คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 12 เมษายน 2020
เรื่อง “พระเยซูฟื้นแล้ว ฉันฟื้นด้วย”
ตอน 1 “ฉลองการเป็นขึ้นจากความตาย”
โดย นคร เวชสุภาพร
สุขสันต์วันอีสเตอร์ครับ สุขสันต์วันเป็นขึ้นจากความตาย พระเยซูเป็นขึ้นแล้ว สิ่งสำคัญ ถ้าพระเยซูเป็นขึ้นแล้ว เราจะดีใจ ไม่ดังมาก แต่จะบอกว่า … “พระเยซูเป็นขึ้นแล้ว ฉันเป็นขึ้นด้วย”
“พระเยซูเป็นขึ้นแล้ว ฉันเป็นขึ้นด้วย”
“พระเยซูชนะแล้ว ฉันชนะด้วย” พูดกับใคร? พูดกับตัวเอง
วันนี้เป็นวันที่เรามาร่วมกันฉลองวันประกาศชัยชนะครั้งยิ่งใหญ่ ที่สำคัญที่สุดในประวัติศาสตร์ของมวลมนุษยชาติ ทำไมเราถึงเรียกวันอีสเตอร์ว่าเป็นวันประกาศชัยชนะ ประกาศอิสรภาพ ความยิ่งใหญ่ในชัยชนะของมวลมนุษยชาติ ซึ่งรวมทั้งตัวท่าน บอกกับตัวเองว่ารวมทั้งฉันด้วย
ถ้าจะเล่าให้เห็นภาพ เราจะเปรียบเรื่องราวที่บันทึกไว้ในพระคัมภีร์ให้เห็นชัดขึ้น เป็นการต่อสู้ศึกมหากาฬในโลกวิญญาณ ซึ่งเป็นการต่อสู้ระหว่าง 2 ค่ายใหญ่ ผมพยายามทำให้เป็นเหมือนหนัง เพื่อท่านจะได้จำได้ อันนี้ย่อข้อมูลต่างๆ จากพระคัมภีร์ ให้มันเหลือแค่นิดเดียว เพื่อท่านจะได้จำได้ว่าชัยชนะนี้มาจากไหน? และเป็นอย่างไร? เป็นศึกมหากาฬในโลกวิญญาณ ซึ่งเป็นการต่อสู้ระหว่าง 2 ค่ายใหญ่
ค่ายที่หนึ่ง ชื่อว่าค่ายมนุษยชาติ เจ้าของค่าย คือพระเจ้า ส่งตัวแทนมนุษยชาติลงมา ชื่อว่าพระเยซู พระบุตรของพระองค์
ส่วนค่ายที่สอง เรียกค่ายนี้ว่าค่ายมารซาตาน เจ้าของค่าย ก็รู้จักกันอยู่แล้ว คือลูซีเฟอร์ หรือมารซาตาน ส่งอะไรมา ส่งเอาความบาปและความตายลงมาแข่ง โดยมีเป้าหมาย เพื่อจะทำลายล้าง มนุษยชาติให้สิ้นซาก
นี่คือมหากาฬของสงครามโลกฝ่ายวิญญาณ ระหว่างหัวหน้ามาร ที่กำลังจะต่อสู้กับพระเจ้า ซึ่งมันก็พยายามต่อสู้มาตลอด พยายามเป็นกบฏ ต่อต้านพระเจ้ามาตลอด คราวนี้เราจะเห็นภาพ ถ้าพระเยซูชนะสงครามนี้ มนุษย์ทั้งหลายทั้งหมด ก็จะกลับคืนสู่สภาพดี กลับคืนสู่พระเจ้า เป็นอิสรภาพจากการเป็นทาสมาร แต่ถ้าพระเยซูพ่ายแพ้ต่อความบาปและความตาย พ่ายแพ้ต่อมารในสงครามนี้ มนุษย์ก็จะตกอยู่ใต้อำนาจของมารซาตาน เป็นทาสมัน ตลอดไป เหมือนเดิม
ถ้าย้อนกลับไปตั้งแต่เริ่มต้นของศึกสงครามครั้งนี้ เกิดขึ้นได้อย่างไร? เริ่มต้นตอนที่พระเจ้า สร้างโลก และสร้างมนุษย์ทั้งปวง ในสมัยโน้น ตอนเริ่มสร้างใหม่ๆ พระคัมภีร์ได้บันทึกไว้ว่าพระเจ้าสร้างสิ่งที่ดีทั้งหมด สร้างโลกใบนี้ ดีหมดเลย ทุกอย่างดี ไม่ชั่วร้าย ไม่วิปริตเหมือนปัจจุบันนี้ สร้างมนุษย์ ก็สร้างสิ่งที่ดีทั้งหมดเลย มนุษย์ก็ดีหมด ไม่มีการทำชั่วเลย แล้วมารก็มาล่อลวงมนุษย์ตอนนั้น ที่บันทึกเอาไว้ ผ่านทางงู ล่อลวงให้มนุษย์กบฏต่อพระเจ้า มอบโลกใบนี้ รวมทั้งเผ่าพันธุ์มนุษย์ทั้งหมด ลูกหลานเหลนโหลนของตัวเองให้กลายเป็นทาสของมารซาตาน เชิญมารเข้ามาครอบครองบนโลกใบนี้ ตั้งแต่วินาทีนั้นมา โลกก็เต็มไปด้วยคำสาปแช่ง เต็มไปด้วยความวิปริต เสียหาย เกิดโรคภัยไข้เจ็บ อะไรที่แปลกๆ ที่ยุ่งวุ่นวายไปหมด เกิดความโลภ ความโกรธ ความหลง ความชั่วร้ายต่างๆ มาจากมารทั้งสิ้น แล้วก็มาผ่านทางมนุษย์ที่เป็นทาสของมันอยู่ อย่างโควิด-19 ก็มาจากมารแหละ โดยผ่านทางมนุษย์ ผ่านทางความบาป ที่มนุษย์ให้พระเจ้าออกไปจากชีวิตของตนเอง ออกไปจากโลกใบนี้ ซึ่งเป็นของเขา … “เขา” หมายถึงมนุษยชาติทั้งปวง เห็นไหมครับ? แล้วพระเจ้าทำอะไร? พระเจ้าก็ตั้งหน้าตั้งตา รอวันเวลาที่จะช่วยมนุษย์กลับคืนมา นี่คือสงคราม
แผนการของพระเจ้าคืออะไร? ปฐมกาล 3:15 ผมอยากให้ท่านอ่านนิดหนึ่ง ท่านจะได้เห็นภาพชัดเจนว่ามหากาฬของโลกฝ่ายวิญญาณ ในศึกครั้งนี้ มันเกิดขึ้นอย่างไร? และเป็นลักษณะอย่างไร? ร้ายแรง รุนแรงขนาดไหน? พระเจ้าบอกไว้ล่วงหน้านั้น บันทึกไว้ในหนังสือปฐมกาล 3:15 ถ้านับตั้งแต่วันที่เกิดขึ้นนี้ มาถึงปัจจุบัน นับปีไม่ถ้วน เพราะสมัยนั้น มนุษย์พึ่งตกลงไปในการบาป พึ่งจะเริ่มตาย เริ่มนับหนึ่ง ก่อนหน้านี้เป็นชีวิตนิรันดร์ของมนุษย์ ไม่มีวันตาย เพราะฉะนั้น จะบอกว่า 1 ปี หรือล้านปี ก็เป็นไปได้หมด ปฐมกาล 3:15 ทำให้มนุษย์นับหนึ่งตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ตั้งแต่ 1, 2, 3, 4, วัน จนกระทั่ง 1 ปี 2 ปี กี่ปีก็ว่าไป เราอ่านดูนะ
ปฐมกาล 3:15 “เราจะให้เจ้ากับหญิงนี้เป็นศัตรูกัน ทั้งพงศ์พันธุ์ของเจ้ากับพงศ์พันธุ์ของเขาด้วย พงศ์พันธุ์ของหญิงจะทำให้หัวของเจ้าแหลก และเจ้าจะทำให้ส้นเท้าของเขาฟกช้ำ”
“พงศ์พันธุ์ของหญิงจะทำให้หัวของเจ้าแหลก และเจ้าจะทำให้ส้นเท้าของเขาฟกช้ำ” คำว่า “เจ้า” ตรงนี้ ก็คือมารซาตาน ที่ได้ล่อลวงอาดัมและเอวา บรรพบุรุษของเรา มนุษย์ทั้งปวงให้กบฏต่อพระเจ้า พูดง่ายๆ ว่าเชิญพระเจ้าออกไปจากโลกใบนี้ ออกจากชีวิตของตนเอง และครอบครัวของเขา แล้วเชิญมารเข้ามาแทนที่ นั่นแหละ เขาเรียกว่าบาป กบฏ
