คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 31 มกราคม 2021 เรื่อง “ต้องเชื่อเท่าไร จึงรอด” โดย นคร เวชสุภาพร

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  31  มกราคม  2021

 เรื่อง “ต้องเชื่อเท่าไร  จึงรอด”

โดย   นคร  เวชสุภาพร

 

หัวข้อการบรรยายในวันนี้ คือ “ต้องเชื่อเท่าไร จึงรอด” จึงบังเกิดใหม่ เข้าสวรรค์ได้ ซึ่งเป็นหนึ่งในคำถามที่คริสเตียนผู้เชื่อหลายคน พยายามที่จะหาคำตอบกันอยู่ ผมเองก็มีสมาชิกมาถามอยู่บ่อยๆ ไม่ใช่ผู้เชื่อใหม่นะ ผู้เชื่อใหม่มีอยู่แล้ว แต่ผู้เชื่อเก่าๆ ยังคงมีมาถามบ้าง บางคนเชื่อเก่าแก่นานมาแล้ว ก็ยังสงสัยในเรื่องนี้อยู่ อยากหาคำตอบ คนถาม เขาเรียกว่าเป็นเรื่องธรรมดา ไม่ค่อยสำคัญมากนัก แต่คนตอบสำคัญมาก ตอบอย่างไร? และตอบไปแล้ว มันถูกต้องตามหลักพระคัมภีร์หรือไม่? จึงมาคุยกันในเรื่องนี้ เพราะถ้าตอบไม่ถูกตามหลักพระคัมภีร์ มันอันตราย

คืออย่างนี้ คำตอบใส่ความเข้าใจ ความนึกคิด เหตุผลของตัวเองเข้าไป มันทำให้เกิดอันตรายขึ้น ต้องเชื่อเท่าไร ถึงรอด? บางคนเขาก็ใส่ความคิดของตนเองเข้าไป ท่านตอบว่าอย่างไร? ถ้าท่านเชื่อพระเจ้ามาแล้ว

มีคนถามท่านว่า  … “ต้องเชื่อเท่าไร ฉันถึงจะรอด?”

บางคนก็ตอบว่า … “ต้องเชื่อแบบไม่มีความสงสัยเลย ถึงจะรอด”

ได้ยินบ่อย คุ้นๆ นะ ต้องเชื่อแบบไม่สงสัยเลย ถึงจะได้รับความรอด ก็อยากจะถามจริงๆ ว่าหลังจากที่ท่านรับเชื่อแล้ว เคยมีสักครั้งไหมที่อยู่ๆ ก็แว๊บเข้ามาในความคิดว่า …

“เอ๊ะ! ฉันรอด บังเกิดใหม่ เป็นลูกพระเจ้า อยู่ในสวรรค์ได้หรือไม่?”

สงสัยไหม? หรือไม่สงสัย  หรือบางทีก็รู้สึกคิด รับเชื่อมาหยกๆ

“เอ๊ะ! ตอนนี้พระเจ้าอยู่กับฉันจริงๆ หรือ?”

เคยมีบ้างไหม? ท่านต้องตอบว่ามีแน่นอน บางคนตอนมาเชื่อพระเจ้า ขนลุก น้ำตาไหล ซาบซึ้ง พระเจ้าสัมผัส ผ่านไปแค่ 1 อาทิตย์ บางคนหนึ่งวันด้วยซ้ำไป กำลังอาบน้ำอยู่ดีๆ ก็คิดขึ้นมาว่า …

“ตกลง ฉันบังเกิดใหม่หรือเปล่า? ฉันเป็นผู้เชื่อพระเจ้าจริงแล้วหรือ? ฉันเป็นลูกพระเจ้าจริงหรือ?  พระเจ้าอยู่กับฉันจริงหรือ?  ฉันนั่งอยู่ในสวรรค์แล้วจริงหรือ?”

“เมื่อวานพึ่งจะร้องเพลงสรรเสริญพระเจ้า  น้ำหู น้ำตาไหล ขอบคุณพระเจ้า พระเจ้าสถิตอยู่ด้วย”

แต่ผ่านไปไม่กี่ชั่วโมง พระเจ้าหายไปไหน ไม่รู้ สงสัยอย่างนี้จะรอดไหม?

บางคนเชื่อพระเจ้ามาหลายปี หลายสิบปีก็มี ก็มีคำถามเรื่องนี้แว๊บเข้ามา เป็นครั้งคราว เหมือนกัน  เพราะฉะนั้น ถ้าคำตอบที่บอกว่าต้องเชื่อแบบไม่มีความสงสัยถึงจะรอด  ถ้าเกิดมันเป็นจริงตามนั้น  แล้วเวลาที่เรามีคำถามในใจ เกิดขึ้นมาตอนอาบน้ำ ก็ดี ตอนไหนก็ดี เกิดมีความสงสัยในความรอดขึ้นมา ก็แปลว่าเราสูญเสียความรอดไปแล้วสิ ช่วงนั้น ถูกไหม?  ก็มันสงสัย

เพราะฉะนั้น คำพูด คำเตือนที่มักได้ยินกันบ่อยๆ ในชุมชนของคริสเตียน ของผู้เชื่อ ก็คือ …

“รักษาความเชื่อให้ดีนะ ต้องรักษาความเชื่อให้ตลอดรอดฝั่ง ต้องระวังให้ดี  อย่าให้สูญเสียความรอดก่อนถึงวันสุดท้าย คือวันตายนะ”

อันนี้คุ้นหูมากเลยนะ … “ต้องรักษาความรอดให้ดี รักษาความเชื่อให้ถึงวันสุดท้าย”

รักษาอย่างไร?  ท่านลองคิดตามดูว่าคำสอน  หรือคำแนะนำแบบนี้ มันเป็นไปได้ไหม?  ถูกต้องตามหลักของพระคัมภีร์ในไบเบิลที่บันทึกเอาไว้ใช่หรือไม่?  มันเป็นจริงอย่างนั้นไหม?  ก็เพราะว่ามีคำพูด คำเตือน ความหวังดีที่โลกไม่ต้องการแบบนี้เยอะมาก สอนต่อกันมาบ่อยๆ จนกระทั่งชินหู จึงทำให้เกิดคำถามว่าถ้าอย่างนั้น ต้องมีความเชื่อเท่าไรจึงจะผ่าน จึงจะรอด  ได้รับการบังเกิดใหม่ ไปอยู่ในสวรรค์กับพระเจ้าได้

แล้วที่บอกว่าต้องรักษาความเชื่อจนถึงวันสุดท้ายนั้น ต้องทำอย่างไร? รักษาอย่างไร? ทุกคนก็ พยายามหาคำตอบกันใหญ่ บางคนก็ตอบเป็นเรื่องว่าความประพฤติ การทำดี เพื่อรักษาความรอด

“อย่าทำอย่างนั้นนะ มันบาป เดี๋ยวจะสูญเสียความรอด  ต้องทำอย่างนี้นะ เพื่อจะรักษาความรอด”

คุ้นๆ หูไหม? ตั้งแต่มารับเชื่อวันแรก ได้ยิน อย่างนี้มาบ้างไหม?

“อภัยให้กับคนอื่นหรือยัง? ต้องอภัยให้หมด ไม่อย่างนั้น พระเจ้าก็ไม่อภัยให้เธอเหมือนกัน”

คุ้นๆ ไหม?

“เพราะพระเจ้าบริสุทธิ์ เธอต้องรักษาความบริสุทธิ์ไว้ ต้องกลับใจใหม่จากการกระทำบาป  ต้องไม่โลภนะ  อย่าผิดศีลธรรมทางเพศเด็ดขาดเลยนะ  อย่าเมาเหล้า เพราะจะไม่ได้เข้าแผ่นดินสวรรค์ จะไม่มีแผ่นดินสวรรค์เป็นมรดก พระคัมภีร์พูดไว้อย่างนั้นนะ”

“ถามจริงๆ เถอะ ต้องรักษาไว้เท่าไร? ที่พูดมามันดีหมด แต่ต้องไม่เมาเหล้าเท่าไร ถึงจะได้ไปสวรรค์ แล้วอย่างไรถึงเรียกว่าเมาเหล้า  แค่ไหนถึงเรียกว่าเมา แล้วเมาแค่ไหน ถึงไม่ได้ไปสวรรค์”

ท่านลองคิดดู โลภเท่าไรถึงเรียกว่าโลภ ประพฤติผิดศีลธรรมทางเพศเท่าไร ถึงจะไม่ได้ไปสวรรค์ พระเยซูบอก แค่มอง แค่คิด  ก็ผิดแล้ว  แล้วอย่างนี้ดูหนังสือโป๊ ก็ตกนรกแล้วสิ แล้วเมื่อวานเห็นแว๊บหนึ่ง แล้วทำอย่างไรล่ะ มันตอบลำบากใช่ไหม? อันนี้เราคิดกันไปเรื่อยๆ นะ

บางคนก็ตอบเป็นเรื่องการปฏิบัติตัวของผู้เชื่อ ซึ่งมีเยอะแยะเลย เช่น เมื่อเชื่อพระเจ้าแล้ว ให้รักษาความรอดไว้นะ โดยการ …

“เธอต้องถวายสิบลด จากนี้ไป ต้องบัพติศมาในน้ำ”

อันนี้มีคนถามเยอะ

“ต้องไปโบสถ์วันอาทิตย์,  ต้องออกไปประกาศนะ, ต้องอธิษฐานเยอะๆ, ต้องติดสนิทกับพระเจ้าให้มากๆ ต้องๆๆๆๆๆ”

เต็มไปหมดมากมาย  แล้วถามว่าต้องสนิทกับพระเจ้ามากเท่าไร? ถึงจะรอดได้ ต้องอธิษฐานขนาดไหนถึงเรียกว่าเพียงพอ ท่านพอเข้าใจใช่ไหมว่าผมกำลังพูดถึงเรื่องอะไร? ซึ่งคำตอบของปัญหาต่างๆ เหล่านี้  ไม่มีใครสามารถตอบได้  คือแล้วต้องทำเท่าไร จึงจะพอ เข้าเกณฑ์ รักษาความรอด ไปอยู่ในสวรรค์ได้ ถูกไหม? มีแต่แนะนำ บอกวิธีต้องอย่างนั้นอย่างนี้ ต้องอย่าทำอย่างนั้น อย่าทำอย่างนี้  แล้วตกลงเท่าไร? ถึงเรียกว่าพอ กี่เปอร์เซ็นต์ของชีวิต ที่ต้องประพฤติดี ทำดีมากเท่าไร จึงจะรักษาความรอดได้? ต้องอธิษฐานมากเท่าไร? ต้องพยายามติดสนิทกับพระเจ้ามากแค่ไหน ถึงจะผ่านเกณฑ์ว่าเชื่อมากพอที่จะเข้าสู่สวรรค์ รักษาความรอดได้เท่าไร?  ท่านลองคิดดู ถามในใจ

แต่ก่อนที่เราจะไปถึงเรื่องอื่น ผมต้องพูดจากใจจริงตอนนี้ก่อนเลยว่าไม่ใช่ว่าผมไม่เห็นประโยชน์ ไม่เห็นความสำคัญ ไม่สนับสนุนการกระทำเหล่านี้ ผมยังทำอยู่ และทำอยู่ตลอดเวลา  ไม่ใช่ไม่เห็นความสำคัญ  ความประพฤติตัวดี  การกระทำดี  การมีนิสัยดี การติดสนิทกับพระเจ้า  การดำเนินชีวิตตามคำสั่งสอนของพระเจ้าในพระคัมภีร์ เป็นสิ่งดีงามและสมควรกระทำอย่างยิ่ง  เป็นการแสดงว่าพระเยซูคริสต์สถิตอยู่ในเรา เพราะเป็นการกระทำที่ทำให้เกิดพระพรขึ้นด้วย ในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้  มันเป็นสิ่งที่ดี สมควรทำอย่างยิ่ง

แต่ประเด็นที่กำลังคุยกัน คือความประพฤติและการกระทำเหล่านี้ทั้งหมด ทั้งปวง ไม่ได้มีผลอะไรต่อความรอด และการบังเกิดใหม่ ในโลกวิญญาณเลย ไม่มีผลใดๆ เลย แม้แต่นิดเดียว ไม่ว่าจะทำให้เกิดประโยชน์หรือเกิดโทษ ในโลกวิญญาณ ไม่เกี่ยวกันเลย  นี่คือประเด็นที่กำลังจะมาพูดถึงวันนี้  ความประพฤติ การปฏิบัติตัว และการกระทำต่างๆ ของผู้เชื่อ บนโลกใบนี้ จะมีผลเฉพาะต่อการดำเนินชีวิต บนโลกใบนี้เท่านั้น และผลของความรอด คือการบังเกิดใหม่ เป็นลูกพระเจ้า ก็เป็นผลทางด้านโลกวิญญาณเท่านั้น

ยกตัวอย่าง เช่น ถ้าเราขับรถฝ่าฝืนกฎจราจร เราทำผิด เราดื้อ พระเจ้าบอกอย่าฝืนกฎ เราไปฝืนกฎหมาย ก็ถูกตำรวจจับลงโทษ แต่ในทางโลกวิญญาณ บอกว่าเราเชื่อพระเยซูคริสต์แล้ว โรม บทที่ 8 บอกว่า …

“ไม่มีการลงโทษใดๆ สำหรับผู้ที่อยู่ในพระคริสต์ เขาเป็นอิสระจากการลงโทษต่างๆ แล้ว ด้วยกฎแห่งวิญญาณแห่งชีวิต”

เอามาใช้ได้ไหม? ขับรถผิดกฎหมาย แล้วตำรวจมาจับ บอก …

“ผมเป็นคริสเตียนครับ ผมอยู่ในกฎแห่งวิญญาณแห่งชีวิต  ไม่มีการลงโทษใดๆ สำหรับผู้เชื่อครับ”

ตำรวจบอกเอาไป 2 ใบเลย   ใบหนึ่ง คือขับรถเกินกำหนด     ใบที่สอง  คือฝ่าฝืนเจ้าพนักงาน  ดูถูกเจ้าพนักงาน อะไรแบบนี้ หรือไม่ก็พาส่งโรงพยาบาล อย่างนี้เป็นต้น

ฉะนั้น เราต้องรู้ว่ากฎนี้ เป็นกฎอะไร? กฎวิญญาณ เกี่ยวกับโลกวิญญาณ  หรือกฎแห่งการหว่านและการเก็บเกี่ยว คือกฎแห่งการกระทำบนโลกใบนี้

อย่างที่บอกว่าความคิดและคำถามต่างๆ เหล่านี้ ไม่ได้เกิดขึ้นกับผู้เชื่อใหม่เท่านั้น แม้แต่คริสเตียนที่เชื่อมานานแล้ว หลายคนก็ยังติดกับคำสอนแบบเดิมๆ อย่างนี้ สอนบ้าง เชื่อกันมาบ้าง? พูดกันมาด้วยความหวังดีบ้าง? อย่างที่บอก เขาหวังดีจริงๆ แต่เป็นความหวังดีที่โลกนี้ไม่ต้องการ เพราะเป็นความหวังดีที่ผิดพลาด ที่ไม่ถูกต้อง ทุกวันนี้ยังมีคนเชื่อเก่าแก่บางคนมาขอให้ผมอธิษฐานให้เขารักษาความเชื่อจนกระทั่งถึงวันสุดท้าย

“อาจารย์ช่วยอธิษฐานให้หน่อยนะ หนู ดิฉัน ผม รู้สึกไม่มั่นใจในความรอดเลย”

เพราะตัวเองรู้สึกไม่มั่นใจ  ไม่มีความคิดที่เหมือนพระคัมภีร์บอกไว้ คือความคิดแบบพระเยซูคริสต์ว่าเรารอดแล้ว  ไม่มีความคิดอย่างนั้น เป็นความคิดอื่นเข้ามาแทนที่ ความคิดที่ปฏิเสธความจริงนั้น เราเรียกว่าความสงสัย  … สงสัยอะไร? สงสัยในคำพูดของพระเยซู สงสัยในข่าวดีของพระเยซู ก็เกิดความสงสัยในความรอด แล้วก็ไม่มั่นใจในความประพฤติของตนเอง กลัวจะไม่ผ่านเกณฑ์ของพระเจ้า ไม่ได้ไปสวรรค์ ก็เลยมาขอให้อธิษฐาน  ความคิดเหล่านี้ ทำให้คำพูดของพระเยซู ที่บอกไว้ว่าผู้ที่เหน็ดเหนื่อยและแบกภาระหนัก จงมาหาพระองค์ พระองค์จะให้หายเหนื่อยและเป็นสุข เหมือนกับพระเยซูพูดโกหก พูดไม่จริง  ไม่เห็นหายเหนื่อยเลย ยังกังวลอยู่เหมือนเดิม ยังเหนื่อยอยู่เหมือนเดิม ที่จะแสวงหาสวรรค์ แสวงหาความรอด เพราะไม่มั่นใจในความรอดที่ตัวเองได้รับไปแล้ว

ท่านลองตั้งใจฟังนะ นี่คือสัจจะธรรม คือสิ่งที่เกิดขึ้นจริงๆ บนโลกใบนี้แหละ ทั้งโลกวิญญาณ และโลกวัตถุ … โลกวัตถุที่จับต้องมองเห็นได้ มันก็มีความจริงอยู่ในนั้น โลกวิญญาณ ก็มีความจริงอยู่ในนั้น ความจริงในโลกวัตถุ เรียกว่าสัจจะธรรม คือเรายังคงมีความคิด หาเหตุผลแบบมนุษย์ สงสัย ไม่เชื่อในพระเจ้าตลอดเวลา นี่คือสัจจะธรรม เรื่องจริง พูดง่ายๆ ว่าระบบของโลกใบนี้ วัตถุสิ่งของบนโลกใบนี้  รวมทั้งร่างกายที่จับต้องมองเห็นได้บนโลกใบนี้นั้น มันต่อต้านกับเรื่องของพระเจ้า ซึ่งเกี่ยวกับเรื่องโลกวิญญาณทั้งสิ้น มันอยู่คนละฟาก เราต้องรู้สัจจะธรรมนี้

ตราบใดที่เรายังมีลมหายใจอยู่ ตราบนั้น เรามีความสงสัย ไม่ว่าจะเชื่อพระเจ้ามานานเท่าไรก็ตาม เป็นวัน เป็นเดือน เป็นปี หรือหลายๆ ปีก็ตาม ความคิดสงสัยแบบนี้  ก็คอยโจมตีเราอยู่ตลอดเวลา  นี่คือสัจจะธรรม มันเป็นจริงตามนั้น  มันโจมตีเราผ่านทางร่างกาย ตา หู จมูก ลิ้น กาย  และความคิดของเราตลอดเวลาที่เรามีลมหายใจอยู่ มันโจมตีเราว่าไม่มีพระเจ้า  ไม่มีโลกวิญญาณหรอก นี่ต้องรู้ตรงนี้

เพราะร่างกายเนื้อหนังนี้ มันมักจะยึดติดอยู่กับเหตุผล และความเข้าใจแบบมนุษย์ จึงยากที่จะรับความจริง เรื่องเกี่ยวกับพระเจ้า ซึ่งเป็นเรื่องเกี่ยวกับโลกฝ่ายวิญญาณอย่างเดียวเท่านั้น พระเจ้าทรงเป็นวิญญาณ  ผู้ที่จะไปหาพระองค์  ต้องไปหาพระองค์ด้วยความจริงและด้วยวิญญาณ ซึ่งต้องใช้ความเชื่อเท่านั้น ในเรื่องเกี่ยวกับโลกวิญญาณ หลายครั้งความรู้สึกจากร่างกาย เนื้อหนัง คือตา หู จมูก ลิ้น กาย และความคิดของเรา บ่อยครั้งเลยที่มันต่อต้านกับความจริงในเรื่องโลกวิญญาณ เรื่องเกี่ยวกับพระเจ้า และเรื่องเกี่ยวกับความรอดในพระเยซูคริสต์ ที่เรากำลังพูดถึงอยู่นี้

เพราะฉะนั้น จงรู้ นี่คือสัจจะธรรม มันจะต่อต้านเราตลอดเวลา  ตราบใดที่เรายังอยู่ในร่างกายนี้ มันมีความสงสัย  มีความไม่เชื่อ เป็นศัตรูกับพระเจ้าตลอดเวลา จึงเป็นเรื่องธรรมดาที่เราจะตอบรับความคิดต่อต้านเหล่านี้ ด้วยอาการกลัว … กลัวที่จะสูญเสียความรอด กังวลว่าพระเจ้าไม่พอใจในชีวิตเรามั้ง พระเจ้าเกลียดเรา  พระเจ้าไม่รักเรา รู้สึกผิด มันเกิดขึ้นได้ตลอดเวลาเลย

บางคนหนักถึงขนาด พยายามที่จะตอบโจทย์ตรงนี้เลย โดยการพยายามค้นหาคำตอบจากพระคัมภีร์ เพื่อให้เกิดความมั่นใจในความรอดมากขึ้น  บนพื้นฐานของความไม่รู้ความจริง ในสัจจะธรรมนี้ ก็คือพยายามค้นหาคำตอบจากพระคัมภีร์ ให้เกิดความมั่นใจในความรอด  บนพื้นฐานของความกลัว และความวิตกกังวล  พอนึกภาพออกไหม?

“โอ๊ย! มันเป็นอย่างนั้น”

ยิ่งอ่านพระคัมภีร์ไปเท่าไร? ก็ยิ่งกลัว ยิ่งวิตกกังวล เพราะว่าไปตีความตามหู ตา จมูก ลิ้น กาย และความคิดของตนเอง ไม่ได้ตีความตามโลกวิญญาณที่เป็นจริงในเรื่องเกี่ยวกับวิญญาณ ที่บันทึกไว้ในพระคัมภีร์ ยิ่งไปอ่านเท่าไร ยิ่งกลัว  อ่านไปมีแต่ติดลบทั้งนั้น  เพราะที่อ่านไป ตา หู จมูก ลิ้น กาย  ความคิดมันคิดในทางลบทั้งสิ้น  อ่านไป ก็พระเจ้าโหดร้าย  อ่านไป พระเจ้าไม่ดี  อ่านไป เราก็แย่ อ่านไป เราทำไม่พอ เราไปไม่ถึงสวรรค์ได้หรอก ในที่สุด  มันอยู่บนพื้นฐานตรงนี้มากกว่า ก็เลยอธิษฐานขอความมั่นใจมากขึ้น  บนพื้นฐานของความกลัว  อธิษฐานหลายๆ ครั้ง อยากให้ความรอดนั้นอยู่กับเรา ยิ่งอธิษฐาน ความรอดได้มากขึ้นไหม?  ไม่มากขึ้นหรอก  เพราะมันมาผิดทาง มันยืนอยู่บนพื้นฐานของความไม่จริง  โกหก ยิ่งอธิษฐานขอความรอดมากเท่าไร?  ยิ่งกลัวเท่านั้น  เพราะมันเป็นไปไม่ได้  พอเข้าใจนะ  ก็ยิ่งอธิษฐานขอความรอดซ้ำแล้วซ้ำเล่า  บางคนขอทุกวัน  ขอความรอด  เพื่อความมั่นใจในความรอด จากบาป ในการเป็นผู้ชอบธรรม เป็นผู้บริสุทธิ์ สามารถอยู่ในสวรรค์กับพระเจ้าได้ ก็เลยยิ่งอธิษฐานไป ยิ่งห่างไกลมากขึ้นทุกวันๆ  เพราะว่าอธิษฐานบนพื้นฐานของความเข้าใจที่ผิดพลาด

นี่แหละ คือสิ่งที่จะมาคุยกันในวันนี้ ยิ่งอธิษฐานมากขึ้นเท่าไร ก็ยิ่งเกิดความสงสัยมากขึ้นเท่านั้น เกิดความสงสัยในขนาดของความเชื่อของตนเอง เชื่อขนาดนี้ พอหรือยัง? คงไม่พอมั้ง อธิษฐานเพิ่มเติม เพื่อเพิ่มความเชื่อ  พอไหมในการที่จะเป็นผู้ชอบธรรมของพระเจ้า ได้รับความรอด บังเกิดใหม่ สะอาดบริสุทธิ์เหมือนพระเจ้า พอไหม? ไม่พอ ทำอีก แสวงหา อธิษฐาน หาอีก ขออีก พอนึกออกนะ โดยการวัดขนาด  การเปรียบเทียบความเชื่อกับการกระทำและการประพฤติของตนเอง  เอามาเปรียบเทียบกันว่าเมื่อเราเชื่อในพระเจ้าแล้ว เราเปลี่ยนแปลงเป็นคนดีมากขึ้น เมื่อเชื่อพระเจ้าแล้ว เราทำได้ดีมากขึ้นเพียงใด ถ้าทำไม่ค่อยได้ดี ก็แสดงว่าเราเชื่อน้อย ไปกันใหญ่แล้ว  ท่านพอมองเห็นไหม? ผมจะพยายามค่อยๆ อธิบายให้ท่านฟัง  นี่คือสายตา ความคิดของมนุษย์คิดอย่างนี้ … เราทำอย่างนี้ แสดงว่าความเชื่อเราตกลง เราทำอย่างนี้ แสดงว่าความเชื่อเราไม่พอ เราต้องทำอย่างนี้ พอเราทำอย่างนี้ ถูกต้อง ความเชื่อดีขึ้น เราต้องทำมากขึ้นกว่านั้นสิ  ความเชื่อจะได้เยอะขึ้น  เพราะเราเอาขนาดของความเชื่อ มาเทียบกับการกระทำ ความประพฤติของเราเองบนโลกใบนี้  ซึ่งมันทำไม่ได้  มันก็จบลงด้วยความกลัว และความวิตกกังวลว่า …

“ฉันได้รับความรอดหรือเปล่า? คงไม่พอมั้ง ไม่ได้มั้ง”

มันจะพอได้อย่างไร? เพราะท่านกลับมาอยู่ที่การกระทำแล้ว ทั้งๆ ที่ท่านเริ่มต้นจากความเชื่อ แต่กลับมาพึ่งพาการกระทำอีกแล้ว

วิธีการของมารมันแยบยลมากในการหลอกเราเข้าไปติดกับตรงนั้นอีกที เพื่อจะดิสเครดิตข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์ ซึ่งมันง่าย พึ่งพระองค์เพียงอย่างเดียว  จึงเป็นที่มาของหัวข้อเรื่องในวันนี้  “ต้องเชื่อเท่าไร ถึงรอด บังเกิดใหม่ เข้าสวรรค์ได้”

เราต้องรู้ความจริงเรื่องนี้ก่อนว่าไม่มีใครสามารถมีความเชื่อมั่นคง ไม่หวั่นไหวเลย ทุกเสี้ยววินาที ตรงนี้ต้องรับทราบก่อนว่าเป็นสัจจะธรรม ความรอด คือการเปลี่ยนแปลงทางวิญญาณ  การเกิดใหม่ เป็นลูกของพระเจ้า ได้อยู่ในสวรรค์แล้ว การย้ายจากสถานที่หนึ่งในโลกวิญญาณ มาอยู่ในสถานที่หนึ่งในโลกวิญญาณ  การย้ายจากอาณาจักรของความมืด  มาสู่อาณาจักรของความสว่าง  การย้ายจากการอยู่ในอาดัม บรรพบุรุษ ซึ่งเป็นบาป มาอยู่ในพระคริสต์   นี่คือความรอด  ไม่ใช่เป็นเรื่องของอารมณ์ ความรู้สึกที่จับต้องมองเห็นได้ ด้วยตา หู จมูก ลิ้น และความคิด และสมองของมนุษย์ มันเกี่ยวกับเรื่องโลกวิญญาณ มันเป็นปรากฏการณ์ฤทธิ์เดชอำนาจฝ่ายวิญญาณ ซึ่งไม่สามารถเข้าใจได้ ตามความคิด และความสามารถของมนุษย์ ที่จะใช้ความรู้สึกสัมผัสให้รู้ ให้เข้าใจถึงเรื่องเกี่ยวกับความรอดนี้ได้  ต้องใช้ถ้อยคำความจริงจากพระเจ้า  บวกกับความมั่นใจในวิญญาณ ซึ่งมีพระวิญญาณบริสุทธิ์สถิตอยู่กับเรา  เป็นมัดจำ ยืนยันให้กับเราเท่านั้น ถึงจะรับรู้ได้ ไม่ใช่สัมผัสได้นะ  รับรู้ได้ เรียกว่าสัมผัสในวิญญาณก็ได้ โรม 8:16 บันทึกไว้อย่างนี้ว่า …

โรม 8:16  “พระวิญญาณเอง  ทรงยืนยันร่วมกับวิญญาณจิตของเราว่าเราเป็นบุตรของพระเจ้า”

 

พระวิญญาณยืนยันกับเรา เข้ามาสถิตอยู่กับเรา  ตอนที่เรารอด  บังเกิดใหม่  ความคิด ความรู้สึกของเรา อาจบอกว่านี่คือความรู้สึก ความคิดของเนื้อหนังของเรา  ของร่างกายของเรา  ที่ต่อต้านกับเรื่องของพระเจ้า อาจจะบอกเราว่าเราไม่สะอาดพอหรอก เพราะเรามีความประพฤติไม่ดีพอ  ที่จะอยู่ในสวรรค์ เป็นลูกของพระเจ้า  อย่างเธอเป็นลูกพระเจ้าได้ หรือยังโกหกอย่างนี้ ยังโลภอย่างนี้เลย  ยังเมาเหล้าอย่างนี้  จะไปอยู่ในสวรรค์ได้ไง  พระคัมภีร์บอกแล้วไง ไม่มีส่วนในมรดกของสวรรค์ อย่างนี้จำแม่น  แต่จริงๆ แล้วในพระคัมภีร์ตรงนี้  พูดถึงก่อนจะเชื่อ มันเป็นอย่างนั้น

แต่พระวิญญาณที่อยู่ในเรา ยืนยันถ้อยคำพระเจ้าว่าท่านได้รับความรอด ผ่านทางความเชื่อ ไม่ได้ผ่านทางความประพฤติของท่าน พระวิญญาณจะบอกความจริงกับเราอย่างนี้ ความคิดที่มาจากเนื้อหนัง ระบบของโลกที่บอกว่า …

“เธอไม่ดีพอหรอก เธอกระทำตัวอย่างนี้ไม่ดีพอ”

แต่พระวิญญาณบอกกับเรา ยืนยันกับเราข้างใน ถ้อยคำพระเจ้าบอกว่า …

“เธอได้รับความรอด เพราะพระคุณพระเจ้าให้ฟรีๆ ให้เปล่าๆ ไม่ใช่เพราะเธอทำดีนะ”

เห็นไหม? นี่ยกตัวอย่าง มันเป็นอย่างนี้ตลอดเวลา ในการดำเนินชีวิต บนโลกใบนี้

ถ้อยคำของพระเจ้าเปิดเผยความจริง เกี่ยวกับโลกวิญญาณให้กับเราได้รู้ และถ้อยคำพระเจ้าก็ได้เปิดเผยความจริง เกี่ยวกับโลกวิญญาณว่าเราต้องเชื่อเท่าไร? ตอบให้เราเสร็จ พระวิญญาณยืนยันในจิตใจเรา เราต้องเชื่อเท่าไร ถึงจะรอด บังเกิดใหม่ เป็นลูกของพระเจ้า เข้าสู่สวรรค์ได้  เรามาดูในความจริง ในถ้อยคำพระเจ้าด้วยกัน โรม 10:9-14 …

โรม 10:9-14 “9 นั่นคือ ถ้าท่านยอมรับด้วยปากของท่านว่า “พระเยซูทรงเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้า” และเชื่อในใจของท่านว่าพระเจ้าทรงให้พระองค์เป็นขึ้นจากตาย ท่านก็จะได้รับความรอด 10 เพราะท่านเชื่อด้วยใจ จึงทรงให้ท่านเป็นผู้ชอบธรรม และเพราะท่านยอมรับด้วยปาก จึงทรงให้ท่านรอด 11 ตามที่พระคัมภีร์กล่าวไว้ว่าผู้ใดที่วางใจในพระองค์ จะไม่ได้รับความอับอายเลย 12 เพราะไม่ว่าจะเป็นคนยิวหรือคนต่างชาติ ก็ไม่ต่างกันเลย พระผู้เป็นเจ้าองค์เดียวกัน ทรงเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้าของคนทั้งปวง และทรงอวยพรอย่างอุดมแก่คนทั้งปวง ที่ร้องเรียกพระองค์ 13 เพราะว่า “ทุกคนที่ร้องออกพระนามขององค์พระผู้เป็นเจ้า จะได้รับการช่วยให้รอด” 14 แล้วผู้ที่ยังไม่เชื่อจะร้องเรียกพระองค์ได้อย่างไร และผู้ที่ยังไม่เคยได้ยินเรื่องของพระองค์ จะเชื่อได้อย่างไร และหากไม่มีใครประกาศเรื่องของพระองค์ พวกเขาจะได้ยินได้อย่างไร”

 

นี่คือคำตอบของคำถามว่าเราต้องเชื่อเท่าไร ถึงจะรอด ได้รับการบังเกิดใหม่ เข้าสู่สวรรค์ได้ นี่คือความจริงในโลกวิญญาณ ที่พระเจ้าบอกเรา สอนเรา สรุปก็คือตอบว่า …

          “ทุกคนที่ร้องออกพระนามขององค์พระผู้เป็นเจ้า  จะได้รับการช่วยให้รอด  ก็คือบังเกิดใหม่ เข้าสู่สวรรค์ได้”

พอมองเห็นอะไรบางอย่าง ขอบคุณพระเจ้า สำหรับถ้อยคำพระเจ้า แค่นิดเดียว แค่นี้ก็ตาสว่างแล้ว ความเชื่อเท่านี้เอง คือทุกคนที่ร้องออกพระนามของพระผู้เป็นเจ้า คือพระเยซูคริสต์ ผู้คน ใครก็ตามที่บอกว่า …

“พระเยซูคริสต์ช่วยด้วย”

พอแล้ว คนที่เชื่อว่า …

“พระเยซูคริสต์ช่วยเขาได้  พระเยซูคริสต์ช่วยลูกด้วย”

แล้วเขาจะรู้ได้อย่างไรว่าพระเยซูคริสต์ช่วยเขาได้ ก็ตะกี้บอกว่าเขาต้องได้ยิน มีคนไปบอกเขา ไปประกาศข่าวประเสริฐให้เขาว่าพระเยซูคริสต์ เป็นพระบุตรพระเจ้า ที่พระเจ้าประทานให้กับมนุษย์ ช่วยเหลือมนุษย์ให้พ้นจากบาป มาช่วยเหลือเธอได้ เป็นพระผู้ช่วยให้รอด เขาได้ยินมาปุ๊บ เขาบอก …

“พระเยซู ลูกเชื่อ ช่วยด้วย”

ได้รับความรอด ตอบโจทย์ไหม? คิดดูสิ จะเป็นเท่าไร? วัดขนาดดูสิ เชื่อว่า …

“พระเยซูคริสต์ช่วยฉันได้ ฉันรับพระเยซู”  แค่นั้น รอดแล้ว

ความเชื่อเท่านี้ ก็คือการเปิดประตูใจ ให้พระเยซูเข้ามาเป็นหนึ่งเดียวกัน ในวิญญาณของเรา  ตามที่พระคัมภีร์บันทึกไว้นั่นเอง วิวรณ์ 3:20 พระเยซูตรัสอย่างนี้นะ …

วิวรณ์ 3:20  “นี่แน่ะ เรายืนเคาะอยู่ที่ประตู ถ้าใครได้ยินเสียงของเรา และเปิดประตู เราจะเข้าไปหาเขา และจะรับประทานอาหารร่วมกับเขา และเขาจะรับประทานอาหารร่วมกับเรา”

 

2 ข้อนี้รวมกัน ก็คือการเปิดใจ คือ …

“พระเยซูช่วยลูกด้วย ลูกเชื่อ”

ได้ยินมา พระเยซูช่วยได้

“พระเยซูลูกเชื่อแล้ว ลูกขอพระองค์ทรงช่วย ลูกช่วยตัวเองไม่ได้แล้ว ขอทรงช่วยลูกด้วย”

เท่ากับเป็นการเปิดประตูใจ ให้พระเยซูเข้ามาในวิญญาณของเรา ไม่มีเงื่อนไขใดๆ ไม่มีข้อแม้ใดๆ ไม่มีคำว่า “แต่”

ตะกี้นี้เราอ่านในพระคัมภีร์ใช่ไหม? ในโรม บทที่ 10 ทุกคนที่ร้องออกพระนามขององค์พระผู้เป็นเจ้า จะได้รับการช่วยให้รอด “ยกเว้น” มีไหม? ไม่มี

“นี่แน่ะ เราเคาะประตู ถ้าใครได้ยินเสียงของเรา แล้วเปิดประตู เราจะเข้าไปหาเขา ถ้าเผื่อว่าเขามีความเชื่อเพียงพอ ถ้าเขาไม่สงสัย”

ถ้าเขา …. ถ้าๆๆๆ เยอะแยะ มีไหม?  ไม่มี  ไม่มีข้อแม้ใดๆ ไม่มีอะไรเลย ไม่มีคำว่าแต่ แล้วเราลองคิดดูตามประสามนุษย์  ก็ได้ มีใครที่เชื่อข่าวดีอย่างนี้ แล้วเปิดใจต้อนรับพระเยซู โดยไม่สงสัยเลย โอ้โห! รู้จักข่าวดีหมดเลย รู้หมด รู้เรื่องราวทุกอย่างว่าความรอดเป็นอย่างไร? บังเกิดใหม่เป็นอย่างไร? เกิดใหม่ในวิญญาณเป็นอย่างไร? มีใครมาเชื่อพระเจ้า แล้วตอนเริ่มต้นเชื่อพระเยซู ออกนามพระเยซู รู้เรื่องเหล่านี้หมดแล้ว ไม่มีใครรู้เรื่องอะไรหรอก ผมก็ไม่รู้เรื่อง แล้วท่านรู้เรื่องไหมตอนเปิดใจรับเชื่อพระเยซู เปิดปากต้อนรับพระเยซู

“พระเยซูช่วยลูกด้วย”

จะอธิษฐาน หรือใครอธิษฐานให้ อะไรก็แล้วแต่ ท่านเองก็ไม่รู้ ไม่เคยอ่านพระคัมภีร์ทั้งเล่มเลย ยังไม่รู้อะไรเลย ไม่เคยเรียนเลย  ถูกไหม? เพราะฉะนั้น พระเยซูขอแค่เราเชื่อพระองค์ว่าเป็นพระผู้ช่วยให้รอด  เป็นผู้ช่วยท่านได้ แค่นี้เอง พระเยซูขอนิดเดียวเอง เชื่อไหมล่ะว่าพระเยซูช่วยได้ เชื่อไหมว่าเราช่วยได้

“เชื่อครับ”

พอแล้ว เริ่มต้นเชื่อ พระเยซูยกตัวอย่าง ยอดเยี่ยมเลย 2,000 ปีแล้วนะ ยังใช้ได้ทุกวันนี้ เล็กนิดเดียว แค่เมล็ดมัสตาร์ด ก็คือมันเล็กมาก หรือเรียกว่าเมล็ดผักกาด เล็กกว่าเมล็ดผักกาดอีก ไม่ต้องการความเข้าใจ เพราะอย่างไรก็ไม่เข้าใจ แต่ต้องการความจริงใจมากกว่า จริงใจคืออะไร?

“โอ๊ย! ไม่ไหวแล้ว ช่วยด้วย”

นี่แหละ คือจริงใจ ไม่ใช่ยังช่วยตัวเองได้บ้าง? แล้วบอก …

“ขอพระองค์ทรงช่วยเสริม”

ไม่ใช่ คือคนมาเชื่อพระเยซู ส่วนใหญ่จะหมดกำลังแล้ว  ไม่ไหวแล้ว ช่วยด้วย อันนี้ ของจริง พระเยซูขอแค่นั้นเอง มาระโก 4:31-32  พระเยซูตรัสอย่างนี้นะครับ … อุปมา

มาระโก 4:31-32 “31 อาณาจักรของพระเจ้านั้น ก็เหมือนเมล็ดมัสตาร์ด ซึ่งเป็นเมล็ดที่เล็กที่สุด เมื่อเพาะลงในดิน  32 แต่เมื่องอกขึ้น  ก็เป็นต้นใหญ่ที่สุดในสวน  แผ่กิ่งก้านสาขา จนนกในอากาศ มาพักอาศัยในร่มเงาได้”

 

ไม่ได้ขึ้นอยู่กับขนาดของความเชื่อ  แต่ขึ้นอยู่กับแหล่งหรือสถานที่ที่เราจะหว่านเมล็ด ความเชื่อนี้ลงไป

เหมือนเรามีเมล็ดมัสตาร์ดในความเชื่ออยู่ในมือ เราจะตัดสินใจหว่านลงไปที่คำเชื้อเชิญของพระเยซูที่บอกว่าให้เราพึ่งพระองค์ ก็คือข่าวดีของพระเยซู มาหาพระองค์ พระองค์ทรงช่วยได้ ให้เราหายเหนื่อยและเป็นสุข หรือเราจะปฏิเสธ ไม่หว่านลงในพระเยซู ข่าวดีของพระองค์ แล้วไปหว่านในที่อื่น ตอบรับคำเชิญจากที่อื่นๆ เยอะแยะมากมาย ซึ่งที่อื่นๆ ล้วนแต่บอกเราว่าให้เราพึ่งการกระทำของตนเอง พึ่งความดีของตนเอง ใช่ไหม? มี 2 ทางให้เลือก จะพึ่งตนเองต่อไป หรือจะพึ่งพระเยซู จะหว่านเมล็ดลงที่พึ่งตนเอง หรือจะหว่านเมล็ดลง ที่พึ่งพระเยซู มีแค่นี้เอง นิดเดียวเอง พระเยซูขอให้เราทำเพียงแค่นี้เท่านั้น คือกลับใจใหม่

กลับใจใหม่ คือไม่พึ่งตนเองอีกต่อไป ยอมรับว่าตนเองเป็นคนบาป และด้อย ไม่สามารถช่วยตัวเองได้ ขอพระเยซูช่วยด้วยเถิด  … นี่เขาเรียกว่ากลับใจใหม่ …

แล้วกลับใจใหม่กี่ครั้ง? บางคนบอก เชื่อแล้วมีความสงสัย ก็กลับใจใหม่ทุกวันๆ ไม่ใช่ กลับใจใหม่เพียงครั้งเดียว เมล็ดมัสตาร์ดหย่อนลงไปครั้งเดียวเอง ถ้าดินดีจริง ถ้าพระเยซูมีจริง มันโตแน่นอน  ไม่ต้องทำอะไรแล้ว

พระเยซูขอเพียงแค่นั้น ให้เรากลับใจใหม่มาพึ่งพระองค์ หันมารับคำเชิญของพระองค์ แล้วเปิดประตูวิญญาณ เปิดประตูใจ ให้พระองค์เข้ามาช่วยเหลือเท่านั้น และที่เหลือนอกจากนั้น  พระองค์ทำอัศจรรย์เองหมด ไม่ต้องทำอะไรแล้ว นี่แหละเรียกว่าความเชื่อเท่าเมล็ดมัสตาร์ด ยอห์น 1:12-13 บันทึกอย่างนี้ว่า …

ยอห์น 1:12-13  “12 ส่วนคนทั้งปวงที่ยอมรับพระองค์ ผู้ที่เชื่อในพระนามของพระองค์ พระองค์ก็ประทานสิทธิ  ให้เป็นบุตรของพระเจ้า 13 คือเป็นบุตรที่ไม่ได้เกิดจากการสืบเชื้อสายตามธรรมชาติ หรือจากการตัดสินใจของมนุษย์ หรือจากเจตจำนงของสามี แต่เกิดจากพระเจ้า

 

เอเมน … “ส่วนคนทั้งปวงที่ยอมรับพระองค์ ยอมรับพระเยซู ก็คือกลับใจใหม่ ผู้ที่เชื่อในนามของพระองค์ ก็คือผู้ที่หว่านเมล็ดมัสตาร์ดแห่งความเชื่อลงไปที่พระนามของพระองค์ พระองค์ทำให้คนนั้นได้บังเกิดใหม่มาสู่ความรอด เห็นไหม? บันทึกไว้ชัดเจน

อัศจรรย์ที่เหลือทั้งหมด พระองค์ทรงกระทำ คืออะไร? เมื่อเราหว่านเมล็ดลงไปในพระองค์ ในข่าวดีของพระองค์ อัศจรรย์ ก็คือพระองค์เข้ามาให้ได้บังเกิดใหม่ เป็นลูกของพระเจ้า เป็นทารก อุแว้ๆ ทำให้เราสะอาดหมดจด  บริสุทธิ์ ปราศจากบาป ปราศจากตำหนิใดๆ เหมือนพระองค์เลย แล้วยังเข้ามาอาศัยอยู่ในเรา ร่วมกับพระบิดา และให้พระวิญญาณบริสุทธิ์มาเป็นพี่เลี้ยง คอยดูแลนำพาด้วยความรัก ให้เราเจริญเติบโตในวิญญาณนั่นแหละ เต็มไปด้วยสง่าราศี พระสิริของพระเจ้า ที่สมบูรณ์ครบ สิ่งเหล่านี้ยิ่งกว่าอัศจรรย์อีกนะ  เกิดขึ้นจากอะไร?  เราทำอะไรบ้าง ครั้งเดียว นิดเดียวกลับใจใหม่ แล้วหว่านเมล็ดมัสตาร์ด เชื่อ พระองค์ช่วยได้ ออกพระนามของพระองค์ พระเยซูช่วยลูกด้วย อัศจรรย์เกิดขึ้น แล้วพระองค์สัญญาว่าพระองค์จะไม่ทอดทิ้งเรา อยู่กับเราตลอดเวลา ตั้งแต่วินาทีแรก ที่เรา เปิดใจต้อนรับ พระองค์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด  จนถึงนิรันดร์ พระองค์ไม่ไปไหนแล้ว อยู่กับเรา ตลอดไป เอเมน ทิตัส 3:5 บันทึกไว้อย่างนี้ …

ทิตัส 3:5  “พระองค์ทรงช่วยเราให้รอด  ไม่ใช่เพราะความชอบธรรม จากการกระทำของเรา แต่เป็นเพราะพระเมตตาของพระองค์  พระองค์ทรงช่วยเราให้รอด ผ่านทางการชำระ แห่งการบังเกิดใหม่  และการทรงสร้างขึ้นใหม่  โดยพระวิญญาณบริสุทธิ์”

 

ความรอดในพระเยซูคริสต์ การบังเกิดใหม่ อัศจรรย์นี้ เท่ากับเป็นการผ่าตัด ในโลกวิญญาณ เกิดการเปลี่ยนแปลง ย้ายจากอาณาจักรของความมืด มาสู่อาณาจักรของความสว่างของพระเจ้า ในพระคริสต์ มีการบังเกิดใหม่ เป็นลูกของพระเจ้า ที่สะอาดหมดจด บริสุทธิ์  เป็นเชื้อสาย ชีวิตนิรันดร์ เหมือนพระเจ้า DNA ใหม่  เป็น DNA นิรันดร์ของพระเจ้า เข้าไปมีส่วนอยู่ในชีวิตนิรันดร์ของพระเจ้า ความรอด ไม่ใช่อารมณ์ ความรู้สึก ความนึกคิด เหตุผลแบบมนุษย์  ที่จะมีการเปลี่ยนแปลง ซึ่งขึ้นๆ ลงๆ เปลี่ยนแปลงไปตามระบบของโลกใบนี้ ในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ซึ่งมันทำให้เกิดความสงสัยบ้าง? ไม่เชื่อบ้าง? กลัวบ้าง? ซึ่งอารมณ์ ความรู้สึก นึกคิด ความสงสัยเหล่านี้ มันไม่สามารถเปลี่ยนแปลงความจริงในโลกวิญญาณ ที่เราได้บังเกิดใหม่ในวิญญาณ อยู่ในสวรรค์ เป็นลูกของพระเจ้า อย่างที่พระเจ้าได้กระทำให้ ตอนที่เราหว่านเมล็ดมัสตาร์ดลงไป แล้วพระเยซูกระทำอัศจรรย์นั้น

ความสงสัย ความไม่เชื่อ ตามสัจจะธรรมของร่างกายนี้ มันไม่สามารถเปลี่ยนแปลงความจริงที่เกิดขึ้นในโลกวิญญาณได้ เปลี่ยนไม่ได้แล้ว ในโลกวิญญาณ เพราะมันถูกย้ายออกมาแล้ว  1 เปโตร 1:3-5 บันทึกไว้อย่างนี้นะ …

1 เปโตร 1:3-5 “3 สรรเสริญพระเจ้า พระบิดาขององค์พระเยซูคริสต์เจ้าของเรา  ด้วยพระเมตตายิ่งใหญ่  พระองค์ทรงให้เราทั้งหลาย บังเกิดใหม่  เข้าในความหวังอันยืนยง  โดยการเป็นขึ้นจากตายของพระเยซูคริสต์ 4 และเข้าในมรดกอันไม่มีวันเสื่อมสลาย  เน่าเสีย หรือเลือนหายไป ซึ่งทรงเตรียมไว้ในสวรรค์เพื่อพวกท่าน 5 โดยความเชื่อ พระเจ้าได้ทรงปกป้องพวกท่านไว้  ด้วยฤทธานุภาพของพระองค์  จนถึงความรอด  ซึ่งพร้อมแล้ว ที่จะทรงสำแดงในยุคสุดท้าย”

 

นี่คือความจริงทั้งหมด  ที่เกิดขึ้นในโลกวิญญาณ ซึ่งเป็นจริงมากกว่าโลกวัตถุ ซึ่งอยู่เพียงชั่วคราว

คำว่า “พระองค์ทรงให้เราทั้งหลายบังเกิดใหม่” ตรงนี้ ขยายความ คือการเกิดใหม่จากเบื้องบน  ก็คือจากสวรรค์ จากโลกวิญญาณ  เกิดการเปลี่ยนแปลง หรือการผ่าตัดทางวิญญาณ และถูกจัด คัดแยก เป็นสมบัติส่วนพระองค์ ตามพระประสงค์ของพระเจ้า ซึ่งเรียกว่า  Sacrifice เรียก Set a past  เรียกว่าการแยกส่วน เรียกว่า Holy of holies ทำให้เราเป็นสถานที่บริสุทธิ์ ที่พระเจ้ามาสถิตด้วย เป็นสถานส่วนพระองค์ บริสุทธิ์ สะอาด ศักดิ์สิทธิ์ พระองค์ทำให้เสร็จแล้ว ไม่ต้องทำตัวเองให้บริสุทธิ์  สะอาด เพราะว่าพระองค์ทำให้เราสะอาด หมดจดแล้ว ไม่ต้องพยายามถวายตัวเอง เป็นเครื่องบูชาพิเศษของพระองค์ เพราะพระองค์ทำให้เราเป็นเครื่องบูชาไปแล้ว ผ่านทางพระเยซูคริสต์

พระเจ้าบอกความจริงกับเราว่า … “เราได้ให้วิญญาณใหม่ ให้ความคิดจิตใจใหม่กับเจ้า เป็นจิตใจที่เต็มไปด้วยความเชื่อในพระเจ้า ในวิญญาณ แล้วเราเชื่อพระองค์ตลอด ไม่มีการเป็นอื่น  เพราะว่ามันเป็นคุณสมบัติของการบังเกิดใหม่ เป็นลูกของพระเจ้า ในวิญญาณของเรา  เป็นวิญญาณที่เขาเรียกว่าเชื่อในพระเจ้า เป็นลูกที่เชื่อฟัง  แต่ก่อนนี้ ที่เรายังไม่หว่านเมล็ดแห่งความเชื่อลงไปในพระเยซูคริสต์ เราเป็นวิญญาณแห่งการไม่เชื่อฟัง ไม่ใช่เราไม่ได้ตั้งใจจะไม่เชื่อ  แต่วิญญาณมันเกิดมา มันไม่เชื่อ มันเป็นปฏิปักษ์ แต่ตอนนี้เราเกิดใหม่แล้ว จากการเกิดใหม่ มาเป็นลูกพระเจ้าแล้ว วิญญาณเราเป็นชนิดที่เชื่อฟังพระเจ้า ไม่ได้อยู่ที่การตัดสินใจของความคิดเรา จะเชื่อพระเจ้าหรือไม่? ไม่ใช่ มันอยู่ที่คุณสมบัติวิญญาณของเรา ตอนนั้นเราเป็นวิญญาณที่เชื่อพระเจ้า  พระเจ้าได้ให้วิญญาณแห่งการเชื่อฟังกับเรา เป็นการเชื่อฟัง เป็นความรัก

พระเจ้าเป็นความรัก วิญญาณใหม่ของเรา  ที่พระเจ้าให้บังเกิดใหม่เอี่ยมนั้น มาจาก DNA ของพระเจ้า ก็เป็นวิญญาณแห่งความรักเหมือนพระองค์ไม่มีผิดเลย เป็นวิญญาณแห่งอมตะ เอเฟซัส 6:4 จึงได้บันทึกอย่างนี้ว่า …

เอเฟซัส 6:4 “ขอพระคุณ ดำรงอยู่กับคนทั้งปวง ที่รักองค์พระเยซูคริสต์เจ้าของเรา ด้วยความรัก อันไม่เสื่อมสลาย”

 

“ขอพระคุณ ดำรงอยู่กับคนทั้งปวง” ก็คือผู้เชื่อทั้งหลาย รู้ได้อย่างไร? “ที่รักองค์พระเยซูคริสต์” ก็คือผู้เชื่อทั้งหลายถูกไหม? “ที่รักองค์พระเยซูคริสต์เจ้าของเรา ด้วยความรัก อันไม่เสื่อมสลาย”

“ใครเชื่อพระเยซูยกมือขึ้น?”

