คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 8 มีนาคม 2020 เรื่อง “จงชื่นชมยินดีอยู่เสมอ” ตอน 1 โดย นคร เวชสุภาพร

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  8  มีนาคม  2020

 เรื่อง “จงชื่นชมยินดีอยู่เสมอ” ตอน 1

โดย นคร  เวชสุภาพร

            สวัสดีครับ วันนี้คำบรรยายก็มีเรื่องเดียว มันจำเป็น ไม่พูดเรื่องนี้ ถือว่าเชยมาก เหตุการณ์ในช่วงนี้ คงไม่มีอะไรน่าสนใจ น่าตื่นเต้นเท่ากับเรื่องโควิด-19 ใช่ไหม? ที่ทั่วโลกกำลังเผชิญกันอยู่ และบรรดามนุษยชาติทั่วทั้งโลกกำลังอยู่ในอาการหวาดผวา วิตกกังวล กลัว ข่าวที่ออกมาแต่ละวัน ก็ยิ่งเพิ่มความเครียด เพิ่มความวิตกกังวล เพิ่มความกลัวเข้าไปเรื่อยๆ มากขึ้นทุกวันๆ ฉะนั้น ใครที่ชอบบริโภคข่าว ก็บันยะบันยังบ้าง

เพราะฉะนั้น วันนี้เราจะคุยกันว่าแล้วเราที่เป็นคริสเตียน  เป็นผู้เชื่อแล้ว พระเจ้าสถิตอยู่กับเราแล้ว เราควรจะมีท่าทีอย่างไรต่อภาวะวิกฤตอย่างนี้ ถือเป็นโชคดีสำหรับเราทุกคนที่เกิดมาเป็นคริสเตียน แล้วมีโอกาสได้เจออะไรแบบนี้ เราจะได้รู้ว่าคริสเตียนเราควรจะทำอย่างไร? ตอบสนองอย่างไรต่อสถานการณ์ปัญหาที่กำลังเผชิญอยู่ วันนี้เราจะมาเริ่มที่ฟิลิปปี 4:4-8

ฟิลิปปี 4:4-8 “4 จงชื่นชมยินดีในองค์พระผู้เป็นเจ้าเสมอ ข้าพเจ้าขอย้ำอีกครั้งว่าจงชื่นชมยินดีเถิด 5 ให้ความสุภาพอ่อนโยนของท่าน เป็นที่ประจักษ์แก่คนทั้งปวง องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงอยู่ใกล้แล้ว 6 อย่ากระวนกระวายในเรื่องใดๆ เลย แต่จงทูลขอทุกสิ่งต่อพระเจ้า ด้วยการอธิษฐานและการอ้อนวอน พร้อมกับการขอบพระคุณ 7 แล้วสันติสุขของพระเจ้า ซึ่งเกินความเข้าใจ จะปกป้องความคิดจิตใจของท่านไว้ในพระเยซูคริสต์ 8 สุดท้ายนี้ พี่น้องทั้งหลาย จงใคร่ครวญถึงสิ่งที่เลอเลิศ หรือสิ่งที่ควรสรรเสริญ คือสิ่งที่จริง สิ่งที่น่านับถือ สิ่งที่ถูกต้อง สิ่งที่บริสุทธิ์  สิ่งที่น่ารัก  สิ่งที่น่ายกย่อง”

 

ก่อนอื่นเรามาฟังเบื้องหลังก่อน อย่างที่บอกนะว่าเวลาเราจะเรียนพระคัมภีร์ เราควรที่จะรู้ว่าอันนี้เป็นจดหมายของใคร? เขียนไปให้ใคร? เรื่องราวพื้นฐานเป็นอย่างไร? ไม่ใช่อยู่ๆ ก็เอาแต่อันนี้มา แล้วก็มาตีความ นี่แน่นอนเปาโลเป็นคนเขียน เปาโลเป็นผู้คงแก่เรียนในศาสนายิว เป็นคนที่มีความรู้มาก มีชื่อเสียง มีคนนับถือ มีชาติตระกูล มีอะไรเยอะแยะ ดีๆ หมดเลยในแบบโลก แต่พอมาเจอพระเยซูปุ๊บ ก็ทิ้งทุกอย่างเลย แถมยังยอมให้เขาตามฆ่า ตามล่า เพราะไปบอกด้วยว่าของเก่าที่เขารู้จักมานั้น  ที่เขาเชื่อมาว่าพระเยซูเป็นผู้หมิ่นประมาทพระเจ้า ที่บอกเป็นลูกพระเจ้า ที่เราบอกว่าเขาสมควรตาย ที่เราเอาเขาไปตรึงกางเขน  เราทั้งหลายนั่นแหละ เราหมายถึงชาวยิวที่ไม่เชื่อเหล่านั้น ซึ่งเปาโลก็เป็นหัวโจก คนหนึ่งในสมัยนั้น ไปบอกเขาว่าเราผิดไปแล้ว พระเยซูของจริงเลย ที่พระเยซูพูดเป็นลูกพระเจ้าจริงๆ มาเกิดเป็นมนุษย์ ตายที่ไม้กางเขน เป็นขึ้นมาจากความตาย ใครจะเข้าใจใช่ไหม?

แน่นอนตามสายตามนุษย์ ตามความคิดมนุษย์ ใครไปพูดอย่างนี้ แล้วใครจะเข้าใจ แล้วคนเหล่านั้น เพื่อนเราทั้งนั้น อาจารย์เราก็มี ศาสนา เคร่งจัด  ถ้าเราขืนพูดอย่างนี้ เราตายแน่ๆ แล้วก็ตายจริงๆ พระเจ้าต้องปกปักคุ้มครองดูแลเปาโลตลอดเลย เพราะเพื่อนเก่า ชาวยิวที่ไม่เข้าใจ ที่ยังคงเข้าใจเหมือนเปาโลในอดีตที่ยังไม่กลับใจใหม่ ยังไม่เจอพระเยซูเขาคิดกันว่าเปาโลก็หมิ่นประมาท เปาโลยิ่งสมควรตายใหญ่ เพราะเหมือนกับว่าเป็นไส้ศึก คราวนี้แย่ใหญ่เลย เปาโลก็เลยถูกตามล่า ตามฆ่า น่าหวาดเสียว เหมือนเราตอนนี้เลย ถามว่าตอนนี้เรากลัวไวรัสโควิด-19 ไหม? กลัว กังวล ตามประสามนุษย์ธรรมดา ต้องกังวล ท่านคิดว่าตอนนั้นเปาโลเขากลัวไหม? กลัวจนตัวสั่น ยกเหตุการณ์หนึ่งขึ้นมา ท่านจะรู้ว่าเปาโลกลัวขนาดไหน? ให้พระเจ้านำ ก็จริง แต่กลัว คือมนุษย์ต้องกลัวแหละ มีอยู่เหตุการณ์หนึ่ง เปาโลต้องหนีคนเหล่านี้ ที่เขาตามล่า จะฆ่าเปาโล พวกยิวด้วยกัน หนีด้วยวิธีแอบย่องมาตอนกลางคืน แล้วลงตะกร้า ให้เขาหย่อนลงมา แล้วรีบหนีเลย อย่างนี้เรียกว่าความกล้าหาญ หรือความเชื่อไหม? อย่างนี้เรียกว่ากลัว แค่นี้พอแล้ว

มนุษย์เราจริงๆ มันก็มีความคิด มีสติปัญญา สมองแบบมนุษย์ กลัว เหมือนเราตอนนี้ ผมจึงยกตัวอย่างนี้ เอาข้อพระคัมภีร์นี้ขึ้นมา แล้วเล่าภูมิหลังให้ท่านฟัง มันเหมือนกับเราเดี๋ยวนี้ แต่เราน้อยกว่าเยอะ แล้วดูสิเปาโลที่มีความหวาดกลัวอย่างนี้เยอะเลย เขามีความเห็นว่าอย่างไร? เขาเขียนจดหมายฟิลิปปีมา เพื่อหนุนใจ เพราะคริสตจักรฟิลิปปีนี้ เปาโลเป็นคนก่อตั้งขึ้น พูดง่ายๆ มาหนุนใจลูกแกะ ที่เพิ่งเกิดใหม่ ไม่ได้สอน มาหนุนใจมากกว่าว่าควรจะทำอย่างไร?  คนเหล่านี้ก็รักเปาโลมาก แล้วรู้ไหมเปาโลเขียนจากที่ไหน? เปาโลเขียนจากกรุงโรม สมัยนั้นใหญ่มาก เจริญ อยู่ในคุก เขากำลังจะตัดสินคดี แล้วเปาโลก็รู้อยู่แล้ว โดยภายในว่าเที่ยวนี้ เขาไปไม่กลับอยู่แล้ว แล้วก็ไปพลีชีพที่นั่น เขารู้อยู่แล้ว รอว่าเมื่อไรจะถึงวันนั้นสักที วันที่จะละจากร่างกายนี้ แล้วไปพบพระเจ้าหน้าต่อหน้าทันที เอเมน

