คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 28 มิถุนายน 2020 เรื่อง “แนวทางการดำเนินชีวิตของผู้เชื่อ 4 ขั้นตอน” ตอน 4 “วางใจพระเจ้าด้วยสิ้นสุดใจ เรื่องโลกวิญญาณ” โดย นคร เวชสุภาพร

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  28  มิถุนายน  2020

เรื่อง “แนวทางการดำเนินชีวิตของผู้เชื่อ 4 ขั้นตอน” ตอน 4

“วางใจพระเจ้าด้วยสิ้นสุดใจ     เรื่องโลกวิญญาณ”

โดย นคร  เวชสุภาพร

เรายังอยู่ในซีรี่ย์ชุดนี้ แนวทางการดำเนินชีวิตคริสเตียน 4 ขั้นอยู่ คือเชื่อแล้ว  รับรู้  วางใจ  อธิษฐาน  ผ่านไปแล้ว 2 ขั้นตอน ก็คือเชื่อแล้ว  รับด้วยปากและเชื่อด้วยใจในข่าวดีของพระเยซูคริสต์แล้ว มาเป็นลูกของพระเจ้าแล้ว เรียกว่าเชื่อ เรียกว่าคริสเตียนแล้ว กับการรับรู้ จดจ่อไปที่เรื่องราวที่เบื้องบน ในสวรรค์สถานว่าเราเป็นลูกพระเจ้าแล้ว วิญญาณเราอยู่ที่ไหนตอนนี้ในสวรรค์กับพระเจ้าแล้วบ้าง เราเรียนรู้ไปแล้ว 2 ขั้นตอน และวิธีการรับรู้ เราเน้นกันใน 2 สัปดาห์ที่แล้ว เราสอนกันในเรื่องนี้ว่ารับรู้อย่างไร?

รับรู้ ก็คือการจดจ่อความคิดไปยังสิ่งที่อยู่เบื้องบน ไม่ใช่สิ่งที่อยู่ฝ่ายโลก อยู่ในโลกวิญญาณ ด้วยวิธี 3 จอ จดจ่อ จดจำ จนขึ้นใจ ว่าเราได้บังเกิดใหม่แล้ว พระเจ้าได้ย้ายเราจากอาณาจักรแห่งความมืด มาสู่อาณาจักรสวรรค์ อาณาจักรแห่งความสว่าง อาณาจักรแห่งพระบุตรของพระองค์ ในสวรรค์สถานเรียบร้อยไปแล้ว จบไปแล้ว และยังมีบอกอีกว่าให้ตาดู หูฟัง เรื่องราวต่างๆ เหล่านี้ เป็นถ้อยคำจากพระคัมภีร์เหล่านี้บ่อยๆ เยอะๆ ตาดู หูฟัง ปากพูด เขาเรียกว่าจดจ่อเต็มที่ในเบื้องบน วนเวียนอยู่ในเรื่อง … สั้นๆ รวมความ ก็คือเกี่ยวกับสวรรค์ที่เราได้อยู่แล้วตอนนี้กับพระเจ้า ตามที่พระคัมภีร์ได้บอกเรา

และวันนี้ เราจะมาเริ่มขั้นตอนที่ 3 ก็คือหลังจากเชื่อแล้ว รับรู้แล้ว ต่อไป ขั้นตอนที่ 3 คือวางใจ หัวข้อการบรรยายในวันนี้ ผมจึงให้ชื่อเรื่องว่า “วางใจพระเจ้าด้วยสิ้นสุดใจ” คำว่า “วางใจพระเจ้า” หรือ “จงวางใจในพระเจ้า” เป็นประโยคที่ผู้เชื่อทุกคนได้ยินบ่อยที่สุด พอมาเชื่อพระเจ้าแล้ว ได้ยินบ่อยมาก ใครๆ ก็ต้องบอกว่าวางใจสิๆ จะทำอะไรก็ต้องวางใจในพระเจ้า อย่ากลัวเลย  จงวางใจในพระเจ้าเถิด  แต่ในทางปฏิบัติ มันไม่ได้ง่ายเหมือนที่หลายๆ คนมาพูดหนุนใจเรานะ โดยเฉพาะเมื่อเกิดขึ้นกับตัวเราเอง มันลำบากเหลือเกิน เกิดขึ้นกับคนอื่น เราไปบอกเขาวางใจในพระเจ้านะ  มันก็พูดง่าย แต่พอมันเกิดขึ้นกับตัวเอง อะไรที่เกิดขึ้นกับตัวเอง สถานการณ์บางอย่างที่เราต้องการให้เปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดี ที่เราคิดว่าดี จะบอกกับตัวเองว่าให้วางใจในพระเจ้า มันยากกว่าที่จะพูดกับคนอื่น นี่คือเรื่องจริงของผู้เชื่อทั้งหลาย ชีวิตคริสเตียนพบกับสันติสุข ที่แท้จริงได้เมื่อเชื่อแล้ว รับรู้แล้วว่าเราเป็นใคร? จดจ่อ จดจำ จนขึ้นใจไปแล้วว่าเราเป็นใคร? ในโลกวิญญาณ ในสวรรค์ จะต้องตามด้วยการวางใจตรงนี้ ถึงจะมีสันติสุขในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ได้ ถ้าเชื่อแล้ว รับรู้แล้ว  แต่ยังวางใจไม่ได้ ชีวิตก็ยังคงวนเวียนอยู่กับความทุกข์ลำบาก กังวลไปเรื่อย ตามระบบของโลกนี้ ที่มันผันแปรไปเรื่อยๆ ตามมารที่กระทำการงานอยู่บนโลกใบนี้ มันก็ไม่มีสันติสุข หรือไม่มีความสุขเท่าที่ควร เท่าที่พระเจ้าอยากจะให้เราได้  จริงๆ พระเจ้าอยากให้เราได้ดีที่สุดเลย ในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ว่าเป็นเครื่องมือของพระองค์ในการประกาศข่าวดี ใช้ร่างกายของเราที่เป็นวิหารของพระองค์แล้ว ซึ่งพระเจ้าก็อยากจะกระซิบที่หูเราว่า …

“วางใจในพ่อเถิด”

ชีวิตคริสเตียน ก็คือชีวิตแห่งความเชื่อและวางใจ ไม่ใช่เชื่อเฉยๆ เดี๋ยวเรารู้ว่าเชื่อและวางใจมันต่างกันกับความเชื่อเฉยๆ อย่างไร?

พระคัมภีร์บอกว่าความเชื่อที่บอกว่าพระเจ้ามีจริง ความจริงเรื่องนี้ พระคัมภีร์บอกว่าแม้แต่ซาตาน แม้แต่มารเอง ก็ยังเชื่อแบบนั้น แต่มารมันเชื่อ ชนิดลักษณะว่าพระเจ้าเป็นอยู่จริง มีอยู่จริง ยิ่งใหญ่จริง เชื่อแบบกลัวพระเจ้ามาก เพราะว่าความยิ่งใหญ่ ฤทธิ์อำนาจของพระองค์ยิ่งใหญ่มาก ในยากอบ 2:19 ได้บันทึกไว้อย่างนี้ …

ยากอบ 2:19 “ท่านเชื่อว่ามีพระเจ้าองค์เดียวก็ดีแล้ว แม้พวกผีมาร ก็ยังเชื่อเช่นนั้นและกลัวจนตัวสั่น”

 

มารเชื่อว่ามีพระเจ้า เชื่อแน่นอน และเชื่อในฤทธิ์อำนาจของพระเจ้าอย่างมากมาย  แต่ว่าสำหรับเราผู้ที่เชื่อในพระเจ้าแล้ว เราเป็นลูกของพระเจ้าแล้ว เราเชื่อในการทรงสถิตของพระเจ้า ที่ทรงสถิตอยู่กับเรา เราจึงวางใจในฤทธิ์อำนาจของพระเจ้า วางใจจนถึงขนาดเกินกว่าความคิดของเราที่จะเข้าใจอีก เพราะว่าพระองค์ทรงฤทธิ์อำนาจยิ่งใหญ่สูงสุด มากมายเลย แต่ก็อย่างที่บอก มันไม่ใช่เรื่องง่ายๆ ที่เราจะวางใจพระเจ้าในทุกเรื่อง ในทุกสถานการณ์ เวลามันเกิดขึ้นกับเราเองจริงๆ เราก็รู้ จากถ้อยคำพระเจ้าว่าพระเจ้ายิ่งใหญ่มาก ยิ่งใหญ่เหนือกว่าสถานการณ์ที่เราคิดว่าเลวร้าย ที่กำลังเกิดขึ้นต่อหน้าเรา แต่บอกให้เราวางใจในฤทธิ์เดชอำนาจของพระเจ้า มันยากนะครับ

วันนี้ เราก็เลยมาเรียนรู้ในเรื่องนี้กันว่าพระคัมภีร์สอนเราอย่างไร? ที่จะช่วยเรา ให้สามารถที่จะวางใจในพระเจ้า  สุดจิต สุดใจ ที่เกินกว่าความคิดของมนุษย์ที่จะเข้าใจ ในทุกสถานการณ์ในชีวิตของเราในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ได้ ทำอย่างไรดี เรามาคุยกันในวันนี้ ยังจำได้ไหมที่ผมเปรียบให้ฟังอยู่บ่อยๆ ว่าเราทั้งหลายผู้ที่เชื่อในพระเจ้าแล้ว ได้บังเกิดใหม่เป็นลูกของพระเจ้าแล้ว ได้อยู่ในสวรรค์แล้ว ในโลกวิญญาณ เราอยู่ในระหว่างการเดินทางสู่โลกใหม่ สวรรค์ใหม่ ก็จะมีสัตว์ มีต้นไม้ใบหญ้า มีทะเล มีฟ้า มีนกอะไรต่างๆ แต่เป็นใหม่หมดเลย  รวมทั้งเราก็ใหม่ด้วย ร่างกายเราใหม่ เรากำลังอยู่ในระหว่างการเดินทางไปสู่โลกใหม่ด้วยเที่ยวบินสายสวรรค์ของสายการบินนี้ ตั๋วก็ฟรีนะ ตั๋วใช้ความเชื่ออย่างเดียว สายการบิน Jesus’s The Way ก็เลยให้เราทำตัวเหมือนกำลังเตรียมตัว ผมบอกอยู่บ่อยๆ ให้เราเตรียมตัวเหมือนกำลังเดินทางไปเที่ยวต่างประเทศ ในชีวิตมนุษย์ธรรมดาทุกวันนี้ ไปทัวร์ต่างประเทศกันง่ายๆ เรามั่นใจเพียงแค่ว่าเรามีตั๋วเครื่องบิน และเอกสารเดินทางครบถ้วนไหม? ซึ่งใครที่เชื่อพระเจ้าแล้ว เชื่อด้วยใจและพูดด้วยปากแล้วว่าพระเยซูเป็นพระผู้ช่วยให้รอด และต้อนรับพระเยซูคริสต์เข้ามารับรู้ไปแล้วว่าเราได้บังเกิดใหม่แล้ว เท่ากับเรามีเอกสารพร้อม มีตั๋วพร้อม กำลังนั่งอยู่ในเครื่องบินสายสวรรค์นี้แล้ว เที่ยวบินนี้แล้ว และเหมือนเที่ยวบินทุกๆ แห่งที่เราเดินทางไปบนโลกใบนี้ เป็นทัวร์ที่ไหนก็ตาม พอขึ้นเครื่องบิน กัปตันก็จะประกาศว่า …

“ท่านผู้โดยสารโปรดทราบ ขณะนี้ เที่ยวบินของเรา กำลังบินผ่านน่านน้ำ มหาสมุทรแปซิฟิก  ที่ระดับความสูง 20000 ฟุต  เหนือระดับน้ำทะเล … และสำหรับเที่ยวบินนี้  เราอาจพบกับสภาพอากาศแปรปรวน  หรือเครื่องบินตกหลุมอากาศบ้าง เป็นบางครั้ง .. แต่ขอให้ผู้โดยสารทุกท่าน ไม่ต้องเป็นกังวล …  สบายใจได้ว่าเราจะนำทุกท่านสู่จุดหมายปลายทางโดยสวัสดิภาพ … ขอให้ผู้โดยสารทุกท่าน  มีความสุขกับการเดินทาง  ไปกับเที่ยวบินของเรา หลับให้สบาย”

เขาก็จะพูดประมาณนี้  และเที่ยวบินสายสวรรค์ของสายการบิน Jesus’s The Way ที่พวกเรากำลังเดินทางไปสู่โลกใหม่ ก็เช่นเดียวกัน เพียงแต่อยู่ในโลกวิญญาณ  ระหว่างการเดินทาง กัปตัน คือพระเยซูคริสต์ พระองค์จะคอยประกาศอยู่เสมอๆ บนเที่ยวบินสายสวรรค์ว่าท่านอาจจะต้องพบกับปัญหาอุปสรรคบ้าง แต่อย่าเป็นกังวลเลย พวกเราทุกคนจะต้องถึงจุดหมายปลายทาง คือโลกใหม่อย่างแน่นอน จงมีสันติสุข พักสงบสุขและหายเหนื่อยเถิด จงมาหาเรา และหายเหนื่อย เป็นสุขๆ เถิด

มาดูถ้อยคำที่กัปตันของเรา คือพระเยซูคริสต์ในสายการบินนี้ เที่ยวบินสายสวรรค์นี้ ประกาศไว้อย่างไร? บันทึกไว้ในพระคัมภีร์ ยอห์น 14:1 …

ยอห์น 14:1 “อย่าให้ใจของท่านทั้งหลายเป็นทุกข์ จงวางใจในพระเจ้า และจงวางใจในเราด้วย”

 

“จงวางใจในพระเจ้า” ตรงนี้  ถ้าอธิบายในบริบทที่เรากำลังคุยกันอยู่ นี้ก็คือให้เราวางใจในพระเจ้าว่าพระองค์ได้เตรียมแต่งตัวในวิญญาณเราเรียบร้อยแล้ว  ความคิดจิตใจเราที่ได้จากพระองค์ก็สะอาดเรียบร้อยแล้ว และกำลังพาเราเดินทางไปพบกับพ่อหน้าต่อหน้า พ่อคือพระเจ้าผู้ทรงสร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก ผู้ทรงฤทธานุภาพอำนาจยิ่งใหญ่สูงสุด  ผู้ทรงเป็นพระเจ้า มารตัวสั่น กลัวมาก แต่เราไม่กลัว เพราะเราเป็นลูกของพระองค์ เราเคารพยำเกรงในพระองค์ว่าพ่อเรายิ่งใหญ่สูงสุดเลย รักเรามากขนาดนี้ ใครจะมารังแกเราได้  เรายำเกรงในพระเจ้าในลักษณะนี้ ถ้ารู้อย่างนี้แล้วตื่นเต้นไหม? ตื่นเต้นแน่นอน ขนาดมีคนจะไปเที่ยว จะไปดูแสงเหนือ ที่ขั้วโลกเหนือ ที่ประเทศสแกนดิเนเวีย ยังตื่นเต้นเลย อาจจะนอนไม่หลับด้วยซ้ำไป เพราะกำลังจะได้ไปดูอะไรบางอย่างที่ตัวเองหวังไว้ สวยงามมาก

พระเยซูคริสต์บอกว่ากำลังจะพาเราไปพบหน้าพระเจ้าของเรา ไม่ตื่นเต้นเหรอ เราควรจะตื่นเต้น ในภาษาปัจจุบัน เขาบอกว่าตื่นเต้นเบอร์ไหนดี มากกว่าเบอร์ที่เราไปเที่ยวต่างประเทศนะ นี่ คือสิ่งที่พระเยซูบอกเราจริงๆ ว่าให้เรารอแป๊บเดียว เรากำลังพาพวกเจ้าไปพบพ่อ อีกแป๊บเดียวเอง ในขณะที่รอ พระเจ้าก็สอนเรา พระเยซูก็สอนเราว่าขณะที่รออยู่นั้น รอบๆ ตัวเรา บนโลกใบนี้ ก็ยังคงมีมาร เป็นศัตรูเราอยู่ คอยหลอกล่อ หลอกลวง เหมือนตอนที่หลอกลวงบรรพบุรุษของเรา คืออาดัมและเอวา ยังคงทำการงานของมันอยู่เหมือนเดิม หลอกล่อ หลอกลวง โกหก เพื่อขโมย ฆ่าและทำลาย เหมือนที่มันทำกับบรรพบุรุษของเรา ตั้งแต่ยุคแรกโน้น ตั้งแต่อาดัมและเอวา ทุกวันนี้มารซาตาน มันก็ยังคงคอยส่งเสียงมาหลอกล่อหลอกลวงตลอดเวลา  ถึงแม้ว่าพระเจ้าจะสถิตอยู่กับเราตลอดเวลาแล้วก็จริงอยู่ แต่พระองค์ก็ไม่ได้บังคับ เคี่ยวเข็ญ ขู่เข็ญเราให้เป็นเหมือนทาสของพระองค์ พระองค์ให้อิสระเราในการตัดสินใจ เหมือนกับให้อิสรภาพกับสรรพสิ่งที่พระองค์ทรงสร้างทุกสิ่งให้มีอิสระในการตัดสินใจ จะเชื่อพระองค์ก็ได้ ไม่เชื่อก็ได้ แต่บอกไว้ก่อนเลย ถ้าไม่เชื่อจะได้รับสิ่งที่ไม่ดี พระองค์ไม่ได้ทำหรอก แต่เป็นกฎระเบียบไว้ ก็คือถ้าไม่เชื่อ ไปเชื่อมาร มารมีแต่ขโมย ฆ่าและทำลาย มันไม่ได้จริงใจ มันมีแต่ความเสียหาย ความยุ่งเหยิง คำสาปแช่ง ไปเชื่อมัน ก็ตกลงไปในคำสาปแช่ง เหมือนเอานิ้วไปแหย่ปลั๊ก ไฟดูด พระเจ้าให้อิสรภาพกับเราเป็นอย่างนั้นเหมือนกัน เพราะฉะนั้น การอยู่บนโลกใบนี้ กำลังรอไปพบหน้าพ่อของเรา เราก็ต้องระมัดระวังศัตรูของเรา คอยมาหลอกล่อเราและเพราะเหตุนี้แหละ ที่บอกว่าพวกมารซาตานมันยังคงทำหน้าที่ของมันในการหลอกล่อมนุษย์ ถึงได้บอกว่าในทางปฏิบัติ การเชื่อและวางใจในพระเจ้าด้วยสุดจิต สุดใจ ต้องเกินกว่าความคิดของมนุษย์ที่จะเข้าใจเท่านั้น ถึงจะชนะการล่อลวงของมันได้ ถ้าเอาเฉพาะความคิดและความเข้าใจของมนุษย์ เสร็จมันแน่นอน แพ้มันแน่ เราต้องวางใจที่เกินกว่าความคิดของมนุษย์ที่จะเข้าใจ เกินกว่าสายตาที่เรามองเห็น เกินกว่าความคิดเหตุผลของมนุษย์นั่นแหละเราถึงจะชนะการล่อลวงของมารได้ ซึ่งมันไม่ใช่เรื่องง่ายนัก โดยเฉพาะบางสถานการณ์ที่เกิดขึ้นกับเราเอง มันไม่ได้ง่ายอย่างนั้น  แต่มันทำได้ เพราะพระเจ้าบอกไว้ว่าทำได้ ก็เลยเป็นเหตุผลว่าทำไมเราต้องมาคุยอย่างละเอียดในวันนี้ ไม่ใช่พูดว่า …

“จงวางใจนะๆ วางใจด้วยสิ้นสุดใจนะ”

ไม่ใช่แค่นั้น เพราะเรารู้ว่าเมื่อถึงเวลาจริงๆ แล้ว มันอาจจะทำไม่ได้ ไม่ได้สันติสุข ไม่ได้ถวายเกียรติแด่พระเจ้าเท่าที่ควร

สิ่งที่ต้องเน้นย้ำในเรื่องของการวางใจในพระเจ้าด้วยสิ้นสุดใจนี้ สิ่งสำคัญ คือต้องรู้ให้เท่าทันเล่ห์กลของมาร ในการหลอกลวง การล่อลวงมนุษย์ และไม่เผลอไปเชื่อฟังมัน แล้วไปทำตามมัน ซึ่งมันนำเราไปสู่ความตาย หมายถึงนำเราไปสู่คำสาปแช่ง ซึ่งเราไม่ควรจะต้องมีความทุกข์ขนาดนั้น  เราเป็นลูกพระเจ้าแล้ว เราควรจะมีความสุขมากกว่านั้น พระคัมภีร์จึงบอกให้เรา  เชื่อและวางใจในพระเจ้าด้วยสิ้นสุดใจ คือ …

“สิ้นสุดใจ สิ้นสุดกำลัง ไม่เหลือใจให้กับใครอีกแล้ว  ไม่ฟังใครอีกแล้ว  ถ้าพระเจ้าบอกแบบนี้ ไม่ว่าใครหน้าไหนจะมาบอกเป็นอย่างอื่น ฉันไม่มีทางเชื่อ ฉันก็ไม่ฟังเด็ดขาด ไม่ว่าตาฉันจะเห็นอย่างไร? มือฉันจับต้อง รู้สึกอย่างไรก็ตาม ฉันไม่เชื่อเด็ดขาด พระเจ้าว่าอย่างไร? ว่าตามนั้น เพราะฉันเชื่อและวางใจพระเจ้า แบบสุดๆ สุดใจไปแล้ว แบบเกินกว่าความคิดของมนุษย์ที่จะเข้าใจ”

มันต้องอย่างนี้ นี่คือหมัดเด็ดที่จะชนะมัน ถึงแม้ว่าสิ่งที่พระเจ้า บอก หมายถึงถ้อยคำพระเจ้าที่บอกไว้ในพระคัมภีร์ อาจจะฟังดูแล้ว ใช้เหตุผลของมนุษย์แล้ว มันเชื่อยากเหลือเกินว่ามันเป็นไปได้อย่างไรก็ตาม เหมือนไม่มีผล พูดง่ายๆ สิ่งที่พระเจ้าบอก ไม่มีเหตุผล ตามความคิดของมนุษย์  ถึงแม้มนุษย์จะไม่เข้าใจ แต่ฉันก็ตัดสินใจแล้วว่าจะเชื่อและวางใ

การเชื่อและวางใจพระเจ้ามันสามารถตัดสินใจก่อนได้ ก่อนเหตุการณ์จะเกิดขึ้น บอกก่อนเลยว่าไม่ว่าเหตุการณ์มันจะเกิดขึ้นอย่างไรก็ตาม มันจะไม่มีเหตุผล และฉันจะไม่เข้าใจ ก็ตาม แต่ฉันจะเชื่อและวางใจในพระเจ้า คำว่าเชื่อและวางใจในพระเจ้าด้วยสิ้นสุดใจ ต้องแบบนี้ ที่พระคัมภีร์ใช้คำว่าให้เราเชื่อและวางใจพระเจ้าเกินกว่าความคิด ความเข้าใจของมนุษย์ ที่จะคิดได้ มันแปลว่าอย่างนั้น และพระเจ้าเตรียมสิ่งต่างๆ เหล่านี้ ให้กับเราแบบนี้ทั้งนั้น ในพระคัมภีร์ 1 โครินธ์บอกว่าสิ่งที่ตามองไม่เห็น หูไม่ได้ยิน และมนุษย์คาดไม่ถึง ไม่เข้าใจ ไม่มีเหตุผล หาเหตุผลไม่ได้  คือสิ่งที่พระเจ้าจัดเตรียมไว้กับผู้ที่รักพระองค์ ผู้ที่เป็นลูกของพระองค์ ต้องจำตรงนี้ไว้เลย

และเพื่อให้เราเห็นภาพเข้าใจได้ง่ายขึ้น ผมได้สรุปมาเป็นขั้นตอน สิ่งที่พระคัมภีร์สอน หรือย้ำเตือนให้เราวางใจในพระเจ้าแบบสุดจิต สุดใจ แบบเกินกว่าความคิด ความเข้าใจของมนุษย์ มีอยู่ 2 ส่วน

ส่วนแรก คือการวางใจในเรื่องเกี่ยวกับโลกวิญญาณล้วนๆ ซึ่งมันยาก ต้องเป็นเบอร์หนึ่งเลย เรื่องการวางใจในโลกวิญญาณ

ส่วนที่สอง คือการวางใจในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ขณะนี้ อันนี้ง่ายกว่า ซึ่งวันนี้ เราจะมาเรียนรู้ในเรื่องแรกกันก่อน คือการวางใจพระเจ้า ในทางโลกวิญญาณ

เริ่มจากการเชื่อและวางใจพระเจ้าด้วยสิ้นสุดใจ  เกินกว่าความคิดของเราที่จะเข้าใจในทางโลกวิญญาณ คือสิ่งที่เราได้เชื่อแล้ว รับรู้ จดจ่อ จดจำ จนขึ้นใจแล้วว่าเกิดอะไรขึ้นในโลกวิญญาณ เมื่อเรามาเชื่อพระเจ้าเรียบร้อยแล้ว ถึงแม้ว่าจะเป็นเรื่องที่เกินกว่าความคิด เหตุผล และความเข้าใจของมนุษย์ และตัวเราก็ตาม เช่นบอกว่าเราได้รับความรอดนิรันดร์แล้ว  เราได้ถูกย้ายออกจากอาณาจักรของความมืด มาสู่อาณาจักรของความสว่างแล้ว เราเป็นลูกของพระเจ้าแล้ว เราได้นั่งอยู่ในสวรรค์กับพระเยซูที่เบื้องขวาของพระเจ้า  เรียบร้อยไปแล้ว แค่เราเชื่อในข่าวดีของพระเยซูคริสต์ด้วยใจ ยอมรับด้วยปากว่าเราเองเป็นคนบาป ต้องการความช่วยเหลือ ยอมรับว่าพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด เป็นผู้ที่พระเจ้าทรงประทานให้กับมนุษยชาติ เป็นพระมาซีฮาห์ของภาษาฮีบรู เป็นพระคริสต์ของภาษากรีก เป็นพระผู้ช่วยให้รอดของภาษาไทย ที่พระเจ้าทรงประทานให้กับมนุษยชาติ เพื่อมารับโทษบาปแทนมนุษยชาติ ตายที่ไม้กางเขน และฝังไว้ และถูกชุบให้เป็นขึ้นจากความตายในวันที่ 3 เพียงแค่เชื่อข่าวดี ความจริงตรงนี้เท่านั้นเอง ก็ได้รับทั้งหมดนั้นแล้ว มันเกินความคิด เกินเหตุผลของมนุษย์ที่จะเข้าใจใช่ไหม?

ตรงนี้ ถ้าถามกันจริงๆ ให้ตอบกันตรงๆ ว่ามาเชื่อพระเจ้าแล้ว เป็นลูกพระเจ้าแล้ว อยู่ในสวรรค์แล้ว แค่เชื่อแค่นี้ เข้าใจไหม? ไม่เข้าใจ  คริสเตียนไม่ใช่ดำเนินชีวิตด้วยความเข้าใจ ถ้าใครถามในที่ประชุมว่าเข้าใจไหม? ทุกคนบอกเข้าใจ แสดงว่าคนนั้นไม่เข้าใจ ถ้าเขาตอบว่าไม่เข้าใจ อย่างนี้ตอบถูก ตอบใช่ คริสเตียนต้องตอบว่าไม่เข้าใจ แต่เชื่อ คริสเตียนต้องดำเนินชีวิตด้วยความเชื่อ

เหตุฉะนั้น ผู้ชอบธรรมของพระเจ้า ก็คือลูกของพระเจ้าจะดำรงชีวิตด้วยความเชื่อ ไม่ใช่ตามองเห็น ก็คือไม่ใช่ความเข้าใจแบบมนุษย์ เพราะมันเป็นเรื่องที่จับต้องมองไม่เห็น มองเห็นไม่ได้ ในเรื่องโลกวิญญาณล้วนๆ มันจึงต้องใช้ความเชื่อ และต้องเป็นความเชื่อชนิดที่เกินกว่าความคิดของมนุษย์ที่จะเข้าใจได้ ต้องเกินไปเลย

“ไม่รู้ พระคัมภีร์บอกไว้อย่างนี้ ฉันก็เชื่ออย่างนี้ พระคัมภีร์บอกว่าฉันถูกย้ายมาจากนรก อาณาจักรของความมืดของมารซาตาน มาเป็นลูกของพระเจ้า อยู่ในอาณาจักรแห่งแสงสว่าง อาณาจักรของพระบุตร คือพระเยซูคริสต์ อาณาจักรที่เรียกว่าสวรรค์เรียบร้อยไปแล้ว ฉันอยู่ที่นี่แล้ว”

อยู่ที่นี่ได้อย่างไร? ยังอยู่ในประเทศไทย ไม่รู้ล่ะ ในพระคัมภีร์บอกในโลกวิญญาณฉันอยู่ตรงนี้แล้ว ฉันก็อยู่ตรงนี้แหละ ยังนั่งอยู่ที่โฮลี่ ออฟ โฮลี่ส์ กรุงเทพกรีฑา ไม่รู้ พระคัมภีร์บอกฉันนั่งอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้า ในสวรรค์สถานร่วมกับพระเยซูคริสต์ไปเรียบร้อยแล้ว ฉันเชื่ออย่างนั้น  เอเมน

แต่ถ้าเราเชื่อแล้ว รับรู้แล้ว เชื่อวางใจด้วยสิ้นสุดใจ สุดความคิดแล้ว เราก็จะเกิดความมั่นใจ ไม่ไขว้เขว ไม่สับสน ใครมาพูดอะไรต่างๆ มันก็แค่ผ่านหู เผลอๆ ไม่ผ่าน ไม่สนใจด้วย เพราะเรามีความมั่นใจ จะไม่มีแม้แต่เสี้ยววินาทีหนึ่งที่เราจะสงสัยว่า …

“ฉันรอดหรือยัง? เอ๊ะ! ฉันอยู่ในสวรรค์ไหม? เพราะว่าฉันอยู่แล้ว”

ตายแล้วเราไปสวรรค์ไหม? อะไรไปสวรรค์

“ฉันอยู่ในสวรรค์แล้วตอนนี้”

มารไปเลย มารอาจจะส่งคำพูดมา … “ใครบอกแกตายแล้วไปสวรรค์”

“ตอนนี้ฉันอยู่ในสวรรค์แล้ว ยังไม่ตายหรอก ยังไม่ออกจากร่าง ฉันก็อยู่ในสวรรค์แล้ว จะมาถามว่าฉันจะไปสวรรค์ไหม?”

“อย่างนี้หรือจะเป็นลูกพระเจ้า”

“ฉันเป็นลูกพระเจ้าแล้ว”

แต่ว่าในชีวิตจริง มันไม่ได้เป็นง่ายๆ อย่างที่พูดตรงนี้ ถึงต้องมาคุยกันไง คือหลังจากที่เรารับเชื่อพระเจ้าแล้ว ได้บังเกิดใหม่แล้ว เป็นลูกของพระเจ้าแล้วในโลกวิญญาณ และเราก็ได้รับรู้แล้วว่าในพระคัมภีร์บอกว่าเราเป็นใคร? อยู่ที่ไหน? เป็นอย่างไรในโลกวิญญาณ หลังรับเชื่อแล้วนะ เราก็จะตกเป็นเป้าหมายของศัตรู คือมาร มันจะจ้องมาขโมย ฆ่าและทำลาย

อันดับแรกที่มารจะส่งมาล่อลวงเรา คือขโมยความมั่นใจในความรอดจากบาป รอดจากการเป็นทาสของมัน มันจะบอกว่า …

“แกยังเป็นทาสฉันอยู่เหมือนเดิม แกไม่ได้รับความรอดหรอก แกเพ้อไปแล้วมั้ง”

มารมันจะมาทำอย่างนี้ นี่สำคัญ

ในขณะที่เราก็รอดไปแล้ว เราอยู่ในสวรรค์แล้ว เป็นลูกพระเจ้าแล้ว ไม่มีการเปลี่ยนแปลงเป็นอย่างอื่นแล้ว  ถามว่ามันทำเพื่ออะไร? ทำเพื่อปิดบังตาเรา ในเมื่อเราก็ไปสวรรค์แล้ว ก็ไปสิ แต่แกจะไม่ได้เป็นพยานให้กับคนอื่นๆ ว่าไปสวรรค์มันง่าย แค่เชื่อเท่านั้น แกจะให้พระเจ้าใช้ชีวิตแกได้น้อยลง มันต้องการดิสเครดิต คือให้ข่าวประเสริฐของพระเจ้า ถ้าลบไปได้ 100% ลบเลย คือไม่ให้เราเชื่อเลย ถ้าลบไม่ได้ เราเชื่อไปแล้ว ก็ให้ได้พระพรไปแค่ 80 ก็ยังดี รอดอย่างเดียว แต่เหมือนรอดด้วยไฟเลย ดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ไม่ได้ถวายเกียรติ ไม่ได้เป็นพยาน ไม่ได้อะไรเลยสักอย่าง ท่านพอเข้าใจใช่ไหม?

การล่อลวงที่มารถนัดที่สุด อย่างที่ตะกี้ผมยกตัวอย่าง ยิงคำถามมาที่ความคิดว่า …

“แกมีความประพฤติอย่างนี้ แกยังโกรธ หงุดหงิดอยู่อย่างนี้เลย จะไปสวรรค์ได้อย่างไร? บ้าหรือเปล่า? คนเขาทำดีแทบตาย เขายังไม่ได้บอกว่าไปสวรรค์ แล้วแกบอกอยู่ในสวรรค์ แกยังทำตัวอย่างนี้เลย เป็นคนเห็นแก่ตัว เป็นคนโลภ ไม่มีความรัก ไม่มีการเมตตาคนอื่นเลย แกยังเป็นอย่างนี้อยู่เลย” .. เราชักเขว  ..

“ถวายทรัพย์ก็ไม่ถวาย ไปโบสถ์ก็ไม่ค่อยได้ไป อธิษฐานก็น้อย อธิษฐานไม่เป็นด้วย ไม่เห็นเพราะเหมือนคนอื่นเขา ไม่เคยประกาศให้ใคร อันโน้นก็ยังไม่ได้ทำ อันนี้ก็ยังไม่ได้ทำ แล้วแกจะมาบอกว่าอยู่ในสวรรค์แล้วเดี๋ยวนี้ 555 มันเป็นไปได้อย่างไร?”

