คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 2 สิงหาคม 2020 เรื่อง “แนวทางการดำเนินชีวิตของผู้เชื่อ 4 ขั้นตอน” ตอน 9 “ท่าทีในการอธิษฐาน” โดย นคร เวชสุภาพร

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  2  สิงหาคม  2020

 เรื่อง “แนวทางการดำเนินชีวิตของผู้เชื่อ 4 ขั้นตอน” ตอน 9

“ท่าทีในการอธิษฐาน”

โดย นคร  เวชสุภาพร

 

สวัสดีครับ การบรรยายวันนี้ จะเป็นบทสรุปของแนวทางในการดำเนินชีวิตของผู้เชื่อ 4 ขั้นตอน ซึ่งเราเรียนมา 2 เดือนแล้ว เชื่อแล้ว  รับรู้  วางใจ  และอธิษฐาน นี่คือ 4 ขั้นตอนของแนวทางสำหรับผู้เชื่อ ไม่ว่าจะเป็นใหม่หรือเก่า จำเป็นต้องรู้ความจริงเหล่านี้ เมื่อเชื่อพระเยซูคริสต์แล้ว เป็นผู้เชื่อแล้ว หรือเรียกว่ารับเชื่อแล้ว หรือเรียกว่าเป็นคริสเตียนแล้ว  ต้องรู้ 4 ขั้นตอนนี้ในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ เชื่อแล้ว  รับรู้  วางใจ  อธิษฐาน

3 ขั้นตอนแรกนั้น เราได้เรียนรู้กันไปแล้ว ในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมา รวมทั้งหมด 9 ตอน

  1. แนวทางการดำเนินชีวิตของผู้เชื่อ 4 ขั้นตอน ตอนที่ 1 เชื่อแล้ว -รับรู้ -วางใจ -อธิษฐาน
  2. แนวทางการดำเนินชีวิตของผู้เชื่อ 4 ขั้นตอน ตอนที่ 2 จดจ่อความคิดไปที่เบื้องบน 1
  3. แนวทางการดำเนินชีวิตของผู้เชื่อ 4 ขั้นตอน ตอนที่ 3 จดจ่อความคิดไปที่เบื้องบน 2
  4. แนวทางการดำเนินชีวิตของผู้เชื่อ 4 ขั้นตอน ตอนที่ 4 วางใจพระเจ้าด้วยสิ้นสุดใจ  เรื่องโลกวิญญาณ
  5. แนวทางการดำเนินชีวิตของผู้เชื่อ 4 ขั้นตอน ตอนที่ 5 วางใจพระเจ้าด้วยสิ้นสุดใจ  เรื่องการกินการอยู่ 1
  6. แนวทางการดำเนินชีวิตของผู้เชื่อ 4 ขั้นตอน ตอนที่ 6 วางใจพระเจ้าด้วยสิ้นสุดใจ  เรื่องการกินการอยู่ 2
  7. แนวทางการดำเนินชีวิตของผู้เชื่อ 4 ขั้นตอน ตอนที่ 7 วางใจพระเจ้าด้วยสิ้นสุดใจ  เรื่องสุขภาพ
  8. แนวทางการดำเนินชีวิตของผู้เชื่อ 4 ขั้นตอน ตอนที่ 8 วางใจพระเจ้าด้วยสิ้นสุดใจ  ในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้
  9. แนวทางการดำเนินชีวิตของผู้เชื่อ 4 ขั้นตอน ตอนที่ 9 ท่าทีในการอธิษฐาน

วันนี้ เราจะมาสรุปจบขั้นตอนสุดท้าย  คือ “ท่าทีในการอธิษฐาน” ในพระคัมภีร์มีสอนเรื่องเกี่ยวกับการอธิษฐานไว้อย่างนี้ว่าฟีลิปปี 4:6-7

ฟีลิปปี 4:6-7 “6 อย่ากระวนกระวายในเรื่องใดๆ เลย แต่จงทูลขอทุกสิ่งต่อพระเจ้าด้วยการอธิษฐานและการอ้อนวอน พร้อมกับการขอบพระคุณ 7 แล้วสันติสุขของพระเจ้า ซึ่งเกินความเข้าใจ จะปกป้องความคิดจิตใจของท่านไว้ในพระเยซูคริสต์”

 

ความจริงแล้ว ข้อนี้ ข้อเดียวสามารถเป็นบทสรุปของท่าทีในการอธิษฐานกับพระเจ้าได้เลย “อย่ากระวนกระวายในเรื่องใดๆ เลย” ก็คืออย่ากระวนกระวาย หรืออย่างกังวล อย่าทุกข์ร้อนในเรื่องใดๆ เลย ในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ไม่ว่าเรื่องอะไรก็ตาม ไม่ว่าสถานการณ์ที่เผชิญอยู่จะเป็นอย่างไรก็ตาม ก็แสดงว่าตามปกติธรรมชาติ อยู่บนโลกใบนี้ มันต้องกังวล กระวนกระวายในเรื่องใดๆ ทั้งหมดเลยที่เจอไม่ดี ถูกไหม? พระคัมภีร์จึงเตือนเราว่าอย่าไปกังวล  ก็แสดงว่ามันกังวลอยู่ แต่พระคัมภีร์มีสิ่งอื่นที่ให้เราทำแทน ความวิตก ความกังวล ความกลัวในสถานการณ์เลวร้ายบนโลกใบนี้ ซึ่งมีเกิดขึ้นเป็นเรื่องธรรมดามากเลย ต้องเจอแน่ไม่ว่าจะเชื่อพระเจ้าหรือไม่เชื่อพระเจ้า เจอทุกคน โลกใบนี้มันเละตุ้มเป๊ะ มันเลวร้าย  มันมีแต่ทุกข์ เพราะเจอทุกข์ ก็ต้องวิตกกังวล ต้องกระวนกระวาย หาความช่วยเหลือแน่นอน แต่พอเรามีพระเจ้า มาเชื่อพระเจ้าแล้ว พระเจ้าบอกว่ารู้จักพระเจ้าแล้ว มาเชื่อพระเจ้าแล้ว เป็นลูกของพระเจ้าแล้ว ไม่ต้องไปวิตกกังวล เหมือนแต่ก่อนนี้แล้ว ให้ทำอะไรแทน …

“แต่จงทูลขอทุกสิ่งต่อพระเจ้า” จงทูลทุกสิ่ง ก็คือจงมาบอกพระเจ้า จงมาปรึกษาพระเจ้าในทุกสิ่ง แทนที่จะกังวล แทนที่จะกลัว แทนที่จะกระวนกระวายใจ มาอธิษฐาน มาคุยกับเราดีกว่า เราช่วยได้ คล้ายๆ อย่างนี้

เพราะฉะนั้น มาอธิษฐาน อยากได้อะไรล่ะ ต้องการอะไร? มีปัญหาอะไร? ทุกข์ร้อนเรื่องอะไร? ให้ทูลพระเจ้าได้หมดทุกอย่างเลย แทนที่จะไปวิตกกังวล ทุกอย่างเหล่านั้น เอาทุกอย่างเหล่านั้นมาคุยกับพระเจ้าแทน คุย 2 บุคคล เรากับพระเจ้าคุยกัน

ทูลขออย่างไร? ด้วยการอธิษฐาน และการอ้อนวอน บอกรายละเอียดด้วย พระเจ้า คือ Holy Father ก็คือพ่อผู้สถิตอยู่ในฟ้าสวรรค์ ผู้บริสุทธิ์ ศักดิ์สิทธิ์ ผู้ทรงรักเรา ผู้ทรงไม่เปลี่ยนแปลงในความรักของพระองค์ที่มีต่อเรา ผู้ที่เราสามารถไว้วางใจได้ ไปคุยกับพ่อเรา  ขอพ่อเราได้ทุกอย่างเลย อ้อนวอน ขอความเห็นใจ ขอความเมตตาจากพระเจ้า ได้ทุกเรื่อง แล้วตรงนี้ บอกว่าด้วยการอธิษฐานและการอ้อนวอน ไม่ได้หยุดแค่นั้น  พร้อมกับการขอบพระคุณ ก็แสดงว่าพระเจ้าสามารถทำให้เราผ่านพ้นวิกฤตปัญหา หรือความไม่สบายใจ ความไม่สบายกาย การดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ความวิตกกังวลบนโลกใบนี้ ไปได้อย่างแน่นอน ให้พร้อมด้วยการขอบพระคุณ