พงศ์พันธุ์ของหญิงที่ตะกี้นี้อ่านในพระคัมภีร์จะทำให้หัวของเจ้าแหลก “เจ้า” ตะกี้ เล็งไปถึงมารซาตาน ผู้ที่เป็นหัวหน้าค่ายในสงครามครั้งนี้
คราวนี้มาถึงพงศ์พันธุ์ของหญิง จะทำให้หัวของเจ้าแหลก เล็งถึงผู้ที่เป็นหัวหน้าค่าย คือพระเจ้าจะส่งผู้ที่จะมาทำลายเจ้ามารนี้ ให้หัวแหลกเลย ก็คือได้รับชัยชนะเด็ดขาด ชนะเหนือความบาปและความตายให้หมดสิ้นเลย พระเจ้าส่งตัวแทนมา ก็คือพระเยซูคริสต์นั่นเอง พระบุตรของพระองค์
“เจ้าจะทำให้ส้นเท้าของเขาฟกช้ำ” ก็หมายถึงมารก็ทำได้แค่ส้นเท้าของพระเยซูคริสต์ฟกช้ำ “ส้นเท้าฟกซ้ำกับหัวแหลก” ท่านลองคิดดูว่ามันต่างกันขนาดไหน? นี่คือแผนการของพระเจ้าที่เตรียมไว้สำหรับมนุษยชาติทั้งปวง ที่จะไถ่มนุษยชาติ ทำศึกสงคราม เพื่อเอามนุษยชาติกลับคืนสู่พระองค์ให้ได้ และเมื่อถึงเวลา มันก็เกิดขึ้นตามแผนที่พระองค์ทรงวางไว้ ก็ประกาศตัวแทนของพระองค์ ตั้งแต่วันนั้นมา พระเจ้าก็เตรียมตัวแทนของมนุษยชาติ ให้มาลงกับศึกสำคัญครั้งนี้ เตรียมมาเป็นเวลาหลายพันปีกว่าจะสำเร็จ เตรียมผ่านผู้คนต่างๆ จนมาถึงคนสุดท้าย ก็คือครอบครัวของโยเซฟกับมารี หญิงพรหมจารีที่ให้กำเนิดพระเยซูคริสต์ พระบุตรของพระเจ้า ให้มาเกิดเป็นมนุษย์
พระเยซูก็มาเกิด และเป็นตัวแทนของมนุษย์ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา คราวนี้มาถึงความตื่นเต้นของหนังเรื่องนี้ ที่จะเล่าให้ฟัง เอาไปเล่าให้ลูกหลานฟังได้ … เริ่มต้น เวลาผ่านมา คู่ต่อสู้พร้อมทั้งสองฝั่ง มารมันพร้อมตั้งนานแล้ว เพราะว่ามันควบคุมมนุษย์ ซึ่งเป็นทาสของมันอยู่ ส่วนมนุษย์พร้อมแล้ว มีตัวแทนที่คิดว่าสามารถที่จะต่อสู้กับมารได้แล้ว ก็เริ่มต้นศึกสงครามในครั้งนี้
ยกที่ 1 เริ่มต้นที่คืนวันพฤหัสฯ ที่ผ่านมา ที่สวนเกทเสมเน ที่พระเยซูไปอธิษฐาน จนเหงื่อเป็นเลือด เพราะว่ากลัวมาก กลัวจะต้องเข้าสู่สังเวียน ศึกมหากาฬนี้ เพราะมันหนักมาก หนักถึงขนาดว่าเปลี่ยนใจได้ไหม? เปลี่ยนใจไม่ขึ้นชกได้ไหม? เพราะคิดว่าอาจจะสู้ไม่ไหว ท่านลองคิดดูสิ ขนาดเตรียมมาตั้งหลายพันปีนะ พระเยซูเองบอกหนักมาก ทำไม่ไหว พระเยซูบอกไม่อยากขึ้นไปเลย เพราะว่ามันไม่ไหว แต่ก็ขอให้เป็นไปตามน้ำพระทัย ปรากฏว่าน้ำพระทัยของพระเจ้า เจ้าของค่าย บอกเตรียมไว้เรียบร้อยแล้ว ไม่เป็นไร เราชนะแน่ เพราะฉะนั้น ก็เลยให้พระเยซูขึ้นชก
เริ่มยกแรก ตั้งแต่ถูกจับ โดยเหล่าปุโรหิตของยิว มารก็เริ่มใส่ผ่านทางมนุษย์ ใส่อะไร? เริ่มชก เริ่มอัดพระเยซู จนกระทั่ง เลือดอาบทุกข์ทรมาน ในพระคัมภีร์บอกว่าหน้าพระองค์ ไม่เหมือนหน้ามนุษย์เลย เละไปหมดเลย แย่ ถูกซัด ถูกอัด ถูกเตะ ถูกเฆี่ยน ถูกตี สุดท้ายก็ถูกตั้งแต่คืนวันพฤหัสฯ ต่อเนื่องมาถึงเช้าวันศุกร์ 9 โมงเช้า ถูกตรึงที่ไม้กางเขน ไม่ไหวแล้ว พูดง่ายๆ ว่าบนสังเวียน เราจะเห็นภาพ คือปลายๆ ยกแรก พระเยซูถูกมารซัด ถูกมารใช้ความบาปอัด จนเละไปหมดเลย แพ้ ล้มแล้วล้มอีก กรรมการมานับแปดแล้ว 2-3 ครั้งแล้ว แต่พระเยซูก็ยังลุกขึ้นมายืน โดยหัวหน้าค่ายบอกว่าลุกขึ้นสู้ๆ พระเยซูรับเอาบาปของมวลมนุษยชาติไว้ที่พระองค์ หนักมาก จนกระทั่งไม่ไหวแล้ว สุดท้ายปลายยกที่ 1 พวกมารซาตาน สมุนของมันที่เชียร์อยู่ เฮกันใหญ่ พวกเราชนะแล้ว บุตรพระเจ้าแพ้แล้ว เป็นทาสของเราต่อไป นี่ไง เราชนะแล้ว อัดเลย ก็เชียร์ให้อัดพระเยซูจนถึงที่สุด มารก็เพลิน อัดไปๆ
จนกระทั่งบ่าย 3 โมงของวันศุกร์ ยกแรกใกล้จะหมด พระเยซูไม่ไหวแล้ว บ่าย 3 โมงของวันศุกร์พระเยซูปล่อยหมัดเด็ด หมัดเดียวอยู่เลย ถามว่าหมัดนั้นคืออะไร? ฝั่งพระเยซูกำลังพ่ายแพ้ แต่บ่าย 3 โมง อัดด้วยความรุนแรงสุดขีด ปรากฏว่าเกิดหมัดเด็ด คือพระเยซูทรงสิ้นพระชนม์ ตายบนไม้กางเขน นั่นแหละคือหมัดเด็ด ที่พระเจ้าเตรียมไว้ เป็นหมัดที่ผมตั้งชื่อให้ เมื่อเช้าวันนี้เองว่าการสิ้นพระชนม์ของพระเยซูในปลายยกที่ 1 นั่น เป็นหมัดเด็ดที่เรียกว่า “ไพรีพิฆาต” หมัดเดียวอยู่เลย บ่าย 3 โมง สิ้นพระชนม์ หมัดไพรีพิฆาตซัดลงไปที่มารซาตาน เกิดอะไรขึ้น มารซาตานล้มลงไปเลย ล้มไป กรรมการก็ไปนับ 1, 2, 3 ถึง 8 กระดิ่งหมดยก ลุกขึ้นมางงๆ เกิดอะไรขึ้น สติสตังค์ยังไม่กลับมาอยู่ที่ตัวเลย
ต่อมาเป็นยกที่ 2 เริ่มต้นยก มารก็ยังงงๆ อยู่เกิดอะไรขึ้น ตะกี้เราชนะมาตลอด ทำไม มันเกิดอะไรขึ้น ยังงงๆ
ยกที่ 2 ผมให้ชื่อยกว่า “ยืนยันอยู่ในอุโมงค์” คือยืนยันว่าพระองค์ทรงตายจริงๆ การสิ้นพระชนม์ของพระองค์ที่ไม้กางเขนนั้น พระองค์ตายจริงๆ พระองค์เป็นตัวแทนของมนุษย์จริงๆ ร่างของพระองค์ เป็นแบบของมนุษย์จริงๆ ฝังอยู่ในอุโมงค์จริงๆ นั่นแหละครับ มารยังงงอยู่ พวกตัวเชียร์ทั้งหลายของมาร มันคุยกันใหญ่ มันเกิดอะไรขึ้น งงอยู่
“แล้วพระบุตรของพระเจ้าตายได้อย่างไร? ปกติต้องไม่ตายสิ พระเจ้าต้องอยู่นิรันดร์ ไม่ตาย แล้วนี่ตายได้อย่างไร?”