ท่านเห็นภาพแล้วนะ เห็นภูมิหลังแล้ว คนเขียนวิ่งหนีหัวซุกหัวซุนมาตลอด ตั้งแต่เจอพระเยซูทางที่จะไปดามัสกัส จนตัวเองทิ้งทุกอย่างในอดีตทั้งหมดเลย วิชาความรู้อะไรต่างๆ ที่คนนับถือ ทรัพย์สินเงินทอง ตำแหน่งต่างๆ ทิ้งหมด มาเป็นเหมือนจำเลย ที่เขาล่า เพื่อจะฆ่าให้ตาย และตอนนี้ที่เขียนอยู่ อยู่ในที่คุมขัง ที่คุก ที่กรุงโรม และกำลังจะรอตัดสินคดี และในที่สุด ก็ถูกตัดสินคดีให้ตัดศีรษะ คราวนี้รู้ภูมิหลังแล้ว ท่านจะได้เห็น

ก็สถานการณ์เดียวกับเรา เราก็เหมือนติดคุกอยู่ตอนนี้ ไปต่างประเทศก็ไม่ได้ ต่างประเทศมาหาเราก็ไม่ได้ ญาติพี่น้องมาหาเรา ไม่ใช่ไม่ได้นะ ได้ แต่มันลำบาก ในที่สุด ไม่ไปดีกว่า จะไปกินอาหาร อันนี้ก็กลัว ไปร้านนั้น ก็กลัว แย่งซื้ออันนั้น แย่งซื้ออันนี้ อย่างวันนี้ทุกคนก็ใส่หน้ากากมาหมดเลย ทั้งๆ ที่อยากจะเปิดเผยว่าตัวเองเป็นใคร แต่ก็ต้องใส่หน้ากากตลอดเวลา ตามคำแนะนำของรัฐบาล เรื่องเหล่านี้เป็นเรื่องที่น่าสนใจมาก เอ๊ะ! ทำไมเปาโลเป็นอย่างนั้น แล้วยังเขียนมาหนุนใจเขาอีกนะว่าให้จงชื่นชมยินดีในองค์พระผู้เป็นเจ้าเถิด แล้วคนเขียนก็ต้องชื่นชมยินดีสิ พวกเราที่เป็นผู้เชื่อ พื้นฐานแห่งความเชื่อในพระเยซูคริสต์ ในวิญญาณของเราคืออะไร? ไม่พูดถึงโลกวัตถุ บนโลกใบนี้ ไม่นับว่าเราเป็นคริสเตียนมา 5 ปี 2 ปี 3 ปี เราอยู่โบสถ์นี้ เราอยู่โบสถ์นั้น เราเคยทำอันนั้น เคยทำอันนี้ ไม่เอา นี่ในโลกวิญญาณว่าพวกเรา ผู้ที่เป็นผู้เชื่อ หรือเรียกว่าคริสเตียนแล้ว พื้นฐานของเรื่องความเชื่อนี้ในวิญญาณของเราเป็นอย่างไร? ลองคิดในใจตอนนี้ดู ตรงกันไหม?

ท่านเป็นลูกพระเจ้า … นี่คือโลกวิญญาณ มีพ่อแม่เป็นคนไทย คนจีน แล้วบอกว่าเป็นลูกพระเจ้า นี่คือโลกวิญญาณ นี่คือพื้นฐานความเชื่อ ท่านเป็นลูกพระเจ้า ที่ท่านกำลังเดินอยู่นี้  มองดูในกระจก เห็นหน้าตาอย่างนี้ ที่ใส่หน้ากากอนามัยอยู่ตอนนี้ ร่างกายของท่านเป็นที่อาศัยของพระเจ้า พระเจ้า 3 พระภาคเลย พระเจ้าพระบิดา พระเจ้าพระบุตร พระวิญญาณบริสุทธิ์ สถิตอยู่ในท่าน นี่คือพื้นฐาน เห็นไหม? ท่านเชื่อเมื่อไร? ก็เป็นเหมือนกันหมด เกิดใหม่เหมือนกัน ไม่ว่าจะเชื่อ 1 ปี 1 วัน 1 นาที หรือเชื่อมา 100 ปีแล้วก็ตาม ท่านก็เป็นลูกพระเจ้า และเป็นลูกพระเจ้าตลอดไป พระเจ้าสถิตอยู่ในท่าน และท่านได้รับพระพรมากมายนานับประการ ในฐานะเป็นลูกพระเจ้า ได้รับเท่าๆ กับพระเยซูคริสต์เลย พยายามพูดนิดหน่อยพอ ไม่ต้องเยอะ ให้ท่านรู้ว่าในโลกวิญญาณ เราคริสเตียน เราควรจะรู้ว่าเราเป็นใคร? พื้นฐานเราควรจะมีตรงนี้ไว้ตลอดเวลา  ไม่ใช่พื้นฐานเรา คือในแบงค์ มีเหลืออยู่เท่าไร? ไม่ใช่พื้นฐาน คือเจ็บไข้ได้ป่วยอยู่ตลอดเวลา ไม่ใช่ ไม่ใช่พื้นฐาน คือเราอธิษฐานน้อย ไม่ใช่ พื้นฐาน คือเหมือนกัน คือเราเป็นลูกพระเจ้า พระเจ้าสถิตอยู่ในเรา  รักเราเท่าๆ กับคนที่อธิษฐานเยอะๆ มากๆ ด้วย รักเราเท่าๆ กับรักคนที่ถวายเยอะๆ รักเราเท่าๆ กับคนที่เขาอ่อนน้อมถ่อมสุภาพ ไม่หงุดหงิดเลย เราขี้หงุดหงิดมากเลย ทุกคนพยักหน้าใหญ่ เพราะฉะนั้น ที่นี่หงุดหงิดเยอะเลย  อะไรประมาณนั้น

พระคัมภีร์บอกว่า “จงชื่นชมยินดีในองค์พระผู้เป็นเจ้า ข้าพเจ้าขอย้ำอีกครั้งหนึ่ง”

แสดงว่าสำคัญมาก ย้ำอีกครั้งว่า “จงชื่นชมยินดีเถิด” ฟังให้ดี “จงชื่นชมยินดีในองค์พระผู้เป็นเจ้า”

เปาโลอยู่ในคุกเขียนมาหาพวกเรา ผู้เชื่อทั้งหลาย  “จงชื่นชมยินดีในองค์พระผู้เป็นเจ้า ข้าพเจ้าขอย้ำอีกครั้งว่าจงชื่นชมยินดีเถิด”

หลับตาลง แล้วพูดอีกครั้ง ให้คำพูดนี้เหมือนกับว่าเปาโลพูดกับเรา “จงชื่นชมยินดีในองค์พระผู้เป็นเจ้า”

หลับตาไว้อยู่นะ คราวนี้ผมเป็นคนพูด “จงชื่นชมยินดีในองค์พระผู้เป็นเจ้าเสมอ ข้าพเจ้า ผมนครขอย้ำอีกครั้งว่าจงชื่นชมยินดีเถิด ไม่ว่าจะอยู่ในสถานการณ์ใดๆ ผมก็กำลังพูดกับท่านทั้งหลาย ปีค.ศ.นี้ เดี๋ยวนี้ว่าท่านเป็นผู้ที่เชื่อในพระเจ้าแล้ว ท่านมีพื้นฐานเป็นลูกพระเจ้า พระเจ้าสถิตอยู่ในท่านแล้ว”

เหมือนกับที่พระคัมภีร์บอกในนี้ไม่มีผิด คือผมกำลังบอกท่านว่าจงชื่นชมยินดีในองค์พระผู้เป็นเจ้าเสมอ ขอย้ำอีกครั้งหลายๆ ครั้งว่าขอจงชื่นชมยินดีเถิด พูดย้ำขนาดนี้ ก็แปลว่าสถานการณ์ที่เป็นอยู่ มันไม่น่าชื่นชมยินดี เข้าใจไหม? ถ้าอยู่ธรรมดา ผมคงพูดครั้งเดียวนะ

“จงชื่นชมยินดี”

แล้วก็ไม่เน้นอย่างนั้น  แต่วันนี้ต้องเน้นๆ เพราะรู้ว่าสิ่งทั้งหลายรอบตัวเราขณะนี้ มันไม่น่าชื่นชมเลย สังเกตให้ดีๆ นะ ในนี้ไม่ได้บอกว่าผมไม่ได้บอก เปาโลไม่ได้บอกว่าจงชื่นชมยินดีในชีวิตของเรา การดำเนินชีวิตของเรา ณ ปัจจุบัน แต่บอกว่าจงชื่นชมยินดีในองค์พระผู้เป็นเจ้า ก็คือในพระคริสต์  ที่เราทั้งหลายอยู่ที่นั่นแล้วกับพระองค์   ก็คือในสวรรค์  จงชื่นชมยินดีอยู่ในสวรรค์กับพระคริสต์แล้วเดี๋ยวนี้ และท่านอยู่ที่นั่นในวิญญาณของท่านเป็นอย่างนั้น แต่โควิด-19 ไวรัสตัวนี้มันอยู่นอกพระคริสต์ มันอยู่บนโลกใบนี้ มันคนละเรื่องกัน ท่านเห็นภาพนะ

ความหมาย คือในพระคริสต์ เราได้รับความรอด เราเป็นลูกของพระเจ้า พอบอกว่าในพระคริสต์เมื่อไร? ท่านจำไว้นะ นี่ผมพูดให้ท่านฟังหลายๆ คำบรรยายแล้ว ให้จำง่ายๆ พอ “ในพระคริสต์”เมื่อไร? ท่านนึกถึงโลกวิญญาณ นึกถึงสวรรค์ นึกถึงว่าท่านอยู่ที่นั่นแล้วตอนนี้  และท่านจะอยู่ที่นั่นตลอดไป ในฐานะลูกของพระเจ้า ที่เป็นทายาท มีมรดกด้วย

“ในพระคริสต์” เราได้รับความรอด รอดจากนรก รอดจากความบาป คำสาปแช่ง เราเป็นลูกของพระเจ้า พระวิญญาณบริสุทธิ์สถิตอยู่ในเรา และพระวิญญาณบริสุทธิ์ก็ได้ประทานให้กับเรา ของ

ประทานที่เรียกว่า gift เราไม่ต้องทำอะไรแล้ว เรามีแล้วตรงนี้ 3 อย่างชัดๆ เลย ที่เราชอบร้อง

“Ringhteousness, peace, joy in the Holy ghost

Ringhteousness, peace, and joy in the Holy ghost,    That the Kingdom of God!”

