คำบรรยายคืนวันศุกร์ประเสริฐ เวลา 19.00 น. วันศุกร์ที่ 10 เมษายน 2020 เรื่อง “การระลึกถึงพระเยซูคริสต์” โดย นคร เวชสุภาพร

คำบรรยายคืนวันศุกร์ประเสริฐ  เวลา 19.00 น.

วันศุกร์ที่  10  เมษายน  2020

 เรื่อง “การระลึกถึงพระเยซูคริสต์”

โดย นคร  เวชสุภาพร

            สวัสดีครับ เจอกันอีกแล้ว วันนี้เราเจอกันหลายครั้งเลยนะครับ ตั้งแต่เมื่อเช้านี้ 9 โมงเช้า เที่ยง และบ่าย 3 โมง และตอนนี้ 1 ทุ่ม เรามาร่วมกันเฉลิมฉลองวันประกาศชัยชนะของมวลมนุษยชาติทั้งปวงโดยแม่ทัพของเรา น่าจะเป็นพ่อทัพก็ได้ หัวหน้าของเรา คือพระเยซูคริสต์ เป็นหัวหน้ามนุษย์จริงๆ เพราะว่าพระองค์ทรงเกิดมาเป็นมนุษย์

พระคัมภีร์บอกว่าพระองค์ทรงเกิดเป็นมนุษย์ เพื่อจะได้มีส่วนร่วม เข้ามาอยู่ในเผ่าพันธุ์ของมนุษย์ เพื่อจะได้เป็นตัวแทนของมนุษย์ ในการที่จะไถ่มนุษย์ หรือชดใช้บาป ให้กับพี่น้อง คือมนุษยั้งปวงนั่นเอง และพระองค์ทรงทำสำเร็จแล้วที่ไม้กางเขน เมื่อบ่าย 3 โมงที่ผ่านมา อัศจรรย์ใหญ่มากๆ สิ่งที่พระเจ้าได้วางแผนไว้ ตั้งแต่หลายพันปีก่อนโน้น ที่มนุษย์ตกลงไปในความบาป ตกลงไปในคำสาปแช่ง เป็นทาสของมาร พระเจ้าได้สัญญาไว้แล้วว่าจะช่วยเหลือมนุษย์ กลับคืนสู่พระองค์ และได้วางแผนการไว้ตลอด และในที่สุดวันนี้ พระองค์ได้ทรงกระทำสำเร็จแล้ว โดยพระเยซูคริสต์ที่พระองค์ทรงประทานให้กับมนุษย์ทั้งปวง  พระเยซูคริสต์ก็ยอมเสียสละ จากสภาพของพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์ และตายที่ไม้กางเขน เมื่อบ่าย 3 โมง หลั่งพระโลหิตของพระองค์ เพื่อชำระบาป ให้กับมนุษย์ทั้งปวง

อย่างที่ผมบอกไว้ตั้งแต่ตอนบ่ายแล้วว่าเรื่องนี้ มันเป็นเรื่องจริงที่เกิดขึ้น และมีผลเกิดขึ้นอย่างใหญ่หลวงมหาศาล ในโลกวิญญาณของประวัติศาสตร์มวลมนุษยชาติทั้งปวง เพราะฉะนั้น ไม่ว่ามนุษย์จะรู้หรือไม่รู้ หรือจะเคยได้ยินหรือไม่เคยได้ยิน จะเชื่อหรือไม่เชื่อเรื่องนี้ เมื่อได้ยินแล้วก็ตาม ความจริง ก็เป็นความจริงวันยังค่ำ  ถ้ามันเป็นความจริง และเรื่องนี้ได้พิสูจน์แล้วว่าเป็นความจริง เพราะตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมาถึงวันนี้ 2,000 กว่าปีแล้ว  คนมากมายมหาศาล หลั่งไหลเข้ามาสู่อาณาจักรของพระเจ้า  เข้ามาอยู่ในสวรรค์ของพระองค์ เข้ามาได้รับอิสรภาพจากความบาป เข้ามาให้พระเยซูชำระบาป นับไม่ถ้วนจริงๆ

นี่เป็นเรื่องพิสูจน์ได้ อย่างที่ผมบอกว่ามันไม่ยากเลย มันง่ายมาก  เมื่อตอนบ่าย 3 โมง ผมได้ยกตัวอย่างเรื่องของโจร  ที่เป็นฆาตกรอุกฉกรรจ์ ได้รับโทษประหารชีวิต ถูกตรึงที่ไม้กางเขนพร้อมพระเยซู ได้สารภาพบาป และยอมรับว่าพระเยซูเป็นพระผู้ช่วยให้รอด  เขาก็ได้ไปสวรรค์ทันที  เขาได้รับการยกโทษจากบาป  โดยไม่ต้องทำอะไรเลยแม้แต่นิดเดียว  เพราะฉะนั้น ถ้าโจรคนนั้น วินาทีสุดท้าย เขายังได้รับความรอด จากความเชื่อ ในพระเยซูคริสต์ มากกว่านั้นสักเท่าไร? ท่านทั้งหลายที่ฟังอยู่ขณะนี้ ผมอยากจะบอกท่านเลยว่ามันไม่ยากเลย ไม่ได้เป็นเรื่องที่เราต้องทำอะไร เหมือนเพลงที่เราร้องเมื่อสักครู่นี้ เพลง “พระคุณพระเจ้า” ก็คือพระคุณอันประหลาด พระคุณอันยิ่งใหญ่ของพระเจ้า  “พระคุณ” แปลว่าพระเจ้าให้เปล่าๆ ฟรีๆ  ถึงแม้ว่าเราไม่สมควรได้รับก็ตาม เหมือนอย่างโจรที่ไม้กางเขน  เป็นฆาตกร ไม่สมควรได้รับ แต่พระเจ้าให้เปล่าๆ  ฟรีๆ เช่นเดียวกัน เราทั้งหลายในยุคนี้ เมื่อได้ฟังข่าวประเสริฐ ข่าวดี ที่พระเยซูคริสต์ได้ไถ่บาปแล้ว ก็น่าจะเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ มาเป็นพระผู้ช่วยให้รอด

ในพระคัมภีร์ พระเจ้าได้บันทึกอย่างชัดเจนว่าสิ่งที่พระเยซูทำที่ไม้กางเขน เมื่อตอนบ่าย  คือพันธสัญญาที่พระเจ้าสัญญากับมนุษย์ทั้งปวงแล้ว ผมอยากให้ท่านลองดูในหนังสือฮีบรู 10:9-10 บันทึกไว้อย่างนี้

ฮีบรู 10:9-10 “9 จากนั้นจึงตรัสว่า “ข้าพระองค์อยู่ที่นี่ ข้าพระองค์มาแล้ว เพื่อทำตามพระประสงค์ของพระองค์” พระองค์ทรงยกเลิกระบบแรก เพื่อตั้งระบบที่สอง 10 และโดยพระประสงค์นี้เราทั้งหลายจึงได้รับการทรงชำระให้บริสุทธิ์ โดยการถวายพระกายของพระเยซูคริสต์เป็นเครื่องบูชาเพียงครั้งเดียวเป็นพอ”

 

คำว่า “ยกเลิกระบบแรก” ก็หมายถึงระบบที่มนุษย์อยู่ใต้ความบาป ต้องชดใช้บาปเวรกรรมด้วยตัวเอง เหมือนที่บรรพบุรุษของเรา และพวกเราเคยได้ยินบ่อยๆ ว่าเกิดเป็นคน ก็ต้องชดใช้บาปเวรกรรม เป็นเรื่องธรรมดา แล้วชดใช้กันถึงเมื่อไร? ไม่มีใครรู้ ชดใช้ไม่รู้กี่สิบชาติ กี่หมื่นชาติ ต้องสะสมความดี อยู่เรื่อยๆ  คือต้องช่วยเหลือตัวเองในการที่จะพ้นจากบาปเวรกรรม ทุกคนรู้นะ ไม่รู้ใครบอกมา  แต่จริงๆ แล้วมันอยู่ในใจลึกๆ ของมนุษย์ทุกคน ว่ามนุษย์ทุกคนเป็นคนบาป และต้องการที่จะหลุดจากความบาปนั้น  ถ้าไม่รู้ถึงระบบใหม่ของพระเยซูคริสต์ ไปตายที่ไม้กางเขน  ก็จะพยายามด้วยตัวเอง  วิธีการพยายามด้วยตัวเอง ก็คือพยายามทำสิ่งที่คิดว่าดีที่สุด อยู่ในศีลธรรมที่ดีงาม พยายามที่สุด  แล้วท่านคิดดูสิ พยายามเท่าไร มันก็ไม่ได้ถึง 100%  ถูกไหมครับ? เราก็รู้อยู่  เราเลยคิดว่ามันต้องสะสมความดีงามไปเรื่อยๆ  แล้วสะสมไปถึงเมื่อไร?  ไม่มีคำตอบ นี่คือความว้าเหว่ ความกลัวในใจของมนุษย์ทุกคน

เมื่อสมัยตอนผมเด็กๆ ประมาณสัก 7-8 ขวบ ผมจะเล่าให้ฟัง คือตอนเด็กๆ ผมเป็นคนอ่อนแอมาก เป็นคนเจ็บป่วยอยู่บ่อยๆ  ไปเรียนหนังสือ โรงเรียนอยู่ไม่ไกลมาก สมัยก่อนยังเดินไปได้  พอผมเจ็บป่วย ผมเบื่อชีวิตมาก แล้วมันมีความรู้สึกข้างใน ขนาด 7-8 ขวบนะ ยังมีความรู้สึกว่าเราเกิดมาใช้กรรมเหรอ เลยต้องเจ็บป่วย ต้องใช้เวรกรรม เมื่อไรมันจะหมดสักที เด็กคนอื่นเขายังเล่นได้ เราทำไมมันป่วยอย่างนี้ แล้วทำอย่างไร? ตอนเช้าไปโรงเรียน แม่ก็ให้ตังค์ไปบาทหนึ่ง บางทีเป็นเศษสตางค์ สามสลึงบ้าง บาทหนึ่งบ้าง  พอเดินไปครึ่งทาง  มันไม่รู้เป็นอะไร มันมีความรู้สึกในใจว่ามันอยากสะเดาะเคราะห์ตัวเอง  อยากจะหลุดออกจากเคราะห์กรรม เวรกรรมตรงนี้  ก็ควักลงไปในกระเป๋า มีเศษสลึงอยู่ 3 สลึง ก็เอาสลึงมากำไว้ แล้วก็เหวี่ยงไปข้างทาง รู้สึกว่านี่สะเดาะเคราะห์ไปทีหนึ่ง เมื่อไรมันจะหมดเวรหมดกรรม จริงๆ น่าจะเหวี่ยงหมดก็ดี แต่เสียดาย เดี๋ยวตอนเที่ยงไม่มีข้าวจะกิน ไม่มีขนมจะกิน

ยังจำได้ความรู้สึกในใจ มันไม่มีใครช่วยเราได้เหรอ ไปถามใคร เขาก็บอกว่ามันเป็นกรรมเก่า  ทำเมื่อไรไม่รู้ แต่ต้องชดใช้กัน ไม่รู้จักจบจักสิ้นเลย บางท่านก็บอกต้องไปทำทัณฑ์บน  หรือไปให้กับเจ้ากรรมนายเวร ก็ว่ากันไป  ทำเท่าไร มันก็ไม่ได้หลุดพ้นจากความรู้สึกยังเป็นคนบาปอยู่  ยังต้องชดใช้กรรมอยู่  ตายไปแล้ว ก็ยังต้องชดใช้กรรม ไม่รู้จะไปชดใช้อย่างไร?  เท่านั้นเอง  จนกระทั่งมาพบพระเยซูคริสต์ มาพบเรื่องราวนี้  ซึ่งมันเหลือเชื่อ ไม่คิดว่าจะเชื่อเรื่องนี้เลยนะ แต่รู้สึกว่ามันไปไม่รอดแล้ว หนทางมันตีบตัน มันอึดอัดมากเลย แสวงหามาตั้งแต่เด็กแล้ว

ในที่สุด ก็ได้พบคำนี้แหละว่าพระเยซูสามารถชำระบาป แทนที่เราจะช่วยเหลือตัวเอง พึ่งพาตนเอง  เรามาพึ่งพาพระเยซู วางใจในพระเยซูว่าเป็นผู้ช่วยให้รอดจากบาป เราไม่สามารถที่จะทำได้ด้วยตัวเอง แต่พระเยซูทำให้เราได้ 100% ต่อให้เราพยายามทำเท่าไร มันก็ไม่ครบร้อย และข้อแม้ ก็คือต่อให้เราไปทำเอง ก็ไม่สามารถไปลบบาปที่มาจาก DNA ที่มาจากบรรพบุรุษ มันติดเชื้อ ใครจะรักษาบาปตรงนั้นได้  โดยการกระทำ ประพฤติดีนั้นเหรอ จะรักษาโรคบาปได้  มันไม่ได้ มันคนละเรื่องกัน เข้าใจใช่ไหมครับว่ามันเหมือนเชื้อเอดส์  เราทำความดี เพื่อรักษาเชื้อเอดส์ มันไม่ได้ ก็เช่นเดียวกัน  เราจะทำความดีมากมาย สะสมความดีมากมาย เพื่อรักษาโรคบาปที่มันเป็นเชื้อมาจากบรรพบุรุษของเรา คืออาดัมและเอวา ตั้งแต่สมัยโน้นมา เผ่าพันธุ์มนุษย์ติดเชื้อบาปนี้ทุกคน  มันทำไม่ได้ แต่พระเยซู คือพระเจ้ามาเกิดเป็นมนุษย์  เพื่อมาตั้งต้นเผ่าพันธุ์ใหม่  เผ่าพันธุ์ที่ไม่มีเชื้อบาปอีกต่อไป ไม่มี DNA  ที่เป็นบาปอีกต่อไป  พระองค์ตั้งสำเร็จแล้ว เมื่อ 2,000 ปีก่อน  ที่พระองค์ทรงตายที่ไม้กางเขน ที่เราอ่านเมื่อตะกี้ว่าพระองค์ทรงยกเลิกระบบแรก ก็คือระบบบาปที่เราต้องทำด้วยตัวเอง  ต้องชดใช้ด้วยตัวเอง  เพื่อตั้งระบบที่สอง  คือระบบที่ไม่ต้องทำด้วยตัวเอง ย้ายสำมะโนครัวจากอาดัมมาอยู่ที่พระเยซู มาเชื่อในพระเยซู และให้พระเยซูเป็นตัวแทนในการชำระบาปนั้น  โดยพระประสงค์นี้ เราทั้งหลาย จึงได้รับการชำระให้บริสุทธิ์  ไม่ต้องทำด้วยตัวเอง พระเยซูทรงทำให้เรา  สะอาดบริสุทธิ์  โดยผ่านทางการถวายพระกายของพระองค์ พระเยซูคริสต์ บนไม้กางเขนนั้น เป็นเครื่องบูชา เพียงครั้งเดียวเป็นพอ ครั้งเดียว ชำระหมดเรียบร้อย