กำลังสับสน แต่ยกที่ 2 ของการแข่งขัน ก็ยังเป็นการแข่งขันอยู่ เพราะว่ามันยังไม่ได้ชนะ กรรมการยังไม่ได้จับให้มือพระเยซูยกขึ้น เป็นผู้ชนะ เห็นไหม? เพราะฉะนั้น พอกำลังงงอยู่ ก็ลุกขึ้น พระเยซูก็เดินเข้าไปอย่างสบายๆ นอนมาแล้วสบายๆ เลย พระเยซูก็ซัดหมัดที่ 2 ปลายยกที่ 2 ซัดเต็มที่เลย โครม ลอย ล้มลงไป กรรมการนับ หมัดที่ 2 ในยกที่ 2 ผมตั้งชื่อให้ว่า “หมัดมัจจุราชสิ้นฤทธิ์” ซาตาน เจ้าแห่งความบาปและความตาย ถูกตัวแทนของมนุษย์ คือพระเยซูคริสต์ ซัดหมัดที่ 2 ไป ลอย ล้มลงไปกองอยู่บนเวที กรรมการวิ่งมานับ ปกติต้องนับ 10 นับไปถึง 8 กระดิ่งช่วยอีก หมดยก
พอยกที่ 3 มารซาตานคราวนี้งงใหญ่เลย หัวปั่นไปหมดแล้ว เริ่มต้นที่ยกที่ 3 ปุ๊บ พระเยซูเดินไปเฉยๆ ง่ายๆ แล้วก็ปล่อยหมัดเด็ดที่สุด สุดท้าย เหยียบหัวมารแหลก เหมือนดั่งที่พระเจ้าได้เตรียมแผนการไว้ตั้งแต่สมัยปฐมกาล ด้วยวิธีการให้พระเยซูใช้หมัดพิเศษ หมัดนี้ ยกที่ 3 เรียกว่า “เป็นขึ้นจากตาย” ผมให้ชื่อหมัดนี้ว่า “หมัดผู้พิชิตนิรันดร์” อันนี้กรรมการยังไม่ทันนับ หลับไปเลย จบไปเลย ผู้พิชิตนิรันดร์ พูดง่ายๆ ว่าหมัดนี้เรียกว่าหมัดตอกฝาโลง เพราะไม่ต้องนับแล้ว เพราะสลบไปเลย ไม่ลุก ลุกไม่ขึ้น แล้วกระดิ่ง ก็ช่วยไม่ได้ เพราะต้นยกเอง จำไว้เลยนะ
ยกที่ 1 สิ้นพระชนม์ หมัดไพรีพิฆาต
ยกที่ 2 ยืนยันในอุโมงค์ หมัดมัจจุราชสิ้นฤทธิ์
ยกที่ 3 เป็นขึ้นจากตาย หมัดผู้พิชิตนิรันดร์
ตื่นเต้นยังไม่หายเลยนะ ตื่นเต้นขนาดไหน? เพราะฉะนั้น มหากาพย์แห่ง สงครามฝ่ายวิญญาณ ซาตาน เจ้าแห่งความบาปและความตาย VS คือสู้กับพระเยซูคริสต์ ตัวแทนของมนุษยชาติ ผลออกมาเรียบร้อยแล้วว่ามนุษยชาติได้รับชัยชนะแล้ว กองเชียร์ของมนุษย์เฮกัน กระโดดขึ้นมาแบบโลดเต้นไปเลย กองเชียร์มารหน้าเศร้า แตกฮือไปหมดเลย มนุษย์เฮกันใหญ่ ไชโย โห่ฮิ้ว มา 2,000 ปีแล้วมันเป็นอย่างนี้ ในหนังสือ 1 โครินธ์ 15:55-57 ได้บันทึกเลยว่าเหตุการณ์นี้ ความเฮนี้ เขียนไว้ว่าอย่างไร? ลองอ่านดู ท่านคิดดูว่าถ้าท่านเป็นมนุษย์ แล้วรู้ความจริงเหล่านี้ ท่านจะเฮไหมตั้งแต่ตรงนั้นมา แล้วมันเฮมาตลอด เพราะเป็นการพิชิตนิรันดร์ คือชัยชนะนิรันดร์นั่นเอง
1 โครินธ์ 15:55-57 “55 “ความตายเอ๋ย ไหนล่ะชัยชนะของเจ้า? ความตายเอ๋ย ไหนล่ะเหล็กไนของเจ้า?” 56 เหล็กในของความตาย คือบาป และอานุภาพของบาป คือบทบัญญัติ 57 แต่ขอบพระคุณพระเจ้า! พระองค์ประทานชัยชนะแก่เรา โดยทางองค์พระเยซูคริสต์เจ้าของเรา”
ภาษาเดิมตรงนี้ คำแรกเลย ใช้คำว่า “มัจจุราช” แปลตรงๆ เลยนะ แปลว่าความตาย แต่เวอร์ชั่นที่ใช้คำว่า “มัจจุราช” ผมชอบ มันตรงกับเรื่องราวที่ตะกี้ผมเล่าให้ฟัง
“มัจจุราชเอ๋ยชัยชนะเจ้าอยู่ที่ไหน?” ไหนล่ะ มัจจุราช แกเคยเป็นเจ้านาย เป็นใหญ่เหนือมนุษยชาติใช่ไหม? บัดนี้ แกแพ้แล้ว เพราะฉะนั้น ขอบคุณพระเจ้า พระองค์ประทานชัยชนะให้แก่เราทั้งหลาย โดยผ่านทางตัวแทนของเรา คือองค์พระเยซูคริสต์ของเรา เฮๆ ตลอด 2,000 ปีแล้ว เราจะเฮตลอดไปถึงนิรันดร์ เพราะฉะนั้น บอกเลย ความตายเอ๋ย มัจจุราชเอ๋ย เจ้าแห่งความบาปและความตาย แกอยู่ที่ไหน? แกไม่มีฤทธิ์อำนาจเหนือฉันอีกต่อไปแล้ว ฉันคือมนุษย์ผู้มีชัยชนะเหนือแก เจ้ากรรมนายเวรเอ๋ยอยู่ที่ไหน? ไม่ต้องมาจ่ายอะไรให้แก ไม่เป็นทาสแกอีกต่อไปแล้ว แกพ่ายแพ้ไปเรียบร้อยแล้ว แกอย่ามาหลอก
จากการที่พระเยซูเอาชนะความบาป และความตาย ชนะมาร อำนาจของมัน จนหมดสิ้น ผลก็คือบรรดามวลมนุษยชาติทั้งปวง ย้ำอีกที ผลของมัน คือมวลมนุษยชาติทั้งปวง ได้รับชัยชนะไปด้วย เพราะพระองค์เป็นตัวแทนเราไง เหมือนสมัยก่อน ตอนที่สร้างโลกใหม่ๆ ตัวแทนเรา ก็คือบรรพบุรุษของเรา คืออาดัมและเอวา ได้พ่ายแพ้ไป เราทั้งหลาย ก็แพ้ไปด้วย ไม่ได้ทำอะไรเลย ยังพ่ายแพ้เลย ยังไม่ทันเกิดมา ก็พ่ายแพ้แล้ว เป็นมนุษย์ก็พ่ายแพ้แล้ว เพราะมนุษยชาติพ่ายแพ้เขา พ่ายแพ้มารซาตาน แต่บัดนี้ 2,000 ปี ที่ผ่านมา พระเยซูได้ชนะมาร ชนะความบาปและความตายแล้ว เอาชัยชนะนั้นมาให้กับมนุษยชาติทั้งปวง ยังไม่ทันเกิด ก็ชนะแล้ว เหมือนกัน ทั้งหมดนี้บันทึกอยู่ในพระคัมภีร์ทั้งสิ้น
พระเยซูคริสต์ในพระคัมภีร์จึงได้ชื่อว่าเป็นผู้พิชิตความตาย ผู้พิชิตมาร เจ้าแห่งความตายและความบาป โดยพระองค์ยอมเสียสละ ยอมแบกรับเอาความทุกข์ทรมาน มาไว้ที่พระองค์บนไม้กางเขน ยอมเลือดอาบ ถูกอัดตั้งแต่ยกแรกเต็มๆ จนเกือบพ่ายแพ้ จนสุดเลย ถึงจะได้ชัยชนะมา แต่บรรดามนุษยชาติทั้งปวง ได้รับชัยชนะนี้ด้วย โดยไม่ต้องทำอะไรเลยแม้แต่นิดเดียว ซึ่งในพระคัมภีร์เรียกว่าพระคุณ พระคัมภีร์จึงบันทึกไว้ว่ามนุษยชาติทั้งปวงที่ได้รับพระคุณนี้ จึงถูกเรียกว่าเป็นยิ่งกว่าผู้พิชิต ท่านเป็นคนใช่ไหม? ท่านเป็นมนุษยชาติใช่ไหม? ท่านเป็นยิ่งกว่าผู้พิชิต เพราะพระเยซูคริสต์เป็นผู้พิชิตความตาย พิชิตมาร ท่านเป็นยิ่งกว่า ใหญ่กว่าผู้พิชิต ก็คือใหญ่กว่าพระเยซูอีก เพราะว่าท่านไม่ต้องทำอะไรเลย พระเยซูทนทุกข์ทรมาน ทำซะเหนื่อยสาหัสสากัน และเอาชัยชนะนั้นมาให้กับท่าน ผู้ไม่ต้องทำอะไรเลย บอกได้ เอาไปเลย เหมือนกับชนะ เอามงกุฎแห่งชัยชนะมาจากเวที เลือดอาบ ขับรถกลับบ้าน เอาไปให้เราทั้งหลายที่อยู่ที่บ้าน เชียร์อย่างเดียว นี่แหละ เราทั้งหลายจึงเป็นยิ่งกว่าผู้พิชิต