เพราะมันต้องการปิดบังไง ต้องการให้เราเกิดความไม่มั่นใจ พอเราไม่มั่นใจ เราก็จะไม่แน่ใจว่าเราจะอยู่ในสวรรค์หรือเปล่า? พอเราไม่แน่ใจว่าอยู่ในสวรรค์หรือเปล่า? เราก็ไม่พูดออกจากปากของเรา ไม่มีชีวิตอยู่ให้เป็นพยานให้กับคนรอบข้าง ได้รู้ว่าสวรรค์มีจริง พระเจ้าต้องการให้มนุษย์เข้าไปอยู่ในสวรรค์ มันง่ายแค่นี้ แค่เปิดปาก เชื่อในข่าวดีของพระเยซูคริสต์เท่านั้น มันต้องการปิดบังตา ไม่ให้ข่าวดีของพระเยซูไปหาคนอื่นผ่านชีวิตของเรานั่นแหละ ซึ่งคำถามของพวกมัน พวกนี้ ท่านฟัง แล้วท่านเห็นไหม? มันเป็นตรงกันข้าม ขัดแย้งกับถ้อยคำพระเจ้าที่เราได้รับรู้มาเรียบร้อยแล้ว ที่เราจดจ่อ จดจำ จนขึ้นใจมาเรียบร้อยแล้ว ที่บอกว่าเราได้อยู่ในสวรรค์กับพระเจ้าแล้ว เป็นลูกของพระเจ้าแล้ว ไม่มีวันเปลี่ยนแปลง ไม่มีใครเอาเราออกไปจากความรักของพระเจ้าได้อีกแล้ว มันมาแย้งกันอย่างนี้ เห็นหรือยัง? ในโรม 8:38-39 ได้บันทึกไว้อย่างนี้ …

โรม 8:38-39 “38 เพราะข้าพเจ้าเชื่อมั่นว่าไม่ว่าความตายหรือชีวิต ไม่ว่าทูตสวรรค์หรือวิญญาณชั่ว  ไม่ว่าปัจจุบันหรืออนาคต  หรือฤทธิ์อำนาจใดๆ  39 ไม่ว่าเบื้องสูงหรือเบื้องลึก หรือสิ่งอื่นใด ในสรรพสิ่งที่พระเจ้าทรงสร้าง ล้วนไม่สามารถพรากเราไปจากความรักของพระเจ้า ซึ่งมีอยู่ในพระเยซูคริสต์ องค์พระผู้เป็นเจ้าของเราได้”

 

“ไม่สามารถพรากเราไปจากความรักของพระเจ้า” แล้วพระเจ้าตรัสว่าอย่างไรอีก “เราจะไม่ละเจ้าเลย หรือทอดทิ้งเจ้าเลย  เราสถิตอยู่กับเจ้า ไม่ว่าวินาทีไหน? เจ้าหลับ เราก็ไม่หลับ”

พระคัมภีร์ยังบอกว่าพระเจ้าที่อยู่ในเรา เป็นใหญ่กว่ามันทั้งหลายที่อยู่ในโลก ไม่ต้องไปกลัวมัน มันโกหก นอกเหนือจากนั้น พระเยซูยังพูดด้วยตัวของพระองค์เองเลย เกี่ยวกับเรื่องนี้  ผมจะยกมาให้ท่านดูข้อเดียวก็พอแล้ว เด็ดๆ เลย ยอห์น 10:28-30 …

ยอห์น 10:28-30 “28 เราให้ชีวิตนิรันดร์แก่แกะนั้น แกะนั้นจะไม่พินาศเลย ไม่มีผู้ใดชิงแกะนั้น  ไปจากมือของเราได้ 29 พระบิดาของเราผู้ประทานแกะนั้นแก่เรา ทรงยิ่งใหญ่เหนือกว่าสิ่งทั้งปวง ไม่มีผู้ใดแย่งชิงแกะนั้น จากพระหัตถ์พระบิดาของเราได้ 30 เรากับพระบิดาเป็นหนึ่งเดียวกัน”

 

ต้องฮาเลลูยาประมาณ 80,000 ครั้ง ฮาเลลูยาไม่จบสิ้นเลย  อ่านหลายๆ เที่ยว นี่แหละคือความหวังใจในพระเจ้า เกี่ยวกับเรื่องโลกวิญญาณว่าเราเป็นใคร? เมื่อเชื่อแล้ว ได้รับอย่างนี้เลย พระเจ้าบอกพระเยซูคริสต์พูด ใช่ แล้วที่มารพูด ไม่ใช่ มันโกหก มันคนละเรื่องเลย เห็นไหม? มันกลัวว่าเรื่องง่ายๆ อย่างนี้ จะไปถึงมนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้ พระคัมภีร์บอกว่ามันคอยปิดบังตาคนที่ไม่เชื่อ เพื่อว่าเขาจะได้ไม่มาเชื่อ แล้วจะไม่ได้รับความรอด ไม่สามารถไปสวรรค์ได้  เขาจะไปได้อย่างไร? เขาจะเชื่อได้อย่างไรในเมื่อไม่มีใครมาเป็นพยานบอกเขาว่ามันง่ายอย่างนี้ คนไม่มาเป็นพยาน เชื่อแล้ว รอดแล้ว แต่ถูกมารหลอก จนกระทั่งชีวิตไม่แน่ใจ ไม่กล้าพูดเรื่องสวรรค์ว่าเราอยู่ที่สวรรค์ ไม่มีความจริงอยู่ในตัวเลย นี่คือเหตุผล

เพราะฉะนั้น เมื่อเราเชื่อพระเจ้า วางใจในพระเจ้าแล้ว มันง่ายนิดเดียว ที่เราจะรู้ว่าเรา ที่ดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ก็เปรียบเหมือนลูกของพระเจ้า ที่แต่งตัวขาวบริสุทธิ์สะอาด เดินอยู่ท่ามกลางโคลน ออกไปนอกบ้าน เจอฝุ่น ฝนตก โคลนเยอะ มันก็ต้องสกปรกบ้าง แต่มันไม่ได้เกี่ยวอะไรกันกับตัวตนแท้ๆ จริงของเรา  ซึ่งเป็นลูกของพระเจ้าเลย ก่อนเข้าบ้าน หรือเข้าบ้านไปแล้ว ก็ไปอาบน้ำ ก็จบแล้ว เราก็เป็นลูกอยู่ ความสกปรกก็ออกไปแล้ว

เพราะฉะนั้น เมื่อเป็นลูกของพระเจ้า เพียงแค่รอวันที่เราจะได้ไปอยู่ในโลกใหม่ที่พระเจ้าจัดเตรียมไว้ให้ ที่ซึ่งไม่มีบาปอีกต่อไป คือไม่มีโคลนสกปรกอีกต่อไป และเมื่อไม่มีบาป ไม่มีโคลนสกปรกอีกต่อไป ก็ไม่มีการล่อลวงให้ทำบาปอีกต่อไป ก็ไม่สกปรกอีกต่อไป ก็สะอาดบริสุทธิ์นิรันดร์ อยู่กับพระเจ้านิรันดร์ ไม่ถูกล่อลวงแล้ว แสดงว่าอยู่บนโลกใบนี้ เราสะอาดหมดจด บริสุทธิ์ภายในแล้ว แต่ยังถูกล่อลวง สกปรกภายนอกนิดๆ หน่อยๆ

เพราะฉะนั้น ผลของการจดจ่อ จดจำ จนขึ้นใจถึงเรื่องเกี่ยวกับความจริงในเบื้องบน อย่างนี้ เกี่ยวกับโลกวิญญาณอย่างนี้ว่าเรานั่งอยู่กับพระเยซูคริสต์ในสวรรค์สถานแล้ว อยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้า ถ้าเราเรียนรู้ พูด จดจำ จดจ่อ จนขึ้นใจเรื่องราวของสวรรค์ด้วยการตาดู หูฟัง ปากพูดบ่อยๆ เกี่ยวกับเรื่องสวรรค์นี้อย่างสม่ำเสมอ เป็นกิจวัตร เป็นวิสัย ทำให้เกิดเป็นความไว้วางใจในพระเจ้าด้วยสิ้นสุดใจ ที่เกินกว่าความคิดของมนุษย์ที่จะเข้าใจ ที่พระคัมภีร์เรียกตรงนี้ว่า Now Faith ในฮีบรู 11:1 ทำไมต้องใช้ภาษาอังกฤษ เดี๋ยวรู้ ลองอ่านภาษาไทยก่อนแล้วกัน ฮีบรู 11:1-2 บันทึกไว้อย่างนี้ …

ฮีบรู 11:1-2 “1 ความเชื่อ คือความแน่ใจในสิ่งที่เราหวังไว้ และมั่นใจในสิ่งที่เรามองไม่เห็น  2 เพราะความเชื่อนี้เอง ที่คนในสมัยก่อน ได้รับการทรงชมเชย

Now faith is the assurance (title deed, confirmation) of things hoped for (divinely guaranteed), and the evidence of things not seen [the conviction of their reality—faith comprehends as fact what cannot be experienced by the physical senses]. For by this faith the men of old gained [divine] approval.”

 

ภาษาเดิม ความเชื่อตรงนี้ ไม่ได้หยุดอยู่แค่นี้ มันยังมีบ่งบอกว่าความเชื่อชนิดใด ความเชื่อที่เป็นปัจจุบัน เป็น Now มันหายไปตรงนี้ Now Faith แปลว่าความเชื่อที่เป็นปัจจุบัน เอาอย่างนี้ไปก่อนนะ ความเชื่อที่เป็นปัจจุบัน คือความแน่ใจในสิ่งที่เราหวังไว้ คือวัตถุสิ่งของสสารที่จับต้องมองเห็นได้ ในสิ่งที่เราหวังไว้ ถ้าเราหวังอะไร? มันเป็นอนาคต ถูกไหมครับ? แต่ถ้าเรามี Now Faith มีความเชื่อชนิดที่เป็นเดี๋ยวนี้ เป็นปัจจุบัน พอมีความเชื่อชนิดนี้เข้ามา สิ่งที่เราหวังไว้มันจับต้องมองเห็นได้เดี๋ยวนี้เลย จบเลย ถ้าเราหวังว่าเราอยู่ในสวรรค์ มันเป็นอนาคตใช่ไหมครับ? แต่ว่าความหวังนั้นมันกลายเป็นเราจดจ่อ จดจำ จนขึ้นใจ จนกระทั่งกลายเป็นความเชื่อชนิดที่เป็นปัจจุบันทันทีปุ๊บ ความเชื่อที่เป็นปัจจุบันทันทีนั้น ในใจของเรา มันจะทำให้สวรรค์นั้นจับต้องมองเห็นได้เลยเดี๋ยวนี้ ทันทีเลย ปฏิบัติตัวเหมือนอยู่ในสวรรค์แป๊ะเลย อย่างนั้นแหละ เขาเรียกว่า Now Faith และเป็นร่องรอย หลักฐานของสิ่งที่เรามองไม่เห็น และในนี้บอกว่า “และมั่นใจในสิ่งที่เรามองไม่เห็น” ความมั่นใจตรงนี้ ในภาษาเดิมบอกว่าและเป็นร่องรอยหลักฐาน ก็คือเป็นสิ่งที่เป็นหลักฐาน จับต้อง เห็นได้เลย ก็เหมือนกับเป็นหลักฐาน เป็นโฉนดที่ดิน เรามีที่ดินอยู่ เราไม่ได้ไปเห็นที่ดินหรอก แต่เรามีโฉนดวางอยู่ในมือเรา เรามองดูโฉนดนั้น นี่ชัดเจน เป็นของเราแน่นอนว่าเรามีที่ดินอยู่อะไรประมาณนั้น

เพราะฉะนั้น คำว่า “ความเชื่อ” ในข้อนี้ ภาษาอังกฤษใช้คำว่า “Now Faith” ไม่ใช่ Faith เฉยๆ ไม่ใช่ความเชื่อเฉยๆ แต่เป็นความเชื่อที่เป็น Now  แปลว่าเป็นเดี๋ยวนี้ ปัจจุบันนี้ ความเชื่อที่ทำให้เกิดเห็นเป็นเรื่องโลกวิญญาณ เป็นเดี๋ยวนี้ทันทีเลย ตามพระคัมภีร์บอกว่า “แล้ว” … “เสร็จแล้ว” ก็เห็นเลยเดี๋ยวนี้

ความเชื่อโดยทั่วๆ ไป ที่เราพูดกันเสมอๆ บ่อยๆ เราจะบอกความเชื่อเฉยๆ ก็คือความเชื่อที่มีความหวังใจในสิ่งที่มองไม่เห็น แต่เกิดขึ้นในอนาคต แต่ถ้าเผื่อมีความเชื่อชนิดที่ปัจจุบันเกิดขึ้นทันทีปุ๊บ สิ่งที่จะเป็นอนาคต มันกลายเป็นปัจจุบัน เกิดขึ้นทันที นี่เขาเรียกว่าความเชื่อชนิดที่เป็นปัจจุบัน ทันทีเลย

อย่างเช่นตะกี้ที่เราบอกว่าเราหวังว่าเราจะไปสวรรค์ เรามีความเชื่อ หวังใจว่าเราอยู่ในสวรรค์แล้ว แต่ในความเชื่อจริงๆ นี้ เรายังคิดดูว่าวันหนึ่งเราจะไปอยู่ในสวรรค์ แต่เราไม่เข้าใจว่าในพระคัมภีร์บอกว่าเราอยู่ในสวรรค์แล้ว เป็นอย่างไร? แต่พอความเชื่อเราพัฒนาไปจนกระทั่งถึง Now Faith ความเชื่อที่เป็นปัจจุบัน ความเชื่อที่บอกว่ารอไปจนกระทั่งถึงวันหนึ่งที่เราจากร่างนี้ไป เราจะไปอยู่ในสวรรค์นั้น หรือความเชื่อที่เราไม่เข้าใจว่าขณะนี้ เราอยู่ในสวรรค์แล้ว เราเป็นอย่างไร? พอเรามีความเชื่อชนิดที่เป็นปัจจุบันทันทีปุ๊บ มันเป็นเดี๋ยวนี้เลย มันพูดออกจากปากทันทีเลยว่าเราอยู่ในสวรรค์ ไม่ใช่ความหวังว่าจะอยู่ในสวรรค์ แต่เป็นความเชื่อว่าอยู่ในสวรรค์แล้ว มันเป็นอย่างนี้ มันอาจจะยากหน่อยนะครับ แต่ค่อยๆ เรียนรู้ไป ค่อยๆ ตาดู หูฟัง ปากพูด เรื่องเกี่ยวกับพระเจ้า ใจจดจ่อ จดจำ จนขึ้นใจเรื่องเกี่ยวกับอย่างนี้  เรื่องเกี่ยวกับโลกวิญญาณไปเรื่อยๆ มันถึงจะเกิดเป็นความเชื่อชนิดที่เป็นปัจจุบัน เป็น Now เป็นเดี๋ยวนี้เลย สิ่งที่เรามองไม่เห็น คือสิ่งที่พระเจ้าบอกไว้ สิ่งที่พระองค์ทรงสัญญา ถูกไหม? ตามองไม่เห็น หูไม่ได้ยิน เกินกว่ามนุษย์จะเข้าใจ ถ้าเป็นความเชื่อในแบบ Now Faith ปุ๊บ สิ่งที่มองไม่เห็นนั้น กลายเป็นจับต้องมองเห็นได้ ชัดเลย  ใช่แล้ว อะไรประมาณนั้น

ยกตัวอย่างอีกอันหนึ่งให้เห็น เหมือนกับว่าเราได้ของขวัญมาชิ้นหนึ่ง สมมติว่าของขวัญนี้เป็นสวรรค์ก็ได้ ถ้าเราบอกความเชื่อเฉยๆ ห่อของขวัญที่เรียกว่าสวรรค์นี้ มันยังส่งไปรษณีย์ยังไม่ถึงเลย แต่พอมีความเชื่อปัจจุบันนี้ ห่อของขวัญนี้ มันอยู่ในห้องเราแล้ว เอามือไปจับได้เลย เพียงแต่ยังใช้ไม่ได้ เพราะว่ามันยังมีกระดาษของขวัญห่ออยู่ ยังไม่ได้เปิดออก แต่ของมันอยู่ข้างหน้าแล้ว มองเห็นเลย เหมือนเราจะไปขึ้นบ้านใหม่ พระเจ้าให้บ้านเราแล้ว ยืนอยู่หน้าบ้านแล้ว จับต้องมองเห็นได้หมดเลย แต่ยังไม่ตัดริบบิ้น ยังไม่เปิดให้เข้าไป Now Faith มันแปลว่าอย่างนี้ ต้องถาม เข้าใจหรือเปล่าครับ? ถ้าใครบอกเข้าใจ ผิด ต้องไม่เข้าใจ เพราะมันเกินกว่าความคิดของมนุษย์ที่จะเข้าใจ เรื่องเกี่ยวกับโลกวิญญาณ เพราะพระเจ้าเตรียมสิ่งที่มนุษย์ไม่เข้าใจ ไม่มีเหตุผล เพราะฉะนั้น ต้องไม่เข้าใจ แต่เชื่อ เพราะว่าพูดจากพระคัมภีร์ เชื่อครับ

หลักปรัชญาตามความคิดและความเข้าใจของมนุษย์มักสอนเรื่องเกี่ยวกับการประพฤติ ปฏิบัติตนให้ดีเสียก่อน แล้วจึงจะได้รับผลตอบแทนมากน้อยตามความสามารถของแต่ละคน ทำดี ครบถ้วน ก็ได้ไปสวรรค์ ทำชั่วมาก ก็ไปนรก นี่คือปรัชญาตามความคิดของมนุษย์ทั่วๆ ไป แต่ข่าวดีของพระเยซู เป็นทางกลับกัน ตรงกันข้าม คือได้รับผล คือความรอด ได้ไปสวรรค์เท่าๆ กันทุกคนก่อน แล้วจึงค่อยเรียนรู้ รับรู้จากภายใน และมีกำลัง มีพลัง แรงจูงใจจากภายใน ที่จะสามารถกระทำดีได้ มากบ้าง น้อยบ้าง แล้วแต่พระเจ้าทำงานในใจของแต่ละคน ที่พระองค์ทรงเตรียมเอาไว้ นี่มันตรงกันข้าม

ฟังให้ดีๆ การพยายามทำดี เพื่อจะได้ไปอยู่ในสวรรค์ แตกต่างกับได้อยู่ในสวรรค์กับพระเจ้าแล้ว พระวิญญาณให้กำลังกับเราในการทำดี ตามน้ำพระทัยได้มากขึ้น มากกว่าที่พยายามทำเองเสียอีก เอเมน เอเฟซัส 2:4-6 จึงได้บันทึกอย่างนี้ว่า …

เอเฟซัส 2:4-6 “4 แต่เนื่องด้วยความรักใหญ่หลวงที่ทรงมีต่อเรา พระเจ้าผู้เปี่ยมด้วยพระเมตตาอันอุดม 5 จึงทรงให้เรามีชีวิตอยู่กับพระคริสต์ แม้เมื่อเราได้ตายแล้วในบาป คือท่านทั้งหลาย ได้รับความรอดโดยพระคุณ 6 และพระองค์ทรงให้เราเป็นขึ้นมากับพระคริสต์  และในพระเยซูคริสต์ พระเจ้าทรงให้เรานั่งในสวรรค์สถานกับพระคริสต์”

 

“และในพระเยซูคริสต์ พระเจ้าทรงให้เรานั่งในสวรรค์สถานกับพระคริสต์” พระเจ้าได้จับเราไปนั่งอยู่ในสวรรค์สถานกับพระเยซูคริสต์ เดี๋ยวนี้ ตั้งแต่เรารับเชื่อจนเดี๋ยวนี้ ก็ยังนั่งอยู่เลย  จงมองให้เห็นเถิดในโลกวิญญาณ  ตรงนี้ จงใช้ความเชื่อชนิดที่เป็นปัจจุบัน Now Faith ให้เห็นเถิดว่าท่านกำลังนั่งอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้า ในสวรรค์สถาน ลองคิดดู ถ้าเรื่องนี้ท่านสามารถปฏิบัติได้ การดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ท่านจะลอยลำเลย มันก็ต้องฝึก ค่อยๆ ทีละนิดทีละหน่อย

เมื่อตะกี้ที่เราอ่าน ก็คือเราได้บังเกิดใหม่ โดยพระคุณ บังเกิดใหม่พร้อมกับพระเยซูคริสต์ พระเจ้าได้ชุบให้พระเยซูเป็นขึ้นจากความตาย แล้วเราก็เกิดพร้อมกับพระเยซู ไม่ใช่โดยการกระทำของเราเลย ไม่ใช่ เพราะเราทำดี แต่เป็นพระคุณ ให้ฟรีๆ และบอกถึงตำแหน่งของเราในโลกวิญญาณ ในสวรรค์สถานด้วย ที่เราอยู่กับพระเยซูคริสต์แล้ว บอกด้วยว่าเราเป็นลูกของพระเจ้า ที่บริสุทธิ์สะอาด ปราศจากบาป ปราศจากสิ่งโสโครกใดๆ มีพระเจ้าสถิตอยู่ภายในเรียบร้อยไปแล้ว เดียวนี้ ขณะนี้ ปัจจุบันเลย เราได้รับพระคุณอย่างนี้ เราจึงสมควร พระคัมภีร์จะบอกอย่างนี้เสมอ พอเล่าถึงว่าเราได้รับอะไร เราเป็นอะไรในโลกวิญญาณ เราเกิดใหม่แล้ว แล้วจบสุดท้าย ค่อยมาบอกว่าเราจึงสมควรกระทำตัวให้ดี ให้สมกับเป็นลูกของพระเจ้า นึกออกใช่ไหม? เป็นลูกพระเจ้าไปแล้ว พระเจ้าบอก …

“เป็นลูกเราแล้วนะ ต่อไปนี้ ทำให้ดีๆ ยังไงก็เป็นลูกเรานั่นแหละ วางใจนะลูกในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ วางใจได้ว่าเจ้าเป็นลูกเราตลอด ไม่ได้ไปไหนแล้ว อยู่เป็นลูกเรานั่นแหละ”

และวางใจทำอย่างไร? ให้พระเยซูคริสต์ โดยพระวิญญาณของพระองค์นำหน้าเรา ด้วยความสบายใจ ไม่ต้องเกร็ง ไม่ต้องกลัว เพราะเป็นลูกเราอยู่แล้ว วางใจ สบายๆ ไม่ต้องตื่นเต้น อย่าไปฟังมารมันโกหกหลอกลวงว่าเดี๋ยวพระเจ้าจะตัดเราออกจากการเป็นลูก พระเจ้าจะเขี่ยเรากระเด็นจากการเป็นลูก พระเจ้าไม่ทำอย่างนั้น ตะกี้เราอ่านแล้วจากพระคัมภีร์ เพราะถึงทำไม่ได้ครบถ้วนบริบูรณ์ ในความประพฤติของเรา ในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ก็ไม่เป็นไร เราได้รับความรอด เป็นลูกของพระเจ้าอยู่แล้ว ได้แล้ว อยู่ในสวรรค์ไปแล้ว

และว่ากันตามจริง มนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้  ไม่ว่าจะเชื่อหรือไม่เชื่อก็ตาม ก็ไม่สามารถทำดีได้ครบถ้วนบริบูรณ์ 100% ตามเกณฑ์ของพระเจ้าได้หรอก พูดกันตามจริง ก็คือไม่มีใครที่สามารถไปอยู่ในสวรรค์กับพระเจ้าได้ด้วยการพึ่งความดีของตนเอง ไม่มีทางหรอก ยังไงก็ไม่ได้ครบ 100

ทั้งหมดนี้ เกินกว่าความคิดของมนุษย์ที่จะเข้าใจทั้งสิ้น เรื่องราวทั้งหมดนี้ และความไว้วางใจนี้ ก็จะทำให้เกิดสันติสุข ความสงบสุข ก็คือเกิดความสุขมากขึ้น ในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ทุกข์น้อยลง เหมือนพระเยซูบอกว่าให้มาหาพระองค์ เพื่อหายเหนื่อยและเป็นสุข ไม่ใช่มาหาพระองค์ แล้วอยู่บนโลกใบนี้ทุกข์มากขึ้นอีก แม้จะได้รับความรอดก็จริง อยู่บนโลกใบนี้ทุกข์กว่าเก่าอีก ทุกข์กว่าคนที่เขาไม่เชื่อพระเจ้าอีก อย่างนี้มันไม่ถวายเกียรติแด่พระเจ้าเลย  ถูกไหม?  เพราะ
ฉะนั้น ความเชื่อและไว้วางใจ แบบที่เกินกว่าความคิดของมนุษย์ที่จะเข้าใจ เป็นแบบ Now Faith เป็นความเชื่อชนิดที่เป็นปัจจุบันอย่างนี้ มันทำให้เกิดสันติสุข ความสงบสุข และเกิดความวางใจ แล้วมันจะเกิดความอดทน รอคอยสิ่งที่เราต้องการก็มี อดทนต่อผู้อื่นที่เขาทำไม่ดีกับเรา ทำให้เราหงุดหงิดใจอะไรต่างๆ อดทน ให้อภัยเขาได้ มันอดทนได้มากขึ้น ถ้าเราวางใจได้อย่างนี้ ก็ทำได้มากขึ้น สามารถมีความอดทน  รอคอย ตามเวลาที่พระเจ้าทรงสัญญาไว้ให้ได้ คือถ้าพระเจ้าบอกแป๊บเดียว ก็มีความรู้สึกมันแป๊บเดียวเอง เพราะเราอยู่ในสวรรค์แล้ว เราก็ไม่ได้สนใจมากมายว่ามันจะเมื่อไรน๊า นี่กี่ปีแล้วน๊า ไม่กี่ปี …

“ฉันก็อยู่ในสวรรค์แล้ว ฉันไม่รอหรอก ฉันรอเพียงอย่างเดียว จ้องมันอย่างเดียว คือเมื่อไรฉันจะเปิดห่อของขวัญได้สักที สวรรค์อยู่ตรงนี้แล้ว สิ่งที่ฉันอยากได้ ฉันได้มาแล้ว อยู่ที่บ้านเรียบร้อยแล้ว เห็นทุกวัน เอามือคลำทุกวัน แต่เปิดไม่ได้  วิธีเปิดทำอย่างไร? ทิ้งร่างนี้เมื่อไร ฉันก็จะเห็น”

“แล้วทิ้งได้อย่างไร?”

“ก็แล้วแต่พระเจ้า เพราะวางใจในพระองค์และพระองค์ทรงนำพา จูงมือฉันเดินทุกวัน ถ้าพระเจ้าบอกว่าถึงเวลาเปิดได้ พระเจ้าก็ให้วิญญาณฉันออกจากร่าง ฉันก็ไปเปิดห่อของขวัญได้ เอเมน”

เราจึงอดทนได้ว่าแป๊บเดียว ก็คือแป๊บเดียวจริงๆ ถึงแม้จะมีความทุกข์บนโลกนี้ ก็ไม่นาน ไม่เยอะเท่าที่ควร

“เพราะฉันไม่ได้ไปจดจ่อกับสิ่งของที่เสียหายบนโลกใบนี้ ฉันไม่มองไปในสิ่งที่กำลังเสียหาย กำลังทรุดโทรมไป แต่ฉันมองที่เจริญเติบโตใหม่ขึ้นทุกวัน คือวิญญาณของฉัน ฉันมองไปสิ่งที่มองไม่เห็น สิ่งที่มองเห็น มันอยู่เพียงชั่วคราว  แต่สิ่งที่มองไม่เห็น ที่พระเจ้าเตรียมไว้นั้น มันอยู่ถาวรนิรันดร์ (บอกมาร ต้องเยาะเย้ยมันเลย)”

1 ยอห์น 3:9 ได้บันทึกอย่างนี้ นี่คือความมั่นใจให้ท่านอีกว่าท่านเป็นลูกของพระเจ้า เพื่อว่ามารมันจะได้ไม่มาหลอกท่าน

1 ยอห์น 3:9 “ไม่มีใครที่เกิดจากพระเจ้าแล้ว ยังคงทำบาป (จนเป็นนิสัย) ต่อไป เพราะเมล็ดพันธุ์ของพระเจ้าดำรงอยู่ในเขา เขาไม่อาจทำบาปต่อไป เพราะเขาได้บังเกิดจากพระเจ้า”

 

นี่คือคำตอบที่มารชอบมาหลอกล่อท่านว่า …

“เป็นลูกพระเจ้า ไหนล่ะยังทำบาปอยู่เลย”

ในนี้ยอห์นว่าไม่มีใครที่เกิดจากพระเจ้า คือกบังเกิดใหม่ เชื่อในพระเจ้าแล้ว ยังคงทำบาปจนเป็นนิสัย หมายถึงว่ายังคงอยู่ในบาป ยังคงเป็นทาสมารอยู่ มันไม่สามารถทำได้ เป็นไปไม่ได้  เพราะเมล็ดพันธุ์ของพระเจ้าดำรงอยู่ในเขา  หมายถึงเพราะเมล็ดพันธุ์นี้ เนเจอร์หมายถึงธรรมชาติความบริสุทธิ์สะอาด ความดีงามของพระเจ้าได้เข้าไปอยู่ในวิญญาณของเขา วิญญาณของเขา ก็เปลี่ยนเป็นเหมือนพระเจ้าแล้ว สะอาดหมดจดบริสุทธิ์ เป็นความดีแล้ว เขาไม่อาจทำบาปต่อไปได้ เขาไม่ได้อยู่ในนั้นแล้ว  เพราะว่าเขาได้บังเกิดจากพระเจ้า เห็นไหม? DNA เซลทุกส่วน ทั้งในวิญญาณ เป็นแบบพระเจ้า เขาจะทำบาปได้อย่างไร? ท่านเห็นไหมครับ? ไม่ใช่เลย

อัครทูตยอห์นได้แยกแยะให้เห็นชัดเจนเลยระหว่างซาตานกับพระเจ้า ความบาปกับความชอบธรรม ความมืดกับความสว่าง ความรักกับความเกลียดชัง ลูกพระเจ้ากับลูกมาร ในบริบทนี้ อัครทูตยอห์นต้องการแบ่งให้เห็นชัดๆ ไม่มีตรงกลาง ไม่มีว่าอยู่ในความเทาๆ ไม่มืด ไม่สว่าง ไม่มี ไม่อยู่ข้างใดก็ข้างหนึ่ง ไม่มีอยู่ในความรัก 3 วัน อยู่ในความเกลียด 3 วัน ไม่มี อยู่ในความรัก ก็อยู่ในความรัก เป็นความรักเลย  หรือไม่ก็เป็นผู้ชอบธรรมของพระเจ้ากับเป็นคนบาป ไม่มีตรงกลาง ซึ่งบริบทนี้ ไม่ได้หมายความว่าผู้เชื่อที่เป็นลูกพระเจ้าแล้ว จะมีความประพฤติที่สมบูรณ์แบบ จะไม่ทำบาปอีกต่อไป แต่หมายความว่าผู้เชื่อ มีธรรมชาติของพระเจ้า ในตัวตน ธาตุแท้ คือวิญญาณและความคิดจิตใจใหม่ที่รับจากพระเจ้า ตอนบังเกิดใหม่นั้น เป็นธรรมชาติ นิสัยของเขา ซึ่งเป็นตัวตนจริงๆ ในโลกวิญญาณ ที่สมบูรณ์แบบเหมือนพระเจ้าไปแล้ว  ต้องการจะแยกแยะให้เห็นว่าในวิญญาณบริบูรณ์ สมบูรณ์ครบถ้วนเลย  เป็นเหมือนพระเจ้า ไปเรียบร้อยแล้ว

ฉะนั้น เราเป็นลูกพระเจ้าที่ได้รับการอภัย หรือเรียกว่าการยกโทษบาปสมบูรณ์แล้วนั่นเอง ยอห์นต้องการพูดแค่นี้ เราได้รับการชำระให้บริสุทธิ์สะอาด สมบูรณ์เรียบร้อยแล้ว เราผู้เชื่อในพระเจ้า พระเยซูคริสต์ ได้เป็นผู้ชอบธรรม สมบูรณ์เรียบร้อยแล้ว เราได้อยู่ในสวรรค์กับพระเจ้าอย่างสมบูรณ์แบบ  เรียบร้อยแล้ว  แต่เราไม่สมบูรณ์แบบในความประพฤติของเราบนโลกใบนี้  แค่นั้น  ยากอบ 3:2 บอก เพราะเรากำลังดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ โคลนอาจจะมาเลอะเราได้ เราเผลอนิดหนึ่ง เราไปเหยียบโคลน มันเลอะเรา พระเจ้าบอกอย่าเดินเข้าไป เราเดินเข้าไป มันก็เลอะ ไม่สำคัญ ไม่ใช่ตัวตนแท้จริงของเรา ยากอบ 3:2 บอกว่า …

ยากอบ 3:2  “เพราะ​เรา​ทุก​คนทำ​ผิดพลาด​กัน​อยู่​เรื่อย ถ้า​ใคร​ที่​บังคับ​ลิ้น​ไม่​ให้​พูด​ผิดพลาด​ได้  คนๆ​นั้น  ​ก็​เป็น​คนดี​พร้อม  เขา​ก็​จะ​บังคับ​ส่วน​อื่นๆ ​ใน​ตัว​เขาได้​ด้วย”

 

เพราะเราทุกคน (ผู้ที่เชื่อแล้ว) ก็ทำผิดพลาดกันอยู่เรื่อย ล้มลง สะดุดในการทำสิ่งที่เรียกว่าบาป หรือความสกปรกอยู่เรื่อยๆ  ทั้งปีทั้งชาติ ทั้งการดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ ยกตัวอย่างเช่น การบังคับลิ้น ลิ้นมันบังคับอยากที่สุดเลย บาปที่ง่ายที่สุดของมนุษย์ทุกคนไม่ว่าจะเชื่อพระเจ้าหรือไม่เชื่อ คือการพูด มันเร็วไงครับ การจะไปทำอะไรคนอื่น มันช้า พอคิดปุ๊บ เดี๋ยวปากพูดแล้ว ยกตัวอย่างเช่น จะไปอิจฉาเขาถึงขนาดทำท่าทางหมั่นไส้เขา เขาไม่ดีอย่างนี้ โอกาสมันน้อย แต่อิจฉาเขา พอคิดปุ๊บ ปากพูดเลย

“แหม! ทำตัวเป็น …”

เห็นไหม? เร็วไหม? หรือพอคิดปุ๊บ ปากพูด

“ปัดโธ่เอ่ย ไอ้โง่”

อย่างนี้ ลิ้นมันไปก่อน แล้วไม่ต้องพูดถึงอย่างอื่น บังคับส่วนอื่นๆ ในเรื่องร่างกายอะไรต่างๆ ในเรื่องตา หู จมูก มันบังคับง่ายกว่าตั้งเยอะ บังคับไม่ให้ไปตีหัวเขา มันง่ายใช่ไหม? บังคับไม่ให้ด่าเขาเนี้ย อันไหนยากกว่า บังคับไม่ให้ด่าเขา มันยากกว่าเยอะ บังคับไม่ให้ตีหัวเขา ยังยับยั้งได้ บังคับให้เผลอไปด่าเขา ยิ่งบอกเผลอไปอิจฉาเขา ยิ่งง่ายใหญ่เลย มันมีแต่บาปทั้งหมดแหละ มีแต่สิ่งสกปรก พระเยซูบอก แค่คิด ก็แย่แล้ว แค่คิดในใจว่าเขาโง่ บังคับปากไว้ก็ยังดี อย่างนี้เป็นต้นว่ามันทำแน่สิ่งเหล่านี้ แต่มันไม่ได้เกี่ยวอะไรกันกับวิญญาณ ความคิดจิตใจ และร่างกายที่พระเจ้าบังคับจนบริสุทธิ์สะอาดแล้ว มันเป็นเพียงแค่โคลนมาเลอะเท่านั้น

ผมอยากจะบอกท่าน เหมือนที่เคยบอกอยู่บ่อยๆ ว่าผู้เชื่อแล้ว ในพระเจ้า ผู้เชื่อในพระเยซูคริสต์ เป็นลูกพระเจ้าแล้ว เหมือนกับปลาที่ต้องอยู่ในน้ำ ผมไปเดินตอนเช้า เวลาฝนตกกลางคืนเยอะๆ ปลามันจะออกมาเล่นน้ำเพลินไปหน่อย น้ำมันท่วมขึ้นมาบนถนน มันออกมาตามท่อ ล้นออกมาจากคลอง โลกใหม่ ไม่เคยเห็น ออกมาเล่นน้ำบนสนามหญ้าอะไรต่างๆ ปรากฏว่าสายๆ ตอนเราออกไปเดิน น้ำลด มันหาน้ำไม่เจอ มันก็ดิ้น เพื่อจะหาทางลงน้ำ ผมก็ต้องค่อยๆ ไปช้อนมันลงน้ำเหมือนเดิม ให้มันอยู่ต่อ เพราะมันกำลังดิ้นไปหาน้ำ ฉันใดก็ฉันนั้น ผู้ที่เชื่อใหม่ในพระเจ้า ก็เป็นอย่างนั้น เมื่อเป็นลูกของพระเจ้า เมื่อท่านอยู่บนโลกใบนี้ ถ้าท่านหลงไป ระเริงไปบนโลกใบนี้ ไปทำอะไรที่ไม่ถูกต้อง ไม่ดีงาม ข้างในของท่าน ตัวจริงๆ ตัวเป็นๆ ของท่าน ความคิดจิตใจและร่างกาย มันอยู่ไม่ได้หรอก  มันทนไม่ไหว มันดิ้นรน มันต้องการไปทำสิ่งที่ถูกต้องดีงาม ตามที่มันควรจะเป็น คือวิญญาณและความคิดจิตใจ ที่บังเกิดใหม่แล้ว  ที่ถูกชำระแล้ว จนสะอาดหมดจด มันเปรียบเหมือนปลาที่ดิ้นรนกระเสือกกระสนเข้าไปหาน้ำ ฉันใดก็ฉันนั้น ไม่อย่างนั้นมันจะตายให้ได้ แล้วพระวิญญาณบริสุทธิ์ ที่สถิตอยู่กับเรา  เป็นพี่เลี้ยงเรา  สำหรับผู้เชื่อใหม่ ก็จะค่อยๆ เลี้ยงดูเรา ค่อยๆ พาเรากลับไปลงความบริสุทธิ์ของธรรมชาติของเราในวิญญาณ ในตัวของเราที่บังเกิดใหม่ เป็นลูกของพระเจ้าแล้ว รับรองได้ มันเป็นอย่างนี้แน่นอน

เพราะฉะนั้น ท่านจงวางใจได้ เมื่อท่านเชื่อและวางใจในพระเจ้าว่าพระเยซูคริสต์เป็นใครแล้ว ท่านมั่นใจว่าท่านอยู่ในสวรรค์เรียบร้อยแล้ว 100% อย่าไปให้มารมันหลอกลวงเด็ดขาด เพื่อว่าความมั่นใจของท่านจะได้เป็นคำพยาน ในการดำเนินชีวิตของท่าน ในคำพูดของท่าน เพื่อว่าผู้คนรอบข้างท่านจะได้รู้ว่าสวรรค์มันไปกันง่ายๆ อย่างนี้ สวรรค์มันไปไม่ยากเลย แค่เชื่อในข่าวดีของพระเยซูว่า …

“พระเยซูเป็นพระผู้ช่วยให้รอด เป็นพระผู้ไถ่บาป มาเกิดเป็นมนุษย์ ตายที่ไม้กางเขน หลั่งพระโลหิต และชำระฉันให้สะอาดหมดจด และเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่ 3”

เพียงแค่นี้ ท่านได้รับความรอดเรียบร้อยไปแล้ว มันง่ายนิดเดียว แค่นี้ จงวางใจ ด้วยสุดจิต สุดใจในพระเจ้า  ให้พระองค์ทรงดูแลเหนือทุกสิ่งในชีวิตของท่าน ดำเนินชีวิตไปกับพระองค์ ให้พระองค์ทรงจูงมือท่านเดินไปในแต่ละวันๆ เอเมน ขอพระเจ้าอวยพรครับ

 

*******************

 

 

 

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 21 มิถุนายน 2020 เรื่อง “แนวทางการดำเนินชีวิตของผู้เชื่อ 4 ขั้นตอน” ตอน 3 “จดจ่อความคิดไปที่เบื้องบน 2” โดย นคร เวชสุภาพร

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  21  มิถุนายน  2020

 เรื่อง “แนวทางการดำเนินชีวิตของผู้เชื่อ 4 ขั้นตอน” ตอน 3

“จดจ่อความคิดไปที่เบื้องบน  2”

โดย นคร   เวชสุภาพร

สวัสดีครับพี่น้อง เราจะมาต่อกันถึงเรื่องแนวทางการดำเนินชีวิตว่าเมื่อเชื่อพระเจ้าแล้ว ที่เรียกว่าคริสเตียนแล้ว เป็นผู้เชื่อแล้ว ควรทำตัวอย่างไร? ควรดำเนินชีวิตอย่างไร? ที่ผมได้ตอบคำถามให้พี่น้องที่เชื่อใหม่ไปแล้ว และผลก็คือผู้เชื่อเก่าก็ได้ไปด้วย บางคนบอกเพิ่งรู้เอง ไม่เป็นไรนะครับ ผมสรุปมาให้ 4 ขั้นตอนง่ายๆ คือเมื่อเชื่อแล้ว เป็นคริสเตียนแล้ว  ต่อไป คือรับรู้  วางใจ และอธิษฐาน

                                                                                                 เชื่อแล้ว  …  รับรู้   … วางใจ   …  อธิษฐาน

เชื่อแล้ว ก็คือบังเกิดใหม่แล้ว เป็นลูกพระเจ้าแล้ว เป็นคริสเตียนแล้ว รับรู้ว่าเราเป็นใครในพระคริสต์ ในโลกวิญญาณ จดจ่ออยู่ที่เบื้องบน ในสวรรค์ที่เราได้อยู่กับพระเจ้าเรียบร้อยแล้ว ต่อไป ก็คือวางใจในทุกเรื่อง ทุกอย่าง ไม่กลัว รู้ว่าพระเจ้าสถิตอยู่ด้วยในทุกสิ่ง และต่อไป คืออธิษฐาน วิงวอน และขอบพระคุณ ก็คือพูดคุย ติดต่อกับพระเจ้าอยู่เรื่อยๆ เสมอๆ ตลอดเวลา

และสัปดาห์ที่แล้ว เราก็ได้เน้นเรื่องการรับรู้ว่าตัวตนแท้จริงของเรา ของมนุษย์ทุกคน เมื่อเราเชื่อแล้ว วิญญาณของเราตอนนี้อยู่ในสวรรค์กับพระเจ้าแล้ว และการแสดงออกถึงการรับรู้ความจริงตรงนี้ ก็คือเขาคนนั้น ควรที่จะจดจ่อความคิดไปยังเบื้องบน คือในสวรรค์ที่เขาอยู่นั่นแหละ

วันนี้ก็จะเป็นเรื่องต่อจากสัปดาห์ที่แล้ว ชื่อตอนว่า “จงจดจ่อความคิดของท่านไปที่เบื้องบน ไม่ใช่ฝ่ายโลก” ตอนที่ 2 “จดจ่อ จดจำ จนขึ้นใจ” 3 จอ. จำไว้ให้ดีๆ

มีเศรษฐีคนหนึ่ง มีลูกน้องคนสนิทชื่อจ่อย ซึ่งรับใช้ และรู้ใจกันมานาน เป็นเวลา 10ๆ ปี คอยดูแลรับใช้เศรษฐี ทั้งเรื่องอาหาร เรื่องเสื้อผ้า เรื่องงาน เรื่องจัดระเบียบงาน ตารางงาน จะไปไหนอะไรต่างๆ ก็ต้องจัดระเบียบให้ว่าจะอย่างไร? เรียกว่ารู้ใจกันทุกอย่างทุกเรื่อง แล้วไม่ว่าเศรษฐีจะเดินทางไปที่ไหนไกลหรือใกล้ จ่อยก็จะติดตามไปด้วยทุกที่

ปรากฏว่าวันหนึ่ง เศรษฐีคนนี้เกิดตกบันไดเสียชีวิต จ่อยก็ทำหน้าที่ครั้งสุดท้าย ช่วยจัดการดูแลเรื่องพิธีการ งานศพทุกอย่าง และในระหว่างพิธีงานศพนั้น จ่อยก็เกิดคำถามขึ้นในใจว่าไม่รู้ว่าเจ้านายของตัวเอง ที่เพิ่งเสียชีวิตไปอย่างกระทันหัน ไปอยู่ที่ไหนขณะนี้ หลังจากที่จากโลกไปแล้ว จ่อยเลยลองไปถามบรรดาคนรับใช้คนอื่นๆ ว่า …

“พวกเจ้าคิดว่านายเราตายแล้วไปไหน?”

