไปเรื่อยๆ  รับจนกระทั่งบนไม้กางเขน ใกล้ๆ บ่าย 3 โมง พระองค์อาจจะนับไป 99,999 เหลืออีกคนเดียวเอง พอถึงบ่าย 3 โมงพระองค์รับอีกคนหนึ่งไว้ ด้วยความทุกข์ทรมาน พอรับไป พระองค์บอกว่ารับหมดเรียบร้อยแล้ว แบกบาปของคนทั้งโลกไว้ที่พระองค์เรียบร้อยแล้ว ด้วยความอับอาย ด้วยความเจ็บปวด ทำอะไรเขาได้ แต่ก็ไม่สามารถทำได้ตอนนี้ เพราะรับบาปของมวลมนุษยชาติ ต้องอดทน รับแบกบาปของมวลมนุษย์ไว้ จนคนสุดท้าย  รับครบเมื่อไร? เมื่อบ่าย 3 โมง พระองค์ก็เลยบอกว่าจบแล้ว เสร็จเรียบร้อยแล้ว สำเร็จแล้ว เรามาอ่านดูตรงนี้กัน ยอห์น 19:28-30 …

ยอห์น 19:28-30  “28 หลังจากนั้น พระเยซูรู้ว่าทุกอย่างเสร็จสิ้นสมบูรณ์แล้ว เพื่อให้คำต่างๆ ในพระคัมภีร์เกิดขึ้นจริง พระองค์พูดว่า “เราหิวน้ำ” 29 มีไหใส่เหล้าองุ่นเปรี้ยวอยู่ที่นั่น พวกเขาจึงเอาฟองน้ำชุบเหล้าองุ่นเปรี้ยวนี้ ใส่ปลายกิ่งไม้หุสบ แล้วยื่นไปจ่อไว้ที่ปากของพระองค์ 30 เมื่อพระองค์ได้ชิมเหล้าองุ่นเปรี้ยวแล้ว จึงได้ร้องว่า “สำเร็จแล้ว” จากนั้น ก็คอพับ และสิ้นใจตาย”

 

สิ่งที่พระองค์ทรงกลัวมาก คือการทนทุกข์ทรมาน อย่างที่บอก ถูกเยาะเย้ย ถูกเหยียดหยาม ถูกทรมาน  เอาสิทนได้ใช่ไหม? ก็ทรมานอีก ทนได้ ทรมานอีก จนกระทั่ง พระเยซูรู้ว่าทุกอย่างเสร็จสมบูรณ์ ตามที่พระเจ้าวางแผนไว้แล้ว ชำระบาปให้กับมนุษย์ทั้งหลาย รับแบกบาป เรียบร้อยแล้ว  พระองค์ทรงทราบและสำเร็จแล้ว พระองค์จึงได้ร้องประกาศข่าวดีอีกแล้ว ตลอด 3 ปีมา ที่ดำเนินบนโลกใบนี้ เริ่มสั่งสอนนั้น พระองค์ไม่ได้มาสั่งสอนให้คนทำความดีนะ มาประกาศแผ่นดินสวรรค์ ประกาศปีแห่งการโปรดปรานของพระเจ้าว่าพระเจ้าอภัยให้มนุษยชาติ พระองค์มา เพื่อไถ่บาป พระองค์จึงได้ร้องว่าข่าวดีที่บอกไว้นั้น เกี่ยวกับสวรรค์มา บัดนี้ สำเร็จแล้ว แล้วก็สิ้นพระชนม์ สิ้นพระชนม์ก่อนหน้านี้ไม่ได้ ตายก่อนหน้านี้ไม่ได้  ต้องรับจนหมดเกลี้ยงเลย มวลมนุษยชาติ บาปของเขา พระองค์ทรงรับไว้หมดเกลี้ยงเลย แล้วพระองค์ก็บอก …

“สำเร็จแล้ว” สิ้นพระชนม์

ในภาษาเดิม ที่เขาใช้ภาษากรีกบันทึกเอาไว้ในพระคัมภีร์ตรงนี้ คำว่า “สำเร็จแล้ว” ตรงนี้ เราได้เคยคุ้นกันบ่อยๆ ทุกๆ ปีก็จะมาพูด เรียกว่า “Testelestai” คือสำเร็จแล้ว จ่ายหมดแล้ว ทำครบแล้ว สมบูรณ์แบบแล้ว  มันหมายถึงตรงนั้น พระองค์อยู่บนไม้กางเขนเมื่อตอนบ่าย 3 โมงวันนี้ พระองค์บอกว่าสำเร็จแล้ว แผนการของพระเจ้าที่จะช่วยเหลือมนุษย์ให้หลุดพ้นออกจากอำนาจมืดของผีมารซาตาน เป็นทาสของผีมารซาตานนั้น บัดนี้ สำเร็จแล้ว หนี้บาป เวรกรรมของมนุษย์ที่ติดตัวมา ตั้งแต่สมัยอาดัมนั้น ได้ถูกจ่าย ให้ครบถ้วนหมดแล้ว Testelestai ก็คือจ่ายหมดแล้ว พระองค์ทรงเป็นตัวแทนของมนุษย์พันธุ์ใหม่  พันธุ์ที่สามารถรับความบาปของมวลมนุษยชาติไว้ที่ตัวพระองค์ได้ เพราะพระองค์เป็นพระเจ้า ไม่มีบาป บริสุทธิ์ผุดผ่องเลย  ไม่มีมนุษย์คนใดเลยในโลก สักคนเดียวที่บริสุทธิ์ผุดผ่อง เพราะทั่งหมด มาจากแหล่งเดียวกัน มาจากที่เดียวกัน คือมาจากบรรพบุรุษเดียวกัน คืออาดัม ทุกคนติดเชื้อบาปกันมาทั้งสิ้น ยกเว้นพระเยซูคริสต์ที่บังเกิดจากหญิงพรหมจารี กำเนิดโดยหญิงพรหมจรรย์ จากพระวิญญาณของพระเจ้า พระองค์จึงบริสุทธ์ เป็นมนุษย์ 100% และเป็นพระเจ้า 100%  พระองค์จึงเป็นตัวแทนของมนุษย์จ่ายหนี้บาป เรียบร้อย หมดไปแล้ว เกลี้ยงเลย

แล้วพระคัมภีร์ก็บอกว่าถ้าใครรู้ข่าวดีนี้ ต้องการที่จะหมดหนี้ หมดบาป ก็ง่ายนิดเดียว คือเปิดใจต้อนรับข่าวดีนี้ว่ามันเป็นจริงเท่านั้นเอง

มนุษย์ผู้ใดอยากได้สิทธิ์นี้ ก็ต้องย้ายออกจากพันธุ์เดิม คือพันธุ์อาดัม ก็เป็นพันธุ์ของเรา พันธุ์มนุษย์ทั้งหมด ก็มาจากอาดัม ต้องย้ายจากอาดัมมาอยู่พันธุ์ใหม่ มาอยู่ในพันธุ์ของพระเยซูคริสต์ ให้พระเยซูคริสต์เป็นตัวแทน เป็นหัวหน้าเรา เป็นมนุษย์พันธุ์ใหม่  เราก็จะได้รับสิทธินี้ คือหนี้บาปเวรกรรมของเรา ก็ได้ถูกจ่ายไปเรียบร้อยแล้ว เพราะว่าหัวหน้าของเรา คือพระเยซูคริสต์ได้จ่ายให้หมดแล้ว

แสดงการใช้สิทธิ์นี้ ด้วยเจตจำนง คือใช้ความเชื่อ พระคัมภีร์ใช้คำว่า “กลับใจใหม่”  หรือเรียกว่า “เปิดใจต้อนรับข่าวดี” พระเยซูบอกเราเคาะที่ประตูใจของท่าน  เราประกาศข่าวดีให้กับท่าน มาอยู่เรื่อยๆ ทั้งผ่านตรงโน้น ผ่านตรงนี้ เคาะอยู่เรื่อยๆ  ให้ท่านเปิดใจต้อนรับข่าวดีนี้ คือต้อนรับพระเยซูคริสต์ เป็นผู้ช่วยให้รอดของท่าน ท่านก็ได้รับสิทธิ์นี้ทันนี้

