คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 16 กุมภาพันธ์ 2020 เรื่อง “ความเชื่อเก่าแก่กับความจริงที่ทำให้เป็นไท” ตอน 5 “เราต้องหมั่นสารภาพบาปกับพระเจ้าอยู่เสมอ” โดย นคร เวชสุภาพร

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  16  กุมภาพันธ์  2020

 เรื่อง “ความเชื่อเก่าแก่กับความจริงที่ทำให้เป็นไท”

ตอน 5 “เราต้องหมั่นสารภาพบาปกับพระเจ้าอยู่เสมอ”

โดย นคร  เวชสุภาพร

            วันนี้เรามาต่อ “ความเชื่อเก่าแก่กับความจริงที่ทำให้เป็นไท” ตอนที่ 5 สัปดาห์ที่แล้ว เราได้เรียนรู้แล้วว่าเมื่อเราเชื่อในข่าวดีของพระเยซูคริสต์ และได้บังเกิดใหม่ จากความเชื่อ เป็นลูกของพระเจ้าแล้ว เราก็ไม่ต้องชำระล้างจิตใจของเราให้สะอาดบริสุทธิ์ในสายพระเนตรของพระเจ้าอีกต่อไปแล้ว  เพราะพระเจ้าได้ทำให้เราแล้ว รวมทั้งวิญญาณของเราด้วย แต่สิ่งที่เราสมควรทำในฐานะที่เราบังเกิดใหม่ เป็นลูกของพระเจ้าแล้ว คือจงเปลี่ยนแปลง ปรับปรุงความคิดในร่างกายนี้เสียใหม่  ให้เข้ากันกับความคิดของพระคริสต์ ในจิตใจของเรา ในวิญญาณของเรา ที่เหมือนพระเจ้าอยู่นั่นแหละ ภาษาอังกฤษเขาเรียกว่าปรับปรุงความคิดของเรา Mind ปรับปรุงเปลี่ยนแปลงความคิดของเรา ที่อยู่ในเนื้อหนังร่างกายนี้ ให้เป็นเหมือน Mind of Christ คือเป็นความคิดที่เหมือนพระเยซูคริสต์ ซึ่งเราได้รับจากพระเจ้า สะอาดบริสุทธิ์ คิดเหมือนพระเยซูเลย

ฉะนั้น ปรับความคิดที่เนื้อหนังร่างกายนี้ ให้มันเข้ากัน จูนให้มันเข้ากันกับพระเยซู หรือพระเจ้า ที่สถิตอยู่กับเรา อย่าไปตามระบบของโลกนี้ ซึ่งถูกควบคุมโดยมาร นั่นเอง ในหนังสือโรม 12:2 ลองทบทวนกันนิดหนึ่ง

โรม 12:2 “อย่าดำเนินชีวิตตามอย่างคนในโลกนี้ แต่จงรับการเปลี่ยนแปลงจิตใจของท่านใหม่ แล้วท่านจึงจะสามารถพิสูจน์และยืนยันได้ว่าสิ่งใด คือพระประสงค์ของพระเจ้า คือพระประสงค์อันดีอันเป็นที่พอพระทัยและสมบูรณ์พร้อมของพระองค์”

 

“อย่าดำเนินชีวิตตามอย่างคนในโลกนี้” หมายถึงเวลาเรามาเชื่อแล้ว เราได้บังเกิดใหม่ในวิญญาณแล้ว อย่าดำเนินชีวิตตามอย่างระบบของโลกนี้ ซึ่งถูกควบคุมและดำเนินการโดยมาร ผ่านทางบรรดาผู้คนบนโลกใบนี้ ทั้งที่เชื่อและไม่เชื่อ มันส่งกระแสมายุแยงตลอดเวลา มันทำอะไรเราไม่ได้หรอก นอกจากจะให้เราเชื่อมันและทำเองนั่นแหละ ผู้ที่ไม่ได้เชื่อในพระเจ้า ไม่ได้บังเกิดใหม่ ก็หนักหน่อย  แต่ผู้ที่เชื่อ ก็มีโอกาสเหมือนกัน ที่จะฟังมัน แล้วไม่ฟังพระคริสต์ที่อยู่ข้างในเรา อย่างนี้ เขาเรียกว่าระบบของโลกนี้

ครั้งที่แล้ว เราได้เรียนรู้แล้วว่าพระเจ้าได้  เข้าไปในโลกฝ่ายวิญญาณ  ผ่าตัดวิญญาณของเรา เมื่อตอนที่เรา รับเชื่อในข่าวดีของพระเยซูคริสต์จริงๆ ว่าพระเยซูเป็นพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์ ตายที่ไม้กางเขน หลั่งพระโลหิต ถูกฝังไว้ แล้วเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่ 3 เมื่อตอนที่เราเชื่อข่าวดีของพระเยซูคริสต์เรื่องนี้ พระเจ้าได้ผ่าตัดวิญญาณของเรา ไม่ว่าเมื่อไรก็ตาม ที่เราเชื่อจริงๆ เชื่อในใจ รับด้วยปาก พระเจ้าได้ทำการเข้าไปที่วิญญาณของเรา แล้วก็ย้ายวิญญาณของเราออกจากที่อยู่เดิม คืออาณาจักรของความมืด ในพระคัมภีร์โรมบอกอยู่ในอาดัม DNA ของเราอยู่ในนั้น แต่นี่ลึกไปถึงวิญญาณ พระเจ้าผ่าตัดวิญญาณของเรา โดยการย้ายวิญญาณของเราออกจากอาดัม หรือในอาณาจักรของความมืดเข้ามาอยู่ในพระคริสต์

พระคัมภีร์บอกว่าพระองค์ได้ทำให้วิญญาณของเราตาย และชดใช้บาปร่วมกับพระเยซูคริสต์ที่ไม้กางเขน  แล้วได้ถูกฝังอยู่ในอุโมงค์ ร่วมกับพระคริสต์ และพระเจ้าก็ได้ชุบให้เรา เป็นขึ้นจากตาย พร้อมหรือร่วมกันกับพระเยซูคริสต์ ได้เกิดใหม่ในวิญญาณ และได้ประทานจิตใจใหม่เอี่ยมให้กับเรา เป็นวิญญาณและจิตใจที่เป็นชีวิตนิรันดร์ สะอาด บริสุทธิ์ เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์ไม่มีผิดเลย สามารถเข้ากันได้กับความบริสุทธิ์ สะอาด ศักดิ์สิทธิ์ ฤทธิ์เดชของพระเจ้าแล้ว พระเจ้าจึงสามารถเข้ามาอยู่ในร่างกาย มาอยู่กับวิญญาณของเรา เอเมน

ผมจะอธิบายให้ท่านฟังนิดหนึ่ง ให้ชัดๆ ขึ้น ในโลกวิญญาณที่เรามองไม่เห็น มนุษย์ทุกคนต้องอยู่ที่ไหนที่หนึ่งในโลกวิญญาณ ไม่ว่าจะเชื่อพระเจ้าหรือไม่เชื่อ พูดง่ายๆ ว่ามนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้ ต้องอยู่ที่ประเทศใดประเทศหนึ่ง ถ้าเขายังเป็นมนุษย์อยู่ นอกจากไม่มีประเทศ ก็อยู่ที่ใดที่หนึ่งบนโลกใบนี้ อยู่ตรงตำแหน่งไหน? จะขั้วโลกเหนือ ขั้วโลกใต้ ตะวันออก ตะวันตก ต้องอยู่ที่ไหนที่หนึ่ง ถ้าเขาเป็นมนุษย์ ในโลกวิญญาณก็มีอยู่ 2 แห่งเหมือนกัน คือโลกวิญญาณที่เรียกว่าความมืด อยู่ในอาดัมและโลกวิญญาณที่อยู่ในความสว่าง คือในพระคริสต์ ไม่ว่าจะทำอะไร ก็ต้องอยู่ในนี้

เพราะฉะนั้น การที่พระเจ้าได้ผ่าตัดวิญญาณของเรา ก็คือย้ายเราออกจากอาณาจักรแห่งความมืด พระคัมภีร์ใหม่ได้พูดถึงเรื่องนี้ทั้งนั้นเลย นี่คือหัวใจของข่าวดีว่าพระเจ้าผ่าตัดเรา ผ่านทางพระเยซูคริสต์ในวิญญาณเรา ย้ายเราออกจากอาณาจักรของความมืด ซึ่งอยู่ใต้อำนาจของมาร อยู่ในอาดัม ซึ่งอยู่ใต้อำนาจของความบาป คำสาปแช่ง อยู่ใต้อำนาจของกฎ ย้ายเราเข้ามาสู่พระเยซู พอย้ายเข้ามาอยู่ในพระเยซูแล้ว ก็เป็นเหมือนพระเยซู พอเชื่อข่าวประเสริฐของพระเยซูปุ๊บ พระเจ้าได้เอาวิญญาณเราผ่าตัด จัดการปุ๊บ เอาวิญญาณเราเข้าไปอยู่ในพระคริสต์ เสร็จแล้ว เราก็ตายที่ไม้กางเขนร่วมกับพระคริสต์ แล้วเราก็ถูกฝังอยู่ในอุโมงค์ 3 วัน ร่วมกับพระเยซูคริสต์ พระคัมภีร์พูดอย่างนี้ชัดเจนเลย แล้ววันที่ 3 พระเจ้าได้ชุบพระเยซูให้เป็นขึ้นจากความตาย เราก็เลยเป็นด้วย นั่งอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้า ในสวรรค์สถาน และได้รับวิญญาณใหม่ ที่เรียกว่าวิญญาณเกิดใหม่แล้ว เป็นวิญญาณสะอาด ใหม่ หมดจด เรียบร้อยเลย ไม่มีที่ติใดๆ เลยแม้แต่นิดเดียว นี่คือครั้งที่แล้ว

แล้วมาหัวข้อบรรยายในวันนี้คือ “ความเชื่อเก่าแก่กับความจริงที่จะทำให้ท่านเป็นไท” ตอนที่ 5 เขามีการสอนไว้อย่างนี้นะ คือ “เราต้องหมั่นสารภาพบาปกับพระเจ้าอยู่เสมอ” คิดในใจ นี่เราได้รับการสอนอย่างนี้มาตลอด ที่แล้วมา เราเชื่ออย่างเดียว ใครไม่รู้สอนไว้ เราก็ไม่ได้คิด ตอนนี้ เรามาคิดดูว่ามันถูกไหมว่าเป็นความเชื่อ ตามตำนาน ที่สอนกันมานานมาก แล้วว่าเมื่อเรามาเชื่อพระเจ้าแล้ว เราต้องหมั่นสารภาพบาปของเราต่อพระเจ้าอยู่เสมอๆ เพื่อที่เราจะได้รักษาชีวิตให้สะอาด บริสุทธิ์ในสายพระเนตรของพระเจ้าไว้ได้ คิดให้ดีๆ อันนี้ช้านิดหนึ่ง ใครไม่รู้ สอนมานานแล้ว แต่ไม่ใช่ในพระคัมภีร์แน่ เป็นตำนานเก่าแก่ สอนเราว่าเมื่อท่านได้มาเชื่อพระเยซูแล้ว บังเกิดใหม่ เป็นลูกของพระเจ้าแล้ว ไม่ว่าท่านจะพลั้งเผลอไปทำผิดอะไร? ทำบาปอะไร? ไม่ว่าจะเจตนาหรือไม่เจตนาก็ตาม  ก็จงอธิษฐานขอรับการอภัยจากพระเจ้า เพราะพระเจ้าเปี่ยมล้นด้วยความรัก ความเมตตา พระองค์จะทรงอภัยบาปให้กับท่าน ไม่ว่าท่านจะทำกี่ครั้งก็ตาม ไม่ว่าความผิดนั้นจะเล็กหรือใหญ่ขนาดไหนก็ตาม ให้ท่านหมั่นที่จะสารภาพต่อพระเจ้า คุ้นไหม?  ฟังดูดีมาก มันถึงเชื่อง่าย

หลายคนก็เคยได้รับการสอนมาว่าทุกครั้งที่เข้าไปหาพระเจ้า เราควรเริ่มต้นการอธิษฐาน ด้วยการสารภาพบาปก่อน แล้วถึงจะคุยกับพระเจ้า จะอธิษฐานอะไรก็ว่ากันไป ในขณะนมัสการ ใช่เลย ร้องเพลงนมัสการพระเจ้า ถ้าให้ดี ก็คือต้องสารภาพบาปก่อน มันกลายเป็นอะไรที่คริสเตียน ผู้มาเชื่อต้องทำ ทุกวันนี้ ก็ยังมีหลายแห่ง ที่นมัสการวันอาทิตย์ และมีการประกาศว่าใครที่รู้ตัวว่าทำผิด หรือเผลอไปทำอะไรมา ระหว่างสัปดาห์ที่แล้ว ก็ให้ออกมาข้างหน้า ให้ที่ประชุมร่วมกันอธิษฐานให้ เพื่อขอรับการอภัยโทษ จากพระเจ้า อาทิตย์นี้มาโบสถ์ ก็ออกมา เพื่อขอรับการอภัยโทษจากพระเจ้า พออาทิตย์หน้ามาอีก รู้สึกไม่สบายใจ ก็ออกไปอีก ให้อธิษฐานอีก พออาทิตย์ต่อไป ก็ออกไปอีก ไม่สบายใจ มันยังไม่ชนะ เพราะฉะนั้น ไปหาศิษยาภิบาลที่โบสถ์วันธรรมดาเลย ให้อธิษฐานให้อีก อันนี้เกิดขึ้นอย่างนี้จริงๆ ใช่ไหม?

เพราะฉะนั้น บางคนจึงออกมาทุกอาทิตย์เลย ไปรับการเจิม ไปรับการชำระล้างทุกอาทิตย์ บางคนหนักกว่านั้น ไปรับการไล่ผีออก ไล่แล้วไล่อีก ไม่รู้พระเจ้าที่อยู่ในตัวไปไหน ทำไมผีมันเยอะอย่างนี้ เพราะอะไร? แล้วมันมาจากไหน? ในเมื่อพระคัมภีร์ไม่มีบันทึกอย่างนั้น ใช่ไหม? เพราะแน่นอน เมื่อเรียกแล้ว ถ้าไม่มั่นใจ ทุกคนเดินออกไปหมดแหละ เพราะว่าอาทิตย์นี้ ผมบอกท่าน พูดตรงนี้เสร็จปุ๊บ ท่านเดินออกไปปุ๊บ ถามว่าบางคนไม่ถึง 1 นาที ทำบาปไหม?

“ตอนนี้มั่นใจ ฉันเชื่อพระเจ้า ฉันบังเกิดใหม่ เป็นลูกพระเจ้า สะอาดหมดจด”

พอออกไป เดี๋ยวอารมณ์ไม่ดีขึ้นมา รู้สึกตัวไหมว่าเราบาปอีกแล้ว แล้วมันก็สะสมไปเรื่อยๆ จนถึงวันอาทิตย์ 7 วัน มาโบสถ์ มีการเรียกอย่างนี้ รับรองก็ต้องมีคนออกมา เพราะเขาไม่มั่นใจในความบริสุทธิ์สะอาดของตัวเขาเอง วิญญาณของเขา ท่านพอจะเห็นภาพชัดขึ้นแล้วนะ ซึ่งถ้าความเชื่อหรือคำสอนอย่างนี้ สมมติก่อนว่ามันถูก ว่าเราต้องสารภาพบาปกับพระเจ้าบ่อยๆ  เสมอๆ กันลืม อะไรแบบนี้ ถามตามเหตุผลเลยนะ  ถ้าเกิดมีบาปที่เรานึกไม่ถึง หรือลืมสารภาพไป หรือสารภาพไม่ทัน ตายก่อน  แล้วมันจะเกิดอะไรขึ้น สารภาพไม่ทันตายก่อนมีเยอะเลยนะ ไม่ต้องรอพระเยซูมา ไปหาพระเยซูเองเลย ออกจากโบสถ์นี้ไป ไปติดเชื้อโควิต 19 ตาย ยังไม่ได้สารภาพบาป แล้วทำอย่างไร? แล้วบางอันลืมไป กะว่าเดี๋ยวกลับบ้านจะอธิษฐาน อ้าว! ลืมแล้ว แล้วต้องคอยจำ ต้องทำอะไรบ้าง? พระเยซูบอกแค่ความคิด ก็ผิดแล้ว ตอนนี้บางคนนั่งอยู่ข้างๆ

“ใส่น้ำหอมมาฉุนมากเลย รำคาญจริงๆ เลย”

บาปหรือยัง? บาปแล้ว คิดแค่นี้ก็บาปแล้ว กลับไป ต้องอธิษฐานสารภาพบาป ลืมไป ตายก่อน จะอยู่ในนรกหรือในสวรรค์ดี ท่านพอนึกภาพออกไหม? ผมพยายามให้ท่านมาชัดๆ

แต่ข่าวดีของพระเยซูคริสต์ที่บันทึกไว้ในพระคัมภีร์ คืออะไร? โคโลสี 2:13

โคโลสี 2:13 “เมื่อท่านตายแล้วในบาปของท่าน และในวิสัยบาปของท่าน ซึ่งไม่ได้เข้าสุหนัต  พระเจ้าได้ทรงให้ท่านมีชีวิตด้วยกันกับพระคริสต์ พระองค์ทรงอภัยโทษบาปทั้งสิ้นของเรา”

 

“เมื่อท่านตายแล้วในบาปของท่าน และในวิสัยบาปของท่าน คือเนเจอร์ ธรรมชาติบาปของท่าน ซึ่งไม่ได้เข้าสุหนัต” หมายความว่าก่อนที่จะเชื่อในพระเจ้า ทุกคนมีสภาพเป็นคนบาป ไม่ใช่เป็นประชากรของพระเจ้า เป็นประชากรของมาร และอยู่ในธรรมชาติ หรือวิสัย หรือเนเจอร์ของความบาป ซึ่งไม่ได้อยู่ในพันธสัญญา ไม่ได้เป็นชนชาติของพระเจ้า ที่เรียนกันในครั้งที่แล้วว่าที่เข้าสุหนัต คือการทำในยุคพันธสัญญาเดิม เล็งให้เห็นถึงพันธสัญญากับพระเจ้าว่าเป็นประชากรของพระเจ้า เล็งให้เห็นถึงในยุคปัจจุบัน ในยุคโลกวิญญาณ พวกที่ไม่ได้เข้าสุหนัต สมัยนั้น ถือว่าเป็นพวกนอกรีต ไม่ได้เป็นประชากรของพระเจ้า การอยู่ในวิสัยบาป หรือเนเจอร์บาป ที่ไม่ได้เข้าสุหนัต ก็คือการไม่มีส่วนร่วมในพระคริสต์นั่นเอง ก็คือยังไม่เชื่อในพระคริสต์ ยังไม่ได้เกิดใหม่ในวิญญาณ เพราะฉะนั้น ไม่มีส่วนร่วมในพระคริสต์ ก็คือยังคงเป็นคนบาปอยู่นั่นเอง

โคโลสี 2:11 ที่เราได้อ่านครั้งที่แล้ว บอกไว้อย่างนี้ว่าในพระองค์ท่านยังได้เข้าสุหนัต คือเมื่อพระเจ้าได้ย้ายท่านเข้ามาอยู่ในพระเยซูคริสต์ปุ๊บ ท่านได้เข้าสุหนัต ไม่ใช่ด้วยมือมนุษย์ แต่ด้วยพระวิญญาณ ก็คือพระเจ้าได้ย้ายท่านเข้ามาอยู่ในพระเยซูคริสต์ ทำพันธสัญญากับพระองค์ เป็นประชากรของพระองค์ เป็นลูกของพระองค์ ในพระองค์ ท่านยังได้เข้าสุหนัต คือได้สลัดวิสัยบาปทิ้ง เป็นสุหนัตที่ไม่ได้ทำด้วยมือมนุษย์ แต่ทำโดยพระคริสต์ นี่ครั้งที่แล้ว ในโคโลสี 2:11 สลัดวิสัยบาป คือเอาเนเจอร์บาป เอาธรรมชาติบาปตัวเก่าออกไปเลย วิญญาณเราใหม่เอี่ยมเลย เรียกว่าบังเกิดใหม่

