คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 5 กรกฎาคม 2020 เรื่อง “แนวทางการดำเนินชีวิตของผู้เชื่อ 4 ขั้นตอน” ตอน 5 “วางใจพระเจ้าด้วยสิ้นสุดใจ เรื่องการกินการอยู่ 1” โดย นคร เวชสุภาพร

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  5  กรกฎาคม  2020

 เรื่อง “แนวทางการดำเนินชีวิตของผู้เชื่อ 4 ขั้นตอน” ตอน 5

“วางใจพระเจ้าด้วยสิ้นสุดใจ   เรื่องการกินการอยู่ 1”

โดย นคร  เวชสุภาพร

            หัวข้อพระคัมภีร์ในวันนี้ “วางใจในพระเจ้าด้วยสิ้นสุดใจ” ตอนที่ 2 เราจะมาต่อกันที่แนวทางการดำเนินชีวิต 4 ขั้น สำหรับผู้ที่เชื่อพระเจ้าแล้ว  ควรจะทำตัวอย่างไร? 4 ขั้นตอน ก็คือเชื่อแล้ว  รับรู้  วางใจ  และอธิษฐาน ซึ่งเรากำลังอยู่ในขั้นตอนที่ 3 คือวางใจ

สัปดาห์ที่แล้ว เราได้เริ่มต้นไว้ว่าพระคัมภีร์บางตอน ได้บอกให้เรามั่นใจในพระเจ้า หลายตอน ได้บอกให้เราเชื่ออย่างถวายชีวิต เชื่ออย่างสุดจิตสุดใจ อย่างเกินกว่าความคิดมนุษย์ที่จะเข้าใจ ไม่มีเหตุผลเลย ยกตัวอย่างเช่นให้เอาลูกของตัวเองไปฆ่าให้ตาย ไม่เข้าใจ แต่พอเราอ่านจริงๆ เราจะรู้ว่าพระเจ้าไม่ได้ตั้งใจจะให้ทำอย่างนั้น จริงๆ หรอก แต่ทำด้วยเหตุผลอะไรบางอย่าง เหมือนตอนอับราฮัม ที่ถวายบุตร ซึ่งรวมความแล้ว ก็คือเล็งไปถึงพระเยซูคริสต์ที่จะมาตายที่ไม้กางเขน เพื่อไถ่บาปให้กับมนุษย์ทั้งปวงนั่นเอง สิ่งซึ่งพระคัมภีร์สอนหรือย้ำเตือนให้เราวางใจในพระเจ้าด้วยสิ้นสุดใจ จะมีทั้งการวางใจพระเจ้าในฝ่ายโลกวิญญาณ และการวางใจพระเจ้าในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้  มี 2 อย่าง

ครั้งที่แล้ว เราได้เรียนรู้เรื่องการวางใจพระเจ้าในทางโลกวิญญาณไปแล้ว วันนี้เราจะมาต่อกันที่การวางใจพระเจ้าในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้

สรุปสั้นๆ ในเรื่องวางใจพระเจ้า ในทางโลกวิญญาณ ที่เราได้เรียนรู้กันไปแล้ว ประเด็นสำคัญ ก็คือให้เราเชื่อและวางใจเกินกว่าความคิดของมนุษย์ที่จะเข้าใจ เกินกว่าความคิดและความเข้าใจของเราเอง ไม่ว่าจะมีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นในชีวิตของเราก็ตาม เราเชื่อว่าเราได้รับความรอดนิรันดร์แล้ว เราเป็นลูกของพระเจ้าแล้ว เราได้อยู่ในสวรรค์แล้วเดี๋ยวนี้กับพระองค์ โดยผ่านทางความเชื่อในพระเยซูคริสต์เท่านั้น ไม่ได้ด้วยการกระทำของเราแม้แต่นิดเดียวเลย เอเฟซัส 2:4-6 ได้พูดไว้อย่างนั้น

เอเฟซัส 2:4-6 “4 แต่เนื่องด้วยความรักใหญ่หลวงที่ทรงมีต่อเรา พระเจ้าผู้เปี่ยมด้วยพระเมตตาอันอุดม 5 จึงทรงให้เรามีชีวิตอยู่กับพระคริสต์ แม้เมื่อเราได้ตายแล้วในบาป คือท่านทั้งหลาย ได้รับความรอดโดยพระคุณ 6 และพระองค์ทรงให้เราเป็นขึ้นมากับพระคริสต์  และในพระเยซูคริสต์ พระเจ้าทรงให้เรานั่งในสวรรค์สถานกับพระคริสต์”

 

ย้ำกันให้ขึ้นใจ ด้วยข้อพระคัมภีร์เหล่านี้ พระเจ้าทรงให้เราได้นั่งในสวรรค์สถานกับพระคริสต์แล้ว ฮีบรู 13:5

ฮีบรู 13:5 “จงรักษาชีวิตของท่านให้เป็นอิสระจากการรักเงินทอง และจงพอใจในสิ่งที่ตนมี เพราะพระเจ้าได้ตรัสว่า “เราจะไม่มีวันทอดทิ้งท่าน เราจะไม่มีวันละทิ้งท่าน”

 

พระเจ้าตรัสว่า “เราจะไม่มีวันทอดทิ้งท่าน เราจะไม่มีวันละทิ้งท่าน จะอยู่กับท่านตลอดไป ตลอดเวลา ไม่ว่าท่านจะอยู่อย่างไร ในสถานการณ์เช่นใด พระเจ้าอยู่ด้วยตลอดเวลา”

ยอห์น 10:28-30 “28 เราให้ชีวิตนิรันดร์แก่แกะนั้น  แกะนั้นจะไม่พินาศเลย  ไม่มีผู้ใดชิงแกะนั้น  ไปจากมือของเราได้ 29 พระบิดาของเรา ผู้ประทานแกะนั้นแก่เรา ทรงยิ่งใหญ่เหนือกว่าสิ่งทั้งปวง ไม่มีผู้ใดแย่งชิงแกะนั้น จากพระหัตถ์พระบิดาของเราได้ 30 เรากับพระบิดาเป็นหนึ่งเดียวกัน”

 

นี่พระเยซูตรัสเองนะ … “ไม่มีผู้ใดชิงแกะนั้นไปจากมือของเราได้”   แกะนั้น   ก็คือผู้เชื่อทั้งหลาย “ไม่มีผู้ใดแย่งชิงแกะนั้นจากพระหัตถ์พระบิดาของเราได้” พอใจหรือยัง รอดนิรันดร์แน่นอน เอเฟซัส 6:24 จำไว้ให้ขึ้นใจเลยว่า …

เอเฟซัส 6:24 “ขอพระคุณดำรงอยู่กับคนทั้งปวง ที่รักองค์พระเยซูคริสต์เจ้าของเรา ด้วยความรักอันไม่เสื่อมสลาย”

“Grace be with all who love our Lord Jesus Christ with undying and incorruptible love.”

 

แม้เราจะเชื่อแล้ว ได้รับความรอดแล้ว วันนี้อารมณ์ไม่ดี ร่างกายไม่ค่อยสบาย อากาศไม่ค่อยดี รู้สึกเบื่อๆ เซ็งๆ เป็นโรคซึมเศร้า รู้สึกไม่นึกถึงพระเจ้าเลย เบื่อพระเจ้าไป ไม่รู้สึกสนใจ ไม่อยากอธิษฐาน ไม่อยากจะมาโบสถ์ด้วยซ้ำไป ความเชื่อลดลง ถอยลง แต่ในนี้บอกว่าพระเจ้าได้ให้วิญญาณของเรามีความรักในพระเยซูคริสต์ เป็นความรักชนิดที่ undying และ incorruptible ก็คือเป็นความรักที่ไม่มีวันตาย  และไม่มีวันเสื่อมสูญสลาย คือเป็นความรักที่อยู่อย่างนั้นนิรันดร์ ไม่ว่าเราจะรู้สึกอย่างไร? รู้สึกอ่อนแรง ไม่มีความสนใจพระเจ้า แต่วิญญาณข้างในมีความรักในพระเยซูสุดหัวใจอยู่ หมายถึงอย่างนั้นนะ

ข้อพระคัมภีร์เหล่านี้ คือส่วนหนึ่งของพันธสัญญาของพระเจ้า  ที่ทรงประทานให้กับผู้เชื่อทั้งหลาย  ที่เป็นลูกของพระองค์ โดยความเชื่อนั้น เพื่อให้สามารถวางใจในพระเจ้าด้วยสุดจิต สุดใจ เกินกว่าความคิดของมนุษย์ที่จะเข้าใจ  เพื่อให้มั่นใจว่าวิญญาณของผู้เชื่อทั้งหลาย ได้รับการปกป้องเรียบร้อยไปแล้ว ปัจจุบัน ร่างกายเรากลัวเชื้อไวรัส เราก็มีเฟสชิล ทั้งหน้ากากอนามัยป้องกันเชื้อไวรัส แต่ในทางวิญญาณเรามีวัคซีน คือพระโลหิตพระเยซูตลอดเวลาเลย ป้องกันเชื้อบาป มาแตะต้องเราไม่ได้เลย และถึงแม้ว่าตอนนี้ในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ เราเป็นลูกพระเจ้าแล้ว ได้รับความรอดแล้วก็จริง อยู่บนโลกใบนี้อยู่ ยังมีโอกาสที่จะคลุกคลีและล้มลุกคลุกคลานกับความบาปบ้าง มีอุบัติเหตุในชีวิตประจำวัน คือล้มลงไปในความบาปบ้าง ก็ไม่เป็นปัญหาใหญ่โตสำหรับพระเจ้าเลยแม้แต่นิดเดียว เพราะว่าพระโลหิตพระเยซูคริสต์มีฤทธิ์เดชอำนาจ พร้อมเสมอที่จะลบบาปออกทันทีเลย โดนปุ๊บ ลบทันทีเลย เชื้อโรคไวรัสเข้ามา วัคซีนตัวนี้อัด จ๋อยทันทีเลย อภัยทันทีเลย มีฤทธิ์อำนาจพร้อม เขาเรียกว่าทุกครั้งที่เราล้มลงไปในความบาป ฤทธิ์อำนาจของพระเยซู พระโลหิตของพระองค์ชำระล้างทันทีเลย ไม่ต้องอธิบาย ไม่ต้องอธิษฐานขออภัยเลย ลบไปทันที เพราะว่าฤทธิ์อำนาจนั้น ครั้งเดียวอยู่นิรันดร์พระคัมภีร์บอกไว้อย่างนั้น เราเรียนรู้แล้วนะ เพียงแต่ว่าเราต้องรอคอยวันเวลาที่จะจากโลกนี้ไป ถ้าเราอยากจะไม่ทำบาปอีกเลย ง่ายนิดเดียว ก็คือวิญญาณเราออกจากร่างเมื่อไร? เมื่อนั้นแหละจบสิ้นสักที สะอาดบริสุทธิ์ เพราะว่าในโลกใหม่ และร่างใหม่ ที่พระเจ้าเตรียมไว้ให้กับเรา ไม่มีมาร ไม่มีความบาปมาล่อลวงให้เราทำบาปอีกต่อไป ฮาเลลูยา เพราะฉะนั้น รอคอยวันนั้น ที่เราอยากจะบริสุทธิ์ ไม่ทำบาปเลย  ก็รอวันที่เราจะไปโลกใหม่ ได้รับร่างกายใหม่