นี่คือการแสดงเจตจำนงในการรับสิทธิในข่าวดีที่พระเยซูทำให้ ที่ไม้กางเขน เมื่อบ่ายนี้ นี่ผ่านมาแล้ว 2,000 ปี หนี้บาปเวรกรรมของมนุษย์ ได้ถูกจ่ายเรียบร้อยไปแล้ว และก่อนอื่นเลย ที่มนุษย์คนนั้นจะใช้สิทธิ์ อันดับแรก ซึ่งผ่านไปไม่ได้เลย ก่อนที่จะใช้สิทธิ์นี้ คือเขาต้องยอมรับตัวเองก่อนว่าเขาเป็นคนบาป ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้  ต้องการผู้ช่วยให้รอดจากบาป ไม่สามารถชดใช้บาปตัวเองได้  พูดง่ายๆ ใช้บาป เวรกรรมตัวเองไม่หมด  และต้องการความช่วยเหลือจากผู้อื่น ก็คือมีพระเยซูผู้เดียว  ตรงนี้จึงเป็นอันดับแรกที่ต้องเกิดขึ้นในใจก่อน มนุษย์คนนั้นต้องยอมรับก่อนว่าตัวเองเป็นคนบาป และอ่อนแอ ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้  ตรงนี้มันยากนะ ที่มนุษย์คนหนึ่งจะยอมถ่อมใจลง

“ฉันช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ ฉันทำดีอย่างไรก็ยังไม่เพียงพอ  เพราะฉะนั้นขอตัวช่วย”

และตัวช่วย ก็มีอยู่ผู้เดียว คือพระผู้ช่วยให้รอด  พระเยซู … เยซู แปลว่าผู้ช่วยให้รอด เมื่อใดเมื่อนั้น ถ่อมใจตรงนี้ เขาก็จะได้รับสิทธิ์นี้ทันที ในโรม 5:8-9 ได้อธิบายถึงทำไมพระเยซูต้องยอมทนทุกข์ทรมาน ถึงขนาดนั้น เพราะรักใครมาก? ลองอ่านดู ท่านจะรู้ว่าความรู้สึกของพระเยซู ของพระเจ้าที่มีต่อมวลมนุษยชาติบนโลกใบนี้นั้น เป็นความรักขนาดไหน? …

โรม 5:8-9  “8 แต่พระเจ้าได้แสดงความรักต่อเรา โดยยอมส่งพระคริสต์มาตายเพื่อเรา 9 ทั้งๆ ที่เรายังเป็นคนบาป (เป็นศัตรูกับพระเจ้า) อยู่  ตอนนี้พระเจ้ายอมรับเรา (เป็นผู้ชอบธรรม) แล้ว เพราะเลือดของพระคริสต์  ยิ่งกว่านั้น เราจะรอดพ้นจากความโกรธ (การถูกลงโทษ เพราะบาป) ของพระเจ้า (ในวันพิพากษา) เพราะพระคริสต์อย่างแน่นอน”

 

ท่านคิดดูสิ ความรักของพระเจ้าใหญ่แค่ไหน? ทั้งๆ ที่มนุษยชาติบนโลกใบนี้ยังเป็นคนบาป ยังเป็นศัตรูกับพระเจ้า ยังดุด่า ว่ากล่าวพระเจ้า ล้อเลียนพระเจ้า อยู่ตรงข้ามพระเจ้า ดูหมิ่นพระเจ้า แต่ในขณะที่เรายังเป็นอย่างนั้น พระเจ้าโกรธเหรอ? พระเจ้าจะลงโทษเราใช่ไหม?  เพราะเราเป็นศัตรูกับพระองค์ใช่ไหม? ในนี้บอกว่า …

“แต่พระเจ้าได้แสดงความรักต่อมนุษยชาติบนโลกใบนี้ โดยยอมส่งพระเยซูคริสต์ พระบุตรองค์เดียวของพระองค์มาตาย เพื่อเราที่ไม้กางเขน”

ที่เราพูดคุยกันเมื่อสักครู่นี้ ด้วยความทุกข์ทรมาน เพื่อมนุษยชาติที่เป็นศัตรูกับพระองค์ หมิ่น เหยียดหยาม ทั้งหมดออกมาที่เมื่อวานนี้ ที่ผมบอกให้ฟัง ที่มารมันใส่เข้าไปในจิตใจมนุษยชาติ ที่เกลียดพระเยซูมาก นั่นแหละ ข้างในของมนุษย์เป็นศัตรู เยาะเย้ยถากถาง เอามงกุฎหนามสวมเข้าไป ปลดฉลองพระองค์ให้พระองค์ละอาย แม้ตรึงอยู่ที่ไม้กางเขน ก็บอกว่า …

“อ้าว! ลงมาสิ เก่งจริงลงมา”

คือทำทุกอย่าง นั่นแหละคือศัตรูกับพระเจ้า ทั้งๆ ที่มนุษย์เป็นศัตรูอย่างนั้นนะ พระเจ้าบอก …

“เราไม่ถือโทษ เราส่งพระเยซูคริสต์ พระบุตรเรามาตายที่ไม้กางเขน  เพื่อยอมรับเจ้า กลับมาหาเราใหม่”

พระเจ้ายอมรับมนุษยชาติ ยอมรับเรา ผู้เป็นคนบาป เป็นศัตรูกับพระเจ้า ให้กลายเป็นผู้ชอบธรรมแล้ว โดยพระโลหิตของพระเยซู เลือดของพระเยซูคริสต์ที่หลั่งตั้งแต่ก่อนไม้กางเขน จนกระทั่งถึงไม้กางเขน และสิ้นพระชนม์นั่นแหละ

และในนี้บอกว่า “ยิ่งกว่านั้น เราจะรอดพ้นจากความโกรธของพระเจ้า” หมายถึงอะไร?

เราจะพ้นจากการถูกลงโทษ เพราะบาป เพราะเราเป็นศัตรูกับพระเจ้า พระเจ้าไม่ได้ทำอะไรเราหรอก มันเป็นกฎตามธรรมชาติ เมื่อเราเป็นศัตรูกับพระเจ้า เป็นศัตรูกับความดีงาม เราก็ได้รับโทษ ถูกพิพากษาลงโทษ

ในนี้บอกว่า … “รอดพ้นจากความโกรธ การถูกลงโทษ เพราะบาป ในวันพิพากษา” ก็คือในวันสุดท้าย เมื่อชีวิตเราหมดสิ้นจากโลกใบนี้ไปแล้ว ทุกคนต้องเข้าสู่การพิพากษาของพระเจ้า ถ้าเรายังเป็นศัตรูกับพระเจ้า ง่ายนิดเดียว พระเจ้าเป็นเจ้าของสวรรค์ เราเป็นศัตรูกับพระเจ้า การถูกพิพากษา คืออะไร? ท่านก็ทราบ มันก็เข้ากันไม่ได้อยู่แล้ว มันก็ต้องจำใจปล่อยไปตามทางของเรา เราก็ไปอยู่ในสถานที่ที่ไม่ใช่สวรรค์ของพระเจ้า สำหรับคนที่เชื่อในพระเยซูคริสต์ ได้รับการชำระโดยโลหิตของพระเยซูคริสต์ กลายเป็นผู้ชอบธรรม คนดีงามแล้ว ไม่ได้เป็นคนบาป ไม่ได้เป็นศัตรูกับพระเจ้าอีกแล้ว เขาก็รอด จากการพิพากษา  แค่นี้เอง รอดจากการถูกลงโทษ ในวันสุดท้าย เขาก็ไปอยู่ในสวรรค์กับพระเจ้า นั่นหมายความว่าอย่างนี้ ฮีบรู 9:12 ได้บันทึกไว้อย่างนี้ …

ฮีบรู 9:12  “พระองค์เข้าไปในห้องที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สุดนั้น เพียงครั้งเดียวก็พอ สำหรับตลอดไป พระองค์ไม่ได้เอาเลือดแพะและเลือดลูกวัวเข้าไป แต่ได้ถวายเลือดของพระองค์เอง พระองค์จึงทำให้เรา เป็นอิสระจากบาปตลอดไป

 

“พระองค์เข้าไปในห้องที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สุด” หมายถึงพระองค์เข้าไปในสถานที่ประทับของพระเจ้า ในสวรรค์ ในโลกวิญญาณเลย ในขณะที่ตายที่ไม้กางเขนแล้ว วิญญาณของพระองค์เข้าไปในพลับพลา หรือเรียกว่าอภิสุทธิสถาน สถานที่บริสุทธิ์ที่พระเจ้าสถิตอยู่ ในโลกวิญญาณ ในสวรรค์จริงๆ เข้าไปหาพระเจ้า เพื่อเอาเลือด ไปไถ่บาปให้กับมวลมนุษยชาติ ไม่ใช่ด้วยเลือดของสัตว์ แต่ด้วยเลือดของพระองค์เอง  พระองค์จึงทำให้มนุษย์ทั้งหลายทั้งปวง เป็นอิสระ หลุดพ้นจากบาปตลอดไป