สรุปรวมความ ก็คือก่อนที่จะมาเชื่อพระเจ้านั้น ท่านยังมีสภาพ เป็นคนบาป พอผมบอกท่านมีสภาพเป็นคนบาป จงมองให้เห็นถึงความเป็นจริง ซึ่งผมพยายามเน้นตรงนี้บ่อยๆ พอบอกว่า “ท่านๆ” “คนๆ” หมายถึงตัวตนจริงๆ ของเรา คือวิญญาณที่อยู่นิรันดร์ ที่เรามองไม่เห็น ผมก็มองท่านไม่เห็น  ตัวท่านเอง ก็มองตัวท่านเองไม่เห็น นี่แหละ คือปัญหา ที่ถูกหลอกได้ง่าย แต่พระคัมภีร์บอกเรา สอนเรา ก่อนที่จะมาเชื่อพระเจ้านั้น ท่านยังมีสภาพเป็นคนบาป  และยังไม่มีส่วนร่วมในพระคริสต์ เพราะฉะนั้น วิญญาณท่านจึงตาย คือถูกตัดขาดออกจากพระเจ้า อยู่ในโลกแห่งความมืด อยู่กับมาร อยู่ในอาดัม ไม่สามารถเข้ากับพระเจ้า ไม่บริสุทธิ์สะอาดในสายพระเนตรของพระเจ้า

ตอนก่อนที่ผมจะเชื่อในพระเจ้า เป็นอย่างนั้น เป็นที่ตรงวิญญาณของเรา ทุกครั้งต่อไปนี้ พอบอก “ฉันๆ” นึกไปเลยว่า “ฉัน” หมายถึงวิญญาณ ซึ่งจะอยู่นิรันดร์

เพราะฉะนั้น นี่คือก่อนที่จะเชื่อ และหลังจากที่มาเชื่อพระเจ้าแล้ว มี 2 สิ่งที่เกิดขึ้นกับฉัน ฟังให้ดีๆ ในวิญญาณของฉัน ตัวเป็นๆ ตัวจริงๆ ของฉัน ก็คือ …

(1) คือพระเจ้าได้ทรงให้ท่านมีชีวิตอยู่กับพระคริสต์ ให้ท่านเกิดใหม่ และอยู่ในอาณาจักรของพระคริสต์ ย้ายท่านออกจากอาดัมไปอยู่กับพระคริสต์

(2) คือพระองค์ทรงอภัยบาปทั้งสิ้นของเรา แปลว่า อภัยทุกๆ ครั้ง “ทุกๆ ครั้ง” แปลว่าไม่มียกเว้นบางครั้ง ถ้าบางคนบอกว่า …

“ไม่ได้ บาปนี้พระเจ้าไม่อภัยให้”

“ทำไม”

“เพราะมันเป็นบาปที่ตั้งใจทำ”

“อ้าว! ในนี้บอกว่าทุกๆ ครั้ง”

แปลว่าทุกๆ ครั้ง ยกเว้นตั้งใจ อย่างนั้นหรือเปล่า?  ในนี้บอกทุกครั้ง  ทั้งหมดเลย ทั้งที่ตั้งใจและไม่ตั้งใจ แต่ว่ากันตามจริงแล้วพระเยซูไม่เคยว่าไม่ตั้งใจ เพราะมันทำมาจากข้างในทั้งสิ้น  มันตั้งใจทั้งนั้นแหละ ไม่มีคำว่าไม่ตั้งใจหรอก อันที่บอกว่าไม่ตั้งใจ คือมนุษย์พยายามหาความชอบธรรมให้ตัวเอง

ใครที่ยังสงสัย หรือยังไม่มั่นใจในเรื่องการอภัยโทษบาปทั้งสิ้น ว่าท่านได้รับการอภัยบาปทั้งสิ้นแล้วจริงๆ การไถ่บาปนิรันดร์ การได้รับความรอดนิรันดร์จากพระเยซูคริสต์ จากพระเจ้าแล้ว ถ้าท่านยังไม่มั่นใจในเรื่องนี้ ผมอยากแนะนำให้ท่านไปอ่านหนังสือ ศึกษาเพิ่มเติม อันนี้เป็นหนังสือที่ชัดเจนมากเลยในพระคัมภีร์ หนังสือจดหมายฝากฮีบรู โดยเฉพาะอย่างยิ่งบทที่ 9 และบทที่ 10 จริงๆ เขาว่ามาตั้งแต่บทที่ 1 นั่นแหละ แต่ว่าเน้นชัดๆ ชัวร์ๆ บทที่ 9 บทที่ 10 อ่านเฉพาะ 2 บทนี้ ก็เข้าใจแล้ว ซึ่งเป็นถ้อยคำพระเจ้า ที่ย้ำยืนยันกับเราว่าบาปทั้งหลาย ทั้งปวงของเราได้ถูกลบล้างไปจนหมดสิ้นแล้ว ได้รับการไถ่บาปชั่วนิรันดร์ ใช้คำนี้เลย “ได้รับการไถ่บาปนิรันดร์” เรามาดูฮีบรู 9:12

ฮีบรู 9:12 “พระองค์ไม่ได้ทรงเข้าไปด้วยเลือดแพะหรือเลือดวัว แต่พระองค์ทรงเข้าไปสู่อภิสุทธิสถาน ด้วยพระโลหิตของพระองค์เอง  พระองค์ทรงกระทำเช่นนี้  เพียงครั้งเดียวเป็นพอ  และได้การไถ่บาปชั่วนิรันดร์มา”

 

พูดตามนะ “พระองค์ทรงกระทำเช่นนี้ เพียงครั้งเดียวเป็นพอ และได้การไถ่บาปชั่วนิรันดร์มา”

พระองค์ได้ทรงเข้าไปสู่อภิสุทธิสถาน คือสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สุด ที่พระเจ้าสถิตอยู่ โดยพระโลหิตของพระองค์เอง สมัยอดีต พระเจ้าสร้างเงาว่าอนาคตจะทำอย่างนี้ ปุโรหิตที่เป็นมนุษย์บาปเข้าไป เอาเลือดแพะเลือดแกะ เลือดสัตว์เข้าไป แต่พอมาถึงพระเยซูที่เล็งไว้ ของจริงมา จะเป็นอย่างนี้แหละ พระองค์ทรงเข้าไปสู่อภิสุทธิสถาน ด้วยตัวพระองค์เอง และพระองค์ทรงกระทำเช่นนี้  ก็คือไถ่บาป เพียงครั้งเดียวเป็นพอ ได้รับการไถ่บาปชั่วนิรันดร์

ในสมัยพระคัมภีร์เดิมที่เป็นเงานั้น มนุษย์ที่เป็นปุโรหิตเอาเลือดสัตว์เข้าไป ต้องไปทุกปี ไปต่ออายุ ไม่มีการเอาออกไป มีแต่ปกปิดไว้ชั่วคราว คำว่า “ไถ่บาปนิรันดร์” ครอบคลุมตั้งแต่บาปที่ติดตัวเรามาตั้งแต่เกิด เกิดมาไม่ต้องอะไรเลย ก็บาปแล้ว เพราะเป็นบาปที่ส่งทอดมาจากบรรพบุรุษของเรา คือในอาดัม  ซึ่งมนุษย์ทุกคนมีตรงนี้อยู่ใน DNA บาปที่ติดตัวเรามาตั้งแต่เกิด บาปที่เราเคยทำในอดีต ไม่ว่าจะจำได้หรือไม่ได้ ก็ตาม รวมทั้งบาปที่เรากำลังทำกันอยู่ในขณะนี้ คิดในใจว่า …

“คนนี้เหม็นจริงๆ น้ำก็ไม่อาบ”

คิดอยู่ตอนนี้  … “เราอุตส่าห์ทักเขานะ ไม่ยอมยิ้มกับเราเลย หมั่นไส้จริงๆ คนนี้”

บาปไหม? กำลังคิดอยู่ใช่ไหม? ต้องสารภาพบาปไหม? บาปที่เรากระทำกันอยู่ในขณะนี้ จนถึงบาปที่เราจะทำพรุ่งนี้ด้วย ไม่ต้องถึงพรุ่งนี้ เดี๋ยวออกจากนี้ไป ไปกินข้าว อากาศยิ่งร้อนๆ อยู่ อารมณ์ไม่ดี มีโอกาสไหม? ก็คือบาปในอนาคตนั่นเอง       เพราะฉะนั้น บาปที่พระเยซูไถ่นิรันดร์ มันรวมตั้งแต่บาปในอดีตจนถึงบาปในอนาคต ตลอดไปเลย  เอเมน

พระคัมภีร์ได้บันทึกอย่างนี้ ในพระคัมภีร์เดิม เป็นแผนการของพระเจ้าบอกล่วงหน้าว่า … ตราบเท่าที่ดวงอาทิตย์ขึ้นทางทิศตะวันออก และตกทางทิศตะวันตก มันไม่มีวันได้เจอกันเลย บาปทั้งหลายทั้งปวงของเราได้ถูกลบล้างไปจนหมดสิ้นแล้ว พระเจ้าได้เอาออกไปไม่มีอีกเลย ที่จะมีบาปอีกต่อไป เมื่อถึงวันนั้น คือวันที่พระเยซูมาไถ่บาปเรา เพราะฉะนั้น จำเป็นต้องมีการสารภาพบาปไหม? ในเมื่อบาปมันไม่มี มันไม่ได้เป็นหนี้ ต้องไปขอร้องเขาให้อภัยให้ฉันด้วยนะ ฉันไม่มีเงินจ่าย มันไม่ได้เป็นหนี้เขาแล้ว เอเมนไหม? ชัดเจนเลย

และการสารภาพบาปในพระคัมภีร์บอก มีพูดถึงในหนังสือ 1 ยอห์น 1:9 คนเอาไปใช้ผิดเยอะแยะ ในนี้มีพูดถึง แต่พูดถึงตรงนี้ คือการสารภาพบาปของมนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้ ขอเพียงครั้งเดียว เป็นพอแล้ว ก็คือสารภาพว่า …

“ฉันยอมรับว่าฉันเป็นคนบาป และต้องการการช่วยเหลือจากพระเจ้า และเชื่อว่าพระเจ้าส่งพระเยซูคริสต์ พระบุตรองค์เดียวของพระองค์มาเป็นผู้ไถ่บาป มาตายบนไม้กางเขน หลั่งพระโลหิต และเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่ 3 ฉันเชื่อตรงนี้ ฉันสารภาพบาปฉัน”

ทันใดนั้น เขาได้บังเกิดใหม่ แล้วจากนั้น ก็ไม่สารภาพอีกแล้ว สารภาพครั้งเดียวนั่นแหละ ในหนังสือ 1 ยอห์น 9 บอกว่า …

“ใครก็ตามที่สำนึกอย่างนี้ว่าฉันเป็นคนบาป และต้องการรับการช่วยเหลือ ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้”

ให้ทำอย่างไร? ให้เข้าไปหาพระเจ้า แล้วก็ยอมรับว่า … “ฉันเป็นคนบาป ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ เชื่อในพระเยซู พระเยซูช่วยได้”

นี่คือข่าวประเสริฐ ครั้งเดียว ไม่ต้องสารภาพบาปอีกต่อไป เกิดใหม่ในพระเจ้า นี่คือความหมายของคำว่า … “เพียงครั้งเดียวเป็นพอ” และได้การไถ่บาปชั่วนิรันดร์มา ตามพระคัมภีร์ที่ตะกี้เราได้อ่านกัน

ในหนังสือสดุดี กษัตริย์ดาวิดก็เคยเผยพระวจนะไว้อย่างนี้ นี่ก็เป็นเงา เป็นสิ่งที่พระเจ้าบอกล่วงหน้า ในพระคัมภีร์เดิม ชัดเจนเลย สดุดี 32:2

สดุดี 32:2  “ความสุขมีแก่ผู้ที่องค์พระผู้เป็นเจ้า ไม่ทรงถือโทษบาปของเขา”

 

ภาพของพระเจ้าที่กษัตริย์ดาวิดได้รับการเปิดเผยให้เห็นทางวิญญาณ ก็คือทรงเป็นพระเจ้าที่ไม่ทรงจดจำความผิด ไม่ทรงถือโทษในบาปของมนุษย์ แต่วิธีการเข้าหาพระเจ้า ที่คริสเตียนหลายคนได้รับการสอนมา ตามตำนานเก่าแก่เป็นอย่างไรครับ? เคยได้ยินไหมครับ หลักการอธิษฐานกับพระเจ้ามี 4 ข้อ ผมตอนมาเชื่อพระเจ้าใหม่ๆ ช่วงแรกมีความสุขมาก ไม่รู้เรื่องอะไร พอเริ่มเข้ามาเรียนพระคัมภีร์ปุ๊บ มาเลย ภาระเต็มเลย  ก่อนนี้มาเชื่อพระเจ้าใหม่ๆ เข้ามาถึง อยู่ที่ไหนก็ …

“โอ้! พระเจ้า ลูกรักพระองค์ ขอบคุณพระเจ้าที่ทรงไถ่บาปลูก ขอบคุณพระเจ้า”

ขอนั่นขอนี่ กระหนุงกระหนิง ไปเรียนพระคัมภีร์ ไม่นานเลยนะ เริ่มกลับเข้ามา อธิษฐานกับพระเจ้า เดี๋ยวเปิดดูก่อนว่าเขาสอนเอาไว้ว่าอย่างไร? เริ่มต้นให้สรรเสริญพระเจ้าก่อน แล้วก็ขอพระเจ้ายกโทษบาปที่เราอาจจะเคยทำ หรือทำ คิดใหญ่เลย คิดไปทำบาปอะไรบ้าง หมดเวลาพอดี ไม่ได้อธิษฐานเลย หมดเวลาแล้ว จำไม่ได้ว่าต้องอธิษฐานอย่างไร? ยกตัวอย่างเช่น …

(1) ต้องเริ่มต้นการอธิษฐานด้วยการสรรเสริญพระเจ้า

(2) ให้ทบทวนว่าวันนี้เราไปทำบาป หรือทำอะไรไม่ดีมา ก็ให้สารภาพบาปนั้นกับพระเจ้า แล้วก็ขอพระเมตตาของพระเจ้าอภัยในความผิดบาปเหล่านั้นให้เราด้วย

(3) จากนั้น ก็ให้ขอบคุณพระเจ้าสำหรับพระพรของพระองค์ ที่ให้กับเราในแต่ละวัน

(4) จบการอธิษฐานด้วยการทูลขอสิ่งที่เราอยากได้ ให้พระองค์ทรงช่วย

มีใครเข้าไปหาพ่อเราแบบนี้บ้าง? มีใครที่ตอนเล็กๆ แล้วบอกอย่างนี้ …

“พ่อ วันนี้ลูกจะไปคุยด้วยนะ พ่อเป็นคนดีเหลือเกิน พ่อเป็นคนดีของลูกมากเลย”

ยอพ่อใหญ่เลย เสร็จแล้วก็คิด จดเอาไว้ … “พ่อ เมื่อวานนี้ลูกไม่เชื่อฟังพ่อ พ่อบอกลูกว่าอย่าไปเที่ยว ลูกก็ไปเที่ยว ยกโทษให้ลูกด้วยนะ”

แล้วก็คิดๆ แล้วก็ยกโทษเยอะแยะเลย “เมื่อวานนี้คิดว่าพ่อเป็นคนใจร้าย ยกโทษให้ลูกด้วยนะ”

เสร็จแล้ว จากนั้น ก็ให้ขอบคุณพระเจ้า “ขอบคุณพ่อ สำหรับเมื่อวานซืนนี้ ที่ให้ข้าวลูกกิน”

จบการอธิษฐานด้วยว่า … “พ่อ ลูกขอเงินสัก 10 บาท ขอเงินสักร้อยหนึ่ง”

พ่อคงคิดว่า … “ทำไม คิดว่าฉันโง่หรือไง ปะเหลาะให้ฉันเชื่อใจ ในที่สุดก็มาขอเงิน” อะไรอย่างนี้

นี่เป็นการสอน แล้วเราเคยคิดว่าความสัมพันธ์กับพ่อลูกต้องเป็นอย่างนี้เหรอ ผมเชื่อว่าพวกเราทุกคนผ่านการสอนแบบนี้มาเกือบหมด เพราะหลังๆ มาที่นี่ไม่ได้สอนแบบนี้แล้ว จากที่เราได้เรียนรู้อย่างชัดเจนขนาดนี้แล้วว่าจากนี้ไป เราไม่จำเป็นต้องสารภาพบาปอะไรอีกแล้ว เราเป็นลูกอย่างแท้จริง และสะอาดหมดจด บริสุทธิ์ในสายพระเนตรของพระเจ้า ผู้เป็นพ่อของเราเรียบร้อยแล้ว เรากำลังไปคุยกับพ่อที่รักเรามาก และไม่จดจำความบาปผิดของเราเลย พระเจ้าที่เป็นพ่อ ที่ได้ชำระล้างเราจนสะอาดหมดจด บริสุทธิ์ เหมือนพระองค์แล้ว เพราะเป็นลูกของพระองค์แล้ว สะอาดหมดจดเลย พระเจ้าที่ไม่เคยจดจำความผิดของเราแม้แต่นิดเดียวเลย พระองค์บอก

แต่มิได้หมายความว่าผมบอกว่าแต่นี้ต่อไป เราขอโทษพระเจ้าไม่ได้ ยังขอโทษได้อยู่ ถ้ารู้สึกอยากจะขอโทษว่าเราไปทำอะไรผิดมา กี่ครั้งแล้ว สู้ไม่ได้สักที ไม่เป็นไร ในใจรู้ว่าเราเป็นลูกของพระเจ้า สะอาดหมดจดเรียบร้อยไปแล้ว ไม่ต้องขอโทษก็ได้ แต่จะขอโทษก็ไม่เป็นไร แต่ให้ในใจรู้ว่าเป็นอย่างนี้ สะอาดหมดจดแล้ว หรือเราอาจจะติดปากไปแล้ว เพราะถูกสอนผิดๆ มา ขอโทษพระเจ้า แต่ในใจรู้แล้วว่าถึงไม่ขอโทษ พระเจ้าก็อภัยให้แล้ว ไม่ได้จดจำความผิดของเราแม้แต่นิดเดียว ไม่ได้สำคัญอะไรเลย หรือถ้าเราพอจะจำได้ เราก็บอกว่า …

“โอ! พระเจ้า ลูกเสียใจ ลูกขอโทษ” ก็ได้

มันอยู่ที่ความจริงใจข้างในมากกว่า ที่เรารู้ความจริงหรือไม่? แล้วทำไม ผมถึงต้องมาเน้นตรงนี้เยอะๆ เพราะนี่คือหลักการของมาร ที่จะพยายามดิสเครดิต ทำให้ข่าวประเสริฐของพระเจ้าด้อยลง โดยการผ่านทางพวกเรานั่นแหละ ผู้เชื่อทั้งหลาย เราได้ไปสวรรค์จริง แต่ทำให้คนข้างๆ ไม่ได้ไปสวรรค์ ข่าวประเสริฐไม่ได้ไปถึงเขา เพราะข่าวประเสริฐได้ถูกตัดทอนไปเรื่อยๆ ว่าตกลงเราต้องพึ่งตัวเองอยู่ เราต้องทำดีอยู่นะ ถึงจะได้รับความรอด พระคัมภีร์บอกเรารอด ไม่ใช่เพราะการกระทำของเรา ไม่ใช่เพราะเราทำดี แล้วเรารอด แต่เรารอดแล้ว เราจึงทำดี เพราะพระเจ้าช่วยเรา แล้วยังทำชั่วอยู่ไหม? ยังทำชั่วอยู่บ้าง? แต่เราไม่ได้รอด เพราะเราทำดี ถ้าเรารอดเพราะทำดี เดี๋ยวเราชั่ว ก็ไม่ได้รอด เขาเรียกว่ารอด โดยพระคุณ การเชื่อในพระเยซูคริสต์ ความรอดจากบาป

เพราะฉะนั้น ชีวิตของเราจะสำแดงให้คนข้างๆ เขาเห็นความจริงว่าคริสเตียนเป็นอย่างนี้ ข่าวดี คือท่านเชื่อพระเจ้าแล้ว รอดเลย แล้วผมก็ทำอย่างนั้นจริงๆ ผมก็อธิษฐานอย่างนั้นจริงๆ แล้วเขาก็เห็นชีวิตของเราว่านี่คือดำเนินชีวิตในข่าวดีของพระเจ้า ดำเนินชีวิตในวิญญาณจริงๆ ถ้าว่าเราทำผิดบาป แล้วเรายังมาอธิษฐานกับพระเจ้าน้ำตาไหล

“ยกโทษให้ลูกด้วย ลูกแย่ ลูกต้องตกนรกแน่ๆ”

แล้วคนที่ไม่เชื่อพระเจ้า เขาบอก … “แล้วฉันจะมาเชื่อพระเจ้าทำไม? ก็พอกันแหละ เหมือนกันแหละ ฉันก็กลัวนรกนั่นแหละ แต่ไม่รู้จะทำอย่างไร?”