นี่แหละคือสิ่งที่สั้นๆ แต่มีความหมายมาก สำหรับวันนี้ที่เรามาร่วมฉลองกัน อยากฝากท่านไว้ว่าเราระลึกถึงสิ่งเหล่านี้แล้ว เราควรที่จะทำอย่างไร? ถึงจะได้ประโยชน์กับสิ่งเหล่านี้  ไม่ใช่ชิวๆ เฉยๆ ฟังแล้วมันได้ประโยชน์อะไรกับฉัน มันเกี่ยวอะไรกับฉัน มันเกี่ยวครับ เพราะพระเยซูทรงตายที่ไม้กางเขน  เพื่อมวลมนุษยชาติทุกๆ คน ย้ำอีกที ไม่ว่าจะอยู่ชาติใด? ศาสนาใด?  ผิวสีอะไร? อยู่ตรงส่วนใดของโลกใบนี้  ถ้าเป็นมนุษย์แล้ว พระเยซูคริสต์เมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว ถูกทุกข์ทรมาน หลั่งพระโลหิต ตายที่ไม้กางเขน เพื่อเป็นแพะรับบาปของท่านทั้งหลายที่เป็นมนุษย์

เพราะฉะนั้น ไปรับสิทธิของท่านเถิด อย่าปล่อยให้มันเสียไปเปล่าๆ ฟรีๆ มันไม่มีประโยชน์ ถ้าท่านปล่อยไป แล้วไม่ไปเอาสิทธิของท่าน  ก็ไม่มีใครไปเอาสิทธิของท่านไป เพราะมันเป็นของท่าน แต่ละคนก็มีสิทธินี้เท่าๆ กันหมดเลย ไม่มีใครดีกว่ากัน  โจรที่ไม้กางเขน เป็นฆาตกร ก็มีสิทธินี้ เป็นลูกของพระเจ้า ได้รับรางวัล ก็คือไปอยู่ในสวรรค์ในฐานะลูกของพระเจ้า เท่าๆ กับเปโตร เปาโล ที่รับใช้พระเจ้ามากมาย ไม่แตกต่างกันเลย เพราะฉะนั้น ที่ท่านฟังอยู่ในขณะนี้ ที่ยังไม่เคยใช้สิทธิของท่าน ใช้สิทธิของท่านวันนี้  แค่ยอมรับเท่านั้นว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องจริง  และขอพระเยซูเข้ามา เป็นผู้ช่วยให้รอดจากบาปของฉัน ยอมรับว่าพระเยซูตาย ที่ไม้กางเขน เพื่อฉันจะพ้นจากบาปทั้งปวง แค่นี้เอง  และท่านก็จะได้รับความรอด  ได้รับพระพรนานานัปการ เท่ากับผมที่เชื่อมา 30 กว่าปี เท่ากับเปโตร เปาโล ซึ่งเป็นอัครสาวกเลยนะ แล้วผมจะบอกให้  ได้สิทธิ์นี้ เป็นลูกของพระเจ้า  ครอบครองสวรรค์ร่วมกับพระเยซูคริสต์ ได้สิทธิ์เท่าๆ กันกับพระเยซูคริสต์เลย พระคัมภีร์บอก ไม่น่าเชื่อเลยใช่ไหม?

“อะไร ฉันเหรอ จะได้สิทธิเท่ากับพระเยซู”

ใช่ พระคัมภีร์บอกอย่างนั้น ท่านร่วมกับพระเยซู รับมรดกจากพระเจ้า  ในฐานะมนุษย์พันธุ์ใหม่  พันธุ์ที่อยู่ในพระคริสต์ ด้วยความเชื่อแค่นั้นเอง  ไม่เสียอะไรเลย ไม่เสียแม้แต่นิดเดียว  พูดด้วยปาก และเชื่อด้วยใจ  ยอมรับว่าเรามีบาป และเราช่วยตัวเองไม่ได้ เราจำเป็นต้องมีผู้ช่วยเหลือเรา ในการไถ่บาปเราตรงนี้ คือพระเยซูคริสต์ช่วยเรา ต้อนรับสิทธินี้  ทันทีนั้น เราก็จะได้บังเกิดใหม่

พอท่านเชื่ออย่างนี้ เสร็จปุ๊บ พระคัมภีร์บอกว่าท่านได้รับสิทธิ์นั้นทันที ทันทีเลยนะ พระเจ้าประทานฤทธิ์เดช เข้าไปในร่างกายของท่าน  ในวิญญาณของท่าน  ชุบหรือทำให้วิญญาณของท่านได้บังเกิดใหม่ เป็นลูกของพระองค์ ที่สะอาด บริสุทธิ์ ปราศจากบาป  ปราศจากตำหนิใดๆ ทั้งสิ้น  และอยู่ในสวรรค์เลย ไม่ต้องรอตายแล้ว แต่อยู่ในสวรรค์เลย อยู่ในวิญญาณของท่าน  อยู่ในมิติหนึ่งในสวรรค์เลยกับพระเจ้า  พระคัมภีร์บอกว่าได้นั่งอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้า ร่วมกับพระเยซูคริสต์ในสวรรค์สถานเลยทันที  และจะนั่งอยู่ที่นี่ อยู่ในสวรรค์อย่างนี้ ตลอดไป โดยที่อยู่ในร่างกายนี้ก่อนชั่วคราว  เพราะยังอยู่บนโลกใบนี้อยู่ แต่เมื่อจากโลกนี้ไปแล้ว  เราก็จะไปรับร่างกายใหม่  ร่างกายสวรรค์ ร่างกายที่เป็นขึ้นจากความตาย  และอยู่กับพระเจ้าในสวรรค์อย่างนี้  ด้วยร่างกายใหม่ตลอดไป ซึ่งเรื่องร่างกายใหม่  การเป็นขึ้นจากความตายนี้ เอาไว้คุยต่อวันอาทิตย์ วันอีสเตอร์ วันฉลองอีก แต่คราวนี้ เป็นการฉลอง การเป็นขึ้นจากความตายของพระเยซูคริสต์ พระองค์ไม่ใช่ไถ่บาปเรา  และตาย แล้วลงไปอยู่ในนรก  อยู่ในอุโมงค์ฝังศพ  แล้วก็ไม่ออกมาอีกเลย  ไม่ใช่อย่างนั้น แต่พระองค์ทรงเป็นขึ้นจากความตาย ในวันที่ 3  เป็นตัวอย่างของการเป็นขึ้นจากความตาย  ให้กับเราทั้งหลายที่เชื่อในพระองค์ว่าเมื่อเราถึงวันเวลาที่ร่างกายนี้จะต้องลงหลุมไป  จะมีวันหนึ่งที่เราจะได้รับร่างกายใหม่  ที่พระเจ้าจัดเตรียมไว้ให้ เป็นร่างกายที่เป็นขึ้นจากความตาย  เหมือนพระเยซูเช่นเดียวกัน และเราจะอยู่กับพระเจ้าในสวรรค์สถาน  ในโลกใหม่ ที่เรียกว่าสวรรค์ เป็นสถานที่ที่พระเจ้าจัดเตรียมไว้ให้กับเรา อยู่ในสวรรค์นั้น มีความสุข อยู่ร่วมกันกับพระเจ้า และร่วมกันในครอบครัวของพระคริสต์ ที่มีพระเยซูคริสต์เป็นหัวหน้าของเรา ตลอดชั่วนิรันดร์

เห็นไหม? มีความสุขมากเลย  แค่มีพระเยซูเป็นผู้นำ เป็นผู้ช่วยเหลือ  เป็นผู้ไถ่บาปในชีวิตของเรา พระเจ้าเข้ามาสถิตอยู่กับเราแล้ว และเมื่อพระเจ้าสถิตอยู่กับเรา สบายตั้งแต่เดี๋ยวนี้เลย ไม่ใช่รอให้ตาย แล้วจึงจะสบาย เพราะจากนี้ต่อไป พอเราเชื่อ  พระเจ้าเข้ามาสถิตอยู่ในตัวเรา  ร่างกายเราเป็นวิหารของพระเจ้า  และเราไปไหน พระเจ้าก็ไปด้วย  จะเป็นโควิด-19 เป็นอะไร? เป็นโรคภัยไข้เจ็บอื่น  หรือจะเป็นกระทั่งโลกมลายสูญสิ้นไป  เราก็ไม่กลัว  เพราะพระเจ้าสถิตอยู่กับเรา เพราะพระเจ้าผู้นี้  เป็นพระเจ้าผู้สร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก ผู้ทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งหลาย ผู้ทรงฤทธานุภาพอำนาจยิ่งใหญ่สูงสุด ผู้ทรงครอบครองทุกสิ่งสารพัด ด้วยพระหัตถ์อันทรงฤทธิ์ของพระองค์ กลัวอะไร? พระเจ้าองค์นี้อยู่กับเรา และอยู่ในเรา และข้อสำคัญ คือพระองค์ทรงเป็นพ่อของเรา รักเรามากมายมหาศาล หวงแหนเราเหลือเกิน  และตอนนี้ ถ้าเราเชื่อ เราเกิดใหม่  เราอยู่ในบ้านกับพระองค์แล้ว พระองค์จะจูงมือเราเดิน โควิด-19 พระองค์จะพาเราผ่านไป  มันก็ต้องผ่านไป

เพราะฉะนั้น เราจึงมีสันติสุข  ความสงบสุขกับพระเจ้า เมื่อเราวางใจในพระองค์ ขอบคุณพระเจ้า เหมือนบทเพลงเมื่อตะกี้นี้ ไม้กางเขนโบราณ ไม้กางเขนจึงกลายเป็นเป้าหมายในชีวิตเรา วางภาระลง ไม่เครียด ไม่วิตกกังวล จนเกินกว่าเหตุ และรู้ว่าเราได้พักผ่อน ไม่ต้องกังวลว่าเอาอะไรกิน เอาอะไรดื่ม เอาอะไรนุ่งห่ม ไม่ต้องกังวลว่าจะไม่มีกิน  ไม่ต้องกังวลว่าจะอดอยาก ไม่ต้องกังวลว่าจะมีอุบัติเหตุร้ายแรงเกิดขึ้นกับเรา เพราะพระเจ้าสถิตอยู่กับเรา พระเจ้าจะพาเราผ่าน  พระองค์ทรงรู้ว่าอะไรเหมาะสมและดี สำหรับเรา และพระองค์ทรงสามารถกระทำทุกสิ่งทุกอย่างได้  และพระองค์ทรงสามารถทำให้ทุกสิ่ง ทุกสถานการณ์เกิดขึ้นกับชีวิตของเรา  ไม่ว่าเราจะคิดว่าสถานการณ์นี้มันดีหรือไม่ดีกับเราก็ตาม พระองค์สามารถทำมันรวมกันให้เกิดเป็นผลดี สำหรับชีวิตของเราได้ ขอย้ำอีกครั้งหนึ่ง เมื่อเราอุตส่าห์มาร่วมฉลองในวันนี้ วันศุกร์ประเสริฐนี้  อย่าให้มันเลยไปเฉยๆ

ผมจะนำท่านอธิษฐาน หรือท่านฟังเฉยๆ แล้วท่านไปคิดใคร่ครวญว่าท่านเสียอะไรบ้าง ถ้าท่านจะต้อนรับข่าวประเสริฐ ข่าวดีนี้  เรื่องพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดของท่าน ท่านไม่เสียอะไรเลย ท่านไปคิดดู คำนวณดู ถ้าสิ่งที่ผมพูดในพระคัมภีร์นี้ เป็นเรื่องจริงขึ้นมา ท่านจะไปพบกับชีวิตหน้า ด้วยลำพังด้วยตัวเองหรือ? ท่านจะแบกเอาบาปไปพบกับชีวิตหน้าได้อย่างไร? ท่านคิดว่าท่านสามารถชำระบาปของตนเอง  ไถ่ตัวเองจากบาปนั้น  ได้มากน้อยเพียงใด ท่านลองคิดดู หรือจะไม่พึ่งพาตนเองต่อไปแล้ว แต่ยกทั้งก้อน ทั้งหมด ให้พระเยซูคริสต์ เพราะว่าพระองค์ทรงไถ่บาปเราเพียงครั้งเดียว ด้วยพระกายของพระเยซูคริสต์ เป็นเครื่องบูชา เพียงครั้งเดียว เป็นพอ ในพระคัมภีร์บันทึกอย่างนั้น ครั้งเดียวเป็นพอ ก็ฝากตรงนี้ไว้ด้วย ขอพระเจ้าอวยพรครับ

 

************************

 

 

คำบรรยายพิเศษเช้าวันศุกร์ เวลา 15.00 น. วันศุกร์ที่ 10 เมษายน 2020 เรื่อง “การระลึกถึงพระเยซูคริสต์” โดย นคร เวชสุภาพร

คำบรรยายพิเศษเช้าวันศุกร์  เวลา 15.00 น.