จำไว้ “หลุดพ้นจากบาป” คือหลุดพ้นจากการเป็นศัตรูกับพระเจ้าตลอดไป  บาป คือศัตรูกับพระเจ้า ต่อต้านพระเจ้า ไม่เชื่อฟังพระเจ้า พระเจ้าบอกบวก เราบอกลบ  พระเจ้าบอกขาว เราบอกดำ นี่คือธรรมชาติของคนที่อยู่ในบาป

แล้วพระองค์ทรงกระทำอย่างนี้ เมื่อปลดปล่อยมนุษย์ให้เป็นอิสรภาพ มนุษย์ก็สามารถที่เป็นอิสรจากบาป  ก็คือมีโอกาสที่จะหลุดจากการเป็นศัตรูกับพระเจ้า  คือสามารถกลับมาคืนดีกับพระเจ้า กลับมาเป็นมิตรกับพระเจ้า  เหมือนแต่ก่อนได้ กลับมาเข้ากันได้กับพระเจ้า  ซึ่งพระคัมภีร์ได้บันทึกไว้ตรงนี้ ใน 2 โครินธ์ 5:16-21 ผมจะนำท่านไปดูคำว่า “คืนดี” มันแปลว่าอะไร? …

2 โครินธ์ 5:16-21 “16 ดังนั้น ตั้งแต่นี้ต่อไป เราจะไม่พิจารณาใครตามทัศนะของโลก แม้ครั้งหนึ่ง เราเคยพิจารณาพระคริสต์แบบนั้น แต่เราก็จะไม่ทำเช่นนั้นอีกต่อไป 17 เหตุฉะนั้น ถ้าผู้ใดอยู่ในพระคริสต์ การทรงสร้างใหม่ได้เกิดขึ้นแล้ว สิ่งเก่าได้ล่วงไป สิ่งใหม่ได้เข้ามา 18 ทั้งหมดนี้ มาจากพระเจ้า ผู้ทรงให้เราคืนดีกับพระองค์ โดยทางพระคริสต์ และทรงมอบหมายพันธกิจแห่งการคืนดีนี้แก่เรา 19 คือพระเจ้าได้ทรงให้โลกคืนดีกับพระองค์ในพระคริสต์ ไม่ทรงถือโทษบาปของมนุษย์ และพระองค์ทรงมอบหมายเรื่องราวแห่งการคืนดีนี้ไว้กับเรา       20 ฉะนั้น เราจึงเป็นทูตของพระคริสต์ เสมือนหนึ่งพระเจ้าทรงร้องเรียกท่านทั้งหลายผ่านทางเรา 21 เราจึงขอร้องท่าน ในนามของพระคริสต์ว่าจงคืนดีกับพระเจ้า พระเจ้าทรงกระทำพระองค์ ผู้ปราศจากบาป ให้เป็นบาปเพื่อเรา เพื่อในพระองค์ เราจะกลายเป็นความชอบธรรมของพระเจ้า

 

พระเยซูหลั่งพระโลหิต ตายที่ไม้กางเขน เพื่อชำระมวลมนุษยชาติ ให้พ้นจากความบาป  พ้นจากการเป็นศัตรูกับพระเจ้า พ้นจากการอยู่ตรงข้ามกับพระเจ้า  พ้นจากการเข้ากับพระเจ้าไม่ได้

ทำไมผมเอา 2 โครินธ์ บทที่ 5 ขึ้นมาเมื่อตะกี้นี้  เพื่อจะเน้นให้ท่านเห็นถึงว่าที่พระเยซูมา ทำให้กับเรา คือทำให้มนุษย์สามารถเข้ากันได้กับพระเจ้า เป็นเคมีเดียวกัน ถ้าเรายังเป็นบาปอยู่ เราเหมือนน้ำกับไฟกับพระเจ้า  เจอกันไม่ได้ โดยธรรมชาติเลย

ในนี้บอกว่า … “ดังนั้น ตั้งแต่นี้ต่อไป เราจะไม่พิจารณาใครตามทัศนะของโลก”

ตามทัศนะของโลก ก็หมายถึงเราจะไม่ตัดสินใคร? มองใครตามลักษณะของสิ่งที่ตามองเห็น หูได้ยิน คือสิ่งที่จับต้องมองเห็นได้   ตามระบบของโลกนี้นั่นเอง

“ซึ่งครั้งหนึ่งเราเคยพิจารณาพระคริสต์” คือเราเคยตัดสินพระเยซูอย่างนั้น พระเยซูพูดอะไร? ฟังไม่รู้เรื่องเลย ก็พระเยซูมาพูดถึงเรื่องเกี่ยวกับโลกวิญญาณทั้งสิ้น ไม่ใช่เรื่องเกี่ยวกับโลกที่จับต้องมองเห็นได้ไง แต่เราไปตัดสินพระองค์ในเรื่องเกี่ยวกับสติปัญญาแบบโลก แบบจับต้องมองเห็นได้

ซึ่งในนี้บอกว่า … “เราจะไม่ทำเช่นนั้นอีกต่อไป  เหตุฉะนั้น เพราะถ้าผู้ใดอยู่ในพระคริสต์ การทรงสร้างใหม่ได้เกิดขึ้นแล้ว สิ่งเก่าได้ล่วงไป สิ่งใหม่ได้เข้ามา ทั้งหมดนี้มาจากพระเจ้า ผู้ทรงให้เราคืนดีกับพระองค์ โดยทางพระคริสต์”

โดยทางพระเยซูคริสต์ พระเจ้าได้ทำให้มนุษย์ทั้งหมด สามารถกลับมาเข้ากันได้กับพระเจ้า มาเข้าส่วนกันได้ มาคุยกันได้รู้เรื่อง มามีเคมีเหมือนกัน มาเป็นน้ำกับน้ำ แต่ก่อนนี้เป็นน้ำกับไฟ หรืออยู่ตรงข้ามกัน  แต่ตอนนี้มาเป็นน้ำกับน้ำ  เคมีเข้ากัน  สามารถเข้ากันได้ เป็นหนึ่งเดียวกันได้  และเมื่อเป็นหนึ่งเดียวกันได้ เราก็สามารถถูกสร้างใหม่ บังเกิดใหม่ เป็นเหมือนพระเจ้า ทุกสิ่งทุกอย่างใหม่เอี่ยมเลย  ใหม่ เพราะว่าอันเก่ามันเป็นศัตรูกับพระเจ้าหมด ทั้งวิญญาณ ความคิดจิตใจ และร่างกาย เป็นศัตรูหมดเลย  เข้ากับพระเจ้าไม่ได้เลย ต่อต้านพระเจ้าหมด ทั้งที่รู้หรือไม่รู้ก็ตาม มันเป็นอย่างนั้น  แต่ต่อไปนี้ โดยทางพระเยซูคริสต์ พระเจ้าได้ทำให้มนุษย์สามารถถูกสร้างขึ้นใหม่ เกิดใหม่ มาเข้ากันได้กับพระเจ้า ทั้งหมด ทั้งความคิดจิตใจ ร่างกาย และวิญญาณ มันหมายถึงอย่างนั้น

“และทรงมอบหมายพันธกิจแห่งการคืนดีแก่เรา” … “เรา” ในที่นี้หมายถึงอาจารย์เปาโลและทีมงาน ผู้เป็นอัครทูต ผู้เป็นผู้ประกาศข่าวดี

พระเจ้าได้มอบหมายงานนี้ งานออกไปประกาศ ไปบอกผู้คน  เรื่องข่าวดีนี้ เขาเรียกว่างานแห่งการให้คนมาคืนดีกับพระเจ้า พระเจ้าเปิดประตูให้คืนดีแล้ว  รีบมาเข้าหาพระเจ้าเร็วๆ อะไรอย่างนี้

คือพระเจ้าทรงให้โลกคืนดีกับพระองค์ “โลก” หมายถึงมนุษย์  พระเจ้าทรงให้มวลมนุษยชาติคืนดีกับพระองค์ในพระคริสต์ ไม่ทรงถือโทษบาปของมนุษย์อีกต่อไป  ให้มนุษย์คืนดี  ก็คือให้มนุษย์สามารถเข้ากันได้กับพระองค์ ให้มนุษย์สามารถเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของพระองค์ เข้ามาในครอบครัวของพระเจ้า  มาเป็นลูกของพระองค์ได้แล้ว

“ฉะนั้น เราจึงเป็นทูตของพระคริสต์ เสมือนหนึ่งพระเจ้าทรงร้องเรียกท่านทั้งหลายผ่านทางเรา”