ท่านพอจะมองเห็นไหม? มารจะทำให้ข่าวประเสริฐของพระเจ้าด้อยลง แต่ถ้าท่านบอกว่า …

“พระเจ้าลูกขอบคุณพระองค์ ที่อภัยให้ลูกตลอด ไม่ว่าจะทำอะไรผิดก็ตาม สิ่งที่ลูกคิดไม่ดีไป สิ่งที่ลูกโลภไป ที่ลูกไปขโมยของเขา โกรธเขา ลูกเสียใจ ลูกรู้ว่าพระองค์ยกโทษให้ลูกเรียบร้อยแล้ว และลูกเป็นคนบริสุทธิ์สะอาด เหมาะสมกับการอยู่สวรรค์กับพระองค์ เพราะลูกได้รับการชำระโดยพระเยซูคริสต์ด้วยความเชื่อ  เป็นลูกที่สะอาดหมดจด บริสุทธิ์ของพระองค์เรียบร้อยไปแล้ว เอเมน”

เพื่อนที่อยู่ข้างๆ เราได้ยิน อยากได้จังเลย อย่างนี้ … “อยากได้จัง เพราะฉันก็ช่วยตัวเองไม่ได้ หลายครั้งที่ฉันโกรธ อารมณ์ไม่ได้ ก็ว่าเขาไป เสียใจ ไม่รู้จะไปหาใครดี จะพึ่งตัวเอง เดี๋ยวก็ทำอีกแล้ว เดี๋ยวก็โกรธ เดี๋ยวก็โลภ เดี๋ยวก็หลง เดี๋ยวก็กิเลสขึ้น นี่เหรอ ข่าวดีของพระเยซูคริสต์ ใช่จริงๆ ฉันชักสนใจแล้วสิ”

เขาก็จะมาถามเรา นี่แหละคือการประกาศข่าวดี ที่เป็นของแท้ๆ เพราะฉะนั้น เราจะบอกเสียใจ หรือจะบอกขอโทษพระเจ้าติดปากก็ตาม แต่ให้ข้างในความคิดของเราลึกๆ เขาเรียกว่า … ตะกี้นี้ บอกว่าจงเปลี่ยนแปลงความคิดจิตใจเสียใหม่ แม้ปากจะบอกว่า … “พระเจ้าขอโทษ” … แต่ให้เปลี่ยนแปลงความคิดจิตใจเสียใหม่ว่า …

“ตัวจริงๆ ของฉันสะอาด บริสุทธิ์ ศักดิ์สิทธิ์ เหมือนพระเยซูไม่มีผิดเลย ไม่ได้ทำอะไรผิดเลย พระเจ้าชำระโทษให้ ชำระล้างเรียบร้อยแล้ว ครั้งเดียวเป็นพอ นี่ไม่ใช่ตัวฉัน นี่คือความเคยชินของร่างกายนี้ที่ยังอยู่ใต้อิทธิพลของระบบของโลกใบนี้ ซึ่งควบคุมโดยมาร ซึ่งพยายามส่งเป็นกระแสเข้ามา กระตุ้น เรียกว่าเนื้อหนัง กระตุ้นๆ ให้ความคิดของฉันทำตามมัน ซึ่งฉันกำลังฝึกฝนความคิด จับมัน และเอาถ้อยคำพระเจ้าใส่เข้าไปแทนที่ ค่อยๆ ฝึกมันไปทีละนิดทีละหน่อย แต่ไม่ใช่ตัวจริงๆ ของฉัน วันหนึ่งความคิดนี้มันจะต้องไปอยู่กับร่างกายนี้ และไปอยู่ในดิน เพราะว่าร่างกายนี้ถูกสร้างมาจากดิน น้ำ ลม ไฟ วันหนึ่งโลกใบนี้ถูกทำลาย สิ้นสุด ร่างกายนี้ก็จะสิ้นสุดด้วย หรือร่างกายนี้ไม่ถึงวันที่โลกสิ้นสุด ร่างกายฉันอาจจะสิ้นสุดเองก่อนก็ได้ จากความเจ็บป่วย หรืออะไรก็ตาม นั่นไม่ใช่ตัวจริงของฉัน ตัวจริงของฉันคือวิญญาณของฉัน และวิญญาณของฉันถูกชำระล้างจนสะอาดหมดจดเหมือนพระเยซู และมีใจใหม่ที่พระเจ้าทรงประทานให้ บริสุทธิ์ สะอาด ศักดิ์สิทธิ์และตรงนี้ ฉันจะไปอยู่กับพระเจ้านิรันดร์ และรอรับร่างกายใหม่จากพระเจ้าที่ทรงจัดเตรียมไว้ให้ฉัน เพื่อสวมร่างกายนั้น ในวันหนึ่งข้างหน้า เอเมน”

นี่มันคือความหวังใจของคริสเตียน มันจะเป็นอย่างนี้ การรู้สึกผิด รู้สึกเสียใจ เป็นสิ่งที่ดี เป็นสิ่งที่เราควรจะระลึกถึง เพราะในพระคัมภีร์บอกว่าให้เราจงเปลี่ยนแปลงความคิดเสียใหม่ เราทำอะไรไม่ถูกต้อง ความคิดของพระคริสต์ที่อยู่ในวิญญาณของเราจะส่งข้อมูลมา อย่างนี้ไม่ถูกต้อง เราก็ได้ยิน …

“ขอโทษๆ เสียใจๆ”

เป็นสิ่งที่ดี เพื่อเป็นสิ่งที่เตือนใจ ไม่ให้เราทำสิ่งที่ผิดๆ ซ้ำๆ เยอะๆ บ่อยๆ ซึ่งถึงแม้จะทำซ้ำ ก็ไม่เป็นไร ไม่ได้ทำให้เราไม่รอด แต่ทำให้เราลำบาก ในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ เพราะว่ามันไม่เป็นพระพร สำหรับการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้เท่านั้น มันไม่ได้เกี่ยวกับชีวิตนิรันดร์ การไปอยู่ในสวรรค์กับพระเจ้าเลย แม้แต่นิดเดียว เอเมน

เพราะฉะนั้น ถ้าเรารู้ความจริง เราจะไม่กลัว ทำผิดก็ผิดไป คนเราเกิดมาก็ทำผิดทั้งนั้นแหละ เพราะมันยังอยู่ในระบบของโลกนี้อยู่ แต่วิญญาณไม่มีการกระทำผิดอีกต่อไปแล้ว เพราะเป็นวิญญาณที่สะอาดหมดจด อยู่กับพระเจ้า และใจใหม่ที่พระเจ้าทำให้เป็นเหมือนพระเยซู ไม่มีวันทำอะไรผิดอีกต่อไป เต็มไปด้วยความรัก เหมือนพระเยซูไม่มีผิดเลย

“ในวิญญาณและในใจใหม่ของฉันบอกว่าอภัยให้ มาตบอีกข้างหนึ่งก็ได้  แต่ความคิดของฉันได้รับการกระตุ้นจากระบบของโลกนี้บอก อัดมันต่อเลย  อัดมัน สู้มันสิ”

พอเข้าใจไหม? ทนไม่ไหวแล้ว โต้ตอบออกไป ไม่เป็นไร คนละเรื่องกัน มันไม่ไหวแล้ว แต่ถ้าเผื่อฝึกฝนบ่อยๆ เอาถ้อยคำพระเจ้าที่เป็นถ้อยคำของพระคริสต์ เป็นความคิดของพระคริสต์มาใส่เข้าไปในความคิด ในร่างกายของเราบ่อยๆ เติมข้อมูลใหม่นี้เข้าไป มันก็จะสามารถต้านระบบของโลกนี้ ซึ่งถูกล่อลวง โดยมารส่งเข้ามาได้มากขึ้น เราจึงเรียกตรงนี้ว่าสงครามฝ่ายวิญญาณ ใน 2 โครินธ์ 10 บอกไว้ นี่คือสงครามฝ่ายวิญญาณ ชนะมันตรงความคิด ในร่างกายของเรา ระหว่างระบบของโลก ควบคุมโดยมาร และพระเยซูคริสต์ที่สถิตอยู่ในร่างกายของเรา ในวิญญาณของเรา และใจใหม่ของเรา นี่คือชนะ เราเป็นยิ่งกว่าผู้พิชิตไปแล้ว เราชนะ อย่างไรเราก็ชนะ เพราะฉะนั้น จากนี้ต่อไปให้ชีวิตของเรา มีความมั่นใจ มีความเชื่อที่มั่นอกมั่นใจว่าเราได้รับการไถ่บาปชั่วนิรันดร์เรียบร้อยไปแล้ว เราไม่ต้องสารภาพบาป เพื่อขอการอภัยโทษบาปอีกต่อไป เราเป็นลูกพระเจ้าแบบถาวรนิรันดร์ เราอยู่ในสวรรค์กับพระเจ้า แบบถาวรนิรันดร์เรียบร้อยไปแล้ว เราได้เกิดใหม่อยู่ในสวรรค์ เรียบร้อยไปแล้ว เพียงแต่มันติดอยู่ในร่างกายนี้เท่านั้นเอง เวลาร่างกายนี้ตาย หรือเรียกว่าวิญญาณออกจากร่าง เราไม่ได้ไปไหน เราก็อยู่ที่เดิม คืออยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้าในสวรรคสถาน อยู่กับพระเยซูคริสต์ อยู่ในสวรรค์ … สวรรค์คือที่ที่พระเจ้าสถิตอยู่

ให้เราเข้าใจในเรื่องนี้อย่างชัดเจน ท่านเห็นไหม? พอเข้าใจเรื่องแรกถูก มันถูกหมดเลย พอผิดมันเยอะแยะ ตีกันยุ่งวุ่นวายเลย เหมือนที่ผมเคยบอก กลัดกระดุมเม็ดแรกผิด ท้ายๆ มันเอียงไปเอียงมา แก้ไม่ได้เลย ต้องเริ่มต้นเม็ดแรกใหม่ เหมือนกัน พอเข้าใจตรงนี้ถูกปุ๊บ ต่อไปท่านจะเข้าใจหมดเลย อะไรที่เคยงง ต่อไปนี้ท่านจะรู้แล้ว ทำไมพระเจ้าถึงบอกอภัยให้เราหมดเรียบร้อย มันไม่ได้เกี่ยวกับการกระทำของเรา มันเกี่ยวกับเราเกิดใหม่แล้ว เป็นลูกพระเจ้า อยู่ในอาณาจักรนี้แล้ว ไม่ใช่ตัวเราอีกต่อไปเป็นผู้กระทำ แต่เป็นระบบเก่าที่มันกระตุ้นผ่านทางร่างกาย ความคิดนี้ ซึ่งวันหนึ่งมันจะสิ้นสุดไป มันชัดเจนนะ

“เพราะฉันรอดโดยการมาบังเกิดใหม่ อยู่ในพระคริสต์ ไม่ได้อยู่ในอาดัมอีกต่อไป”

นี่คือหัวใจ ผมถึงชอบร้องเพลงนี้ …

“อยู่ในพระคริสต์ พระองค์ทรงฤทธิ์         ฉันรอดความผิด ไม่กลัวความตาย

เกิดในพระองค์ จวบจนวันตาย                  พระคริสต์นำหน้า หนทางชีวี”

ตอนนี้พวกเราที่เชื่อแล้ว พระเจ้าสถิตอยู่กับเรา วิญญาณเราสะอาด หมดจดบริสุทธิ์ เหมือนพระเยซูคริสต์ไม่มีผิด แล้วมีจิตใจ ที่เรียกว่า Mind of Christ เหมือนพระคริสต์ไม่มีผิดเลย เป็นความรัก เป็นความสว่าง เป็นความศักดิ์สิทธิ์ บริสุทธิ์ อินโนเซ็นต์กับบาปเลย ไม่รู้บาปคืออะไร? ทำชั่วไม่เป็นเลย แต่เผอิญยังอาศัยอยู่ในร่างกายเก่านี้ ซึ่งมันยังเป็นเชื้อของระบบของโลกนี้ที่ถูกสาปแช่งไปแล้ว ซึ่งอยู่ภายใต้การควบคุมของมาร มารไม่สามารถทำอะไรเราได้เลย นอกจากส่งข้อมูลกระตุ้นเนื้อหนังร่างกายนี้ ให้ทำตามมัน ให้คิดหรือกระทำตรงกันข้ามกับพระเจ้า

พระเจ้าบอกว่าเราเกิดใหม่แล้ว เราเป็นความรัก สะอาดบริสุทธิ์เหมือนพระเจ้า

มารก็ส่งมาบอกว่า … “อย่างนี้ไม่ไหวนะ เธอให้อภัยเขามากี่ครั้งแล้ว จัดการเลย อัดมันเลย สู้มัน” อย่างนี้

พระเจ้าบอกว่า  … “อย่าโลภนะ โลภทำให้เธอลำบาก ไม่ต้องโลภหรอก พระเจ้ารู้ว่าเธอต้องการอะไร? จะกินอะไร? ดื่มอะไร? อะไรต่างๆ พระเจ้าดูแล ขนาดนกในอากาศยังดูแลเลย แล้วจะไม่ดูแลเธอได้อย่างไร? ไม่ต้องห่วงหรอก”

มารบอก … “อย่างนี้แย่แล้ว จะต้องสะสมไว้ เศรษฐกิจจะไม่ดี โลภเข้าไป เก็บเข้าไป สะสมเข้าไปเยอะๆ มันดี มันจะได้ปลอดภัย”

เห็นไหม?  แล้วก็สู้กันอย่างนี้ ขอพระเจ้าอวยพรครับ

 

*****************************

 

 

 

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 9 กุมภาพันธ์ 2020 เรื่อง “ความเชื่อเก่าแก่ VS ความจริงที่ทำให้เป็นไท” ตอน 4 “ต้องชำระจิตใจให้สะอาด” โดย นคร เวชสุภาพร

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  9  กุมภาพันธ์  2020

 เรื่อง “ความเชื่อเก่าแก่ VS ความจริงที่ทำให้เป็นไท” ตอน 4 “ต้องชำระจิตใจให้สะอาด”

โดย นคร  เวชสุภาพร

            เรากลับมาที่หัวข้อการบรรยาย ที่เราได้เรียนกันมาตั้งแต่ปีที่แล้ว หัวข้อเรื่อง “ความเชื่อเก่าแก่ VS ความจริงที่ทำให้เป็นไท” ที่เป็นความเชื่อ หรือคำสอนที่มาแต่โบราณ  ถูกถ่ายทอดต่อๆ กันมา จนกลายเป็นความเชื่อที่เรียกว่าเก่าแก่ มันเก่าแก่จริง แต่มันไม่ตรงกับพระคัมภีร์ แล้วทำไมคนเชื่ออย่างนี้มาตลอด ก็ไม่รู้สิ มันเป็นประเพณีไปแล้ว เป็นความเคยชิน เขาว่ามาอย่างนี้ ก็เลยว่าไป

ท่านเคยคิดไหมว่าท่านมาเชื่อพระเจ้า อะไรบ้างที่ท่านมีความเชื่อ แล้วท่านยืนยันในใจของท่าน จากพระคัมภีร์ ลองคิดให้ดีสิ ไม่มี มีแต่ว่า Ps.นคร พูดไว้ Ps.นครไม่ใช่ผู้ที่จะมาบอกว่าอะไรถูกหรือไม่ถูกในพระคัมภีร์ นี่คือความเชื่อเก่าแก่ เพราะ Ps.นครเทศน์มาแล้ว ประมาณ 30 กว่าปี สมมติว่าจะอยู่ต่ออีก 10 ปี อายุ 80 โอ้โห! คนยิ่งเชื่อใหญ่ Ps.นครเทศน์มา 40 ปีแล้ว อายุตอนนี้ 80 แล้ว ต้องถูกแน่นอน เห็นไหม? เราชอบยืนยันอย่างนี้ อนาคตก็เลยกลายเป็นความเชื่อเก่าแก่ที่ Ps.นครเคยเทศน์เอาไว้ น่าเชื่อถือ เพราะนิสัยเขาดี ไม่ได้ชมตัวเองนะ เพราะอะไรแล้วแต่ ทำให้ท่านชอบ เทศน์สนุกดี เพราะฉะนั้น ใช่ ไม่อยากจะยกคนอื่น เพราะจะได้เห็นชัด เขาพูดมันน่าเชื่อถือ

นี่แหละ มันก็เลยกลายเป็นเก่าแก่ เสร็จแล้ว ถามว่าตรงกับพระคัมภีร์ไหม? ตรงไหนบ้างเขียนไว้อย่างนี้ ไม่รู้ นี่แหละคือความเก่าแก่ของความผิดๆ ที่มาเป็นประเพณีนิยม มันจะประมาณอย่างนี้  และความเก่าแก่ของความผิดจากพระคัมภีร์ มันเกิดอะไรขึ้น ในพระคัมภีร์บอกว่ามันเหมือนเอาหินถ่วงผู้คนไว้ ให้ไม่ได้รับความรอด คือขวางสวรรค์ เหมือนที่ฟาริสีในอดีต สมัยยุคพระเยซูเดินอยู่บนโลกใบนี้ คือทำให้คนเข้าสวรรค์ยากขึ้น ในปัจจุบันก็เป็นอย่างนั้นแหละ ซึ่งในหัวข้อเรื่อง ที่เราเรียนกันไป 3 ตอนที่แล้ว ตอนที่ 1 เกริ่นเรื่องความเชื่อเก่าแก่กับความจริงทำให้เราเป็นไท ตอนที่ 2 ก็คือเป็นเรื่องของความเชื่อในการยึดถือตามธรรมเนียมปฏิบัติที่มาตั้งแต่ดั้งเดิม ซึ่งเราก็ได้สรุปว่าสิ่งที่ยึดถือ ปฏิบัติกันมาแต่โบราณเก่าแก่ ยาวนาน ไม่ได้เป็นตัวบ่งบอกว่าเป็นสิ่งที่ถูกต้องเสมอไป ไม่ว่าคนนั้นเป็นใครที่พูดไป ก็ตาม ถ้าไม่ตรงพระคัมภีร์ ก็คือไม่ตรง ไม่ว่าจะเป็นด็อกเตอร์ ซุปเปอร์ด็อกเตอร์ จะเป็นผู้กำเนิดนิกายอะไรดังๆ ใหญ่ๆ โตๆ ถ้าไม่ตรงกับพระคัมภีร์ ก็คือไม่ใช่

“เขาเกิดผลเยอะแยะมากมาย มีสาขาโบสถ์เยอะแยะ เต็มไปหมดเลย ทั้งโลกเลย อยู่กันมาตั้ง 200 ปีแล้ว”

ถ้ามันไม่ตรง ก็คือไม่ตรง คิดในใจสิ มีโอกาสไม่ตรงไหม? เขาอยู่มาตั้งเป็น 1,000 ปีแล้ว นิกายนี้ เพราะฉะนั้น จะต้องถูกหมด มีโอกาสผิดไหม? ก็เดินต๊อกๆ ตามกันไป ลูกหลานเหลนโหลน ก็เดินตามต๊อกๆ ไป ไม่รู้ นี่แหละคือสิ่งที่ต้องมาเรียนรู้เรื่องนี้

ตอนที่ 3 ก็เป็นเรื่องความเชื่อเก่าแก่ที่ถูกสอนกันเยอะว่าคริสเตียนต้องหมั่นฝึกฝน ให้ความเชื่อเพิ่มพูนขึ้น ฟังดูมันเหมือนถูกนะ  แต่ถ้อยคำพระเจ้าในพระคัมภีร์บอกว่าเรื่องความเชื่อและความรอด ท่านไม่ต้องทำอะไรมากกว่านี้อีกแล้ว ไม่ต้องฝึกฝนอีกเลย ไม่ต้องพยายามทำอะไรทั้งสิ้นอีกเลย เพราะทุกอย่างครบถ้วนสมบูรณ์แล้ว ตั้งแต่วินาทีที่ท่านรับเชื่อ เชื่อครั้งเดียว ก็พอแล้ว

“เชื่อครั้งเดียว ก็พอแล้ว เกิดใหม่แล้ว เป็นลูกพระเจ้าแล้ว”

เพราะฉะนั้น ถามว่าตอนนี้ท่านเกิดมาแล้ว เป็นลูกพระเจ้าแล้ว ท่านต้องเพิ่มความเชื่อ เป็นลูกพระเจ้าอีกไหม? นึกออกใช่ไหม? ต้องพัฒนาความเชื่อขึ้นไหม? ไม่ต้อง แต่ต้องพัฒนาความไว้วางใจว่า …

“ฉันเป็นลูกพระเจ้าแล้ว พระเจ้าอยู่กับฉันตอนนี้ เดินไปด้วยกัน” นี่เขาเรียกว่าไว้วางใจ ไม่ใช่ความเชื่อ

และวันนี้มาตอนที่ 4 เราจะมาดูความเชื่อเก่าแก่ ที่มีผู้อาวุโสหลายท่าน อาวุโสมากๆ ก็มี เป็นพันๆ ปี ก็มี พยายามบอกเราว่ามาเป็นคริสเตียนแล้ว ต้องชำระล้างจิตใจใหม่ ให้สะอาด บริสุทธิ์ ปราศจากบาปด้วย ฟังดูมันก็ใช่นะ คิดให้ดีๆ ตอน 3 วันนี้คือต้องชำระล้างจิตใจใหม่ ให้สะอาดบริสุทธิ์ ปราศจากความบาปด้วย

หลายคนเคยได้รับคำสอนมาว่าเมื่อเราได้รับการบังเกิดใหม่แล้ว นึกให้ดีๆ นะ นั่นหมายความว่าวิญญาณเราได้รับการชำระให้สะอาดบริสุทธิ์แล้ว แต่เท่านั้นยังไม่พอ เรายังจำเป็นต้องชำระล้างจิตใจเราให้สะอาดด้วย คุ้นแล้วนะ แล้วสมมติว่าถ้าเงื่อนไขในข่าวประเสริฐของพระเจ้า  เป็นแบบที่ตะกี้นี้ ที่เราบอกกันว่าแค่นั้นยังไม่พอ เราต้องพยายามชำระจิตใจให้สะอาดด้วย ถ้าเป็นแบบนี้จริงๆ พระเยซูจะกลับมาใหม่ ครั้งที่ 2 วันที่พระเยซูกลับมา คงไม่มีใครถูกรับไปเลย สักคนเดียว เพราะว่ามีใครทำได้บ้าง มันทำไม่ได้

จำไว้เลยนะครับ เมื่อไรก็ตามที่คนสร้างเงื่อนไขของความเชื่อ เพื่อนำมาถึงความรอด ในพระเยซูคริสต์ หรือการบังเกิดใหม่ก็ตาม ถ้ามีการสร้างเงื่อนไข ฟันธงเลยว่ามันผิดแน่นอน เพราะว่าพระคัมภีร์บอกว่าเรารอด โดยพระคุณ ไม่ใช่การกระทำ วันนี้เราจะมาเจาะลึกเรื่องเหล่านี้ด้วยกัน เราเคยคุยกันไปแล้ว ณ วันที่เรารับเชื่อในพระเยซูคริสต์ เข้ามาในชีวิตของเรา พระเจ้าได้ชำระทั้งร่างกาย  และจิตใจของเรา จนสะอาดบริสุทธิ์เรียบร้อยแล้ว จนสามารถเป็นวิหาร ที่ทรงสถิตของพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้าได้ ตอนที่เราได้บังเกิดใหม่ พระเจ้าได้ผ่าตัดหัวใจเราเรียบร้อยไปแล้ว เอเสเคียล 36:26-27 พระเจ้าได้ประกาศอย่างนี้ ล่วงหน้า เป็นการเผยพระวจนะ บอกว่าพระองค์จะทรงกระทำอะไร ตอนที่พระเยซูคริสต์มาบังเกิดเป็นมนุษย์ มาเป็นพระผู้ช่วยให้รอด มาตายที่ไม้กางเขน และเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่ 3 ก่อนที่พระเยซูคริสต์มาเกิด พระองค์ทำอะไรอยู่? กำลังวางแผนทำสิ่งนี้แล้ว ดูว่าแผนการของพระองค์ส่งพระเยซูมา เพื่ออะไร?