นี่คือเหตุผลที่ว่าทำไมเราจึงเรียกวันอีสเตอร์ว่าเป็นวันประกาศชัยชนะครั้งยิ่งใหญ่ และที่สำคัญที่สุดแห่งประวัติศาสตร์ของมวลมนุษยชาติ ในโลกวิญญาณ มีการเปลี่ยนแปลงอะไรมากมายมหาศาล ไม่ว่าคุณจะเชื่อหรือไม่เชื่อก็ตาม อย่างที่ผมบอก ไม่ว่ามนุษย์ได้ยินได้ฟังเรื่องนี้ เชื่อหรือไม่เชื่อก็ตาม ความจริง คือโลกวิญญาณ มันมีอยู่จริงๆ และมนุษย์เป็นวิญญาณ สิ่งที่ตาเรามองไม่เห็น หูไม่ได้ยิน มือสัมผัสไม่ได้ คือโลกฝ่ายวิญญาณมีอยู่จริงๆ และทุกคนก็พยายามแสวงหาความจริง ในโลกวิญญาณ และนี่คือสิ่งที่พระเจ้าผู้สร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก ผู้เป็นเจ้าแห่งโลกวิญญาณ ได้อธิบายความจริงให้กับเราฟัง และนี่คือความจริงที่เกิดขึ้นในโลกวิญญาณ ที่ผมเล่าให้ฟัง ศึกสงครามที่พระเยซูชนะมาร พิชิตมารแล้วนั้น มันได้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ในหน้าประวัติศาสต์ของมนุษยชาติบนโลกใบนี้ และในโลกวิญญาณด้วย เปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิง มนุษยชาติได้ก้าวเข้าสู่ยุคใหม่
มนุษยชาติทั้งปวง เมื่อพระเยซูสิ้นพระชนม์ และเป็นขึ้นจากความตายแล้ว มนุษย์ทั้งปวงได้ก้าวเข้าสู่ยุคใหม่ ยุคพันธสัญญาใหม่ ยุคพระคุณ ยุคนิรโทษกรรม เป็นอิสระจากการเป็นทาสของความบาปและความตาย เป็นยุคที่มนุษยชาติสามารถอพยพกลับบ้านของเขา คือสวรรค์ สู่อ้อมกอดของพ่อของเขา พ่อแห่งฟ้าสวรรค์ เจ้าของสวรรค์ เป็นยุคแห่งการพักผ่อน หายเหนื่อยและเป็นสุขของมนุษยชาติทั้งปวง ไม่ต้องจ่ายหนี้ ไม่ต้องเป็นหนี้บาปเวรกรรมใคร คอยผ่อนให้อีกต่อไปแล้ว เพราะเขาเป็นอิสระเรียบร้อยแล้ว เอาความจริงนี้เข้าไปใช้ในชีวิต นั่นแหละ เป็นยุคใหม่
อย่างที่ผมบอก สิ่งเหล่านี้มันเกิดขึ้นจริงๆ ในโลกฝ่ายวิญญาณ ซึ่งมนุษย์เกี่ยวข้องมากเลย เพราะเราเป็นวิญญาณ เพราะฉะนั้นอยากบอกว่าให้มาใช้สิทธิของท่าน ในชัยชนะนี้ เพราะท่านมีส่วนในชัยชนะนี้ ทิ้งไป ก็ไม่มีใครเอาของท่านไปใช้ได้ เพราะมนุษย์ทุกคนมีส่วนในชัยชนะนี้ทั้งหมด รับชัยชนะนี้เข้าไปอยู่ในชีวิตของท่าน หายเหนื่อยและเป็นสุขเถิด เข้ามาสู่ยุคใหม่ ยุคของพระคุณ ได้รับการไถ่บาป เข้ามาสู่พระคุณของพระเจ้า ให้พระเจ้านำพาชีวิตของท่าน และให้พระเจ้าสอนท่าน บอกท่านถึงเรื่องความจริงในโลกวิญญาณอย่างนี้ต่อไป
ท่านอาจจะเพียงเริ่มต้นรู้แค่นี้ วันนี้เอง ตัดสินใจ ยอมรับว่ามันเป็นจริงตามนี้แหละ แล้วก็สืบสาว หาเรื่องราว เรื่องนี้ต่อไป โดยการคุยกับพระเจ้าเองเลยว่าเรื่องนี้เป็นมาอย่างไร? เกี่ยวกับลูกอย่างไร? เกี่ยวกับฉันอย่างไร? ช่วยนำฉัน สอนฉันที ให้รู้จักเรื่องจริงเรื่องนี้ มากยิ่งขึ้น แค่นั้นเอง ขอบคุณพระเจ้า
เราจะเข้าหัวข้อเรื่องในวันนี้ คือ “พระเยซูเป็นขึ้นแล้ว ฉันเป็นขึ้นด้วย ฉลองการเป็นขึ้นจากความตาย” ตอน 1 วันนี้ผมจะเน้นให้ท่าน สิ่งที่สำคัญที่สุด คือการเป็นขึ้นจากความตาย เราได้ฟังเรื่องราวที่ผมเล่าถ้อยคำ เป็นสตอร์รี่ เป็นการเล่าเรื่องแล้ว ให้เห็นภาพว่าหมัดเด็ดสำคัญสุดท้าย ก็คือหมัดผู้พิชิตนิรันดร์ การเป็นขึ้นจากตายของพระเยซู เป็นหมัดเด็ด ที่ทำให้หัวมารเละ แหลกเลย เพราะฉะนั้นการเป็นขึ้นจากตาย จึงเป็นเรื่องสำคัญมาก เป็นเรื่องของข่าวดีของพระเยซูคริสต์เลยทีเดียว สำคัญถึงขนาดไหน? ถึงขนาดมารมันรู้เรื่องนี้ มารจึงพยายามปกปิดเรื่องนี้ เล่นขี้โกง พูดง่ายๆ มันพ่ายแพ้และหัวแหลก แล้วมันบอกยังไม่แหลก มันขี้โกง เผื่อว่าคนอาจจะไม่ได้ติดตามข่าวในหน้าหนังสือพิมพ์ หรือข่าวที่หน้าทีวี เรื่องเกี่ยวกับศึกมหากาฬครั้งนี้ อาจจะไม่รู้เรื่อง เลยส่งข่าวไปบอกยังไม่ได้แพ้หรอก กรรมการยังไม่ได้นับเลย มันพูดแค่ยก 2 เท่านั้นเอง ที่มันมึนๆ ในยก 2 มันคงกระซิบให้ พรรคพวกที่เชียร์อยู่ว่าสงสัยฉันแพ้แน่ ยก 2 ที่มึนๆ มันคงบอกพรรคพวกอย่างนี้ …
“พวกแกพยายามไปหลอกลวงชาวบ้านเขานะว่าฉันยังไม่แพ้”
พอยกที่ 3 มันถูกน็อค โดยพระเยซูเป็นขึ้นจากความปุ๊บ มารที่มันหลอกลวงมนุษย์ว่าพระเยซูไม่ได้เป็นขึ้นจากตายหรอก ยก 3 ไม่มีหมัดพิชิตนิรันดร์ เริ่มต้นหลอก ผ่านทางมนุษย์ ที่มันสามารถใช้ได้ อย่างเช่นพวกเหล่าหัวหน้าปุโรหิตที่จับพระเยซูไปตรึง ก็เริ่มจ้าง เรียกทหารที่คุมอยู่ที่อุโมงค์ เห็นพระเยซูเป็นขึ้นจากความตาย จ้าง ถ้าใครถาม ให้บอกว่าสาวกมาขโมยศพไป ปิลาตก็ยอมด้วย ปิลาตคือผู้สำเร็จราชการโรมัน ก็เอากับเขาด้วย พยายามที่จะบิดเบือนว่าพระเยซูไม่ได้เป็นขึ้นมาหรอก แต่สาวกมาขโมยร่างของพระเยซูไป สิ่งเหล่านี้พูดแค่ผ่านมาให้เห็นว่ามารก็เริ่มต้นทำงาน
หลังจากการชก ศึกมหากาฬ ในโลกวิญญาณครั้งนี้แล้ว ซึ่งพระเยซูเป็นผู้มีชัยชนะเด็ดขาด มารหัวแหลก เมื่อพระเยซูเป็นขึ้นจากความตาย ไม่กี่เดือนต่อมา ข่าวสะพัดเยอะแยะไปหมดว่าพระเยซูไม่ได้เป็นขึ้นมาหรอก พระเยซูตายที่ไม้กางเขน หลั่งพระโลหิต เพื่อชำระบาปจริง บางรายที่ถูกหลอก แต่พระองค์ไม่ได้เป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่ 3 ก็เริ่มมีหลักข้อเชื่อแบบนี้ แทรกเข้ามาอยู่ในคนที่ติดตามข่าวนี้ หรือเชื่อพระเยซู แบบไม่สะเด็ดน้ำ คนที่ไม่เชื่อ ไม่ต้องพูดถึง ไม่เชื่ออยู่แล้ว คนที่เชื่อก็มีการสู้รบจริง มีการแข่งขันจริง พระเยซูยังไม่ชนะเด็ดขาด ยังไม่ได้เป็นขึ้นจากความตายจริงๆ
