คำบรรยายพิเศษเช้าวันศุกร์ เวลา 09.00 น. วันศุกร์ที่ 10 เมษายน 2020 เรื่อง “การระลึกถึงพระเยซูคริสต์” โดย นคร เวชสุภาพร

คำบรรยายพิเศษเช้าวันศุกร์  เวลา 09.00 น.

วันศุกร์ที่  10  เมษายน  2020

 เรื่อง “การระลึกถึงพระเยซูคริสต์”

โดย นคร  เวชสุภาพร

            สวัสดีครับพี่น้อง ก็มาตามนัด วันนี้เป็นวันที่เราจะมาร่วมกันระลึกถึงและร่วมกันฉลองความสำเร็จ  ที่พระเจ้าได้ทรงวางแผนการไว้ล่วงหน้า ไว้ตั้งนาน เพื่อมาไถ่บาปให้กับมนุษย์ทั้งปวง ซึ่งมันเกี่ยวข้องกันกับชีวิตของพวกเราทุกๆ คน ไม่ว่าจะเป็นคริสเตียน หรือมนุษย์ มีส่วนเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ในวันนี้ทั้งสิ้น

ช่วงเวลา 3 โมงเช้า เป็นช่วงเวลาที่สำคัญมากตอนหนึ่งของหน้าประวัติศาสตร์ของโลกเลย ซึ่งมีผลกระทบไปถึงโลกวิญญาณ ใหญ่หลวงมาก จนกระทั่งมีผลมาถึงทุกวันนี้ และจะมีผลไปถึงนิรันดร์ ก็คือตอน 3 โมงเช้า  …. 3 โมงเช้าสำคัญอย่างไร? บอกว่าเหตุการณ์นั้น เป็นเหตุการณ์ที่ยิ่งใหญ่ขนาดไหน? ก็คือเหตุการณ์ที่พระเยซูถูกยกขึ้น คำว่า “ยกขึ้น” ไม่ได้ยกย่องนะ  พระเยซูถูกยกขึ้นทั้งร่างกายและวิญญาณ โดยถูกตรึงที่ไม้กางเขน  พอยกขึ้นมา เกิดอะไรขึ้น  ปรากฏการณ์ทำให้เกิดปฏิกิริยาใดเกิดขึ้นในโลกฝ่ายวิญญาณ และเกี่ยวข้องอะไรกับทุกๆ ชีวิตบนโลกใบนี้ ทำไมเขาถึงเรียกวันนี้ว่า “Good Friday” … Friday คือวันศุกร์ Good คือประเสริฐ … ศุกร์ประเสริฐ Good ก็คือดี จริงๆ ต้อง “Very Good Friday” ดีมาก และมากที่สุดเลย  สำหรับคริสเตียน ไม่ใช่แค่นั้น ดีมากสำหรับมนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้เลย  เพราะฉะนั้น กดแชร์ไปยังคนที่ท่านรัก กดแบ่งปันไปยังญาติพี่น้องมาฟังสิ่งต่างๆ เหล่านี้  สิ่งที่น่าฟัง เพราะเกี่ยวข้องกับชีวิตของเขาทุกคน แล้วเราฟังแบบสบายๆ ไม่ต้องถึงขนาดมาเรียนพระคัมภีร์กันในวันนี้  มาเล่าสู่กันฟัง แบบประวัติศาสตร์เหมือนสมัยก่อน

สมัยก่อนเรื่องราวเหล่านี้ ไม่ใช่มานั่งอ่านพระคัมภีร์ ไม่มีพระคัมภีร์ ไม่มีหนังสือให้อ่าน มีแต่จดไว้ในใบลาน  และมีคนอ่านหนังสือออกเพียงไม่กี่เปอร์เซ็นต์ 70, 80 เปอร์เซ็นต์ของประชากรตอนนั้น อ่านหนังสือไม่ออกนะ เพราะฉะนั้น ถามว่าข่าวประเสริฐ หรือเรื่องที่เกิดขึ้นมาจนถึงทุกวันนี้ได้อย่างไร ตั้ง 2,000 ปีแล้ว  ก็มาโดยวิธีนี้ วิธีเล่าสู่กันฟังว่าเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้น แล้วพระเยซูก็มาเตือนเรา เมื่อได้ยินได้ฟังข่าวดีนี้ ซึ่งเกี่ยวกับชีวิตของเราแล้ว เป็นผลดีกับชีวิตของเราแล้ว เตือนเราว่าอย่าลืมข่าวดีนี้ เพราะว่ามันลืมง่าย เพราะมันเป็นเรื่องเกี่ยวกับโลกวิญญาณ ตามองไม่เห็น หูไม่ได้ยิน เหมือนในพระคัมภีร์บอกว่าตามองไม่เห็น หูไม่ได้ยิน คือสิ่งที่พระเจ้าจัดเตรียมไว้ให้กับมนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้  สิ่งที่พระเจ้าทรงจัดเตรียม ก็คือสิ่งที่ดีๆ เพราะพระเจ้า คือพ่อของเรา ผู้ให้กำเนิดเราทั้งหลายนั่นเอง จะรู้หรือไม่รู้ มันก็เป็นอย่างนี้แหละ เพราะฉะนั้น เรามาฟังเรื่องราวในวันนี้ และสิ่งหนึ่งที่สามารถใช้มีเดียตรงนี้ ในการที่จะฟังและสนุกได้ด้วย  ก็คือสามารถโต้ตอบได้ด้วย  เขียนเข้ามา โพสต์เข้ามา สิ่งที่อยากรู้ หรือโพสต์เข้ามาในสิ่งที่ตัวเองมีความรู้สึกเป็นอย่างนี้ใช่ไหม? เห็นด้วยใช่ไหม หรือมีอะไรเพิ่มเติมว่าผมยังไม่ได้เล่าสู่กันฟังถึงเรื่องนี้เลย เรื่องนี้ก็เป็นเรื่องที่น่าเล่าสู่กันฟัง ระลึกถึงวันที่ประวัติศาสตร์หน้าหนึ่งของโลก มนุษยชาติต้องบันทึกเอาไว้ คือมนุษย์ได้รับอิสรภาพจากเคราะห์กรรม เวรกรรมเรียบร้อยแล้ว มนุษย์ไม่จำเป็นจะต้องชดใช้เวรกรรมด้วยตนเองอีกต่อไปแล้ว เพราะพระเจ้าทรงประทานพระบุตร คือพระเยซูคริสต์ มาตายที่ไม้กางเขน อีกประมาณไม่กี่นาทีข้างหน้านี้แล้ว  เรามาย้อนเวลาไปด้วยกัน

สมมติว่าวันนี้วันศุกร์ ปี ค.ศ.30  อายุของพระเยซูตอนนั้น คือ 33 ปี เพราะว่าค.ศ.นี้เริ่มต้นเมื่อพระเยซูอายุ 3 ปี เพราะฉะนั้น ค.ศ.30 พระองค์อายุ 33 ในปีนั้น วันศุกร์ ตรงกับวันนี้  เรียกว่าศุกร์ประเสริฐ ย้อนไปประมาณ 2,000 ปี เมื่อ ค.ศ.30 เวลา 3 โมงเช้า  ไม้กางเขนอันนั้นเพิ่งจะถูกยกขึ้นมา คือพระเยซูถูกตรึง เมื่อสักครู่นี้ ตอกตะปูเข้าไปที่มือทั้งสองข้าง  แล้วก็หลายๆ คนช่วยกันยกต้นไม้ต้นนี้ ไม้กางเขน เรียกว่าต้นไม้ เพราะว่าเป็นลำต้นต่อกันยาวเลย ยกขึ้นมา โดยมีร่างของพระเยซูถูกตรึงตรงนั้น  แล้วก็ปักลงไปบนดินที่เป็นหิน บนเนินเขา  เรียกว่าโกละโกธา หรือแปลเป็นไทยเรียกว่ากะโหลกศีรษะ คือหุบเขาหรือเนินเขาของความตายนั่นเอง  ที่ที่ซึ่งเอาไว้ประหารชีวิตนักโทษ สองข้างก็เป็นนักโทษอุฉกรรก์ที่ถูกตัดสินให้ตาย โดยการประหารชีวิตบนไม้กางเขน ซึ่งเป็นการประหารที่ทรมานที่สุด ในยุคนั้น ในสมัยนั้น ซึ่งโรมันใช้ในการปราบประเทศที่เป็นเมืองขึ้น  แล้วก็ปราบปรามให้ประชาชนหรือว่าผู้คนหวาดกลัวต่ออำนาจอิทธิพลของโรมัน  คือวิธีการตายอย่างทรมาน  และประจานที่ไม้กางเขนว่าอย่าทำอย่างนี้นะ อะไรประมาณนั้น

เราจะมาย้อนกันว่าตอนนี้พระเยซูเริ่มถูกตรึง พระคัมภีร์ไบเบิ้ลได้บันทึกว่าพระองค์ถูกตรึงตั้งแต่ 9 โมงเช้า ตอนนี้ ไปจนกระทั่งถึงบ่ายสามโมง 6 ชั่วโมงเต็มๆ บนไม้กางเขน ก่อนหน้านี้ เมื่อคืนวันพฤหัส ที่เมื่อคืนเราระลึกถึงพระเยซูอธิษฐานด้วยความหวาดกลัวสุดขีด ที่สวนเกทเสมเนว่าวันนี้พระองค์จะทรงเจออะไร?  เมื่อคืนนี้ ก็เจอแล้ว  ความทุกข์ทรมาน เริ่มต้นตั้งแต่เมื่อคืนนี้ ที่สวนเกทเสมเน กลัวจนกระทั่งอธิษฐานกับพระเจ้า 3 ครั้ง พระองค์เป็นพระเจ้ามาเกิดเป็นมนุษย์ พระองค์ทรงอยู่กับพระบิดาเป็นประจำ คุยกันตลอดเวลากระหนุงกระหนิง ไม่เคยกลัวอะไรเลย จนกระทั่งถึงอายุ 33 ปี ณ เมื่อคืนนี้ รู้แล้วว่าถึงเวลาแล้วที่ภารกิจนี้ จะสำเร็จได้จะต้องถึงขั้นแตกหักตรงนี้  พระองค์ทรงทราบล่วงหน้าแล้ว ตั้งแต่เดินทางเข้ากรุงเยรูซาเล็มให้เขาจับ เพราะฉะนั้น  กลัว อธิษฐาน 3 ครั้ง ครั้งหนึ่งก็แปลกแล้วนะ พระบุตรพระเจ้า พระองค์ไม่เคยกลัวใครเลย  ตลอด 33 ปีที่ดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้  โดยเฉพาะอย่างยิ่ง 3 ปีหลัง ที่ประกาศข่าวประเสริฐเรื่องสวรรค์ … สวรรค์มาถึงแล้ว ให้กลับใจใหม่เถิด  พระองค์นำสวรรค์มาถึงแล้ว พระองค์เป็นพระบุตรพระเจ้านะ ตอนนั้นไม่มีกลัวอะไรเลย แต่เมื่อคืนนี้พระองค์ทรงกลัวสุด  เพราะถึงขั้นสุดท้าย ประจัญบาน พระคัมภีร์บอกเมื่อคืนนี้  ที่สวนเกทเสมเน พระองค์ทรงอธิษฐาน  จนเหงื่อออกมาเป็นเม็ดเลือด ก็คือเครียดจัด อาจเป็นได้ว่าเส้นโลหิตฝอยของผิวหนังแตก อะไรแบบนี้  ถามว่าทำไมต้องกลัวขนาดนั้น  พระเยซูกลัวอะไร

ท่านว่ากลัวอะไร?  โจร 2 คนยังกลัวไม่ถึงขนาดเหงื่อเป็นเลือดเลย  ผมเชื่อว่าอย่างนั้น  แต่ทำไมพระเยซูต้องกลัวถึงขนาดนั้น  ทั้งๆ ที่ไม่เคยกลัวมาก่อนเลย แล้วเกิดอะไรขึ้นเมื่อตอนคืนวันพฤหัสฯ ตั้งแต่ตอนดึก ก็ถูกจับตัวไปขึ้นศาลเตี้ย คือศาลตัวฉันนั่นเอง  ฉันเป็นใหญ่ ฉันจะเอาอย่างนี้  คนที่มีอิทธิพล คิดว่าตัวเองเป็นใหญ่ แล้วยัดเยียดข้อหาให้กับพระเยซูมากมาย ยัดเยียดว่าเป็นอันโน้นอันนี้ ว่าอย่างนั้นอย่างนี้  แต่พระเยซูเป็นผู้บริสุทธิ์สะอาดศักดิ์สิทธิ์จริงๆ ไม่มีใครสามารถบอกได้จริงๆ พระองค์เป็นผู้ร้ายหรือเป็นคนชั่ว หรือเป็นฆาตกร หรือขโมยของ ไม่เคยมีเลย ไม่เคยทำสิ่งต่างๆ เหล่านี้เลยแม้แต่นิดเดียว แม้กระทั่งปิลาตเอง ซึ่งเป็นผู้บังคับการของโรมัน ซึ่งให้มาปกครองประเทศอิสราเอล ชาวยิวขณะนั้น ก็ยังยอมรับว่าไม่ได้ผิดอะไรเลย จะไปฆ่าเขาทำไม บอกกับชาวยิวหัวหน้าศาสนา ที่พยายามจะฆ่าพระเยซู เป็นเอกฉันท์เลยว่าเป็นผู้บริสุทธิ์ สิ่งเดียวเท่านั้น ที่คนเหล่านี้ พยายามยัดเยียดข้อหาให้พระเยซู ก็คือบอกว่าเขาอ้างตัวเองว่าเป็นพระบุตรพระเจ้า แค่นั้นเอง ผิดใหญ่หลวงใหญ่โต จะนำเขาไปฆ่าให้ได้ อะไรต่างๆ เหล่านี้ ซึ่งเราก็เรียนรู้แล้วนะว่าเขาทำไปโดยไม่รู้ว่าเขาทำอะไรอยู่

ประโยคแรกที่พระเยซูถูกตรึงที่ไม้กางเขน  พระองค์บอกว่า …

“พระบิดาเจ้าข้า ลูกเจ็บมากเลย ทรมานมากเลย  ช่วยลูกด้วย”

ใช่ไหม? ไม่ใช่ พระองค์พูดว่า …

“โอ้้ พระบิดาแก้แค้นให้ลูกด้วยเถิด”

อย่างนั้นเหรอ ก็ไม่ใช่อีก ประโยคแรกหลังจากเริ่มทนทุกข์ทรมาน ถูกเฆี่ยน ถูกทุบ ถูกหยามน้ำหน้า ถูกบ้วนน้ำลาย ถูกยัดเยียดข้อหาตั้งแต่เมื่อคืนนี้ จนถึงเช้าวันนี้  9 โมงเช้า ถูกทำร้ายตลอดเลย ไม่ได้หลับ ไม่ได้นอน ไม่ได้พักผ่อนไม่พอ ถูกเฆี่ยน ถูกตี ถูกทุบ  ในพระคัมภีร์ไบเบิ้ลได้พูดถึงขนาดว่าจำหน้าไม่ได้ เพราะถูกเฆี่ยนมาก ด้วยแส้ที่พิเศษ ที่โรมันใช้เวลาทรมานนักโทษ ให้เป็นเยี่ยงอย่าง หรือจำหน้าไม่ได้ เพราะว่าบวม ถูกไม้ตี เพราะเขาใช้ศาลเตี้ยกัน เขาทำไปโดยไม่รู้ เขาโกรธแค้นไง  โมโห พอโมโห เป็นเหมือนม๊อบ รวมกันคนนั้นถีบ คนนี้ต่อย นึกภาพสิ สนุกสนานกันใหญ่เลย  เพราะเกิดความมัน พออยู่ร่วมกัน เขาบอกเหมือนเอามัน คือรวมกันเป็นกลุ่มเป็นก้อนเสร็จปุ๊บ มารก็สามารถที่จะเข้าไปโน้มน้าวจิตใจ เข้าไปคุมพฤติกรรมต่างๆ ของมนุษย์ที่อยู่รวมกันให้เกิดความรุนแรง ในการกระทำ อาจจะโกรธนิดหนึ่ง หรือรู้สึกขัดแย้งนิดหนึ่ง แต่พออยู่รวมกันมากๆ มันก็ถูกใส่ไฟ โดยมารต่างๆ  ทำให้เกิดความรุนแรงมากยิ่งขึ้น  เขาเรียกว่าม๊อบเลวร้ายอะไรต่างๆ