ทั้งหมดนี้ คือการเชื่อและวางใจเกินกว่าความคิดของมนุษย์ที่จะเข้าใจ เกินกว่าเหตุผลของมนุษย์ที่จะวิเคราะห์ และความไว้วางใจนี้ ก็จะทำให้เกิดสันติสุข ไม่ใช่ความสุขนะ เกิดสันติสุข ความสงบสุข เกิดความอดทนนานนนนน ได้ อดทนนาน ก็คือความรักของพระเจ้าที่ใส่ลงมาในวิญญาณของเรา ก็จะฉายแสงออกไปได้ ก็เพราะความคิดของมนุษย์ที่เกินกว่าจะเข้าใจในทุกสถานการณ์อย่างนี้แหละ มันก็จะสามารถอดทนรอคอยได้ รอคอยวันเวลาของพระเจ้า ไม่ว่าจะดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ สถานการณ์จะเป็นอย่างไร จะดีหรือร้ายตามเหตุผล ตามสายตาของเราก็ตาม เขาจะพูดว่าอย่างไรก็ตาม เรารอคอยวันเวลาของพระเจ้าได้ตามพันธสัญญาที่พระองค์ทรงสัญญาไว้ คือพระองค์ทรงสัญญาว่ารออีก ถ้าอยากจะหมดทุกข์บนโลกใบนี้ รออีก รออีกนานเท่าไร? แป๊บเดี๋ยว บางคนก็บอกแป๊บ บางคนก็บอกแป๊บเดียวเอง แล้วแต่ความเชื่อมาก ก็จะสั้นๆ แป๊บเดียว มันไม่นาน

ดังนั้น ในช่วงที่ดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ เราสรุปครั้งที่แล้วว่าก็ให้เราวางใจในพระเจ้าด้วยสุดจิต สุดใจ สุดความคิด เกินกว่าความคิด ความเข้าใจของเรา เหมือนที่พระเยซูบอก พัก หายเหนื่อย และเป็นสุข Rest in peace. RIP นั่นเอง

เราจะมาเข้าเรื่องของวันนี้ คือการเชื่อและวางใจด้วยสิ้นสุดใจ ในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ เป็นลูกพระเจ้าแล้ว เกิดใหม่แล้ว ได้รับความรอดนิรันดร์แล้ว แต่ยังดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ วางใจในพระเจ้าอย่างไรล่ะ? ก่อนอื่นเราต้องเรียนรู้ความจริงซะก่อน ความจริงจะทำให้เราเป็นไท พระเยซูบอก จะทำให้เราเป็นอิสระ

ความจริง คืออะไร? พระเจ้าบอกเราในโลกฝ่ายวิญญาณว่าเป็นอะไร? เราต้องรับรู้ และยอมรับเอาความจริงเหล่านี้ จากพระคัมภีร์ทั้งเล่มที่พระเจ้าบอกเรา สอนเราว่าในโลกวิญญาณเป็นเช่นไร

ยกตัวอย่างเช่น พระคัมภีร์จะบอกเสมอเลย สิ่งนี้ต้องเป็นอันดับแรก เป็นพื้นฐานแรกในการดำรงชีวิตบนโลกใบนี้ ในฐานะเป็นลูกของพระเจ้า และยังคงดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ ที่เต็มไปด้วยความสับสนวุ่นวายอยู่ อันดับแรกตามพระคัมภีร์ ก็คือรู้ว่าพระคัมภีร์ทั้งเล่มบอกว่าพระเจ้าดี พระเจ้ามีแต่สิ่งที่ดี ทำแต่สิ่งที่ดี พระคัมภีร์บอกพระเจ้าสร้างแต่สิ่งที่ดี เป็นผู้สร้างสรรพสิ่งทั้งหลายที่ดี เขาเรียกว่าเป็นผู้สร้าง ผู้กำเนิดสิ่งที่ดีๆ ทั้งนั้น  เป็นพระเจ้าผู้ทรงเปี่ยมล้นด้วยความรัก ความเมตตา คอยดูแลสั่งสอนและเยียวยามนุษย์ทั้งหลายบนโลกใบนี้ รวมทั้งเราผู้เชื่อแล้วด้วย มนุษย์ผู้ซึ่งพระองค์ทรงสร้างด้วยความรักมาอย่างดี ให้เป็นลูกของพระองค์ ที่เป็นลูกที่ดีและมีอิสรภาพในการตัดสินใจ  ไม่ใช่เป็นหุ่นยนต์ เพราะพระองค์เป็นความรักไง ถ้าสร้างเราเป็นหุ่นยนต์ เราก็กลายเป็นทาส เปล่า พระองค์ทรงสร้างเราเป็นลูก พื้นฐานตรงนี้ต้องใส่เข้าไปในจิตใจของเรา ไม่ว่าสถานการณ์จะเป็นเช่นไร เราจะเข้าใจหรือไม่เข้าใจ ต้องวางใจตรงนี้ด้วยสุดจิต สุดใจ เกินกว่าความคิดของมนุษย์ เกินกว่าความเข้าใจของเรา เห็นไหมครับ ต้องเห็นพื้นฐานนี้ก่อนเลย

ดังนั้น เมื่อมนุษย์ไม่เชื่อฟัง ดื้อ ล้มลง บาดเจ็บ เป็นทุกข์ พระเจ้าผู้เป็นพ่อ ก็เป็นทุกข์ด้วย  และก็หาแนวทางที่จะรักษาแก้ไขให้กลับคืนดั่งเดิม นี่คือหัวใจผู้เป็นพ่อ ผู้ก่อสิ่งต่างๆ ที่ดีๆ ทั้งนั้น แต่ปัจจุบัน มนุษย์ยังมีอีกมากเท่าไร? ท่านลองคิดดูที่ยังอยู่ในสภาพของการเป็นทาสมารอยู่ ยังดื้อกับพระเจ้า ยังเป็นเครื่องมือของมาร ที่ทำลายล้างสรรพสิ่งที่ดีๆ ที่พระเจ้าสร้างไว้ทั้งหมด ทุกอย่าง ลองคิดดูดีๆ อีกจำนวนเท่าไร ที่กำลังดำเนินบนโลกใบนี้ แม้กระทั่งผู้ที่เชื่อแล้ว ที่เป็นคริสเตียนแล้ว  ที่เป็นลูกของพระเจ้าแล้วก็เช่นกัน ก็ยังมีอีกหลายๆ มุมในชีวิตที่ยังคงดื้อ ไม่เชื่อฟังพระเจ้าที่เรียกว่าล้มลงในความบาป ไม่เชื่อฟัง หนังสือยากอบได้บอกไว้ เราทั้งหลาย ต่างก็ล้มลงในความบาป แม้ว่าเราจะได้รับการอภัยโทษแล้วก็ตาม แต่เราก็ถูกล่อลวงให้ดื้อต่อพระเจ้าของเรา ไม่มากก็น้อย ซึ่งทั้งหลายทั้งปวง ทั้งหมดนี้ ที่เรากำลังดู เห็นว่าเป็นความทุกข์ยากลำบากบนโลกใบนี้ ความสับสนบนโลกใบนี้ แท้จริงแล้ว พระเจ้าได้ทำการแก้ไขรักษาเยียวยาให้มันหายเป็นปกติแล้ว ทำให้มันกลับคืนดีแล้ว โดยผ่านทางพระบุตร คือพระเยซูคริสต์ ที่มาตายที่ไม้กางเขน หลั่งพระโลหิต และเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่ 3 เกือบ 2,000 ปีแล้ว กระทำสำเร็จเรียบร้อยแล้วทั้งหมดเลย แต่มันเห็นผลเกิดขึ้นทางโลกฝ่ายวิญญาณก่อน ย้ำอีกที สำเร็จผลหมดแล้ว แต่มันเกิดผลขึ้นทางโลกวิญญาณก่อนเลยทีเดียว ส่วนทางโลกวัตถุ มันอยู่ในขบวนการดำเนินการไปสู่ความสำเร็จอีกครั้งหนึ่ง

โลกใบนี้จะเป็นโลกใหม่ ดังนั้น ผลมัน ก็คือรอแป๊บหนึ่งได้ไหม? ลูกเอ๋ย แป๊บหนึ่ง แล้วทุกสิ่งทุกอย่างบนโลกใบนี้ ที่ลูกอยากได้ ที่มนุษย์ทุกคนคิดเห็นว่าพระเจ้าควรจะทำอย่างนี้นั้น มันจะเกิดขึ้นแน่นอน 100% รอแป๊บหนึ่ง แล้วทุกสิ่งทุกอย่างบนโลกใบนี้ ก็คือวัตถุสิ่งของทุกอย่าง รวมทั้งร่างกายของมนุษย์ด้วย ที่เคยอยู่ภายใต้คำสาปแช่งของบาป ก็จะกลับคืนอย่างเดิม (ดีกว่าเดิม) ดีกว่าสมัยอาดัม เอวายังไม่ตกลงไปในความบาปอีก ดีกว่าสวนเอเดนเดิมอีก ที่พระคัมภีร์เรียกว่าร่างกายใหม่ ร่างกายสวรรค์ ร่างกายที่เป็นขึ้นจากความตาย เหมือนพระเยซู เต็มไปด้วยสง่าราศี เหมือนพระองค์ และโลกใหม่ ที่เรียกว่าโลกที่มีระบบใหม่ เรียกว่าระบบของกฎแห่งพระคุณ ไม่ใช่เหมือนปัจจุบัน ปัจจุบัน คือกฎแห่งความบาป ความตาย แต่โลกใหม่นั้น เราจะอยู่ด้วยกันด้วยกฎแห่งพระคุณ ไม่ใช่กฎแห่งความบาปและความตาย เหมือนในปัจจุบัน ให้รอแป๊บหนึ่ง ต้องเอาอันนี้ใส่ใจไว้ รอแป๊บหนึ่ง ต้องวางใจในพระเจ้าตรงนี้ว่าพระองค์ทรงทำสำเร็จแล้ว เดี๋ยวรอแป๊บหนึ่ง สำเร็จแล้ว กำลังจะเกิดขึ้นแล้ว