ท่านเป็นผู้ที่มีวิญญาณที่เป็นความรักต่อพระเยซูคริสต์ เป็นอมตะ ไม่มีการเสื่อมสลาย  หมายถึงความรักของท่านที่มีต่อพระเยซู เป็นอมตะ ไม่ใช่ท่านพยายามที่จะรักพระองค์ ให้เป็นอมตะ แต่ชนิดของวิญญาณท่าน เป็นอมตะในการรักพระองค์ ไม่มีการเสื่อมสลาย พูดง่ายๆ ถ้าเติมให้อีกหน่อย ก็คือไม่ว่าท่านอาบน้ำไป คิดว่าไม่รักพระเยซู ไม่ว่าท่านอาบน้ำไป บ่นว่าพระเยซูว่า …

“อธิษฐานแล้วยังไม่เห็นได้สักทีหนึ่ง ฉันเบื่อพระเยซูแล้ว”

แต่ในวิญญาณท่าน  ถ้าท่านบังเกิดใหม่จริงๆ ท่าน ก็เป็นวิญญาณที่กำลังรักพระเยซู เป็นอมตะ  เพียงแต่ความคิดท่านมันต่อต้าน จากอารมณ์ ความรู้สึก จากสิ่งที่สัมผัส เหตุการณ์ภายนอก บนโลกใบนี้นั่นเอง พอมองเห็นไหมครับ?

ในวิญญาณที่ท่านรักพระเยซู เป็นอมตะนั้น ตามพระคัมภีร์เมื่อตะกี้นี้ ในเอเฟซัส บทที่ 6 นั่นคือตัวตนแท้ๆ ของท่าน  วิญญาณ คือตัวตนจริงๆ ของเราที่จะอยู่ไปตลอดนิรันดร์ ตัวตนข้างนอก ร่างกายที่เราเห็น มันอยู่เพียงชั่วคราวเท่านั้น 80 ปี 100 ปี ก็ว่าไป  เดี๋ยวก็ตายแล้ว แต่วิญญาณของเรา คือตัวตนแท้ๆ ของเรา ตัวตนจริงๆ ของเรา ตามเอเฟซัส บทที่ 6 ที่เราอ่านร่วมกัน ตัวตนจริงๆ ของเราไม่สามารถที่จะเกลียด เป็นปฏิปักษ์ หรือดื้อต่อพระเจ้าได้เลย ถูกไหม? เพราะเป็นคุณสมบัติตัวตนของเรา และสำคัญที่สุด ก็คือพระเจ้าได้ให้เราบังเกิดใหม่ ชำระเรา จนบริสุทธิ์ สะอาดหมดจด พระองค์ได้ย้ายเราออกมาจากความมืด มาสู่ความสว่าง และพระองค์ได้ย้ายตัวพระองค์เองเข้ามาอยู่ในเรา เป็นหนึ่งเดียวกันกับวิญญาณของเรา ล้อมรอบตัวเรา โอบกอดเรา รักเราตลอดเวลา ไม่มีวันที่จะจากเราไปไหนเลย แม้แต่นิดเดียว และเราก็มีลักษณะเช่นเดียวกับพระองค์ เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์  พระองค์รักเราอย่างไร? เราก็รักพระองค์อย่างนั้น พระองค์อยู่กับเราอย่างไร? เราก็อยู่กับพระองค์อย่างนั้น

มันจึงมีคำว่า “พระเยซูอยู่ในเรา  เราอยู่ในพระเยซู  พระเยซูโอบกอดเรา   เราโอบกอดพระเยซู พระเยซูรักเรา  เราก็รักพระเยซู”

มันจึงมีคำพูดเหล่านี้  เพราะว่าเราเป็นหนึ่งเดียวกับพระองค์ เป็นเหมือนพระองค์เลย

นี่คือคำสัญญา  คำพูดของพระเจ้า ที่บอกเราว่าอะไรเกิดขึ้นในโลกวิญญาณ ซึ่งเราเรียกกันว่าคำสัญญา  ที่เป็นคำสัญญาที่พระองค์ทรงกระทำให้สำเร็จเรียบร้อยแล้ว เกิดขึ้นจริงแล้ว  คำสัญญา เหตุการณ์เหล่านี้  มันเกิดขึ้นจริงๆ  เพียงแค่ท่านเชื่อ และหว่านความเชื่อท่านเท่าเมล็ดมัสตาร์ดลงไปในข่าวดีของพระเยซูเท่านั้น  2 ทิโมธี 2:11-13 บันทึกอย่างนี้ว่า …

2 ทิโมธี 2:11-13 “11 นี่เป็นคำกล่าวที่เชื่อถือได้ คือถ้าเราตายกับพระองค์ เราก็จะมีชีวิตกับพระองค์ด้วย 12 ถ้าเราอดทน เราก็จะได้ครองร่วมกับพระองค์ด้วย ถ้าเราปฏิเสธพระองค์ พระองค์ก็จะทรงปฏิเสธเราด้วย 13 ถ้าเราไม่สัตย์ซื่อ พระองค์ก็ยังคงสัตย์ซื่อ เพราะพระองค์ปฏิเสธพระองค์เองไม่ได้”

 

ที่เอาข้อนี้มาให้ท่านได้อ่าน ถ้าเราปฏิเสธ ก็คือเราไม่เอา เราไม่หว่านในพระองค์ เราไปหว่านในที่อื่น  อันนี้พระเยซูก็ปฏิเสธเรา ก็คือไม่รู้จะช่วยเราอย่างไร? พระองค์มาขอเราเปิดประตูเราจะเข้าไปช่วย แล้วเราบอก เราปิดประตู เราไม่ให้ช่วย พระองค์ก็ต้องปฏิเสธเรา แต่ในนี้บอกว่าเมื่อเราเปิดประตูใจแล้ว พระเยซูเข้ามาแล้ว  ต่อให้เราไม่สัตย์ซื่อ  ตรงนี้ภาษาเดิมบอกว่าความเชื่อหมด ต่อให้หลังจากนั้น เมื่อเปิดประตูใจให้พระเยซูเข้ามา บังเกิดใหม่ เป็นลูกพระเจ้าแล้ว บางครั้งความเชื่อ มันหมดจริงๆ อธิษฐานแล้วไม่ได้ เจอความบีบเค้นของระบบของโลกใบนี้ เหนื่อย  เพลีย ป่วย ถูกบีบเค้นเรื่องเศรษฐกิจ การงาน การเงิน ปัญหาต่างๆ มันไม่อยากจะเชื่อเลย ต่อให้เป็นอย่างนั้น ซึ่งในพระคัมภีร์บอกเป็นหลายครั้ง ชีวิตในการดำเนินบนโลกใบนี้ มันหล่นลงในความไม่เชื่ออย่างนี้ หลายครั้ง ต่อให้ไม่เชื่ออย่างนั้น พระองค์ก็ยังคง “สัตย์ซื่อ” ตัวนี้ หมายถึงยังคงรักษาความเชื่อของพระองค์อยู่ ก็คือรักษาถ้อยคำ สัตย์ซื่อ ก็คือคำสัญญาและถ้อยคำของพระองค์ที่เป็นจริงในโลกวิญญาณ  ก็ยังเป็นอย่างนั้นอยู่ พระองค์ก็ยังอยู่กับเรา รักเรา และเราก็ยังเป็นลูกของพระองค์เหมือนเดิมนั่นแหละ เอเมน

ดังนั้น ตอนนี้ท่านเชื่อหรือไม่ว่าท่านบังเกิดใหม่แล้ว เป็นลูกของพระเจ้าแล้ว อยู่ในสวรรค์แล้ว ตอนนี้ท่านเชื่อหรือยัง? เชื่อแล้ว (ในวิญญาณ) 100% ส่วนข้างนอก แล้วแต่อารมณ์ ไม่รู้สิ ถูกไหม? ต้องแยกกันให้ชัดเจน บางครั้งมันก็เป็นไปตามความจริงในวิญญาณ ก็คือเชื่อและอาการก็ออก อย่างเช่น มาโบสถ์ตอนเช้า ร้องเพลงนมัสการ สรรเสริญพระเจ้า เต้นโลด ตอนนั้นความรู้สึก  ความคิด เป็นไปด้วยกันกับความจริงในวิญญาณของเรา คือเราเชื่อว่าเราเป็นลูกพระเจ้า สรรเสริญพระเจ้า ได้รับความรอดแน่ๆ แต่ตอนออกไป แล้วถูกรถเฉี่ยว ขาหัก  หรือเกิดอุบัติเหตุ มันอาจจะคิดอีกแบบหนึ่ง  ตอนนั้นนะ แต่ไม่ว่าท่านจะคิดอย่างไร? แบบไหนก็ตาม พระองค์ก็ทรงอยู่เหมือนเดิม  ท่านก็เป็นลูกพระเจ้าเหมือนเดิม ไม่ว่าท่านจะรู้สึกเชื่อหรือไม่? มากน้อยเพียงใดก็ตาม หลังจากเปิดใจต้อนรับพระเยซู หลังจากเปิดใจเท่าเมล็ดมัสตาร์ดเท่านั้น หว่านลงในข่าวดีของพระเยซูคริสต์แล้ว ท่านก็ได้บังเกิดใหม่แล้วจริงๆ เป็นลูกของพระเจ้า อยู่ในสวรรค์กับพระองค์แล้วเดี๋ยวนี้ จริงๆ จงรับรู้ความจริงเรื่องนี้เถิด จงรับรู้เถิดๆ จงมองไปที่วิญญาณ และรับรู้ตรงนี้เถิด  พระคัมภีร์จึงได้เตือนเราตรงนี้ โคโลสี 3:1-3 ให้เรารับรู้ตรงนี้ จดจ่ออยู่ตรงนี้ …

โคโลสี 3:1-3 “1 ในเมื่อ ทรงให้ท่านทั้งหลาย เป็นขึ้นกับพระคริสต์แล้ว ก็จงให้ใจของท่าน จดจ่อกับสิ่งที่อยู่เบื้องบน ที่ซึ่งพระคริสต์ประทับอยู่ เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้า 2 จงให้ความคิดของท่าน จดจ่ออยู่กับสิ่งเบื้องบน ไม่ใช่สิ่งฝ่ายโลก 3 เพราะท่านตายแล้ว และบัดนี้ ชีวิตของท่าน ถูกซ่อนอยู่กับพระคริสต์ในพระเจ้า”

 

เพราะฉะนั้น จงรับรู้ความจริงเรื่องนี้ไว้ว่ามันเป็นอย่างนี้  แล้วจดจ่ออยู่เรื่องนี้ เพื่อจะได้ไม่ถูกหลอกด้วยความรู้สึก ตา หู จมูก ลิ้น กาย  ความคิด และสมอง ที่ดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ มันจะได้ไม่หลอกเรา หลอกเราก็หลอกไม่ได้  เพราะเราจดจ่ออยู่ที่ความจริงในโลกวิญญาณอย่างนี้แหละ ความจริงในโลกวิญญาณ ที่เราอยู่ ณ เบื้องขวาของพระเจ้า ในสวรรค์สถาน ร่วมกับพระเยซูคริสต์ไปแล้ว เราเป็นลูกของพระองค์แล้ว อยู่ในสวรรค์แล้ว ต้องบอกอย่างนี้ เพื่อจะได้เน้นความมั่นใจว่าอยู่จริงๆ

เพราะฉะนั้น เมื่อท่านเปิดใจ ต้อนรับพระเยซูเป็นพระผู้ช่วยให้รอด  หว่านเมล็ดแห่งความเชื่อ  อันน้อยนิด เท่าเมล็ดมัสตาร์ด เพียงครั้งเดียวเท่านั้น ย้ำอีกที  เพียงครั้งเดียวเท่านั้น ไม่ต้องหว่านบ่อยๆ  เพียงครั้งเดียว พิสูจน์พระเจ้าทันทีเลย พระเยซูหรือพระเจ้าก็ทำให้ท่านได้รับการบังเกิดใหม่ ในวิญญาณ เข้าสู่สวรรค์ของพระเจ้าเลยทันที หว่านเมื่อไร มันเกิดขึ้นทันที และที่เกิดเป็นลูกพระเจ้า บังเกิดใหม่ เข้าสู่สวรรค์ทันทีนั้น และจะไม่มีวันที่จะเปลี่ยนแปลงเป็นอื่น ไปได้เลย มันจะเป็นอย่างนั้นเลย ก็แค่เพียงเฝ้ารอคอยวันเวลา ที่จะจากโลกนี้ไป ได้รับร่างกายใหม่  คือร่างกายสวรรค์ ที่เหมือนพระเยซู มาแทนร่างกายเดิมนี้ สมบูรณ์แบบกว่าเดิม และอยู่กับพระเจ้าในสวรรค์เหมือนเดิมนิรันดร์กาล

มันง่ายไหม? ง่ายนิดเดียว ง่ายเกินไป จนกระทั่งมนุษย์มักคิดว่ามันเป็นไปได้หรือ? แต่มันเป็นไปแล้ว มันง่ายแค่นี้เอง จึงเรียกว่าข่าวดี ถ้ามันยากๆ ก็ไม่เรียกว่าข่าวดี … ข่าวดีของพระเยซู ทางสู่สวรรค์ ของขวัญจากพระเจ้า ให้เปล่าๆ ฟรีๆ มันง่ายอย่างนี้แหละ

สมมติว่าท่านกำลังอยู่ในตึกสูงๆ แล้วกำลังมีไฟไหม้ แล้วก็ติดอยู่ชั้นบน ออกมาไม่ได้ ทั้งร้อน ทั้งทุกข์ทรมาน แล้วก็มีคนมากมายมาแนะนำสอนวิธีต่างๆ ให้เราทำตาม เพื่อที่จะหาทางออกจากตึกให้ได้ จะได้รอดพ้นจากไฟนรกนั้น แต่วิธีที่เขากำลังพยายามทำกันอยู่นั้น ก็ยังไม่มีใครสามารถทำให้ใคร คนใดคนหนึ่ง หรือตัวเองรอดออกไปจากตึกนรกนี้ได้ แม้แต่คนเดียวเลย แต่ว่ามีอยู่ผู้หนึ่ง ชื่อว่าพระเยซูเสนอตัวว่าเราสามารถอุ้มทุกคนเลย ไปจากตึกและรอดจากไฟนรกนี้ได้เดี๋ยวนี้เลย โดยที่ทุกคนไม่ต้องทำอะไรเลย เอาไหม? คนอื่นมาบอกวิธีใช่ไหม?

“ทำอย่างนี้สิ ปีนลงไปต้องอย่างนี้นะ  คลานอย่างนั้น เอาผ้าชุบน้ำ ราดหัวไว้อะไรอย่างนี้”

พูดตั้งเยอะแยะ ให้เราทำๆ แต่มีบุคคลนี้ ชื่อพระเยซูบอก ไม่ต้องทำอะไรเลย เดี๋ยวอุ้มไป มันคล้ายๆ อย่างนั้น

ถามว่าในขณะที่ไฟยังลุกโชนอยู่ แล้วท่านติดอยู่บนตึกนั้น ท่านจะมีเวลาเลือกที่จะเชื่อใครไหม? มานั่งคิดไหมว่า …

“เอ๊ะ! เขาจะอุ้มเราไปอย่างไรนะ คนอื่นเขายังบอกวิธี เอาน้ำราดหัวอย่างไร? คลานอย่างไร? คนนี้มาบอกว่าอุ้มเราลงไปเลย”

ท่านจะมีเวลาคิด จะอุ้มอย่างไรหรือ? พระเยซูต้องมาอธิบายให้ท่านฟังไหมว่าอุ้มวิธีนี้ อย่างนั้นนะ แล้วท่านจะเข้าใจทันเวลาไหม ก่อนที่ไฟจะลามมาถึงข้างบน ลวกท่านตายก่อน และท่านจะเลือกเชื่อและทำตามวิธีการของคนที่กำลังติดบนไฟนรกนั้นด้วยกันกับท่าน หรือท่านเลือกที่จะเชื่อพระเยซูที่บอกว่าไม่ต้องทำอะไรเลย เราช่วยได้ แค่นั้นเอง พระเยซูจึงไม่มีข้อแม้ไง เพราะรู้ว่าเราไม่มีทางเข้าใจหรอก จะอุ้มเราไปอย่างไร? แล้วมันไม่มีเวลาพอที่จะค่อยๆ อธิบายจนเข้าใจ จึงจะบอก โอเค มาอุ้มเลย มันไม่มีเวลาพออย่างนั้น ไฟมันกำลังขึ้นมาอยู่ ชีวิตเราอยู่สั้นๆ เดี๋ยวก็ตายแล้ว เพราะฉะนั้น หน้าที่เรา คือตัดสินใจเชื่อทันทีเลย พิสูจน์พระองค์เลย ไม่ต้องรอเข้าใจว่าอุ้มอย่างไร? แต่บอกเลยว่ามันร้อนแล้ว มันทนไม่ไหวแล้ว คลานก็ทำมาแล้ว เอาน้ำราดก็ทำมาแล้ว ก็ยังอยู่ในตึกนี้อยู่ มันร้อน จนไฟจะขึ้นมาถึงอยู่แล้ว สุดท้าย ไม่ไหวแล้ว ช่วยตัวเองไม่ได้แล้ว อุ้มเลยก็เอา นั่นแหละมาถึงซึ่งความรอด ในพระเยซูคริสต์ เอเมน พระเจ้าอวยพรครับ

 

**********************

 

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 24 มกราคม 2021 เรื่อง “พระพรและความสุข จงมีแด่ผู้ที่ไม่เห็นแต่เชื่อ” โดย นคร เวชสุภาพร

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  24  มกราคม  2021

 เรื่อง “พระพรและความสุข จงมีแด่ผู้ที่ไม่เห็นแต่เชื่อ”

โดย นคร   เวชสุภาพร

 

สวัสดีครับพี่น้อง วันนี้เรายังคงฟังกันอยู่ที่บ้านนะ เชื่อฟังรัฐบาล แล้วดูสถานการณ์กันต่อไป ถ้อยคำพระเจ้าบอกว่า …

“พระพรและความสุข จงมีแด่ผู้ที่ไม่เห็นเรา  แต่ก็ยังเชื่อและวางใจ และพึ่งในเรา”

นี่เป็นคำพูดของพระเยซูคริสต์ และเป็นหัวข้อในการบรรยายในวันนี้ “พระพรและความสุข จงมีแด่ผู้ที่ไม่เห็นเรา  แต่ก็ยังคงเชื่อและวางใจ และพึ่งในเรา” หมายถึงพระเยซูคริสต์

พระเจ้าสร้างให้มนุษย์มีความรู้สึก มีอารมณ์ รู้จักคิด ซึ่งหลายครั้ง เราก็มีความรู้สึกทางอารมณ์ในทางที่ดี ที่ชื่นชมยินดี จนน้ำตาไหล ด้วยความซาบซึ้งใจ เกี่ยวกับข่าวดีของพระเจ้า เกี่ยวกับเรื่องพระเจ้า แต่หลายครั้ง ที่เรารู้สึกหดหู่ กลัว ท้อแท้ มนุษย์ทุกคน มีประสบการณ์ ความรู้สึกอารมณ์แบบนี้ อยู่เสมอๆ คือขึ้นๆ ลงๆ เดี๋ยวดี เดี๋ยวร้าย เขาเรียกว่าคุ้มดี คุ้มร้าย

พระเยซูมาบังเกิดเป็นมนุษย์  เข้าร่วมลักษณะชีวิต ร่างกายแบบมนุษย์ เกิดเป็นมนุษย์เหมือนกัน  เพราะฉะนั้น มีอารมณ์ ความรู้สึก เช่นเดียวกันกับเราที่ดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ และมีอารมณ์แบบนั้นเหมือนกัน พระองค์จึงทราบดีว่าอารมณ์นั้น เป็นอย่างไร? พระเยซูจึงไม่ต้องการให้เราดำเนินชีวิต ด้วยอารมณ์ และความรู้สึกนั้น ซึ่งอารมณ์และความรู้สึกนั้น จากสัมผัสทั้ง 5 ของร่างกาย มีตา หู จมูก ลิ้น กาย  และความคิด ไม่ใช่ใจนะ ใจในพระคัมภีร์ หมายถึงวิญญาณของเรา วันนี้ไม่ใช่วิญญาณ  แต่หมายถึงสัมผัสทางร่างกาย คือตา หู จมูก ลิ้น กาย และความคิด ที่เราเรียกกันว่าความคิด แบบมนุษย์นั่นแหละ พระองค์ไม่อยากให้เราดำเนินชีวิต โดยพึ่งพาอารมณ์ ความรู้สึก และสัมผัสทั้ง 6 ของร่างกายนี้ แต่ให้เราดำเนินชีวิตด้วยความเชื่อในวิญญาณของเรา ซึ่งเป็นตัวจริงๆ ของเรา บนพื้นฐานของถ้อยคำของพระองค์ ที่บอกไว้เท่านั้น

ตอนที่พระเยซูทรงเป็นขึ้นจากความตาย และปรากฏพระองค์เองให้กับบรรดาเหล่าสาวกในกลุ่ม 12 คน มีคนหนึ่งที่ไม่ได้อยู่ในนั้น ก็คือโทมัส ปรากฏว่าเพื่อนๆ ที่เหลืออยู่ พอเจอโทมัสเข้ามา เพื่อนๆ ที่เหลืออยู่บอก …

“พระเยซูเป็นขึ้นจากความตายแล้ว เราเห็นพระเยซู”

โทมัสบอกว่าไม่เชื่อหรอก นอกจากจะได้เอามือสัมผัสรอยตะปูที่ตอกตรึงพระเยซูตายที่ไม้กางเขน และได้เอามือแยงเข้าไปในรูนั้น  และเอามือแยงเข้าไปในที่สีข้าง ที่ถูกหอกแทงนั้น จึงจะเชื่อว่าพระเยซูเป็นขึ้นจากความตาย

พูดจบไปไม่นาน พระเยซูก็ปรากฏมาให้เห็นเลย แล้วก็พูดคำเมื่อสักครู่นี้ ที่เราได้อ่านไปตอนแรกว่าผู้ที่ไม่เห็น แต่เชื่อเรา วางใจในเรา พึ่งพาในเรา ก็มีความสุข หลังจากนั้นไม่นาน พระเยซูก็ปรากฏพระองค์เองให้เหล่าสาวก อีกหลายคนได้เห็น ใน 40 วันเท่านั้น เห็นบ้าง ไม่เห็นบ้าง เพื่อหยั่งรากลึกให้เขาได้รู้ว่าพระองค์ทรงเป็นขึ้นจากความตาย เพียง 40 วันเท่านั้นที่ปรากฏ แล้วพระองค์ก็ถูกรับเข้าไปอยู่ในสวรรค์ จากวันนั้นมาถึงวันนี้ เกือบ 2,000 ปี พระองค์อยู่ในนั้น ไม่เห็นอีกต่อไป

ในยอห์น 20:29 พระองค์พูดกับโทมัสและสาวกตอนนั้น ซึ่งเล็งมาถึงพวกเรา สาวกผู้เชื่อตอนนี้ด้วยว่าอย่างนี้ครับ …

ยอห์น 20:29 “เพราะท่านได้เห็นเรา ท่านจึงเชื่อ พระพรและความสุข จงมีแด่ผู้ที่ไม่เคยเห็นเรา แต่ก็ยังคงเชื่อและวางใจ และพึ่งพิงในเรา

 

ถามตัวเองหรือฉัน เป็นผู้ที่เชื่อชนิดไหน? คือธรรมชาติทางวิสัยเนื้อหนังร่างกายมนุษย์ ทั่วไป เรามักจะเชื่อในสิ่งที่จับต้องมองเห็นได้ หรือรู้สึกได้ และมันทำให้รู้สึกว่าที่เชื่อนั้น มันมีอยู่จริงๆ เพราะมันเห็น มันจับได้ มันรู้สึกได้ เป็นการเพิ่มพูนความเชื่อนั้น นี่คือปกติมนุษย์ทั่วๆ ไป แม้กระทั่งในเรื่องโลกวิญญาณ เราก็ยังอยากที่จะมั่นใจมากขึ้น โดยการได้สัมผัสสักนิดหนึ่ง ได้เห็นสักนิดหนึ่ง เราจึงคุ้นเคยกับการอธิษฐานขอพระเจ้าใช่ไหม? เราก็ยังคงขอพระเจ้า ให้พระองค์ทรงช่วยเรา ให้เราได้เห็นมากขึ้น สัมผัสพระองค์มากขึ้น มีความรู้สึกในพระองค์มากขึ้น รับรู้ทางอารมณ์มากขึ้น ในเรื่องเกี่ยวกับทางวิญญาณมากขึ้น อยากได้มากขึ้น เราจึงอธิษฐานขออย่างนี้ แต่พอเราได้รับบ้างบางครั้ง เราเริ่มรู้สึกได้ สัมผัสบ้าง ได้เห็นบ้าง แล้วเกิดอะไรขึ้น เกิดว่าเมื่อไรก็ตาม ที่ความรู้สึก การเห็น การสัมผัสแบบนั้น มันไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป มันลดน้อยลง หรือหายไป เราก็จะรู้สึกทุกข์ใจ

เราอาจจะนึกว่าเราสูญเสียความรอดไปแล้วมั้ง ก็พยายามไปหาใหญ่ว่ามันเป็นเพราะอะไรถึงหายไปแล้ว ไม่รู้สึกอีกต่อไปแล้ว หรือว่าเพราะเราไปทำบาปอะไรมา คิดหาเหตุผลใหญ่เลยว่าเป็นเพราะอะไรถึงหายไป ความรู้สึกอย่างนั้น เราอาจรู้สึกผิด รู้สึกเหมือนพระเจ้าทอดทิ้งไปแล้ว แต่ก่อนนี้ ยังรู้สึกพระองค์กอดเราอยู่ ตอนนี้พระองค์หายไปไหน? เราทำอะไรผิดไปมั้ง พระองค์จึงจากเราไป แล้วมันเกิดอะไรขึ้น? มันก็เกิดความสงสัย และเกิดความทุกข์ใจ เพราะเชื่อ โดยพึ่งการกระทำของตัวเราเอง ความรู้สึกของตัวเราเอง ไม่ได้พึ่งในถ้อยคำของพระเจ้า ถ้อยคำของพระเยซูที่บอก ซึ่งพระเจ้าไม่ต้องการให้เราตกอยู่ในสภาพอย่างนั้น แต่อยากให้ลูกๆ ของพระองค์ ผู้ที่เชื่อในพระองค์นั้น หยั่งรากลึกลงไปในถ้อยคำของพระองค์ ไม่ใช่บนความรู้สึกหรืออารมณ์เพียงชั่วครู่ ชั่วยามเท่านั้น  ไม่ใช่พึ่งพาในการกระทำความรู้สึกของตนเอง แต่พึ่งพาในถ้อยคำของพระเยซูคริสต์ที่บอกเราเท่านั้น ต้องบอกว่าเท่านั้นเลย ยอห์น 8:32 พระเยซูบอกว่าอย่างไร? …

ยอห์น 8:32 “แล้วท่านจะรู้จักความจริง และความจริงจะทำให้ท่านเป็นไท”

 

ท่านจะรู้ความจริง แล้วความจริงในถ้อยคำพระเจ้า จะทำให้ท่านเป็นไท ก็คือเป็นอิสระ จากการหลอกลวง ไม่ใช่ตามองเห็น ไม่ใช่สัมผัสได้ ไม่ใช่ความรู้สึกหรืออารมณ์ ไม่ใช่ความคิด ที่มีเหตุผลแบบมนุษย์ ที่ทำให้เราเป็นอิสระ ไม่ใช่การกระทำของเรา ที่ทำให้เราเป็นอิสระ แต่เป็นความจริง ก็คือถ้อยคำพระเจ้า จากที่พระเยซูบอกเรา เรื่องเกี่ยวกับสวรรค์ เกี่ยวกับความรอด นั่นแหละ ทำให้เราเป็นอิสระ เพราะพระองค์บอกแล้ว พระองค์เป็นความจริง พระองค์พูด ก็พูดจากความจริง เพราะตัวพระองค์เป็นความจริง

ถ้อยคำของพระเจ้าในยอห์น 4:24 ได้บอกว่าพระเจ้าเป็นความจริง เป็นวิญญาณ  ผู้ที่จะเข้าไปหาพระเจ้าได้ ต้องเข้าไปหาพระองค์ “นมัสการ” แปลว่าการเข้าไปหาพระเจ้า แสวงหาพระองค์ ด้วยจิตวิญญาณและความจริง ไม่ใช่ด้วยการกระทำ จะหาพระองค์ไม่ใช่ด้วยสัมผัสทั้ง 5 ตา หู จมูก ลิ้น กาย หรือความคิดของตนเอง  แต่ด้วยความจริง คือถ้อยคำพระเจ้า และเข้าไปหา โดยสัมผัสทางวิญญาณเท่านั้น ต้องบอกว่าเท่านั้น

ยกตัวอย่างเช่น ความจริงที่บอกว่าเมื่อเราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอดแล้ว พระองค์จะเข้ามาสถิตอยู่ในเรา ล้อมรอบเรา และอยู่เพื่อเราด้วย  พระเยซูคริสต์  มีพระนามว่า “อิมนานูเอล” แปลว่าพระเจ้าอยู่กับเรา ก็คืออยู่ล้อมรอบเรา และอยู่ในเรา คืออยู่ภายในตัวเราเลย เป็นหนึ่งเดียวกับวิญญาณของเรา และแปลว่าอยู่เพื่อเราด้วย God is for you คือพระเจ้าเป็นอยู่ เพื่อเรา นี่พระคัมภีร์บอกไว้อย่างนั้น พอเราเปิดใจ สิ่งเหล่านี้ เกิดขึ้นทันที

นี่คือความจริงจากถ้อยคำพระเจ้า ซึ่งในบางครั้ง เราก็อาจสัมผัสได้ ผ่านทางความรู้สึก ผ่านทางความคิด  ผ่านทางอารมณ์ ร่วมไปด้วยกับถ้อยคำพระเจ้า เช่นรู้สึกได้ว่าพระเจ้ากำลังโอบกอดเราอยู่ รู้สึกตื้นตันใจเหลือเกิน ถึงความรักของพระเจ้า ที่อยู่ในเรา รู้สึกน้ำตาไหล เมื่อฟังเพลงนมัสการ พระเจ้าอยู่กับเรา เป็นจริงๆ

แต่นั่นเป็นเพียงน้อยครั้งมาก เทียบกับตลอดชีวิตของเรา เพราะว่ามีหลายครั้ง มากครั้ง เป็นส่วนมากในการดำเนินชีวิตของเรา ที่เรามีความรู้สึกสัมผัสไม่ได้อย่างนี้ คิดก็ไม่ออกว่าพระเจ้าสถิตอยู่ในเรา ล้อมรอบตัวเรา อยู่เพื่อเรา กอดเราอยู่ ใช่หรือไม่?

หรือว่าท่านคิดอย่างนี้ ตลอดเวลาเลย ทั้ง 24 ชั่วโมง อย่างที่บอก พระเจ้าไม่ต้องการให้ติดยึดความรู้สึกหรืออารมณ์ที่ดีๆ เหล่านั้น ที่ซาบซึ้งเหล่านั้น ซึ่งในที่สุด ถ้าเราไปติดยึด มันจะเหมือนคนติดยาเสพติด ถ้าเราไปติดยึด เราก็อยากจะเพิ่มขนาดให้มันมากขึ้น อยากจะสัมผัสให้มันมากขึ้นอีก ให้มันเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เพื่อที่จะยืนยันในความรู้สึกว่าถ้อยคำพระเจ้า เป็นจริง ตามที่ความคิด ในร่างกายของเรา อยากให้มันเป็นอย่างนั้น เหมือนคนติดยาก็จะเพิ่มโดสไปเรื่อยๆ เพิ่มขนาดไปเรื่อยๆ เพื่อต้องการความรู้สึกเหมือนตอนแรกๆ เพราะไปๆ มันหายไป ก็ต้องเพิ่มยาเข้าไปอีก เพิ่มจนกระทั่งเสียสติไป

ในทางพระเจ้า ตรงนี้คล้ายๆ อย่างนั้น พระเจ้าไม่ต้องการให้เราไปติดยึดอยู่ตรงนั้น เพราะว่าจะเพิ่มขนาดไปเรื่อยๆ อยากให้มันมากขึ้นเรื่อยๆ มันเป็นไปไม่ได้ มันก็เกิดความทุกข์ใจ ถ้าเราเดินตามความรู้สึก เนื้อหนัง ทางร่างกาย สัมผัสอย่างที่ตะกี้นี้บอก ตา หู จมูก ลิ้น กาย และความคิด แบบมนุษย์ถ้าเรายึดติด และเดินตามความรู้สึกอย่างนั้น พระเจ้าไม่อยากให้เราเข้าไป เพราะเรามีโอกาส ถูกหลอกมากเลย ซึ่งมันอันตราย ถึงขนาดฆ่าคนตายได้ ถูกครอบงำด้วยการโกหกของมารซาตานได้อย่างง่ายดายในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้

ยกตัวอย่าง คนติดยาเสพติด เป็นโรคทางประสาท เห็นภาพหลอน อันนี้เป็นเรื่องจริง ที่เกิดขึ้น ในธรรมชาติของมนุษย์บนโลกใบนี้ เห็นภาพหลอน แล้วก็เคยได้ยินเรื่องราวของพระเยซูคริสต์ เคยเรียนรู้เรื่องของพระเยซูคริสต์ ก็เกิดการอ้างชื่อพระเยซูว่าเขาเห็นคนอื่นเป็นศัตรู คิดว่าคนอื่นกำลังมาทำร้าย ทำลายเขา นึกว่าศัตรูนั้น คือผีร้าย ต้องฆ่ามันให้ตาย เป็นต้น

มันเกิดขึ้นจริงๆ ซึ่งภาพหลอนพวกนี้ มันดูเหมือนจริงมาก อย่างที่พูดกันติดปากอยู่เสมอๆ ทั่วๆ ไป ที่เราบอกว่าคนที่ถูกภาพหลอนเหล่านั้น คนนั้นเขาเห็นภาพนั้น เห็นจริงๆ แต่ภาพที่เห็นในสมอง มันไม่จริง  มันถูกสร้างขึ้นมา โดยร่างกาย ตา หู จมูก ลิ้น กาย  และความคิด มันถูกสร้างขึ้นมา  ถูกหลอก ที่เขาเห็น มันไม่จริง

ผู้เชื่อบางคนถูกหลอกให้เห็นภาพหลอนว่าตัวเองยังสกปรก มีผีอยู่ เป็นทาสมารอยู่ จึงพยายามดิ้นรน หาทางเป็นอิสระ เที่ยวไปหาคนโน้นให้อธิษฐานให้ ไล่ผีออก เที่ยวไปหาคนนี้ให้ชำระให้บริสุทธิ์ ใช่หรือไม่? ท่านเป็นอย่างนั้นหรือเปล่า?

แต่ถ้อยคำพระเจ้าบอกว่าอย่างไร? ถ้อยคำพระเจ้าบอกว่าเมื่อเราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด ต้อนรับพระเยซูคริสต์แล้ว พระเจ้าสถิตอยู่ในเราเลย ไม่มีผี หรืออะไรอีกแล้ว ทำอันตรายเราได้ หรือจะมาอาศัยในร่างกายเราก็ไม่ได้เลย แม้แต่นิดเดียว เพราะร่างกายเราเป็นวิหารของพระเจ้า พระเจ้าเข้ามาสถิตอยู่ในเราแล้ว นี่คือถ้อยคำพระเจ้า

บางคนก็มีความคิด มีความรู้สึก มีอารมณ์ด้วยว่าบาปที่ทำมา ในอดีต ก่อนที่จะรับเชื่อพระเจ้า ก่อนที่จะเปิดใจต้อนรับพระเยซู เยอะกว่าคนอื่นเยอะเลย ซึ่งบาปเหล่านั้น พอมาเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์แล้ว ก็ยังสลัดออกไปไม่หมดเลย ยังเหลืออยู่ ยังทำอยู่ทุกวันนี้เลย ก็ยังมีความรู้สึกว่าเป็นคนบาป สกปรกอยู่ แต่ถ้อยคำพระเจ้าบอกว่าพระเยซูได้แบกรับเอาความบาปทั้งสิ้นของเขาไปหมดแล้ว ไม่ว่ามันมากเท่าไร ก็เอาไปหมดแล้ว มากเท่าเปาโลไหมล่ะ

เปาโลทั้งข่มเหงคนที่เป็นคริสเตียน ทั้งฆ่าคนที่เป็นคริสเตียนมากมาย แต่เปาโลบอกว่าพระเยซูเอาความบาปผิดของเขาออกไปหมดแล้ว อย่างนี้เป็นต้น

นี่เรื่องจริงเหมือนกัน บางคนได้กลิ่นหอมของพระเยซู เพราะในพระคัมภีร์บอกว่าพระเยซูเป็นเหมือนกลิ่นหอมของข่าวประเสริฐของพระเจ้า ได้กลิ่นพระเยซู หอมจริงๆ แล้วบางครั้ง หลายครั้ง ความหอมนั้น มันก็หายไป มันหายไปแค่นั้นไม่พอ มันกลับกลายเป็นความเหม็น เข้ามาแทนที่ นี่เรื่องจริงอีก มันกลับกลายเป็นรู้สึกว่าได้กลิ่นความเหม็นคาว สกปรกของผีมาร ซึ่งมารบกวนชีวิต ความคิด และวิญญาณของเขาอยู่ เขาจึงต้องขับมันออกไป ไล่ผีตัวนี้ออกไป ไล่วันนี้ เดี๋ยวพรุ่งนี้มันก็เข้ามา ไล่ไปมะรืนนี้ มะเรื่องนี้เข้ามา ไปหาคนนั้นให้ไล่ คนนี้ให้ไล่  ท่านเป็นเช่นนั้นหรือไม่?

อย่างที่บอก ถ้อยคำพระเจ้าบอกเราเป็นวิหารของพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า พระเจ้าสถิตอยู่ในเรา ทั้ง 3 พระภาคเลย แล้วผีจะเข้ามาอยู่ได้อย่างไร? เราอาจจะไม่รู้สึกว่าพระองค์ทรงสถิตอยู่ แต่ถ้อยคำแห่งความจริงบอกว่าพระองค์สถิตอยู่ และพระเจ้าต้องการให้เราวางใจในถ้อยคำของพระองค์ ไม่ใช่ความรู้สึกนึกคิด หรือความรู้สึกอารมณ์ ที่สัมผัสได้ด้วยร่างกาย  อันนี้ก็เหมือนกัน  บางคนบอกว่ามีความรู้สึกเหมือนลมเย็นๆ ที่พัดเข้ามาสู่ร่างกาย ขนลุกไปหมดเลย เมื่อพระวิญญาณบริสุทธิ์เสด็จมาเยี่ยมเยือน เคยได้ยินคุ้นๆ นะ ไม่ได้ยินอย่างเดียว เคยได้รับประสบการณ์นี้ด้วยซ้ำ คุ้นๆ แต่ถ้อยคำพระเจ้าบอกว่าพระวิญญาณสถิตอยู่กับเรา ตั้งแต่เราเกิดใหม่ เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด วินาทีนั้นแล้ว และจะอยู่กับเรา ในร่างกายของเรานี้ เป็นหนึ่งเดียวกันกับเรา ตลอดชั่วนิรันดร์ ไม่ว่าจะขนลุกหรือไม่ลุก ลมจะพัดเย็นหรือไม่เย็น พระองค์ก็อยู่ที่นั่นแหละ อยู่กับเรา  อยู่ในร่างกายของเรานี้ ไม่ได้มาเยี่ยมเยือน มาตั้งบ้านอยู่ในร่างกายเราเลย  ถูกหรือไม่? นี่คือความจริงที่ทำให้เราเป็นไท เป็นอิสระ

บางคนบอกว่า … “ฉันสามารถสัมผัส รู้สึกได้ว่าพระเจ้าสถิตอยู่ที่นี่”

แต่พระคัมภีร์บอกว่า … “ท่านไม่รู้หรือว่าร่างกายของท่านเป็นวิหารของพระเจ้า พระเจ้าสถิตอยู่กับท่าน เป็นหนึ่งเดียวกันกับท่าน”

ท่านไม่รู้หรือ? ต้องรอให้สัมผัสได้ ถึงจะรู้ว่าอยู่หรือ? ต่อให้คนที่นั่งข้างล่าง ไม่ได้สัมผัสอะไรเลย พระเจ้าก็อยู่กับเขา  เขาเป็นผู้เชื่อคนหนึ่ง ไม่ใช่พระเจ้าอยู่กับท่านเท่านั้น ถึงสัมผัสได้ เขาไม่ได้สัมผัสอะไรเลย พระเจ้าก็อยู่กับเขาเท่าๆ กับอยู่กับท่านเหมือนกัน

ที่พูดมาทั้งหมดนี้ ไม่ได้หมายถึงผมต่อต้าน หรือไม่เชื่อปรากฏการณ์เหนือธรรมชาติ หรือเราเรียกกันว่าอัศจรรย์ ไม่ธรรมดาเหล่านี้ ไม่ใช่ สิ่งเหล่านี้ ถ้ามันเกิดขึ้น แล้วตรงตามถ้อยคำพระเจ้า ก็ขอบคุณพระเจ้า เช่นบางคนมาเชื่อในพระเยซู เพราะได้เห็นพระเยซูเดินเข้ามาในห้องเลย เพื่อนเล่าให้ฟัง เคยได้ยินเขาประกาศพระเยซูตั้งนาน ไม่เคยเปิดใจต้อนรับพระเยซู ไม่เคยเชื่อเลย มีอยู่วันหนึ่ง อยู่ในห้องนอน พระเยซูเดินเข้ามาเลย  แล้วก็บอกว่าให้เปิดใจต้อนรับพระเยซูซะ ก็เลยเปิดใจต้อนรับพระเยซูเป็นพระผู้ช่วยให้รอด  วางใจในพระองค์ ดีใจมากเลย ที่ได้รับความรอด ซึ่งไม่ว่าจะเป็นพระเยซูเข้ามาจริงๆ หรือเป็นการเห็นภาพไปเอง ในความคิดที่สร้างขึ้นมาเอง ก็ตาม ไม่มีใครตอบได้ แต่ที่รู้ๆ คือมารมันคงไม่มาหลอกแบบนี้ จริงไหม? เพราะมันตรงตามถ้อยคำพระเจ้า พระเยซูมาเคาะที่ประตูใจ แล้วเราก็เปิดใจต้อนรับพระเยซูเข้ามา แล้วพระองค์ก็ให้เราบังเกิดใหม่ นี่คือตรงตามถ้อยคำพระเจ้า

เพราะฉะนั้น สมควรสรรเสริญ ขอบคุณพระเจ้า และปิติยินดี  และก็กลับมาเชื่อและวางใจในพระสัญญา หรือถ้อยคำของพระเจ้าที่ได้บันทึกไว้ในพระคัมภีร์ต่อไป  ไม่ต้องไปติดยึด ถ้าสิ่งที่เกิดขึ้นเหนือธรรมชาติ มันตรงตามพระคัมภีร์ พระเยซูตรัสว่าพระองค์กำลังเคาะประตูใจของมนุษย์ทุกคน และรักมนุษย์ทุกคนเท่ากันหมด เคาะประตูใจตลอดเวลา ไม่ว่าจะเคาะด้วยวิธีใด ด้วยการมาปรากฏตัวหรือไม่? หรือไม่ปรากฏตัว หรือไม่รู้สึกอะไรเลย เพราะพระองค์ก็กำลังเคาะอยู่ แม้กระทั่งคนที่กำลังปฏิเสธพระเยซู กำลังข่มเหงคริสเตียน กำลังเป็นปฏิปักษ์ต่อคริสเตียน ซึ่งเท่ากับเป็นปฏิปักษ์ต่อพระเยซูคริสต์ พระองค์ก็กำลังเคาะที่ประตูใจเขาอยู่ แต่เขาไม่ได้ยิน ถูกหรือไม่ถูก? ถูก พระองค์รักทุกคนเท่ากัน และทุกคนก็มีสิทธิที่จะเปิดประตูใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดได้เท่ากัน ไม่มีใครดีกว่ากันเลย

นี่คือถ้อยคำพระเจ้า ที่เราควรจะยืนหยัดไว้ ซึ่งถ้าเรายังคงติดยึดอยู่กับประสบการณ์เหนือธรรมชาติ ไม่ธรรมดาในความรู้สึกและการสัมผัส แบบเหมือนเหนือธรรมดา ซึ่งเราเรียกว่าอัศจรรย์เหล่านี้ ติดยึดอยู่ และเชื่อว่าจะเกิดขึ้นอย่างนี้อยู่เรื่อยๆ ตลอด และไม่ได้เกิดกับเราได้อย่างเดียว สามารถเกิดกับคนอื่นได้อีกด้วย ไปหนุนใจคนอื่น บอกแสวงหาให้มันเกิดขึ้นอย่างนี้สิ มันก็จะเป็นอันตราย และถูกหลอกได้อย่างที่บอก โดยเราไม่รู้ว่าเราไปฆ่าเขาตายโดยทางอ้อมก็ได้

อันตรายอย่างไร? ยกตัวอย่าง นี่ก็เคยเกิดขึ้นเหมือนกัน สมมติ มีคนกำลังป่วย กำลังเครียด แล้วเห็นภาพว่าพระเยซูมาหา แล้วบอกเขาว่า …

“มาอยู่กับเราสิ (เรา หมายถึงพระเยซู) มาอยู่กับเราในโลกวิญญาณดีกว่า เปาโลยังบอกเลยว่าตายดีกว่าอยู่ สบายกว่ามาก”

ซึ่งถ้าเชื่อในความรู้สึกแบบนั้น ว่ามันเป็นจริง ตามที่เราได้เห็นภาพ ได้ยินเสียงเหล่านั้น แล้วมันจะเกิดอะไรขึ้น ท่านลองคิดดู คนที่กำลังเครียด ท้อแท้ กำลังซึมเศร้า  ในตอนนั้น ข่าวที่มีคนทำร้ายตัวเอง จากเรื่องแบบนี้ เราก็เคยได้ยิน ได้เห็นมาแล้ว เยอะมาก อย่างเช่นคนที่บอกว่า …

“ตอนที่ผมอธิษฐานอยู่ พระเยซูมาบอกตอนนี้เป็นยุคสุดท้ายแล้ว พรุ่งนี้  สิ้นเดือนนี้ มะรืนนี้ วันนี้ พระเยซูจะมารับแล้ว ตามที่สัญญาไว้ เตรียมให้พร้อม ใส่ชุดขาวให้หมด แล้วไปรวมกันที่ที่หนึ่ง”

แล้วก็ทำลายชีวิตตัวเอง เพราะพระเยซูมารับเรา  เราจะได้ไปอยู่ในสวรรค์ เพราะตอนนี้ยุคสุดท้ายแล้ว มองไปเห็นทุกแห่ง มีแต่ความลำบากลำบนหมด เคยเกิดขึ้นหลายครั้งแล้ว ก็เป็นอย่างนี้แหละ  พระเยซูจึงไม่ต้องการให้เราไปพึ่งพาสิ่งเหล่านี้ ซึ่งอาจถูกหลอก เกิดอันตรายต่อชีวิตเราได้ ผมลองคิดไปเรื่อยๆ ขนาดยารักษาโรคบางชนิด มีผลต่อความรู้สึกต่ออารมณ์และความคิด  และการสร้างภาพในสมอง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง พวกยาเสพติด เห็นชัดที่สุด แม้กระทั่งสารเคมีในร่างกาย ในสมอง ฮอร์โมน และอาหารการกิน ก็ยังมีผลต่อความรู้สึก ความคิด อารมณ์ สัมผัสในร่างกายนี้ได้เลย ท่านลองคิดดู แล้วท่านจะไปพึ่งพามันได้อย่างไร? เกิดอารมณ์ปรวนแปร เพราะฮอร์โมนเปลี่ยน ความรู้สึกต่างๆ มันก็เปลี่ยนไป เกิดป่วย ไปกินยาอะไร? ยาบางชนิดมีผลข้างเคียง ทำให้เห็นภาพหลอน มันก็เปลี่ยนไปแล้ว ท่านก็จะเขวไปเขวมา หวั่นไหวตลอดเวลา

ยกตัวอย่างอีกอันหนึ่งง่ายๆ อาหารการกิน อาหารบางอย่าง กินเข้าไปปวดท้อง พระเจ้าหนีไปแล้ว ตะกี้ยังรู้สึก พระเจ้าสถิตอยู่กับเรา กินอาหารเผ็ดๆ มากเกินไป สมมติท้องเสียขึ้นมา ความรู้สึกนั้นมันหายไปแล้ว

“พระเจ้าอยู่ไหน? ช่วยลูกด้วย ลูกท้องเสียไม่หยุดเลย”  เพราะอาหาร

ท่านจะไปยึดอยู่บนความรู้สึกท่านได้อย่างไร? หรือท่านอยากจะมีความรู้สึก วันนี้อธิษฐานไม่อินกับพระเจ้าเลย พระเจ้าคงไม่ฟัง ไม่พอ ต้องอธิษฐานมากกว่านี้ พออธิษฐานไป ง่วงนอน พระเจ้าไม่พอใจเลย เราอธิษฐานแล้วหลับ แสดงว่าไม่รัก พระเจ้าไม่อยู่ด้วย

เพราะฉะนั้น วิธีรักพระเจ้า ผมจะบอกให้นะ ถ้าใครเชื่อแบบนี้ ไม่ยากเลย ดื่มกาแฟเข้าไปเยอะๆ พระเจ้าจะรักท่านมากเลย เพราะท่านจะรู้สึกอินมากเลย ยิ้มแย้ม เพราะฤทธิ์ของกาแฟ มันทำให้ท่านตื่น ท่านอดนอนมาทั้งคืน ท่านอธิษฐาน แล้วง่วงนอน พระเจ้าไม่อยู่กับเราแล้ว ไม่ได้ฟังคำอธิษฐานของเรา พระคัมภีร์บอกพระองค์ทรงสถิตอยู่กับท่านตลอดเวลา ฟังคำอธิษฐานของท่านตลอดเวลา  ไม่อธิษฐานก็ฟังอยู่ เอเมนไหม? แล้วจะไปวางความไว้วางใจที่ไหน? ที่พระเจ้า หรือความรู้สึกของเราดี แค่กาแฟแก้วหนึ่ง ก็รู้สึกเปลี่ยนเลย คิดดูสิ

มันก็มีโอกาสถูกมารหลอกเต็มไปหมดเลย พระเจ้าจึงไม่ต้องการให้เรา เชื่อและวางใจในความรู้สึก ความนึกคิดแบบนี้ ไม่เชื่อและวางใจในสิ่งที่จับต้องมองเห็นได้อย่างนี้ ในสถานการณ์ต่างๆ บนโลกใบนี้  ไม่ว่ามันจะดีหรือจะร้ายก็ตาม พระเจ้าไม่ต้องการให้เราไปพึ่งพา หรือวางใจในสถานการณ์เหล่านี้เลยแม้แต่นิดเดียว โลกนี้มันเสียหายไปแล้ว มันวิปริตไปแล้ว มันเปลี่ยนแปลงไป  มันไม่แน่ไม่นอนเลย ท่านไปวางใจในนั้นเสร็จ แล้วมารทำงานอยู่บนโลกใบนี้อยู่ สามารถครอบงำ ทำให้เกิดการหลอกลวงได้เยอะแยะ อย่างที่ยกตัวอย่างไปเมื่อสักครู่นี้  แล้วท่านจะอยู่อย่างไร?