วันศุกร์ที่  10  เมษายน  2020

 เรื่อง “การระลึกถึงพระเยซูคริสต์”

โดย นคร  เวชสุภาพร

            สวัสดีครับมาตามนัด อีก 30 วินาทีถึงบ่าย 3 โมง ช่วงบ่าย 3 โมงของการอยู่บนไม้กางเขนของพระเยซูคริสต์ ถูกตรึงตั้งแต่ 9 โมงเช้าจนถึงบ่าย 3 โมง 6 ชั่งโมง

เมื่อเช้าเราพูดถึงตอนที่พระเยซูถูกตรึงใหม่ๆ พระองค์ทรงพูดประโยคแรกว่า …

“พระเจ้าขอทรงอภัยให้กับเขาทั้งหลาย เขาไม่รู้ว่าเขากำลังทำอะไรลงไป”

“เขา” ก็คือผู้คนที่ตรึงพระองค์นั่นแหละ รวมทั้งพวกฟาริสีที่ไม่เข้าใจ ชาวยิวที่ไม่เข้าใจ  ปลุกปั่นยุแหย่จากมารด้วย รวมถึงความเมามันของทหารโรมัน รวมกลุ่มเป็นม๊อบ ทำร้ายร่างกาย  ทรมานพระเยซูคริสต์ ซึ่งพระองค์ถูกตรึง ก็บอกว่า …

“ขอพระองค์ทรงอภัยให้เขาทั้งหลายเหล่านี้ เขาไม่รู้หรอกว่าเขาทำอะไรลงไปอยู่ อภัยให้เขาด้วยเถิด”

นั่นคือประโยคแรก แล้วต่อมา ก็ไม่ได้พูดอะไรอีกเลย

พระเยซูถูกตรึงที่ไม้กางเขน อยู่ตรงกลาง 2 ข้าง ก็จะมีฆาตกร ที่มีโทษอุกฉกรรจ์ ที่ต้องโทษประหารชีวิต 2 คน อยู่ข้างขวาข้างซ้าย  สองคนนี้เขาคุยกัน มีคนหนึ่งเขาไม่เชื่อพระเยซูว่าเป็นพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์ มาไถ่บาป  แต่อีกคนหนึ่งเชื่อว่าต้องเป็นพระเจ้าแน่ๆ  มาเกิดเป็นมนุษย์ เพื่อไถ่บาป เพราะว่าเขาไม่ได้ทำอะไรผิดเลย  เป็นผู้ชอบธรรม แต่ได้รับโทษประหาร เขาเชื่อ เขาก็เลยเหมือนกับอธิษฐานกับพระเยซูว่าเขาเชื่อในความเป็นพระเจ้า และเป็นพระผู้ช่วยให้รอด  พระมาซีฮา พระผู้ไถ่บาปของพระเยซู และขอฝากจิตวิญญาณของเขา ชีวิตของเขาไว้กับพระองค์ บนไม้กางเขน เขาฝาก บอกว่าถ้าไปถึงสวรรค์ อาณาจักรของพระองค์เมื่อไรแล้ว  อย่าลืมเขาด้วยนะ พาเขาไปด้วย แล้วพระเยซูก็ตอบเขา นั่นแหละคือประโยคที่พระเยซูพูดเป็นครั้งที่ 2 บนไม้กางเขน  พระเยซูตอบว่า …

“วันนี้ เราจะได้พบท่าน ท่านจะได้พบเราที่เมืองบรมสุขเกษม”

หรือที่เรียกว่าพาราไดร์ ก็คือสวรรค์นั่นเอง คือได้ไปสวรรค์

อันนี้นำมาเล่าสู่กันฟัง น่าคิด เพราะฆาตกร นักโทษคนนี้ ที่จะถูกประหารชีวิต เขารู้ตัวเองว่าทำบาป รุนแรง ทำสิ่งชั่วร้าย เขาพูดเองว่าเขาสมควรที่จะได้รับโทษในการถูกประหารแล้ว เขารู้ตัวว่าเขาบาป นึกให้ดีๆ เขาเพียงแค่สารภาพบาปกับพระเยซูคริสต์ว่าเขาเป็นคนบาป เขาช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ แต่เขาเชื่อว่าพระเยซูคริสต์ เป็นพระเจ้ามาเกิดเป็นมนุษย์  แล้วตายที่ไม้กางเขน  เพื่อหลั่งพระโลหิตชำระบาปให้กับเขา สามารถช่วยเขาได้  เขาเชื่อในนามพระเยซู ซึ่งเป็นพระผู้ช่วยให้รอด หรือพระมาซีฮาห์ เขาเชื่อตรงนี้ แค่นี้เอง ความเชื่อของเขาเล็กน้อย นิดเดียว  เหมือนที่พระเยซูยกตัวอย่าง เหมือนกับเมล็ดมัสตาร์ดเล็กๆ เอง เขาก็ได้ไปสวรรค์แล้ว

ถามว่าเราคิดถึงอะไร? เขาไม่มีเวลา ที่จะกลับไปทำความดีเลย  เขาอยู่บนไม้กางเขน สารภาพบาป  ยอมรับว่าพระเยซูเป็นใคร?  และขอความช่วยเหลือจากพระเยซู ยอมรับว่าตัวเองช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ ในการไปสวรรค์ พอยอมรับปุ๊บ เขาก็ได้ไปสวรรค์ อีกไม่กี่ชั่วโมงต่อมา เขาก็ตายแล้ว บนไม้กางเขนนั้น  เพราะฉะนั้น ขณะที่เขายอมรับในพระเยซูคริสต์ แล้วพระเยซูนำเขาไปสู่สวรรค์ได้  โดยที่เขาไม่ได้ไปแก้ตัวอีกเลย ไม่มีโอกาสลงมาทำความดี สะสมความดี เพื่อจะได้ไปสวรรค์เลย ว่ากันตามจริงแล้ว ชีวิตเขาตลอดมา มีแต่ความชั่วตลอดเลย เขาก็รู้ตัวเอง ทำตัวชั่วมาตลอด

แค่ยอมรับแค่นี้ นี่คือพระคุณอันยิ่งใหญ่  พระองค์ไม่ถือโทษในการกระทำผิดของมนุษย์คนใดคนหนึ่งเลย  ในพระคัมภีร์บอกในพระเยซูคริสต์ พระองค์ทรงอภัยบาปทั้งหมดเลย ที่มีอยู่ บาปทั้งหมดของโจรผู้นี้  ได้ถูกอภัยแล้ว เหตุจากความเชื่อในพระเยซูเท่านั้น  ไม่ใช่เหตุจากเขาทำดีได้เยอะ เพราะฉะนั้น จึงอภัยให้มาก ไม่ใช่ จากความเชื่อเท่านั้น  เขาได้รับการอภัยบาปทั้งหมดเลย  บาปทั้งในอดีต บาปทั้งในปัจจุบัน  และบาปตั้งแต่บรรพบุรุษที่เป็นเชื้อบาปติด ตั้งแต่ DNA ของอาดัมโน้น เขาได้รับการอภัยเรียบร้อยไปแล้ว

นี่คือสิ่งหนึ่งที่จะให้เราเห็นว่าบางท่านไม่กล้า ได้ยินข่าวดีนี้  ได้ยินเรื่องพระเยซู มีความรู้สึกกลัวว่ามาต้อนรับพระเยซู มาเชื่อพระเยซูเป็นพระผู้ช่วยให้รอดแล้ว จำเป็นต้องไปปฏิบัติอย่างโน้นไหม?  ต้องเลิกจากความเชื่อเดิมๆ ที่เคยเชื่อไหม? ต้องไปทำอย่างโน้นไหม? ทำอย่างนี้ไหม?  ต้องทำอะไรบ้าง? ต้องแก้ไขสิ่งที่ทำผิดพลาดอย่างไรบ้าง ถึงจะได้ไปสวรรค์ตามที่พระเยซู ตามที่พระเจ้าทรงสัญญาไว้  เห็นไหมครับ ไม่จำเป็นเลย ไม่ต้องเลย ถูกไหมครับ ไม่จำเป็นว่าเราเชื่อพระเยซูแล้ว เรารู้ว่าเราเป็นคนบาป ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ เชื่อพระเยซู พอเชื่อเสร็จแล้ว เราต้องกลับไปอีก รีบไปทำอะไรต่างๆ แก้ไขสิ่งต่างๆ ให้ดี ถึงได้ไปสวรรค์ ไม่ใช่เป็นอย่างนั้นเลย  เราไม่จำเป็นต้องกลับไป แล้วบอกว่าแก้ไข เคยอยู่ในความเชื่อเดิมๆ เคยอยู่ในความหลงผิดเดิมๆ เพราะฉะนั้น ต้องแก้อะไรบ้าง? ต้องอย่างโน้น ต้องอย่างนี้  อะไรต่างๆ เหล่านั้น  เพราะฉะนั้น มันไม่เกี่ยวกันเลย คนละเรื่องกัน

พอมาเชื่อพระเยซูแล้ว เราได้รับการชำระให้พ้นจากบาป วิญญาณเราได้รับการเปลี่ยนแปลงใหม่ อย่างที่เมื่อเช้าเราบอก พระเจ้าเข้ามาสถิตอยู่ในเรา ให้เราสมารถเป็นวิหาร ร่างกายเราจะเป็นวิหารของพระเจ้า ทรงสถิตอยู่ในเรา  และเมื่อพระเจ้าสถิตอยู่ในเราแล้ว พระองค์ก็จะทรงนำพาเราไป ในแต่ละวันๆ ค่อยๆ แก้ไขเปลี่ยนแปลงนิสัยที่ไม่ดีอะไรต่างๆ  ค่อยๆ แก้ไขไปเรื่อยๆ  มันคนละเรื่องกับวิญญาณที่ได้บังเกิดใหม่แล้ว

นี่คือสิ่งที่น่าสนใจ น่าคิด เพราะฉะนั้น ใครก็ตามที่ถามท่านว่า …

“มาเชื่อพระเยซูแล้ว ฉันต้องกลับไปทำอะไรบ้าง?”

ตอบเขาได้เลยตอนนี้ว่า … “ไม่ต้องทำอะไรทั้งสิ้น ไม่ต้องทำอะไรเลย”

ขนาดโจรบนไม้กางเขน เขาไม่ได้ทำอะไร เขายังได้ไปสวรรค์เลย เพราะฉะนั้น ไม่ต้องทำอะไรเลย  เพียงแต่เชื่อและวางใจ ในการทรงนำของพระเจ้า ซึ่งเข้ามาสถิตอยู่ในร่างกายของท่านแล้ว แล้วจะนำท่านไปทีละก้าวๆ  พระคัมภีร์ได้บันทึกไว้อย่างนี้ในหนังสือฟิลิปปี 1:6 บอกว่า …

“ข้าพเจ้ามั่นใจ แน่ใจว่าพระเจ้าผู้ทรงเริ่มต้นการงานดี ในท่านแล้ว พระองค์จะทรงกระทำต่อไป จนกระทั่งสำเร็จ  เป็นไปตามแผนการของพระองค์ จนกว่าจะถึงวันของพระเยซูคริสต์ คือวันที่พระเยซูคริสต์กลับมาใหม่นั่นเอง”

มั่นใจเลย พระเจ้าเริ่มต้นการงานดีเมื่อไร? เมื่อท่านรับเชื่อในพระเจ้า เชื่อในสิ่งที่พระเยซูคริสต์เท่านั้นเอง พระเจ้าเริ่มต้นการงานดี คือเมื่อพระเจ้าเข้ามาสถิตอยู่ในร่างกายท่าน นั่นแหละเริ่มต้นแล้ว  เดี๋ยวพระองค์จัดการเอง ท่านไม่ต้องยุ่งอะไรเลย ท่านสบายๆ แล้ว พระเยซูจึงบอกว่า …

“ใครที่แบกภาระหนักและเหน็ดเหนื่อย จงมาหาเรา เราจะให้ท่านหายเหนื่อยและเป็นสุข”

นี่คือประโยคที่ 2 ที่พระเยซูพูด หลังจากนั้นแล้ว มีประโยคอะไรอีก ที่พระเยซูพูดบนไม้กางเขน ต่อจากนั้นมา ก็ใกล้จะถึงบ่าย 3 โมง พระเยซูก็ได้พูดประโยคหนึ่ง ซึ่งสำคัญมากเช่นเดียวกัน คือได้บอกว่า …

“เทสเทเรสไตน์” เป็นภาษากรีกแปลว่า “ฟินิช” แปลว่า “สำเร็จแล้ว”

ก่อนจะถึงบ่าย 3 โมง สิ้นพระชนม์ พระเยซูได้บอกว่า …

“สำเร็จแล้ว”

อะไรสำเร็จ? แผนการของพระเจ้าที่วางไว้ตั้งแต่มนุษย์คู่แรก บรรพบุรุษของเรา คืออาดัมและเอวาได้ทำบาป แล้วนำเอามวลมนุษยชาติทั้งหมด ครอบครัวของเขา ตกลงไปในคำสาปแช่ง ในความบาปนั้น ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา พระเจ้าเตรียมแผนการที่จะช่วยเหลือมนุษย์ โดยการส่งพระบุตร คือพระเยซูคริสต์มาไถ่บาป มาช่วยเหลือมนุษย์ให้หลุดพ้นออกจากการเป็นทาสบาป ด้วยวิธีอย่างนี้ แล้วก็บอกมาตลอด เป็นระยะเวลา หลายพันปี  แผนการของพระองค์มาสำเร็จวันนี้แหละ เมื่อ 2,000 ปี ในอดีตที่ผ่านมา ตอนบ่าย 3 โมง พระเยซูตะโกนว่า …

“สำเร็จแล้ว”

สำเร็จ คืออะไร? คือปลดปล่อยมนุษย์ให้เป็นอิสรภาพจากบาปเวรกรรมต่างๆ แล้ว จากหนี้เวร หนี้กรรม ไม่ต้องชดใช้หนี้เวร หนี้กรรมอีกต่อไป ไม่ต้องกลัวเจ้ากรรมนายเวรอีกต่อไป ไม่มีใครมาทวงหนี้เราอีกต่อไปแล้ว พระเยซูไถ่บาปให้กับมวลมนุษยชาติแล้ว เพราะฉะนั้น มนุษย์ทุกคน จงมารับเอาอิสรภาพนี้ไปเถิด ในพระเยซูคริสต์ พระเยซูประกาศเป็นผู้แรก บนไม้กางเขนว่าสำเร็จแล้ว การไถ่บาป สำเร็จแล้ว  มนุษย์เป็นอิสระแล้ว เหมือนประกาศกฤษฎีกาการอภัยโทษให้กับมนุษยชาติทั้งหมดในวันนั้น ว่ามนุษย์ได้รับการอภัยเรียบร้อยแล้ว ถูกอภัยจากความบาปผิดทั้งสิ้นแล้ว พระองค์ตรัสว่าสำเร็จแล้ว

พอพูดว่า “สำเร็จ” แล้วพูดอะไรอีก? ก่อนที่จะสิ้นพระชนม์  พระเยซูไม่ได้ถูกฆ่าตาย พระเยซูยอมตาย  ไม่มีใครมาฆ่าพระเจ้าได้  ไม่มีใครมาทำลายพระเจ้าได้  พระองค์ยกเลิกวิญญาณ  ก็คือการสิ้นพระชนม์ของพระองค์ ก่อนการยกเลิกวิญญาณ พระองค์ทรงพูดคำๆ หนึ่ง ซึ่งมีความหมายเหมือนกัน   …

“เอลี เอลี ลามาสะบักธานี”