ดังนั้น ในปัจจุบัน โลกนี้ได้เสียหายไปแล้ว เกิดวิปริต เป็นทุกข์ด้วยเหตุ เพราะความบาป และยังมีอิทธิพลต่อระบบต่างๆ ในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้อยู่ และสร้างความเสียหาย ความทุกข์ยากลำบากให้กับมนุษยชาติบนโลกใบนี้ รวมทั้งสรรพสิ่งต่างๆ บนโลกใบนี้ด้วย รวมทั้งมนุษย์ผู้ที่เป็นลูกของพระเจ้า ผู้ที่เชื่อในข่าวดีของพระเยซูคริสต์แล้ว ที่อยู่บนโลกใบนี้ด้วย ยังไม่ได้หนีหายไปไหน? เรายังอยู่ตรงนี้ อยู่ในความวุ่นวาย อยู่ในความวิปริต ในความเสียหาย ความสาปแช่งบนโลกใบนี้อยู่เลย

ยกตัวอย่างเช่น เราอยู่บนโลกใบนี้ เราเจออะไร? โลกใบนี้มันเสียหายขึ้นทุกวัน มลพิษ มลภาวะ การทำลายล้างธรรมชาติ การทำลายล้างมนุษย์ด้วยกันเอง ด้วยความเห็นแก่ตัวของมนุษย์ เนื่องจากกิเลสตัณหาของความบาป ที่ดำเนินอยู่บนโลกใบนี้ ที่เป็นระบบของโลกใบนี้ ทำให้จิตสำนึก จิตใต้สำนึกของมนุษย์เสียหายไปหมด มันก็เกิดความเสียหายขึ้น เกิดความวุ่นวายขึ้น เราจะสังเกตได้ หายนะจึงเพิ่มมากขึ้นทุกวัน จากคำสาปแช่งที่โลกได้รับอยู่แล้ว ตั้งแต่เริ่มต้น ตกลงไปในความบาป ตั้งแต่สมัยอาดัมและเอวา โรคภัยไข้เจ็บ และเชื้อโรคต่างๆ มากขึ้นทุกวันๆ ความอดยาก ความเห็นแก่ตัวของมนุษย์มากขึ้นทุกวันๆ วินาศกรรมที่มนุษย์ทำขึ้นเอง ทำร้ายกัน ทำลายกัน เป็นสงคราม ก็รุนแรงมากขึ้นทุกวันๆ แล้วก็แยบยลมากขึ้นทุกวันๆ ถึงขนาดมีอาวุธเชื้อโรค อาวุธสารเคมี อาวุธปรมณูเยอะแยะ อาวุธแบบสงครามเศรษฐกิจ เอาให้มันยากจนตายไปเลย ยึดประเทศนี้ด้วยความอดยากอะไรต่างๆ เราจะเห็นอย่างนี้

สิ่งเหล่านี้ คือเชื้อของความบาปที่กำลังทำงานอยู่บนโลกใบนี้ เป็นคำสาปแช่ง ภัยธรรมชาติที่เกิดจากน้ำมือของมนุษย์มากขึ้นทุกวันๆ มนุษย์บุกป่า เผาป่า ไล่จัดการกับสิ่งที่เป็นธรรมชาติ เพราะความเห็นแก่ตัว แก่งแย่งกัน มลพิษในอากาศมากขึ้นทุกวัน มลภาวะ มลพิษในอาหารมากขึ้นทุกๆ วัน เพราะความเห็นแก่ตัว ความโลภ ก็คือความบาปทั้งหลาย ที่มนุษย์แห่กันมาช่วยกันทำ โดยการกระตุ้นของมารซาตาน

มันต้องรับรู้ความจริงตรงนี้ เป็นพื้นฐาน นอกจากต้องรับรู้ความจริงว่าพระเจ้าเป็นพระเจ้าที่ดี มีแต่ดีๆ ผู้ที่ทำให้เกิดความหายนะ ความชั่วร้าย ที่มนุษย์กำลังทำลายธรรมชาติและสิ่งต่างๆ ทำลายซึ่งกันและกันเหล่านี้ ผู้ทำให้มันเกิดขึ้น ก็คือมารซาตานก่อเหตุอยู่ข้างหลัง ไม่ใช่มนุษย์เป็นคนทำ ไม่ใช่สัตว์เป็นคนทำ ไม่ใช่ธรรมชาติเป็นคนทำ มันคือมาร ซาตาน คือเจ้าแห่งความชั่วร้าย กำเนิดของความชั่วร้าย เกิดขึ้นมาจากมัน พระเจ้าเป็นผู้กำเนิดความดีงามทั้งหมด ในตัวของพระองค์ ไม่มีความชั่วร้ายเลย มาร ก็คือความชั่วร้าย ไม่มีความดีงามอยู่ในตัวมันเลยแม้แต่นิดเดียว มันคือต้นเหตุ โดยผ่านทางระบบโลกนี้ พระคัมภีร์บอกว่าโดยผ่านทางอำนาจของความบาปและความตาย มันจัดการกับระบบของโลกใบนี้ จนเสียหาย ด้วยระบบของความบาป อำนาจของความบาปและความตายที่มนุษย์ทั้งหลายยังเป็นทาสของมันอยู่

ซึ่งถามว่าพระเจ้ารู้เรื่องเหล่านี้ไหม? รู้เรื่องเหล่านี้ทั้งหมด รู้ดีด้วย รู้ตั้งแต่พระเจ้าเห็นมนุษย์ตกลงไปในความบาป ตั้งแต่สมัยอาดัมและเอวาแล้ว และก็เตรียมทางออก เตรียมรักษาให้เรียบร้อยแล้ว และทุกวันนี้ กำลังแก้ไขเยียวยารักษาอยู่ และพระองค์สามารถทำให้สำเร็จได้ วางใจ

ถามว่าทำให้สำเร็จด้วยอะไร? ก็ด้วยพระลักษณะของพระองค์ ทำให้สำเร็จ ด้วยความดีงาม ด้วยความเมตตา ด้วยความรัก ด้วยวิธีการของพระองค์ ซึ่งมนุษย์ไม่สามารถที่จะเข้าใจได้ แต่ให้รู้ไว้ว่าด้วยความดีงาม ด้วยพระลักษณะของพระองค์ คือความดี ความชอบธรรม ความอดทนนาน รอคอย ไม่อยากให้มนุษย์ทุกคนถึงความพินาศ ไม่อยากให้มนุษย์ทุกคนถึงความเสื่อมโทรม เจ็บป่วย ทุกข์ภัย ไม่ต้องการอย่างนั้นเลย สิ่งเหล่านี้ คือความจริงในพระคัมภีร์ที่เราต้องสรุปในใจของเรา และวางใจในพระเจ้าให้ได้ว่ามันเป็นเช่นนั้น ให้มันเกินกว่าเหตุผลในความคิดจิตใจของเรา

ฉะนั้น จงจำไว้ว่าพระเจ้าอยู่ข้างเรา เป็นพ่อของเรา และจะเป็นพระเจ้าของเรา เป็นพ่อของเราตลอดไป การดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ เมื่อเราเชื่อในพระเจ้าแล้ว ได้เกิดใหม่ เป็นลูกของพระองค์แล้ว วางใจในพระเจ้าด้วยสิ้นสุดจิต สุดใจ ก็คือจงจำไว้ว่าพระเจ้าอยู่ข้างเรา เป็นพ่อของเรา และเป็นพระเจ้า และจะเป็นพ่อและเป็นพระเจ้าของเราอย่างนี้ ตลอดนิรันดร์ เอเมน เพราะว่าเมื่อเราได้รับรู้ความจริงทั้งหมดเหล่านี้ เป็นพื้นฐานแล้ว ก็สามารถที่จะเชื่อและวางใจด้วยสิ้นสุดใจ เกินกว่าความคิดของมนุษย์ที่จะเข้าใจว่าพระเจ้าได้ทรงจัดเตรียมทุกสิ่งทุกอย่าง ที่เราจำเป็น พระเจ้ารู้หมดแล้วว่าชีวิตลูกจะเป็นอย่างไร? พระเจ้าได้ทรงจัดเตรียมทุกอย่างเท่าที่เราจำเป็น ในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ที่เต็มไปด้วยความยุ่งยากวุ่นวายทุกข์ลำบากอย่างนี้อยู่ พระองค์รู้แล้วว่าอะไรที่ดีที่สุด สำหรับเรา แล้วเตรียมสิ่งต่างๆ ให้กับเราเรียบร้อยไปแล้ว นี่คือการวางใจในพระเจ้า ในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้

เพราะฉะนั้น ผู้ที่เชื่อแล้ว เกิดใหม่แล้ว ก็น่าจะมีสามัญสำนึกที่ดี ถ้าเรารู้ความจริงเหล่านี้แล้ว ถามว่ามีกี่คนที่เป็นผู้เชื่อแล้ว เป็นคริสเตียนแล้ว เป็นลูกของพระเจ้าแล้ว ได้เป็นผู้ชอบธรรมของพระเจ้า และได้อยู่ในสวรรค์นิรันดร์ มีกี่คน? ต้องตอบว่าทุกคน เพราะมาเชื่อแล้ว เกิดใหม่แล้ว ได้รับแล้ว ไม่ว่าเขาจะมีความคิด หรือใครมาบอกอะไรเขาอย่างไร? หรือด้วยความคิดสติปัญญาเขาจะเข้าใจหรือไม่เข้าใจ แต่เขาได้รับสิ่งเหล่านี้ไปแล้วตามพระสัญญา เพราะเป็นฤทธิ์เดชของพระเจ้า ซึ่งกระทำผ่านทางพระเยซูคริสต์ ในโลกวิญญาณ ถูกไหมครับ?