“ท่านทั้งหลาย” คือมนุษย์ทุกคน … เรียกร้องมนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้แหละ  ที่ได้ยินข่าวดีนี้ ผ่านทาง ผู้รับใช้ คือเปาโลและทีม เมื่อพูดถึงพระเยซูคริสต์ คือพระเจ้าเรียกร้องให้มนุษย์ทั้งหลาย มาคืนดีกับพระองค์

“เราจึงขอร้องท่านในนามพระเยซูคริสต์” … เปาโลกำลังขอร้องใครก็ตามที่ได้ยินข่าวดีในวันนี้ ผมก็ขอร้องเหมือนกัน  ขอร้องตามน้ำพระทัยพระเจ้า เพราะรู้ว่าพระเจ้าต้องการให้ท่านคืนดีกับพระองค์

“จึงขอร้องท่านในนามของพระคริสต์ว่าจงคืนดีกับพระเจ้า” จงคืนดีซะ เพราะเดี๋ยวนี้คืนดีได้  รับสิทธิของท่านที่พระเยซูคริสต์ไถ่บาปให้กับท่าน ท่านก็สามารถคืนดีกับพระเจ้าได้แล้ว

จบสุดท้ายในข้อความนี้บอกว่า … “เพราะพระเจ้าทรงกระทำพระเยซู ผู้ปราศจากบาป ให้เป็นบาป เพื่อเรา เพื่อในพระองค์ เราจะกลายเป็นผู้ชอบธรรม ดีพร้อม สมบูรณ์แบบของพระเจ้า”

ทั้งหมดนี้ ให้คืนดี เพราะพระเจ้าส่งพระเยซูมาตายที่ไม้กางเขน  กลายเป็นคนบาป รับบาปแทนเรา  จนกระทั่งถึงบ่าย 3 โมง ตายที่ไม้กางเขน  เป็นคนบาป เพื่อเอาบาปออกไปจากมวลมนุษยชาติ ให้มนุษยชาติกลับมาเป็นผู้ชอบธรรม ดีพร้อม สมบูรณ์แบบ เหมือนพระเจ้าได้ มันหมายถึงอย่างนั้น

เพราะฉะนั้น พระเจ้าไม่ได้ส่งพระเยซูมาเกิดเป็นมนุษย์ เพื่อสอนให้มนุษย์ทำความดี หรือมาสอนศีลธรรม ไม่ได้ให้มนุษย์ติดตามพระเยซู เพื่อคิดว่าพระเยซูสั่งให้ทำอะไรบ้าง? ทำความดีอย่างไร? เหมือนโมเสสสั่ง ไม่ใช่ เพราะสิ่งที่โมเสสสอน ที่พระเจ้าให้บันทึกไว้ เป็นกฎ มันดีมากมาย อยู่แล้ว เยอะ แต่พระเยซูคริสต์มา เพื่อเป้าหมายเดียว อย่างที่บอกเมื่อสักครู่นี้ มาเพื่อตายด้วยความทุกข์ทรมานที่ไม้กางเขน  เพื่อแบกบาปของมวลมนุษยชาติไป  ต้องจำตรงนี้ไว้เลย เพราะไม่อย่างนั้นข่าวดีของพระเจ้า  มันจะไม่มาถึงมนุษย์ทั้งหลาย ทั้งปวง มาเพื่อเป็นแพะรับบาป แทนมนุษย์ เพื่อปลดปล่อยให้มนุษย์เป็นอิสระ จากการเป็นทาสของบาป ไม่สามารถหลุดจากมันได้ ด้วยตัวของตัวเอง  พระเยซูจึงมาช่วยแบกเอาบาปนั้น โดยการตายที่ไม้กางเขน เป็นหลักการใหญ่ที่สุด  และพระองค์ถูกฝังไว้ในอุโมงค์ และในวันที่ 3 พระองค์ได้เป็นขึ้นจากความตาย  เพื่อมนุษย์จะได้สามารถบังเกิดใหม่ มีชีวิตนิรันดร์ของพระเจ้า เป็นคนดีเหมือนพระองค์ได้

พระเยซูไม่ได้เป็นผู้มาก่อตั้งกฎระเบียบ แบบใหม่ หรือไม่ได้เป็นผู้มาก่อตั้งหลักการกระทำความดีอย่างใหม่ พระองค์ไม่ได้มาสอนกฎระเบียบ ให้คน หรือมนุษย์ทั้งหลาย กระทำความดีตามกฎ เพราะโมเสสสอนให้คนทำดีตามกฎระเบียบอยู่แล้ว และยังมีกฎระเบียบอื่นๆ เยอะแยะ ที่มนุษย์ตั้งขึ้นมาตามลักษณะของโมเสสเยอะแยะไปหมด ดีอยู่แล้ว  และมนุษย์ก็รู้อยู่ด้วยว่าอะไรดี? อะไรไม่ดี? รู้อยู่แล้วทั้งหมด ไม่ต้องสอนแล้ว รู้หมด แต่มนุษย์ไม่สามารถทำได้

มนุษย์ไม่สามารถทำตามกฎระเบียบที่มีอยู่แล้วได้อย่างครบถ้วนบริบูรณ์ ดีพร้อมตามข้อกำหนดกฎนั้นๆ ได้  เพราะมนุษย์เกิดมา ก็เป็นบาป เป็นศัตรูกับความดีงาม เป็นศัตรูกับพระเจ้าไง  ข้างใน ธรรมชาติมันเป็นอย่างนั้น แก้ไม่ได้อยู่แล้ว

แต่พระเยซูผู้เดียวเท่านั้น ที่เป็นพระบุตรของพระเจ้าและเป็นมนุษย์ มาเพื่อกำจัดการเป็นศัตรูกับพระเจ้า ในใจของมนุษย์ ในวิญญาณของมนุษย์  เป็นตัวตนแท้ๆ ของมนุษย์ กำจัดการเป็นศัตรูออกไป  แล้วให้สามารถมาคืนดี มาเข้ากับพระเจ้าได้ สามารถมาเป็นคนดีพร้อม สมบูรณ์แบบ ในสายพระเนตรของพระเจ้าได้ โดยผ่านทางการหลั่งพระโลหิต ตาย ถูกฝังไว้  และรับการบังเกิดใหม่ ร่วมกับพระเยซูคริสต์ ตามที่พระคัมภีร์ได้บันทึกไว้

พระเยซูจึงเน้นย้ำแต่เรื่องเหล่านี้ 33 ปีบนโลกใบนี้  30 ปีไม่ได้ทำอะไรเลย  3 ปีเท่านั้น ที่ออกมาประกาศ ไม่อยากบอกว่าสั่งสอนเลย พระองค์ไม่ได้สอนอะไรเลย พระองค์มาประกาศว่าพระองค์มาทำอะไร?  เน้นย้ำอยู่นั่นแหละ มาเพื่อตาย เพื่อท่านทั้งหลายจะได้กลับมาหาพระเจ้า พระเยซูมาเพื่อการนี้  จึงได้เน้นย้ำ ประกาศข่าวดีอย่างนี้ ให้กับมนุษย์ทุกๆ คน ให้เชื่อและวางใจในคำพูดของพระองค์แค่นั้นเอง

วางใจและเชื่อว่าพระองค์เป็นผู้นั่นแหละ ที่พระเจ้าเตรียมไว้ ตั้งแต่ดึกดำบรรพ์ พระองค์คือพระคริสต์ คือพระมาซีฮา คือพระผู้ช่วยให้รอด  ที่มนุษย์ทั้งหลาย ทั้งมวล ตั้งแต่ดึกดำบรรพ์มา ตั้งแต่บรรพบุรุษมา รอคอยมาตั้งนานว่าเมื่อไรพระมาซีฮา คือพระผู้ช่วยให้รอด ที่เรียกว่าพระคริสต์ ที่ถูกเจิมตั้งไว้จะมาเกิดสักทีหนึ่ง  จะมาช่วยมนุษย์ให้พ้นจากบาปเวรกรรม พระองค์มาแล้ว พระองค์ก็พยายามที่จะอธิบายให้พวกเขาฟังอย่างนี้  พระองค์จึงไม่ได้มาสอนให้คนทำดี  แต่มาทำให้คนเป็นคนดีได้ โดยกำเนิดใหม่ จากพระเจ้านั่นเอง

พระเยซูมาล้างบาป ลบออกไปเลย  แล้วก็ให้มนุษย์สามารถบังเกิดใหม่ เป็นคนดี โดยกำเนิดและทำดีตามธรรมชาติ ตัวตนภายในที่เกิดใหม่  ที่เหมือนพระองค์ นี่คือสิ่งที่พระองค์มาทำ