เปาโลซึ่งเป็นอัครสาวกในขณะนั้น เป็นผู้พิทักษ์ข่าวดีของพระเจ้าทราบอย่างนี้ รู้อย่างนี้ ไม่ได้เลยนะครับ ต้องจัดการกับเรื่องนี้ เด็ดขาดมาก ก็เริ่มเขียนหลักข้อเชื่อ ที่สำคัญที่สุด ถูกต้องที่สุดของการเชื่อในพระเยซูคริสต์ ในชัยชนะของพระองค์ว่าคืออะไร? หลักข้อเชื่อนี้ พูดถึงความจริงใน 3 ยกที่ผมได้เล่าให้ท่านฟังเป็นสตอร์รี่ไปเมื่อตอนต้นรายการว่าพระเยซูเป็นขึ้นจากความตาย อันนี้เป็นหมัดเด็ดจริงๆ และจำเป็นต้องมีตรงนี้ พระเยซูได้รับชัยชนะจริงๆ และชัยชนะนี้มันเกี่ยวข้องกับชีวิตของพวกเราทุกคนด้วย ใน 1 โครินธ์ 15:1-8
1 โครินธ์ 15:1-8 “1 พี่น้องทั้งหลาย ข้าพเจ้าอยากเตือนท่านให้ระลึกถึงข่าวประเสริฐที่ข้าพเจ้าได้ประกาศแก่ท่าน ซึ่งท่านได้รับไว้และตั้งมั่นอยู่บนฐานนี้ 2 ถ้าท่านยึดมั่นในถ้อยคำที่ข้าพเจ้าประกาศแก่ท่าน ท่านก็จะรอด โดยข่าวประเสริฐนี้ มิฉะนั้นท่านก็เชื่อโดยเปล่าประโยชน์ 3 เพราะเรื่องที่ข้าพเจ้าได้รับมานั้น เป็นเรื่องที่สำคัญที่สุด และข้าพเจ้าได้ถ่ายทอดให้ท่าน คือพระคริสต์ทรงวายพระชนม์ เพราะบาปของเรา ตามที่เขียนไว้ในพระคัมภีร์ 4 ทรงถูกฝังไว้และในวันที่สามพระเจ้าทรงให้พระองค์เป็นขึ้นจากตาย ตามที่พระคัมภีร์ระบุไว้ 5 และทรงปรากฏแก่เปโตร จากนั้นปรากฏแก่อัครทูตทั้งสิบสองคน 6 ต่อมาพระองค์ทรงปรากฏแก่พวกพี่น้องกว่าห้าร้อยคนในคราวเดียว ซึ่งส่วนใหญ่ยังมีชีวิตอยู่ แม้บางคนได้ล่วงลับไปแล้ว 7 จากนั้น พระองค์ทรงปรากฏแก่ยากอบและแก่อัครทูตทั้งปวง 8 และในท้ายที่สุดพระองค์ทรงปรากฏแก่ข้าพเจ้าด้วย ผู้เป็นเหมือนทารกที่คลอดผิดปกติ”
สิ่งที่สำคัญที่สุด คืออะไร? … “ข้าพเจ้าได้ถ่ายทอดให้แก่ท่าน คือพระคริสต์ทรงวายพระชนม์ ตายที่ไม้กางเขน ใช่ไหมครับ เพราะไถ่บาปให้กับท่าน ชำระท่านให้พ้นจากบาป ตามที่เขียนไว้ในพระคัมภีร์”
อันดับที่ 2 ยก 2 … “ทรงถูกฝังไว้ในอุโมงค์ และในวันที่ 3 พระเจ้าทรงให้พระองค์เป็นขึ้นจากความตาย ซึ่งบันทึกเอาไว้ในพระคัมภีร์”
แล้วเปาโลก็เน้นถึงข้อสุดท้าย พระองค์เป็นขึ้นจากความตายจริงๆ โดยที่ยกตัวอย่างพยานว่ามีผู้ติดตาม ผู้เชื่อในพระองค์ ที่ยังมีชีวิตอยู่ ณ ขณะที่บันทึกตรงนี้ บางคนล่วงหลับไปแล้ว ก็มี แต่บางคนยังมีชีวิตอยู่ เขาเหล่านี้ เห็น พบ สัมผัสพระองค์ตอนที่พระองค์เป็นขึ้นจากความตาย พระองค์ทรงปรากฏกับเหล่าสาวกมากกว่า 500 คน
การปรากฏครั้งหนึ่งมีคน 500 กว่าคนมาดู ผมนั่งคิดดู สมัยก่อน ผู้คนไม่ได้เยอะเท่ากับปัจจุบัน ถ้า ณ ปัจจุบัน ก็คือพระองค์ปรากฏครั้งเดียว 500,000 คนได้ไหมเนี้ย จาก 5,000 คนนั้น จาก 500 คน 5,000 คน เป็น 50,000 คน 500,000 คนได้ไหม? เพราะปัจจุบัน คนเยอะมาก เทคโนโลยีอะไรต่างๆ เหล่านี้ ยิ่งถ้าเผื่ออินเตอร์เนต ผมว่าพระองค์ปรากฏแก่คน 50 ล้านคน ไม่ยากเลย แล้วยังยืนยันบอกว่านอกจากปรากฏกับผู้คนเหล่านี้ ไปถามเขาได้เลย บางคนเขายังมีชีวิตอยู่เลยในขณะนี้ ไปกินกาแฟกับเขา ไปกินชากับเขา แล้วไปคุยกับเขาเลยว่าเขาเห็นพระเยซูตายที่ไม้กางเขนกับตา ใส่อุโมงค์ไปกับตา แล้วเขาก็เห็นพระเยซูเป็นขึ้นจากความตาย มานั่งคุยกับเขา ไปสัมภาษณ์เขาได้
เปาโลกำลังจะพูดถึงอย่างนี้ และนอกเหนือจากนั้น เปาโลยังบอกว่าแล้วยังปรากฏกับอัครสาวกคนอื่นๆ เปโตร ยอห์น ยากอบ และรวมถึงอาจารย์เปาโลเองด้วย จากการพบกับพระเยซูระหว่างที่เดินทางไปดามัสกัส จะไปจับชาวคริสเตียนมาใส่คุก ข่มเหงเขา เปาโลกำลังทำอะไร? กำลังยืนยันในหมัดเด็ดของพระเยซู หมัดผู้พิชิตนิรันดร์ คือการเป็นขึ้นจากความตาย ซึ่งสำคัญมาก
และต่อๆ ไปในบทที่ 15 นี้ ซึ่งวันนี้ไม่ได้เอามาให้อ่าน ท่านไปอ่าน ศึกษาต่อไป เปาโลเน้นเรื่องการเป็นขึ้นจากความตายอย่างมาก ว่าการเป็นขึ้นจากความตายของพระเยซูคริสต์ ส่งผลอะไรในชีวิตของเราทั้งหลาย มนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้ เป็นการส่วนตัวเลย หนึ่งในจำนวนนั้น ก็คือการเป็นขึ้นจากความตาย ทำให้เราทั้งหลายได้เกิดใหม่ในวิญญาณ ได้ชีวิตที่พระเยซูเป็นขึ้นจากความตายนั้น เข้ามาอยู่ในชีวิตเรา เป็นอิสระจากการเป็นทาสของบาป ก็คือวิญญาณที่เป็นบาปอยู่นั้น จบสิ้นไป และได้เป็นขึ้นจากความตาย เหมือนพระเยซู ก็คือได้วิญญาณใหม่ โดยพระเจ้า วิญญาณนิรันดร์ เข้ามาแทนที่ มันหมายถึงอย่างนั้นจริงๆ
อาจารย์เปาโลได้บันทึกเรื่องนี้ไว้ในโรม 5:8-10 เกี่ยวกับการเป็นขึ้นจากความตาย ดูสิว่ามันทำอะไรให้กับเรา ในชีวิตนี้บ้างว่าการเป็นขึ้นจากความตาย ถ้ามันเป็นจริงตามนี้ แล้วได้รับผลอะไรเกี่ยวกับชีวิตของเราแต่ละคนบ้าง?
โรม 5:8-10 “8 แต่พระเจ้าทรงสำแดงความรักของพระองค์เองแก่เราทั้งหลาย คือขณะที่เรายังเป็นคนบาปอยู่นั้น พระคริสต์ได้สิ้นพระชนม์เพื่อเรา 9 ในเมื่อบัดนี้เราได้ถูกนับเป็นผู้ชอบธรรมแล้ว โดยพระโลหิตของพระองค์ ยิ่งไปกว่านั้นเราจะรอดพ้นจากพระพิโรธของพระเจ้า โดยพระองค์อย่างแน่นอน! 10 เพราะถ้าเรายังได้คืนดีกับพระเจ้า โดยการสิ้นพระชนม์ของพระบุตรของพระองค์ ในขณะที่เราเป็นศัตรูกับพระองค์ ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อเราได้คืนดีกับพระองค์แล้ว เราก็จะได้รับความรอด โดยพระชนม์ชีพของพระองค์อย่างแน่นอน!”