แปลเป็นภาษาไทยว่า …  “พระบิดาเจ้าข้า พระบิดาเจ้าข้า ไฉนจึงทอดทิ้งลูกเสีย”

สมมติว่าเมื่อสักครู่นี้ ตอนบ่าย 3 โมง พระเยซูอยู่บนไม้กางเขน บอกว่าสำเร็จแล้ว แล้วก็บอกว่าพระบิดาเจ้าข้า พระบิดาเจ้าข้า ไฉนจึงทอดทิ้งลูกเสีย ไปไหนแล้วล่ะ ทุกทีเคยอยู่ด้วยกันมาตลอดเลย  เป็นหนึ่งเดียวกันมาตลอด ไปไหนไปด้วยกัน  ได้ยินเสียงพระองค์ตลอดเลย  แล้วตอนนี้พระองค์ไปไหนแล้ว พระเจ้าพระบิดาละพระบุตร ละพระเยซูไปแล้ว ถามว่าทำไมไม่สามารถสถิตอยู่กับพระเยซูได้แล้ว ก็เพราะว่าขณะนี้ วิญญาณและร่างกายของพระเยซูนั้น รับเอาความบาปทั้งหลายของมวลมนุษยชาติ ตั้งแต่เริ่มต้นจนกระทั่งถึงสุดท้าย ตั้งแต่สมัยอาดัมจน กระทั่งถึงอนาคตนิรันดร์  บาปของมนุษย์ทั้งหมด ที่ได้กระทำไป ที่มีโทษต่างๆ นั้น พระเยซูคริสต์ พระบุตรของพระเจ้าได้แบกรับบาปเหล่านั้นไว้ที่ตัวของพระองค์เองบนไม้กางเขน นั่นแหละ การรับโทษบาปนั้น การรับแบกบาปนั้นไว้ ทำให้พระองค์ผู้ไม่มีบาป กลายเป็นบาป พระเยซูผู้บริสุทธิ์ เป็นพระบุตรของพระเจ้าผู้บริสุทธิ์ แต่ยอมรับเอาความบาปของมวลมนุษย์เข้ามาสู่ตัวเอง  ทำให้ตัวเองเป็นบาป กลับกัน เพื่อว่าคนบาปทั้งหมดบนโลกใบนี้ มนุษยชาติทั้งหลาย เป็นคนบาป จะได้สามารถ กลับกลายเป็นผู้ชอบธรรม ผู้บริสุทธิ์ได้ กลับที่กัน พอเข้าใจใช่ไหม? พระคัมภีร์เขียนไว้อย่างนี้จริงๆ พระเยซูผู้ไม่ได้เป็นบาป  แต่พระเจ้าทำให้พระเยซูเป็นบาปซะ เป็นคนบาป เป็นวิญญาณบาปซะ เพื่อว่ามนุษย์ทั้งหลายจะได้เป็นผู้ชอบธรรม ผ่านทางพระเยซูคริสต์

พออยู่บนไม้กางเขน  ในวินาทีที่จะสิ้นพระชนม์  สำเร็จแล้ว ก็คือมาเพื่อแบกบาปของมนุษยชาติ ตั้งแต่เมื่อคืนวันพฤหัสแล้ว จนกระทั่งถึงเช้าวันศุกร์ ถูกตรึงที่ไม้กางเขน  แบกรับมากขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งบาปสุดท้ายของมนุษย์ เป็นบาปอะไรก็ไม่รู้ เข้ามาที่ตัวของพระองค์ จบแล้ว พระองค์บอกนี่แหละคือทั้งหมดที่หนักอึ้งของมวลมนุษยชาติ พระองค์ผู้เป็นพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์ สามารถแบกบาปเหล่านี้ไว้ที่ตัวพระองค์ได้ นี่คือความหนักอึ้งที่พระองค์กลัวมาตลอด ที่สวนเกทเสมเน ที่เมื่อคืนอธิษฐานกับพระเจ้าถึง 3 ครั้ง เป็นไปได้ไหมที่ไม่เข้ามาในภารกิจนี้ ไม่ทำได้ไหม?  เปลี่ยนเป็นอย่างอื่นได้ไหม?  เปลี่ยนเป็นไม่ต้องรับแบกบาปทั้งหมดของมวลมนุษย์ได้ไหม? รับแค่ไม่กี่คนพอได้ไหม?  รับแต่เฉพาะบาปของคนดีที่เขาเผอิญไปทำชั่วนิดหน่อยได้ไหม? ไม่เอาบาปของทุกคนบนโลกใบนี้ มาไว้ที่ตัวของพระองค์ได้ไหม?  ซึ่งพระเจ้าบอกไม่ได้ ต้องเป็นไปตามแผนการนี้  คือพระองค์มาเพื่อแบกรับเอาบาปทั้งหมดของมนุษยชาติไว้ที่ตัวพระองค์ มันหนักอึ้งขนาดไหน?

นี่แหละเผยให้ท่านได้รู้แล้วว่าทำไมพระเยซูต้องกลัวจนกระทั่งเหงื่อเป็นเลือด กลัวจนต้องปฏิเสธถึง 3 ครั้ง ว่าจะไม่เข้าไปในงานรับใช้พระเจ้าอย่างนี้ได้ไหม?  ทำอย่างอื่นได้หรือเปล่า หวาดหวั่นมาก แต่ในที่สุด พระองค์ก็ทรงเสียสละ และทำสำเร็จแล้วที่ไม้กางเขน เมื่อพระองค์เป็นบาปแล้ว พระเจ้าก็ไม่สามารถอยู่กับมนุษย์ที่เป็นบาปได้  เหมือนกับก่อนที่พระเยซูคริสต์จะมาประสูติ พระเจ้าไม่สามารถติดต่อกับมนุษย์ได้เลย เพราะมนุษย์เป็นบาปอยู่

บาปคืออะไร? บาป คือตรงกันข้ามกับความบริสุทธิ์ บาปคือศัตรูกับพระเจ้า  บาปคืออยู่ตรงข้ามกับพระเจ้า บาปคือดำ พระเจ้าคือขาว  มันเข้ากันไม่ได้

เพราะฉะนั้น เมื่อพระเยซูแบกรับบาป  จากผู้ชอบธรรมบริสุทธิ์ กลายเป็นบาปแล้ว  พระเจ้าจึงจำเป็นต้องละพระเยซู ออกจากพระเยซู ติดต่อกับพระเจ้าไม่ได้อีกต่อไป  พระเยซูจึงร้องออกมาว่า …

“พระบิดาเจ้าข้า พระบิดาเจ้าข้า ไฉนจึงทอดทิ้งลูกเสีย”

ไม่เคยทอดทิ้งเลย ไม่เคยจากกันเลย  แต่ขณะนี้ พระองค์อยู่โดดเดี่ยว เดียวดาย พระเจ้าได้ไปเสียแล้ว นี่คือประโยคที่น่าประทับใจมาก

และนั่นคือประโยคสุดท้ายของพระเยซูบนไม้กางเขน ที่ตรัสใน 6 ชั่วโมงบนไม้กางเขนนั้น  พอหลังจากที่ตรัสว่า …

“ไฉนจึงทอดทิ้งลูกเสีย”

ในพระคัมภีร์ได้บันทึกไว้ว่าแล้วพระองค์ก็ทรงยกเลิกวิญญาณ คือถวายทุกสิ่งทุกอย่างให้พระเจ้า ทำไมไม่ใช้คำว่า “สิ้นพระชนม์” “ตาย” เพราะไม่มีใครฆ่าพระองค์ได้  แต่พระองค์ยอมตายเอง พูดง่ายๆ คือถึงเวลา ยอมตาย ลงไปอยู่ในอุโมงค์ฝังศพ  ตอนนี้พระองค์ก็สิ้นพระชนม์เรียบร้อยแล้ว ร่างบนไม้กางเขน ก็เป็นร่างไร้วิญญาณ  ไร้ชีวิต ทหารตรวจดูเอาหอกแทง

ปกติทหารเขาจะจัดการกับนักโทษที่ไม้กางเขน โดยการเอาไม้ เอาค้อน ไปทุบหัวเข่า เพื่อให้น้ำหนักถ่วงลงมา รีบเร่งให้หายใจไม่ออก แล้วเสียชีวิตเร็วขึ้น  แต่พอถึงพระเยซูปุ๊บ เห็นว่าพระองค์ทรงสิ้นพระชนม์แล้ว ก็เลยไม่ทุบที่หัวเข่า แต่เช็คให้แน่ๆ อีกที ก็เอาหอกแทงไปที่ตรงซี่โครง ก็มีเลือดกับน้ำไหลออกมา เป็นการยืนยันว่าพระองค์ทรงสิ้นพระชนม์จริงๆ

เราจะระลึกถึงการสิ้นพระชนม์ของพระเยซูคริสต์ พระบุตรของพระเจ้า เพื่อเราทั้งหลายบนไม้กางเขนในวันนี้ เอาเพียงเท่านี้  เดี๋ยวเย็นนี้เราต้องระลึกถึงการไถ่บาป เรียกว่าการนมัสการ-บรรยายในวันศุกร์ประเสริฐ ศุกร์ดีๆ ศุกร์ที่ดีที่สุดของมนุษยชาติทั้งปวง ความรักของพระเจ้าได้ปรากฏแล้ว  ได้สำแดงแล้ว ที่พระเยซูคริสต์ บนไม้กางเขนนั้น เป็นของขวัญ เป็นรางวัลอันยิ่งใหญ่ เป็นความรักอันยิ่งใหญ่ที่พระเจ้ามอบให้กับมนุษยชาติ มนุษย์ทุกคน แค่เข้ามารับสิทธิของท่านเท่านั้น ท่านก็จะได้สิทธิ์นี้ไปทันทีเลย ก็คือสามารถมาใช้สิทธิ์ว่า …

“ฉันก็เป็นคนๆ หนึ่งที่พระเยซูได้ไถ่บาปฉัน ฉันไม่ต้องพึ่งตัวเองในการไถ่บาปตัวเองอีกต่อไป  ไม่ต้องชดใช้หนี้สินบาปเวรกรรมอะไรต่างๆ  หนี้สินนี้ หมายถึงหนี้สินบาปเวรกรรมทางวิญญาณนะ ไม่ใช่หนี้สินที่เราไปยืมเงินเขา อันนี้คนละเรื่องกัน คนละกฎ นี่กฎหมายบ้านเมือง แต่หนี้ที่ผมพูดมาทั้งหมด เป็นกฎทางวิญญาณ อย่าลืมนะครับว่าพระคัมภีร์บันทึกไว้ว่ามนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่เป็นวิญญาณ ไม่ใช่มีวิญญาณ มนุษย์เป็นวิญญาณที่มีความคิดจิตใจ  และอาศัยในร่างกายนี้  นี่คือส่วนประกอบของมนุษย์

เพราะฉะนั้น มนุษย์จริงๆ เป็นวิญญาณ  มีความคิดจิตใจ และอาศัยในร่างกายนี้ ร่างกายเราเหมือนเสื้อผ้า ชั่วคราวเท่านั้น  เพราะฉะนั้น มนุษย์จึงเป็นวิญญาณ  ตัวจริงๆ ของเราเป็นวิญญาณ  แม้จะมองไม่เห็น แต่สำคัญ และมีนัยยะที่สำคัญกว่ามากนัก กว่าร่างกายที่เรามองเห็นอยู่ ดังนั้น เราต้องศึกษาเรื่อง โลกวิญญาณมากกว่า แล้วโลกวิญญาณเราจะศึกษาที่ไหน? ในพระคัมภีร์ไบเบิ้ล ได้เขียนเยอะแยะเกี่ยวกับเรื่องโลกวิญญาณว่าเราเป็นใคร?

ถามว่าทำไมในพระคัมภีร์ไบเบิ้ลจึงเขียนไว้เยอะขนาดนั้น เพราะผู้เขียน ผู้บอก ผู้แสดงให้เห็น ถึงความจริงเหล่านี้ ก็คือผู้สร้างเรานั่นเอง ผู้สร้างมนุษย์ทั้งหลาย  ผู้ให้กำเนิดมนุษย์ทั้งหลาย ก็คือพระเจ้าเป็นผู้เขียน จะไม่ละเอียดได้อย่างไร? จะไม่ลึกซึ้งได้อย่างไร?  มนุษย์ไม่สามารถใช้ความคิด ปัญญาของเราเอง  พยายามวิเคราะห์เรื่องนี้ ด้วยสติปัญญาของมนุษย์ เป็นไปไม่ได้เลย  มันเกินกว่าความคิดของมนุษย์ที่จะเข้าใจ  ต้องให้พระเจ้าบอกเราว่าในโลกวิญญาณ มันเป็นอย่างไร?  เป็นเช่นไร? เราเป็นใคร? เรามีส่วนประกอบอย่างไร? เราควรจะทำตัวอย่างไร?  วิญญาณเราไปถึงไหน?  ซึ่งต้องใช้ความเชื่อว่ามันเป็นเช่นนั้นจริงๆ

แล้วเมื่อเริ่มต้นเชื่อแล้ว ท่านก็จะเริ่มต้นสัมผัสได้ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย แต่เป็นตา หู จมูก ลิ้น กายที่เป็นทางวิญญาณ  ทางวิญญาณก็มีตา หู จมูก ลิ้น กายนะ ไม่ใช่ตา หู จมูก ลิ้น กายมีทางเนื้อหนังร่างกายอย่างเดียว  ในทางวิญญาณของเราที่เป็นตัวตนจริงๆ ของเรา พระคัมภีร์ก็บันทึกเอาไว้ว่ามีสัมผัสทางวิญญาณของเราเป็นตาฝ่ายวิญญาณ หูฝ่ายวิญญาณ จมูกฝ่ายวิญญาณ ลิ้นฝ่ายวิญญาณ และกายฝ่ายวิญญาณ  สัมผัสได้ทางวิญญาณเหมือนกับเราสัมผัสทางด้านวัตถุสิ่งของบนโลกใบนี้  ด้วยตา หู จมูก ลิ้น กาย เหมือนกัน แต่เป็นคนละอาณาจักร คนละมิติ ขอพระเจ้าอวยพรครับ

 

************************

 

 

คำบรรยายพิเศษเช้าวันศุกร์ เวลา 12.00 น. วันศุกร์ที่ 10 เมษายน 2020 เรื่อง “การระลึกถึงพระเยซูคริสต์” โดย นคร เวชสุภาพร

คำบรรยายพิเศษเช้าวันศุกร์  เวลา 12.00 น.