พระเยซูคริสต์จึงตรัสตรงนี้ไว้ว่าให้เราเชื่อในสิ่งที่มองไม่เห็น ให้เราเชื่อด้วยวิญญาณของเรา ในถ้อยคำของพระองค์  คือความจริงของพระองค์ที่ทรงพูดให้เราฟังบนนั้น ไม่มีการเปลี่ยนแปลง  ไม่มีใครมาทำอะไรเราได้เลยแม้แต่นิดเดียว ไม่หวั่นไหวเลย ถ้าเชื่อในวิญญาณ ในถ้อยคำของพระองค์เท่านั้น  เชื่อในถ้อยคำของพระเยซูที่พูดถึงเรื่องโลกวิญญาณ เกี่ยวกับเรา ที่ได้บังเกิดใหม่แล้วเท่านั้น ไม่ว่าจะมีความรู้สึกดีอย่างไร? หรือชื่นชมยินดีอย่างไร? หรือไม่ชื่นชมยินดีเลย ก็ตาม ไม่ว่ามันจะดีหรือร้าย  เราก็วางใจในถ้อยคำ ความเชื่อและวางใจในพระเจ้า จะไม่มีวันถดถอยลงเลย ถ้าเราวางใจและเชื่อแบบนี้ สถานการณ์รอบข้างจะเป็นเช่นไร? จะดีหรือร้าย เราจะกระทำดีได้มากหรือน้อยเพียงใดก็ตาม ไม่วางใจในมัน นี่แหละ เรียกว่าวางใจในพระเจ้า ไม่วางใจในการกระทำของตนเอง ไม่ว่าจะดีหรือร้ายก็ตาม ถ้าวางใจในการทำดี …

“วันนี้ทำดีมากเลย พระเจ้าคงจะพอใจในฉันมาก”

แล้วก็เตรียมตัวไว้เถอะ เพราะพรุ่งนี้ต้องทำดีมากขึ้นกว่านี้อีก และต้องทำดีมากขึ้นไปอีกทุกวันๆ เพราะจะให้พระเจ้าพอใจ แต่เมื่อวันหนึ่ง ทำไม่ได้ถึงตรงนั้น ก็จะมีความรู้สึก พระเจ้าไม่พอใจ และไม่พอใจไปเรื่อยๆ เพราะว่าทำดีไม่ได้ถึงขั้นโน้น  ที่เราคิดเอง เออเอง ในที่สุดกลับมาพึ่งพาตนเองอีกเหมือนเดิม  ทั้งๆ ที่มาพึ่งพระเยซู ได้บังเกิดใหม่แล้วก็ตาม

เพราะฉะนั้น ไม่ว่าสถานการณ์จะเป็นเช่นไร? เราจะทำได้ดีมากหรือน้อยเพียงไร การกระทำของเราจะเป็นเช่นไร? ความรู้สึกจะเป็นเช่นไร?

“ไม่รู้ล่ะ ฉันคงยึดมั่น เชื่อในคำพูดของพระเยซูคริสต์ ไม่หวั่นไหว”

ข่าวดีของพระเยซู ก็คือพระองค์เป็นพระบุตรของพระเจ้า  ที่ทรงประทานให้กับมนุษย์  มาเป็นพระผู้ช่วยให้รอด จากโทษของความบาป และเป็นทางที่มนุษย์จะเข้าไปอยู่ในสวรรค์กับพระเจ้าได้  พระองค์แบกรับเอาความบาปของมนุษย์ทั้งหมด ด้วยการตายที่ไม้กางเขน  ถูกฝังไว้ในอุโมงค์ เพื่อยืนยันการตาย และเป็นขึ้นจากความตาย ในวันที่ 3  … นี่พูดอย่างสรุปชัดๆ ง่ายๆ สั้นๆ … และใครที่ต้อนรับพระองค์ จะได้รับความรอด ได้รับการบังเกิดใหม่ เป็นลูกของพระเจ้า ผู้ใดที่เชื่อและเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ พระองค์จะให้เขาได้รับการบังเกิดใหม่ในวิญญาณ มาเป็นลูกของพระเจ้า ที่บริสุทธิ์สะอาด และเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์ในวิญญาณ พระองค์จะเข้ามาสถิตอยู่ในร่างกายของเขา ทั้งพระเจ้าพระบิดา  พระเจ้าพระบุตรพระเยซู  พระเจ้าพระวิญญาณบริสุทธิ์  3  พระภาค เข้ามาเป็นหนึ่งเดียวกันกับวิญญาณของเขา จะไปที่ไหนก็ตามไปกัน 4 วิญญาณนี่เลยแหละ

นี่คือสิ่งที่พระเยซูพูดเอาไว้  เรื่องเกี่ยวกับข่าวดีของพระเยซูคริสต์ ข่าวดีของพระเจ้า พระองค์คือของขวัญ  คือทางไปสู่สวรรค์ ที่พระเจ้าประทานให้กับมนุษย์ทั้งปวง

ข่าวดีเรื่องของความรอดของพระเยซูคริสต์ ไม่ใช่เป็นความรู้สึกหรืออารมณ์  ไม่เป็นเรื่องที่เกี่ยวกับสิ่งที่จับต้องมองเห็นได้เลย แม้แต่นิดเดียว  แต่เป็นเรื่องเกี่ยวกับความจริง รับรู้เรื่องเกี่ยวกับโลกวิญญาณ  เป็นฤทธิ์เดชอำนาจที่เกิดขึ้นในโลกวิญญาณ  เป็นฤทธิ์เดชอำนาจที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้น ในโลกวิญญาณ ที่ตามนุษย์มองไม่เห็น  ไม่สามารถสัมผัสได้  ไม่สามารถเข้าใจได้ ไม่สามารถจับต้องได้ ด้วยตา หู จมูก ลิ้น กาย และความคิดของมนุษย์ ไม่มีทาง นี่คือข่าวดีของพระเยซู

ข่าวดีเรื่องของพระเยซูคริสต์ ไม่ได้สัญญา รวมไปถึงเรื่องของความรู้สึก เรื่องอารมณ์และสิ่งที่จับต้องมองเห็นได้ แต่สัญญาเกี่ยวกับเรื่องของการเปลี่ยนแปลง ในโลกวิญญาณ  ความรู้เกี่ยวกับเรื่องโลกวิญญาณ ความรู้เรื่องเกี่ยวกับพระเจ้า ซึ่งพระองค์ทรงเป็นวิญญาณ เข้าไปหาพระองค์ ก็ต้องเข้าไปหาทางวิญญาณ  เชื่อด้วยวิญญาณ แล้วรู้ได้อย่างไร?  รู้ด้วยความจริงจากในวิญญาณ ก็เพราะว่าพระองค์ พระเยซูเล่าให้ฟัง ถึงเรื่องจริงเกี่ยวกับโลกวิญญาณ ให้เราฟัง ก็เชื่อตามนั้น แค่นั้น ไม่ใช่ความรู้สึก

อาจารย์เปาโลอธิษฐานให้กับผู้เชื่อใหม่ ก็อธิษฐานตามแนวที่พระเยซูคริสต์บอกเมื่อตะกี้นี้ว่าให้เชื่อในวิญญาณ ให้วางใจในพระองค์ แม้มองไม่เห็น ก็ตาม อาจารย์เปาโลอธิษฐานให้ผู้เชื่อใหม่ให้มีตาฝ่ายวิญญาณที่เปิดออกกว้างขึ้น เพื่อจะได้รับรู้ เรียนรู้ และเข้าใจ ถึงสิ่งที่เกินกว่าความคิดของมนุษย์ที่จะเข้าใจ ในเรื่องเกี่ยวกับโลกวิญญาณ ว่าเกิดอะไรขึ้นในโลกวิญญาณ เมื่อมนุษย์คนหนึ่ง เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ ข่าวดีของพระเยซู รับพระเยซูคริสต์มาเป็นพระผู้ช่วยให้รอด  เกิดอะไรขึ้นในโลกวิญญาณ เกิดการเปลี่ยนแปลงอะไร? เปาโลอยากให้เขาได้รู้สิ่งเหล่านี้ และให้เขาวางรากฐานของความเชื่อ  วางใจในพระเยซูคริสต์ด้วยความรู้เรื่อง ความจริงเหล่านี้ ในโลกวิญญาณ ลองมาฟังดูสิว่าอาจารย์เปาโลอธิษฐานว่าอย่างไร? เอเฟซัส 1:18 …

เอเฟซัส 1:18 “ข้าพเจ้ายังอธิษฐานขอพระเจ้า ให้ตาของวิญญาณ (ซึ่งเป็นตัวจริงๆ ของท่าน) สว่าง  เพื่อจะได้รับการสำแดงความรู้  จากพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า  เพื่อท่านจะได้รับรู้ถึงความหวัง และมีความมั่นใจ ในเรื่องเกี่ยวกับสวรรค์ของพระเจ้า ที่พระองค์ได้เรียกท่านเข้ามานั้น และรับรู้เรื่องมรดกที่เต็มไปด้วยสง่าราศี อันยิ่งใหญ่ รุ่งเรือง และมีค่าที่สุดของพระองค์ ที่ได้ทรงจัดเตรียมไว้ให้กับท่าน ผู้ซึ่งได้เป็นประชากรที่บริสุทธิ์ชอบธรรมของพระเจ้าแล้ว (โดยผ่านทางการเชื่อและการรับสิทธิ์ของท่าน  ที่พระเยซูได้ไถ่บาปให้)”

 

เปาโลไม่ได้อธิษฐานว่า … “ข้าพเจ้ายังอธิษฐานขอพระเจ้า ให้ท่านได้สัมผัสพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่ทรงสถิตอยู่กับท่าน ให้ท่านได้เห็นพระเยซูคริสต์มาเยี่ยมเยือนท่าน ให้ท่านมีความรู้สึกว่าพระเจ้าทรงอยู่ด้วยกันกับท่าน” เปล่าเลย …

“เพื่อว่าจะได้ให้ท่านมีความเชื่อในพระองค์มากขึ้น จากประสบการณ์ ที่ข้าพเจ้าอธิษฐานเหล่านั้น” เปล่าเลย …

“ข้าพเจ้ายังอธิษฐานให้ท่านได้รับการรักษาโรคอย่างอัศจรรย์ เพื่อท่านจะได้เชื่อในพระองค์มากขึ้น” เปล่าเลย  …

“ข้าพเจ้าอธิษฐานให้พระเจ้าทรงตอบคำอธิษฐานของท่านทุกครั้ง อย่างอัศจรรย์ เพื่อท่านจะได้มีความเชื่อมากขึ้น”

เปล่า ตลอดทุกครั้ง ที่เปาโลอธิษฐาน และพูดถึง

เปาโลจะพูดถึงเรื่องนี้ตลอด ซึ่งเหมือนกับที่พระเยซูคริสต์พูด เรื่องเกี่ยวกับโลกวิญญาณ ข่าวดีของพระเยซู เป็นเรื่องของโลกวิญญาณเท่านั้น

“ข้าพเจ้ายังอธิษฐานขอพระเจ้า  ให้ตาของวิญญาณ ซึ่งเป็นตัวจริงๆ ของท่านนั่นแหละ ซึ่งอยู่ภายในของท่าน มันสว่างออกมา ไม่ใช่ตาเนื้อ ตาร่างกายอย่างนี้ แต่ตาข้างใน ตาวิญญาณ เพื่อจะได้รับรู้ และการสำแดงความรู้จากพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า  ซึ่งสถิตอยู่กับท่านแล้ว เพื่อท่านจะได้รับรู้ถึงความหวัง และมีความมั่นใจในเรื่องเกี่ยวกับสวรรค์ของพระเจ้า  พระเจ้าเข้ามาอยู่ในตัวท่าน สวรรค์อยู่ในตัวท่านแล้ว  สวรรค์ล้อมรอบตัวท่านแล้ว สวรรค์มีไว้ เพื่อท่านจะอยู่อาศัยตลอดไป”

นี่คือความจริง เปาโลอยากให้รู้ วิธีรู้ คือให้ตาวิญญาณเปิดออกกว้างขึ้น โดยรับสติปัญญาจากพระเจ้า ให้รู้ว่าสง่าราศีของการเป็นลูกของพระเจ้ายิ่งใหญ่ขนาดไหน? มันเกิดขึ้นในวิญญาณของท่าน ให้ท่านรู้ว่าท่านเป็นประชากรของพระเจ้าที่บริสุทธิ์  ชอบธรรม เป็นลูกของพระเจ้า  ที่สะอาดหมดจด ไม่มีบาป หลงเหลืออยู่เลยแม้แต่นิดเดียว เพราะพระเยซูทำให้เรียบร้อยแล้ว ทางวิญญาณ  มาอ่านข้อ 19 และ 20 อธิษฐานอีกว่า …

เอเฟซัส 1:19-20 “19 เพื่อท่านจะได้เริ่มต้นเรียนรู้ถึง ฤทธิ์เดชอำนาจยิ่งใหญ่มหาศาล ที่ไม่มีขีดจำกัด และหาที่เปรียบไม่ได้ของพระเจ้า 20 ซึ่งเป็นฤทธิ์เดชอำนาจ พลังที่ยิ่งใหญ่มหาศาลทางฝ่ายวิญญาณ  ที่กระทำการงานอยู่ในวิญญาณของเรา  ผู้ซึ่งได้เชื่อและรับสิทธิ์ของเรา ที่พระเยซูได้ไถ่บาปให้ ซึ่งเป็นฤทธิ์เดชอำนาจ พลังที่ยิ่งใหญ่มหาศาลเดียวกันกับที่พระเจ้าได้กระทำในพระเยซู เมื่อตอนที่พระองค์ได้ชุบพระเยซู ให้เป็นขึ้นจากความตาย และได้แต่งตั้งให้พระเยซู นั่งอยู่ที่เบื้องขวาของพระองค์ ในย่านฟ้าอากาศ (สวรรค์) ต่างๆ ในโลกฝ่ายวิญญาณ”

 

อธิษฐานเพื่อท่านผู้เชื่อใหม่ทั้งหลาย จะได้เริ่มต้นเรียนรู้ถึงฤทธิ์เดชอำนาจอันยิ่งใหญ่มหาศาล ที่ไม่มีขีดจำกัดหาที่เปรียบไม่ได้ของพระเจ้า  ซึ่งไม่สามารถใช้แตะต้อง หรือรับรู้ได้ด้วยความคิดจิตใจของมนุษย์ แบบธรรมดา หรือจากตา หู จมูก ลิ้น กาย หรือความคิดที่จะสัมผัสได้ ไม่มีทางเข้าใจตรงนั้นได้  ซึ่งเป็นฤทธิ์เดชอำนาจ พลังอันยิ่งใหญ่มหาศาลทางฝ่ายวิญญาณ  ไม่ใช่เป็นฝ่ายความรู้สึกทางร่างกายนี้ ซึ่งฤทธิ์เดชอำนาจทางฝ่ายวิญญาณนี้ กำลังกระทำการงานอยู่ในวิญญาณของท่าน ผู้เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์แล้ว ฤทธิ์เดชอำนาจนั้น ตอนนี้กระทำการงานอยู่ในตัวท่าน กำลังทำอยู่  ท่านจะรู้หรือไม่รู้ สนใจหรือไม่สนใจ ตระหนักหรือไม่ตระหนัก ก็อยู่ในตัวผู้เชื่อทุกคนอยู่แล้ว

เปาโลบอกอยากให้ท่านเรียนรู้ จะได้รู้ว่าตรงนี้มันอยู่ในตัวท่านอยู่ “ท่าน” คือผู้เชื่อ  ผู้ที่ใช้สิทธิ์ของท่าน ที่พระเยซูทำให้ตายที่ไม้กางเขน  ผู้ที่ใช้สิทธิ เปิดใจต้อนรับพระเยซู เป็นพระผู้ช่วยให้รอด  เปิดใจให้พระเยซูเข้ามาสถิต  เปิดใจต้อนรับข่าวดีของพระเยซู คือต้อนรับว่าพระเยซูทำที่ไม้กางเขนนั้น สำเร็จเรียบร้อยไปแล้ว  ไถ่บาป  และเป็นขึ้นมาจากความตาย  ในวันที่ 3  ทำให้เราพ้นจากความตาย ทำให้มนุษย์ ทุกคนพ้นจากความบาป และมีโอกาสเป็นขึ้นจากความตาย ได้บังเกิดใหม่ ร่วมกับพระองค์ เชื่อว่าเป็นจริง ได้รับสิทธิของเขาว่ามันเป็นฉันด้วย ให้เขารับรู้สิ่งเหล่านี้

รับรู้ และเชื่อ ในความจริงเหล่านี้ คือถ้อยคำของพระเจ้า รับรู้ถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในโลกวิญญาณ อย่างนี้ ที่พระเจ้าอธิบายให้เราฟัง แล้วก็เชื่อฟัง ไม่ว่าจะสัมผัสอะไรได้หรือไม่ได้ ทางเนื้อหนังก็ตาม รับและเชื่อ ไม่ใช่ด้วยความรู้สึก  อารมณ์  หรือต้องมีหลักฐาน  คำพยานที่จับต้องมองเห็นได้  หรือเหตุผลแบบมนุษย์ว่าพระเยซูได้ทำให้เราแล้ว  บริสุทธิ์ สะอาด เป็นลูกของพระเจ้าแล้ว อยู่กับพระเจ้าในสวรรค์แล้ว พระวิญญาณบริสุทธิ์สถิตอยู่กับเรา ฤทธิ์เดชอำนาจยิ่งใหญ่นี้กระทำการงานอยู่ในเรา ผู้เชื่อทั้งหลาย ตอนนี้พระเจ้าสถิตอยู่กับเราแล้ว ทั้ง 3 พระภาค ไม่ต้องคำพยาน ไม่ต้องมีการจับต้องมองเห็นได้ เป็นต้น

นี่คือสาระสำคัญในการเชื่ออย่างที่ตาไม่เห็น บางครั้ง หลายท่านที่เป็นผู้เชื่อทั้งหลาย ผมก็เคยคิดอย่างนั้น การเป็นพยานในฝ่ายพระเยซูคริสต์ มันดี เป็นพยาน เพื่อให้มีคนมาเชื่อ แต่คิดให้ลึกๆ อีกครั้งหนึ่ง การเป็นพยาน ก็คือกำลังจะบอกว่าการมาเชื่อพระเยซู ต้องอาศัยความคิด สติปัญญา แบบมนุษย์จับต้องมองเห็น

ยกตัวอย่างเช่น เรามาเป็นพยาน เพราะพระเจ้ารักษาเราหายโรค เราจึงเชื่อในพระเจ้า และเปิดใจต้อนรับพระเยซู แล้วคนที่พระเจ้าไม่ได้รักษาเขาหายโรค แล้วเขาจะเปิดใจต้อนรับอย่างไร? แล้วทำไมถ้อยคำพระเจ้าในพระคัมภีร์ ไม่เห็นประกาศ ไม่เห็นบอกเลยว่าเปาโลออกไปประกาศว่า …

“จงมาเชื่อในพระองค์เถิด เพราะพระองค์ทรงรักษาข้าพเจ้าให้หาย จากตาบอด”

ทำไมเปาโลไม่ประกาศว่า … “ข้าพเจ้ามาเชื่อพระเจ้า เพราะว่าพระเจ้าได้ทำการอัศจรรย์ในชีวิตข้าพเจ้า ทำให้ข้าพเจ้าออกจากคุกได้”

หรืออะไรประมาณนั้น  ท่านเข้าใจใช่ไหมว่าบางครั้งเราไปนึกถึงคำพยานมากจนเกินไป ไม่ใช่ต่อต้านคำพยาน ถ้าคำพยานตรงกับถ้อยคำพระเจ้า ในพระคัมภีร์ มันก็โอเค แต่ต้องระมัดระวังคำพยานที่ไปอ้างถึงตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ และความคิดของมนุษย์ที่สามารถรู้สึกและสัมผัสได้ ให้เราเอียงไปตรงโน้น

แล้วบางครั้งพระเจ้า ก็สามารถใช้ตรงนั้น ให้คนนั้นมาเชื่อพระเจ้าได้เหมือนกัน แต่มิได้หมายถึงมันถูกหลักตามข้อพระคัมภีร์ ประกาศข่าวดีของพระเจ้า  ด้วยฤทธิ์เดชอำนาจ แห่งถ้อยคำพระเจ้าเพียวๆ เท่านั้น คือพระเยซูคริสต์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอด ตายที่ไม้กางเขน  ถูกฝังไว้ในอุโมงค์ และเป็นขึ้นมาจากความตาย ในวันที่ 3

นี่คือหัวใจของการประกาศข่าวประเสริฐ ที่เปาโลบอกไว้  พระเยซูคริสต์เป็นพระบุตรของพระเจ้า ที่มาตายที่ไม้กางเขนจริงๆ ถูกฝังไว้จริงๆ และเป็นขึ้นจากความตายจริงๆ หัวใจของข่าวประเสริฐอยู่ตรงนี้ หัวใจของข่าวประเสริฐไม่ได้อยู่ตรงที่ท่านจะร่ำรวย ทรัพย์สินเงินทอง ท่านจะหายจากอาการเจ็บป่วย ปัญหาต่างๆ ที่ท่านเผชิญอยู่ จะอันตรธานหายไป พระเจ้าจะทำการอัศจรรย์ เมื่อท่านต้อนรับข่าวดี  ไม่ใช่ตรงนั้น

ตัวอย่างเช่น สถานการณ์รอบข้างที่เห็นอยู่จะเป็นเช่นไร? สถานการณ์โควิด-19  หนึ่งปีมาแล้ว และไม่รู้ว่าจะอีกกี่ปี กระทบถึงชีวิตของเราเยอะแยะมากมาย บางคนมาก บางคนน้อยก็ตาม   แต่ไม่ว่าสถานการณ์นี้ จะเป็นเช่นไร? จะดีขึ้น หรือไม่ดีขึ้น  จะเลวร้ายขนาดไหนก็ตาม  ความรู้สึกและอารมณ์ จากผลกระทบของโควิดนี้จะเป็นอย่างไรก็ตาม จะหงุดหงิด จะเครียด จะกลัว จะหดหู่ ท้อแท้ก็ตาม ฉันรับรู้ และเชื่อในถ้อยคำของพระเจ้าว่าพระเจ้าทรงสถิตอยู่กับฉัน อยู่ในฉัน ล้อมรอบฉัน อยู่เพื่อฉัน  โอบกอดฉัน ทรงรักฉันอยู่ตลอดเวลา

อยู่เพื่อฉัน แล้วทำไมเหตุการณ์ของฉัน มันไม่ดีขึ้นเลย งานการของฉัน ปีหนึ่งแล้ว ไม่เห็นดีขึ้น ไม่รู้ อันนั้นไม่เกี่ยวกัน คนละเรื่องกัน เดี๋ยวพระเจ้าพาเราผ่านเอง

พอเข้าใจใช่ไหมครับ … การทรงสถิตของพระเจ้า การบังเกิดใหม่  ได้รับความรอดในพระเยซูคริสต์ ไม่ได้มีพยานยืนยัน โดยสิ่งที่เกิดขึ้น ในสถานการณ์รอบข้างที่มันดีขึ้น ไม่ใช่ ถ้ามันดีขึ้น ตามถ้อยคำพระเจ้า เราก็ขอบคุณพระเจ้า ถ้าไม่ดีขึ้น  เราก็เศร้า ธรรมดา แล้วก็คร่ำครวญกับพระเจ้าต่อไป ลูกทุกข์ใจ แต่คร่ำครวญเหล่านั้น อยู่บนพื้นฐานของการรับรู้ และเชื่อว่าพระเจ้าทรงอยู่ด้วย  ไม่เคยทอดทิ้งเราเลย อยู่กับเราตลอดเวลา  ไม่ว่าจะทุกข์ขนาดไหน ก็อยู่กับเราตลอดเวลา กำลังนำพาเราเดินผ่านความทุกข์ยากลำบาก  ซึ่งแต่ละคนไม่เหมือนกัน  เอเมน มันต้องเป็นอย่างนี้

แล้วลองคิดดูนะครับ ถ้าเราเชื่อแบบนี้ บนพื้นฐานของความจริง ในข่าวประเสริฐของพระเยซู ตามถ้อยคำพระเจ้าเป๊ะอย่างนี้เลย  ไม่ว่าสถานการณ์จะเป็นเช่นไร เราก็เชื่ออย่างนี้ว่าพระเจ้าทรงสถิตอยู่กับเรา  ต่อให้เราทำสิ่งที่ดูเหมือนไม่ดี ในขณะนี้ ต่อให้เราเกลียดคนนี้ ทนไม่ไหว ไปด่าว่าคนนี้ อย่างรุนแรง หรือทนไม่ไหว ไปโลภ เพราะว่าทนสถานการณ์ไม่ไหว  เราก็รับรู้ เราก็เชื่อว่าพระเจ้าทรงสถิตอยู่กับเราตอนนี้เหมือนเดิม ไม่ได้ไปไหนเลย

ถ้าเราเชื่ออย่างนี้  เราก็จะไม่อธิษฐาน ขอการทรงสถิตของพระเจ้าเข้ามาในชีวิต เข้ามาในการกระทำการงานต่างๆ ในการดำเนินชีวิตของเราแต่ละครั้ง  เราก็จะไม่หวั่นไหว ถามพระเจ้าว่า …

“พระองค์ยังรักข้าพระองค์อยู่หรือเปล่า? ข้าพระองค์ทำตัวอย่างนี้ พระองค์อยู่ที่นี่หรือเปล่า? ทอดทิ้งลูกหรือไม่? หรือว่าลูกทำอะไรไม่ดี สงสัยเลยทอดทิ้งลูกไป”

เราจะไม่อธิษฐานแบบนี้ ในขณะที่เราเผชิญกับอุปสรรคปัญหาต่างๆ ซึ่งเป็นเรื่องสัจจะธรรมของโลกใบนี้ ซึ่งมันทุกข์ยากลำบาก  เราก็ไม่มาระแวงพระเจ้าว่าพระเจ้าหายไปแล้ว เราทำอะไรผิดมั้ง เราก็ไม่ระแวงถึงสิ่งเหล่านี้ เราก็จะไม่หวั่นไหว เราก็จะไม่อธิษฐานขอการทรงสถิตของพระเจ้า  เพราะเรารู้ว่าพระเจ้าสถิตอยู่กับเรา แทนที่จะอธิษฐานขอการทรงสถิตอยู่ของพระเจ้า เราขอบคุณพระเจ้า  เพราะเรารู้ว่าพระเจ้าสถิตอยู่กับเราแล้ว อยู่กับเราตลอดเวลา สถานการณ์จะเป็นเช่นนี้ แต่พระเจ้าก็อยู่กับเรา ไม่ใช่สถานการณ์เช่นนี้ พระเจ้าอาจจะไม่อยู่กับเรา เราต้องขอพระเจ้าอย่าหนีเราไป กลับมาอยู่กับเรา มันไม่ตรงตามถ้อยคำพระเจ้า ซึ่งเป็นอันตรายต่อชีวิต ความเชื่อของเรา เราจะไม่มีสันติสุข  ไม่มีความสุข  ซึ่งพระเจ้าไม่อยากให้มันเป็นอย่างนั้นนั่นเอง

แต่ถ้าเราเชื่อตามถ้อยคำพระเจ้าจริงๆ เราก็จะมีความมั่นคงในความเชื่อ ในความรอดในพระเยซูคริสต์ ในการอยู่ในสวรรค์กับพระเจ้าแล้วเดี๋ยวนี้ ทันที เมื่อเราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ พระเจ้าเข้ามาอยู่กับเรา เราอยู่ในสวรรค์กับพระเจ้า และจะอยู่ที่นี่ อย่างนี้ไปจนถึงนิรันดร์ หลังความตายเลยทีเดียว  เราก็จะเชื่ออย่างนี้ มั่นคง ไม่หวั่นไหว ไม่ว่าจะรู้สึกหรือไม่รู้สึก ไม่ว่าจะเห็นหรือไม่เห็น  ไม่ว่าความคิดเป็นอย่างไรก็ตาม แต่ในใจเราเชื่อบนฐานของถ้อยคำพระเจ้าเหล่านี้ เราก็จะดำเนินชีวิตหลังการเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอด คือหลังการเป็นคริสเตียน ด้วยสันติสุข หายเหนื่อยและเป็นสุข หยุดแสวงหาสิ่งอื่นใดทั้งปวงเลย ไม่ต้องหาอะไรมาเพิ่มเติม เพราะรู้แล้วว่ามีอยู่แล้ว ไม่ต้องแสวงหาความรู้สึก อารมณ์ การทรงสถิตของพระเจ้าอีกต่อไป เพราะพบแล้ว เจอแล้ว จะไปแสวงหาอยู่อีกทำไมเล่า

บางคนเขาก็เอาถ้อยคำพระเจ้าบอกว่าพระเยซูยังบอกให้แสวงหาแผ่นดินของพระเจ้า นั่นมันพูดตอนที่พระองค์ยังไม่ตายที่ไม้กางเขน ยังไม่เป็นขึ้นจากความตาย สวรรค์ยังไม่ลงมา พระองค์บอกว่ากำลังจะลงมา ให้เราเตรียมแสวงหาไว้ แล้วเราจะพบเมื่อพระองค์ทรงเป็นขึ้นจากความตาย นั่นแหละ ผู้เชื่อ คือเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เขาแสวงหา เขาได้พบพระเยซูแล้ว รับพระเยซู ก็จบการแสวงหา เพราะพบแล้ว จะไปแสวงหาอีกทำไมเล่า เจอแล้ว ขอบคุณพระเจ้า ดีใจจัง มันควรจะเป็นอย่างนั้น ถูกหรือไม่?

ถ้อยคำพระเจ้าบอกว่าเราเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเจ้า พระเจ้าทั้ง 3 พระภาคอยู่กับเรา เป็นหนึ่งเดียวกัน พระองค์ไม่เคยทอดทิ้ง และอยู่กับเราตลอดไป นิรันดร์ นี่คือถ้อยคำพระเจ้า ควรจะยืนบนฐานนี้ และหน้าที่ของเรา มีนิดเดียวเอง คือรับรู้ความจริงจากถ้อยคำพระเจ้า  และเปลี่ยนแปลงความคิดจิตใจของเราเสียใหม่ ไม่พึ่งพาความรอบรู้ของตนเอง แต่พึ่งพาในถ้อยคำของพระองค์ ในทางของพระองค์ คือทางของพระเยซูเพียงอย่างเดียว นำข้อมูลใหม่นี้ บนพื้นฐานความจริงของถ้อยคำพระเจ้านี้ เข้าไปในวิญญาณ  ในความคิดของเรา  เปลี่ยนแปลงความคิดของเรา ด้วยการตาดู หูฟัง ปากพูดถึงเรื่องความจริงเหล่านี้ตลอดเวลา คือถ้อยคำพระเจ้าเหล่านี้ตลอดเวลา เท่าที่ทำได้

อะไรที่มันไม่ใช่ มันขัดแย้งกับถ้อยคำพระเจ้าเหล่านี้ อย่าไปฟัง อย่าไปดู อย่าไปพูด อย่าไปคิดคร่ำครวญ อย่าไปแสวงหาให้มันรกสมองเปล่าๆ อะไรที่เป็นถ้อยคำพระเจ้าเหล่านี้ ถึงแม้สถานการณ์ หรือความรู้สึกมันจะแย้ง แต่มันเป็นถ้อยคำพระเจ้า ตาดู หูฟัง ปากพูดไปเรื่อยๆ ให้มันล้างสมองตัวเอง จากความคิดเก่าๆ ซะ

นี่คือหน้าที่ของเรา รับรู้ความจริงนี้ แล้วก็ใส่ลงไปในความคิดของเรา ให้มันมีระบบใหม่เข้าไป แทนที่จะอธิษฐานแสวงหาสิ่งที่จับต้องมองเห็นได้ หรือแสวงหาสิ่งที่เป็นความรู้สึก อารมณ์ สัมผัสได้ แต่เปาโลอธิษฐานให้กับผู้เชื่อ มีความเข้าใจมากขึ้น เกี่ยวกับความรักของพระเจ้าในพระเยซูคริสต์ เกี่ยวกับการทรงสถิตของพระเจ้า ให้รู้จักมากขึ้น และให้รู้ลึกซึ้งขึ้นว่าพระเยซูคริสต์ทรงสถิตภายในท่าน และท่านอยู่กับพระเยซู ท่านกับพระเยซูเป็นหนึ่งเดียวกัน  เราควรที่จะอยากรู้ตรงนี้มากๆ เกี่ยวกับโลกวิญญาณทั้งสิ้น

หยุดการแสวงหาอะไรก็ตาม เพิ่มเติมในโลกวัตถุ สิ่งที่จับต้องมองเห็นได้ หยุดการแสวงหา แล้วเราเจอสวรรค์แล้ว เราไม่ต้องไปแสวงหาสวรรค์อีกต่อไปแล้ว แต่จงแสวงหาที่จะรับรู้ความจริง  ในเรื่องโลกวิญญาณ จากถ้อยคำพระเจ้า สิ่งที่พระเยซูคริสต์ได้ทรงกระทำให้กับเราเรียบร้อยไปแล้ว ในชีวิต ในวิญญาณของเรา ไม่ได้แสวงหา เราควรจะรับรู้สิ่งเหล่านี้  มันเจอแล้ว เราควรจะรับรู้ว่าเรามีแล้ว เราควรจะมีความพึงพอใจ มีความปิติยินดีในสิ่งที่เรามีอยู่แล้วตอนนี้ จะไปหาอะไรกับสิ่งที่เราไม่มี พระองค์ไม่ได้สัญญาสิ่งเหล่านั้น  วัตถุ สิ่งที่จับต้องมองเห็นได้ การดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ก็อย่าไปหามัน อย่าไปรับรู้มัน มารับรู้สิ่งที่พระองค์ทรงให้แล้วในโลกฝ่ายวิญญาณ  พระพรนานับประการในฝ่ายวิญญาณที่พระองค์ทรงประทานให้กับเราเรียบร้อยไปแล้วในสวรรค์สถาน พระคัมภีร์พูดไว้อย่างนั้น

พระองค์บอกว่าพระองค์ทำให้สำเร็จแล้ว เราก็ไม่ต้องทำอะไรเพิ่มเติม เพราะมันจบแล้ว มันสำเร็จครบถ้วนบริบูรณ์แล้ว จงเชื่อฟัง วางใจ และพักสงบเถิดพี่น้อง ผู้เชื่อทั้งหลาย ให้พระองค์ทรงนำเราไป

พระเยซูบอกว่า … “พระพร และความสุข จงมีแด่ผู้ที่ไม่เคยเห็นพระองค์ แต่ก็ยังเชื่อ และวางใจในพระองค์”

“พระพรและความสุข จงมีแด่ผู้ที่ไม่เคยสัมผัส ทั้งตา หู จมูก ลิ้น กายและความคิด เรื่องข่าวดีของพระเยซูเลย แต่ก็ยังคงเชื่อและวางใจในถ้อยคำของพระเยซูคริสต์ ในข่าวดีของพระองค์ ที่พระองค์บอกพระองค์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด  ที่พระเจ้าทรงประทานให้กับมนุษย์ทั้งหลาย รวมทั้งฉันด้วย  และฉันเชื่อว่าฉันเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์แล้ว  ตอนนี้ถ้อยคำพระเจ้าบอกว่าเมื่อฉันเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เข้ามาอยู่ในฉัน  พระองค์ทรงเป็นอิมมานูเอลในชีวิตของฉัน ซึ่งหมายความว่าเมื่อฉันเปิดใจต้อนรับพระเยซูแล้ว พระเยซูมาอยู่กับฉัน พระเยซูล้อมรอบตัวฉัน พระเยซูอยู่ในฉัน เป็นวิญญาณเดียวกันกับฉัน พระเยซูอยู่เพื่อฉัน และฉันอยู่เพื่อพระเยซู และฉันอยู่ในพระเยซู และฉันรักพระเยซู และพระเยซูรักฉัน พระเยซูโอบกอดฉัน และฉันโอบกอดพระเยซู ไม่มีวันไปไหนเลย  เป็นอย่างนี้ตลอดชั่วนิรันดร์ ไม่ว่าสถานการณ์ที่จับต้องมองเห็นได้บนโลกใบนี้ หรือความคิดของฉันจะคิดอะไรก็ตามที่ตรงกันข้ามกับตรงนี้  ฉันไม่เชื่อทั้งสิ้น ฉันเชื่อในถ้อยคำพระเจ้าที่พูดไปเมื่อสักครู่นี้ทั้งหมด เอเมน”

พระเจ้าอวยพรครับ

 

*************************

 

 

 

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 17 มกราคม 2021 เรื่อง “อย่ากลัวเลย” ตอน 46 โดย วราพร คงล้วน

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  17  มกราคม  2021

 เรื่อง “อย่ากลัวเลย”  ตอน 46

โดย วราพร  คงล้วน

 

วันนี้เรามาต่อในหนังสือลูกา บทที่ 1 พูดถึงพระสัญญาที่พระเจ้ามีอยู่เหนือชีวิตของพวกเรา ที่จะประทานพระผู้ช่วยให้รอดให้กับพวกเรา เราก็เรียนถึงตอนที่ปุโรหิตเศคาริยาห์เข้าไปถวายเครื่องบูชา ในสถานที่อภิสุทธิสถาน แล้วทูตสวรรค์ของพระเจ้า มาพบเศคาริยาห์ แล้วบอกกับเขาว่านางเอลีซาเบธจะตั้งครรภ์  แต่เศคาริยาห์เกิดความสังสัย …

“มันจะเป็นไปได้อย่างไร? นางเอลีซาเบธอายุเยอะมากเลย จะตั้งครรภ์ได้อย่างไร?”

ทูตสวรรค์ก็บอกว่า … “เพราะว่าเจ้าไม่เชื่อ จึงเป็นใบ้”

พอออกจากที่ถวายเครื่องบูชา เศคาริยาห์ก็ไม่สามารถที่จะพูดได้ คนอื่นเขาก็สงสัยว่าต้องมีอะไรแน่ๆ แต่ก็ยังคงอยู่ในความสงสัยอยู่ แล้วทุกคนก็ต่างคนต่างแยกย้ายกันกลับบ้าน วันนี้เรามาต่อในลูกา 1:24

ลูกา 1:24-25 “24 ภายหลังนางเอลีซาเบธภรรยาของท่านก็ตั้งครรภ์ แล้วไปซ่อนตัวอยู่ห้าเดือนพูดว่า 25 “พระเจ้าได้ทรงกระทำเช่นนี้แก่ข้าพเจ้า ในวันที่พระองค์ได้ทอดพระเนตร เพื่อความอดสูของข้าพเจ้าที่มีอยู่ท่ามกลางคนทั้งปวงจะหมดสิ้นไปเสีย”

 

สมัยก่อนคนที่เป็นหมัน เขาถือว่าเป็นคนที่ถูกสาปแช่ง ตอนที่กษัตริย์ดาวิดเอาหีบพันธสัญญาเข้าไปที่เมืองดาวิด แล้วก็เต้นโลดสรรเสริญพระเจ้า มีคาห์ก็ดูหมิ่นดาวิดว่า …

“ทำอย่างนั้นได้อย่างไร? เป็นกษัตริย์ไปแก้ผ้ารำอยู่หน้าถนนได้อย่างไร?”