จะอธิษฐานอ้อนวอน ขออะไรจากพระเจ้าก็ตาม ให้ทำด้วยการตามด้วย ประกบด้วยการขอบพระคุณพระองค์ ก็คือไม่ว่าอธิษฐานแล้ว มันจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม จากนั้นเป็นต้นมา จากที่เราอธิษฐานแล้ว พระเจ้าจะตอบอย่างไร? จะได้รับสิ่งที่เราทูลขอ ตามที่เราหวังไว้ หรือตามที่เราอยากได้หรือไม่ ก็ไม่รู้ พอเราอธิษฐานเสร็จปุ๊บ ก็จบปิดท้ายด้วย “ขอบพระคุณ” วิงวอน พูดคุย เล่าให้ฟัง ขอ อ้อนวอน แล้วตามด้วย ขอบพระคุณ เชื่อและวางใจว่าสิ่งที่พระเจ้าจะตอบให้กับเรา หรือนำพาเราไปในสิ่งที่เราอ้อนวอน หรือปรึกษาพระองค์แล้ว มันต้องเป็นสิ่งที่ดีที่สุด สำหรับเราอย่างแน่นอน มันอาจจะไม่ดี สำหรับคนอื่นๆ ที่มองเข้ามา ที่เขาไม่เข้าใจ แต่สำหรับเรา พระเจ้าเตรียมหลายๆ อย่างไว้ให้กับเรา เฉพาะส่วนตัวของเราแล้ว มันต้องดีที่สุด สำหรับชีวิตของเรา เพราะพระองค์ทรงรักเรามาก และขอบคุณพระเจ้าในทุกกรณี ทุกสถานการณ์ ทุกเหตุการณ์เหล่านั้น

ฟังให้ดีๆ ขอบคุณพระเจ้าในทุกกรณี ไม่ใช่ขอบคุณพระเจ้าสำหรับทุกกรณี คนละความหมาย ขอบคุณพระเจ้าในทุกกรณี คือในทุกสถานการณ์ ที่เราผ่านเข้าไป สถานการณ์ที่ไม่ดีมีไหม? มี สถานการณ์ที่ดี เราชอบมีไหม? มี ขอบคุณทั้งสองสถานการณ์ แต่ไม่ใช่ขอบคุณ สำหรับสถานการณ์ไม่ใช่

แมวที่เรารักที่สุดในบ้าน เลี้ยงมาตั้งนาน เกิดอุบัติเหตุรถทับตาย อย่างนี้เราไม่ได้ขอบคุณที่แมวตาย ไม่ใช่ เข้าใจไหม? ขอบคุณในสถานการณ์ หมายถึงแม้ว่าแมวจะตาย เราทุกข์เสียใจ พระเจ้าแมวตายไปแล้ว แต่เราขอบคุณพระเจ้าในสถานการณ์นั้น สถานการณ์ที่เรากำลังทุกข์ใจ ที่เราลำบากใจ ที่เราสูญเสีย เราขอบคุณตรงนี้ ไม่ใช่ขอบคุณพระเจ้าแมวตาย ดีใจ ไม่ใช่อย่างนั้นนะ ถ้าเราเจ็บป่วย ไม่ใช่เราขอบคุณพระเจ้าที่เราเจ็บป่วย ไม่ใช่ เจ็บป่วยเราก็ไม่อยากได้ พ่อเราก็ไม่อยากให้เราเจ็บป่วยหรอก แต่เมื่อมันจำเป็นต้องเป็นอย่างนั้น ขอบคุณพระเจ้าในสถานการณ์เหล่านั้น แม้ว่าจะเจ็บป่วย มันจะมีคำว่า “แม้ว่า” ตาม “ในสถานการณ์” ขอบคุณในสถานการณ์ที่เราต้องเจ็บปวด จากความเจ็บป่วย เจ็บปวดจากการล้มเหลวในชีวิต ในสถานการณ์นั้น เราสามารถขอบคุณพระเจ้าได้ เห็นไหมครับ มันคนละอย่างกัน

ตรงนี้ไม่ได้บอกว่าอธิษฐานแล้ว พระเจ้าจะให้เราทุกสิ่งทุกอย่างที่เราทูลขอ ตามที่เราอยากได้  แล้วก็ไม่ได้บอกว่าอธิษฐานแล้ว พระเจ้าให้ในสิ่งที่เราทูลขอแล้ว ได้รับเรียบร้อยแล้ว จึงขอบคุณพระเจ้า ไม่ใช่ บอกว่าพออธิษฐานเสร็จปั๊บ ขณะที่รอคำตอบ ขอบคุณเลย  ขอบคุณแล้ว ได้แน่นอน ไม่ว่าจะสิ่งดีที่เกิดขึ้น จะตรงกับใจเรา หรืออยากจะได้หรือไม่ ไม่รู้ แต่เรารู้ว่ามันดี สำหรับเราแน่นอน พระเจ้ารู้แล้ว พระเจ้านำพาแล้ว พระเจ้าเข้าใจแล้วว่าเราต้องการอะไร?  เดี๋ยวพระองค์ทรงกระทำเอง ไม่ใช่ตามที่เราอยากได้ แต่เราขอบคุณล่วงหน้าไปแล้ว ต้องเป็นอย่างนี้

หลังจากทูลขอทุกสิ่งจากพระเจ้า  ด้วยการอธิษฐาน การวิงวอน พร้อมกับการขอบพระคุณแล้ว สิ่งที่พ่อของเรา คือพระเจ้าสัญญาไว้ เมื่อสักครู่นี้ ตามพระคัมภีร์ว่าจะประทานให้เราอย่างแน่นอน ก็คือข้อที่ 7 ที่ตะกี้นี้เราอ่านด้วยกัน ที่บอกว่าพออธิษฐาน วิงวอน ขอบพระคุณเสร็จปุ๊บ แล้วสันติสุขของพระเจ้า ซึ่งเกินกว่าความเข้าใจจะปกป้องคุ้มครองความคิดจิตใจของท่านไว้ในพระเยซูคริสต์ นี่คือได้แน่ๆ นี่คือสิ่งที่ทรงสัญญา

ที่อันตราย ก็คือมีการนำเอาพระคัมภีร์ข้อนี้ ไปใช้อย่างผิดๆ มากถึงมากที่สุด นั่นก็คือไปเน้นที่ข้อ 6 ข้อเดียวว่า …

“อย่ากระวนกระวายในเรื่องใดๆ เลย แต่จงทูลขอทุกสิ่งต่อพระเจ้า ด้วยการอธิษฐานและการอ้อนวอน พร้อมกับการขอบพระคุณ”

เขาใช้ข้อนี้ข้อเดียว แล้วก็เติมกิเลสเข้าไป ความอยากได้ส่วนตัวเข้าไป แล้วก็ไปต่อเองตามความคิด กิเลสตัณหาของเนื้อหนังของตนเอง  แล้วก็บอกว่าแล้วท่านจะได้รับในสิ่งที่ท่านอ้อนวอนทูลขอ อันนี้เติมเอาเองใช่ไหม?  เพราะเราอยากได้ เราเลยเติมเองว่าอธิษฐานวิงวอนต่อพระเจ้า และขอบพระคุณพระเจ้า เสร็จแล้ว ท่านจะได้รับในสิ่งที่ท่านอ้อนวอนทูลขอ ตามที่ท่านต้องการ ยิ่งอธิษฐานเยอะๆ อ้อนวอนมากๆ ตื้อพระเจ้าเยอะๆ เขย่าบัลลังก์บ่อยๆ พระเจ้าจะรำคาญและจะให้ตามที่เราขอ ซึ่งมันไม่ตรงกับพระคัมภีร์เลยแม้แต่นิดเดียว เขาเรียกว่าพยายามสร้างความเชื่อตัวเอง เพื่ออยากจะได้ในสิ่งที่ตัวเราเองอยากได้ มันคนละเรื่องกันกับเมื่อตะกี้ที่เราวิเคราะห์จากถ้อยคำพระเจ้าที่พระองค์ทรงสัญญาไว้เลย สันติสุขในพระเยซูคริสต์ ที่จะปกคลุมอยู่เหนือความคิดจิตใจของเรา ที่พระเจ้าสัญญาว่าเราได้รับแน่ๆ มันคนละเรื่องกับมาสร้างความเชื่อของเรา เราต้องได้ในสิ่งที่เราอยากได้  เราอธิษฐาน เพื่อให้การงานนี้สำเร็จ อย่างไรมันก็ต้องสำเร็จ เป็นไปตามที่เราลงทุนไปแล้ว เราต้องได้กำไรอย่างแน่นอน ยอดเยี่ยม ต้องได้แน่นอน ต้องสร้างความเชื่อขึ้นมา มันไม่ถูกเลยนะ แทนที่จะมีสันติสุข มันเกิดความทุกข์มากขึ้น เกิดความกระวนกระวายมากขึ้น

สิ่งที่พระเจ้าสัญญาไว้ว่าจะประทานให้แน่ๆ คือสันติสุขของพระเจ้า ซึ่งเกินกว่าความคิดของมนุษย์ที่จะเข้าใจ จะปกป้องความคิดจิตใจของท่านไว้ในพระเยซูคริสต์ ต้องจดจำไว้เลยว่าสิ่งนี้ คือสิ่งที่พระเจ้าสัญญาไว้ นี่คือความจริงที่เราได้รับแน่ๆ อย่าให้มารหลอก