พระเยซูจึงตรัสว่า “เราไม่ได้มาลบล้างกฎต่างๆ ที่ดีงามเหล่านั้น  แต่เรามาทำให้มันสมบูรณ์ครบถ้วน ใครมีหูจงฟังเถิด เราไม่ได้มาลบล้าง”

ทุกกฎ ตั้งแต่กฎโมเสส หรือกฎไหนๆ มันดีอยู่แล้วล่ะ  แต่คนที่อยู่ในความเชื่อของกฎเหล่านั้น ไม่ว่าจะเป็นกฎของยิว โมเสส หรือกฎของใครก็ตาม มันไม่ได้ทำให้ครบถ้วนบริบูรณ์ใช่ไหม? เราก็รู้อยู่ พระเยซูบอก …

“ดีแล้ว ทำแบบนั้นดี  เธอทำไม่ได้ใช่ไหม? เดี๋ยวฉันเข้าไปช่วย” มันหมายถึงอย่างนั้น

เพราะฉะนั้น พระเยซูจึงจำเป็นสำหรับมนุษย์ทุกคนเลย ไม่ว่าท่านจะถือกฎอะไรอยู่ก็ตาม ไม่ว่าจะเป็นกฎโมเสส หรือกฎอะไรก็ตาม หลักข้อเชื่ออะไรทั้งหมด พระเยซูจึงเป็นหัวใจสำคัญที่สุด คือท่านต้องล้างวิญญาณของท่านเสียใหม่ก่อน โดยพระโลหิตของพระเยซูคริสต์

นี่คือความสำคัญอันยิ่งใหญ่ของวันศุกร์ประเสริฐและวันอีสเตอร์ ก็คือพระองค์ทรงตายที่ไม้กางเขน เพื่อให้มนุษย์มีทางเลือกที่จะเป็นคนดีโดยกำเนิด เป็นคนดีได้

วันนี้เดี๋ยวสักครู่เราจะทำพิธีมหาสนิทด้วยกัน นึกถึงวันที่พระเยซูก่อนจะถูกตรึง ก็คือเมื่อวานนี้ พระองค์ทรงอยู่กับเหล่าสาวก บันทึกไว้ในหนังสือ 1 โครินธ์ 11:23-26 …

1 โครินธ์ 11:23-26  “23 ในคืนที่เขาทรยศพระเยซูเจ้านั้น  พระองค์ทรงหยิบขนมปัง 24 เมื่อขอบพระคุณพระเจ้าแล้ว  ทรงหักและตรัสว่า “นี่คือสิ่งที่เล็งถึงกายของเรา ซึ่งได้สละให้แก่ท่านทั้งหลาย จงทำเช่นนี้ เพื่อเป็นการรำลึกถึงเรา” 25 เมื่อรับประทานแล้ว ทรงหยิบถ้วยขึ้น กระทำอย่างเดียวกัน และตรัสว่า “ถ้วยนี้ คือพันธสัญญาใหม่ ด้วยโลหิตของเรา เมื่อใดที่พวกท่านดื่ม จงทำเช่นนี้ เป็นที่รำลึกถึงเรา” 26 เพราะเมื่อใดก็ตามที่พวกท่านรับประทานขนมปังนี้ และดื่มจากถ้วยนี้ ก็เป็นสัญลักษณ์ว่าพวกท่านได้ประกาศการวายพระชนม์ขององค์พระผู้เป็นเจ้า จนกว่าจะถึงวันที่พระองค์เสด็จมา”

 

“จงทำเช่นนี้ เป็นการรำลึกถึงเรา” ทั้งกินขนมปัง ที่เล็งถึงร่างกายของพระองค์ ที่แตกหัก ที่ถูกทุบตีเฆี่ยนตี ถูกทรมาน และตายที่ไม้กางเขน  และเลือดของพระองค์ คือพันธสัญญาใหม่  ระลึกถึงสิ่งที่พระองค์ทรงทำบนไม้กางเขนนั่นเอง

พระองค์ทรงกระทำตรงนี้ เมื่อค่ำวานนี้ว่าพรุ่งนี้ พระองค์จะถูกตรึงที่ไม้กางเขน  ตั้งแต่คืนนี้เป็นต้นไป พระองค์จะถูกจับและถูกทรมานอย่างแสนสาหัส  เพื่ออะไร? จำไว้นะ  สิ่งที่ได้บอก ได้สอนมา 3 ปี และตอนนี้ก็ประกาศอีก

วัตถุประสงค์ที่พระองค์ทรงกระทำตรงนี้ เรียกว่า The last supper  หรือเรียกว่ามหาสนิท หรือเรียกว่าอาหารมื้อสุดท้าย ก่อนจะถูกตรึง วัตถุประสงค์ของพระเยซู คือต้องการให้เราระลึกถึงสิ่งที่พระองค์จะทรงกระทำในวันพรุ่งนี้  ตั้งแต่คืนนี้  หมายถึงในคืนวันพฤหัส ซึ่งมันผ่านมาตั้ง 2,000 ปี ก็คือหมายถึงสิ่งที่พระองค์ได้ทรงกระทำที่ไม้กางเขน  ซึ่งสำเร็จแล้ว

พระองค์บอกให้ระลึกถึงเรา ก็คือเมื่อพระองค์ทรงทำสำเร็จแล้ว คือข่าวดีได้ถูกกระทำจนสำเร็จ ครบถ้วนแล้ว ข่าวดีที่พระองค์นำสวรรค์มา บอกตั้งแต่ 3 ปีก่อนหน้านี้ เดี่ยวนี้  บัดนี้ ได้ถูกทำให้เรียบร้อยแล้ว บนไม้กางเขนนั้น เริ่มตั้งแต่การไถ่บาปให้กับมนุษย์จนหมดสิ้น  ทำให้มนุษย์ได้สามารถบังเกิดใหม่ การที่พระเจ้า พระองค์สามารถมาสถิตอยู่กับมนุษย์ได้ และให้มนุษย์สามารถเข้าส่วนร่วมในพระสิริของพระเจ้า คือคืนดีกับพระเจ้า  เข้ากันได้กับพระเจ้า และมีชีวิตนิรันดร์เหมือนพระองค์ ให้เราสามารถเป็นผู้ชอบธรรม บริสุทธิ์ สะอาด สมบูรณ์แบบเหมือนพระองค์เลย ให้เราระลึกถึงสิ่งเหล่านี้ เวลาเราทำพิธีมหาสนิทนี้ เหมือนที่พระองค์ทรงกระทำ ในคืนวันนั้น พระองค์อยากให้เราระลึกถึงอย่างนี้ ว่าพระองค์ทรงกระทำทั้งหมดนี้ เพื่ออะไร? และมันมีอะไรเกิดขึ้นบ้าง หลังจากสิ่งเหล่านั้น

ซึ่งทั้งหมดนี้ มนุษย์ได้มา โดยเป็นของขวัญ  ของประทานจากพระบิดา เป็นพระคุณ โดยที่มนุษย์ไม่ต้องทำอะไรเลย  ไม่ใช่ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว  ไม่ใช่ อันนี้ทำอะไรก็ตาม  เชื่อในสิ่งที่พระองค์ทรงกระทำ  แล้วก็ได้รับในสิ่งที่พระองค์ทรงกระทำให้นั่นเอง คือได้รับการไถ่บาป

ข่าวดีของพระเยซู คือเมื่อเปิดใจต้อนรับข่าวดีนี้ ก็จะได้รับความรอด จากบาป คือรอดจากการเป็นศัตรูกับพระเจ้า ไม่ต่อต้านพระเจ้าอีกต่อไป  และได้รับการย้ายจากอาณาจักรของความมืดมาสู่อาณาจักรของความสว่าง  ได้รับการบังเกิดใหม่ มาเป็นลูกของพระเจ้า  ได้รับชีวิตที่เป็นพระเจ้า  ชีวิตที่เป็นของพระเจ้า  เรียกว่าชีวิตนิรันดร์

เวลาพระคัมภีร์บอกว่า “มาเชื่อพระเยซู แล้วได้รับชีวิตนิรันดร์”  ไม่ได้หมายถึงมาเชื่อพระเยซูแล้ว ได้รับชีวิต ไม่ตายเลย  นิรันดร์ แปลว่าอยู่ไปเรื่อยๆ  ไม่ใช่นะ แต่หมายถึงได้รับชีวิตของพระเจ้ามาเป็นของเรา เป็น DNA ของพระเจ้า มันหมายถึงอย่างนั้น เป็นชีวิตที่สะอาด บริสุทธิ์ ปราศจากบาป  ที่เรียกว่า “ผู้ชอบธรรม”  หรือ “เป็นคนดี โดยตัวตนแท้ๆ ข้างในวิญญาณ โดยกำเนิด” และสุดท้าย คือได้นั่งอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้าในสวรรค์สถาน  ร่วมกับพระเยซูคริสต์ บริบูรณ์ สมบูรณ์ครบถ้วน บริสุทธิ์ครบถ้วนตลอดไป