กษัตริย์ดาวิดบอกว่า … “ทำให้เยอะกว่านี้ ฉันก็จะทำ”

แล้วหลังจากนั้น มีคาห์ก็เป็นหมัน ฉะนั้น การเป็นหมันสมัยก่อน ถือว่าเป็นการถูกสาปแช่ง

หลังจากที่ทูตสวรรค์บอกกับเศคาริยาห์ นางเอลีซาเบธตั้งครรภ์จริงๆ นางก็ไปซ่อนตัว แล้วนางเอลีซาเบธบอกว่าพระเจ้าได้ทำการอัศจรรย์ คือทำอย่างนี้  ทำให้ความอับอายขายหน้าที่เขาเคยมี ได้หมดสิ้นไป เมื่อนางเอลีซาเบธตั้งครรภ์

ลูกา 1:26-27 “26 เมื่อถึงเดือนที่หก พระเจ้าทรงใช้ทูตสวรรค์กาเบรียลนั้น ให้มายังเมืองหนึ่ง ในแคว้นกาลิลี ชื่อนาซาเร็ธ 27 มาถึงหญิงพรหมจารีคนหนึ่ง ที่ได้หมั้นกันไว้กับชายคนหนึ่งที่ชื่อโยเซฟ เป็นคนในเชื้อวงศ์ดาวิด หญิงพรหมจารีนั้นชื่อมารีย์”

 

พระเจ้าได้กำหนด หรือเตรียมการไว้สำหรับมนุษยชาติ ตั้งแต่วันที่มนุษย์ล้มลงในความบาป  พระเจ้าบอกว่าจะประทานพระผู้ช่วยให้รอดให้กับมนุษยชาติ คนอิสราเอล ก็รอคอยพระผู้ช่วยให้รอด พระเจ้าก็เตรียมมาตลอด ตั้งแต่ยุคสมัยอาดัม เอวา มาเรื่อยๆ ที่บอกว่าพระผู้ช่วยให้รอดจะมาเกิด เพื่อชนชาติอิสราเอล ตอนนั้นมีแต่ชนชาติอิสราเอล ยังไม่มาถึงคนต่างชาติอย่างพวกเรา  แล้วคนอิสราเอลก็ตั้งตารอคอยว่า …

“เมื่อไรน๊า พระเจ้าจะส่งพระมาซีฮาห์มาให้”

คนแล้วคนเล่าๆ ก็ถูกส่งมา ผู้เผยพระวจนะต่างๆ ก็ถูกส่งมา คนอิสราเอลก็คาดการณ์ว่าคนนี้น่าจะใช่ คนนั้นน่าจะใช่  แต่ว่าแต่ละคนก็ตายจากไป ตายแล้วตายเลยนะ ก็ยังไม่ใช่ จนถึงวันหนึ่ง ในยุค 2,000 ปีที่แล้ว ตามกำหนดเวลาของพระเจ้า พระเจ้าเตรียมการยาวนานมาก  ให้เหตุการณ์ต่างๆ เกิดขึ้นตามกำหนดที่พระเจ้าได้ทรงตั้งไว้ แล้วพระเจ้าก็บอกว่าพระเยซูคริสต์จะมาเกิดในวงศ์วานของดาวิด จนถึงเวลานี้ พระเจ้าก็บอกว่าสมควรแก่เวลาแล้ว พระเจ้าก็มาหาหญิงพรหมจารี ซึ่งพระเจ้าบอกไว้แล้ว ตั้งแต่ปฐมกาล บทที่ 3 ว่า …

“พงศ์พันธุ์ของหญิงจะทำให้หัวของเจ้าแหลก”

นี่คือคำพยากรณ์ ที่พระเจ้าบอกกับงูว่า … “เพราะเหตุเจ้ามาล่อลวงให้อาดัม-เอวาหลงไป ฉะนั้น ในอนาคตข้างหน้า พระเจ้าจะประทานพงศ์พันธุ์ของหญิง มาเหยียบหัวของเจ้าให้แหลกไปเลย”

ฉะนั้น สิ่งที่พระเจ้าได้พยากรณ์ไว้ ก็ได้เกิดผลสำเร็จ เมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว พระเจ้าก็มาหาหญิงพรหมจารี ซึ่งโดยปกติ เด็กที่จะเกิดมา ก็ต้องเกิดจากคุณพ่อ-คุณแม่ เกิดจากการมีเพศสัมพันธ์ เชื้อสายพวกนี้ คือเชื้อบาปทั้งนั้นเลย ก็คือยังไม่มีมนุษย์คนไหนสามารถคลอดออกมา บริสุทธิ์สะอาดหมดจด คือทุกคนเป็นคนบาปหมดเลย

พระเจ้าจึงเลือกหญิงพรหมจารีคนหนึ่ง เพื่อให้พระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้าเข้ามาจุติในครรภ์ของเธอ ฉะนั้น ครรภ์ของหญิงพรหมจารีคนนี้ ก็คือบริสุทธิ์ สะอาด ไม่มีเจือปนเชื้อบาปใดๆ เลย ซึ่งพระเจ้าได้เลือกสรรแล้ว ผู้หญิงคนนี้ชื่อนางมารีย์  ซึ่งเราเชื่อมั่นว่าพระเจ้าเตรียมการไว้อย่างดี ในขณะที่พระเจ้าให้ทูตสวรรค์มาหานางมารีย์ เพราะรู้ว่านางมารีย์มีความเชื่อ ที่จะยอมทำตามสิ่งที่พระเจ้าบอก ต้องมีการทำงานร่วมกัน  เราจะเห็นภาพที่พระเจ้าทำมาตลอด พระเจ้าไม่เคยบีบบังคับว่า …

“นางมารีย์ต้องเชื่อนะ ต้องทำตามนี้นะ ฉันเลือกเธอแล้ว เธอปฏิเสธไม่ได้”

ไม่ … ไม่ได้เป็นแบบนั้น พระเจ้ารู้อยู่ตั้งแต่เริ่มต้นแล้วว่าถ้าพระองค์มาบอกกับนางมารีย์ … นางมารีย์จะเต็มอกเต็มใจ ที่จะเป็นเครื่องมือ เครื่องไม้ของพระองค์ เต็มใจที่จะทำให้น้ำพระทัยของพระเจ้าสำเร็จ

ลูกา 1:28 “ทูตสวรรค์เข้าบ้านมาถึงหญิงพรหมจารีนั้น แล้วว่า “เธอผู้ซึ่งพระเจ้าทรงโปรดปรานมาก จงจำเริญเถิด พระเป็นเจ้าทรงสถิตอยู่กับเธอ”

 

มาถึงทูตสวรรค์ก็คุยกับมารีย์เลย บอกว่า …

“เธอเป็นคนที่พระเจ้าโปรดปรานมากเลย พระเจ้าเลือกไว้ เฉพาะเจาะจงที่จะให้ทำงานนี้  มันเป็นงานใหญ่มากเลย ที่จะให้พระเยซูคริสต์ พระผู้ช่วยให้รอด  มากำเนิดในครรภ์ของเธอ”

บอกกับมารีย์อีกว่าพระเจ้าทรงสถิตอยู่กับเธอ สมัยก่อนที่พระเยซูคริสต์จะมาเกิด เป็นมนุษย์ มาสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน  และเป็นขึ้นมาจากความตาย พระเจ้าไม่ได้อยู่ในมนุษย์ตลอดเวลา ก็คือเป็นจังหวะ ที่พระเจ้าจะใช้งานใคร? พระองค์ก็จะสถิตอยู่กับคนนั้น เหมือนตอนพระคัมภีร์เดิม ไม่ว่าจะเป็นโยชูวา โมเสส อาโรน ดาวิด พระเจ้าจะสถิตอยู่กับคนๆ นั้น เมื่อพระองค์ต้องการใช้งานเขา  ฉะนั้น ณ เวลานี้ พระเจ้าก็มาสถิตอยู่กับนางมารีย์

ลูกา 1:29 “ฝ่ายมารีย์ก็ตกใจเพราะคำของทูตนั้น และรำพึงว่า คำทักทายนั้นจะหมายว่าอะไร”

 

อยู่ดีๆ มีทูตสวรรค์มาคุยกับเรา …

“เธอเป็นคนที่พระเจ้าโปรดปราน”

ต่อให้เชื่อพระเจ้าขนาดไหน ก็มีความตกใจ นางมารีย์ก็เหมือนกัน เป็นมนุษย์ทั่วไป พอเจอคำทักทายแบบนี้ ตกใจเหมือนกัน แล้วก็คิดในใจ …

“มันคืออะไร? ทูตสวรรค์หมายความว่าอะไร? อยู่ดีๆ มาพูดกับฉันแบบนี้ทำไม?” อะไรอย่างนี้

ลูกา 1:30-31 “30 แล้วทูตสวรรค์จึงกล่าวแก่เธอว่า “มารีย์เอ๋ย อย่ากลัวเลย เพราะเธอเป็นที่พระเจ้าทรงโปรดปรานแล้ว 31 ดูเถิด เธอจะตั้งครรภ์และคลอดบุตรชาย จงตั้งชื่อบุตรนั้นว่าเยซู”

 

ทูตสวรรค์บอกเสร็จสรรพเลย นางมารีย์ไม่ต้องมาคิดตั้งชื่อ ถ้าลูกออกมาจะชื่ออะไร? ทูตสวรรค์บอกกับมารีย์ว่า …

“ไม่ต้องกลัวนะ นี่เป็นน้ำพระทัยของพระเจ้า เป็นสิ่งที่พระเจ้าเลือกสรรแล้ว และเห็นว่าเธอเป็นคนที่เหมาะสม สมควรมาก ที่จะให้พระเยซูคริสต์มาเกิดในครรภ์ของเธอ เมื่อเธอตั้งครรภ์ และคลอดบุตร บุตรคนนี้ให้ตั้งชื่อเลยว่าเยซู”

คำว่า “เยซู” แปลว่า “พระผู้ช่วยให้รอด”  และทุกวันนี้ที่เราเรียกว่า “พระเยซูคริสต์”  คำว่า “คริสต์” คือ “ผู้ที่ถูกเจิมตั้งไว้”

ในสมัยอดีตมีคนชื่อเยซูเยอะแยะมากมาย ก็เหมือนกับเราตั้งชื่อธรรมดา อย่างโยชูวา ก็แปลว่าผู้ช่วยให้รอด  อย่างเราตั้งชื่อสมชาย, สมหญิง อะไรต่างๆ มีชื่อเหมือนกัน บางคนทั้งชื่อและนามสกุลเหมือนกันด้วย แต่เป็นคนละคน ฉะนั้น เราอ่านพระคัมภีร์ใหม่ เราจะเห็นว่ามีคนชื่อเยซูเหมือนกันเยอะ แต่ถ้าเป็นพระเยซู ผู้ที่พระเจ้าเจิมตั้งไว้ เขาจะเติมคำว่า “คริสต์” พระเยซูคริสต์

ลูกา 1:32 “บุตรนั้นจะเป็นใหญ่ และจะทรงเรียกว่าเป็นบุตรของพระเจ้าสูงสุด พระเจ้าจะทรงประทานพระที่นั่งของดาวิดบรรพบุรุษของท่านให้แก่ท่าน”

 

เป็นคำพยากรณ์ที่พระเจ้าได้บอกให้ทูตสวรรค์บอกกับมารีย์ว่าคนนี้จะเป็นใหญ่ ในอนาคตข้างหน้า ซึ่งเราก็รับรู้ในเรื่องราวเหล่านี้มามากพอสมควรว่าพระเยซูคริสต์ ถูกพระเจ้าส่งมา เพื่อที่จะทำการงานใหญ่ให้กับมนุษยชาติ  คือมาสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน  และเป็นขึ้นมาจากความตาย  เพื่อชดใช้ความบาปของมนุษยชาติ เพื่อทำให้มนุษย์กับพระเจ้าสามารถคืนดีกันได้

นี่คืองานที่พระเยซูถูกมอบหมายมา พระคัมภีร์บอกว่า … “บุตรนั้นจะเป็นใหญ่” … “ใหญ่” ในที่นี้ที่พระเจ้าพูดถึง คือในโลกฝ่ายวิญญาณ พระเยซูถูกยกขึ้นสูงสุดเลย นั่งอยู่ที่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้า และฤทธานุภาพทั้งสิ้น พระคัมภีร์บอก ทั้งบนสวรรค์ บนแผ่นดินโลก ใต้พื้นแผ่นดินโลก พระเจ้าได้ยกให้กับพระเยซูแล้ว หลังจากที่พระเยซูคริสต์ได้ประกอบภารกิจที่พระเจ้าได้มอบหมาย สำเร็จ

ตอนที่พระเยซูเป็นขึ้นมาจากความตาย อยู่กับสาวก 40 วัน พอวันที่พระเยซูถูกรับขึ้นไป พระเยซูก็บอกกับสาวกของพระองค์ว่าฤทธานุภาพทั้งหมด พระเจ้ามอบให้กับพระเยซูคริสต์แล้ว เหตุฉะนั้น ให้ออกไปประกาศข่าวประเสริฐ คือประกาศข่าวดี เรื่องของพระเยซูคริสต์ ที่เราประกาศจนถึงทุกวันนี้ 2,000 ปีผ่านไป เรายังประกาศเรื่องเดิม … เรื่องเดิมที่เป็นฤทธานุภาพ เป็นเรื่องเดิมที่เป็นฤทธิ์เดชของพระเจ้า ที่ใครได้ยินได้ฟัง เรื่องนี้ถูกดิ่งลงไปในวิญญาณของคนๆ นั้น  แล้วเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอด คนนั้น ก็ได้รับความรอด ได้รับการเปลี่ยนแปลง มีวิญญาณใหม่ ได้รับการย้ายขั้ว จากความมืดมาเป็นความสว่าง จากมือของมาร เข้ามาอยู่ในพระหัตถ์ของพระเจ้า

นี่คือสิ่งที่พระเจ้าพระบิดาทรงกำหนดไว้ สำหรับมนุษยชาติ แล้วพระเยซูคริสต์ก็ถูกส่งมา เพื่อการงานนี้ โดยเฉพาะ ไม่ต้องมาทำอะไรอย่างอื่น นอกจากมาตายแทนเรา บนไม้กางเขน และเป็นขึ้นมาจากความตายเท่านั้น

ฉะนั้น สิ่งที่ทูตสวรรค์พูดกับนางมารีย์ ก็คือในอนาคตข้างหน้า พระเยซูคริสต์จะเป็นใหญ่ ใหญ่มาก  ใหญ่ในลักษณะในโลกวิญญาณ  ไม่ได้ใหญ่ในโลกใบนี้  ถ้าพูดถึงความใหญ่ในโลกใบนี้ ก็คงไม่ใช่  เพราะว่าคนอิสราเอล ก็คาดหวังว่าพระเยซูคริสต์จะเป็นใหญ่ในโลกใบนี้  มาช่วยสู้รบปรบมือ ทำให้เขาหลุดพ้นจากการเป็นทาสของโรมมัน แต่มันไม่ใช่ พระเจ้ามีแผนการที่เหนือกว่านั้น คือการสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขนของพระเยซูคริสต์ ซึ่งไม่มีใครคาดได้เลยว่า …

“พระเยซูตาย แล้วจะช่วยเราได้อย่างไร? เมื่อพระเยซูเป็นขึ้นจากความตาย แล้วจะช่วยเราได้อย่างไร?”

คือไม่มีใครสามารถรับรู้ในเรื่องราวนี้ ซึ่งพระเจ้าได้ทรงปิดซ่อนไว้ ในพระคัมภีร์บอกว่าพระเจ้าทรงปิดซ่อนแผนการนี้ไว้ สำหรับผีมารซาตาน แล้วพระคัมภีร์ยังเขียนอีกว่าถ้ามารรู้ มารก็คงไม่จับพระเยซูไปตรึงบนไม้กางเขน เพราะว่าการตายของพระเยซูบนไม้กางเขน  เท่ากับการเหยียบหัวมารให้แหลกเลย แล้วแหลกละเอียด แบบสมบูรณ์แบบเลย  คือตอนที่พระเยซูคริสต์ได้เป็นขึ้นมาจากความตาย ในวันที่ 3 ก่อนที่พระเยซูจะสิ้นพระชนม์ พระเยซูตรัสคำว่า …

“สำเร็จแล้ว”

ก็คือทุกอย่างที่พระเยซูคริสต์ถูกมอบหมายให้มาทำบนโลกใบนี้ สำเร็จครบถ้วน สมบูรณ์ แล้วก็ทำเที่ยวเดียว พระเยซูไม่ต้องมาเกิดอีก ตายอีก  เป็นอีก คือทำครั้งเดียวจบเลย สำเร็จเรียบร้อย เมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว แล้วคนที่เชื่อวางใจในพระเจ้า ก็ฉลองเรื่องนี้แหละ เมื่อเดือนที่แล้วเราฉลองคริสตมาส  … คริสตมาส เรามาฉลองวันที่พระเยซูมาประสูติบนโลกใบนี้  ทำไมต้องเฉลิมฉลอง เพราะว่าเป็นพระสัญญา ที่พระเจ้าบอกว่าพระองค์จะประทานพระผู้ช่วยให้รอด  มาให้กับพวกเรา ถ้าพระเยซูไม่มาเกิด มนุษยชาติก็ไม่สามารถได้รับความรอดได้ ถ้าพระเยซูเกิดเฉยๆ  โดยที่ไม่มาสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน เพื่อเรา ก็ไม่สามารถช่วยเราได้อีก หรือพระเยซูสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน แล้วไม่เป็นขึ้นมาจากความตาย ก็ช่วยเราไม่ได้

ฉะนั้น ข่าวประเสริฐของพระเจ้า คือต้องครบถ้วนสมบูรณ์  และข่าวประเสริฐของพระเจ้าจริงๆ ที่เราประกาศมา 2,000 ปีแล้ว มีแค่ 5 ประโยคเท่านั้นเอง ต่อให้เราจะวนเวียนเรียนประวัติศาสตร์อะไร? พี่น้องจำแค่ 5 ประโยคเท่านั้น คือ …

–  พระเยซูเป็นพระบุตรของพระเจ้า

–  มาเกิดเป็นมนุษย์

–  มาตายแทนเราบนไม้กางเขน

–  เป็นขึ้นมาจากความตาย  ในวันที่ 3

–  ช่วยพวกเราทุกคนให้รอดพ้นจากมือมาร    เข้ามาสู่พระหัตถ์ของพระเจ้า    ช่วยเราจากนรก เข้าไปสู่สวรรค์

ข่าวประเสริฐมีแค่นี้เอง  ใครก็ตามที่เชื่อตามนี้ เขาก็ได้รับความรอด เหมือนกับทุกวันนี้ ที่พวกเราเชื่อตามที่ถ้อยคำของพระเจ้าบอก ยอมเปิดใจต้อนรับข่าวดีนี้ เข้ามาในใจของเรา แต่ละคนก็ต้อนรับ ในเวลาไม่เท่ากัน

บางคนต้อนรับพระเยซูคริสต์ ตั้งแต่เด็ก เขาก็เชื่อมายาวนาน  บางคนต้อนรับพระเยซูคริสต์ อายุเยอะแล้ว  แต่ว่าความรอดเท่ากัน  คือถ้าเราเชื่อพระเจ้าตั้งแต่อายุ 5 ขวบ  เราก็ได้รับความรอดเหมือนกัน  รอดพ้นจากความบาป รอดพ้นจากการต้องเข้าไปใช้หนี้ในนรกนิรันดร์กาล สามารถคืนดีกับพระเจ้า สามารถไปอยู่บนสวรรค์กับพระเจ้านิรันดร์กาล กับคนที่มาเชื่อพระเจ้าตอนอายุมากแล้ว 60, 70, 80 แล้ว ก็ได้เท่ากัน กับคนที่อายุ 5 ขวบมาเชื่อ แล้วคนที่อายุ 5 ขวบมาเชื่อ ก็อาจจะใช้ชีวิตบนโลกใบนี้ ปรนนิบัติรับใช้พระเจ้าดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ สัก 50 ปี 60 ปี 70 ปี แต่ผลที่เขาได้รับกับคนที่เขามาเชื่อตอน 70, 80 เชื่อปุ๊บ จากไปอยู่กับพระเจ้าเลย มีผลเท่ากัน คือได้รับความรอดเท่ากัน  ไม่มีใครได้เยอะกว่าใคร ไม่มีใครได้รางวัลมากกว่าใคร?

นี่คือสิ่งที่ถ้อยคำของพระเจ้าบอกไว้ ความรอด เป็นของขวัญมาจากพระเจ้า  ที่พระองค์ให้เราฟรีๆ  โดยที่ไม่ต้องเสียตังค์ หรือควักกระเป๋าตังค์มา ซื้อความรอดได้ ไม่มี แต่ว่ามีอย่างเดียวเท่านั้น คือเปิดใจต้อนรับความรอดนี้เข้ามา เปิดใจต้อนรับสิ่งที่พระเยซูคริสต์ทำเพื่อเรา เรียบร้อยไปแล้ว เข้ามาในชีวิตของเรา แล้วพระเจ้าก็ทรงเปลี่ยนข้างในวิญญาณของเรา  ให้เรามีความสามารถเริ่มต้นเรียนรู้เรื่องราวของพระเจ้า

เหมือนสมัยก่อน ตอนที่เราเชื่อพระเจ้าใหม่ๆ เราก็ไม่รู้หรอกว่ามันคืออะไร?  พี่น้องทุกคนต้องมีประสบการณ์ตรงนี้แน่ๆ แค่รู้ว่ามันถึงเวลาแล้วล่ะ มันอยู่ไม่ได้แล้ว เราต้องเชื่อพระเจ้าให้ได้เลย วันนี้ไม่เชื่อพระเจ้า มันไม่ได้แล้ว  เราก็เปิดใจบอกกับพระเจ้าว่า …

“ต้องการพระองค์นะ อยากให้พระองค์เป็นพระเจ้าส่วนตัวของลูก”

แล้วต้อนรับพระองค์เข้ามา แล้วจากนั้น พระวิญญาณบริสุทธิ์ก็ค่อยๆ สอนเราผ่านทางถ้อยคำของพระเจ้า  ผ่านทางการมาโบสถ์  ผ่านทางการที่เราฟังเทศนา  ผ่านทางการนมัสการพระเจ้า เพราะการนมัสการพระเจ้า ทุกบทเพลง เขียนมาจากถ้อยคำของพระเจ้าทั้งนั้น  ผ่านการเป็นพยานของผู้คนรอบข้าง  ที่เขามีประสบการณ์ในการช่วยเหลือของพระเจ้า และผ่านทางตัวเราเองด้วย ที่เรามีประสบการณ์กับพระเจ้าในชีวิตประจำวัน  แล้วความเชื่อมันค่อยๆ ผุดขึ้น ค่อยๆ เพิ่มพูนขึ้น ทำให้เรามีความมั่นใจในพระเจ้ามากขึ้น

ก่อนที่เรามาเชื่อพระเจ้า หลายๆ ชีวิต อาจจะมาเพราะสาเหตุเยอะแยะมากมาย  ดิฉันเชื่อพระเจ้า เดือนหน้าครบ 35 ปีแล้ว  วันที่ 16 เดือนกุมภาพันธ์ ชีวิตของคนอื่นอาจจะโลดโผน แต่ชีวิตการเชื่อพระเจ้าของดิฉันไม่โลดโผน  ดิฉันไม่เคยเห็นหมายสำคัญ ไม่เคยมีการอัศจรรย์ในชีวิตของดิฉัน ไม่เคยหวือหวา วิลิศมาหราที่พระเจ้าจะสำแดงให้ดิฉันเห็นว่าพระเจ้าอยู่ในดิฉันจริงๆ ไม่มี แต่สิ่งที่ดิฉันมี พระเจ้าเมตตาให้จากข้างใน คือดิฉันเชื่อ คือเชื่อแบบไม่สงสัย อันนี้เชื่อว่าไม่ใช่ความดีงามของดิฉันหรือของใคร? แต่ว่าเป็นเพราะพระคุณของพระเจ้า  ที่ใส่เข้ามาในวิญญาณ ทำให้เรามีความสามารถเชื่อ  เชื่อแบบพระเจ้าว่าอย่างไร? ว่าอย่างนั้น  แล้วก็ไม่มีการสงสัยในพระองค์เลย อาจจะไม่ได้เป็นคนที่ชอบตั้งคำถามกับพระเจ้าว่า …

“ทำไมอย่างโน้น? ทำไมอย่างนี้?”

พระเจ้าว่าอย่างไร? ว่าตามนั้น เป็นอย่างนั้นจริงๆ  แล้วตลอดชีวิตที่เดินกับพระเจ้า ก็ทำส่วนที่เราทำได้  เท่าที่กำลังพระเจ้าให้เราสามารถทำได้ ผ่านมา 35 ปี แต่ประสบการณ์ที่ดิฉันเห็น คือชีวิตตัวเองเปลี่ยน  ชีวิตของครอบครัวเปลี่ยน  พระเจ้าทรงดูแลตามพระสัญญาของพระองค์ทรงดูแลลูกๆ หลานๆ ของดิฉันมาตลอด

พี่น้องอาจจะคิดว่าคนที่มายืนเทศนา หรือคนที่มาสอนพระคัมภีร์ เขาไม่ต้องการฟังใครแล้ว ไม่ต้องการการเสริมกำลังจากพระเจ้า ผิดเลยนะ การเสริมกำลังจากพระเจ้า เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด  สำหรับผู้รับใช้ของพระองค์ เราไม่สามารถพึ่งความสามารถ หรือความเคยชิน …

“เราเคยชินนะ พอถึงเวลา ฉันก็มาสอน ไม่เห็นมีอะไรเลย สอนเรื่องเดิม”

ไม่ใช่ความเคยชิน อย่างที่พระเจ้าบอก  … “ความรักมั่นคงของพระเจ้า ใหม่ทุกเวลาเช้า” …  ถ้อยคำเดิมที่ได้พูด มันก็มีประสบการณ์ใหม่ที่เกิดขึ้นกับชีวิตของตัวคนพูด แล้วก็ประสบการณ์ใหม่ๆ กับผู้ฟังด้วย ดิฉันเชื่อว่าถ้อยคำของพระเจ้า คือฤทธิ์เดช ที่ไม่ธรรมดา ที่เราพูดอาจจะเหมือนธรรมดา  แต่ยังคงเชื่อว่าพระเจ้าจะทำงานผ่านถ้อยคำนี้ ไปถึงแต่ละคนในจังหวะต่างกัน มีผู้ที่ฟังหลากหลายมาก ในประสบการณ์ที่หลากหลาย หรือในการเจอปัญหาที่หลากหลาย ที่ไม่เหมือนกัน แต่เชื่อว่าพระเจ้าสามารถคุยกับทุกคน  ตามความต้องการของเขา  นี่คือความเชื่อส่วนตัวของดิฉันนะ คุยกับทุกคน ตามความต้องการของเขา  เมื่อเขาได้ยินได้ฟังถ้อยคำของพระเจ้า  และฤทธิ์เดชนี้แหละ จะเข้าไปปรับปรุง เปลี่ยนแปลง แก้ไข  พัฒนา เพิ่มพูน ความเชื่อในการเดินกับพระเจ้ามากขึ้น ประสบการณ์ทุกวันๆ ที่เรามองย้อนกลับไป เราผ่านมาได้อย่างไร? พระเจ้าช่วยเราถึงขนาดนี้  โดยที่หลายๆ ครั้ง บางเรื่อง เราแทบจะไม่ได้ขอด้วยซ้ำไป บางเรื่องเราก็ขอนะ ขอแล้วขออีก ก็ไม่เห็นมันเกิดอะไรขึ้นกับชีวิตของเรา

เชื่อว่าพี่น้องทุกคนจะมีประสบการณ์  แล้วประสบการณ์ตรงนี้แหละ ทำให้เราเห็นพระคุณของพระเจ้าเพิ่มขึ้นทุกวันๆ  พระคุณที่เกินความรู้ ความเข้าใจของเรา พระคุณที่พระองค์ทรงตรัสกับเราว่าพระองค์ทรงเป็นองค์อิมมานูเอล  ทรงสถิตอยู่ในใจ พระองค์บอกว่าพระองค์เป็นพ่อของเรา เป็นสามีของเรา  พระองค์จะดูแลทุกย่างก้าวในชีวิตของเรา  และทุกประสบการณ์ที่เราผ่านมา โลดโผนบ้าง ไม่โลดโผนบ้าง ของแต่ละคนที่ได้เดินกับพระเจ้า ดิฉันก็เชื่อว่าพระองค์มีคำตอบให้กับทุกๆ คน แล้วให้เราสามารถนิ่ง ในขณะที่เราเจอพายุโหมกระหน่ำ  ซึ่งในขณะนี้ จากประสบการณ์ที่เรามีกับพระเจ้า ทำให้เราสามารถนิ่ง ไม่ได้หมายความว่าคริสเตียนไม่มีความรู้สึก เฉยๆ ไปทุกเรื่อง แต่มันเป็นประสบการณ์ที่เรารู้สึกข้างในเรามีความมั่นใจในพระเจ้าที่เราเชื่อ  มั่นใจในการนำของพระองค์ ที่พระองค์บอกจะจูงมือเราเดิน  พระองค์ไม่เคยทอดทิ้งเรา แล้วพระองค์บอกไม่ว่าเราจะผ่านหุบเขาเงาแห่งความตาย พระองค์ไม่ปล่อยมือเรา พระองค์จะพาเราผ่านไปทุกวัน ตรงนี้แหละ เป็นสิ่งที่ทำให้เราสามารถมั่นใจในพระเจ้า  เพิ่มพูนมากขึ้นทุกวัน

จากข่าวสารทุกวันนี้ ถ้าพี่น้องเสพเยอะๆ วิตกจริตนะ บางทีคิดอะไรไม่รู้ มันไปไกล  ทำให้เรากลัวไปทุกๆ ด้านได้ ไม่ได้หมายความว่าเราจะทิ้ง ไม่เสพข่าวเลย  สามารถเสพได้ เพื่อให้เรารับรู้ว่า ควรจะระมัดระวังตัวเองอย่างไร? แค่ไหนที่เราจะสามารถทำได้ แต่ไม่ได้เสพ เพราะทำให้เรากลัวไปหมดเลย ซ้ายขวาหน้าหลัง ทำอะไรไม่ได้ มันไม่ใช่ เพราะว่าพระเจ้าที่ทรงสถิตอยู่ในเรา พระองค์ทรงดูแลย่างเท้า ชีวิตของเรา อย่างที่บอกพระองค์ทรงดูแล ในขณะเดียวกัน เราต้องทำส่วนของเราด้วย  ไม่ใช่ว่าเราเป็นคริสเตียน แล้วเรานึกอยากจะทำอะไร เราก็ทำ เขามีมาตรการ คุมความเข้ม …

“เราไม่คุม เพราะฉันมีความเชื่อในพระเจ้า พระเจ้าจะทรงดูแล ปกป้อง คุ้มครอง ให้ฉันปลอดภัย”

ในหนังสือมาระโกบอกว่า …

“มีคนเชื่อที่ไหน  หมายสำคัญจะเกิดขึ้นที่นั่น  เขาจะวางมือคนเจ็บคนป่วย  คนเหล่านั้นจะหายโรค เขาจะกินยาพิษอย่างใด ก็จะไม่เป็นอันตราย”

หลายคนก็เอาสิ  ถ้อยคำพระเจ้าบอกอย่างนี้ … “เราลองไปกินยาพิษ ไม่ตายหรอก เพราะพระเจ้าบอกแล้วว่าอย่างไรก็ไม่อันตราย ตายนะพี่น้อง ถ้าเราท้าทายพระเจ้า

ถ้อยคำเหล่านี้ พระเจ้าพูดไว้ เพื่อให้รับรู้ว่าพระองค์ยิ่งใหญ่มากๆ หลายครั้งเราอาจจะเจอพิษอะไรเยอะแยะมากมาย เราออกไปข้างนอก เราไม่สามารถรับรู้ได้ แต่พระเจ้าจะป้องกันเรา เพราะเราไม่ได้จงใจ แต่ถ้าเราจงใจที่จะทำ รับผลแน่ อย่าคิดว่าเราไม่รับผล จงใจที่จะเข้าไปสู่คนเยอะๆ โดยที่หน้ากากอนามัยฉันก็ไม่ใส่ เดินเข้าไปเลย โอกาสติดโควิดได้เหมือนกันนะ  อันนี้ พี่น้องก็ต้องรับรู้ตรงนี้

ลูกา 1:33 “และท่านจะครอบครองพงศ์พันธุ์ของยาโคบสืบไปเป็นนิตย์ และแผ่นดินของท่านจะไม่รู้จักสิ้นสุดเลย”

 

“แผ่นดินของท่านจะไม่รู้จักสิ้นสุดเลย” เล็งถึงในโลกวิญญาณ คือนิรันดร์กาล  แล้วที่เราเรียนรู้กันมาตลอด ก็คือ ณ เวลานี้ ผู้ที่เชื่อวางใจในพระเจ้า วิญญาณของเรา ได้รับการเปลี่ยนแปลงใหม่จากวิญญาณเดิม  คือวิญญาณบาป มาเป็นวิญญาณชอบธรรมของพระเจ้า

ดังนั้น วิญญาณของพวกเรา ณ เวลานี้ คืออยู่นิรันดร์ในสวรรค์สถาน  เมื่อก่อนอยู่นิรันดร์เหมือนกัน แต่นิรันดร์ในนรก เพราะว่าเราเป็นคนบาป แต่ ณ เวลานี้ เราย้ายขั้วมาแล้ว จากความมืดมาสู่ความสว่าง  จากความบาปมาสู่ความชอบธรรมของพระเจ้า เพราะเราต้อนรับสิ่งที่พระเยซูคริสต์กระทำเพื่อเราบนไม้กางเขน  คือรับเอาของขวัญเข้ามา  ฉะนั้น วิญญาณเราก็จะอยู่นิรันดร์ไม่สิ้นสุด ตรงนี้ก็คือในฝั่งที่เป็นความสว่าง  ได้ไปอยู่ที่สวรรค์นิรันดร์กาล อันนี้แหละ เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด สำหรับมนุษยชาติ ที่จำเป็นจะต้องรู้ว่าพระเจ้าทำให้เรียบร้อยไปแล้ว  แค่เปิดใจต้อนรับเอาสิ่งที่พระเยซูคริสต์ทำเรียบร้อยไปแล้ว เมื่อ 2,000 กว่าปีที่แล้ว  เข้ามาเป็นของส่วนตัวของเรา

เราขอบคุณพระเจ้าจริงๆ ที่หลายๆ คนในคริสตจักร หรือหลายๆ คนทั่วโลก ที่อยู่ที่คริสตจักรไหนก็ตาม ที่เขาเปิดใจ รับเอาของขวัญนี้ แล้วคนเหล่านี้จะมีหลักประกัน มีความมั่นใจ แน่นอนว่าขณะที่เราอยู่บนโลกนี้  เราสามารถพูดเหมือนอาจารย์เปาโลได้ว่าอยู่เพื่อรับใช้  ตายเมื่อไร ก็ได้กำไร … กำไรตรงที่ว่าเราไม่ต้องมาเผชิญกับสิ่งที่เกิดขึ้นบนโลกใบนี้  ขณะที่ตอนนี้ เรามีชีวิตอยู่ เราก็ยังไม่รู้ว่าเราต้องเผชิญอะไรอีกเยอะแยะมากมาย  โควิดจะจบเมื่อไร? อีกกี่ปีข้างหน้า  หรือเศรษฐกิจจะกลับมาเหมือนเดิมไหม? เราก็ต้องเผชิญกับมัน ไปด้วยกัน แต่ว่าเมื่อไรก็ตามที่พระเจ้าเห็นว่าสมควรแล้ว เราทำงานเยอะแล้ว กลับบ้านได้แล้ว มีความสุขนะ  เราก็ทิ้งร่างกายนี้ ลมหายใจออกจากร่าง เราก็ยังคงอยู่ที่เดิม เราต้องย้ำตรงนี้บ่อยๆ เพราะว่า ณ เวลานี้ วิญญาณของเราผู้เชื่อ อยู่ที่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้า ร่วมกับพระเยซูคริสต์ในโลกวิญญาณ มิติมันอาจจะเปลี่ยนนิดหนึ่ง

พี่น้องอาจจะรู้สึกทำไมพูดเรื่องนี้ซ้ำแล้วซ้ำอีก ย้ำขนาดนี้เรายังจำไม่ได้ ต้องย้ำเข้าไปบ่อยๆ  เพื่อเราจะได้รับรู้ความจริงในเรื่องนี้ว่าเมื่อวิญญาณเราออกจากร่างปุ๊บ เราก็เปลี่ยนมิติ อยู่ที่เดิม แค่ไม่ต้องใช้ร่างกายนี้แล้ว ร่างกายนี้ก็ปล่อยให้เปื่อยเน่าไป จบแล้ว เราไปอยู่ที่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้า สมบูรณ์ครบถ้วนเลย ถ้าถึงวันนั้น

นี่คือสิ่งที่คริสเตียนทุกคน ผู้เชื่อทุกคนคาดหวัง รอคอย เชื่อว่าทุกคนรอคอยตรงนี้อยู่นั่นแหละ ดังนั้น เราสามารถพูดเหมือนอาจารย์เปาโลว่า …

“อยู่เพื่อรับใช้ ตายก็ได้กำไร”

ลูกา 1:34 “ฝ่ายมารีย์ทูลทูตสวรรค์นั้นว่า “เหตุการณ์นั้นจะเป็นไปอย่างไรได้ เพราะข้าพเจ้ายังหาได้ร่วมกับชายไม่”

 

อันนี้เป็นความคิดของมนุษย์ทั่วไป จนทุกวันนี้มนุษย์คิดเหมือนกันว่าถ้าผู้หญิงไม่มีเพศสัมพันธ์กับผู้ชายอย่างไรก็ไม่ตั้งท้อง

มารีย์ก็เหมือนกัน ณ เวลานั้น ก็ยังสงสัย เอ๊ะ! ทูตสวรรค์บอกอย่างนี้ มันจะเป็นไปได้อย่างไร ก็ยังเป็นสาวพรหมจารีอยู่เลย ยังไม่ได้ไปมีเพศสัมพันธ์กับใครเลย แล้วจะเกิดขึ้นได้อย่างไร?

ลูกา 1:35 “ทูตสวรรค์จึงตอบนางว่า “พระวิญญาณบริสุทธิ์จะเสด็จลงมาบนเธอ และฤทธิ์เดชของผู้สูงสุดจะปกเธอ เหตุฉะนั้นบุตรที่จะเกิดมานั้นจะได้เรียกว่าวิสุทธิ์ และเรียกว่าพระบุตรของพระเจ้า”

 

“พระบุตรของพระเจ้า” พระเยซูถูกเรียกว่า “บุตรของมนุษย์” ในขณะเดียวกันเรียกว่า “บุตรของพระเจ้า” เพราะพระเยซูคริสต์ไม่มีเชื้อบาปใดๆ  เกิดจากเดชของพระวิญญาณบริสุทธิ์ เข้ามาจุติในครรภ์ของหญิงพรหมจารี ที่ชื่อมารีย์

ลูกา 1:36-37 “36 ดูซิ ถึงนางเอลีซาเบธญาติของเธอชราแล้ว ก็ยังตั้งครรภ์มีบุตรเป็นชายด้วย บัดนี้นางนั้นที่คนเขาถือว่าเป็นหญิงหมัน ก็มีครรภ์ได้หกเดือนแล้ว 37 เพราะว่าไม่มีสิ่งหนึ่งสิ่งใดซึ่งพระเจ้าทรงกระทำไม่ได้”

 

บริบทตรงนี้ พระเจ้าเตรียมไว้แล้ว ยังไง พระองค์ก็ทำได้เสมอ

ลูกา 1:38 “ส่วนมารีย์จึงทูลว่า “ดูเถิด ข้าพเจ้าเป็นทาสีของพระเป็นเจ้า ข้าพเจ้าพร้อมที่จะเป็นไปตามคำของท่าน” แล้วทูตสวรรค์นั้นจึงจากเธอไป”

 

เป็นอะไรบางอย่างที่มารีย์ได้สำแดงความเชื่อของเขา คือแค่สงสัยว่าเป็นไปได้อย่างไร? ยังไม่มีเพศสัมพันธ์กับผู้ชายเลย จะท้องได้อย่างไร?  แล้วทูตสวรรค์อธิบายแค่นั้น

ถ้าไม่ใช่เพราะพระคุณพระเจ้าที่ใส่ความเข้าใจ  เข้ามาในความคิดของมารีย์ แค่นี้เขาก็เอ๋อ! เลย  มันยากมาก สำหรับมนุษย์ทั่วไป อาจจะมีคำถามต่ออีกมากมาย มันเป็นไปได้อย่างไร? แต่มารีย์ไม่สงสัยนะ พอทูตสวรรค์อธิบายให้ฟังปุ๊บว่าฤทธิ์เดชอำนาจของพระวิญญาณบริสุทธิ์จะเข้ามาจุติในครรภ์ของเธอ แล้วเธอจะตั้งครรภ์ แล้วคลอดบุตร แล้วบุตรคนนี้ เป็นบุตรที่บริสุทธิ์ ไม่มีเชื้อบาปใดๆ เลย แล้วบุตรคนนี้แหละ  จะเป็นผู้ที่จะมาช่วยมนุษยชาติให้รอดจากความบาปผิดทั้งปวง  ฟังแค่นี้ มารีย์ตอบสนองทันที

เหมือนทุกวันนี้ ตอนที่เราเชื่อพระเจ้า เราฟังแค่นี้ พระเยซูเป็นพระบุตรของพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์ มาตายแทนเราบนไม้กางเขน เป็นขึ้นมาจากความตาย ช่วยลบล้างบาปของเรา ทำให้เราคืนดีกับพระเจ้าได้ ฟังแค่นี้ เราตอบสนอง  ด้วยการเชื่อ และต้อนรับสิ่งนี้เข้ามาในชีวิตของเรา  ได้รับการเปลี่ยนแปลง ลักษณะเดียวกันเลย และเชื่อว่าตอนที่พระเจ้า ให้เราเปิดใจ ต้อนรับ ยินยอม  เพราะว่าพระเจ้าไม่บังคับเรา บางคนได้ยินเรื่องของพระเจ้ามานานมาก  เป็น 10 ปี 20 ปี ยังไม่ยินยอม คือไม่เปิดใจ ไม่ต้อนรับ ไม่เอา แต่ตอนที่ยินยอม คือมันสุกงอมแล้ว  ไม่ไหวแล้ว พอเราเปิดใจต้อนรับพระเจ้าเข้ามาปุ๊บ การเปลี่ยนแปลงมันเกิดขึ้น อย่างที่พระเจ้าบอก มันเป็นขบวนการ ที่พระองค์เป็นผู้กระทำ ไม่ใช่เรา

เหมือนกัน นางมารีย์แค่ถามเฉยๆ พอทูตสวรรค์ตอบปุ๊บ  นางมารีย์ตอบสนองเลย  เป็นทาสีของพระเป็นเจ้า คือเป็นทาสของพระองค์ … พระองค์เจ้าข้า พระองค์ว่าอย่างไร? ว่าตามนั้น พร้อมที่จะให้เป็นไปตามคำของท่าน คือตามคำของทูตสวรรค์ หรืออีกนัยหนึ่ง คือตามคำที่พระเจ้าได้ตรัสไว้นั่นเอง ก็คือการตอบสนองถ้อยคำของพระเจ้า ยอมรับสิ่งที่พระเจ้าเตรียมไว้  สำหรับชีวิตของเธอ  สำหรับการตอบสนองตรงนี้ มันก็เสี่ยงกับชีวิตของนางมารีย์มากๆ

สมัยก่อน ถ้าผู้หญิงคนไหนตั้งท้อง โดยยังไม่แต่งงาน เขาถือว่าเป็นหญิงแพศยา เขาก็จะจับหญิงนั้นมา แล้วเอาหินขว้างให้ตายเลย ตอนที่พระเยซูคริสต์มาเกิดเป็นมนุษย์ พระองค์มาประกอบพระราชกิจของพระองค์ มาประกาศแผ่นดินของพระเจ้า พวกฟาริสี พวกธรรมาจารย์ก็พยายามหาเรื่องให้พระเยซูมาแก้ต่างทุกสิ่งอย่าง เพื่อที่จะจับผิดพระเยซู มีอยู่ครั้งหนึ่ง ก็ไปจับผู้หญิงคนหนึ่งที่บอกว่าจับคนนี้ได้ ในระหว่างที่เขากำลังล่วงประเวณี แปลกตรงที่ว่าจับได้ระหว่างที่กำลังล่วงประเวณี ก็คือต้องมีผู้ชายกับผู้หญิงใช่ไหม? มาด้วยกัน แต่ว่าเอาผู้หญิงมาคนเดียว ถามพระเยซูว่ากฎของโมเสส คือถ้าใครล่วงประเวณี ต้องเอาหินขว้างให้ตาย  แล้วพระเยซูว่าอย่างไร

กำลังจะจับผิดพระเยซู อยากรู้ว่าพระเยซูจะตอบว่าอย่างไร? ถ้าตอบว่า … “ไม่ต้องทำอะไร?” พระเยซูก็ไม่ได้ทำตามกฎของโมเสส แต่ถ้าบอกว่า … “เอาหินขว้างให้ตาย” ก็คือพยายามที่จะหาเรื่องพระเยซู

ในพระคัมภีร์บอกว่าระหว่างที่พระเยซูฟังคำบอกเล่าของคนกลุ่มนี้  พระเยซูเอานิ้วพระหัตถ์เขียนบนพื้น  แล้วจากนั้น พระเยซูก็บอกว่า …

“เอาอย่างนี้แล้วกัน ถ้าใครคิดว่าตัวเองไม่เคยทำผิดเลย ให้คนนั้นหยิบหินขว้างก่อนเลย”

แล้วในพระคัมภีร์บอกว่าทุกคนก็ชะงัก ไม่คิดว่าพระเยซูจะมาไม้นี้  เพราะว่าทุกคนรู้อยู่แก่ใจว่าตัวเองเป็นคนบาป  ไม่เคยทำผิด มันเป็นไปไม่ได้  ยิ่งอายุเยอะ ยิ่งทำผิดเยอะ

จากพระคัมภีร์ตรงนี้ ที่พระเยซูบอก เริ่มต้นเลยคนแก่ที่สุด เริ่มถอย  จากนั้น ก็ไล่ๆ มา หายไปหมดเลย  จนเหลือผู้หญิงคนเดียว

แล้วพระเยซูถามว่า … “หายไปไหนหมดแล้วล่ะ”

ผู้หญิงก็บอก … “หายไปหมดเลย เหลือข้าพระองค์คนเดียว”

แล้วพระเยซูก็บอกว่า … “เราก็ไม่เอาผิดเจ้า แต่ต่อไป อย่าทำอีก”

นี่คือสิ่งที่พระเยซูบอก พระเยซูไม่ได้เอาผิดผู้หญิงคนนี้  แต่ ณ เวลานั้น ที่พระเยซูพูดกับผู้หญิงคนนี้ พระเยซูยังไม่ได้ทำสิ่งที่พระเจ้าส่งมา สำเร็จ ก็คือมนุษย์ยังต้องพึ่งตัวเอง  และเชื่อว่าพระเยซูพูดอย่างนี้ ผู้หญิงคนนี้ อนาคตข้างหน้า ก็ยังทำผิดอีกแหละ ตอนนี้ที่เรามาเชื่อพระเจ้า วิญญาณเราสะอาดแล้ว แต่ว่าธรรมชาติ คือเราเป็นมนุษย์ ก็อาจจะถูกล่อลวงให้ทำผิดได้ แต่ว่าพระเยซูบอกไม่เอาผิดเรา ก็คือวิญญาณเราสะอาดเรียบร้อยไปแล้ว ต่อให้เราไปทำบาปอะไรก็ตาม วิญญาณเรายังสะอาดอยู่ ชอบธรรมอยู่ รอดอยู่ แต่ผลมันจะมีในโลกใบนี้  ไม่ว่าเราหว่านอะไร เราจำเป็นจะต้องเก็บเกี่ยวผลของมัน เฉพาะโลกใบนี้เท่านั้น ต้องรับรู้ตรงนี้เลย ไม่อย่างนั้น เราก็จะถูกมารหลอก …

“เธอทำบาป เธอไม่รอดหรอก”

สวนกลับไปเลย … “อย่างไร ฉันก็รอด”

เพียงแต่ว่าเผลอไปนิดหนึ่ง  ดิฉันเชื่อนะว่าพอเรามาเชื่อพระเจ้า เราอาจจะทำผิดบ้าง แต่มันน้อยกว่าเดิมเยอะ พอเราจะทำอะไรที่ไม่ถูกต้องพระวิญญาณบริสุทธิ์จะเตือนเรา และบางครั้งพระวิญญาณบริสุทธิ์เตือนเรา เราอาจจะดื้อ เราไม่สนใจ ทำหูทวนลม ขอทำนิดหนึ่ง  เราก็เก็บเกี่ยวผล พอเก็บผลปุ๊บ เราก็รู้แล้ว พระเจ้าเตือนแล้ว เราไม่เชื่อเอง แล้วเราก็เริ่มต้นเรียนรู้จากมัน  ถ้าทำอย่างนี้ เราจะเกี่ยวผลแบบนี้ เหมือนกับเด็ก ที่เราบอกว่า …

“อย่าไปจิ้มปลั๊กไฟนะ เดี๋ยวไฟดูด” หรือว่า … “ตรงนั้นมันร้อนนะ อย่าไปจับ จับแล้วมันจะเจ็บ มันร้อน”

เด็ก บางทีไม่เชื่อหรอก จิ้ม บางทีร้อนๆ ก็ไปจับ จับปุ๊บ มันร้อนไง พอร้อนปุ๊บ มีประสบการณ์ คราวหน้าก็จะเริ่มเล็งแล้ว  อันนี้ไม่ได้ ถ้าเข้าไปมันร้อน แล้วมันเจ็บ เขาก็จะเริ่มระวังตัวมากขึ้น  แต่ว่าพอนานๆ เข้า ลืมไง   ลืมว่าอันนี้มันร้อน  ลองใหม่ จับปุ๊บ ร้อน ก็มาเริ่มต้น ปรับตัวใหม่ๆ ชีวิตเราก็จะวนเวียนแบบนี้ แต่ให้เรามั่นใจว่าอย่างไร เราก็ได้รับความรอดแน่นอน พระเจ้าอวยพรค่ะ

 

**********************

 

 

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 10 มกราคม 2021 เรื่อง “เกิดอะไรขึ้น เมื่อเราเปิดใจต้อนรับพระเยซู” โดย นคร เวชสุภาพร

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  10  มกราคม  2021

 เรื่อง “เกิดอะไรขึ้น เมื่อเราเปิดใจต้อนรับพระเยซู”

โดย นคร   เวชสุภาพร

 

เราจะมาบรรยายเรื่องเกี่ยวกับสวรรค์ ต่อจากสัปดาห์ที่แล้วๆ มา เราเน้นกันถึงความเข้าใจ ที่ถูกต้อง ตามหลักพระคัมภีร์ ในเรื่องของการเข้าสู่สวรรค์ เรื่องของความเชื่อว่าเมื่อเชื่อในการประกาศข่าวดีของพระเยซูคริสต์ว่าพระองค์เป็นใคร?  และพระองค์เป็นทางเข้าสู่สวรรค์ เป็นของขวัญจากพระเจ้า มาสู่มนุษย์ทุกคน  ให้เปล่าๆ ให้ฟรีๆ  เมื่อได้ยินได้ฟังข่าวดีนี้แล้ว เชื่อแล้ว เชื่อแล้วต้องมีการกระทำ อะไรบางอย่าง จึงจะเป็นเครื่องพิสูจน์ว่าเชื่อจริงๆ ไม่ใช่ฟังแล้วดี แล้วก็เฉยๆ  และสิ่งนั้น คืออะไร? สิ่งนั้น ก็คือต้องเปิดใจ ต้อนรับพระเยซูคริสต์ว่าเป็นพระผู้ช่วยให้รอดจริงๆ  เป็นพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์  ช่วยฉันได้จริงๆ เมื่อเชื่อว่าพระเจ้าให้ของขวัญ และเปิดใจต้อนรับของขวัญทันที ซึ่งวิธีทำให้ได้รับของขวัญนี้  พระเยซูก็ได้พูดเอาไว้ด้วยว่าอย่างนี้ ในวิวรณ์ 3:19-20

หัวข้อเรื่องวันนี้คือ “เกิดอะไรขึ้น เมื่อเราเปิดใจต้อนรับพระเยซู” เมื่อเชื่อในข่าวดีของพระเยซู และกระทำสิ่งหนึ่ง พิสูจน์ความเชื่อ ด้วยการเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอดจริงๆ แล้ว พอเปิดใจแล้ว มันเกิดอะไรขึ้น  เกิดอะไรขึ้น เมื่อเราเปิดใจต้อนรับพระเยซู วิวรณ์ 3:19-20