แปลว่าอะไร? Ringhteousness แปลว่าความชอบธรรม

Peace  แปลว่าสันติสุข

สุดท้าย Joy แปลว่าความชื่นชมยินดี

ถ้าพระวิญญาณสถิตอยู่กับท่าน 3 สิ่งนี้มันเป็นเหมือนของแถมติดมากับพระวิญญาณแล้ว ท่านไม่ต้องทำอะไร มันอยู่กับท่าน ติดอยู่ในวิญญาณของท่าน ถ้าท่านร้องเพลงนี้เป็นภาษาไทยได้

“ความชอบธรรม  สุข  ยินดีในพระวิญญาณ

ความชอบธรรม  สุข  ยินดีในพระวิญญาณ

คือแผ่นดินของพระเจ้า”

มันอยู่ในตัวเราแล้ว เหมือนพระเจ้าให้ทองมา ทองอยู่ในตัวท่านแล้ว ท่านไม่ต้องไปหา ชัดไหม? มันเป็นของประทาน ความชอบธรรม สันติสุข และความชื่นชมยินดี ซึ่งเราได้รับมาเรียบร้อยไปแล้ว เมื่อวันที่เราเกิดใหม่ รับเชื่อปุ๊บ พระวิญญาณเข้ามาสถิตอยู่กับเรา ทำให้เราเกิดใหม่ พระวิญญาณสถิตอยู่กับเราปุ๊บ 3 สิ่งนี้เป็นของเราผู้เชื่อ หรือเรียกว่าคริสเตียนแล้ว หรือลูกพระเจ้าแล้ว อยู่ในวิญญาณของผู้เชื่อทุกคน

เพราะฉะนั้น ในวิญญาณของผู้เชื่อทุกคนมีของประทานเหล่านี้อยู่แน่นอน 100% เพียงแต่เขาจะเอามาใช้ไหม? เขารู้ไหม?  เหมือนที่พระคัมภีร์บอกว่า …

“ท่านไม่รู้เหรอ ท่านเป็นวิหารของพระวิญญาณบริสุทธิ์”

ท่านไม่รู้เหรอ? ก็ไม่รู้จริงๆ พระเจ้าต้องมาย้ำยืนยันให้เรารู้ว่าพระองค์ทำอะไรไว้บ้างกับชีวิตของเรา ผ่านทางพระเยซูคริสต์

พระเยซูบอกเมื่อท่านเชื่อพระเยซูแล้ว ท่านเป็นแสงสว่าง ไม่ใช่ท่านมีนะ ท่านเป็นแสงสว่าง เมื่อท่านเชื่อปุ๊บ ท่านเป็นแสงสว่าง เหมือนพระเยซู ถูกไหม? แล้วบอกอย่างไรต่อไป …

“จงให้แสงสว่างในตัวท่าน ฉายแสงออกไป”

ไม่ใช่ท่านต้องมาทำแสงสว่างเอง ไม่ใช่ต้องมาเชื่อพระเยซู แล้วก็ต้องมาทำความดีอะไรต่างๆ ปั้มแสงสว่างๆ ปั้มๆ ไม่ใช่ จงรู้เถิด พูดง่ายๆ เหมือนกับที่บอกว่าท่านไม่รู้เหรอว่าท่านเป็นวิหาร ท่านไม่รู้เหรอ ท่านเป็นแสงสว่าง จงให้ร่างกายท่าน ปลดปล่อยแสงสว่างในวิญญาณท่านออกมา มันแปลว่าอย่างนั้น มันออกมาเป็นการทำดี เป็นความรัก เป็นความเมตตา เป็นความกรุณา เป็นสิ่งดีงามทั้งหมด เป็นความบริสุทธิ์ โดยไม่ใช่ข้างนอกเข้ามา แต่จากข้างในออกไป ความชื่นชมยินดีตรงนี้ ก็เหมือนกัน

เพราะฉะนั้น ไม่ว่าสถานการณ์จะเป็นเช่นไร สิ่งรอบข้างจะเป็นเช่นไร ไม่ว่าจะเป็นโควิด-19 เป็นอะไรก็แล้วแต่ เราสามารถที่จะชื่นชมยินดีได้ ถูกเขาเอาเปรียบอย่างไร? เราสามารถให้แสงสว่าง จากวิญญาณพุ่งออกไปได้ ไม่ว่าเราจะหงุดหงิดแค่ไหน?  เราด่าเขาไปเมื่อสักครู่นี้ เราจะโลภ เราก็สามารถเอาวิญญาณเราที่มีแสงสว่างนั้น ปลดปล่อยออกไปได้ เอเมน ไม่ว่าเราจะกลัวโควิดขนาดไหน? ไม่ว่าเราจะวิตกกังวลในข่าวที่ลือขนาดไหน? ไม่ว่าจะมองเห็นคนเขากักตุนขนาดไหน?  เราสามารถปลดปล่อย ความชื่นชมยินดี ออกจากวิญญาณไปได้ เอเมน พอจะเห็นภาพไหม? ไม่ต้องพยายามเลย มันอยู่ข้างในตัวของเรา

สถานการณ์ไม่ได้เป็นตัวกำหนดว่าเราชื่นชมยินดีได้หรือไม่? เพียงแต่เรารู้หรือไม่ว่าความชื่นชมยินดีนั้นอยู่ในตัวเราแล้ว เราไม่ได้สร้างขึ้นมาเอง เราเพียงแต่ถ่ายทอด เอามาใช้ เอาพลังของความชื่นชมยินดี ที่อยู่ข้างใน มาใช้ แล้วมันต้องหัดใช้ ฝึกใช้ ใหม่ๆ ก็ใช้ไม่เป็น มีทองอยู่ ก็ใช้ไม่เป็นเหมือนกัน เราสร้างความชื่นชมยินดีขึ้นมาเองไม่ได้ มนุษย์ทำไม่ได้ เพราะโลกใบนี้มันถูกสาปแล้ว มันเป็นอย่างนี้ ระบบโลกใบนี้มันเสียหาย จะชื่นชมยินดีได้อย่างไร? เป็นไปไม่ได้หรอก ถูกเขาเหยียบขา ชื่นชมยินดีได้อย่างไร? มันเป็นไปไม่ได้ ทำไม่ได้ เหมือนที่พระเยซูบอก มันทำไม่ได้  จึงต้องพึ่งพระเจ้าไง เหมือนที่บอกว่าเราเป็นแสงสว่าง เราสร้างแสงสว่างเองก็ไม่ได้ พระเจ้าต้องทำให้เราเป็นแสงสว่างเลย โดยความเชื่อเล็กน้อยของเราในการเชื่อพระเยซูคริสต์เท่านั้น

เพราะฉะนั้น จงชื่นชมยินดีในวิญญาณ เรามีความชื่นชมยินดีอยู่ แต่ประเด็น คือเราจะเอาออกมาใช้ด้วยวิธีใด แต่ก่อนนี้เราไม่รู้ ตอนนี้เรารู้แล้วว่าความชื่นชมยินดี ในตัวเราเต็มเลย เราไม่เคยใช้เลย เรามีทองเต็มเลย ทำเป็นคนยากจนไปได้ เรามีความชื่นชมยินดีเต็มเลย ทำเป็นคนกลัวผีไปได้ ทำเป็นคนหงุดหงิดไปได้ ท่านพอมองเห็นภาพไหม? เรามีเงินเยอะแยะเลย มีอาหารเยอะแยะเลยในบ้านเรา แต่ไม่รู้เรื่องเลย ทำเหมือนคนอดอยาก ตอนนี้รู้แล้ว แล้วเราจะเอามาใช้อย่างไร?