กลับมาพูดถึงเมื่อสักครู่นี้ 9 โมงเช้า  ถูกตรึงแล้วตอนนี้ ผ่านมาเกือบ 10 นาที ตอนถูกตรึงอยู่ พระองค์ทรงพูดประโยคแรก สะเทือนใจมาก ยิ่งตะกี้เราวิเคราะห์ตั้งแต่เมื่อคืนที่พระองค์ทรงถูกจับและขึ้นศาลเตี้ย หลังจากขึ้นศาลเตี้ย  ถูกทุบ ถูกตี ด้วยความไม่ยุติธรรม ด้วยความมันในอารมณ์ของบรรดาผู้คนที่รวมกัน เป็นม๊อบทั้งหลาย  อัดพระเยซู ทุบตี แม้กระทั่งทหารโรมัน ซึ่งไม่รู้อีโหน่อีเหน่ ก็มันกับเขาด้วย เมื่อปีลาตสั่งให้ไปลงโทษ ถามว่าปีลาตสั่งให้ไปลงโทษ เพื่ออะไร? ลงโทษให้หนักๆ  เพื่อจะมาบอกกับชาวยิวว่าลงโทษเขาแล้ว พอแล้ว ไม่ต้องไปฆ่าเขาหรอก เขาเป็นผู้บริสุทธิ์ แค่ลงโทษพอใจหรือยัง? พอแล้วนะ จบ พวกอิสราเอลไม่ยอม โดยเฉพาะพวกหัวหน้าทางศาสนา ไม่ยอม  บอกให้เอาไปตรึงซะ ปีลาตผู้สำเร็จราชการของโรมันตอนนั้นบอกว่าแล้วจะไปตรึงเขาด้วยสาเหตุอะไรเล่า เขาไม่ได้ผิดอะไร  ถึงขนาดต้องเอาไปตรึง  เขาบอกเป็นกษัตริย์ของชาวยิว ท่านบอกไม่ใช่ ก็ไม่ใช่สิ  เขาบอกเป็นพระบุตรของพระเจ้า ท่านบอกไม่ใช่   ก็ไม่ใช่ แล้วจะไปฆ่าเขาทำไม?   เขาไม่ได้ไปฆ่าคนตาย ไม่ได้ก่อ ม๊อบ ไม่ได้เป็นกบฏสักหน่อย  ไม่เหมือนบารับบัสที่ถูกจับ โดยเป็นผู้ก่อกบฏ ต่อต้านโรมันขณะนั้น ไปฆ่าพระเยซูทำไม?

ปีลาตจึงวางแผนให้ทหารลงโทษ เฆี่ยนหนักๆ เพื่อจะได้ไปบอกว่าโดนลงโทษไปแล้วนะ  เพื่อจะรักษาชีวิตของพระเยซูเอาไว้  ไม่อยากจะประหาร แต่อย่างที่บอก ทนการเรียกร้องของชาวยิว โดยการนำของผู้นำทางศาสนา ในขณะนั้น ชาวยิว เขาปกครองในสมัยนั้น เขาเรียกว่าศาสนานำการเมือง เพราะฉะนั้น ไคยาฟาส หัวหน้าทางศาสนา ก็ก่อม๊อบอีก ก็เหมือนเดิม เอาไปตรึงเลย ซึ่งมันตรงกับพระคัมภีร์ที่บอกไว้ล่วงหน้าแล้วนะว่าพระเยซูจะตาย ไม่ใช่เพราะน้ำมือของคนต่างชาติ ไม่ใช่คนที่ไม่รู้จักพระเจ้า พูดง่ายๆ ว่าตายด้วยคนกันเอง ชาวยิวด้วยกันเอง จะมอบพระองค์ให้ไปตาย  พูดง่ายๆ เป็นคนสั่งประหารพระองค์นั่นเอง สำหรับทหารโรมันที่ไปตรึงที่ไม้กางเขน เป็นเพียงแค่ทำตามคำสั่งเท่านั้นเอง ถามว่าใครสั่ง ก็หัวหน้าทางศาสนาของยิวเป็นผู้สั่ง ถามว่าเขามีสิทธิ์อะไรตอนนั้น  ตอนนั้นเป็นช่วงเทศกาล ในเทศกาลนี้ เป็นประเพณีของการปกครองของชาวยิวในขณะนั้น  โดยโรมันเข้าครอบครอง โรมันก็เลยบอกว่ามีเทศกาลนี้อันหนึ่งที่ชาวยิวสามารถขออภัยโทษให้กับฆาตกร ที่โรมันจะเอาไปฆ่าให้ตายได้ 1 คน เลือกมา โรมันจะปล่อยให้ เขาเรียกว่าเป็นประเพณี เป็นเทศกาลนี้พอดี ปีลาตจึงเอาบารับบัส ซึ่งเป็นฆาตกรจากคดีก่อกบฏต่ออาณาจักรโรมัน การปกครองของโรมัน  ซึ่งต้องโทษประหารชีวิต แล้วเอาพระเยซูขึ้นมา พระเยซูผู้บริสุทธิ์ ย้ำอีกทีหนึ่งปีลาตบอกว่า …

“เขาบริสุทธิ์ เพราะฉะนั้น ถึงเทศกาลนี้ พวกท่านจัดการเองแล้วกัน ฉันไม่ยุ่งด้วย ฉันขอล้างมือ ฉันไม่สนใจ  ไม่เกี่ยวกับเรื่องนี้  อยู่ที่ท่านเป็นคนตัดสิน ไม่ใช่ฉันเป็นคนตัดสิน ฉันไม่รับผิดชอบแล้ว เพราะฉันบอกแล้วว่าชายคนนี้เขาบริสุทธิ์ เขาไม่ผิดอะไรเลย จะไปทำเขาทำไม? ท่านคิดเอาเองแล้วกัน เพราะมีประเพณีนี้อยู่ตอนนี้พอดี  เทศกาลนี้อยู่พอดี”

หัวหน้าทางศาสนา  ก็รวมกันก่อม๊อบ ตะโกนว่า …

“เพราะฉะนั้น เราขอเลือกฆาตกร คือบารับบัส เอาพระเยซูไปตรึงซะ”

นี่คือที่มา เราจึงเห็นความไม่ยุติธรรม และความทุกข์ทรมาน  ตามที่พระเยซูได้รับเยอะแยะมากมายทั้งนั้น  พระองค์จึงกลัว  กลัวจะทนไม่ไหว  เกิดพระองค์สู้ขึ้นมา  พระองค์สามารถเรียกทูตสวรรค์เข้ามาช่วยได้ เป็นหมื่น เป็นแสน แค่ภายในไม่กี่วินาที แต่พระองค์ไม่ทำ เพราะพระองค์มาเพื่อการนี้โดยเฉพาะ คือมาเพื่อทนทุกข์ทรมาน รับแบกบาปของมวลมนุษยชาติ ซึ่งรวมทั้งท่านทั้งหลายทุกคนที่เป็นมนุษย์ เอาไว้ที่ตัวพระองค์เอง พระองค์มารับโทษบาปแทนเรา เราจะไม่ต้องมาชดใช้เวรกรรมต่างๆ  ไม่รู้จะมาจากชาติไหน  พระองค์จะมาช่วยเราอย่างนี้แหละ เพราะฉะนั้น  พระองค์จึงไม่สู้ พระคัมภีร์จึงใช้แกะเป็นสัญลักษณ์ว่าพระองค์เหมือนลูกแกะที่ถูกนำไปฆ่าให้ตาย เพราะแกะเขาจะเชื่อง จะสงบ ตามแต่ผู้เลี้ยงจะพาไปฆ่า เขาก็จะไม่ดิ้น  ไม่อะไรเลย สงบ รออย่างเดียว พระเยซูทำหน้าที่ของตนเอง มาเพื่อตายที่ไม้กางเขน

และการตายที่ไม้กางเขนนั้น จะเล่าสู่กันฟังต่อไปว่ามันหนักกว่านี้อีก ตะกี้แค่การทุกข์ทรมานทางร่างกาย พระองค์ถูกทุบตี ถูกเฆี่ยนตี พระคัมภีร์บอกว่าพระองค์เกิดเป็นมนุษย์จริงๆ  มีร่างกาย มีความคิดจิตใจ  มีความกลัวเหมือนเรา  ถูกไฟลวกก็ร้อน ไม่ใช่พระองค์เป็นพระเจ้า แล้วไม่เจ็บ พระองค์เป็นพระเจ้าจริง แต่ว่ามาเกิดเป็นมนุษย์  เพียงแต่เป็นมนุษย์ที่ไม่มีบาป สะอาดบริสุทธิ์ แต่คงสภาพของมนุษย์ เพื่อมาเข้าส่วนร่วมในครอบครัวของมนุษย์ เหมือนกับเราทั้งหลาย เพื่อจะได้สามารถเป็นตัวแทนของเรา เหล่ามนุษยชาติบนโลกใบนี้  เพราะพระองค์เป็นมนุษย์ มนุษย์หนึ่งคน เป็นพี่น้องของเรา จากพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์ เป็นพี่น้องร่วมมนุษยชาติกับเราทั้งหลายที่เป็นมนุษย์ เพราะฉะนั้น ก็จะเหมือนเราไม่มีผิดเลย เพียงแต่ไม่เหมือนตรงที่พระองค์เกิดจากหญิงพรหมจารี เกิดด้วยความบริสุทธิ์ไม่มีบาป ไม่เคยทำบาปเลย  แต่ความเจ็บปวด ความรู้สึกกลัวอะไรต่างๆ เหมือนกับเราไม่มีผิดเลย แม้แต่นิดหนึ่ง  เพราะฉะนั้น พระองค์กลัวมาก แล้วยิ่งกลัวกว่านั้น ก็คือตอนที่ถูกตรึงที่ไม้กางเขน

กลับมาตะกี้ ตอนที่พระองค์ทรงถูกตรึงที่ไม้กางเขน  ถูกยกขึ้นมา พระองค์ทรงตรัสประโยคแรกว่า …

“พระบิดาเจ้าข้า  ขอทรงอภัยให้พวกเขาทั้งหลายเหล่านั้น ม๊อบทั้งหลายเหล่านั้น  รวมทั้งทหารที่มาตรึงข้าพระองค์  เพราะเขาไม่รู้ว่าเขากำลังทำอะไรลงไป”

นี่แหละ คือความรักชนิดที่ไม่รู้ว่าจะพูดอย่างไร?  เจ็บปวดอย่างแสนสาหัส  เหงื่อเป็นเลือด ถูกหยามศักดิ์ศรี ทั้งๆ ที่มีอำนาจ  มีฤทธิ์เดช  มีพลัง มีอาวุธที่สามารถจะต่อสู้ได้ เพียงนิดเดียวเท่านั้น พวกที่เป็นม๊อบไม่เหลือเลย  เป็นเรา หลายครั้งเราอาจจะยอมคนที่ข่มเหงเรา ทุบตีเรา เพราะเราสู้เขาไม่ได้ เราถูกบังคับให้ต้องยอม ลองคิดดูสิคนที่ข่มเหงเรา  แล้วด้อยกว่าเรา เรามีอำนาจกว่าเขา  เรามีกำลังมากกว่าเขา มีอาวุธมากกว่าเขา คิดว่าเรายอมไหม?  นี่พระองค์เป็นพระเจ้า พระองค์ก็บอกแล้วว่าถ้าเราต้องการจะสู้กับเขาเหล่านี้ เราเรียกทูตสวรรค์มา เขาเหล่านี้แย่เลย แต่พระองค์ทรงทราบทั้งหมดแล้ว  เรื่องเหล่านี้เป็นเรื่องโลกฝ่ายวิญญาณทั้งสิ้น เขาไม่รู้ว่าเขากำลังทำอะไรลงไป  เขาถูกครอบงำ  โดยอิทธิพลของระบบของโลกนี้  ผ่านทางมารซาตาน ซึ่งควบคุมโลกใบนี้อยู่ ซึ่งได้สิทธิอำนาจในการควบคุมโลกใบนี้ผ่านทางบรรพบุรุษของเรา ผ่านทางอาดัมและเอวา  ต้นพันธุ์ของมนุษยชาติของเรานั่นเอง มอบโลกใบนี้ให้กับมาร เป็นคนดูแล ทั้งที่พระเจ้ามอบให้กับเรา มนุษยชาติเป็นคนดูแลโลกใบนี้ เป็นคนดูแลบ้านหลังนี้  บ้านหลังนี้เป็นของเรา แต่บรรพบุรุษของเรา ได้มอบสิทธินี้ บ้านหลังนี้ โลกใบนี้ให้กับต้นกำเนิดของความชั่วร้าย  เจ้าตัวชั่วร้าย ซึ่งมีชื่อว่าซาตาน ซาตานไม่มีอะไรดีสักนิดหนึ่งเลย  มีแต่ความชั่ว ความเลว อย่างเดียวเท่านั้นเอง

พระคัมภีร์บอกว่ามารมา เพื่อ 3 สิ่งเท่านั้นเอง  ไม่ทำอะไรมากกว่านี้เลย  3 สิ่งที่ทำให้กับมนุษยชาติและโลกใบนี้ ซึ่งเป็นบ้านของเรา (1) ขโมย (2) ฆ่า (3) ทำลาย

เพราะฉะนั้น อะไรที่เกี่ยวข้องกับขโมย ฆ่า ทำลาย  สรุปได้เลย ไม่ต้องไปคิดมาก อันโน้นอันนี้มาจากพระเจ้าไหม? มาจากมารทั้งสิ้น  ยกตัวอย่างในขณะนี้ที่เรากำลังเผชิญกับเชื้อไวรัสโควิด-19 บางคนก็บอกว่าพระเจ้าพิพากษาแล้ว สงสัยพระเจ้าลงโทษมนุษย์  มนุษย์ทำบาปมาก ไม่เกี่ยวเลย  มนุษย์ทำบาป ก็ได้รับโทษของการบาป เหมือนกฎหมายลงโทษ แต่ความชั่วร้ายที่เข้ามาบนโลกใบนี้  มาจากมารลูกเดียว  มันอยู่ในเครือข่ายนี้ ขโมย  ฆ่า ทำลาย  แต่พระคัมภีร์ก็บันทึกตลอด พระเจ้าเป็นพระเจ้าแห่งความรัก พระเจ้าแห่งความดีงาม พระเจ้าแห่งความเมตตา พระเจ้าแห่งความยุติธรรม ท่านเห็นไหม?