แล้วถ้าถามว่าผู้ที่เชื่อพระเจ้าแล้ว เป็นคริสเตียนแล้ว มีกี่รายที่หายจากโรค เจ็บไข้ได้ป่วยอย่างอัศจรรย์ ไม่ป่วยอีกเลย บางคริสตจักรหรือบางชุมชนไม่มีเลย อย่างอัศจรรย์นะครับ ไม่ใช่อย่างค่อยๆ หายนะ พระเจ้ารักษาค่อยๆ หายมีเยอะแยะ ใช้เหตุผล ตามสามัญสำนึกของมนุษย์ แต่เอาแบบอัศจรรย์ แบบลุกขึ้นเดิน ผมเชื่อว่ามี และผมก็ผ่านมาด้วย มันมีจริงๆ แต่มันน้อยมาก ไม่ถึง 1% มั้ง หรือใครว่าเกิน นึกให้ดีๆ คิดให้ดีๆ นี่คือความจริงทั้งหมด นี่คือสามัญสำนึกของคริสเตียนทุกคน และไม่คริสเตียน ก็ควรจะมีสามัญสำนึกง่ายๆ อย่างนี้

ถามอีกว่ามีกี่คนในโลก ที่เป็นผู้เชื่อแล้ว เป็นคริสเตียนแล้ว ที่ร่ำรวย ประสบความสำเร็จในการงานอย่างงดงามเลย พอถามอย่างนี้ปุ๊บ ไม่กล้าตอบ เพราะว่าสามัญสำนึก มันฟ้องเรา มันบอกเราว่าไม่ใช่ ถูกไหม? ผู้ที่เชื่อแล้ว เป็นผู้ที่เกิดใหม่แล้ว เป็นลูกพระเจ้า เขาจะมีสามัญสำนึกที่ดี เพราะว่าเขามีความคิด แบบพระคริสต์ อยู่ในความคิดจิตใจของเขา ที่พระเจ้าทรงประทานให้ใหม่ เขาก็น่าจะมีการนำจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่อยู่ภายใน และก็มีสามัญสำนึกของเขาเอง  ที่เป็นเหมือนพระคริสต์ว่ามันไม่ถูกต้องตามหลักพระคัมภีร์ ถ้าเผื่อมีใครมาบอกว่าเชื่อแล้วจะต้องได้รับการรักษาให้หายจากโรคทุกชนิด พระเยซูสัญญาว่าอย่างนั้น พระเยซูสัญญาว่ามาเชื่อแล้วจะร่ำรวย ทำกิจการงานสำเร็จทุกอย่าง แค่ใจเย็นๆ ค่อยๆ นึกถึงคอมมอนเซนต์ของตัวเราเอง ผู้เชื่อทั้งหลาย ตอนนี้ แล้วนึกถึงพระวิญญาณที่อยู่ข้างใน ยืนยันไว้ว่านี่มันเรื่องจริง และถ้าผู้เชื่อผู้นั้น ยอมที่จะถ่อมตน ใจเย็นๆ นิ่งๆ คอยรับฟัง แล้วก็คอยเฝ้าสังเกตด้วย ไม่ใช่รับฟังแบบแป๊บหนึ่งไป ใคร่ครวญและสังเกตด้วยถ้อยคำพระเจ้าที่บันทึกไว้ในพระคัมภีร์ด้วยการศึกษา ด้วยการอธิษฐาน ขอความจริงจากพระเจ้าอยู่เสมอ ในการล่อลวงเรื่องใดๆ ก็ตาม ที่เป็นเรื่องง่ายๆ สามัญสำนึกของคนธรรมดา ก็ยังทราบได้ เพราะฉะนั้น ขอแค่นี้ ผมเชื่อว่าสามัญสำนึกของเขา พระเจ้าจะสามารถเข้าไปถึง และสามารถบอกเขาได้ว่ามันไม่ใช่ ลูกเอ่ย มันไม่ใช่อย่างนั้นนะ มันถูกหลอก มันถูกล่อลวงไปในความโลภ หรือเรียกว่าระบบของโลกแล้ว ถูกมารหลอกแล้ว เพราะการหายโรคอย่างอัศจรรย์ การไม่ป่วยอีกเลย หรือเรียกว่าการรักษาโรค มันไม่เกิดขึ้นกับผู้เชื่อ ตามที่ผู้เชื่ออยากจะได้ หรือความร่ำรวย ความสำเร็จการงาน การเงิน มันไม่เป็นความสำเร็จตามความเชื่อของบางท่านคิดว่ามันน่าจะเป็น เพราะทั้งหมด ไม่ได้รวมอยู่ในความสำเร็จที่พระเยซูได้สิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน และเป็นขึ้นจากความตายในวันที่ 3 ซึ่งมันไม่ได้รวมอยู่ในความสำเร็จเรียบร้อยไปแล้ว มันอยู่ในขบวนการการสำเร็จ การหายป่วยอย่างอัศจรรย์ มันมาแน่ มันได้แน่ แต่ยังไม่ใช่เดี๋ยวนี้ รอแป๊บหนึ่ง รอร่างกายใหม่ ร่างกายใหม่มาเมื่อไร มันไม่มีเจ็บป่วยอีกแล้ว ความสำเร็จ ทรัพย์สินเงินทองบนโลกใบนี้ ก็เช่นเดียวกัน รอแป๊บหนึ่ง เราจะร่ำรวยมหาศาลเลย แม้กระทั่งพื้นถนนเรายังเป็นทองคำเลย ทุกวันนี้แม้แต่สลึงหนึ่งยังไม่มีเลย แต่รอแป๊บหนึ่ง วันหนึ่งข้างหน้า พระคัมภีร์บันทึกเอาไว้ว่าเป็นสัญญา เห็นไหม? มันทำสำเร็จแล้ว มันต้องรอแป๊บหนึ่ง มันไม่ใช่สำเร็จเดี๋ยวนี้ ตรงโลกวิญญาณมันเดี๋ยวนี้เลย แต่โลกวัตถุมันรอแป๊บหนึ่ง

เพราะฉะนั้น การดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ จึงต้องมีพื้นฐานความจริงจากสิ่งเหล่านี้ก่อน เพราะความสำเร็จ ที่พระเยซูทำให้นั้น คือความสำเร็จฝ่ายวิญญาณ คือได้ปลดปล่อยเราให้เป็นอิสระจากทาสของความบาปแล้ว จากการเป็นทาสมารแล้ว จากอาณาจักรของความมืดและความตาย สำเร็จแล้วฝ่ายวิญญาณ การเป็นศัตรูกับพระเจ้าในวิญญาณของเรา ก็สำเร็จแล้ว ทำให้เราสามารถบังเกิดใหม่ในวิญญาณ เป็นลูกของพระเจ้าที่บริสุทธิ์สะอาด ปราศจากบาปใดๆ ทั้งหมดนี้มันเกิดขึ้นแล้วในโลกฝ่ายวิญญาณ  จบแล้ว ได้รับเรียบร้อยแล้ว ปลดปล่อยเราให้เป็นอิสรภาพ จากกฎของความบาปและความตาย คือวิญญาณของเราที่เป็นบาปอยู่เดิม ให้มาอยู่ในกฎแห่งพระคุณ ได้บังเกิดใหม่ ตายต่อบาป คือวิญญาณเดิมที่เป็นบาปอยู่นั้น ได้ตายไปแล้ว  และได้บังเกิดใหม่ โดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า เป็นวิญญาณที่สะอาด บริสุทธิ์ หมดจด เป็นลูกของพระเจ้า  ได้เป็นอิสระจากกฎของความบาปและความตาย ได้รับการอภัยโทษตลอดไปทั้งสิ้นเลย นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นแล้วในโลกวิญญาณ

พระคัมภีร์ได้บันทึกไว้ว่าสิ่งเหล่านี้ได้กระทำสำเร็จเรียบร้อยแล้ว พระเยซูประกาศว่าสำเร็จแล้วๆ (ในโลกวิญญาณก่อนนะ) ส่วนในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ รอก่อน รอให้โลกถูกตัดสินอีกครั้งหนึ่ง จบอีกครั้งหนึ่ง ตอนที่พระองค์กลับมาใหม่อีกครั้งหนึ่ง ตอนที่พระองค์ทรงประกาศว่าสำเร็จแล้ว ที่ไม้กางเขน เมื่อประมาณเกือบๆ 2,000 ปีที่แล้ว ผมจะให้ท่านดูนะว่าพระองค์ประกาศในเรื่องโลกวิญญาณอย่างไร? มันเกี่ยวข้องเฉพาะโลกวิญญาณอย่างไร? ขณะที่ประกาศตอนนั้น ชาวยิวอยู่ใต้การปกครองของโรมันอยู่ บอกว่าเป็นอิสระแล้ว สำเร็จเรียบร้อยแล้ว ท่านทราบไหม ชาวยิวคือลูกกลุ่มแรก ที่พระเจ้าเลือกไว้แล้ว เราผู้ไม่ใช่ยิว คือต่างชาติ เป็นลูกที่พระองค์ทรงรับไว้เป็นกลุ่มที่ 2

กลุ่มแรกพระองค์ทรงเหมือนกับว่าจะรักมากกว่า แต่จริงๆ เท่ากันนั่นแหละ แต่เลือกไว้ก่อนแล้ว พระองค์ทรงรักมาก แล้วคิดดูสิ เป็นอิสระแล้ว แต่ยังเป็นทาสของโรมัน ยังเป็นทาสต่อมาเรื่อยๆ จนเกือบปัจจุบัน พันกว่าปีนั้น เป็นทาสเขามาตลอด ไม่ใช่เป็นทาสธรรมดา จากทาสโรมัน เสร็จแล้ว หนักกว่าการเป็นทาส คือชาติล่มสลายไปเลย หายไปจากหน้าประวัติศาสตร์ของโลกนี้เลย ไม่มีประเทศอิสราเอลอีกต่อไป  ท่านคิดดูสิ แตกกระจายไปทุกหนทุกแห่ง ชาวยิวไม่มีประเทศ จนกระทั่งหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ถึงจะมารวมกันเป็นประเทศในปี ค.ศ.1948 ถึงจะมารวมกันได้ เป็นประเทศ คิดดูสิ แล้วพระเยซูประกาศบอกชนชาติเป็นอิสระแล้ว  ชนชาติของพระองค์ ก็คือชาวยิว แล้วมันคืออะไร? มันคือโลกวิญญาณก่อน มันไม่ได้เกี่ยวกันกับโลกวัตถุเลย พระองค์มา เพื่อสร้างอาณาจักรของพระองค์ให้ยิ่งใหญ่ อาณาจักรนั้น คือสวรรค์ โลกวิญญาณที่มาตั้งอยู่ เมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว

แล้วยังไม่แค่นั้นชาติล่มสลายแล้ว ผู้คนของยิวถูกข่มเหงรังแกอย่างหนัก อดอยากอย่างมาก ไหนล่ะพระเยซูบอกให้ร่ำรวยไง แล้วถามว่าคนยิวเหล่านี้ มีคนที่เชื่อพระเยซูไหม? มี เยอะแล้ว หมายถึงเยอะมา เมื่อเทียบกันกับตอนที่พระเยซูยังมีชีวิตอยู่ และพยายามประกาศข่าวประเสริฐ ถูกต่อต้าน หลังๆ สาวกไปประกาศ มีผู้ที่เป็นยิวมาเชื่ออีกเยอะ แล้วเขาอดอยากไหม? อดอยาก ไม่ใช่จนธรรมดา ยากไร้ เป็นพันๆ ปี ท่านลองคิดดูสิว่ามันจริงหรือไม่จริงตามข้อพระคัมภีร์ที่ได้พูดไว้

เพราะฉะนั้น มาถึงหัวข้อในวันนี้ ตะกี้นี้ที่พูดมาทั้งหมด ควรจะเป็นพื้นฐานของเราในความจริง ในการเรียนรู้จักการวางใจในพระเจ้าในหัวข้อนี้ คือการวางใจในพระเจ้า ในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ซึ่งเป็นข้อที่ 2 ของซีรี่ย์นี้

คือในเรื่องของการกิน การอยู่ และความร่ำรวย ทรัพย์สมบัติ การดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ เรา ผู้ที่เชื่อและวางใจในพระเจ้า เป็นลูกของพระเจ้า เป็นคริสเตียนแล้ว เราควรจะมีทัศนคติ และวางใจในพระเจ้าในเรื่องของการกิน การอยู่ และความร่ำรวย ทรัพย์สมบัติบนโลกใบนี้ ความสำเร็จในการงานบนโลกใบนี้อย่างไร?