พระคัมภีร์มีสอนหลายอย่าง เช่น ให้เราควบคุมความคิดของเรา เพราะโดยธรรมชาติของความคิด ถ้าเราไม่ควบคุมมัน เราก็จะรับข่าวสารจากทางโลก ระบบของโลก ที่ระดมใส่เข้ามาว่าตรงนั้นอันตราย ตรงนั้นไม่ดี ตรงนั้นแย่แล้ว โรคร้ายรักษาไม่หาย การระบาดของมันจะเยอะขึ้น เศรษฐกิจจะแย่ๆ ทุกอย่างจะแย่ๆ แล้วเธอก็จะแย่ ฉันก็จะแย่ๆ นี่พูดแบบย่อๆ สั้นๆ นี่แหละระบบของโลก คือแปลว่าอย่างนี้ แล้วถ้าเรารับระบบ ข้อมูลจากนี้อย่างเดียว แล้วจะไปชื่นชมยินดีได้อย่างไร? มันเป็นไปไม่ได้ พอรับข้อมูลแบบนี้เข้ามาเยอะๆ แล้วไม่มีการควบคุมเลย ปล่อยให้มันเข้ามาเฉยเลย เช้าขึ้นมา แทนที่จะอธิษฐาน ก็เปิดข่าวสด ข่าวแห้ง ข่าวร้าย เฟสบุ๊ค ส่งไลน์อีก ส่งเรื่องสรรเสริญพระเจ้า เปล่าส่งว่ามันเป็นแบบไหน? มันมาอย่างไร? มันจะตายแล้ว ระบาดข่าวร้ายทั้งสิ้น แล้วจะไปเอาอะไรที่มาเชื่อล่ะ พระคัมภีร์เตือนเราอย่างนี้ สิ่งที่จะเกิดขึ้น ถ้าเราไม่ระมัดระวัง รับข้อมูลข่าวร้ายเข้ามา เราก็จะเกิดความกลัว ความกระวนกระวาย ความวิตกกังวล แล้วพอความคิดของเราจดจ่ออยู่กับสิ่งเหล่านี้ที่เป็นทางลบมากๆ พอมันเข้ามาในความคิดของเราเยอะๆ ในความคิดของเรา มันเหมือนคอมพิวเตอร์ มันมีเส้นประสาทนับไม่ถ้วน เยอะแยะเลย  และมีสารเคมีเยอะแยะเลย ที่จะปรับ ที่จะปรุงแต่งอะไรก็ได้ ที่มันคิดมา  ทำให้ร่างกายทำตามความคิดนั้น

ค่อยๆ ฟังให้ดีๆ ตรงนี้เป็นเคล็ดลับมากๆ ถ้าเราอยู่กับข้อมูลติดลบตรงนี้เยอะๆ ในความคิดของเรา สมองเราก็จะสั่งการให้เราตอบสนองออกไปเป็นความกลัว ความกลัวทำให้เกิดความหงุดหงิด ความกลัวทำให้เกิดความเห็นแก่ตัว ความกลัวทำให้เกิดการทำร้ายผู้อื่น ความกลัวทำให้เกิดการกักตุน แล้วความกลัวมาจากไหน? ก็มาจากข่าวนั่นนิด เพื่อนไลน์หน่อยหนึ่ง หนังสือพิมพ์นี้นิดหนึ่ง โทรทัศน์นิดหนึ่ง แล้วมันก็ปรุงแต่งในความคิดของเรา แล้วตัวสื่อประสาท มันก็ทำงาน ตามธรรมชาติของมัน ที่พระเจ้าสร้างมา พอข้อมูลเข้ามาปุ๊บ กดออกมาเป็นกลัว วิตกกังวล  แล้วมันก็ไปตามร่างกายต่างๆ ทำให้เกิดท้องอึด ท้องเฟ้อ ปวดหัว คอเคล็ด อะไรก็ตามที่ความเครียดมันทำให้เราเป็นอย่างนั้นแหละ

นี่คือวิทยาศาสตร์แล้วนะ ที่บอกให้ช้าๆ เพราะว่าผมพยายามดึงมันมา ให้เห็นภาพทางวิทยาศาสตร์ ทางแพทย์เลย มันจึงมีข่าวออกมาเยอะแยะในช่วงนี้ มีทั้งการกักตุนอาหาร แย่งซื้อหน้ากากอนามัย ไปจนถึงกระหน่ำด้วยคำด่าอย่างรุนแรง เพราะปัจจุบันเป็นยุคโซเซียวมีเดีย ทุกคนมีสิทธิ์พูดกันหมดเลย อยู่ปลายนิ้วเท่านั้นเอง สมัยก่อนเราพูด บางคนด่าอยู่ในบ้านคนเดียว ไม่มีใครได้ยิน เดี๋ยวนี้จิ้ม ได้ยินทั้งโลกเลย เราก็จะกัดกันเอง เหมือนจิ้งหรีดที่เขาปั้นหัวให้มันกัดกัน มนุษย์ต่อมนุษย์ก็กัดกันเอง เราจะเห็นภาพเลย เพราะฉะนั้น สิ่งเหล่านี้อย่าไปเสพ ถ้าเห็นอะไรที่เป็นการคอมเม้นท์ หรือแสดงความคิดเห็นทางลบ ข้ามไปเลย ไม่ต้องไปดูมัน ไม่ว่ามันจะสนุกขนาดไหน? ไม่ว่ามันจะดูดีขนาดไหน? อย่าไปยุ่งกับมัน ถ้าเป็นการคอมเม้นท์ เป็นการติเพื่อก่อ มีสติปัญญา เป็นความรัก อย่างนั้น ไลน์ส่งต่อได้ มันเป็นประโยชน์ แต่อันที่ว่ากันรุนแรงๆ ต่อให้มันมีเหตุผล ก็ไม่เอา เพราะมันอยู่ภายใต้ระบบของโลกนี้ มันไม่ใช่พระวิญญาณ มันเป็นวิญญาณอะไรก็ไม่รู้ นอกจากพระวิญญาณแล้ว นอกนั้น ก็เป็นผีทั้งนั้นแหละ อะไรต่างๆ เหล่านี้ ต้องระมัดระวัง เรากำลังเรียนโลกวิญญาณอยู่ใช่ไหม? มองไปที่โลกวิญญาณ มองสิว่าใครได้ใครเสีย  ถ้าเรายอมอย่างนั้น ยอมเป็นเครื่องมือของมาร มารได้ มารหัวเราะเลย

“นี่ไง มนุษย์ที่พระองค์ทรงสร้างขึ้นมา  แล้วพระองค์ทรงรักมาก เขากำลังกัดกันเห็นหรือเปล่า?  เขากำลังเห็นแก่ตัว เขาไม่เห็นเหมือนพระองค์เลย นี่ลูกไม่จริงหรอก เป็นลูกฉันมากกว่า”

มารบอก “ฉันเจ้าแห่งการทะเลาะวิวาท เจ้าแห่งการยุยง ยุแยงตะแคงรั่ว ฉันเจ้าแห่งการเกลียดชัง เจ้าแห่งการขโมย ฆ่า และทำลาย ไม่สร้างสรรค์ เห็นไหม? มองมาเห็นทั้งโลกเลย”

เราต้องระมัดระวังตรงนี้อย่างมาก  ฟังดูแล้ว เหมือนเล็กน้อยนะ แต่เล็กน้อยมันคือกำเนิดของเรื่องใหญ่ มันมาจากตรงนี้แหละ แรกๆ มันเข้ามาในความคิดของเรา มันเป็นไข่เล็กๆ แล้วไข่นี้ค่อยๆ โตขึ้น แล้วมันก็จะฟักเป็นตัวออกมา แล้วจากนั้นมันก็จะเริ่มตัวใหญ่ขึ้นๆ และมันยิ่งใหญ่เท่าไร มันยิ่งทำความเสียหายให้กับมนุษยชาติ และโลกใบนี้มากเท่านั้น และนี่แหละ คือหัวใจของพระเจ้าที่อยากจะบอกมนุษย์อย่างนี้ แล้วมันก็พยายามเสี้ยมสอนมนุษย์ว่าพระเจ้าเป็นคนอนุญาตให้เกิดขึ้น พระเจ้าเป็นคนทำ ไม่ใช่ฉันทำนะ  ตัวมันแหละ โดยการล่อลวงมนุษย์ให้เป็นผู้ทำเอง ท่านจะเห็นภาพนะ อยากให้ท่านเห็นภาพชัดๆ อาจจะไม่บรรยายเหมือนระบบของโลกนี้ที่เขาบรรยาย แต่มันไม่ยาก มันเป็นเรื่องจริงๆ ถ้าท่านเข้าใจเรื่องพระเจ้า เรื่องวิญญาณ ท่านจะรู้ว่ามันใช่จริงๆ

แต่พระคัมภีร์บอกว่าสิ่งที่เราควรทำ คือเอาข้อมูลจากวิญญาณมาสู้กับมัน เอาข้อมูลจากโลกวิญญาณ ที่เรารู้เรื่องพระเจ้า ในข้อพระคัมภีร์ไบเบิ้ล ในสติปัญญาที่พระเจ้าคุยกับเราทางวิญญาณ ที่เราเป็นลูกพระเจ้า ที่เราเกิดใหม่แล้วนั้นแหละ มาสู้กับมัน

ข้อมูล คือถ้อยคำพระเจ้า ความรู้เรื่องพระเจ้า  เราเรียกว่าข้อมูล แต่ต้องเป็นข้อมูลความรู้เรื่องพระเจ้าที่ถูกต้องด้วยเช่นเดียวกัน นี่แหละคือเล่ห์กลของมาร ถ้าเราไปหาถ้อยคำพระเจ้า มันก็ไปบิดถ้อยคำพระเจ้า ผิดอีก มันต้องค่อยๆ แล้วอธิษฐาน แล้วคิด มีสติปัญญา