เอเสเคียล 36:26-27 “26 เราจะให้จิตใจใหม่แก่เจ้า และใส่วิญญาณใหม่ในเจ้า เราจะขจัดใจหินออกจากเจ้า และให้เจ้ามีใจเนื้อ 27 เราจะใส่วิญญาณของเราไว้ในเจ้า ….”

 

พระเจ้าตรัสว่า … วางแผนการว่า … “เราจะให้จิตใจใหม่แก่เจ้า และใส่วิญญาณใหม่ในเจ้า และจะขจัดใจหินออกจากเจ้า และให้เจ้ามีใจเนื้อ เราจะใส่วิญญาณของเราไว้ในเจ้า” เอเมน

เพราะฉะนั้น ตอนนี้ เราก็ได้รับจิตใจใหม่ วิญญาณใหม่เรียบร้อยแล้ว เพราะว่าพระเจ้าได้เอาจิตใจเก่าเราไปแล้ว แล้วเอาจิตใจใหม่เข้ามาแทนที่ พระเจ้าได้เทความรักของพระองค์เข้ามาในจิตใจนี้เรียบร้อยแล้ว ให้จิตใจเราเหมือนพระเยซู นี่คือแผนการที่พระเจ้าวางไว้ เผยพระวจนะบอกไว้ล่วงหน้า ในพระคัมภีร์เดิมทั้งหมด ตั้งแต่ก่อนที่พระเยซูคริสต์จะมาเกิด บอกว่าจะให้จิตใจใหม่ ให้วิญญาณใหม่ ให้ชีวิตใหม่ และให้การดำเนินชีวิต แบบใหม่ แบบพระคุณในวิญญาณ

ทั้งหมดนี้ จะให้เมื่อใด ให้เมื่อจงรอคอย ผู้นั้นจะมา นี่สมัยพระคัมภีร์เดิม ผู้ที่จะมีนามว่าอิมมานูเอล แปลว่าพระเจ้าสถิตอยู่ด้วย  จงรอคอยพระมาซีฮา แปลว่าผู้ช่วยให้รอด  และเราก็รู้ว่าเมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว พระเยซูก็คือผู้นั้นแหละ คือพระมาซีฮา ที่พระเจ้าส่งมาเป็นพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์ ตายที่ไม้กางเขน หลั่งพระโลหิต ลงมาอยู่ในหลุมฝังศพ และเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่สาม ได้กระทำสิ่งเหล่านี้  เสร็จเรียบร้อยไปแล้ว เอเมน เราไม่ต้องทำอะไรเลย โคโลสี 2:11 คราวนี้มาถึงยุค พระเยซูเข้ามาทำสำเร็จแล้ว มาผ่าตัดหัวใจ ผ่าตัดวิญญาณเราเรียบร้อยไปแล้วที่ไม้กางเขน ดูสิว่าในพระคัมภีร์เขียนไว้อย่างไร?

โคโลสี 2:11 “ในพระองค์ ท่านยังได้เข้าสุหนัต คือการสลัดวิสัยบาปทิ้ง เป็นสุหนัตที่ไม่ได้ทำด้วยมือมนุษย์ แต่ทำโดยพระคริสต์”

 

ผมจะแปลจากกรีก ภาษาเดิม ให้มันชัดขึ้น เพื่อท่านจะได้เห็นชัดๆ ว่าข้อนี้ว่าอย่างไร?

“ในพระองค์” คือในพระเยซูคริสต์ ท่านได้เข้าสุหนัต คือในพระคัมภีร์เดิมเป็นพันธสัญญาของพระเจ้ากับประชากรของพระองค์ คือผู้ชายทุกคนในสมัยนั้น ต้องเข้าสุหนัต เพื่อแสดงตนว่าเป็นชนชาติของพระเจ้า นี่คือบัญญัติที่พระเจ้าวางไว้ แล้วเล็งให้เห็นถึงที่พระเยซูคริสต์จะมา พันธสัญญาที่จะมากระทำสิ่งเหล่านี้ในวิญญาณ

ตรงนี้แปลว่าในพระองค์ท่านได้เข้าสุหนัต คือท่านได้เข้าทำพันธสัญญาอะไรบางอย่าง คือการสลัดวิสัยบาปทิ้ง คือการผ่าตัด สลัดคือเอาออกไป การเข้าสุหนัต คือพันธสัญญา คือการเอาหัวใจสกปรกของท่านออกไป เอาใจหินของท่านออกไป สลัดวิสัยบาปทิ้ง … “วิสัย” ก็คือเนเจอร์ คือธรรมชาติ เอาธรรมชาติที่เป็นคนบาป ในตัวตนจริงๆ ของเรา คือวิญญาณบาปนั้นออกไป  เป็นสุหนัตที่ไม่ได้ทำด้วยมือมนุษย์ เพราะว่าตอนสมัยเดิม สมัยโมเสส ทำโดยมือมนุษย์ ขลิบองคชาติ แต่ตอนนี้ไม่ใช่ ทำโดยพระเยซูคริสต์ เพื่อเอาใจหินออกไป  นี่คือตอบที่ตะกี้นี้ที่พระเจ้าได้ผ่านทางเอเสเคียลแล้วบอกมาว่าพระองค์วางแผนอย่างนี้  พระเยซูคริสต์ทำสำเร็จแล้ว เพราะฉะนั้น พอรับเชื่อปุ๊บ เกิดการผ่าตัดขึ้นในโลกวิญญาณทันที ในปฐมกาล 17:10, 14 ได้บันทึกถึงเรื่องเกี่ยวกับพันธสัญญาในการเข้าสุหนัตไว้อย่างนี้ เพื่อท่านจะได้เห็นชัดขึ้นว่าพระองค์ทรงเตรียมแผนการไว้ตั้งนานแล้ว แล้วก็บอกแผนการเหล่านี้ ซึ่งเราเรียกกันว่าเป็นเงาของสิ่งที่จะเกิดขึ้นจริงๆ สมัยพระเยซูมาเกิดเป็นมนุษย์ ก่อนหน้านั้น ก็บอกเป็นเงา บอกเป็นแผนการล่วงหน้าไว้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น

ปฐมกาล 17:10, 14 “10 นี่คือพันธสัญญาของเรากับเจ้า และกับลูกหลานที่จะมาภายหลังเจ้า  เป็นพันธสัญญาที่เจ้าต้องรักษา  คือชายทุกคนในพวกเจ้า จะต้องเข้าสุหนัต … 14 ชายใดที่ไม่เข้าสุหนัต คือผู้ที่ไม่ได้เข้าสุหนัตฝ่ายกาย จะถูกตัดออกจากชนชาติของตน เพราะเขาได้ละเมิดพันธสัญญาของเรา”

 

ในสมัยนั้น เป็นเงา การเข้าสุหนัต เป็นสัญลักษณ์ที่บอกว่าพระเจ้ายอมรับผู้นั้นเป็นประชากรของพระองค์ เป็นชนชาติของพระองค์ แต่พอมาถึงพระคัมภีร์ใหม่ ในโคโลสี 2:11 ที่เราอ่านไป บอกว่าในพระองค์ ท่านยังได้เข้าสุหนัต คือการสลัดธรรมชาติบาปทิ้ง เป็นสุหนัตที่ไม่ได้ทำด้วยมือมนุษย์ ไม่ใช่เงาแล้ว ของจริง แต่ทำโดยพระเยซูคริสต์ พระเจ้าผู้มาบังเกิดเป็นมนุษย์ ที่เป็นพระมาซีฮา เมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว และพระองค์ทรงกระทำสำเร็จแล้ว วิสัยบาปทั้งหลายในตัวเรา ก็คือเนเจอร์ หรือคือธรรมชาติบาปในตัวเรา พอผมพูดว่าในตัวเรา จงมองให้เห็นเถิดว่ามัน คือวิญญาณของเรา วิสัยบาปทั้งหลายในวิญญาณของเรา ถูกเอาออกไปหมดแล้ว ด้วยวิธีการผ่าตัด ไม่ใช่เปลี่ยนนะ ผ่าตัดเอาออกไปเลย เอาใจใหม่เข้ามาเลย โดยผ่านทางความเชื่อในพระเยซูคริสต์ ก็คือที่บอกว่าพระเจ้าได้ผ่าตัด เปลี่ยนหัวใจเราเรียบร้อยไปแล้ว เราได้รับหัวใจใหม่ ในหัวใจใหม่นี้ ไม่มีวิสัยบาปเลยแม้แต่นิดเดียว ไม่มีธรรมชาติบาป หลงเหลืออยู่เลย แม้แต่นิดเดียว หัวใจ หรือจิตใจของเราที่ได้รับมาตั้งแต่วันที่เราได้รับเชื่อพระเยซู ครั้งเดียวนั้น เป็นจิตใจที่สะอาด บริสุทธิ์ เป็นจิตใจที่เหมือนพระเยซูคริสต์ เป็นจิตใจที่ไม่จำเป็นต้องมีการชำระล้างใดๆ อีกต่อไปแล้ว มันสำเร็จแล้ว ตามที่พระเยซูได้ประกาศ เมื่อวันศุกร์ตอนบ่าย 3 โมง บอกว่าสำเร็จแล้ว

พระองค์บอกว่าสิ่งที่เขาเผยพระวจนะมา พูดถึงเรื่องราว ไม่ว่าสมัยอิสยาห์ สมัยโมเสส เงาต่างๆ ที่พูดถึงพระเยซู มันจำเป็นต้องเกิดขึ้น แล้วมันเกิดขึ้นแล้ว และมันสำเร็จแล้ว พอผมพูดอย่างนี้ปุ๊บ บางคนก็อาจจะมีคำถามว่าแล้วทำไม? ไหนบอกชำระสะอาดแล้ว แล้วทำไมถึงคิดไม่ดีอยู่ ยังคิดดื้อกับพระเจ้าอยู่ ยังคิดสกปรกอยู่ ยังคิดโลภอยู่ โกรธอยู่ อิจฉาอยู่ ยังขี้เต็มไปหมดเลย ขี้อิจฉา ขี้งอน ขี้โกรธ ไหนบอกสะอาดหมดจดแล้ว  ผมจะพาท่านไปดูนิดหนึ่ง อันนี้จะเห็นชัดเลย  อันนี้เป็นข้อพระคัมภีร์ที่หลายคนยกมาด้วย แล้วแต่เขาจะยกไปทางไหน? ถูกหรือไม่ถูก? วันนี้จะให้ท่านเห็นเอง แล้วท่านเอาไปเรียนรู้เองต่อว่าที่ผมพูด มันตรงพระคัมภีร์ไหม?  แล้วมันใช่ไหม? แล้วมันชัดไหม? แล้วมันจะไม่แย้ง โรม 12:2 นิดเดียวท่านก็รู้แล้ว ผมแค่เขี่ยให้ท่านดูนิดเดียวว่ามันมาได้อย่างไร? ไหนบอกชำระเราสะอาดหมดจดแล้วไง เนเจอร์ของเรา วิญญาณของเราไม่มีความสกปรกอยู่เลย ไม่มีบาปอยู่เลย จิตใจของเรา พระเจ้าก็ประทานให้ใหม่ แล้วทำไมมันคิดสกปรกอยู่ล่ะ แล้วมันเป็นไปได้อย่างไร?

โรม 12:2 “อย่าดำเนินชีวิตตามอย่างคนในโลกนี้ แต่จงรับการเปลี่ยนแปลงจิตใจของท่านใหม่ แล้วท่านจึงจะสามารถพิสูจน์และยืนยันได้ว่าสิ่งใด คือพระประสงค์ของพระเจ้า คือพระประสงค์อันดีอันเป็นที่พอพระทัยและสมบูรณ์พร้อมของพระองค์”

 

“อย่าดำเนินชีวิตตามอย่างคนในโลกนี้ แต่จงรับการเปลี่ยนแปลงจิตใจของท่านใหม่” ก็คือสอนให้ว่าจงทำสิ่งนี้ คือเปลี่ยนแปลงจิตใจเสียใหม่

ไหนบอกได้จิตใจใหม่แล้ว ไม่ต้องทำอะไรไง โรม 12:2 อธิบายถึงความรอดในพระคุณของพระเยซูคริสต์ที่ทรงกระทำให้เราทั้งหลาย ยกตัวอย่างเช่น ความชอบธรรมที่เราไม่ต้องทำอะไรเลย พระเยซูทำให้ และโรม 12:1  ผมทำให้ง่ายๆ นะ บทที่ 12 ข้อ 1 บอกว่าสรุปแล้ว ที่พูดมาทั้งหมด ตั้งแต่โรม บทที่ 1 จนถึงบทที่ 11 ข้อสุดท้ายนั้น พูดถึงพระคุณของพระเจ้าได้กระทำอะไรบ้าง? ในชีวิตของเราเยอะแยะไปหมด โรม 12:1 บอกว่า … เพราะฉะนั้น เห็นแก่พระคุณของพระเจ้า ที่ให้ท่านรอดแล้ว โดยพระคุณ ไม่ต้องทำอะไรเลย เห็นแก่พระคุณ ไม่ใช่เห็นแก่ตัวเรานะ เห็นแก่ความดีงามของพระเจ้า พ่อเราดีขนาดนี้ ให้เราฟรีๆ ทุกอย่างเลย และมาถึงข้อ 2 เมื่อตะกี้ แล้วไงต่อ นึกถึงพระคุณของพระเจ้าที่ทำให้เราฟรีๆ ทุกอย่างเลย เรารอดแล้ว ด้วยพระคุณ ไม่ใช่การกระทำของเราเอง แล้วเกิดครั้งเดียว ก็เกิดเลย เป็นลูกของพระเจ้าเรียบร้อยแล้วตอนนี้ สะอาดหมดจดเรียบร้อยแล้ว ทั้งวิญญาณและจิตใจได้ใหม่จากพระเจ้า เหมือนพระเยซูเลยนะ

ทั้งหมดมา 11 บทของโรม แล้วมาสรุปได้ว่าเห็นแก่สิ่งเหล่านี้ เมื่อเป็นพระคุณพระเจ้า ที่ทำให้ท่านเกิดใหม่  มีวิญญาณใหม่ มีจิตใจใหม่ เหมือนพระเยซูเลย  เพราะฉะนั้น อย่าดำเนินชีวิตตามอย่างของคนโลกนี้ ก็คืออย่าดำเนินชีวิตแบบคนที่ไม่เชื่อ ก็คือเราในอดีต แต่จงรับการเปลี่ยนแปลงจิตใจเสียใหม่ จิตใจตรงนี้ มันคือความคิด มันคือมาย mind มันไม่ใช่ soul พูดง่ายๆ ว่าภาษาเดิม มันคือความคิด มันคนละแห่งกับที่ตะกี้นี้ที่บอกว่าพระเจ้าทรงผ่าตัดวิญญาณเราใหม่แล้ว ให้จิตใจใหม่เราเรียบร้อยแล้ว นี่คือตัวตนของเราจริงๆ

เวลาเราไปอยู่สวรรค์ วิญญาณและจิตใจใหม่นี้ ไปอยู่ในสวรรค์ แต่ร่างกายต้องทิ้งไป ภาษาเดิมจริงๆ ตรงนี้ มันคนละคำกันกับที่พระเจ้าได้เปลี่ยนหัวใจเรา นั่นคือจิตใจจริงๆ ที่ติดอยู่กับวิญญาณของเรา ซึ่งสะอาดหมดจดแล้ว พูดง่ายๆ ก็คือตัวตนจริงๆ ของเรา หลังจากที่เราเชื่อพระเยซูแล้ว ครั้งเดียว เป็นพอ เราได้วิญญาณใหม่ และจิตใจใหม่ เป็นจิตใจที่มีความคิดเหมือนพระเยซูคริสต์ ไม่มีผิด สะอาดหมดจดบริสุทธิ์ เต็มไปด้วยความรัก ความเมตตา บริสุทธิ์เหมือนพระเยซูเลย แต่ว่าเรายังอาศัยอยู่ในร่างกายเดิมนี้อยู่ ซึ่งเป็นร่างกายที่พระเจ้าทรงชำระแล้ว ให้เป็นวิหารของพระองค์ ซึ่งพระองค์จะได้มาสถิตอยู่ได้ แต่ว่าความเคยชินในร่างกายนี้ มันยังคงอยู่ใต้อิทธิพลของบาป ซึ่งในพระคัมภีร์เรียกอิทธิพลของความบาปตรงนี้ว่าเฟรช หรือเนื้อหนัง มันยังคงอยู่ใต้นี้อยู่ มันเป็นแค่อิทธิพล มันไม่ใช่ตัวเราจริงๆ มันเหมือนกับว่าเราปวดหัว แต่การปวดหัวของเรา เพราะมีพยาธิอยู่ในหัว ไชอยู่ สมมตินะ หรือมีแมลงอยู่ ถามว่าการปวดหัวนั้น เกิดจากตัวเราไหม? ไม่ใช่ มันเกิดจากบางอย่างที่มันแอบเข้ามาอยู่ในนั้น แต่ถ้าเผื่อเราปวดหัว เพราะว่าเราเป็นเนื้องอกในสมอง อันนี้เป็นเพราะตัวเรา เพราะฉะนั้น อิทธิพลของบาปมันแฝงอยู่ในร่างกายนี้ ซึ่งตัวอิทธิพลบาป มันรับแรงกระตุ้นจากระบบรอบข้างของโลกนี้  ซึ่งถูกควบคุมโดยมาร ฟังอีกทีหนึ่ง มารยังคงควบคุมระบบของโลกใบนี้ ผ่านทางความบาป ตั้งแต่โน้น โลกใบนี้จึงเสียหายไปแล้ว ยับยู่ยี่ไปแล้ว มันเน่าไปแล้ว ซึ่งพระเจ้ารอวันเปลี่ยนแปลงมันเสียใหม่ เมื่อวันที่มนุษย์คนสุดท้ายบนโลกใบนี้มาเชื่อในพระเยซูคริสต์ เมื่อข่าวประเสริฐของพระเยซูประกาศไปจนสุดปลายแผ่นดินโลก ไปถึงคนสุดท้ายเมื่อไร? จบเมื่อนั้น พระเจ้าก็จัดการกับโลกใบนี้ด้วย คือเปลี่ยนแปลงโลกใบนี้ เสียใหม่เลย แล้วก็จัดการกับมาร ให้มันลงไปอยู่ในบึงไฟนรกนิรันดร์กาล ซึ่งเหตุการณ์เหล่านี้ยังไม่เกิด พอมองเห็นภาพแล้วนะ