วิวรณ์ 3:19-20 “19 เขาเหล่านั้น ที่เรารักอย่างสุดซึ้งและจริงใจ เราจะบอกกล่าวความผิดของพวกเขาจะติเตียน และอบรมสั่งสอนพวกเขา ดังนั้น จงกระตือรือร้นและตั้งใจจริงที่จะเปลี่ยนแปลงความคิดจิตใจ และจงกลับใจใหม่ 20 ดูเถิด เรายืนอยู่ที่ประตู และเคาะประตูเรียกแล้ว ถ้าผู้ใดได้ยินและได้ฟังเสียงของเรา และเปิดประตูรับเรา เราจะเข้าไปหาผู้นั้น และจะรับประทานอาหารร่วมกับเขา และเขาจะรับประทานร่วมกับเรา”

 

“เขาเหล่านั้น ที่เรารักอย่างสุดซึ้งและจริงใจ” ก็คือมนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้ “เราจะบอกกล่าวความผิดของพวกเขาจะติเตียน และอบรมสั่งสอนพวกเขา ดังนั้น จงกระตือรือร้นและตั้งใจจริงที่จะเปลี่ยนแปลงความคิดจิตใจ และจงกลับใจใหม่”

ผู้ที่ได้ยินข่าวดีของพระเยซูคริสต์แล้ว พระองค์มาบอกทางไปสู่สวรรค์ด้วยความรักแล้ว จะต้องทำสิ่งหนึ่ง คือกระตือรือร้น ตั้งใจที่จะเปลี่ยนแปลงความคิดจิตใจเดิมของเรา และกลับใจใหม่ มาพึ่งในพระองค์

และข้อ 20 ได้บันทึกชัดเจนบอกว่า … “เรายืนอยู่ที่ประตู และเคาะประตูเรียกแล้ว” เรียกแล้วเรียกอีก เรียกอยู่

“เรายืนอยู่ที่ประตู และเคาะที่ประตูใจของท่าน ถ้าผู้ใดได้ยินและได้ฟังเสียงของเรา และเปิดประตูรับเรา”

ก็คือเปิดใจต้อนรับข่าวดีของพระเยซู

“เราจะเข้าไปหาผู้นั้น และจะรับประทานอาหารร่วมกับเขา และเขาจะรับประทานอาหารร่วมกับเรา”

ก็คือเราจะเข้าไปอยู่อาศัยกับเขา ข้างในวิญญาณของเขา เป็นครอบครัวเดียวกัน เป็นครอบครัวของพระเจ้านั่นเอง และยืนยันด้วยถ้อยคำของพระองค์ ในยอห์น 14:23 พระเยซูตรัสดังนี้ว่า …

ยอห์น 14:23 “พระเยซูตรัสตอบว่า “ถ้าผู้ใดรักเราเขาจะเชื่อฟังคำสอนของเรา พระบิดาของเราจะทรงรักเขา พระบิดากับเราจะมาหาเขาและอยู่กับเขา”

 

“ผู้ใดรักเรา เขาจะเชื่อฟังถ้อยคำของเรา” นั่นเอง

ถ้อยคำของเราที่บอกว่า …“ความสามารถของท่าน  ไม่มีทางทำให้ท่านเป็นคนดีพร้อม ดีเท่าๆ กับพระเจ้า  สามารถเข้าสู่สวรรค์ ไปอยู่กับพระเจ้าได้”

ท่านทำไม่ได้หรอก ความชอบธรรม การเข้าสู่สวรรค์ ด้วยการกระทำของตนเอง  ด้วยความประพฤติของตนเอง ไม่มีทางเข้าไปได้หรอก  มีทางเดียวเท่านั้นที่จะเข้าสู่สวรรค์ไปหาพระเจ้าได้ ก็คือทางเรา ทางพระเยซู ซึ่งพระเจ้าพระบิดาได้ส่งเรามา เพื่อช่วยท่าน ให้เข้าสู่สวรรค์ได้ นี่คือคำของพระเยซู รวมๆ แล้ว เป็นอย่างนี้

ผู้ใดที่รักพระเยซู และเชื่อพระเยซูจริงๆ ก็ต้องเชื่อฟังคำสอนนี้ ก็คือไม่พึ่งพาความรอบรู้ การกระทำของตนเองอีกแล้ว แต่จะมาพึ่งพระเยซูผู้เดียวนั่นแหละ

และในนี้บอกว่าอย่างไร? … “พระบิดาของเราจะทรงรักเขา พระบิดากับเราจะมาหาเขาและอยู่กับเขา”

เมื่อเชื่อในถ้อยคำของพระองค์ เปิดใจต้อนรับพระเยซู เป็นพระผู้ช่วยให้รอดแล้ว พระเจ้าพระบิดา และพระเยซูคริสต์ เป็นหนึ่งเดียวกัน  เข้ามาอยู่ในร่างกาย  ในวิญญาณของเขา ผู้เชื่อนั้น มาเป็นครอบครัวเดียวกัน มาเป็นหนึ่งเดียวกัน  อยู่ด้วยกันกับเขาในวิญญาณทันที

และในหนังสือยอห์น 17:20-23 ที่สัปดาห์ก่อนโน้น เราเคยยกมายืนยันอีกครั้งหนึ่งว่าพระเจ้าสถิตอยู่ในเราอย่างไร? เมื่อเราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอด  เกิดอะไรขึ้น  ยอห์น 17:20-23 …

ยอห์น 17:20-23 “20 ข้าพระองค์ไม่ได้อธิษฐาน เพื่อพวกเขาเท่านั้น แต่ข้าพระองค์อธิษฐาน เพื่อบรรดาผู้ที่เชื่อในข้าพระองค์ ผ่านทางถ้อยคำของพวกเขาด้วย 21 เพื่อพวกเขาทั้งหมดจะเป็นหนึ่งเดียวกัน พระบิดาเจ้า พระองค์ทรงอยู่ในข้าพระองค์ และข้าพระองค์อยู่ในพระองค์อย่างไร ก็ขอให้พวกเขาอยู่ในพระองค์ และอยู่ในข้าพระองค์อย่างนั้นด้วย เพื่อโลกจะได้เชื่อว่าพระองค์ทรงส่งข้าพระองค์มา 22 เกียรติสิริ ซึ่งพระองค์ประทานแก่ข้าพระองค์นั้น ข้าพระองค์ได้มอบให้พวกเขาแล้ว เพื่อพวกเขาจะได้เป็นหนึ่งเดียวกัน เหมือนที่พระองค์กับข้าพระองค์เป็นหนึ่งเดียวกัน คือ 23 ข้าพระองค์อยู่ในพวกเขา และพระองค์อยู่ในข้าพระองค์ ขอให้พวกเขาได้รวมเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันอย่างสมบูรณ์ เพื่อให้โลกรู้ว่าพระองค์ทรงส่งข้าพระองค์มา และทรงรักพวกเขาเหมือนที่พระองค์ทรงรักข้าพระองค์”

 

สรุปง่ายๆ ก็คืออย่างที่ตะกี้นี้บอกว่าเมื่อใครก็ตามที่เชื่อในข่าวดีของพระเยซู และเปิดใจต้อนรับพระเยซู มาเป็นพระผู้ช่วยให้รอด พระเยซูจะเข้ามาอยู่ในตัวเขา พอเข้ามาอยู่ในตัวเขาแล้ว ทำไม? แล้วพระองค์ทรงบอกว่าพระองค์กับพระบิดา คือพระเจ้าพระบิดาเป็นหนึ่งเดียวกัน เมื่อคนนั้นมาเชื่อในพระเยซู … พระเยซูเข้าไปอยู่ในเขา พระเยซูกับเขาเป็นหนึ่งเดียวกัน  ทั้งเขาและพระเยซูจะเป็นหนึ่งเดียวกัน ในขณะที่พระเยซูเป็นหนึ่งเดียวกับพระบิดา พระเจ้า ทั้งหมดจึงเป็นหนึ่งเดียวกันหมดเลย  ก็คือเราอยู่ในพระเยซู … พระเยซูอยู่ในเรา และเรากับพระเยซูก็อยู่ในพระบิดา พระบิดาก็อยู่ในเรา  เราทั้งหลายเป็นหนึ่งเดียวกัน  จะเห็นชัดว่าเป็นหนึ่งเดียวกัน และสง่าราศี พระสิริของพระเจ้าพระเยซูคริสต์ ก็ได้กลายเป็นสง่าราศี และพระสิริของเราด้วยเช่นเดียวกัน  จะบอกพระสิริหรือไม่พระสิริก็ตาม สิริ ความสง่างาม ก็เข้ามาอยู่ในวิญญาณของเรา ที่ได้เกิดใหม่แล้วนั้น  และพระเจ้าก็จะรักเรา พระบิดาก็จะรักเรา  เท่าๆ กันกับรักพระเยซู นี่มันหมายความว่าอย่างนั้น

ซึ่งความเป็นหนึ่งเดียวกันของพระเจ้าที่เข้ามาสถิตอยู่กับเรา  และเราบริสุทธิ์สะอาดเหมือนพระเจ้าอย่างนี้ เป็นสิ่งที่มนุษย์แสวงหามานานแล้ว และมันยากมากเลย สมัยอดีต ในพระคัมภีร์เดิม พระเจ้าสถิตอยู่กับบางคนเท่านั้น สถิตนี้ ไม่ได้หมายถึงอยู่ข้างในนะ หมายถึงอยู่กับ “อยู่กับ” ก็คือให้กำลังอำนาจมาช่วยเหลือ โดยการอยู่ภายนอกร่างกาย และก็ไม่ได้อยู่ตลอดไป อยู่แบบไปๆ มาๆ

อย่างเช่น บุคคลพิเศษ พวกที่พระเจ้าจะใช้งาน  พระเจ้าก็จะไปอยู่ด้วยกับเขา ยกตัวอย่างเช่น พวกปุโรหิต  ผู้เผยพระวจนะ  พวกกษัตริย์ของอิสราเอล ที่พระเจ้าเจิมตั้งไว้  แล้วก็พวกนักรบบางคน ที่เป็นผู้นำ อย่างเช่น โยชูวา โมเสส  อาโรน กษัตริย์ดาวิด คนเหล่านี้เป็นต้น พระเจ้าอยู่ด้วยกันกับเขา ไม่ได้อยู่ในเขา แบบที่เรากำลังอ่านถ้อยคำของพระเยซูที่กำลังอธิบายให้ฟังว่าเมื่อเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์แล้ว พระองค์ทรงเข้ามอยู่ในร่างกายของเรา  เป็นวิญญาณหนึ่งเดียวกันกับเราข้างใน พระบิดาก็เป็นหนึ่งเดียวกันกับเราด้วย  ทั้ง 3 พระภาค และรวมทั้งเรา ก็เป็นหนึ่งเดียวกัน ซึ่งถ้าพูดถึงในอดีต มันแทบเป็นไปไม่ได้เลย  ขนาดในสมัยพระคัมภีร์เดิม  เมื่อพระเจ้ามาสถิตกับคนบางคนในขณะนั้น ให้ทำการอัศจรรย์ยิ่งใหญ่ ทุกคนก็ตื่นเต้นแล้วแค่นั้น  และนี่มันมากกว่านั้นสักเท่าใด ที่พระเจ้าเข้ามาสถิตในมนุษย์ ไม่ใช่บางคนแล้ว ทุกคน  … ทุกคนมีสิทธิ์

สมัยก่อนพระเจ้าทรงเลือกบางคน แล้วจำนวนน้อยมาก จะไปสถิตอยู่กับเขา  เพื่อทำการงานของพระองค์ แต่ตอนนี้พระเจ้าจะเข้ามาอยู่ในมนุษย์ทุกคน มนุษย์ทุกคนมีสิทธิ์  โดยผ่านทางพระเยซูคริสต์  พระเจ้าประทานพระเยซูคริสต์เป็นหนทาง เพื่อว่ามนุษย์จะได้สามารถเข้าสวรรค์ เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เปิดใจให้พระเยซูคริสต์ แล้วพระเจ้าพระบิดาเข้าไปสถิตอยู่ในวิญญาณของเขา พระเจ้าได้ประทานสิทธิ์และโอกาสนี้ให้กับมนุษย์ทุกคน ไม่ใช่บางคน มนุษย์ทุกคน

แต่สิ่งหนึ่งที่มนุษย์ทุกคนต้องกระทำ นั่นคือเขาต้องตอบสนองต่อของขวัญที่พระเจ้าให้ฟรีๆ นี้ คือต้องรับเอาไง พระเจ้าไม่สามารถไปเค้นคอ …

“ต้องรับนะ ต้องเอา ฉันจะเข้าไป”

พระเจ้า พระเยซูบอก พระองค์ทรงเข้าทางตรอก ออกทางประตู มาตามกฎระเบียบทุกอย่าง ไม่ใช่มาบังคับ ถึงแม้จะให้ฟรีๆ  และรู้ว่าดีอย่างไร?  รู้ว่ารักอย่างไรก็ตาม

“แต่เธอต้องตอบสนองด้วยตัวเธอเอง เธอต้องตัดสินใจด้วยตัวเธอเอง ฉันมีหน้าที่แค่เอาถ้อยคำพระเจ้าไปบอกเธอ เคาะประตูที่หัวใจของเธอตลอดเวลา ส่งคนไปแล้ว ส่งคนไปเล่า ส่งข้อความไปแล้ว รอว่าวันใดที่เธอจะเปิดใจ เปิดปุ๊บ ฉันจะเข้าไปอยู่ในตัวเธอ เป็นพระเจ้าข้างในเธอเลย”

คิดดูสิ ถ้าคนในอดีต สมัยอิสราเอล ในพระคัมภีร์เดิมได้ยินอย่างนี้ เขาคงตกใจมากเลย …

“มันเป็นไปไม่ได้ เป็นไปได้อย่างไร พระเจ้ามาสถิตอยู่ในเธอ เธอสะอาดเพียงใด พระเจ้าถึงอยู่ในเธอได้”

แต่พระเยซูคริสต์ทำได้  และพระองค์ทรงยืนยันในถ้อยคำของพระองค์เอง พูดเมื่อสักครู่นี้ ที่เราอ่านร่วมกัน

คราวนี้เราจะมาดูว่าทันทีที่เราเปิดใจต้อนรับพระเยซูเป็นพระผู้ช่วยให้รอด  ในลักษณะขบวนการการปฏิบัติการ มันเกิดอะไรขึ้นในโลกวิญญาณ พอเราต้อนรับพระเยซูคริสต์แล้ว พระองค์เข้ามาอยู่ในร่างกายของเราด้วยวิธีใด เข้ามาเป็นหนึ่งเดียวกันด้วยวิธีใด? พระคัมภีร์ได้อธิบายอย่างไร? แม้ว่าอาจจะไม่เข้าใจหมดตามสติปัญญาของมนุษย์ แต่เรายังพอได้เห็นคร่าวๆ ตามแต่ที่พระเจ้าทรงอธิบายให้ในถ้อยคำของพระองค์ในพระคัมภีร์

ในโลกวิญญาณ พอเราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอด ทันทีนั้น พระเจ้าได้ทำการผ่าตัด ย้ายวิญญาณของเราออกจากสถานที่หนึ่ง  ที่พระคัมภีร์เขียนไว้ว่าออกจากในอาดัม มาอยู่ในพระคริสต์ ในพระเยซู โดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า ด้วยฤทธิ์เดชอำนาจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า ขบวนการนี้ เรียกกันเป็นภาษากรีก คือบัพติศมา “บัพติศมา” คือการเปลี่ยนแปลงอะไรบางอย่าง คือการย้ายทางโลกฝ่ายวิญญาณ  โดยฤทธิ์เดช ถ้าบอกว่าโดยฤทธิ์เดช ก็ไม่ใช่ด้วยความสามารถของมนุษย์แล้ว ด้วยฤทธิ์เดชของพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า  เข้ามาในวิญญาณของมนุษย์ แล้วก็เริ่มย้ายวิญญาณเรา ซึ่งอยู่ในอดัม เข้ามาอยู่ในพระเยซูคริสต์ เรียกว่าบัพติศมา

“บัพติศมา” เป็นภาษากรีก แปลว่าจุ่มลงไป ดำมิดลงไป ฝังลงไป เพื่อที่จะเข้าเป็นส่วนร่วม เป็นหนึ่งเดียวกัน  เข้าส่วนร่วม เพื่อกลาย กลืน เป็นสิ่งเดียวกันของอะไรบางสิ่ง

และในนี้บอกว่า “บัพติศมา” เราเข้าไปในพระเยซูคริสต์ ก็คือจุ่มเรา ดำมิดเรา ฝังเราเข้าส่วนร่วม เป็นหนึ่งเดียวกัน ในพระเยซู

ย้ายเราออกมา ให้เรามีส่วนร่วมเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเยซู เรียกว่าบัพติศมา เราจะมาอ่านข้อพระคัมภีร์ที่พูดถึงอาการที่เกิดขึ้น  ขบวนการที่เกิดขึ้น  เมื่อตอนที่เราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอดว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์ ได้เสด็จเข้ามาในวิญญาณ  ผ่าตัดวิญญาณของเรา แล้วทำอะไรกับเราบ้าง? โรม 6:3-6 จะพูดไว้ค่อนข้างชัดเจน เป็นขั้น เป็นตอน ก็เลยยกตัวอย่างตรงนี้มาให้อ่าน ให้เห็นชัดเจนขึ้น

โรม 6:3-6 “3 ท่านไม่รู้หรือว่าเราทั้งปวงที่รับบัพติศมาเข้าในพระเยซูคริสต์  ก็ได้รับบัพติศมาเข้าในความตายของพระองค์ 4 ฉะนั้น เราจึงถูกฝังไว้กับพระองค์แล้ว โดยการบัพติศมาเข้าในความตาย เพื่อว่าเราเองก็จะได้มีชีวิตใหม่ เช่นเดียวกับที่ทรงให้พระคริสต์เป็นขึ้นจากตาย โดยพระเกียรติสิริของพระบิดา 5 ถ้าเราได้มีส่วนร่วมกับพระองค์ ในการตายเหมือนพระองค์ แน่นอน เราจะมีส่วนร่วมในการเป็นขึ้นจากตายเหมือนพระองค์ 6 เพราะเรารู้ว่าตัวเก่าของเรา ถูกตรึงไว้กับพระองค์แล้ว เพื่อกายบาปนั้น จะถูกขจัดไป เพื่อเราจะไม่เป็นทาสบาปอีกต่อไป”

 

จำไว้ว่าบัพติศมา แปลว่าจุ่มลงไป ดำมิด ฝังลงไป เพื่อเข้าเป็นส่วนร่วม เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเยซูคริสต์ เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับพระองค์  นึกในใจตรงนี้นะ

ท่านไม่รู้หรือว่าเราทั้งปวงที่รับบัพติศมา ได้ถูกจุ่มลงไป  ดำมิดลงไป เพื่อเข้าส่วนร่วม เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเยซูคริสต์ เราทั้งปวงที่รับบัพติศมาเข้าในพระเยซูคริสต์ ก็คือพระวิญญาณนำวิญญาณเราเข้าไปแล้ว

วันนี้ผมมีตัวอย่างให้เห็น เกิดอะไรขึ้น ท่านไม่รู้หรือว่า? ก็แสดงว่ามันเกิดขึ้นแล้ว ท่านยังไม่ค่อยเข้าใจ ท่านไม่รู้ ถ้อยคำพระเจ้าตรงนี้จึงบอกว่าท่านไม่รู้หรือว่าเมื่อท่านเปิดใจ ต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดแล้ว พระวิญญาณเข้ามาในตัวท่านแล้ว กระทำการผ่าตัดวิญญาณท่านอย่างนี้ คือเราทั้งปวงที่รับบัพติศมาเข้าในพระเยซูคริสต์

สาธิต ตุ๊กตาแม่ลูกดกของรัสเซีย  นี่คือพระเยซูคริสต์ (ตุ๊กตาแม่ลูกดกตัวใหญ่สุด) นี่คือผู้เชื่อ (ตุ๊กตาแม่ลูกดกตัวเล็กกว่านิดหนึ่ง) ในนี้บอกว่าท่านไม่รู้หรือ? ท่านผู้เชื่อทั้งหลาย ผู้เชื่อ คือผู้ที่เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอด ประจำชีวิตส่วนตัวของเขา ผู้เชื่อทั้งหลาย ท่านไม่รู้หรือว่าท่านได้รับ คือพระวิญญาณเป็นผู้กระทำให้ เราไม่ได้ทำเอง  เราทำเองไม่ได้ พระวิญญาณได้ทำการนำวิญญาณของท่าน ผ่าตัดวิญญาณของท่าน  เข้าไปเป็นส่วนร่วมอยู่ในพระเยซู

พอท่านเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ พระวิญญาณจะทำอย่างนี้แหละ ตอนนี้ ท่านอยู่ในพระเยซู นี่เป็นการบัพติศมา โดยพระวิญญาณของพระเจ้า  ด้วยฤทธิ์เดชอำนาจของพระเจ้า หรือจะบอกไฟของพระเจ้า ก็ได้ ฤทธิ์เดชอำนาจนี้กระทำการผ่าตัดวิญญาณท่าน เข้ามาอยู่ในพระเยซูคริสต์ ย้ายออกมาจากสถานที่หนึ่ง ที่อยู่ข้างนอกพระเยซู ที่เรียกว่าในอาดัม เข้ามาอยู่ในพระเยซูคริสต์แล้ว  ลองอ่านต่อไป ในนี้บอกว่าเราทั้งปวงที่ได้รับบัพติศมา ในพระเยซูคริสต์ ก็ได้รับบัพติศมาเข้าในความตายของพระองค์ พระเยซูคริสต์ได้ถูกตรึงที่ไม้กางเขน  เราทั้งหลายก็ถูกตรึงไปด้วย เพราะเราอยู่ข้างใน ชัดเจน

ในข้อที่ 4 บอกว่า … “ฉะนั้น เราจึงถูกฝังไว้กับพระองค์แล้ว  โดยการบัพติศมาในความตาย”

ในนี้บอกว่า … “เพราะฉะนั้น พระเยซูคริสต์ตายที่ไม้กางเขน แล้วร่างกายของพระองค์ที่เป็นศพ ที่ตายแล้วนั้น ถูกฝังไว้ในอุโมงค์”

ตอนนี้เราอยู่ที่ไหน? เราอยู่ในอุโมงค์ฝังศพ เพราะเราอยู่ในพระเยซูคริสต์ นั่นหมายถึงอย่างนั้น  นี่พระวิญญาณทำให้เกิดอย่างนี้ขึ้นทั้งนั้น

“เพื่อว่าเราเองก็จะได้มีชีวิตใหม่ เช่นเดียวกับทรงให้พระคริสต์เป็นขึ้นจากความตาย โดยฤทธิ์เดชของพระบิดา”

พระคัมภีร์บอกว่าโดยฤทธิ์เดชอำนาจของพระบิดา เมื่อพระองค์ทรงสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขนแล้ว ถูกฝังไว้ในอุโมงค์ วันที่ 3 ฤทธิ์เดชอำนาจจากพระเจ้า ได้ชุบพระเยซูให้เป็นขึ้นจากความตาย

ถามว่าตอนนี้เราอยู่ที่ไหน? (เอาแม่ลูกดกที่เป็นผู้เชื่อ เข้าไปอยู่ในตัวแม่ลูกดกที่เป็นพระเยซู) เราก็อยู่ในพระเยซูคริสต์ เราก็เป็นขึ้นจากความตายด้วย ตอนที่พระเยซูถูกฝัง เราถูกฝังไว้ด้วย  ตอนที่พระเยซูถูกชุบให้เป็นขึ้นมาจากความตาย เราก็เป็นขึ้นมาจากความตายด้วย เราได้บังเกิดใหม่ร่วมกับพระเยซูด้วย ที่ไหน? ที่ในพระเยซูคริสต์ เราอยู่ในนี้

ข้อ 5 บอกว่า … “ถ้าเราได้มีส่วนร่วมกับพระองค์” ก็คือถ้าเราได้มีส่วนบัพติศมากับพระองค์ ก็คือมีส่วนอยู่ในพระองค์ เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์ ในการตายเหมือนพระองค์ แน่นอน เราก็จะมีส่วนร่วม ก็คือเราก็บัพติศมาอยู่ในพระองค์ ตอนที่พระองค์ทรงเป็นขึ้นจากความตายเหมือนกัน เหมือนกับพระองค์เลย เพราะเราอยู่ในพระองค์ เพราะเรารู้ว่าตัวเก่าของเราถูกตรึงกับพระองค์แล้ว เพื่อกายบาปนั้น จะถูกขจัดออกไป เพื่อเราจะไม่เป็นทาสบาปอีกต่อไป

ก็คือย้อนกลับมาเมื่อตะกี้นี้ ตอนแรกเริ่มต้น ที่เราอยู่ในพระเยซู เราเป็นคนบาป และตายที่ไม้กางเขนร่วมกับพระเยซู ตัวเก่า วิญญาณเก่าของเรา ซึ่งเป็นวิญญาณสกปรก ได้ตายพร้อมพระเยซูที่ไม้กางเขน  และได้ถูกฝังไว้ และได้เป็นขึ้นจากความตาย  ในวันที่ 3  ร่วมกับพระเยซู เพราะเราได้ถูกบัพติศมา เข้าส่วนร่วม เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเยซูคริสต์เรียบร้อยไปแล้ว เอเมน

ยกอีกตัวอย่างหนึ่ง เพื่อท่านจะได้เห็นชัดขึ้นว่าการบัพติศมาเป็นอย่างไร? เมื่อเราตอนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด อันนี้ง่ายขึ้นนะ

ย้อนถ้อยคำพระเจ้าเมื่อสักครู่นี้ อีกทีหนึ่ง โดยการสาธิตให้ดู ท่านไม่รู้หรือว่าปกติท่านเป็นคนบาป ต้องชดใช้บาป หนี้กรรม เวรกรรม ไปจนไม่รู้กี่สิบชาติ ไม่มีวันได้ผุดได้เกิดแน่นอน แต่พระเยซูมา เพื่อช่วยท่าน ให้รอดพ้นจากความบาป และเป็นหนทางให้ท่านไปสู่สวรรค์ อยู่กับพระเจ้าได้ บริสุทธิ์ สะอาด ศักดิ์สิทธิ์ สามารถอยู่กับพระเจ้าได้ ทางพระองค์เท่านั้น แล้วท่านเชื่อในคำพูดของพระเยซูคริสต์ เชื่อว่าที่พระองค์พูดนั้นเป็นจริง เชื่อพระเยซูเป็นพระผู้ช่วยให้รอด เป็นพระผู้ไถ่บาป ที่พระเจ้าทรงประทานให้กับมนุษยชาติ รวมทั้งฉันด้วย จริงๆ เมื่อท่านเชื่อจริงๆ  ท่านก็เปิดใจ ต้อนรับพระเยซูเป็นพระผู้ช่วยให้รอด ต้อนรับว่า …

“ข่าวดีนี้เป็นของฉัน ฉันเอาแล้ว ฉันจะไม่พึ่งพาการกระทำของตนเองอีกแล้ว แต่จะพึ่งพาพระคริสต์”

ทันทีทันใดนั้น ท่านก็เริ่มต้นกลายเป็นผู้เชื่อ ผู้เชื่อในข่าวดีจริงๆ คือได้กระทำการเปิดใจ พอเชื่อจริงๆ ปุ๊บ (ซองนี้ (ซองสีน้ำตาล A4) คือพระเยซู) พระวิญญาณก็เข้ามาในวิญญาณของท่าน จับวิญญาณของท่านผ่าตัด ใส่ลงไปในพระเยซู (จับเอาผู้เชื่อใส่เข้าไปในซองจดหมาย) เข้าส่วนเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเยซูคริสต์ เรียกว่าบัพติศมาท่านเข้าไปในพระเยซูคริสต์ เป็นหนึ่งเดียวกัน

พระเยซูบอกว่าท่านกับเรา ก็คือท่านผู้ที่เชื่อกับเรา กับพระเยซู เป็นหนึ่งเดียวกัน แล้วพระเยซูกับพระบิดา เป็นหนึ่งเดียวกัน พระบิดา ก็หมายถึงพระบิดา พระวิญญาณบริสุทธิ์ 3 พระภาค

พระวิญญาณบริสุทธิ์บัพติศมาท่าน เสร็จปุ๊บ พระเจ้า พระบิดา พระวิญญาณบริสุทธิ์  และพระเยซูเป็นหนึ่งเดียวกัน (เข้าไปอยู่ในซองจดหมายนี้) นี่คือตอนที่เราเชื่อในข่าวดีของพระเยซู พระวิญญาณบริสุทธิ์ได้เข้ามาบัพติศมาเรา ด้วยวิธีอย่างนี้แหละ แล้วพระวิญญาณบริสุทธิ์ในพระคัมภีร์บอก เข้ามาเป็นหนึ่ง แค่นั้นไม่พอ  ถ้อยคำพระเจ้าบอกว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์ได้ทำการปิดผนึก ซีลเลย ไปไหนไม่ได้แล้ว ไม่ต้องกลัวอะไรอีกแล้ว ตอนนี้ท่านอยู่ที่ไหน? ผู้เชื่อทั้งหลาย ทันทีที่ท่านเชื่อ  เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ วิญญาณของท่านอยู่ในนี้ อยู่ในพระเจ้าพระบิดา พระบุตร และพระวิญญาณบริสุทธิ์  อยู่ใน 3 พระภาค เป็นหนึ่งเดียวกันกับ 3 พระภาคนี้เลย แล้วแถมหุ้มห่อท่านไว้เรียบร้อย ปกปักคุ้มครองดูแลท่านทุกอย่าง มันเป็นอย่างนี้ นี่คือภาพที่ให้ท่านเห็นชัดเจน

แล้วตอนนี้เราจะมาดูสิว่าเมื่อเราเป็นหนึ่งแล้ว  ในพระคัมภีร์ได้เขียนถึงสถานะ ตำแหน่ง การเข้าไปอยู่ในครอบครัวพระเจ้า การเข้าไปอยู่ในพระเยซูคริสต์ อยู่ในพระบิดา  อยู่ในพระวิญญาณบริสุทธิ์ เป็นหนึ่งเดียวกัน ตำแหน่งในวิญญาณ มันอยู่ตรงไหน? ของโลกวิญญาณนี้ พระคัมภีร์บอกไว้ว่าอย่างไร? เปิดไปหนังสือเอเฟซัส 1:18 อ่านข้อนี้ก่อน

เอเฟซัส 1:18 “ข้าพเจ้ายังอธิษฐานขอพระเจ้า ให้ตาของวิญญาณ (ซึ่งเป็นตัวจริงๆ ของท่าน) สว่าง เพื่อจะได้รับการสำแดงความรู้ จากพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า เพื่อท่านจะได้รับรู้ถึงความหวัง และมีความมั่นใจ ในเรื่องเกี่ยวกับสวรรค์ของพระเจ้า ที่พระองค์ได้เรียกท่านเข้ามานั้น  และรับรู้เรื่องมรดก ที่เต็มไปด้วยสง่าราศี อันยิ่งใหญ่รุ่งเรือง และมีค่าที่สุดของพระองค์  ที่ได้ทรงจัดเตรียมไว้ให้กับท่าน ผู้ซึ่งได้เป็นประชากรที่บริสุทธิ์ชอบธรรมของพระเจ้าแล้ว (โดยผ่านทางการเชื่อและการรับสิทธิ์ของท่าน ที่พระเยซูได้ไถ่บาปให้)”

 

อาจารย์เปาโลก็เหมือนกับผมตอนนี้  คืออยากให้ผู้ที่เชื่อพระเจ้าแล้ว ได้เห็นความจริงว่ามันเกิดอะไรขึ้นในโลกวิญญาณบ้าง ความยิ่งใหญ่ของพระเจ้า ที่ทรงกระทำให้กับเรา ผู้เชื่อทั้งหลาย มันเป็นอย่างไร? และในขณะเดียวกัน เพื่อที่จะให้ผู้คนที่ยังไม่เชื่อ ได้เห็นว่าเมื่อเขาได้ยินข่าวประเสริฐของพระเจ้า เมื่อเขาต้อนรับข่าวประเสริฐของพระเจ้า เมื่อเขาเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์แล้ว มันจะเกิดอะไรขึ้น ในวิญญาณของเขา …

“ข้าพเจ้ายังอธิษฐานขอพระเจ้า ให้ตาของวิญญาณ (วิญญาณ คือตัวจริงๆ ของมนุษย์) สว่างขึ้น จะได้รับรู้ สำแดงความรู้ จากพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า  เพื่อท่านจะได้รับรู้ถึงความหวังและมีความมั่นใจในเรื่องเกี่ยวกับสวรรค์ของพระเจ้าที่พระองค์ทรงเรียกท่านเข้ามานั้น”

รู้เพื่อความมั่นใจว่าที่พระเยซูคริสต์บอกว่าพระองค์ทรงเป็นทางไปสู่สวรรค์นั้น เมื่อท่านเปิดใจต้อนรับพระองค์แล้ว เชื่อแบบเด็กๆ แล้ว มันเกิดขึ้นจริงๆ พอรู้ความจริงเหล่านี้ พระวิญญาณบริสุทธิ์ให้เรารับรู้มากขึ้น เราก็เกิดความมั่นใจขึ้นว่าเราอยู่ในสวรรค์แล้วจริงๆ

ต่อไปบอกว่าและรับรู้เรื่องมรดก ที่เต็มไปด้วยสง่าราศี อันใหญ่ยิ่งรุ่งเรือง และมีค่าสุดของพระองค์ ที่ได้จัดเตรียมไว้เรียบร้อยแล้วให้กับท่าน ผู้ซึ่งได้เป็นประชากรที่บริสุทธิ์ ชอบธรรมของพระเจ้าแล้ว เมื่อท่านเชื่อพระเยซู บังเกิดใหม่ เป็นลูกของพระเจ้าแล้ว ในโลกวิญญาณ นอกจากไปสวรรค์แล้ว มันมีอะไรอีกเยอะแยะมากมาย

ในนี้จึงบอกว่าโดยผ่านทางการเชื่อ และการรับสิทธิของท่าน ที่พระเยซูได้ไถ่ไว้ พระเจ้าได้ทรงจัดเตรียมให้กับท่านเรียบร้อยแล้ว ของมีค่าสูงสุด อันยิ่งใหญ่ รุ่งเรือง เต็มด้วยสง่าราศีของพระองค์ อะไรบ้างในโลกวิญญาณ  ที่พระองค์ทรงเตรียมไว้ให้  ดูต่อไป ข้อ 19-20

เอเฟซัส 1:19-20 “19 เพื่อท่านจะได้เริ่มต้นเรียนรู้ ถึงฤทธิ์เดชอำนาจยิ่งใหญ่มหาศาล ที่ไม่มีขีดจำกัด และหาที่เปรียบไม่ได้ของพระเจ้า 20 ซึ่งเป็นฤทธิ์เดชอำนาจ พลังที่ยิ่งใหญ่มหาศาลทางฝ่ายวิญญาณที่กระทำการงานอยู่ในวิญญาณของเรา ผู้ซึ่งได้เชื่อและรับสิทธิ์ของเราที่พระเยซูได้ไถ่บาปให้ ซึ่งเป็นฤทธิ์เดชอำนาจพลังที่ยิ่งใหญ่มหาศาลเดียวกันกับที่พระเจ้าได้กระทำในพระเยซู เมื่อตอนที่พระองค์ได้ชุบพระเยซูให้เป็นขึ้นจากความตาย และได้แต่งตั้งให้พระเยซูนั่งอยู่ที่เบื้องขวาของพระองค์ ในย่านฟ้าอากาศ (สวรรค์) ต่างๆ ในโลกฝ่ายวิญญาณ”

 

ข้อ 19 บอกว่าเพื่อท่านจะได้เริ่มต้นเรียนรู้ ถึงฤทธิ์เดชอำนาจยิ่งใหญ่มหาศาล ที่ไม่มีขีดจำกัด หาที่เปรียบไม่ได้ของพระเจ้า  อาจารย์เปาโลเขียนถึงผู้เชื่อใหม่ เป็นห่วงเป็นใยเขา อยากให้เขารู้เรื่องนี้ เรื่องฤทธิ์เดชอำนาจอันยิ่งใหญ่มหาศาลที่ไม่มีขีดจำกัดของพระเจ้า เราเรียนมาหลายครั้งแล้ว ถ้อยคำพระเจ้าบอกว่าข่าวดีของพระเยซูคริสต์ เป็นฤทธิ์เดช เป็น Power เป็นพลังอำนาจที่ยิ่งใหญ่สูงสุด นี่แหละ เมื่อท่านเชื่อในพระเจ้า เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เจ้า ท่านควรจะเรียนรู้ถึงฤทธิ์เดชอำนาจยิ่งใหญ่มหาศาล ที่ไม่มีขีดจำกัด หาที่เปรียบไม่ได้ของพระเจ้า

ข้อ 20 บอกว่าซึ่งเป็นฤทธิ์เดชอำนาจ พลังที่ยิ่งใหญ่มหาศาล ทางฝ่ายวิญญาณ ที่กระทำการงานอยู่ในวิญญาณของเรา  ผู้ซึ่งได้เชื่อศรัทธา และใช้สิทธิของเรา คือเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด พระผู้ไถ่บาป ฤทธิ์เดชอำนาจยิ่งใหญ่สูงสุดนี้ ได้กระทำการงาน อยู่ในตัวท่าน อยู่ในตัวผม ผู้ที่ต้อนรับพระเยซูคริสต์ เป็นพระผู้ช่วยเรียบร้อยแล้ว ซึ่งเป็นฤทธิ์เดชอำนาจ พลังอำนาจที่ยิ่งใหญ่มหาศาลเดียวกันกับพระเจ้า ที่ได้กระทำในพระเยซูคริสต์ เมื่อตอนที่พระองค์ได้ทรงชุบพระเยซูให้เป็นขึ้นจากความตาย

ในนี้อธิบายต่อว่าฤทธิ์เดชอำนาจยิ่งใหญ่สูงสุดของพระเจ้า มหาศาล ที่กระทำการงานอยู่ในเราทั้งหลายที่ได้รับเชื่อ ในพระเยซูคริสต์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอด เปิดใจต้อนรับพระเยซูเรียบร้อยแล้วนั้น เป็นฤทธิ์เดช อำนาจเดียวกันกับที่พระเจ้าได้ทรงชุบพระเยซูให้เป็นขึ้นจากความตาย เป็นฤทธิ์เดชอำนาจเดียวกัน

ต่อไป … และได้แต่งตั้งให้พระเยซูนั่งอยู่ที่เบื้องขวาของพระองค์ ในย่านฟ้าอากาศ ในโลกฝ่ายวิญญาณ  คือสูงมาก ในย่านฟ้าอากาศ ในสวรรค์ต่างๆ ในโลกฝ่ายวิญญาณ คือคำว่า “สวรรค์” หมายถึงท้องฟ้าที่ตาเรามองไม่เห็น ในชั้นบรรยากาศ เลยจากชั้นบรรยากาศไป ก็มีชั้นที่เรามองเห็น ดวงดาว แล้วเลยมองจากดวงดาวไป เขาเรียกว่าโลกฝ่ายวิญญาณ ในสวรรค์ต่างๆ หมายถึงตรงนี้ หมายถึงนั่งอยู่ที่เบื้องขวาของพระองค์ พระเจ้าผู้ทรงครอบครองเหนือสวรรค์ต่างๆ เหล่านี้ทั้งหมด ตอนนี้พระเยซูนั่งอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้า และเราอยู่ในพระเยซู เราก็ได้นั่งอยู่ที่นั่นด้วยเช่นเดียวกัน นี่หมายถึงอย่างนั้น ตื่นเต้นลึกขึ้นเรื่อยๆ นะ ข้อที่ 21 …

เอเฟซัส 1:21  “ในตำแหน่งนี้ พระเยซูมีสิทธิอำนาจยิ่งใหญ่สูงสุด เหนือเหล่าวิญญาณที่ปกครองอยู่ในสถานที่ต่างๆ บนโลกนี้ เหนือเหล่าวิญญาณ ที่ใช้สิทธิอำนาจต่างๆ เหนือพลังอำนาจการครอบครอง ไม่ว่าจะผ่านทางทูตสวรรค์ต่างๆ หรือทางมนุษย์ก็ตาม เหนือทุกนามหรือชื่อที่ตั้งขึ้น สิทธิอำนาจและฤทธิ์เดชที่ยิ่งใหญ่สูงสุดของพระเยซูนี้ จะคงอยู่ตลอดไป ไม่ใช่ แค่ในยุคปัจจุบันบนโลกนี้เท่านั้น แต่รวมถึงยุคต่อๆ ไป ในอนาคตด้วย”

 

ในตำแหน่งนี้ ที่เบื้องขวาของพระเจ้า ในสวรรค์สถาน พระเยซูมีฤทธิ์เดชอำนาจยิ่งใหญ่สูงสุด เหนือ ฟังให้ดีๆ เหล่าวิญญาณที่ปกครองอยู่ในสถานที่ต่างๆ บนโลกใบนี้ เหนือเหล่าวิญญาณที่ใช้สิทธิอำนาจต่างๆ เหนือพลังอำนาจการครอบครอง ไม่ว่าจะผ่านทางทูตสวรรค์ต่างๆ หรือทางมนุษย์ก็ตาม เหนือทุกนาม หรือชื่อที่ตั้งขึ้น สิทธิอำนาจและฤทธิ์เดชที่ยิ่งใหญ่สูงสุดของพระเยซูนี้ จะคงอยู่ตลอดไป ไม่ใช่แค่ในยุคปัจจุบัน บนโลกนี้เท่านั้น  แต่รวมถึงยุคต่อๆ ไป ในอนาคตด้วย คือเป็นนิรันดร์เลย ความยิ่งใหญ่ ความมีตำแหน่งสูงสุด ครอบครองทั้งสวรรค์ และบนโลก วัตถุสิ่งของทุกอย่าง ทั้งมองเห็นและมองไม่เห็น ทั้งสิ่งมีชีวิตทุกสิ่ง วิญญาณทุกดวง เป็นของพระเยซู ที่นั่งอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้าในสวรรค์สถานแล้ว ในขณะนี้ และเป็นอยู่ตลอดไป และเราทั้งหลาย ผู้เชื่อนั้น อยู่ในพระเยซูคริสต์ และพระเยซูคริสต์เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเจ้า พระบิดาพระเจ้า พระบุตรพระเจ้า พระวิญญาณบริสุทธิ์

ต่อไป ข้อที่ 22-23 เราต้องเรียนรู้สิ่งต่างๆ เหล่านี้ มันเป็นของเรา เราจะได้รู้จริงๆ ว่าตำแหน่งของเรา ตัวจริงๆ ของเราตอนนี้อยู่ที่ไหน? วิญญาณเราจริงๆ อยู่ที่ไหน? และเราจะอยู่ที่นั่นตลอดไป

เอเฟซัส 1:22-23  “22 และพระเจ้าได้ให้สิ่งสารพัดทั้งในโลกวัตถุและโลกวิญญาณ อยู่ใต้เท้าของพระเยซูคริสต์ และพระเจ้าได้แต่งตั้งพระเยซูคริสต์ให้เป็นผู้ยิ่งใหญ่สูงสุด มีสิทธิอำนาจสูงสุด เหมือนเป็นศีรษะ อยู่เหนือทุกสิ่งในคริสตจักร (ผู้ที่เชื่อ และใช้สิทธิ์ในการไถ่บาป ที่พระเยซูคริสต์ได้ทำให้) 23 ที่เหมือนร่างกายของพระองค์ ซึ่งเป็นความสมบูรณ์ครบถ้วนของพระเยซูคริสต์ ผู้ทรงเติมเต็มความบริสุทธิ์ สมบูรณ์แบบ ให้กับเหล่าผู้ที่เชื่อ และใช้สิทธิ์ในการไถ่บาป ที่พระเยซูได้ทำให้”

 

“และพระเจ้าได้ให้สิ่งสารพัดทั้งในโลกวัตถุและโลกวิญญาณ อยู่ใต้เท้าของพระเยซูคริสต์” เมื่ออยู่ใต้เท้าพระเยซูคริสต์ ก็เท่ากับอยู่ใต้เท้าของเรา ผู้เชื่อ ที่ได้รับการบัพติศมาเข้าส่วน อยู่ในพระเยซูคริสต์แล้วด้วย เช่นเดียวกัน เอเมน

“และพระเจ้าได้แต่งตั้งพระเยซูคริสต์ให้เป็นผู้ยิ่งใหญ่สูงสุด มีสิทธิอำนาจสูงสุด เหมือนเป็นศรีษะ อยู่เหนือทุกสิ่งในคริสตจักร”  คริสตจักร หมายถึงสถานที่สถิตของพระเจ้า ก็คือร่างกายของมนุษย์ที่เชื่อและใช้สิทธิในการไถ่บาป  ที่พระเยซูคริสต์ได้กระทำให้กับเขา ก็คือเราผู้เชื่อศรัทธา ในการไถ่บาปของพระเยซู และเปิดใจต้อนรับพระเยซูนั่นเอง ให้ฤทธิ์อำนาจกับพระเยซูคริสต์ สูงสุด ยิ่งใหญ่ เป็นศีรษะ คือเป็นหัวหน้าของผู้เชื่อทั้งหลาย

ในข้อที่ 23 บอกผู้เชื่อทั้งหลายที่เรียกว่าคริสตจักร ที่เหมือนร่างกายของพระองค์ ซึ่งเป็นความสมบูรณ์ครบถ้วนของพระเยซู ก็คือเราทั้งหลายที่เชื่อศรัทธา  ที่เป็นหนึ่งเดียวกับพระเยซู เปรียบเสมือนเป็นร่างกายของพระเยซูคริสต์ พระองค์เป็นศีรษะ ศีรษะกับร่างกายแยกออกจากกันไม่ได้ ฉันใด พระเยซูและเราทั้งหลายที่เป็นผู้เชื่อศรัทธา ก็เป็นหนึ่งเดียวกัน โดยผ่านทางการบัพติศมากับพระวิญญาณบริสุทธิ์ เช่นนั้นแหละ ที่เหมือนร่างกายของพระองค์ ซึ่งเป็นความสมบูรณ์ ครบถ้วนของพระเยซู ผู้ทรงเติมเต็มความบริสุทธิ์  สมบูรณ์แบบให้กับเหล่าผู้ที่เชื่อ  และใช้สิทธิในการไถ่บาปที่พระเยซูได้ทำให้กับเขา เอเมน เมื่อเชื่อในข่าวประแสริฐของพระเยซูคริสต์แล้ว เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์แล้ว ผู้เชื่อเหล่านั้น ก็จะกลายเป็นวิญญาณที่บริสุทธิ์ ปราศจากบาปใดๆ ทั้งสิ้น แล้วยังแถมมีสิทธิอำนาจเท่ากับพระเยซู เพราะอยู่ในพระเยซูคริสต์ และพระเยซูคริสต์อยู่ในพระเจ้าพระบิดา กับพระวิญญาณบริสุทธิ์ เป็นหนึ่งเดียวกัน เราทั้งหลายก็เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์ มีสิทธิอำนาจสูงสุด ได้นั่งอยู่กับพระองค์ที่เบื้องขวาของพระเจ้าในสวรรค์สถานแล้ว เป็นเช่นนี้แหละ

เหมือนในซองนี้ (ชูซองสีน้ำตาลขึ้น) เราก็อยู่ในซองนี้ พระเจ้าพระบิดา พระบุตรพระเยซูคริสต์ และพระเจ้าพระวิญญาณบริสุทธิ์  และเราทั้งหลายที่อยู่ข้างในพระเยซู เป็นหนึ่งเดียวกัน สูงสุดขนาดไหน? และเป็นแล้ว ในนี้ และจะเป็นอยู่อย่างนี้ ตลอดกาล ชั่วนิรันดร์เลย ขอบคุณพระเจ้า

อธิบายมาทั้งหมดนี้ เป็นของขวัญในฐานะลูกของพระเจ้า ไม่ต้องทำอะไรทั้งนั้นเลย ที่จะได้รับสิ่งเหล่านี้มา เป็นของฟรีหมด เป็นของขวัญและได้รับทันทีครบถ้วน เมื่อเปิดใจต้อนรับแล้วตอนนี้ ก็ได้รับตอนนี้ เป็นอยู่ ณ ตอนนี้ ในตำแหน่งนี้ทันทีเลย ไม่ต้องตายจากโลกนี้ไปก่อน แล้วจะเป็นอย่างนี้ อย่างครบถ้วนบริบูรณ์นิรันดร์ ไม่มีการเสื่อมถอย จากนี้ไป และไม่มีการเพิ่มเติมจากนี้ไป ไม่ต้องแสวงหาอะไรเพิ่มเติมจากนี้ไป ไม่ต้องกลัวอะไร จากนี้ไป ไม่ต้องหาอะไรมาเพิ่มเติมให้เราบริสุทธิ์ขึ้น ไม่ต้องหาอะไรมาให้พระเจ้าพอใจ เพื่อจะได้แต่งตั้งให้เราสูงขึ้น  เราสูงอยู่อย่างนี้แล้ว ไม่มีทางเอาออกจากนี่ไปได้ เพราะเราอยู่ในพระเยซูคริสต์ ไม่ใช่เรากระทำเอง พระเจ้ากระทำให้ทั้งสิ้นเลย เราเพียงแค่เปิดใจ ต้อนรับ รับเอาของขวัญนี้ไว้เท่านั้น เพียงแค่รู้ว่าตำแหน่งนี้เป็นอย่างไร? เพื่อจะได้มีความมั่นใจ เพื่อจะได้เอามาใช้สอยให้เป็นประโยชน์ในชีวิตของเรา  ไม่ต้องทำอะไรเลย เพียงแค่รับรู้และขอบพระคุณ