โรม 5:8-10 ที่เราได้อ่าน ผมจะให้ท่านเน้นตรงนี้ …
เราได้ถูกนับเป็นผู้ชอบธรรมแล้ว โดยพระโลหิตของพระองค์ ก็คือการตายของพระองค์ที่ไม้กางเขน ทำให้เราเป็นผู้ชอบธรรม พ้นจากการเป็นนักโทษ พ้นจากการถูกกล่าวโทษ พ้นจากการที่จะต้องติดคุก พูดง่ายๆ ต้องอาญา แต่ข้อสำคัญอยู่ที่ข้อสุดท้าย ก็คือเราก็จะได้รับความรอด โดยพระชนม์ชีพของพระองค์
นอกจากการตายที่ไม้กางเขนแล้ว เราได้รับการชำระให้หมดบาป หมดเวรหมดกรรม ไม่ต้องติดคุกแล้ว ไม่ต้องใช้หนี้เขาแล้ว เป็นผู้ชอบธรรม ก็คือบริสุทธิ์สะอาด เรียบร้อยแล้ว เราก็จะได้รับความรอด ตรงนี้หมายถึงว่าในวิญญาณ เราก็จะได้รับความรอด จากการเป็นทาสของความตาย พูดง่ายๆ ไม่ใช่ทำบาป วิญญาณที่ตายอยู่ วิญญาณที่เป็นบาป ก่อนที่พระเยซูจะมีชัยชนะ วิญญาณนั้น ก็จะได้รับความรอดจากการเป็นทาส รอดจากการเป็นคนบาป เป็นวิญญาณบาป โดยพระชนม์ชีพของพระองค์ ก็คือโดยการเป็นขึ้นจากความตายของพระเยซู พูดง่ายๆ ว่าการเป็นขึ้นจากความตายของพระเยซู ทำให้เราทั้งหลาย เป็นขึ้นจากความตายเหมือนพระองค์ด้วย แต่ก่อนนี้วิญญาณเราตายอยู่ มีสภาพวิญญาณเป็นบาปอยู่ มีชีวิตนิรันดร์ ก็คือกลับคืนมาเป็นวิญญาณที่ไม่ตายอีกต่อไป เป็นวิญญาณนิรันดร์ มีสภาพเหมือนพระเยซูคริสต์ เป็นวิญญาณแห่งชีวิตนิรันดร์ เหมือนพระเจ้า ตรงนี้หมายถึงอย่างนั้น ในเอเฟซัส 2:5-6 ก็บันทึกไว้ลักษณะเดียวกัน อันนี้ยิ่งชัดใหญ่เลย
เอเฟซัส 2:5-6 “5 จึงทรงให้เรามีชีวิตอยู่กับพระคริสต์ แม้เมื่อเราได้ตายแล้วในบาป คือท่านทั้งหลายได้รับความรอดโดยพระคุณ 6 และพระองค์ทรงให้เราเป็นขึ้นมากับพระคริสต์ และในพระเยซูคริสต์ พระเจ้าทรงให้เรานั่งในสวรรคสถานกับพระคริสต์”
อันนี้อาจจะเข้าใจยากนิดหนึ่ง ผมจะขยายความให้ท่านจากภาษาเดิม จึงได้ทรงกระทำให้วิญญาณของเรา (ของผมและของท่าน ก็คือของมนุษยชาติทั้งปวง) กลับมีชีวิต อยู่กับพระคริสต์ แม้ในขณะที่วิญญาณของเราได้ตายไปแล้วในบาป การเป็นขึ้นจากความตายของพระเยซู ทำให้วิญญาณของเรากลับมีชีวิตอยู่ในพระคริสต์ แม้ในขณะก่อนหน้านี้ วิญญาณของเราได้ตายอยู่ ไม่ใช่กับบาป แต่ตายอยู่ในบาป ก็คือเป็นบาปนั่นเอง วิญญาณท่านเป็นบาป คือท่านทั้งหลายได้รับความรอด รอดจากการลงโทษ จากคำสาปแช่งต่างๆ ด้วยพระคุณ คือเราไม่ต้องทำ และพระองค์ได้ทรงให้วิญญาณของเรา ที่มันตายอยู่ ในบาปนั้น พระเจ้าได้ทรงกระทำให้วิญญาณของเราเป็นขึ้นจากตายพร้อมกับพระเยซูคริสต์ ไม่ใช่กับเฉยๆ ต้องพร้อมกับ ด้วยกันกับ คือพร้อมกันเลย และในพระเยซูคริสต์ พระเจ้าได้ทรงให้เรานั่งในสวรรคสถานกับพระเยซู เพราะเราอยู่ในพระคริสต์แล้ว
ถึงบอกต้องช้านิดหนึ่ง ต้องค่อยๆ ถึงจะเห็นภาพชัดเจนว่าอะไรเกิดขึ้น? เมื่อพระเยซูคริสต์เป็นขึ้นจากตาย
เพราะฉะนั้น การเป็นขึ้นจากความตาย จึงเป็นเรื่องสำคัญมาก สำหรับข่าวดีที่มาถึงมวลมนุษยชาติบนโลกใบนี้ การตายของพระองค์บนไม้กางเขน เป็นพระคุณ เราซาบซึ้ง เราก็รู้ว่ามีสิ่งสำคัญ แต่สิ่งสำคัญมากกว่านั้น ที่พระเจ้าต้องการให้เราไม่ลืม ก็คือการเป็นขึ้นจากความตายของพระเยซูว่ามันเป็นจริงๆ และมีผลต่อชีวิตของเรา อย่างมากมายมหาศาล อย่างนี้แหละ ในโรม 6:3-5 ยิ่งชัดใหญ่
โรม 6:3-5 “3 ท่านไม่รู้หรือว่าเราทั้งปวงที่รับบัพติศมาเข้าในพระเยซูคริสต์ ก็ได้รับบัพติศมาเข้าในความตายของพระองค์? 4 ฉะนั้น เราจึงถูกฝังไว้กับพระองค์แล้ว โดยการบัพติศมาเข้าในความตาย เพื่อว่าเราเองก็จะได้มีชีวิตใหม่เช่นเดียวกับที่ทรงให้พระคริสต์เป็นขึ้นจากตาย โดยพระเกียรติสิริของพระบิดา 5 ถ้าเราได้มีส่วนร่วมกับพระองค์ในการตายเหมือนพระองค์ แน่นอนเราจะมีส่วนร่วมในการเป็นขึ้นจากตายเหมือนพระองค์”
“ท่านไม่รู้หรือว่า?”
แสดงว่ามันเป็นไปแล้ว มันเป็นจริง ท่านไม่รู้หรือว่ามันเกิดขึ้นอย่างนี้ ท่านไม่รู้หรือว่าชีวิตท่านเป็นอย่างนี้ ตอนนี้ เมื่อท่านใช้สิทธิของท่าน ที่พระเยซูคริสต์ได้กระทำที่ไม้กางเขนให้กับท่าน คือได้ตายที่ไม้กางเขน หลั่งพระโลหิต และอยู่ในอุโมงค์ และวันที่ 3 พระองค์ได้ทรงเป็นขึ้นมาใหม่ มีผลต่อมวลชีวิตของมนุษยชาติทั้งปวงทุกคน เมื่อท่านเชื่อในเรื่องนี้ ท่านใช้สิทธิของท่าน พอท่านใช้สิทธิของท่านเรียบร้อยแล้ว โรมข้อนี้เป็นของท่าน พระเจ้ากำลังถามท่าน พอท่านใช้สิทธิของท่าน จะบอกท่านว่าท่านรู้ไหม? ท่านไม่รู้หรือ? มนุษย์ทั้งหลาย ก็คือท่านไม่รู้หรือว่าเราทั้งปวง ก็คือคนเชื่อทั้งปวง เกิดขึ้นกับมนุษย์ทั้งปวง แต่ถ้าไม่เชื่อ มันก็ไม่เกิดผลอะไรขึ้น ท่านไม่รู้หรือว่าเราทั้งปวงที่ได้รับบัพติศมาเข้าในพระคริสต์
คำว่า “บัพติศมาในพระคริสต์” คืออะไร? “บัพติศมา” แปลว่าจุ่มลง มุดลง เข้าไปเป็นหนึ่งเดียวกัน
ท่านไม่รู้หรือว่าเราทั้งปวงที่รับบัพติศมา หมายถึงท่านทั้งหลาย “เรา” ตรงนี้หมายถึงมนุษยชาติ ที่ได้ยินได้ฟังข่าวดีนี้ เรื่องที่พระเยซูตายที่ไม้กางเขน และเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่ 3 แล้วเชื่อ พอเขารับเชื่อ ใช้สิทธิของเขา เขากำลังถูกจุ่มลง ถูกบัพติศมา ยอมรับปุ๊บ ก็ถูกจุ่มลงไป ถูกมุดเข้าไป ถูกใส่เข้าไปในพระเยซูคริสต์
เมื่อท่านได้ยินได้ฟังข่าวดีนี้ เรื่องศึกสงคราม มหากาฬในโลกฝ่ายวิญญาณ ว่าพระเยซูทำอะไร เป็นตัวแทนมนุษย์ และได้รับชัยชนะไปเรียบร้อยแล้ว โดยหมัดเด็ดของพระองค์ 3 หมัดเต็มๆ การตาย การอยู่ในอุโมงค์ และการเป็นขึ้นจากความตาย ในวันที่ 3 ทั้งหมดนี้ เมื่อท่านได้ยินได้ฟัง แล้วท่านเชื่อว่ามันจริง มันเกี่ยวข้องกับชีวิตท่าน เพราะท่านเป็นมนุษย์เช่นเดียวกัน ท่านจะใช้สิทธิของท่านในฐานะมนุษย์ว่า …
“ฉันจะเอาชัยชนะนี้ด้วย ฉันจะขอเป็นขึ้นจากความตาย เหมือนพระเยซูด้วย เพราะพระเยซูเป็นตัวแทนของมนุษยชาติ เท่ากับเป็นตัวแทนฉัน”
เมื่อท่านประกาศอย่างนี้ เชื่ออย่างนี้ปุ๊บ ในพระคัมภีร์ใช้คำว่า “ท่านรับเชื่อในข่าวดีนี้” ทันทีที่ท่านเชื่ออย่างนี้ ด้วยปากและด้วยใจ ท่านไม่ต้องไปทำพิธีที่ไหนเลย ด้วยปากของท่านพูดว่า ..