วันศุกร์ที่  10  เมษายน  2020

 เรื่อง “การระลึกถึงพระเยซูคริสต์”

โดย นคร  เวชสุภาพร

            สวัสดีครับมาตามนัด ตอนนี้อีกประมาณ 4-5 นาทีจะถึงเที่ยง ตอนเที่ยงมีปรากฏการณ์ ซึ่งสำคัญมากที่ผมไลฟ์ เพื่อให้ท่านรู้ว่าเมื่อตอนเที่ยง เกิดอะไรขึ้น  ตอนที่พระเยซูอยู่บนไม้กางเขนแล้ว เมื่อเช้าได้ร่วมกันย้อนประวัติศาสตร์ไป  จำได้ใช่ไหมครับ 9 โมงเช้า พระเยซูได้ถูกตรึงที่ไม้กางเขน ไม้กางเขนได้เริ่มถูกยกขึ้นมาปักอยู่ที่พื้นดิน ที่เป็นก้อนหิน ที่เนินโกละโกธา เพื่อสิ้นพระชนม์ หลั่งพระโลหิต เพื่อไถ่บาปให้กับมนุษยชาติทั้งปวง  เพื่อมนุษย์จะได้เป็นอิสระจากความบาป เราได้ติดตามแล้ว ตอนนี้ ถูกตรึงอยู่ที่นั่น 3 ชั่วโมงแล้วนะ คงร้อนมาก 3 ชั่วโมง  เจ็บปวด ทรมาน  พอเดี๋ยวตอนเที่ยง ในพระคัมภีร์ได้บันทึกว่าเกิดปรากฏการณ์อันสำคัญมาก  ซึ่งผมจะมาเล่าสู่กันฟัง ถึงปรากฏการณ์ที่สำคัญที่สุด อันเดียวก่อน

ในพระคัมภีร์เขียนบอกว่าพอถึงตอนเที่ยง เกิดมืดฟ้ามัวดินทั่วไปหมดเลย  ในแถบนั้น ในกรุงเยรูซาเล็มมืด ไม่ใช่สุริยุปราคา แต่มืด เป็นปรากฏการณ์พิเศษ  แล้วก็มีแผ่นดินไหว สิ่งสำคัญกว่านั้น ก็คือพวกทหารโรมันที่เฝ้าอยู่ ตกใจกลัวว่าเกิดอะไรขึ้น ไม่เคยเห็นอย่างนี้มาก่อน เผื่อเราเล่าให้ลูกหลานเราฟัง วันนี้วันศุกร์ประเสริฐ วันศุกร์ที่ดีเลิศ ลูกหลานก็จะถามว่า วันศุกร์ประเสริฐ ดีเลิศสำหรับใครล่ะพ่อ แม่? สำหรับคนที่เป็นคริสเตียนเท่านั้นเหรอ เราจะได้ตอบเขาได้ถูกว่า สำหรับมนุษยชาติทั้งปวง ทุกคนเลย  มีสิทธิ์ได้ของดีๆ  ที่เกิดขึ้น ณ วันนั้น  ซึ่งเรากำลังระลึกถึงวันนั้นด้วยกัน ณ วันนี้ วันเดียวกัน วันศุกร์ ครบรอบ 2,000 กว่าปี

เพราะฉะนั้น ก็อย่างที่บอกว่าปรากฏการณ์อันหนึ่งที่สำคัญมาก ที่เกี่ยวข้องกันกับมนุษย์ ทุกคนบนโลกใบนี้  ซึ่งไม่พูดไม่ได้เลย  นั่นก็คือขณะที่มืดฟ้ามัวดิน  ไปทั่วทุกแห่ง เหมือนเกิดอะไรขึ้นบางอย่าง เหมือนเกิดอาเพศ โลกจะยุติลง เสร็จแล้วแผ่นดินไหว หลุมฝังศพแตกออก แยกออก สมัยก่อนเขาใช้หลุมฝังศพ แล้วใช้ก้อนหินปิด เปิดออกเอง  แล้วคนที่เป็นศพ ตายนานแล้วเดินออกมา ได้มีบันทึกอย่างนั้น

ในพระคัมภีร์ไบเบิ้ลได้บันทึกไว้ว่าม่านในวิหารขาดออก 2 ท่อน แล้วมันสำคัญอย่างไร?  เราลองคิดดู อาจจะเป็นประโยคสั้นๆ เท่านั้นเอง เหตุการณ์สั้นๆ  แผ่นดินไหว  คนตายในหลุมฝังศพเดินออกมา อันนั้นน่าจะมาเล่ามากกว่า อันนี้สำคัญกว่า  แต่ทำไมมาบอกว่าม่านในวิหารได้ขาดเป็น 2 ท่อน โดยขาดจากข้างบนลงมาข้างล่าง

คำว่า “วิหาร” ก็คือที่พระเจ้าได้สั่งโมเสสให้ทำวิหารจำลองจากสวรรค์ ซึ่งสมัยตอนโมเสสทำ เป็นเต็นท์ เรียกว่าเต็นท์นัดพบ เป็นเต็นท์ผ้า แต่รูปแบบสัดส่วนภายใน เป็นตามที่พระเจ้าบอก แล้วคงรักษาอย่างนั้น มาจนกระทั่งถึง  4 – 5 พันปีจนกระทั่งถึงยุคของพระเยซู ซึ่งวิหารก็ได้เปลี่ยนแปลงจากสร้างด้วยมือ มาเป็นวัตถุต่างๆ  เขาเรียกว่าเป็นอาคาร ตั้งแต่สมัยกษัตริย์ดาวิด กำลังจะเริ่มสร้าง และให้ลูกชายเป็นคนรับมรดกสร้างต่อ ก็คือซาโลมอน ในวิหาร พระเจ้าบอกว่าให้ทำอย่างนี้ จำลองแบบในสวรรค์ คือวิหารนี้มี 3 ส่วน  คือ …

ชั้นที่ 1 ข้างนอกเลย เรียกว่าลานพระวิหาร เป็นที่ศักดิ์สิทธิ์ธรรมดา เตรียมตัว จะไปฆ่าแพะ ฆ่าแกะ แล้วเอาเลือดไปไถ่บาปให้กับตัวเองข้างใน  ก็ฆ่าตรงข้างนอกนี้  แล้วให้ปุโรหิตเอาเลือดเข้าไปข้างใน

ชั้นที่ 2 เขาเรียกกันว่าสถานที่บริสุทธิ์ อันแรกกึ่งๆ ไม่ค่อยบริสุทธิ์เท่าไร?  ข้างนอก ลานวิหาร  ชั้นนี้เขาเรียกว่า Holy place สถานที่บริสุทธิ์ ซึ่งเป็นที่ที่คณะปุโรหิต คือคณะที่ทำงานเกี่ยวกับเรื่องวิญญาณ ทำพิธีอะไรต่างๆ เกี่ยวกับพระเจ้า เกี่ยวกับวิญญาณทำงานอยู่ในนั้น

ชั้นที่ 3 เสร็จแล้วหลังจาก หรือต่อจากHHHdd

ชั้นที่ 2 นี้ มีชั้นที่ 3 อยู่ข้างใน เรียกว่า The most Holy place หรือเรียกว่าอภิสุทธิสถาน แปลว่าสถานที่บริสุทธิ์ที่สุด ซึ่งมีหีบพันธสัญญาเล็งถึงการทรงสถิตของพระเจ้า  พระเจ้าอยู่ที่นี่

แล้วสถานที่บริสุทธิ์ที่สุด กับสถานที่บริสุทธิ์เฉยๆ  ชั้นที่ 2 กับชั้นที่ 3 กั้นกันไว้ด้วยม่านอันนี้แหละ ที่กำลังจะกล่าวถึงในเหตุการณ์เมื่อตะกี้นี้  ที่เกิดขึ้น เมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว  ที่ในวิหาร เมื่อพระเยซูถูกตรึงที่ไม้กางเขน จนถึงเที่ยงวัน  เกี่ยวข้องอย่างไร?

ม่านตัวนี้ เป็นตัวกั้น ระหว่างความบริสุทธิ์ธรรมดาเฉยๆ ชั้นที่ 2 กับความบริสุทธิ์ที่สุด  สะอาดที่สุด  สถานที่อยู่ของพระเจ้า  ในม่านกั้น ชั้นที่ 2 บรรดาเหล่าปุโรหิต เข้าไปปฏิบัติภารกิจได้ทุกวัน  ไปจุดตะเกียงบ้าง ไปเผาเครื่องบูชาบ้าง  แต่ชั้นในสุด  “อภิสุทธิสถาน”  ที่บริสุทธิ์ที่สุด ที่เป็นที่สถิตของพระเจ้า  ไม่มีใครสามารถเข้าไปได้  ยกเว้นมหาปุโรหิต ก็คือปุโรหิตหัวหน้าใหญ่ที่สุด เข้าไปได้ปีละหนึ่งครั้งเท่านั้น แล้วเข้าไปต้องระวังมาก ต้องทำตามกฎระเบียบอะไรต่างๆ  ที่พระเจ้าวางไว้เยอะแยะมากมาย  และเข้าไป นำเอาเลือดของสัตว์ เพื่อไปทำการไถ่บาป  เพื่อเป็นการขออภัยบาป  ปีต่อปี อะไรประมาณนั้น

กลับมาที่วิหาร วิหารเป็นอย่างนี้ เราเห็นภาพ ชั้น 2 ชั้น  3 กั้นไว้ด้วยม่าน  ม่านนี้ทำด้วยผ้า  ในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ที่กรุงเยรูซาเล็ม เมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว เมื่อตอนที่พระเยซูอยู่ที่ไม้กางเขน ตอนเที่ยง  เกิดมืดครึ้มไปทั้งแถบ แถบนั้น  เกิดแผ่นดินไหว ม่านในวิหารขาดออก 2 ท่อน ตั้งแต่บนจรดล่าง

ท่านรู้ไหมม่านในวิหาร ประวัติศาสตร์บันทึกไว้ และเป็นเรื่องจริงๆ เป็นผ้าหนา 2 นิ้วครึ่ง น่าจะเป็นพรมมากกว่านะ  สูงประมาณ 28 เมตร ใครที่เคยไปโรงแรมที่มีห้องโถง ล็อบบี้ สูงๆ มองไป แบบเพดานสูง  อย่างบ้านเราทั่วไป ก็ประมาณ 4, 5, 6, 7, 8, 9 เมตร  อันนี้ 28 เมตร  คือประมาณ 90 ฟุต กว้าง 30 ฟุต ประมาณ 10 เมตรได้  ท่านนึกภาพออกใช่ไหม?  ม่านใหญ่มากเลย  แผ่นดินไหวขนาดนั้นเหรอ ถึงทำให้ม่านตรงนี้ขาดได้  และข้อสำคัญ  หมายสำคัญ  ที่ต้องเล่ากันวันนี้  ก็คือขาดจากบนมาล่าง ไม่ใช่จากล่างไปบน มีคนมาตัดอะไรแบบนี้ จากบนมาล่าง นั่นเล็งให้เห็นว่าพระเจ้าเป็นผู้ฉีกม่านนี้เอง นึกภาพตามไปด้วย พระเจ้าฉีกม่าน

ถามว่าฉีกม่าน เพื่ออะไร? หลังม่าน คือการทรงสถิตของพระเจ้า  มนุษย์เข้าไปไม่ได้ มนุษย์สกปรก มีแต่บาป นอกจากมหาปุโรหิต เพียงผู้เดียวที่สามารถเข้าไปได้ ปีละ 1 ครั้ง แล้วเข้าไป แป๊บเดียว ระวังมาก  เพื่อเอาเลือดสัตว์เข้าไป  เพื่อขออภัยบาป ปีต่อปี ทำมันทุกปี ไม่มีวันจบ เหมือนผ่อนส่ง  แต่ตอนนี้ พระคัมภีร์บอกว่าพระเยซู เป็นแกะปัสกา ก็คือเป็นแพะรับบาปไง  นึกภาพนะ เมื่อแพะรับบาปตาย โลหิตของพระองค์ก็สามารถชำระบาปทั้งหมดทั้งปวงเลย  ชำระนะ ไม่ใช่ไปขอผ่อนส่งปีต่อปี แต่พระโลหิตพระเยซูไปลบบาปของมวลมนุษย์ให้หมดไปเลย พระเจ้าจึงให้ม่านนี้ฉีก ไม่ต้องใช้ม่านอีกต่อไปแล้ว เพราะว่าบัดนี้ โดยการสิ้นพระชนม์ของพระเยซูคริสต์บนไม้กางเขน ได้ชำระล้างมนุษย์ ให้สะอาดหมดจด  สามารถเข้าไปหาพระเจ้า โดยผ่านทางพระเยซูคริสต์ได้แล้ว ไม่ต้องมีม่านกั้นแล้ว พูดง่ายๆ ว่าพระเจ้าฉีกม่าน แล้วเสด็จออกมาจากหลังม่านนั้น อึดอัดมานานแล้ว  อยากจะอยู่กับลูก พระเจ้าเก็บข้าวของ แล้วก็เสด็จออกจากวิหารที่ทำด้วยมือมนุษย์ ก็คือวิหารของเฮโรดในสมัยนั้น  วิหารที่พัฒนามาตั้งแต่สมัยโมเสส  พระเจ้าเก็บข้าวของออกมา เตรียมตัวมาอยู่ในวิหารใหม่  ไม่อยู่ในวิหารที่ทำด้วยมือมนุษย์  สร้างด้วยมือมนุษย์ ซึ่งเป็นอาคารอย่างนี้อีกแล้ว พอกันสักที แต่พระองค์เตรียมตัว เพื่อจะมาอยู่กับลูกของพระองค์  คือในร่างกายของมนุษย์ทุกๆ คน ซึ่งเป็นฝีพระหัตถ์ของพระองค์ พระองค์จะเข้ามาสถิตอยู่ก็ได้  มาอยู่ด้วยก็ได้  ในร่างกายของมนุษย์ทุกคน ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา ร่างกายของมนุษย์จะสามารถเป็นวิหารของพระเจ้าได้ ตั้งแต่ปรากฎการณ์นั้นเป็นต้นมา  พระเจ้าไปเตรียมตัวเลย เดี๋ยวอีกไม่กี่วัน เราจะไปอยู่กับลูกของเรา ไปดูแลเขา ไปปกป้องเขา  จะเดินกับเขา จูงมือเขาเดิน  ในยามมีโควิด-19 เราจะอยู่กับเขา