ท่านลองคิดดูสิ ตายแล้วไปไหน? สมมติว่าท่านเป็นผู้ที่ถูกถามด้วย บรรดาลูกน้องคนอื่นๆ ก็ตอบอย่างนี้ น่าสนใจ พากันตอบเป็นเสียงเดียวกันเลยว่า …

“ก็ต้องไปสวรรค์นะสิ เพราะตอนที่มีชีวิตอยู่นายเราเป็นคนดีจะตาย คอยช่วยเหลือคนอื่น เพราะฉะนั้น ตายแล้ว ก็ต้องไปอยู่สวรรค์สิ”

แต่จ่อยกลับตอบว่าอย่างนี้ น่าสนใจ … “ข้าว่าไม่นะ ไม่น่าจะไปสวรรค์หรอก ข้ามั่นใจว่านายไม่ได้ไปสวรรค์อย่างแน่นอน”

ทุกคนก็รู้สึกประหลาดใจ จ่อยคนสนิททำไมพูดอย่างนั้น ก็ถามกลับไปว่า … “จ่อย เอ็งก็เป็นคนใกล้ชิด สนิทกับนายมากที่สุด ทำไมถึงพูดจาแบบนี้ เอ็งรู้ได้อย่างไรว่านายของเราไม่ได้ไปอยู่ในสวรรค์?”

จ่อยก็ตอบอย่างนี้ว่า … “ก็เพราะว่าข้ารู้ สวรรค์อยู่ไกลมาก และตลอดชีวิตของนาย ทุกครั้งที่จะเดินทาง อย่าว่าแต่จะไปไกลๆ เลย แค่จะไปไหนใกล้ๆ นายต้องเล่าให้ข้าฟังเสมอ ให้ข้าจัดเตรียมอะไรไว้ให้ ต้องคุยให้ข้าฟังก่อนเสมอ ทุกๆ ครั้ง แต่เนี้ย ข้ายังไม่เคยได้ยิน นายพูดถึงเรื่องสวรรค์หรือกำลังเตรียมตัวเดินทางไปสวรรค์เลยแม้แต่ครั้งเดียว ตั้งแต่รู้จักกัน ยังไม่เคยพูดถึงเรื่องนี้เลย”

มันน่าคิดใช่ไหมครับ? คนเราถ้ามีความหวังในเรื่องอะไร? โดยธรรมชาติ ก็จะจดจ่ออยู่กับสิ่งนั้น เรื่องนั้น ก็ต้องพูดถึงบ้าง ไม่พูดได้อย่างไร? สวรรค์เป็นอย่างไร? สวยอย่างไร? ดีอย่างไร? ถูกไหม? แค่ไปอเมริกาแค่นี้ หรือไปต่างประเทศ ไปเที่ยวยุโรป ไปเที่ยวญี่ปุ่น  ไปเที่ยวทัวร์อะไรต่างๆ แค่ 3-4 วัน เตรียมตัวเป็นเดือนเลยว่าไปจะเป็นอย่างโน้น อย่างนี้ อย่างนั้น พูดใหญ่เลย

สำหรับผู้ที่เชื่อแล้วทุกคน ผู้ที่เป็นคริสเตียนแล้ว วางใจในพระเจ้าแล้ว ความหวังในชีวิตนิรันดร์ คือในสวรรค์ พระคัมภีร์จึงบอกให้เราจดจ่อความคิดของเรา ไปที่เบื้องบน คือในสวรรค์ ที่เราอยู่กับพระเจ้าแล้ว พระเจ้าสถิตอยู่กับเราแล้ว เราอยู่ในสวรรค์แล้ว เดี๋ยวนี้ ขณะนี้ ให้เราจดจ่อในสวรรค์เลยว่าสวรรค์เป็นอย่างไร? พูดง่ายๆ คือให้จดจ่อ ให้ตาดู หูฟัง ปากพูดเรื่องเกี่ยวกับสวรรค์ตลอดเวลา วนเวียนแต่เรื่องเกี่ยวกับสวรรค์ๆ เพราะมันคือสัญญาณบอกว่าเราเชื่อจริง เป็นสัญญาณบอกว่าเราได้ไปแน่ๆ 100%

เพราะฉะนั้น อย่าให้มีใครในงานไว้อาลัย หรืองานศพของคริสเตียน แล้วมีคนมาถาม แล้วมีคนมาตอบแบบจ่อย เพื่อนสนิทกันบอก …

“จะไปสวรรค์ได้อย่างไร? ไม่เห็นเคยพูดเรื่องสวรรค์เลย”

คนเราจดจ่อสิ่งใด มันต้องตาดู หูฟัง ปากพูด อย่างน้อยต้องแล๊บออกมาบ้างบางอย่าง เกี่ยวกับสวรรค์แน่นอน

พระเจ้าจึงสอนว่าให้เราดำเนินชีวิตในแต่ละวัน ไม่ว่าจะทำอะไรอยู่ก็ตาม จะต้องจดจ่อ จดจำ จนขึ้นใจว่าเราได้บังเกิดใหม่แล้ว  ในสวรรค์เป็นอย่างไร? ได้ย้ายมาอยู่ในสวรรค์แล้ว เป็นลูกของพระเจ้า ให้รับรู้ว่านี่คือความจริงที่พระเจ้าบอกเราว่าเราเป็นใครแล้วตอนนี้ เราบังเกิดใหม่ เป็นลูกพระเจ้าแล้ว เราเป็นคริสเตียนแล้วเป็นอย่างไร? ให้รับรู้ความจริงเล่านี้ และทำตาม เขาเรียกว่า 3 จอ คือจดจ่อ จดจำ จนขึ้นใจว่าตอนนี้เราอยู่ที่ไหน? เราย้ายมาอยู่ในสวรรค์แล้ว ตอนกำลังดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้อยู่ พระเจ้าได้สัญญาว่าอะไรบ้าง? ก็คือสัญญาว่าอยู่ด้วยกันกับเราตลอดเวลา ไม่ทอดทิ้งเรา  และคอยช่วยเหลือเราทุกอย่าง  การกิน การนอน  การมีชีวิตอยู่ ความเป็นอยู่ทุกอย่างบนโลกใบนี้ กำลังดำเนินชีวิตอยู่ พระเจ้าจะดูแลให้ทุกอย่างเลย ในทุกๆ เรื่อง  พระเจ้าจะปกปักคุ้มครอง ดูแลด้วยความรัก ความเมตตาตลอดเวลา ฤทธิ์อำนาจของพระองค์จะทรงนำพาเรา ผ่านพ้นอุปสรรคปัญหาได้ทุกอย่างแน่นอน แต่ไม่ใช่ตามความคิดของเรา ตามน้ำพระทัยของพระองค์ ซึ่งดีแน่นอน พระองค์บอกทุกสิ่งที่เกิดขึ้นจากนี้ต่อไป มีแต่เอื้ออำนวยเป็นผลดี สำหรับเราเสมอ ผู้ที่เป็น คริสเตียน ที่รักพระองค์แล้ว

ให้เราจดจ่อ จดจำ จนขึ้นใจในโลกวิญญาณว่าตอนนี้เราเป็นใคร? ตอนนี้เราอยู่ในสวรรค์แล้ว เราต้องจดจำไว้ว่าเรารอดจากอาณาจักรนรกแล้ว ตอนนี้เราอยู่ในสวรรค์กับพระบิดาแล้ว ไม่มีใครจะมาทำร้ายเราได้อีกแล้ว หรือจะนำเราออกจากสวรรค์นี้ไม่ได้อีกแล้ว แม้แต่ตัวเราเอง ก็เอาออกไปไม่ได้  เราอยู่ในสวรรค์แล้ว เราได้อยู่ในพระนิเวศน์ของพระเจ้าตลอดไปเลย

พระนิเวศน์ คือสวรรค์ อยู่กับพระเจ้าพระบิดา พระเจ้าพระบุตร พระเยซูคริสต์ พระเจ้า พระวิญญาณบริสุทธิ์เรียบร้อยไปแล้ว อยู่แล้วตอนนี้ ต้องพูดอยู่เสมอ  และได้อยู่ในสวรรค์อย่างนี้ตลอดชั่วนิตย์นิรันดรเลย

และมีอะไรอีก เรากำลังเดินทางไปสู่โลกใหม่ นี่ก็คือความจริงในโลกวิญญาณ ที่พระเจ้าบอกเราเมื่อเรามาเชื่อพระเจ้าแล้ว วางใจในพระเจ้าแล้ว เรากำลังเดินไปสู่โลกใหม่ ที่ดีกว่าโลกปัจจุบันนี้ เรากำลังเดินทางไปรับร่างกายใหม่ ร่างกายที่เป็นขึ้นจากความตาย เหมือนพระเยซูเลย ไม่ต้องมาเป็นโรค เป็นภัย ไม่ต้องอ่อนแอ ไม่ต้องตายอีกต่อไป

พระคัมภีร์บอกเราไว้ว่าหน้าตาของโลกใหม่ ที่เราจะอยู่อนาคต ที่บอกว่าเป็นสวรรค์ สวยสดงดงามจริงๆ แล้ว หน้าตามันเป็นอย่างไร? และร่างกายใหม่ของเราที่เหมือนพระเยซูเป็นอย่างไร? พระคัมภีร์บอกไว้หมด ให้เรารับรู้ความจริงเหล่านี้ตามพระคัมภีร์ แล้วให้เรา จดจ่อ จดจำ จนขึ้นใจ

ยกตัวอย่างที่บอกถึงเรื่องสวรรค์ว่าโลกใหม่ที่เราจะได้ไปอยู่ ตอนนี้เราอยู่ในสวรรค์แล้วในโลกวิญญาณ และพระเจ้าได้สร้างโลกใหม่ให้เราเรียบร้อยแล้ว เป็นโลกที่สวยงาม ดีกว่าเยอะเลย เรามาดูสิว่าโลกใหม่ที่เราจะอยู่กับพระเจ้านิรันดร์นั้น ที่มาแทนโลกนี้ หน้าตามันเป็นอย่างไร? เพื่อเราจะได้จดจ่อ จดจำ จนขึ้นใจว่านี่คือบ้านของฉัน ในอนาคตอันใกล้นี้ วิวรณ์ 21:1-7

วิวรณ์ 21:1-7 “1 และข้าพเจ้าเห็นฟ้าใหม่และโลกใหม่ เพราะฟ้าเดิมและโลกเดิมได้ดับสูญไปแล้ว ทะเลก็ไม่มีอีกแล้ว 2 ข้าพเจ้าเห็นนครบริสุทธิ์ คือเยรูซาเล็มใหม่ ที่พระเจ้าทรงให้เลื่อนลอยลงมาจากสวรรค์ นครนี้ได้รับการตระเตรียมไว้เหมือนเจ้าสาวแต่งกายงดงามรอรับผู้เป็นสามี 3 และข้าพเจ้าได้ยินเสียงดังมาจากพระที่นั่งว่า “บัดนี้ที่ประทับของพระเจ้ามาอยู่กับมนุษย์แล้ว พระองค์จะสถิตกับพวกเขา เขาทั้งหลายจะเป็นประชากรของพระองค์ และพระเจ้าเองจะทรงอยู่กับพวกเขาและเป็นพระเจ้าของพวกเขา 4 พระองค์จะทรงซับน้ำตาทุกๆ หยดของพวกเขา จะไม่มีความตาย หรือการคร่ำครวญ หรือการร่ำไห้ หรือความเจ็บปวดรวดร้าวอีกต่อไป เพราะระบบเก่าได้ผ่านพ้นไปแล้ว” 5 พระองค์ผู้ประทับบนพระที่นั่งนั้นตรัสว่า “เรากำลังสร้างสรรพสิ่งขึ้นใหม่!” และตรัสอีกว่า “จงเขียนสิ่งนี้ลงไป เพราะข้อความเหล่านี้เที่ยงแท้และเชื่อถือได้” 6 พระองค์ตรัสกับข้าพเจ้าว่า “สำเร็จแล้ว เราคืออัลฟาและโอเมกา เป็นปฐมและอวสาน ผู้ใดกระหาย เราจะให้ผู้นั้นดื่มจากธารน้ำพุแห่งชีวิต โดยไม่ต้องเสียอะไรเลย 7 ผู้ที่มีชัยชนะจะได้รับทั้งหมดนี้ เป็นกรรมสิทธิ์ เราจะเป็นพระเจ้าของเขา และเขาจะเป็นบุตรของเรา”

 

จดจ่อ จดจำไว้เลย … “พระองค์จะทรงซับน้ำตาทุกๆ หยดของ … (ใส่ชื่อท่านลงไป) จะไม่มีความตาย หรือการคร่ำครวญ หรือการร่ำไห้ หรือความเจ็บปวดรวดร้าวอีกต่อไป เพราะระบบเก่าของโลกใบนี้มันหมดสิ้นแล้ว ไม่มีใครมาล่อลวงเรา ไม่มีสิ่งเสียหายอีกต่อไปแล้ว”

ต้องจดจำไว้ว่ามันเป็นอย่างนั้น แล้วพระองค์กำลังสร้างสรรพสิ่งขึ้นมาใหม่ สร้างโลกใหม่ให้กับเรา โลกใหม่ อยู่บทที่ 22 ไปอ่านได้  สิ่งเหล่านี้ควรจะเรียนรู้ รับรู้ ตาดู หูฟัง ปากพูดให้มันจดจ่อ จดจำ จนขึ้นใจสิ่งเหล่านี้ เป็นความหวังใจที่แท้จริง และเป็นจริงๆ ที่พระเจ้าบอกเรา ในพระคัมภีร์ของพระองค์

เพราะฉะนั้น จดจ่อ จดจำ จนขึ้นใจอีกด้วยว่าพระเจ้าบอก แต่ในขณะนี้ที่กำลังดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ …

“ลูกเอ๋ย รอแป๊บหนึ่ง”

เพราะฉะนั้น ตรงนี้ ก็ต้องจดจ่อเหมือนกัน รอแป๊บหนึ่ง เราก็จะได้ไปอยู่ในที่ที่พระเจ้าบอกเรา เราจะมีร่างกายใหม่ เป็นร่างกายที่เหมือนพระเยซูคริสต์ ที่ไม่ต้องเจ็บปวด ไม่มีน้ำตา ไม่มีความทุกข์ยาก ไม่มีความตาย ไม่มีความเจ็บไข้ได้ป่วย มีความสุขตลอดเลย  จะไปไหน ก็ไม่ต้องเดิน ลอยไป ขอบคุณพระเจ้า คิดอย่างไร ก็คิดไม่ถึง นี่แหละคือสิ่งที่พระเจ้าบอกว่าสิ่งที่ตามองไม่เห็น หูไม่ได้ยิน และสิ่งที่มนุษย์คาดไม่ถึง คือสิ่งที่พระเจ้าทรงจัดเตรียมไว้กับเขาทั้งหลาย ผู้ที่รักพระองค์ ผู้ที่เชื่อวางใจในพระองค์ ผู้ที่เป็นคริสเตียนนั่นเอง พระเจ้าบอกเรามีชัยชนะ จะได้รับทั้งหมดนี้เป็นกรรมสิทธิ์ ตะกี้นี้บอกใช่ไหม?  เราจะเป็นพระเจ้าของเขา และเขาจะเป็นบุตรของเรา พวกเราทั้งหลายผู้ที่เชื่อในข่าวดีของพระเยซู ก็คือผู้ที่มีชัยชนะร่วมกับพระเยซูไปแล้ว ที่จะได้รับทั้งหมดนี้เป็นกรรมสิทธิ์ของเราทั้งหมดนี้ ยังมีมากกว่านี้อีก ต้องไปอ่านเพิ่มเติม แล้วก็จดจ่อ จดจำ จนขึ้นใจในความจริงเหล่านี้

การดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ให้เราเชื่อฟังพระเจ้า จดจ่อ จดจำจนขึ้นใจ ตาดู หูฟัง ปากพูดเรื่องเกี่ยวกับพระเจ้า เรื่องเกี่ยวกับสวรรค์นี้ตลอดเวลา ให้มันจำได้ ผลมันคือเมื่อท่านได้รู้ความจริงเหล่านี้ ท่านก็จะไม่กังวลอีกต่อไป แม้ว่าจะอยู่บนโลกใบนี้ อาจจะมีปัญหาบ้าง มีอุปสรรค มีความทุกข์ยากลำบาก มีโรคภัยไข้เจ็บ มีความยากจน มีอะไรวิปริตเยอะแยะมากมาย ท่านก็จะไม่วิตกกังวลมากนัก ท่านก็จะไม่ตระหนก ตกใจมากนัก ท่านก็จะสามารถดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้แบบ RIP คือ Rest in peace พักสงบได้แล้ว ขณะที่กำลังดำเนินอยู่บนโลกใบนี้ ก็สามารถพักสงบ และรู้ว่าความจริง ก็คือเราหรือท่านที่เป็นคริสเตียนแล้ว ผู้เชื่อแล้ว เรากำลังอยู่ในเที่ยวบิน สายสวรรค์สู่โลกใหม่ จำไว้เลย ขนาดไปทัวร์ใกล้ๆ ยังจำกันใหญ่เลย นี่ทัวร์ไกลๆ และดีกว่าในชีวิตปัจจุบัน เทียบกันไม่ได้เลย ยังไม่จำอีกเหรอ ต้องจำว่าเรากำลังอยู่ในเที่ยวบินสายสวรรค์สู่โลกใหม่ โดยสายการบิน Jesus the way แปลว่าพระเยซูคริสต์เป็นทางนั้น  ทางที่เราไปสู่สวรรค์ ที่เราสามารถขึ้นเครื่องบินในสายสวรรค์นี้ บินไปสู่โลกใหม่ เรากำลังบินไปที่นั่น เรารู้ แล้วก็จดจ่อความจริงในเรื่องนี้ เป็นประโยชน์ในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ อย่างมากเลยนะครับ

และรับรู้ความจริงเหล่านี้แล้ว ก็รับรู้ความจริงว่าแต่ว่าในระหว่างการดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ พลังของความบาปของมารที่ยังปกครองอยู่เหนือโลกใบนี้ มันยังคงมีอิทธิพลต่อความคิดจิตใจของเราอยู่ นี่ก็ต้องรับรู้ความจริงเหล่านี้ เพื่อว่าจะได้รู้เขารู้เราว่าเรามีศัตรูบนโลกใบนี้อยู่ ศัตรูที่ทำให้เราต้องทุกข์ลำบากบนโลกใบนี้ ทำให้เราหงุดหงิดบนโลกใบนี้ ทำให้เรารู้สึกเสียหายบนโลกใบนี้ มันคือใคร? มันคืออะไร? มันไม่ใช่มนุษย์ มันคือมารนั่นเอง

อิทธิพลของมาร ก็คือความบาป มันคงมีอิทธิพลต่อความคิดจิตใจของเรา มันจะล่อลวงเรา ทำให้เกิดกิเลสตัณหาของเนื้อหนัง หมายถึงธรรมชาติ ความต้องการของผู้ที่ไม่มีพระเจ้าสถิตอยู่ข้างใน ก็คือผู้ที่ยังไม่เชื่อพระเจ้า  ยังไม่ได้เกิดใหม่ จะมีธรรมชาติของความต้องการ กระทำตามมาร เรียกว่ากิเลสตัณหาทางฝ่ายเนื้อหนัง ต้องจดจำตรงนี้ไว้ พอพูดตรงนี้จะได้รู้ว่านี่ไม่ใช่ตัวเรา แต่มันเป็นศัตรู ซึ่งมันจะนำเราทำตามระบบของโลกใบนี้ ซึ่งเป็นความบาป เป็นศัตรูกับพระเจ้า เป็นศัตรูกับเราด้วย  คือมันเป็นอันตรายสำหรับชีวิตเรา ทำให้ชีวิตเราเสียหาย ไม่เป็นสุขเท่าที่ควร และก็ไม่เป็นที่ถวายเกียรติแด่พระเจ้า มันทำได้แค่นั้นนะ มันไม่สามารถทำเราไปลงนรกอีกได้ มันไม่สามารถมาเอาเราออกไปจากพระหัตถ์ของพระเจ้าได้ มันไม่สามารถทำให้เรากลับมาตายอีกครั้งหนึ่งได้ เป็นไปไม่ได้ เราเกิดใหม่เป็นลูกพระเจ้าแล้ว

คือแม้ตัวตนของเราจะสะอาดหมดจดแล้วก็จริง จากความเชื่อในการไถ่บาป การเป็นขึ้นจากความตายของพระเยซูคริสต์ แต่อิทธิพลของบาปภายนอกที่ดำเนินอยู่บนโลกใบนี้ วัตถุสิ่งของในระบบของโลกใบนี้ มันก็ยังอยู่รอบๆ ตัวเรา ในขณะที่เรากำลังดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ มันมีอิทธิพลต่อเราอยู่ ผมอยากจะยกตัวอย่างอันนี้ เอาให้เข้ากับปัจจุบัน มันเป็นเหมือนเชื้อไวรัสฝ่ายวิญญาณ ซึ่งถ้าเราไม่ระวังตัว เราก็อาจจะติดเชื้อไวรัสฝ่ายวิญญาณนี้ได้ วิญญาณที่เป็นตัวตน ที่แท้จริงของเรา แท้ๆ และความคิดจิตใจใหม่ ที่พระเจ้าประทานให้เรียบร้อยแล้ว สะอาดหมดจดแล้ว มันปลอดภัยแน่นอน 100% มันรอดแล้ว จากความบาปต่างๆ มันอยู่ในพระหัตถ์ของพระเจ้า อยู่กับพระเจ้า เป็นหนึ่งเดียวกับพระเจ้าแล้ว เชื้อไวรัสตัวนี้ มันไม่สามารถทำให้เราขาด ออกจากพระเจ้าตรงนี้ไปได้ มันเป็นไปไม่ได้เลย แต่ความจริง ก็คือความคิดจิตใจที่สะอาดหมดจดของเราเรียบร้อยแล้วนั้น ยังมีโอกาสติดเชื้อได้อยู่ ติดเชื้อจากภายนอกร่างกาย และเมื่อใดที่ความคิดจิตใจของเรา ติดเชื้อไวรัสวิญญาณนี้เข้าไป มันก็จะสั่ง เป็นผลให้ร่างกายตอบสนอง ทำตามลักษณะวิสัย สันดานบาปของมัน ของมารที่เป็นเชื้อไวรัสตัวที่ทำให้เรา ทำสิ่งที่ตรงกันข้ามกับพระเจ้า ก็คือรวมความที่พระเยซูบอก  มันมา เพื่อขโมย ฆ่าและทำลาย รวมๆ กันอยู่ในนี้

เราที่เชื่อในพระเจ้า ข้างในของความคิดจิตใจ สะอาดหมดจด ด้วยพระโลหิตพระเยซูคริสต์ และด้วยการบังเกิดใหม่ของพระเยซู ทั้งวิญญาณของเรา และความคิดจิตใจของเราใหม่เอี่ยมถอดด้ามเลย แต่ถ้าอยู่บนโลกใบนี้ ยอมฟังกระแสของความบาป ก็คือยอมฟังมาร และติดเชื้อไวรัสบาปตัว ความคิดนี้ มันก็สั่งสมอง สั่งอวัยวะในร่างกายของเรายอมทำตามมัน ยกตัวอย่างเช่น มันบงการให้เราเกิดความโกรธ มันบงการให้เราทำร้ายจิตใจ ทำร้ายร่างกายของคนอื่นเขา โดยไม่อยากทำ โดยไม่รู้ตัว มันเป็นเชื้อที่เข้ามามีอิทธิพลต่อความคิดจิตใจของเรา และทำให้เรามอบอวัยวะในร่างกายนี้ให้กับมัน ในการทำตามมันบงการ

ถ้อยคำของพระเจ้าบอกให้เรารัก ให้เราให้อภัย ให้เราเมตตา แต่เสียงข้างนอก ส่งเข้ามา ไวรัสตัวนี้ ให้ทำตามมัน ทำตรงกันข้ามกับพระเจ้า ยกตัวอย่างเช่น พระเจ้าให้เราอภัยด้วยความรัก เราบอกอย่างนี้รับไม่ได้ อภัยให้ไม่ได้แล้ว อย่างนี้ยอมทนไม่ได้ มันไม่ยุติธรรม อย่างนี้เสียหน้า ต้องคืนสนองหน่อย อะไรก็แล้วแต่ว่ากันไป ก็อยู่ที่ว่าความคิดของเราจะทำตามใคร เราไปจดจ่อตรงไหน? ถ้าเราจดจ่อไปที่พระเจ้า เราก็ทำตามพระเจ้า  ถ้าเราไปจดจ่อที่ภายนอก คือระบบของบาป เชื้อไวรัสที่เต็มรอบตัวเราอยู่นี้ เราก็จะติดเชื้อตัวนั้น และทำตามกระแสของภายนอก เราจะทำตามพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่อยู่ภายในเรา หรือจะทำตามกิเลสตัณหาทางฝ่ายเนื้อหนัง ซึ่งมันเป็นอิทธิพลที่อยู่ภายนอกร่างกายของเรา  ภายนอกความคิดจิตใจของเรา จะทำตามข้างไหน? ขึ้นอยู่กับว่าเราไปจดจ่ออันไหนมากกว่ากัน

พระเจ้าบอกเราถึงความละเอียดอ่อนว่าเราควรจะดำเนินชีวิตอย่างไร เมื่อเรามาเชื่อพระเจ้าแล้ว แต่ย้ำอีกครั้งว่าทั้งหมดนี้ ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับวิญญาณที่เราได้รับความรอดแล้ว เพราะว่าไม่ว่าความคิดและกายภายนอกที่เห็นอยู่นี้ เราจะทำตามใครก็ตาม จะทำตามเชื้อไวรัสวิญญาณที่อยู่ข้างนอกก็ตาม แต่วิญญาณของเราที่มีความคิดจิตใจที่เกิดใหม่แล้ว ที่พระเจ้าประทานให้ มันสะอาดหมดจดชั่วนิรันดร์แล้ว แก้ไขอะไรไม่ได้แล้ว มันเกิดใหม่ เป็นลูกพระเจ้าที่บริสุทธิ์ สะอาดแล้ว จงจำเอาไว้ กิเลสตัณหาของเนื้อหนัง มันไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของตัวตนที่แท้จริงของเรา ต้องจดจำตรงนี้ไว้เลย กิเลสตัณหาของเนื้อหนัง คือธรรมชาติบาป ที่อยู่ในมาร ที่อยู่ในตัวของเราในอดีตที่เรายังไม่รับเชื่อพระเจ้า ยังไม่บังเกิดใหม่ มันไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของตัวตนที่แท้จริงของเราอีกต่อไปแล้ว ไม่มีแล้ว ไม่ใช่แล้ว เราเป็นของพระเจ้า 100% แต่มันเป็นเชื้อไวรัสที่อยู่ข้างนอก เป็นอิทธิพลที่อยู่ข้างนอก มาจากมารที่อยู่ข้างนอก เป็นเชื้อร้ายภายนอก ที่สามารถแผ่กระจายมาสู่ความคิดของเราได้ แค่นั้นเอง เอเมน ต้องจดจ่อ จดจำ จนขึ้นใจด้วยเช่นเดียวกัน นี่คือความจริง เพื่อที่จะได้รู้ เขาเรียกว่ารู้เขา รู้เขา ทำสงคราม 10 ครั้ง ชนะ 10 ครั้ง

พระคัมภีร์จึงบอกบ่อยๆ ให้เราถวายตัวเราเอง แด่พระเจ้า ให้เป็นเครื่องมือของพระเจ้า และระวัง รักษาความคิดจิตใจ ไม่ให้ติดเชื้อไวรัสตัวนี้เข้าไป ในโรม 12:1-2 บอกไว้ ให้เราเปลี่ยนแปลงความคิดจิตใจเสียใหม่ อย่าเอาความคิดแบบเดิมๆ มันจะส่งเข้ามาแบบเดิมๆ …

“ครั้งที่แล้วเคยทำแบบนี้ แต่ก่อนนี้เคยทำแบบนี้  เดี๋ยวนี้ฉันไม่แล้ว ฉันเป็นคนใหม่ ฉันเป็นลูกพระเจ้า ใหม่เอี่ยม ฉันเปลี่ยนแปลงความคิดจิตใจแล้ว”

เห็นไหม? สิ่งเหล่านี้มันต้องเกิดขึ้นจากการจดจ่อ จดจำ จนขึ้นใจในถ้อยคำพระเจ้าว่าท่านเป็นใครในพระเยซูคริสต์ ท่านบังเกิดใหม่แล้ว เป็นอย่างไรบ้าง? อย่างนี้เป็นต้น เหมือนอย่างตอนนี้ ที่เรากำลังระวังเรื่องเชื้อไวรัสโควิด-19  ระบาดอยู่ ทุกคนก็ระวังตัวอย่างดี พยายามไม่เปิดโอกาสให้ร่างกายเกิดการติดเชื้อ แล้วระวังอย่างไร? ก็สวมหน้ากาก ล้างมือให้สะอาด ทานร้อน ใช้ช้อนกลาง หรือไม่ใช้เลย คือของใครของเขา ไม่ใช้ของร่วมกัน รักษาระยะห่าง สิ่งเหล่านี้ คือสิ่งที่ปฏิบัติ เพื่อป้องกันไม่ให้เชื้อนี้เข้ามา ถูกไหมครับ?  ถึงแม้ป้องกัน บางทีมันยังมีโอกาสเข้ามาได้ เราเผลอนิดเดียว  เหมือนกัน

แล้ววิธีรักษา ไม่ให้ความคิดจิตใจของเราติดเชื้อไวรัสบาป  ทำอย่างไร? พระเจ้าก็บอกเรา ก็คือการจดจ่อ ความคิด ไปที่เบื้องบน จงจดจ่อ จดจำ จนขึ้นใจ ความคิดของท่านไปที่เบื้องบน  ไม่ใช่อยู่ที่ฝ่ายโลก จดจ่อ จดจำ จนขึ้นใจว่าเราเป็นใครในพระคริสต์ เราอยู่ที่ไหนแล้ว ในโลกวิญญาณ เราเป็นอย่างไร?