ถามว่าข้อมูลเหล่านี้ ถ้อยคำพระเจ้าเหล่านี้ สู้กับมันที่ไหน? สู้กับมันที่สมรภูมิ ก็คือที่ความคิดของเราเอง ไม่เกี่ยวกับคนอื่นเลย อย่าไปยุ่งกับคนอื่นเขา พอเรารู้อย่างนี้แล้ว เขาเรียกว่ายุทธศาสตร์การรบ รู้เขารู้เรา รบ 7 ครั้ง ชนะ 8 ครั้ง แถมให้ 1 ครั้ง เอาข้อมูลถ้อยคำพระเจ้าใส่ลงไปในความคิดของเรา สู้กับมันที่โลกวิญญาณ ที่ในพระคริสต์ หรือในพระคัมภีร์ชอบพูดว่าที่เบื้องบน บางคนบอกว่าเบื้องบนรอตายก่อน ไม่ใช่ เดี๋ยวนี้เลย เบื้องบน หมายถึงสิ่งที่มัน above สิ่งที่มันดูดีกว่า สิ่งที่มันยอดเยี่ยมกว่า มีฤทธิ์เดชอำนาจมากกว่า งดงามมากว่า ก็คือพระเจ้า ก็คือสวรรค์ ก็คือในพระคริสต์ที่เราอยู่แล้ว ตรงนั้นแหละ กลับไปบ้านของเรา ในโลกวิญญาณ วิธีกลับไปง่ายนิดเดียว ไม่ต้องนั่งรถ ไม่ต้องนั่งเครื่องบิน สับความคิดปุ๊บ ไปทันทีเลย

เดี๋ยวเราทดลองดู ตอนนี้ท่านนั่งอยู่ที่โบสถ์โฮลี่ ที่กรุงเทพกรีฑา ซอย 8 ถูกไหม? ผมบอกว่าสับไปนั่งที่เบื้องขวาของพระเจ้าในสวรรค์สถานของพระเจ้าเดี๋ยวนี้ทันที เพราะในพระคัมภีร์บอกว่า เมื่อท่านเชื่อพระเจ้าแล้ว ท่านได้นั่งอยู่กับพระเจ้า พระเยซูคริสต์ที่เบื้องขวาของพระเจ้าในสวรรค์สถาน เรียบร้อยไปแล้ว เอเมน

สับกลับมา นั่งอยู่ที่เก้าอี้ ที่โฮลี่ ออฟ โฮลี่ส์ กรุงเทพกรีฑา ซอย 8  แต่ในขณะเดียวกัน สามารถสับไปที่วิญญาณ อยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้าในสวรรค์สถาน มันเป็นอย่างนี้

เพราะฉะนั้น เรารู้แล้วพื้นที่การทำสงครามมันอยู่ที่ความคิด ต้องสับความคิดไปอยู่ที่เบื้องบน ไปอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้าในสวรรค์สถาน ในพระคริสต์ แล้วก็เอาฤทธิ์เดชอำนาจแห่งความชื่นชมยินดี ที่เราได้เรียนรู้ไปเมื่อตะกี้นี้ว่าเรามีพระวิญญาณบริสุทธิ์สถิตอยู่กับเรา เรามีคลังทรัพย์ ความชอบธรรม สันติสุข และความชื่นชมยินดีอยู่ในนั้น ตอนนี้เราต้องการความชื่นชมยินดี เอาความชื่นชมยินดี เข้ามาในความคิดของเรา พอเข้ามาในความคิดของเราปุ๊บ พระวิญญาณให้ของประทานเราเป็นความชื่นชมยินดี สับไปที่ความคิดของเรา เราก็บอกความคิดของเรา …

“ความคิด มันเป็นอย่างนี้นะ ชื่นชมยินดีนะ”

สั่งสมองเลย  “สมองจงชื่นชมยินดี”

สมองก็เปลี่ยนเลย สื่อประสาทสมองก็ทำงานของมัน สับขั้วใหม่ ตามที่ความคิดมันสั่ง ตามธรรมชาติ สั่งปุ๊บ ตา หู จมูก ลิ้น กายทั้งหลายที่สัมผัสมาถึงสมอง มันก็จะถูกสั่งการให้อวัยวะในร่างกาย ถวายเกียรติแด่พระเจ้า คำว่าถวายเกียรติแด่พระเจ้า มันดีสำหรับคุณ พระเจ้าได้รับเกียรติ คือให้เป็นไปตามน้ำพระทัยพระเจ้า พระเจ้ารักเรามาก เป็นพ่อเรา อยากให้เรามีความสุข มันก็สั่งร่างกาย

ยกตัวอย่างเช่น ถูกเขาขโมยของ เสียดาย โมโห สมองสั่ง อย่างนี้มันเอาเปรียบ วิญญาณขึ้นไปข้างบน สั่ง …

“อภัยให้เขาเถอะ ขอบคุณพระเจ้า เพราะนี่นะ เรายังมีเหลือให้เขาขโมยนะ เขาไม่มีจะกิน จนต้องมาขโมยเรา น่าสงสารเขา น่าโมโหเขาไหม?”

ยกตัวอย่าง ขึ้นรถเมล์ อันนี้ ตา หู จมูก ลิ้น กาย คราวนี้กาย ขึ้นรถเมล์ วันนี้รถแอร์เสีย มันร้อน สัมผัสที่กาย กายมันบอกร้อน แย่แล้ว กายมันส่งข้อมูลไปที่สมอง มันร้อน หงุดหงิด (มันเริ่มมาแล้ว) ทำไม คนขับรถไม่เช็คก่อน ทำไมคนนั่งข้างๆ มันเบียดอย่างนี้  ทำไมมันเหม็นอย่างนี้”

ทำไมใหญ่เลย เริ่ม แต่เราสับสวิทส์ไปที่วิญญาณ ในวิญญาณบอกชื่นชมยินดีอยู่ เอามาใช้สิ สับสวิทส์ เอาความชื่นชมยินดีเข้ามาในชีวิต ให้ความคิดสั่งสมองว่าจงชื่นชมยินดี ไม่ได้อยู่ในสถานการณ์นะ เอาความชื่นชมยินดีที่มีอยู่ เอามาใช้ ไม่ได้สร้างขึ้นมาเอง เอามาใช้เท่านั้นเอง มันก็สั่งเลย เอาความชื่นชมยินดีจากพระวิญญาณบริสุทธิ์มาใช้ สมองก็สั่ง มันเย็นขึ้นมาได้อย่างไรก็ไม่รู้ เกินกว่าความคิดของมนุษย์ที่จะเข้าใจ นี่แหละ พระเจ้าสร้างมา พระองค์ทรงทราบดีว่าระบบของร่างกายนี้เราเป็นอย่างไร? สมองและความคิดของเรา เมื่อถูกป้อนข้อมูลเข้าไปว่าจงชื่นชมยินดีเถิด สมองก็จะทำหน้าที่เป็นสื่อกลาง ให้เห็นนะ ที่จะสั่งร่างกาย ให้ทำตาม ก็คือจงชื่นชมยินดี มันจึงต้องย้ำให้สมองฟังบ่อยๆ ให้สมองซึ่งเลอะเทอะกับความคิดแบบระบบของโลกมาเยอะมากแล้ว ให้มันได้รับรู้ ทุกวันๆ และสั่งการให้ไปในทิศทางเดียวกันกับพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่อยู่ข้างในเราอยู่เสมอๆ คือตลอดเวลา ตามที่เปาโลบอก “จงชื่นชมยินดีอยู่เสมอ” มันแปลว่าอย่างนี้ มันเป็นไปไม่ได้ ที่อยู่ดีๆ เดินอยู่บนโลกใบนี้ แล้วบอกจงชื่นชมยินดีเสมอ มีแต่เรื่องวุ่นวายตลอด ยิ่งปัจจุบัน ยิ่งมากขึ้นเรื่อยๆ ท่านพอเห็นภาพใช่ไหม? นี่แหละ คือการรบ

จับอะไรก็ชื่นชมยินดี  เห็นอะไรก็ชื่นชมยินดี ฟังอะไรก็ชื่นชมยินดี ตา หู จมูก ลิ้น กาย สัมผัสอะไร? ทางไหน? ต่อไปนี้บอกมันว่าจงชื่นชมยินดี แต่ท่านอาจจะเพิ่งรู้ หรืออาจจะรู้แล้ว ทำแล้วก็ตาม ท่านลองถามตัวเองเลยว่าตอนนี้ ในความคิดของท่านอะไรมากกว่า ข้อมูลบวกหรือข้อมูลลบ ข้อมูลจากพระเจ้าหรือข้อมูลจากมาร อะไรมากกว่า? อะไรมากกว่าท่านก็จะสั่งสมองให้ไปทางนั้นแหละ บางคนไม่ค่อยหงุดหงิด เพราะว่าสมองเขามีข้อมูลความคิดเกี่ยวกับพระเจ้ามากกว่า มันไม่ได้เกี่ยวกับตัวคุณเลยว่าคุณจะเป็นอะไร? มันมาจากสงครามเท่านั้นเอง ตัวเราเป็นคนดีเลิศ ประเสริฐศรี เป็นคนชอบธรรมต่อหน้าพระเจ้า เป็นคนมีสันติสุข มีความชื่นชมยินดีตลอดเวลา เป็นคนบริสุทธิ์สะอาด ศักดิ์สิทธิ์เท่าพระเยซูเลย นี่คือตัวเราจริงๆ แต่ความคิดมันไม่ใช่ตัวเรา ความคิดเป็นความคิด ความประพฤติก็ไม่ใช่ตัวเรา ความประพฤติก็มาจากความคิด และสั่งสมองให้ทำ ไม่ใช่ตัวเรา ตัวเราก็เป็นตัวเราอยู่ดี ไม่หนีไปไหน? พอเข้าใจนะ