คำถามต่อไป แล้วทำไมบางครั้ง เราถึงไม่ได้ตามที่พระเจ้าสัญญาไว้ คืออธิษฐานแล้ว ไม่ได้สิ่งที่พระเจ้าสัญญาไว้ ก็คือยังไม่มีสันติสุขในองค์พระเยซูคริสต์ ที่เกินกว่าความคิดของมนุษย์ที่จะเข้าใจเลย ยิ่งอธิษฐานไปเท่าไร? ยิ่งวิตกกังวล ยิ่งกลัวมากขึ้นเท่านั้น ทำไมมันเป็นอย่างนี้  ถูกไหม? ก็เพราะเมื่อขณะที่เราอธิษฐานไป เราอธิษฐานบนพื้นฐานที่มันไม่เป็นความจริง มันเป็นไปไม่ได้ เราถูกหลอก มันไม่ใช่พระประสงค์ของพระเจ้าที่มีต่อชีวิตของเรา ไม่ใช่สิ่งที่พระเจ้าจัดเตรียมให้กับเรา  เราถูกหลอกลวงด้วยอิทธิพลของระบบของโลกนี้ ที่เรียกว่ากิเลสตัณหาของเนื้อหนัง ธรรมชาติบาปที่ยังปกคลุม ดำเนินอยู่บนโลกใบนี้ โดยมาร กระตุ้น ส่งสัญญาณมา หลอกล่อเรา ล่อลวงเรา ทั้งหมดนี้มันเป็นศัตรูอยู่ตรงกันข้ามกับพระเจ้าทั้งหมดเลย มันคือระบบของโลก

มันไม่ได้มา เพื่อสนองกิเลสตัณหาของเรา  แต่มันมาเพื่อหลอกลวงเรา เราก็จะไม่ได้ตามกิเลสตัณหาเราด้วย ไม่ใช่ได้นะ ไม่ได้ ไม่ใช่เลือกเอาว่าจะเอามัน แล้วมันจะได้ มันไม่ได้ด้วย ยกตัวอย่างเช่นจะเอามัน แล้วอยากจะได้สุขภาพแข็งแรงตลอดชีวิต ไม่ป่วยเลย มันเป็นไปไม่ได้ แต่มันหลอกเราว่าเป็นไปได้ๆ เราจะเอามีแต่ความสำเร็จ มีแต่ความเจริญรุ่งเรืองมั่งคั่ง แล้วจะมีความสุข มันเป็นไปไม่ได้ แต่มันหลอกลวงเราว่ามันเป็นไปได้ๆ แล้วเราก็ตามมัน ไม่ใช่ว่าตามมันแล้วจะได้ มันไม่ได้ เรื่องสำคัญมันตรงนี้ ถ้าตามมันได้ มันยังเลือกเอาข้างใดข้างหนึ่ง ไปเอาทรัพย์สมบัติ เอาสุขภาพแข็งแรงเลยดีกว่า ไม่เอาพระเจ้า มันไม่ใช่อย่างนั้น มันไม่ได้พระเจ้าด้วย แล้วก็ไม่ได้สุขภาพแข็งแรงด้วย มันถูกหลอกทั้งขึ้นทั้งล่อง เพราะมารมา เพื่อขโมย ฆ่า และทำลายเท่านั้น แล้วตอนนี้มันมา เพื่อขโมย ฆ่า และทำลายสันติสุขที่พระเจ้าได้ประทานให้กับเราแน่ๆ มันจะขโมยออกไปให้ได้ มันไม่สามารถขโมยสิ่งอื่นได้ นอกจากเอาสันติสุข ในองค์พระเยซูคริสต์เจ้า ที่พระเจ้าตั้งใจประทานให้กับเรา  มันไม่จำเป็นต้องมาขโมยสุขภาพแข็งแรงของเราไป มันไม่จำเป็นต้องมาขโมยความทุกข์ยากลำบากบนโลกใบนี้ จากเราไป เพราะเราต้องเผชิญอยู่แล้วแน่นอน แต่มันจะขโมยสิ่งที่พระเจ้าตั้งใจให้เรามี ก็คือสันติสุขในองค์พระเยซูคริสต์ มันจึงพยายามที่จะปิดบังความจริง โกหก ให้เราเข้าใจผิด และยัดเยียดความโลภทุกชนิดเข้ามาแทนที่สันติสุขนั้น เกิดความโลภ เราจึงไม่สามารถพักสงบ เหมือนอย่างที่พระเยซูคริสต์สัญญาว่าเมื่อมารู้จักพระองค์ มาเชื่อในพระองค์แล้ว เราจะได้พักหายเหนื่อยและเป็นสุข อยู่ในน้ำพระทัยพระเจ้า เราจึงอยู่ตรงข้ามน้ำพระทัยพระเจ้า ทั้งๆ ที่เราเป็นลูกของพระเจ้า สมควรที่จะได้รับสันติสุข แต่กลับไม่ได้รับ เพราะมารมันทำลายสันติสุขนี้ หรือทำให้ข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์หมดกำลังลง แรงลดลง ได้ผลน้อยลง เพื่อไม่ให้เราไปเป็นพยานบอกคนอื่นว่านี่คือความสำเร็จ มันก็จะบอกว่า …

“นี่ไง มารู้จักพระเจ้า พระเจ้าให้อธิษฐานแล้วจะได้ ไม่เห็นได้เลย  มีแต่ความทุกข์”

แต่ถ้าเราเชื่อในพระเจ้า แล้วเรามีสันติสุข คนจะมองเห็นเองว่า …

“เขาผ่านความทุกข์ยากลำบากบนโลกใบนี้ด้วยสันติสุข ที่เกินกว่าความคิดของมนุษย์จะเข้าใจ เขาผ่านไปได้อย่างไรความสุข สันติสุขบนโลกใบนี้ เพราะพระเยซูคริสต์สถิตอยู่กับเขา เป็นกำลังให้กับเขา เป็นคนพาเขาไป”

เห็นไหม ข่าวประเสริฐก็จะมีฤทธิ์ มีกำลัง นี่คือความจริง

หลายสิ่งหลายอย่างที่พระเจ้าบอกว่าได้ให้กับเราเรียบร้อยแล้ว ในข่าวประเสริฐของพระเจ้า ในพระเยซูคริสต์ ยกตัวอย่างเช่น เราได้เกิดใหม่แล้ว เป็นลูกของพระเจ้าแล้ว พระพรทางฝ่ายวิญญาณเยอะแยะนานับประการ ให้เรารับรู้และได้รับเรียบร้อยแล้ว มารมันพยายามมาขโมยไป แทนที่เราจะเชื่อ เรากลับไม่ค่อยอยากจะเชื่อเท่าไร?

“ตอนนี้เราอยู่ในสวรรค์แล้ว” … เราก็ไม่ค่อยเชื่อ

“พระเจ้าสถิตอยู่แล้ว” … เราก็ไม่ค่อยเชื่อ

เห็นไหม? มันพยายามจะขโมยสิ่งเหล่านี้ จากเราไป ความจริงเหล่านี้ บางสิ่งที่พระเจ้าบอกว่า ..

“รอแป๊บหนึ่งนะ อยู่บนโลกใบนี้”

เรากลับโลภ เคี่ยวเข็ญ บีบบังคับ ต้องการเดี๋ยวนี้ เช่นความสำเร็จ ในฐานะ ในตำแหน่งการงาน ในทรัพย์สมบัติ ความสุขบนโลกใบนี้ ชื่อเสียง ที่คนนับหน้าถือตาบนโลกใบนี้ สุขภาพแข็งแรงบนโลกใบนี้ ซึ่งมันเป็นไปไม่ได้ตามนั้นจริง แต่เรากลับแสวงหา อยากได้

ความจริงที่เราได้เรียนรู้กันไปแล้ว ซึ่งเป็นพื้นฐานสำคัญในการอธิษฐาน คือสิ่งนี้แหละ และวันนี้เราจะมาเรียนเพิ่มเติมว่าสิ่งเหล่านี้ คือความจริงของถ้อยคำพระเจ้า ความจริงบนโลกใบนี้ที่พระเจ้าบอกเรา ถ้าเราไม่มีพื้นฐานความจริงเหล่านี้ เราถูกหลอกไปเรื่อยๆ ชีวิตในการอธิษฐานของเรา จะไม่มีประโยชน์เลย มันไม่ได้อะไรขึ้นมาเลย

วันนี้เราจะมาเรียนรู้เพิ่มเติมในเรื่องของพื้นฐานสำคัญในการอธิษฐาน ต้องรู้พื้นฐานตรงนี้ …

 

          (1) ผู้เชื่อทุกคนสามารถเรียนรู้จักพระเจ้าได้ด้วยตนเอง

เคยมีใครบอกท่านไหมว่าผู้ที่มาเชื่อพระเจ้าแล้วทุกคน ไม่ว่าจะเชื่อใหม่ขนาดไหน? หรือเชื่อเก่าขนาดไหนก็ตาม ผู้เชื่อทุกคนสามารถเรียนรู้จักพระเจ้าได้ด้วยตัวตนของเขาเอง ฮีบรู 8:11 บันทึกไว้อย่างนี้

ฮีบรู 8:11 “ผู้คนจะไม่สอนเพื่อนบ้าน  หรือสอนพี่น้องของตนอีกต่อไปว่า  ‘จงรู้จักองค์พระผู้เป็นเจ้า’ เพราะพวกเขาทุกคนจะรู้จักเรา ตั้งแต่ผู้น้อยที่สุด ไปจนถึงผู้ใหญ่ที่สุด”

 