ในโรม 6:11-14 ได้บันทึกอย่างนี้ อันนี้ก็ชัดเจน นี่คือความจริงที่เราควรจะเรียนรู้ว่าอ๋อ! มันเป็นอย่างนี้  มันเหมือนหลักยุทธศาสตร์ของการทำสงครามบนโลกใบนี้ว่าถ้าเราชนะ เราก็มีความทุกข์บนโลกใบนี้ไม่เยอะ ไม่มาก แล้วก็เป็นที่ถวายเกียรติแด่พระเจ้าในชีวิตของเรา โรม 6:11-14 บอกไว้อย่างนี้ว่า …

โรม 6:11-14 “11 ในทำนองเดียวกัน  จงถือว่าตัวท่านเองตายต่อบาป  และมีชีวิตอยู่  เพื่อพระเจ้า  ในพระเยซูคริสต์ 12 เหตุฉะนั้น  อย่าให้บาปครอบครองกายที่ต้องตายของท่าน  ซึ่งทำให้ท่านต้องยอมทำตามความปรารถนาชั่วของกายนั้น 13 อย่ายกส่วนต่างๆ ในกายของท่านให้แก่บาป  เป็นเครื่องมือของความชั่วร้าย  แต่จงถวายตัวของท่านเองแด่พระเจ้า ในฐานะผู้ที่ทรงให้มีชีวิตเป็นขึ้นจากตาย และถวายส่วนต่างๆ ในกายของท่านแด่พระองค์ ให้เป็นเครื่องมือของความชอบธรรม 14 เพราะบาปจะไม่เป็นนายของท่านอีกต่อไป  ด้วยว่าท่านไม่ได้อยู่ใต้บทบัญญัติ  แต่อยู่ใต้พระคุณ”

 

“ในทำนองเดียวกัน” จดจ่อ จดจำ จนขึ้นใจให้รับรู้ว่าเราเป็นคริสเตียน เราบังเกิดใหม่แล้ว เป็นของพระเจ้าแล้ว ตัวท่านเองตายต่อบาป และบาปไม่สามารถทำอะไรท่านได้อีกต่อไป แต่ก่อนนี้ทำได้ แต่เดี๋ยวนี้ทำไม่ได้แล้ว เพราะเราเกิดใหม่แล้ว เราเป็นลูกพระเจ้าแล้ว อิทธิพลของความบาป มันไม่มีทางเข้ามาหาเราได้เลย ถ้าเราไม่ยอมมัน และมีชีวิตอยู่เพื่อพระเจ้าในพระเยซูคริสต์ ตอนนี้เรามีชีวิตอยู่เพื่อพระเจ้า สำหรับพระเจ้าโดยเฉพาะอย่างเดียว บังเกิดใหม่ในพระคริสต์ เห็นไหม? แล้วตรงนี้บอกอย่างไร? …

“เหตุฉะนั้น อย่าให้บาปครอบครองกายที่ต้องตายของท่านอีก” คืออย่าให้เชื้อไวรัสตัวนี้เข้ามา พูดง่ายๆ อย่ายอมให้มันครอบครองกายที่ต้องตายของท่าน หมายถึงร่างกายภายนอก อวัยวะต่างๆ ที่วันหนึ่งมันต้องลงหลุม อย่ายอมให้มันใช้ร่างกายอวัยวะต่างๆ นี้ ตามทางของมัน ตามความต้องการของมัน ซึ่งทำให้ท่านต้องยอมทำตามความปรารถนาชั่วของกายนั้น ไม่ใช่ของกายนะ ของไอ้ตัวนี้ เข้าใจใช่ไหมครับว่ามันจะทำชั่ว อิทธิพลของมันบังคับ บงการให้เราทำ           “อย่ายกส่วนต่างๆ ในร่างกายของท่านให้แก่บาปนั้น” ก็คือท่านใส่ตรงนี้เข้าไป ท่านจะเห็น “อย่ายกส่วนต่างๆ ในกายของท่านให้กับมัน” มัน คือมารส่งกระแสมา มันไม่สามารถเข้ามาในร่างกายเราได้หรอก มันได้แต่ส่งอิทธิพลเข้าใจไหม? ไม่ต้องไปกลัวผีมารซาตาน  มันแค่ส่งเสียงแว่วๆ มา ถ้าเราไม่ไปจดจ่อกับเสียงนั้น  เราจดจ่อกับพระเจ้า เสียงพระเจ้าดังกว่า เราก็ไม่สนใจมัน มันเหมือนกับเขาใช้คำนี้ “หมาเห่าใบตองแห้ง” คือมันเคยกัดเราได้ แต่เดี๋ยวนี้มันกัดเราไม่ได้แล้ว เรามีพระวิญญาณบริสุทธิ์เป็นโล่ป้องกัน อย่างมาก มันก็แค่ขู่ให้เราตกใจกลัว แล้วเรากลัวไหม? กลัว เพราะมันชิน มันก็กลัว แต่พอไปเรื่อยๆ นานๆ เข้า เราจะรู้ว่าเราเป็นใคร ตอนนี้ขู่มา เราจะขู่กลับแล้ว มันขู่มา เราก็ฮาเลลูยา มีอะไรหรือเปล่า?  พระเจ้าบอก …

“สถิตอยู่กับฉันเสมอ ไม่เคยทอดทิ้งฉัน อยู่กับฉันตลอดเวลา ไม่เคยละทิ้งฉัน มีอะไรหรือเปล่ามาร”

“ไม่มีครับ”  มันก็ไป

นี่เขาเรียกว่าจดจ่อไปที่เบื้องบน ไม่ได้ไปจดจ่อฝ่ายโลก จดจ่อไปที่มัน เสียงมันก็ดัง ต้องทำตามมัน ซวยเลย

ในนี้บอก “แต่จงถวายตัวของท่านเอง แด่พระเจ้า ในฐานะผู้ที่ทรงให้มีชีวิต เป็นขึ้นจากตาย” ก็คือผู้ที่ทำให้เราได้บังเกิดใหม่นั้น ถวายพระเจ้าไป วิญญาณข้างในนั้น ชัดเจนเลยนะ

ข้อ 14 บอกว่า … “เพราะบาปมันไม่เป็นนายของท่าน (มันไม่ใช่ “จะ” นะ … “จะ” ต้องไม่มีนะ) อีกต่อไป ด้วยว่าท่านไม่ได้อยู่ใต้บทบัญญัติ แต่อยู่ใต้พระคุณ คือได้บังเกิดใหม่แล้ว เอเมน”

ถ้าเราไม่บังเกิดใหม่ตายแน่ เพราะมันอยู่ใต้บัญญัติ มันต้องทำตามทุกอย่าง พอทำพลาดไป มันก็ใส่เราเต็มที่เลย

ตราบใดที่เรายังดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ แม้ว่าเราจะเชื่อพระเจ้า เป็นคริสเตียน ได้บังเกิดใหม่ ตามความจริงที่พระเจ้าได้บอกแล้ว แม้ว่าเราจะอยู่ในสวรรค์แล้ว แม้ว่าพระเจ้าจะสถิตอยู่กับเราทั้ง 3 พระภาคเลยก็ตาม เรายังคงต้องต่อสู้กับเชื้อไวรัสทางวิญญาณตัวนี้ ต้องป้องกัน ไม่อยากจะบอกต่อสู้เลย แต่จริงๆ พระคัมภีร์ใช้คำว่าต่อสู้ ก็คือต้องระวัง ต่อสู้กับเชื้อไวรัสทางวิญญาณตัวนี้ ผ่านเข้ามาทางความคิด เราต้องต่อสู้ทุกเสี้ยววินาที แม้กระทั่งตอนนอน ตกใจไหม? แม้กระทั่งตอนนอน คือ ฝันไง มีความคิดมาตั้งแต่กลางวัน เราไปจดจ่ออะไรต่างๆ  เราไปดูหนัง กลางคืนมันฝัน ฝันทำบาปยังได้เลย หรือใครไม่เคย ยกมือขึ้น เราต้องสู้ทุกเสี้ยววินาที วินาทีไหนที่เราล้มลง พ่ายแพ้เชื้อตัวนี้ เราก็จะป่วยทางความคิด ความคิดจิตใจที่สะอาดหมดจด มันป่วย แค่นั้น ไม่มีอะไรเลย เมื่อเราป่วยทางความคิด ความคิดของเรา ก็จะไปเริ่มสั่งอวัยวะต่างๆ ในร่างกายผ่านทางสมอง ให้ทำอาการป่วยนั้น คือตามไวรัสตัวนี้  ตามเชื้อของบาปตัวนี้ ที่ปกคลุมอยู่เหนือโลกใบนี้ ซึ่งมันเป็นศัตรู ตรงกันข้ามกับน้ำพระทัยพระเจ้า ตรงกันข้ามกับพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้าที่สถิตอยู่ภายใน ที่เราเรียกกันว่า อาการของเนื้อหนัง

เนื้อหนังตอนนี้ท่านรู้แล้วคืออะไร? เนื้อหนัง คือวิสัยบาป คือเนเจอร์ คือธรรมชาติของความบาป ที่อยู่ในคนที่ไม่เชื่อพระเจ้า ที่เป็นทาสของมาร ตรงนี้เราไม่ได้เป็นทาสของมารแล้ว เราไม่มีเนื้อหนังที่อยู่ในตัวอีกต่อไปแล้ว เนื้อหนังมันอยู่ข้างนอกตัวเราแล้วตอนนี้ แต่อาการของเนื้อหนังมันสามารถโผล่มาได้ ถ้าเราติดเชื้อเข้าไป  พอเข้าใจนะ เมื่อไรก็ตามที่คริสเตียนผู้เชื่อการ์ดตก การ์ดของเรา คือจดจ่อ จดจำ จนขึ้นใจว่าเราเป็นใครในพระเยซูคริสต์ พอเราการ์ดตก เมื่อไรโอกาสที่เราจะติดเชื้อไวรัสตัวนี้ ก็สูง เมื่อติดเชื้อ ผลที่เกิดขึ้น ก็คือเราก็จะมีอาการป่วย อาการทางความคิด ที่จะติดเชื้อบาปตัวนี้ ติดเชื้อไวรัส เนื้อหนังตัวนี้ เมื่อติดเชื้อเข้าไป จะมีอาการออกมาในเรา ผู้ซึ่งเป็นลูกของพระเจ้า อาการเป็นอย่างไร? พระคัมภีร์ที่พระเจ้าบอกไว้ชัดเจน เพื่อเราจะได้สังเกต รู้ว่าเราป่วยอยู่ เราต้องจัดการกับมัน ให้มันหายป่วย  ป่วยทางวิญญาณ กาลาเทีย 5:19-21 บอกถึงอาการของเนื้อหนัง อาการของธรรมชาติของความบาป  ที่ส่งกระแสผ่านทางไวรัสวิญญาณ ถ้ามากระทบจิตใจเรา แล้วเราติดเชื้อมันเข้าไป อาการทางร่างกายมันจะออกมาเป็นอย่างนี้

กาลาเทีย 5:19-21 “19 พฤติกรรมของวิสัยบาปนั้น  เห็นได้ชัด คือการผิดศีลธรรมทางเพศ ความไม่บริสุทธิ์ และการลามก 20 การกราบไหว้รูปเคารพ การใช้คาถาอาคม ความเกลียดชัง ความบาดหมาง ความริษยาหึงหวง ความโมโหโทโส ความทะเยอทะยานอย่างเห็นแก่ตัว การไม่ลงรอยกัน การแบ่งพรรคแบ่งพวก และการอิจฉากัน 21 การเมามาย การมั่วสุมเสพสุราและกาม และอื่นๆ ในทำนองนี้ ข้าพเจ้าขอเตือนท่าน เหมือนที่เคยเตือนแล้วว่าผู้ที่ประพฤติเช่นนี้ จะไม่ได้รับอาณาจักรของพระเจ้าเป็นมรดก”

 

คำว่า “พฤติกรรมของวิสัยบาป” ภาษาอังกฤษใช้คำว่า “The practices of the sinful nature” แปลตรงๆ คือการฝึกฝน หรือการปฏิบัติตัวของธรรมชาติวิสัยบาป ผมจะเน้นคำว่า “ธรรมชาติวิสัยบาป” ท่านจะรู้เลยว่าเราเชื่อพระเจ้า เรามีตัวนี้อยู่ข้างในตัวเราไหม?  ไม่มีเลย การฝึกฝน หรือการปฏิบัติตัวของธรรมชาติวิสัยบาป ที่เมื่อสักครู่นี้ที่เราอ่านมาทั้งหมด คือตัวอย่างของอาการของผู้ที่ฝึกฝน ปฏิบัติตนของธรรมชาติวิสัยบาป “ผู้” นี้ หมายถึงผู้ที่เป็นทาสของธรรมชาติวิสัยบาป

เพราะว่าที่พูดมาทั้งหมดเมื่อกี้ เป็นอาการ หรือเป็นธรรมชาติของวิสัยบาปของมาร  มารมันจะทำให้เราอย่างนี้ พูดง่ายๆ ว่าผู้ที่ยอมเป็นทาสมัน ก็จะฝึกฝนปฏิบัติตัวอย่างนี้ คือเมื่อเราจดจ่อฝ่ายโลก ก็จะส่งผลให้เรา รวมๆ แล้วก็คือมองตัวเราเองเป็นใหญ่ ไม่ใช่พระเจ้าแล้ว เห็นแก่ตัว เย่อหยิ่งจองหอง ไม่มีสันติสุข น้ำพระทัยตัวเองเป็นใหญ่กว่าพระเจ้า แล้วก็ใช้ชื่อพระนามพระเยซู ทำตามใจตัวเองนั่นแหละ วางแผน แล้วก็ทำๆ สร้างอาณาจักรของตนเอง ครอบงำผู้อื่นให้สร้างอะไรต่างๆ เหล่านี้ นี่พูดถึงมนุษย์ทั่วๆ ไปนะ ทั้งเชื่อและไม่เชื่อ มีโอกาสเป็นหมด ติดเชื้อมา ผู้เชื่อก็เป็นได้ ถ้าไม่เชื่อก็เป็นแน่นอน 100% เพราะว่าเป็นทาสของธรรมชาติของวิสัยบาปแล้ว

ในข้อที่ 21 สำคัญมากว่า … “ข้าพเจ้าขอเตือนท่าน เหมือนที่เคยเตือนแล้วว่าผู้ที่ประพฤติเช่นนี้ จะไม่ได้รับอาณาจักรของพระเจ้าเป็นมรดก”

อันนี้ต้องตั้งใจฟังให้ดีๆ เพราะว่าความหมายตรงนี้ หลายคนมักจะตีความว่าถ้าใครทำแบบที่บรรยายไว้ในข้อที่ 20 นี้คือการกราบไหว้รูปเคารพ การใช้คาถาอาคม การเกลียดชัง ความบาดหมาง ความริษยาหึงหวง ความโมโหโทโส ความทะเยอทะยาน เห็นแก่ตัว การไม่ลงรอยกัน การแบ่งพรรค แบ่งพวกกัน การอิจฉากันนี้ ใครทำแบบนี้แค่เพียงนิดเดียว ก็จะไม่ได้เข้าสวรรค์ มันไม่ใช่ มันไม่ได้เป็นอย่างนั้น เข้าใจผิดแล้ว เปลี่ยนใหม่ ซึ่งถ้าตีความง่ายๆ แบบนี้ พูดตรงๆ ก็ไม่มีใครได้เข้าสวรรค์เลยสักคนหนึ่ง แค่โกรธนิดหนึ่ง ก็ไม่ได้เข้าสวรรค์แล้วเหรอ มันไม่ใช่

ซึ่งจริงๆ แล้วความหมายของถ้อยคำตรงนี้  ที่บอกว่าผู้ที่ประพฤติเช่นนี้ จะไม่ได้รับอาณาจักรของพระเจ้า เป็นมรดก คือไม่ได้อยู่ในสวรรค์นั้นนะ ตรงนี้หมายถึงผู้ที่ยังอยู่ภายใต้การครอบงำของวิสัยบาป ผู้ที่เป็นทาสของความบาป แบบนี้อยู่ เข้าใจไหม?  ผู้ที่เป็นทาส ก็คือผู้ที่ยังไม่ได้มาเป็นทาสของพระเจ้า ผู้ที่ยังไม่ได้กลับใจใหม่ ผู้ที่ยังไม่ได้บังเกิดใหม่ เป็นลูกของพระเจ้า ผู้ที่ยังอยู่ในอาดัมนั่นแหละ มันหมายถึงอย่างนั้น ผู้ที่ยังเป็นทาสมารอยู่ อยู่ในอาดัม อยู่ในอาณาจักรของความมืด ยังไม่ได้บังเกิดใหม่ ยังไม่ได้เชื่อพระเจ้า อาการมันเป็นอย่างนี้ มันหมายถึงอย่างนี้ ผู้ที่ประพฤติตัวตามอย่างผู้ที่ยังไม่มีพระเจ้าอยู่ในตัว ธรรมชาติของบาป เป็นทาสมาร ไม่ได้มีแผ่นดินของพระเจ้าอยู่ ไม่สามารถเข้าสวรรค์ได้ มันแปลว่าอย่างนั้น

เหมือนที่ผมเคยยกตัวอย่างเรื่องทาร์ซาน ว่าตัวตนที่แท้จริงของทาร์ซาน ก็คือมนุษย์ แต่ชั่วขณะหนึ่งไปอยู่กับลิง ถูกลิงควบคุมอยู่ ทำตัวเหมือนลิง มีอาการเหมือนลิง แต่อย่างไรก็เป็นมนุษย์

ดังนั้น คนที่เชื่อพระเจ้าแล้ว บังเกิดใหม่แล้ว ยังไงๆ ก็บังเกิดใหม่ แต่อาจจะมีบางครั้ง ชั่ววูบหนึ่งติดเชื้อของกระแสของโลกนี้  คือระบบของมารเข้าไป เช่นเดียวกัน เมื่อเราอยู่ในพระคริสต์แล้ว เราเกิดใหม่ในพระเยซูคริสต์แล้ว ยังไงๆ เราก็เป็นลูกของพระเจ้า  100% เราก็อยู่ในสวรรค์กับพระเจ้าแล้ว ทั้งพระเจ้าพระบิดา พระเจ้าพระบุตรพระเยซูคริสต์ และพระเจ้าพระวิญญาณบริสุทธิ์ ก็อยู่ในเราแล้ว แม้บางครั้ง เราอาจจะติดเชื้อไวรัสบาปจากภายนอกเข้ามาบ้าง อุตส่าห์ระวังๆ แล้ว เผลอนิดเดียวการ์ดตกอีก สมมติ เราก็จะมีอาการทำตามเนื้อหนังที่ส่งกระแสมานั้น ผ่านไวรัสตัวนี้บ้าง เขาเรียกว่าทำบาปบ้าง แต่ตัวตนที่แท้จริงของเรา ก็คือลูกพระเจ้า และได้อยู่ในสวรรค์ และกำลังอยู่ในสวรรค์ และจะอยู่ในสวรรค์นี้ตลอดไป มันต้องอย่างนี้ นี่พระคัมภีร์ว่าไว้อย่างนั้น มันเปลี่ยนไม่ได้แล้ว เพราะมันบังเกิดใหม่แล้ว พระเจ้าย้ายท่านเข้ามาอยู่ในสวรรค์แล้ว ย้ายท่านเข้ามาเป็นลูกของพระเจ้าแล้ว ไม่มีใครเอาท่านออกไปจากพระหัตถ์ของพระเจ้าได้ พระองค์ทรงตรัสไว้เช่นนั้น

และพระคัมภีร์ที่บอกให้เราจดจ่อ จดจำ จนขึ้นใจในสิ่งที่อยู่เบื้องบน ก็เพื่อให้ความคิดจิตใจของเราอยู่ภายใต้การควบคุมดูแลของพระวิญญาณ เพื่อจะได้ปกป้อง การ์ดไม่ตก ศัตรูก็เข้าไม่ได้ อิทธิพลของบาปที่อยู่ภายนอก ก็ส่งเข้ามาไม่ได้ แม้เราจะอยู่ท่ามกลางมันก็ตาม บนโลกใบนี้

“แม้ข้าพเจ้าจะดำเนินชีวิตอยู่ภายใต้หุบเขา เงามัจจุราช แต่ข้าพเจ้าก็ไม่กลัววิญญาณชั่วตัวใดๆ เลย เพราะพระเจ้าสถิตอยู่กับลูก”

มันจะส่งผลประโยชน์ให้กับวิญญาณของเราเจริญเติบโตขึ้น เพราะว่าเราไม่ป่วยบ่อย ไม่อย่างนั้น เดี๋ยวก็ทำบาป เดี๋ยวก็ป่วยอยู่เรื่อย การ์ดตกอยู่ตลอด อะไรต่างๆ เหล่านั้น เพื่อว่าเมื่อเราจดจ่อ จดจำความคิดจิตใจของเราไปที่เบื้องบน  ซึ่งจะส่งผลทางด้านพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า  อยากรู้ไหมอาการของพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่อยู่ตรงข้ามกับอาการของความบาปของมาร ที่เรียกว่าเนื้อหนังเป็นอย่างไร? ไปดูที่กาลาเทีย 5:22-24 บันทึกไว้ชัดเจน ถ้ามีอย่างนี้ออกมาเมื่อไร รู้ทันทีเลย เราจดจ่อไปถูกทางแล้ว

กาลาเทีย 5:22-24  “22 ส่วนผลของพระวิญญาณนั้น คือความรัก ความชื่นชมยินดี สันติสุข ความอดทน ความปรานี ความดี ความสัตย์ซื่อ 23 ความสุภาพอ่อนโยนและการควบคุมตนเอง สิ่งเหล่านี้ไม่มีบทบัญญัติข้อไหนห้ามเลย 24 ผู้ที่อยู่ในพระเยซูคริสต์ได้ตรึงวิสัยบาปและกิเลสตัณหาของวิสัยบาปไว้ที่กางเขนแล้ว”

 

เอาตรงนี้ก่อน … ผู้ที่อยู่ในพระเยซูคริสต์ ผู้ที่เชื่อแล้ว วางใจในพระเจ้าและบังเกิดใหม่แล้ว ได้ตรึงวิสัยบาป คือตัวเก่าของเราได้ถูกตรึงตายไปพร้อมกับพระเยซูคริสต์เรียบร้อยแล้ว จบแล้ว ไม่มีวันเลยที่เราจะไปทำสกปรกหรือชั่วร้ายแบบนั้นด้วยตัวของเราเอง นอกจากมีโอกาสติดเชื้อเท่านั้นเอง เขาเรียกว่าล้มลง พ่ายแพ้ เป็นบางครั้ง ติดหวัด เดี๋ยวก็รักษาหาย

เพราะฉะนั้น ผู้ที่อยู่ในพระคริสต์ได้ตรึงวิสัยบาปและกิเลสตัณหาของวิสัยบาปไว้ที่กางเขนแล้ว มันทำอะไรเราไม่ได้แล้ว ถ้าการ์ดเราตกเมื่อไร มันเข้ามา เราก็มีอาการ ก็เท่านั้นเอง

มาดูผลของพระวิญญาณ เป็นอย่างไร? นี่คืออาการที่บอกถึงว่าเรากำลังจดจ่อไปที่ถูกแล้ว ที่พระเจ้า จดจ่อไปที่เบื้องบน ที่พระเจ้าสถิตอยู่ เบื้องบนที่สวรรค์ เบื้องบนที่พระวิญญาณบริสุทธิ์เป็นพี่เลี้ยงเรา  คอยดูแลความคิดจิตใจของเรา วิญญาณของเราและร่างกายของเราด้วย ดูแลหมดเลย อาการจะออกมาเป็นความรัก ความชื่นชมยินดี สันติสุข ความอดทน ความปราณี ความสัตย์ซื่อ ความสุภาพอ่อนโยน การควบคุมตนเอง  สิ่งเหล่านี้ไม่มีบทบัญญัติไหนห้ามเลยแม้แต่นิดเดียว  ทำไปทุกคนบอกว่าดี ยอดเยี่ยม เอกฉันท์เลย เอาตรงนี้ไปวัดเลยว่าสิ่งที่เราใช้ร่างกายเราทำลงไป มันไปตรงกับอะไรในนี้บ้างไหม? หรือมันไปตรงกับผลของเนื้อหนัง อาการของเนื้อหนัง พระเจ้ายอดเยี่ยมขนาดไหน? บอกเราหมดเลย เรียบร้อยเลย และถ้าเราไปจดจ่อเอาสิ่งที่ไม่ดี  เราก็ไม่มีความสุขบนโลกใบนี้ เราก็เสียหายบนโลกใบนี้ เราก็ทุกข์มากกว่าธรรมดาบนโลกใบนี้ ถ้าเราไปจดจ่อที่พระเจ้า ส่งผลพระวิญญาณออกมา เราก็มีสันติสุข มีความสงบ เห็นไหมครับ? ทำไมพระเจ้าถึงบอกให้เรา จำเป็นเมื่อเชื่อพระเจ้าแล้ว บังเกิดใหม่แล้ว เป็นลูกของพระเจ้าแล้ว พระเจ้าเข้ามาสถิตอยู่แล้ว  น่าจะจบแล้วนะ  แต่ตราบใดที่เรายังดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ พระเจ้าบอก …

“ไม่ได้นะ ลูกจะต้องมีสง่าราศี ลูกจะต้องเป็นลูกของพ่อ ลูกต้องฉายแสงออกไป ลูกต้องเป็นผู้มีชัยชนะ ลูกจะต้องเป็นยิ่งกว่าผู้พิชิต พ่อจะนำพาลูก พ่อจะสอนลูกเอง และวิธีสอนอันดับแรก คือลูกจงจดจ่อความคิดของเจ้าไปที่เบื้องบน”

เห็นไหม? ชัดเจน คือเมื่อเรามาเชื่อพระเยซูคริสต์แล้ว พระเจ้ามาสถิตอยู่กับเรา พระเยซูนำพาชีวิตเราแล้ว การมาเชื่อพระเยซู ไม่ได้แค่มาเชื่อพระเจ้าแล้ว พระเยซูจะช่วยเราให้รอดพ้นจากบาป รอดจากนรก ได้บังเกิดใหม่เป็นลูกพระเจ้า มาอยู่ในสวรรค์ ไม่ใช่แค่นั้น แต่เรายังอยู่บนโลกใบนี้ มันยังมีศัตรูอยู่ เพราะฉะนั้น พระองค์เข้ามาสถิตอยู่กับเรา ในร่างกายนี้เลย เป็นชีวิตของเราเลย เป็นหนึ่งเดียวกันกับเราเลยในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ชัดเจนเลย ในขณะนี้ พระองค์เป็นหนึ่งเดียวกับเรา เข้ามาอยู่กับเราตลอดเลย ตรงนี้ ควรจะรับรู้ เป็นฤทธิ์อำนาจให้กับเรา เป็นสติปัญญาให้กับเรา ทรงนำพาช่วยเหลือเรา ปลอบโยนจิตใจ จิตวิญญาณในทุกเสี้ยววินาทีตลอดเวลา  เราจะรู้หรือไม่รู้ก็ตาม แต่พระองค์ทรงกระทำอย่างนั้นแหละ ในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ของเรา และพระองค์ก็จะพาเราผ่านอุปสรรคปัญหาต่างๆ บนโลกใบนี้ อย่างอัศจรรย์ คือเกินความคิด เกินความคาดหมายของเราเอง เรารู้ว่าเราทำไม่ได้เลย ชัดเจนเลย  จะผ่านอุปสรรคปัญหาสิ่งต่างๆ เหล่านี้ไปได้ ทำอย่างไร? มันไม่มีทาง ใครช่วยได้ พระเจ้าทำให้เรา ช่วยได้ เราจะรู้ทันทีว่านี่ คืออัศจรรย์ แต่เป็นอัศจรรย์ตามพระประสงค์ ตามน้ำพระทัยของพระองค์ ไม่ใช่การอัศจรรย์ที่เราบังคับให้พระองค์ทำ อันนั้นไม่ใช่ Rest in peace ไม่ใช่พักสงบ อันนั้นมันตะเกียกตะกาย แล้วก็เหนื่อยลำบาก ยิ่งทุกข์ใหญ่เลย

เพราะฉะนั้น พระองค์ทรงรู้ทุกอย่าง สัพพัญญู อยู่ในตัวเรา ดำเนินชีวิตไปกับเรา พระองค์ทรงรู้ ทรงเข้าใจในสถานการณ์ต่างๆ รอบตัวเราอย่างมากมาย เยอะมากกว่าเราเยอะเลย ที่มองไปทะลุปรุโปร่งเลย เรื่องปัญหาต่างๆ บนโลกใบนี้ เพราะฉะนั้น เราควรที่จะเชื่อและวางใจในพระองค์

ฉะนั้น การดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ถึงแม้ว่าเราเป็นคริสเตียน ผู้เชื่อแล้ว ตามพระคัมภีร์บอกไว้ เราจะต้องประสบความทุกข์ยาก อุปสรรคปัญหาในการดำเนินชีวิต เหมือนคนอื่นๆ ที่ยังไม่เป็นคริสเตียน ยังไม่เชื่อ เหมือนกันบนโลกใบนี้ พระเยซูบอกแต่ว่าพระองค์ทรงชนะโลกแล้ว พระเยซูชนะ เราก็ชนะด้วย เราชนะโลกนี้แล้ว เพราะฉะนั้น แม้เราจะประสบปัญหา บนโลกใบนี้อยู่ เหมือนกับคนอื่นๆ ที่ไม่มีพระเจ้า ไม่ได้เชื่อในพระเยซู แต่เราเชื่อแล้ว เราก็มีปัญหาเหมือนเขาเหมือนกัน แต่เราจะมีสันติสุข ความสุขสบาย และความหวังนิรันดร์ ให้เราสามารถพักสงบได้ในการดำเนินชีวิตท่ามกลางปัญหาต่างๆ บนโลกใบนี้ เราได้เปรียบกว่าผู้ที่ไม่มีพระเยซู เราได้เปรียบกว่าผู้ที่ไม่ได้เชื่อในพระเจ้า เราได้เปรียบกว่าผู้ที่ยังไม่ได้เป็นลูกพระเจ้า ถูกไหมครับ?

เพราะฉะนั้น ถ้าเราเชื่อพระเจ้าแล้ว รู้จักพระองค์แล้ว เกิดใหม่แล้ว เราจดจ่อ จดจำ จนขึ้นใจ ในถ้อยคำพระเจ้าเหล่านี้ทั้งหมด  เกี่ยวกับโลกวิญญาณว่ามันคืออะไร? เกี่ยวกับเบื้องบนว่ามันคืออะไร? เราก็จะสามารถทำสิ่งเหล่านี้ได้ เขาเรียกว่ารับรู้ จดจ่อ จดจำ จนขึ้นใจ แล้วสามารถวางใจ ซึ่งจะเป็นหัวข้อในการบรรยายครั้งต่อไป เราสามารถวางใจ ให้พระองค์ทรงดูแล เหนือทุกสิ่งในชีวิตของเราได้ ขอพระเจ้าอวยพรครับ

 

**************************

 

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 12 กรกฎาคม 2020 เรื่อง “แนวทางการดำเนินชีวิตของผู้เชื่อ 4 ขั้นตอน” ตอน 6 “วางใจพระเจ้าด้วยสิ้นสุดใจ เรื่องการกินการอยู่ 2” โดย นคร เวชสุภาพร

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  12  กรกฎาคม  2020

 เรื่อง “แนวทางการดำเนินชีวิตของผู้เชื่อ 4 ขั้นตอน” ตอน 6

“วางใจพระเจ้าด้วยสิ้นสุดใจ    เรื่องการกินการอยู่ 2”

โดย นคร  เวชสุภาพร

สวัสดีครับ หัวข้อคำบรรยายวันนี้มีชื่อว่า “จงจดจ่อความคิดของท่านไปที่เบื้องบน ไม่ใช่ฝ่ายโลก” หลังจากที่มีคำถามกันเข้ามา หลายสัปดาห์ก่อน ถึงเรื่องแนวทางในการดำเนินชีวิตว่าหลังจากที่เขาต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดแล้ว  ควรทำตัวอย่างไร? ควรดำเนินชีวิตอย่างไร? ซึ่งผมก็ได้สรุปคร่าวๆ ไปแล้วว่าง่ายๆ มีอยู่ 4 ขั้นตอน ก็คือ …

 

เชื่อแล้ว  …   รับรู้    … วางใจ    …. อธิษฐาน

 

เริ่มจากเชื่อแล้ว เราได้เรียนไปหลายสัปดาห์เยอะแล้วนะครับว่าความรอดที่เราได้รับมานั้น เป็นพระคุณจากพระเจ้า ที่เราได้รับผ่านทางความเชื่อในข่าวดีของพระเยซูคริสต์ ผ่านทางความเชื่อเท่านั้น ไม่ใช่การกระทำ  เชื่อด้วยใจ และรับด้วยปาก ตามโรม 10:9-10 และเมื่อเชื่อแล้ว ลำดับต่อไป  ก็คือให้รับรู้ว่าตัวตนที่แท้จริงของเรา เมื่อรับเชื่อแล้ว เป็นใคร? อยู่ที่ไหน ในพระคริสต์?

ในพระคริสต์ ก็คือในสวรรค์ ในโลกวิญญาณ เรามีความหวังใจอะไรในพระคริสต์นี้บ้าง? พระเจ้าสัญญาอะไรบ้าง? ตัวตนที่แท้จริงของเราเป็นใคร? และวิธีการรับรู้ ทำอย่างไร?

วิธีการรับรู้ ก็คือให้จดจ่อไปยังสิ่งที่อยู่เบื้องบน เมื่อเรารับรู้แล้วว่าเราเป็นลูกของพระเจ้า วิญญาณซึ่งเป็นตัวตนแท้จริงของเราตอนนี้ อยู่ในสวรรค์กับพระเจ้าแล้ว ได้บังเกิดใหม่แล้ว นั่งอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้า ร่วมกับพระเยซู วิธีการแสดงออกมาว่ารับรู้ความจริง และตำแหน่งของเราตรงนี้ ก็คือการ จดจ่ออยู่กับตำแหน่งนี้แหละ ที่พระคัมภีร์บอกเรา ที่พระเจ้าบอกเราว่าเราเกิดใหม่แล้ว เราอยู่ที่ไหน? เป็นอย่างไร?

พระคัมภีร์จึงบอกให้เราจดจ่อไปยังสิ่งที่อยู่เบื้องบน ในโลกวิญญาณ ที่ซึ่งตัวตนจริงๆ ของเราที่จะอยู่นิรันดร์เดี๋ยวนี้ทันทีเลย ในพระคัมภีร์บอกไว้อย่างนั้น  คือในโลกวิญญาณเป็นอย่างนั้นจริงๆ เพียงแต่ตาเรามองไม่เห็น หูเราไม่ได้ยิน แต่มันมีอยู่จริงๆ  และมันจริงยิ่งกว่าโลกวัตถุที่จับต้องมองเห็นได้ด้วยซ้ำไป พระคัมภีร์สอนเราอย่างนั้น สิ่งที่เรามองเห็น มันจะอยู่ชั่วคราว มันดับสูญไป แต่สิ่งที่มองไม่เห็น ในโลกวิญญาณ ที่พระเจ้าบอก มันจะอยู่อย่างนี้ และอยู่ต่อไป และอยู่ถาวรนิรันดร์ พระเจ้าจึงให้เราจดจ่ออยู่กับสิ่งเหล่านี้ ซึ่งเป็นนิรันดร์

วันนี้ เราจะมาคุยกันตรงนี้ให้ละเอียดขึ้นว่าที่บอกว่าจดจ่อความคิดของท่าน ไปที่เบื้องบน ไม่ใช่ฝ่ายโลก หมายความว่าอย่างไร? ก่อนอื่น เรามาดูความหมายของคำว่า “จดจ่อ” ก่อน

ถ้าแปลตามพจนานุกรม “จดจ่อ” แปลว่า “มีใจฝักใฝ่อยู่กับสิ่งใดสิ่งหนึ่ง มีสมาธิ หรือเอาใจมุ่งมั่นกับสิ่งใดสิ่งหนึ่ง หรือสิ่งนั้นๆ” ภาษาอังกฤษเขาใช้คำว่า “Set your mind” ก็คือปรับจูน จูนความคิดนั่นเอง หรือตั้งจูนความคิดของท่าน แปลตรงๆ เป็นอย่างนั้น เราจะได้รู้ว่าหมายความว่าอย่างไร?

ผมจะลองยกตัวอย่างนิดหนึ่งให้ท่านสังเกตดูคำว่า “จดจ่อ” มันมีลักษณะอย่างไร? จริงๆ เร้าอยู่เป็นประจำในชีวิตของเราทุกวันนี้

สมมุติว่ามีนักศึกษาสาวคนหนึ่ง กำลังไปเรียนหนังสือตามปกติตอนเช้า ขึ้นรถเมล์ไม่มีที่นั่ง ก็เลยต้องโหน มือต้องโหนอยู่ รถวิ่งเร็ว ทุกครั้งจะถึงที่ศึกษา ก็จะบอกกระเป๋ารถเมล์ว่า …

“น้องๆ จอดป้ายด้วย”

เป็นปกติ เป็นธรรมดาอยู่แล้ว ก็ยืนเพลินๆ อยู่ คนก็เยอะ ปรากฏว่าเหลือบไปเห็นแขนเสื้อข้างที่โหนอยู่มันขาด มองเห็นรักแร้ ก็รู้สึกเขินอาย ไม่รู้ทำอย่างไร? ก็มองอยู่นั่นแหละ

“แหม! วันนี้ ไม่น่าจะใส่ตัวนี้มาเลย มีใครเห็นไหม? อายเขาจะตาย ดูสิ”

อายรักแร้ตัวเอง  ก็จดจ่อ ตลอดทาง คิดแต่อย่างนั้น เมื่อไรจะถึงสักที นั่งก็ไม่ได้นั่ง จะมีใครเห็นรักแร้เราไหม? อายเขาจะตาย รักแร้ๆๆๆๆๆๆ ก็จดจ่ออยู่ที่รักแร้ของตัวเอง ปรากฏว่าพอถึงที่หมายที่จะต้องลง ก็ตะโกนไปบอกกระเป๋ารถว่า …

“รักแร้ จอดป้ายด้วย”

นี่แหละ คือสิ่งที่เราไปจดจ่ออยู่ มันจะเป็นอย่างนี้ จนลืมสิ่งต่างๆ ไปเลย ลืมชีวิตประจำวันเราไป ซึ่งเราทำมาตลอด  แต่ขณะที่จดจ่ออยู่นั้น มันไปจดจ่อเอารักแร้ อย่างนี้เป็นต้น

หรืออีกอันหนึ่ง บางคนชอบ ยุคนี้เป็นยุคดิจิตอล ยุคมือถือ ยุคไลน์ ยุคเล่นเกมส์ ยุคสังคมก้มหน้า ทุกคนก็ดูแต่มือถือของตัวเอง ก็คือการจดจ่ออยู่ที่มือตลอดเวลา ใครมาพูดข้างๆ เหมือนได้ยิน แต่ไม่ได้ยิน เพราะว่าถ้าจะได้ยินให้ชัด และรู้ว่าทำอะไรนั้น ต้องหยุดออกจากมือถือที่ดูมาตลอด เป็นเวลาชั่วโมงหนึ่ง 2 ชั่วโมง ตั้ง Set mind ใหม่ แล้วมาฟังว่าคนที่มาพูด พูดอะไร? ไม่อย่างนั้น ก็เข้าใจผิด

ยกตัวอย่าง พ่อกำลังดูมือถืออยู่ ลูกมาถาม …

“จะไปหรือเปล่า?”