พระเยซูจึงบอกว่าพระองค์มาเพื่อมนุษย์ทั้งหลายจะได้หายเหนื่อยและเป็นสุข มาหาพระองค์สิ จะได้หายเหนื่อยและเป็นสุข  แอกของเราก็เบาสบาย ภาระของเราก็เบาสบาย แอกของเรา คือการมาร่วมเป็นหนึ่งเดียวกัน มามีส่วนในตัวเรา การเข้ามาบัพติสมาในเรา มันทำให้ท่านสบาย ไม่มีภาระอะไรเลย มันหมายถึงอย่างนั้น มันง่ายนิดเดียวเลยจริงๆ ซึ่งง่ายขนาดนี้ ก็ยังมีหลายคนที่ไม่รับของขวัญนี้ ก็ไม่ทราบ ไม่เข้าใจว่าไปคิดมากถึงขนาดนั้น เป็นของขวัญจากพระเจ้า รับฟรีๆ เลย มีบางพวกก็ไม่รับของขวัญนี้ ได้ยิน ก็เฉยๆ ได้ฟังก็เฉยๆ ไม่กระทำ ก็คือไม่เปิดใจต้อนรับพระเยซูเป็นพระผู้ช่วยให้รอด มันก็ไม่เกิดผลอะไร? มีบางพวก พระเยซูมาเคาะประตู เปิดประตูบ้านออกมา รับของขวัญไป  มีบางพวก พระเยซูมาเคาะประตู ไม่เปิดเลย มองอยู่ข้างนอกเฉยๆ พระองค์ก็นั่งเคาะ ยืนเคาะทุกวันๆ แต่มีบางคนที่เคาะ แล้วก็เปิดใจ เปิดเหมือนต้อนรับ เอาของขวัญเข้ามา เอาความรอดเข้ามา แต่ไม่ใช้ประโยชน์ให้เต็มที่ ไม่แกะกล่องของขวัญออกมา ไม่ใช้เลย

ยกตัวอย่างของขวัญนี้เป็นไอโฟนก็แล้วกัน บางคนเอาไอโฟนส่งมาให้หน้าบ้านบอกว่า …

“มีของขวัญฟรีๆ มาให้”

เอามาให้ถึงหน้าบ้าน คนก็จะบอกว่า … “เป็นไปได้อย่างไร ใครจะเอาของขวัญแพงๆ อย่างนี้มาให้ ไม่เอาหรอก ไม่จริงมั้ง”

ก็ไม่เปิดประตูบ้านสักที ไอโฟนก็วางอยู่หน้าบ้าน พร้อมทั้งผู้จัดส่งรอทุกวัน มาทุกวันๆ ไม่เปิด บางคนก็เปิด มันมีฟรีจริงๆ เอาๆ ก็เอาไอโฟนมา พอเอาไอโฟนมา โทรศัพท์อย่างเดียวเลย ไอโฟนมีค่ามากมายมหาศาล ทำอะไรก็ได้เยอะแยะมากมาย  โทรศัพท์อย่างเดียว ดีใจแล้ว พอแล้ว เปิดคู่มือใช้ จะรู้ว่ามันใช้อะไรได้อีกตั้งเยอะแยะ อย่างน้อยก็ไลน์ได้ เปิดยูทูปได้ ถ่ายรูปได้

เพราะฉะนั้น รู้อย่างนี้แล้ว ความจริงเหล่านี้จะทำให้เราเป็นอิสระ เป็นไท เมื่อเรารู้ตัวจริงๆ ของเรา แล้ววิญญาณของเราได้เกิดใหม่แล้ว นั่งอยู่กับพระเจ้า ที่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้าในสวรรค์สถานแล้ว  ในหนังสือยอห์น 4:4 บันทึกไว้อย่างนี้ว่า …

ยอห์น 4:4 “ลูกๆ เอ๋ย พวกคุณเป็นของพระเจ้า จึงมีชัยชนะเหนือพวกศัตรูของพระคริสต์  เพราะพระเจ้าที่อยู่ในพวกคุณ ยิ่งใหญ่กว่ามารที่อยู่ในโลกนี้”

 

ลูกๆ เอ๋ย ผู้ที่เชื่อในพระเจ้าแล้ว เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดแล้ว บัพติศมาเข้าไปเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเยซูคริสต์แล้ว เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเจ้าพระบิดาแล้ว กับพระวิญญาณบริสุทธิ์แล้ว สูงสุดขนาดนี้แล้ว พวกคุณเป็นของพระเจ้า ไม่มีใครเอาท่านออกไปจากซองนี้ (ซองสีน้ำตาลที่ใช้ยกตัวอย่าง) ได้เลย พูดง่ายๆ พระเจ้าไม่ยอมเด็ดขาด มีใครใหญ่กว่าพระเจ้าไม๊ล่ะ เพราะฉะนั้น พวกคุณจึงมีชัยชนะเหนือศัตรูทั้งหมด เพราะพระเจ้าที่อยู่ในพวกคุณ ยิ่งใหญ่กว่ามันทั้งหลาย ที่อยู่ในโลก ยิ่งกว่ามารทั้งหลายที่อยู่ในโลก ยิ่งใหญ่กว่าทุกสิ่งที่อยู่ในโลก เพราะทั้งหมดนี้ ในซองนี้ (ซองสีน้ำตาลที่ใช้ยกตัวอย่าง) นี้เป็นจริง ที่จะอยู่ไปนิรันดร์กาล แต่ร่างกายเราอยู่เพียงชั่วคราว 80 ปี 90 ปี 100 ปี แล้วแต่ ที่เราพูดกันทั้งหมด เกิดในโลกฝ่ายวิญญาณ

ลูกๆ เอ๋ย ท่านเป็นของพระเจ้า  พระเจ้าที่อยู่ในคุณทั้งหลาย พระเจ้าที่อยู่ในเราทั้งหลาย เป็นใหญ่กว่าโควิด-19 ที่อยู่บนโลก เป็นใหญ่กว่าผลกระทบจากโควิด-19 เรื่องราวต่างๆ เยอะแยะมากมาย ที่เป็นความทุกข์ยากลำบากบนโลกใบนี้ เป็นใหญ่กว่าความอดอยากบนโลกใบนี้ เป็นใหญ่กว่าความกลัว ความวิตกกังวลทั้งหลาย เป็นใหญ่กว่าปัญหาปากท้อง เป็นใหญ่กว่าโรคระบาดอื่นๆ อีกเยอะแยะมากมาย เป็นใหญ่กว่าความตายของร่างกายนี้ ซึ่งจะเกิดขึ้นแน่ๆ ในวันหนึ่งข้างหน้า มันหมายถึงอย่างนั้น พระเจ้าที่อยู่ในท่าน เป็นใหญ่กว่ามันทั้งหลายที่อยู่บนโลกนี้ และพระองค์ก็ทรงอยู่กับเรา ทั้ง 3 พระภาค พระเจ้าพระบิดา พระเจ้าพระบุตร พระเยซู พระเจ้าพระวิญญาณบริสุทธิ์สถิตอยู่กับเราข้างในนี้ เป็นหนึ่งเดียวกัน จูงมือเราเดินอยู่ทุกวัน คอยสอนเรา เฝ้าเรา รักเรามากเหลือเกิน ให้เวลากับเราตลอดเวลา ดูแลเราอย่างแก้วตาดวงใจของพระองค์

ฮีบรู 13:5-6 จึงได้เขียนอย่างนี้ ให้เรามั่นใจ ไม่ว่าสถานการณ์จะเป็นเช่นไร?

ฮีบรู 13:5-6  “5 จงรักษาชีวิตของท่าน ให้เป็นอิสระจากการรักเงินทอง (รวมถึงความโลภ  กิเลสตัณหา และความอยากได้ทรัพย์สมบัติทางโลก)   และจงพึงพอใจในสิ่งที่ตนมี  และสิ่งที่เป็นอยู่ เพราะพระเจ้าได้ตรัสไว้แล้วว่า “เราจะไม่มีวันปล่อยให้เจ้าล้มเหลว หรือท้อแท้สิ้นหวัง หมดหนทาง โดยไม่ช่วยเหลือเจ้า เราจะไม่มีวันทอดทิ้งเจ้า  เราจะไม่มีวันละทิ้งเจ้า” 6 ดังนั้น เราจึงกล้าที่จะกล่าวได้อย่างมั่นใจว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้า ทรงเป็นผู้ช่วยเหลือของข้าพเจ้า และข้าพเจ้าจะไม่หวาดกลัวต่อสิ่งใดเลย  มนุษย์จะทำอะไรข้าพเจ้าได้เล่า”

 

ข้อความตอนนี้ เขียนไปถึงผู้เชื่อทั้งหลาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งชาวอิสราเอล ชาวยิวที่กำลังเดือดร้อนอย่างหนัก ช่วงนั้น เกิดการกันดาร เศรษฐกิจหนักกว่าโควิด ไม่รู้กี่หมื่น กี่แสนเท่า ความทุกข์ทรมาน แล้วยังแถมถูกข่มเหงรังแก จากเรื่องของความเชื่อด้วย แล้วยังมีโรคระบาดอีกต่างหาก หนักกว่าปัจจุบันเยอะเลย เพราะฉะนั้น พระเจ้าจึงส่งข้อความนี้ ไปเพื่อบอกเขาทั้งหลายว่า …

“จงรักษาชีวิตของท่านให้เป็นอิสระจากการรักเงินทอง รวมถึงความโลภ กิเลสตัณหา และความอยากได้ทรัพย์สมบัติทางโลก และจงพึงพอใจในสิ่งที่ตนมีอยู่ และเป็นอยู่ เพราะพระเจ้าได้ตรัสแล้วว่า ‘เราจะไม่มีวันปล่อยให้เจ้าล้มเหลว หรือท้อแท้ สิ้นหวัง หมดหนทาง โดยไม่ช่วยเจ้า เราจะไม่มีวันทอดทิ้งเจ้า เราจะไม่มีวันละทิ้งเจ้า”

ในสถานการณ์เช่นนี้ โควิด-19 ซึ่งเล็กกว่าเรื่องราวที่พระคัมภีร์ได้เขียนถึงในขณะนี้ เมื่อ 2,000 ปีก่อนนั้น พระเจ้าพูดอย่างนี้แหละ  พระเจ้าได้ตรัสแล้วว่า … ‘เราจะไม่มีวันปล่อยให้เจ้าล้มเหลว หรือท้อแท้ สิ้นหวัง หมดหนทาง โดยไม่ช่วยเจ้า เราจะไม่มีวันทอดทิ้งเจ้า เราจะไม่มีวันละทิ้งเจ้า’ ดังนั้น เราจึงกล้าที่จะกล่าวได้อย่างมั่นใจว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้า ทรงเป็นผู้ช่วยเหลือของข้าพเจ้า และข้าพเจ้าจะไม่หวาดกลัวต่อสิ่งใดเลย  มนุษย์จะทำอะไรข้าพเจ้าได้เล่า

สถานการณ์บนโลกใบนี้จะทำอะไรข้าพเจ้าได้เล่า?  โควิดจะทำอะไรข้าพเจ้าได้เล่า?  ผลจากโควิดจะทำอะไรข้าพเจ้าได้เล่า? ความทุกข์ลำบากบนโลกนี้จะทำอะไรข้าพเจ้าได้เล่า? ในเมื่อพระเจ้าทรงสถิตอยู่ด้วยกันกับข้าพเจ้า และพระองค์ไม่ทอดทิ้งข้าพเจ้า พระองค์ทรงสัญญาไว้อย่างนี้แหละ” …  มันหมายถึงอย่างนั้น

อิสยาห์ 41:10  “ดังนั้น อย่ากลัวเลย เพราะเราอยู่กับเจ้า (อยู่ในเจ้า) อย่าท้อแท้ เพราะเราเป็นพระเจ้าของเจ้า เราจะทำให้เจ้าเข้มแข็งขึ้น และจะช่วยเจ้า เราจะชูเจ้าไว้ ด้วยมือขวาอันชอบธรรมของเรา”

 

นี่คือข้อความในอดีต ในพระคัมภีร์เดิม ตอนที่พระเยซูยังไม่มาเกิดเป็นมนุษย์ เรียกว่าพระเจ้ามาอยู่กับมนุษย์ชั่วคราว เรียกว่า “มาอยู่กับเจ้า” เพื่อช่วยเหลือ

บันทึกอย่างนี้ว่า “ดังนั้น อย่ากลัวเลย เพราะเราอยู่กับเจ้า อย่าท้อแท้ เพราะเราเป็นพระเจ้าของเจ้า เราจะทำให้เจ้าเข้มแข็งขึ้น และจะช่วยเจ้า เราจะชูเจ้าไว้ ด้วยมือขวาอันชอบธรรมของเรา”

เป็นข้อความที่เล็งให้เห็นเหมือนกับข้อความที่เผยพระวจนะ เผยแผนการล่วงหน้าว่าอนาคตพระเยซูจะมาบังเกิด และทำให้สิ่งเหล่านี้เป็นจริงเลย คือผู้ที่เชื่อในพระเยซูคริสต์ พระเจ้าก็จะมาสถิตอยู่กับเขา อย่างที่เราได้เรียนรู้ในวันนี้ ดังนั้น เมื่อพระเจ้าสถิตอยู่กับเราแล้ว ก็อย่ากลัวเลย  เพราะเราอยู่กับเจ้า  ผ่านทางพระเยซูคริสต์แล้ว เราเป็นหนึ่งเดียวกันกับเจ้า อย่ากลัวเลย ไม่ได้อยู่กับเจ้านะ ในสมัยอดีต อยู่กับเจ้า แต่ตอนนี้ ต้องบอกว่า … “เราอยู่ในเจ้า” … กับเจ้า และในเจ้า ไม่เหมือนกันนะ อยู่กับเจ้า คืออยู่เพียงชั่วคราว อยู่ข้างนอก เดี๋ยวก็ไป เดี๋ยวก็มา แต่เราอยู่ในเจ้า และจะไม่ทอดทิ้งเจ้าเลย คือไม่ไปไหนแล้ว ปิดผนึกเรียบร้อย เป็นหนึ่งเดียวกันเลย เราอยู่ในพระเจ้า อยู่ตรงนี้ อยู่ข้างในนี้ พระคัมภีร์บอกชีวิตเราถูกซ่อนอยู่ในพระคริสต์กับพระเจ้า มันหมายถึงอย่างนี้

เพราะฉะนั้น ไม่มีใครทอดทิ้งเราแล้ว อย่ากลัวเลย อย่าท้อแท้ เพราะเราเป็นพระเจ้าของเจ้า เราจะทำให้เจ้าเข้มแข็งขึ้น เราชูเจ้าด้วยมือขวาอันมีชัยของเรา เราชูเจ้าขึ้น นั่งอยู่ที่เบื้องขวาของเราในสวรรค์สถานแล้ว

โยชูวา 1:9  “เราสั่งเจ้าแล้วไม่ใช่หรือว่า ‘จงเข้มแข็ง และกล้าหาญเถิด อย่าหวาดกลัว อย่าท้อใจ เพราะไม่ว่าเจ้าไปที่ไหน พระยาห์เวห์ พระเจ้าของเจ้าจะอยู่กับเจ้าที่นั่น”

 

นี่ก็เป็นเงาและเล็งให้เห็นถึงเมื่อพระเยซูคริสต์มาเกิดเป็นมนุษย์แล้ว ผู้เชื่อในพระเยซูคริสต์แล้ว จะได้รับอย่างนี้แหละ พระเจ้าสั่งเรานะ ผู้ที่เชื่อว่า …

“เราสั่งเจ้าแล้วไม่ใช่หรือว่า ‘จงเข้มแข็ง และกล้าหาญเถิด อย่าหวาดกลัว อย่าท้อใจ เพราะไม่ว่าเจ้าไปที่ไหน พระยาห์เวห์ พระเจ้าของเจ้าจะอยู่กับเจ้าที่นั่น”

นี่เฉพาะพูดถึงโยชูวาผู้เดียวนะ แต่ตอนนี้พระเจ้าพูดกับผู้เชื่อในพระเยซูคริสต์ทุกคน ผู้เชื่อไปไหน พระเจ้าไปด้วย เพราะพระเจ้าอยู่ในท่าน ท่านอยู่ในพระเจ้า เป็นหนึ่งเดียวกัน ไม่มีทางแยกจากกันเลย ไม่ต้องกลัวเลย ไปด้วยกัน พระเจ้าจะจูงมือเราเดิน

อย่ากลัวเลย ไม่ว่าอะไรก็ตาม อย่ากลัว พระเจ้าบอกกับเราวันนี้ และในสถานการณ์ต่างๆ ถ้าไม่กลัว ก็จะพึงพอใจในทุกสถานการณ์ที่เผชิญอยู่ ที่ประสบอยู่ เมื่อไม่กลัว ก็จะเกิดความพอใจ เมื่อเกิดความพอใจ ก็จะแบ่งปันด้วยความรักแท้ ที่อยู่ภายใน ไปสู่ผู้คนรอบข้าง แม้สถานการณ์ตัวเองจะดูเหมือนไม่ดี แต่ไม่กลัวสักอย่าง ความทุกข์ยากลำบากในสถานการณ์ปัจจุบันจะดีขึ้นหรือไม่? เราไม่รู้ สถานการณ์นี้ โควิดอีกกี่ปี เราก็ไม่รู้ ผลของโควิดจะเยอะกว่านี้ไหม? เราก็ไม่รู้ แต่ที่เรารู้แน่ๆ คือเราสามารถให้ความรักแท้ของพระเยซูคริสต์ที่อยู่ในเรา เจริญเติบโตขึ้นทุกวัน เพิ่มพูนขึ้นทุกวัน ได้อย่างแน่นอน โดยการอธิษฐาน การวิงวอน และการแบ่งปันอะไรที่มีอยู่ แบ่งปัน แปลว่าแบ่งให้เท่าที่เรามีอยู่ ทำออกจากใจ ออกจากวิญญาณ  โดยพระเจ้านำ  ด้วยความรักแท้ จากภายในวิญญาณของเรา  ซึ่งเป็นลูกของพระเจ้าที่ได้ถูกเปลี่ยนไปแล้ว เป็นเหมือนพระเจ้าไม่มีผิดเลย เราสามารถที่จะให้ความรักออกไป เหมือนที่พระเยซูคริสต์ให้ความรักออกไปได้ เพราะเรากับพระองค์เป็นหนึ่งเดียวกัน เหมือนกันเลย เราจึงสามารถให้ด้วยความรักนี้ออกไปได้

สมัยก่อนนี้ เราสามารถให้ โดยปราศจากความรัก ให้เพราะสงสาร ก็มี ให้เพราะอยากดัง ก็มี ให้เพื่อหวังผลประโยชน์ ก็มี แต่เราไม่สามารถรัก โดยปราศจากการให้ได้ ก็คือเราไม่สามารถที่จะมีความรักเหมือนพระเยซูคริสต์ โดยไม่ให้ออกไปเลย มันเป็นไปไม่ได้  ถ้าเราเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเยซูแล้ว พระเยซูเป็นความรัก เราก็เป็นความรักเหมือนพระองค์ไม่มีผิด และมีสัญชาตญาณของความรัก นั่นคือการแบ่งปัน การให้ออกไป นอกจากนั้น เรายังมีธรรมชาติที่เหมือนพระเจ้า เหมือนพระเยซูที่อยู่ภายใน คือธรรมชาติของการกระทำความดี การกระทำดีโดยธรรมชาติจากข้างในออกมา

นี่คือสำหรับผู้คนที่เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอดแล้ว และสำหรับผู้ที่ยังไม่เปิดใจต้อนรับพระเยซู ท่านแน่ใจหรือว่าท่านจะเดินตามลำพัง เพียงคนเดียวบนโลกใบนี้ ในขณะที่รอบข้างท่านมีปัญหาอย่างนี้  ท่านพร้อมที่จะอำลาจากโลกใบนี้ไป เผชิญกับโลกภายภาคหน้า โดยลำพัง เช่นนั้นหรือ? ท่านมั่นใจที่จะเดินตามลำพัง เพียงผู้เดียว มั่นใจในการกระทำดีของท่าน มั่นใจในความเชื่อของท่านอย่างนั้นหรือ? พระเยซูยังคงเคาะประตูใจของท่านตลอดเวลา ด้วยความรัก ความห่วงใยอย่างมากล้น ที่อยากจะเข้าไปช่วยเหลือท่านอย่างมาก อยากจะเข้าไปนำพาชีวิตของท่าน อยากจะไปจูงมือของท่านเดิน ไม่ใช่จูงมือเฉพาะ 2 ปี 3 ปี 4 ปี หรือสิ้นสุดบนโลกใบนี้  แต่จะจูงมือท่านเดิน ไปกับพระองค์ชั่วนิรันดร์ ไปจนถึงสวรรค์ของพระเจ้านิรันดร์กาล  พระเจ้าอวยพรครับ

 

****************************

 

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  10  มกราคม  2021

 เรื่อง “เกิดอะไรขึ้น เมื่อเราเปิดใจต้อนรับพระเยซู”

โดย นคร   เวชสุภาพร

 

เราจะมาบรรยายเรื่องเกี่ยวกับสวรรค์ ต่อจากสัปดาห์ที่แล้วๆ มา เราเน้นกันถึงความเข้าใจ ที่ถูกต้อง ตามหลักพระคัมภีร์ ในเรื่องของการเข้าสู่สวรรค์ เรื่องของความเชื่อว่าเมื่อเชื่อในการประกาศข่าวดีของพระเยซูคริสต์ว่าพระองค์เป็นใคร?  และพระองค์เป็นทางเข้าสู่สวรรค์ เป็นของขวัญจากพระเจ้า มาสู่มนุษย์ทุกคน  ให้เปล่าๆ ให้ฟรีๆ  เมื่อได้ยินได้ฟังข่าวดีนี้แล้ว เชื่อแล้ว เชื่อแล้วต้องมีการกระทำ อะไรบางอย่าง จึงจะเป็นเครื่องพิสูจน์ว่าเชื่อจริงๆ ไม่ใช่ฟังแล้วดี แล้วก็เฉยๆ  และสิ่งนั้น คืออะไร? สิ่งนั้น ก็คือต้องเปิดใจ ต้อนรับพระเยซูคริสต์ว่าเป็นพระผู้ช่วยให้รอดจริงๆ  เป็นพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์  ช่วยฉันได้จริงๆ เมื่อเชื่อว่าพระเจ้าให้ของขวัญ และเปิดใจต้อนรับของขวัญทันที ซึ่งวิธีทำให้ได้รับของขวัญนี้  พระเยซูก็ได้พูดเอาไว้ด้วยว่าอย่างนี้ ในวิวรณ์ 3:19-20

หัวข้อเรื่องวันนี้คือ “เกิดอะไรขึ้น เมื่อเราเปิดใจต้อนรับพระเยซู” เมื่อเชื่อในข่าวดีของพระเยซู และกระทำสิ่งหนึ่ง พิสูจน์ความเชื่อ ด้วยการเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอดจริงๆ แล้ว พอเปิดใจแล้ว มันเกิดอะไรขึ้น  เกิดอะไรขึ้น เมื่อเราเปิดใจต้อนรับพระเยซู วิวรณ์ 3:19-20

วิวรณ์ 3:19-20 “19 เขาเหล่านั้น ที่เรารักอย่างสุดซึ้งและจริงใจ เราจะบอกกล่าวความผิดของพวกเขาจะติเตียน และอบรมสั่งสอนพวกเขา ดังนั้น จงกระตือรือร้นและตั้งใจจริงที่จะเปลี่ยนแปลงความคิดจิตใจ และจงกลับใจใหม่ 20 ดูเถิด เรายืนอยู่ที่ประตู และเคาะประตูเรียกแล้ว ถ้าผู้ใดได้ยินและได้ฟังเสียงของเรา และเปิดประตูรับเรา เราจะเข้าไปหาผู้นั้น และจะรับประทานอาหารร่วมกับเขา และเขาจะรับประทานร่วมกับเรา”

 

“เขาเหล่านั้น ที่เรารักอย่างสุดซึ้งและจริงใจ” ก็คือมนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้ “เราจะบอกกล่าวความผิดของพวกเขาจะติเตียน และอบรมสั่งสอนพวกเขา ดังนั้น จงกระตือรือร้นและตั้งใจจริงที่จะเปลี่ยนแปลงความคิดจิตใจ และจงกลับใจใหม่”

ผู้ที่ได้ยินข่าวดีของพระเยซูคริสต์แล้ว พระองค์มาบอกทางไปสู่สวรรค์ด้วยความรักแล้ว จะต้องทำสิ่งหนึ่ง คือกระตือรือร้น ตั้งใจที่จะเปลี่ยนแปลงความคิดจิตใจเดิมของเรา และกลับใจใหม่ มาพึ่งในพระองค์

และข้อ 20 ได้บันทึกชัดเจนบอกว่า … “เรายืนอยู่ที่ประตู และเคาะประตูเรียกแล้ว” เรียกแล้วเรียกอีก เรียกอยู่

“เรายืนอยู่ที่ประตู และเคาะที่ประตูใจของท่าน ถ้าผู้ใดได้ยินและได้ฟังเสียงของเรา และเปิดประตูรับเรา”

ก็คือเปิดใจต้อนรับข่าวดีของพระเยซู

“เราจะเข้าไปหาผู้นั้น และจะรับประทานอาหารร่วมกับเขา และเขาจะรับประทานอาหารร่วมกับเรา”

ก็คือเราจะเข้าไปอยู่อาศัยกับเขา ข้างในวิญญาณของเขา เป็นครอบครัวเดียวกัน เป็นครอบครัวของพระเจ้านั่นเอง และยืนยันด้วยถ้อยคำของพระองค์ ในยอห์น 14:23 พระเยซูตรัสดังนี้ว่า …

ยอห์น 14:23 “พระเยซูตรัสตอบว่า “ถ้าผู้ใดรักเราเขาจะเชื่อฟังคำสอนของเรา พระบิดาของเราจะทรงรักเขา พระบิดากับเราจะมาหาเขาและอยู่กับเขา”

 

“ผู้ใดรักเรา เขาจะเชื่อฟังถ้อยคำของเรา” นั่นเอง

ถ้อยคำของเราที่บอกว่า …“ความสามารถของท่าน  ไม่มีทางทำให้ท่านเป็นคนดีพร้อม ดีเท่าๆ กับพระเจ้า  สามารถเข้าสู่สวรรค์ ไปอยู่กับพระเจ้าได้”

ท่านทำไม่ได้หรอก ความชอบธรรม การเข้าสู่สวรรค์ ด้วยการกระทำของตนเอง  ด้วยความประพฤติของตนเอง ไม่มีทางเข้าไปได้หรอก  มีทางเดียวเท่านั้นที่จะเข้าสู่สวรรค์ไปหาพระเจ้าได้ ก็คือทางเรา ทางพระเยซู ซึ่งพระเจ้าพระบิดาได้ส่งเรามา เพื่อช่วยท่าน ให้เข้าสู่สวรรค์ได้ นี่คือคำของพระเยซู รวมๆ แล้ว เป็นอย่างนี้

ผู้ใดที่รักพระเยซู และเชื่อพระเยซูจริงๆ ก็ต้องเชื่อฟังคำสอนนี้ ก็คือไม่พึ่งพาความรอบรู้ การกระทำของตนเองอีกแล้ว แต่จะมาพึ่งพระเยซูผู้เดียวนั่นแหละ

และในนี้บอกว่าอย่างไร? … “พระบิดาของเราจะทรงรักเขา พระบิดากับเราจะมาหาเขาและอยู่กับเขา”

เมื่อเชื่อในถ้อยคำของพระองค์ เปิดใจต้อนรับพระเยซู เป็นพระผู้ช่วยให้รอดแล้ว พระเจ้าพระบิดา และพระเยซูคริสต์ เป็นหนึ่งเดียวกัน  เข้ามาอยู่ในร่างกาย  ในวิญญาณของเขา ผู้เชื่อนั้น มาเป็นครอบครัวเดียวกัน มาเป็นหนึ่งเดียวกัน  อยู่ด้วยกันกับเขาในวิญญาณทันที

และในหนังสือยอห์น 17:20-23 ที่สัปดาห์ก่อนโน้น เราเคยยกมายืนยันอีกครั้งหนึ่งว่าพระเจ้าสถิตอยู่ในเราอย่างไร? เมื่อเราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอด  เกิดอะไรขึ้น  ยอห์น 17:20-23 …

ยอห์น 17:20-23 “20 ข้าพระองค์ไม่ได้อธิษฐาน เพื่อพวกเขาเท่านั้น แต่ข้าพระองค์อธิษฐาน เพื่อบรรดาผู้ที่เชื่อในข้าพระองค์ ผ่านทางถ้อยคำของพวกเขาด้วย 21 เพื่อพวกเขาทั้งหมดจะเป็นหนึ่งเดียวกัน พระบิดาเจ้า พระองค์ทรงอยู่ในข้าพระองค์ และข้าพระองค์อยู่ในพระองค์อย่างไร ก็ขอให้พวกเขาอยู่ในพระองค์ และอยู่ในข้าพระองค์อย่างนั้นด้วย เพื่อโลกจะได้เชื่อว่าพระองค์ทรงส่งข้าพระองค์มา 22 เกียรติสิริ ซึ่งพระองค์ประทานแก่ข้าพระองค์นั้น ข้าพระองค์ได้มอบให้พวกเขาแล้ว เพื่อพวกเขาจะได้เป็นหนึ่งเดียวกัน เหมือนที่พระองค์กับข้าพระองค์เป็นหนึ่งเดียวกัน คือ 23 ข้าพระองค์อยู่ในพวกเขา และพระองค์อยู่ในข้าพระองค์ ขอให้พวกเขาได้รวมเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันอย่างสมบูรณ์ เพื่อให้โลกรู้ว่าพระองค์ทรงส่งข้าพระองค์มา และทรงรักพวกเขาเหมือนที่พระองค์ทรงรักข้าพระองค์”

 

สรุปง่ายๆ ก็คืออย่างที่ตะกี้นี้บอกว่าเมื่อใครก็ตามที่เชื่อในข่าวดีของพระเยซู และเปิดใจต้อนรับพระเยซู มาเป็นพระผู้ช่วยให้รอด พระเยซูจะเข้ามาอยู่ในตัวเขา พอเข้ามาอยู่ในตัวเขาแล้ว ทำไม? แล้วพระองค์ทรงบอกว่าพระองค์กับพระบิดา คือพระเจ้าพระบิดาเป็นหนึ่งเดียวกัน เมื่อคนนั้นมาเชื่อในพระเยซู … พระเยซูเข้าไปอยู่ในเขา พระเยซูกับเขาเป็นหนึ่งเดียวกัน  ทั้งเขาและพระเยซูจะเป็นหนึ่งเดียวกัน ในขณะที่พระเยซูเป็นหนึ่งเดียวกับพระบิดา พระเจ้า ทั้งหมดจึงเป็นหนึ่งเดียวกันหมดเลย  ก็คือเราอยู่ในพระเยซู … พระเยซูอยู่ในเรา และเรากับพระเยซูก็อยู่ในพระบิดา พระบิดาก็อยู่ในเรา  เราทั้งหลายเป็นหนึ่งเดียวกัน  จะเห็นชัดว่าเป็นหนึ่งเดียวกัน และสง่าราศี พระสิริของพระเจ้าพระเยซูคริสต์ ก็ได้กลายเป็นสง่าราศี และพระสิริของเราด้วยเช่นเดียวกัน  จะบอกพระสิริหรือไม่พระสิริก็ตาม สิริ ความสง่างาม ก็เข้ามาอยู่ในวิญญาณของเรา ที่ได้เกิดใหม่แล้วนั้น  และพระเจ้าก็จะรักเรา พระบิดาก็จะรักเรา  เท่าๆ กันกับรักพระเยซู นี่มันหมายความว่าอย่างนั้น

ซึ่งความเป็นหนึ่งเดียวกันของพระเจ้าที่เข้ามาสถิตอยู่กับเรา  และเราบริสุทธิ์สะอาดเหมือนพระเจ้าอย่างนี้ เป็นสิ่งที่มนุษย์แสวงหามานานแล้ว และมันยากมากเลย สมัยอดีต ในพระคัมภีร์เดิม พระเจ้าสถิตอยู่กับบางคนเท่านั้น สถิตนี้ ไม่ได้หมายถึงอยู่ข้างในนะ หมายถึงอยู่กับ “อยู่กับ” ก็คือให้กำลังอำนาจมาช่วยเหลือ โดยการอยู่ภายนอกร่างกาย และก็ไม่ได้อยู่ตลอดไป อยู่แบบไปๆ มาๆ

อย่างเช่น บุคคลพิเศษ พวกที่พระเจ้าจะใช้งาน  พระเจ้าก็จะไปอยู่ด้วยกับเขา ยกตัวอย่างเช่น พวกปุโรหิต  ผู้เผยพระวจนะ  พวกกษัตริย์ของอิสราเอล ที่พระเจ้าเจิมตั้งไว้  แล้วก็พวกนักรบบางคน ที่เป็นผู้นำ อย่างเช่น โยชูวา โมเสส  อาโรน กษัตริย์ดาวิด คนเหล่านี้เป็นต้น พระเจ้าอยู่ด้วยกันกับเขา ไม่ได้อยู่ในเขา แบบที่เรากำลังอ่านถ้อยคำของพระเยซูที่กำลังอธิบายให้ฟังว่าเมื่อเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์แล้ว พระองค์ทรงเข้ามอยู่ในร่างกายของเรา  เป็นวิญญาณหนึ่งเดียวกันกับเราข้างใน พระบิดาก็เป็นหนึ่งเดียวกันกับเราด้วย  ทั้ง 3 พระภาค และรวมทั้งเรา ก็เป็นหนึ่งเดียวกัน ซึ่งถ้าพูดถึงในอดีต มันแทบเป็นไปไม่ได้เลย  ขนาดในสมัยพระคัมภีร์เดิม  เมื่อพระเจ้ามาสถิตกับคนบางคนในขณะนั้น ให้ทำการอัศจรรย์ยิ่งใหญ่ ทุกคนก็ตื่นเต้นแล้วแค่นั้น  และนี่มันมากกว่านั้นสักเท่าใด ที่พระเจ้าเข้ามาสถิตในมนุษย์ ไม่ใช่บางคนแล้ว ทุกคน  … ทุกคนมีสิทธิ์

สมัยก่อนพระเจ้าทรงเลือกบางคน แล้วจำนวนน้อยมาก จะไปสถิตอยู่กับเขา  เพื่อทำการงานของพระองค์ แต่ตอนนี้พระเจ้าจะเข้ามาอยู่ในมนุษย์ทุกคน มนุษย์ทุกคนมีสิทธิ์  โดยผ่านทางพระเยซูคริสต์  พระเจ้าประทานพระเยซูคริสต์เป็นหนทาง เพื่อว่ามนุษย์จะได้สามารถเข้าสวรรค์ เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เปิดใจให้พระเยซูคริสต์ แล้วพระเจ้าพระบิดาเข้าไปสถิตอยู่ในวิญญาณของเขา พระเจ้าได้ประทานสิทธิ์และโอกาสนี้ให้กับมนุษย์ทุกคน ไม่ใช่บางคน มนุษย์ทุกคน

แต่สิ่งหนึ่งที่มนุษย์ทุกคนต้องกระทำ นั่นคือเขาต้องตอบสนองต่อของขวัญที่พระเจ้าให้ฟรีๆ นี้ คือต้องรับเอาไง พระเจ้าไม่สามารถไปเค้นคอ …

“ต้องรับนะ ต้องเอา ฉันจะเข้าไป”

พระเจ้า พระเยซูบอก พระองค์ทรงเข้าทางตรอก ออกทางประตู มาตามกฎระเบียบทุกอย่าง ไม่ใช่มาบังคับ ถึงแม้จะให้ฟรีๆ  และรู้ว่าดีอย่างไร?  รู้ว่ารักอย่างไรก็ตาม

“แต่เธอต้องตอบสนองด้วยตัวเธอเอง เธอต้องตัดสินใจด้วยตัวเธอเอง ฉันมีหน้าที่แค่เอาถ้อยคำพระเจ้าไปบอกเธอ เคาะประตูที่หัวใจของเธอตลอดเวลา ส่งคนไปแล้ว ส่งคนไปเล่า ส่งข้อความไปแล้ว รอว่าวันใดที่เธอจะเปิดใจ เปิดปุ๊บ ฉันจะเข้าไปอยู่ในตัวเธอ เป็นพระเจ้าข้างในเธอเลย”

คิดดูสิ ถ้าคนในอดีต สมัยอิสราเอล ในพระคัมภีร์เดิมได้ยินอย่างนี้ เขาคงตกใจมากเลย …

“มันเป็นไปไม่ได้ เป็นไปได้อย่างไร พระเจ้ามาสถิตอยู่ในเธอ เธอสะอาดเพียงใด พระเจ้าถึงอยู่ในเธอได้”

แต่พระเยซูคริสต์ทำได้  และพระองค์ทรงยืนยันในถ้อยคำของพระองค์เอง พูดเมื่อสักครู่นี้ ที่เราอ่านร่วมกัน

คราวนี้เราจะมาดูว่าทันทีที่เราเปิดใจต้อนรับพระเยซูเป็นพระผู้ช่วยให้รอด  ในลักษณะขบวนการการปฏิบัติการ มันเกิดอะไรขึ้นในโลกวิญญาณ พอเราต้อนรับพระเยซูคริสต์แล้ว พระองค์เข้ามาอยู่ในร่างกายของเราด้วยวิธีใด เข้ามาเป็นหนึ่งเดียวกันด้วยวิธีใด? พระคัมภีร์ได้อธิบายอย่างไร? แม้ว่าอาจจะไม่เข้าใจหมดตามสติปัญญาของมนุษย์ แต่เรายังพอได้เห็นคร่าวๆ ตามแต่ที่พระเจ้าทรงอธิบายให้ในถ้อยคำของพระองค์ในพระคัมภีร์

ในโลกวิญญาณ พอเราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอด ทันทีนั้น พระเจ้าได้ทำการผ่าตัด ย้ายวิญญาณของเราออกจากสถานที่หนึ่ง  ที่พระคัมภีร์เขียนไว้ว่าออกจากในอาดัม มาอยู่ในพระคริสต์ ในพระเยซู โดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า ด้วยฤทธิ์เดชอำนาจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า ขบวนการนี้ เรียกกันเป็นภาษากรีก คือบัพติศมา “บัพติศมา” คือการเปลี่ยนแปลงอะไรบางอย่าง คือการย้ายทางโลกฝ่ายวิญญาณ  โดยฤทธิ์เดช ถ้าบอกว่าโดยฤทธิ์เดช ก็ไม่ใช่ด้วยความสามารถของมนุษย์แล้ว ด้วยฤทธิ์เดชของพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า  เข้ามาในวิญญาณของมนุษย์ แล้วก็เริ่มย้ายวิญญาณเรา ซึ่งอยู่ในอดัม เข้ามาอยู่ในพระเยซูคริสต์ เรียกว่าบัพติศมา

“บัพติศมา” เป็นภาษากรีก แปลว่าจุ่มลงไป ดำมิดลงไป ฝังลงไป เพื่อที่จะเข้าเป็นส่วนร่วม เป็นหนึ่งเดียวกัน  เข้าส่วนร่วม เพื่อกลาย กลืน เป็นสิ่งเดียวกันของอะไรบางสิ่ง

และในนี้บอกว่า “บัพติศมา” เราเข้าไปในพระเยซูคริสต์ ก็คือจุ่มเรา ดำมิดเรา ฝังเราเข้าส่วนร่วม เป็นหนึ่งเดียวกัน ในพระเยซู

ย้ายเราออกมา ให้เรามีส่วนร่วมเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเยซู เรียกว่าบัพติศมา เราจะมาอ่านข้อพระคัมภีร์ที่พูดถึงอาการที่เกิดขึ้น  ขบวนการที่เกิดขึ้น  เมื่อตอนที่เราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอดว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์ ได้เสด็จเข้ามาในวิญญาณ  ผ่าตัดวิญญาณของเรา แล้วทำอะไรกับเราบ้าง? โรม 6:3-6 จะพูดไว้ค่อนข้างชัดเจน เป็นขั้น เป็นตอน ก็เลยยกตัวอย่างตรงนี้มาให้อ่าน ให้เห็นชัดเจนขึ้น

โรม 6:3-6 “3 ท่านไม่รู้หรือว่าเราทั้งปวงที่รับบัพติศมาเข้าในพระเยซูคริสต์  ก็ได้รับบัพติศมาเข้าในความตายของพระองค์ 4 ฉะนั้น เราจึงถูกฝังไว้กับพระองค์แล้ว โดยการบัพติศมาเข้าในความตาย เพื่อว่าเราเองก็จะได้มีชีวิตใหม่ เช่นเดียวกับที่ทรงให้พระคริสต์เป็นขึ้นจากตาย โดยพระเกียรติสิริของพระบิดา 5 ถ้าเราได้มีส่วนร่วมกับพระองค์ ในการตายเหมือนพระองค์ แน่นอน เราจะมีส่วนร่วมในการเป็นขึ้นจากตายเหมือนพระองค์ 6 เพราะเรารู้ว่าตัวเก่าของเรา ถูกตรึงไว้กับพระองค์แล้ว เพื่อกายบาปนั้น จะถูกขจัดไป เพื่อเราจะไม่เป็นทาสบาปอีกต่อไป”

 

จำไว้ว่าบัพติศมา แปลว่าจุ่มลงไป ดำมิด ฝังลงไป เพื่อเข้าเป็นส่วนร่วม เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเยซูคริสต์ เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับพระองค์  นึกในใจตรงนี้นะ

ท่านไม่รู้หรือว่าเราทั้งปวงที่รับบัพติศมา ได้ถูกจุ่มลงไป  ดำมิดลงไป เพื่อเข้าส่วนร่วม เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเยซูคริสต์ เราทั้งปวงที่รับบัพติศมาเข้าในพระเยซูคริสต์ ก็คือพระวิญญาณนำวิญญาณเราเข้าไปแล้ว

วันนี้ผมมีตัวอย่างให้เห็น เกิดอะไรขึ้น ท่านไม่รู้หรือว่า? ก็แสดงว่ามันเกิดขึ้นแล้ว ท่านยังไม่ค่อยเข้าใจ ท่านไม่รู้ ถ้อยคำพระเจ้าตรงนี้จึงบอกว่าท่านไม่รู้หรือว่าเมื่อท่านเปิดใจ ต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดแล้ว พระวิญญาณเข้ามาในตัวท่านแล้ว กระทำการผ่าตัดวิญญาณท่านอย่างนี้ คือเราทั้งปวงที่รับบัพติศมาเข้าในพระเยซูคริสต์

สาธิต ตุ๊กตาแม่ลูกดกของรัสเซีย  นี่คือพระเยซูคริสต์ (ตุ๊กตาแม่ลูกดกตัวใหญ่สุด) นี่คือผู้เชื่อ (ตุ๊กตาแม่ลูกดกตัวเล็กกว่านิดหนึ่ง) ในนี้บอกว่าท่านไม่รู้หรือ? ท่านผู้เชื่อทั้งหลาย ผู้เชื่อ คือผู้ที่เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอด ประจำชีวิตส่วนตัวของเขา ผู้เชื่อทั้งหลาย ท่านไม่รู้หรือว่าท่านได้รับ คือพระวิญญาณเป็นผู้กระทำให้ เราไม่ได้ทำเอง  เราทำเองไม่ได้ พระวิญญาณได้ทำการนำวิญญาณของท่าน ผ่าตัดวิญญาณของท่าน  เข้าไปเป็นส่วนร่วมอยู่ในพระเยซู

พอท่านเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ พระวิญญาณจะทำอย่างนี้แหละ ตอนนี้ ท่านอยู่ในพระเยซู นี่เป็นการบัพติศมา โดยพระวิญญาณของพระเจ้า  ด้วยฤทธิ์เดชอำนาจของพระเจ้า หรือจะบอกไฟของพระเจ้า ก็ได้ ฤทธิ์เดชอำนาจนี้กระทำการผ่าตัดวิญญาณท่าน เข้ามาอยู่ในพระเยซูคริสต์ ย้ายออกมาจากสถานที่หนึ่ง ที่อยู่ข้างนอกพระเยซู ที่เรียกว่าในอาดัม เข้ามาอยู่ในพระเยซูคริสต์แล้ว  ลองอ่านต่อไป ในนี้บอกว่าเราทั้งปวงที่ได้รับบัพติศมา ในพระเยซูคริสต์ ก็ได้รับบัพติศมาเข้าในความตายของพระองค์ พระเยซูคริสต์ได้ถูกตรึงที่ไม้กางเขน  เราทั้งหลายก็ถูกตรึงไปด้วย เพราะเราอยู่ข้างใน ชัดเจน

ในข้อที่ 4 บอกว่า … “ฉะนั้น เราจึงถูกฝังไว้กับพระองค์แล้ว  โดยการบัพติศมาในความตาย”

ในนี้บอกว่า … “เพราะฉะนั้น พระเยซูคริสต์ตายที่ไม้กางเขน แล้วร่างกายของพระองค์ที่เป็นศพ ที่ตายแล้วนั้น ถูกฝังไว้ในอุโมงค์”

ตอนนี้เราอยู่ที่ไหน? เราอยู่ในอุโมงค์ฝังศพ เพราะเราอยู่ในพระเยซูคริสต์ นั่นหมายถึงอย่างนั้น  นี่พระวิญญาณทำให้เกิดอย่างนี้ขึ้นทั้งนั้น

“เพื่อว่าเราเองก็จะได้มีชีวิตใหม่ เช่นเดียวกับทรงให้พระคริสต์เป็นขึ้นจากความตาย โดยฤทธิ์เดชของพระบิดา”

พระคัมภีร์บอกว่าโดยฤทธิ์เดชอำนาจของพระบิดา เมื่อพระองค์ทรงสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขนแล้ว ถูกฝังไว้ในอุโมงค์ วันที่ 3 ฤทธิ์เดชอำนาจจากพระเจ้า ได้ชุบพระเยซูให้เป็นขึ้นจากความตาย

ถามว่าตอนนี้เราอยู่ที่ไหน? (เอาแม่ลูกดกที่เป็นผู้เชื่อ เข้าไปอยู่ในตัวแม่ลูกดกที่เป็นพระเยซู) เราก็อยู่ในพระเยซูคริสต์ เราก็เป็นขึ้นจากความตายด้วย ตอนที่พระเยซูถูกฝัง เราถูกฝังไว้ด้วย  ตอนที่พระเยซูถูกชุบให้เป็นขึ้นมาจากความตาย เราก็เป็นขึ้นมาจากความตายด้วย เราได้บังเกิดใหม่ร่วมกับพระเยซูด้วย ที่ไหน? ที่ในพระเยซูคริสต์ เราอยู่ในนี้

ข้อ 5 บอกว่า … “ถ้าเราได้มีส่วนร่วมกับพระองค์” ก็คือถ้าเราได้มีส่วนบัพติศมากับพระองค์ ก็คือมีส่วนอยู่ในพระองค์ เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์ ในการตายเหมือนพระองค์ แน่นอน เราก็จะมีส่วนร่วม ก็คือเราก็บัพติศมาอยู่ในพระองค์ ตอนที่พระองค์ทรงเป็นขึ้นจากความตายเหมือนกัน เหมือนกับพระองค์เลย เพราะเราอยู่ในพระองค์ เพราะเรารู้ว่าตัวเก่าของเราถูกตรึงกับพระองค์แล้ว เพื่อกายบาปนั้น จะถูกขจัดออกไป เพื่อเราจะไม่เป็นทาสบาปอีกต่อไป

ก็คือย้อนกลับมาเมื่อตะกี้นี้ ตอนแรกเริ่มต้น ที่เราอยู่ในพระเยซู เราเป็นคนบาป และตายที่ไม้กางเขนร่วมกับพระเยซู ตัวเก่า วิญญาณเก่าของเรา ซึ่งเป็นวิญญาณสกปรก ได้ตายพร้อมพระเยซูที่ไม้กางเขน  และได้ถูกฝังไว้ และได้เป็นขึ้นจากความตาย  ในวันที่ 3  ร่วมกับพระเยซู เพราะเราได้ถูกบัพติศมา เข้าส่วนร่วม เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเยซูคริสต์เรียบร้อยไปแล้ว เอเมน

ยกอีกตัวอย่างหนึ่ง เพื่อท่านจะได้เห็นชัดขึ้นว่าการบัพติศมาเป็นอย่างไร? เมื่อเราตอนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด อันนี้ง่ายขึ้นนะ