นี่คือสิ่งที่พระเยซูอยากให้เราระลึกถึงในสิ่งที่พระองค์ทรงกระทำทั้งหมดนี้  และทั้งหมดนี้ เป็นชีวิตที่เกิดใหม่ทันที เมื่อเราเปิดใจต้อนรับข่าวดีนี้ ทันทีที่เราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด  ชีวิตที่เกิดใหม่นี้  จะอยู่ในโลกวิญญาณ พระคัมภีร์บอกว่าจะถูกซ่อนอยู่ในพระคริสต์ ทันทีที่เราต้อนรับข่าวประเสริฐ ยอมรับว่าพระเยซูคริสต์ตายที่ไม้กางเขน  เพื่อเราจริงๆ  ความรักของพระองค์ให้พระเยซูคริสต์มาตายที่ไม้กางเขน พระโลหิตของพระองค์ชำระบาปให้กับเราได้จริงๆ ทันทีทันใดที่เราเชื่อตรงนี้ เราใช้สิทธิของเรานั้น ในโลกวิญญาณที่เรามองไม่เห็น

พระคัมภีร์บอกว่าพระเจ้าได้ทำการผ่าตัดวิญญาณของเรา ย้ายวิญญาณเราออกจากอาดัม ออกจากอาณาจักรของความมืด มาสู่ความสว่าง โดยให้เรามาติดสนิทอยู่กับพระเยซูคริสต์ ย้ายวิญญาณเข้ามาอยู่ในพระเยซูคริสต์ แทนที่จะอยู่ในอาดัม เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์ ในพระคัมภีร์บอกว่าโดยการรับบัพติศมา ซึ่งบัพติศมา แปลเป็นภาษาไทยว่า โดยการเข้าส่วนร่วม เป็นหนึ่งเดียวกันในพระคริสต์ อย่างที่ตะกี้นี้บอก สามารถคืนดีกันได้ เข้ากันได้ วิญญาณเราเข้าไปอยู่ในวิญญาณของพระเยซู ไปเป็นหนึ่งเดียวกัน และเมื่อเปิดใจใช้สิทธิ์ก็ได้รับสิ่งเหล่านี้ทั้งหมด เกิดขึ้นในวิญญาณของคนๆ นั้นทันที ได้นั่งอยู่ในสวรรค์แล้วทันที

เพราะฉะนั้น สำหรับคนที่ใช้สิทธิและเชื่อในข่าวดีของพระเยซูคริสต์ที่ไถ่บาปให้กับเรา ที่ไม้กางเขนนั้น เขาจะได้นั่งอยู่ในสวรรค์ทันที ตั้งแต่อยู่บนโลกใบนี้เลย ไม่ต้องรอให้ตาย แล้วไปสวรรค์ แต่เขาจะได้สัมผัส การนั่งอยู่ในสวรรค์ ในวิญญาณของเขาทันที พระคัมภีร์บันทึกไว้อย่างนั้น  เดี๋ยวเราจะได้อ่านร่วมกัน

ซึ่งมนุษย์ทุกคนต้องอยู่ที่ใดที่หนึ่ง เพราะมนุษย์เป็นวิญญาณ ไม่ว่าจะอยู่ในอาดัม หรืออยู่ในพระคริสต์ อยู่ในอาณาจักรของความมืด หรืออยู่ในอาณาจักรของความสว่าง ต้องอยู่ในที่ใดที่หนึ่งอยู่แล้ว  แต่ถ้าท่านเชื่อในพระเยซู ท่านจะได้มาอยู่ในอาณาจักรของพระคริสต์ ซึ่งเป็นอาณาจักรของพระเจ้า แน่นอนพอบอกพระเจ้า ก็คืออาณาจักรสวรรค์ ก็เป็นแสงสว่างแน่นอน

ให้ท่านคิดดู ชีวิตของเรา หรือของใครก็ตามที่เชื่อในข่าวดีนี้ จะเปลี่ยนแปลงไปขนาดไหน?  เมื่อท่านรับรู้ว่าท่านกำลังนั่งอยู่กับพระเยซูคริสต์ในสวรรค์สถานแล้ว  ทุกวันนี้นะ ขณะที่ดำเนินอยู่บนโลกใบนี้  วิญญาณของท่านเป็นหนึ่งเดียวกับพระเยซูคริสต์ นั่งอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้าพระบิดา ตอนนี้แล้ว ไม่ต้องรอคอย ให้ตายไปแล้ว จะไปอยู่ในสวรรค์ตุ๊มๆ ต่ามๆ จะได้ไปหรือไม่ได้ไป? ลองอ่านข้อความนี้ดู เอเฟซัส 2:2-3 …

เอเฟซัส 2:2–3 “1 ส่วนท่านทั้งหลายได้ตายแล้วในวิญญาณ จากการล่วงละเมิดและในบาป (ในอาดัม) ถูกตัดขาดจากความสัมพันธ์กับพระเจ้า จากความบริสุทธิ์ของพระเจ้า 2 ซึ่งท่านเคยดำเนินชีวิตตามวิถีของบาปของโลกนี้ และตามการครอบงำของเจ้าแห่งย่านฟ้าอากาศ (มาร) ซึ่งเป็นวิญญาณ ที่บัดนี้ทำการอยู่ในบรรดาผู้ที่ไม่เชื่อ (ไม่ได้ใช้สิทธิ์ในการไถ่บาปของพระเยซู) 3 ครั้งหนึ่ง เราเคยมีชีวิตเหมือนกับผู้คนเหล่านั้นที่ (ไม่เชื่อ ไม่ได้ใช้สิทธิ์ ในการไถ่บาปของพระเยซู) ทำตาม ตัณหาของวิสัยบาปของเรา สนองความอยากกับความคิดของมัน ตามธรรมชาติบาปของวิญญาณที่ตายของเรา (ในอาดัม เป็นศัตรูกับพระเจ้า ไม่บริสุทธิ์ ไม่มีพระลักษณะของพระเจ้า) เราจึงควรแก่การถูกลงโทษสาปแช่ง เหมือนคนอื่นๆ ที่ไม่เชื่อ ไม่ได้ใช้สิทธิ์ในการไถ่บาปที่พระเยซูได้กระทำให้”

 

ในอาดัมหรือไม่ก็ในพระเยซู ไม่ว่าที่ใดที่หนึ่ง ท่านต้องเลือกเอา ในอาดัมหรือในพระเยซู ในบาป ในความมืด  ในความพินาศ หรือในความชอบธรรม ในความดีงาม ในความสว่าง ในสวรรค์ ต้องเลือกเอาข้างใดข้างหนึ่ง  ไม่มีครึ่งๆ กลางๆ ท่านลองคิดดู เอเฟซัส 2:4 บันทึกไว้อย่างนี้ว่า …

เอเฟซัส 2:4 “แต่เนื่องด้วยความรักใหญ่หลวงที่ทรงมีต่อเรา พระเจ้าผู้เปี่ยมด้วยพระเมตตาอันอุดม”

 

ที่อ่านมาเมื่อสักครู่นี้ เกิดขึ้น เพราะเนื่องด้วยความรักใหญ่หลวงที่พระเจ้าทรงมีต่อมวลมนุษยชาติ   ต่อเรานั่นเอง พระเจ้าจึงเปี่ยมล้นด้วยความเมตตากรุณาอย่างอุดม ทำสิ่งนี้ให้กับเราฟรีๆ เป็นของขวัญ เอเฟซัส 2:5 จึงบันทึกไว้อย่างนี้ว่า …

เอเฟซัส 2:5 “จึงได้ทรงกระทำให้วิญญาณของเรา กลับมีชีวิตอยู่กับพระคริสต์ แม้ในขณะที่ วิญญาณเรา ได้ตายแล้วในบาป คือท่านทั้งหลายได้รับความรอด (จากการลงโทษจากคำสาปแช่ง) โดยพระคุณ”

 