นี่มันตรงกันข้ามกับมารเลย เพราะฉะนั้น  นี่เป็นส่วนหนึ่งที่เราจะสามารถเรียนรู้ได้ว่าไม่ว่าอะไรที่จะเกิดขึ้นบนโลกใบนี้  คิดง่ายๆ เท่านั้นเอง ฝั่งดีหรือฝั่งชั่ว ผู้เป็นเจ้าของ คนดีก็ทำชั่วไม่เป็น  คนชั่วก็ทำดีไม่เป็น  แล้วจะสลับกันได้อย่างไร?  ถูกไหมครับ?  ต้นมะม่วงก็ออกผลมาเป็นมะม่วง ต้นไมยราบก็ออกดอกมาเป็นไมยราบ  อะไรประมาณนี้  พระเยซูจึงทราบเรื่องเหล่านี้ดี ตอนถูกตรึงที่ไม้กางเขน  จึงตรัสประโยคแรกว่า …

“อภัยให้เขาเหล่านี้เถิด เพราะเขาไม่รู้ว่าเขากำลังทำอะไรลงไป”

เป็นบทเรียนให้เราด้วย  ตอนนี้ 3 โมงเช้ากว่า ยังอยู่ที่ไม้กางเขนอยู่ แล้วอีกครู่หนึ่ง เราจะมาติดตามตอนต่อไป  ขอพระเจ้าอวยพรครับ

 

***********************

 

 

คำบรรยายพิเศษ คืนวันพฤหัสบดีที่ 9 เมษายน 2020 เรื่อง “การระลึกถึงพระเยซูคริสต์ คืนก่อนพระเยซูคริสต์จะถูกจับ” โดย นคร เวชสุภาพร

คำบรรยายพิเศษ

คืนวันพฤหัสบดีที่  9  เมษายน  2020

 เรื่อง “การระลึกถึงพระเยซูคริสต์ คืนก่อนพระเยซูคริสต์จะถูกจับ”

โดย นคร  เวชสุภาพร

            สวัสดีครับวันนี้เป็นไลฟ์พิเศษ  เป็นเซอร์ไพร์ส อย่างที่บอกไว้ว่าช่วงสัปดาห์นี้จะมีเซอร์ไพร์สให้พี่น้องที่ไม่ได้มีโอกาสมานมัสการพระเจ้าในวันอาทิตย์ อย่างน้อยก็มีไลฟ์อย่างนี้เข้ามาแทน โดยเฉพาะวันนี้  เป็นวันสำคัญวันหนึ่ง ปกติทุกปีเราจะไม่มีการระลึกอย่างนี้ในการนมัสการพระเจ้าที่โบสถ์หรือที่คริสตจักร จะมีเฉพาะเย็นวันศุกร์ แต่เที่ยวนี้ เนื่องจากเทคโนโลยีสบายๆ ง่ายๆ ใช้อันนั้นอันนี้ได้  อย่างเมื่อวานเราก็มีการอธิษฐานกันในกลุ่มของไลน์ วันนี้ก็ไลฟ์ระลึกถึงวันสำคัญอีกวันหนึ่ง

วันนี้เป็นวันพฤหัส สำคัญอย่างไร?  เป็นวันที่พระเยซูเริ่มต้น ทุกข์ทรมานทั้งกายและใจ เพื่อเตรียมตัว หรือเพื่อเริ่มต้นกระทำการงานที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ที่พระองค์ได้ถูกจัดเตรียมไว้เรียบร้อยแล้ว ตั้งแต่ก่อนสร้างโลกเลย  คือมาทุกข์ทรมาน สละพระชนม์พลีของพระองค์อย่างทุกข์ทรมาน  เพื่อความรักอันยิ่งใหญ่ ที่มีต่อมนุษยชาติ คือเพื่อไถ่บาป  ช่วยเหลือมนุษย์ ให้หลุดพ้นจากโทษของความบาป คือความตาย  คือความทุกข์ทรมาน ในนรกนั่นเอง

เดี๋ยวให้เราเตรียมตัวทำพิธีมหาสนิท  … พิธีมหาสนิทอันศักดิ์สิทธิ์ ไม่ได้เป็นพิธีศักดิ์สิทธิ์ แต่ความศักดิ์สิทธิ์อยู่ที่ความหมายในการทำมหาสนิทนี้ว่าทำเพื่ออะไร?  เป็นเพราะอะไร? อย่างไร? ตรงนี้สำคัญกว่าการปฏิบัติ หรือกิจกรรมที่ทำ อย่างเช่น กินขนมปัง ดื่มน้ำองุ่น  เพียงจะรู้ว่าพระเยซูทำอย่างนี้ เพื่อให้เราระลึกถึงสิ่งที่พระองค์จะทรงกระทำในวันรุ่งขึ้น  คือถูกตรึงตายที่ไม้กางเขน  จะได้รู้ว่าศักดิ์สิทธิ์ในแง่มุมของความเป็นจริง ของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ เพื่อไถ่บาปให้กับมนุษยชาติ เราจะมาร่วมร้องเพลงนี้ด้วยกัน เพลง “โปรดนำไปถึงกางเขน”

ในคืนวันนี้ เมื่อประมาณ 2,000 กว่าปีที่แล้ว พระคัมภีร์ได้บันทึกไว้ว่าพระเยซูอยู่ในระหว่างอาหารมื้อสุดท้าย หรือ the last supper ซึ่งเราเคยได้ยินบ่อยๆ มีรูป The last supper พระเยซูอยู่กับเหล่าสาวกกำลังรับประทานอาหารค่ำ ระหว่างอาหารมื้อนั้น  พระคัมภีร์บันทึกไว้ในหนังสือมัทธิว บอกว่า …

“พระเยซูทรงหยิบขนมปังมา แล้วเมื่อถวายสาธุการแล้ว ทรงหัก ส่งให้เหล่าสาวก ตรัสว่า …”

เรานึกภาพนะ พระเยซูมาบังเกิดตั้งแต่วันคริสตมาส จนกระทั่งอายุ 30 ไม่ได้ทำอะไรเกี่ยวกับการประกาศข่าวประเสริฐเลย จนกระทั่ง 3 ปีสุดท้าย คือตั้งแต่อายุ 30 ถึงอายุ 33 … 3 ปีสุดท้าย จึงเริ่มประกาศแผ่นดินสวรรค์ว่าพระองค์คือใคร? และมาทำไมบนโลกใบนี้ เพื่อช่วยมนุษย์อย่างไร? และจนถึงวันนี้ เป็นปลายของปีที่ 3 คืนนี้ คืนวันพฤหัสบดี เป็นคืนสำคัญมาก พระเยซูได้หักขนมปัง ท่านนึกถึงอาหารของชาวยิวในขณะนั้น ที่เยรูซาเล็มเป็นอย่างไร? ก็คือขนมปังกับน้ำองุ่น  หรือเหล้าองุ่นบางๆ เป็นอาหารหลัก พระเยซูทรงหยิบขนมปังขึ้นมา พี่น้องที่มีขนมปังเตรียมไว้แล้วก็ได้ จะเป็นข้าวก็ได้ ที่เล็งถึงการรับประทานอาหาร  แต่พระเยซูใช้ขนมปัง แล้วทรงหักส่งให้กับเหล่าสาวกที่บนโต๊ะ ท่านที่อยู่ทางบ้าน อยู่กับครอบครัวหรืออยู่กับเพื่อนฝูง ก็ส่งให้ได้ สมมติว่าเราร่วมโต๊ะกับพระเยซูในคืนนั้นด้วย เราย้อนกลับไปนะ พระเยซูตรัส …

“จงรับกินเถิด นี่เป็นกายของเรา”

นี่เล็งถึงร่างกายของพระเยซูคริสต์ที่จะถูกตรึงในวันพรุ่งนี้        หยิบขนมปังรับประทานพร้อมกันก่อนนะ ขนมปังนี้เล็งถึงร่างกายของพระเยซู แล้วพระองค์จึงทรงหยิบถ้วยน้ำองุ่น โมทนา และขอบพระคุณ แล้วส่งให้เขา พี่น้องก็ส่งไปนะ ตรัสว่า …

“จงรับไปดื่มทุกคนเถิด”

เราก็ดื่มน้ำองุ่นพร้อมกัน นึกถึงภาพวันนั้น ดื่มเสร็จสาวกที่นั่งอยู่ด้วยกัน ก็งงว่าทำไม? พระองค์ก็ตรัสต่อไปว่า …

“ด้วยว่านี่เป็นโลหิตของเรา”

คือน้ำองุ่นที่ดื่มเมื่อสักครู่นี้ เป็นเลือดของพระเยซูที่จะหลั่งในวันพรุ่งนี้ ว่ากันตามตรง ก็คือตั้งแต่เช้าตรู่วันพรุ่งนี้

“ด้วยว่านี่เป็นโลหิตของเรา  อันเป็นโลหิตแห่งพันธสัญญาใหม่ ซึ่งต้องหลั่งออก เพื่อยกโทษบาป คนเป็นอันมาก เราบอกท่านทั้งหลายว่าเราจะไม่ดื่มน้ำผลไม้จากเถาองุ่นต่อไปอีก จนกว่าวันนั้นจะมาถึง คือวันที่เราจะดื่มกันใหม่กับพวกท่าน ในแผ่นดินแห่งพระบิดาของเรา”

ก็คือเป็นอาหารมื้อสุดท้ายบนโลกใบนี้  ในร่างกายเดิมนี้ ในวันที่จะต้องตาย ในวันรุ่งขึ้นนั่นเอง

พระองค์ทรงกระทำอย่างนี้ แล้วก็บอกให้พวกเรากระทำอย่างนี้ เพื่อระลึกถึงพระองค์ เพื่อต้องการให้การรับประทานอาหารของยิว ของใครก็ตาม ให้กระทำอย่างนี้  ให้ทุกวันที่เราจะต้องทานอาหาร กินขนมปัง ดื่มน้ำองุ่น  ก็ทำพิธีมหาสนิท ก็คือระลึกถึงสิ่งที่พระเยซูได้กระทำ พอพระเยซูกระทำสิ่งนี้เสร็จแล้ว  พระองค์ก็ทรงเดินทางไป ชวนสาวกไปที่สวนเกทเสมเน

สวนเกทเสมเน คือเหมือนสวนเดินเล่น พักผ่อน เพื่อไปเตรียมตัวอธิษฐาน และพระองค์ทรงทราบดีว่าจะถูกจับในคืนนั้น  สมมติว่าเราไปที่สวน พอไปที่สวน ก็ถูกทหารมาจับกุมพระองค์ ท่านลองคิดดูว่าน่าตกใจและน่าซีเรียสขนาดไหน? ซีเรียสถึงขนาด ทุกคนตกใจ แม้กระทั่งสาวกที่สนิทๆ อยู่ใกล้ๆ พระองค์ อย่างเช่นเปโตร ชักดาบออกมาฟัน จะต่อสู้กับทหาร เพื่อจะแย่งพระเยซู จะช่วยพระเยซู ไม่ให้พระเยซูถูกจับ พระเยซูบอก …

“ไม่ต้องๆ  เรามาเพื่อการนี้โดยเฉพาะ เรามาเพื่อให้เขาจับ เรารู้อยู่แล้ว ถ้าเราจะสู้นะ  คนเหล่านี้สู้เราไม่ได้หรอก คือเราเป็นพระเจ้านั่นเอง”

แล้วสิ่งที่เกิดขึ้น น่ากลัวขนาดไหน?  ขนาดมีการบันทึกไว้ในพระคัมภีร์ว่ามีผู้ติดตามพระเยซูมาตั้งแต่ต้น  คือไม่ใช่เป็นสาวก แต่เป็นผู้ติดตามพระองค์มาอยู่เรื่อยๆ คือเชื่อฟัง และคอยฟัง เป็นผู้ติดตามคนหนึ่ง เขาอยู่ในกลุ่มนี้ด้วยเหมือนกัน อยู่ในสวนเกทเสมเนด้วย  ถูกจับ ปรากฏว่าเขาดิ้นหนีทหาร จนกระทั่ง ในพระคัมภีร์บันทึกไว้ว่าเขาวิ่งหนีทหาร ทหารดึงเสื้อคลุมเขา เขาดิ้นหลุด เขาเปลือยกาย วิ่งหนีไปเลย เอาตัวรอด แสดงถึงความเครียดและความน่ากลัวมากว่าถ้าถูกจับได้ครั้งนี้ มันต้องตายและทุกข์ทรมานแน่ๆ แม้เป็นเพียงผู้ติดตามเท่านั้น  แล้วนับภาษาอะไรกับพระเยซูเป็นหัวหน้าเลย เพราะฉะนั้น พระองค์ทรงทราบดีแล้วว่าพระองค์จะถูกเขาจับไปทำอะไรบ้าง? ทุกข์ทรมานขนาดไหน? แต่พระองค์ก็ทรงกระทำ เพื่อไถ่บาปให้กับมนุษย์ทั้งปวงนั่นเอง

ในคืนวันนี้ พระองค์ก็อธิษฐานกับพระเจ้า สุดท้ายก่อนที่เราจะจบในคืนวันนี้ด้วยคำอธิษฐาน ระลึกถึงในส่วนตัว ในครอบครัวของเราว่าพระเจ้าทำอะไรในชีวิตของเรามากมาย อย่างไร? รักเรามากขนาดไหน? ที่สละพระชนม์ชีพ เพื่อเรา  ก่อนที่เขาจะมาจับพระเยซูที่สวนเกทเสมเน พระองค์ทรงทราบแล้ว พระองค์ทรงไปอธิษฐาน  ได้ถูกบันทึกไว้ในพระคัมภีร์อย่างนี้ว่า …

“แล้วพระเยซูทรงพาสาวกมายังที่แห่งหนึ่ง ที่เรียกว่าเกทเสมเน แล้วตรัสกับสาวกของพระองค์ว่า ‘จงนั่งอยู่ที่นี่ แล้วเราจะไปอธิษฐานที่โน่น’ พระองค์ก็พาเปโตรและบุตรทั้งสองของเศบดีไปด้วย พระองค์ทรงโศกเศร้าและหนักพระทัยมาก”

พระองค์เป็นพระเจ้า มาเกิดในร่างกายของมนุษย์จริงๆ มีความเจ็บปวด มีความทุกข์ใจ มีความกลัว เพราะต้องแบกรับเอาบาปของมวลมนุษยชาติทั้งหมดเลย  ไปไว้ที่ร่างกายของพระองค์ มันหนักมากจริงๆ มันหนักขนาดไหน เราฟังต่อไป

“พระองค์ทรงโศกเศร้าและหนักพระทัยนัก จึงตรัสกับเขาว่า ‘ใจของเราเป็นทุกข์แทบตาย จงเฝ้าอยู่กับเราที่นี่เถิด’ แล้วเสด็จดำเนินไปอีกหน่อยหนึ่ง ก็ซบพระพักตร์ลงถึงดิน  อธิษฐานว่า ‘โอ้ พระบิดาของข้าพระองค์  ถ้าเป็นไปได้ ขอให้ถ้วยนี้เลยพ้นไปจากข้าพระองค์เถิด แต่อย่างไรก็ดี อย่าให้เป็นไปตามใจปรารถนาของข้าพระองค์ แต่ให้เป็นไปตามพระทัยของพระองค์”

ก็คือขอให้ถ้วยนี้เลื่อนไป ถ้วยนี้หมายถึงภาระนี้ มิชชั่นนี้  ไม่ทำได้ไหม? ไม่ไหว น่ากลัวมาก

“เสร็จแล้ว จึงเสด็จกลับมายังสาวกเหล่านั้น เห็นเขานอนอยู่ และตรัสกับเปโตรว่า ‘เป็นอย่างไรนะ ท่านทั้งหลายจะคอยเฝ้าอยู่กับเราสักทุ่มเดียวไม่ได้หรือ?  ท่านทั้งหลายควรเฝ้าระวังและอธิษฐาน เพื่อท่านจะได้ไม่ต้องถูกทดลอง จิตใจพร้อมแล้วก็จริง แต่กายยังอ่อนกำลัง’ พระองค์จึงเสด็จไปอธิษฐาน เป็นครั้งที่สอง”

ตะกี้นี้พระเจ้าเงียบ ไม่ตอบ  อธิษฐานครั้งที่สอง “ข้าแต่พระบิดาของข้าพระองค์ ถ้าถ้วยนี้เลื่อนพ้นไปจากข้าพระองค์ไม่ได้  และข้าพระองค์จำต้องดื่ม ก็ขอให้เป็นไปตามน้ำพระทัยของพระองค์ ถ้าถ้วยนี้ ภารกิจนี้ มันต้องเข้าไปแบบนี้  จะไถ่บาปมนุษย์ต้องทำแบบนี้  ต้องตายบนความทุกข์ทรมานอย่างนี้อย่างเดียว  ไม่มีทางอื่น ข้าพระองค์ก็ยอม ขอให้เป็นไปตามน้ำพระทัยของพระบิดาก็แล้วกัน ครั้นเสร็จกลับมา ก็ทรงเห็นสาวกนอนหลับอยู่ เพราะเขาลืมตาไม่ขึ้น  จึงทรงละเขาไว้ เสด็จไปอธิษฐานเป็นครั้งที่สาม เหมือนครั้งก่อนๆ อีก”

ก็คือทุกข์ใจ แล้วก็อธิษฐานเหมือนเดิม “เป็นไปได้ไหมพ่อ ภารกิจนี้ ทุกข์ทรมานอย่างนี้ มันน่ากลัวมาก ไม่เข้าไปได้ไหม?”