ในอดีต ในพันธสัญญาเดิม ประชากรของพระเจ้า คือชาวยิว อิสราเอล เขารู้ว่าตัวเขาเองเป็นคนบาป เขาก็อธิษฐานขอพระเจ้าทรงชำระให้บริสุทธิ์ อธิษฐานขอให้พระองค์มาอยู่ใกล้ๆ  อธิษฐานอยากได้เรียนรู้จักพระองค์ ฟังให้ดีๆ นะครับ นี่คืออดีตก่อนที่พระเยซูคริสต์จะมาสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน

แต่พันธสัญญาใหม่ในพระเยซูคริสต์ พระเจ้าได้อยู่ในเราแล้ว สอนเราตลอดเวลา ในเรื่องของพระองค์ ในวิญญาณของเราแล้ว พระเจ้าได้เขียนพระคัมภีร์ใหม่ แทนที่พระคัมภีร์เดิม ที่อยู่ในหนังสือม้วน อยู่ในหนังสัตว์ พระองค์ได้เขียนข้อพระคัมภีร์ใหม่ กฎใหม่ สิ่งที่พระองค์ต้องการ สิ่งที่พระองค์ประสงค์  น้ำพระทัยของพระองค์ เขียนไว้ที่ในวิญญาณ ในความคิดจิตใจของผู้เชื่อที่เกิดใหม่นั้นแล้ว  ไม่ต้องไปแสวงหาที่ไหน รับรู้ จดจ่อ ความจริงนี้ด้วยความเชื่อและวางใจ ค่อยๆ เรียนรู้จักพระองค์ไปจากข้างใน เรียนรู้จากพระเจ้า ไม่ใช่เรียนรู้จากข้างนอก เรียนรู้จากข้างนอก มีโอกาสถูกล่อลวง ต้องเรียนรู้จากข้างใน เพราะพระเจ้าสถิตอยู่กับเราข้างใน เราได้เกิดใหม่เป็นลูกของพระเจ้าแล้วข้างใน พระวิญญาณผู้ทรงสถิตอยู่กับเรา เป็นมัดจำ เป็นพี่เลี้ยงเรา เป็นผู้สอนเราในเรื่องของพระเจ้า

อย่างเช่น เวลาเราเชื่อพระเจ้า โดยเฉพาะผู้ที่เชื่อพระเจ้าใหม่ๆ จะรู้สึกว่าบางครั้งเราฟังคำบรรยาย คำเทศนา หรืออ่านพระคัมภีร์ หรือเดินไปเดินมา เห็นธรรมชาติ เรารู้สึกอะไรบางอย่าง เหมือนกับความคิดของเราข้างในใจเลยนะ เราก็เคยคิดอย่างนี้ ใช่จริงๆ ด้วย ความรู้นี้ ออกมาจากข้างใน ไม่ใช่มาจากข้างนอก เราจะรู้สึก …

“เอเมน ใช่ๆ เขาเทศนามาเรื่องนี้ ใช่เลย มันเหมือนที่เราคิดอยู่ในใจเลย”

นั่นแหละ พระวิญญาณบริสุทธิ์ผู้กำลังสอนเรา ในเรื่องเกี่ยวกับพระองค์ เกี่ยวกับพระเจ้า ตอนที่พระเยซูคริสต์เป็นขึ้นจากความตาย แล้วข่าวประเสริฐของพระเจ้านำพาผู้คนให้บังเกิดใหม่ เป็น คริสเตียนในยุคเริ่มต้นนั้น ไม่มีพระคัมภีร์เหมือนเราทุกวันนี้ มาอ่านกันเยอะแยะไปหมด มีแค่จดหมายฝากที่อัครสาวกเขียน แล้วก็บันทึกส่งไป บางทีเมืองหนึ่งมีแค่ฉบับเดียว สองฉบับเอง อ่านวนไปวนมา แล้วเขาเหล่านี้จะเรียนรู้กันอย่างไร? พระคัมภีร์ไม่มี แถมประชากร 70%  สมัยนั้นอ่านหนังสือไม่ออก แล้วข่าวประเสริฐมาถึงเราได้อย่างไร? คนที่อ่านออก ก็อ่านให้คนที่อ่านไม่ออกฟัง คนที่ฟังอยู่ ก็พยายามเงี่ยหูตั้งใจฟัง ก็แค่นั้น แล้วที่เหลือ พระวิญญาณบริสุทธิ์ที่สถิตอยู่ข้างใน เรามีพระคัมภีร์ทั้งเล่มอยู่ข้างใน พระคัมภีร์เรียกว่าถ้อยคำของพระคริสต์สถิตอยู่กับเขาตลอดทั้งหมดเลย พระเจ้าก็จะนำเขา สอนเขาทีละขั้น ทีละตอน เขาจะรู้จักน้ำพระทัยพระเจ้า รู้จักพระเจ้าดี จากข้างในออกมา นี่คือสิ่งที่ข่าวดีของพระเยซูคริสต์เป็นเรื่องที่แปลกและแตกต่างกับความเชื่อ หรือลัทธิอื่นๆ มากมายไปหมด ก็คือจากข้างในออกมาข้างนอก

ถ้อยคำเหล่านี้ จะถูกเขียน บันทึกอยู่ในวิญญาณ ในใจของผู้เชื่อที่เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเจ้าแล้ว โดยความเชื่อ  ได้บังเกิดใหม่ พระเจ้าจึงตรัสว่าทุกคนจะรู้จักเรา ด้วยวิญญาณของเขาเอง ฉะนั้น จงรับรู้ความจริงนี้ด้วยความมั่นใจว่าพระเยซูคริสต์สถิตอยู่ในเรา เราได้รับสิ่งเหล่านี้ทั้งหมดเรียบร้อยแล้ว เดี๋ยวนี้ ไม่ต้องไปหาที่ไหน เปาโลจึงอธิษฐานในหนังสือ เอเฟซัส บทที่ 1 บอกว่า …

“ขอพระเจ้าเปิดตาใจฝ่ายวิญญาณให้เราได้รู้ถึงเรื่องนี้ว่าทั้งหมดอยู่ข้างในเราแล้ว เราได้บังเกิดใหม่ เป็นลูกพระเจ้าแล้ว พระเจ้าอยู่ในท่านเรียบร้อยแล้ว ผู้เชื่อทั้งหลาย”

นี่เราควรจะพกความจริงตรงนี้ เข้าไปในการอธิษฐานเห็นไหม? พื้นฐานในการอธิษฐานกับพระเจ้า คือตรงนี้ สำคัญมาก จะอธิษฐานเมื่อไร? คำว่าเข้าไปอธิษฐาน อย่าไปนึกถึงพิธีรีตองว่าหมายถึงเข้าไปในห้องอธิษฐาน เข้าไปในโบสถ์อธิษฐาน ไม่ใช่ หมายถึงเมื่อไรก็ตามที่ท่านรู้สึกว่าอยากจะคุยกับพระเจ้า ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนก็ตาม คิดอยู่ในใจปุ๊บ ข้อมูลเหล่านี้ต้องมาหมดเลย  ความรู้ ความจริงเหล่านี้ต้องมาหมดเลยว่าท่านรู้จักพระเจ้าดีมากเลย ดีกว่าใครเพื่อน เพราะพระเจ้าสถิตอยู่ในท่าน คุยกับท่านตลอดเวลา ให้ท่านเรียนรู้พระเจ้าได้ตลอดเวลา ให้พระเจ้าเป็นหนึ่งในชีวิตท่าน นั่นคือข้อหนึ่ง

 

คราวนี้มาข้อ 2 พื้นฐานอีกอันหนึ่งที่เราควรจะพกติดตัวเข้าไปในการอธิษฐานทุกครั้ง คือความจริงเรื่องนี้  …

          (2) วิญญาณของเราได้ร่วมเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเจ้า

อันนี้สำคัญมากๆ ซึ่งจริงๆ หลายตอนที่แล้วก็พูดถึงเรื่องนี้มาแล้ว แต่อยากเน้นอีกครั้งหนึ่งว่าพกติดตัว ความจริงนี้เข้าไปเลย อย่าให้มารเอาอันนี้ออกไปจากเราได้ ให้ความจริงนี้ติดตัวเข้าไปเลยว่าวิญญาณของพระเจ้ากับเราเป็นหนึ่งเดียวกัน เพราะฉะนั้น เราไม่จำเป็นต้องอธิษฐานกับพระเจ้าอีกว่า …

“ขอพระเจ้าสถิตอยู่ในเรา … ขอพระเจ้าสถิตด้วยกันกับลูก … ขอพระเจ้าสถิตด้วยกันกับเธอ”

ไม่ต้องขอแล้ว เพราะว่าพระองค์อยู่แล้ว

“ขอพระเจ้าเสด็จลงมาอยู่ ณ ที่นี่ด้วย”

ไม่ต้องขอแล้ว เราไปที่ไหน พระเจ้าสถิตอยู่ที่นั่น เอเมนไหม? คือไม่ใช่ว่าเราพูดสิ่งนี้ เพื่อเป็นการเย่อหยิ่งจองหอง ไม่ใช่ แต่เพื่อการปกป้องข่าวประเสริฐของพระเจ้า ที่เป็นความจริง เพราะความจริงจะทำให้เราเป็นอิสระ ทำให้เราเป็นไท และคนที่รู้ความจริงเป็นไทด้วย เป็นอิสระด้วย เพราะฉะนั้น เราต้องรักษาความจริงนี้ไว้ เข้มงวดสักนิดหนึ่ง เอาความเคยชินของเรา ที่เคยได้ยินได้ฟังคนอื่นเขาอธิษฐาน เหมือนนกเหมือนกา เขาว่ามาอย่างนี้ ก็ว่าไปตามนั้น ซึ่งตรงพระคัมภีร์หรือไม่ ไม่รู้ เขาว่ามาอย่างนี้ว่า …