วันนี้เราจะมาเรียนเรื่องนี้กัน เราจะเริ่มต้นด้วยข้อพระคัมภีร์นี้ เห็นชัดเจนเลย ดูคอนเชปนะว่าพระเยซูเอง อัครสาวกเอง ได้สอนเรา ได้บอกตัวอย่างให้ว่าเราควรดำเนินชีวิตอย่างไร?  ในมุมมองของการร่ำรวย ความสำเร็จ เงินทองของโลกใบนี้ อยู่กินอย่างไรบนโลกใบนี้ เอาพระเยซูก่อนแล้วกัน พระเยซูให้เรามีมุมมองอย่างไร ในเรื่องเกี่ยวกับการดำเนินชีวิตบนโลกนี้ว่าจะกิน จะอยู่ จะทำอย่างไรในโลกใบนี้ ดูนะว่าพระองค์มีแนวทางอย่างไร? มัทธิว 6:25-34

มัทธิว 6:25-34 “25 เพราะฉะนั้น เราบอกท่านว่าอย่าวิตกกังวล เกี่ยวกับชีวิตของท่านว่าจะเอาอะไรกิน หรือเอาอะไรดื่ม หรือพะวงเกี่ยวกับร่างกายของท่านว่าจะเอาอะไรนุ่งห่ม ชีวิตสำคัญยิ่งกว่าอาหาร และร่างกายสำคัญยิ่งกว่าเครื่องนุ่งห่มไม่ใช่หรือ 26 จงดูนกในอากาศ มันไม่ได้หว่าน หรือเก็บเกี่ยว หรือสะสมไว้ในยุ้งฉาง แต่พระบิดาของท่านในสวรรค์ทรงเลี้ยงดูหมู่นก ท่านไม่ล้ำค่ายิ่งกว่านกเหล่านั้นหรือ 27 ใครบ้างในพวกท่านที่กังวล แล้วต่ออายุตัวเองให้ยืนยาวออกไป อีกสักชั่วโมงหนึ่งได้ 28 “แล้วทำไมท่านจึงกังวลเรื่องเครื่องนุ่งห่ม  จงดูว่าดอกไม้ในท้องทุ่งงอกงามขึ้นอย่างไร มันไม่ได้ลงแรงหรือปั่นด้าย 29 กระนั้น เราบอกท่านว่าแม้แต่กษัตริย์โซโลมอน เมื่อทรงบริบูรณ์ด้วยความโอ่อ่าตระการ ก็ยังไม่ได้ทรงเครื่องงามสง่า เท่าดอกไม้เหล่านี้สักดอกหนึ่ง 30 ในเมื่อพระเจ้าทรงตกแต่งต้นหญ้าในท้องทุ่งถึงเพียงนั้น ต้นหญ้าซึ่งอยู่ที่นี่ วันนี้และพรุ่งนี้ ก็จะถูกโยนลงในไฟ โอ ท่านผู้มีความเชื่อน้อย พระองค์จะไม่ทรงตกแต่งท่านมากยิ่งกว่านั้นหรือ 31 ฉะนั้น อย่ากังวลว่า ‘เราจะเอาอะไรกิน’ หรือ ‘เราจะเอาอะไรดื่ม’ หรือ ‘เราจะเอาอะไรนุ่งห่ม’ 32 เพราะคนที่ไม่มีพระเจ้า ขวนขวายหาสิ่งเหล่านี้ และพระบิดาของท่านในสวรรค์ทรงทราบว่าท่านจำเป็นต้องมีสิ่งเหล่านี้ 33 แต่จงแสวงหาอาณาจักรของพระเจ้า และความชอบธรรมของพระองค์ก่อน และพระองค์จะประทานสิ่งทั้งปวงเหล่านี้แก่ท่านด้วย 34 เพราะฉะนั้น อย่าวิตกกังวล เกี่ยวกับพรุ่งนี้ เพราะพรุ่งนี้ ก็จะมีเรื่องวิตกกังวลเกี่ยวกับพรุ่งนี้เอง แต่ละวัน ก็มีความเดือดร้อนของมัน พออยู่แล้ว”

 

“จงดูว่าดอกไม้ในท้องทุ่งงอกงามขึ้นอย่างไร? มันไม่ได้ลงแรง มันไม่ได้ปั่นด้าย กระนั้น เราบอกท่านว่าแม้กษัตริย์ซาโลมอน เมื่อทรงบริบูรณ์ด้วยความโอ่อ่าตระการ ก็ยังไม่ได้ทรงเครื่องงามสง่าเท่าดอกไม้นี้ ดอกหนึ่งเลย”

พระเยซูกำลังเทียบให้ดูว่ากษัตริย์ซาโลมอนเขาเรียกว่ายิ่งใหญ่ เป็นมหาอำนาจตอนนั้น รวยมากที่สุดในโลก ฉลองพระองค์คงจะเลิศมาก สวยงามมาก อาจจะมีเพชรเยอะแยะเลย อะไรต่างๆ เยอะแยะไปหมด แล้วพระองค์เทียบกับอะไร? เทียบกับดอกหญ้า รู้ไหม? สวยขนาดนั้น ยังสู้ดอกหญ้านี้ไม่ได้เลย ดอกหญ้านี้ พระเจ้าเป็นผู้สร้าง สีสันสวยงาม ยังสู้ดอกหญ้าไม่ได้เลย  ดอกหญ้านี้กระจอกมากแล้วนะ ยังสู้ดอกกุหลาบไม่ได้ ดอกมะลิไม่ได้ นี่ดอกหญ้า

แล้วพระองค์ก็เอาดอกหญ้านั้น ที่บอกสวยกว่าซาโลมอนมาเทียบกับเราว่าสิ่งที่พระองค์ตกแต่งให้กับเรานั้น มากกว่าดอกหญ้านั้นขนาดไหน? ขนาดหญ้านั้น สมมติว่ามากกว่ากษัตริย์ซาโลมอน 100 เท่า เรามากกว่าหญ้าอีกประมาณ 100,000 เท่า เพราะฉะนั้น เรามากกว่าซาโลมอนนับไม่ถ้วน

ถามว่าตกแต่งนี้คืออะไร? ก็คือความสง่างาม ในร่างกายของเรา ในอนาคต ร่างกายใหม่ ร่างกายที่เป็นขึ้นจากความตาย ที่เหมือนพระเยซูคริสต์ที่พระองค์ทรงสัญญาไว้ ที่เราจะสวมร่างกายทิพย์นี้ มันเป็นร่างกายที่ไม่รู้จะไปเปรียบเทียบกับอะไร? เพราะว่าในพระคัมภีร์บอกเป็นร่างกายที่เต็มด้วยสง่าราศี เหมือนพระเยซูคริสต์ เราไม่ต้องใส่เสื้อผ้าอีกต่อไปแล้ว เราจะสวมพระสิริของพระเจ้าตรงนี้ เป็นอาภรณ์ของเรา พระคัมภีร์บอกไว้อย่างนั้น เราจะไม่ต้องเปลือยกาย เราจะได้รับร่างกายใหม่ สวมให้เราสว่างสดใส เทียบไม่ติดเลยกับโลกใบนี้ เราอยากได้อะไร เอาข้อความเหล่านี้ไปค่อยๆ คิด ค่อยๆ ดู

และในนี้บอกว่าอย่ากังวลว่าจะเอาอะไรกิน เอาอะไรดื่ม เพราะว่าคนไม่รู้จักพระเจ้า มนุษย์ทั่วไป ก็แสวงหาอย่างนี้ เพราะถูกระบบของโลกใบนี้ ทำให้เกิดความกลัว จะมาสะสมไว้ๆ จริงๆ มันไม่ใช่แค่กินอยู่อย่างเดียว มันกลัวไงครับ เพราะกลัว เลยสะสมใหญ่เลย มากขึ้นๆ มากขึ้นเรื่อยๆ เพราะกลัวจะไม่มีกิน ก็เลย พยายามสะสมให้มันเยอะๆ แต่ท่านเป็นลูกพระเจ้าแล้ว ท่านไม่ควรจะกลัว เพราะในนี้บอกว่าเพราะพระเจ้าผู้สถิตในสวรรค์ พระบิดาของท่าน ทรงทราบว่าท่านจำเป็นต้องมีสิ่งใดบ้าง พระเจ้าผู้สถิตในสวรรค์ ทรงทราบแล้วว่าเราจำเป็นต้องมีสิ่งเหล่านี้ เพราะฉะนั้น ถ้าไม่มีพระเจ้า เขาไม่มีจำเป็น ก็ทำให้เกินจำเป็น สะสมไว้ เพราะกลัว แต่ถ้าเรามีพระเจ้า เราเชื่อพระเจ้าแล้ว เราไม่ต้องสะสม เพราะพระเจ้ารู้ล่วงหน้าแล้วว่าเราจำเป็น และจำเป็นแต่ละคนก็ไม่เหมือนกัน จำเป็นที่อเมริกาก็เป็นจำเป็นอีกแบบหนึ่ง ต้องมีเสื้อหนาว จำเป็นในกรุงเทพ ก็ต้องมีเสื้อใส่ฤดูร้อน คนอยู่แอฟาริกา ก็จำเป็นอีกแบบหนึ่ง ผู้เชื่อที่อยู่ในเกาะนิวกีนีก็จำเป็นอีกแบบหนึ่ง จำเป็นแต่ละคนไม่เหมือนกัน จำเป็นในผู้เชื่อที่อยู่ในกรุงเทพ มีอยู่หมื่นคน แต่ละคนก็ไม่เหมือนกัน แต่ว่าพระบิดาทรงทราบแล้วว่าแต่ละคนนั้นจำเป็นอะไรบ้างในชีวิตของเขา เพราะฉะนั้น ไม่ต้องกังวล

นี่คือคอนเชปในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ด้วยความเชื่อและวางใจในพระเจ้าด้วยสุดจิต สุดใจ  สุดความคิด ในเรื่องเกี่ยวกับทรัพย์สมบัติเงินทอง การทำมาหากินบนโลกใบนี้