กำลังแชทกับเพื่อนอยู่ … “ไม่ไปหรอกวันนี้”

ลูกก็ไปเอง กลับมาปรากฏว่างอนใหญ่เลย … “ไหนบอกจะพาไป ทำไมไม่ไป”

ลูกตอบว่า … “อ้าว! ก็ถามแล้ว บอกว่าไม่ไป”

“พูดที่ไหนเล่า”

เห็นไหม? พูดไป เพราะว่าจิตใจมันจดจ่ออยู่ที่กำลังแชทอยู่กับเพื่อนว่าไม่ทำอะไร? ไม่ๆๆๆ ก็ตอบไปว่าไม่ ทั้งๆ ที่ตัวเองยังไม่รู้เลย ตอบอะไร? จำไม่ได้ด้วยซ้ำไป

นี่แหละคือคำว่า “จดจ่อ” รู้แล้วนะว่าจดจ่อ คืออะไร? แม้ว่าจะฟังดู แล้วมันเหมือนเรื่องตลกๆ แต่ก็ทำให้เราเห็นว่าเมื่อเราจดจ่อและมุ่งมั่น มีสมาธิกับสิ่งใดก็ตาม สิ่งนั้นมันจะสะท้อน ทำให้เราทำอะไรก็ตามที่เราจดจ่ออยู่นั้น เราจดจ่ออยู่ที่รักแร้ ปากก็สั่งว่ารักแร้จอดป้ายด้วย  เห็นไหมครับ?

เพราะฉะนั้น  การที่เราจดจ่อกับสิ่งใด มันก็จะสะท้อน นำพาเราออกมาสู่การประพฤติ การกระทำ การแสดงออกของเรา ในร่างกายนี้นั่นเอง เช่น ถ้าเรากำลังสนใจ จดจ่ออยู่กับการเล่นโทรศัพท์ เราก็จดจ่อแต่เรื่องนั้น พอลูกมาถาม เราก็เอาคำตอบของในสิ่งที่จดจ่ออยู่นั้น มาบอกกับลูก ซึ่งมันผิดความประสงค์ ความต้องการเราไม่ได้เป็นอย่างนั้น เราตกลงว่าเราจะไป แต่เราตอบว่า “เราไม่ไป” เห็นหรือยังว่ามันอันตรายขนาดไหน?  พระเจ้าจึงต้องการให้เราจดจ่ออยู่กับเบื้องบน ในที่ที่เราอยู่กับพระเจ้าในสวรรค์ เมื่อเราเชื่อและบังเกิดใหม่ ตอนนี้ยุคโควิดชัดเจนมาก โควิด ทำให้คนไปจดจ่ออยู่กับเบื้องล่างมากเลย ไม่ใช่เบื้องบน ไปจดจ่ออยู่กับฝ่ายโลก จดจ่ออยู่กับข่าวสาร การเมือง โรคมันถึงไหนแล้ว แทนที่จะจดจ่ออยู่กับสวรรค์ ก็ไปจดจ่ออยู่กับสถิติเพิ่มกี่คน? ไม่ใช่รับรู้ไม่ได้ รับรู้กับการจดจ่อไม่เหมือนกันนะ

รับรู้ คือรับรู้เฉยๆ ข่าวสารว่ามีอะไร? เชื้อติดเท่าไร? อย่างไร? ก็พอแล้ว  แต่บางคนจดจ่อ ทั้งเช้า ทั้งกลางวัน ทั้งเย็น ข่าวเล่าแล้วเล่าอีก ฟังซ้ำไปซ้ำมา แล้วเอาไปคิดตามอีก ในที่สุด ก็เกิดความคิดสั่งการให้ร่างกายทั้งหมดตึง เครียด กลัว กังวล เห็นไหมครับ? สั่งมาจากความคิดที่เราไปจดจ่ออยู่กับไม่ใช่เบื้องบน จดจ่ออยู่กับโควิดนี้ อันตรายต่างๆ เหล่านี้

แล้วที่พระคัมภีร์บอกให้เราจดจ่อไปที่เบื้องบน ในสวรรค์สถาน สิ่งที่อยู่เบื้องบน คือสวรรค์สถานในโลกวิญญาณ ที่ที่วิญญาณของเราอยู่กับพระเจ้าแล้ว ตอนนี้ ตามที่เราได้เรียนมาว่าเมื่อเราเชื่อแล้ว เราได้ถูกย้ายเข้าไปในสวรรค์แล้ว และสิ่งเหล่านี้ ความจริงเหล่านี้ เราไปหาได้ จากบันทึกเอาไว้ในพระคัมภีร์ไบเบิ้ล และเป็นพยานยืนยันด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์  ที่ให้เราเกิดใหม่ และสถิตอยู่กับเราในวิญญาณของเรานั้นเอง ลองมาดูว่าในพระคัมภีร์ไบเบิ้ลบอกว่าตำแหน่งของเรา ในโลกวิญญาณ มันเป็นอย่างไรบ้าง? โคโลสี 3:1-4 …

โคโลสี 3:1-4 “1 ในเมื่อทรงให้ท่านทั้งหลายเป็นขึ้นกับพระคริสต์แล้ว  ก็จงให้ใจของท่านจดจ่อกับสิ่งที่อยู่เบื้องบน  ที่ซึ่งพระคริสต์ประทับอยู่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้า 2 จงให้ความคิดของท่านจดจ่ออยู่กับสิ่งเบื้องบน ไม่ใช่สิ่งฝ่ายโลก 3 เพราะท่านตายแล้ว และบัดนี้ ชีวิตของท่าน ถูกซ่อนอยู่กับพระคริสต์ในพระเจ้า 4 เมื่อพระคริสต์ผู้ทรงเป็นชีวิตของท่านปรากฏ เมื่อนั้นท่านก็จะปรากฏพร้อมกับพระองค์ ในพระเกียรติสิริด้วย”

 

“จดจ่อ  จดจำ  จนขึ้นใจ”  นี่คือความจริงที่พระวิญญาณบริสุทธิ์บอกเราว่าในโลกวิญญาณ ตัวตนแท้จริงของเรา คือวิญญาณของเราอยู่ที่ไหน? เป็นอย่างไรบ้าง? เพราะฉะนั้น เราจะจดจ่ออีกวิธีหนึ่งที่ง่ายว่าเคล็ดลับในการจดจ่อนี้  ช่วยให้เราจดจ่อได้มากขึ้น และเป็นจริง เป็นจังมากขึ้น ในความจริง ในโลกวิญญาณ ตามที่พระเจ้าบอกเรา ก็คือให้เปลี่ยนสรรพนามที่ 3 คือ “ท่าน” ให้เป็น “ชื่อของเรา” ให้เป็นตัวเรา ใส่ชื่อท่านลงไปในนั้น

ยกตัวอย่างเช่น “ในเมื่อพระเจ้าได้ทรงให้นคร (ใส่ชื่อท่าน)  เป็นขึ้นกับพระคริสต์แล้ว”

เห็นไหม มันเห็นชัดขึ้นเยอะเลยนะ ลองเปลี่ยนสิ ลองใส่ชื่อตัวเองลงไป

“ในเมื่อทรงให้นคร (คือพระเจ้าให้) … (ใส่ชื่อท่าน) … เป็นขึ้นกับพระคริสต์ ก็จงให้ใจของนคร … (ใส่ชื่อท่าน) …  จดจ่อกับสิ่งที่อยู่เบื้องบน ที่ซึ่งพระคริสต์ประทับอยู่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้า จงให้ความคิดของนคร … (ใส่ชื่อท่าน) …  จดจ่อกับสิ่งเบื้องบน ไม่ใช่สิ่งฝ่ายโลก เพราะนคร … (ใส่ชื่อท่าน) …  ตายแล้ว (ตัวเก่าตายไปแล้ว วิญญาณเก่าตายไปแล้ว) และบัดนี้ ชีวิตของนคร … (ใส่ชื่อท่าน) …  ถูกซ่อนอยู่กับพระคริสต์ในพระเจ้า เมื่อพระคริสต์ผู้ทรงเป็นชีวิตของนคร … (ใส่ชื่อท่าน) …  ปรากฏ เมื่อนั้นนคร … (ใส่ชื่อท่าน) … ก็จะปรากฏพร้อมกับพระองค์ในพระเกียรติสิริด้วย” เฮ้ๆๆๆๆๆๆ

นี่แค่ครั้งแรก ท่านเริ่มฝังความจริงลงไปในความคิดจิตใจของท่านแล้ว นี่แหละ คือการเปลี่ยนแปลงความคิดจิตใจเสียใหม่ นี่แหละของใหม่ ข้อมูลใหม่ที่พระเจ้าสอนเราว่าในโลกวิญญาณ เมื่อเราเชื่อพระเจ้าแล้ว เราได้เปลี่ยนแปลงเป็นอะไรบ้าง?

ถามว่าทำไมเมื่อเชื่อแล้ว พระเจ้าต้องการให้เราเปลี่ยนแปลงความคิดเสียใหม่ ด้วยการจดจ่อความคิดไปที่เบื้องบน ความจริงในโลกวิญญาณ ก็เพื่อที่เราอยู่บนโลกใบนี้ด้วยชัยชนะโลกนี้ ที่พระเยซูทำให้แล้ว และเข้าใจน้ำพระทัยของพระเจ้า วัตถุประสงค์ของพระองค์ และสามารถขอบพระคุณพระองค์ในสิ่งทั้งมวล ได้ตามที่พระองค์ทรงสอนว่า … “จงขอบคุณพระเจ้าในทุกกรณี ในทุกสิ่งได้” … มิฉะนั้น เราอาจจะขอบคุณไม่ค่อยออก

เพราะเนื่องจากร่างกาย ความคิด จิตใจ  และวิญญาณของเรา คือตัวตนของเราตอนนี้ ได้บังเกิดใหม่แล้วก็จริง ถูกชำระจนสะอาดหมดจดแล้ว ก็จริง ทั้งร่างกาย ความคิดจิตใจ และวิญญาณ วิญญาณบังเกิดใหม่แล้ว ความคิดจิตใจบังเกิดใหม่แล้ว  พระเจ้าประทานให้ใหม่เอี่ยมเลย สำหรับร่างกายแม้ว่าจะเป็นร่างกายเดิม แต่พระเจ้าทรงชำระ ด้วยพระโลหิตของพระเยซูคริสต์จนสะอาดหมดจด เป็นพระวิหารของพระองค์ ที่พระองค์ทรงสามารถรับได้ มาสถิตอยู่ได้ แต่ถึงแม้ว่าจะเป็นอย่างนั้น การดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ยังคงได้รับอิทธิพลของความบาปที่ปกครองอยู่บนโลกใบนี้ ผ่านทางมารได้อยู่ โดยส่งกระแสของอิทธิพลนี้ ผ่านทางอวัยวะต่างๆ ในร่างกายของเรา ผ่านทางความคิดของเรา ซึ่งเป็นตัวสำคัญที่สุด ถ้าความคิดไม่สั่ง มันก็ไม่ทำ

ถ้าเราไปจดจ่อบนโลกใบนี้  ก็เสร็จมารเลย เพราะมารพยายามที่จะส่งอิทธิพล ที่มันมีในการครอบครองโลกใบนี้อยู่ ซึ่งพระคัมภีร์เรียกชื่อมารว่า god of this world ซึ่งเป็นผู้บงการสิ่งชั่วร้ายบนโลกใบนี้ ด้วยอิทธิพลของความบาปนั่นแหละ มารมันก็พยายามเอาอิทธิพลนี้ ส่งเข้ามาในความคิด ผ่านเข้ามาในร่างกาย ภาษาพระคัมภีร์เขาเรียกว่าผ่านทางกิเลสตัณหาของฝ่ายเนื้อหนัง ผ่านทางอวัยวะต่างๆ ซึ่งมันคุ้นเคยกับของเดิมอยู่ ก่อนที่เราจะเชื่อพระเจ้า มันคุ้นเคยอยู่ มันเป็นของเดิม ความคิดเดิม ร่างกายที่เคยประพฤติปฏิบัติ มันคุ้นๆ อยู่ สมองยังจำได้ว่าเคยทำอย่างนี้ ก่อนเกิดใหม่ พระเจ้าบอกว่าตรงนี้ ก็คือสงครามฝ่ายวิญญาณที่เกิดขึ้นในชีวิตของคริสเตียนทุกคน ชีวิตของผู้เชื่อทุกคนว่าแม้มีชัยชนะอยู่เหนือโลกใบนี้ก็จริง แต่มันจะคอยส่งกระแสเข้ามาอยู่เรื่อยๆ ที่ความคิดและเนื้อหนังร่างกายของเรา ให้ทำตามมัน พูดง่ายๆ

มาดูโคโลสี 1:13-14 ก็บอกความจริงอย่างนี้ ซึ่งเราจะต้องรับรู้และจดจ่อ จดจำ จนขึ้นใจ นี่คือความคิดใหม่ ที่เราต้องคิดบ่อยๆ จดจ่ออยู่เรื่อยๆ Set ความคิดนี้  Set mind  นี้ ไว้ตรงความจริงตรงนี้ คือถ้อยคำพระเจ้า

โคโลสี 1:13-14 “13 เพราะพระองค์ได้ทรงช่วยเราให้พ้นจากอาณาจักรของความมืด  และทรงนำเราเข้ามาสู่อาณาจักรของพระบุตรที่รักของพระองค์ 14 ในพระบุตรนี้ เราได้รับการไถ่บาป คือการอภัยโทษบาปของเรา”

 

พระเจ้าได้ย้ายเราออกจากนรก ในวิญญาณ บนโลกใบนี้ ย้ายเข้ามาสู่โลกวิญญาณที่เรียกว่าสวรรค์ มาอยู่กับพระองค์เรียบร้อยแล้ว และเราได้รับการชำระ ได้รับการอภัยโทษ ได้รับการไถ่บาป  หมดจดเรียบร้อยไปแล้ว นิรันดร์ เราอยู่ในสวรรค์แล้ว พูดง่ายๆ เราหมดบาปแล้ว หมดเกลี้ยงเลย ไม่เหลือเลยแม้แต่นิดเดียว เมื่อรู้ความจริง ต้องจดจ่อ จดจำ จนขึ้นใจ เอาไว้ 3 จอ. ว่ามันเป็นอย่างนี้

“ฉันอยู่ในสวรรค์แล้วตอนนี้ และจะอยู่ตลอดไปด้วย เพราะฉันได้รับการไถ่บาป หมดเวร หมดกรรมชั่วนิรันดร์แล้ว เอเมน”

นี่ตัวอย่าง แต่จริงๆ ในพระคัมภีร์มีเยอะแยะ ถึงตำแหน่งของเรา และการเปลี่ยนแปลงที่ได้มาบังเกิดใหม่แล้ว เป็นเช่นไร? เราต้องจดจำ จดจ่อ จนขึ้นใจ สิ่งเหล่านี้ไว้ ทิตัส 3:5 ที่เราอ่านกันไปเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว

ทิตัส 3:5 “พระองค์ทรงช่วยเราให้รอด ไม่ใช่เพราะความชอบธรรมที่เราได้ทำ แต่เพราะพระเมตตาของพระองค์ พระองค์ทรงช่วยเราให้รอด ผ่านทางการชำระแห่งการบังเกิดใหม่ และการทรงสร้างขึ้นใหม่ โดยพระวิญญาณบริสุทธิ์”

 

บอกกับตัวเองเลย จดจ่อ จดจำ จนขึ้นใจเอาไว้เลยว่าผ่านทางการชำระ แห่งการบังเกิดใหม่  และการทรงสร้างขึ้นใหม่ โดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า ตอนที่เรารับเชื่อในข่าวดีของพระเยซู ลองอ่านตาม …

“พระองค์ได้ช่วยนคร … (ใส่ชื่อท่าน) … ให้รอด ผ่านทางการชำระแห่งการบังเกิดใหม่ และการทรงสร้างขึ้นใหม่ โดยพระวิญญาณบริสุทธิ์เรียบร้อยไปแล้ว เอเมน”

1 เปโตร 1:3 บันทึกไว้อย่างนี้ … “สรรเสริญพระเจ้า พระบิดาขององค์พระเยซูคริสต์เจ้าของเรา ด้วยพระเมตตายิ่งใหญ่ พระองค์ทรงให้เราทั้งหลายบังเกิดใหม่ เข้าในความหวังอันยืนยง โดยการเป็นขึ้นจากตายของพระเยซูคริสต์”

 

จดจ่อ จดจำ จนขึ้นใจตรงนี้ไว้ นี่คือความจริงว่าเราเป็นใคร? ใส่ชื่อตัวเองเข้าไป เพื่อจะได้มั่นคง จะได้แข็งแรงในการจดจ่อความจริงนี้

“สรรเสริญพระเจ้า พระบิดาขององค์พระเยซูคริสต์เจ้าของนคร … (ใส่ชื่อท่าน) … ด้วยพระเมตตายิ่งใหญ่ พระองค์ทรงให้นคร … (ใส่ชื่อท่าน) … บังเกิดใหม่ เข้าในความหวังอันยืนยง โดยการเป็นขึ้นจากตายของพระเยซูคริสต์”

2 โครินธ์ 5:17 เอาเนื้อๆ ในพระคัมภีร์มีเยอะมากมาย นี่คือเนื้อๆ ความจริง ก็คือ …

2 โครินธ์ 5:17 “เหตุฉะนั้น ถ้าผู้ใดอยู่ในพระคริสต์ การทรงสร้างใหม่ได้เกิดขึ้นแล้ว สิ่งเก่าได้ล่วงไป  สิ่งใหม่ได้เข้ามา”

 

ใส่ชื่อท่านเข้าไปเลย จริงๆ ตรงนี้ “เหตุฉะนั้น” ภาษาเดิมเขาบอกว่า “จงมองให้เห็นเถิด” คือมันมองไม่เห็น มันเกิดขึ้นในโลกวิญญาณ

“จงมองให้เห็นเถิด ถ้านคร … (ใส่ชื่อท่าน) … อยู่ในพระคริสต์แล้ว การทรงสร้างใหม่ได้เกิดขึ้นแล้ว สิ่งเก่าได้ล่วงไป สิ่งใหม่ได้เข้ามา” เอเมน

(1) ทั้งใหม่เอี่ยมถอดด้ามเลย ทั้งตัวเป็นของนครเดี๋ยวนี้ คือทั้งร่างกาย ก็เป็นวิหารของพระเจ้า ถึงแม้จะเป็นร่างกายเดิม แต่ได้ถูกสร้างใหม่ คือได้ถูกชำระจนสะอาดหมดจด บริสุทธิ์ สมกับที่จะเป็นพระวิหารของพระเจ้า ผู้บริสุทธิ์ ที่เรียกว่าโฮลี่ ออฟ โฮลี่ส์ เข้ามาอยู่ในนี้ได้อย่างไร? ถ้ามันไม่บริสุทธิ์สะอาด ร่างกายเราสะอาดบริสุทธิ์มากๆ ทีเดียว มากเท่ากับพระโลหิตของพระเยซูคริสต์ที่ชำระเรา  หลั่งที่ไม้กางเขน ร่างกาย ก็บริสุทธิ์สะอาดใหม่ แต่เป็นร่างกายเดิม  ที่จะมีใหม่กว่านี้ ในอนาคต ซึ่งดีกว่านี้อีก

(2) ความคิดจิตใจก็ใหม่เอี่ยมถอดด้ามเลย

(3) วิญญาณก็ใหม่หมด

บอกตัวเองเลยว่า … “ฉันเป็นคนใหม่จริงๆ”

เรามาดูเอเฟซัส 2:4-6 ก็เหมือนกัน ยิ่งตื่นเต้นใหญ่ บนตำแหน่งเราว่าเมื่อเราเชื่อพระเจ้า แล้วเราได้บังเกิดใหม่ในพระเยซู ตอนนี้เราอยู่ในสวรรค์สถานแล้ว ต้องพูดอย่างนี้ให้ตัวเราเองฟังบ่อยๆ ทุกวันๆ ให้รับรู้ตลอดเวลา

เอเฟซัส 2:4-6 “4 แต่เนื่องด้วยความรักใหญ่หลวงที่ทรงมีต่อเรา พระเจ้าผู้เปี่ยมด้วยพระเมตตาอันอุดม 5 จึงได้ทรงกระทำให้วิญญาณของเรากลับมีชีวิต อยู่กับพระคริสต์ แม้ในขณะที่ วิญญาณเราได้ตายแล้วในบาป คือท่านทั้งหลายได้รับความรอด (จากการลงโทษจากคำสาปแช่ง)  โดยพระคุณ 6 และพระองค์ได้ทรงให้วิญญาณของเราเป็นขึ้นมากับพระคริสต์ และในพระเยซูคริสต์ พระเจ้าได้ทรงให้เรานั่งในสวรรค์สถานกับพระคริสต์”

 

ต้องย้ำความคิด อย่างนี้ ข้อมูลใหม่อย่างนี้ ลงมาในความคิดของเราให้มากๆ เพราะแม้ว่าเราบังเกิดใหม่แล้วก็จริง แต่เรายังดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ ลองใส่ชื่อตัวเอง

“เนื่องด้วยความรักอันใหญ่หลวงที่ทรงมีต่อนครผู้เดียว … (ใส่ชื่อท่าน) …”

เฉพาะตอนที่เราคุยนะ เราก็เห็นแก่ตัวหน่อย แบบบริสุทธิ์ ใส่ชื่อตัวเองไป มันจะได้ชัด

“พระเจ้ารักนคร … (ใส่ชื่อท่าน) … มาก พระเจ้าผู้นี้ ผู้เปี่ยมไปด้วยพระเมตตา อันอุดม จึงได้ทรงกระทำให้วิญญาณของนคร … (ใส่ชื่อท่าน) … กลับมีชีวิตอยู่กับพระคริสต์ แม้ในขณะที่วิญญาณเก่าของนคร … (ใส่ชื่อท่าน) … ได้ตายไปแล้วในบาป อยู่ในนรก คือนคร … (ใส่ชื่อท่าน) … ได้รับความรอด จากการลงโทษ จากคำสาปแช่ง โดยพระคุณของพระเจ้า โดยที่นคร … (ใส่ชื่อท่าน) … ไม่ได้ทำอะไรเลย โดยพระคุณ และพระเจ้าได้ทรงทำให้นคร … (ใส่ชื่อท่าน) … คือตรงวิญญาณของนคร … (ใส่ชื่อท่าน) … เป็นขึ้นจากความตาย คือได้บังเกิดใหม่พร้อมกับพระเยซูคริสต์ที่ได้บังเกิดใหม่ในวันที่ 3 นั่นแหละ และในพระเยซูคริสต์ พระเจ้าได้ทรงจับวิญญาณของนคร … (ใส่ชื่อท่าน) … ตัวของนคร … (ใส่ชื่อท่าน) … ได้นั่งอยู่ที่สวรรค์สถาน ที่เบื้องขวาของพระองค์ร่วมกับพระเยซูคริสต์”

ตอนนี้เป็นอย่างนี้แล้ว ต้องย้ำความจริงเหล่านี้ว่าเราอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้าในสวรรค์สถานแล้ว แต่อย่างที่บอก ที่ตามองเห็น มันยังดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ มันเลยอยากจะเชื่อโลกใบนี้มากกว่า อยากจะเชื่อสิ่งที่ตามองเห็น หูได้ยิน มือจับต้องได้มากกว่าสิ่งที่พระเจ้าพูดเมื่อตะกี้นี้ทั้งหมด เป็นโลกวิญญาณที่มองไม่เห็น แต่พระเจ้าบอกมีอยู่จริง และมันจริงยิ่งกว่าโลกใบนี้ที่มันกำลังสูญสิ้นไป โลกวิญญาณมันจะอยู่นิรันดร์

มันก็ลำบากใจนะ บางครั้งก็ถูกล่อลวงให้อยากจะอยู่กับโลกที่มองเห็นเดี๋ยวนี้มากกว่า อยากจะสบายเดี๋ยวนี้ เหมือนที่มารล่อลวงให้เรา มองวัตถุสิ่งของบนโลกใบนี้ ที่จับต้องมองเห็นได้ เพื่อที่จะล่อลวงเราไปให้ติด แล้วก็จดจ่อกับสิ่งเหล่านั้น แล้วก็ตายไปพร้อมกับมัน แล้วก็ดับสูญไปพร้อมกับโลกใบนี้ ดับสูญไปพร้อมกับคำสาปแช่ง แต่พระเจ้าไม่ต้องการอย่างนั้น พระเจ้าต้องการให้ชีวิตเราดี ดีตั้งแต่เดี๋ยวนี้เลย มันดีไปตลอดแล้ว แต่อยู่บนโลกใบนี้ ก็ดีด้วย

มีสิ่งหนึ่งที่ฝังไว้อยู่ในชีวิตของมนุษย์ ตามที่พระเจ้าได้สร้างขึ้นมาใหม่ๆ คือมนุษย์ อยากจะอยู่อย่างสบายๆ ง่ายๆ เหมือนอย่างที่พระเจ้าได้กำหนด ให้กำเนิดมนุษย์ตั้งแต่สมัยแรกเริ่มต้น ที่ยังไม่ได้ล้มลงไปในความบาป คืออาดัมและเอวาตอนที่อยู่ในสวนเอเดน ไม่ได้ล้มลงไปในความบาป อยู่อย่างสบายมากเลย คือดูแลสวน แม้กระทั่งจิตใจตอนนี้ คนดูแลสวนยังมีความสุขเลย แต่สวนไม่เหมือนสมัยก่อน มันมีความสุขในยุคนั้น

เพราะฉะนั้น มนุษย์จึงมีลึกๆ ในใจ รักสบาย อยากสบาย ซึ่งไม่ผิดเลย มันเป็นธรรมชาติ เราจึงอยากจะควบคุมสถานการณ์ และเปลี่ยนแปลงในปัจจุบันที่ให้มันเป็นไปตามเรา คืออยู่อย่างสบายๆ ทำอะไรก็ตามใจตัวเองได้ เหมือนอย่างที่เคยอยู่ในสวรรค์ ในสวนเอเดน แต่ความจริง ก็คือมนุษย์ทั้งโลกใบนี้ ในขณะนี้ ตกลงไปในความบาป คำสาปแช่งแล้ว พระเจ้าบอกมันลงไปในความชั่วร้ายแล้ว มนุษย์ไม่ได้อยู่ในสวรรค์ ที่เรียกว่าสวนเอเดนอีกต่อไปแล้ว มันเป็นความชั่วร้าย มันไม่มีความสุขความสบายจริงๆ หรอก มันถูกหลอก

นี่คือความจริงที่พระเจ้าพยายามจะบอกพวกเราที่เป็นมนุษย์ ที่อยู่บนโลกใบนี้ โลกนี้ ได้กลายเป็นโลกที่ไม่น่าอยู่อีกต่อไปแล้ว เปรียบเสมือนนรก ที่มีแต่ความชั่วร้าย มีแต่ความสับสนวุ่นวาย ทุกอย่างเป็นไปตามการนำ หรือการครอบครองของมาร ซึ่งมีแต่ขโมย ฆ่า และทำลาย เจ้าแห่งความชั่วร้าย เป็นเจ้าของโลกนี้ไปแล้ว แล้วพระเจ้าบอกอย่างไร? แต่ว่าจงดีใจเถิดว่าพระเยซูได้ชนะมารแล้ว ได้ช่วยมนุษย์ให้พ้นจากการเป็นทาสของมารแล้ว พ้นจากนรกบนโลกใบนี้แล้ว พระเจ้าได้นำสวรรค์มาตั้งอยู่บนโลกใบนี้ 2,000 ปีแล้ว บอกอย่างนั้น วิญญาณของมนุษย์ที่เชื่อในข่าวดีของพระเยซู พระเจ้าได้ย้ายเขาเข้ามาอยู่ในอาณาจักรสวรรค์เรียบร้อยไปแล้ว ย้ายโลกใบนี้ที่เป็นนรก ไปอยู่สวรรค์

ทั้งหมดนี้ พระเจ้าบอกมันเกิดขึ้นในโลกวิญญาณ คือวิญญาณ และจิตใจได้บังเกิดใหม่แล้ว ได้อยู่ในสวรรค์เรียบร้อยแล้วจริงๆ แต่ยังคงอาศัยอยู่ในร่างเดิม ซึ่งแม้ร่างเดิมนี้ ก็เป็นวิหารของพระเจ้านะ แต่ร่างเดิมยังเดินอยู่บนโลกใบนี้ ซึ่งพระเจ้าบอกมันเป็นนรกอยู่ ซึ่งเต็มไปด้วยคำสาปแช่ง ความวุ่นวาย สับสน เสียหาย วิปริต เขาเรียกว่าอัพ ไซด์ ดาว์น มันอะไรก็ไม่รู้ ไม่มีเหตุ มีผล คนทำดี ได้ดีมีที่ไหน? คนทำชั่วได้ดี มีถมไป อะไรประมาณนั้น เดากันไม่ถูกเลย แล้วแต่มาร แล้วเราจะไปเชื่อมันได้อย่างไร พระเจ้าบอกมารมีแต่ขโมย ฆ่าและทำลาย ความชั่วร้ายทั้งหมดบนโลกใบนี้ และในมหาจักรวาลนี้ เกิดจากมารเพียงผู้เดียว และแผ่ขยายออกไป

พระเจ้าบอกเพราะฉะนั้น การอยู่ในสวรรค์ที่พระเจ้าช่วยแล้ว มันต้องรอกำหนดเวลา ที่พระเยซูกลับมาพิพากษาโลก พิพากษามาร  ซึ่งเป็นวันสิ้นสุดของโลกแห่งความชั่วร้ายนี้ ของวันแห่งการสูญสิ้นของโลกใบนี้นั่นเอง พูดง่ายๆ ว่าพระเจ้าให้เรารอก่อน แต่มนุษย์รอไม่ไหว อย่างที่บอก จิตใจมันอยากจะสบาย  พอบอกว่าอยู่ในสวรรค์ ดีใจ เราเชื่อพระเจ้าแล้ว ตอนนี้อยู่ในสวรรค์แล้ว ไม่ใช่ รอก่อน อยู่บนโลกใบนี้ ก็อยู่อย่างโลกนี้ไม่ใช่บ้านเกิดเมืองนอนของเรา  แต่ก็อยู่บนโลกนี้ อย่างเหมือนคนไม่เชื่อ เหมือนกันนั่นแหละ คืออยู่ท่ามกลางการหลอกลวง ความชั่วร้ายของมารบนโลกใบนี้ ความทุกข์ลำบาก พระเยซูจึงบอกว่าท่านอยู่บนโลกใบนี้ ท่านก็อยู่ด้วยความทุกข์ยากลำบาก  เหมือนกับคนอื่นเขาแหละ แต่จงชื่นชมยินดีเถิด เพราะว่าเรา (หมายถึงพระเยซูและเรานั่นเอง) ได้ชนะโลกนี้แล้ว

พระเจ้าได้สร้างสรรพสิ่งและโลกใบนี้ใหม่ ไว้เรียบร้อยแล้ว สวยงามกว่าสมัยสวนเอเดน ที่ยังไม่ได้ตกลงในความบาปด้วยซ้ำไป แต่ให้เรารอก่อน มันยังไม่ปรากฏตอนนี้ มันจะปรากฏเมื่อพระเยซูคริสต์กลับมาอีกที กลับมาพิพากษามาร มันไม่ใช่ตอนนี้ ให้เรารอก่อน แต่เรารอลำบากนะ เราอยาก

“มาเชื่อพระเจ้า มันต้องได้อย่างนี้สิ ไหนบอกอยู่ในสวรรค์แล้วไง” … เถียงพระเจ้าอีก

เพราะฉะนั้น ต้องเอาสิ่งเหล่านี้  คือความจริงเหล่านี้เข้าไปในความคิด และเปลี่ยนแปลงคอนเชป หรือความคิดจิตใจตัวเองเสียใหม่ เอาความคิดเก่าๆ เดิมๆ ออกไปว่าโลกนี้จะมีความสุข ถ้าเรามีเงินเยอะๆ ถ้าเราสุขภาพแข็งแรงมากๆ มันโกหกหลอกลวงทั้งสิ้น

สรุป ก็คือให้เราจดจ่อความคิดของเราไปที่การเสด็จกลับมาของพระเยซูคริสต์ นั่นคือเป้าหมายของเรา วันที่สิ้นโลกนี้ คือเป้าหมายของเรา สิ้นโลกนี้ หรือเราสิ้นก่อน วิญญาณเราออกจากร่างก่อน เราไม่อยู่บนโลกใบนี้แล้ว มันก็สิ้นเหมือนกัน สิ้นสุดการงานรับใช้พระเจ้าบนโลกใบนี้ คือวันที่เราจะได้รับร่างกายใหม่  คือร่างกายที่พระเจ้าจัดเตรียมไว้ให้ เป็นร่างกายที่มีสง่าราศี เหมือนพระเยซูคริสต์ตอนเป็นขึ้นจากความตายในวันที่ 3  เป็นร่างกายเหมือนพระเจ้าเลย ร่างกายที่ไม่ต้องเจ็บปวด ไม่ต้องทุกข์ทรมาน ไม่ต้องเจ็บป่วย ไม่ต้องกลัวอะไรอีกต่อไป ไม่ต้องใช้ความเชื่ออีกต่อไป  เพราะจะเห็นพระเจ้าหน้าต่อหน้า พระเจ้าเตรียมไว้เรียบร้อยแล้ว รอร่างกายใหม่ แล้วไม่ใช่แค่ร่างกายใหม่อย่างเดียว พระเจ้าจัดเตรียม สร้างโลกใหม่ไว้รอแล้ว โลกเก่าที่อยู่นี้ ที่เต็มไปด้วยความชั่วร้ายของมารซาตาน มันจะถึงวันเวลาแห่งการสิ้นสุด มันตั้งอยู่ก็จริง แต่มันก็ไปสู่การเสื่อมสลาย  แล้วพระเจ้าได้สร้างสรรพสิ่งใหม่ทั้งหมด บนโลกใหม่ ให้กับเราเรียบร้อยแล้ว โลกใหม่ ก็คือสัตว์ใหม่ ต้นไม้ใหม่ หินใหม่ น้ำใหม่ ฟ้าใหม่ ใหม่หมดเลย ตัวเราเอง ก็ร่างกายใหม่ เอเมน ชัดเจนไหม? นี่คือสิ่งที่พระเจ้าทรงสัญญาไว้ ซึ่งพระคัมภีร์เรียกว่านครเยรูซาเล็มใหม่ ตามที่พระเจ้าได้ทรงสัญญาไว้ในพระคัมภีร์ วิวรณ์ 21:1-7 อ่านแล้วจะเห็นที่อยู่ของเราในอนาคต อันใกล้นี้ ฮาเลลูยา เราจะได้มีความสุข นี่แหละคือสวรรค์แท้จริง

วิวรณ์ 21:1-7 “1 และข้าพเจ้าเห็นฟ้าใหม่และโลกใหม่ เพราะฟ้าเดิมและโลกเดิมได้ดับสูญไปแล้ว ทะเลก็ไม่มีอีกแล้ว 2 ข้าพเจ้าเห็นนครบริสุทธิ์ คือเยรูซาเล็มใหม่ที่พระเจ้าทรงให้เลื่อนลอยลงมาจากสวรรค์ นครนี้ได้รับการตระเตรียมไว้เหมือนเจ้าสาวแต่งกายงดงามรอรับผู้เป็นสามี 3 และข้าพเจ้าได้ยินเสียงดังมาจากพระที่นั่งว่า “บัดนี้ที่ประทับของพระเจ้ามาอยู่กับมนุษย์แล้ว พระองค์จะสถิตกับพวกเขา เขาทั้งหลายจะเป็นประชากรของพระองค์ และพระเจ้าเองจะทรงอยู่กับพวกเขาและเป็นพระเจ้าของพวกเขา 4 พระองค์จะทรงซับน้ำตาทุกๆ หยดของพวกเขา จะไม่มีความตาย หรือการคร่ำครวญ หรือการร่ำไห้ หรือความเจ็บปวดรวดร้าวอีกต่อไป เพราะระบบเก่าได้ผ่านพ้นไปแล้ว” 5 พระองค์ผู้ประทับบนพระที่นั่งนั้นตรัสว่า “เรากำลังสร้างสรรพสิ่งขึ้นใหม่!” และตรัสอีกว่า “จงเขียนสิ่งนี้ลงไป เพราะข้อความเหล่านี้เที่ยงแท้และเชื่อถือได้” 6 พระองค์ตรัสกับข้าพเจ้าว่า “สำเร็จแล้ว เราคืออัลฟาและโอเมกา เป็นปฐมและอวสาน ผู้ใดกระหาย เราจะให้ผู้นั้นดื่มจากธารน้ำพุแห่งชีวิต โดยไม่ต้องเสียอะไรเลย 7 ผู้ที่มีชัยชนะจะได้รับทั้งหมดนี้ เป็นกรรมสิทธิ์ เราจะเป็นพระเจ้าของเขา และเขาจะเป็นบุตรของเรา”

 

ผู้ที่เชื่อในข่าวดีของพระเจ้าแล้ว นี่เป็นของท่าน นี่คือความจริงในโลกวิญญาณว่าท่านได้รับตรงนี้แล้ว ต้องจดจ่อ จดจำ จนขึ้นใจ นี่ขนาดยังไม่ขึ้นใจ จดจ่อนิดเดียววันนี้ อ่านไปครั้งเดียว บางคนพึ่งจะอ่าน คนเชื่อใหม่ๆ พึ่งอ่านไปครั้งเดียว ขนลุกเลย ปิติยินดีมากเลย ทั้งๆ ที่ยังดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ ทั้งๆ ที่นั่งอยู่ในอาคารอภิสุทธิสถานเดิมนี้ ทั้งๆ ที่นั่งอยู่ในบ้านท่านขณะนี้ ท่านแค่อ่านตรงนี้ ท่านยังรู้สึกกระชุ่มกระชวย นี่แหละคือความหวังของคนที่เชื่อในพระเจ้า นี่คือความหวังของคริสเตียนแท้จริง ไม่ใช่ความหวังที่อยู่บนโลกใบนี้ พระเจ้าให้เราจดจ่อในโลกวิญญาณ เพื่อไม่ให้เราจดจ่อบนโลกใบนี้ที่มารมันพยายามหลอกลวง ล่อลวงเราไปในความไม่แน่นอนบนโลกใบนี้ ในความสูญสิ้น ดับสูญไป ท่านเอาอันนี้มาใส่ชื่อท่าน แล้วท่านจดจำตรงนี้ไว้ตลอดเลย จดจ่อแล้วให้มันขึ้นใจ  ถึงแม้ว่าจะไม่ได้ตามนี้ แต่ให้รู้ว่าความหมายมันอย่างนี้