ทั้งหมดนี้ พระคัมภีร์ 2 โครินธ์ 10 บอกไว้ว่านี่คือสงครามฝ่ายวิญญาณ ก็คือสงครามทางความคิด จะแพ้ชนะ ก็อยู่ตรงนี้ เพราะฉะนั้น พระคัมภีร์จึงบอกให้เราจดจ่อ ตั้งความคิดของเราไว้ที่เบื้องบน ก็คือที่พระคริสต์สถิตอยู่ ก็คือที่ในพระคริสต์ ก็คือที่ในสวรรค์ ที่เรานั่งอยู่กับพระเยซูคริสต์แล้ว ที่เบื้องขวาของพระเจ้า ที่เราได้รับพระพรนานัปการ ที่นับไม่ถ้วน เยอะแยะมากมาย บนโลกใบนี้ อย่างดีเยี่ยม โดยพระเจ้าประทานให้เราแล้ว ไม่ใช่จะประทาน แต่ประทานให้แล้ว

ตั้งความคิดของเราไว้ที่เบื้องบน … เบื้องบน ก็คือที่มันเหนือกว่าระบบของโลกใบนี้เต็มไปหมด ชนะขาดลอย เพราะพระเยซูทำให้เราชนะ เหมือนครั้งที่แล้วบอกว่าทำให้เราเป็นยิ่งกว่าผู้พิชิต ไม่ได้เสียเลือดสักหยดหนึ่งเลย ไม่ต้องทุกข์ทรมานเลย พระเยซูทำให้เสร็จ เอาชัยชนะมาให้กับเรา ตอนนี้เราเป็นยิ่งกว่าผู้พิชิต

ให้เอาความจริงตรงนี้ เอาข้อมูลตรงนี้ บังคับให้ความคิดของเรามันเชื่อฟังต่อข้อมูลของพระเจ้า จับความคิด ให้มันเป็นทาส มันแปลตรงๆ อย่างนี้ จับมันให้เป็นทาส แล้วบังคับให้มันเชื่อฟังพระคริสต์ มันบอกว่า …

“เมื่อวานนี้ยังหยาบคายอยู่เลย ยังโลภอยู่เลย แกก็เป็นคนบาป”

“ไม่จริง ในพระคริสต์บอกว่าเมื่อฉันเชื่อพระเจ้าแล้ว ฉันเป็นคนที่ได้บังเกิดใหม่ เป็นลูกพระเจ้า เป็นผู้ชอบธรรมแล้ว”

“ชอบธรรมได้อย่างไร เมื่อวานไปขโมยของเขา”

“ไม่รู้ ขโมยส่วนขโมย แต่ตอนนี้ในวิญญาณฉันเป็นลูกพระเจ้า”

เข้าใจไหมครับ? … “การขโมยมันเป็นการกระทำ ไม่ใช่ตัวฉัน ฉันเกิดใหม่ในพระเจ้า โดยทางพระเยซูคริสต์ ได้บังเกิดใหม่แล้ว ไม่ใช่ฉันชอบธรรม เพราะฉันไปกระทำดี  แต่ชอบธรรม เพราะฉันเกิดใหม่ เกิดเป็นลูกพระเจ้า เกิดเป็นผู้ชอบธรรม

เหมือนลูกผม โต๋เต๋ เกิดมาเป็นลูกแล้ว เขาก็เป็นลูกผมตลอดไป บางครั้งเขาอาจทำไม่ถูกใจผม เขายังเป็นลูกหรือเปล่า? เป็น หรือเขาไปทำอะไรที่ผมบอกว่าอย่าทำ แล้วเขาไปทำ แล้วเขายังเป็นลูกหรือเปล่า? เป็น  นี่มันเป็นอย่างนั้น เพราะฉะนั้น อย่าไปฟังมัน มันก็พยายามหาเหตุผลอะไรต่างๆ นานา

“เป็นไปไม่ได้หรอก”

พระเจ้าบอกว่าให้เรามองไปที่สิ่งที่มองไม่เห็น สิ่งที่หูไม่ได้ยิน คือสิ่งที่พระเจ้าจัดเตรียมให้กับคนที่รักพระองค์ แล้วความรักก็ไม่ใช่เราทำเอง พระเจ้าประทานความสามารถให้เรารัก เราหลงได้ คิดดูสิอย่างนี้เรียกว่าพระคุณไหมล่ะ ไม่ได้ทำอะไรเลยสักนิดหนึ่ง

เราชื่นชมยินดีได้ เพราะพระเจ้าสถิตอยู่กับเราแล้ว มีของประทานจากพระวิญญาณที่เรียกว่าชื่นชมยินดีอยู่ในตัวเรา เอามาใช้ เราไม่ต้องกลัวอะไรอีกเลย พอเราไม่กลัวแล้ว ฟังให้ดีนะ ตามถ้อยคำพระเจ้าที่ตะกี้เราอ่านกัน พอไม่กลัวแล้ว สมองมันก็จะสั่งการให้แสดงออกมาเป็น สั่งให้ร่างกาย ตา หู จมูก ลิ้น กายเป็นความอ่อนน้อม ถ่อมสุภาพประจักษ์แก่ผู้คนทั้งหลายรอบข้าง พอสมองมันสั่งการเป็นความชื่นชมยินดี สายตาก็มองอ่อนโยน จากตะกี้จะฆ่าตาย อิจฉาริษยา สายตามันบอก แต่ตอนนี้ ยิ้มไปหมด ก็คือเราก็จะไม่เห็นแก่ตัว เพราะไม่กลัว ถ้าเทียบกับสภาวะปัจจุบัน โควิด-19 เราก็จะไม่กักตุน กำลังซื้อๆ อยู่ กักตุนอยู่ พอดีถ้อยคำพระเจ้าโผล่มาเมื่อเช้านี้ เข้ามาในสมอง สมองสั่งการ กำลังซื้อของอยู่ …

“ฉันจะเอาอันนี้ คุณมาสาย”

พวกหน้ากาก ที่ล้างมือ สมมติมันมีแค่ 10 ชิ้น เราจองไว้ 10 ชิ้น คนมาทีหลังไม่มีซื้อเลย เราเอาไปแล้ว 10 ชิ้น จำได้ ถ้อยคำพระเจ้าเมื่อเช้า เพิ่งท่องมา ความชื่นชมยินดีเป็นของประทานจากพระวิญญาณบริสุทธิ์อยู่ในตัวเรา ให้เราได้ชื่นชมยินดีเถิด ไม่ว่าสถานการณ์เป็นเช่นไหน มือที่หยิบเห็นแก่ตัว ก็เริ่มอ่อนลง แล้วก็เริ่ม …

“แบ่งให้เธอแล้วกัน”

มาอีก 4, 5 ราย แบ่งไปคนละ 2 อันแล้วกัน แทนที่เราจะเอาไป 10 อันคนเดียว อ้าว! แบ่งคนละ 2 อัน ท่านพอมองเห็นภาพไหม? แล้วถ้าเผื่อท่านอย่างนี้เยอะๆ มันอาจจะมีวันหนึ่ง 10 อัน ท่านให้เขาไปหมดเลย ท่านขอบคุณพระเจ้าอีก สรรเสริญพระเจ้า อะไรก็ได้ อันนี้ผมไม่ได้พูดเว่อร์ ผมกำลังพูดให้ท่านเห็นว่ามันเป็นไปได้ทุกอย่าง  นี่แหละที่เรียกว่าไม่มีสิ่งใด เป็นไปไม่ได้ สำหรับพระเจ้า มันแปลว่าอย่างนี้ ทำผ่านเรานั่นแหละ เขาเรียกว่าสำแดงพระเจ้าให้กับผู้คนรอบข้างได้เห็น ตะกี้เราอ่านพระคัมภีร์ใช้คำว่า …

“จงให้ความอ่อนน้อม ถ่อมสุภาพของท่านประจักษ์แก่มนุษย์ทั้งปวง เพราะพระเจ้าอยู่กับท่าน อยู่ในท่านแล้ว”

นึกออกใช่ไหม? ท่านก็จะอ่อนน้อม ถ่อมสุภาพ ก็จะไม่เห็นแก่ตัว ไม่กักตุน ไม่ด่าคนอื่นเขา เข้าใจเขาว่าทุกคนก็หวาดกลัว และตั้งใจจะทำให้ดีที่สุด ท่านก็จะไม่ไปทับถมเขา เมื่อเขาทำผิด ใช่ไหม? ไม่เอะอะโวยวาย ไม่กลัว ถึงขนาดที่จะเห็นแก่ตัว พูดง่ายๆ

ท่านคิดสิ มนุษย์ไม่มีใครพร้อมหรอก ที่จะยอมตาย เพื่อคนอื่นเขา แต่ถ้าเผื่อท่านเข้าไปในโลกวิญญาณเมื่อไร? เป็นไปได้ทันที