“ขอพระเจ้าสถิตอยู่ด้วยนะ พระเจ้าขอพระองค์ทรงสถิตอยู่ด้วยกับลูก ลูกกำลังจะเดินทางเข้าป่า (สมมตินะ) ลูกกำลังเดินทางไปทำกิจการงาน ลูกกำลังจะเดินทางไปผ่าตัด ขอพระเจ้าสถิตอยู่กับลูกด้วย”

เราก็อธิษฐานไปอย่างนั้น แล้วมันถูกต้องไหม? ไม่ถูกต้องตามความจริงของถ้อยคำพระเจ้า ของข่าวประเสริฐของพระเจ้า ฮีบรู 13:5 ได้บันทึกอย่างนี้ …

ฮีบรู 13:5 “จงรักษาชีวิตของท่านให้เป็นอิสระจากการรักเงินทอง  และจงพอใจในสิ่งที่ตนมี  เพราะพระเจ้าได้ตรัสว่า “เราจะไม่มีวันทอดทิ้งท่าน เราจะไม่มีวันละทิ้งท่าน”

 

ผู้เชื่อทั้งหลาย คริสเตียนทั้งหลายที่เป็นลูกของพระเจ้าแล้ว พระเจ้าตรัสว่า …

“เราจะไม่มีวันทอดทิ้งท่าน และเราจะไม่มีวันละท่านเลย ท่ามกลางโควิดในปัจจุบัน ท่ามกลางวิกฤตปัญหาเศรษฐกิจในปัจจุบัน การทำมาหากินลำบากลำบน ยากแค้นนัก ไม่ต้องอธิษฐานเลยว่า … “พระเจ้าขอทรงสถิตอยู่กับลูกด้วย” …”

เพราะว่าพระองค์ทรงอยู่แล้ว และไม่ทอดทิ้งเราไปไหนเลย 1 โครินธ์ 6:17 ยิ่งชัดเจนใหญ่เลย

1 โครินธ์ 6:17 “แต่คนที่รวมตนเอง เป็นหนึ่งเดียวกับองค์พระผู้เป็นเจ้า ก็เป็นหนึ่งเดียวกับพระองค์ในจิตวิญญาณ”

 

“แต่คนที่รวมตนเอง” หมายถึงคนที่เชื่อมกับวิญญาณของพระเจ้า ก็คือเป็นหนึ่งเดียวกับพระองค์ ก็คือคนที่เชื่อในข่าวดีของพระเยซูคริสต์ และได้รับการบัพติศมา จุ่มลงไป เชื่อมลงไปในวิญญาณของพระเจ้าในพระเยซูคริสต์ วิญญาณของเขากับพระเจ้าได้เป็นหนึ่งเดียวกันเรียบร้อยแล้ว เป็นหนึ่งเดียวกันในวิญญาณ นี่พระคัมภีร์พูดไว้อย่างนั้น

แทนที่จะแสวงหา หรือขอพระเจ้าสถิตอยู่ด้วย แทนที่จะเป็นอย่างนั้น เราควรจะขอบคุณ  ขอบคุณให้ติดปากเลย เพื่อจะได้ชิน จะได้รู้ว่าพระเจ้าอยู่กับฉันตลอดเวลา  การขอบคุณ เป็นการใช้ความเชื่อตามถ้อยคำพระเจ้าที่เป็นความจริง เราจึงขอบพระคุณ ขอบคุณเลย ขอบคุณ คนที่ได้ยินข้างๆ อาจจะไม่รู้จักพระเจ้า ก็ได้ฟังข่าวประเสริฐจากเราไปในตัว ความจริงนี้จะทำให้เขาเป็นไท เป็นอิสระ ก็คือพระเจ้าสถิตอยู่ด้วย มีองค์ เข้าใจไหม? มีองค์

“ฉันขอบคุณพระเจ้า เพราะฉันมีองค์สถิตอยู่กับฉัน”

พอไปบ่อยๆ ไปนานๆ เข้า วันแล้ววันเล่า  ปีแล้วปีเล่า มันก็ติดปาก ติดใจ ติดอยู่ในความเชื่อมั่นคงว่าพระเจ้าอยู่กับฉันตลอดเวลา มันก็เลิกที่จะบอกว่า …

“ขอพระเจ้าสถิตอยู่กับฉัน ขอพระเจ้าอยู่กับลูกด้วย”

พระเจ้าอยู่กับลูกอยู่แล้ว ความเชื่อเพิ่มพูนขึ้น ในเรื่องความจริงในเรื่องนี้ มันจะเห็นชัดเจนเลย และความจริงนี้ ก็จะทำให้เราเป็นอิสระ มารไม่สามารถมาขโมยไปได้ การขอบคุณพระเจ้าที่พระองค์กระทำให้เสร็จเรียบร้อยแล้วนั้น  ไม่ใช่เพื่อว่าพระเจ้าจะได้รับเกียรติ เพื่อพระเจ้าจะได้ดีใจว่าเราระลึกถึงพระคุณของพระองค์ ไม่ใช่อย่างนั้น  แต่มันเป็นการยอมรับความจริงด้วยความเชื่อ ซึ่งทำให้เราเป็นอิสระ และทำให้ไม่ถูกหลอกลวงอีกต่อไป และทำให้เรามีชีวิตที่สอดคล้องกับความจริง กับน้ำพระทัยพระเจ้าที่เป็นจริงๆ ไม่ถูกหลอกให้หันไปเหมา ก็คือเราได้เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเจ้าในวิญญาณ ก็คือหนึ่งเดียวกันกับความจริงในพระองค์ด้วยเช่นเดียวกัน เป็นหนึ่งเดียวกันกับน้ำพระทัยของพระองค์เหมือนกัน ด้วยความเชื่อทั้งสิ้น ไม่ใช่ด้วยการกระทำในทุกวิถีทาง ไม่ใช่อยากเป็นหนึ่งเดียวกับพระเจ้า อยากจะติดสนิทกับพระองค์ ก็ใช้อธิษฐานเยอะๆ แล้วจะได้ติดสนิท ไม่ต้อง เพราะพระเจ้าสถิตอยู่กับเราเรียบร้อยแล้ว ต้องรับรู้ความจริง ยอมรับความจริงนี้ แล้วหมั่นฝึกฝนความจริงเหล่านี้ เชื่อ เป็นสิ่งสำคัญ ไม่ใช่ด้วยวิธีการที่จะกระทำให้ได้ติดสนิทอยู่กับพระเจ้า ไม่ใช่ ที่จะเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับพระองค์ บางคนบอกว่าต้องอธิษฐานเยอะๆ ใช้เวลากับพระเจ้าเยอะๆ อ่านพระคัมภีร์เยอะๆ จะได้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับพระองค์ ไม่ใช่เลย เพราะว่ามันเป็นไปแล้ว ตั้งแต่เรายังไม่รู้เรื่องเลย พอเรารับเชื่อในพระเจ้าปุ๊บ วิญญาณเราเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์เรียบร้อยไปแล้ว เพียงแต่ไปรับรู้ความจริงในข้อพระคัมภีร์เหล่านี้ แล้วค่อยๆ เดินไปกับพระองค์ทุกวันๆ ความจริงเหล่านี้ก็จะชัดเจนยิ่งขึ้นในชีวิตของเรา

มันไม่ใช่ด้วยวิธีการกระทำทุกรูปแบบของเรา ที่จะให้เราเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์ แต่ด้วยความเชื่อในการเกิดใหม่ในพระเยซูคริสต์ต่างหาก พอเชื่อแล้วมันเกิดใหม่ พอเกิดใหม่แล้วมันเป็นเลย พอเป็นเลยเรารับรู้ความจริง แล้วก็เดินเตาะแตะๆ ไปกับพระองค์ นี่แหละคือความจริงที่ไม่สามารถถูกใครขโมยไปได้ ไม่มีทาง ซึ่งการกระทำอย่างนี้ พระเจ้าพอใจมาก ก็คือเรากำลังใช้ความเชื่อ เรากำลังเป็นลูกที่เชื่อฟังพ่อ คือขอบพระคุณในทุกสิ่งที่ได้ทรงกระทำให้เราเรียบร้อยไปแล้วในพระเยซูคริสต์ อะไรที่พระเจ้าทรงให้เราเรียบร้อยแล้วในพระเยซูคริสต์ เราก็ขอบคุณ ขอบคุณลูกเดียว ตามองไม่เห็น หูไม่ได้ยิน มือจับต้องไม่ได้ แต่เรารู้ พระคัมภีร์บอกไว้ แล้วเรารู้จากภายในของเรา พระวิญญาณยืนยัน เราขอบคุณพระเจ้าในสิ่งเหล่านี้

 

ข้อที่ 3 ที่เราควรจะเรียนรู้ และพกติดตัวไปในการอธิษฐานกับพระเจ้าเป็นพื้นฐานสำคัญ คือ …