“และนคร … (ใส่ชื่อท่าน) … เห็นฟ้าใหม่และโลกใหม่ เพราะฟ้าเดิมและโลกเดิมได้ดับสูญไปแล้ว ทะเลก็ไม่มีอีกแล้ว นคร … (ใส่ชื่อท่าน) … เห็นนครบริสุทธิ์ คือเยรูซาเล็มใหม่ที่พระเจ้าทรงได้เลื่อนลอยลงมาจากสวรรค์ นครนี้ได้รับการตระเตรียมไว้เหมือนเจ้าสาวแต่งกายงดงาม รอผู้เป็นสามี”

นี่คือประเพณีชาวยิวแต่งงานนะครับ  คือคืนวันแต่งงาน เจ้าสาวจะต้องแต่งงามที่สุด …

“และนคร … (ใส่ชื่อท่าน) … ได้ยินเสียงดังมาจากพระที่นั่งว่าบัดนี้ พระที่นั่งของพระเจ้ามาอยู่กับนคร … (ใส่ชื่อท่าน) … แล้ว พระองค์จะสถิตอยู่กับนคร … (ใส่ชื่อท่าน) … และผู้เชื่ออื่นๆ ของพระองค์ พระเจ้าเองจะทรงอยู่กับนคร … (ใส่ชื่อท่าน) … และเป็นพระเจ้าของนคร … (ใส่ชื่อท่าน) … ตลอดไป พระองค์จะซับน้ำตาทุกหยดของนคร … (ใส่ชื่อท่าน) … จะไม่มีความตาย หรือการคร่ำครวญ หรือการร่ำไห้ หรือความเจ็บปวดรวดร้าวอีกต่อไป ระบบเก่าได้ผ่านพ้นไปแล้ว พระองค์ผู้ประทับบนพระที่นั่งตรัสว่าเรากำลังสร้างสรรพสิ่งขึ้นใหม่ และตรัสอีกว่าจงเขียนสิ่งนี้ลงไป ข้อความเหล่านี้เที่ยงแท้และเชื่อถือได้

พระองค์ตรัสกับนคร … (ใส่ชื่อท่าน) … ว่าทั้งหมดนี้ มันสำเร็จแล้ว พระเยซู คือพระเจ้า คืออัฟฟ่าและโอเมก้า เป็นปฐมและอวสาน ผู้ใดกระหาย พระเยซูจะให้ผู้นั้นดื่มจากธารน้ำพุแห่งชีวิต โดยไม่ต้องเสียอะไรเลย  นคร … (ใส่ชื่อท่าน) … ผู้ได้รับชัยชนะพร้อมกับพระเยซูไปแล้ว ได้รับทั้งหมดนี้เป็นกรรมสิทธิ์ เราจะเป็นพระเจ้าของนคร … (ใส่ชื่อท่าน) … และนคร … (ใส่ชื่อท่าน) … จะเป็นบุตรของเรา” เอเมน

เอาไปใคร่ครวญ เอาไปคิด เอาไปจดจ่อ จดจำ จนขึ้นใจ เหมือนกับที่เล่นเกมส์ เหมือนกับเล่นแชทบนมือถือ ลืมวันลืมคืน ทำอย่างนี้ได้ไหม? ถามว่าได้ แล้วจะทำไหม? คิดดูก่อน

พระคัมภีร์สอนเรา  พระเจ้าสอนเราบอกว่าสิ่งที่ไม่ควรจดจ่อเลย สำคัญที่สุด ก็คืออย่าจดจ่อไปที่ฝ่ายโลก แล้วคนก็ถามว่าฝ่ายโลก คืออะไร? เราจะมาดูคร่าวๆ วันนี้ ไม่ต้องไปเรียนมันละเอียดมากหรอก ฝ่ายโลกมันชั่วร้าย  สิ่งฝ่ายโลก ก็คืออาณาจักรของความมืด บนโลกใบนี้ ไม่ได้หมายถึงไม่มีแสงไฟสว่าง หรือไฟฟ้าเสีย หมายถึงโลกวิญญาณ อาณาจักรแห่งความมืด คือนรกนั่นเอง ถ้าเปรียบในโลกวิญญาณ ที่เราอยู่กับพระเจ้า คือสวรรค์ ตรงนี้ก็คือนรก อาณาจักรแห่งความมืด ที่มีมารครอบครองอยู่ เต็มไปด้วยความบาป คำสาปแช่ง ความทุกข์ลำบาก การขโมย ฆ่า และทำลาย ความเสียหาย ความตาย การล่อลวงด้วยลาภ ยศ สรรเสริญ ทรัพย์สินเงินทอง เกียรติ และความสุขสบายบนโลกใบนี้ นี่แค่คร่าวๆ ให้เราเห็นชัด อย่าไปจดจ่อกับมัน เป็นทางผ่านเฉยๆ

โลกนี้ไม่ใช่บ้านเรา              ฉันเพียงอาศัยชั่วคราว

สมบัติฉันสะสมไว้               ที่ในสวรรค์เบื้องบน

ทูตสวรรค์ร้องเรียกอยู่         ณ ประตูบนวิมาน

และฉันรู้ว่าโลกนี้                 ไม่ได้เป็นบ้านฉันเลย

เพราะฉะนั้น ไม่ต้องไปยุ่งกับมัน ไม่ต้องไปสร้างมัน ไม่ต้องไปก่อมัน ไม่ต้องไปเก็บอะไรไว้ เพราะมันจะสูญสิ้นไป พระคัมภีร์บอกว่าขณะที่เราจากโลกนี้ไป เราไม่ได้เอาอะไรไปเลย สักอันหนึ่ง ไม่มีทางเอาอะไรไปจากโลกใบนี้เลย เราตายไปพร้อมกัน อย่าให้มันหลอกให้เราสร้างสิ่งของไว้บนโลกใบนี้ สร้างรากฐานไว้บนโลกใบนี้ เราควรสร้างรากฐานไว้บนศิลา คือพระเยซูคริสต์ต่างหาก

ฝ่ายโลก คือความคิดตามระบบวิสัยบาป ธรรมชาติบาป ที่ปกคลุมโลกนี้อยู่ โดยการนำของมาร ซึ่งพระคัมภีร์ใช้เรียกว่าเนื้อหนัง … เนื้อหนังไม่ใช่ตัวอีกแล้ว เนื้อหนัง คืออิทธิพลของความบาป ที่มารซาตานใช้ เป็นอำนาจ มาบังคับเคี่ยวเข็ญให้มนุษย์ทำบาป แต่เราไม่ได้เป็นทาสมันอีกต่อไปแล้ว เราหลุดจากการเป็นทาสแล้ว เราได้รับการช่วยให้รอด จากการเป็นทาสมารไปแล้ว

เนื้อหนัง คือศัตรู อยู่ตรงกันข้ามกับพระเจ้า สรุปง่ายๆ คือดื้อและไม่เชื่อฟัง นี่คือเนื้อหนัง จำไว้ว่าเนื้อหนังไม่ใช่ตัวเรา เนื้อหนัง คืออิทธิพลของความบาป  ที่พยายามมาผลักดัน ที่พยายามมาชักจูงเรา ให้เป็นศัตรู อยู่ตรงข้ามกับพระเจ้า ให้เราดื้อต่อพระเจ้า ไม่เชื่อฟังทุกประการ นี่เรียกว่าเนื้อหนัง

และพระคัมภีร์บอกว่าอย่าไปยึดเกาะสิ่งต่างๆ เหล่านี้ เพราะสิ่งต่างๆ เหล่านี้มันกำลังร่วงไป มันเป็นสิ่งที่ไม่จีรัง มันอยู่แค่ชั่วคราว มันอยู่แค่แป๊บเดียว มันกำลังไปสู่การดับสูญ ถ้าเราไปยึดอยู่กับมัน เราก็สูญไปกับมันด้วย เราก็เต็มไปด้วยความทุกข์ แม้ว่าเราเชื่อพระเจ้าแล้ว แล้วเรายังไปยึดติดกับมัน ไปมองมัน ถูกมันล่อลวง ยิ่งไปจดจ่ออยู่กับมันมากๆ ก็ถูกดึงไปเชื่อมัน เกิดความทุกข์ แม้วิญญาณ ความคิดจิตใจเราจะรอดแล้ว ไปสวรรค์แล้วก็จริง แต่เราอยู่บนโลกใบนี้เหมือนอยู่กับไฟเลย  เหมือนอยู่บนนรกเลย ยิ่งคนที่ยังไม่ได้เชื่อในข่าวประเสริฐของพระเจ้า ยังไม่ได้รับการบังเกิดใหม่ ยังไม่ได้ถูกย้ายมาอยู่ในสวรรค์ ยิ่งแย่ใหญ่เลย  ยิ่งเป็นทาสมารอยู่ ก็ถูกมันล่อลวงอยู่บนโลกใบนี้ ด้วยวิธีการต่างๆ นานา ฝังตัวเองอยู่ในโลกใบนี้ ในที่สุด ก็จะดับสูญไปกับมัน พระคัมภีร์บอกเราว่าโลกและทุกสิ่งบนโลก กำลังดับสูญไป มันอยู่ในระหว่างทางกำลังดับสูญ มันอยู่ในขบวนการกำลังดับสูญ มันอยู่ในขบวนการกำลังสลายไป มันอยู่ในขบวนการกำลังลงนรกถาวรนิรันดร์ เมื่อวันนั้นมาถึง 2 เปโตร 3:3-15

2 เปโตร 3:3-15 “3 ก่อนอื่นท่านต้องเข้าใจว่าในยุคสุดท้าย จะมีคนชอบเยาะเย้ย มาเยาะเย้ย และทำตามตัณหาชั่วของตนเอง 4 พวกเขาจะกล่าวว่า “ไหนล่ะ ‘การเสด็จมา’ ที่ทรงสัญญาไว้? นานมาแล้วตั้งแต่บรรพบุรุษของเราตายไป ทุกอย่างก็ดำเนินไปเหมือนที่เป็นมาตั้งแต่เริ่มสร้างโลก” 5 แต่เขาจงใจลืมความจริงที่ว่า นานมาแล้ว โดยพระดำรัสของพระเจ้าฟ้าสวรรค์ก็มีขึ้นและแผ่นดินโลกก็ก่อตัวขึ้นมาจากน้ำ โดยมีน้ำล้อมรอบ 6 น้ำเหล่านี้เองที่ท่วมทำลายโลกในครั้งนั้น 7 โดยพระดำรัสเดียวกันนี้ ฟ้าสวรรค์และโลกปัจจุบันก็ถูกสงวนไว้ให้ไฟเผาผลาญ ถูกเก็บไว้เพื่อวันแห่งการพิพากษา และความหายนะของคนอธรรม 8 แต่อย่าลืมข้อนี้เพื่อนที่รัก คือสำหรับองค์พระผู้เป็นเจ้า แล้วหนึ่งวันก็เหมือนหนึ่งพันปี และหนึ่งพันปีก็เหมือนหนึ่งวัน 9 องค์พระผู้เป็นเจ้าไม่ได้ทรงเชื่องช้า ที่จะทำตามพระสัญญาอย่างที่บางคนคิด แต่ทรงอดทนต่อท่าน เพราะพระองค์ไม่ทรงประสงค์ให้ผู้ใดพินาศ แต่ทรงประสงค์ให้ทุกคนกลับใจใหม่ 10 กระนั้นวันแห่งองค์พระผู้เป็นเจ้าจะมาเหมือนขโมย ที่ลอบเข้ามา โดยไม่มีใครคาดคิด ฟ้าสวรรค์จะหายวับไปด้วยเสียงกัมปนาท และโลกธาตุทั้งหลายจะถูกไฟเผาทำลาย นั่นคือแผ่นดินโลกกับสรรพสิ่งในนั้นจะถูกทำลายสิ้น 11 ในเมื่อทุกสิ่งจะถูกทำลายลงเช่นนี้ พวกท่านควรจะเป็นคนแบบไหน? พวกท่านควรดำเนินชีวิตอย่างบริสุทธิ์ และอยู่ในทางพระเจ้า 12 ขณะที่พวกท่านเฝ้ารอ และเร่งวันแห่งพระเจ้าให้มาโดยเร็ว วันนั้นฟ้าสวรรค์จะล่มสลายด้วยไฟและโลกธาตุต่างๆ จะหลอมละลายในความร้อน 13 แต่ด้วยการยึดมั่นในพระสัญญาของพระองค์ พวกเรากำลังเฝ้ารอฟ้าสวรรค์ใหม่และโลกใหม่ ซึ่งเป็นที่พำนักของความชอบธรรม 14 เช่นนั้นแล้วเพื่อนที่รัก ในเมื่อท่านกำลังเฝ้ารอสิ่งนี้อยู่ จงพยายามทุกวิถีทาง ที่จะให้พระองค์ทรงเห็นว่าท่านปราศจากข้อด่างพร้อย ไร้ตำหนิและมีสันติสุขในพระองค์ 15 จงระลึกว่าที่องค์พระผู้เป็นเจ้าของเราทรงอดกลั้นพระทัยไว้ ก็เพื่อให้คนทั้งหลายมีโอกาสได้รับความรอด เหมือนที่น้องเปาโลที่รักของเราได้เขียนจดหมายมาถึงท่าน ด้วยสติปัญญาที่พระเจ้าประทาน”

 

ข้อ 9 บอกว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้าไม่ได้ทรงเชื่องช้า ที่จะทำตามพระสัญญาอย่างที่บางคนคิด”

พระองค์บอก พระองค์จะมาพิพากษา เอาโลกใหม่มาให้ใช่ไหมครับ?

“แต่ทรงอดทนต่อท่าน เพราะพระองค์ไม่ทรงประสงค์ให้ผู้ใดพินาศ แต่ทรงประสงค์ให้ทุกคนกลับใจใหม่”

คือรอ ต้องการให้ผู้คนบนโลกใบนี้ ที่ยังไม่เชื่อข่าวดีของพระเจ้า ไม่เชื่อในพระเยซู ยังไม่ได้เกิดใหม่ ให้เขาได้มาเชื่อและได้เกิดใหม่ซะ แต่อย่างไรก็ตาม ถึงแม้จะรอก็ตาม อยากให้เขาเกิดใหม่ก็ตาม แต่มันมีวันนั้นจริงๆ วันนั้น คืออะไร? ข้อ 10 บอก …

ข้อ 10 “กระนั้นวันแห่งองค์พระผู้เป็นเจ้าจะมาเหมือนขโมย ที่ลอบเข้ามา โดยไม่มีใครคาดคิด ฟ้าสวรรค์จะหายวับไปด้วยเสียงกัมปนาท และโลกธาตุทั้งหลายจะถูกไฟเผาทำลาย นั่นคือแผ่นดินโลกกับสรรพสิ่งในนั้นจะถูกทำลายสิ้น”

ขโมยเข้ามา ไม่มีใครรู้ตัวเลย หลับกันสนิท นึกว่าดีแล้ว มาได้ทุกเมื่อ ทุกวัน ทุกเวลา ก็คือมาได้ทุกเสี้ยววินาที

ฟ้าสวรรค์ หมายถึงฟ้าที่เรามองเห็น มองขึ้นไปเห็นนกบิน เขาเรียกว่าฟ้า ฟ้าสวรรค์ หมายถึงฟ้า และสวรรค์ หมายถึงสวรรค์บนดิน หมายถึงว่ามองขึ้นไปจากนี้ เห็นนก เรียกว่าฟ้า และมองจากฟ้าขึ้นไป เห็นเมฆ ลอยขึ้นไป เห็นดวงดาวต่างๆ ฟ้าอีกเหมือนกัน สิ่งเหล่านี้ ทั้งดวงดาว ดวงอาทิตย์ และฟ้าบนโลก ที่มีเมฆ ก็จะดับสูญไปสิ้น ถูกเผาทำลายไป นั่นคือแผ่นดินโลก และสรรพสิ่งในนั้นจะถูกทำลายสิ้น ท่านอ่านดูตรงนี้แล้วจะเห็นอะไร? ฟ้าสวรรค์จะหายแว๊บ หมายถึงเที่ยวเดียวเลยนะครับ ไม่เหมือนบางคนบอกว่าโควิด ไม่ใช่โควิด โควิดตั้งนาน  อันนี้หมายถึงฟ้าสวรรค์ ทั้งโลกใบนี้ ทั้งสรรพสิ่งทั้งหลายบนโลกใบนี้ จะถูกเปรี้ยง แว๊บหายไปเลย เสียงเดียว ในนี้บอกกัมปนาท โห้! กัมปนาท มันเหมือนบิ๊กแบงก์ และโลกธาตุ คือธาตุวัตถุ สิ่งของบนโลกใบนี้จะดับสูญ เป็นไฟเผาผลาญ เกลี้ยงไปเลย นั่นคือแผ่นดินและสรรพสิ่งในนั้นจะถูกทำลายสิ้น

ในเมื่อทุกสิ่งบนโลกใบนี้จะถูกทำลาย  ท่านควรจะเป็นคนแบบไหน?  ควรจะดำเนินชีวิตให้บริสุทธิ์อย่างไรในทางพระเจ้า  ควรจะจดจ่อไปที่นั่นหรือไม่? ไม่ควรจดจ่อไปที่มันแล้วใช่ไหม? นี่พระเจ้าจะมาได้ต่อเมื่อพระเจ้าอยากจะให้คนที่ไม่เชื่อ ได้รับเชื่อ จะรู้ได้อย่างไรว่ามันถึงเวลาของพระเจ้าแล้ว พูดง่ายๆ อ่านแล้ว ก็คือมันเกิดขึ้นได้ทุกเสี้ยววินาที อาจจะเป็นอีก 1 นาทีข้างหน้านี้ เกิดกัมปนาท เปรี้ยง โลกใบนี้และสรรพสิ่งบนโลกใบนี้ ถูกทำลายจนหมดสิ้น

เพราะฉะนั้น นี่ก็พูดไปถึงคนที่ยังไม่ได้ต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดด้วย อย่าเสี่ยงๆ ในนี้บอกพระเจ้ามาอย่างขโมย ก็คือไม่มีใครรู้ นึกไม่ถึง คิดไม่ถึง คาดไม่ถึง เปรี้ยงเดียว จบ คนที่เชื่อแล้ว ก็ได้ไปสวรรค์ อยู่ในสวรรค์กับพระเจ้านิรันดร์กาล แต่ขณะที่อยู่บนโลกใบนี้ ก็อย่าไปจดจ่อกับมัน ถูกมันล่อลวงให้หลงไป เพราะว่าถูกล่อลวงให้หลงไป ก็ทำให้ชีวิต แม้ว่าจะไปสวรรค์ก็จริง แต่อย่างที่บอกไว้ว่ามันไม่มีความสุขเท่าที่ควร แล้วไม่ให้พระเจ้าใช้ชีวิตเราให้เป็นประโยชน์ในการนำผู้อื่นมารับเชื่อ มาสู่สวรรค์เหมือนกับเราอย่างนี้ ได้มากเท่าที่ควร เพราะฉะนั้น อย่าหลงทาง อย่าไปจดจ่อ สนใจกับมันมากนักบนโลกใบนี้ เพราะมันกำลังดับสูญไป แป๊บเดียว

ในนี้ยังบอกว่า 1 วันของพระเจ้าเท่ากับ 1 พันปีของมนุษย์ พูดง่ายๆ ก็คือเวลาของพระเจ้าไม่เท่ากับเวลาของเรา ไม่เหมือนเวลาของเรา เราบอกว่าเป็นพันปี พระเจ้าบอกว่าแค่วันเดียวเอง

มีชายคนหนึ่งเขาถามพระเจ้าว่า … “เงินร้อยล้าน สำหรับพระเจ้า เท่ากับเท่าไร?”

พระเจ้าก็ตอบว่า … “ร้อยล้านเหรอ ตัวเลขในสวรรค์กับตัวเลขในโลกนี้ มาเทียบกันไม่ได้หรอกลูกเอ๋ย มันต่างกันลิบลับเลยล่ะ  ร้อยล้านก็เทียบเท่ากับบาทหนึ่งมั้ง”

ชายคนนั้น ก็เลยบอกพระเจ้า … “พระเจ้า อย่างนั้น ลูกอธิษฐานขอสักบาทสิ”

พระเจ้าบอก … “ได้ สบายมากอยู่แล้วลูกเอ๋ย รอแป๊บหนึ่ง รอ 1 วินาที”

1 วินาทีอาจจะ 100 ปี พระเจ้าบอกให้รอแป๊บเดียวเอง พระองค์บอกอดทนนิดเดียว แล้วพระองค์ก็อดทน ไม่อยากจะทำลายโลกเลย เพราะยังมีมนุษย์ที่ยังไม่เชื่ออยู่ แต่มันจะมีวันเวลาที่กำหนดไว้เรียบร้อยแล้วจริงๆ เราไม่รู้ว่าวันไหน?  พระเจ้าจึงบอกคนที่เชื่อแล้ว รอแป๊บหนึ่ง อดทนต่อความทุกข์ยากลำบากบนโลกใบนี้ ซึ่งมันเป็นเรื่องธรรมดา โลกใบนี้ ไม่ว่าจะเชื่อพระเจ้าหรือไม่เชื่อพระเจ้า มันก็ทุกข์ยากลำบากอย่างนี้แหละ มารมันไม่เคยปลดปล่อย ไม่เคยยอมให้ใครสักคนหนึ่งมีความสุขบนโลกใบนี้ เพราะมันมีหน้าที่ของมันที่จะขโมย ฆ่า และทำลายทุกคนที่เป็นของพระเจ้า รวมทั้งสรรพสิ่งด้วย ทั้งสัตว์ ก้อนหิน ต้นไม้ใบหญ้าทั้งหมด ก็ถูกทำลาย โดยความชั่วร้ายของมารด้วยเช่นเดียวกัน เพราะฉะนั้น พระเจ้าจึงบอกให้อดทนอีกแป๊บเดียวนะ ลูกเอ๋ย เดี๋ยวความสุขนิรันดร์ก็จะมาถึงแล้ว โลกใหม่ ร่างกายใหม่ ที่จัดเตรียมไว้ให้เรียบร้อยไปแล้ว อดทนรออีกแป๊บเดียว

เพราะฉะนั้น ให้เราอดทน พอเราเกิดความเจ็บป่วย มนุษย์ถูกสาปแช่งบนโลกใบนี้แล้ว มารทำให้มนุษย์ร่างกายเสียหายไปหมดแล้ว ร่างกายมันต้องเกิดความเจ็บป่วยเสียหาย ไปสู่ความตาย เป็นเรื่องธรรมดาของโลกใบนี้ อดทนหน่อยลูกเอ๋ยแป๊บเดียวเอง  จะได้รับร่างกายใหม่  เพราะฉะนั้น ยามเจ็บป่วย จึงต้องอธิษฐานกับพระเจ้า แล้วอดทน  มันเจ็บปวด ก็อดทนเอา มันมีวันหยุดของมัน ขาดแคลนเงินไม่พอใช้ อดทน ยิ่งตอนนี้ โควิดทำให้การงานไม่ดี ตกงานบ้าง อะไรต่างๆ เหล่านั้น เป็นเรื่องธรรมดาของโลกใบนี้ ที่เสียหายไปแล้ว เพราะฉะนั้น อดทนนะลูกเอ๋ย อดทนๆ เพราะเรามีความหวังใจแน่นอนในชีวิตนิรันดร์  ชีวิตในสวรรค์สถานที่เราได้อยู่แล้วในสวรรค์ และจำได้อยู่อย่างถาวรนิรันดร์ด้วยโลกใหม่ ที่ไม่มีอย่างนี้อีกแล้ว ถูกเขาเอาเปรียบอะไรต่างๆ จะโกรธเขาอะไรต่างๆ เหล่านั้น  ก็ต้องอดทนไว้ลูกเอ๋ย อดทนไว้ อย่าไปเชื่อมารมัน นั่นคือวิถีทางของโลก ไม่ว่าอะไรต่ออะไรอีกหลายๆ อย่างบนโลกใบนี้

ยกตัวอย่างง่ายๆ อีกอันหนึ่ง สุดท้าย นี่คือต้องอดทน เห็นชัดเลย มารก็หลอกเรา การกินเป็นสิ่งที่มนุษย์ต้องกิน เพื่อให้สุขภาพแข็งแรง ให้สุขภาพร่างกายอยู่ได้ แล้วมนุษย์ก็ชอบกินของอร่อยอยู่แล้ว พระเจ้าสร้างให้เรามากินของอร่อย แต่มารมันทำให้เสียหายไปหมดแล้ว ถูกหลอกด้วยมาร กินของอร่อย แต่มันทำลายสุขภาพตัวเอง เราก็ต้องพยายามอดทน รู้ว่ากินมันอร่อยจริง แต่มันเป็นพิษต่อร่างกาย ทำให้ร่างกายสุขภาพไม่ดี ก็กินให้มันน้อยหน่อย ต้องใช้ความอดทนเหมือนกัน จะกินข้าวเหนียวทุเรียน ก็อดทนหน่อย กินมันน้อยหน่อย ถ้ากินมาก เราก็เป็นทุกข์ แม้ไปสวรรค์ก็จริง แต่มันทุกข์แบบไม่สมควรที่จะทุกข์

คล้ายๆ กันอย่างนี้  ยกตัวอย่างให้ท่านฟัง แล้วค่อยมาเรียนรู้ชัดเจนอีกครั้งหนึ่งว่าการดำเนินชีวิตตามที่พระเจ้าสอนเราอย่างนี้ ไม่จดจ่อลงไปในโลกฝ่ายวัตถุ มันมีประโยชน์ต่อเรา เป็นพระพรต่อเรามากเพียงใด ขอพระเจ้าอวยพรครับ

 

*************************

 

 

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 7 มิถุนายน 2020 เรื่อง “สวรรค์อยู่ที่นี่แล้ว” ตอน 3 “จงเกิดใหม่” โดย นคร เวชสุภาพร

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  7  มิถุนายน  2020

 เรื่อง “สวรรค์อยู่ที่นี่แล้ว”

ตอน 3 “จงเกิดใหม่”

โดย นคร   เวชสุภาพร

            สวัสดีครับ วันนี้เป็นตอนสุดท้ายของเรื่องสวรรค์อยู่ที่นี่แล้ว ตอนที่ 3 จงเกิดใหม่ (ซะ) ตั้งใจฟังให้ดีๆ เหมาะสำหรับผู้ที่เชื่อในข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์แล้ว  และเหมาะสำหรับผู้ที่ยังไม่เชื่อด้วย ซึ่งสำคัญมากกว่าผู้ที่เชื่อแล้วซะอีก เพราะฉะนั้น ต้องฟังทั้งสองกลุ่ม กลุ่มที่เชื่อแล้ว  กลุ่มที่ฟังอยู่ ยังไม่เชื่อ และกลุ่มที่ฟังอยู่แล้ว เอ๊ะ สวรรค์อยู่ที่นี่แล้วจริงๆ เหรอ หากันมาตั้งนาน อย่างที่ผมบอก เรื่องของข่าวประเสริฐของพระเยซู เรื่องพระคัมภีร์ไบเบิ้ล เป็นเรื่องเกี่ยวกับโลกวิญญาณเพียงอย่างเดียวเลย  ตามองไม่เห็น หูไม่ได้ยิน คือสิ่งที่พระเจ้าเตรียมไว้ให้กับมนุษย์บนโลกใบนี้

เราได้ฟังมาตลอดว่าผู้ที่จะได้รับความรอดจากบาป รอดจากการตกนรก และได้รับสิ่งต่างๆ ที่พระเจ้าได้ทรงสัญญาไว้มากมาย อย่างเช่นสวรรค์เป็นต้น มีหนทางเดียว คือเขาเหล่านั้น หรือเขาคนนั้นจะต้องบังเกิดใหม่ 2 ตอนที่แล้ว เราพูดถึงเรื่องนี้แล้ว เขาต้องบังเกิดใหม่ ซึ่งวันนี้ เราจะมาคุยกันว่าการบังเกิดใหม่ หมายความว่าอย่างไร? และทำไมต้องบังเกิดใหม่ด้วย สาเหตุหลักที่สำคัญที่สุด ที่ทำให้มนุษยชาติตกจากสวรรค์ ลงมาอยู่ตรงกันข้ามกับสวรรค์ ก็ตกลงมาอยู่นรก คำสาปแช่ง หรือเรียกว่าความบาป ความตาย มันเป็นสาเหตุที่ไม่ได้ขึ้นอยู่ที่การกระทำชั่ว หรือการกระทำดีของเขาคนนั้น ของมนุษยชาติ ในพระคัมภีร์บอกว่ามันเกิดจาก เกิดมาเป็นเลย  เกิดจากครรภ์มารดา คลอดออกมา วิญญาณก็อยู่ในความบาป อยู่ในความตาย อยู่ในคำสาปแช่ง อยู่ในอาณาจักรหนึ่งที่เรียกว่าความมืด หรือเราเรียกว่านรกนั่นเอง คือไม่มีพระเจ้าอยู่ที่นั่น

เพราะฉะนั้น สาเหตุหลัก ก็คือไม่ได้อยู่ที่การกระทำ  แต่อยู่ที่การเกิดมาเป็น เกิดมาเป็นบาปเลย อยู่ในความตาย อยู่ในอาณาจักรมืดเลย  เพราะฉะนั้น ผู้ที่เชื่อในข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์ ที่ได้บังเกิดใหม่แล้ว และก็ได้รับรู้ความจริงในโลกฝ่ายวิญญาณว่าเมื่อเขาบังเกิดใหม่ ในโลกวิญญาณ ที่พระเยซูบอก ขณะนี้ เขาอยู่ในสวรรค์แล้ว ไม่ต้องรอให้เขาตายไปก่อน แต่ตอนนี้เขาเดินอยู่บนโลกใบนี้ แต่วิญญาณเขาอยู่ในสวรรค์แล้ว ถ้าเขารู้อย่างนี้ เขาก็จะชื่นชมยินดีในชีวิตบนโลกใบนี้อย่างสบายๆ  สามารถเผชิญทุกสถานการณ์ได้ ในชีวิต ไม่ว่าจะดีขนาดไหน หรือเลวขนาดไหน ตามที่พระคัมภีร์บอกว่า …

“ข้าพเจ้าสามารถเผชิญทุกสถานการณ์ได้ผ่านทางพระเยซูคริสต์ผู้เสริมกำลังให้ข้าพเจ้า พาข้าพเจ้าได้บังเกิดใหม่ในโลกวิญญาณ ไปอยู่ในสวรรค์แล้ว อะไรเกิดขึ้นบนโลกใบนี้ เขาไม่สะทกสะท้าน เพราะเขารู้ว่าการอยู่บนโลกใบนี้มันแป๊บเดียวชั่วคราว แต่การที่เขาอยู่ในโลกฝ่ายวิญญาณ อยู่ในสวรรค์แล้ว มันอยู่ถาวรนิรันดร์เลย เพียงแต่มีขีดกั้นนิดเดียว ระหว่างมิติของโลกวัตถุนี้กับมิติทางฝ่ายวิญญาณ นิดเดียว กั้นไว้ด้วยร่างกายเก่าที่ดำเนินอยู่บนโลกใบนี้”

พระคัมภีร์บอกว่าเมื่อร่างกายนี้สิ้นสุดลง หมดงาน คือตายไป วิญญาณออกจากร่าง ก็อยู่ที่สวรรค์เหมือนเดิม แต่เห็นพระเจ้าหน้าต่อหน้า  เขาถึงไม่กลัวไง?  คนที่เชื่อในพระเจ้า ที่เป็นผู้บังเกิดใหม่ในอดีต อย่างเช่นอัครสาวก หรือผู้เชื่อในสมัยยุคแรกๆ หรือตั้งแต่โน้นมาจนถึงทุกวันนี้ มีเยอะแยะมากมาย เขาสามารถเผชิญกับความรุนแรง ความท้าทายอย่างมากมาย ตามที่พระเจ้าได้ใช้เขา บางคนบอกว่าไม่กลัวเลย บางคนถูกตัดคอ บางคนถูกตรึงที่ไม้กางเขน อย่างทุกข์ทรมาน บางคนถูกนำไปเผาไฟทั้งเป็น  บางคนถูกนำไปข่มเหงรังแก ไปสู้กับสัตว์ร้าย ให้สัตว์ร้ายกัดกินอะไรต่างๆ เหล่านี้ แต่เขาเหล่านี้ไม่สะทกสะท้านถึงสิ่งเหล่านั้นเลย เพราะเขารู้ว่าเขาเป็นวิญญาณ และอยู่ในสวรรค์แล้ว และเขามีคอนเชปในชีวิตว่าถ้าตาย หมายถึงวิญญาณ ถ้าออกจากร่าง ก็ได้กำไร ก็ดีกว่าอยู่อีก  เพราะว่าจะได้เห็นพระเจ้าหน้าต่อหน้าเลย แล้วก็หมดทุกข์หมดโศก ไม่ต้องรับใช้พระเจ้า ไม่ต้องทำงานอีกต่อไปแล้ว ท่านพอมองเห็นไหมครับ?