พี่น้องลองคิดตาม มันเป็นโอกาสดีที่เราได้คิด ได้คุยกันถึงเรื่องราวเหล่านี้ ในวันที่ตรงกับวันระลึกถึงสิ่งที่เกิดขึ้น  2,000 กว่าปีแล้ว  ถ้าไม่มีการระลึกถึง ถ้าไม่มีพระเจ้าจริงๆ เหตุการณ์นี้ไม่ใช่ เป็นเรื่องเล่า นิทาน มันมาไม่ถึง 2,000 ปีนี้หรอกครับ มันเป็นไปไม่ได้ ยิ่งนับวัน ยิ่งมีคนรู้จักเรื่องนี้มากขึ้น พระเจ้านับวันก็ไปสถิตอยู่ ไปอาศัยอยู่ในร่างกายของมนุษย์มากขึ้นทุกวันๆ แล้วจะเข้าไปอยู่ได้อย่างไร? ถ้าเขาไม่ยอม พระเจ้าไม่ได้เป็นแบบมารซาตานที่บังคับมนุษย์ พระเจ้าให้อิสระมนุษย์ด้วยความรัก  ดูแลมนุษย์ด้วยความรัก เหมือนเรามีลูก เราดูแลลูกเราด้วยความรัก ไม่ใช่เป็นนักโทษ ต้องบังคับ

“ถ้าแกไม่รักฉัน  ฉันจะจับแกไปติดคุก”

อะไรแบบนี้เหรอ ไม่ใช่ ไม่ใช่พ่อเรา ไม่ใช่แม่เรา

“ถ้าแกดื้อมาก  ฉันจะเอาโรคภัยไข้เจ็บใส่มาให้แกเลย อย่างนี้เหรอ”

ไม่ใช่พ่อแล้วอย่างนี้ เราเอง เราเป็นมนุษย์ธรรมดา เรายังคิดออกว่าเป็นอย่างไร?  พระเจ้าเป็นมากกว่านั้นอีก  เพราะพระองค์ทรงเป็นความรัก  เป็นพ่อที่ยอมเราทุกอย่าง  รักเรามาก  ถามว่ารักมากเท่าไร?  เขาบอกพระเยซูรักเรามากทุกคน  มนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้ พระเยซูรักมาก จึงยอมทำสิ่งนี้  มีบางคนถาม พระเยซูรักมนุษย์มากเท่าไร? บางคนบอกพระองค์กางแขน ถูกตรึงที่กางเขนเท่านี้  แต่อยากรู้ไหมว่าพระองค์รักเรามากเท่าไร? นี่เป็นคำพูดของพระองค์เอง  คือรักมนุษย์ทุกคนมาก  ไม่ว่าท่านจะเชื่อเรื่องนี้ หรือไม่เชื่อ  ตราบใดที่ท่านเป็นมนุษย์ทุกคน พระเจ้ารักท่านมาก ถึงขนาดถ้าเผื่อโลกใบนี้ทั้งใบ มีเพียงท่านคนเดียว ที่กำลังตกทุกข์ได้ยาก เนื่องจากความบาปเวรกรรมที่ต้องชดใช้กันไม่หมด  ไม่รู้กี่ชาติๆ ถ้ามีเพียงคนเดียว  ที่ตกลงไปในความบาปอย่างนี้  พระองค์ก็ยังยินยอม  ที่จะมาทนทุกข์ทรมานหนักขนาดนี้  ตั้งแต่เมื่อคืนนี้ จนกระทั่งวันนี้ อย่างแสนสาหัส  และยอมสิ้นพระชนม์ที่ไม้กางเขน ด้วยความทุกข์ทรมาน  เพื่อช่วยท่านให้หลุดออกมา  เพียงคนเดียว ก็โอเค ท่านพอเข้าใจใช่ไหมครับ?

ในหนังสือลูกา บทที่ 15  ได้บันทึกอย่างนี้ พระเยซูยกตัวอย่างความห่วงใยของพระเจ้าว่ารักเราขนาดไหน?  มีแกะอยู่ร้อยตัว เก้าสิบเก้าตัวอยู่ในคอกหมดแล้ว  มีตัวหนึ่งหายไป หลงไป  อาจจะถูกหมาป่าทำร้ายไปแล้ว  หมีเอาไปกินแล้วมั้ง  ความรู้สึกของพระเจ้าเป็นห่วงขนาดไหน? เอาเก้าสิบเก้าตัว เก็บไว้ในคอกอย่างดีเลย  แล้วก็ทิ้งไว้ตรงนั้นก่อน แล้วตัวเองก็ออกไปเที่ยวตระเวณหา  เพื่อจะช่วยแกะตัวนั้น ตัวเดียว  ที่มันหลงหายไป มันน่าสงสาร มันจะตายหรือยังไม่รู้ มันเป็นอยู่หรือเปล่าไม่รู้ มันถูกรังแกหรือเปล่าไม่รู้ มันถูกกินไปหรือยังไม่รู้ นี่คือความรู้สึกของพระเจ้า ที่มีต่อท่าน และต่อทุกคนบนโลกใบนี้

พูดตรงนี้แล้วมันซีเรียลนะ ว่ากันตามจริงๆ ตั้งใจจะเล่าสู่กันฟังธรรมดา มาฉลอง ระลึกถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นว่ามันมีผลมาถึงพวกเรามนุษย์ทุกคนอย่างไรบ้าง?  เพื่อเราจะได้ใช้สิทธิให้เป็นประโยชน์ อย่างที่บอก มันเป็นของเราทุกคนอยู่แล้ว พระเยซูตายที่ไม้กางเขน  และเตรียมเรามนุษย์ทั้งหลายทุกคน ให้เป็นวิหารของพระเจ้า  ที่พระเจ้าจะมาสถิตอยู่ได้ เพราะฉะนั้น มันเป็นสิทธิของมนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้เลย  ที่จะใช้สิทธิของเขา  ในการที่จะมาเป็นลูกของพระเจ้า  ให้พระเจ้าเข้ามาสถิตอยู่ในร่างกายเขา  เพื่อจะจูงมือเขา ไปไหน ไปด้วยกันเลยครับ โควิดมา ไปด้วยกัน โควิดมาเราสู้เขาไม่ได้หรอก แต่โควิดมา  พระเจ้าที่อยู่ในเราสู้ได้  พระเจ้าจะพาเราเดินผ่านไปเลย จะผ่านแบบโควิดสยบไป หรือจะผ่านแบบโควิดยังอยู่ แต่เราเดินผ่านไป ก็ได้  ทำได้ทุกอย่าง  เพราะพระเจ้าบอกไว้แล้วว่าพระองค์สามารถทำทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นกับเรา ทุกสถานการณ์ที่เกิดขึ้นกับเรา  ให้มันเป็นผลดี สำหรับเราเสมอ ที่วางใจในพระองค์ และมีพระองค์สถิตอยู่ด้วย ในร่างกายนี้ เป็นลูกของพระองค์แล้ว  ใช้สิทธิของเขาแล้ว  สิทธิที่พระเยซูทำให้บนไม้กางเขน ขณะนี้ยังถูกตรึงอยู่ นี่ย้อนกลับไป 2,000 กว่าปี

และในพระคัมภีร์ยังบันทึกไว้อย่างนี้นะ  ในหนังสือยอห์น 1:12 บอกว่าคนทั้งหมดเลย  บันทึกไว้ตั้งแต่ตอนโน้นแล้วนะ ตั้งแต่หลังจากเหตุการณ์สิ้นพระชนม์แล้ว  และเป็นขึ้นจากความตายของพระเยซูคริสต์ผ่านไปไม่นาน ยอห์นได้เขียนคำนี้  จากการมองดูสถานการณ์ที่เกิดขึ้นตอนนั้นว่าคนแห่มาใช้สิทธิกันใหญ่ จากพระเยซูที่ตายที่ไม้กางเขน และเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่สาม ที่หลายคนพยายาม เนื่องจากถูกหลอกโดยมาร พยายามโกหก  หลอกลวงว่าไม่จริงหรอก เป็นเรื่องเล่า เรื่องกุขึ้น  แต่ความจริงคือความจริง  ผลมันคือความจริงไง  ถ้าไม่จริง มันก็สิ้นสุดไปแล้ว  มันหมดไปแล้ว มันมาถึงขนาดนี้  ก็ต้องขอบคุณพระเจ้า  พอเลยไปจากวันนั้น ไม่กี่สิบปี ยอห์นยังมีชีวิตอยู่ ยอห์นเขียนเท่าที่เห็น  นึกภาพนะ สิทธินี้เกิดขึ้นแล้ว ในยอห์น 1:12 บอกว่าผู้คนมากมาย ทั้งหมด ที่ยอมรับเรื่องนี้ว่าเป็นเรื่องจริง ยอมรับว่าพระเยซูคริสต์เป็นพระบุตรของพระเจ้า ตายที่ไม้กางเขน หลั่งพระโลหิต เพื่อทรงชำระบาป และทรงเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่สาม และยังมีชีวิตอยู่ เป็นเรื่องจริง คนทั้งหมดที่เขาเชื่อในตรงนี้ เขาได้รับ Power  พลังอำนาจ สิทธิอำนาจ ให้กลายเป็นลูกของพระเจ้า  เขียนคำนี้ชัดเจนเลยนะ ใช้ Power เลยนะ เหมือนท่านเสียบปลั๊กไฟ ปลั๊กไฟมี Power เสียบปุ๊บ มีไฟสว่างจ้า  นี่เขาเรียกว่า Power มาทำให้หลอดไฟสว่างได้ ใช้อันเดียวกัน เพราะฉะนั้น จะใช้แบบฤทธิ์อำนาจ โดยพระเจ้า คือสิทธิที่ท่านใช้ ก็ได้ จะแปลตรงไหนก็ได้  มากเท่ามากเลย ก็คือเยอะแยะไปหมดในช่วงนั้น  ที่ใครก็ตามที่ยอมรับในเรื่องนี้ว่าเป็นเรื่องจริง  เขาใช้สิทธิของเขา  ทันทีทันใดนั้น  เมื่อเขายอมรับเรื่องนี้เป็นเรื่องจริง  ฤทธิ์อำนาจ น่าจะใช้คำนี้ ดีกว่านะ ฤทธิ์อำนาจของพระเจ้าจะเข้าไปในร่างกายของเขา และชุบวิญญาณเขาให้เกิดใหม่ บังเกิดใหม่ในวิญญาณ เกิดใหม่เป็นลูกของพระเจ้า  ต้องย้ำ ไม่อย่างนั้นมันไม่น่าเชื่อ  เป็นไปได้อย่างไร? อย่างที่ผมบอก  ถ้าเป็นไปไม่ได้ คงไม่มาถึงทุกวันนี้ 2,000 กว่าปีแล้วนะ อย่างที่เห็นชัดๆ อย่างน้อย ในชีวิตผม ก็ 30 กว่าปีแล้ว ก็เห็นเยอะขึ้นทุกวัน  คนที่มาใช้สิทธิ์นี้ เขาได้ตามนี้ทุกคน ได้เป็นลูกของพระเจ้า และจะอยู่กับพระเจ้าในสวรรค์นิรันดร์กาล นี่คือตอนหนึ่งที่เรามาคุยกันในวันนี้ ขอพระเจ้าอวยพรครับ

 

*********************

 

 

 

คำบรรยายพิเศษเช้าวันศุกร์ เวลา 09.00 น. วันศุกร์ที่ 10 เมษายน 2020 เรื่อง “การระลึกถึงพระเยซูคริสต์” โดย นคร เวชสุภาพร

คำบรรยายพิเศษเช้าวันศุกร์  เวลา 09.00 น.

วันศุกร์ที่  10  เมษายน  2020

 เรื่อง “การระลึกถึงพระเยซูคริสต์”

โดย นคร  เวชสุภาพร

            สวัสดีครับพี่น้อง ก็มาตามนัด วันนี้เป็นวันที่เราจะมาร่วมกันระลึกถึงและร่วมกันฉลองความสำเร็จ  ที่พระเจ้าได้ทรงวางแผนการไว้ล่วงหน้า ไว้ตั้งนาน เพื่อมาไถ่บาปให้กับมนุษย์ทั้งปวง ซึ่งมันเกี่ยวข้องกันกับชีวิตของพวกเราทุกๆ คน ไม่ว่าจะเป็นคริสเตียน หรือมนุษย์ มีส่วนเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ในวันนี้ทั้งสิ้น

ช่วงเวลา 3 โมงเช้า เป็นช่วงเวลาที่สำคัญมากตอนหนึ่งของหน้าประวัติศาสตร์ของโลกเลย ซึ่งมีผลกระทบไปถึงโลกวิญญาณ ใหญ่หลวงมาก จนกระทั่งมีผลมาถึงทุกวันนี้ และจะมีผลไปถึงนิรันดร์ ก็คือตอน 3 โมงเช้า  …. 3 โมงเช้าสำคัญอย่างไร? บอกว่าเหตุการณ์นั้น เป็นเหตุการณ์ที่ยิ่งใหญ่ขนาดไหน? ก็คือเหตุการณ์ที่พระเยซูถูกยกขึ้น คำว่า “ยกขึ้น” ไม่ได้ยกย่องนะ  พระเยซูถูกยกขึ้นทั้งร่างกายและวิญญาณ โดยถูกตรึงที่ไม้กางเขน  พอยกขึ้นมา เกิดอะไรขึ้น  ปรากฏการณ์ทำให้เกิดปฏิกิริยาใดเกิดขึ้นในโลกฝ่ายวิญญาณ และเกี่ยวข้องอะไรกับทุกๆ ชีวิตบนโลกใบนี้ ทำไมเขาถึงเรียกวันนี้ว่า “Good Friday” … Friday คือวันศุกร์ Good คือประเสริฐ … ศุกร์ประเสริฐ Good ก็คือดี จริงๆ ต้อง “Very Good Friday” ดีมาก และมากที่สุดเลย  สำหรับคริสเตียน ไม่ใช่แค่นั้น ดีมากสำหรับมนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้เลย  เพราะฉะนั้น กดแชร์ไปยังคนที่ท่านรัก กดแบ่งปันไปยังญาติพี่น้องมาฟังสิ่งต่างๆ เหล่านี้  สิ่งที่น่าฟัง เพราะเกี่ยวข้องกับชีวิตของเขาทุกคน แล้วเราฟังแบบสบายๆ ไม่ต้องถึงขนาดมาเรียนพระคัมภีร์กันในวันนี้  มาเล่าสู่กันฟัง แบบประวัติศาสตร์เหมือนสมัยก่อน