ย้อนถ้อยคำพระเจ้าเมื่อสักครู่นี้ อีกทีหนึ่ง โดยการสาธิตให้ดู ท่านไม่รู้หรือว่าปกติท่านเป็นคนบาป ต้องชดใช้บาป หนี้กรรม เวรกรรม ไปจนไม่รู้กี่สิบชาติ ไม่มีวันได้ผุดได้เกิดแน่นอน แต่พระเยซูมา เพื่อช่วยท่าน ให้รอดพ้นจากความบาป และเป็นหนทางให้ท่านไปสู่สวรรค์ อยู่กับพระเจ้าได้ บริสุทธิ์ สะอาด ศักดิ์สิทธิ์ สามารถอยู่กับพระเจ้าได้ ทางพระองค์เท่านั้น แล้วท่านเชื่อในคำพูดของพระเยซูคริสต์ เชื่อว่าที่พระองค์พูดนั้นเป็นจริง เชื่อพระเยซูเป็นพระผู้ช่วยให้รอด เป็นพระผู้ไถ่บาป ที่พระเจ้าทรงประทานให้กับมนุษยชาติ รวมทั้งฉันด้วย จริงๆ เมื่อท่านเชื่อจริงๆ  ท่านก็เปิดใจ ต้อนรับพระเยซูเป็นพระผู้ช่วยให้รอด ต้อนรับว่า …

“ข่าวดีนี้เป็นของฉัน ฉันเอาแล้ว ฉันจะไม่พึ่งพาการกระทำของตนเองอีกแล้ว แต่จะพึ่งพาพระคริสต์”

ทันทีทันใดนั้น ท่านก็เริ่มต้นกลายเป็นผู้เชื่อ ผู้เชื่อในข่าวดีจริงๆ คือได้กระทำการเปิดใจ พอเชื่อจริงๆ ปุ๊บ (ซองนี้ (ซองสีน้ำตาล A4) คือพระเยซู) พระวิญญาณก็เข้ามาในวิญญาณของท่าน จับวิญญาณของท่านผ่าตัด ใส่ลงไปในพระเยซู (จับเอาผู้เชื่อใส่เข้าไปในซองจดหมาย) เข้าส่วนเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเยซูคริสต์ เรียกว่าบัพติศมาท่านเข้าไปในพระเยซูคริสต์ เป็นหนึ่งเดียวกัน

พระเยซูบอกว่าท่านกับเรา ก็คือท่านผู้ที่เชื่อกับเรา กับพระเยซู เป็นหนึ่งเดียวกัน แล้วพระเยซูกับพระบิดา เป็นหนึ่งเดียวกัน พระบิดา ก็หมายถึงพระบิดา พระวิญญาณบริสุทธิ์ 3 พระภาค

พระวิญญาณบริสุทธิ์บัพติศมาท่าน เสร็จปุ๊บ พระเจ้า พระบิดา พระวิญญาณบริสุทธิ์  และพระเยซูเป็นหนึ่งเดียวกัน (เข้าไปอยู่ในซองจดหมายนี้) นี่คือตอนที่เราเชื่อในข่าวดีของพระเยซู พระวิญญาณบริสุทธิ์ได้เข้ามาบัพติศมาเรา ด้วยวิธีอย่างนี้แหละ แล้วพระวิญญาณบริสุทธิ์ในพระคัมภีร์บอก เข้ามาเป็นหนึ่ง แค่นั้นไม่พอ  ถ้อยคำพระเจ้าบอกว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์ได้ทำการปิดผนึก ซีลเลย ไปไหนไม่ได้แล้ว ไม่ต้องกลัวอะไรอีกแล้ว ตอนนี้ท่านอยู่ที่ไหน? ผู้เชื่อทั้งหลาย ทันทีที่ท่านเชื่อ  เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ วิญญาณของท่านอยู่ในนี้ อยู่ในพระเจ้าพระบิดา พระบุตร และพระวิญญาณบริสุทธิ์  อยู่ใน 3 พระภาค เป็นหนึ่งเดียวกันกับ 3 พระภาคนี้เลย แล้วแถมหุ้มห่อท่านไว้เรียบร้อย ปกปักคุ้มครองดูแลท่านทุกอย่าง มันเป็นอย่างนี้ นี่คือภาพที่ให้ท่านเห็นชัดเจน

แล้วตอนนี้เราจะมาดูสิว่าเมื่อเราเป็นหนึ่งแล้ว  ในพระคัมภีร์ได้เขียนถึงสถานะ ตำแหน่ง การเข้าไปอยู่ในครอบครัวพระเจ้า การเข้าไปอยู่ในพระเยซูคริสต์ อยู่ในพระบิดา  อยู่ในพระวิญญาณบริสุทธิ์ เป็นหนึ่งเดียวกัน ตำแหน่งในวิญญาณ มันอยู่ตรงไหน? ของโลกวิญญาณนี้ พระคัมภีร์บอกไว้ว่าอย่างไร? เปิดไปหนังสือเอเฟซัส 1:18 อ่านข้อนี้ก่อน

เอเฟซัส 1:18 “ข้าพเจ้ายังอธิษฐานขอพระเจ้า ให้ตาของวิญญาณ (ซึ่งเป็นตัวจริงๆ ของท่าน) สว่าง เพื่อจะได้รับการสำแดงความรู้ จากพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า เพื่อท่านจะได้รับรู้ถึงความหวัง และมีความมั่นใจ ในเรื่องเกี่ยวกับสวรรค์ของพระเจ้า ที่พระองค์ได้เรียกท่านเข้ามานั้น  และรับรู้เรื่องมรดก ที่เต็มไปด้วยสง่าราศี อันยิ่งใหญ่รุ่งเรือง และมีค่าที่สุดของพระองค์  ที่ได้ทรงจัดเตรียมไว้ให้กับท่าน ผู้ซึ่งได้เป็นประชากรที่บริสุทธิ์ชอบธรรมของพระเจ้าแล้ว (โดยผ่านทางการเชื่อและการรับสิทธิ์ของท่าน ที่พระเยซูได้ไถ่บาปให้)”

 

อาจารย์เปาโลก็เหมือนกับผมตอนนี้  คืออยากให้ผู้ที่เชื่อพระเจ้าแล้ว ได้เห็นความจริงว่ามันเกิดอะไรขึ้นในโลกวิญญาณบ้าง ความยิ่งใหญ่ของพระเจ้า ที่ทรงกระทำให้กับเรา ผู้เชื่อทั้งหลาย มันเป็นอย่างไร? และในขณะเดียวกัน เพื่อที่จะให้ผู้คนที่ยังไม่เชื่อ ได้เห็นว่าเมื่อเขาได้ยินข่าวประเสริฐของพระเจ้า เมื่อเขาต้อนรับข่าวประเสริฐของพระเจ้า เมื่อเขาเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์แล้ว มันจะเกิดอะไรขึ้น ในวิญญาณของเขา …

“ข้าพเจ้ายังอธิษฐานขอพระเจ้า ให้ตาของวิญญาณ (วิญญาณ คือตัวจริงๆ ของมนุษย์) สว่างขึ้น จะได้รับรู้ สำแดงความรู้ จากพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า  เพื่อท่านจะได้รับรู้ถึงความหวังและมีความมั่นใจในเรื่องเกี่ยวกับสวรรค์ของพระเจ้าที่พระองค์ทรงเรียกท่านเข้ามานั้น”

รู้เพื่อความมั่นใจว่าที่พระเยซูคริสต์บอกว่าพระองค์ทรงเป็นทางไปสู่สวรรค์นั้น เมื่อท่านเปิดใจต้อนรับพระองค์แล้ว เชื่อแบบเด็กๆ แล้ว มันเกิดขึ้นจริงๆ พอรู้ความจริงเหล่านี้ พระวิญญาณบริสุทธิ์ให้เรารับรู้มากขึ้น เราก็เกิดความมั่นใจขึ้นว่าเราอยู่ในสวรรค์แล้วจริงๆ

ต่อไปบอกว่าและรับรู้เรื่องมรดก ที่เต็มไปด้วยสง่าราศี อันใหญ่ยิ่งรุ่งเรือง และมีค่าสุดของพระองค์ ที่ได้จัดเตรียมไว้เรียบร้อยแล้วให้กับท่าน ผู้ซึ่งได้เป็นประชากรที่บริสุทธิ์ ชอบธรรมของพระเจ้าแล้ว เมื่อท่านเชื่อพระเยซู บังเกิดใหม่ เป็นลูกของพระเจ้าแล้ว ในโลกวิญญาณ นอกจากไปสวรรค์แล้ว มันมีอะไรอีกเยอะแยะมากมาย

ในนี้จึงบอกว่าโดยผ่านทางการเชื่อ และการรับสิทธิของท่าน ที่พระเยซูได้ไถ่ไว้ พระเจ้าได้ทรงจัดเตรียมให้กับท่านเรียบร้อยแล้ว ของมีค่าสูงสุด อันยิ่งใหญ่ รุ่งเรือง เต็มด้วยสง่าราศีของพระองค์ อะไรบ้างในโลกวิญญาณ  ที่พระองค์ทรงเตรียมไว้ให้  ดูต่อไป ข้อ 19-20

เอเฟซัส 1:19-20 “19 เพื่อท่านจะได้เริ่มต้นเรียนรู้ ถึงฤทธิ์เดชอำนาจยิ่งใหญ่มหาศาล ที่ไม่มีขีดจำกัด และหาที่เปรียบไม่ได้ของพระเจ้า 20 ซึ่งเป็นฤทธิ์เดชอำนาจ พลังที่ยิ่งใหญ่มหาศาลทางฝ่ายวิญญาณที่กระทำการงานอยู่ในวิญญาณของเรา ผู้ซึ่งได้เชื่อและรับสิทธิ์ของเราที่พระเยซูได้ไถ่บาปให้ ซึ่งเป็นฤทธิ์เดชอำนาจพลังที่ยิ่งใหญ่มหาศาลเดียวกันกับที่พระเจ้าได้กระทำในพระเยซู เมื่อตอนที่พระองค์ได้ชุบพระเยซูให้เป็นขึ้นจากความตาย และได้แต่งตั้งให้พระเยซูนั่งอยู่ที่เบื้องขวาของพระองค์ ในย่านฟ้าอากาศ (สวรรค์) ต่างๆ ในโลกฝ่ายวิญญาณ”

 

ข้อ 19 บอกว่าเพื่อท่านจะได้เริ่มต้นเรียนรู้ ถึงฤทธิ์เดชอำนาจยิ่งใหญ่มหาศาล ที่ไม่มีขีดจำกัด หาที่เปรียบไม่ได้ของพระเจ้า  อาจารย์เปาโลเขียนถึงผู้เชื่อใหม่ เป็นห่วงเป็นใยเขา อยากให้เขารู้เรื่องนี้ เรื่องฤทธิ์เดชอำนาจอันยิ่งใหญ่มหาศาลที่ไม่มีขีดจำกัดของพระเจ้า เราเรียนมาหลายครั้งแล้ว ถ้อยคำพระเจ้าบอกว่าข่าวดีของพระเยซูคริสต์ เป็นฤทธิ์เดช เป็น Power เป็นพลังอำนาจที่ยิ่งใหญ่สูงสุด นี่แหละ เมื่อท่านเชื่อในพระเจ้า เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เจ้า ท่านควรจะเรียนรู้ถึงฤทธิ์เดชอำนาจยิ่งใหญ่มหาศาล ที่ไม่มีขีดจำกัด หาที่เปรียบไม่ได้ของพระเจ้า

ข้อ 20 บอกว่าซึ่งเป็นฤทธิ์เดชอำนาจ พลังที่ยิ่งใหญ่มหาศาล ทางฝ่ายวิญญาณ ที่กระทำการงานอยู่ในวิญญาณของเรา  ผู้ซึ่งได้เชื่อศรัทธา และใช้สิทธิของเรา คือเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด พระผู้ไถ่บาป ฤทธิ์เดชอำนาจยิ่งใหญ่สูงสุดนี้ ได้กระทำการงาน อยู่ในตัวท่าน อยู่ในตัวผม ผู้ที่ต้อนรับพระเยซูคริสต์ เป็นพระผู้ช่วยเรียบร้อยแล้ว ซึ่งเป็นฤทธิ์เดชอำนาจ พลังอำนาจที่ยิ่งใหญ่มหาศาลเดียวกันกับพระเจ้า ที่ได้กระทำในพระเยซูคริสต์ เมื่อตอนที่พระองค์ได้ทรงชุบพระเยซูให้เป็นขึ้นจากความตาย

ในนี้อธิบายต่อว่าฤทธิ์เดชอำนาจยิ่งใหญ่สูงสุดของพระเจ้า มหาศาล ที่กระทำการงานอยู่ในเราทั้งหลายที่ได้รับเชื่อ ในพระเยซูคริสต์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอด เปิดใจต้อนรับพระเยซูเรียบร้อยแล้วนั้น เป็นฤทธิ์เดช อำนาจเดียวกันกับที่พระเจ้าได้ทรงชุบพระเยซูให้เป็นขึ้นจากความตาย เป็นฤทธิ์เดชอำนาจเดียวกัน

ต่อไป … และได้แต่งตั้งให้พระเยซูนั่งอยู่ที่เบื้องขวาของพระองค์ ในย่านฟ้าอากาศ ในโลกฝ่ายวิญญาณ  คือสูงมาก ในย่านฟ้าอากาศ ในสวรรค์ต่างๆ ในโลกฝ่ายวิญญาณ คือคำว่า “สวรรค์” หมายถึงท้องฟ้าที่ตาเรามองไม่เห็น ในชั้นบรรยากาศ เลยจากชั้นบรรยากาศไป ก็มีชั้นที่เรามองเห็น ดวงดาว แล้วเลยมองจากดวงดาวไป เขาเรียกว่าโลกฝ่ายวิญญาณ ในสวรรค์ต่างๆ หมายถึงตรงนี้ หมายถึงนั่งอยู่ที่เบื้องขวาของพระองค์ พระเจ้าผู้ทรงครอบครองเหนือสวรรค์ต่างๆ เหล่านี้ทั้งหมด ตอนนี้พระเยซูนั่งอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้า และเราอยู่ในพระเยซู เราก็ได้นั่งอยู่ที่นั่นด้วยเช่นเดียวกัน นี่หมายถึงอย่างนั้น ตื่นเต้นลึกขึ้นเรื่อยๆ นะ ข้อที่ 21 …

เอเฟซัส 1:21  “ในตำแหน่งนี้ พระเยซูมีสิทธิอำนาจยิ่งใหญ่สูงสุด เหนือเหล่าวิญญาณที่ปกครองอยู่ในสถานที่ต่างๆ บนโลกนี้ เหนือเหล่าวิญญาณ ที่ใช้สิทธิอำนาจต่างๆ เหนือพลังอำนาจการครอบครอง ไม่ว่าจะผ่านทางทูตสวรรค์ต่างๆ หรือทางมนุษย์ก็ตาม เหนือทุกนามหรือชื่อที่ตั้งขึ้น สิทธิอำนาจและฤทธิ์เดชที่ยิ่งใหญ่สูงสุดของพระเยซูนี้ จะคงอยู่ตลอดไป ไม่ใช่ แค่ในยุคปัจจุบันบนโลกนี้เท่านั้น แต่รวมถึงยุคต่อๆ ไป ในอนาคตด้วย”

 

ในตำแหน่งนี้ ที่เบื้องขวาของพระเจ้า ในสวรรค์สถาน พระเยซูมีฤทธิ์เดชอำนาจยิ่งใหญ่สูงสุด เหนือ ฟังให้ดีๆ เหล่าวิญญาณที่ปกครองอยู่ในสถานที่ต่างๆ บนโลกใบนี้ เหนือเหล่าวิญญาณที่ใช้สิทธิอำนาจต่างๆ เหนือพลังอำนาจการครอบครอง ไม่ว่าจะผ่านทางทูตสวรรค์ต่างๆ หรือทางมนุษย์ก็ตาม เหนือทุกนาม หรือชื่อที่ตั้งขึ้น สิทธิอำนาจและฤทธิ์เดชที่ยิ่งใหญ่สูงสุดของพระเยซูนี้ จะคงอยู่ตลอดไป ไม่ใช่แค่ในยุคปัจจุบัน บนโลกนี้เท่านั้น  แต่รวมถึงยุคต่อๆ ไป ในอนาคตด้วย คือเป็นนิรันดร์เลย ความยิ่งใหญ่ ความมีตำแหน่งสูงสุด ครอบครองทั้งสวรรค์ และบนโลก วัตถุสิ่งของทุกอย่าง ทั้งมองเห็นและมองไม่เห็น ทั้งสิ่งมีชีวิตทุกสิ่ง วิญญาณทุกดวง เป็นของพระเยซู ที่นั่งอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้าในสวรรค์สถานแล้ว ในขณะนี้ และเป็นอยู่ตลอดไป และเราทั้งหลาย ผู้เชื่อนั้น อยู่ในพระเยซูคริสต์ และพระเยซูคริสต์เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเจ้า พระบิดาพระเจ้า พระบุตรพระเจ้า พระวิญญาณบริสุทธิ์

ต่อไป ข้อที่ 22-23 เราต้องเรียนรู้สิ่งต่างๆ เหล่านี้ มันเป็นของเรา เราจะได้รู้จริงๆ ว่าตำแหน่งของเรา ตัวจริงๆ ของเราตอนนี้อยู่ที่ไหน? วิญญาณเราจริงๆ อยู่ที่ไหน? และเราจะอยู่ที่นั่นตลอดไป

เอเฟซัส 1:22-23  “22 และพระเจ้าได้ให้สิ่งสารพัดทั้งในโลกวัตถุและโลกวิญญาณ อยู่ใต้เท้าของพระเยซูคริสต์ และพระเจ้าได้แต่งตั้งพระเยซูคริสต์ให้เป็นผู้ยิ่งใหญ่สูงสุด มีสิทธิอำนาจสูงสุด เหมือนเป็นศีรษะ อยู่เหนือทุกสิ่งในคริสตจักร (ผู้ที่เชื่อ และใช้สิทธิ์ในการไถ่บาป ที่พระเยซูคริสต์ได้ทำให้) 23 ที่เหมือนร่างกายของพระองค์ ซึ่งเป็นความสมบูรณ์ครบถ้วนของพระเยซูคริสต์ ผู้ทรงเติมเต็มความบริสุทธิ์ สมบูรณ์แบบ ให้กับเหล่าผู้ที่เชื่อ และใช้สิทธิ์ในการไถ่บาป ที่พระเยซูได้ทำให้”

 

“และพระเจ้าได้ให้สิ่งสารพัดทั้งในโลกวัตถุและโลกวิญญาณ อยู่ใต้เท้าของพระเยซูคริสต์” เมื่ออยู่ใต้เท้าพระเยซูคริสต์ ก็เท่ากับอยู่ใต้เท้าของเรา ผู้เชื่อ ที่ได้รับการบัพติศมาเข้าส่วน อยู่ในพระเยซูคริสต์แล้วด้วย เช่นเดียวกัน เอเมน

“และพระเจ้าได้แต่งตั้งพระเยซูคริสต์ให้เป็นผู้ยิ่งใหญ่สูงสุด มีสิทธิอำนาจสูงสุด เหมือนเป็นศรีษะ อยู่เหนือทุกสิ่งในคริสตจักร”  คริสตจักร หมายถึงสถานที่สถิตของพระเจ้า ก็คือร่างกายของมนุษย์ที่เชื่อและใช้สิทธิในการไถ่บาป  ที่พระเยซูคริสต์ได้กระทำให้กับเขา ก็คือเราผู้เชื่อศรัทธา ในการไถ่บาปของพระเยซู และเปิดใจต้อนรับพระเยซูนั่นเอง ให้ฤทธิ์อำนาจกับพระเยซูคริสต์ สูงสุด ยิ่งใหญ่ เป็นศีรษะ คือเป็นหัวหน้าของผู้เชื่อทั้งหลาย

ในข้อที่ 23 บอกผู้เชื่อทั้งหลายที่เรียกว่าคริสตจักร ที่เหมือนร่างกายของพระองค์ ซึ่งเป็นความสมบูรณ์ครบถ้วนของพระเยซู ก็คือเราทั้งหลายที่เชื่อศรัทธา  ที่เป็นหนึ่งเดียวกับพระเยซู เปรียบเสมือนเป็นร่างกายของพระเยซูคริสต์ พระองค์เป็นศีรษะ ศีรษะกับร่างกายแยกออกจากกันไม่ได้ ฉันใด พระเยซูและเราทั้งหลายที่เป็นผู้เชื่อศรัทธา ก็เป็นหนึ่งเดียวกัน โดยผ่านทางการบัพติศมากับพระวิญญาณบริสุทธิ์ เช่นนั้นแหละ ที่เหมือนร่างกายของพระองค์ ซึ่งเป็นความสมบูรณ์ ครบถ้วนของพระเยซู ผู้ทรงเติมเต็มความบริสุทธิ์  สมบูรณ์แบบให้กับเหล่าผู้ที่เชื่อ  และใช้สิทธิในการไถ่บาปที่พระเยซูได้ทำให้กับเขา เอเมน เมื่อเชื่อในข่าวประแสริฐของพระเยซูคริสต์แล้ว เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์แล้ว ผู้เชื่อเหล่านั้น ก็จะกลายเป็นวิญญาณที่บริสุทธิ์ ปราศจากบาปใดๆ ทั้งสิ้น แล้วยังแถมมีสิทธิอำนาจเท่ากับพระเยซู เพราะอยู่ในพระเยซูคริสต์ และพระเยซูคริสต์อยู่ในพระเจ้าพระบิดา กับพระวิญญาณบริสุทธิ์ เป็นหนึ่งเดียวกัน เราทั้งหลายก็เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์ มีสิทธิอำนาจสูงสุด ได้นั่งอยู่กับพระองค์ที่เบื้องขวาของพระเจ้าในสวรรค์สถานแล้ว เป็นเช่นนี้แหละ

เหมือนในซองนี้ (ชูซองสีน้ำตาลขึ้น) เราก็อยู่ในซองนี้ พระเจ้าพระบิดา พระบุตรพระเยซูคริสต์ และพระเจ้าพระวิญญาณบริสุทธิ์  และเราทั้งหลายที่อยู่ข้างในพระเยซู เป็นหนึ่งเดียวกัน สูงสุดขนาดไหน? และเป็นแล้ว ในนี้ และจะเป็นอยู่อย่างนี้ ตลอดกาล ชั่วนิรันดร์เลย ขอบคุณพระเจ้า

อธิบายมาทั้งหมดนี้ เป็นของขวัญในฐานะลูกของพระเจ้า ไม่ต้องทำอะไรทั้งนั้นเลย ที่จะได้รับสิ่งเหล่านี้มา เป็นของฟรีหมด เป็นของขวัญและได้รับทันทีครบถ้วน เมื่อเปิดใจต้อนรับแล้วตอนนี้ ก็ได้รับตอนนี้ เป็นอยู่ ณ ตอนนี้ ในตำแหน่งนี้ทันทีเลย ไม่ต้องตายจากโลกนี้ไปก่อน แล้วจะเป็นอย่างนี้ อย่างครบถ้วนบริบูรณ์นิรันดร์ ไม่มีการเสื่อมถอย จากนี้ไป และไม่มีการเพิ่มเติมจากนี้ไป ไม่ต้องแสวงหาอะไรเพิ่มเติมจากนี้ไป ไม่ต้องกลัวอะไร จากนี้ไป ไม่ต้องหาอะไรมาเพิ่มเติมให้เราบริสุทธิ์ขึ้น ไม่ต้องหาอะไรมาให้พระเจ้าพอใจ เพื่อจะได้แต่งตั้งให้เราสูงขึ้น  เราสูงอยู่อย่างนี้แล้ว ไม่มีทางเอาออกจากนี่ไปได้ เพราะเราอยู่ในพระเยซูคริสต์ ไม่ใช่เรากระทำเอง พระเจ้ากระทำให้ทั้งสิ้นเลย เราเพียงแค่เปิดใจ ต้อนรับ รับเอาของขวัญนี้ไว้เท่านั้น เพียงแค่รู้ว่าตำแหน่งนี้เป็นอย่างไร? เพื่อจะได้มีความมั่นใจ เพื่อจะได้เอามาใช้สอยให้เป็นประโยชน์ในชีวิตของเรา  ไม่ต้องทำอะไรเลย เพียงแค่รับรู้และขอบพระคุณ

พระเยซูจึงบอกว่าพระองค์มาเพื่อมนุษย์ทั้งหลายจะได้หายเหนื่อยและเป็นสุข มาหาพระองค์สิ จะได้หายเหนื่อยและเป็นสุข  แอกของเราก็เบาสบาย ภาระของเราก็เบาสบาย แอกของเรา คือการมาร่วมเป็นหนึ่งเดียวกัน มามีส่วนในตัวเรา การเข้ามาบัพติสมาในเรา มันทำให้ท่านสบาย ไม่มีภาระอะไรเลย มันหมายถึงอย่างนั้น มันง่ายนิดเดียวเลยจริงๆ ซึ่งง่ายขนาดนี้ ก็ยังมีหลายคนที่ไม่รับของขวัญนี้ ก็ไม่ทราบ ไม่เข้าใจว่าไปคิดมากถึงขนาดนั้น เป็นของขวัญจากพระเจ้า รับฟรีๆ เลย มีบางพวกก็ไม่รับของขวัญนี้ ได้ยิน ก็เฉยๆ ได้ฟังก็เฉยๆ ไม่กระทำ ก็คือไม่เปิดใจต้อนรับพระเยซูเป็นพระผู้ช่วยให้รอด มันก็ไม่เกิดผลอะไร? มีบางพวก พระเยซูมาเคาะประตู เปิดประตูบ้านออกมา รับของขวัญไป  มีบางพวก พระเยซูมาเคาะประตู ไม่เปิดเลย มองอยู่ข้างนอกเฉยๆ พระองค์ก็นั่งเคาะ ยืนเคาะทุกวันๆ แต่มีบางคนที่เคาะ แล้วก็เปิดใจ เปิดเหมือนต้อนรับ เอาของขวัญเข้ามา เอาความรอดเข้ามา แต่ไม่ใช้ประโยชน์ให้เต็มที่ ไม่แกะกล่องของขวัญออกมา ไม่ใช้เลย

ยกตัวอย่างของขวัญนี้เป็นไอโฟนก็แล้วกัน บางคนเอาไอโฟนส่งมาให้หน้าบ้านบอกว่า …

“มีของขวัญฟรีๆ มาให้”

เอามาให้ถึงหน้าบ้าน คนก็จะบอกว่า … “เป็นไปได้อย่างไร ใครจะเอาของขวัญแพงๆ อย่างนี้มาให้ ไม่เอาหรอก ไม่จริงมั้ง”

ก็ไม่เปิดประตูบ้านสักที ไอโฟนก็วางอยู่หน้าบ้าน พร้อมทั้งผู้จัดส่งรอทุกวัน มาทุกวันๆ ไม่เปิด บางคนก็เปิด มันมีฟรีจริงๆ เอาๆ ก็เอาไอโฟนมา พอเอาไอโฟนมา โทรศัพท์อย่างเดียวเลย ไอโฟนมีค่ามากมายมหาศาล ทำอะไรก็ได้เยอะแยะมากมาย  โทรศัพท์อย่างเดียว ดีใจแล้ว พอแล้ว เปิดคู่มือใช้ จะรู้ว่ามันใช้อะไรได้อีกตั้งเยอะแยะ อย่างน้อยก็ไลน์ได้ เปิดยูทูปได้ ถ่ายรูปได้

เพราะฉะนั้น รู้อย่างนี้แล้ว ความจริงเหล่านี้จะทำให้เราเป็นอิสระ เป็นไท เมื่อเรารู้ตัวจริงๆ ของเรา แล้ววิญญาณของเราได้เกิดใหม่แล้ว นั่งอยู่กับพระเจ้า ที่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้าในสวรรค์สถานแล้ว  ในหนังสือยอห์น 4:4 บันทึกไว้อย่างนี้ว่า …

ยอห์น 4:4 “ลูกๆ เอ๋ย พวกคุณเป็นของพระเจ้า จึงมีชัยชนะเหนือพวกศัตรูของพระคริสต์  เพราะพระเจ้าที่อยู่ในพวกคุณ ยิ่งใหญ่กว่ามารที่อยู่ในโลกนี้”

 

ลูกๆ เอ๋ย ผู้ที่เชื่อในพระเจ้าแล้ว เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดแล้ว บัพติศมาเข้าไปเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเยซูคริสต์แล้ว เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเจ้าพระบิดาแล้ว กับพระวิญญาณบริสุทธิ์แล้ว สูงสุดขนาดนี้แล้ว พวกคุณเป็นของพระเจ้า ไม่มีใครเอาท่านออกไปจากซองนี้ (ซองสีน้ำตาลที่ใช้ยกตัวอย่าง) ได้เลย พูดง่ายๆ พระเจ้าไม่ยอมเด็ดขาด มีใครใหญ่กว่าพระเจ้าไม๊ล่ะ เพราะฉะนั้น พวกคุณจึงมีชัยชนะเหนือศัตรูทั้งหมด เพราะพระเจ้าที่อยู่ในพวกคุณ ยิ่งใหญ่กว่ามันทั้งหลาย ที่อยู่ในโลก ยิ่งกว่ามารทั้งหลายที่อยู่ในโลก ยิ่งใหญ่กว่าทุกสิ่งที่อยู่ในโลก เพราะทั้งหมดนี้ ในซองนี้ (ซองสีน้ำตาลที่ใช้ยกตัวอย่าง) นี้เป็นจริง ที่จะอยู่ไปนิรันดร์กาล แต่ร่างกายเราอยู่เพียงชั่วคราว 80 ปี 90 ปี 100 ปี แล้วแต่ ที่เราพูดกันทั้งหมด เกิดในโลกฝ่ายวิญญาณ

ลูกๆ เอ๋ย ท่านเป็นของพระเจ้า  พระเจ้าที่อยู่ในคุณทั้งหลาย พระเจ้าที่อยู่ในเราทั้งหลาย เป็นใหญ่กว่าโควิด-19 ที่อยู่บนโลก เป็นใหญ่กว่าผลกระทบจากโควิด-19 เรื่องราวต่างๆ เยอะแยะมากมาย ที่เป็นความทุกข์ยากลำบากบนโลกใบนี้ เป็นใหญ่กว่าความอดอยากบนโลกใบนี้ เป็นใหญ่กว่าความกลัว ความวิตกกังวลทั้งหลาย เป็นใหญ่กว่าปัญหาปากท้อง เป็นใหญ่กว่าโรคระบาดอื่นๆ อีกเยอะแยะมากมาย เป็นใหญ่กว่าความตายของร่างกายนี้ ซึ่งจะเกิดขึ้นแน่ๆ ในวันหนึ่งข้างหน้า มันหมายถึงอย่างนั้น พระเจ้าที่อยู่ในท่าน เป็นใหญ่กว่ามันทั้งหลายที่อยู่บนโลกนี้ และพระองค์ก็ทรงอยู่กับเรา ทั้ง 3 พระภาค พระเจ้าพระบิดา พระเจ้าพระบุตร พระเยซู พระเจ้าพระวิญญาณบริสุทธิ์สถิตอยู่กับเราข้างในนี้ เป็นหนึ่งเดียวกัน จูงมือเราเดินอยู่ทุกวัน คอยสอนเรา เฝ้าเรา รักเรามากเหลือเกิน ให้เวลากับเราตลอดเวลา ดูแลเราอย่างแก้วตาดวงใจของพระองค์

ฮีบรู 13:5-6 จึงได้เขียนอย่างนี้ ให้เรามั่นใจ ไม่ว่าสถานการณ์จะเป็นเช่นไร?

ฮีบรู 13:5-6  “5 จงรักษาชีวิตของท่าน ให้เป็นอิสระจากการรักเงินทอง (รวมถึงความโลภ  กิเลสตัณหา และความอยากได้ทรัพย์สมบัติทางโลก)   และจงพึงพอใจในสิ่งที่ตนมี  และสิ่งที่เป็นอยู่ เพราะพระเจ้าได้ตรัสไว้แล้วว่า “เราจะไม่มีวันปล่อยให้เจ้าล้มเหลว หรือท้อแท้สิ้นหวัง หมดหนทาง โดยไม่ช่วยเหลือเจ้า เราจะไม่มีวันทอดทิ้งเจ้า  เราจะไม่มีวันละทิ้งเจ้า” 6 ดังนั้น เราจึงกล้าที่จะกล่าวได้อย่างมั่นใจว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้า ทรงเป็นผู้ช่วยเหลือของข้าพเจ้า และข้าพเจ้าจะไม่หวาดกลัวต่อสิ่งใดเลย  มนุษย์จะทำอะไรข้าพเจ้าได้เล่า”

 

ข้อความตอนนี้ เขียนไปถึงผู้เชื่อทั้งหลาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งชาวอิสราเอล ชาวยิวที่กำลังเดือดร้อนอย่างหนัก ช่วงนั้น เกิดการกันดาร เศรษฐกิจหนักกว่าโควิด ไม่รู้กี่หมื่น กี่แสนเท่า ความทุกข์ทรมาน แล้วยังแถมถูกข่มเหงรังแก จากเรื่องของความเชื่อด้วย แล้วยังมีโรคระบาดอีกต่างหาก หนักกว่าปัจจุบันเยอะเลย เพราะฉะนั้น พระเจ้าจึงส่งข้อความนี้ ไปเพื่อบอกเขาทั้งหลายว่า …

“จงรักษาชีวิตของท่านให้เป็นอิสระจากการรักเงินทอง รวมถึงความโลภ กิเลสตัณหา และความอยากได้ทรัพย์สมบัติทางโลก และจงพึงพอใจในสิ่งที่ตนมีอยู่ และเป็นอยู่ เพราะพระเจ้าได้ตรัสแล้วว่า ‘เราจะไม่มีวันปล่อยให้เจ้าล้มเหลว หรือท้อแท้ สิ้นหวัง หมดหนทาง โดยไม่ช่วยเจ้า เราจะไม่มีวันทอดทิ้งเจ้า เราจะไม่มีวันละทิ้งเจ้า”

ในสถานการณ์เช่นนี้ โควิด-19 ซึ่งเล็กกว่าเรื่องราวที่พระคัมภีร์ได้เขียนถึงในขณะนี้ เมื่อ 2,000 ปีก่อนนั้น พระเจ้าพูดอย่างนี้แหละ  พระเจ้าได้ตรัสแล้วว่า … ‘เราจะไม่มีวันปล่อยให้เจ้าล้มเหลว หรือท้อแท้ สิ้นหวัง หมดหนทาง โดยไม่ช่วยเจ้า เราจะไม่มีวันทอดทิ้งเจ้า เราจะไม่มีวันละทิ้งเจ้า’ ดังนั้น เราจึงกล้าที่จะกล่าวได้อย่างมั่นใจว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้า ทรงเป็นผู้ช่วยเหลือของข้าพเจ้า และข้าพเจ้าจะไม่หวาดกลัวต่อสิ่งใดเลย  มนุษย์จะทำอะไรข้าพเจ้าได้เล่า

สถานการณ์บนโลกใบนี้จะทำอะไรข้าพเจ้าได้เล่า?  โควิดจะทำอะไรข้าพเจ้าได้เล่า?  ผลจากโควิดจะทำอะไรข้าพเจ้าได้เล่า? ความทุกข์ลำบากบนโลกนี้จะทำอะไรข้าพเจ้าได้เล่า? ในเมื่อพระเจ้าทรงสถิตอยู่ด้วยกันกับข้าพเจ้า และพระองค์ไม่ทอดทิ้งข้าพเจ้า พระองค์ทรงสัญญาไว้อย่างนี้แหละ” …  มันหมายถึงอย่างนั้น

อิสยาห์ 41:10  “ดังนั้น อย่ากลัวเลย เพราะเราอยู่กับเจ้า (อยู่ในเจ้า) อย่าท้อแท้ เพราะเราเป็นพระเจ้าของเจ้า เราจะทำให้เจ้าเข้มแข็งขึ้น และจะช่วยเจ้า เราจะชูเจ้าไว้ ด้วยมือขวาอันชอบธรรมของเรา”

 

นี่คือข้อความในอดีต ในพระคัมภีร์เดิม ตอนที่พระเยซูยังไม่มาเกิดเป็นมนุษย์ เรียกว่าพระเจ้ามาอยู่กับมนุษย์ชั่วคราว เรียกว่า “มาอยู่กับเจ้า” เพื่อช่วยเหลือ

บันทึกอย่างนี้ว่า “ดังนั้น อย่ากลัวเลย เพราะเราอยู่กับเจ้า อย่าท้อแท้ เพราะเราเป็นพระเจ้าของเจ้า เราจะทำให้เจ้าเข้มแข็งขึ้น และจะช่วยเจ้า เราจะชูเจ้าไว้ ด้วยมือขวาอันชอบธรรมของเรา”

เป็นข้อความที่เล็งให้เห็นเหมือนกับข้อความที่เผยพระวจนะ เผยแผนการล่วงหน้าว่าอนาคตพระเยซูจะมาบังเกิด และทำให้สิ่งเหล่านี้เป็นจริงเลย คือผู้ที่เชื่อในพระเยซูคริสต์ พระเจ้าก็จะมาสถิตอยู่กับเขา อย่างที่เราได้เรียนรู้ในวันนี้ ดังนั้น เมื่อพระเจ้าสถิตอยู่กับเราแล้ว ก็อย่ากลัวเลย  เพราะเราอยู่กับเจ้า  ผ่านทางพระเยซูคริสต์แล้ว เราเป็นหนึ่งเดียวกันกับเจ้า อย่ากลัวเลย ไม่ได้อยู่กับเจ้านะ ในสมัยอดีต อยู่กับเจ้า แต่ตอนนี้ ต้องบอกว่า … “เราอยู่ในเจ้า” … กับเจ้า และในเจ้า ไม่เหมือนกันนะ อยู่กับเจ้า คืออยู่เพียงชั่วคราว อยู่ข้างนอก เดี๋ยวก็ไป เดี๋ยวก็มา แต่เราอยู่ในเจ้า และจะไม่ทอดทิ้งเจ้าเลย คือไม่ไปไหนแล้ว ปิดผนึกเรียบร้อย เป็นหนึ่งเดียวกันเลย เราอยู่ในพระเจ้า อยู่ตรงนี้ อยู่ข้างในนี้ พระคัมภีร์บอกชีวิตเราถูกซ่อนอยู่ในพระคริสต์กับพระเจ้า มันหมายถึงอย่างนี้

เพราะฉะนั้น ไม่มีใครทอดทิ้งเราแล้ว อย่ากลัวเลย อย่าท้อแท้ เพราะเราเป็นพระเจ้าของเจ้า เราจะทำให้เจ้าเข้มแข็งขึ้น เราชูเจ้าด้วยมือขวาอันมีชัยของเรา เราชูเจ้าขึ้น นั่งอยู่ที่เบื้องขวาของเราในสวรรค์สถานแล้ว

โยชูวา 1:9  “เราสั่งเจ้าแล้วไม่ใช่หรือว่า ‘จงเข้มแข็ง และกล้าหาญเถิด อย่าหวาดกลัว อย่าท้อใจ เพราะไม่ว่าเจ้าไปที่ไหน พระยาห์เวห์ พระเจ้าของเจ้าจะอยู่กับเจ้าที่นั่น”

 

นี่ก็เป็นเงาและเล็งให้เห็นถึงเมื่อพระเยซูคริสต์มาเกิดเป็นมนุษย์แล้ว ผู้เชื่อในพระเยซูคริสต์แล้ว จะได้รับอย่างนี้แหละ พระเจ้าสั่งเรานะ ผู้ที่เชื่อว่า …

“เราสั่งเจ้าแล้วไม่ใช่หรือว่า ‘จงเข้มแข็ง และกล้าหาญเถิด อย่าหวาดกลัว อย่าท้อใจ เพราะไม่ว่าเจ้าไปที่ไหน พระยาห์เวห์ พระเจ้าของเจ้าจะอยู่กับเจ้าที่นั่น”

นี่เฉพาะพูดถึงโยชูวาผู้เดียวนะ แต่ตอนนี้พระเจ้าพูดกับผู้เชื่อในพระเยซูคริสต์ทุกคน ผู้เชื่อไปไหน พระเจ้าไปด้วย เพราะพระเจ้าอยู่ในท่าน ท่านอยู่ในพระเจ้า เป็นหนึ่งเดียวกัน ไม่มีทางแยกจากกันเลย ไม่ต้องกลัวเลย ไปด้วยกัน พระเจ้าจะจูงมือเราเดิน

อย่ากลัวเลย ไม่ว่าอะไรก็ตาม อย่ากลัว พระเจ้าบอกกับเราวันนี้ และในสถานการณ์ต่างๆ ถ้าไม่กลัว ก็จะพึงพอใจในทุกสถานการณ์ที่เผชิญอยู่ ที่ประสบอยู่ เมื่อไม่กลัว ก็จะเกิดความพอใจ เมื่อเกิดความพอใจ ก็จะแบ่งปันด้วยความรักแท้ ที่อยู่ภายใน ไปสู่ผู้คนรอบข้าง แม้สถานการณ์ตัวเองจะดูเหมือนไม่ดี แต่ไม่กลัวสักอย่าง ความทุกข์ยากลำบากในสถานการณ์ปัจจุบันจะดีขึ้นหรือไม่? เราไม่รู้ สถานการณ์นี้ โควิดอีกกี่ปี เราก็ไม่รู้ ผลของโควิดจะเยอะกว่านี้ไหม? เราก็ไม่รู้ แต่ที่เรารู้แน่ๆ คือเราสามารถให้ความรักแท้ของพระเยซูคริสต์ที่อยู่ในเรา เจริญเติบโตขึ้นทุกวัน เพิ่มพูนขึ้นทุกวัน ได้อย่างแน่นอน โดยการอธิษฐาน การวิงวอน และการแบ่งปันอะไรที่มีอยู่ แบ่งปัน แปลว่าแบ่งให้เท่าที่เรามีอยู่ ทำออกจากใจ ออกจากวิญญาณ  โดยพระเจ้านำ  ด้วยความรักแท้ จากภายในวิญญาณของเรา  ซึ่งเป็นลูกของพระเจ้าที่ได้ถูกเปลี่ยนไปแล้ว เป็นเหมือนพระเจ้าไม่มีผิดเลย เราสามารถที่จะให้ความรักออกไป เหมือนที่พระเยซูคริสต์ให้ความรักออกไปได้ เพราะเรากับพระองค์เป็นหนึ่งเดียวกัน เหมือนกันเลย เราจึงสามารถให้ด้วยความรักนี้ออกไปได้

สมัยก่อนนี้ เราสามารถให้ โดยปราศจากความรัก ให้เพราะสงสาร ก็มี ให้เพราะอยากดัง ก็มี ให้เพื่อหวังผลประโยชน์ ก็มี แต่เราไม่สามารถรัก โดยปราศจากการให้ได้ ก็คือเราไม่สามารถที่จะมีความรักเหมือนพระเยซูคริสต์ โดยไม่ให้ออกไปเลย มันเป็นไปไม่ได้  ถ้าเราเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเยซูแล้ว พระเยซูเป็นความรัก เราก็เป็นความรักเหมือนพระองค์ไม่มีผิด และมีสัญชาตญาณของความรัก นั่นคือการแบ่งปัน การให้ออกไป นอกจากนั้น เรายังมีธรรมชาติที่เหมือนพระเจ้า เหมือนพระเยซูที่อยู่ภายใน คือธรรมชาติของการกระทำความดี การกระทำดีโดยธรรมชาติจากข้างในออกมา

นี่คือสำหรับผู้คนที่เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอดแล้ว และสำหรับผู้ที่ยังไม่เปิดใจต้อนรับพระเยซู ท่านแน่ใจหรือว่าท่านจะเดินตามลำพัง เพียงคนเดียวบนโลกใบนี้ ในขณะที่รอบข้างท่านมีปัญหาอย่างนี้  ท่านพร้อมที่จะอำลาจากโลกใบนี้ไป เผชิญกับโลกภายภาคหน้า โดยลำพัง เช่นนั้นหรือ? ท่านมั่นใจที่จะเดินตามลำพัง เพียงผู้เดียว มั่นใจในการกระทำดีของท่าน มั่นใจในความเชื่อของท่านอย่างนั้นหรือ? พระเยซูยังคงเคาะประตูใจของท่านตลอดเวลา ด้วยความรัก ความห่วงใยอย่างมากล้น ที่อยากจะเข้าไปช่วยเหลือท่านอย่างมาก อยากจะเข้าไปนำพาชีวิตของท่าน อยากจะไปจูงมือของท่านเดิน ไม่ใช่จูงมือเฉพาะ 2 ปี 3 ปี 4 ปี หรือสิ้นสุดบนโลกใบนี้  แต่จะจูงมือท่านเดิน ไปกับพระองค์ชั่วนิรันดร์ ไปจนถึงสวรรค์ของพระเจ้านิรันดร์กาล  พระเจ้าอวยพรครับ

 

****************************

 

 

 

 

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 3 มกราคม 2021 เรื่อง “เชื่อข่าวดีแล้ว ต้องทำอะไรต่อ” โดย นคร เวชสุภาพร

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  3  มกราคม  2021

 เรื่อง “เชื่อข่าวดีแล้ว ต้องทำอะไรต่อ”

โดย นคร   เวชสุภาพร

 

สวัสดีครับ เราได้ฟังบรรยายไปหลายตอนแล้ว ในเรื่องของข่าวดี หรือของขวัญของพระเจ้าที่มาเป็นเกิดบนโลกใบนี้ ซึ่งข่าวดีที่เราได้เรียนรู้กันไป สรุปสั้นๆ ก็คือเราได้รู้ว่าของขวัญจากพระเจ้า ซึ่งเป็นข่าวดีนั้น มาสู่โลกใบนี้ 2,000 ปีแล้ว ข่าวดีนี้เป็นฤทธิ์เดช เป็นอำนาจ เป็นพลัง ทำให้คนเชื่อ เกิดการเปลี่ยนแปลง  ได้รับการบังเกิดใหม่ บังเกิดใหม่ในวิญญาณ  และยังได้รับรู้ว่าข่าวดีนี้ คือพระเยซูเป็นทางเดียวที่จะได้ไปสวรรค์ และเป็นของขวัญจากพระเจ้า ซึ่งเราได้เรียนรู้อีกด้วยว่าเป้าหมายหลักของพระเจ้าที่ประทานของขวัญให้กับมนุษยชาติ ก็คือการเข้ามาอาศัยอยู่ร่วมกับเรา ในวิญญาณ ในร่างกายของเรานี้ เป็นหนึ่งเดียวกันกับเรา ก็คือเป้าหมายหลักเลย พระเจ้าให้พระเยซูคริสต์เข้ามาอยู่กับเรา คอยดูแล ควบคุมดูแล ปกป้องคุ้มครอง จูงมือเราเดินบนโลกใบนี้ ตั้งแต่อยู่บนโลกนี้เลยนะ

ข่าวดี คือเริ่มต้นอยู่บนโลกใบนี้เลย ไม่ต้องรอให้ตายแล้ว ตั้งแต่เดี๋ยวนี้ มีลมหายใจอยู่บนโลกใบนี้ พาเราเดินไปจนกระทั่งถึงชีวิตหลังความตาย ก็คืออยู่กับเราไปชั่วนิรันดร์

และเราได้เรียนรู้ไปแล้วด้วยว่าผู้ที่มีสิทธิ์จะได้ของขวัญจากพระเจ้า ก็คือมนุษย์ทุกคน  แล้วการใช้สิทธิ์ในการรับของขวัญจากพระเจ้า ในฐานะเป็นมนุษย์นั้น ก็ง่ายนิดเดียว ก็คือใช้รหัส หรือพาสเวิร์ค ซึ่งพระคัมภีร์ได้บันทึกเอาไว้อย่างนี้ ในหนังสือโรม 10:9-10 ได้บันทึกอย่างนี้ ซึ่งเป็นพาสเวิร์คที่มนุษย์ทุกคนควรจะทราบข่าวดีเหลือเกิน สำหรับมนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้

โรม 10:9-10 “9 นั่นคือถ้าท่านยอมรับด้วยปากของท่านว่า “พระเยซูทรงเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้า” และเชื่อในใจของท่านว่าพระเจ้าทรงให้พระองค์เป็นขึ้นจากตาย ท่านก็จะได้รับความรอด 10 เพราะท่านเชื่อด้วยใจ จึงทรงให้ท่านเป็นผู้ชอบธรรม และเพราะท่านยอมรับด้วยปาก จึงทรงให้ท่านรอด”

 

วิธีการใช้สิทธิ์ในการรับของขวัญจากพระเจ้า ตามที่ได้บันทึกไว้ในหนังสือโรม บทที่ 10 นั่น ได้บอกง่ายนิดเดียว ก็คือให้เรารับด้วยปากและเชื่อด้วยใจ

“รับด้วยปาก” … ว่าพระเยซูเป็นใคร? เป็นทางรอดไปสู่สวรรค์ จากพระเจ้า นี่เรียกว่ารับด้วยปาก

แล้ว “เชื่อด้วยใจ” … ในทางปฏิบัตินั้น เรียกการรับด้วยปาก มันก็ดูง่ายว่าพูดออกจากปากเท่านั้น ในทางปฏิบัตินั้น ในการรับด้วยปาก ง่ายๆ ก็คือการพูดด้วยปาก แต่พอมาถึงเรื่องของการเชื่อด้วยใจนี้ จับต้องมองไม่เห็น เป็นนามอธรรม ซึ่งจะพิสูจน์อย่างไร? เป็นเรื่องที่จับต้องมองไม่เห็น  แต่ถึงแม้จะจับต้อง มองไม่เห็นได้ หรือไม่สามารถจะได้ยินกับหู แต่พระคัมภีร์ก็บอกว่าการใช้พาสเวิร์ค หรือรหัสต้อนรับพระเยซูคริสต์ ในการรับของขวัญวันคริสตมาสนี้ จะเกิดผลได้ ต้องการกระทำเกิดขึ้นด้วย