เพราะฉะนั้น การได้รับรู้ว่าเดี๋ยวนี้ เราอยู่ในสวรรค์แล้ว สำหรับผู้ที่เชื่อแล้วนะ  จึงมีความสำคัญมากในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้  ไม่มีอะไรมาทัดเทียมได้เลย เพราะฉะนั้น พระคัมภีร์จึงบอกเราว่าใครก็ตามที่เชื่อในข่าวดีแล้ว ได้บังเกิดใหม่แล้ว จงจดจ่อความคิดของท่านตลอดวันตลอดคืนที่เบื้องบน ที่ในโลกวิญญาณว่าท่านเป็นใคร?  ท่านเป็นลูกพระเจ้า ท่านอยู่ในสวรรค์แล้ว

เพราะว่าขณะที่พวกเขารับรู้ว่าตัวตนแท้จริงของเขาอยู่ในสวรรค์ แสดงว่าเขารับรู้แล้วว่าตัวตนแท้จริงของเขาตามที่พระคัมภีร์ได้บอกไว้ ได้บันทึกเอาไว้ เป็นประวัติศาสตร์มนุษยชาติว่ามนุษย์นั้น เป็นสิ่งมีชีวิตที่เป็นวิญญาณ มีจิตใจและอาศัยในร่างกายนี้เพียงชั่วคราว  เพราะร่างกายนี้กำลังไปสู่ความตายนั่นเอง และมีอะไรเกิดขึ้นในโลกวิญญาณบ้าง

ในโลกวิญญาณเขารู้ว่ามันมีอะไรเกิดขึ้น เพราะเขาอ่านในพระคัมภีร์  พระคัมภีร์พูดถึงเรื่องเกี่ยวกับโลกวิญญาณ  เขารู้ว่าถ้าเขาตายลง หรือวิญญาณออกจากร่าง ก็คือแค่เปลี่ยนมิติไปสู่มิติฝ่ายวิญญาณชัดเจน ไม่มีอะไรขวางกั้น  เห็นโลกวิญญาณอย่างชัดเจนแจ่มใส ไม่มัวๆ อย่างวิญญาณที่อาศัยอยู่ในร่างกายนี้เท่านั้นเอง เพราะฉะนั้นใครก็ตามที่รับรู้แบบนี้ได้ และเข้าใจเรื่องนี้ได้  ก็จะมีความหวังใจที่เรียกว่าความหวังใจที่เป็น now แปลว่าเดี๋ยวนี้  เป็นความหวังใจเดี๋ยวนี้ พระคัมภีร์จะไม่เหมือนความหวังใจของโลกที่เขาบอกว่า …

“เราหวังว่าเราจะมีรถคันหนึ่ง เราหวังว่าเราจะประสบความสำเร็จ”

มันเป็นอนาคตทั้งหมด แต่พระคัมภีร์ในความหวังตรงนี้ เป็นความหวังที่เป็น faith หมายถึงความเชื่อศรัทธา ความหวัง + กับความเชื่อศรัทธา มันจะกลายเป็นจริง ก็คือมันจับต้องมองเห็นได้ ในสิ่งที่เราหวัง แม้จะมองไม่เห็น แต่มันจับต้องมองเห็นได้ ที่ความสัมผัสทางฝ่ายวิญญาณของเรา  เพราะเรารู้เราเป็นวิญญาณ เราสัมผัสจับต้องได้ว่าเราอยู่ในสวรรค์แล้ว

สิ่งที่เราหวังไว้ คืออะไร?  เราจะอยู่กับพระเจ้านิรันดร์ มันจับต้องมองเห็นได้  ก็เพราะความหวังนี้แหละ  เพราะฉะนั้น ใครที่รู้ความจริงตรงนี้ ก็จะมีความสุขสมบูรณ์ คิดไม่เหมือนกับคนในโลกนี้แล้ว ก็จะไม่กลัวความตาย ไม่กลัวความทุกข์ยากลำบาก ไม่ว่าอะไรก็ตามบนโลกใบนี้ ไม่กลัวอีกต่อไปแล้ว พระเจ้าอยากจะพาผู้เชื่อทั้งหลาย ที่ดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ มาสู่ความจริงตรงนี้ เพื่อเขาจะได้มีสันติสุข ความสงบสุขบนโลกใบนี้ ที่เกินกว่ามนุษย์จะคิดและจะคาดได้

คราวนี้ทำอย่างไรถึงจะได้เข้าไปอยู่ในสวรรค์ หลายคนก็พอรู้บ้าง วันนี้มาเพิ่มเติมอีกนิดหนึ่งว่าแล้วทำอย่างไรถึงได้เข้าไปอยู่ในสวรรค์แล้วเดี๋ยวนี้เลย ยอห์น 3:3-6 …

ยอห์น 3:3-6 “3 พระเยซูตรัสตอบเขาว่า  “เราบอกความจริงกับท่านว่าถ้าคนใดไม่ได้เกิดใหม่ คนนั้นไม่สามารถเห็นแผ่นดินของพระเจ้า”  4 นิโคเดมัสทูลพระองค์ว่า “คนชราจะเกิดใหม่ได้อย่างไร จะเข้าไปในท้องของแม่ครั้งที่สอง แล้วเกิดใหม่ได้หรือ” 5 พระเยซูตรัสว่า “เราบอกความจริงกับท่านว่าถ้าใครไม่ได้เกิดจากน้ำและพระวิญญาณ คนนั้นจะเข้าในแผ่นดินของพระเจ้าไม่ได้  ที่เกิดจากเนื้อหนัง ก็เป็นเนื้อหนัง  และที่เกิดจากพระวิญญาณ  ก็เป็นวิญญาณ”

 

พระเยซูพูดชัดเจน ใครจะเข้าสวรรค์ต้องผ่านการบังเกิดใหม่ ถ้าคนใดไม่ได้เกิดใหม่ คนนั้นไม่สามารถเห็นแผ่นดินของพระเจ้าได้ ถ้าใครไม่ได้เกิดจากน้ำ หมายถึงเกิดจากครรภ์มารดา อยู่ในน้ำคร่ำ ก็คือเป็นมนุษย์ ใครก็ตามที่เป็นมนุษย์ คนนั้นอยากจะเกิดใหม่ ไม่ใช่คลานเข้าไปสู่ครรภ์มารดาอีกครั้งหนึ่ง  แต่ต้องบังเกิดใหม่ในวิญญาณของเธอ คนนั้นจึงจะเข้าแผ่นดินของพระเจ้าได้ เนื้อหนัง ก็เป็นเนื้อหนัง คือเกิดจากเนื้อหนัง เกิดจากร่างกายนี้ เกิดจากแม่ ก็มีเนื้อหนังที่เราเห็นเป็นร่างกาย เป็นเลือดเนื้อ แต่เกิดจากวิญญาณ คือบังเกิดใหม่ ก็เป็นวิญญาณของเธอที่เกิดใหม่ หมายถึงอย่างนี้

แล้วขบวนการเป็นอย่างไร? ก็อย่างที่เรารู้ ขบวนการ เริ่มต้นด้วยการรับรู้ข่าวดีของเรื่องพระเยซูว่าพระเจ้าทรงประทานพระเยซูคริสต์ พระบุตรของพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์  เพื่อไถ่บาปให้กับมนุษย์ และตายที่ไม้กางเขน และเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่ 3 เพื่อให้มนุษย์ได้มีโอกาสบังเกิดใหม่ ใครที่เชื่อข่าวดีนี้  เชื่อในสิ่งที่พระเยซูพูด พอเชื่อปั๊บ พระเจ้าก็ทำการบัพติศมา

บัพติศมา แปลว่าจุ่มลง มุดลงไป  พระเจ้าก็จับวิญญาณคนนั้น จุ่มลงไปในพระเยซูคริสต์ เรียกว่าบัพติศมาเขาเข้าในพระเยซูคริสต์ เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์ เมื่อพระองค์ถูกตรึงตายที่ไม้กางเขน คนที่อยู่ในพระองค์ก็ถูกตรึงด้วย เมื่อพระองค์ถูกฝังไว้ในอุโมงค์ คนที่อยู่ในพระเยซูคริสต์ ก็ถูกฝังไปด้วย เมื่อพระเยซูเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่ 3 วิญญาณของคนๆ นั้นที่อยู่ในพระเยซู ก็เป็นขึ้นมาใหม่ จากความตายด้วยเช่นเดียวกัน การเป็นขึ้นมาใหม่ นั้นก็คือการเกิดใหม่ คือเข้าสวรรค์ตรงนี้แหละ

 

          ลองถามตัวเองสิว่าเราเกิดใหม่หรือยัง? เกิดใหม่ไม่ต้องจับต้องมองเห็นได้ เพราะว่ามันมองไม่เห็น มันเป็นโลกวิญญาณ ถ้าท่านมั่นใจว่าท่านเชื่อในข่าวดีของพระเยซู เชื่อว่าพระเยซูเป็นพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์ มาไถ่บาปให้กับมนุษย์ และเชื่อว่าพระเยซูเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่ 3 ถ้าท่านมั่นใจว่าท่านเชื่ออย่างนี้ วิญญาณท่านบังเกิดใหม่แล้ว ตอนนี้ ท่านอยู่ในสวรรค์แล้ว เรียนรู้ ที่จะรับรู้ว่าท่านเป็นใคร? อยู่ในสวรรค์แล้ว เป็นอย่างไร? ชาวสวรรค์เขาทำกันอย่างไร?  อนาคตเป็นอย่างไร?

ขบวนการของการบังเกิดใหม่ มันเกิดในวิญญาณ ในจิตใจที่ติดกับวิญญาณ  ส่วนร่างกายที่เราเห็นๆ กันอยู่นี้ ยังคงเป็นร่างกายเดิมที่ต้องตาย เพราะบาป  ต้องกลับคืนสู่ดินไป  ในวันหนึ่งข้างหน้า  อาจจะอีกไม่กี่ปี แต่ร่างกายที่เราเห็นๆ กันอยู่ ที่บอกอยู่อีกไม่กี่ปีนี้  ที่จะต้องตายนี้  ขณะที่เราเกิดใหม่ในวิญญาณแล้ว พระเจ้าก็ชำระร่างกายที่ต้องตายให้สะอาดหมดจด เพื่อเป็นวิหารของพระเจ้าผู้บริสุทธิ์ จะมาสถิตอยู่ และรวมทั้งวิญญาณของตัวเองที่สะอาดบริสุทธิ์แล้วอยู่ในนั้น

เพราะฉะนั้น ร่างกายเราที่เห็น มันสะอาดหมดจด โดยการชำระ ด้วยพระโลหิตของพระเยซูคริสต์ เพื่อมอบเราเป็นเครื่องบูชาที่มีชีวิตอยู่ เพื่อเป็นวิหารของพระเจ้า  รอวันที่เราจะได้รับร่างกายถาวรนิรันดร์ เมื่อวันที่พระเยซูเสด็จกลับมาอีกที นั่นคือภายหน้า เพราะฉะนั้น การเกิดใหม่ คือการเกิดทางวิญญาณจิตใจที่เกิดใหม่ทันที  ส่วนร่างกายที่จะเกิดใหม่นั้น  รอให้พระเยซูคริสต์กลับมาอีกทีหนึ่งก่อน รออนาคตข้างหน้า  จริงๆ ว่ากันตามจริง ผมไม่อยากจะพูดเลย แต่ใบ้ให้นิดหนึ่งก็ได้ว่าจริงๆ แล้วทางโลกวิญญาณของพระเจ้า ในมิติโลกวิญญาณ  มันไม่มีเวลา ไม่มีวัน ไม่มีเดือน ไม่มีปี มันเกิดขึ้น ก็คือเกิดขึ้นเลย  จริงๆ ร่างกายของท่าน ร่างกายที่เป็นขึ้นจากความตายเหมือนพระเยซู มันเป็นอยู่แล้ว มันมีอยู่แล้ว เพียงแต่ท่านอยู่ในร่างกายนี้ จึงไม่สามารถสัมผัสอยู่ในโลกวิญญาณได้เท่านั้นเอง เราไปดูในทิตัส 3:5

ทิตัส 3:5 “พระองค์ทรงช่วยเราให้รอด  ไม่ใช่เพราะความชอบธรรมที่เราได้ทำ  แต่เพราะพระเมตตาของพระองค์ พระองค์ทรงช่วยเราให้รอด ผ่านทางการชำระแห่งการบังเกิดใหม่ และการทรงสร้างขึ้นใหม่ โดยพระวิญญาณบริสุทธิ์”

 

เห็นไหมครับ พระองค์ทรงช่วยให้เรารอดจากโทษของความบาป รอดจากนรก  รอดจากคำสาปแช่ง  ไม่ใช่ เพราะความชอบธรรมที่เราทำ  ก็คือไม่ใช่การกระทำดีของเรา ไม่ใช่การประพฤติของเรา แต่เป็นความเชื่อในพระบุตร คือพระเยซูคริสต์ ที่เป็นพระมาซีฮาห์ ที่เป็นพระผู้ช่วยให้รอด ที่พระเจ้าทรงประทานให้กับมนุษยชาติต่างหากล่ะ  ในนี้เขียนไว้อย่างชัดเจน  พระองค์ทรงช่วยให้รอด ผ่านทางการชำระเรา แล้วก็ให้เราบังเกิดใหม่ ชำระโดยการตายของพระเยซูบนไม้กางเขน  และการบังเกิดใหม่ พระเยซูเป็นขึ้นจากความตาย เราก็ได้เป็นขึ้นมาด้วย บังเกิดใหม่  โดยเดชของพระวิญญาณบริสุทธิ์ เป็นฤทธิ์อำนาจของพระเจ้า ที่ทำให้เราเป็นขึ้นจากความตาย บังเกิดใหม่  เข้าไปในสวรรค์ของพระเจ้าเลยทีเดียว ตั้งแต่วันที่เรารับเชื่อวันแรก 1 เปโตร 1:3 ก็ได้บันทึกไว้อย่างนี้เช่นเดียวกัน

1 เปโตร 1:3 “สรรเสริญพระเจ้า พระบิดาขององค์พระเยซูคริสต์เจ้าของเรา ด้วยพระเมตตายิ่งใหญ่ พระองค์ทรงให้เราทั้งหลาย บังเกิดใหม่ เข้าในความหวังอันยืนยง โดยการเป็นขึ้นจากตาย ของพระเยซูคริสต์”

 

พอเราถูกจุ่มลงไป บัพติศมาเราลงไปในพระเยซูคริสต์ เราก็เป็นหนึ่งเดียวกับพระเยซู พอพระเยซูตาย เราก็ตายด้วย  พระเยซูอยู่ในอุโมงค์ เราก็อยู่ในอุโมงค์ด้วย  พระเยซูเป็นขึ้นจากความตาย  เราก็เป็นขึ้นจากความตายด้วย ก็คือเกิดใหม่ด้วยเช่นเดียวกัน ฮาเลลูยา ไม่ต้องทำอะไรเลย  ไม่ใช่จากการกระทำของเราเลย  เราเกิดใหม่ด้วยตัวเองไม่ได้ แต่ในนี้บอกว่าพระองค์ทรงให้เราทั้งหลายบังเกิดใหม่

วิธีทำ ก็คือจุ่มเรา บัพติศมาเราลงไปในพระเยซูคริสต์ เป็นหนึ่งเดียวกับพระองค์ทันทีเลย เมื่อพระองค์ตาย เราตายด้วย  ฝังๆ ด้วย เป็นขึ้นมาใหม่ เราเป็นด้วย  เราอยู่ในพระเยซูนั่นเอง  ในนี้บอกให้เข้าในความหวังอันยืนยง โดยการเป็นขึ้นจากความตายของพระเยซูคริสต์

ความหวังอันยืนยง ก็คือการได้บังเกิดใหม่ เข้าไปอยู่ในสวรรค์เรียบร้อยแล้ว เหตุจากการเป็นขึ้นจากความตายในพระเยซูคริสต์ แล้วเราอยู่ในการเป็นขึ้นจากความตายนั้น เราเป็นขึ้นมาใหม่ด้วย  1 เปโตร 1:23 บันทึกไว้อย่างนี้ …

1 เปโตร 1:23  “เพราะท่านได้บังเกิดใหม่แล้ว ไม่ใช่เกิดจากเมล็ดพันธุ์อันเสื่อมสลายได้ แต่จากเมล็ดพันธุ์อันไม่รู้เสื่อมสลาย คือพระวจนะของพระเจ้า อันทรงชีวิตและยืนยงถาวร”

 

เกิดจากเมล็ดพันธุ์ที่ไม่มีทางสลายได้เลย คือเมื่อท่านเกิดใหม่ มาเป็นลูกของพระเจ้า อยู่ในสวรรค์แล้ว ก็ไม่มีการเปลี่ยนแปลงอะไรอีกแล้ว ท่านจะอยู่ในสวรรค์ตลอดไป มันแปลว่าอย่างนี้  มันไม่เปลี่ยนแล้ว มันเกิดมา เมล็ดพันธุ์ไม่เสื่อมแล้ว ไม่สูญหายแล้ว ไม่มีตาย เป็นนิรันดร์ เมื่อท่านเป็นลูก ก็เป็นลูกเลยทีเดียว ไม่มีทางเป็นอย่างอื่นแล้ว ไม่ใช่ เดี๋ยวเป็นลูกแล้ว อีก 3 วันรู้สึกไม่อยากจะมาโบสถ์ มีคนบอกท่านไปลงนรกอีก กลายเป็นลูกมารอีก เป็นไปไม่ได้แล้ว ท่านอยู่ในพระหัตถ์ของพระเจ้า อยู่ในกำมือของพระเจ้า อยู่ในคอกของพระเยซูแล้ว ไม่มีใครเอาท่านออกไปจากความรักของพระเจ้าที่อยู่ในพระเยซูคริสต์ได้เลย พระคัมภีร์บอกไว้อย่างนั้น พระองค์บอกว่าเราจะไม่ล่ะเจ้าและไม่ทอดทิ้งเจ้าเลย  เราจะอยู่กับเจ้าไปตลอด จนสิ้นยุค ยุคไหน ก็อยู่ตลอด  มันแปลว่าอย่างนี้

ตามที่พระคัมภีร์บอก ตามที่เราได้เรียนรู้กันว่าสิ่งที่มองเห็น เกิดขึ้นจากสิ่งที่มองไม่เห็น พูดง่ายๆ ว่าสิ่งที่อยู่ในโลกวิญญาณเป็นผู้บงการให้สิ่งต่างๆ เกิดขึ้นบนโลกใบนี้ ที่เรามองเห็น โลกวัตถุนี้ ก็คือสิ่งที่มองเห็นบนโลกวัตถุนี้  เกิดขึ้นจากสิ่งที่มองไม่เห็น  คือในโลกวิญญาณควบคุมอยู่เหนือสิ่งที่มองเห็นอยู่บนโลกนี้ ในโลกวิญญาณที่มองไม่เห็นนั้น มันมีจริงๆ  มันเกิดขึ้นจริงๆ  และพระคัมภีร์พระเจ้าสอนเรา บอกเราในโลกวิญญาณว่ามันเกิดอะไรขึ้น  ที่ผมบอกว่าเราจะอ่านพระคัมภีร์ ศึกษาพระคัมภีร์ไบเบิ้ลตั้งแต่หน้าแรกจนถึงหน้าสุดท้าย จงมองให้เห็นเถิด จงมองไปที่โลกวิญญาณ  อย่าใช้ความคิดสติปัญญาของมนุษย์ อย่าใช้ปรัญญาของมนุษย์ อย่าใช้ความรู้แบบมนุษย์ มันจะไม่เข้าใจ อย่าตีความแบบมนุษย์ ตามที่ตามองเห็น ไม่ใช่อย่างนั้น  จงมองให้เห็นเถิดว่าข้อความแต่ละข้อความที่เราอ่านนั้น อะไรเกิดขึ้นในโลกวิญญาณ มันหมายถึงอะไร?  มันบ่งบอกอะไรในโลกวิญญาณบ้าง ตรงนี้แหละสำคัญมาก

ตามพระคัมภีร์บอกไว้อย่างนั้นจริงๆ ว่าโลกวิญญาณเป็นตัวกำหนดโลกวัตถุ และโลกวิญญาณสำคัญมากจริงๆ แล้วพระองค์ทรงชี้ให้เราเห็นว่าในโลกวิญญาณเกิดอะไรขึ้น  และเรากำลังเรียนรู้เรื่องสวรรค์ อยากรู้ไหมว่าในโลกวิญญาณ ที่บอกเราอยู่ในสวรรค์แล้ว เราอยู่ที่ไหน?  สถานะเราเป็นอย่างไร?  หมายถึงผู้เชื่อนะ  เกิดใหม่แล้ว เข้าไปอยู่ในสวรรค์แล้ว เรากำลังอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้า ในสวรรค์สถาน ร่วมกับพระเยซู พระเยซูอยู่ที่นั้น วิญญาณเราก็อยู่ที่นั่นด้วยเลยทันที ในสวรรค์ที่เบื้องขวาของพระเจ้า  โคโลสี 1:13-14 …

โคโลสี 1:13-14 “13 เพราะพระองค์ได้ทรงช่วยเราให้พ้นจากอาณาจักรของความมืด และทรงนำเราเข้ามาสู่อาณาจักรของพระบุตรที่รักของพระองค์ 14 ในพระบุตรนี้ เราได้รับการไถ่บาป  คือการอภัยโทษบาปของเรา”

 

ท่านพอมองเห็นภาพหรือยังว่าในโลกวิญญาณเกิดอะไรขึ้น? … เพราะพระองค์ทรงช่วยเราให้พ้นจากอาณาจักรแห่งความมืด” ย้ายเราออกมาจากอาณาจักรของความมืด  จากคำสาปแช่ง ความบาป  จากนรกนั่นเอง  และได้ทรงนำเรา ก็คือได้ย้ายเราเข้ามาสู่อาณาจักรของพระบุตร คือพระเยซูคริสต์นั่นเอง  เป็นที่รักของพระองค์ ก็คืออาณาจักรของพระเยซูคริสต์ มันมีการเคลื่อนย้ายกันในโลกวิญญาณ ขณะที่เราเชื่อในข่าวดีของพระเจ้า แค่เชื่อด้วยใจและพูดด้วยปากว่าเราเชื่อว่าพระเยซูเป็นพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์ ไถ่บาปเราได้ และเชื่อว่าพระเจ้าส่งพระเยซูมา และพระเยซูได้ตายที่ไม้กางเขน และได้เป็นขึ้นมาจากความตาย  ในวันที่ 3 เชื่อจริงๆ แค่นี้เอง

ในพระเยซูคริสต์นี้  เราได้รับการไถ่บาป คือการอภัยโทษบาปของเรา  ในพระเยซู ในสวรรค์นี้ จบไปเลย บาปเราได้ถูกยกไปแล้ว  สะอาดหมดจดแล้ว เราจึงเข้าไปสู่สวรรค์ได้ เห็นไหมครับ โลกวิญญาณมันเกิดอะไรขึ้น  ขณะที่เราเชื่อในพระเจ้า เราถูกย้ายจากนรก มาอยู่ในสวรรค์ ย้ายจากอาณาจักรของความมืด มาอยู่ในความสว่าง ย้ายจากคำสาปแช่งมาอยู่ในพระพรของพระเจ้า นานานับประการ ตามที่พระคัมภีร์บอกไว้  โคโลสี 3:1 …

โคโลสี 3:1 “ในเมื่อทรงให้ท่านทั้งหลายเป็นขึ้นกับพระคริสต์แล้ว  ก็จงให้ใจของท่านจดจ่อกับสิ่งที่อยู่เบื้องบน ที่ซึ่งพระคริสต์ประทับอยู่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้า

 

พระเจ้าบอกว่าในเมื่อท่านเชื่อแล้ว ท่านเกิดใหม่แล้ว  ท่านไม่รู้เรื่องใช่ไหม? พระเจ้าเริ่มสอนท่านบอกว่าถ้าท่านได้รับเชื่อเรียบร้อยแล้ว พระเจ้าก็ทรงให้ท่านทั้งหลายที่เชื่อแล้วเป็นขึ้นใหม่  บังเกิดใหม่กับพระเยซูคริสต์แล้ว ก็จงให้ใจของท่านจดจ่อกับสิ่งที่อยู่เบื้องบน  ก็คือสิ่งที่อยู่ในโลกวิญญาณ จดจ่อไปที่โลกวิญญาณว่ามันเกิดอะไรขึ้น ที่ซึ่งพระคริสต์ประทับอยู่ ณ เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้า

พระคริสต์ประทับอยู่ และท่านอยู่ในพระคริสต์ ท่านก็อยู่กับพระเยซูที่นั่นแหละ จดจ่อเรื่องนี้  คิดใคร่ครวญเรื่องนี้ ทั้งวันทั้งคืน แล้วพระวิญญาณก็จะพาท่านไปรับรู้สิ่งต่างๆ มากมายในโลกวิญญาณว่ามันเกิดอะไรขึ้น ตอนที่พระเยซูยังเดินอยู่บนโลกใบนี้  พระองค์บอกว่าพูดไปก็ไร้ประโยชน์ เพราะว่าท่านจะไม่เข้าใจหรอก แต่รอให้วันที่พระวิญญาณบริสุทธิ์มาสถิตอยู่กับท่าน ทำให้ท่านเกิดใหม่แล้ว  วันนั้น พระวิญญาณจะสอนท่าน ท่านจะเข้าใจแล้วว่าที่พระเยซูพูดนั้น มันหมายถึงอะไร? มันหมายถึงเรื่องความรู้เรื่องโลกวิญญาณ ที่ท่านจะได้รับรู้ เพราะท่านได้บังเกิดใหม่แล้ว ถ้าไม่บังเกิดใหม่ ก็ไม่รู้เรื่องหรอกครับ เพราะฉะนั้น อย่าลืมจดจ่อความคิดของท่านไปที่เบื้องบน คือตำแหน่งของท่านในโลกวิญญาณว่าท่านเป็นใคร? อยู่ที่ไหน?  เป็นอย่างไรบ้างในโลกวิญญาณ เอเฟซัส 2:4-6 …

เอเฟซัส 2:4-6  “4 แต่เนื่องด้วยความรักใหญ่หลวงที่ทรงมีต่อเรา พระเจ้าผู้เปี่ยมด้วยพระเมตตาอันอุดม 5 จึงได้ทรงกระทำให้วิญญาณของเรากลับมีชีวิตอยู่กับพระคริสต์ แม้ในขณะที่ วิญญาณเราได้ตายแล้วในบาป คือท่านทั้งหลายได้รับความรอด (จากการลงโทษจากคำสาปแช่ง) โดยพระคุณ 6 และพระองค์ได้ทรงให้วิญญาณของเราเป็นขึ้นมากับพระคริสต์  และในพระเยซูคริสต์ พระเจ้าได้ทรงให้เรานั่งในสวรรค์สถานกับพระคริสต์”

 

นี่ชัดเจนเลย … “ท่านทั้งหลายได้รับความรอด จากการถูกลงโทษ จากคำสาปแช่ง  รอดจากความบาป ความตาย รอดจากนรก ด้วยพระคุณ” … ก็คือไม่ได้โดยการที่เราทำเอง แต่โดยที่พระเจ้ารักเรา ทำให้เราฟรีๆ … และพระองค์ทรงให้วิญญาณของเรา ได้บังเกิดใหม่ ในพระเยซูคริสต์ พระเจ้าจับเราไปนั่งอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้าในสวรรค์สถาน ในนี้เป็น tenes หรือเป็นประโยคที่บอกว่าทำตอนที่เรารับเชื่อ ทันที เดี๋ยวนี้  และตอนนี้ ก็อยู่ที่นั่น เมื่อท่านเชื่อแล้ว  ไปไหนก็ไม่ได้แล้ว แก้ไขก็ไม่ได้ เปลี่ยนแปลงก็ไม่ได้แล้ว เกิดเป็นลูกของพระเจ้าแล้ว เกิดตลอดไป อยู่ที่นั่นตลอดไป ไม่มีวันที่จะกลับไปกลับมา ไม่มีวันเลย  ท่านจะอยู่ที่นั่นตลอดไปเป็นนิตย์ เอเมน

พระเจ้าไม่ได้ให้พระเยซูคริสต์มาตายที่ไม้กางเขน ยกโทษบาปแค่นั้น แต่สำคัญกว่านั้น คือยกโทษบาปแล้ว ยังคงได้เปลี่ยนแปลงวิญญาณของเรา ผ่าตัดวิญญาณของเรา  ทำให้เราได้เกิดใหม่  มีส่วนเข้าร่วมในพระสิริของพระเจ้า พระลักษณะของพระเจ้า  คือวิญญาณของเราเกิดใหม่ มี DNA ของพระเจ้า พระเยซูคริสต์อยู่ในนั้น เป็นเหมือนพระเจ้า เป็นสปี่ซี่เดียวกันกับพระองค์เลย ตัวนี้มันสำคัญกว่าในโลกวิญญาณ มากกว่าการไถ่บาป

การไถ่บาปเป็นจุดเริ่มต้น ไม่ไถ่บาปไม่ได้ พอไถ่บาปปุ๊บ ก็ให้ท่านบังเกิดใหม่ โดยการตายของพระเยซูคริสต์ที่ไม้กางเขน  คือไถ่บาป การเป็นขึ้นมาใหม่ของพระเยซูคริสต์ในวันที่ 3 คือการให้ท่านบังเกิดใหม่ ท่านได้รับทั้งคู่ไปเลย เป็นแพ๊คเกจ ผมแปลว่าอย่างนี้

“ดังนั้น ผู้ที่เชื่อในข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์ หรือข่าวดีของพระเยซูคริสต์แล้ว คนๆ นั้น ก็จะได้รับการเปลี่ยนแปลงเป็นมนุษย์พันธุ์ใหม่”

เดี๋ยวผมพาท่านไปเห็นจริงๆ ไม่ใช่ผมพูดเองนะ เป็นมนุษย์พันธุ์ใหม่แล้ว  ไม่ใช่รอให้เป็นมนุษย์พันธุ์ใหม่ แต่เป็นแล้ว ใครก็ตามที่เชื่อในข่าวดีของพระเยซูคริสต์ พระเจ้าได้กระทำให้วิญญาณคนนั้น ซึ่งเป็นตัวตนจริงๆ แท้ๆ ของเขานั้น  ที่จะอยู่ไปตลอดนั้น  ได้เป็นมนุษย์พันธุ์ใหม่  ซึ่งผมให้ชื่อว่าพันธุ์สวรรค์ พันธุ์พระคริสต์ ก็ได้  เราเป็นมนุษย์พันธุ์ใหม่

แล้วพันธุ์เก่าเราคืออะไร? พันธุ์เก่า เราก็คือพันธุ์นรก พันธุ์การสาปแช่ง พันธุ์อาดัม … อาดัม คือบรรพบุรุษของมนุษยชาติ ที่ตกลงไปอยู่ในความบาป เราจะอยู่พันธุ์ไหน?  ถ้าเราไม่ย้ายมาอยู่พันธุ์พระเยซูคริสต์เราก็อยู่ในพันธุ์เดิม  พันธุ์อาดัม ก็อยู่ในนรก แต่ถ้าเราเชื่อแล้ว เราได้บังเกิดใหม่แล้ว เราก็กลายเป็นมนุษย์พันธุ์ใหม่แล้ว เป็นพันธุ์สวรรค์ พันธุ์พระคริสต์ 2 โครินธ์ 5:17 บันทึกอย่างนี้ชัดเจนว่า …

2 โครินธ์ 5:17 “เหตุฉะนั้น ถ้าผู้ใดอยู่ในพระคริสต์ การทรงสร้างใหม่ได้เกิดขึ้นแล้ว สิ่งเก่าได้ล่วงไป สิ่งใหม่ได้เข้ามา”

 

เพราะฉะนั้น ผู้ใดก็ตามที่ได้เกิดใหม่ ในพระเยซูคริสต์ ผู้ใดก็ตามที่ได้ถูกนำเข้ามาในพระคริสต์ ก็เป็นผู้ที่ได้ถูกสร้างขึ้นใหม่แล้ว ภาษาเดิมตรงนี้ แปลว่ามนุษย์ที่ถูกสร้างขึ้นใหม่ ก็คือมนุษย์พันธุ์ใหม่นั่นเอง สิ่งเก่าๆ ก็คือตัวที่เป็นพันธุ์เก่า  ก็ล่วงไปทั้งหมด ทุกสิ่งเป็นใหม่เอี่ยมทั้งหมดเลย ไม่ว่าจะเป็นวิญญาณก็เป็นวิญญาณใหม่ ความคิดจิตใจ ก็เป็นความคิดจิตใจใหม่ ร่างกาย แม้ว่าจะเป็นร่างกายเดิมอยู่ ก็ได้รับการชำระให้เป็นวิหารของพระเจ้า  และมีร่างกายใหม่ เตรียมไว้ให้เรียบร้อยแล้ว เมื่อวันหนึ่งที่เราจากร่างกายนี้ ทิ้งร่างกายนี้  วันนั้นแหละ ร่างกายใหม่เราก็จะไปสวม มีไว้เรียบร้อยแล้ว

ขณะที่เรากำลังเดินอยู่บนโลกใบนี้ วิญญาณข้างในของเราเป็นลูกพระเจ้า เดินอยู่กับพระเจ้า  พระเจ้าสถิตอยู่กับเรา  นี่มนุษย์พันธุ์ใหม่ แท้ๆ  และร่างกายเราเป็นวิหารของพระเจ้า  คือพระเจ้าพระบิดา พระเจ้าพระบุตร พระเยซูคริสต์ พระเจ้าพระวิญญาณบริสุทธิ์สถิตอยู่กับเรา ไปไหน ไปด้วยกันตลอดเวลาเลย ในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ จึงเรียกว่ามนุษย์พันธุ์ใหม่  ถูกสร้างใหม่ เพราะฉะนั้น ก็หมายถึงว่ามนุษย์พันธุ์ใหม่นี้  อยู่ในสวรรค์เรียบร้อยแล้ว  เป็นของสวรรค์แล้ว  ไม่ได้เป็นของโลกใบนี้ที่เรากำลังเดินอยู่ ที่ตามองเห็นได้ แต่ก่อนนี้ เราเป็นของโลก เราเป็นของอาณาจักรเดิม เราเป็นมนุษย์พันธุ์เก่า แต่ตอนนี้ เราเป็นมนุษย์พันธุ์ใหม่ เป็นมนุษย์ของสวรรค์ เราอยู่ในสวรรค์แล้ว มันชัดเจนนะครับ

แม้ว่าเรายังดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้อยู่ก็ตาม  แต่ในโลกวิญญาณ  ที่เราจะอยู่ตลอดไปนั้น เราอยู่ในอาณาจักรสวรรค์เรียบร้อยแล้ว  พระคัมภีร์บอกว่าโลกวัตถุที่เราจับต้องมองเห็นได้ ต้นไม้ใบหญ้า  น้ำ หิน ภูเขา บ้าน รถ อะไรต่างๆ  แม้กระทั่งร่างกายเรา  อยู่ในขบวนการการเสื่อมสลาย  ค่อยๆ สลายไปเรื่อยๆ  จากมนุษย์เมื่อหลายพันปีก่อนมีอายุ 900 ปี ตอนนี้มาเหลือ 50, 60, 70 ปี มันจะน้อยลงไปเรื่อยๆ  มันอยู่ในระหว่างการสิ้นสุด สูญเสียไป พระคัมภีร์บอกว่าโลกใบนี้อยู่ในการสูญสิ้น  มันอยู่ในความตาย อยู่ในการดับไป พูดง่ายๆ ชัดๆ อย่างคนไทย คุ้นคำนี้ ก็คือโลกใบนี้ และโลกวัตถุใบนี้ มันอยู่ในการเกิดขึ้นมาแล้ว แล้วมันตั้งอยู่ แล้วมันกำลังดับสูญไป ใครไปไว้ใจมัน ใครไปอยู่กับมัน  ไปลงนรกกับมันด้วย สูญสิ้นไป  แต่ในโลกวิญญาณเป็นนิรันดร์ เพราะฉะนั้น พระเจ้าเน้นให้เราจดจ่อไปที่โลกวิญญาณ คือสวรรค์ ที่เราได้อยู่กับพระเจ้าเรียบร้อยแล้ว เป็นลูกของพระองค์แล้ว ให้เราจดจ่อที่นั่น มันสำคัญกว่าเยอะ  1 เปโตร 2:11 ได้บันทึกไว้อย่างนี้

1 เปโตร 2:11 “เพื่อนที่รัก ผู้อยู่ในฐานะคนต่างด้าว และคนแปลกหน้าในโลกนี้ ข้าพเจ้าขอวิงวอนท่านให้ละทิ้งตัณหาชั่ว ซึ่งต่อสู้กับวิญญาณจิตของท่าน”

 

“เพื่อนที่รัก” คือเพื่อนที่เชื่อในพระเจ้า เชื่อในข่าวประเสริฐนี้ ที่เกิดใหม่แล้วทั้งหลาย เพื่อนที่รัก พี่น้องที่รัก ผู้อยู่ในฐานะ คนเชื่อแล้วอยู่ในฐานะคนต่างด้าวและคนแปลกหน้าในโลกนี้ คนที่ดำเนินชีวิต แบบโลกไม่ใช่บ้านเกิดเมืองนอนของเขา ตรงนี้มันแปลว่าอย่างนั้น  ก็คือผู้เชื่อทั้งหลาย ดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ อย่างโลกไม่ใช่บ้านเกิดเมืองนอนของเราอีกแล้ว เราไม่ใช่ของบ้านเมืองนี้อีกแล้ว  บ้านเกิดของเราและตัวจริงๆ ของเราอยู่ที่สวรรค์แล้ว  โลกนี้ไม่ใช่บ้านอีกต่อไปแล้ว แต่บ้านของเราอยู่ในสวรรค์ อยู่เดี๋ยวนี้เลย  เพียงแต่พระเจ้าให้เราอยู่ในร่างกายนี้  เพื่อพระองค์จะใช้ร่างกายนี้ กระทำการงานของพระองค์ เป็นไปตามน้ำพระทัยของพระองค์ เพื่อนำพาผู้คนทั้งหลาย เข้ามาสู่อาณาจักรแห่งแสงสว่าง เพื่อนำพาผู้คนทั้งหลาย พี่น้องของเรา  คือมนุษย์ทั้งหลายทั่วๆ ไป ที่ยังไม่ได้ยินข่าวประเสริฐ ได้มีข่าวดีไปถึงเขา  แล้วเขาเชื่อ เขาก็จะได้บังเกิดใหม่ เข้ามาอยู่ในสวรรค์เหมือนกับเรา

เพราะฉะนั้น เราต้องนึกในใจตรงนี้ตลอด ร้องเพลงนี้ …

โลกนี้ไม่ใช่บ้านเรา              ฉันเพียงอาศัยชั่วคราว

สมบัติฉันสะสมไว้               ที่ในสวรรค์เบื้องบน

ทูตสวรรค์ร้องเรียกอยู่         ณ ประตูบนวิมาน

และฉันรู้ว่าโลกนี้                 ไม่ได้เป็นบ้านฉันเลย

มีคนบอกว่าคนเราเกิดมา ก็มีบาปเวรกรรมติดตัวมาแล้ว โดยที่เราไม่ได้ทำอะไรเลย ส่วนใหญ่รับได้ เกิดมาทุกข์นะ มีเวร มีกรรม ก็ชดใช้กันไป  เขาเรียกว่ายอมรับไป แต่ตอนที่พระคัมภีร์บอกว่าพระองค์จะทำให้เราบังเกิดใหม่  พ้นจากบาป กลับมาเป็นลูกพระเจ้า  อยู่ในสวรรค์กับพระเจ้าเลยเดี๋ยวนี้  พระเจ้าทำให้เราบังเกิดใหม่ โดยที่เราไม่ต้องทำอะไรเลย  เหมือนกัน เรากลับไม่เชื่อ มันเป็นไปได้อย่างไร?  พูดง่ายๆ เถียงนั่นเอง รับไม่ได้  ตะกี้นี้บอกชดใช้เวรกรรมรับได้ แต่ตอนนี้บอกว่าไม่ต้องทำอะไรเลย  มาเชื่อเท่านั้น เปลี่ยนสถานที่ให้บังเกิดใหม่  รับไม่ได้ บางท่านอาจจะแย้งว่าบังเกิดใหม่ได้อย่างไรล่ะ  มาอยู่ในสวรรค์ได้อย่างไร?  ยังทำบาปอยู่เลย ความประพฤติยังไม่ดีเลย  นิสัยแบบนี้ ไปอยู่ในสวรรค์ได้อย่างไร?  ยังกินเหล้า เมายา ยังโกหกชาวบ้านเขาอยู่เลย ยังโกรธชาวบ้านเขาอยู่เลย  จะไปอยู่สวรรค์ได้อย่างไร?  บางคนก็เถียง