เอาใหม่อีกที … ไม่มีมนุษย์คนไหนพร้อมหรอก ทำอย่างไรก็ทำไม่สุด ทำได้ดีประมาณหนึ่ง แต่ถ้าเข้าไปหาพระเจ้า ในโลกวิญญาณ ท่านสามารถทำเกินกว่าความคิดของมนุษย์ที่จะเข้าใจ โดยเฉพาะความคิดของท่านเอง ท่านจะสามารถทำได้ เมื่อถึงเวลานั้น เพราะฉะนั้น ไม่รู้วันไหน? คือติดอาวุธทุกวัน ติดอาวุธด้วยอะไร? ด้วยถ้อยคำพระเจ้า ด้วยข้อมูลของพระเจ้า ใส่เข้าไปในความคิด พระเจ้าจะใช้เมื่อไรไม่รู้ ใช้ในสถานการณ์อะไรก็ไม่รู้ แต่วันหนึ่งพระเจ้าจะใช้เหมือนที่เปาโลได้รับจากพระเจ้า และใช้อยู่ทุกวันนี้  ไปเยี่ยมเยือนประกาศครั้งสุดท้ายที่กรุงโรม แล้วถูกจับติดคุก ยังอุตส่าห์เขียนจดหมายหนุนใจว่า …

“จงชื่นชมยินดีเถิด ข้าพเจ้าขอย้ำยืนยันอีกครั้งหนึ่งว่าจงชื่นชมยินดี จงให้ความอ่อนน้อมถ่อมสุภาพของพระเจ้า ประจักษ์แก่คนทั้งปวง เพราะพระเจ้าทรงอยู่ใกล้ อยู่ในท่านแล้ว”

ตรงกันข้ามกับการแสดงออกมา ที่มีความเมตตาอ่อนโยน เห็นใจคนที่กำลังเดือดร้อน มีอะไรช่วยได้ ก็ช่วยเขา พยายามช่วยที่สุด เท่าที่เราจะทำได้ มันจะออกมาเป็นอย่างนี้ ไม่ทำตัวเหมือนคนอื่น บนโลกใบนี้ เขาเห็นแก่ตัวกัน ไม่เหมือนคนอื่น เพราะเราเป็นลูกพระเจ้าแล้ว เราเชื่อแล้ว เรามีพระเจ้าอยู่ในตัวเรา จะทำเหมือนคนอื่นได้อย่างไร? ที่ทำเหมือนคนอื่น เพราะเราไม่ยอมไปที่โลกวิญญาณ เราก็เหมือนกับเขานั่นแหละ ถามว่ารอดไหม? ในวิญญาณรอด แต่พระคัมภีร์บอกรอด เหมือนรอดจากไฟ กลัวไป รอดไปอย่างนี้  เรามีทางเลือกอย่างอื่นตั้งเยอะ แล้วได้ถวายเกียรติแด่พระเจ้าด้วย ถ้าเราพร้อม เราก็ไม่สติแตก เมื่อถึงวันนั้น จนกลายเป็นคนทำอะไรเหมือนที่เขาเรียกว่าพวกไร้สติ

เวลาเกิดเหตุอย่างนี้ มันจะเป็นการพิสูจน์ เหมือนข้อสอบ ชัดเจน มีคนเยอะแยะทำอะไรต่างๆ เหมือนไร้สติ คนที่มีวิชาความรู้ดีๆ เรียนสูงๆ ทำไมพูดอย่างนี้ ไม่ให้กำลังใจกันเลยเหรอ ทุกคนก็อยู่ในสภาพเดียวกัน ปัญหาเดียวกัน มันน่าจะเห็นอกเห็นใจ เขากลัว ก็ต้องเข้าใจเขา ไม่ใช่จะเอาถูกต้องอย่างนั้นอย่างนี้ ตอนนี้ทั้งหมดมันรวมกันหมดแล้ว ไม่มีใครถูกต้องหรอก มองไปที่ไม่ถูกต้องมีผู้เดียว คือมาร ที่พยายามปั่นให้เราฆ่ากันเอง และที่เราแสดงออกมาทั้งหมด มันก็ไม่ใช่ตัวเราเอง เมื่อเรามีความปิติยินดี เมื่อเรามีความชื่นชมยินดี ความอ่อนน้อมถ่อมสุภาพ ก็โผล่มา เพราะฉะนั้น เปาโลจึงบอกว่า …

“ข้าพเจ้าขอบคุณพระเจ้า  ในความอ่อนแอของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าไม่สามารถชื่นชมยินดีได้ เพราะข้าพเจ้าอ่อนแอ แต่มีความอ่อนแอที่ไหน ฤทธิ์เดชอำนาจของพระเจ้าจะทวีคูณขึ้นเต็มขนาดที่นั่น เพราะฉะนั้น เท่าที่จะทำได้ เพราะว่าข้าพเจ้าได้รับฤทธิ์อำนาจจากพระเจ้า ผ่านทางถ้อยคำของพระองค์นั่นเอง”

ไม่ใช่ตัวเราเอง ก็จะถ่อมใจ เพราะมันเป็นของประทานจากพระเจ้าด้วย เพราะพระวิญญาณอยู่ข้างในตัวเรา และประทานของประทานพิเศษให้กับเรา คือความชื่นชมยินดี ซึ่งความชื่นชมยินดีนี้ คือความไม่เห็นแก่ตัวนั่นเอง คือความรัก คือสันติสุข

ในที่สุด เมื่อเรารู้เรื่องจริงอย่างนี้แล้ว เราก็ให้ความชื่นชมยินดีที่อยู่ในวิญญาณของเราออกมาใช้ทุกวัน ทุกวินาที อยู่บ้านก็ทำได้ ไม่จำเป็นต้องเจอมนุษย์ก็ทำได้ ความคิดมันส่งได้ ยกตัวอย่างเช่นความคิดไปถึงคนๆ นี้ เกลียดมัน หมั่นไส้มัน ไม่อภัยให้มัน ทำได้ไหม? ต้องนั่งรถไปหาเขาไหม? ไม่ต้อง เปลี่ยนแปลงความคิดเป็นชื่นชมยินดี หลับตา …

“น่ารักอย่างนี้ พระเจ้าลูกรักคนนี้ ลูกชื่นชมยินดี”

เห็นไหม? ฝึกได้ตลอดเวลาเลย ไม่จำเป็นต้องออกมาข้างนอก เจอคนโน้นคนนี้ แต่ถ้าเจอกัน จะดีกว่านะ ให้ความชื่นชมยินดีที่อยู่ในวิญญาณของเรา มันออกมา บังคับความคิดให้เชื่อฟัง และทำในสิ่งที่แสดงออกมา เป็นความอ่อนน้อมถ่อมสุภาพ ประจักษ์ต่อมนุษย์ทั้งปวงรอบข้างเราว่าพระเยซูทรงพระชนม์อยู่จริงๆ คนเหล่านี้ถึงสามารถทำอย่างนี้ได้ เอเมน

“ข้าพเจ้าไม่ได้เป็นผู้กระทำ สิ่งเหล่านี้เอง สรรเสริญพระเจ้า พระเจ้าเป็นผู้กระทำเอง”

และบอกเขาว่าอยากได้อย่างนี้ไหม? ทุกคนอยากได้ วันนี้ผมจะบอกวิธีให้ แต่ที่นี่เราทุกคนได้ไปหมดแล้ว เป็นผู้เชื่อไปแล้ว ทำอย่างไรพระเจ้าถึงจะมาสถิตอยู่กับเราอย่างนี้ อยากได้มากเลย โรม 10:9-13 ง่ายมากเลย เนื่องจากมารทำให้มันยุ่งยากวุ่นวาย ท่านเลยไม่เข้าใจ ตอนนี้ผมจะมาบอกท่าน ท่านเอาไปคิดดูง่ายๆ เอง ท่านก็จะสามารถเหมือนกับเราได้ มีพระวิญญาณบริสุทธิ์สถิตอยู่กับท่าน พระเจ้าเข้ามาสถิตอยู่ในร่างกายของท่าน ท่านก็ไม่ต้องกลัวโควิดอีกต่อไป ท่านจะไม่ต้องกลัวสถานการณ์อะไรอีกต่อไป ท่านจะเป็นเหมือนที่ได้บรรยายมาตั้งแต่ต้นว่าท่านเป็นลูกของพระเจ้า พระเจ้าสถิตอยู่ในท่าน อยู่กับท่าน

โรม 10:9-13 “9 นั่นคือถ้าท่านยอมรับด้วยปากของท่านว่า “พระเยซูทรงเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้า” และเชื่อในใจของท่านว่าพระเจ้าทรงให้พระองค์เป็นขึ้นจากตาย ท่านก็จะได้รับความรอด   10 เพราะท่านเชื่อด้วยใจ จึงทรงให้ท่านเป็นผู้ชอบธรรม และเพราะท่านยอมรับด้วยปาก จึงทรงให้ท่านรอด 11 ตามที่พระคัมภีร์กล่าวไว้ว่า “ผู้ใดที่วางใจในพระองค์จะไม่ได้รับความอับอายเลย  12 เพราะไม่ว่าจะเป็นคนยิวหรือคนต่างชาติก็ไม่ต่างกันเลย พระผู้เป็นเจ้าองค์เดียวกันทรงเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้าของคนทั้งปวง และทรงอวยพรอย่างอุดมแก่คนทั้งปวงที่ร้องเรียกพระองค์ 13 เพราะว่า “ทุกคนที่ร้องออกพระนามขององค์พระผู้เป็นเจ้า จะได้รับการช่วยให้รอด”