ทำไมพระเยซูคริสต์ต้องมาทนทุกข์ทรมานที่ไม้กางเขน? ทำไมต้องมีศุกร์ประเสริฐ ทำไมต้องตายอย่างทรมานถึงขนาดนั้น? ทำไมพระเจ้าจึงให้พระบุตรของพระองค์ลงมาทุกข์ทรมาน จนเกือบจะรับไม่ได้เลย? ก็เพราะสิ่งเหล่านี้แหละ  ความรักต่อมนุษย์ และการกระทำนั้น ทำให้วิญญาณของมนุษย์ทั้งหลาย  ที่อยู่ในความมืดบอด  หรือพระคัมภีร์เรียกว่าตายอยู่ ไม่สามารถเข้ากับพระเจ้าได้ เป็นศัตรูกับพระเจ้า เป็นทาสของมาร เป็นทาสของความบาป ความชั่วร้าย สามารถจะมีชีวิตอยู่กับพระคริสต์ แม้ขณะที่วิญญาณเราได้ตายแล้วในบาป เป็นศัตรูกับพระเจ้า เข้ากับพระเจ้าไม่ได้ก่อนหน้านี้ แต่พระเยซูคริสต์ ตายที่ไม้กางเขน เพื่อเราจะได้กลับมาหาพระเจ้าได้ คือท่านทั้งหลายได้รับความรอดจากบาป จากการเป็นศัตรูกับพระเจ้า และถูกลงโทษ โดยพระคุณความรัก ความดีงามของพระเจ้าที่ทรงประทานพระบุตรของพระองค์ พระเยซูคริสต์มาตายที่ไม้กางเขน และทำสำเร็จเรียบร้อยแล้ว ไม่ใช่เป็นเพราะท่านทำอะไรเลย ไม่ใช่เป็นเพราะเราทำความดี ไม่ใช่เลย ทำดีอย่างไร ก็ไม่มีทางที่จะดีพอ ที่จะได้รับสิ่งเหล่านี้

เพราะฉะนั้น ท่านต้องเลือกเอาว่าพระเจ้าได้ส่งพระเยซูคริสต์มาเพื่อย้ายเผ่าพันธุ์มนุษย์ที่ตกอยู่ในความบาป เป็นทาสมาร อยู่ในความตาย อยู่ในนรกนั้น  ย้ายเข้ามาอยู่ในสวรรค์ โดยผ่านทางพระโลหิตของพระเยซู ผ่านทางการตายของพระเยซู พระองค์ทรงย้ายแล้ว  แต่ท่านจะยอมย้ายไหม?  ท่านจะเชื่อในข่าวดีนี้ไหม? เชื่อในพระเยซูคริสต์ไหม? วางใจในพระองค์ไหมว่าพระองค์ทรงมาช่วย  พระเจ้าย้ายมนุษย์ออกมา ท่านจะย้ายไปกับพระองค์ไหม? ไปอยู่ในสวรรค์ เทียบกับเงาที่พระองค์ ทรงบอกเหตุการณ์นี้ล่วงหน้าในอดีต เมื่อพันกว่าปี ในสมัยโมเสส ตอนที่พระเจ้านำชาวอิสราเอล ชาวยิว ปลดปล่อยเขาจากการเป็นทาสในอียิปต์ 430 ปี พระเจ้าให้โมเสสบอกคนอิสราเอลว่า …

“จะไปแล้วนะ เลิก ไม่ต้องเป็นทาสอีกต่อไป”

หลายคนก็ไม่ไปนะ หลายคนยอมเป็นทาสต่อไป แล้วก็ไม่มั่นใจในสิ่งที่โมเสสพูดว่าเป็นจริงหรือเปล่า?  พระเจ้าจะพาไปยังดินแดนแห่งน้ำผึ้งและน้ำนมได้ไหม? เป็นทาสเขาอย่างนี้ ต่อไปดีกว่า ไม่เชื่อ เขายังเป็นทาสในอียิปต์ต่อไป  แต่คนที่เชื่อก็หลั่งไหลกัน วางใจในโมเสส

พระเยซูบอก … “เราใหญ่กว่าโมเสส เราเป็นพระบุตรของพระเจ้า ยิ่งใหญ่กว่าโมเสส มาช่วยมนุษยชาติทั้งหมดทั้งปวงให้หลุดพ้นจากการเป็นทาสมารซาตาน ซึ่งมันหนักกว่าเยอะมากเลย”

ท่านจะยอมย้ายไหม? ท่านลองกลับไปคิดเอาเองก็แล้วกัน เมื่อไรก็ตามที่ท่านตัดสินใจ พระเจ้าพร้อม  พระเยซูบอกว่า …

“เราเฝ้าเคาะประตูอยู่ตลอด เรารออยู่ตลอดเลยนะ  เราจดจ่ออยู่ตลอดเลย ถ้าท่านตัดสินใจปุ๊บ  ได้รับสิทธิ์นั้นทันที” … ฝากไว้ด้วยก็แล้วกัน

ย้ายออกจากการเป็นทาสในอียิปต์ ไปอยู่ในคานาอัน เป็นอิสรภาพ พระเยซูบอกว่าย้ายจากการเป็นทาสมาร ย้ายจากในอาดัม มาอยู่ในพระคริสต์ อยากจะอยู่ในอาดัมต่อไป หรืออยากจะอยู่ในพระคริสต์เชิญเลือกเอา ไม่มีครึ่งๆ กลางๆ  ไม่มีว่าอยากอยู่ทั้งสองข้าง แล้วก็ไม่มีว่าพอย้ายมาอยู่ในพระคริสต์แล้ว วันดีคืนดีกลับไปอยู่ในอาดัม ไม่มี ถ้าอยู่ในพระคริสต์ก็อยู่เลย  พระคัมภีร์บอกอยู่ในพระคริสต์ คืออยู่ในพระหัตถ์ของพระเจ้า ไม่มีใครทำอันตรายได้ ท่านจะอยู่ที่นั่นตลอดชั่วนิจนิรันดร์  เอเฟซัส 2:6 …

เอเฟซัส 2:6  “และพระองค์ได้ทรงให้วิญญาณของเรา เป็นขึ้นมากับพระคริสต์ และในพระเยซูคริสต์ พระเจ้าได้ทรงให้เรานั่งในสวรรค์สถานกับพระคริสต์”

 

“พระองค์ได้ทรงให้วิญญาณของเรา เป็นขึ้นมากับพระคริสต์” เป็นขึ้นมาได้อย่างไร?  ก็เพราะเราเข้าไปมีส่วนในพระคริสต์ เมื่อพระคริสต์ตาย เราก็ตายด้วย  เมื่อพระคริสต์ถูกฝังในอุโมงค์ เราก็ถูกฝังด้วย  เมื่อพระคริสต์เป็นขึ้นจากความตาย ในวันที่ 3 เราก็เป็นขึ้นจากความตายด้วย  และในพระเยซูคริสต์ที่เราเข้าไปอยู่ เป็นหนึ่งเดียวกับพระองค์ พระเจ้าได้ทรงทำให้เรานั่งที่เบื้องขวาของพระองค์ในสวรรค์สถานกับพระคริสต์ ได้นั่งแล้วทันที ย้ายปุ๊บ ก็นั่งปุ๊บทันที ไม่มีครึ่งๆ กลางๆ อีก นั่งก็นั่งเลย

เราจะทำสิ่งที่พระเยซูบอกให้เราทำ เพื่อระลึกถึงพระองค์ ในการกระทำของพระองค์ เริ่มจากศุกร์ประเสริฐนั่นแหละ ทนทุกข์ทรมานบนไม้กางเขน  ประกาศให้โลกได้รู้เลยว่าพระบุตรของพระเจ้ามารับบาป ให้กับมนุษยชาติ  เป็นแกะ เป็นแพะรับบาป ให้กับมนุษยชาติ ตายด้วยความทุกข์ทรมานบนไม้กางเขน  พอพระองค์ตายได้ ก็ถูกฝังไว้ในอุโมงค์ เพื่อยืนยันว่าตายจริงๆ และพระองค์ทรงเป็นขึ้นมาใหม่ ในวันที่ 3 เพราะพระองค์เป็นพระเจ้า  เมื่อตายได้ ก็เป็นขึ้นมาได้  ถ้าไม่ตาย ก็ไม่มีโอกาสเป็นขึ้นมาใหม่

เพราะฉะนั้น เราจึงจะกระทำสิ่งนี้ ซึ่งเราเรียกกันว่าโต๊ะองค์พระผู้เป็นเจ้า หรือมหาสนิท คือระลึกถึงว่าเราสนิทกับพระเจ้ามากขนาดไหน? พระเยซูคริสต์ทำให้กับเรา ตามที่เราได้เรียนรู้มาวันนี้ พระองค์ตายที่ไม้กางเขน  หลั่งพระโลหิตของพระองค์ ร่างกายของพระองค์ที่แตกหัก เพื่อเราทั้งหลาย เพื่อเราจะได้รับการชำระให้บริสุทธิ์ สะอาด และให้เรากระทำอย่างนี้ว่าเมื่อเราเชื่อในสิ่งที่พระองค์ทรงกระทำ เราได้เข้าร่วมเป็นหนึ่งเดียวกับพระองค์จริงๆ