เพราะฉะนั้น ตรงนี้จึงบอกว่าให้เรารับการเปลี่ยนแปลงความคิด ซึ่งมันเคยเป็นทาสของระบบบาป เป็นทาสของมาร ผ่านทางอิทธิพล คือเนื้อหนัง ซึ่งในขณะนั้น เราไม่มีทางสู้มันเลย เพราะว่าวิญญาณเราก็สกปรกเหมือนมันไม่มีผิด จิตใจก็สกปรกเหมือนมันไม่มีผิด ความคิดก็สกปรก ไม่ได้ผุดได้เกิดเลย  แต่ตอนนี้ Noๆๆๆ เรามีทางออกแล้ว วิญญาณจริงๆ เราเกิดใหม่ เป็นลูกของพระเจ้า มีธรรมชาติเหมือนพระเจ้า จิตใจเหมือนพระเยซู สะอาดหมดจด แต่เรายังคงอยู่ในร่างกายเดิม ยังมีความคิดแบบเดิมอยู่ ยังชินกับอิทธิพลของบาป ที่มันเขี่ย ซึ่งมันผ่านมาทางตา หู จมูก ลิ้น กาย และความคิด ใจตรงนี้

ในหนังสือ 2 โครินธ์ 4 ที่บอกว่าให้เราจับความคิดทั้งหมด นำมันเชื่อฟังต่อพระคริสต์ แปลว่าให้เราจับเอาความคิดที่อยู่ในเนื้อหนังของเรา ที่มันดื้อ เป็นนิสัย ที่มันคอยรับอิทธิพลมาจากระบบของโลกนี้ ที่เรียกว่าความบาป จะต่อต้านพระเจ้าอยู่เรื่อยๆ ให้จับความคิดเหล่านี้ นำมันให้เชื่อฟังต่อพระคริสต์ คือนำมันให้เชื่อฟังต่อความคิด ในจิตใจของเรา ที่ได้บังเกิดใหม่แล้ว ซึ่งเป็นความคิดที่เหมือนพระคริสต์ ภาษาเดิมเขาเรียกว่า The mind of  Christ คือความคิดแบบพระคริสต์ เพราะฉะนั้นในร่างกายของเราผู้ที่เชื่อแล้ว ตอนนี้ เห็นชัดๆ ก็คือมีวิญญาณ มีจิตใจใหม่ ซึ่งมีความคิดในจิตใจนี้ และอาศัยอยู่ในร่างกายนี้ ซึ่งมีความคิดของมันอยู่เหมือนกัน เรียกว่าความคิดแบบเนื้อหนัง ซึ่งเรามีกำลังอำนาจแล้วตอนนี้ มีถ้อยคำพระเจ้า ที่จะไปเปลี่ยนแปลงความคิดนี้ ที่มันเคยชินกับระบบของโลกนี้ แต่เก่าก่อน

ยกตัวอย่างเช่น พระเยซูบอกว่าถ้ามันตบแก้มขวาเรามา ให้เราเอาแก้มซ้ายให้เขาตบด้วย ทำได้ไหม? ไม่ได้ พระเยซูกำลังเล่าให้เราฟังว่าเราไม่มีทางช่วยเหลือตัวเองได้หรอกในอดีต เป็นทาสมันอยู่ ใครจะไปทำได้  ทำได้อย่างนั้น ถึงจะไปสวรรค์ ทำไม่ได้ พระเยซูทำให้ พระเจ้าทำให้ ก็คือการตายของพระเยซู การเป็นขึ้นมาใหม่ของพระเยซู ทำให้เราได้บังเกิดใหม่ เราเป็นความรักเลย พูดง่ายๆ ตอนนี้ ฟังให้ดีๆ มีใครตบเรา วิญญาณและจิตใจของเราที่ได้เกิดใหม่ เอาไปอีกข้างหนึ่งเลย เต็มไปด้วยความรัก ไม่โต้ตอบอะไรเลย พระเยซูบอกว่าถ้าท่านมองดูด้วยความกำหนัด ท่านได้ร่วมประเวณีแล้ว ไม่มีใครทำได้ ไม่มีใครไปสวรรค์สักคน แต่ตอนนี้ ผู้หญิงเดินมา สวย แต่ในวิญญาณไม่มี สะอาดบริสุทธิ์เลย พอเข้าใจไหม? ผมกำลังจะชี้ให้ท่านเห็นว่ามันแยกกันระหว่างความคิด จิตใจที่เป็นเหมือนพระคริสต์ ตอนนี้เราเปลี่ยนไปแล้ว เราสะอาดบริสุทธิ์ แต่เนื่องจากความคิดเดิมๆ มันยังเป็นทาสบาป ไม่ใช่ทาสมารนะ ต้องบอกว่าเป็นทาสของอิทธิพลที่แฝงไว้ ในร่างกายนี้ ที่เรียกว่าเนื้อหนัง มันยังอยู่ เพราะฉะนั้น นี่สงครามเดียวที่ผู้เชื่อต้องทำ ไม่ใช่ต้องทำกับมาร ทำกับตัวเราเองที่ตรงความคิด เรียกว่าสงครามฝ่ายวิญญาณ ก็คือตรงความคิดตรงนี้ ถ้าจับความคิดทั้งหมด นำมันเชื่อฟังต่อความคิดของพระคริสต์ได้ ชีวิตก็โลด เป็นที่ถวายเกียรติแด่พระเจ้าตามที่อ่านในนั้น ท่านจะได้รู้ว่าอะไรดี อะไรยอดเยี่ยม สำหรับท่านในชีวิตของท่านที่พระเจ้าประสงค์ที่จะวางไว้ เพราะว่าท่านมีความคิด มีที่เอนเอียงไปในความเชื่อฟังต่อความคิดของพระคริสต์ ที่ได้ประทานกับท่าน ตอนที่ท่านบังเกิดใหม่ไปแล้ว โคโลสี 2:12

โคโลสี 2:12 “ท่านถูกฝังไว้กับพระองค์ ในพิธีบัพติศมา และทรงให้ท่านเป็นขึ้นจากตายกับพระองค์ ผ่านทางความเชื่อของท่าน ในฤทธิ์อำนาจของพระเจ้า ผู้ทรงให้พระองค์ เป็นขึ้นจากตาย”

 

“ท่านได้ถูกฝังไว้กับพระองค์ ในพิธีบัพติศมา และทรงให้ท่านเป็นขึ้นจากตายกับพระองค์ ผ่านทางความเชื่อของท่าน ในฤทธิ์อำนาจของพระเจ้า ผู้ทรงได้ให้พระองค์ เป็นขึ้นจากตาย”

“ท่านได้ถูกฝังไว้กับพระองค์” คือพระเยซู ในพิธีบัพติศมา และทรงได้ให้ท่านเป็นขึ้นจากความตายกับพระองค์ ก็คือกับพระเยซูคริสต์ ผ่านทางความเชื่อของท่านในฤทธิ์อำนาจของพระเจ้า  ผู้ทรงได้ให้พระเยซูเป็นขึ้นจากตาย

เรื่องการรับบัพติศมา ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่มีการสอนแบบเข้าใจผิดๆ เยอะแยะมากมาย จนทุกวันนี้ ก็ยังมีคนเข้าใจผิดในความหมายนี้ว่าผู้เชื่อที่จะได้รับการบังเกิดใหม่ ต้องผ่านการรับบัพติศมาในน้ำ โบสถ์เราคงไม่มีใครเชื่อแบบนี้นะ แต่ยังมีคนเชื่อแบบนี้ ซึ่งผมก็ได้พูดบ่อยๆ แล้วว่ามันไม่ได้เกี่ยวกันเลย ความเชื่อและความรอดที่ท่านได้รับมาแล้วนั้น ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับการลงน้ำ บัพติศมาเลย ถ้าไม่เกี่ยว แล้วมันเกี่ยวกับอะไร? ที่บอกให้ผู้เชื่อรับบัพติศมา เช่น พระคัมภีร์ พระเยซูบอกจงไปสร้างสาวก แล้วให้เขาทั้งหมดรับบัพติศมาในนามของพระบิดา พระบุตร พระวิญญาณบริสุทธิ์ พระเยซูสั่งอย่างนั้น แล้วทำไมไม่ลงน้ำ ทุกคนก็คิดอย่างนี้ บัพติศมาคืออะไร? มันเกี่ยวกับโลกวิญญาณทั้งสิ้น มันไม่ได้เกี่ยวกับการรับบัพติศมาในน้ำหรือไม่?

บัพติศมา พอแปลเป็นไทยง่ายๆ มันก็ไม่เข้าทางศาสนาแล้ว ท่านก็จะเข้าใจง่ายขึ้น พอบัพติศมา ทุกคนกลัว ภาษามันแบบโห้ บัพติศมา เข้าสุหนัต มันออกทางละคร มันต้องน่าเชื่อถือ แล้วบัพติศมาแปลว่าอะไร? ผมแปลตรงนี้เป็นง่ายๆ คือท่านถูกฝังไว้กับพระเยซู ในการเข้าส่วนร่วมเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์ อันนี้ท่านเริ่มเข้าใจแล้ว ง่ายขึ้นแล้ว การบัพติศมา คือการเข้าร่วมเป็นหนึ่งเดียวกัน บัพติศมา คือการมุดเข้าไป จุ่มเข้าไป  เป็นหนึ่งเดียวกันกับอะไรก็ตามที่บัพติศมา อย่างนี้ ผมกำลังเอากระดาษแผ่นนี้ บัพติศมาเข้าไปในหนังสือพระคัมภีร์ เป็นศาสนาไหม? ชัดนะ ถ้าบอกว่าผมกำลังทำตัวเอง ให้บัพติศมาเข้าไปในน้ำ ทำอย่างไร? ผมก็โดดลงไปในน้ำ ถ้าบอกว่าผมโดดลงไปในน้ำ ทุกคนก็เข้าใจ แต่ถ้าผมบอกว่าผมบัพติศมาในน้ำ ทุกคนศาสนามาแล้ว ต้องเคารพหน่อย ท่านพอเข้าใจไหมว่าบัพติศมาแปลว่าการมุดเข้าไป การทำให้เป็นหนึ่งเดียวกัน

ถ้าท่านต้องการทำกระเทียมดอง วิธีทำ ก็คือไปเอากระเทียมสดมา แล้วเอาน้ำส้มสายชูมา ใส่น้ำตาลไปนิดหนึ่ง แล้วก็เอากระเทียมนั้น บัพติศมาลงไป ทุกคนชอบเลย อย่างนี้ยิ่งเข้าใจใหญ่ พอมองเห็นไหม? ท่านก็รู้สึกว่ากระเทียมนั้น เป็นกระเทียมศักดิ์สิทธิ์แล้ว ก็ใช้บัพติศมา แต่ถ้าผมบอกว่าเพียงแต่ท่านเอากระเทียมใส่ลงไปในน้ำส้มสายชูให้มันเป็นหนึ่งเดียวกัน แล้วดองไว้ในนั้น ท่านก็รู้สึกเป็นแม่บ้านแล้ว ถ้าผมบอกว่าบัพติศมาปุ๊บ ท่านก็รู้สึกพูดไม่ใช่เรื่องครัวแล้ว ต้องไปพูดในห้องศักดิ์สิทธิ์ อย่างนี้ถึงเกิดความเข้าใจผิดในข้อพระคัมภีร์ต่างๆ

ท่านได้ถูกฝังไว้กับพระเยซู พระคัมภีร์บอกว่าตอนที่เราเชื่อครั้งเดียวและได้เกิดใหม่ ได้รับความรอด ได้รับวิญญาณใหม่ ได้รับใจใหม่ ที่เหมือนพระเยซู มันเกิดขึ้นอย่างนี้ ในโลกวิญญาณ ก็คือตามที่อ่านเมื่อตะกี้ในโคโลสี 2:12 ก็คือพอท่านเชื่อว่าพระเยซูเป็นพระผู้ช่วยให้รอด เชื่อด้วยใจและพูดด้วยปากว่าพระองค์ทรงเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่ 3 ในโรม 10:9-10 บอกไว้ว่าความรอดเกิดขึ้น เมื่อท่านพูดด้วยปากและเชื่อด้วยใจอย่างนั้น ในโลกวิญญาณ พระเจ้าได้เอาวิญญาณของท่านบัพติศมาเข้าไปในพระเยซู มุดเข้าไป เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเยซู และได้ตายพร้อมกับพระเยซู เมื่อ 2,000 ปีก่อน แปลอย่างนี้ตรงๆ เลย และลงไปอยู่ในนรก อยู่ในหลุมฝังศพกับพระเยซู พระเจ้าได้เอาวิญญาณของท่านเข้าไปในพระเยซู แล้วก็ถูกตรึงกางเขนพร้อมพระเยซู ที่เรียกว่าซัฟเฟอร์ริ่ง วิธ ไคร์ซ ที่บอกว่าทนทุกข์กับพระคริสต์ แปลว่าอย่างนี้ ไม่ใช่ทนทุกข์กับพระคริสต์ คือการไปแบกกางเขน หรือเจอความทุกข์ยากลำบากบนโลกใบนี้ ไม่ใช่ ทนทุกข์กับพระคริสต์ คือท่านอยู่ในพระเยซู ตอนที่ถูกตี ถูกเฆี่ยน ถูกตรึงที่ไม้กางเขน เสร็จแล้ว ตรงนี้ เรียกว่าบัพติศมา เข้าเป็นหนึ่ง ดองกับพระเยซู นึกถึงดองไว้ให้ดีๆ พระเจ้าได้ดองท่านเข้าไปกับพระเยซู เสร็จปุ๊บพระเยซูถูกตรึง ท่านก็ถูกตรึงไปด้วย พระเยซูถูกเฆี่ยน ท่านก็ถูกเฆี่ยนไปด้วย นึกออกไหม?

ตอนนี้เอากระปุกของกระเทียมดอง เอาไปต้ม ท่านก็ถูกต้มพร้อมกับน้ำนั้นด้วย ตอนนี้เอาวิญญาณของท่านเข้าไปอยู่ในพระเยซู พระเยซูถูกทรมาน ตรึงตายที่ไม้กางเขน พระองค์ทุกข์ทรมาน ท่านก็ทุกข์ทรมานด้วย พระองค์ตายลงไปนรก 3 วัน ท่านก็อยู่ในนรกด้วย ในนี้บอกท่านถูกฝังไว้ด้วย แต่มันไม่ได้อยู่แค่นั้น ลงไปอยู่ในนรกด้วย เพื่อชดใช้บาป พระเยซูชดใช้บาป โดยการหลั่งพระโลหิต หลั่งแล้ว ตายแล้ว การตาย เป็นการชดใช้บาป ท่านก็ชดใช้กับพระเยซูด้วย พอวันที่ 3 พระคัมภีร์บอกพระเจ้าได้ชุบพระเยซูให้เป็นขึ้นจากความตาย และประทานนามหนึ่งที่สูงที่สุด วางพระเยซูไว้อยู่สูงสุดเลย ที่เบื้องขวาของพระเจ้า แปลว่าผู้สำเร็จราชการ บนมหาจักรวาลนี้และในโลก ทุกอย่าง ทั้งในนรก ทั้งสวรรค์ อยู่ที่พระเยซู แล้วเราอยู่ที่ไหนตอนนี้ ก็อยู่ในนี้ (ในพระเยซู)

พระเยซูบอกว่าสิทธิอำนาจทั้งหมด ในสวรรค์ก็ดี ในโลกก็ดี ได้ถูกมอบให้กับเราเรียบร้อยไปแล้ว มอบให้กับพระเยซู … พระเยซูอยู่บนหิ้งสูงมากเลย สูงเหนือสิ่งอื่นใดทั้งหมด เหนือสิทธิอำนาจ เหนือทุกอย่างในโลก พระคัมภีร์บอก แล้วเราก็อยู่ในนั้นแหละ นี่คือความหมายของบัพติศมา เห็นไหม? ต้องใช้วิธีอธิบายลึกซึ้งอย่างนี้ มันต้องคิด จะทำอย่างไรดี มันมีวิธีอธิบายเยอะแยะเลยนะ ผมก็ไม่รู้พระวิญญาณให้เข้าใจอย่างนี้ ตอนนี้ อธิบายได้แค่นี้ ก็หวังว่าจะเข้าใจได้ง่ายขึ้น  เรากลับมาอ่านอีกครั้งหนึ่ง โคโลสี 2:12 แล้วท่านจะเริ่มเข้าใจแล้ว

โคโลสี 2:12 “ท่านถูกฝังไว้กับพระองค์ ในพิธีบัพติศมา และทรงให้ท่านเป็นขึ้นจากตายกับพระองค์ ผ่านทางความเชื่อของท่าน ในฤทธิ์อำนาจของพระเจ้า ผู้ทรงให้พระองค์ เป็นขึ้นจากตาย”

 

อ่านพร้อมทั้งนึกว่าฉันเป็นใคร? มันเกิดอะไรขึ้นกับฉัน? มันเกิดอะไรขึ้นในวิญญาณของฉัน เมื่อฉันมาเชื่อพระเจ้าวันแรก จนถึงเดี๋ยวนี้ มันต้องมันๆ ปีหน้าต้องมันกว่านี้ บัพติศมาเขารู้แล้วว่าแปลว่าอะไร?

อย่างที่ผมบอก ถ้าท่านเอาไปวิเคราะห์ เอาไปใคร่ครวญ ภาวนาถ้อยคำเหล่านี้ วันหนึ่งท่านจะลุกขึ้นมาอยู่ในห้องของท่าน ที่บ้านของท่านแล้วก็ตะโกนขึ้นมา

“ฉันเข้าใจแล้ว อ๋อ! มันอย่างนี้นี่เอง”

ในพระคัมภีร์ เวลาพูดถึงความเชื่อและความรอดในพระเยซูคริสต์ จะไม่กล่าวถึงเรื่องบัพติศมาในน้ำเลย ยกตัวอย่างเช่น ….