 

เพราะฉะนั้น ใครที่เป็นลูกพระเจ้า ที่เชื่อในพระเยซูคริสต์ ใครที่มีพระเจ้าสถิตอยู่ด้วย ในร่างกายของเขา ก็ได้เปรียบตรงนี้ นอกจากจะคุ้มครองดูแล และให้ความรอดทางโลกวิญญาณ คือไม่เป็นคนบาป ไปอยู่ในสวรรค์แน่นอน เมื่อจากโลกนี้ เพราะตอนนี้ก็อยู่แล้ว ก็ยังปกปักคุ้มครองดูแลความคิดของเราในปัจจุบัน ซึ่งเป็นตัวสำคัญได้ด้วย ให้พลังกับเรา ให้กำลัง ให้ความสามารถกับเราได้ด้วย ให้เราสามารถเผชิญกับความกลัวด้วย ให้เราสามารถเผชิญกับความกังวลด้วย ให้เรามีความหวังอยู่เสมอ ท่านอยากได้ใช่ไหม? ส่วนผู้ที่ยังไม่ได้ต้อนรับพระเยซูคริสต์เข้ามาเป็นตัวช่วย ลองคิดดูนะ ถ้าท่านไม่มีเลย ท่านหัวเดียวกระเทียมลีบจริงๆ  ถ้าใครก็ตามที่ได้ยินได้ฟังตรงนี้แล้ว มีความรู้สึกกลัว และอยากได้ตัวช่วยอย่างที่เราคริสเตียน ผู้ที่เชื่อพระเจ้าได้ เหมือนที่ผมอธิบายมา เหมือนกับผู้ที่มีพระเจ้าอยู่ในตัวแล้ว อย่างที่ตะกี้นี้บอก ไม่ยากเลย ตามถ้อยคำพระเจ้าที่อ่านเมื่อตะกี้นี้ พระเจ้าบอกว่าเคาะอยู่ที่ประตูใจทุกคน ทุกวันนี้ พระเยซูเคาะต้องการจะช่วย แล้วท่านทั้งหลายก็ไม่ได้ต่างอะไรกับเราเลย  ก็เป็นลูกเท่านั้นเอง เพียงแต่ยังไม่เคยได้ยินข่าวดีนี้ ข่าวดีจริงๆ

พระคัมภีร์ที่ตะกี้เราอ่าน สรุปง่ายๆ ก็คือถ้าท่านยอมรับด้วยปาก และเชื่อด้วยใจ ท่านรู้ไหมตรงนี้คืออะไร? แค่ท่านเชื่อด้วยใจ รับด้วยปาก แค่นี้เอง ไม่มีข้อแม้นะ ในนี้ไม่ได้บอกว่าถ้าท่านยอมรับด้วยปากและเชื่อด้วยใจ แต่ต้องไม่มีศาสนาอื่น  เชื่อด้วยปากและรับด้วยใจ ต้องทิ้งตัวตน ไม่มี พระเยซูบอกว่าเมล็ดมัสตาร์ดเล็กๆ มันกลายเป็นต้นไม้ใหญ่ได้ ขอให้ท่านมีความเชื่อเท่าเมล็ดมัสตาร์ด มันเล็กมาก นิดเดียว ลมพัดก็ปลิวแล้ว เป็นพันๆ ล้านๆ เม็ด มันก็คือมนุษย์ และพระเจ้าบอกว่าเมล็ดมัสตาร์ดเล็กๆ มันกลายเป็นต้นไม้ใหญ่ เวลาท่านพูดว่า …

“พระเยซูลูกเชื่อแล้ว ลูกรับ”

ในใจหรือความคิดของท่าน หรืออะไรต่างๆ ของท่านอาจจะบอกว่าไม่จริง พระเยซูจะเป็นขึ้นมาใหม่ จากความตายได้อย่างไร? มันเป็นเรื่องธรรมดา ผมจะบอกท่าน ผมเอง หรือท่านทั้งหลายที่นั่งอยู่ที่นี่ ที่เป็นคริสเตียน ก็คิดอย่างนั้นแหละ มีใครที่ไม่เคยคิดอย่างนี้ว่าท่านเชื่อเหรอ พระเยซูเป็นขึ้นจากความตาย เชื่อ 100% จริงๆ เชื่อไหม? ไม่เชื่อ เป็นไปไม่ได้ ในใจของท่านไม่เชื่อ แต่ความคิดของพระเจ้าเกินกว่าความคิดของมนุษย์ที่จะเข้าใจ พระเจ้าไม่สนใจตรงนั้นหรอก ขอแค่ท่านมีความเชื่อเท่าเมล็ดมัสตาร์ดเล็กๆ พูดเท่านั้นเองว่า …

“พระเยซูลูกต้องการพระองค์” จบ

เดี๋ยวพระองค์ก็เข้าไป แล้วจากนี้เราก็เริ่มต้นนับหนึ่ง เกิดใหม่แล้ว พระเจ้าก็เข้าไปอยู่กับท่าน และจะจูงมือท่านเดินทีละวันๆ เอเมนไหม? ไม่ยากเลย เราไปทำให้มันยาก จนคนกลัว ต้องทิ้งประเพณีนั้น ประเพณีนี้ ต้องไม่มีนั้น ต้องไม่มีนี้ ในนี้ไม่มีบอกเลยแม้แต่นิดหนึ่งว่าต้องอย่างนั้น ต้องอย่างนี้ ขอให้ท่านมีแค่เมล็ดมัสตาร์ดเล็กๆ ว่า …

“ฉันเชื่อข่าวดีที่วันนี้คุณนครเขาประกาศมา ฉันเชื่อว่าพระเยซูเป็นพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์ และช่วยฉันได้ พระองค์ทรงเป็นขึ้นมาจากความตาย”

จบ ตามพระคัมภีร์ มนุษย์ไม่ต้องไปใส่อันนั้นอันนี้ ไม่มีข้อแม้ เอาแค่นี้ ทุกวันนี้พระเจ้าก็คอยอยู่ เคาะประตูอยู่ เมื่อไรจะเปิดสักที ไม่มีข้อแม้อะไรเลย ไม่ได้บอกว่าท่านต้องทิ้งศาสนาอื่นนะ ไม่ได้บอก หรือว่าต้องหยุดไหว้รูปเคารพ ไม่ได้พูด หรือท่านต้องหยุดทำพิธีทางศาสนาใดๆ ไม่ได้บอก ไม่มีเลย มันง่ายนิดเดียวเอง แม้ทุกวันนี้เราเชื่อแล้วก็ตาม ท่านก็มีอะไรอีกหลายๆ อย่าง ที่ทำไปเหมือนไปกับคนที่เขายังไม่เชื่อ แล้วจะต่างอะไรกันล่ะ หรือแม้แต่ตัวผมเอง ก็ทำหลายๆ อย่าง ที่เหมือนคนไม่เชื่อ บางครั้งผมก็โมโห บางครั้งผมก็โลภ แล้วถามว่าโลภกับโมโหมันต่างอะไรกับคนนับถือศาสนาอื่น มันต่างอะไรกัน ไม่ใช่รูปเคารพเหรอ แล้วบางคนมาเชื่อพระเจ้า เห็นแก่ตัวมีไหม? มี ถามว่าเห็นแก่ตัวเป็นรูปเคารพไหม? เป็น แล้วมันต่างอะไรกัน บางคนมาเชื่อพระเจ้าแล้ว  นับถือศิษยาภิบาลเป็นรูปเคารพ มีไหม? มี แล้วมันต่างกันอย่างไร? อย่างนั้นใครจะไปรอด

พระคัมภีร์บอกว่าพระเยซูมาตายที่ไม้กางเขน หลั่งพระโลหิต ชำระบาปให้กับมนุษย์ทั้งปวง ครั้งเดียวเป็นพอ ใครเชื่อก็ได้เลย ไม่มีการต้องไปทำอะไร เพราะโดยพระคุณ มันเป็นการเกิดมาได้รับ ทางวิญญาณ พอเชื่อตรงนี้ มันก็เกิดใหม่ในวิญญาณ พอเกิดใหม่มา จบ อย่างนี้จึงเรียกว่าพระเยซูทำสำเร็จแล้ว ถ้ามาเหมือนเดิมอย่างนั้น พระเยซูยังไม่สำเร็จแล้ว ไม่มีใครได้ไปสวรรค์สักคน ถ้าอย่างนี้ มันจะไปสวรรค์กันเยอะมากทีเดียว และขออวยพรให้ท่านได้ตัดสินใจง่ายๆ พูด …

“ลูกต้องการพระเยซู ลูกต้องการอยากได้อย่างนี้”

พูดให้ชัดเจน จำอะไรไม่ได้หมด ก็ไม่เป็นไร พูด “พระเยซูลูกต้องการพระองค์ ลูกต้องการพระองค์ ลูกเชื่อแล้ว”

แค่นี้ แล้วพระองค์จะนำไปตลอด เอเมน ขอพระเจ้าอวยพรครับ

 

*************************