          (3) เราได้รับการชำระให้บริสุทธิ์  สะอาด  ปราศจากบาป  สมบูรณ์ครบถ้วน  โดยพระโลหิตพระเยซูคริสต์ตลอดไปแล้ว

ฮีบรู 10:14 จริงๆ ข้อพระคัมภีร์เรื่องนี้มีเยอะไปหมดเลย เอามาข้อเดียวพอ เพราะตอนแรกๆ ที่สอนไปแล้ว มีเยอะแยะ ไปฟังดู ก็รู้นะครับ

ฮีบรู 10:14 “เพราะพระองค์ได้ทรงกระทำให้บรรดาผู้ที่กำลังรับการทรงชำระให้บริสุทธิ์นั้น บรรลุความสมบูรณ์พร้อมเป็นนิตย์  โดยการถวายบูชาครั้งเดียว”

 

เราผู้ที่เชื่อแล้ว หรือเป็นคริสเตียนแล้ว พอเชื่อปุ๊บ บังเกิดใหม่ทันที พอบังเกิดใหม่ เราไม่ได้เป็นคนบาปอีกต่อไป ไม่ได้อยู่ในบาปอีกต่อไป ตัวเก่าของเราที่อยู่ในบาป อยู่ในอาดัม อยู่ในอาณาจักรของความมืด ตายไปพร้อมกับพระเยซูคริสต์ที่ไม้กางเขนนั้นแล้ว

เพราะฉะนั้น ไม่ต้องมาระแวงอีกว่าพระเจ้าจะอภัยในความบาปของเราอีกหรือไม่? ถ้าเราเกิดพลาดพลั้งไป ฟังให้ดีๆ ไม่ต้องระแวงว่าพระองค์จะอภัยไหม ถ้าเราจะไปโกรธ ไปเกลียด ไปโลภ ไปขโมยเขา  เพราะพระองค์อภัยให้หมดเรียบร้อยแล้ว ล่วงหน้า ผ่านทางพระเยซูคริสต์ เข้าไปอธิษฐานกับพระเจ้าทุกครั้ง ด้วยความมั่นใจ ในฐานะที่เราเป็นลูกของพระเจ้าที่สะอาดบริสุทธิ์ศักดิ์สิทธิ์ เต็มไปด้วยสง่าราศี ไม่ว่าขณะนั้นที่เราคิดอยู่ จะมีความรู้สึกในความคิดเป็นอย่างไรก็ตาม รู้สึกเบื่อ เซ็ง รู้สึกตัวเองสกปรก รู้สึกตัวเองไปทำไม่ดีมาเมื่อตะกี้นี้ แต่พอมาอธิษฐานปุ๊บ สับสวิตช์ไปที่โลกวิญญาณ เราสะอาดหมดจด บริสุทธิ์ ไม่มีบาปเลย แม้แต่นิดเดียว เพราะเราเป็นผู้เชื่อในพระเยซูคริสต์ พระคัมภีร์บอกว่าเราเป็นผู้เชื่อ ดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ด้วยความเชื่อ ไม่ใช่ตามองเห็น ด้วยความเชื่อในถ้อยคำของพระเจ้าว่าเราสะอาดหมดจด บริสุทธิ์ เรียบร้อย เราได้บังเกิดใหม่ เรียบร้อยไปแล้ว ไม่ใช่ตามองเห็น หรือรู้สึกว่าเมื่อตะกี้นี้ไปทำสิ่งที่ไม่ถูกต้องมา นั่นคือความรู้สึก แต่ความจริง คือ …

“ฉันบังเกิดใหม่ สะอาดบริสุทธิ์ ศักดิ์สิทธิ์ เป็นลูกของพระเจ้า เข้าไปหาพระเจ้าได้ทุกเมื่อ”

นี่แหละต้องพกติดตัวเข้าไปอธิษฐานกับพระเจ้าทุกครั้ง สำคัญมาก

พระเจ้าตรัสว่า … “เราจะไม่จดจำความบาปของเขาอีกต่อไป ตะวันออกห่างจากตะวันตกเท่าไร เราได้นำเอาความบาปออกไปจากตัวเขาเท่านั้น”

ออกไปแล้ว ไม่มีทางเข้ามาอยู่ในชีวิตของเราได้อีกเลย แม้แต่นิดเดียว เพราะฉะนั้นให้เข้าไปหาพระเจ้าด้วยความรู้สึกอย่างนี้แหละว่าฉันไม่ใช่คนบาปอีกต่อไป ฉันเคยเป็นคนบาป แต่ตอนนี้เป็นคนชอบธรรม บริสุทธิ์สะอาด ศักดิ์สิทธิ์ เป็นลูกของพระเจ้า ไม่ต้องอธิษฐานว่า …

“พระเจ้าอภัยให้ลูก ขออภัย”

ถ้าเราทำอะไรผิดพลาดไป เรารู้ปุ๊บ  ถามว่าเราอธิษฐานพระเจ้าขออภัยได้ไหม? ต้องตอบว่า … “ได้” …  แต่ต้องอยู่ในท่าทีที่รับรู้ความจริงในข่าวประเสริฐ แบบเมื่อสักครู่นี้ที่บอกมา ต้องรักษาความจริงของข่าวประเสริฐ อย่างที่ผมบอกว่าถ้าเรารู้ความจริง เราปฏิบัติ เราดำเนินชีวิตตรงตามพื้นฐานของถ้อยคำพระเจ้า แห่งความจริง ในข่าวประเสริฐของพระเจ้า  เท่ากับเรากำลังรักษาความจริง รักษาข่าวประเสริฐนั้น ไม่ให้มันผิดเพี้ยนไปว่ามาเชื่อพระเจ้าแล้ว บังเกิดใหม่แล้ว ทันทีทันใดนั้น เราไม่ใช่คนบาปอีกต่อไป ให้ยืนหยัดอย่างมั่นคงในความจริงของข่าวประเสริฐ แต่เราขออภัยได้ ด้วยความรู้สึกเสียใจ ที่ได้ทำสิ่งที่ไม่สมควรกับฐานะที่เป็นลูกพระเจ้า ที่สะอาดบริสุทธิ์เรียบร้อยไปแล้ว ที่พระเจ้าอภัยโทษบาปทั้งสิ้นให้เรียบร้อยแล้ว ด้วยความรักและพระคุณมากมาย เราเพียงแค่ ขออภัยจากพระเจ้า เพราะมันติดปากไป ถ้าให้ดี เปลี่ยนไปได้ ก็บอกว่า …

“พระเจ้าลูกเสียใจ” อย่างนี้ยังเท่ห์กว่าอีก

แต่ถ้ามันติดไปแล้ว ก็ไม่เป็นไร? แต่สำคัญคือท่าทีของเราข้างใน ต้องรู้ว่าที่เราขออภัยนั้น ความหมายในความคิดของเรา คือเรากำลังบอกพระเจ้าว่า …

“ลูกเสียใจ ลูกไม่น่าทำเลย เพราะลูกเป็นลูกของพระเจ้าแล้ว ลูกเป็นผู้ที่บริสุทธิ์สะอาดศักดิ์สิทธิ์แล้ว ไม่สมกับฐานะของลูกเลยที่จะเกลือกกลั้วกับความประพฤติเช่นนั้น”

แต่ไม่ใช่หมายถึงกำลังมาวิงวอนขอพระเจ้า …

“ยกโทษให้ลูกด้วย”

ถ้าเราพูดอย่างนั้น เท่ากับเรากำลังทำลายความจริง เรากำลังพูดว่าพระเยซูโกหก พระองค์ผู้ทรงตรัสที่ไม้กางเขนว่า … “สำเร็จแล้ว” … ไถ่บาปเราเรียบร้อยแล้ว ชำระเราเรียบร้อยแล้ว เราบอกพระองค์โกหก ก็บอกด้วยวิธี …

“พระเจ้าขออภัยให้ลูกด้วย ไถ่บาปให้ลูกด้วย”

นี่ไง พระเยซูบอกเราไถ่เรียบร้อยแล้ว เราพูดไม่ตรงกับที่พระเยซูพูด ต้องมีคนใดคนหนึ่งโกหก เราจะเป็นคนโกหก หรือพระเจ้าโกหก ท่านลองคิดดู

เพราะฉะนั้น เราควรจะเสียใจ ที่เราได้กระทำสิ่งที่ผิดพลั้งไป ขอกำลังจากพระเจ้า ช่วยให้ชนะอิทธิพลของกิเลสตัณหาของเนื้อหนัง ที่เราตกลงไปในการล่อลวงนี้ด้วยเถิด ช่วยเราให้ชนะการล่อลวงเหล่านี้ เสร็จแล้ว ก็วางใจในพระเจ้า ในถ้อยคำพระเจ้า แล้วลืมไปเลยว่าเราเคยทำอะไรมา ทำไมเราต้องลืม? ก็พระเจ้ายังลืม พระเจ้ายังไม่จดจำ แล้วเราไปจดจำทำไม? ลืมไปเลย เหมือนไม่เคยทำมาก่อน โดยเฉพาะอย่างยิ่งพระคัมภีร์บอกพระโลหิตของพระเยซูคริสต์ ยังมีฤทธิ์อำนาจอยู่ และยังมีฤทธิ์อำนาจตลอดไป ในการชำระและลบล้างความผิดบาปให้กับผู้เชื่อทั้งหลาย ออโตเมติกเลย พอท่านทำปุ๊บ ลบทันที ไม่มีการบันทึก พระเจ้าก็ไม่จดจำ พระโลหิตก็ลบทิ้ง เมื่อวานนี้ท่านไปว่าเขา ไปด่าเขา ไปโกงเขา ลบทิ้ง