“เพราะว่าท่านทั้งหลายได้รับความรอด โดยพระคุณ ผ่านทางความเชื่อ” ในเอเฟซัสบอก

“ถ้าท่านจะรับด้วยปากของท่านว่าพระเยซู ทรงเป็นพระผู้เป็นเจ้า และเชื่อในจิตใจของท่านว่าพระเจ้าได้ทรงชุบพระองค์ให้ได้เป็นขึ้นจากความตาย ท่านจะได้รับความรอด” ในโรม

ไม่ได้บอกเลยว่าลงน้ำ รู้แล้วใช่ไหมตอนนี้ ความเชื่อเท่านั้น ที่ทำให้เราได้รับความรอด การลงน้ำ ไม่สามารถทำให้ใครรอดได้เลย นอกจากเปียกเท่านั้น ถ้าให้คนที่ไม่ได้เชื่อในข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์ ไม่เชื่อในการเป็นขึ้นจากความตาย ไม่เชื่อในการสิ้นพระชนม์ของพระเยซูคริสต์ว่าเป็นพระบุตรของพระเจ้าจริงๆ ให้คนนี้ไปรับบัพติศมาในน้ำ ให้ตาย ผลออกมา เขาก็เป็นคนบาป ที่ไม่เหมือนเดิม เขาจะเป็นคนบาป ที่เปียก เพราะก่อนหน้านี้เขาเป็นคนบาปที่ไม่เปียก วิญญาณยังเหมือนเดิม มีสิ่งหนึ่งที่เปลี่ยนไปเท่านั้น คือมันเปียก

แต่ตรงกันข้าม ถ้าอยากให้วิญญาณรอด ไม่ลงน้ำเลยก็ได้ แต่วิญญาณรอด ปากก็ต้องพูดว่าพระเยซูคริสต์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอด เป็นพระเจ้าที่ลงมาเกิดเป็นมนุษย์ และเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่ 3 ก็ต้องเชื่อตรงนี้ และพูดด้วยปาก เชื่อด้วยใจ เขาก็ไปสู่ความรอด เอเมน

เพราะฉะนั้น การลงน้ำบัพติศมา  ก็เป็นแค่เงาของสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้น เป็นเงาสุดท้ายเลย ก่อนที่พระเยซูคริสต์จะมาทำให้สำเร็จ ไม่กี่เดือน ไม่กี่ปี ที่พระเจ้าให้ยอห์นบัพติศโตทำบัพติศมา เพื่อประกาศว่ากลับใจใหม่เท่านั้นเอง เป็นสัญลักษณ์ของการกระทำในวิญญาณที่พระเยซูจะมาทำในอีกไม่กี่เวลาข้างหน้า หลังจากนี้ เท่านั้นเอง

ในพันธสัญญาเดิม มนุษย์แสวงหาพระเจ้า ขอให้พระเจ้าชำระบาปให้ ให้พระเจ้าล้างใจให้สะอาด ขอให้พระเจ้าสถิตอยู่ด้วย เหล่านี้คือสิ่งที่มนุษย์ในยุคพันธสัญญาเดิมอธิษฐานขอจากพระเจ้า ต่อมาในยุคพันธสัญญาใหม่ ทุกสิ่งที่มนุษย์เคยอธิษฐานขอ มันได้เกิดขึ้นแล้ว พระเจ้าได้กระทำให้สำเร็จเรียบร้อยแล้ว ผ่านทางพระเยซูคริสต์ เพราะฉะนั้นไม่ต้องอีกแล้ว จงรับรู้และขอบคุณ ดังนั้น เราผู้เชื่อในพระเยซูคริสต์ ในยุคพระคัมภีร์ใหม่ ก็ควรอธิษฐานตามอย่างที่พระเจ้าได้กระทำให้สำเร็จแล้ว มิฉะนั้น ก็เท่ากับว่าเรากำลังบิดเบือนข่าวประเสริฐของพระเยซู เรากำลังกล่าวหาว่าพระเยซูพูดไม่จริง ที่บอกว่าทุกอย่างสำเร็จแล้ว ที่ไม้กางเขน แล้วเป็นขึ้นจากความตาย เรียบร้อยไปแล้วนั้น มันไม่จริง เรากำลังบอกอย่างนั้น เพราะเรากระทำอย่างนั้น เราทำ โดยที่เราไม่รู้ตัวด้วยซ้ำไป

พระเจ้าได้ประทานใจที่สะอาด และประทานพระวิญญาณของพระองค์ให้กับเราแล้ว โดยให้เราบังเกิดใหม่ เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์ ร่างกายของเราเป็นวิหาร เป็นที่อาศัยของพระเจ้า พระวิญญาณของพระเจ้าสถิตอยู่ในร่างกายเราเรียบร้อยไปแล้ว เอเมน

คำอธิษฐานง่ายๆ ขอพระเจ้าสถิตอยู่ด้วย สมมติอย่างนี้ ดูไม่รุนแรง แต่เป็นการบอกว่าพระเจ้าไม่จริง พระเยซูบอก โดยผ่านทางเรา พระเจ้าลงมาสถิตอยู่กับเราแล้ว เราบอกขอให้พระเจ้าสถิตอยู่กับเธอ อันนี้ง่ายๆ ดูไม่เสียหาย แต่กำลังบอกว่าพระเยซูไม่จริง ถูกไหม?  ท่านพอเข้าใจไหม?  ยกตัวอย่างให้ฟัง ยังมีอย่างอื่นอีกเยอะแยะ เรารู้ความจริง เราอธิษฐานอย่างนี้ดีกว่าไหม?

“อย่าลืมนะ พระเจ้าสถิตอยู่กับเธอแล้ว”

อย่างนี้ตรงตามพระคัมภีร์ ต้องจดจำเสมอเลยว่าคำสัญญาของพระเจ้า ที่ได้สัญญาไว้ ตั้งแต่ก่อนที่พระเยซูจะมาเกิดเป็นมนุษย์ เพื่อไถ่บาปให้กับมวลมนุษยชาติ พระเจ้าได้กระทำให้สำเร็จแล้ว มันจบแล้ว มันได้แล้ว ต้องนึกอย่างนี้ จะอธิษฐานอะไร ก็ต้องคิดพื้นฐานตรงนี้ก่อน แล้วค่อยอธิษฐาน ท่านจะเริ่มเปลี่ยนคำอธิษฐานของท่านแล้ว

ยกตัวอย่างเช่น .. “พระเจ้ายกโทษให้ลูกด้วย ลูกไม่น่าโกรธเขาด้วย ยกโทษให้ลูกด้วย ลูกไม่น่าโลภเลย ยกโทษให้ลูกด้วย ลูกไม่น่าทำอย่างโน้นอย่างนี้เลย”

ถูกไหม? พระเยซูบอกว่าพระองค์ตายเพียงครั้งเดียว และลบเอาความผิดบาปทั้งหมดทั้งหลายของเราไปหมดแล้ว ตั้งแต่อดีต จนปัจจุบัน จนอนาคตเรียบร้อยไปแล้ว เราบอก …

“พระเจ้ายกโทษให้ลูกด้วย”

เรากำลังบอกพระเยซูพูดไม่จริง ถูกไหม? แล้วเราควรจะพูดอย่างไร? เกิดเราทำอะไรพลาดไป เกิดเราทนไม่ไหว เราไปด่าเขา เราเกิดรู้สึกเสียใจ แทนที่เราจะบอกว่า …

“พระเจ้ายกโทษให้ลูกด้วย”

เราก็บอกว่า … “พระเจ้าลูกเสียใจ ลูกพลาดไปอีกแล้ว ลูกเสียใจ”

หรือแม้แต่ติดปากคำว่า ขอโทษ ขอให้ในใจเราไม่ได้คิดตรงนั้น เราคิดเพียงแต่ว่าเรายังเป็นลูกอยู่เหมือนเดิม เราเสียใจ แต่ถ้าเปลี่ยนให้เป็นคำพูดที่ถูกต้องเลย มันจะดีกว่าทำให้คนข้างๆ เคียงๆ เขาได้เห็นข่าวประเสริฐจริงๆ ว่าข่าวประเสริฐมันคืออย่างนี้ ไม่อย่างนั้น ข่าวประเสริฐก็เพี้ยนไปทุกวันๆ

ยกตัวอย่างอีกอันหนึ่ง เหมือนสิบลด … สิบลดก็อยู่ในกฎ พระเยซูมาปลดปล่อยเราออกจากกฎแล้ว เราเป็นอิสระแล้ว เราไม่ต้องถวายสิบลดแล้ว แต่เราสามารถเอาสิบลดมาใช้กับปัจจุบันได้ มันมีประโยชน์  แล้วเราทำอย่างไร? เราก็ไม่ได้ทำตามสิบลด เพราะมันเป็นกฎ แต่เราเห็นว่ามันดี ตรงที่เตรียมแผนการไว้เลย พระคัมภีร์สอนเราในยุคพระคัมภีร์ใหม่บอกว่าให้เรากะเกณฑ์แผนการ วางแผนการตั้งหมายไว้ในใจเลยว่าจะให้ออกไปด้วยใจชื่นชมยินดี เราตั้งใจแล้ว วิธีง่ายๆ ก็คือเรามีสติปัญญาจากพระเจ้า เดือนหนึ่งเราแบ่งเป็นค่ารถ ค่าอาหาร ค่าเที่ยว แล้วก็มีค่าอันหนึ่งที่เราเรียกว่าเราจะเอาไว้ใช้ให้ออกไป เพื่อที่จะลดความโลภ พระเยซูบอกโลภไม่ดี เราเชื่อฟัง เราจะให้ เราก็ตั้งเป็นค่าใช้จ่ายไว้ เหมือนค่ารถ ค่าน้ำมัน ค่าอะไรต่างๆ  ค่าที่เราจะให้ออกไป เราก็สามารถเอาลักษณะการถวายสิบลดมาใช้ เป็น 10% ดีไหม? แต่ไม่ใช่ถวายสิบลด เพราะกลัวถูกสาปแช่ง เพราะในพระเยซูคริสต์ เราไม่มีวันถูกสาปแช่งอีกต่อไปแล้ว เราได้รับพระพรนานัปการจากพระเจ้าเรียบร้อยไปแล้ว หมดเลย เกลี้ยงเลย ไม่ให้เลยก็ได้  หรือจะให้ก็เป็นประโยชน์สำหรับตัวเราเอง พอเราลดความโลภลง ชีวิตเราก็ดีขึ้น เห็นชัด มีชีวิตที่พอเพียง เรารวยกว่าใครเพื่อนเลย  คนยิ่งมีมาก ถ้าไม่มีตรงนี้ มีความโลภ และมีความไม่พอเพียงอยู่ ยิ่งมี ยิ่งจน มีมาก ก็กลัวหมด ก็ทำเพิ่มขึ้น พอมีน้อย ก็รู้สึกน้อยไป ก็ทำให้เพิ่มขึ้น ก็ไม่มีวันได้หยุด เห็นไหม? เราก็เอามาใช้ได้

ดังนั้น สิ่งที่เราควรทำ ก็คือไม่ใช่การแสวงหา หรือทูลขอในสิ่งที่ได้มาแล้วจากพระเจ้า แต่ควรเป็นการขอบพระคุณในสิ่งที่พระองค์ได้ทรงกระทำให้เราเรียบร้อยแล้ว  โดยพระเยซูคริสต์ พระคุณของพระองค์ได้ทรงสถิตอยู่กับเราด้วยตอนนี้ พระคุณก็อยู่ การทรงสถิตก็อยู่ ซึ่งสิ่งเหล่านี้ทั้งหมด คือเป็นการประกาศข่าวดีในชีวิตของเรานั้นเอง ถ้าเราทำแค่นี้ เราไม่ต้องพูดอะไรเลย ชีวิตเราประกาศข่าวดี ถ้าเราทำถูกต้องตามพระคัมภีร์จริงๆ คริสเตียนที่เกิดใหม่เรียบร้อยแล้ว ได้รับใจใหม่เพียงครั้งเดียวพอ

สรุปนะครับ คริสเตียนที่เกิดใหม่ ได้รับใจใหม่เพียงครั้งเดียวพอ ที่เหลือเป็นการเปลี่ยนแปลงความคิดเก่าๆ เสียใหม่ ตลอดชีวิตบนโลกใบนี้ เปลี่ยนไปเรื่อยๆ ได้เท่าไร เอาเท่านั้น พระวิญญาณจะนำเรา จะสอนเรา พลาดไป ก็เปลี่ยนความคิดเสียใหม่ ให้มันเหมือนความคิดของพระเยซูคริสต์ ให้ความคิดของร่างกาย เป็นไปในทางเดียวกันกับความคิดของพระคริสต์ที่อยู่ในวิญญาณของเรา เอเมน ขอพระเจ้าอวยพรครับ

 

*************************

 

 

 

 

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 2 กุมภาพันธ์ 2020 เรื่อง “อย่ากลัวเลย … พระเจ้าสถิตอยู่ด้วย” โดย นคร เวชสุภาพร

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  2  กุมภาพันธ์  2020

 เรื่อง “อย่ากลัวเลย … พระเจ้าสถิตอยู่ด้วย”

โดย นคร  เวชสุภาพร

            สวัสดีตอนเช้าครับ ตอนนี้เต็มไปด้วยความตื่นเต้น ถามว่าตอนนี้ตื่นเต้นอะไรมากที่สุด?  กลบข่าวก่อสร้างคริสตจักรอภิสุทธิสถานไปเลย เรื่องไวรัสโคโรน่า อยากรู้ไหมว่าในทางพระเจ้าพูดว่าอย่างไร ในเรื่องโคโรน่า วันนี้เตรียมมาให้เราได้ยินได้ฟังกัน เพราะว่าไม่พูดไม่ได้เลย  เราจะได้รู้ว่าเราเชื่อพระเจ้า แล้วเราควรจะทำตัวอย่างไร? หรือมีทัศนคติเกี่ยวกับเรื่องไวรัสตัวใหม่อย่างไรบ้าง?

ก่อนอื่น เราเกริ่นนิดหนึ่งก่อน เผื่อใครไม่รู้ ไวรัสตัวใหม่ สายพันธุ์ใหม่ที่เกิดที่ประเทศจีน ที่อู่ฮั่น ซึ่งเขาว่ามันมาจากการกลายพันธุ์ของไวรัสทั่วๆ ไป กลายพันธุ์เนื่องจากคนไปกินสัตว์ที่ไม่สะอาดมากๆ ไม่สะอาดเยอะๆ คือสัตว์ป่า เขาว่ากันว่ามาจากค้างคาวกับงูเห่า พูดแล้วไม่น่ากินเลยนะ แต่มีคนสรรหาไปกินกัน ซึ่งกลุ่มเล็กมาก แต่เนื่องจากเกิดเหตุแล้ว ทุกคนก็ต้องป้องกัน เพื่อให้ปลอดภัยจากสิ่งเหล่านี้มากที่สุด แล้วก็ช่วยกัน

ถามว่าเป็นเรื่องแปลกไหม? สำหรับคริสเตียนไม่ใช่เรื่องแปลก จริงๆ เรา มองในแง่ที่ดี สิ่งที่เกิดขึ้น  ทำให้เราเห็นว่าพระคัมภีร์เป็นจริง เป็นการยืนยันอีกทางหนึ่ง ในทางพระคัมภีร์ แต่เนื่องจากเป็นการยืนยันทางติดลบนั่นเอง ก็คือมันไม่ดี มันยืนยันว่าโลกใบนี้ มันเสียหายไปแล้ว มันยืนยันว่าพระคัมภีร์พูดไว้ตั้งนานแล้ว ตั้งแต่หน้าแรกแล้วว่าโลกใบนี้ถูกสาปแช่งไปแล้ว มันมีแต่ความเสื่อมทราม เสียหาย เน่าเฟ๊ะ ไปเรื่อยๆ จนกระทั่งมันอยู่ไม่ได้อีกเลย และพระเจ้าก็ต้องสร้างโลกใหม่มาให้มนุษย์ได้อยู่ มันเห็นชัดเลย ไม่ต้องรอหรอกว่าวันหนึ่งที่เราจะไม่มีไวรัสตัวแปลกๆ หรือแม้กระทั่งเจ็บไข้ได้ป่วยตัวแปลกๆ แม้กระทั่งภัยพิบัติทางธรรมชาติแบบแปลกๆ ให้มันน้อยลง ไม่มี มันมีแต่มากขึ้นทุกวัน เพราะมันเป็นจริงตามพระคัมภีร์บอก โลกได้ถูกสาปแช่งไปแล้ว และสิ่งสำคัญกว่านั้น ก็คือเราในฐานะคริสเตียน ผู้เชื่อ เราต้องรู้ว่ามันเกิดจากอะไร? และชี้เป้าให้ถูกว่าใครเป็นคนทำ ตรงนี้สำคัญที่สุดเลย ไม่ใช่ เอะอะอะไรก็บอกว่าพระเจ้าอนุญาตให้เกิดขึ้น คนไม่เข้าใจ ก็จะนึกว่าพระเจ้าเป็นคนเอาไวรัสนี้มาให้มนุษย์ เห็นไหม? เรามีหน้าที่ที่จะแก้ข่าวเหล่านี้ ซึ่งบางทีแม้กระทั่งผู้เชื่อ คริสเตียนเอง เขาก็ไม่เข้าใจ

บางคนก็บอกว่าพระเจ้าส่งไวรัสมาเพื่อเตือนมนุษย์ ให้มนุษย์กลับใจใหม่ มาหาพระเยซู เคยคิดอย่างนี้ไหม? พระเจ้าส่งไวรัสตัวนี้ มาให้มนุษย์ เพื่อจะขู่มนุษย์ว่าให้มาหาพระเยซู เพื่อจะช่วยให้รอด มีคนคิดไหม? จะต้องมีอยู่แล้ว

บางคนก็บอกว่าพระเจ้าอนุญาตให้เกิดขึ้น  เพื่อล้างเอาสิ่งที่ไม่ดี ออกจากโลกนี้ไป เอาคนชั่วออกไป อันนี้ไม่ได้หมายถึงสิ่งเหล่านี้ ไม่ได้หมายถึงไวรัสอย่างเดียวนะ หมายถึงอย่างอื่นด้วย การสงคราม หรือแม้กระทั่งจับโจรผู้ร้ายอะไรต่างๆ เราชอบพูดกันอย่างนี้เสมอ เราเอาสถานะของพระเจ้ามาเป็นผู้รับผิดชอบเสมอ แล้วก็มักจะติดคำนี้

“ก็เพราะพระเจ้าควบคุมอยู่เหนือทุกสิ่ง” บอกไว้อย่างนั้น

หรือภาษาอังกฤษเขาเรียกว่า God in control แปลว่าพระเจ้าควบคุมอยู่เหนือทุกอย่าง พระคัมภีร์บอกไว้อย่างนั้น พระเจ้าเป็นผู้สร้างสรรพสิ่ง และทรงยิ่งใหญ่สูงสุด ทรงควบคุมทุกสิ่ง ถูก แต่มันมีระบบระเบียบตามที่พระคัมภีร์ได้บอกไว้ ซึ่งเราต้องเรียนรู้และผู้ที่มาเป็นผู้แก้ต่างให้กับพระเจ้าของเรา  อย่างที่ผมเคยเล่าให้ฟัง พระเจ้าสร้างสรรพสิ่งทั้งหลาย ด้วยความรัก พระเจ้าสร้างแม้กระทั่งทูตสวรรค์ ด้วยความรัก พระเจ้าสร้างมนุษย์ทั้งหลาย สัตว์ทั้งหลายบนโลกใบนี้ ด้วยความรัก

ความรักที่เป็นของพระเจ้าแท้ๆ บริสุทธิ์ สะอาด ไม่มีเจือปนเลย ความรักนี้เป็นการให้อิสรภาพด้วย ไม่ใช่เรารัก แล้วเราก็หวงไว้ แล้วเราก็สั่งทำอะไร? มันก็ไม่ใช่ ถ้าเป็นลูกเรา เราไม่รักเขาจริง สร้างเขามาเป็นหุ่นยนต์ สั่งอันนี้ขวาสิ ซ้ายสิ ไม่ใช่ขวาไปซ้าย ซ้ายไปขวา ไม่ใช่ พระเจ้าสร้างทูตสวรรค์ ยังสร้างให้เขามีอิสรภาพเลย  เพราะว่าตัวพระเจ้าเอง  เป็นพระเจ้าแห่งความรัก บริสุทธิ์ ยุติธรรม จึงไม่มีเห็นแก่ตัว เมื่อไม่มีเห็นแก่ตัว จะทำอะไรก็ตาม จะปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติ เป็นไปตามอิสระของเขา เขาจะคิดอะไร ก็เชิญ ตัวนี้เป็นตัวหัวใจสำคัญที่เราจะต้องเรียนรู้ว่าพระเจ้าของเราเป็นอย่างนี้  ถ้าเรามองไม่เห็น เราจะเห็นตัวอย่างในพระคัมภีร์บอกว่าทูตสวรรค์ ชื่อลูซีเฟอร์ พระเจ้าสร้างให้มีอิสรภาพ ถูกไหม? ไม่ใช่เป็นหุ่นยนต์ เพราะฉะนั้น วันหนึ่งที่มันเกิดอยากจะเป็นพระเจ้าเสียเอง จะกบฏต่อพระเจ้า มันก็เลย ทำได้ เพราะมันมีอิสรภาพในการเลือก นี่แหละเรียกว่าความรัก บางคนบอกว่ารู้อยู่ล่วงหน้า วันหนึ่งมันต้องคิดอย่างนี้แน่ๆ แล้วถ้ารู้อย่างนี้ แล้วสั่ง กั้นไว้เลย ให้เป็นหุ่นยนต์ไปเลย  อย่างนั้นเหรอ? ไม่ใช่ สร้างให้เขามีธรรมชาติ ถ้าเขาจะคิด ก็เป็นเรื่องของเขา  เหมือนเรามีลูก แล้วเรารักลูกเราจริงๆ เราแต่สอนว่าอย่างนี้ควร อย่างนี้ไม่ควร เราไม่มีสิทธิ์ที่จะเอาโซ่ไปคล้องคอเขา บอก อย่าไปนี้นะ อย่าไปนั้นนะ เหมือนกัน อย่างนี้เรียกว่าความรัก เพราะฉะนั้น วันหนึ่งลูซีเฟอร์ก็มีความคิดกบฎขึ้นมา แล้วพระเจ้าทำอย่างไร? พระเจ้าก็ต้องมาคอยเช็ดสิ่งสกปรกเหล่านั้นที่มันเกิดขึ้น จัดการให้เป็นไปตามกฎระเบียบ