“แล้วเสด็จไปยังพวกสาวกตรัสว่า ‘ท่านจะนอนต่อไปให้หายเหนื่อยอีกหรือ? เวลาใกล้แล้ว บุตรมนุษย์จะต้องถูกอายัดไว้ ในมือคนบาป  ลุกขึ้นไปกันเถิด ผู้ที่จะอายัดเรามาใกล้แล้ว”

พระองค์ทรงทราบทุกอย่าง แต่เดินเข้าไปด้วยความเต็มใจ  ถึงแม้จะกลัว รู้ว่าเจ็บปวด ทุกข์ทรมานสาหัส สากันขนาดไหน แต่พระองค์ทรงกระทำ เพื่อมวลมนุษยชาติทั้งปวงจะได้รับการยกโทษบาป ยกหนี้เวรกรรมอะไรต่างๆ ที่เราเคยรู้กันอยู่แล้วว่าต้องชดใช้หนี้เวรกรรม อย่างไรก็ไม่มีวันหมด พระเยซูมาไถ่บาปให้เราเรียบร้อยแล้วเมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว พระองค์จึงย้ำยืนยันกับเราอยู่เรื่อยๆ ให้ …

“จำสิ่งนี้ไว้นะ  พวกเธอจำสิ่งนี้ไว้นะ”

แล้วก็เล่ากันต่อๆ ไป  บอกมนุษย์รุ่นต่อๆ ไป ให้รู้ความจริงนี้ว่าพระเยซูไถ่บาปให้แล้ว ไม่ต้องชดใช้บาปเวรกรรมแล้ว มาเชื่อพระองค์เท่านั้นเอง ชีวิตก็จะพ้นจากโทษของบาป เวรกรรมต่างๆ

นี่คือสิ่งที่เราทำในคืนวันนี้ เพื่อระลึกถึงสิ่งเหล่านี้แหละ สวนเกทเสมเน ก็คือสวนแห่งความรักอันอ่อนหวานของพระเจ้าที่ประทานความรอดจากบาปให้กับมนุษย์ โดยไม่คิดอะไรเลย โดยยอมเสียสละพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ คือพระเยซูคริสต์ให้กับเราทั้งหลายนั่นเอง เราระลึกถึงความรักอันอ่อนหวานของพระองค์ในคืนวันนี้ด้วยกัน นี่แหละคือสิ่งที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สุดในการทำมหาสนิท หรือเรียกว่าทำการเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์ การกินขนมปัง น้ำองุ่น  เล็งถึงร่างกายและโลหิตของพระองค์ เมื่อเชื่อในการไถ่บาปของพระองค์ เราได้รับชีวิตใหม่  เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์ เราเรียกกันว่ามหาสนิท เรียกกันว่าเข้ากันสนิท เป็นหนึ่งเดียวกัน มันหมายถึงตรงนี้

พรุ่งนี้ 1 ทุ่มตรงเรามีการฉลองระลึกถึงวันที่พระเยซูคริสต์ได้ถูกตรึง และตายที่ไม้กางเขน  เพื่อเราทั้งหลาย  ความรักอันยิ่งใหญ่มากๆ เราจะมาเรียนรู้กันต่อในความยิ่งใหญ่ ความศักดิ์สิทธิ์ของความจริงของวันศุกร์ประเสริฐ ศุกร์ที่ดีเลิศของมนุษยชาติทั้งปวง ไม่ใช่ดีเลิศเฉพาะคริสเตียน แต่เป็นวันศุกร์ที่ดีเลิศประเสริฐศรีที่สุด สำหรับมนุษยชาติทั้งปวง เริ่มต้น เมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว แล้วทุกวันนี้ยังทรงฤทธิ์ มีปฏิกิริยาอยู่ต่อบรรดามนุษยชาติทั้งปวง ไม่ว่าจะรุ่นไหนก็ตาม พรุ่งนี้เราจะมาระลึกถึงสิ่งเหล่านี้ร่วมกัน ขอพระเจ้าอวยพรครับ

 

*************************

 

 

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 5 เมษายน 2020 เรื่อง “พระเจ้าสามารถกระทำทุกสิ่ง ทุกสถานการณ์ ให้เป็นประโยชน์ และเป็นผลดีกับเราทุกคน” โดย นคร เวชสุภาพร

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  5  เมษายน  2020

 เรื่อง “พระเจ้าสามารถกระทำทุกสิ่ง ทุกสถานการณ์ ให้เป็นประโยชน์ และเป็นผลดีกับเราทุกคน”

โดย นคร  เวชสุภาพร

            สัปดาห์ที่แล้วเราได้เรียนรู้กันไป ตามภาษาไทยๆ ว่าเรา  มีองค์สถิตอยู่ภายในเราแล้ว  เมื่อเราเชื่อในพระเยซู คือพระเจ้าผู้ทรงสร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก ผู้ทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งหลายทั้งปวง พระเจ้าองค์นี้แหละสถิตอยู่ในเราผู้เชื่อในข่าวดีของพระเยซู และพระเจ้าองค์นี้ คือพ่อของเรา ตามที่พระคัมภีร์บันทึกไว้อย่างนี้ว่า …

ยอห์น 1:12-13 “12 คนทั้งปวงที่เชื่อในพระนามของพระองค์ พระองค์ก็ประทานสิทธิให้เป็นบุตรของพระเจ้า 13 คือบุตรที่ไม่ได้เกิดจากการสืบเชื้อสายตามธรรมชาติ แต่เกิดจากพระเจ้า”

 

พอเชื่อในนามพระเยซูก็ได้รับสิทธิให้เกิดใหม่เป็นบุตรของพระเจ้า ทางวิญญาณ ถ้อยคำพระเจ้าทางพระคัมภีร์ก็ยืนยันกับเราว่าพระเจ้าที่สถิตอยู่กับเรา  รักเรามากมาย คอยปกป้องคุ้มครองเรา และพูดกับเราด้วยความรัก และความห่วงใย ไม่บีบบังคับ คอยปลอบโยนจิตใจเราให้กำลังใจเรา และเสริมความกล้าหาญ ให้กับเราตลอดชั่วชีวิตของเรา ไปจนถึงนิรันดร์ พูดง่ายๆ ว่าเราอยู่ในสวรรค์แล้วตอนนี้  และเราจะอยู่ในสวรรค์กับพระองค์ไปถึงนิรันดร์กาลเลยทีเดียว

อย่างที่เรียนรู้กันเมื่อสัปดาห์ที่แล้วว่าไม่ใช่พระเจ้าพระบิดาเท่านั้น  ที่สถิตอยู่กับเราแล้วตอนนี้ แต่เป็นพระเจ้าพระบิดา พระเจ้าพระบุตรพระเยซูคริสต์ พระเจ้าพระวิญญาณบริสุทธิ์ 3 องค์ คือ 3 พระภาคสถิตอยู่กับเราในวิญญาณเรา ในร่างกายเรา เป็นหนึ่งเดียวกันกับวิญญาณของเราเลยทีเดียว พูดอย่างนี้ชัดเจนเลยนะ

เพราะฉะนั้น นี่คือสิ่งที่เราได้เรียนรู้กันไปเมื่อสองสัปดาห์ที่แล้ว และในขณะนี้ ทั่วโลก ดูในหน้าหนังสือพิมพ์ หรือในข่าวต่างๆ ได้เลย ทุกแห่งเงียบสนิท หมดสนุกเลย  ทั่วโลกกำลังหวั่นวิตกกับเรื่องโรคระบาดโควิด-19  หลายคนต้องตกอยู่ภายในความหวาดกลัว กลัวจะติดเชื้อ กลัวไม่มีรายได้  แล้วจะกินอย่างไร? จะอยู่อย่างไร? ฟังข่าวทุกวัน ก็กลัวว่าสถานการณ์จะยืดเยื้อไปถึงไหน? สิ้นเมษาฯ นี้จะอยู่ถึงไหม?  หรืออีก 6 เดือนข้างหน้าจะสิ้นสุดหรือยัง? ถ้าโควิดไม่สิ้นสุด ชีวิตฉันอาจจะสิ้นสุดก็ได้  เพราะฉันเหนื่อยล้าและกลัวมากเหลือเกิน  อะไรต่างๆ เหล่านั้น  ซึ่งขณะที่เรากำลังกลัวอยู่นี้ มองไปทางโลกฝ่ายวิญญาณ พระเจ้าผู้เป็นพ่อของเรา ก็กำลังบอกเราอยู่ตลอดเวลา ในวิญญาณของเรา บอกมนุษย์ที่เป็นลูกของพระองค์ว่า …

“อย่ากลัวเลย เราอยู่กับเจ้า เราอยู่ข้างในเจ้านี่แหละ อย่ากลัวเลย เราจะไม่ทอดทิ้งเจ้าไปไหน เราจะไม่ละเจ้าไปไหนเลยแม้แต่นิดเดียว”

นี่คือสิ่งที่พระเจ้าพูดกับเราทุกคนที่เชื่อในพระเยซู ที่พระองค์มาสถิตอยู่ในร่างกายเราแล้ว พระเจ้ากำลังพูดกับเรา ไม่ว่าเราจะได้ยินหรือไม่ได้ยินก็ตาม  แต่ผมเอามาเน้นให้ท่านอีกครั้งหนึ่งว่าความจริงในโลกวิญญาณ  ก็คือพระเจ้ากำลังพูดกับท่านว่า …

“อย่ากลัวเลย เพราะเราอยู่ในเจ้า เราจะไม่ทิ้งเจ้าไปไหนหรอก เราเป็นหนึ่งเดียวกับเจ้า เรากับเจ้าอยู่ในสวรรค์ด้วยกันแล้วตอนนี้ เรากับเจ้าจะไปด้วยกันอย่างนี้ชั่วนิรันดร์”

เพราะฉะนั้น เราทุกคนที่มีฐานะเป็นลูกของพระเจ้าแล้ว ด้วยความเชื่อ  และมีพระเจ้าสถิตอยู่ในเราแล้ว เราจึงไม่กลัวไง บางคนบอกเป็นได้อย่างไรไม่กลัว  คริสเตียนไม่กลัวเหรอ กลัว แต่ไม่กลัวจนสติแตก ไม่กลัวจนเกินกว่าเหตุ กลัวเป็นเรื่องธรรมดา  อยู่บนโลกใบนี้ก็ต้องกลัวแล้ว พระเยซูบอกว่าอยู่บนโลกนี้ ท่านก็พบกับความทุกข์ยากลำบากต่างๆ นานาเหมือนกับคนอื่นเขาแหละ แต่จงชื่นชมยินดีเถิด เพราะเราชนะโลกนี้แล้ว ในวิญญาณเราชนะแล้ว แต่เรายังคงดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้  เราก็ต้องเผชิญความทุกข์ยากลำบากต่างๆ นานา สิ่งที่เผชิญทุกข์ยากลำบากต่างๆ หนึ่งในจำนวนนั้น ก็คือความกลัว แต่เราชนะความกลัวแล้ว  เราจึงไม่ให้มันมามีอิทธิพลเหนือชีวิตของเรา  แต่ให้ที่มันนิดๆ หน่อยๆ อยู่ในความคิดของเราได้นิดเดียว ไม่เยอะ เพราะมันต้องอยู่ เพราะเรายังอยู่บนโลกใบนี้ มันต้องได้ยินได้ฟังได้สัมผัสสิ่งต่างๆ ที่เป็นข้อมูลของความกลัว ที่ส่งมาจากมารและระบบของโลกใบนี้อยู่ เพราะฉะนั้น เราก็เกิดความกลัวเป็นเรื่องธรรมดา แต่ให้เราจดจ่อวิญญาณของเราที่มีพระเจ้าพระบิดา พระเจ้าพระบุตรพระเยซูคริสต์ พระเจ้าพระวิญญาณบริสุทธิ์สถิตอยู่ด้วย จะให้กำลังกับเรา มีความกล้าหาญ มีความเชื่อ มีความไว้วางใจในพระองค์ และไม่เป็นทาสของความกลัวนั้น  สยบเอาความกลัวนั้นอยู่ใต้เท้าเรา  ใต้เท้าเราอยู่ที่ไหน? ก็อยู่ในตัวเรานั่นแหละ อยู่ในความคิดเรา แต่เล็กๆ มันมามีอิทธิพลเหนือเราไม่ได้นั่นเอง และวันหนึ่งมันก็จะไม่มีอยู่ในตัวเราเลย เมื่อวันที่เราทิ้งร่างนี้แล้ว  คือตายจากโลกใบนี้ไปแล้ว  จบกันเสียที นั่นแหละ No อีกต่อไปเลย

พระคัมภีร์บอกว่าเราเป็นยิ่งกว่าผู้พิชิตในพระเยซูคริสต์ ผู้ทรงรักเราทั้งหลายอย่างมากมาย ไม่มีอาวุธใดที่จะถูกสร้างขึ้นมา  ไม่มีอาวุธใดที่จะถูกประกอบขึ้นมา  ไม่มีเชื้อโรคใดที่จะประกอบขึ้นมา ทำลายล้างเราจะสามารถทำสำเร็จได้  ไม่มีทาง ตรงนี้หมายถึงวิญญาณของเรา พระเจ้าดูแลเราอยู่ โควิดจะทำอะไรเราไม่ได้ ถ้าเผื่อพระเจ้าไม่อนุญาต ถ้าเผื่อโควิดจะทำอะไรเราได้ ในวิญญาณเราเกิดใหม่ เป็นผู้พิชิตแล้ว  เข้าใจแล้วนะ

ฟังตรงนี้แล้ว บางท่านก็อาจจะแย้งในใจ เกิดคำถามในใจว่าถ้าพระเจ้ารักเรา  พระองค์อยู่ในเราถึง 3 พระภาค พระองค์บอกว่าพระองค์คอยปกปักคุ้มครองดูแลเรา ห่วงใยเรา  ถ้าเป็นอย่างนั้น ท่านน่าจะคิด หรือบางทีเพื่อนท่านอาจจะถามท่าน …

“ถ้าอย่างนั้น ทำไมยังมีผู้ที่เชื่อพระเจ้า ผู้ที่เป็นคริสเตียน ที่มีพระเจ้าสถิตอยู่กับเขา ยังคงติดเชื้อโควิดเยอะแยะเต็มไปหมดเลย แถมยังมีข่าวอีกด้วยว่าในบางประเทศ มีการแพร่กระจายของเชื้อจากการร้องเพลงนมัสการในโบสถ์ด้วยซ้ำไป”

น่าคิดไหม? เอาล่ะ เรามาดูกันว่าพระคัมภีร์อธิบายเรื่องนี้ไว้อย่างไร? ก็เลยถือโอกาสเข้าสู่หัวข้อการบรรยายในวันนี้ เป็นถ้อยคำพระเจ้าที่กำลังบอกพวกเราทุกคน … “พระเจ้าสามารถกระทำทุกสิ่ง ทุกสถานการณ์ ให้เป็นประโยชน์ และเป็นผลดีกับเราทุกคน” … บันทึกไว้ในหนังสือโรม 8:28 ดังนี้ว่า …

โรม 8:28 “เรารู้ว่าในทุกๆ สิ่ง พระเจ้าทรงทำให้เกิดผลดีแก่บรรดาผู้ที่รักพระองค์ คือผู้ที่ได้ทรงเรียกตามพระประสงค์ของพระองค์”

 

เรารู้ว่าในทุกๆ สิ่ง ไม่ใช่ทุกสถานการณ์อย่างเดียว  แต่ทุกสิ่ง สิ่งที่พระองค์ทรงสร้างหมด ไม่ว่ามด แมลง ต้นไม้ ดวงดาวอะไรต่างๆ พระเจ้าทรงกระทำให้เกิดผลดีแก่บรรดาผู้ที่รักพระองค์ คือผู้ที่ได้ทรงเรียกตามพระประสงค์ของพระองค์

ในทุกๆ สิ่ง พระเจ้าทรงให้มันทำงานร่วมกัน เพื่อเกิดเป็นผลดีแก่บรรดาผู้ที่รักพระองค์

ถ้าเรารู้ตัวว่าเราคือผู้ที่พระเจ้ารัก และรู้ตัวว่าเมื่อพระเจ้ารักเรา  ความรักนั้น ทำให้เราเกิดใหม่ในวิญญาณ เพราะเราเชื่อ เราต้อนรับความรักของพระเจ้า  เราได้ต้อนรับพระเยซูคริสต์เข้ามาในชีวิตแล้ว เราได้บังเกิดใหม่ เป็นลูกของพระเจ้าแล้ว  เมื่อเป็นลูกของพระเจ้า วิญญาณเราจะเหมือนพระเจ้าไม่มีผิด ก็คือพระเจ้าทรงรักเราก่อน เราจึงรักพระองค์ได้ นี่พระคัมภีร์บันทึกไว้ …

“เพราะพระองค์ทรงรักข้าก่อน ข้าพระองค์จึงรักพระองค์ ถ้าพระองค์ไม่รักข้าพระองค์ก่อน พระองค์ไม่เอาความรักมาให้ข้าพระองค์ ไม่ให้ข้าพระองค์เกิดใหม่ ข้าพระองค์ไม่มีความสามารถที่จะรักพระองค์ได้ เพราะข้าพระองค์เป็นคนบาป รักพระองค์ไม่ได้หรอก เข้ากับพระองค์ไม่ได้ด้วย  แต่เพราะพระเยซูไถ่บาปให้ข้าพระองค์จนสะอาดหมดจดแล้ว ทำให้ข้าพระองค์กลับคืนดีกับพระองค์ได้”

กลับคืนดี ก็คือเป็นวิญญาณที่เปลี่ยนใหม่ เป็นวิญญาณจากบาป กลายเป็นผู้ชอบธรรม เป็นวิญญาณจากที่เคยเป็นศัตรูกับพระเจ้า เป็นวิญญาณที่เปลี่ยนใหม่ จากวิญญาณที่เคยเกลียดพระเจ้า กลายเป็นวิญญาณที่เป็นมิตรกับพระเจ้า  เป็นวิญญาณที่รักพระเจ้า เห็นไหม?