แล้วพระองค์ยังบอกว่าอย่างไร? ให้เราแสวงหาอาณาจักรของพระเจ้า และความชอบธรรมของพระองค์ก่อน อาณาจักรของพระเจ้าคืออะไร? ก็คือสวรรค์ ให้เราไปรู้ว่าสวรรค์เป็นอย่างไร? แล้วรู้จักความชอบธรรม คือให้รู้ว่าเราเป็นลูกของพระเจ้า เราเป็นผู้ชอบธรรมแล้ว พอรู้แค่นี้แล้ว มันพอใจแล้ว วันทั้งวันก็ชื่นชมยินดีในร่างกายใหม่ที่พระองค์ทรงจัดเตรียมให้ ขอบคุณพระเจ้า ที่เราเป็นลูกของพระเจ้า  มันเป็นอย่างนี้ เพราะถ้าเกิดเราตกหลุมลงไปในการถูกล่อลวง ในเรื่องของการกิน การอยู่ ในความกลัวเหล่านี้ มันจะเกิดเป็นความวิตกกังวล เกี่ยวกับวันพรุ่งนี้ แล้วก็เดือดร้อนมากขึ้นกว่าที่มันควรจะเป็น อยู่บนโลกใบนี้มันก็แย่อยู่แล้ว เพราะระบบของโลกใบนี้ มันเสียหาย มันต่อต้านกับเรา แล้วเรายังไปไม่เชื่อพระเจ้า ในลักษณะอย่างนี้ เราก็เพิ่มพูนความทุกข์ยากลำบากเข้าไปมากขึ้น เพราะฉะนั้น เราควรจะทำอย่างไร? เราควรจะวางใจในพระเจ้า ด้วยสิ้นสุดใจ เกินกว่าความคิดของมนุษย์ที่จะเข้าใจในลักษณะอย่างนี้

แล้วในพระคัมภีร์ได้บอกถึงวิธีแนวทางในทางปฏิบัติ คราวนี้เป็นตัวอย่าง จากชายท่านหนึ่ง  ผู้รับใช้คนหนึ่ง ที่เป็นตัวอย่างที่ดีเลย เพราะเขาได้มีความเชื่อ และเขาได้แสวงหาอาณาจักรของพระเจ้า และความชอบธรรมของพระองค์เสียก่อน คอยจนกระทั่งเข้าใจถึงสิ่งต่างๆ เหล่านี้แล้ว  และเขามีชีวิตเป็นแบบอย่างที่ดี ถึงขนาดเขาบอกว่าเขาไม่ได้อวดตัวนะ พระเจ้าได้เคยพาเขาเข้าไปอยู่ในสวรรค์ เข้าไปมีประสบการณ์ในสวรรค์จริงๆ เลย จะไปด้วยร่างกาย หรือไปด้วยวิญญาณ เขาไม่บอก เขาไม่อยากจะพูด เพราะว่าจะเป็นการอวดตัวมากเกินไป  แต่เขาเข้าไปในสวรรค์ ได้เห็นในนั้นแล้ว เพราะฉะนั้น เขาออกมาจากตรงนั้น มาอยู่บนโลกใบนี้ ดำเนินชีวิตในการรับใช้พระเจ้าต่อไป เขาจึงมีการดำเนินชีวิตในลักษณะอย่างนี้ สมควรไหมที่เราจะเอาเป็นแบบอย่าง สมควรไหมที่เราควรจะเชื่อเขา  มีใครบ้างบนโลกใบนี้ที่ไปสวรรค์มาแล้ว สวรรค์จริงๆ นะ สวรรค์ชั้นที่ 3 ก็คือในโลกวิญญาณ เขาผู้นี้ก็คืออัครทูตเปาโล แล้วเปาโลยังบอกเลยว่าให้เราฝึกตามอย่างที่อาจารย์เปาโลแนะนำไว้  เพราะเขารู้ว่าเป็นอย่างไร? มีความสุข มีสันติสุข ไม่ถูกหลอก มันเป็นอย่างนี้ ให้เชื่อและทำตามผม (เปาโล) เลยนะ ฟีลิปปี 4:9 บันทึกไว้

ฟีลิปปี 4:9 “ทุกสิ่งที่ท่านได้เรียนรู้ ได้รับ ได้ยินจากข้าพเจ้า หรือได้เห็นจากข้าพเจ้า จงนำไปปฏิบัติ และพระเจ้าแห่งสันติสุขจะสถิตกับท่าน”

 

ท่านมีความมั่นใจถึงขนาดนี้เลยว่า …

“ทุกสิ่งที่ท่านได้เรียนรู้ ได้รับ ได้ยินจากข้าพเจ้า หรือได้เห็นจากข้าพเจ้า จงนำไปปฏิบัติ แล้วท่านจะมีสันติสุข”

สันติสุขที่เกินกว่าความคิดของมนุษย์จะเข้าใจในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ท่ามกลางสถานการณ์วุ่นวาย สับสน ทุกข์ยากลำบาก ท่านจะเต็มไปด้วยสันติสุข  นี่ไง ทุกคนก็คิด อยากปฏิบัติตาม แล้วมันเป็นอย่างไร? อ้าว! ไม่ต้องห่วง เปาโลไม่ได้พูดแค่นี้ เปาโลบอกต่อเลยว่า …

“นี่ทำตามผมแบบนี้นะ”

นี่คือหนึ่งในจำนวนนั้น แต่จริงๆ หลายฉบับที่เปาโลได้เขียนไว้ ก็ลักษณะอย่างนี้ ฝึกฝนตามการกระทำของเปาโล

ฟีลิปปี 4:10-13 “10 ข้าพเจ้าชื่นชมยินดีในองค์พระผู้เป็นเจ้ายิ่งนัก เนื่องจากในที่สุดพวกท่านก็กลับมาห่วงใยข้าพเจ้าอีกครั้ง อันที่จริง ท่านห่วงใยข้าพเจ้ามาตลอด แต่ไม่มีโอกาสที่จะแสดงออก 11 ข้าพเจ้าพูดอย่างนี้ ไม่ใช่เพราะกำลังขัดสน เพราะข้าพเจ้าเรียนรู้ที่จะพอใจในสิ่งที่ตนมี ไม่ว่าสภาพการณ์จะเป็นเช่นไร 12 ข้าพเจ้ารู้ว่ายามขาดแคลนเป็นอย่างไร และรู้ว่ายามมีเหลือเฟือเป็นอย่างไร ข้าพเจ้ารู้จักเคล็ดลับที่จะพอใจกับสิ่งที่ตนมี ในทุกสถานการณ์ ไม่ว่าจะอิ่มหนำหรือหิวโหย มั่งมีหรือขัดสน 13 ข้าพเจ้าทำทุกสิ่งได้ โดยพระองค์ผู้ประทานกำลังแก่ข้าพเจ้า

 

เปาโลเขียนจดหมายฉบับนี้ เพื่อไปคุยกับผู้เชื่อชาวฟีลิปปี ผู้เชื่อทั้งหลาย ก็สามารถเรียนรู้จากตรงนี้ได้ด้วย

ข้อ 11 บอก … “ข้าพเจ้าพูดอย่างนี้ ไม่ใช่เพราะกำลังขัดสน”

ไม่ใช่พูดขอบคุณ เขาเอาเงินมาช่วยเรา แล้วเราพูด เพื่อเขาจะได้เอามาให้อีก เปล่า ไม่ได้ เพราะขัดสน จึงจำเป็นต้องพูด เพื่อจะได้เงิน ไม่ใช่

เปาโลบอกว่า … “เพราะว่าข้าพเจ้าเรียนรู้ที่จะพอใจในสิ่งที่ตนมี ไม่ว่าสถานภาพจะเป็นเช่นไรก็ตาม”

“สภาพเป็นเช่นไร” ก็หมายถึงจะยากจน หรือจะร่ำรวย ข้าพเจ้าได้เรียนรู้ที่จะพอใจในสิ่งที่ตนมี ข้าพเจ้ารู้ว่ายามขาดแคลนเป็นอย่างไร? และรู้ว่ายามมีเหลือเฟือเป็นอย่างไร? ข้าพเจ้ารู้จักเคล็ดลับ

ใครอยากรู้จักเคล็ดลับนี้บ้าง? เคล็ดลับในการมีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้นั่นเอง

          “ข้าพเจ้ารู้จักเคล็ดลับที่จะพอใจในสิ่งที่ตนมี ในทุกสถานการณ์ ไม่ว่าจะอิ่มหนำ หรือหิวโหย มั่งมี หรือขัดสน ข้าพเจ้าทำทุกสิ่งได้ โดยพระองค์ผู้ประทานกำลังแก่ข้าพเจ้า”

          ตรงนี้ในภาษาเดิม “ในทุกสิ่งนี้” แปลว่า “ข้าพเจ้าเผชิญกับทุกสถานการณ์ได้ โดยพระองค์ ผู้ทรงเสริมกำลังข้าพเจ้า ข้าพเจ้าเผชิญกับทุกสถานการณ์ได้ ไม่ว่าจะร่ำรวย หรือยากจน ก็ตาม ขัดสน หรือมั่งมีก็ตาม ข้าพเจ้าเผชิญกับทุกสถานการณ์เหล่านี้ได้ โดยพระเยซูคริสต์ผู้ทรงประทานกำลังให้กับข้าพเจ้า ในแต่ละวัน เพราะว่าพระเยซูคริสต์ เป็นชีวิตของข้าพเจ้านั่นเอง เอเมน”

นี่คือเคล็ดลับ “ข้าพเจ้าเผชิญทุกสถานการณ์ได้ ผ่านทางพระเยซูคริสต์ ผู้อยู่ข้างในของข้าพเจ้า ทำให้ข้าพเจ้ามีสันติสุข และสามารถวางใจในพระเจ้าด้วยสิ้นสุดใจได้ว่าพระเจ้าทรงเตรียมสิ่งที่ข้าพเจ้าจำเป็น (ถ้ามีแค่นี้ ข้าพเจ้าก็จำเป็นแค่นี้) แต่วันหนึ่งข้างหน้า ในสถานการณ์นั้น พระเจ้าบอกว่าจำเป็นต้องมากกว่านี้ ก็จะให้มามากกว่านี้ เพื่อข้าพเจ้าจะได้สามารถผ่านสถานการณ์เหล่านั้นไปได้ เอเมน”

ฟีลิปปี 4:14 “กระนั้น ก็เป็นความกรุณาของท่าน ที่ได้แบ่งปันให้ ในยามที่ข้าพเจ้าเดือดร้อน”

 