มาถึงมนุษย์ สร้างอาดัม เอวา และพวกเราทุกๆ คน ที่อยู่ใน DNA ของอาดัมและเอวา มนุษย์ทุกคนบนโลกนี้  ถูกสร้างโดยความรักอันบริสุทธิ์ เป็นอิสระ  จะคิดอะไร? จะทำอะไร? เชิญ ไม่ใช่เป็นหุ่นยนต์ ไม่ใช่พระเจ้าควบคุมทุกอย่าง คือควบคุมชีวิตเราด้วย บังคับเราด้วย เราจะตัดสินใจอะไร ต้องทำอย่างนี้ ไม่ใช่เลย อย่างนี้เห็นชัด พิสูจน์ได้อย่างไร? อาดัมและเอวา พระเจ้าบอกอย่ากินผลไม้นี้นะ วันใดเจ้าขืนกิน เจ้าจะต้องตาย แสดงว่ามีอิสระ จะกินก็ได้ ไม่กินก็ได้ จะเชื่อฟังพ่อสอน แนะนำ ตักเตือนให้ระวังก็ได้ หรือจะไม่เชื่อฟังพ่อ ไปเชื่อฟังมารก็ได้ อย่างนี้เขาเรียกอิสรภาพ แล้วเราก็รู้กันอยู่ พระคัมภีร์บันทึกเอาไว้ว่าบรรพบุรุษของเรา อาดัมและเอวาก็ถูกล่อลวง ไม่ใช่ตัวเขาเอง ไม่เหมือนลูซีเฟอร์ ทูตสวรรค์ที่ตกกระป๋อง เป็นซาตาน พระคัมภีร์บอกว่ามันเกิดความบาป เกิดความเย่อหยิ่งขึ้นมาด้วยตัวของมัน แต่สำหรับมนุษย์ บรรพบุรุษของเรา รวมเราอยู่ในนั้นด้วย อยู่ใน DNA นั้นด้วย  ไม่รู้กี่หมื่นพันล้านคน เราอยู่ในอาดัมและเอวา มันไม่ได้เกิดขึ้นด้วยตัวเขา แต่มันมีบางสิ่งบางอย่างอยู่นอกตัวเขา ที่เข้ามาล่อลวง หลอกลวง โกหก  ตอแหลกเขา ให้หลงไปกับคำเพลินๆ อะไรก็แล้วแต่ ซึ่งเราไม่เข้าใจ ในพระคัมภีร์เขียนไว้นิดเดียว มารมาล่อลวง แต่ผมเชื่อว่าไม่ใช่ล่อลวงแค่นั้นหรอก มันมากกว่านั้น มันอาจจะเป็นหลายวันแล้ว พูดไปพูดมา จนกระทั่ง เหรอๆ เคลิ้บไปกับความคารมคมคายของเจ้าซาตาน บางทีเราอ่านพระคัมภีร์ เราเห็นแค่ว่ามันล่อลวง แล้วก็หลงไป แค่นั้น ผมว่าไม่ใช่อย่างนั้น มันต้องนานเลย ในที่สุด คารมคมคาย ก็ชักจูงโยงใยให้บรรพบุรุษของเรา คู่แรกเริ่มที่จะปฏิเสธพระเจ้า ไม่เชื่อฟังพระเจ้า ท่านพอมองเห็นไหม? โดยที่ตัวเขาเอง เพลินไป หลงไป เขาไม่ได้ตั้งใจปฏิเสธพระเจ้า  มันถูกล่อลวงค่อยๆ ทีละนิดๆ

ในยุคปัจจุบันเหมือนกัน ที่บางคนถูกล่อลวงออกจากบ้าน  ถูกล่อลวงอะไรต่างๆ ก็อย่างนี้แหละ ไม่ใช่ตัดสินว่าฉันจะไป มันค่อยๆ แต่ในที่สุด เขาก็ทนคารมนั้นไม่ไหว แล้วก็เผลอ หรือจะบอกว่าหลงไป ทำในสิ่งที่เรียกว่า “กบฏ” ตอนเขาทำ เขาไม่รู้อะไรหรอกว่านี่คือกบฏ ตอนที่เขาทำเคลิ้มๆ มันหลงไป ในที่สุดเขาก็ปฏิเสธพระเจ้า กบฏต่อพระเจ้า รุนแรงถึงขนาดถูกตัดขาดจากพระเจ้า ถูกไล่ออกจากครอบครัวของพระเจ้า อยู่กับพระเจ้าไม่ได้ ต้องไปอยู่กับมาร เลือกข้างนั้นเอง ถ้ามารมาบอกว่ามาอยู่ด้วยตั้งแต่แรก เขาไม่เชื่อหรอก พระคัมภีร์ถึงใช้คำว่าล่อลวง

เพราะฉะนั้น มนุษย์ก็ตกลงไปอยู่ในความบาป มนุษย์ต้องตายทั้งร่างกายและวิญญาณ ร่างกายที่ไม่เคยต้องตาย ต้องติดเชื้อโรค อะไรต่างๆ ก็ต้องเริ่มต้นนับหนึ่ง คือมีวันที่จะเสื่อมสลายตายไป เพราะไม่มีชีวิตนิรันดร์ของพระเจ้า เข้ามาอยู่ในนั้นแล้ว วิญญาณที่มีอยู่ ที่เป็นอยู่ ก็ต้องตาย แปลว่าถูกตัดขาด คำว่า “ตาย” ในที่นี้ คือถูกตัดขาดออกจากสวรรค์ ไปอยู่ในที่ที่เรียกว่าความมืด ไม่มีพระเจ้านิรันดร์กาล

นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้น คิดให้ดีๆ พระเจ้าเป็นคนทำหรือเปล่า? ไม่ใช่เลย พระเจ้าไม่ได้เป็นคนทำ พอมองเห็นไหม? สิ่งที่เกิดขึ้นกับบรรพบุรุษของเรา อาดัมและเอวา ที่ตายทั้งร่างกายและวิญญาณนั้น พระเจ้าไม่ได้ทำ แต่มนุษย์ทำเอง แล้วผลเสียมันก็เข้ามาเอง จากกฎระเบียบของโลกใบนี้ ที่มันบอกไว้แล้ว เหมือนกับซาตานที่ทำ แล้วมันก็ได้รับผลของมัน แล้วพระเจ้าทำอะไร? พระเจ้าคอยช่วยเหลือ

ตรงนี้ คือสิ่งที่ต้องจำ แล้วก็พยายามฝังหัวไว้ตลอดเลยว่าอะไรเกิดขึ้น ในยุคปัจจุบัน มันจะร้ายแรงขนาดไหนก็ตาม จงรู้ว่าไม่ใช่พระเจ้าเอาสิ่งชั่วร้ายเข้ามาหาเรา แต่พระเจ้าอยู่ตรงข้ามต่างหาก คอยเข้ามาช่วย เมื่ออาดัมและเอวาตกลงไปในความบาป พระเจ้ารีบกุลีกุจอเข้ามาช่วย ช่วยทำอย่างไรก็ได้ให้ลูกหาย เหมือนที่ผมเคยบอกว่าลูกเอามือแยงเข้าไปในปลั๊กไฟ บอกหลายครั้งแล้ว อย่าๆ มันดูด แยงเข้าไป ชักเลย พ่อไม่ได้ยืนด่าเลย นี่พระเจ้าแห่งความรัก รีบโอบกอด เป็นอย่างไร? ไปหาหมอไหม? ภาพมันเป็นอย่างนี้ ไม่มีผิดเลย เจ็บปวดจิตใจมาก ลูกเป็นอย่างนี้ พยายามหาทางทุกทาง ที่จะช่วยลูกให้ได้ นั่นแหละ คือพ่อของเรา คือพระเจ้าเป็นความรัก แล้วคิดดู มารก็คอยกระซิบ พ่อแก ใจร้าย พ่อแกลงโทษแก ตัวมันเองแอบอยู่ นี่คือภาพใหญ่ๆ จากพระคัมภีร์เป๊ะเลย เพื่อให้เรารู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นโคโรน่า แต่ก่อนหน้านี้มันมีไวรัสซาร์นี่คล้ายๆ ซาร์จำได้ไหม? ที่ทุกคนกลัว อันนี้มันใหญ่กว่า ซาร์ก็เหมือนออติก ตอนนี้มันเป็นโคโรน่า มันใหญ่ขึ้น อนาคตมันก็จะมีคัมรี่ แล้วจากคัมรี่ ก็เป็นเล็กซัส มันพัฒนาไปเรื่อยๆ ช่างมันเถอะ อย่าไปยุ่งกับมันเลย เพราะมันเป็นไปตามพระคัมภีร์แล้ว มันเสื่อมทราม มันแย่ลงไปทุกวันๆ บนโลกใบนี้ จงดีใจเถิด ไม่ใช่ดีใจที่คนตายนะ แต่จงดีใจในแง่มุมหนึ่งว่าพระคัมภีร์เป็นจริง ความยุ่งยากลำบากบนโลกนี้ ยิ่งทวีคูณมากเท่าไร? จงดีใจในแง่หนึ่งว่าพระคัมภีร์เป็นจริง บอกแล้วไง บางคนก็บอกมันจะพัฒนา เทคโนโลยีอะไรต่างๆ เราจะอยู่กันดีขึ้น ไม่เลย มันมีแต่แย่ลง แม้กระทั่งอาหารการกินก็เหมือนกัน แล้วถามว่ามันแย่ลงเพราะอะไร? พระเจ้าให้มันแย่ลงเหรอ ก็บอกแล้วว่าเมื่อมารครอบครอง เมื่อปรปักษ์เข้ามาครอบครอง บ้านนี้ไม่ใช่ของมาร แต่เราไปเชิญมารเข้ามาครอบครอง เพราะฉะนั้น มันทำเละตุ้มเป๊ะเลย เพื่อจะเยาะเย้ยพระเจ้า นี่ไง แล้วมันก็คุมบ้านหลังนี้เอง ด้วยความชั่วร้าย ซึ่งมันมีวันสิ้นสุด ขอบคุณพระเจ้า มันมีวันสิ้นสุด วันที่จะสิ้นโลกใบนี้ และมีโลกใหม่ และมารก็ถูกจับโยนลงไปในบึงไฟนรก มันมีวันนั้นจริงๆ

เพราะฉะนั้น การมองดูอะไรต่างๆ บนโลกใบนี้มันเกิดขึ้น มองได้หลายแง่ ไม่ต้องตกใจ เดี๋ยววันนี้จะมีข้อพระคัมภีร์มาให้ท่านดู ท่านจะได้ไม่ต้องตกใจเลย เพราะพระเจ้าอยู่ข้างเราตลอด คอยช่วยเราตลอด เอเมน อย่างที่บอกเมื่อรู้อีกมุมหนึ่ง น่าจะดีใจด้วยว่ามันก็เป็นอย่างนี้แหละ แต่ก็ต้องมีสติปัญญาจากพระเจ้า เขาบอก เขาเตือนให้ทำตัวอย่างไร? เราก็ต้องทำตามระดับหนึ่ง แต่ไม่ต้องหวาดกลัว เขาบอกว่าอย่าไปในสถานที่ที่มีคนเยอะๆ ช่วงนี้ ก็ไป ฉันมีพระเจ้าอยู่ ฉันไม่กลัว คุ้นๆ ไหม? เขาบอกอย่าไป ก็อย่าไป ถ้าไม่จำเป็นจริงๆ สถานที่ที่มีคนติดเชื้อ เราก็พยายามเลี่ยง เลี่ยงไม่ได้ ก็ระวังตัวที่สุด แล้วอธิษฐานไปด้วย  อย่างนี้โอเค ไม่ใช่ อะไร ไม่มีสติปัญญาเลย  พระเจ้าเป็นสติปัญญาด้วย ทำอะไรให้มันสอดคล้องกับสติปัญญาของพระเจ้าบ้าง ไม่ใช่เอาแต่ความเชื่อๆ เชื่ออะไรก็ไม่รู้ ถามว่าเชื่ออะไร? ไม่รู้เหมือนกัน มันต้องมีสติปัญญา เขาแนะนำอะไร เราก็ทำตาม แล้วเราก็ต้องระมัดระวังตาม

อย่างเช่น ข่าว ฟังบ้าง ให้รู้ว่าเขาเตือนว่าอย่างไรบ้าง มันไปถึงไหนแล้ว อะไรอย่างนี้ แล้วมันไม่ใช่เรื่องแปลก ก่อนหน้านี้ เท่าที่จำได้ เมื่อประมาณหลายร้อยปีก่อน เอาเป็นพันปีเลยดีกว่า สนุกดี โรคเรื้อน ตั้งแต่สมัยพระคัมภีร์ โรคเรื้อน รักษาไม่หาย ใครเป็นโรคเรื้อนตายแน่ ทรมาน พระเจ้าไม่ได้เอาโรคเรื้อนมาให้เรา แต่พระเจ้าให้สติปัญญากับมนุษย์สร้างยารักษา จนชนะโรคเรื้อนได้แล้ว แล้วมีโรคอะไรอีกที่มันลำบาก ฝีดาษ อหิวาตกโรค ใครเป็นคนเอาฝีดาษเข้ามา ใครเป็นคนเอาอหิวาตกโรคเข้ามา ตอบสิ มาร ถูกไหม? ผ่านทางคน ไม่มีใครแล้ว ไม่ได้ผ่านทางพระเจ้า ผ่านทางมนุษย์ ล่อลวงมนุษย์เหมือนเดิมนั่นแหละ ล่อลวงอะไรต่างๆ ที่มันเกิดผลร้ายขึ้นมา เห็นไหม? ถามว่าล่อลวงอย่างไร? สลับซับซ้อน ถ้าพูดวันนี้ เอาแผนการของมารมาวาง สามวันสามคืนพูดไม่จบ ยกตัวอย่าง ปัจจุบัน โรคเมอร์ ไม่ใช่เชื้อโรค แต่เป็นการกลายพันธุ์ของเซลในร่างกายของเรา ถามว่ามาจากอะไร? มาจากสิ่งแปลกปลอมที่มนุษย์ต้องใช้ ยกตัวอย่างเช่น อาหารการกิน อากาศ อารมณ์ แล้วถามว่าจะมาได้อย่างไร? ไม่ยากเลย มันสร้างระบบต่างๆ สมมติว่าเราบอกมาจากอากาศ อากาศเสีย อากาศเสียมาจากอะไร? มลพิษรถยนต์ สมมติ รถยนต์เกิดจากอะไร? ความโลภ พอมองออกไหม? เห็นไหม?

สมมติว่าตอนนี้ เขามีการรณรงค์เรื่องสารพิษที่ใส่ลงไปในอาหารการกิน และพืชผักผลไม้ที่คนทำ ถามว่าคนทำ รู้ไหมว่าอันนี้ มันอันตรายต่อคน ทุกคนตอบพร้อมกัน? รู้ ถามว่าทำเพราะอะไร? เพราะอยากได้เงิน คือความโลภ … ความโลภมาจากใคร? มาจากมนุษย์ ฟังให้ดีๆ  ถูกล่อลวงโดยมาร ปิดบังตา ทำให้เกิดความโลภ แล้วตัวเอง ก็สูญเสียชีวิตไปด้วย แล้วก็ทำคนอื่นแย่ไปด้วย นี่คือหนึ่งในจำนวน ยกตัวอย่างให้ฟัง ทุกเรื่องมันมาจากมารทั้งนั้น มนุษย์ไม่เกี่ยวข้องเลย แต่มันถูกหลอกไง ผ่านทางความโลภ ความโกรธ ความหลง การทะเยอทะยาน ความเห็นแก่ตัว ก็คือความอะไรก็ตามที่มาจากเชื้อบาป ที่ถูกสาปแช่งไป ตั้งแต่สมัยอาดัมและเอวา ระบบของโลกมันเป็นอย่างนี้หมดแล้ว มันก็มีแต่เสียหาย เพราะเราถูกล่อลวง ถูกปิดบังตา พระคัมภีร์บอกว่าเจ้าแห่งโลกนี้ คือผู้ครอบครองของโลกนี้ ก็คือมาร มันบังตา ให้เราไม่รู้จักพระเจ้า ถ้าเรารู้จักพระเจ้าแล้ว มันพยายามบังตาให้เรา ไม่ให้เอาข่าวประเสริฐของพระเจ้า ไปให้กับคนข้างๆ มันทำทุกวิถีทาง แต่ถ้ามันมาบังตาให้เราไม่รู้จักพระเจ้าได้เลย มันยิ่งชอบใจใหญ่ แล้วไม่ใช่ไม่รู้จักพระเจ้าอย่างเดียว เมื่อไม่รู้จักพระเจ้า มันไม่หยุดแค่นั้น มันจะบังตาและหลอกลวงเราต่อไป ให้เราเป็นคนที่ไม่เชื่อพระเจ้า และทำชั่วด้วย แล้วก็บังตาต่อไป ไม่ให้ทำชั่วอย่างเดียว แต่ทำชั่วกับคนเยอะๆ เลย ผ่านทางกิเลสตัณหาฝ่ายเนื้อหนัง ผ่านทางความโลภ ความโกรธ ความหลง ความอะไรก็ตามที่มันบาปทั้งหลาย ท่านพอมองภาพเห็นไหม? แล้วมนุษย์น่าสงสารไหม?

“นี่เธอก็ผิด นั่นเธอก็ผิด”

ตัวจริงๆ มันนั่งแอบอยู่ แล้วก็หัวเราะ แล้วก็บอกพระเจ้านี่ลูกๆ พระองค์ทั้งนั้นแหละ นี่บ้านของพระองค์ สวนเอเดน แหะ แหะ เป็นไง”

แต่พระเจ้านิ่งๆ และหัวเราะดังกว่าครับ เอเมน หัวเราะเมื่อไร? วันแรก เมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว พระเจ้าหัวเราะดังกว่า ตอนพระเยซูถูกตรึงและสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน ตอนบ่าย 3 โมง แล้วพระองค์ประกาศว่า …

“จบ พอแล้ว สำเร็จแล้ว”

คือการไถ่บาป การช่วยเหลือมนุษย์ที่พระเจ้าวางแผนเอาไว้ มันสำเร็จแล้ว …

“จากนี้ ต่อไป ฉันจะลงมาแล้วนะ”

เอาล่ะสิ พระเจ้าจะลงมาแล้วล่ะ “แกทำอะไรฟรีๆ แบบเปล่าๆ ไม่ได้อีกแล้ว ฉันจะลงมาแล้ว ลงมาอยู่กับมนุษย์ แกได้ถูกพิพากษาแล้ว วันหนึ่งแกต้องลงไปอยู่ในบึงไฟนรกนิรันดร์ ฉันกำลังเอาความสำเร็จนี้ การช่วยเหลือมนุษย์นี้แผ่กระจายออกไปเป็นข่าวดี ไปให้ทั่วเลย ซึ่งยังมีคนต้องเกิดขึ้นมาอีก ไม่รู้เท่าไร? จาก DNA ที่อยู่ในอาดัม อีกไม่รู้กี่พัน กี่หมื่นล้านคน ฉันไม่รู้ หมายถึงเราไม่รู้นะ พระเจ้ารู้ แต่ไม่ได้บอก แต่จบแล้ว” นี่ วันที่หัวเราะ

ตั้งแต่วันที่ประกาศที่ไม้กางเขนเป็นต้นมา พระเจ้าก็ลงมาอยู่กับมนุษย์ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา ผู้คนที่รู้ความจริง สมัยแรกๆ นั้นก็คืออัครสาวกทั้งหลาย ก็ออกไปประกาศข่าวดีนี้ และสิ่งสำคัญที่สุด ก็คือพระเจ้าไม่อยากให้มนุษย์ถูกล่อลวงอีกแล้ว คำว่า “สำเร็จแล้ว” สรุปสั้นๆ พระเจ้าลงมาแล้ว ลงมาอยู่กับเรา อยู่กับมนุษย์เลย อยู่ในเราเลย อยู่ข้างในตัวเรา ในหนังสือ 1 โครินธ์ 3:16 บันทึกไว้ว่า …

“ท่านไม่รู้หรือว่าท่านเองเป็นวิหารของพระเจ้า และพระวิญญาณของพระเจ้าสถิตภายในท่าน”

ผมจะเปิดความหมายลึกๆ จากภาษาเดิม ซึ่งเป็นภาษากรีกว่าตรงนี้หมายความว่าอะไร? 1 โครินธ์ 3:16 “ท่านไม่รู้หรือว่า? แล้วท่านไม่เข้าใจเลยหรือว่า?”