“ฉันเชื่อข่าวดีนี้ ข่าวดีนี้เป็นอย่างนี้ พระเยซูตายที่ไม้กางเขน เพื่อฉัน พระเยซูอยู่ในอุโมงค์ ยืนยันการตายจริงๆ ของพระองค์ และพระองค์ทรงเป็นขึ้นมาใหม่ ในวันที่ 3 ฉันเชื่อในเรื่องนี้ ขอพระเจ้าเข้ามาสถิตอยู่กับฉัน ฉันเชื่อแล้วว่าพระองค์เป็นตัวแทนของฉัน”
ทันใดนั้นเอง เกิดสิ่งหนึ่งขึ้นมา คือพระเจ้าได้ผ่าตัดวิญญาณของท่าน เอาวิญญาณของท่านบัพติศมาเข้าไปในพระคริสต์ คือเอาท่านจุ่มลงไปในพระคริสต์ มุดลงไปในพระคริสต์
ท่านไม่รู้หรือว่าเราทั้งปวง ที่ได้รับเชื่อในข่าวดีนี้ ได้รับบัพติศมามุดเข้าไปในพระเยซูคริสต์ ก็ได้รับบัพติศมาเข้าในความตายของพระองค์ด้วย ก็คือเข้าไปมุดอยู่ในการตายของพระองค์ ฉะนั้น เราจึงถูกฝังไว้กับพระองค์แล้ว โดยการบัพติศมา โดยการจุ่มเข้าไปเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์ พูดง่ายๆ ว่าพระองค์ทรงตายที่ไม้กางเขน เราก็ตายด้วย เพราะเราอยู่ในพระคริสต์ พระคริสต์ตายที่ไม้กางเขน เราก็ตายอยู่ที่ไม้กางเขนด้วยเช่นเดียวกัน พระคริสต์ถูกฝังไว้ในอุโมงค์ เราก็อยู่ในอุโมงค์ด้วย ในนี้บอกว่าเพื่อว่าเราเองก็จะได้มีชีวิตใหม่ เช่นเดียวกันกับพระองค์ ที่ทรงให้พระคริสต์ เป็นขึ้นจากตาย โดยพระเกียรติสิริของพระบิดา ก็คือเราทั้งหลายก็สามารถที่จะเป็นขึ้นจากความตายด้วย เพราะเราอยู่ในพระคริสต์ ถ้าเราได้มีส่วนร่วมกับพระองค์ในการตาย ก็คือเราจุ่มลงไปแล้ว เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์แล้ว เมื่อพระองค์ตาย เราก็ตายด้วย เหมือนพระองค์ แน่นอน เราจะมีส่วนร่วมในการเป็นขึ้นจากความตาย เหมือนพระองค์ด้วยเช่นเดียวกัน
ง่ายๆ นิดเดียว ผมจะยกตัวอย่างให้ท่านดู สมมติว่าไอโฟน คือวิญญาณของเราทั้งหลาย พระคัมภีร์นี้เป็นพระคริสต์ พระเยซูที่ตายที่ไม้กางเขน ถูกฝังไว้ในอุโมงค์ และวันที่ 3 เป็นขึ้นจากความตาย บัพติศมาหมายถึงอะไร? พอท่านเชื่อในเรื่องนี้ ในข่าวดีนี้ ทันทีทันใดนั้น ด้วยความเชื่อของท่าน พระเจ้าก็ให้ท่านเข้าไปบัพติศมา คือเข้าไปอยู่อย่างนี้ ตอนนี้ไอโฟนผมเข้าไปอยู่ในพระคัมภีร์แล้ว ตอนนี้ ไอโฟนผม คือวิญญาณของผมเข้าไปอยู่ในพระคัมภีร์ คือพระคริสต์ มันแปลว่าอย่างนี้ โรม 6:3-5 ที่เรากำลังศึกษาอยู่นี้ เป็นแบบนี้
บัพติศมา แปลว่ามุด เข้าไปเป็นหนึ่งเดียวกัน ตอนนี้ไอโฟนเข้าไปเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระคัมภีร์เล่มนี้แล้ว พระคัมภีร์คือพระคริสต์ ไอโฟนคือวิญญาณของมนุษย์ที่เชื่อในข่าวดีนี้ พอเริ่มเชื่อปุ๊บ เป็นอย่างนี้ พอมันเป็นอย่างนี้ แล้วเกิดอะไร? พระคัมภีร์บอกว่าพระคริสต์ได้ตายที่ไม้กางเขน เห็นไหมครับตอนนี้ตายที่ไม้กางเขนแล้วนะ เราที่อยู่ในพระคริสต์ ก็ตายด้วย ไม่ต้องทำอะไรเลย พระเยซูตาย เราก็ตายด้วย พระคัมภีร์อยู่ตรงนี้ ไอโฟนก็อยู่ตรงนี้ด้วย เสร็จแล้วต่อมาพระเยซูคริสต์ถูกฝังไว้ในอุโมงค์ เราทั้งหลายที่อยู่ในพระคริสต์ก็ถูกฝังในอุโมงค์ด้วยเช่นเดียวกัน ไอโฟนอยู่ในพระคัมภีร์ พระคัมภีร์อยู่ในอุโมงค์ พระคัมภีร์ลงมาข้างล่าง ไอโฟนก็อยู่ในนั้นด้วย วันที่ 3 พระเยซูเป็นขึ้นจากความตาย พระเจ้ายกพระเยซูขึ้นสูงสุด ให้นั่งอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้าในสวรรคสถาน นั่งอยู่กับพระเจ้านะ ถามว่าไอโฟนตอนนี้อยู่ไหน? ไอโฟนอยู่ที่สูงสุด อยู่ในพระคัมภีร์ไบเบิ้ลที่ถูกยกขึ้นสูงสุด ไอโฟนที่อยู่ในพระคัมภีร์ไบเบิ้ลที่ถูกยกขึ้นมาสูงสุด ไอโฟนไม่ต้องทำอะไรเลย เพราะอยู่ในพระคัมภีร์ไบเบิ้ลแล้ว วิญญาณของเราถูกยกขึ้นมาสูงสุด โดยเราไม่ต้องทำอะไรเลย เพราะวิญญาณของเราอยู่ใน หรือบัพติศมา มุดเข้าไปเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระคริสต์ เมื่อพระเจ้าให้พระเยซูคริสต์เป็นขึ้นจากความตาย และยกพระองค์ขึ้นสูงสุด เราทั้งหลายอยู่ในพระคริสต์ ก็ถูกยกขึ้นมาด้วยเช่นเดียวกัน นั่งอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้า ในสวรรคสถาน คำว่าเบื้องขวาของพระเจ้า ก็คือสำเร็จราชการแทนพระองค์ ได้รับฤทธิ์อำนาจทั้งหมด สิทธิทั้งหมด ในสวรรค์ก็ดี ในโลกก็ดี อยู่ในมือของพระเยซูคริสต์ ก็คืออยู่ในมือของเราด้วย เพราะเราอยู่ในพระคริสต์ เมื่อพระคริสต์ชนะ เราก็ชนะด้วย เอเมน เมื่อพระคริสต์ครอบครอง เราก็ครอบครองด้วยเช่นเดียวกัน เอเมน เมื่อพระคริสต์ถูกยกขึ้นนั่งอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้า สำเร็จราชการ ในมหาจักรวาล เราก็ได้รับสิทธิอำนาจนั้น ด้วยเช่นเดียวกัน โดยไม่ต้องทำอะไรเลย เรียกว่าเป็นยิ่งกว่าผู้พิชิตนั่นเอง
สุดท้าย เมื่อมันสำคัญ พระคัมภีร์ไบเบิ้ล พระเจ้าจึงอยากให้มนุษย์ทั้งหลาย อย่าลืมๆ อย่าลืมสิ่งนี้เด็ดขาดว่ามันเกิดอะไรกับเราบ้าง อย่างที่บอกเริ่มต้นที่เมื่อตะกี้ที่เราอ่าน โรม 6:3-5 บอก …