ฟังให้ดีนะ เมื่อท่านบังเกิดใหม่  เป็นลูกพระเจ้า  ซึ่งบางครั้ง อาจพลั้งเผลอไปทำบาป  แต่ก่อนหน้านี้  ตอนที่ท่านยังไม่เชื่อพระเจ้า ยังไม่เกิดใหม่  ท่านเป็นทาสมาร  ท่านตกอยู่ในความบาป  ท่านเป็นคนบาป  ที่บางครั้งก็อาจจะทำดี  เห็นหรือยัง เพราะฉะนั้น ไม่ว่าตอนที่ท่านบังเกิดใหม่แล้ว หรือก่อนที่จะบังเกิดใหม่  สังเกตให้ดีๆ ว่าทั้งสองสถานะนี้ เราต้องเกิดก่อน แล้วจึงทำดีหรือทำชั่ว  ไม่ใช่ทำดีทำชั่วก่อน แล้วจึงเกิด

เพราะฉะนั้น การเกิดใหม่จึงสำคัญ  ยกตัวอย่าง เพื่อให้ท่านเข้าใจง่ายๆ พ่อแม่ให้เราเกิดเป็นลูก เพราะว่าอยากมีลูกไว้ชื่นชม เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขที่มี DNA ที่มาจากท่านทั้งสอง ไม่ใช่เพราะจากเราทำดี  ก็คือไม่ใช่จากความประพฤติของเรา  เช่นเดียวกัน พระเจ้าให้เราบังเกิดใหม่เป็นลูกของพระองค์ เพราะความรัก ต้องการมีลูก ที่เป็นเลือดเนื้อเชื้อไข ที่มาจากพระองค์ เพื่อรัก ทนุถนอมไว้ชื่นชมเหมือนกัน  ไม่ใช่ เพราะเราทำดี การประพฤติของเราดี จึงสมควรเป็นลูก ชัดมากเลย

สรุปรวมความ เรื่องสวรรค์อยู่ที่นี่แล้ว  ทั้ง 3 ตอนนี้ ก็คือย้ำยืนยันว่าโลกวิญญาณ คือสิ่งที่มองไม่เห็นนั้น มีอยู่จริงๆ ตัวตนที่แท้จริงของมนุษย์ คือวิญญาณ  มองไม่เห็นด้วยตา แต่มันมีอยู่จริงๆ  เป็นอยู่จริงๆ  และบัดนี้ วิญญาณของคนเชื่อในข่าวดีของพระเยซู ในพระคัมภีร์ไบเบิ้ลได้บอกว่า ตำแหน่งของเขา คือได้อยู่ในสวรรค์เรียบร้อยแล้ว กับพระเจ้า เชื่อปั๊บ เข้าสู่สวรรค์ปุ๊บ ทันทีเลย พระคัมภีร์บอกว่าในโลกวิญญาณ สำคัญมาก ผู้ที่เชื่อแล้ว สำคัญน้อยกว่าผู้ที่ยังไม่เชื่อในข่าวดีนี้ ยังไม่ได้ต้อนรับพระเยซูเป็นพระผู้ช่วยให้รอด  อันนี้สำคัญกับท่านมากกว่าด้วยซ้ำไป ในโลกวิญญาณที่เรามองไม่เห็น พระคัมภีร์ไบเบิ้ล ซึ่งเป็นเหมือนลายแทง เหมือนเป็นประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติทั้งหมด จากพระผู้สร้าง ได้เขียนไว้ว่ามีโลกที่เรามองไม่เห็น ที่เรียกว่าโลกวิญญาณอยู่ 2 แห่งเท่านั้นเอง หรือเรียกว่าโลกฝ่ายวิญญาณ 2 อาณาจักร

                   อาณาจักรแห่งความสว่าง                            อาณาจักรแห่งความมืด

ความชอบธรรม                                                        ความบาป

มีชีวิตนิรันดร์                                                            ความตาย

มีสุขนิรันดร์                                                              คำสาปแช่ง

อยู่กับพระเจ้า                                                            ความทุกข์

เป็นลูกพระเจ้า                                                          เป็นทาสมาร

อาณาจักรแรก คืออาณาจักรเก่า ซึ่งเป็นที่อยู่ของวิญญาณแรกเกิด มนุษย์ทุกคนเกิดมาปุ๊บ ก็อยู่ในอาณาจักรเก่านี้แหละ คืออาณาจักรแห่งความมืด ที่เต็มไปด้วยความบาป ความตาย  คำสาปแช่ง ความทุกข์ และต้องเป็นทาสมาร ชั่วนิรันดร์  ซึ่งเรียกว่านรกนั่นเอง เกิดมา ก็อยู่ในนรกแล้ว

อาณาจักรที่สอง เรียกว่าอาณาจักรใหม่ ซึ่งเป็นที่อยู่ของวิญญาณของผู้ที่เชื่อในข่าวดีของพระเยซูคริสต์ คืออาณาจักรสวรรค์ หรืออาณาจักรแห่งแสงสว่างที่มีแต่ความชอบธรรม มีชีวิตนิรันดร์ มีสุขนิรันดร์ อยู่กับพระเจ้า ในฐานะลูกของพระเจ้า ร่วมกับพระเยซูคริสต์ ที่เรียกว่าอาณาจักรสวรรค์นั่นเอง

พูดง่ายๆ ว่าในโลกวิญญาณมี 2 อาณาจักร  คือนรกกับสวรรค์ อันเก่า ก็คือนรก  อันใหม่ คือสวรรค์  และสิ่งสำคัญ ก็คือเมื่อเรื่องนี้เป็นเรื่องจริง มนุษย์ทุกคนเป็นวิญญาณ  ดังนั้นวิญญาณของมนุษย์ทุกคน ไม่ว่าจะอยู่ในอาณาจักรเก่า หรืออาณาจักรใหม่ เขาต้องอยู่ที่แห่งใดแห่งหนึ่งแน่นอน หนีไม่พ้น เถียงไม่ได้  แล้วไม่ว่าจะเชื่อหรือไม่เชื่อ ก็เป็นอยู่อย่างนั้นแหละ เหมือนกับแรงดึงดูดของโลก เชื่อหรือไม่เชื่อ ก็มีแรงดึงดูดของโลกอยู่  โยนของลงไป มันก็ตกลงมาอยู่ เพราะมีแรงดึงดูดของโลกจริงๆ เชื่อไม่เชื่อ ทำบาป ได้รับโทษๆ  เชื่อพระเยซูว่าเป็นพระผู้ไถ่ ก็พ้นโทษ เป็นกฎของวิญญาณนี้

มนุษย์ทุกคน  เมื่อแรกเกิดจากครรภ์มารดา วิญญาณก็อยู่ในอาณาจักรเก่า ซึ่งถ้าไม่มีการเปลี่ยนแปลงอะไรเกิดขึ้น ก็จะอยู่ในอาณาจักรเก่านี้ตลอดชั่วนิรันดร์ ดับสูญไปกับโลกวัตถุนี้เลย เพราะฉะนั้น เรื่องพระเยซู จึงเรียกว่าข่าวดี เกือบ 2,000 ปีแล้ว พระเจ้าประทานอาณาจักรใหม่ หรือเรียกว่าอาณาจักรสวรรค์ ที่ดีกว่ามากมาย ผ่านทางพระเยซูคริสต์ให้กับมวลมนุษยชาติ เรียบร้อยแล้ว 1,990 ปี สวรรค์มาตั้งอยู่เรียบร้อยแล้ว สวรรค์มาสถาปนาบนโลกใบนี้ เรียบร้อยแล้ว ให้มนุษย์ได้เลือกเอา เป็นสิทธิที่มนุษย์มีอยู่ แต่จำเป็นต้องเลือกและต้องตัดสินใจเองว่าจะย้ายจากอาณาจักรเดิม หรือไม่ย้าย  ไม่มีใครช่วยท่านตัดสินใจได้เลย ไม่ว่าจะเป็นคุณพ่อคุณแม่  หรือใครก็ตาม ไม่สามารถช่วยท่านได้ ท่านต้องเป็นผู้ตัดสินใจเอง  แม้แต่พระเจ้ายังไม่สามารถบังคับท่านได้  ได้แต่เคาะประตู อ้อนวอน เปิดใจเถิด มาเป็นลูกของเรา กลับมาที่เดิม กลับมาสวรรค์ ตามหาทางอยู่ตลอดเวลา ท่านไปไหนก็ตามๆ เคาะประตูอยู่เรื่อย ท่านปฏิเสธไม่รู้กี่ครั้ง ก็ไม่เคยโกรธ ไม่เคยเกลียด ไม่เคยโมโห ไม่เคยอะไรเลย ยังคงตามเคาะประตู …

“เมื่อไรจะเปิดใจสักที เราจะได้เข้าไป ทำให้เจ้าเกิดใหม่ อยู่ในสวรรค์เหมือนเดิม  เมื่อสมัยที่เรามีเจ้าใหม่ๆ”

เพราะฉะนั้น พระเจ้ายังไม่สามารถบังคับเราได้ เราแต่ละคนต้องเป็นผู้ตัดสินใจเองว่าจะยอมให้พระเจ้าย้ายวิญญาณเรามาอยู่ในอาณาจักรสวรรค์หรือไม่ โดยการยอมรับเชื่อในข่าวดีนี้  พระเจ้าก็เข้ามาทำในสิ่งที่ต้องการได้ พูดง่ายๆ ถ้าท่านเชื่อในข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์ เท่ากับบอกพระเจ้าว่า …

“พระเจ้า ลูกไม่อยากอยู่ที่นี่แล้ว มันไม่ไหวแล้ว มันนรกชัดๆ  บนโลกใบนี้ ลูกสะสมบารมีด้วยตัวเองไม่ไหวแล้ว  เหนื่อยแล้ว ขอช่วยลูกที ย้ายไปอยู่ในสวรรค์” อะไรแบบนี้

อยากรู้ว่าสวรรค์มีสภาพหน้าตาเป็นอย่างไร? ผมก็เลยเอาหนังสือสดุดี บทที่ 23 ซึ่งเป็นนิมิตที่พระเจ้าบอกล่วงหน้าว่าจะเกิดอะไรขึ้นในภายภาคหน้า  แผนการของพระองค์ที่ช่วยมนุษย์  ให้เข้าไปอยู่ในสวรรค์ได้ เป็นนิมิตที่พระเจ้าได้ให้กษัตริย์ดาวิด มองเห็นภาพล่วงหน้าว่าสวรรค์ที่เกิดขึ้นในอนาคตมีสภาพเป็นอย่างไร? เอาแบบคร่าวๆ พอ นี่บอกไว้ล่วงหน้าประมาณ 1,000 ปีก่อนที่สวรรค์จะมาตั้งอยู่จริงๆ เป็นนิมิตที่เป็นภาพ ที่มันยังไม่เกิดขึ้นจริงๆ  จนถึงวันที่พระเยซูมาทำให้สำเร็จ เมื่อ 1,991 ปี ที่ไม้กางเขน และการเป็นขึ้นจากความตายของพระองค์ ภาพนั้นก็ได้เกิดขึ้น เป็นจริงแล้ว เมื่อ 1,990 กว่าปีมาแล้ว และเป็นจริงมาจนถึงทุกวันนี้เลย  และจะเป็นจริงอย่างนี้เสมอตลอดสืบๆ ไปเป็นนิตย์ เอเมน ที่ผมบอกแล้ว เป็นวิญญาณ ไม่มีเวลา เป็นอยู่อย่างไร ก็เป็นอย่างนั้นเลย

ให้รับรู้ว่าตอนนี้เราอยู่ในสวรรค์แล้วจริงๆ เรียกง่ายๆ ว่าสวรรค์บนดิน  วิญญาณเราอยู่ในสวรรค์แล้ว ร่างกายยังอยู่บนโลกใบนี้ ที่มันเสียหาย มันวิปริตไปเรียบร้อยแล้ว พระเจ้าปล่อยให้มันสูญเสีย เสียหายไป แล้วมันสู่ขบวนการของการดับสูญไป  มันเกิดขึ้นและมันตั้งอยู่ และมันกำลังดับไป  กำลังสูญสิ้นไป เนื่องจากคำสาปแช่ง ตั้งแต่สมัยบรรพบุรุษอาดัม

เพราะฉะนั้น การดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ มันก็จะไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ ไม่ได้เต็มไปด้วยความราบรื่นตลอด ปราศจากอุปสรรคตลอด อย่างที่พระเยซูบอก ท่านดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ก็เจอกับความทุกข์ยากลำบาก  เป็นเรื่องธรรมดา  ถึงคนไม่เชื่อ ก็เจออยู่ดี เพราะโลกใบนี้มันเสียหายไปแล้ว มันก็เป็นความทุกข์แค่ระยะสั้นๆ เพราะมันไม่สามารถเทียบชีวิตนิรันดร์ ขณะที่เราอยู่บนโลกใบนี้ เราเป็นวิหารของพระเจ้า พระเจ้าสถิตอยู่กับเรา 3 พระภาค นำพาเรา จูงมือเราเดินตลอดเวลา ด้วยพระคุณของพระองค์ และพระองค์บอกว่าพระคุณและความสามารถ ฤทธิ์เดชของพระองค์ เพียงพอเสมอสำหรับชีวิตของเรา  ที่จะดำเนินบนโลกใบนี้ได้  ไม่ต้องห่วง ไม่ต้องกลัว มาดูเพลงเลย  เนื้อเพลงขึ้นต้นว่า …

พระเจ้าทรงเป็นผู้เลี้ยงที่รัก             พระคุณพระองค์ไม่สูญหาย

ข้าไม่ขัดสนลำบากมากนัก             เพราะทรงพิทักษ์รักษาไว้

นึกถึงภาพในปัจจุบัน เดี๋ยวนี้  เป็นอย่างนี้ พระเจ้าสถิตอยู่กับเรา และบอกเราอย่างนี้  พระเจ้าเป็นผู้เลี้ยง ให้กษัตริย์ดาวิดได้เห็นภาพ เปรียบเทียบกับตอนที่เขาเลี้ยงแกะ นึกภาพออกนะครับ พระคุณของพระองค์ไม่สูญหาย

ไม่ขัดสนลำบากมากนัก ก็คือไม่ทุกข์ยากลำบากมากนัก ทุกข์ยากลำบากบ้าง และในขณะที่เราดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้  วิญญาณของเราก็ได้อยู่ในสวรรค์กับพระเจ้าแล้ว ในข้อต่อไปที่เขียนว่า …

พระองค์ทรงทำให้ข้านอนลง                     ในทุ่งที่หญ้าเขียวสดมี

ทรงนำวิญญาณข้าไปริมธาร                     ทรงเลี้ยงด้วยทิพ อาหารดี

พระองค์ทรงฟื้นจิตวิญญาณข้า                   เมื่อข้าขัดขืนพระบัญชา

พระองค์ทรงนำในทางชอบธรรม              เพราะเห็นแก่นามพระองค์เจ้า

พูดง่ายๆ ว่าพระองค์ทรงให้เราได้พักผ่อนอยู่ในการทรงสถิตอยู่ของพระองค์ พระองค์ทรงฟื้นจิตวิญญาณของเรา นำเราไปสู่ทางชอบธรรมของพระองค์

เมื่อเดินตามหุบเขาเงาความตาย                 ไม่กลัวพระเจ้าทรงอยู่ด้วย

คฑาและธารพระกรปลอบโยน                  พระองค์สถิตอยู่ชูช่วย

พระองค์ทรงเตรียมสำรับให้ข้า                  ต่อหน้าต่อตาของศัตรู

ทรงเจิมศีรษะข้าด้วยน้ำมัน                       ขันน้ำของข้าก็ล้นอยู่

และบรรทัดสุดท้าย สำคัญที่สุด ความรัก ความดีงาม พระเมตตาคุณของพระเจ้า พ่อที่รักเรามาก จะอยู่กับเรา จะติดตามเราตลอดไป  และเราจะอยู่ในสวรรค์ อยู่ในพระนิเวศน์ของพระองค์ตลอดไปเป็นนิตย์ อยู่ในสวรรค์ที่นี่แล้ว และอยู่ตลอดไป ในเนื้อเพลงร้องว่า …

แท้จริงความดีความรักมั่นคง                     จะติดตามข้าตลอดไป

และข้าจะอยู่ในพระนิเวศ                           พระเจ้าของข้าเสมอไป

เอาเพลงนี้ไปร้องบ่อยๆ  และจงมองให้เห็นเถิดว่าในโลกฝ่ายวิญญาณ เราอยู่ในบทเพลงนี้แล้ว วิญญาณเราอยู่กับพระเจ้าในสวรรค์สถาน ขอพระเจ้าอวยพรครับ

 

 

**************************

 

 

 

 

คำหนุนใจจาก Ps.เทพิน ชาติผดุง เรื่อง “ทำไมไม่รู้จัก” ตอน 2 วันที่ 4 มิถุนายน 2020

คำหนุนใจจาก Ps.เทพิน  ชาติผดุง

เรื่อง “ทำไมไม่รู้จัก” ตอน 2

วันที่ 4  มิถุนายน 2020

 

สวัสดีค่ะพี่น้องที่เชื่อในพระเยซูทุกท่าน ดิฉันจะมาพูดคุยต่อในเรื่องที่พึ่งกล่าวไปครั้งที่แล้ว คือพระเยซูบอกกับคนกลุ่มหนึ่งว่า … “เราไม่รู้จักเจ้าเลย” … อันนี้เป็นข้อถกเถียงกัน

ครั้งที่แล้ว ดิฉันก็อธิบายไปส่วนหนึ่งแล้วว่าทำไม พระเยซูถึงไม่รู้จัก พระเยซูบอกว่าไม่ใช่ที่เรียกพระองค์ว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าจะได้เข้าแผ่นดินสวรรค์ แต่เฉพาะผู้ที่ปฏิบัติตามพระทัยพระบิดา ผู้ทรงสถิตในสวรรค์ จึงจะเข้าได้

อะไรคือ “พระทัยพระบิดา ผู้สถิตในสวรรค์” อะไรคือน้ำพระทัยของพระเจ้า  ที่จะทำให้เราเข้าในแผ่นดินสวรรค์ได้ พระคัมภีร์ก็บอกมาตลอดว่าน้ำพระทัยพระเจ้า คือมนุษย์เหลือกำลังที่จะทำได้ ดังนั้น พระเจ้าทำให้สำเร็จได้ทุกสิ่ง พระเจ้าจึงส่งพระเยซูมารับโทษ รับบาปแทนเรา ตายแทนเราบนไม้กางเขน และทำให้เราผู้เชื่อทุกคนตายไปร่วมกับพระองค์ เปลี่ยนใจใหม่ให้เรา และเป็นขึ้นจากความตายร่วมกับพระองค์ด้วย ตรงนี้เท่านั้นเองที่จะทำให้ไปสวรรค์ได้  เพราะจะทำให้เราเป็นคนใหม่ มีชีวิตใหม่ ที่ยอมรับ โดยพระเจ้า ถ้าพระเจ้าเป็นเจ้าของสวรรค์ แน่นอนวิธีเข้าสวรรค์ก็ต้องมาจากพระเจ้า  ถ้าเราจะเขียนขึ้นมาเองว่า …

“ฉันอยากจะทำอย่างโน้นอย่างนี้  แล้วถึงจะได้ไปสวรรค์”

ก็ไม่ตรง เมื่อมันไม่ตรงกับพระเจ้า เจ้าของสวรรค์ ก็เข้าไม่ได้ ในมัทธิว 7:21 ชัดเจนว่าจะมีคนจำนวนมากร้องแก่พระเยซูว่า …

“องค์พระผู้เป็นเจ้า ข้าพระองค์ได้เผยพระวจนะในนามของพระองค์ ขับผีออกในพระนามของพระองค์ ทำการแห่งฤทธานุภาพมากมาย  ในพระนามของพระองค์ มิใช่หรือ?”

มีคนเยอะแยะทำอย่างนั้น นี่คือสิ่งที่พระเยซูต้องการจะให้เราเห็นชัดว่าคนที่เชื่อวางใจในพระเยซู จะไม่กล่าวอย่างนี้ ถ้าเรารู้ตัวว่าเราเป็นคนบาป เรามาเชื่อพระเยซู เพื่อขอให้ช่วยเรารอดพ้นบาป เราจะกำแหงไหม?  ที่จะกล้าบอกว่า …

“ฉันทำอย่างนั้นนะ หนูทำอย่างนี้นะ ทำดีอย่างนั้น สมควรนะ พระเจ้าต้องให้เข้า เพราะว่าทำดีอย่างนี้แล้ว เสียสละแล้ว พูดภาษาแปลกๆ แล้ว ขับผีออกแล้ว วางมือคนหายป่วยแล้ว  ชุบคนตายให้ฟื้นได้แล้ว ฉันเก่งมากเลย ทำอะไรต่อมิอะไรที่คนอื่นทำไม่ได้ เพราะฉะนั้น ฉันเป็นคนที่จะต้องได้เข้าแผ่นดินสวรรค์”

แต่นั่นไม่ใช่วิธีของพระเจ้า  เพราะพระเจ้าบอกว่าคนที่เชื่อวางใจในพระเยซูเท่านั้น  ก็จะรอดจากบาป พ้นนรก เป็นผู้บริสุทธิ์ เป็นผู้ชอบธรรม โดยเชื่อในการกระทำของพระเยซู เราจะไม่พูดว่า …

“ฉันเสียสละนะ บ้านเรือนทรัพย์สินขาย เอาไปช่วยคนยากคนจน”

หรือว่า “ฉันเอาตัวเข้าแลกในการเข้าไปช่วยคน”

หรือว่า “ฉันบริจาคมากที่สุดเลยในจังหวัดนี้  เพราะฉะนั้น ฉันสมควร”

ไม่ใช่ เพราะพระเจ้าบอกว่าไม่เลย ไม่มีใครที่จะดีพอ ต่อให้เป็นความดี 99.99%  ก็ไม่พอสำหรับพระเจ้า เพราะว่าพระเจ้าต้อง 100 ทำดีต้อง 100% ไม่มีที่ติ ไม่มีบกพร่องตรงไหนได้เลย

บางคนอาจจะบอกว่า … “ฉันอดอาหาร อาทิตย์ละ 3 ครั้ง”

บางคนอาจจะบอกว่า … “ฉันถวาย 20 ลด”

บางคนอาจจะบอกว่า … “ฉันท่องพระคัมภีร์ได้หมดเลย บทอะไรบอกมาสิ ฉันท่องได้หมด”

บางคนก็ตื่นเต้นกับใครสักคนหนึ่งเอาพระคัมภีร์มาท่องได้เป็นวรรคเป็นเวร เป็นบทๆ แต่ว่าชีวิต การกระทำ ไปคนละเรื่อง

เพราะฉะนั้น เราไม่ได้ต้องการกฎเกณฑ์มาช่วยเรา เราต้องการพระผู้ช่วยให้รอด เราต้องการพระเยซู พระวิญญาณของพระเยซูมาเป็นพระผู้ช่วยให้รอดของเรา และเราไม่สามารถจะมีอะไรมาอวดอ้างได้ว่าเราเป็นคนที่ดีพร้อม สมควรได้เข้าแผ่นดินสวรรค์ เราไม่ควรจะไปยืนเถียงกับพระเจ้าตรงนั้นว่าเราทำอะไรบ้าง เพราะว่าพระเจ้ารู้อยู่แล้วว่าเราทำอะไร? เราจะไปอวดอย่างไร ก็ไปไม่ถึงขั้นตอน มาตรฐานของพระเจ้าอยู่ดี โดยพระเยซูคริสต์เท่านั้น พระวิญญาณของพระเจ้าเท่านั้น เราจึงสามารถดำเนินชีวิตไปกับพระเจ้า ให้พระองค์นำพา จนไปอยู่กับพระองค์ในแผ่นดินสวรรค์ วิญญาณเราไปอยู่แล้ว  แต่ร่างกายของเราระหว่างรอ ก็ต้องเผชิญเรื่องราวต่างๆ มากมายในโลก เราก็ได้ชีวิตของพระเยซู คือพระวิญญาณบริสุทธิ์เคลื่อนไหวอยู่ในเรา เป็นกำลังของเรา  ตรงไหนที่เราอ่อนแอ พระวิญญาณเข้มแข็ง ก็จะพาเราผ่านเหตุการณ์ ผ่านปัญหา ผ่านความยุ่งยากไปได้

พระเยซูถึงได้ว่าเศรษฐีให้ไปขายทรัพย์สิน แล้วค่อยตามพระองค์มา เพราะเศรษฐีพึ่งในความดีของตนเอง ทำหมดทุกอย่าง บัญญัติ 10 ประการครบหมดแล้ว แล้วอย่างนี้เขาน่าจะได้เข้าแผ่นดินสวรรค์ใช่ไหม?

พระเยซูบอกยังไม่ครบหรอก ไปขายสมบัติแจกคนจน แล้วค่อยตามมา

ถ้าเราพึ่งในการกระทำของเราเอง  อย่างไรก็ตาม ไม่มีการกระทำใดๆ ที่ดีพอ สำหรับเข้าแผ่นดินสวรรค์ทั้งสิ้น มาตรฐานของพระเจ้า ไม่มีใครไปถึงได้นอกจากพระเยซูผู้เดียวที่ทำสำเร็จ แล้วเราเกาะพระองค์ เกาะไปเลย เหมือนกับพระเยซูทำสเปรทเอ็กซ์ไว้แล้ว  เรียกเราขึ้นสเปรทเอ็กซ์ไปดาวสวรรค์ได้เลย  เราไม่ได้เป็นคนต้องสร้างอะไร?  เพราะว่าสเปรทเอ็กซ์ ถูกสร้างไว้เรียบร้อย รอให้เราขึ้นเท่านั้นเอง  รอวันที่เราจะขึ้นไป  พระเยซูทำครบถ้วนสำเร็จทุกอย่าง  พวกเราจึงไม่สามารถที่จะอวดอ้างผลงานของเราได้  ขอพระเจ้าเมตตา

 

*********************

 

 

 

คำหนุนใจจาก Ps.เทพิน ชาติผดุง เรื่อง “ทำไมไม่รู้จัก” ตอน 1 วันที่ 2 มิถุนายน 2020

คำหนุนใจจาก  Ps.เทพิน   ชาติผดุง

เรื่อง “ทำไมไม่รู้จัก” ตอน 1

วันที่ 2  มิถุนายน 2020

            สวัสดีค่ะพี่น้องที่เชื่อในพระเยซูทุกท่าน เรามีถ้อยคำมาหนุนใจ  มาไขความกระจ่างให้กับผู้เชื่อ วันนี้ดิฉันจะมาที่หนังสือมัทธิว 7:21 ที่แม้ดิฉันเอง ก็เคยสงสัย และหลายๆ คนก็สงสัยว่าความหมายที่แท้จริง คืออะไร?

มัทธิว 7:21-23 “21 มิใช่ทุกคนที่เรียกเราว่า “พระองค์เจ้าข้า พระองค์เจ้าข้า” จะได้เข้าในแผ่นดินสวรรค์ แต่ผู้ที่ปฏิบัติตามพระทัยพระบิดาของเรา ผู้ทรงสถิตในสวรรค์จึงจะเข้าได้ 22 เมื่อถึงวันนั้นจะมีคนเป็นอันมากร้องแก่เราว่า “พระองค์เจ้าข้า พระองค์เจ้าข้า ข้าพระองค์กล่าวพระวจนะในพระนามของพระองค์ และได้ขับผีออกในพระนามของพระองค์ และได้กระทำการมหัศจรรย์เป็นอันมากในพระนามของพระองค์ มิใช่หรือ” 23 เมื่อนั้นเราจะได้กล่าวแก่เขาว่า “เราไม่เคยรู้จักเจ้าเลย เจ้าผู้กระทำความชั่ว จงไปเสียให้พ้นหน้าเรา”

 

ดุมากเลยนะ เป็นข้อสังเกตว่าพระเยซูมีความไม่พอใจอย่างมากกับคนที่มาเอ่ยอ้าง พี่น้องก็ต้องคิดถึงเบื้องหลังที่เราได้คุยกันมาว่าในแผ่นดินของพระเจ้า หรือในคริสตจักร ที่พระเยซูอยู่ในตัวผู้เชื่อทุกคน  พระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเยซูเป็นผู้ขับเคลื่อนเรา  เป็นผู้นำทางเรา  สอนเรา พาเราไปในวิถีทางที่พระเจ้าชอบพระทัย  …

“แต่ว่าจะมีคนจำนวนมากร้องแก่พระเยซูว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้า ข้าพระองค์ได้เผยพระวจนะ ทำการอัศจรรย์ แสดงฤทธิ์เดชมากมายในนามของพระองค์”

พระเยซูบอก “เราไม่รู้จักเจ้าเลย เจ้าผู้ทำความชั่ว”

ไม่ใช่เป็นคนธรรมดา แต่หมายถึง … “เจ้าผู้ทำความชั่ว จงไปเสียให้พ้นหน้าเรา”

หมายความว่าอย่างไร?  ดิฉันได้เคยเล่าเรื่องของยูดาสกับกลุ่มสาวก 12 คน พระเยซูก็ให้อยู่ไปด้วยกัน  ข้าวเสียกับข้าวดี วัชพืชกับข้าวดีก็อยู่ด้วยกันไป จนสุดท้ายออกผลมาเองว่าชัดเจน อันไหนเป็นข้าวดี อันไหนเป็นข้าวเน่า อันไหนเป็นเครื่องมือของมาร หรือว่าอานาเนียกับสัปฟีรา ก็บอกชัดว่าแรงบันดาลใจของเขาในการที่จะเข้ามาทำหน้าที่ในคริสตจักรของพระเจ้า เป็นแรงบันดาลใจที่น่าจะไม่ถูกต้อง เพื่อผลประโยชน์  ถึงได้ตกใจ ตายไปเลย

อันนี้ก็เหมือนกัน วันนั้นพระเยซูเจอกับผู้คนที่เข้ามาหาพระองค์ และพระองค์ตัดสินว่าคนที่มาอ้างว่าทำอัศจรรย์ ขับผี แสดงฤทธิ์เดชต่างๆ มากมายนั้น พระเยซูบอกไม่รู้จัก แสดงว่าข้างในของเขามันไม่ใช่ เพราะเราทุกคนที่เชื่อในพระเยซู พระบิดา พระบุตร พระวิญญาณบริสุทธิ์เข้ามาอยู่ในใจของเรา  เราเป็นร่างกาย เป็นพระวิหารของพระเจ้า พระเยซูอยู่ด้วยตลอด จนสิ้นยุค จะไม่ละทิ้งเลย ถ้อยคำยืนยันอย่างนั้น

แล้วทำไมตรงนี้บอกว่า “เราไม่รู้จักพวกเจ้าเลย เจ้าผู้ทำความชั่ว จงไปเสียให้พ้นหน้า” ตรงนี้คือเป็นเวลาแห่งการแยกนั่นเอง

ในข้อที่ 15 ที่พระเยซูก่อนหน้าที่พูดคำว่า “ไม่รู้จักเจ้า” พระเยซูคุยเรื่องให้ระวังผู้เผยพระวจนะเทียมเท็จ

มัทธิว 7:15- “15 “ท่านทั้งหลายจงระวังผู้เผยพระวจนะเท็จ ที่มาหาท่านนุ่งห่มดุจแกะ แต่ภายในเขาร้ายกาจดุจหมาป่า 16 ท่านจะรู้จักเขาได้ด้วยผลของเขา ผลองุ่นนั้นเก็บได้จากต้นไม้มีหนามหรือ หรือว่าผลมะเดื่อนั้น เก็บได้จากพืชหนาม 17 ต้นไม้ดีย่อมให้แต่ผลดี ต้นไม้เลวก็ย่อมให้ผลเลว 18 ต้นไม้ดีจะเกิดผลเลวไม่ได้ หรือต้นไม้เลวจะเกิดผลดีก็ไม่ได้ 19 ต้นไม้ซึ่งไม่เกิดผลดีย่อมต้องถูกฟันลงและทิ้งเสียในไฟ 20 เหตุฉะนั้น ท่านจะรู้จักเขาได้เพราะผลของเขา”

 

นี่คือกิจการที่พระเจ้าเปิดเผย ดังนั้น เราคงจะเข้าใจกันนะว่าพวกผู้คนที่เผยพระวจนะในนามพระเยซู ขับผีออกในนามพระเยซู แสดงฤทธิ์เดชมากมายในนามพระเยซู แต่ถ้าเป็นการแสร้ง เพราะก่อนหน้าที่จะเอ่ยตรงนี้ บอกว่า …

“ให้ระวังพวกผู้เผยพระวจนะเทียมเท็จ เขามาหาท่าน นุ่งห่มเหมือนแกะ แต่ภายในร้ายกาจเหมือนหมาป่า”

ข้างในเขาเป็นหมาป่า เขาไม่ใช่ลูกแกะ  เราทุกคนที่เชื่อพระเยซู เราเป็นลูกแกะของพระเจ้า  แต่มารก็เหมือนหมาป่าในรูปของลูกแกะ  โดยเอาหนังแกะมาสวมเอาไว้  แล้วก็แสร้งทำตัวเป็นผู้รับใช้พระเจ้า ถึงขนาดเผยพระวจนะ ทำฤทธิ์เดช อัศจรรย์ต่างๆ ในนามของพระเยซู แต่พระเยซูบอกว่ามันไม่ใช่แค่นั้น  ไม่ใช่ปากของเราเท่านั้นที่จะเชื่อและทำตาม น้ำพระทัยพระเจ้าได้  แต่ทั้งหมดมาจากใจ ถ้าเจตนาของเรา ใจของเรา ขึ้นตรงต่อพระเจ้า รักพระองค์ ขอบคุณ กตัญญูรู้คุณในสิ่งที่พระเยซูทำเพื่อเรา ตายเพื่อเรา ชุบเราให้เป็นขึ้นมาจากความตายแล้ว อยู่กับพระองค์ มีชีวิตที่ต้องการปรนนิบัติ มีความสุขในการปฏิบัติตามน้ำพระทัยพระเจ้า  ไม่ได้ฝืนใจ มีความสุข เดินในทางพระเจ้า ไปโบสถ์ เพราะมีความสุข ไม่ใช่ไป เพราะถูกบังคับให้ไป  ไม่ใช่ไม่ไปโบสถ์ แล้วจะตกนรก ตกนรกหรือไม่ อยู่ที่การเชื่อพระเยซู ไม่ใช่ไปโบสถ์หรือเปล่า?  แต่การไปโบสถ์ ก็เป็นสิ่งที่ดี เพราะเหมือนถ่านหลายๆ ก้อน  ก็ควรจะมากองๆ สุมกัน ไฟก็จะลุกโชน ทำประโยชน์ได้มากขึ้น

ก็คิดว่าพี่น้องคงจะพอเข้าใจแล้วว่าพวกที่เรียก ออกพระนามพระเยซู ทำอัศจรรย์ รักษาโรค วางมือ แสดงฤทธิ์เดชมากมายนั้น ถ้าเป็นแค่การกระทำเปลือกนอก  เขาไม่ใช่ของพระเจ้าแน่นอน พระเยซูปฏิเสธเขา เขาเป็นต้นไม้ ซึ่งไม่เกิดผลดี ต้องถูกฟันลง และทิ้งเสียในเตาไฟ

ผลของพระวิญญาณบริสุทธิ์อยู่ในผู้เชื่อทุกคน และเราไม่ต้องทำเอง  ผลของพระวิญญาณบริสุทธิ์ คือความรัก ความดีงาม ความอดกลั้นใจต่างๆ เหล่านี้ เหมือนกับต้นมะม่วง มีลูกมะม่วงออกมา เราไม่ต้องไปพยายามวุ่นวายอะไรมากมาย  มันออกมาตามธรรมชาติ เราไม่ต้องไปเอาน้ำตาลฉีด เพื่อให้มะม่วงหวาน ถ้าต้นมะม่วงที่เราปลูกนั้น เขาจะมีผลหวาน เขาก็หวานของเขา ตามธรรมชาติ ตอนดิบ ก็อาจจะเปรี้ยวหน่อย  พอเริ่มสุก ก็หวานอร่อย ก็เหมือนชีวิตเรา เชื่อพระเจ้าใหม่ๆ ก็อาจจะยังไม่ค่อยปรับตัวได้เก่ง ยังชินกับความทรงจำเดิมๆ ความประพฤติเก่าๆ  ที่พาไปสู่ความตาย  ก็มีพลาดพลั้ง แต่ธรรมชาติเรา  ไม่มีแล้วแบบนั้น ไม่มีธรรมชาติที่จะพาไปสู่ความตาย ไม่มีแล้ว เราเปลี่ยนธรรมชาติใหม่แล้ว มาเป็นธรรมชาติของพระเจ้า อยู่ในตัวเรา ก็จะพัฒนาขึ้นมาเป็นความดีงาม  ความรัก ความเมตตา  รู้จักบังคับตน ผลของพระวิญญาณบริสุทธิ์ทั้งหมด ก็จะออกมา โดยที่เราไม่ต้องมานั่งคิดว่า …

“ฉันมีผลของพระวิญญาณบริสุทธิ์ คือมีความรัก”

หรือท่อง เราเชื่อว่าเรามีพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า พระวิญญาณที่อยู่ในตัวเรา  ก็จะออกผลมาเป็นผลของพระวิญญาณบริสุทธิ์ เพราะไม่ใช่เรามีชีวิตอยู่ต่อไปแล้ว แต่พระเยซูต่างหากที่มีชีวิตอยู่ในพวกเรา  ขอพระเจ้าเมตตา

 

***********************