เคยสอนกันมาโดยตลอด  ยืนยันมาตลอดว่าความรอด หรือของขวัญจากพระเจ้า คือพระเยซูคริสต์ คือทางของความรอด ไปสู่สวรรค์นั้น มนุษย์ทุกคนสามารถได้รับมาโดยฟรีๆ โดยพระคุณของพระเจ้าที่ให้เราเปล่าๆ ฟรีๆ โดยไม่ต้องทำอะไรเลย เรายืนยันมาหลายครั้งแล้ว ไม่ต้องพึ่งพาการกระทำใดๆ ทั้งสิ้นเลย แล้วคราวนี้เกิดอะไรขึ้น จึงบอกว่าความเชื่อจะเกิดผลได้นั้น ต้องมีการกระทำต่อมาด้วย หลายคนเริ่มสงสัยว่าแล้วจะเอาอย่างไร? ฟังบรรยายในวันนี้ให้จบ ค่อยๆ ติดตามไป แล้วท่านจะทราบคำตอบ เป็นคำตอบที่ตรงตามพระคัมภีร์ เป็นความจริงตามพระคัมภีร์ จะทำให้เราเป็นอิสระ เป็นไทจริงๆ

ข้อพระคัมภีร์ที่บอกว่าความเชื่อเพียงอย่างเดียวไม่พอ ต้องมีการกระทำด้วยนั้น อยู่ในหนังสือยากอบ 2:14-17 ที่เราจะอ่านร่วมกัน

ยากอบ 2:14-17 “14 พี่น้องทั้งหลาย ถ้าคนหนึ่งอ้างว่ามีความเชื่อ แต่ไม่สำแดงเป็นการกระทำจะมีประโยชน์อะไร? ความเชื่อแบบนี้ จะช่วยเขาให้รอดได้หรือ? 15 สมมติว่าพี่น้องชายหญิงคนใดขาดแคลนเสื้อผ้าและอาหารประจำวัน 16 ถ้าผู้ใดในพวกท่านพูดกับเขาว่า “ไปเถิด ขอให้ท่านเป็นสุข รักษาตัวให้อบอุ่น และอิ่มหนำเถิด” แต่ไม่เอื้อเฟื้อปัจจัยเลี้ยงชีพแก่เขาจะมีประโยชน์อันใด? 17 ฉันใดก็ฉันนั้น ความเชื่อเพียงอย่างเดียว โดยไม่มีการกระทำ ก็เป็นความเชื่อที่ไร้ประโยชน์”

 

ยากอบ 2:14-17 พระคัมภีร์ตรงนี้ เป็นอีกหนึ่งในจำนวนอีกหลายๆ แห่งที่ถูกนำไปใช้ ไปตีความ แล้วก็สอนกันต่อๆ มานานแล้ว โดยที่ไม่ได้ทำความเข้าใจกับวัตถุประสงค์ ตามบริบทของข้อพระคัมภีร์นี้ว่าหมายถึงอะไร? หลายคนอ่านแค่นี้ แล้วไม่ได้ทำความเข้าใจที่มาที่ไปบริบท แล้วก็ตีความว่าความเชื่อที่จะเกิดผลได้นั้น ต้องมีการกระทำด้วย คือเข้าใจว่าต้องมีการกระทำ คือต้องมีความรัก มีความเมตตา มีความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับพี่น้องผู้เชื่อด้วยกัน แล้วบางคนบอกว่าเหมือนกับว่าต้องรักเพื่อนบ้านเหมือนรักตนเอง คิดถึงขนาดนี้

เพราะฉะนั้น ถ้าใครไม่ทำตามสิ่งเหล่านี้ ใครที่ไม่ยอมช่วยเหลือพี่น้อง ก็แปลว่าความเชื่อไม่เกิดผล แปลว่าไม่ได้รับความรอด ในพระเยซูคริสต์ ไม่ได้ไปสวรรค์นะสิ

คิดดีๆ ว่าจริงหรือไม่? แล้วถ้ามันเป็นอย่างนั้นจริงๆ  ต้องทำอย่างนั้นจริงๆ  ถามว่าแล้วต้องทำมากแค่ไหน? ถึงจะพอ ต้องรักเพื่อนบ้านเท่ากับเราเองแค่ไหน ถึงจะพิสูจน์ได้ว่าเราได้รับความรอด  ท่านลองคิดตามนะครับ จะเห็นว่ามันขัดแย้งนะ ขัดแย้งกับหัวใจของข่าวประเสริฐ ที่บอกว่าความเชื่อเท่านั้นที่จะนำเราไปสู่ความรอด  ไม่สามารถมีใครโอ้อวดว่าตัวเองทำเยอะขนาดไหน?  ทำดีขนาดไหนถึงจะสามารถรอดจากความบาป  รอดจากนรกมาสู่สวรรค์ได้  มันขัดแย้งกันหลายอย่างเลยในความเชื่อในพระคัมภีร์บอกว่า …

“ความรอดได้มาถึงทุกคน โดยไม่ต้องพึ่งการกระทำ”

ในหนังสือเอเฟซัส บทที่ 2 ในหนังสือโรม บทที่ 5 ได้พูดชัดเจน ความชอบธรรม  ความรอด ได้รับโดยเปล่าๆ  เป็นพระคุณของพระเจ้า ไม่ใช่การกระทำ ซึ่งผมได้ย้ำอยู่บ่อยๆ ใช่ไหมครับว่าการจะตีความในพระคัมภีร์ ต้องเรียนรู้บริบทว่าเรื่องราวที่กำลังพูดถึง พูดถึงใคร? เขียนถึงใคร? บอกใคร? และตอนต้นกำลังพูดถึงอะไรอยู่ ในยุคสมัยไหน?  เพื่ออะไร? จะได้เรียนรู้ว่าเขาหมายถึงอย่างนั้น ไม่ใช่ไปจับมาแค่ประโยคเดียว  หรือสองประโยคแล้วก็ตีความ แล้วถูกหลอก เข้าใจผิดมากมาย

พระคัมภีร์ยากอบตรงนี้เป็นจดหมายฝากของอาจารย์ยากอบ  ที่เขียนในช่วงที่มีศาสนามานำการปกครองของชาวยิว  ก็คือมีศาสนาเป็นกฎระเบียบสูงสุดนั้นเอง  เพราะฉะนั้น จึงเขียนขึ้นในช่วงที่ผู้นำทางศาสนามีอำนาจเหนือผู้เชื่อ  เหนือคริสตจักร คือในราวปี ค.ศ.48-50 ซึ่งเนื้อหาในจดหมาย เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับชาวยิว  อย่างเห็นชัด  ไม่ได้กล่าวถึงคนต่างชาติ ซึ่งหมายถึงพวกเราผู้เชื่อทั้งหลายที่ไม่ใช่ชาวยิวเลยสักนิดเดียว  ซึ่งชาวยิวในยุคนั้น ซึ่งถึงแม้จะบอกว่าเชื่อพระเจ้า  ชาวยิวเขาก็เชื่อว่ามีพระเจ้าจริง พระเจ้าทรงพระชนม์ เขาเชื่อพระเจ้า มีบางราย สมัยนั้น ก็อ้างว่าเชื่อพระเยซู แต่การดำเนินชีวิต ก็ยังคงใช้ชีวิตแบบเดิมๆ ทำตามประเพณีเดิมๆ ด้วยความเชื่อแบบเดิมๆ  อย่างเช่น มีการแบ่งชนชั้น ระหว่างชาวยิวกับไม่ใช่ชาวยิว  ไม่ให้มาคบชาวต่างชาติอะไรต่างๆ เหล่านี้ เป็นต้น

อาจารย์ยากอบ จึงได้เขียนมาเตือนชาวยิวเหล่านี้ว่าท่านเชื่อพระเจ้าจริงหรือ? ถ้าท่านเชื่อพระเจ้าจริง ทำไมท่านไม่เชื่อพระเยซู ที่พระเจ้าทรงประทานให้  ถ้าท่านเชื่อพระเยซูจริง ทำไมท่านไม่ต้อนรับพระเยซูเป็นพระผู้ช่วยให้รอด ยังคงพึ่งพาตนเองอยู่ ซึ่งมันเป็นเรื่องเกี่ยวกับความรอดทางฝ่ายวิญญาณนั้นเอง  ซึ่งอาจารย์ยากอบเขียนไปถึงชาวยิว ความรอดไปสู่สวรรค์ มันมาถึงตรงนี้

ในข้อที่ 14 ได้บันทึกไว้ เมื่อสักครู่นี้ ที่เราได้อ่าน บอกว่า … “พี่น้องทั้งหลาย ถ้าคนหนึ่งอ้างว่ามีความเชื่อ แต่ไม่สำแดงเป็นการกระทำจะมีประโยชน์อะไร? ความเชื่อแบบนี้ จะช่วยเขาให้รอดได้หรือ?”

จำได้ไหมครับว่า “รอด” นี้หมายถึงรอดทางฝ่ายวิญญาณ  ไปสู่สวรรค์ได้

คำว่า “การกระทำ” ตรงนี้ หมายถึงการแสดงออกในความเชื่อนั้น

ยากอบได้ยกตัวอย่างในข้อที่ 15 กับ 16 อ่านไปแล้วว่า … “สมมติว่าพี่น้องชายหญิงคนใดขาดแคลนเสื้อผ้าและอาหารประจำวัน ถ้าผู้ใดในพวกท่านพูดกับเขาว่า “ไปเถิด ขอให้ท่านเป็นสุข รักษาตัวให้อบอุ่น และอิ่มหนำเถิด” แต่ไม่เอื้อเฟื้อปัจจัยเลี้ยงชีพแก่เขาจะมีประโยชน์อันใด?”

เหมือนเราได้ยินเรื่องราวของคนกำลังลำบากเรื่องการกินการอยู่ ขาดแคลน  แล้วเราก็ได้แต่พูดด้วยปากว่า …

“น่าสงสารจัง น่าจะมีคนช่วยเขานะ”

ในขณะที่ตัวเราไม่ได้ช่วยอะไรเลย สักนิดหนึ่ง  มีแต่ความสงสาร ความเห็นใจแบบนี้ ไม่ได้เกิดประโยชน์อะไรเลยกับคนที่กำลังลำบาก ดีแต่ปาก แต่ไม่ได้ทำอะไรเลย  คนเดือดร้อน ก็ยังเดือดร้อนอยู่ หมายถึงอย่างนี้ ตรงนี้

นี่คือข้อ 15, 16 จึงเป็นตัวอย่าง สมมติที่อาจารย์ยากอบได้ยกตัวอย่างให้เราฟัง เหมือนผมบอกว่ากินก๋วยเตี๋ยวร้านนี้สิ ก๋วยเตี๋ยวอร่อย  อร่อยอย่างโน้นอย่างนี้ อธิบายละเอียด ท่านอาจจะเชื่อผม อร่อยจริงๆ เหรอ แล้วท่านไม่ไปชิม ไม่ได้เกิดประโยชน์อะไร ท่านก็ได้แต่จินตนาการไปเรื่อยเปื่อย อย่างนั้น  เพราะว่ามันเป็นเพียงแค่คำพูด ไม่มีการกระทำ  ได้แต่หวังว่าเชื่อ เชื่อว่าอร่อย  แต่ถามว่าไปกินไหม? ไม่ได้กิน เหมือนข้อ 15, 16 ที่เป็นตัวอย่างสมมติให้เราเห็นภาพชัดเจนว่าความเห็นใจ  ความมีเมตตา ที่เป็นเพียงคำพูดเท่านั้น  โดยไม่มีการกระทำอะไรเลย ไม่เกิดประโยชน์อะไรเลย เช่นเดียวกัน

พอมาข้อ 17 ชัดเจนใหญ่เลย  ก็เลยสรุปบอกว่า … “ฉันใดก็ฉันนั้น ความเชื่อเพียงอย่างเดียว โดยไม่มีการกระทำ ก็เป็นความเชื่อที่ไร้ประโยชน์”

ก็เหมือนกันแหละว่าความเชื่อเพียงอย่างเดียว โดยไม่มีการกระทำ ก็เป็นความเชื่อที่ไร้ประโยชน์  เห็นไหมชัดเจน ความเชื่อในพระเจ้า ว่ามีพระเจ้า พระเจ้าส่งพระบุตรองค์เดียวของพระองค์มาเป็นของขวัญให้กับมนุษยชาติ กลับไม่รับพระเยซูคริสต์ อย่างนี้เขาเรียกว่าเชื่อเปล่าๆ ไม่มีประโยชน์ หมายถึงอย่างนี้

พูดรวมๆ ก็คือความเอื้อเฟือเผื่อแผ่ ที่มีแต่คำพูด แต่ไม่มีการกระทำ ไม่เกิดประโยชน์ฉันใด ความเชื่อในเรื่องมีพระเจ้า  ในข่าวดีของพระเจ้า เพียงอย่างเดียว โดยไม่มีการกระทำ ก็ไม่มีประโยชน์ฉันนั้น  ซึ่งไม่ได้หมายความว่าถ้าเราไม่มีการกระทำในเรื่องนี้ คือเอื้อเฟือเผื่อแผ่พี่น้อง แสดงว่าความเชื่อนั้น ไม่รอด มันคนละเรื่องกัน  เห็นไหม? เข้าใจใช่ไหม?

ไม่ได้หมายความว่าถ้าเราไม่กระทำสิ่งที่เป็นความดี  ตามที่พระเจ้าบอก  ไม่เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่พี่น้อง  ไม่มีความรักเพื่อนบ้าน เหมือนรักตนเอง  หรือรักเพื่อนบ้านเหมือนรักตนเองไม่มากพอ  แสดงว่าความเชื่อเราไร้ประโยชน์  ไม่ใช่อย่างนั้น  คนละเรื่องกัน  ชัดเจนนะครับ

ถ้าอย่างนั้น ที่บอกว่า … “ความเชื่อ ต้องมีการกระทำด้วย จึงจะเกิดผล” … หมายความว่าอะไร? การกระทำตรงนี้ คือการกระทำอะไร? เรามาค้นหาในข้อพระคัมภีร์นะ อาจารย์ยากอบพูดถึงเรื่องอะไรต่อไป ยากอบ 2:18-19 บันทึกไว้อย่างนี้ …

ยากอบ 2:18-19 “18 แต่บางคนจะกล่าวว่า “ท่านมีความเชื่อส่วนข้าพเจ้ามีการกระทำ” จงแสดงความเชื่อของท่านที่ไม่มีการกระทำมา แล้วข้าพเจ้าจะแสดงความเชื่อของข้าพเจ้าด้วยสิ่งที่ข้าพเจ้ากระทำ 19 ท่านเชื่อว่ามีพระเจ้าองค์เดียวก็ดีแล้ว! แม้พวกผีมารก็ยังเชื่อเช่นนั้น และกลัวจนตัวสั่น”

 

ข้อ 19 บอกว่า … “ท่านเชื่อว่ามีพระเจ้าองค์เดียวก็ดีแล้ว”

ชาวยิวเชื่อว่ามีพระเจ้าองค์เดียว  มีพระเจ้าเที่ยงแท้แต่เพียงผู้เดียว นอกจากพระเจ้า ไม่มีพระเจ้าอื่นใดแล้ว นอกนั้น โกหกทั้งนั้น ท่านเชื่ออย่างนั้นก็ดีแล้ว

“แม้พวกผีมารก็เชื่อเช่นนั้น และกลัวจนตัวสั่น”

พวกมารซาตานที่ตกกระป๋อง ที่กบฏต่อพระเจ้า  ที่ไม่เชื่อฟังพระเจ้า  ดื้อต่อพระเจ้า พวกนั้นก็เชื่อว่าพระเจ้าเป็นพระเจ้าองค์เดียว ยิ่งใหญ่ เหมือนกับท่าน เชื่อว่ามีพระเจ้า เชื่อมากกว่าอีก เพราะว่ามีวิญญาณเดียวกัน  ในโลกวิญญาณเหมือนกัน ชัดเจนเลยว่าพระเจ้าเป็นผู้ใด  เป็นพระผู้สร้าง เป็นพระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่สูงสุด  เพียงองค์เดียวเท่านั้น  มารซาตานก็เชื่อ แล้วเชื่อฟังพระเจ้าไหม?  ไม่เชื่อ กบฏต่อพระเจ้า

ฉะนั้น ที่เราพูดว่าเชื่อพระเจ้า มีพระเจ้า เราเชื่อพระเจ้าแบบไหน? เชื่อว่ามีพระเจ้า เชื่อแค่ไหน?  ขนาดไหน? ถ้าเราเชื่อว่าพระเจ้ามีจริง พระเจ้ายิ่งใหญ่ พระเจ้ามีฤทธิ์อำนาจสูงสุด แบบสากลที่เขาเชื่อกัน …

“ฉันเชื่อแล้วว่ามีพระเจ้า”

ความเชื่อแบบนี้ มันไม่มีประโยชน์  เพราะว่าแม้พวกผีมารซาตาน ก็ยังเชื่ออย่างนี้เลยว่ามีพระเจ้าจริงๆ ซึ่งไม่ได้ทำให้เกิดผลประโยชน์อะไรทั้งสิ้นเลย นึกภาพออกไหม? ตอนเชื่อพระเจ้า โอ๊ย! มีพระเจ้า พอพระเจ้าประทานพระเยซูคริสต์ พระบุตรของพระองค์มา เพื่อช่วยให้มนุษย์ได้รอด ไม่เอา ไม่เชื่อ

แต่ความเชื่อที่จะนำไปสู่ความรอดนิรันดร์ ตามพระคัมภีร์บอก  ที่จะได้บังเกิดใหม่  เป็นความเชื่อข่าวดี ข่าวประเสริฐของพระเจ้าที่ส่งมาให้กับมนุษยชาติทั้งปวง  เป็นความเชื่อในข่าวประเสริฐของพระเจ้า ที่พระเจ้าบอกว่าเมื่อเชื่อในพระองค์แล้ว ตอนนี้  ยุคนี้ พระองค์ทรงกระทำอะไร? เหมือนในยอห์น 3:16  พระเจ้าประกาศบอกว่า …

“ถ้าเชื่อในเรา ต้องเชื่อในพระเยซู เพราะเราเป็นผู้ประทานพระเยซูคริสต์ พระเจ้าทรงรักมนุษย์ยิ่งนัก  จึงได้ประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์มาเป็นมนุษย์ เพื่อตายบนไม้กางเขน เพื่อช่วยชำระบาปให้กับมนุษย์ทั้งปวง  ช่วยให้มนุษย์ได้รับความรอด ไปสู่นิรันดร์ ไม่ไปสู่ความพินาศ” นี่คือยอห์น 3:16 ได้บอกไว้ นี่คือข่าวดี

ท่านเชื่อว่าพระเจ้ามีจริง แต่ก็ไม่มีประโยชน์อะไรเลย ถ้าเชื่อในพระเจ้า แล้วไม่เชื่อฟังพระเจ้า บอกว่าพระเยซูคือพระบุตร ที่พระเจ้าทรงประทานให้กับมนุษย์ เพื่อไถ่บาป ให้กับมนุษย์ทุกคน ที่จะสามารถเกิดใหม่ได้  ความเชื่อนี้ เป็นความเชื่อที่เชื่อจริงๆ จากใจจริง คือเชื่อในข่าวดี ข่าวประเสริฐของพระเจ้า  เชื่อว่ามีพระเจ้า แล้วก็ทำตามที่พระเจ้าเสนอมา บอกมา คือต้อนรับข่าวประเสริฐ ต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นผู้ช่วยให้รอด เปิดประตูใจให้กับพระเยซู เข้ามาอยู่ในใจ  ความเชื่ออย่างนี้ เป็นความเชื่อที่เกิดผล เป็นพาสเวิร์ค ข้อพระคัมภีร์ ที่เป็นรหัส ที่พูดด้วยปากและเชื่อด้วยใจ มาเชื่อว่ามีพระเจ้า ดีแล้ว เชื่อพระเยซูปุ๊บ ความเชื่อนี้ลงไปใจเลย พูดด้วยปาก และเชื่อด้วยใจ  พูดด้วยปาก คือเชื่อด้วยคำพูด และความเชื่อนั้นหล่นลงมาในใจ  เป็นความเชื่อในใจ เกิดเป็นผล คือการเกิดใหม่

ความเชื่อที่หล่นลงมาในใจ คือเชื่อว่ามีพระเจ้า และพระเจ้าบอกว่าพระองค์ทรงประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ คือพระเยซูคริสต์มา เพื่อคนที่วางใจในพระเยซูจะไม่ได้รับความพินาศ  แต่ได้รับชีวิตนิรันดร์ ให้ท่านเชื่อฟังตรงนี้ด้วย จึงเปิดใจต้อนรับข่าวดีพระเจ้า ด้วยความเชื่อนี้ ลงมาในใจ เป็นส่วนตัว

แรกๆ เราอาจจะบอกว่าพระเจ้ามีจริง เสร็จแล้ว เราได้ยินข่าวประเสริฐ พระเยซูคือของขวัญจากพระเจ้า  แด่มนุษยชาติทุกคน  ก็เป็นจริง อย่างนี้ยังไม่ถือว่ายังไม่ได้ลงมาในใจ

จะลงมาที่ใจต่อเมื่อ พระเยซูเป็นของขวัญจากพระเจ้า  ที่พระเจ้าประทานให้กับมนุษยชาติทุกคนจะไปสู่สวรรค์ได้  แล้วรวมทั้งฉันด้วย  เป็นส่วนบุคคลเลย  รวมทั้งตัวฉันด้วย ฉันก็เป็นคนๆ นั้น แหละ พระเยซูตายที่ไม้กางเขน  เพื่อฉัน พระเจ้าประทานให้กับฉัน  นี่ลงมาที่ใจเรา  อย่างนี้เขาเรียกว่าการกระทำ คือเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอด  การกระทำตรงนี้เขาเรียกว่าเปิดประตูหัวใจ  ซึ่งเชื่อมกันกับที่อาจารย์ยากอบได้พูดตรงนี้

และการกระทำของความเชื่อ ตรงนี้ว่ามีพระเจ้า  ก็คือการแสดงออกมาว่าเราเชื่อพระเจ้าจริงๆ  เกิดผลจากชีวิตจากข้างในวิญญาณของเรา จากข้างในใจของเราเลย นี่คือสิ่งที่อาจารย์ยากอบพยายามที่จะอธิบาย เตือนบรรดาพี่น้องชาวยิว

ซึ่งชาวยิวในยุคนั้น จำนวนมากที่ได้ฟังเรื่องราวข่าวดีของพระเยซูคริสต์ บางท่าน บางคนในพวกเขา เคยเห็นพระเยซูแล้ว พวกอายุมากๆ ก็ยังเดินกับพระเยซู ตอนที่เดินอยู่บนโลกใบนี้  เคยเห็นการอัศจรรย์ที่พระเยซูทำ ท่ามกลางชาวยิวและผู้เชื่อทั้งหลาย  หมายถึงผู้ที่วางใจในพระเยซู ก่อนที่พระองค์จะถูกตรึงที่ไม้กางเขน  ซึ่งเขาก็บอกว่าเขาเชื่อ  ไม่ต่อต้าน แต่อย่างที่บอก ความเชื่อนั้นไม่ได้ลงไปที่ใจเขา เพราะเขายังไม่เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด ตามรหัสพระคัมภีร์บอกไว้  ความเชื่อแบบนี้จึงไม่เกิดผล เอาของขวัญมาให้ เชื่อว่ามีของขวัญ แต่ยังไม่ได้ออกไปรับ  ก็มีค่าเท่ากับไม่เชื่อเลย ซึ่งในมัทธิว บทที่ 21 พระเยซูก็ได้ยกตัวอย่างให้เห็น เราลองอ่านด้วยกันนะครับ

มัทธิว 21:28-32 “28 “พวกท่านคิดอย่างไร? ชายคนหนึ่งมีบุตรสองคน เขาไปหาบุตรคนโตและพูดว่า ‘ลูกเอ๋ย วันนี้จงไปทำงานในสวนองุ่นเถิด’ 29 “บุตรคนนั้นตอบว่า ‘ไม่ไป’ แต่ตอนหลังเปลี่ยนใจ และไปทำงาน 30 “แล้วบิดาไปหาบุตรอีกคนบอกอย่างเดียวกัน บุตรนั้นตอบว่า ‘จะไปขอรับ’ แต่เขาไม่ได้ไป 31 “ถามว่าบุตรคนไหนทำตามใจบิดา?” พวกเขาทูลว่า “คนแรก” พระเยซูตรัสว่า “เราบอกความจริงแก่ท่านว่าคนเก็บภาษีและหญิงโสเภณี พากันเข้าอาณาจักรของพระเจ้าก่อนหน้าพวกท่าน 32 เพราะยอห์นมา เพื่อชี้ทางชอบธรรมแก่ท่าน และท่านไม่เชื่อ แต่คนเก็บภาษีและหญิงโสเภณีเชื่อ และแม้ได้เห็นสิ่งนี้แล้ว พวกท่านก็ยังไม่ยอมกลับใจมาเชื่อเขา”

 

พระเยซูยกตัวอย่าง พวกที่พึ่งพาตนเอง  พึ่งพาในการกระทำของตนเอง  ทำความชอบธรรมของตนเอง ซึ่งก็คือพวกเคร่งศาสนา ฟาริสี สะดูสี พวกธรรมาจารย์ เคร่งในการกระทำ ว่าการกระทำ ซึ่งการแสดงออกว่าเชื่อว่ามีพระเจ้า ไม่เหมือนความเชื่อของเหล่าโสเภณีและคนเก็บภาษี ดูเหมือนเขาไม่เชื่อพระเจ้า ถ้าเชื่อพระเจ้า  แล้วทำไมทำผิดศีลธรรมเล่า

นี่เป็นการยกตัวอย่าง  คนเชื่อและเคร่งในการกระทำ พึ่งในตนเองว่ามีพระเจ้า เชื่อในพระเจ้า หรือเชื่อในการกระทำของตนเอง  ถ้าเชื่อในพระเจ้าจริง ตอนนี้ พระเจ้าบอกว่าส่งพระเยซูคริสต์มา พระบุตรองค์เดียวของพระองค์มา  เพื่อช่วยมนุษย์ให้ได้รับความรอด  มาพึ่งพระเยซูสิ กลับไม่มา ไม่ยอมเชื่อในพระเยซู บอกว่าเชื่อพระเจ้า พระเยซูก็คือพระเจ้า พูดง่ายๆ

ตรงกันข้ามกับเหล่าผู้ที่เขาเรียกว่าชั่วร้าย ก็คือคนชั่วและคนบาป  คนเก็บภาษี โสเภณี ดูภายนอก เหมือนไม่เชื่อในพระเจ้าใช่ไหม? แต่พระเจ้าทรงประทานพระบุตร คือพระเยซูคริสต์มาบนโลก เพื่อมนุษยชาติ ก็คือพระเจ้าเองกำหนดให้มนุษย์มาเชื่อในพระเยซู กลับใจใหม่  นี่แหละ เขาเชื่อว่าเชื่อในพระเจ้าจริงๆ เชื่อแล้วมีการกระทำ เชื่อในพระเจ้าว่ามีอยู่จริงๆ มีการกระทำ คือได้รับความรอดจริงๆ  เมื่อพระเจ้าประทานพระเยซูมา ก็เปิดใจต้อนรับพระเยซู เป็นพระผู้ช่วยให้รอด

ในยุคนั้น  จดหมายของอาจารย์ยากอบเขียนไป มีชาวยิวจำนวนไม่น้อยเลย ที่ปฏิเสธพระเยซูคริสต์ ไม่ยอมรับของขวัญนี้จากพระเจ้า  ไม่เอาด้วย ทั้งๆ ที่บอกว่าเชื่อในพระเจ้า แต่ไม่เอาของขวัญ  คือไม่เอาตัวพระเจ้า เชื่อว่ามีพระเจ้า แต่พระเจ้ามา บอกไม่เอา แล้วเขาเหล่านั้น ก็ทำตัวเหมือนเดิม วนเวียน การปฏิบัติตัวเหมือนเดิม พึ่งพาตนเองเหมือนเดิม  พึ่งพาในการกระทำของตนเองเหมือนเดิม จะเดินทางไปสู่สวรรค์ด้วยตนเอง  เพื่อจะเป็นผู้ชอบธรรมด้วยตนเอง นี่พระเยซูยกตัวอย่างอย่างนี้  เขาเชื่อในพระเยซู แต่ไม่ได้เชื่อด้วยใจ ไม่ได้กระทำตามเชื่อ ซึ่งเขาไม่ได้กระทำ มันก็มีสาเหตุหลายอย่าง

อย่างเช่น ตะกี้นี้บอกไว้ หลายคนไม่กล้าต้อนรับพระเยซู เพราะกลัว กลัวอำนาจ อิทธิพลทางศาสนายิว ซึ่งมีอำนาจครอบงำเหนือประชาชน หรือประชากรชาวยิว กลัวการข่มเหง กลัวการต่อต้าน  กลัวจะถูกขับไล่ ออกไปจากสังคมชาวยิว กลัวจะไม่ได้สวัสดิการ ความช่วยเหลืออีกต่อไป กลัวถูกกลั้นแกล้ง ตกงาน อะไรต่างๆ นี่คือเวลาศึกษา เรื่องเล่านี้ เราจะได้เห็นภาพชัดเจน

ในยากอบยังมียกตัวอย่าง เรื่องเกี่ยวกับของอับราฮัม ซึ่งเป็นบิดาแห่งความเชื่อของชาวยิว ให้พวกเขาฟัง ในเรื่องของอับราฮัมจะเล่าให้ฟัง อับราฮัม เป็นบิดาของชนชาติยิว เขาเรียกว่าเป็นผู้ให้กำเนิดชนชาติยิว  ต้นบรรพบุรุษเริ่มต้นของชาวยิว  ก็คืออับราฮัม พวกเขาอยากจะทำตามอับราฮัม อับราฮัมบอกอย่างไร? เขาเชื่อตามนั้น เขานับถืออับราฮัม สิ่งหนึ่งที่เขาเชื่อตามอับราฮัม ก็คือเชื่อว่ามีพระเจ้า

อับราฮัมเป็นผู้เริ่มต้น เชื่อว่ามีพระเจ้า  พระเจ้ามีชีวิตอยู่ ถึงแม้มองไม่เห็น  แล้วอับราฮัมก็ทำตามด้วย ทำตามด้วยวิธีสละ ทำอะไรบางอย่าง ซึ่งเกี่ยวกับชีวิตของตนเอง สูญเสียอะไรบางอย่างกับสิ่งที่ตนเองรักที่สุด เพื่อพิสูจน์ความเชื่อว่าพระเจ้ามีจริง

พระเจ้าบอกให้อับราฮัมถวาย ฆ่าลูกชายของตนเอง  เพื่อเป็นเครื่องบูชาแด่พระเจ้า  และอับราฮัมก็ทำ ลองอ่านดูนะครับว่าพระคัมภีร์บันทึกไว้อย่างไร?

ยากอบ 2:20-24 “20 คนเขลาเอ๋ย ท่านต้องการหลักฐานว่าความเชื่อ โดยปราศจากการกระทำนั้น เปล่าประโยชน์ใช่ไหม? 21 พระเจ้าทรงถือว่าอับราฮัมบรรพบุรุษของเรา เป็นผู้ชอบธรรม ก็เพราะการกระทำของเขาที่ ถวายอิสอัคบุตรชายบนแท่นบูชาไม่ใช่หรือ? 22 ท่านก็เห็นแล้วว่าความเชื่อและการกระทำของเขาทำงานควบคู่กัน ความเชื่อของเขาครบถ้วนสมบูรณ์ โดยสิ่งที่เขาได้ทำ 23 และเป็นจริงตามพระคัมภีร์ที่ว่า “อับราฮัมเชื่อพระเจ้า และความเชื่อนี้พระองค์ทรงถือว่าเป็นความชอบธรรมของเขา” และเขาได้ชื่อว่าเป็นสหายของพระเจ้า 24 จะเห็นได้ว่าผู้ใดจะถูกนับว่าชอบธรรมก็ด้วยการกระทำของเขา ไม่ใช่ด้วยความเชื่ออย่างเดียว”

 

ในข้อที่ 22 … “ท่านก็เห็นแล้วว่าความเชื่อและการกระทำของเขา ทำงานควบคู่กัน ความเชื่อของเขาครบถ้วนสมบูรณ์ โดยสิ่งที่เขาได้ทำ”

เขาเชื่อว่ามีพระเจ้า ที่มองไม่เห็น แต่พระเจ้าบอกเขาบอกว่าให้ถวายบุตรชาย บนแท่นบูชา เขาก็ทำ

ในนี้บอกว่า … “ท่านก็เห็นแล้วว่าความเชื่อและการกระทำของเขา ทำงานควบคู่กัน”

ความเชื่อและการกระทำของเขา คือการถวายบุตรชายบนแท่นบูชา ให้ท่านสังเกตนิดหนึ่ง จำไว้ ความเชื่อและการกระทำของเขา ความเชื่อและการถวายบุตรชายคนเดียว บนแท่นบูชาของเขา ถามว่าการกระทำ ถวายบุตรของเขานั้น ทำทุกๆ วันไหม?  วันละกี่ครั้ง?  ทำทุกๆ ปีหรือเปล่า?  หรือทำแค่ครั้งเดียว? ก็ได้รับความเชื่อเลย

ในข้อที่ 23 … และความเชื่อนี้  ความเชื่ออย่างนี้  พระองค์ทรงถือว่าเป็นความชอบธรรม ได้รับความรอด ความชอบธรรม ได้รับความรอดในวิญญาณ เราจึงเห็นภาพชัดเจนว่ายากอบกำลังพูดถึงเรื่องโลกวิญญาณ ความรอดในโลกวิญญาณ ข่าวดีของพระเยซูคริสต์ คือข่าวดีมา เพื่อมนุษย์จะได้รับความรอดในโลกวิญญาณ ของขวัญ คือพระเยซูคริสต์ วันคริสตมาสที่พระเจ้าประทานให้กับมนุษยชาติ คือทางไปสู่สวรรค์ เข้าสู่สวรรค์ ก็เข้าเลย  เข้ามาทุกวันๆ ตอนนี้ออกมาอยู่นรก พรุ่งนี้เข้าสวรรค์ อีกวันอยู่นรก ไม่ใช่ ทำครั้งเดียว เข้าสวรรค์ก็เข้าสวรรค์เลย  ข่าวดีของพระเยซูคริสต์ คือเมื่อเชื่อในพระเจ้า ก็ทำตาม  ต้อนรับพระเยซูคริสต์แล้ว จะได้บังเกิดใหม่ … บังเกิดใหม่ ก็เกิดครั้งเดียวเหมือนกัน

จะเห็นว่าผู้ใดถูกนับว่าเป็นผู้ชอบธรรม ก็โดยการกระทำของเขา ชัดเจน จะเห็นว่าผู้ใดถูกนับว่าเป็นผู้ชอบธรรม จะได้รับความรอด ในโลกวิญญาณ ผู้ชอบธรรม คือคนดีพร้อม เข้าไปอยู่ในสวรรค์กับพระเจ้าได้ ก็ด้วยการกระทำของเขา ไม่ใช่ด้วยความเชื่ออย่างเดียว เชื่อแล้วไม่กระทำ เชื่อว่ามีพระเจ้า แต่ไม่กระทำตาม ก็ไม่มีประโยชน์

ข้อ 23, 24 จึงบอกว่า … “และพระคัมภีร์ก็สำเร็จที่ว่า อับราฮัมเชื่อพระเจ้า และพระองค์ทรงถือว่า ความเชื่อนั้นเป็นความชอบธรรมแก่ท่าน และท่านได้ชื่อว่า เป็นสหายของพระเจ้า ท่านทั้งหลายก็เห็นแล้วว่า ผู้ใดจะเป็นคนชอบธรรมได้ ก็เนื่องด้วยการประพฤติ และมิใช่ด้วยความเชื่อเพียงอย่างเดียว”

อับราฮัมได้ทำแล้ว แล้วทำครั้งเดียว รับความรอด เป็นผู้ชอบธรรมของพระเจ้า  ทำแค่ครั้งเดียวเอง หลังจากที่อับราฮัมทำสิ่งที่เรียกว่าความเชื่อนี้ ครั้งเดียว ได้รับเป็นผู้ชอบธรรมแล้ว หลังจากนั้น อับราฮัมทำบาปอีกเยอะแยะ หลายครั้งเลย  ครั้งหนึ่งที่รุนแรงมาก พระเจ้าบอกว่าสัญญาว่าจะให้บุตร มีทายาทตอนอายุ 99 ปี อับราฮัมกับซาร่าไม่เชื่อ ช่วยพระเจ้า โดยการวางแผนให้ตัวเองมีลูก โดยไม่ต้องพึ่งพระเจ้า อะไรอย่างนี้ ค่อยๆ เรียนรู้

นี่คือทำให้เห็นว่าการกระทำด้วยความเชื่อ ตรงนี้ หมายถึงการกระทำครั้งเดียว เปิดใจต้อนรับเพียงครั้งเดียว ในสิ่งที่พระเจ้าทรงบอกให้ทำ คือตอนนี้พระเจ้ามาเกิดเป็นมนุษย์แล้ว คือพระเยซูคริสต์ นี่ชัดเจน

นอกจากนี้ยังมีเรื่องของราหับ หญิงโสเภณี ที่ยากอบได้ยกตัวอย่างใน บทที่ 2 ข้อ 25-26

ยากอบ 2:25-26 “25 เช่นเดียวกัน ราหับหญิงแพศยาก็ได้ความชอบธรรม เนื่องด้วยความประพฤติมิใช่หรือ เมื่อนางได้รับรองผู้ส่งข่าวเหล่านั้น และส่งเขาไปเสียทางอื่น 26 เพราะกายที่ปราศจากจิตวิญญาณนั้นไร้ชีพแล้วฉันใด ความเชื่อที่ปราศจากการประพฤติตามก็ไร้ผลฉันนั้น”

 

พูดง่ายๆ ว่าการกระทำของนางราหับ หญิงโสเภณี ทำครั้งเดียว คือเปิดประตู ได้ยินข่าวมาว่าพระเจ้ายิ่งใหญ่ พระเจ้าทรงพระชนม์อยู่ ตอนนี้คนของพระเจ้ามาที่นี่แล้ว  เชื่อไหม? เชื่อว่ามีพระเจ้าไหม? เชื่อ ไม่ได้เชื่ออย่างเดียว แต่เปิดประตูต้อนรับสายรับชาวยิว เข้าไปในเยรีโค เสี่ยงกับชีวิตของตนเอง  ราหับกำลังทำอะไรบางอย่างที่เสี่ยงกับชีวิตของตนเอง  ในการเชื่อในพระเจ้ากับการกระทำสิ่งนี้ เป็นการช่วยเหลือคนของพระเจ้า ให้หนีรอด ออกไปทางหน้าต่าง  ในเวลาต่อมา  เสี่ยงชีวิตตัวเองในการจะถูกเจ้าหน้าจับได้  และประหารชีวิต การกระทำนี้ เปิดประตู ยอมรับในสิ่งที่ข่าวดีมาถึงเขาแล้ว คือพระเจ้ามาถึงบ้านพักเขาแล้ว เปิดประตูต้อนรับเลย เขาทำเลย  นี่คือการกระทำของเขา เปิดประตูต้อนรับข่าวดีของพระเจ้า  ครั้งเดียวเหมือนกัน เห็นไหม?

ราหับมาเปิดประตู จากนั้นเปิดประตูทุกวันๆ  ไม่ใช่นะ  แล้วไม่ใช่ว่าราหับเปิดประตูต้อนรับข่าวดี เชื่อในพระเจ้าแล้ว  จากนี้ต่อไป ราหับไม่ได้ทำอะไรสิ่งชั่วร้าย หรือทำบาปต่อพระเจ้าเลย ไม่ใช่อย่างนั้น

เราจึงเห็นอย่างชัดเจนว่าบริบทของยากอบ บทที่ 2 นี้ มันคือความรอดในโลกวิญญาณ ความรอดทางวิญญาณ ความรอดไปสู่สวรรค์นิรันดร์กาล การได้เกิดใหม่ เหตุการณ์เกิดขึ้นจากข่าวดีของพระเยซูคริสต์ ที่ต้อนรับข่าวประเสริฐของพระเยซู ต้อนรับข่าวดีนี้ แล้วพระเจ้าได้ทำให้เราบังเกิดใหม่เข้าสู่สวรรค์ได้ ทำครั้งเดียวพอ

เพราะฉะนั้น สำหรับผู้ที่ยังไม่ได้เปิดใจต้อนรับพระเยซู เป็นพระผู้ช่วยให้รอด ซึ่งได้ยินได้ฟัง ได้เรียนรู้มา ถึงเรื่องราวของพระเยซูว่าเป็นข่าวประเสริฐของพระองค์ พระเจ้าส่งมาให้กับมนุษย์ทุกคน  ถึงแม้ว่าท่านเคยได้ยินมาตั้งนานแล้ว  ไม่เคยแย้ง ไม่เคยต่อต้าน  ปากท่านก็พูดว่าเชื่อ  แต่การกระทำท่านไม่ได้เป็นเช่นนั้น  ความเชื่ออย่างนี้จะเกิดผลไหม? ท่านลองคิดดู ความเชื่อนี้จะไม่เกิดประโยชน์อย่างไรเลย ถ้าท่านไม่ทำการเปิดประตู เหมือนราหับเปิดประตูต้อนรับข่าวดี เหมือนกับอับราฮัมเปิดประตูเสี่ยงชีวิตให้ลูกชายของตนเองรักแก่พระเจ้า เสี่ยงเลยว่าพระองค์มีจริง  ถ้าท่านไม่ต้อนรับพระเยซูคริสต์มาเป็นพระผู้ช่วยให้รอด ประจำตัวของท่าน เท่ากับท่านไม่เชื่อ มันก็ไม่เกิดผลอะไรกับการที่ท่านเชื่อว่ามีพระเจ้านะ ข่าวดีนี้เป็นเรื่องจริง  ถูกไหม?

สมมติว่าผมพูดว่า …

“เคล็ดลับในการที่มีสุขภาพดีนั้น  ต้องออกกำลังกายเป็นประจำ สม่ำเสมอ ลดการกินแป้งและน้ำตาล อย่าให้อ้วนจนเกินไป” …

อะไรอย่างนี้ ลดอาหารที่เป็นพิษ ยกตัวอย่างอะไรต่างๆ ท่านก็ได้ยินได้ฟัง เชื่อ … เชื่อคุณนครได้พูด ถูกแล้ว แล้วทำหรือเปล่า?  ไม่ได้ทำ มันก็มีผลเท่ากับไม่เชื่อ คนที่บอกว่าไม่เชื่อ เขาได้ผลอย่างไร? ท่านที่บอกว่าเชื่อ แต่ไม่ได้ทำ ก็มีผลเช่นนั้น เหมือนกัน เหมือนผมบอกว่า …

“ไปกินก๋วยเตี๋ยวเรือร้านนี้สิ อร่อยมากเลย อร่อยจริงๆ”

มีสองคน คนหนึ่งเขาบอก … “ไม่เชื่อหรอก ไม่กิน”

อีกคนหนึ่งบอก … “เชื่อ เชื่อคุณนครพูด เขาพูดมาทั้งหมดถูกต้อง อร่อย มากเลย กินแล้วรสชาดเป็นอย่างโน้นอย่างนี้ เขาพูดถูก มีเหตุมีผล ถูกหมด”

แต่ไปชิมหรือเปล่า? ไม่ได้ไป  เพราะฉะนั้น ทั้งสองคนนี้ มีค่าเท่ากับไม่เชื่อทั้งสองคน  เพราะไม่ได้เกิดประโยชน์อะไรเลย ในการที่ผมพูดออกไป ไม่ได้เกิดผลอะไรเลยสักนิดเดียว อย่างนี้เป็นต้น

ดังนั้น ในเรา ในพวกเราที่มีชีวิตอยู่ในปัจจุบัน ไม่เหมือนกับชาวยิว ในอดีต เราได้ยินข่าวดีของพระเยซูคริสต์ ถ้าเราจะเปิดใจต้อนรับเชื่อในพระเยซูคริสต์ เชื่อว่ามีพระเจ้า และสิ่งที่พระเจ้าส่งมา ก็คือพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ คือพระเยซูคริสต์ลงมา เป็นเรื่องจริง แล้วเราต้อนรับเข้ามาเป็นส่วนตัวในชีวิตของเรา ในปัจจุบันนี้  เราไม่ต้องเสี่ยงอะไรเลย สังเกตไหม? เราไม่ต้องเสี่ยงเลย ไม่มีใครมา ต้องเสี่ยงชีวิตกับเรื่องนี้  ในสมัยยุคปัจจุบันนี้  อาจจะถูกต่อต้านบ้าง เป็นเรื่องธรรมดา  อย่างเช่นตัวผมเอง เคยได้ยินข่าวดีนี้ ถามว่าเชื่อไหมตอนนั้น  ก็นับว่าเชื่อนะ  เชื่อว่ามีพระเจ้า ผมเชื่อ มาตั้งนานแล้ว ว่ามีพระเจ้า แต่เชื่อไหมว่าพระเจ้า ส่งพระเยซูคริสต์มา  ไม่เชื่อ ก็เท่ากับไม่เชื่อว่ามีพระเจ้า  มาตอนหลังท้ายๆ ได้ยินข่าวดีมามากๆ เกิดความทุกข์ใจมากๆ ไม่มีที่พึ่ง เริ่มต้นเชื่อว่าพระเจ้าส่งพระเยซูคริสต์มา เป็นจริง เยอะขึ้น มากขึ้น แต่ก็ยังมีค่าเท่ากับไม่เชื่อ เพราะยังไม่ได้ทำสิ่งหนึ่ง ตามที่พระคัมภีร์บอก  คือยังไม่เปิดใจ เปิดปาก ต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด ลงไปในใจของผม คือให้เกิดเป็นส่วนตัวในชีวิตของเรา  ยังไม่เคยทำ ก็ยังเท่ากับไม่เคยทำ

ครั้งเดียวที่จำเป็นต้องทำ ก็ยังไม่ได้ทำ ก็คือเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอด  แต่พอเริ่มศึกษาไปเรื่อยๆ  เริ่มต้นแสวงหา  อธิษฐาน  แล้วในทันทีทันใด  เมื่อเริ่มเปิดใจ ต้อนรับข่าวประเสริฐ  ต้อนรับพระเยซูคริสต์มาเป็นพระผู้ช่วยให้รอด ส่วนตัวแล้ว มาเกิดทันที คือได้บังเกิดใหม่  ได้รู้จักพระเจ้า ได้มาเป็นลูกพระเจ้าทันที นี่แหละ คือสิ่งที่เรียกว่าความเชื่อ ต้องบวกด้วยการกระทำ

เงื่อนไขที่จะเข้าสู่สวรรค์ได้ เงื่อนไข คือการเปิดประตูใจของเรา  รับของขวัญ คือพระเยซูคริสต์มาเป็นพระผู้ช่วยให้รอด  คิดถึงราหับ หญิงโสเภณีที่เปิดประตู ต้อนรับข่าวดี คิดถึงอับราฮัม คิดถึงก๋วยเตี๋ยวเรือ  ยังไม่ชิม ก็เดินทางไปชิมสิครับ  พระคัมภีร์บอก ท่านชิมพระเจ้า แล้วท่านจะรู้ว่าพระองค์ทรงดีขนาดไหน?

เพราะฉะนั้น เงื่อนไขที่จะเข้าสวรรค์ ได้รับความรอด ก็มีเพียงแค่แสวงหา เคาะ แล้วก็จะทรงประทานให้กับท่าน เคาะ ก็คืออยากได้  แสดงความจำนง คืออยากได้ … อยากได้ ก็คือการเปิดใจ ต้อนรับข่าวดีของพระเยซู ต้องยอมรับด้วยปาก และเชื่อด้วยใจจริงๆ ซึ่งแสดงอาการอยากได้จริงๆ ด้วยการขอ หา แล้วก็จะถูกเปิดให้กับท่าน เคาะ

พระเยซูบอกว่า … “เราอยู่ที่ประตูใจของท่าน ไปเคาะประตูใจของท่าน  เมื่อไรท่านเปิดออกมา เราจะเข้าไป”

คือพระเจ้าได้ทำให้ท่านได้เกิดใหม่นั่นเอง  พระเยซูบอกอย่างนั้น เมื่อท่านเชื่อและยอมรับข่าวดีของพระเยซูคริสต์ ทำแค่ครั้งเดียว  ท่านจะได้รับการเกิดใหม่ เข้าสู่สวรรค์ทันที เป็นลูกของพระเจ้าทันที  และยังมีอีกหลายสิ่งหลายอย่าง ที่เกิดขึ้น หลังจากที่ท่านเกิดใหม่ คือเกิดในทางวิญญาณของท่านในพระเยซูคริสต์ เราจะค่อยมาเรียนรู้กันต่อไปว่ามันเกิดอะไรขึ้น ในวิญญาณของท่าน  เมื่อท่านกระทำเพียงครั้งเดียว  สิ่งเดียว คือต้อนรับพระเยซูคริสต์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอด  ต้อนรับจากใจจริงๆ เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอดจริงๆ   พระเจ้าอวยพรครับ

 

************************