คำว่า “รัก” จากวิญญาณข้างใน เพราะฉะนั้น ถ้าเราได้บังเกิดใหม่ ด้วยความเชื่อในข่าวดีของพระเยซูแล้ว ทันทีทันใดนั้น เราได้บังเกิดใหม่ รักพระเจ้าแล้ว  พอรักพระเจ้า สิ่งนี้เกิดขึ้นทันที พระเจ้าจะกระทำให้ทุกสิ่ง ทุกอย่างทำงานร่วมกัน ให้เกิดผลดีแก่เราทั้งหลาย  ผู้ที่รักพระองค์ได้ สามารถรักพระองค์แล้ว เพราะฉะนั้น ถ้าเรามั่นใจว่าเรารักพระเจ้า ก็จงเชื่อและวางใจเถิดว่าพระเจ้าสามารถกระทำทุกสิ่งทุกอย่าง ทุกสถานการณ์ที่เกิดขึ้นกับเรา ให้เป็นผลดีกับเราเสมอ  เราที่เป็นลูกของพระองค์ ที่มีความสามารถที่รักพระองค์ เป็นมิตรกับพระองค์ เข้ากันกับพระองค์ได้แล้ว

ถึงแม้ว่าหลายสิ่งหลายอย่างที่เกิดขึ้นนั้น  ด้วยสายตาของมนุษย์ ของเราเอง เราอาจบอกว่ามันไม่ดี ไม่ชอบ มนุษย์ก็คิดอย่างนี้  แต่พระคัมภีร์บอกว่าพระเจ้าสามารถทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างนั้น … “ทุกสิ่งทุกอย่าง” หมายถึงที่เราคิดว่าดี และคิดว่าไม่ดีนั้น ทั้งหมด ทำงานร่วมกัน เกิดเป็นผลดี  หรือเป็นสิ่งดีต่อชีวิตของเรา

ตัวอย่างที่ผมเคยใช้บ่อยๆ คือเวลาเราทำอาหารหรือทำขนม สมมติว่าทำขนมเค้ก มันก็จะมีส่วนผสมหลายอย่าง เช่น แป้ง น้ำตาล ไข่ เนย ลูกเกด ผงฟู ช็อคโกแลต ผลไม้ หรืออะไรแล้วแต่ ซึ่งแต่ละอย่างประกอบกันเป็นเค้ก  แต่ถ้าเราแยกส่วนออกมาแต่ละอย่างๆ  บางอย่างก็ไม่ค่อยจะปลื้ม กินเดี่ยวๆ ไม่ได้ เช่นผงฟูมาใส่ปาก ก็ไม่ไหว เอาช็อคโกแลตมาใส่ปากก็พอได้  เอาน้ำตาลมาใส่ปากนิดๆ หน่อยๆ  พอได้ แต่หลายสิ่งหลายอย่างอยู่โดดเดี่ยว ไม่น่าอภิรมย์เลย ถูกไหมครับ? นี่ก็เหมือนกัน แต่พอเอาทุกอย่างมารวมกัน  ตามสัดส่วนที่ดีๆ  เอาแป้ง น้ำตาล ผงฟู ช็อคโกแลต ผลไม้มารวมกัน  ตามสัดส่วนที่เหมาะสม รวมเสร็จ ใส่เข้าไปในภาชนะ เข้าตู้อบ เอาออกมา ชอบหมดเลย ผงฟูก็ชอบ อะไรที่ขมๆ ก็กินได้แล้ว เพราะว่ามันผสมผสานกันแล้ว นี่แหละคือมันร่วมกัน เกิดเป็นผลดีสำหรับเรา ที่ทำเค้ก แป้ง น้ำตาล ที่มันกินไม่ได้เดี่ยวๆ  มันรวมกันจนกระทั่งเป็นผลดี สำหรับเราที่ทำเค้ก

ฉันใดก็ฉันนั้น ถ้าเราแยกสถานการณ์ แยกเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิตของเรา แยกเป็นเรื่องๆ ไป  บางเรื่องเราอาจจะรู้สึกว่ามันดี  น่าชื่นชมยินดี ขอบคุณพระเจ้าได้ แต่บางเรื่องความรู้สึกเราไม่เอา ไม่ดี มันขมเหลือเกิน พระเจ้าไม่ชอบเลย  แต่พระคัมภีร์บอกว่าในทุกสิ่ง ในทุกสถานการณ์ที่เกิดขึ้นกับเรา  ที่เราเผชิญนั้น  พระเจ้าสามารถทำให้ ทุกสิ่งเหล่านั้น ทำงานร่วมกัน เกิดเป็นผลดี แก่ชีวิตของเรา  ผู้ที่รักพระองค์ ผู้ที่เชื่อในข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์ และได้เป็นลูกของพระองค์แล้ว

ตัวอย่างที่ผมชอบยกบ่อยๆ ในเรื่องนี้ มนุษย์ก็คิดแบบนี้นะไอ้นี่ดี ไอ้นั่นไม่ดี ไม่ค่อยคิดถึงว่ามันรวมกันแล้ว เป็นผลดีหรือผลเลว สำหรับชีวิตเราที่ได้เกิดขึ้น พออะไรไม่ดีมา เราก็ …

“ทำไมมันซวยอย่างนี้”

พอเกิดโชคดีขึ้นมา

“โอ้โห เฮงๆ” … นี่ความคิดของมนุษย์

เคยได้ยินเรื่องนี้ใช่ไหม ที่ผมเล่าอยู่บ่อยๆ … มีชาวนา ชาวไร่อยู่ครอบครัวหนึ่ง เป็นคนยากคนจน ทำไร่ไถนา มีม้าอยู่ตัวหนึ่งก็ดีใจแล้ว เพราะม้าตัวหนึ่งก็ช่วยลดแรงได้เยอะ คนทำไร่มีสองคน คือพ่อกับลูก ม้าก็ช่วยไถ ช่วยยกของ ช่วยลากของหนักๆ ได้ เช้าวันหนึ่ง ลูกตื่นขึ้นมา ไปทำไร่ไถนา ตามปกติ ปรากฏว่าไปดูที่โรงม้า ม้ามันหนีไป ม้าหายไป ตกใจ มาบอกพ่อ พ่อบอก …

“ตายแล้ว ซวยจริงๆ”

คือโชคไม่ดีเลย ม้ามันหายไป  เพราะไม่มีใครมาช่วยงานอีกต่อไป ทำไมซวยอย่างนี้ บ่นซวยไป 2 วัน วันที่สามตื่นขึ้นมา ได้ยินเสียงม้า วิ่งไปดู ปรากฏว่าม้าที่มันวิ่งหนีเข้าป่าไป  มันไปพาตัวเมียกลับมาอีกตัวหนึ่ง เป็น 2 ตัว มีคู่ คราวนี้ไปบอกพ่อ พ่อบอก …

“ทำไมเฮงอย่างนี้  ทำไมโชคดีอย่างนี้  ม้าหายไปตัวหนึ่ง  ตอนนี้มี 2 ตัวเลย  ดีกว่าเก่าอีก”

ดีใจมากเลย ชื่นชมยินดีใหญ่ ก็เลยบอกลูกให้ไปฝึกม้าป่าอีกตัวหนึ่ง ที่ได้มาฟรีๆ นั้น  ไปฝึกให้มันทำงาน เอามาใช้งานได้อีก ดีๆ

ลูกชายก็ไปฝึกม้าป่าตัวนี้ เนื่องจากมันเป็นม้าป่า เพราะฉะนั้น มันก็ไม่ค่อยเชื่อง ไปฝึกมัน ปรากฏว่าพบอุบัติเหตุ ม้ามันดีดเอาลูกชายตกจากหลังม้า ขาหักเลย  พ่อมาเห็น พ่อบอกว่า …

“ทำไมมันซวยอย่างนี้ ลูกขาหัก ก็ไม่มีใครช่วยแล้วตอนนี้”

ม้าก็ไม่มีประโยชน์แล้ว เพราะไม่มีใครควบคุมมัน เพราะลูกก็ไม่สบาย  ทำไมมันซวยอย่างนี้  ลูกขาหัก ก็ไปหาหมอ รักษาอยู่เรื่อยๆ อาทิตย์ต่อมา ทางราชการส่งเจ้าหน้าที่มาเกณฑ์ทหาร เด็กหนุ่มทั้งหมู่บ้าน ไปเป็นทหารหมดเลย เพราะมีสงครามด่วน สงครามของประเทศชาติ ต้องการชายหนุ่มทุกคนให้ไปเป็นทหาร ไปตามบ้าน ก็มาเจอบ้านของชายคนนี้ ปรากฏว่าก็ไม่เกณฑ์ไป เพราะว่าขาหัก เดินไม่ได้ จะไปเป็นทหารได้อย่างไร? ก็เลยมองข้ามไป  ไม่เกณฑ์ ปรากฏว่าทหารที่ถูกเกณฑ์ไปเป็นกองหนุนของหมู่บ้านนี้ เสียชีวิตในสงครามหมดเลย เพราะฉะนั้น พ่อก็บอกว่า …

“เราโชคดีจริงๆ นะ ถ้าแกไม่ขาหัก ป่านนี้ แกตายไปแล้ว  ทำไมแกเฮงจริงๆ เราเฮงจริงๆ แกไม่ตาย เพราะขาหักไป”

มนุษย์เราก็เป็นอย่างนี้  แต่พระเจ้าสามารถทำให้มันเป็นสิ่งที่ดีได้ สมมติว่าลุงคนนี้  เป็นคริสเตียน เป็นผู้เชื่อ  แล้วลูกก็เป็นผู้เชื่อ ขอบคุณพระเจ้าตลอด ไม่ว่าม้าหายไป ก็ขอบคุณพระเจ้า ไม่ว่าม้ากลับมาเพิ่มอีกตัวหนึ่ง ก็ขอบคุณพระเจ้า  ไม่ว่าม้าจะดีดขาหัก ก็ขอบคุณพระเจ้า  ไม่ต้องไปสงคราม แล้วต้องตาย  ยังอยู่ทำงานได้ ก็ขอบคุณพระเจ้า  สมมติถ้าเป็นอย่างนั้น  พระเจ้าอาจจะนำให้เป็นประโยชน์ เป็นผลดี สำหรับครอบครัวนี้ ไม่ใช่แค่นั้น ขณะที่ถูกม้าดีด ขาหัก  ต้องไปหาหมอทุกวัน   ขณะรักษาไป ก็ไม่ได้บ่นเลยว่าซวยๆ  แต่พูดตลอดเวลาว่าขอบคุณพระเจ้า ขอบคุณพระเจ้าทั้งๆ ที่ขาหัก หมอได้ยินได้ฟัง เด็กหนุ่มคนนี้ไม่เหมือนคนอื่นๆ  ทั้งลุงผู้เป็นพ่อ และเด็กหนุ่มคนนี้ ขอบคุณพระเจ้าเรื่อยๆ นะ ขาหักก็ยังขอบคุณพระเจ้าอยู่ จึงถามเด็กหนุ่มและพ่อว่าทำไมมีทัศนคติที่ดีอย่างนี้ แม้ขาหัก ไม่รู้รักษาหายหรือไม่หาย ก็ยังมีกำลังใจ ขอบคุณพระเจ้าอยู่  มีความชื่นชมยินดีอยู่ แม้จะมีสถานการณ์ที่ทุกข์ยากลำบาก ตามสายตามนุษย์ก็ตาม หมอก็อาจจะถามด้วยความสงสัย ด้วยการสังเกต แล้วพ่อกับลูกชายก็จะตอบว่า …

“เพราะเราเป็นลูกของพระเจ้า พระเยซูเป็นกำลังของเรา”

เขาประกาศข่าวดีให้กับหมอ แล้วในที่สุด หมอก็เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด ได้รับความรอดมาถึงซึ่งการเป็นลูกของพระเจ้าเหมือนกับลุงและลูกชายคนนี้ ที่ขาหัก เห็นไหมความรอดไปถึงอีกทางหนึ่ง โดยที่พระเจ้ากำลังนำผ่านทางชีวิตของเรา ไม่ว่าจะดีหรือไม่ดีอะไรก็ตาม

นี่ยกตัวอย่างให้ฟังเฉยๆ ชีวิตของเราก็จะเป็นเช่นนั้นแหละ เพราะฉะนั้น  ไม่ว่าเราจะอยู่ในอาการเช่นไร เราก็สามารถชื่นชมยินดีได้ เสมอ ตลอดเวลา  ในชีวิตของเรา เพราะว่าเราสามารถขอบคุณพระเจ้าว่าพระเจ้าสามารถทำทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้น ในชีวิตของเรา ที่มนุษย์เห็นว่ามันเฮง หรือมันซวยก็ตาม แต่สำหรับเราที่เชื่อในพระเจ้าแล้ว พระเจ้าจะทำให้สถานการณ์ ทั้งเฮง ทั้งซวย เหล่านั้น ให้เกิดเป็นผลเฮงลูกเดียว สำหรับเราทั้งหลาย ผู้ที่วางใจและเชื่อในพระองค์ และเป็นลูกของพระองค์แล้ว

เพราะฉะนั้น  ความคิดของเรามนุษย์ ไม่เหมือนความคิดของพระเจ้า  ผลดีคืออะไร? บางทีเรามองไม่เห็นหรอก ตามสายตามนุษย์ ตามตาเนื้อ และความรู้สึกที่เห็น มันเป็นสิ่งที่ไม่ดี ส่วนผลดีคืออะไร? จะเกิดขึ้นเมื่อไร เราไม่มีทางที่จะทราบได้ เพราะพระคัมภีร์บอกว่าความคิดของเรา ไม่เหมือนความคิดของพระเจ้า และข้อสำคัญคือเวลาของเรา ก็ไม่ใช่เป็นเวลาของพระเจ้า  เราบอกมันนานแล้ว รอมาตั้ง 10 ปี พระเจ้าบอกแป๊บเดียว พระคัมภีร์บอกว่าพระเจ้าจะทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นผลดีแก่ชีวิตของเรา พูดแค่นี้ ตามทางของพระองค์ และตามเวลาของพระองค์ ไม่ใช่ให้เกิดผลดีตามใจเรา ต้องเข้าใจตรงนี้ ไม่ได้บอกว่าพระเจ้าจะทำทุกสิ่งทุกอย่างให้เกิดผลดี ตามใจเรา และตามเวลาที่เราต้องการ  อย่างนั้นไม่ใช่แล้ว  ถ้าเราบอกว่าตามน้ำพระทัย ตามใจพระเจ้า ก็ต้องวางใจในพระเจ้า รับรองได้ ออกมาเป็นผลดีอย่างแน่นอน

พี่น้องไม่ว่าท่านจะเชื่อในข่าวประเสริฐหรือยัง? เป็นลูกพระเจ้าแล้วหรือยัง? ที่ฟังอยู่ขณะนี้  อยากจะบอกว่าขณะที่เราต้องเผชิญกับวิกฤตปัญหา หรือสถานการณ์ที่ โดยเฉพาะวิกฤตในขณะนี้ โควิดนี้ ที่ไม่รู้จะทำอย่างไรแล้ว ถือว่าวิกฤตหนักนะ พระเจ้าจะทำ 2 อย่าง คือขจัดวิกฤตปัญหาเหล่านั้นให้กับเรา ซึ่งแน่นอน ทางเลือกนี้ เป็นสิ่งที่เราทั้งหลาย ปรารถนาเป็นอันดับแรก มนุษย์ต้องการอย่างนี้ ต้องการอัศจรรย์เดี๋ยวนี้ พรุ่งนี้เป็นไปได้ ให้โควิดหยุด  มะรืนนี้เป็นไปได้ ให้มีการสร้างวัคซีนได้ทันทีเลย  ให้จบเหตุการณ์นี้ พระเจ้าช่วยด้วยเถิด ขอให้จบสักที นี่คือความต้องการของมนุษย์ทั่วๆ ไป แต่พระเจ้าจะทำ 2 อย่าง ตามหลักพระคัมภีร์ คือ …