ที่พูดอย่างนี้ ไม่ใช่หมายถึงว่าต่อไปนี้เราก็ทำผิดบาปเรื่อยๆ ได้มันทำไม่ได้อยู่แล้ว เพราะวิญญาณของท่านเปลี่ยนไปแล้ว เป็นลูกพระเจ้า พระเจ้ากำลังสอนท่าน ท่านทำไม่ได้ พระคัมภีร์บอกว่าพระคุณสอนให้เรา เลิกบาป กฎเกณฑ์ การบังคับ ไม่สามารถทำให้คนเลิกบาปได้ แต่พระคุณความรักของพระเจ้า ทำให้คนเลิกบาปได้ ค่อยเรียนรู้กันทีหลัง

 

ข้อที่ 4 พื้นฐานในการที่จะพกติดตัวเข้าไปในการอธิษฐานกับพระเจ้า เพื่อให้ได้สันติสุข ที่เกินกว่าความคิดของมนุษย์ที่จะเข้าใจ คือ …

          (4) อธิษฐานด้วยท่าทีของการขอบพระคุณ  ออกมาจากใจจริง  ที่บริสุทธิ์

ทุกคนทำได้อยู่แล้ว ไม่เคยสังเกตเท่านั้นเอง อธิษฐานด้วยท่าทีของการขอบพระคุณ ออกมาจากใจจริง ที่บริสุทธิ์ เหมือนหลายๆ ครั้งที่เราหลุดปากออกมา ทุกวันนี้ทุกคนก็มีหลุดปากออกมาบ่อยๆ นั่นแหละ กลับไปใคร่ครวญ นั่นหลุดออกมาได้อย่างไร?

ยกตัวอย่างเช่น เดี๋ยวออกไปข้างนอก … “ขอบคุณพระเจ้า วันนี้ฝนไม่ตก”

หรืออะไรที่มันหลุดปากท่านออกมา … “ขอบคุณพระเจ้า ยางแฟบพอดีเลย วันนี้เอารถออกมา พกเครื่องปั้มลมมาพอดี”

ถามว่าท่านขอบคุณพระเจ้าออกมาจากไหน? ความบริสุทธิ์ ไม่ได้คิดเลย มันจะจากข้างในออกมา ขอบคุณพระเจ้า นั่นแหละ แต่มันมีบ่อยกว่านั้นเท่านั้นเอง

เพราะฉะนั้น รับรู้  จดจ่อ  จดจำจนขึ้นใจในพรนานานับประการของพระเจ้า ที่ให้ไว้เรียบร้อยแล้วในโลกฝ่ายวิญญาณ รับรู้ได้มากเท่าไร? เยอะเท่าไรว่าพระเจ้าได้จัดเตรียมอะไรให้เราเรียบร้อยแล้วในโลกฝ่ายวิญญาณ เราอยู่ในสวรรค์สถานกับพระเจ้าเรียบร้อยแล้ว เรานั่งอยู่เบื้องขวากับพระเจ้าเรียบร้อยแล้ว เราได้บังเกิดใหม่แล้ว  เราบริสุทธิ์สะอาดแล้ว พระพรนานานัปการ พระองค์ทรงให้เราเรียบร้อยแล้ว พระเจ้าทรงสถิตอยู่กับเราแล้ว สิ่งเหล่านี้เรารับรู้ จดจำได้มากเท่าไร? เราก็จะสามารถขอบคุณพระเจ้าได้ด้วยความบริสุทธิ์ เป็นธรรมชาติออกจากปากของเราได้มากเท่านั้นแหละ มันจะโผล่มาได้มากเท่านั้นแหละ 1 เธสะโลนิกา 5:16-18 บอกไว้อย่างนี้ …

1 เธสะโลนิกา 5:16-18  “16 จงชื่นชมยินดีอยู่เสมอ 17 จงอธิษฐานอยู่เสมอ 18 จงขอบพระคุณในทุกสถานการณ์  เพราะนี่คือพระประสงค์ของพระเจ้า สำหรับท่านทั้งหลายในพระเยซูคริสต์”

 

ให้ธรรมชาติการขอบคุณพระเจ้าออกมาตรงนี้เลย เพราะนี่คือน้ำพระทัยของพระเจ้า ก็คือขอบคุณพระเจ้า เหมือนตะกี้ที่ผมบอกออกไปปุ๊บ …

ฝนไม่ตก … “ขอบคุณพระเจ้า”

เลี้ยวรถออกไปปุ๊บ รถมันเฉี่ยวพอดี เกือบชน … “ขอบคุณพระเจ้า ถ้าออกไปเร็วกว่านี้ โดนชนไปแล้ว ขอบคุณพระเจ้า”

มันออกจากปากได้อย่างไร? ข้อ 18 บอก … จงขอบคุณพระเจ้าอย่างนั้นแหละ จงขอบคุณในแบบนั้นแหละ แต่ในนี้บอกว่าในทุกสถานการณ์ จงขอบคุณพระเจ้าแบบธรรมชาติอย่างนั้น  ในทุกสถานการณ์ “ใน” นะ อย่างที่ตะกี้นี้บอก ไม่ใช่สำหรับ

สมมติว่าตะกี้นี้บอก แมวที่รัก สุนัขที่รัก ถูกอุบัติเหตุตายไป ทันทีทันใดปุ๊บ มันต้องเสียใจเป็นเรื่องธรรมดา เสียใจกับมัน แต่ขอบคุณพระเจ้าในสถานการณ์อย่างนั้น นี่มันหมายถึงอย่างนั้น ในทุกสถานการณ์ เพราะว่านี่คือพระประสงค์ของพระเจ้า สำหรับท่านทั้งหลาย ในพระเยซูคริสต์ ก็คือสำหรับเราผู้เชื่อทั้งหลายนั่นเอง นี่คือน้ำพระทัยพระเจ้า สำหรับเรา ผู้เชื่อทุกคน คือชื่นชมยินดีในพระคริสต์ เพราะเราอยู่ในพระคริสต์อยู่แล้ว พอเราเชื่อ เราบังเกิดใหม่ เราอยู่ในพระคริสต์ทันที บอกให้เราชื่นชมยินดีที่เราอยู่ในพระคริสต์แล้วตอนนี้

เพราะฉะนั้น ถ้าเราชื่นชมยินดีตรงนี้ได้ เราก็สามารถขอบคุณตลอดเวลาได้ แม้ว่าตอนนั้นจะพบกับความโศกเศร้าเสียใจก็ตาม แต่ในสถานการณ์โศกเศร้าเสียใจ เราสามารถขอบคุณพระเจ้าได้ว่าเราอยู่ในพระเยซูคริสต์ ตอนนี้แมวตาย เราก็อยู่ในพระเยซูคริสต์ ตอนเราเศร้าโศกเสียใจ หมาตาย เราก็อยู่ในพระเยซูคริสต์ เราสามารถชื่นชมยินดีในพระเยซูคริสต์ตลอดเวลาได้ ขอบคุณพระเยซูคริสต์ผู้ทรงเป็นทุกสิ่งทุกอย่าง เพียงพอแล้วสำหรับการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้และตลอดไป

ถามว่ามีพระเยซูคริสต์เพียงผู้เดียว เราอยู่ในพระเยซูคริสต์ พระเยซูคริสต์เป็นหนึ่งเดียวกันกับเราเรียบร้อยไปแล้วในวิญญาณ เราพอใจไหม? เราพอเพียงไหม? ถ้าเราพอเพียง ก็ขอบคุณพระเจ้าได้ในทุกกรณี เพราะฉะนั้น พกติดตัวไปเรื่องจริงเหล่านี้ว่าเราเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์ ติดต่อ มีความสัมพันธ์กับพระองค์ในการอธิษฐาน เป็นธรรมชาติกับการดำเนินชีวิต พูดคุยกับพระองค์ เป็นธรรมชาติเลย จากวิญญาณสู่วิญญาณ จากความล้ำลึกในวิญญาณ สู่ความล้ำลึกในวิญญาณของพระเจ้า เป็นหนึ่งเดียวกันข้างใน โดยมีพระวิญญาณบริสุทธิ์เป็นพี่เลี้ยง คอยนำพา สอนเราตลอดไป รู้หรือไม่รู้ก็ตาม พระวิญญาณกำลังเลี้ยงดูเรา ให้เจริญเติบโต เป็นผู้ใหญ่ในฝ่ายวิญญาณ

 