สมัยก่อนเรื่องราวเหล่านี้ ไม่ใช่มานั่งอ่านพระคัมภีร์ ไม่มีพระคัมภีร์ ไม่มีหนังสือให้อ่าน มีแต่จดไว้ในใบลาน  และมีคนอ่านหนังสือออกเพียงไม่กี่เปอร์เซ็นต์ 70, 80 เปอร์เซ็นต์ของประชากรตอนนั้น อ่านหนังสือไม่ออกนะ เพราะฉะนั้น ถามว่าข่าวประเสริฐ หรือเรื่องที่เกิดขึ้นมาจนถึงทุกวันนี้ได้อย่างไร ตั้ง 2,000 ปีแล้ว  ก็มาโดยวิธีนี้ วิธีเล่าสู่กันฟังว่าเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้น แล้วพระเยซูก็มาเตือนเรา เมื่อได้ยินได้ฟังข่าวดีนี้ ซึ่งเกี่ยวกับชีวิตของเราแล้ว เป็นผลดีกับชีวิตของเราแล้ว เตือนเราว่าอย่าลืมข่าวดีนี้ เพราะว่ามันลืมง่าย เพราะมันเป็นเรื่องเกี่ยวกับโลกวิญญาณ ตามองไม่เห็น หูไม่ได้ยิน เหมือนในพระคัมภีร์บอกว่าตามองไม่เห็น หูไม่ได้ยิน คือสิ่งที่พระเจ้าจัดเตรียมไว้ให้กับมนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้  สิ่งที่พระเจ้าทรงจัดเตรียม ก็คือสิ่งที่ดีๆ เพราะพระเจ้า คือพ่อของเรา ผู้ให้กำเนิดเราทั้งหลายนั่นเอง จะรู้หรือไม่รู้ มันก็เป็นอย่างนี้แหละ เพราะฉะนั้น เรามาฟังเรื่องราวในวันนี้ และสิ่งหนึ่งที่สามารถใช้มีเดียตรงนี้ ในการที่จะฟังและสนุกได้ด้วย  ก็คือสามารถโต้ตอบได้ด้วย  เขียนเข้ามา โพสต์เข้ามา สิ่งที่อยากรู้ หรือโพสต์เข้ามาในสิ่งที่ตัวเองมีความรู้สึกเป็นอย่างนี้ใช่ไหม? เห็นด้วยใช่ไหม หรือมีอะไรเพิ่มเติมว่าผมยังไม่ได้เล่าสู่กันฟังถึงเรื่องนี้เลย เรื่องนี้ก็เป็นเรื่องที่น่าเล่าสู่กันฟัง ระลึกถึงวันที่ประวัติศาสตร์หน้าหนึ่งของโลก มนุษยชาติต้องบันทึกเอาไว้ คือมนุษย์ได้รับอิสรภาพจากเคราะห์กรรม เวรกรรมเรียบร้อยแล้ว มนุษย์ไม่จำเป็นจะต้องชดใช้เวรกรรมด้วยตนเองอีกต่อไปแล้ว เพราะพระเจ้าทรงประทานพระบุตร คือพระเยซูคริสต์ มาตายที่ไม้กางเขน อีกประมาณไม่กี่นาทีข้างหน้านี้แล้ว  เรามาย้อนเวลาไปด้วยกัน

สมมติว่าวันนี้วันศุกร์ ปี ค.ศ.30  อายุของพระเยซูตอนนั้น คือ 33 ปี เพราะว่าค.ศ.นี้เริ่มต้นเมื่อพระเยซูอายุ 3 ปี เพราะฉะนั้น ค.ศ.30 พระองค์อายุ 33 ในปีนั้น วันศุกร์ ตรงกับวันนี้  เรียกว่าศุกร์ประเสริฐ ย้อนไปประมาณ 2,000 ปี เมื่อ ค.ศ.30 เวลา 3 โมงเช้า  ไม้กางเขนอันนั้นเพิ่งจะถูกยกขึ้นมา คือพระเยซูถูกตรึง เมื่อสักครู่นี้ ตอกตะปูเข้าไปที่มือทั้งสองข้าง  แล้วก็หลายๆ คนช่วยกันยกต้นไม้ต้นนี้ ไม้กางเขน เรียกว่าต้นไม้ เพราะว่าเป็นลำต้นต่อกันยาวเลย ยกขึ้นมา โดยมีร่างของพระเยซูถูกตรึงตรงนั้น  แล้วก็ปักลงไปบนดินที่เป็นหิน บนเนินเขา  เรียกว่าโกละโกธา หรือแปลเป็นไทยเรียกว่ากะโหลกศีรษะ คือหุบเขาหรือเนินเขาของความตายนั่นเอง  ที่ที่ซึ่งเอาไว้ประหารชีวิตนักโทษ สองข้างก็เป็นนักโทษอุฉกรรก์ที่ถูกตัดสินให้ตาย โดยการประหารชีวิตบนไม้กางเขน ซึ่งเป็นการประหารที่ทรมานที่สุด ในยุคนั้น ในสมัยนั้น ซึ่งโรมันใช้ในการปราบประเทศที่เป็นเมืองขึ้น  แล้วก็ปราบปรามให้ประชาชนหรือว่าผู้คนหวาดกลัวต่ออำนาจอิทธิพลของโรมัน  คือวิธีการตายอย่างทรมาน  และประจานที่ไม้กางเขนว่าอย่าทำอย่างนี้นะ อะไรประมาณนั้น

เราจะมาย้อนกันว่าตอนนี้พระเยซูเริ่มถูกตรึง พระคัมภีร์ไบเบิ้ลได้บันทึกว่าพระองค์ถูกตรึงตั้งแต่ 9 โมงเช้า ตอนนี้ ไปจนกระทั่งถึงบ่ายสามโมง 6 ชั่วโมงเต็มๆ บนไม้กางเขน ก่อนหน้านี้ เมื่อคืนวันพฤหัส ที่เมื่อคืนเราระลึกถึงพระเยซูอธิษฐานด้วยความหวาดกลัวสุดขีด ที่สวนเกทเสมเนว่าวันนี้พระองค์จะทรงเจออะไร?  เมื่อคืนนี้ ก็เจอแล้ว  ความทุกข์ทรมาน เริ่มต้นตั้งแต่เมื่อคืนนี้ ที่สวนเกทเสมเน กลัวจนกระทั่งอธิษฐานกับพระเจ้า 3 ครั้ง พระองค์เป็นพระเจ้ามาเกิดเป็นมนุษย์ พระองค์ทรงอยู่กับพระบิดาเป็นประจำ คุยกันตลอดเวลากระหนุงกระหนิง ไม่เคยกลัวอะไรเลย จนกระทั่งถึงอายุ 33 ปี ณ เมื่อคืนนี้ รู้แล้วว่าถึงเวลาแล้วที่ภารกิจนี้ จะสำเร็จได้จะต้องถึงขั้นแตกหักตรงนี้  พระองค์ทรงทราบล่วงหน้าแล้ว ตั้งแต่เดินทางเข้ากรุงเยรูซาเล็มให้เขาจับ เพราะฉะนั้น  กลัว อธิษฐาน 3 ครั้ง ครั้งหนึ่งก็แปลกแล้วนะ พระบุตรพระเจ้า พระองค์ไม่เคยกลัวใครเลย  ตลอด 33 ปีที่ดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้  โดยเฉพาะอย่างยิ่ง 3 ปีหลัง ที่ประกาศข่าวประเสริฐเรื่องสวรรค์ … สวรรค์มาถึงแล้ว ให้กลับใจใหม่เถิด  พระองค์นำสวรรค์มาถึงแล้ว พระองค์เป็นพระบุตรพระเจ้านะ ตอนนั้นไม่มีกลัวอะไรเลย แต่เมื่อคืนนี้พระองค์ทรงกลัวสุด  เพราะถึงขั้นสุดท้าย ประจัญบาน พระคัมภีร์บอกเมื่อคืนนี้  ที่สวนเกทเสมเน พระองค์ทรงอธิษฐาน  จนเหงื่อออกมาเป็นเม็ดเลือด ก็คือเครียดจัด อาจเป็นได้ว่าเส้นโลหิตฝอยของผิวหนังแตก อะไรแบบนี้  ถามว่าทำไมต้องกลัวขนาดนั้น  พระเยซูกลัวอะไร

ท่านว่ากลัวอะไร?  โจร 2 คนยังกลัวไม่ถึงขนาดเหงื่อเป็นเลือดเลย  ผมเชื่อว่าอย่างนั้น  แต่ทำไมพระเยซูต้องกลัวถึงขนาดนั้น  ทั้งๆ ที่ไม่เคยกลัวมาก่อนเลย แล้วเกิดอะไรขึ้นเมื่อตอนคืนวันพฤหัสฯ ตั้งแต่ตอนดึก ก็ถูกจับตัวไปขึ้นศาลเตี้ย คือศาลตัวฉันนั่นเอง  ฉันเป็นใหญ่ ฉันจะเอาอย่างนี้  คนที่มีอิทธิพล คิดว่าตัวเองเป็นใหญ่ แล้วยัดเยียดข้อหาให้กับพระเยซูมากมาย ยัดเยียดว่าเป็นอันโน้นอันนี้ ว่าอย่างนั้นอย่างนี้  แต่พระเยซูเป็นผู้บริสุทธิ์สะอาดศักดิ์สิทธิ์จริงๆ ไม่มีใครสามารถบอกได้จริงๆ พระองค์เป็นผู้ร้ายหรือเป็นคนชั่ว หรือเป็นฆาตกร หรือขโมยของ ไม่เคยมีเลย ไม่เคยทำสิ่งต่างๆ เหล่านี้เลยแม้แต่นิดเดียว แม้กระทั่งปิลาตเอง ซึ่งเป็นผู้บังคับการของโรมัน ซึ่งให้มาปกครองประเทศอิสราเอล ชาวยิวขณะนั้น ก็ยังยอมรับว่าไม่ได้ผิดอะไรเลย จะไปฆ่าเขาทำไม บอกกับชาวยิวหัวหน้าศาสนา ที่พยายามจะฆ่าพระเยซู เป็นเอกฉันท์เลยว่าเป็นผู้บริสุทธิ์ สิ่งเดียวเท่านั้น ที่คนเหล่านี้ พยายามยัดเยียดข้อหาให้พระเยซู ก็คือบอกว่าเขาอ้างตัวเองว่าเป็นพระบุตรพระเจ้า แค่นั้นเอง ผิดใหญ่หลวงใหญ่โต จะนำเขาไปฆ่าให้ได้ อะไรต่างๆ เหล่านี้ ซึ่งเราก็เรียนรู้แล้วนะว่าเขาทำไปโดยไม่รู้ว่าเขาทำอะไรอยู่

ประโยคแรกที่พระเยซูถูกตรึงที่ไม้กางเขน  พระองค์บอกว่า …

“พระบิดาเจ้าข้า ลูกเจ็บมากเลย ทรมานมากเลย  ช่วยลูกด้วย”

ใช่ไหม? ไม่ใช่ พระองค์พูดว่า …

“โอ้้ พระบิดาแก้แค้นให้ลูกด้วยเถิด”

อย่างนั้นเหรอ ก็ไม่ใช่อีก ประโยคแรกหลังจากเริ่มทนทุกข์ทรมาน ถูกเฆี่ยน ถูกทุบ ถูกหยามน้ำหน้า ถูกบ้วนน้ำลาย ถูกยัดเยียดข้อหาตั้งแต่เมื่อคืนนี้ จนถึงเช้าวันนี้  9 โมงเช้า ถูกทำร้ายตลอดเลย ไม่ได้หลับ ไม่ได้นอน ไม่ได้พักผ่อนไม่พอ ถูกเฆี่ยน ถูกตี ถูกทุบ  ในพระคัมภีร์ไบเบิ้ลได้พูดถึงขนาดว่าจำหน้าไม่ได้ เพราะถูกเฆี่ยนมาก ด้วยแส้ที่พิเศษ ที่โรมันใช้เวลาทรมานนักโทษ ให้เป็นเยี่ยงอย่าง หรือจำหน้าไม่ได้ เพราะว่าบวม ถูกไม้ตี เพราะเขาใช้ศาลเตี้ยกัน เขาทำไปโดยไม่รู้ เขาโกรธแค้นไง  โมโห พอโมโห เป็นเหมือนม๊อบ รวมกันคนนั้นถีบ คนนี้ต่อย นึกภาพสิ สนุกสนานกันใหญ่เลย  เพราะเกิดความมัน พออยู่ร่วมกัน เขาบอกเหมือนเอามัน คือรวมกันเป็นกลุ่มเป็นก้อนเสร็จปุ๊บ มารก็สามารถที่จะเข้าไปโน้มน้าวจิตใจ เข้าไปคุมพฤติกรรมต่างๆ ของมนุษย์ที่อยู่รวมกันให้เกิดความรุนแรง ในการกระทำ อาจจะโกรธนิดหนึ่ง หรือรู้สึกขัดแย้งนิดหนึ่ง แต่พออยู่รวมกันมากๆ มันก็ถูกใส่ไฟ โดยมารต่างๆ  ทำให้เกิดความรุนแรงมากยิ่งขึ้น  เขาเรียกว่าม๊อบเลวร้ายอะไรต่างๆ

กลับมาพูดถึงเมื่อสักครู่นี้ 9 โมงเช้า  ถูกตรึงแล้วตอนนี้ ผ่านมาเกือบ 10 นาที ตอนถูกตรึงอยู่ พระองค์ทรงพูดประโยคแรก สะเทือนใจมาก ยิ่งตะกี้เราวิเคราะห์ตั้งแต่เมื่อคืนที่พระองค์ทรงถูกจับและขึ้นศาลเตี้ย หลังจากขึ้นศาลเตี้ย  ถูกทุบ ถูกตี ด้วยความไม่ยุติธรรม ด้วยความมันในอารมณ์ของบรรดาผู้คนที่รวมกัน เป็นม๊อบทั้งหลาย  อัดพระเยซู ทุบตี แม้กระทั่งทหารโรมัน ซึ่งไม่รู้อีโหน่อีเหน่ ก็มันกับเขาด้วย เมื่อปีลาตสั่งให้ไปลงโทษ ถามว่าปีลาตสั่งให้ไปลงโทษ เพื่ออะไร? ลงโทษให้หนักๆ  เพื่อจะมาบอกกับชาวยิวว่าลงโทษเขาแล้ว พอแล้ว ไม่ต้องไปฆ่าเขาหรอก เขาเป็นผู้บริสุทธิ์ แค่ลงโทษพอใจหรือยัง? พอแล้วนะ จบ พวกอิสราเอลไม่ยอม โดยเฉพาะพวกหัวหน้าทางศาสนา ไม่ยอม  บอกให้เอาไปตรึงซะ ปีลาตผู้สำเร็จราชการของโรมันตอนนั้นบอกว่าแล้วจะไปตรึงเขาด้วยสาเหตุอะไรเล่า เขาไม่ได้ผิดอะไร  ถึงขนาดต้องเอาไปตรึง  เขาบอกเป็นกษัตริย์ของชาวยิว ท่านบอกไม่ใช่ ก็ไม่ใช่สิ  เขาบอกเป็นพระบุตรของพระเจ้า ท่านบอกไม่ใช่   ก็ไม่ใช่ แล้วจะไปฆ่าเขาทำไม?   เขาไม่ได้ไปฆ่าคนตาย ไม่ได้ก่อ ม๊อบ ไม่ได้เป็นกบฏสักหน่อย  ไม่เหมือนบารับบัสที่ถูกจับ โดยเป็นผู้ก่อกบฏ ต่อต้านโรมันขณะนั้น ไปฆ่าพระเยซูทำไม?