อัครทูตเปาโล ผู้มีความเชื่อมหาศาล ผู้เอามือวางบนผ้าเช็ดหน้า แล้วคนเอาผ้าเช็ดหน้าไปวางคนป่วย คนป่วยหายโรค ผู้ที่บอกว่าพระเยซูคริสต์ร่ำรวยมหาศาล อะไรหรือที่ทำให้เปาโลผู้นี้เดือดร้อน เปาโลที่พูดว่าร่ำรวยมหาศาลในพระเยซูคริสต์ ก็ในโลกวิญญาณ อย่าเข้าใจผิด ในเรื่องโลกวิญญาณ ไม่ใช่เรื่องวัตถุสิ่งของในโลกใบนี้

“ก็เป็นความกรุณาของท่านที่ได้แบ่งปัน” เปาโลต้องได้รับการแบ่งปัน จากผู้เชื่อใหม่ แบ่งปัน เพราะว่าเขาขาดแคลนหรือเดือดร้อน รับใช้พระเจ้าไปด้วย ต้องใช้ทรัพยากรต่างๆ และชาวฟีลิปปีเหล่านี้ สนับสนุนงานรับใช้ของเปาโล

ผมอยากให้ท่านข้ามไป เน้นที่ข้อ 16

ฟีลิปปี 4:16 “แม้เมื่อข้าพเจ้าอยู่ในเมืองเธสะโลนิกา ท่านก็ยังส่งความช่วยเหลือมาให้ข้าพเจ้า ในยามขัดสน ครั้งแล้วครั้งเล่า”

 

“ท่านมาช่วยเหลือข้าพเจ้าในยามขัดสน” ไม่ใช่ครั้งเดียว  ครั้งแล้วครั้งเล่า แสดงว่าขัดสนบ่อยๆ

ฟีลิปปี 4:17 “ไม่ใช่ว่าข้าพเจ้าอยากได้ของกำนัล  แต่ข้าพเจ้าอยากให้ตัวเลขในบัญชีของท่านเพิ่มขึ้น”

 

อันนี้แถมให้ว่าไม่ใช่ข้าพเจ้าอยากได้ของของท่านหรอก แต่ข้าพเจ้ารู้ว่าถ้าท่านแบ่งปันอย่างนี้ น้ำท่านจะไม่แห้ง เพราะท่านจะได้รับกลับเข้ามาตามความจำเป็น เพราะท่านทำให้ตัวเองจำเป็น เพราะว่าท่านได้ให้ออกไป ท่านก็จำเป็นให้ออกไปอีก แล้วพระเจ้ารู้ว่าท่านจำเป็นจะต้องให้ พระเจ้าก็จะประทานสิ่งที่จำเป็น ตะกี้นี้บอกแล้ว พระเจ้าประทานสิ่งที่เราจำเป็น ถ้าเราไม่ให้ออกไป เรามีอยู่แล้ว พระเจ้าบอกไม่จำเป็นมีอยู่แล้ว ก็ไม่ต้องเอาไป ถ้าเราให้ออกไป พอเราขาดปุ๊บ พระเจ้าบอกเขาจำเป็น เราจะต้องใส่เข้าไปใช่ไหมครับ? มันเป็นอย่างนั้น นี่คือเคล็ดลับ

ฟีลิปปี 4:19 “และพระเจ้าของข้าพเจ้า จะประทานสิ่งที่จำเป็นทุกอย่างแก่ท่าน จากความมั่งคั่งอันเลอเลิศของพระองค์ ในพระเยซูคริสต์”

 

เห็นไหมครับ? … “และพระเจ้าของข้าพเจ้าจะประทานสิ่งที่จำเป็นทุกอย่างแก่ท่าน เพราะท่านได้ให้ออกไป”

พระเจ้าจะประทานสิ่งที่จำเป็น ไม่ใช่เฉพาะทรัพย์สินเงินทองต่างๆ ที่ท่านให้ไป อะไรไม่รู้ อาจจะเป็นเวลา รวมความแล้ว ท่านให้ออกไป ท่านก็จะพร่องใช่ไหม? ไม่พร่องหรอก พระเจ้าจะไปเติมให้ท่าน เพราะท่านจำเป็นแล้ว และทุกสิ่งทุกอย่างที่ท่านจำเป็นอยู่ อย่างอื่นด้วยที่ท่านจำเป็น เติมให้เต็ม เพราะว่าตามที่ท่านขาดอยู่ จำเป็นอยู่ ไม่ใช่ให้เหลือเฟือ ให้จากความมั่งคั่งอันเลอเลิศของพระองค์ในพระเยซูคริสต์ จากความร่ำรวยอันมั่งคั่งของพระองค์ในพระเยซูคริสต์ หมายถึงในโลกฝ่ายวิญญาณ ความมั่งคั่งของพระเยซูคริสต์ ก็คือความยิ่งใหญ่แห่งพระเยซูคริสต์ ในอาณาจักรสวรรค์ ในโลกวิญญาณ พระเยซูอยู่บนโลกใบนี้ แทบจะไม่มีที่ซุกหัวนอน จากโลกนี้ไป เขาเอาฉลองพระองค์มา เกือบเปลือยกาย เอามาจับฉลากแบ่งกัน จนมากเลย บนโลกใบนี้ แต่พระองค์ทรงร่ำรวยในโลกฝ่ายวิญญาณ นั่งอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้าในสวรรค์สถาน และเราทั้งหลาย วิญญาณเราก็นั่งอยู่ที่นั่นกับพระองค์ด้วย ร่ำรวยมหาศาล รอก่อนแป๊บหนึ่ง มันเกี่ยวกับโลกวิญญาณ อย่ามาอ้างเป็นโลกวัตถุ แล้วก็ใส่ใหญ่เลย เรามาเชื่อพระเจ้าแล้ว พระเยซูคริสต์ร่ำรวยมหาศาล เพราะฉะนั้น เราต้องร่ำรวยด้วย ยังไม่ถึงเวลานั้น ใจเย็นๆ ก่อน อยู่บนโลกใบนี้ มันต้องเป็นไปตามนี้ ดำเนินตามผู้ที่ถูกพาเข้าไปอยู่ในสวรรค์ เห็นประสบการณ์ที่นั่นมาแล้ว คืออัครสาวกเปาโล ทำตามเขาดีกว่า ถูกไหมครับ?

เพราะฉะนั้นชีวิตมันอยู่แค่เพียงความจำเป็น คือความพอเพียงในสิ่งที่เรามีอยู่ มีอยู่แค่ไหน ก็แฮปปี้อยู่ตรงนั้น นี่คือเคล็ดลับในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ของคริสเตียนทุกคน

มีครอบครัวหนึ่งเขาก็ทานอาหารกันอยู่บนโต๊ะ เด็กอายุ 4 ขวบ

แม่ก็ถามว่า … “หนูชอบกินผลไม้อะไร?”

เด็กก็ตอบว่า … “ชอบมะละกอ”

ก็ถามต่ออีกว่า … “แล้วรู้ไหมแม่ชอบอะไร?”

“แม่ชอบส้ม”

“แล้วรู้ไหมว่าพี่ชายชอบอะไร?”

“พี่ชายชอบกล้วย”

“แล้วหนูรู้ไหมคุณพ่อชอบทานอะไร?”

“คุณพ่อชอบทานผลไม้จากต่างประเทศ ที่เราไม่มี”

ก็มีความทุกข์สิ สิ่งที่มีแล้วไม่เอา จะหาแต่สิ่งที่ไม่มี นั่นแหละคือนิทานง่ายๆ ชัดๆ ที่บ่งบอกถึงว่าถ้าเราไม่รู้จักพอ ชีวิตเราจะเป็นทุกข์ ทั้งๆ ที่น่าจะมีความสุขกับสิ่งต่างๆ ที่มองเห็นอยู่ตรงนี้แล้ว รอบข้างเรา ที่มันจำเป็น ที่พระเจ้ารู้ และไม่เคยขาด  เพราะพระองค์ทรงสัญญาไว้อย่างนั้น

ถ้าถามตัวผมเองส่วนตัว ผมเชื่อไหมว่าพระเจ้าสามารถประทานความมั่งคั่ง ความเจริญรุ่งเรือง ทรัพย์สมบัติให้กับผู้เชื่อ ตามที่พระองค์ต้องการ ทำได้ เพราะทรัพย์สมบัติทั้งสิ้น เงินทองทั้งหมดเป็นของพระองค์ ความมั่งคั่งเป็นของพระองค์ เกียรติเป็นของพระองค์ พระองค์จะให้ผู้ใด พระองค์ก็ให้ผู้นั้นได้ แต่ไม่ได้อยู่ในคำสัญญา เข้าใจไหมครับ? มันอยู่ในวาระพิเศษว่าพระองค์เห็นว่ามันจำเป็นไหม? เข้าใจใช่ไหมครับ? ถ้ามันไม่จำเป็น ก็ไม่ได้ เราไม่จำเป็น เราก็พยายามบีบเค้น พอบีบเค้นหนักๆ ความโลภของเราก็เลยคิดว่าเอาล่ะ ตามเหตุผลมนุษย์ มันควรจะเป็นอย่างนั้น การเจริญรุ่งเรืองมั่งคั่งร่ำรวย ถวายเกียรติแด่พระเจ้ามากกว่า จะได้เอาเงินไปประกาศอะไรต่างๆ เราคิดเองทั้งหมด แล้วเราก็ถูกล่อลวงให้หลง ด้วยความโลภของเรา ในทรัพย์สินเงินทอง ในวัตถุสิ่งของบนโลกใบนี้ และเข้าสู่ระบบของโลกใบนี่ ซึ่งเป็นของมารอยู่ ก็ซวยสิ ก็บาดเจ็บ นี่แหละคือความจริง 1 ทิโมธี 6:6-10 จะบอกถึงว่าเวลาเราถูกล่อลวงไปด้วยความโลภต่างๆ เหล่านี้ ในทรัพย์สินเงินทอง มันไม่ใช่เงินทองอย่างเดียว หมายถึงทรัพย์สิน ระบบความคิดของโลกใบนี้ ที่เราคิดว่ามันอย่างนี้ ควรจะเป็น มาเชื่อพระเจ้าแล้ว มันควรจะถวายเกียรติพระเจ้าสิ ถวายเกียรติพระเจ้าด้วยวิธีอะไร?