(1) ขจัดปัญหาไป พรุ่งนี้ มะรืนนี้ มะเรื่องนี้  หรือ …

(2) พระเจ้าจะประทานกำลังให้กับเราทั้งหลาย ที่เชื่อในพระองค์ ที่วางใจในพระองค์ ให้มีเพียงพอที่จะอยู่กับปัญหานั้น  และสามารถเผชิญกับวิกฤตปัญหานั้นได้  ด้วยสันติสุข และความสงบสุขในพระคริสต์ พระเจ้าจะประทานกำลังให้กับเรา  ให้กับใครก็ได้ที่เชื่อและวางใจในพระองค์ ฝากความหวังไว้ที่พระองค์ ฝากความหวังในสถานการณ์ที่เลวร้ายอย่างนี้  พระเจ้าจะให้ทุกสิ่งทุกอย่าง ที่เป็นกำลังเพียงพอ สำหรับคนนั้น ไม่ว่าอะไรก็ตามที่จะทำให้เขาพอเพียง ทั้งกำลังใจ กำลังกาย อะไรก็ตามในชีวิตนี้  ที่จะอยู่กับโควิดนี้  อยู่กับวิกฤตปัจจุบันได้ เผชิญกับวิกฤตโควิด-19 ได้ โดยมีสันติสุขและความสงบในใจของเขา ซึ่งตามที่ยกตัวอย่าง แล้วผลดีจะเป็นอะไร ก็ไม่รู้ แต่รอไปเถอะ  อย่างไรก็จะเป็นผลดีในชีวิตเราแน่ ผลดีอันหนึ่งตอนนี้ที่เราเห็น คือเรามีสันติสุข มีความสงบสุข เราไม่กลัวจนเกินกว่าเหตุ เราอยู่ได้  แล้วที่เหลือก็ปล่อยเป็นน้ำพระทัยพระเจ้า

มีตัวอย่างในพระคัมภีร์เหมือนกัน

แบบที่หนึ่ง ได้รับอัศจรรย์ อย่างเช่นตัวอย่างเปาโล … เปาโลที่รับใช้พระเจ้า ที่ยิ่งใหญ่ ที่เคยได้รับการอัศจรรย์ ได้รับการรักษาจากพระเจ้าอัศจรรย์มาก ตอนที่เดินทางไปดามัสกัส  ตอนที่เขายังไม่เชื่อ พระเยซูได้ปรากฏให้เขาเห็นกลางทาง และได้พูดคุยกับเขา และหลังจากนั้นเขาตาบอด แล้วพระเจ้าก็รักษาเขาอย่างอัศจรรย์มาก ถือว่ามากที่สุด  ตาบอด แล้วเดินทางไปที่ดามัสกัส ไปคอยอยู่ที่ห้อง แล้วก็เริ่มอธิษฐานว่า …

“โอ้ พระเจ้า ลูกขอพระองค์ทรงรักษาลูกด้วยเถิด”

กลัวด้วยนะ เพราะตามองไม่เห็นเลย  พระเจ้าทรงรักษาเขาอย่างอัศจรรย์  ตาหายบอดอย่างอัศจรรย์ พอตาหายบอดอย่างอัศจรรย์ เขาก็เริ่มต้นกลับใจใหม่ เริ่มต้นประกาศข่าวดีของพระเยซู  ออกไปพูดถึงข่าวดีของพระเยซู ให้คนมาเชื่อเรื่องข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์

และต่อมา ในคนๆ เดียวกัน คือเปาโลก็ได้แบบที่สอง ที่พระเจ้าตอบเขา คือเปาโลมีความทุกข์ทรมาน ในสุขภาพของเขา อันหนึ่งเราก็ไม่รู้ว่าอะไร แต่รู้ว่าหนักมาก สาหัสมาก เปาโลใช้คำว่าทรมานมาก เปาโลอธิษฐานขอพระเจ้าให้ช่วยในเรื่องนี้ ถึงสามครั้ง แล้วพระเจ้าตอบว่า …

“พระคุณของเราก็เพียงพอสำหรับเจ้า และฤทธิ์เดชอำนาจของเรา จะทวีคูณขึ้นเต็มขนาดในความอ่อนแอของเจ้า”

แปลว่าอาการเจ็บป่วยที่ทุกข์ทรมานของเปาโลนั้น ยังอยู่ ไม่ได้หายไปไหน ก็ยังคงเป็นต่อไป  แต่พระเจ้าประทานพระคุณ ประทานกำลังให้อาจารย์เปาโลสามารถที่จะเผชิญกับความเจ็บป่วยนั้นได้อย่างมีความสงบสุข มีความสุข มีสันติสุข คืออยู่ได้  ถึงขนาดไหน? ถึงขนาดอาจารย์เปาโลพูดในข้อพระคัมภีร์ ซึ่งเดี๋ยวเราจะได้อ่าน ดูสิว่าอาจารย์เปาโลมีสันติสุขขนาดไหน?  พูดว่าอย่างไร?

จากตัวอย่างของอาจารย์เปาโลจะเห็นได้ว่าพระเจ้าทรงกระทำ 2 สิ่งที่แตกต่างกันในคนเดียวนี่แหละ แต่ทั้งสองสิ่งที่เกิดขึ้น มันเกิดเป็นผลดีสำหรับอาจารย์เปาโลเสมอ  ทั้งสองอย่างเลย  คือเปาโลสามารถดำเนินชีวิตได้อย่างมีสันติสุข มีความสงบ  ไม่ว่าสถานการณ์จะเป็นเช่นไร? ไม่ว่าได้รับการอัศจรรย์อย่างชัดเจน หรือว่าได้รับกำลัง ได้รับพระคุณให้มีสันติสุขก็ตาม นี่คือที่บอกว่าพระเจ้าสามารถกระทำทุกสิ่งที่เกิดขึ้นให้เป็นผลดี สำหรับชีวิตเราได้ ลองมาดูสิว่าอาจารย์เปาโลมีความรู้สึกอย่างไร?  2 โครินธ์ 12:8-10 ได้บันทึกอย่างนี้

2 โครินธ์ 12:8-10 “8 ข้าพเจ้าทูลวิงวอนองค์พระผู้เป็นเจ้าสามครั้งให้ทรงเอาหนามนี้ออกไปจากข้าพเจ้า 9 แต่พระองค์ตรัสกับข้าพเจ้าว่า “พระคุณของเราเพียงพอสำหรับเจ้า เพื่อว่าฤทธิ์อำนาจของเราจะได้ปรากฏเต็มที่ในความอ่อนแอ” ฉะนั้น ข้าพเจ้าจึงอวดความอ่อนแอของตน ด้วยความยินดี เพื่อฤทธิ์อำนาจของพระคริสต์จะได้อยู่ในข้าพเจ้า 10 ด้วยเหตุนี้แหละเพื่อพระคริสต์ ข้าพเจ้าจึงชื่นชมในความอ่อนแอ ในการสบประมาท ในความยากลำบาก ในการกดขี่ข่มเหง ในความยุ่งยาก เพราะเมื่อใดที่ข้าพเจ้าอ่อนแอ เมื่อนั้นข้าพเจ้าก็เข้มแข็ง”

 

เห็นไหมครับ? อาจารย์เปาโลบอก เพราะฉะนั้น ข้าพเจ้าจึงอวดว่าเราเก่งเหรอ อวดว่าเราแข็งแรง อวดว่าได้รับอัศจรรย์จากพระเจ้า  ไม่ใช่เลย … ข้าพเจ้าจึงอวดความอ่อนแอของตน ด้วยความยินดี ไม่ใช่ด้วยความทุกข์ทรมาน  ถามว่าเพื่ออะไร? เพื่อฤทธิ์อำนาจของพระคริสต์จะได้อยู่ในข้าพเจ้า  จะได้สำแดงออกมาให้คนเห็น

ข้อ 10 บอกว่าด้วยเหตุนี้แหละ ข้าพเจ้าจึงชื่นชมในความอ่อนแอ กลับกลายเป็นปิติยินดีในความเจ็บป่วยอีก  แต่อยู่ในใจปิติยินดี  ถ้าพระเจ้าไม่รักษาให้หาย ฤทธิ์อำนาจของพระเจ้า ก็จะทวีคูณขึ้นเต็มขนาดในความเจ็บป่วย ในความอ่อนแอของเรา พระคุณของพระองค์ยังอยู่ตรงนี้แหละ ขอให้เป็นไปตามน้ำพระทัยของพระองค์

แล้วข้าพเจ้ายังชื่นชมยินดีในความอ่อนแอ ชื่นชมยินดีในการถูกสบประมาท ชื่นชมยินดีในความยากลำบาก ชื่นชมยินดีในการถูกกดขี่ข่มเหง เขาเอาหินขว้างเปาโล ก็เคยโดนมาแล้ว ชื่นชมยินดีในความยุ่งยาก ถามว่าเพราะอะไร? ทำไมอาจารย์เปาโลจึงชื่นชมยินดีในความทุกข์ยากลำบากเหล่านี้ได้  ฟังให้ดี เพราะเมื่อใดก็ตามที่ข้าพเจ้าอ่อนแอ เมื่อนั้น ข้าพเจ้าเข้มแข็ง ก็คือเมื่อนั้น ฤทธิ์อำนาจของพระเจ้าเข้ามา เข้มแข็งได้

ถ้าเป็นตอนนี้เราอาจจะพูดกันว่าข้าพเจ้าชื่นชมในวิกฤตโควิด-19 ตอนนี้ ชื่นชมภายใน เพราะว่าข้าพเจ้าอ่อนแอเหลือเกิน ทุกวันตื่นขึ้นมา ก็มีแต่ความหวาดกลัว กลัวเชื้อโรคติด กลัวลูกจะติด กลัวครอบครัวจะติด ตื่นขึ้นมากลัวเงินที่เก็บไว้จะหมด เงินที่ไม่ได้เก็บไว้ก็จะหมดไปแล้ว กลัวต่างๆ นานาเยอะแยะตามข่าวสาร ต้องรีบวิ่งเข้าไปซุกศีรษะไว้ในถ้อยคำพระเจ้า ในพระคัมภีร์ อธิษฐานด้วยความอ่อนแอ อ่อนกำลัง ให้พระเจ้าเล้าโลมจิตใจทุกวันๆ จนเกิดความกล้าหาญขึ้นมา เดินออกจากห้อง อยู่ได้ไปอีก 1 วัน  ทั้งๆ ที่ตื่นเช้าขึ้นมาความกลัวรอบข้างตลอดเวลา แต่พระเจ้าปลอบโยน ให้สามารถอยู่ได้  เห็นไหม? จับความกลัวให้มัน กลายเป็นทาสเรา อย่างนี้เป็นต้น

เปาโลเป็นตัวอย่างที่ดีเลย ตัวอย่างแบบอาจารย์เปาโลก็จะเกิดขึ้นในชีวิตของเราทุกคนเลยนะ ไม่มียกเว้น บางครั้งอธิษฐานขออะไรบางอย่าง  พระเจ้าก็ประทานให้กับเราตามที่เราขอ แต่บางครั้งก็อธิษฐานไปตั้งนานแล้ว ก็ดูเหมือนว่าพระเจ้าไม่ตอบ แล้วจริงๆ พระเจ้าตอบไหม? ถามว่าดูเหมือนเงียบเลย พระเจ้าไม่เห็นตอบเลย ขอพระเจ้าทรงรักษาให้หายจากโรคนี้ ทรมานมาตั้งนานแล้ว  ไม่หายเลย 10 ปี 20 ปี มันก็ยัง เอ๊ะ หันหลังกลับไป

“20 ปีผ่านมา อยู่ได้อย่างไรหนอ ขอพระเจ้าทรงอวยพรให้กิจการงานเจริญรุ่งเรืองเถิด ลูกก็ทำดีทุกอย่าง ทำทุกอย่างตามที่พระองค์บอกแล้ว  มันไม่เห็นรวยเหมือนเขาเลย คนอื่นเขาไม่เชื่อพระเจ้า เขายังทำงานร่ำรวยได้เลย แล้วทำไมลูกไม่ได้ร่ำรวยสักที”

เหมือนไม่ตอบเราแล้ว เงียบ แต่หันหลังกลับไป  พระเจ้าถามว่า …

“แล้ว 20 ปี 30 ปีที่ผ่านมา แกขาดอะไรบ้าง?”  ยังมีชีวิตอยู่ ยิ้มแย้มแจ่มใสอยู่ได้ บางทีก็เป็นอย่างนั้นนะ

ซึ่งจริงๆ แล้ว พระเจ้าตอบแล้ว  แต่เราแกล้งไม่ได้ยิน หรือเราไม่อยากจะได้ยิน  ก็คือตอบแบบที่ตอบเปาโลไง ตอบว่าอย่างไร?

“พระคุณของเราเพียงพอสำหรับเจ้า พระคุณเพียงพอ สำหรับความทุกข์ยากลำบากของเจ้า  พระคุณของเราเพียงพอ สำหรับความเจ็บป่วย เจ็บปวด ปัญหาต่างๆ ที่เจ้ากำลังเผชิญอยู่ พระคุณความรักของเราเพียงพอ และฤทธิ์เดชอำนาจของเราจะสำแดงทวีคูณขึ้นเต็มขนาด ผ่านทางความอ่อนแอของเจ้า”

นี่แหละ ผ่านทางความอ่อนแอของเจ้า มีกิน ไม่มีกินบ้าง เจ็บป่วยบ้าง แข็งแรงบ้าง  หรือเจ็บป่วยแล้วไม่ค่อยแข็งแรงด้วย อยู่ได้  ในใจเข้มแข็งได้  อะไรอย่างนี้ เวลามันดีๆ ใครๆ ก็ทำได้ ให้มีความชื่นชมยินดี แต่อยู่บนโลกใบนี้ มันไม่ได้เป็นอย่างนั้นเสมอไป และมันไม่ได้เป็นอย่างนั้นจริงๆ ด้วย และเสมอไป แน่นอน คืออยู่บนโลกใบนี้ ท่านต้องพบกับความทุกข์ยากลำบากต่างๆ นานา เป็นเรื่องจริงเลย ไม่ว่าจะเชื่อพระเจ้า หรือไม่เชื่อพระเจ้า โลกใบนี้มันเสียหายไปแล้ว มันตกอยู่ใต้คำสาปแช่ง ซึ่งมาจากบรรพบุรุษแล้ว  มันไม่มีทางที่จะแก้ไข มันต้องเป็นอย่างนี้แหละ  มันต้องทุกข์ยากลำบากเป็นเรื่องธรรมดา ไม่ว่าจะเชื่อพระเจ้าหรือไม่เชื่อพระเจ้าก็ตาม ใต้ฟ้านี้ มันมีความทุกข์ยากลำบาก อย่างแสนสาหัสอยู่บนโลกในนี้แล้ว  แต่พระเจ้าสามารถพาท่านเดินผ่านทะลุความทุกข์ยากลำบากเหล่านี้ไปได้ด้วยดี