ปีลาตจึงวางแผนให้ทหารลงโทษ เฆี่ยนหนักๆ เพื่อจะได้ไปบอกว่าโดนลงโทษไปแล้วนะ  เพื่อจะรักษาชีวิตของพระเยซูเอาไว้  ไม่อยากจะประหาร แต่อย่างที่บอก ทนการเรียกร้องของชาวยิว โดยการนำของผู้นำทางศาสนา ในขณะนั้น ชาวยิว เขาปกครองในสมัยนั้น เขาเรียกว่าศาสนานำการเมือง เพราะฉะนั้น ไคยาฟาส หัวหน้าทางศาสนา ก็ก่อม๊อบอีก ก็เหมือนเดิม เอาไปตรึงเลย ซึ่งมันตรงกับพระคัมภีร์ที่บอกไว้ล่วงหน้าแล้วนะว่าพระเยซูจะตาย ไม่ใช่เพราะน้ำมือของคนต่างชาติ ไม่ใช่คนที่ไม่รู้จักพระเจ้า พูดง่ายๆ ว่าตายด้วยคนกันเอง ชาวยิวด้วยกันเอง จะมอบพระองค์ให้ไปตาย  พูดง่ายๆ เป็นคนสั่งประหารพระองค์นั่นเอง สำหรับทหารโรมันที่ไปตรึงที่ไม้กางเขน เป็นเพียงแค่ทำตามคำสั่งเท่านั้นเอง ถามว่าใครสั่ง ก็หัวหน้าทางศาสนาของยิวเป็นผู้สั่ง ถามว่าเขามีสิทธิ์อะไรตอนนั้น  ตอนนั้นเป็นช่วงเทศกาล ในเทศกาลนี้ เป็นประเพณีของการปกครองของชาวยิวในขณะนั้น  โดยโรมันเข้าครอบครอง โรมันก็เลยบอกว่ามีเทศกาลนี้อันหนึ่งที่ชาวยิวสามารถขออภัยโทษให้กับฆาตกร ที่โรมันจะเอาไปฆ่าให้ตายได้ 1 คน เลือกมา โรมันจะปล่อยให้ เขาเรียกว่าเป็นประเพณี เป็นเทศกาลนี้พอดี ปีลาตจึงเอาบารับบัส ซึ่งเป็นฆาตกรจากคดีก่อกบฏต่ออาณาจักรโรมัน การปกครองของโรมัน  ซึ่งต้องโทษประหารชีวิต แล้วเอาพระเยซูขึ้นมา พระเยซูผู้บริสุทธิ์ ย้ำอีกทีหนึ่งปีลาตบอกว่า …

“เขาบริสุทธิ์ เพราะฉะนั้น ถึงเทศกาลนี้ พวกท่านจัดการเองแล้วกัน ฉันไม่ยุ่งด้วย ฉันขอล้างมือ ฉันไม่สนใจ  ไม่เกี่ยวกับเรื่องนี้  อยู่ที่ท่านเป็นคนตัดสิน ไม่ใช่ฉันเป็นคนตัดสิน ฉันไม่รับผิดชอบแล้ว เพราะฉันบอกแล้วว่าชายคนนี้เขาบริสุทธิ์ เขาไม่ผิดอะไรเลย จะไปทำเขาทำไม? ท่านคิดเอาเองแล้วกัน เพราะมีประเพณีนี้อยู่ตอนนี้พอดี  เทศกาลนี้อยู่พอดี”

หัวหน้าทางศาสนา  ก็รวมกันก่อม๊อบ ตะโกนว่า …

“เพราะฉะนั้น เราขอเลือกฆาตกร คือบารับบัส เอาพระเยซูไปตรึงซะ”

นี่คือที่มา เราจึงเห็นความไม่ยุติธรรม และความทุกข์ทรมาน  ตามที่พระเยซูได้รับเยอะแยะมากมายทั้งนั้น  พระองค์จึงกลัว  กลัวจะทนไม่ไหว  เกิดพระองค์สู้ขึ้นมา  พระองค์สามารถเรียกทูตสวรรค์เข้ามาช่วยได้ เป็นหมื่น เป็นแสน แค่ภายในไม่กี่วินาที แต่พระองค์ไม่ทำ เพราะพระองค์มาเพื่อการนี้โดยเฉพาะ คือมาเพื่อทนทุกข์ทรมาน รับแบกบาปของมวลมนุษยชาติ ซึ่งรวมทั้งท่านทั้งหลายทุกคนที่เป็นมนุษย์ เอาไว้ที่ตัวพระองค์เอง พระองค์มารับโทษบาปแทนเรา เราจะไม่ต้องมาชดใช้เวรกรรมต่างๆ  ไม่รู้จะมาจากชาติไหน  พระองค์จะมาช่วยเราอย่างนี้แหละ เพราะฉะนั้น  พระองค์จึงไม่สู้ พระคัมภีร์จึงใช้แกะเป็นสัญลักษณ์ว่าพระองค์เหมือนลูกแกะที่ถูกนำไปฆ่าให้ตาย เพราะแกะเขาจะเชื่อง จะสงบ ตามแต่ผู้เลี้ยงจะพาไปฆ่า เขาก็จะไม่ดิ้น  ไม่อะไรเลย สงบ รออย่างเดียว พระเยซูทำหน้าที่ของตนเอง มาเพื่อตายที่ไม้กางเขน

และการตายที่ไม้กางเขนนั้น จะเล่าสู่กันฟังต่อไปว่ามันหนักกว่านี้อีก ตะกี้แค่การทุกข์ทรมานทางร่างกาย พระองค์ถูกทุบตี ถูกเฆี่ยนตี พระคัมภีร์บอกว่าพระองค์เกิดเป็นมนุษย์จริงๆ  มีร่างกาย มีความคิดจิตใจ  มีความกลัวเหมือนเรา  ถูกไฟลวกก็ร้อน ไม่ใช่พระองค์เป็นพระเจ้า แล้วไม่เจ็บ พระองค์เป็นพระเจ้าจริง แต่ว่ามาเกิดเป็นมนุษย์  เพียงแต่เป็นมนุษย์ที่ไม่มีบาป สะอาดบริสุทธิ์ แต่คงสภาพของมนุษย์ เพื่อมาเข้าส่วนร่วมในครอบครัวของมนุษย์ เหมือนกับเราทั้งหลาย เพื่อจะได้สามารถเป็นตัวแทนของเรา เหล่ามนุษยชาติบนโลกใบนี้  เพราะพระองค์เป็นมนุษย์ มนุษย์หนึ่งคน เป็นพี่น้องของเรา จากพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์ เป็นพี่น้องร่วมมนุษยชาติกับเราทั้งหลายที่เป็นมนุษย์ เพราะฉะนั้น ก็จะเหมือนเราไม่มีผิดเลย เพียงแต่ไม่เหมือนตรงที่พระองค์เกิดจากหญิงพรหมจารี เกิดด้วยความบริสุทธิ์ไม่มีบาป ไม่เคยทำบาปเลย  แต่ความเจ็บปวด ความรู้สึกกลัวอะไรต่างๆ เหมือนกับเราไม่มีผิดเลย แม้แต่นิดหนึ่ง  เพราะฉะนั้น พระองค์กลัวมาก แล้วยิ่งกลัวกว่านั้น ก็คือตอนที่ถูกตรึงที่ไม้กางเขน

กลับมาตะกี้ ตอนที่พระองค์ทรงถูกตรึงที่ไม้กางเขน  ถูกยกขึ้นมา พระองค์ทรงตรัสประโยคแรกว่า …

“พระบิดาเจ้าข้า  ขอทรงอภัยให้พวกเขาทั้งหลายเหล่านั้น ม๊อบทั้งหลายเหล่านั้น  รวมทั้งทหารที่มาตรึงข้าพระองค์  เพราะเขาไม่รู้ว่าเขากำลังทำอะไรลงไป”

นี่แหละ คือความรักชนิดที่ไม่รู้ว่าจะพูดอย่างไร?  เจ็บปวดอย่างแสนสาหัส  เหงื่อเป็นเลือด ถูกหยามศักดิ์ศรี ทั้งๆ ที่มีอำนาจ  มีฤทธิ์เดช  มีพลัง มีอาวุธที่สามารถจะต่อสู้ได้ เพียงนิดเดียวเท่านั้น พวกที่เป็นม๊อบไม่เหลือเลย  เป็นเรา หลายครั้งเราอาจจะยอมคนที่ข่มเหงเรา ทุบตีเรา เพราะเราสู้เขาไม่ได้ เราถูกบังคับให้ต้องยอม ลองคิดดูสิคนที่ข่มเหงเรา  แล้วด้อยกว่าเรา เรามีอำนาจกว่าเขา  เรามีกำลังมากกว่าเขา มีอาวุธมากกว่าเขา คิดว่าเรายอมไหม?  นี่พระองค์เป็นพระเจ้า พระองค์ก็บอกแล้วว่าถ้าเราต้องการจะสู้กับเขาเหล่านี้ เราเรียกทูตสวรรค์มา เขาเหล่านี้แย่เลย แต่พระองค์ทรงทราบทั้งหมดแล้ว  เรื่องเหล่านี้เป็นเรื่องโลกฝ่ายวิญญาณทั้งสิ้น เขาไม่รู้ว่าเขากำลังทำอะไรลงไป  เขาถูกครอบงำ  โดยอิทธิพลของระบบของโลกนี้  ผ่านทางมารซาตาน ซึ่งควบคุมโลกใบนี้อยู่ ซึ่งได้สิทธิอำนาจในการควบคุมโลกใบนี้ผ่านทางบรรพบุรุษของเรา ผ่านทางอาดัมและเอวา  ต้นพันธุ์ของมนุษยชาติของเรานั่นเอง มอบโลกใบนี้ให้กับมาร เป็นคนดูแล ทั้งที่พระเจ้ามอบให้กับเรา มนุษยชาติเป็นคนดูแลโลกใบนี้ เป็นคนดูแลบ้านหลังนี้  บ้านหลังนี้เป็นของเรา แต่บรรพบุรุษของเรา ได้มอบสิทธินี้ บ้านหลังนี้ โลกใบนี้ให้กับต้นกำเนิดของความชั่วร้าย  เจ้าตัวชั่วร้าย ซึ่งมีชื่อว่าซาตาน ซาตานไม่มีอะไรดีสักนิดหนึ่งเลย  มีแต่ความชั่ว ความเลว อย่างเดียวเท่านั้นเอง

พระคัมภีร์บอกว่ามารมา เพื่อ 3 สิ่งเท่านั้นเอง  ไม่ทำอะไรมากกว่านี้เลย  3 สิ่งที่ทำให้กับมนุษยชาติและโลกใบนี้ ซึ่งเป็นบ้านของเรา (1) ขโมย (2) ฆ่า (3) ทำลาย

เพราะฉะนั้น อะไรที่เกี่ยวข้องกับขโมย ฆ่า ทำลาย  สรุปได้เลย ไม่ต้องไปคิดมาก อันโน้นอันนี้มาจากพระเจ้าไหม? มาจากมารทั้งสิ้น  ยกตัวอย่างในขณะนี้ที่เรากำลังเผชิญกับเชื้อไวรัสโควิด-19 บางคนก็บอกว่าพระเจ้าพิพากษาแล้ว สงสัยพระเจ้าลงโทษมนุษย์  มนุษย์ทำบาปมาก ไม่เกี่ยวเลย  มนุษย์ทำบาป ก็ได้รับโทษของการบาป เหมือนกฎหมายลงโทษ แต่ความชั่วร้ายที่เข้ามาบนโลกใบนี้  มาจากมารลูกเดียว  มันอยู่ในเครือข่ายนี้ ขโมย  ฆ่า ทำลาย  แต่พระคัมภีร์ก็บันทึกตลอด พระเจ้าเป็นพระเจ้าแห่งความรัก พระเจ้าแห่งความดีงาม พระเจ้าแห่งความเมตตา พระเจ้าแห่งความยุติธรรม ท่านเห็นไหม?

นี่มันตรงกันข้ามกับมารเลย เพราะฉะนั้น  นี่เป็นส่วนหนึ่งที่เราจะสามารถเรียนรู้ได้ว่าไม่ว่าอะไรที่จะเกิดขึ้นบนโลกใบนี้  คิดง่ายๆ เท่านั้นเอง ฝั่งดีหรือฝั่งชั่ว ผู้เป็นเจ้าของ คนดีก็ทำชั่วไม่เป็น  คนชั่วก็ทำดีไม่เป็น  แล้วจะสลับกันได้อย่างไร?  ถูกไหมครับ?  ต้นมะม่วงก็ออกผลมาเป็นมะม่วง ต้นไมยราบก็ออกดอกมาเป็นไมยราบ  อะไรประมาณนี้  พระเยซูจึงทราบเรื่องเหล่านี้ดี ตอนถูกตรึงที่ไม้กางเขน  จึงตรัสประโยคแรกว่า …

“อภัยให้เขาเหล่านี้เถิด เพราะเขาไม่รู้ว่าเขากำลังทำอะไรลงไป”

เป็นบทเรียนให้เราด้วย  ตอนนี้ 3 โมงเช้ากว่า ยังอยู่ที่ไม้กางเขนอยู่ แล้วอีกครู่หนึ่ง เราจะมาติดตามตอนต่อไป  ขอพระเจ้าอวยพรครับ

 

***********************