นอกจากจะมีความประพฤติที่ดี ถูกต้องแล้ว ต้องร่ำรวย ต้องแข็งแรงอย่างนี้ คุณป่วย คุณจะถวายเกียรติพระเจ้าได้อย่างไร? ถ้าคุณไม่ร่ำรวย คุณจะถวายเกียรติแด่พระเจ้าได้อย่างไร? ฟังดูแล้ว เหมือนมันมีเหตุผล แต่มันไม่ใช่คำสัญญา พระเจ้านำพาคริสตจักรของพระองค์จากคนที่ไม่ร่ำรวยทั้งนั้น  เปาโลเป็นตัวอย่างชัดเจน และเปาโลผู้ที่ไปสวรรค์มาแล้ว แล้วก็สอนเราว่าให้ทำตามเขา เขาบอกว่าอย่างนี้ให้ทำตามเขา แล้วท่านจะเชื่อไหมล่ะ ท่านจะเชื่อคนอื่นเยอะแยะ นักเทศน์เยอะแยะไป ที่พยายามเอาความโลภเป็นที่ตั้ง แล้วก็มาสอนอย่างนั้น กับเปาโลที่เคยไปสวรรค์มาแล้ว ที่เคยทำอัศจรรย์ใหญ่      ที่พระเจ้าทำผ่านทางชีวิตของเขา     เป็นผู้บอกว่าให้ทำตามเขาอย่างนี้     แล้วเขามีคอนเชปในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้อย่างไร? คือพอเพียงๆ แล้วแต่พระเจ้าจะให้ บางครั้งก็มี บางครั้งก็ไม่มี พร้อมเสมอที่จะไม่มี …

1 ทิโมธี 6:6-10  “6 แต่ทางพระเจ้าพร้อมด้วยความพอใจในสิ่งที่ตนมี ย่อมเป็นกำไรงาม 7 เพราะเราเข้ามาในโลกตัวเปล่า เมื่อออกจากโลก ก็เอาอะไรติดตัวไปไม่ได้ 8 แต่ถ้าเรามีอาหารและเสื้อผ้า ก็ให้เราพอใจกับสิ่งเหล่านั้น 9 คนที่อยากรวย ก็ตกหล่มเย้ายวนให้ทำบาป ติดกับและตกในความปรารถนาต่างๆ อันโง่เขลาและอันตราย ซึ่งดึงมนุษย์ดิ่งลงในห้วงแห่งความพินาศย่อยยับ 10 เพราะการรักเงิน เป็นรากเหง้าของความชั่วทั้งปวง เพราะเห็นแก่เงินนี่แหละ บางคนจึงเตลิดจากความเชื่อ และทำให้ตัวเองต้องปวดร้าว ด้วยความทุกข์โศกนานา”

 

แต่ทางพระเจ้า คือทางเชื่อในพระเยซูคริสต์ เป็นผู้เชื่อ พร้อมกับความพอใจในสิ่งที่ตนมีอยู่ เป็นกำไรงามในชีวิต น่าจะมีสันติสุขในชีวิต ดำเนินชีวิตด้วยความชื่นชมยินดีได้ตลอด ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นก็ตาม

ข้อ 9 บอกว่าคนที่อยากรวย ก็ตกหล่มเย้ายวนให้ทำบาป ติดกับและตกในความปรารถนาอันโง่เขลาและอันตราย ซึ่งดึงมนุษย์ดิ่งลงในห้วงแห่งความพินาศย่อยยับ เพราะการรักเงิน เป็นรากเหง้าของความชั่วทั้งปวง

การรักเงิน ก็คือการรักทรัพย์สมบัติบนโลกใบนี้  ไม่ได้หมายถึงการมีนะ ถ้าท่านมี เพราะพระเจ้าให้ เพราะเห็นว่าท่านจำเป็น ก็ว่ากันไป ไม่เป็นไร ไม่ใช่เงิน เป็นตัวรากเหง้า แต่การรักเงิน การอยากจะมีด้วยตัวเอง คือบางคนถูกล่อลวงด้วยมาร จนตามืดบอด ความโลภก็เข้ามาสิง ก็ใช้นามของพระเยซูคริสต์ อ้างทางของพระเจ้า เพื่อหวังทรัพย์สมบัติ จะหวังไปทำอะไรก็ตาม บางคนก็นึกหวัง เพื่อเอามาทำงานส่วนรวม แต่มันก็คือความหวังที่ผิด ก็คือความโลภ ต่อให้เราหวัง จะเอามาสร้างโบสถ์ก็ตาม มันก็คือผิด ผิดก็คือผิด แล้วเดี๋ยวมันก็จะมาซึ่งความโศกเศร้า เสียใจ และความล้มเหลวในที่สุด มันหนีไม่พ้นหรอก เพราะมันเข้าไปผิดทางแล้ว เดี๋ยวมันก็ไปสู่ความโลภมาสู่ส่วนตัว พอมาสู่ส่วนตัว ก็จะเริ่มอ้าง เพราะว่าความคิดแบบโลก แบบมนุษย์คิดว่ามีเงิน ถึงจะถวายเกียรติแด่พระเจ้า ก็เลยเอาล่ะมีเงิน ทั้งๆ ที่รู้ว่าการถวายสิบลด มันไม่ได้จำเป็น เพราะเราเชื่อพระเจ้าแล้ว เราไม่ได้อยู่ในกฎระเบียบของชาวยิวอีกต่อไป ไม่ต้องมีคำว่าต้องถวายสิบลด ทั้งๆ ที่เรารู้ เราก็บอกว่า … “ต้องถวายสิบลด”

เพราะเรากลัวว่าทรัพย์สินของโบสถ์จะน้อยลง นี่ส่วนรวมนะ แต่บางคนกลัวกว่านั้น กลัวว่าเงินเดือนของเราเองจะน้อยลง ไม่มีใครมาสนับสนุนเงินเรา แบบเดียวกับที่เปาโลพูด ขัดสนนั่นนะ เรากลัวความขัดสน เราก็เลยอ้าง ขู่ ให้ผู้เชื่อทั้งหลายว่าได้เงินเท่าไรต้องถวายสิบลด? นี่พูดถึงบางคนที่รู้นะ ไม่รู้ ก็แล้วไป ไม่รู้ก็ควรจะรู้แล้ว เดี๋ยวนี้ว่าไม่ใช่ ในพระคัมภีร์ไม่ถูกต้องอย่างนั้น  ถ้าเราเชื่อและวางใจในพระเจ้า ด้วยความพึงพอใจในสิ่งที่มีอยู่ ค่อยๆ ยอมรับและคิดตาม มันจะเห็นความจริงเองว่ามันไม่ใช่ พระคัมภีร์บอกชัดเจนว่าให้ถวายด้วยใจชื่นชมยินดี ที่เตรียมไว้ในใจ ไม่ใช่ด้วยฝืนใจ ตามสบายใจ เป็นอิสระแล้ว จะให้เท่าไรก็ว่ากันไป ให้ก็ดี อะไรก็ตามเหล่านั้น นี่เห็นไหมครับ ชัดเจนเลย

บางคนหนักกว่านั้น สอนให้ผู้เชื่อหว่านลงไปเลย แล้วเรียกร้องกลับคืนมา ให้ไปหนึ่ง จะได้กลับมาสามสิบบ้าง หกสิบบ้าง ร้อยหนึ่งบ้าง ยิ่งประเทศทางตะวันตก ยิ่งเยอะเลย ถามว่าทำไมมีเยอะ เพราะว่าทางตะวันตก ความฝันของเขา คือความร่ำรวย  ทุกคนต้องมีบ้าน มีรถ ตะวันตกออกไปทางระบบวัตถุมากกว่าทางเอเซียเยอะ เดี๋ยวนี้มันก็แพร่มาสู่ทางเอเชียมากขึ้นเหมือนกัน คือชีวิตมุ่งหวังเอาความสำเร็จทางด้านวัตถุมากกว่า แล้วคิดว่าให้ออกไป แล้วจะได้รับกลับมา ทุกคนก็แห่กันไป ใครๆ ก็อยากรวย คริสเตียนก็อยากรวย มันเรื่องธรรมดา เพราะมันเป็นระบบของโลกใบนี้  แต่ถ้ามาเปลี่ยนแปลงความคิดจิตใจเสียใหม่ตามพระคัมภีร์ ก็จะมีความพึงพอใจในสิ่งที่ตนเองมีอยู่ อยากรวย ก็ขอพระเจ้าเอา แล้วแต่ความจำเป็น ได้ไม่ได้ ก็ไม่เป็นไร แต่ไม่ใช่เอาแต่เรียกร้องเอาจากพระเจ้า เรียกร้องเอา ใช้สิทธิในนามพระเยซู สั่งการ …

“ฉันให้ออกไปหนึ่ง ฉันต้องได้กลับมาสิบ ฉันให้ออกไปหนึ่ง ความเชื่อไม่พอ ต้องได้กลับมาห้าสิบ”

ไปบอกผู้รับใช้ว่ายังไม่ได้ เขาก็บอกว่าไม่ใช่ความผิดของพระเจ้าหรอก พระเจ้าเตรียมให้ท่านแล้ว ท่านความเชื่อไม่พอ เพราะฉะนั้นต้องอธิษฐานมากกว่านี้อีก ให้ออกไปมากกว่านี้อีก มีบางรายหนักกว่านั้น ให้ส่งมาทางไปรษณีย์ ส่งมา 10 ดอลล่าร์ แล้วเราจะส่งกลับไปให้ท่าน 1 ดอลล่าร์ แต่ 1 ดอลล่าร์มีการเจิมอยู่ ท่านจะได้รับ 100 ดอลล่าร์กลับคืน ในอนาคต แต่ตอนนี้เห็นๆ ท่านเสียไป 9 ดอลล่าร์แล้ว อะไรแบบนี้ มันเยอะ

ทำไมเราไม่คิดบ้างว่าพระคัมภีร์ว่าไว้อย่างไร?  การดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ เกี่ยวกับทรัพย์สมบัติ การเจริญเติบโตทางธุรกิจการงาน มันควรจะวางใจในพระเจ้าว่าแล้วแต่พระองค์ เท่าที่จำเป็นลูกควรจะมีอย่างไร? พระองค์ตัดสินก็แล้วกัน ทุกสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในชีวิต ไม่ว่าจะมีหรือจน ขัดสนหรือร่ำรวย ขอบคุณพระเจ้า ในสถานการณ์นั้นให้ได้ ฝึกฝน นี่คือเคล็ดลับ

เพราะฉะนั้น วางใจในพระเจ้าในการดำเนินชีวิต ตอนที่ 2.1 คือวางใจพระเจ้าในเรื่องเกี่ยวกับการกิน การดื่ม และทรัพย์สินบนโลกใบนี้ ก็คือแล้วแต่พระเจ้า เคล็ดลับ คือจงพึงพอใจในสิ่งที่ตนเองมีอยู่ เท่าที่จำเป็น พระเจ้าจะให้เราแน่นอน  ถ้าเราจำเป็น ต่อให้เป็นเงินหมื่นล้าน ถ้าเราจำเป็น พระเจ้าจะให้เราแน่นอน แต่เป็นการตัดสินใจของพระเจ้า ไม่ใช่ความพยายามๆ ของเรา เพราะฉะนั้น จงเชื่อและวางใจในพระเจ้าเถิด ขอพระเจ้าอวยพรครับ

 

**************************