เพราะฉะนั้น  นี่คือสิ่งที่เราควรจะน้อมคิดในใจของเราว่าพระเจ้าตอบเราแล้ว แต่เราไม่ค่อยอยากได้รับคำตอบอย่างนี้  เพราะใจเราอยากจะตอบว่าพระเจ้าให้เรารวยเลย แล้วรวยเท่าไรถึงพอ ท่านลองคิดดูสิ ถ้าท่านขอพระเจ้าสักหมื่นหนึ่ง ท่านคิดว่าท่านได้หมื่นหนึ่ง ท่านพอไหม?  ครั้งต่อไปท่านจะอธิษฐานขอพระเจ้าห้าพันไหม? ผมว่าไม่หรอก เพราะระบบของโลกใบนี้มันเป็นอย่างนั้น เนื้อหนังมันไม่หยุดอยู่แค่นั้น มันก็จี้ท่าน พอท่านได้หมื่น ท่านก็จะขอพระเจ้าเป็นแสน แล้วพระเจ้าก็ให้อีก ให้แสนหนึ่ง แล้วท่านจะพอไหม?  พอแล้วแสนหนึ่ง มันก็เหมือนเดิม แต่หนักขึ้น ก็คือก้อนมันใหญ่ขึ้น ภาระมากขึ้น  วิตกกังวลมากขึ้น  ท่านก็ขอพระเจ้าล้านหนึ่ง พอได้ล้านหนึ่ง ระบบของโลกก็จี้ท่านอีก ส่งสัญญาณที่ความคิดของท่าน ให้โลภต่อ ท่านจะขอพระเจ้าไหม พระเจ้าตอนนี้มีล้านหนึ่ง ขอลดลงเหลือแค่ห้าแสนก็พอแล้ว  ไม่มีหรอก เป็นไปไม่ได้ ตราบใดที่ยังอยู่บนโลกใบนี้

นี่คือความทุกข์ยากลำบากบนโลกใบนี้ นี่แค่เห็นชัดๆ เรื่องเดียว เรื่องของทรัพย์สินเงินทอง ท่านก็ขอไปสิบล้าน  แล้วก็ไปร้อยล้าน  แล้วก็เป็นพันล้าน  แล้วก็เป็นหมื่นล้าน ขณะที่ดำเนินการไปเรื่อยๆ ในกิเลสความโลภนี้  สิ่งหนึ่งที่ท่านจะสูญเสียไป ก็คือความรักของพระเจ้า ท่านก็เริ่มเอาเปรียบคนอื่น  ท่านจะเริ่มเห็นแก่ตัว ท่านจะเริ่มเบียดเบียนผู้อื่น  แล้วในที่สุด ท่านจะเริ่มโกงบ้าง โกงอย่างบริสุทธิ์ โกงอย่างแอบๆ โกง ท่านเริ่มทำบาป ที่เรียกในใจว่าบาปบริสุทธิ์

พระเจ้าพอใจให้ท่านมีชีวิตอย่างนั้นเหรอ แล้วมันมีสันติสุขไหม? ไม่มีเลย  พระเยซูบอกการให้มีความสุขยิ่งกว่าการรับ อย่างนี้ ท่านจะให้ได้อย่างไร ในเมื่อท่านจะกอบโกยตลอดเวลา  บางคนบอกเขาให้ไปตั้งล้านหนึ่ง  ขณะที่ท่านมีเป็นพันล้าน ให้ล้านหนึ่งเหรอ แต่สำหรับคนที่เขาให้ เขามีแค่พันเดียว แต่เขาสามารถให้เป็นร้อย ท่านพอเข้าใจใช่ไหมว่ามันต่างกัน มันไม่ได้อยู่ที่ความคิดของมนุษย์เป็นอย่างนั้น

หรือว่าเปรียบเทียบกับสุขภาพก็เหมือนกัน  ที่เราขอพระเจ้า รักษาให้หาย เท่าไรถึงพอ ถามตัวเองสิ  สมมติว่าท่านเป็นภูมิแพ้ ท่านขอพระเจ้าหายจากภูมิแพ้ พระเจ้าทำอัศจรรย์ หายจากภูมิแพ้เลย  แล้วท่านหยุดอยู่แค่นั้นไหม? ต่อไปท่านจะไม่เป็นโรคอะไรอีกเลย ใช่ไหม?  ถ้าไม่เป็นอะไรอีกเลย แล้วท่านจะใช้ชีวิตอยู่อย่างไร? ท่านจะดูแลตัวเองไหม? สุขภาพเป็นอย่างไร? ท่านจะไม่เย่อหยิ่งหรือ? ท่านแน่ใจใช่ไหม?  ในที่สุด ท่านก็จะต้องพลาดในความเย่อหยิ่ง ในความแข็งแรง เอาความแข็งแรงนั้นไปทำอะไรต่างๆ  ทำให้เกิดโรคภัยไข้เจ็บเพิ่มเติมขึ้นไปในร่างกายของท่าน แล้วท่านต้องการอะไรอีก นี่ก็คืออย่างที่บอก

ถ้าเราจะเอาทั้งหมดนี้ มอบให้พระเจ้าเป็นผู้ตัดสินให้เราไม่ดีกว่าหรือ? เหตุฉะนั้น พระคัมภีร์บอก จงวางใจในพระเจ้า พระองค์ฉลาดกว่าเราเยอะ พระองค์รู้หมดแล้วอะไรเกิดขึ้น เดี๋ยวนี้ ข้างหน้า ในอนาคต ในชีวิตของเรา  จงวางใจในพระเจ้า แล้วมอบภาระให้กับพระองค์ทั้งหมดเลย  ให้พระองค์เป็นผู้ตัดสินว่าสถานการณ์หรือวิกฤต ปัญหาต่างๆ  เราควรจะจัดการอย่างไร?  หรือพระองค์จะจัดการอย่างไรให้มันเกิดขึ้นในชีวิตของเราบ้าง  เราควรจะเผชิญอย่างไร ที่เหมาะสมที่สุด สำหรับแต่ละคนไม่เหมือนกัน  และให้มันเกิดผลดีที่สุด ในชีวิตของเรา ซึ่งรวมๆ ระยะยาวๆ  และไม่ใช่เกิดผลดีในชีวิตของเราอย่างเดียว  แต่เกิดผลดีในชีวิตของเรา และไปถึงผลดีสำหรับผู้คนอื่นๆ รอบข้าง อย่างนี้เขาเรียกว่าความรัก ใช้ชีวิตให้มันคุ้มค่า ไม่ใช่อยู่เพื่อเห็นแก่ตัว เพื่อตัวเอง แต่อยู่เพื่อคนอื่นเขาด้วย บางทีเรายอมทุกข์บ้าง  เพื่อให้คนอื่นเขาได้สิ่งที่ดีๆ ไป ก็ต้องยอม อย่างนี้เป็นต้น พระเจ้าจะนำพาชีวิตเราอย่างนั้น  เมื่อวันหนึ่งเราไปอยู่ในสวรรค์ เราจะดีใจมาก …

“พระเจ้า ขอบคุณมากเลย ที่นำพาลูกอย่างนี้ ดีแล้วที่ลูกไม่เดินด้วยตัวเอง  คงจะเห็นแก่ตัวกว่านี้เยอะเลย”

เพราะฉะนั้น ในชีวิตของเรา  และในทุกสถานการณ์ที่เกิดขึ้นนั้น  พระเจ้าทรงทราบหมดทุกอย่าง แล้วว่ามันจะเกิดอะไรขึ้น  และอย่างไร? รู้ลึกซึ้งกว่าเราเยอะ เกินกว่าที่เราจะเข้าใจ เกินกว่าที่จะอธิบายให้เราฟังว่า …

“ทำไมพ่อถึงนำพาลูกเป็นอย่างนี้ ทำไมพ่อไม่รักษาลูกให้หายปล่อยให้ลูกเจ็บปวดทรมาน  ขอตั้งสามครั้ง”

ผมเคยขอพระเจ้าไม่ใช่ 3 นะ 300 ครั้ง ไม่เข้าใจ แล้วถามว่าทุกวันนี้ เข้าใจใช่ไหมว่า 300 ครั้ง ความทุกข์ทรมาน พระเจ้าปล่อยให้เป็นอย่างนั้น  มาเป็นเวลา 10 ปี 20 ปีแล้ว ตอนนี้เข้าใจแล้วหรือ? ไม่เข้าใจหรอกครับ แต่วางใจมากขึ้น เพราะว่าประสบการณ์ผ่านมา 20 กว่าปี มันทุกข์ทรมานจริงๆ   ไม่ต่างอะไรจากเปาโลเลย เพราะแต่ละคนก็มีภาชนะในตัวเองที่เรารับไว้ไม่เหมือนกัน แต่ละคนจะไปวัดไม่ได้ คนนี้แค่นี้ทำไมทุกข์แล้ว ก็ได้แค่นั้น พระเจ้าให้เขาแค่นั้น  คนนี้ได้เยอะ คนนี้ได้น้อย ไม่เหมือนกัน แต่ความรู้สึกมันทุกข์เท่ากันหมดทุกคนแหละครับ

เพราะฉะนั้น จงจำไว้ว่าไม่ว่าสถานการณ์ต่อหน้าท่าน ต่อหน้าเรา  จะเป็นเช่นไรก็ตาม ต่อหน้าเราจะเป็นวิกฤตโควิด-19 รอบข้างมีแต่คนเจ็บป่วย ล้มตาย ทรมาน อดอยาก มืดมน ไม่มีที่จะไป จงจำไว้ว่าพระเยซูคริสต์ตรัสไว้ในพระคัมภีร์ไบเบิ้ล เมื่อเราเชื่อในพระองค์ เมื่อเราวางใจในพระองค์ต้อนรับพระองค์มาเป็นพระผู้ช่วยให้รอดแล้ว เราเป็นลูกของพระองค์แล้ว พระเยซูคริสต์และพระเจ้าเจ้า 3 พระภาคจะทรงนำหน้าเราอยู่เสมอ จูงมือเราเดินอยู่เสมอ ตลอดเวลา ผ่านสถานการณ์เหล่านั้นได้ อย่างแน่นอน และทำทุกอย่างที่เกิดขึ้น  ท่ามกลางการเดินไปกับพระองค์นั้น ให้เกิดเป็นผลดีแก่เราทั้งหลายผู้ที่เป็นลูกพระองค์ และเกิดเป็นผลดีสำหรับผู้อื่น รอบข้างชีวิตของเราด้วย ซึ่งเราก็อยากให้เขาได้รับสิ่งที่ดีที่สุด แม้ว่าเขาจะรู้จักเราหรือไม่รู้จักเราก็ตาม เขาเป็นเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน เราอยากให้สิ่งที่ดีที่สุด เกิดขึ้นกับเขา

นี่แหละ เขาถึงเรียกว่าชีวิตแห่งการรับใช้ ชีวิตที่มอบให้พระองค์ทำ เพราะฉะนั้น บางครั้งมันเจ็บปวดบ้าง  แต่มันไม่เกินไป เพราะพระเจ้าประทานกำลังให้กับเรา  ประทานพระคุณให้กับเราเพียงพอเสมอ สำหรับทุกอย่างที่พระองค์ทรงใช้เรา เพราะฉะนั้น ให้พระเจ้าจูงมือเราเดิน ย่อมดีกว่าที่จะเดินโดยลำพังโดดเดี่ยวเดียวดาย ไม่มีพระเจ้า กับพระเจ้าสถิตอยู่กับเราถึง 3 พระภาค พระเจ้า พระบิดา พระเจ้าพระบุตรพระเยซูคริสต์ พระเจ้าพระวิญญาณบริสุทธิ์ พระเจ้าทั้งสากลโลกเรียกว่าพระเจ้าผู้ทรงสร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก ผู้ทรงฤทธานุภาพอำนาจยิ่งใหญ่สูงสุด บัดนี้ พระองค์สถิตอยู่ด้วยกันในร่างกายของเรา พระเจ้ากับวิญญาณของเราเป็นหนึ่งเดียวกัน และพระองค์จะทรงนำเราไปตลอด ชั่วชีวิต ไปจนกระทั่งถึงชีวิตนิรันดร์ ไม่ว่าจะมืดมนขนาดไหน?  ไม่ว่าจะดีหรือเลวขนาดไหน ตามสายตามนุษย์ พระเจ้าอยู่กับฉันเสมอ และจูงมือฉันเดินอยู่ตลอดเวลา  เอเมน ขอพระเจ้าอวยพรครับ

 

************************

 

 

คำหนุนใจจาก Ps.เทพิน ชาติผดุง เรื่อง “ความประพฤติของเราบนโลก มีผลตอบสนองแก่เรา” วันที่ 2 เมษายน 2020

คำหนุนใจจาก Ps.เทพิน ชาติผดุง

เรื่อง “ความประพฤติของเราบนโลก มีผลตอบสนองแก่เรา”

วันที่  2  เมษายน  2020

            สวัสดีค่ะพี่น้องที่รักในพระเยซู เรามาคุยกันต่อในช่วงเวลาแห่งความยากลำบากนี้  ก็ให้เราใกล้ชิดสนิทกับพระเจ้ามากขึ้น  เรียนรู้วิถีทางของพระองค์ที่ชัดเจนมากขึ้น

ครั้งที่แล้วเราคุยกัน เราได้รับความรอด สมบูรณ์ทางฝ่ายวิญญาณ ในเรื่องของฝ่ายวิญญาณนี้ ไม่มีอะไรที่พระเยซูต้องทำเพื่อเราอีกแล้ว เพราะว่าถ้าตายวิญญาณก็ไปอยู่กับพระเจ้าได้เลย แต่ร่างกายเราที่ต้องอยู่ในโลกที่เสียหาย โลกแห่งความบาป  โลกที่ผู้คนมากมาย ก็ต้องอยู่ใต้อิทธิพลของมาร  รับใช้มาร เพื่อจะทำร้ายผู้อื่น  อันนี้เราก็ต้องพึ่งพระเจ้า  เพราะว่าพระคัมภีร์สอนเราแล้วว่าเราไม่ได้ต่อสู้กับมนุษย์ เราไม่ได้ต่อสู้กับเลือดเนื้อ แต่เราสู้กับวิญญาณชั่วในสถานฟ้าอากาศ ซึ่งเขาก็ใช้มนุษย์เป็นเครื่องมือ  เขาต้องการจะทำลายมนุษย์ของพระเจ้า  ลูกๆ ที่พระเจ้ารัก ไม่ว่าใครจะเชื่อพระเจ้าหรือไม่?  ให้เรารับรู้ว่าในช่วงเวลาแห่งยุคพระคุณที่พระเยซูทำแทนเราสำเร็จแล้ว เป็นยุคที่พระเจ้าบอกว่าพระองค์ไม่ประสงค์ให้ผู้หนึ่งผู้ใดพินาศ  แต่อยากให้มาถึงความรอด และได้ชีวิตนิรันดร์ คือชีวิตของพระเจ้า เอาไปเป็นของเขาเลย  แต่ในขณะซึ่งร่างกายของเราต้องใช้ชีวิตอยู่ในโลก ทั้งโลกที่เสียหาย  มนุษย์ก็แปลกมากตรงที่ว่าอะไรเสียหาย อะไรเกิดไม่ดีขึ้น ก็บอกว่าพระเจ้าลงโทษ  โทษพระเจ้าไปหมดเลย  แต่ในพระคัมภีร์บอกพระองค์ไม่ประสงค์ให้ผู้หนึ่งผู้ใดพินาศ แต่ต้องการให้มาถึงความรอด เพื่อจะได้ชีวิตนิรันดร์ เพราะฉะนั้น ไม่ใช่พระเจ้าแน่นอนเลย

พระเจ้าก็บอกแล้วว่าพระองค์มาเพื่อให้ชีวิต แต่มารมา เพื่อลัก ฆ่า และทำลาย  เพราะฉะนั้น อะไรก็ตามที่เกิดขึ้น เพื่อลัก ฆ่า และทำลาย ไม่ได้มาจากพระเจ้า  ต้องแยกแยะให้ชัดเจน  วิญญาณเราสมบูรณ์ได้รับความรอด  เราสามารถมั่นใจในความรอด ที่พระเจ้าให้ แต่ร่างกายเรายังอยู่ในโลกนี้  พระเจ้าก็สอนเรา พาเราให้เติบโต ร่างกายนี้ คือสิ่งที่เราใช้ชีวิตอยู่ทุกวัน ไม่ใช่เนื้อหนัง เนื้อหนังคือความคิดที่บาป  ความคิดที่ไม่ถูกต้อง  ความคิดที่ไม่ใช่ทางของพระเจ้า  แล้วพระเจ้าบอกว่าให้เราควบคุมมันให้ดี ซึ่งเอาไว้เรามีโอกาสจะคุยกันต่อไปในวันข้างหน้า แต่วันนี้อยากให้ข้อพระคัมภีร์ที่พี่น้องจะได้ยึดเป็นแนวทางในการดำเนินชีวิต เราไปดูใน 1 เธสะโลนิกา 5:16-24 พระคัมภีร์บอกเราว่า …