ต่อไปข้อที่ 5 ความจริงในพื้นฐานที่จะเข้าไปอธิษฐานกับพระเจ้า …

          (5) รับรู้ว่าพระวิญญาณของพระเจ้าอธิษฐานแทนเราด้วย

ต้องรู้ตรงนี้ เพื่อท่านจะได้ไม่ต้องวิตกกังวล เพราะท่านทุกคนต้องเจอแน่ๆ เจอว่าเมื่อมาเชื่อพระเจ้าแล้ว มันไม่ใช่โรยด้วยกลีบกุหลาบ แฮปปี้ กระหนุงกระหนิงกับพระเจ้าตลอดเวลา No มันไม่ใช่ เรายังดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ มีอิทธิพล การหลอกลวง กระแสของโลกนี้ ผ่านทางกิเลสตัณหาทางฝ่ายเนื้อหนัง จากมาร ได้ตลอดเวลา

เพราะฉะนั้นหลายครั้งที่เราหมดแรง ที่เราอ่อนแอ หรือเจอกับสถานการณ์ที่แย่ๆ อธิษฐานไม่ออก เบื่อ (เบื่อพระเจ้า) ไม่อยากได้ยินเรื่องพระเจ้าเลย ไม่อยากจะอธิษฐาน นี่เบื่อพระเจ้าไปเลย ไม่สามารถอธิษฐานได้เหมือนเคย แล้วทำอย่างไร? มันเกิดขึ้นแน่ ไม่ต้องตกใจ ไม่ต้องกังวลใจ ไม่ต้องรู้สึกฟ้องผิดว่า …

“ฉันทำไมเลวอย่างนี้”

แล้วทำอะไร? อยู่เฉยๆ อยู่นิ่งๆ  เพราะว่าในขณะนั้น พระวิญญาณของพระเจ้าที่สถิตอยู่ในเรา  จะเป็นผู้อธิษฐานแทนเราเอง พระองค์ทรงรู้ว่าน้ำพระทัยพระเจ้า สำหรับเราเป็นอย่างไร? พระองค์เป็นพี่เลี้ยง พระองค์จะอธิษฐานแทนเรา โรม 8:26-27 ลองอ่านดูนะครับ …

โรม 8:26-27 “26 ในทำนองเดียวกัน  พระวิญญาณทรงช่วยเรา ในยามเราอ่อนแอ  เราไม่รู้ว่าเราควรอธิษฐานขอสิ่งใด แต่พระวิญญาณเอง ทรงอธิษฐานวิงวอนแทนเรา  ด้วยการคร่ำครวญ  ที่ไม่อาจหาถ้อยคำใดมาบรรยาย 27 และพระเจ้าผู้ทรงชันสูตรใจของเรา ทรงรู้พระทัยของพระวิญญาณ  เพราะพระวิญญาณ ทรงอธิษฐานวิงวอนแทนประชากรของพระเจ้า ตามพระประสงค์ของพระเจ้า”

 

พระวิญญาณช่วยเรา ในยามเราอ่อนแอ เราไม่รู้ว่าเราควรอธิษฐานขอสิ่งใด หมายถึงเราไม่รู้ว่าเราจะอธิษฐานอะไร? เราไม่มีแรงจะอธิษฐานด้วย ไม่อยากอธิษฐานด้วยซ้ำไป  มันหมายถึงอย่างนั้น แต่พระวิญญาณเองทรงอธิษฐานวิงวอนแทนเรา เห็นไหมครับ ข้างในไม่หยุดเลย เพราะว่าความคิดของเราข้างนอก เจออิทธิพลของระบบของโลกนี้ เข้ามาเครียดบ้าง อะไรบ้าง ทั้งสุขภาพ ทั้งปัญหารอบข้างเลย มันคือความคิดของเราอ่อนแอ มันด้อยลงไป แต่วิญญาณเราไม่ได้ด้อยเลย พระวิญญาณบริสุทธิ์อยู่กับเรา พระวิญญาณจะนำเรา และช่วยเรา อธิษฐานให้กับเราเลย ไม่ใช่ช่วยเราให้เราอธิษฐานนะ ช่วยเรา โดยการอธิษฐานให้เราเลย เราไม่ต้องทำอะไรเลย เราอยู่เฉยๆ เพราะเวลาเราอธิษฐาน เราต้องใช้ความคิด คิดไม่ออก ไม่มีอารมณ์ ไม่เป็นไร ทางวิญญาณยังทำงานอยู่ พระวิญญาณบริสุทธิ์อธิษฐานแทนเราเลย ไม่ใช่ช่วยเราในการอธิษฐาน แต่แทนเราเลย

ปกติเราอธิษฐาน พระวิญญาณช่วยเรา แต่ตอนที่เราไม่มีแรง หมดกำลัง พระวิญญาณทำแทนเลย แล้วบางคนบอกว่าพระวิญญาณทำแทน เราก็ไม่ต้องทำอะไร? เราก็อยู่เฉยๆ ตลอดไป ได้ อยากอยู่ก็ได้  เพราะมันเป็นไปไม่ได้ไง เดี๋ยวพอท่านมีกำลังขึ้นมาใหม่ ท่านก็จะถูกเร้าขึ้นมาเองว่า …

“ฉันอยากจะขอบคุณพระเจ้า”

มันมาเอง มันเป็นธรรมชาติ ไม่ต้องห่วง พระวิญญาณจะอธิษฐานแทนเรา ด้วยการคร่ำครวญ ไม่อาจหาถ้อยคำใดมาบรรยาย ก็คือเราไม่รู้จะพูดยังไง พูดคำหนึ่งยังไม่ออกเลย ไม่เป็นคำ หมายถึงว่าไม่สามารถพูดออกมาสักคำเลย แม้แต่คำหนึ่ง ก็พูดไม่ออก เวลามันเซ็ง มันเบื่อ หรือมันเศร้า หรือมันเสียใจ บางทีมันพูดไม่ออก มันเงียบเลยนะ หลายคนผ่านประสบการณ์ตรงนี้มา มารก็อัดเต็มที่เลย …

“เธอแย่แล้ว พระเจ้าทิ้งเธอแล้ว เพราะเธอทิ้งพระเจ้าก่อน เธอเป็นอย่างนั้น เธอเป็นอย่างนี้”

มันเลวไปหมดทุกอย่างเลย อย่าไปเชื่อมัน พระคัมภีร์บอกแล้วว่าไม่ใช่เลย ขณะที่เราอ่อนแอ พระวิญญาณอธิษฐานแทนเรา เราไม่ต้องทำอะไร? เรานิ่งๆ จงนิ่งเสีย และรับรู้ว่าพระองค์คือพระเจ้า เราเคยได้ยินใช่ไหม? ทั้งบทเพลง ทั้งพระคัมภีร์ที่บันทึกไว้ … “จงนิ่งเสีย และรับรู้เถิดว่าพระองค์ทรงเป็นพระเจ้า” …

เพราะฉะนั้น สรุปวันนี้ เป็นเรื่องเกี่ยวกับการอธิษฐาน ก็ให้เราเข้าไปหาพ่อแห่งฟ้าสวรรค์ของเรา ด้วยความชื่นชมยินดี เหมือนลูกเล็กๆ คนหนึ่งที่รักพ่อ และพ่อก็รักลูกคนนี้มากถึงมากที่สุด เข้าไปคลอเคลีย พูดคุย สนิทสนม พูดได้ทุกเรื่อง ปรึกษาได้ทุกอย่างด้วยความไว้วางใจว่าพ่อรักเรามาก และอยู่ฝ่ายเราเสมอ ห่วงใยเรา  เข้าใจในเรา  และเตรียมแผนการที่ดีที่สุด สำหรับเราเรียบร้อยไปแล้ว และพระองค์ทรงสามารถที่จะพาเราไป จนกระทั่งถึงความครบถ้วนบริบูรณ์ เสร็จสมบูรณ์ตามแผนการของพระองค์ได้อย่างแน่นอน พระองค์สามารถทำทุกสิ่งทุกอย่างได้เกินกว่าความคิดและความเข้าใจของเรา และความสามารถของเราที่จะอธิษฐานทูลขอต่อพระองค์ได้อีกด้วยซ้ำไป ทำได้มากกว่าที่เราขอ เราขอเท่านี้ พระองค์เตรียมให้เรามากกว่าตั้งเยอะ

เพราะฉะนั้น จงเข้าไปด้วยความมั่นใจ วางใจด้วยสิ้นสุดใจ เกินกว่าความคิดของมนุษย์จะเข้าใจในความดีงามของพระเจ้า และเข้าไปอธิษฐาน พูดคุยกับพ่อของเรา พ่อแห่งฟ้าสวรรค์ของเรา ด้วยความชื่นชมยินดีในพระเยซูคริสต์ ซึ่งเราได้อยู่ในพระเยซูคริสต์แล้ว พระเยซูคริสต์ผู้เป็นชีวิตของเรา เป็นทุกสิ่งทุกอย่างของเรา ตั้งแต่ปัจจุบันเดี่ยวนี้ จนถึงนิรันดร์

นี่แหละต้องเข้าไปอย่างนี้ ในการอธิษฐาน ถ้าเข้าไปอย่างนี้ได้ แล้วสันติสุขของพระเจ้า ซึ่งเกินกว่าความเข้าใจ จะปกป้องความคิดจิตใจของท่านไว้ในพระเยซูคริสต์ ตามที่พระเจ้าได้ทรงสัญญา เอเมน ขอพระเจ้าอวยพรครับ

 

*****************************