“ท่านไม่รู้หรือว่าเราทั้งปวง ที่เชื่อในเรื่องนี้แล้ว ได้ถูกจุ่มลงไป มุดลงไปเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระคริสต์”
จึงใช้คำว่า “ท่านไม่รู้หรือว่า” คืออยากให้ท่านรู้จริงๆ
พระเจ้าจึงเตือนเราอย่างนี้ ว่าเมื่อเรารู้อย่างนี้แล้ว ให้เราทำอย่างไร? โคโลสี 3:1-4
โคโลสี 3:1-4 “1 ในเมื่อทรงให้ท่านทั้งหลายเป็นขึ้นกับพระคริสต์แล้ว ก็จงให้ใจของท่านจดจ่อกับสิ่งที่อยู่เบื้องบน ที่ซึ่งพระคริสต์ประทับอยู่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้า 2 จงให้ความคิดของท่านจดจ่ออยู่กับสิ่งเบื้องบน ไม่ใช่สิ่งฝ่ายโลก 3 เพราะท่านตายแล้ว และบัดนี้ชีวิตของท่านถูกซ่อนอยู่กับพระคริสต์ในพระเจ้า 4 เมื่อพระคริสต์ผู้ทรงเป็นชีวิตของท่านปรากฏ เมื่อนั้นท่านก็จะปรากฏพร้อมกับพระองค์ในพระเกียรติสิริด้วย”
ในเมื่อทรงให้ท่านทั้งหลาย ที่เชื่อและใช้สิทธิของท่าน ในข่าวดีนี้ เป็นขึ้นกับพระคริสต์แล้ว ถูกยกขึ้นสูงสุดอย่างนี้แล้ว ก็จงให้ใจของท่านจดจ่อกับสิ่งที่อยู่เบื้องบน ก็คือโลกฝ่ายวิญญาณ ที่เรานั่งอยู่เบื้องขวาของพระเจ้าในสวรรคสถานอย่างนี้ นึกถึงภาพดีๆ ว่าเราอยู่ในพระคริสต์ แล้วพระคริสต์อยู่สูงสุด เราอยู่ตรงนั้นแล้ว ที่วิญญาณของเรา จดจ่อสิ่งที่อยู่เบื้องบน คือจดจ่อ หมายถึง Set mind ก็คือตั้งความคิด จดจ่อทั้งวันและทั้งคืน ให้เห็นภาพนี้ตลอดเวลา ในโลกวิญญาณ ซึ่งมองไม่เห็น บอกตัวเองว่าจงมองให้เห็นเถิด ในโลกวิญญาณว่ามันเป็นอย่างนี้แหละ อย่าถูกหลอกอีก จดจ่อกับสิ่งที่อยู่เบื้องบน ที่ซึ่งพระคริสต์ประทับอยู่เบื้องขวาของพระเจ้า ในสวรรคสถาน จงให้ความคิดทั้งหมดของท่าน อยู่กับสิ่งที่อยู่เบื้องบน คือโลกวิญญาณ อย่างความจริงอย่างนี้ ไม่ใช่ลงมาดูอะไรต่างๆ เหล่านี้ ที่จับต้องมองเห็นได้บนโลกใบนี้ ที่มารพยายามหลอกลวงว่ามันยังไม่แพ้นะ ยังชนะนะ พวกแกยังต้องส่งส่วยให้ฉันนะ ต้องชำระหนี้บาป เวรกรรมอีกต่อไป ยังไม่หมดเวรกรรมหรอก ไม่มองในระบบโลกนี้ที่มองเห็นได้ แต่มองทะลุเข้าไปในโลกฝ่ายวิญญาณว่าเราชนะแล้ว
ข้อ 3 บอกว่าเพราะท่านตายแล้ว และบัดนี้ชีวิตของท่านถูกซ่อนอยู่กับพระคริสต์ ตรงนี้ต้องเปลี่ยนนิดหนึ่ง “ถูกซ่อนอยู่กับพระคริสต์” แก้เป็น “ถูกซ่อนอยู่ในพระคริสต์กับพระเจ้า” ถูกซ่อนอยู่ในพระคริสต์แล้วยังอยู่กับพระเจ้า พูดง่ายๆ มองไปโลกฝ่ายวิญญาณให้รู้ว่าตัวเก่าของท่านที่เป็นวิญญาณบาป เป็นทาสของมารซาตาน เป็นวิญญาณแห่งความตายนั้น วิญญาณสกปรกดำมืด บัดนี้มันจบไปแล้ว มันตายไปแล้ว แล้วมันได้เกิดใหม่แล้ว ชีวิตของท่านเกิดใหม่ โดยถูกซ่อนอยู่ แอบอยู่ในพระคริสต์ เข้าไปบัพติศมา อยู่ในพระคริสต์แล้ว และอยู่กับพระเจ้า อย่างที่ผมบอกว่าไม่ใช่พระเจ้าอย่างเดียว แล้วก็มีพี่เลี้ยง คือพระวิญญาณบริสุทธิ์ เพราะฉะนั้น จงจำไว้ จงมองให้เห็นเถิดว่าท่านจะไปไหนก็ตาม วิญญาณท่านมีอีก 3 วิญญาณที่อยู่กับท่าน พระเจ้าพระบิดา พระเจ้าพระบุตร พระเยซู แล้วพระเจ้าพระวิญญาณบริสุทธิ์ 3 พระภาคนี้ ไปไหนไปด้วยกันกับท่าน เป็นหนึ่งเดียวกันกับวิญญาณของท่านเลยทีเดียว และมีสิทธิอำนาจยิ่งใหญ่สูงสุด มันหมายถึงอย่างนั้น ให้เราจำ ให้เรามองสิ่งต่างๆ เหล่านี้ มันเกิดขึ้นในโลกวิญญาณแล้วว่ามันเป็นจริง
ข้อ 4 บอกว่าเมื่อพระคริสต์ทรงเป็นชีวิตของท่านปรากฏ ก็คือเมื่อท่านอยู่ในพระคริสต์ ปรากฏ ก็คือพระเยซูคริสต์จะกลับมาอีกครั้งหนึ่ง เพื่อพิพากษาโลกใบนี้ เมื่อพระเยซูคริสต์กลับมา เมื่อนั้นเราก็จะได้รับร่างกายใหม่ เหมือนพระเยซูคริสต์เลย เราก็จะได้ปรากฏพร้อมกับพระองค์ในเกียรติสิริด้วย ก็คือเมื่อพระเยซูกลับมา เราทั้งหลายก็ปรากฏ ก็คือเราทั้งหลาย ก็ได้รับร่างกายใหม่ ร่างกายที่เป็นขึ้นจากความตาย เหมือนที่พระเยซูเป็นขึ้นจากความตาย ออกจากหลุมฝังศพอย่างนี้ เราทั้งหลาย ก็กลับคืนสู่ชีวิตใหม่ โดยร่างกายของเรา เป็นร่างกายใหม่ ที่พระเจ้าจัดเตรียมไว้ให้ วิญญาณ ความคิดจิตใจ ที่ใหม่ ก็จะสวมร่างกายใหม่ ที่พระเจ้าจัดเตรียมให้ เป็นร่างกายที่เหมือนพระเยซูเลย ร่างกายที่ไม่ต้องเจ็บปวด ไม่ต้องทุกข์ทรมาน ไม่ต้องเป็นไข้ เป็นหวัด ไม่ต้องกลัวเป็นโควิดอีกต่อไป ไม่ต้องมีความทุกข์ทรมานอีกต่อไป ไม่ต้องมีน้ำตาอีกต่อไป เป็นร่างกายสวรรค์ ร่างกายที่เป็นขึ้นจากความตาย เหมือนพระเยซู ซึ่งเป็นของเรานั้น เราก็จะได้รับในวันนั้น และเราก็จะอยู่อย่างนั้น เหมือนที่พระเยซูอยู่ ณ วันนี้ ตลอดชั่วนิจนิรันดร์ ในสวรรค์ของพระเจ้า เอเมน
เพราะฉะนั้น อยากจะบอกว่านี่คือความจริง เพียงท่านใช้สิทธิของท่านเท่านั้นเอง ไม่ต้องทำอะไรเลย เขาเรียกว่าพระคุณ เราเป็นยิ่งกว่าผู้พิชิต พระเยซูเป็นผู้พิชิต ทำให้เราเรียบร้อยไปแล้ว เราเพียงแต่ยกมือบอก …
“ฉันเอาด้วย ฉันรับด้วย ฉันต้องการ”
แค่นั้นเอง ที่เหลือพระเจ้าพระบิดาจัดการเองทั้งหมด ขอพระเจ้าอวยพรครับ
*************************