1 เธสะโลนิกา 5:16-24 “16 จงชื่นชมยินดีอยู่เสมอ 17 จงอธิษฐานอยู่เสมอ 18 จงขอบพระคุณในทุกสถานการณ์ เพราะนี่คือพระประสงค์ของพระเจ้า สำหรับท่านทั้งหลายในพระเยซูคริสต์ 19 อย่าดับไฟแห่งพระวิญญาณ 20 อย่าลบหลู่คำเผยพระวจนะ 21 จงทดสอบทุกสิ่ง จงยึดมั่นในสิ่งที่ดี 22 จงหลีกห่างความชั่วทุกชนิด 23 ขอพระเจ้าเองผู้ทรงเป็นพระเจ้าแห่งสันติสุขทรงชำระท่านให้บริสุทธิ์หมดจด ขอให้ทั้งวิญญาณ จิตใจ และร่างกายของท่านไร้ที่ติ เมื่อองค์พระเยซูคริสต์เจ้าของเราเสด็จมา 24 พระองค์ผู้ทรงเรียกท่านนั้นทรงสัตย์ซื่อ และพระองค์จะทรงกระทำตามที่ตรัสไว้”

 

เรามีพระวิญญาณของพระเจ้าอยู่ในกายแล้ว เราต้องรับทราบตรงนี้ เราไม่ต้องวิ่งไปหาพระวิญญาณที่ไหน? ไม่ต้องวิ่งไปหาผู้รับใช้ที่ประกาศว่ามารับพระวิญญาณ ตัวท่าน เมื่อเชื่อในพระเยซู รับรู้การสถิตอยู่ของพระเยซูที่ตายเพื่อท่าน  ชุบชีวิตของท่านให้เป็นขึ้นมาร่วมกับพระองค์แล้ว มีพระวิญญาณบริสุทธิ์อยู่แน่นอน

แล้วพระคัมภีร์บอกด้วยว่าไม่ใช่พระวิญญาณอย่างเดียว  แต่ทั้งพระบิดา พระบุตร พระวิญญาณบริสุทธิ์มาสถิตร่วมกันในตัวท่าน เพราะว่าพระเจ้าสถิตอยู่ทุกหนทุกแห่งได้  รอบรู้ทุกสิ่งทุกอย่าง ทรงฤทธานุภาพสูงสุด พระองค์ไม่เหมือนมนุษย์ ที่มองออกไปผ่านกำแพง ก็ไม่รู้แล้วหลังกำแพงมีอะไร? แต่พระเจ้าไม่ใช่อย่างนั้น พระเจ้าทรงทราบทุกสิ่งทุกอย่าง

เพราะฉะนั้น สิ่งที่พระคัมภีร์สอนในหนังสือ  1 เธสะโลนิกานี้ คือให้เราชื่นบานในพระเจ้า ไม่ได้ชื่นบานในโควิด-19 ไม่ได้ชื่นบานในคนตาย  ไม่ได้ชื่นบานในความทุกข์ยาก ที่หิวโหยอดอยาก ผู้คนเสียหาย ไม่ใช่  แต่ชื่นบานในพระเจ้าผู้ทรงช่วยเราได้ ผู้ทรงควบคุมทุกสิ่งอยู่

ถามว่าแล้วทำไมพระเจ้าไม่ทำลายกิจการชั่วทั้งหลายไป  เพราะมันยังไม่ถึงเวลา มันมีเวลาสำหรับทุกสิ่ง มีวาระสำหรับทุกอย่าง  เพราะฉะนั้น ในช่วงเวลานี้  สิ่งที่เราควรทำ ก็ชื่นบานในองค์พระผู้เป็นเจ้า  ชื่นบานอยู่เสมอ  อธิษฐานอย่างสม่ำเสมอ  ขอบพระคุณในทุกกรณี  เราจะเห็นความยิ่งใหญ่ของพระเจ้า การช่วยเหลือของพระเจ้าในยามวิกฤต ได้ชัดเจนกว่าในยามที่สบาย เป็นเรื่องจริงๆ  ดิฉันได้พยายามที่จะฝึกตัวเอง โดยขอพระเจ้าว่าให้สอนด้วย  ที่จะสามารถมีชีวิตอยู่ในตอนที่มีความยากลำบาก  หรือคับแค้นเกิดขึ้น  พระเจ้าก็สอนจริงๆ  ก็อยากจะให้พี่น้องรับทราบว่าพระเจ้าทรงเลี้ยงดู  ท่านอาจจะไม่ได้หรูหราฟู่ฟ่าเหมือนเดิม แต่พระเจ้าไม่ทิ้งแน่นอน  และพระเจ้าก็จะสอนให้ท่านใช้ชีวิตอย่างมีคุณค่า  อย่างสมกับเป็นลูกของพระเจ้า  ขอบพระคุณในทุกกรณี

ยกตัวอย่างง่ายๆ ที่บ้านดิฉัน เป็นสวน ก็จะมีผลไม้ออกบ้าง มีผักออกบ้าง  เราก็จะแบ่งปันเพื่อนบ้าน แจกจ่ายให้ทานโดยทั่วกัน บ้านไหนไม่มี เราก็เอาไปให้ แล้วเขาก็มีอย่างอื่นที่เราไม่มีให้มา เมื่อวานเราเอามะละกอไปให้น้องที่ร้านกาแฟ เขาก็ใส่ตะกร้ากลับมาให้ยัดสั่นแน่นพูนล้นจริงๆ มีอาหารเพี๊ยบ มีผลไม้  มีทุกอย่างเลยที่จะสามารถอิ่มและอร่อย และชื่นบานได้ด้วย  เป็นอะไรที่พี่น้องจะได้กลับไปใช้ชีวิตแบบธรรมชาติ แบบบ้านๆ  ที่มีน้ำจิตน้ำใจ ไมตรีต่อกัน แค่นั้นเหรอ ไม่ใช่ แต่เราอธิษฐานขอบคุณในทุกกรณี เพราะเป็นพระประสงค์ของพระเจ้า สำหรับพวกเรา

ข้อที่ 19 สำคัญมาก อย่าขัดขวางพระวิญญาณ  อย่าดูหมิ่นถ้อยคำของผู้เผยพระวจนะ”

นี่หมายความว่าอะไร? ขัดขวางพระวิญญาณเป็นอย่างไร?  พระวิญญาณของพระเจ้าอยู่ในตัวเรา  พระองค์ประสงค์ให้เราทำอะไร? ประสงค์ให้เราทำ ย้อนไปดูข้อ 15 บอกว่า …

“อย่าให้คนใดทำชั่วตอบแทนการชั่ว แต่จงตอบแทนความดีเสมอ ต่อตัวท่านเอง  และต่อคนทั่วไปด้วย”

เพราะฉะนั้น ไม่ใช่ว่าเรารอดฝ่ายวิญญาณแล้ว วิญญาณเราปลอดภัย ขึ้นสวรรค์แน่นอนแล้ว  เราจะใช้ชีวิตอะไรก็ได้ สนุกสนานอะไรไปก็ได้  ไม่ใช่ เพราะการกระทำของท่านบนโลกนี้ มีผลตอบสนอง เหมือนกับที่พระคัมภีร์บอกว่าท่านหว่านข้าว ท่านก็เก็บเกี่ยวข้าว  ถ้าท่านหว่านวาจาที่หยาบคาย ไม่น่าฟัง ท่านก็ได้รับกลับมา  ท่านขับรถไปฝ่าไฟแดง

“ฉันไม่สน วิญญาณฉันได้รับความรอดแล้ว  ฉันเป็นชาวสวรรค์แล้ว  เพราะฉะนั้นฝ่าไฟแดงเลย จะรีบไป”

ไม่ได้นะ  ท่านก็จะได้รับจดหมายจากกรมการขนส่งทางบก ให้ไปจ่ายค่าปรับ เพราะมีกล้องวงจรปิด  ถ่ายไว้ชัดเจน รถเบอร์ที่ท่านขับอยู่ เห็นหน้านิดหนึ่งด้วย

เพราะฉะนั้น มันมีผลทั้งสิ้น  มันไม่หายไปไหน?  แต่ว่าขณะซึ่งเราดำรงชีวิตอยู่ในโลกนี้ พระวิญญาณจะนำพาเรา สอนเรา เช่น ถ้าเราพูดไม่ดี  เราจะรู้สึกสะอึกเลย นี่แหละเป็นการดับพระวิญญาณ  พระวิญญาณประสงค์ให้เราทำสิ่งที่ดี ทำดีอย่างไร? ทำดีต่อพวกเราเอง ผู้เชื่อทุกคนและต่อคนทั่วไปด้วย ทำดี เพื่อให้เขาได้เห็นพระเจ้า ในชีวิตของเรา  ผู้คนมากมายที่ไม่รู้จักพระเจ้า เขาก็ยังทำดีกันมากมายเลย

ดิฉันได้อ่านเรื่องหนึ่งเมื่อเช้านี้ คือมีรองกงสุลใหญ่เบลเยี่ยม ได้ช่วยคนไทยที่ติดอยู่ที่สนามบินที่เยอรมัน แล้วก็ช่วยจนกระทั่งได้กลับบ้าน  ถ้าพี่น้องมีเฟสบุ๊คก็ไปหาอ่านได้ในเฟสบุ๊คของดิฉันนะคะ ดิฉันได้แชร์ไว้ แล้วคนไทยถามว่า …

“ทำไมถึงช่วย”

รองกงสุลเขาบอกว่า … “ตอนก่อนนั้นเขาอยู่ญี่ปุ่น แล้วมีคนญี่ปุ่นช่วยเหลือเขา เขาเลยตั้งใจไว้แน่นอนเลยว่าถ้าเห็นใครที่ต้องการความเชื่อเหลือ เขาจะช่วย”

พี่น้องค่ะ เรายิ่งกว่านั้นอีก  เรามีพระเจ้าอยู่ในใจ  อยู่ในชีวิตเรา  เราควรจะทำได้มากกว่านั้น

มีพี่น้องคนหนึ่งที่เบลเยี่ยม  หญิงชราอายุ 90 กว่าปี เขายอมปฏิเสธเครื่องช่วยหายใจ  เพื่อให้คนหนุ่มสาว  คนที่อายุน้อยกว่าได้ใช้  เพราะเธอบอกว่าเธอเห็นโลกมาเยอะแล้ว จึงพร้อมที่จะจากไปแล้ว ในเมื่อเครื่องมือไม่พอ  ก็ให้คนอื่นที่ยังจะสามารถมีชีวิตอยู่ ทำประโยชน์ให้กับแผ่นดิน ให้กับโลกได้มากกว่าเธอ

คริสเตียนก็ควรจะมีท่าทียิ่งกว่านี้อีก  คือสามารถให้ได้มากกว่าที่คนอื่นเขาทำได้ เพราะว่าพระเยซูให้ชีวิต มอบให้ไปเลย แลกให้เลย เพื่อให้พวกเรา ได้ปลอดภัยจากการพิพากษาลงโทษ แล้วในโลกที่ชั่วร้าย นี้ แน่นอนว่ามีแต่เรื่องเสียหาย  มีแต่เรื่องทุกข์ยากลำบาก  มันไม่ดีขึ้นหรอก ไม่ต้องไปคิดเรื่องนั้น  คิดว่าเรามีพระเจ้า เราทำอะไรได้ดีกว่าเป็นประโยชน์มากกว่า ที่จะช่วยเหลือคนอื่น ที่จะแบ่งปันให้คนได้เห็นว่าความรักของพระเจ้าอยู่กับพวกเรา   ความดีงามของพระเจ้าอยู่กับเรา แล้วเราทำด้วยความขอบพระคุณว่าไม่ใช่ เพราะว่าเราอยากจะไปสวรรค์ เราได้ขึ้นแน่นอนแล้ว  ทำไมเรารู้ล่ะ เพราะว่าพระเยซูบอกเราว่าเราจะได้ไปอยู่กับพระเยซูในแผ่นดินสวรรค์ อาจารย์เปาโลก็สอนว่าร่างกายเรารอคอยความรอด ตอนที่พระเยซูจะมารับเราไป มันถึงจะไปประกบกัน  แต่ ณ ตอนนี้ ร่างกายเรายังอยู่ ยังเคลื่อนไหว ยังมีชีวิตอยู่ท่ามกลางผู้คน ทั้งที่รู้จักพระเจ้าและไม่รู้จัก ทั้งที่ดี ทั้งที่น่ารัก ทั้งที่ไม่น่ารัก เยอะแยะไปหมด ก็คือให้เราทำตามถ้อยคำและน้ำพระทัยพระเจ้า

“อย่าดูหมิ่นถ้อยคำของผู้เผยพระวจนะ” คืออะไร?  ถ้อยคำสั่งสอน ผู้เผยพระวจนะสอน “จงทำดี” อย่าเหนื่อยล้าในการทำดีเลย เพราะท่านจะได้รับการเก็บเกี่ยว เมื่อถึงเวลาอันควร  และเว้นเสียจากสิ่งที่ชั่วทุกอย่าง

ทั้งหมดนี้ จะเป็นกำลังที่มาจากพระเจ้า โดยพระวิญญาณจะช่วยท่าน อะไรที่ทำไม่ได้ …

“พระเจ้าช่วยลูกด้วย ลูกไม่ผ่านตรงนี้ ขอกำลังให้ลูกสามารถผ่านได้ ทำได้”

พระเจ้าต้องการให้ท่านเป็นแสงสว่างในโลก และเมื่อท่านมีพระเยซู ก็คือมีความสว่างแล้ว อย่าเป็นตะเกียงที่ถูกถังครอบไว้ ให้เราเป็นความสว่างของพระเจ้า ที่ส่องไปในโลก ให้เห็นคุณงามความดีของพระเจ้า  ผ่านตัวของเราที่กระทำอยู่ทุกๆ วัน

ในข้อ 23 บอกว่า … “ขอให้พระเจ้าแห่งสันติสุข ทรงชำระท่านทั้งหลาย  ให้เป็นคนบริสุทธิ์หมดจดและทรงรักษาทั้งวิญญาณ  จิตใจ และร่างกายของท่าน ให้ปราศจากการติเตียน จนถึงวันแห่งพระเยซูคริสต์ องค์พระผู้เป็นเจ้าของเราเสด็จมา พระองค์ผู้ทรงเรียกท่านนั้นซื่อสัตย์ และพระองค์จะทรงทำให้สำเร็จ”

พี่น้องไม่ต้องอึดอัดใจว่า … “ยากจัง ฉันจะทำอะไรได้”

ไม่ต้องห่วง ไม่ต้องทำ เหนื่อยยาก เหนื่อยใจ เพราะว่าการมาเชื่อพระเยซู ทำให้เราหายเหนื่อย เป็นสุข ถ้าพระเจ้าจะให้เราทำอะไร?  เราจะชื่นชมยินดี เราจะมีความสุข และอยากทำ และมีกำลังจากพระเจ้า ถ้ายังไม่มีอะไรขับเคลื่อนมา  เราก็นมัสการ อธิษฐาน ขอบพระคุณ ทำสิ่งที่ปกติในชีวิตประจำวัน  พระเจ้าบอกพระวิญญาณดลใจให้เราไปช่วยใคร ก็ไป พระองค์จะให้กำลัง จะให้เรี่ยวแรงกับเราเอง  ไม่ใช่เรื่องอะไรที่ยากเลย  ไม่ใช่บัญญัติ ไม่ทำ ก็ไม่ตกนรกอีกต่อไป แต่ถ้าเราทำสิ่งที่ดี ที่ถูกต้อง ตามถ้อยคำพระเจ้า  ผู้คนก็จะได้ชื่นชมยินดีในพระเจ้าของเราด้วย ได้รับความเมตตาผ่านเรา  และพวกเราขอบคุณพระเจ้า เขาก็จะได้ขอบคุณด้วย

ก็ขอให้พี่น้องได้มีความหวังใจ  และไม่ต้องห่วงกังวล เพราะชีวิตเราปลอดภัยในพระหัตถ์พระเจ้า พระเยซูแล้ว ยังไงก็ได้ไปสวรรค์แน่ ถ้าวันนี้ เขาบอกว่าให้เสียสละอะไรสักอย่าง ก็เดินออกไปได้เลย  ไม่มีปัญหา ขอพระเจ้าทรงเมตตา  ให้เรามีความกล้าหาญ มีจิตใจเหมือนพระเยซูที่รักมนุษย์  ขอพระเจ้าเมตตา  เอเมน

 

************************