ขนมปัง เล็งถึงพระกายของพระเยซูที่แตกหัก เพื่อเรา และให้เราสามารถเข้าไปเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระกายของพระองค์ พระเยซูสละชีวิตบนไม้กางเขน  เป็นเครื่องบูชาไถ่บาป เพื่อเราและได้เป็นขึ้นจากความตาย  และได้ให้ชีวิตของพระองค์ ที่เป็นขึ้นมาใหม่แก่เรา  เพราะเราร่วมเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์แล้ว โดยการกินขนมปัง … กินขนมปังแล้ว ให้เรารับรู้และระลึกถึง สิ่งที่เกิดขึ้นว่าเราเป็นส่วนหนึ่งในพระกายของพระองค์ ในขณะนี้ เล็งให้เห็นถึงโลกวิญญาณว่าวิญญาณเราเป็นหนึ่งเดียวกันกับวิญญาณของพระเยซูคริสต์ แนบสนิทกับพระองค์ และรวมกันกับผู้เชื่อทั้งหลาย ที่เป็นหนึ่งเดียวกับพระองค์ เราก็เป็นหนึ่งเดียวกัน เป็นธรรมิกชน เป็นผู้เชื่อมากมาย เป็นหนึ่งเดียวกันในพระคริสต์ ให้เรากินขนมปังนี้ และระลึกถึงสิ่งเหล่านี้  ที่พระเยซูทำให้กับเราร่วมกัน

ใน 1 โครินธ์ 12:27 ได้บันทึกไว้อย่างนี้ว่า … “ส่วนท่านทั้งหลายเป็นกายของพระคริสต์ และแต่ละอวัยวะก็เป็นส่วนหนึ่งของกายนั้น”

 

“ท่านทั้งหลาย” ตรงนี้ หมายถึงผู้เชื่อ ผู้ที่ใช้สิทธิแล้ว เชื่อในพระเยซู เปิดใจต้อนรับข่าวดีนี้แล้ว  ก็เข้าไปเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระคริสต์ เป็นร่างกายของพระคริสต์ และแต่ละคนก็เป็นอวัยวะในร่างกายนั้น  บางคนเป็นนิ้ว บางคนเป็นมือ บางคนเป็นตา เป็นผม เป็นหู เป็นอะไรแล้วแต่ มันหมายถึงอย่างนั้น  เราเป็นหนึ่งเดียวกัน เล็งให้เห็นในโลกวิญญาณว่าเป็นอย่างนั้น

อันดับต่อไป ก็คือน้ำองุ่นสีแดง ทำไมต้องเป็นน้ำองุ่นสีแดง เพราะเล็งให้เห็นถึงพระโลหิตของพระคริสต์สีแดง ที่หลั่งออกมา เพื่อชำระล้างบาป  สิ่งเหล่านี้ก็เป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้น ในโลกวิญญาณเหมือนกัน  เราไม่สามารถมองทะลุเข้าไปในโลกวิญญาณได้ เราจึงทำตามที่พระเยซูคริสต์ทำขึ้น เพื่อให้เราระลึกถึงและเล็งให้เห็นถึงว่านี่พระโลหิตของพระองค์ ทำให้เกิดสิ่งนี้ขึ้นในโลกวิญญาณ ก็คือพระโลหิตของพระเยซูคริสต์ ที่หลั่งออก เพื่อชำระล้างบาป เพื่อพระเจ้าจะได้ให้อภัยในความบาปของมนุษย์ตลอดไป

พระโลหิตของพระเยซูที่หลั่งตั้งแต่เมื่อวานนี้  ตั้งแต่ที่สวนเกเสมนี เหงื่อของพระองค์เป็นเลือด และหลังจากนั้นมา ก็หลั่งมาเรื่อยๆ ตลอดทุกระยะ จนถูกเฆี่ยน ถูกทุบ ถูกสวมมงกุฎหนาม จนในที่สุด ถูกตรึงที่ไม้กางเขน แขวนอยู่บนนั้น 6 ชั่วโมง เลือดพระองค์หลั่งลงมา เพื่อชำระล้างบาปให้กับมวลมนุษย์ทุกคน รวมทั้งฉันด้วย  ให้เราดื่มน้ำองุ่นนี้ และระลึกถึงสิ่งนี้ร่วมกัน

การกินขนมปังและดื่มน้ำองุ่นนี้ ทำให้เรารำลึกถึงสิ่งที่พระเยซูคริสต์ได้กระทำให้เราทั้งหลาย บนไม้กางเขน  แล้วเราจะไม่ลืม เราทำได้บ่อยๆ เลย ระลึกถึงสิ่งเหล่านี้ว่าพระองค์ทรงตาย เพื่อเรา  ระลึกด้วยการคิดถึงพระคุณความดีงามของพระองค์ ระลึกถึงการอภัยโทษ จากบาปทั้งหลายของเรา เราได้รับการอภัยบาปทั้งสิ้น ทั้งบาปในอดีต ปัจจุบัน และในอนาคตตลอดไป เป็นผู้ชอบธรรม ที่บริสุทธิ์สมบูรณ์แบบครบถ้วนตลอดกาล ตลอดไปเลย เราจึงขอบคุณ และสรรเสริญพระองค์ และประกาศข่าวดีนี้ ด้วยความหวังใจนี้ ให้กับบรรดาผู้คนรอบข้างได้ยิน ได้ฟังข่าวดีนี้  ส่งต่อกันไปเรื่อยๆ  นี่คือพันธกิจ นี่คือความประสงค์ของพระเจ้า และของพระเยซูคริสต์ในทุกวันนี้นั่นเอง  พระเจ้าอวยพรครับ

 

*********************

 

จากใจคณะศิษยาภิบาล

มนุษย์ทุกคนเป็นคนบาป มีเชื้อบาปติดตัวมาตั้งแต่เกิด และเพราะมนุษย์ทุกคนรู้ตัวว่าเป็นคนบาป ก็เลยพยายามแสวงหาหนทางต่างๆ  ที่จะลบล้างความผิดบาปของตัวเอง เพราะลึกๆ แล้ว  มนุษย์ทุกคนรู้ดีว่าตัวเองบาป  และผลของความบาป มีโทษร้ายแรง

 

พระคัมภีร์เปรียบคนบาป เป็นเสมือนคนป่วยที่ต้องการหมอ และเมื่อมนุษย์ทุกคนเป็นคนบาป เพราะฉะนั้น มนุษย์ทุกคนจึงต้องการหมอ พระเยซูจึงบอกว่าพระองค์มาหาคนเหล่านั้น  ที่รู้ว่าตัวเองป่วย และต้องการรับการรักษา พระองค์มาหาคนเหล่านั้นที่บกพร่อง พระองค์ไม่ได้มา เพื่อหาคนที่คิดว่าตัวเองสมบูรณ์พร้อมทุกอย่าง

 

“พระเยซูตรัสตอบพวกเขาว่า “คนสุขภาพดี ไม่ต้องการหมอ แต่คนป่วยต้องการ เราไม่ได้มา เพื่อเรียกคนชอบธรรม แต่มา เพื่อเรียกคนบาป ให้กลับใจใหม่”   (ลูกา 5:31-32)

 

พระคัมภีร์เปรียบมนุษย์ทุกคนว่าเป็น คนป่วย (จากโรคบาป) ที่ต้องการหมอ  และมีหมอเพียงผู้เดียวเท่านั้น  ที่สามารถรักษาโรคบาปนี้ได้  ก็คือพระเยซู โดยที่  พระองค์ทรงมาเกิดเป็นมนุษย์  ตายที่ไม้กางเขน  หลั่งพระโลหิตของพระองค์  เพื่อชำระล้างบาปแทนเรา รับเอาบาปจากเรา  ไปไว้ที่พระกายของพระองค์เอง

 

ไบเบิลบันทึกไว้ว่า “และโดยพระคุณของพระเจ้า พระองค์ทรงนับว่าพวกเขาเป็นผู้ชอบธรรม โดยไม่คิดมูลค่า ด้วยการที่พระเยซูคริสต์ทรงไถ่พวกเขา พระเจ้าทรงให้พระเยซู เป็นเครื่องบูชาลบบาป แก่ผู้ที่มีความเชื่อ ในพระโลหิตของพระเยซู” (โรม 3:24-25)

 

พระเจ้าอวยพรครับ