ฟังนะ นี่กำลังพูดกับคนที่เป็นคริสเตียน  กำลังพูดกับคนที่เกิดใหม่แล้ว กำลังพูดกับคนที่เป็นของพระเจ้าแล้ว เป็นลูกพระเจ้าแล้ว มีวิญญาณพระเจ้าอยู่ในตัวแล้ว บอกว่าอย่างไร? …

“ท่านไม่รู้หรือ? แล้วท่านไม่เข้าใจหรือว่าท่านเป็นคริสตจักร”

“คริสตจักร” แปลว่าสถานที่ที่พระเจ้าสถิต

“ท่านเป็นคริสตจักร เป็นวิหารของพระเจ้า และเป็นที่ที่ซึ่งพระวิญญาณของพระเจ้าอาศัยอยู่อย่างถาวรนิรันดร์ ไม่ไปไหนอีกแล้วในท่านนั่นแหละ  แต่ละคนเลยทีเดียว”

มันแปลว่าอย่างนี้ “ท่านไม่รู้หรือว่าท่านเป็นวิหาร” บางทีรู้สึกรวมๆ นี่พูดถึงแต่ละคน แต่ละผู้เชื่อ แต่ละคริสเตียน พระคัมภีร์ได้บอก พระเจ้าได้บอกกับเราว่าเราแต่ละคน เป็นที่อยู่อาศัยของพระวิญญาณของพระเจ้าแล้ว ไม่ใช่จะนะ แล้ว เดี๋ยวนี้แล้ว ท่านเข้าใจไหม? ท่านรู้ไหม? แสดงว่าพูดด้วยความอยากให้คนฟังรู้ อยากให้เข้าใจ มันถึงต้องเน้นอย่างนี้

“ท่านไม่รู้หรือ” ไม่พอ ท่านไม่รู้หรือ? ท่านไม่เข้าใจหรือว่าร่างกายของท่าน พระเจ้าเข้าไปสถิตอยู่แล้ว เข้าไปอยู่อย่างถาวร เข้าไปอยู่แต่ละคนเลย ไม่ใช่ไปอยู่รวมกัน ไม่อยู่รวมกัน ท่านอยู่ที่ไหน ก็อยู่ที่นั่นด้วย  และอยู่แบบถาวรนิรันดร์เลย คือไม่ว่าท่านไปไหน ก็อยู่ที่นั่น ไม่ว่าท่านตื่นนอน จะอยู่ในห้องน้ำ จะไปตลาด ไปเดิน ไม่ว่าท่านจะมาโบสถ์หรือไม่มา ก็อยู่กับท่านตลอดนั่นแหละ อยู่ตลอดในร่างกายของท่าน

นี่คือความสำเร็จของพระเจ้า เมื่อพระเจ้าเข้ามาอยู่กับเรา พระเจ้าก็จะนำทางเรา เป็นพี่เลี้ยงเรา คอยดูแลเรา พอเรารู้จักพระเจ้า พระองค์มีพระลักษณะเป็นอย่างไร? เป็นฝ่ายเรา เป็นข้างเรา อย่างเดียวเลย ไม่โกรธ ไม่เคยแตะ ไม่เคยตีเราเลย คอยนำเราตลอด เราจะทำอะไรผิด อะไรพลาด ถูกล่อลวง พระเจ้าก็คอยช่วยเหลือ พระเจ้าเป็นพระเจ้าแห่งการปลอบโยนตลอด ท่านจะเห็นภาพแล้วตอนนี้ ก็คือพาเราเดินบนโลกใบนี้ที่มันเสียหาย ยับยู่ยี่ มีแต่โรคภัยไข้เจ็บ มีแต่ความเสียหายต่างๆ เดินด้วยความระมัดระวัง ไปกับพระเจ้า บาดเจ็บขึ้นมาปุ๊บ พระเจ้าก็พันแผล ค่อยๆ ช่วย

“ลูก วันหลังต้องเดินอย่างนี้นะ ไม่เป็นไรๆ พ่ออยู่ด้วย”

ต้องคิดอย่างนี้ ตลอดเวลา เพราะฉะนั้น ความเสียหาย ย้อนกลับมาถึงไวรัสโคโรน่า ท่านต้องกลัวไหม? ไม่ต้องกลัว แต่ทำตามสติปัญญาที่พระเจ้าให้ไว้ ผ่านทางคนที่พระเจ้าให้สติปัญญาแล้วว่าเขากำลังคิด เรื่องยารักษาโรคตรงนี้อยู่ แล้วเขาก็บอกว่าต้องระมัดระวังตัวอย่างไร? ตามสาธารณะสุข เราก็ทำตาม ด้วยสติปัญญาที่มาจากพระเจ้า แต่ถามว่ากลัวไหม? ไม่กลัว เพราะพระคัมภีร์ก็บอกเลย ถ้าตาย ก็ได้กำไร หมายถึงว่าจากร่างนี้ไป ก็ไปอยู่กับพระเจ้า ทันทีเลย จริงๆ วันนี้ก็อยู่กับพระเจ้าอยู่แล้ว แต่ตอนจากไป หมายถึงจากร่างนี้ปุ๊บ ก็อยู่ในโลกวิญญาณ เห็นพระเจ้าหน้าต่อหน้า ทุกวันนี้ก็อยู่กับพระเจ้าอยู่แล้ว แต่ไม่เห็น เพราะอยู่ในร่างกายที่อ่อนแอนี้ เพราะฉะนั้น ใครที่อยากเห็นพระเจ้าบ่อยๆ ก็เตรียมตัวไว้นะ อยากเห็นไหม? บางทีก็อยากๆ กลัวๆ บางทีก็คิดถึงข้าวขาหมูอยู่  ไม่รู้ว่าไปอีกมิติหนึ่ง จะมีข้าวขาหมูหรือเปล่า? ตามภาษามนุษย์ พระคัมภีร์บอกไว้อย่างนั้น ชัดเจน ดังนั้น เราไม่ต้องกลัว ไปไหน พระเจ้าไปด้วย

“จะไปไหน? พระเจ้าไปด้วย”

พระเจ้าผู้นี้ที่มีมาตั้งแต่อดีต เป็นคำเผยพระวจนะว่าพระเยซูจะมาทำอย่างนี้ แล้วมีในพระคัมภีร์ หนังสืออิสยาห์บอกว่าพระเจ้าองค์นี้ ใช้ชื่อว่า “อิมมานูเอล” แปลว่า “พระเจ้าสถิตอยู่ด้วย” ก็คือพระเจ้าที่พวกท่านรอกันอยู่นั่นแหละ ตั้งแต่สมัยพระคัมภีร์เดิม วันหนึ่งพระมาซีฮาจะมา แล้วพระองค์มีนามว่า “พระเจ้าอยู่กับเธอด้วย” ก็คืออิมมานูเอล

แล้วถามว่าอยู่กับเรา เรากลัวอะไรไหม? เราอาจจะกลัวโน่นกลัวนี่ ตามประสาของการอยู่บนโลกใบนี้ มันตกใจ แต่พระเจ้าก็คอยปลอบโยนเรา ให้เราค่อยๆ กล้วน้อยลงไปเรื่อยๆ แล้วในพระคัมภีร์ก็มีบันทึกเอาไว้ ในหนังสือ 1 โครินธ์ 1:13 บอกว่า …

“พระองค์ทรงสัตย์ซื่อ สัตย์ธรรม” นี่พูดถึงคนที่เชื่อในพระองค์แล้ว เป็นลูกพระองค์แล้ว ที่กำลังดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ ต้องพบกับความทุกข์ยากลำบาก พระองค์บอกว่า …

“ไม่มีความทุกข์ยากลำบาก ความเจ็บปวดใดๆ ที่เกิดขึ้นกับลูกเด็ดขาด ที่มันแปลกกว่าชาวบ้านเขา” มันแปลว่าอย่างนี้นะ

มันคือความเจ็บปวด ความชั่วร้ายที่มันเกิดขึ้นบนโลกใบนี้กับทุกคนแล้ว คือพูดง่ายๆ มาเชื่อพระเจ้าก็ไม่ได้หนีรอดจากตรงนี้หรอก มันเกิดขึ้นอยู่แล้ว เหมือนแสงแดดที่ส่องมาให้ทั้งกับคนดีและคนชั่ว คนเชื่อหรือไม่เชื่อ ก็โดนแดด โดนฝน ก็เปียกเหมือนกัน ไม่ใช่คนเชื่อ เดินมามีฝน แดดส่องมา ไม่ใช่ มันเหมือนกันหมด แต่ไม่ต้องกลัว เพราะเราอยู่กับเจ้า พระองค์ทรงสัญญาว่าท่านจะไม่ได้รับการลำบาก ลำบนกับความชั่วร้ายของโลกใบนี้ เกินกว่าที่ท่านจะสามารถรับได้ แต่ในขณะที่ท่านอยู่ในความทุกข์ยากลำบากอยู่นั้น พระองค์กำลังเตรียมทางออกช่วยท่านอยู่ เอเมน ไม่ว่าท่านจะอธิษฐานไม่ได้ ไม่ไหวแล้ว พระวิญญาณก็จะทำการอธิษฐานให้ท่านเอง ช่วยท่านเอง มันแปลว่าอย่างนี้

ท่านเจอระบบของโลกนี้ แล้วก็พลาดไป ยกตัวอย่างเช่น พระเยซูบอกว่าอย่าโลภ ท่านพลาดไป ถูกล่อลวงโดนมาร ผ่านทางคนโน้นคนนี้ ล่อลวงให้ท่านลงทุนในโน้นในนี้ แล้วมันได้ แรกๆ ได้ๆ มันล่อลวงเราทั้งนั้นแหละ แล้วท่านเกิดโลภ พระเยซูบอกว่าอย่าโลภ ท่านก็ไปโลภมัน  เพราะพระเยซูรู้แล้ว ถ้าโลภ เดี๋ยวมันก็เจ็บ ก็ไม่ไหว ลงทุนนี้ก็ได้ ลงทุนนั้นก็ได้อีก ลงทุนใหญ่ ในที่สุด มารก็มาแล้ว ในที่สุดก็เจ๊ง ท่านก็รับไม่ได้ เห็นไหม? มันก็เป็นอย่างนี้ แล้วพระเจ้าก็เข้าไปปลอบโยน เข้าไปช่วยท่าน จะเป็นอย่างนี้ เพราะพระเจ้าสัตย์ธรรม ตามที่พระคัมภีร์บอกไว้ พระองค์จะไม่ปล่อยให้ท่านอยู่ในความเจ็บปวด ทุกข์ทรมาน เกินกว่าที่ท่านจะรับได้ แสดงว่าทุกวันนี้ ท่านเจ็บปวด เรื่องอะไรก็ตาม มีทุกข์ พระเจ้ากำลังบอกท่านว่าท่านรับได้ จึงให้เกิดขึ้น แล้วพระเจ้าก็ใช้สิ่งเหล่านั้นให้เป็นประโยชน์ ให้เกิดเป็นผลดี สำหรับท่าน และแผนการของพระองค์ด้วย

ใช้สิ่งที่มันเสียหาย สิ่งที่เราจำเป็นต้องเจอ เนื่องจากมาร พระองค์ทรงใช้สถานการณ์นั้น ให้เป็นประโยชน์สำหรับชีวิตเรา และเป็นประโยชน์สำหรับชีวิตคนรอบข้าง โดยตรง เป็นไปตามแผนการของพระองค์ อย่างนี้มันถึงถูก ไม่ใช่พระองค์ใส่เรา พาเราเข้าไปในความทุกข์ยากลำบาก แล้วใช้ความทุกข์ยากลำบากนั้น มาเป็นประโยชน์ในชีวิตของเรา  ไม่ใช่ มันต้องเข้าไปอยู่แล้ว มันเป็นอยู่แล้ว แต่พระองค์ทรงช่วยเราออกมา ขณะที่ช่วย ก็ใช้ให้เป็นประโยชน์ด้วย  พอเข้าใจไหมตรงนี้  ลึกซึ้งนิดหนึ่ง เข้าใจหรือเปล่า? ไม่ใช่พระองค์พาเราเข้าไปอยู่ในความทุกข์ยากลำบาก แล้วก็ใช้ความทุกข์ยากลำบากนั้น เสริมสร้างให้เราเติบโตเข้มแข็ง เป็นผู้ใหญ่ ทางฝ่ายวิญญาณ เหมือนในหนังสือโรม บทที่ 5 บอกไว้ …

“ข้าพเจ้าปิติยินดีด้วย และปลาบปลื้มในความทุกข์ยากลำบาก ในความเจ็บปวด เพราะความทุกข์ยากลำบาก ความเจ็บปวดจะทำให้เกิดความอดทน ทรหด และความอดทน ทรหด ทำให้เกิดอุปนิสัยใหม่ เจริญเติบโตเป็นผู้ใหญ่ ในฝ่ายวิญญาณ ที่พระเจ้าจะใช้ได้ เป็นไปตามแผนการของพระองค์”

เห็นหรือยัง? คนก็เหมา แสดงว่าพระเจ้าเอาความทุกข์เข้ามา ไม่ใช่ หมายถึงเราเป็นอยู่แล้ว เราโดนอยู่แล้ว แต่พระเจ้าเอาที่เราโดนอยู่แล้ว มาให้เป็นประโยชน์ในชีวิตของเรา เราจึงเกิดความอดทน แต่ให้เรามีความอดทนมากขึ้น  และในข้อต่อมาบอกว่า …

“และความอดทนและบุคลิกใหม่ ที่พระเจ้าสามารถใช้ได้นี้ จะทำให้ความหวังใจในการมีส่วนในพระพร เต็มด้วยพระสิริของพระเจ้า เข้ามาเป็นลูกของพระเจ้าแล้วตอนนี้ แต่ยังอยู่ในร่างกายเดิมอยู่นะ มันชัดเจนยิ่งขึ้น มันมั่นคงแข็งแกร่ง แล้วมันไม่เสียหายไปเลย มันไม่มีล้มเหลวเลย  เหตุเพราะพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้าเข้ามาสถิตในเรา ความรักของพระเจ้าท่วมท้นเข้ามาในจิตใจเรา เราสัมผัสได้ ผ่านทางความทุกข์ยากลำบากเหล่านั้นแหละ แต่พระองค์ไม่ได้เป็นคนเอาเราเข้าไปในความทุกข์ยากลำบากเหล่านั้น แต่คอยช่วยเราตลอดเวลา”

พูดซ้ำไปซ้ำมาอยู่ตรงนี้ไปเรื่อยๆ เพราะมันง่ายเหลือเกินที่จะบอกว่ามันเป็นผลดี เพราะฉะนั้น พระเจ้าจึงพาเราเข้าไป ไม่ใช่ๆ ที่เราพูดอยู่นี้อยู่ในหนังสือโรม 8:28 ก่อน ยิ่งกว่าผู้พิชิต

“และเรารู้ว่า (เรา คือผู้เชื่อทั้งหลาย ผู้ที่เป็นลูกของพระองค์ พระเจ้าสถิตอยู่ในเราแล้ว) ทุกๆ สิ่ง พระเจ้าทรงทำให้เกิดผลดี แก่บรรดาผู้ที่รักพระองค์”

“ทำให้เกิดผลดี” ผู้ที่รักพระองค์ หมายถึงผู้ที่เกิดใหม่แล้ว เป็นลูกพระเจ้าแล้ว ถ้าไม่เกิดใหม่ ไม่เป็นลูกพระเจ้า รักพระองค์ไม่ได้หรอก เป็นไปไม่ได้ มันอยู่คนละข้างแล้ว มันอยู่กับมาร มันไม่รู้จักรักพระเจ้าหรอก แต่นี่หมายถึงคนที่บังเกิดใหม่แล้ว พระเจ้าบอกว่าจากนี้ต่อไป เราเกิดใหม่แล้ว  บนโลกใบนี้ เกิดความทุกข์ยากลำบากอะไรก็ตาม ทั้งหมดเลย เราคือพระเจ้า พ่อจะทำให้มันเป็นผลดี สำหรับลูกนะ ทุกคนตอบกันว่าเอเมน แต่พอมันเกิดจริงๆ มันเอเมนไม่ค่อยไหว แต่ไม่เป็นไร ไม่เอเมน ก็ไม่เป็นไร พระองค์ยังคงทำเหมือนเดิม  เพราะถึงแม้ลูกไม่รู้ แต่พ่อจะพาลูกไปที่ดีๆ

ดูว่าพระเจ้ามีความรู้สึกอย่างไร? ข้อ 37 พ่อจะทำทุกอย่างที่เกิดขึ้นบนโลกใบนี้ ที่มันทำให้ลูกเจ็บปวด อะไรต่างๆ พ่อจะเดินไปกับลูก จูงมือลูกเดินไปตลอดทุกหนทางทุกแห่งเลย มารมันซัดเข้ามาอย่างไร? พ่อจะพาลูกผ่านไปให้ได้ และต้องได้อย่างแน่นอน ไม่ต้องกลัวอะไรทั้งสิ้นบนโลกใบนี้เลย เพราะว่าพ่ออยู่กับเจ้าด้วย เหมือนที่เผยพระวจนะมาตั้งแต่อดีต ตั้งแต่ให้กษัตริย์ดาวิดเผยพระวจนะ ในหนังสือสดุดี บทที่ 23 บอกว่า …

“แม้ว่าผ่านหุบเขาเงามัจจุราช ข้าพเจ้าก็ไม่กลัวสิ่งใดๆ เลย เพราะพระเจ้าทรงสถิตอยู่ด้วย คทาและธารพระกร ไม้เท้าของพระองค์ทรงปลอบโยนลูก ทำให้ลูกสบายใจ พระองค์ทรงเตรียมสำหรับ คือโต๊ะอาหารให้กับลูก ต่อหน้าต่อตาศัตรูของลูกเลย ไม่ต้องกลัว”

เพราะฉะนั้น ในโรม 8:37 จึงบอกว่า “ดังนั้น (หมายถึงว่าความทุกข์ยากลำบากบนโลกใบนี้ ที่พูดถึงตะกี้นี้) ในสถานการณ์ทั้งปวงนี้ เราเป็นยิ่งกว่าผู้พิชิติ โดยทางพระองค์ ผู้ทรงรักเราทั้งหลาย” เห็นไหม?

“ในสถานการณ์ทั้งปวงเหล่านี้” ก็คือในความทุกข์ยากลำบาก ไม่ว่าจะเป็นซาร์ โคโรน่า เล็กซัส ไม่ว่าจะเป็นฝีดาษ ไม่ว่าจะเป็นโรคอะไรทั้งนั้น ในอนาคตจะมีมาอีก ไม่ว่าจะเป็นการกันดารอาหาร ไม่ว่าจะเป็นฝุ่น P.M. 2.5 ไม่ว่าจะเป็นฟลูโรชั่นอะไร ไม่ว่าจะเป็นไอเสีย ไม่ว่าจะเป็นอะไรอีกล่ะ ตอนนี้ที่ขู่เรา ไม่ว่าจะเป็นสารพิษในอาหาร ไม่ว่าจะเป็นสารพิษในผัก ไม่ว่าจะเป็นสารพิษในผลไม้ ไม่ว่าจะเป็นมะเร็ง รู้หรือไม่รู้ก็ตาม ไม่ว่าจะเป็นอะไรก็ตามเยอะแยะไปหมด ไม่ต้องกลัวเลย ในสถานการณ์ทั้งปวงเหล่านี้ เราเป็นยิ่งกว่าผู้พิชิต ในสถานการณ์ของโคโรน่า ตอนนี้ เพราะฉะนั้นตอนนี้นะ เราเป็นยิ่งกว่าผู้พิชิต

เป็นยิ่งกว่าผู้พิชิต คืออะไร? คือไม่ต้องทำอะไร มีคนทำให้ เคยได้ยินไหม ผู้พิชิตคืออะไร? ใครรู้จักนักมวยที่ดังๆ เขาทราย รู้จักหมดใช่ไหม? เก่าแก่ เอาสมัยใหม่หน่อยสิ บัวขาว สมมติ บัวขาวยิ่งกว่าผู้พิชิต บัวขาวขึ้นชก ชนะ เขายกให้บัวขาวเป็นผู้พิชิต ถูกไหม? เรียกบัวขาวขึ้นเวที บัวขาวผู้พิชิตขึ้นมาบนเวที ปุ๊บ ก็มีคนเอาเข็มขัดทอง เข็มขัดประจำตำแหน่งให้ ชก เหงื่อแตก เลือดไหล แต่ว่าชนะแล้ว ตัวเองน่วมไปหมด กลับไปบ้านปุ๊บ เอาเข็มขัดทองไปให้กับเมีย เมียไม่ได้ขึ้นชกเลยสักนิดหนึ่ง เมียนั้นเป็นยิ่งกว่าผู้พิชิต เอเมน

แล้วของเราคือใคร? ใครชกจนเหงื่อออก หัวร้างข้างแตกเลย ใคร? พระเยซูคริสต์ทุกข์ทรมาน ตายที่ไม้กางเขน ด้วยความทรมาน แล้ววันที่ 3 เป็นขึ้นจากความตาย ในพระคัมภีร์บอก โดยพระคุณของพระเจ้า เราไม่ต้องทำอะไรทั้งสิ้นเลย เพียงแต่เชื่ออย่างเดียวว่าพระเยซูทำให้เรา เราก็เป็นยิ่งกว่าผู้พิชิต เห็นภาพหรือยัง? เราก็เป็นภรรยาของเจ้าบ่าวของเรา คือพระเยซูคริสต์ เอเมนไหม?

ผมไปเล่นดนตรีมาแทบตายเลย เหนื่อยตายเลย คนเก็บเงินคือใคร? ผู้ชายในนี้มีอีกหลายท่าน ทำงานแทบตาย เหนื่อยกลับมาถึงใครรับตังค์ ไม่ต้องทำเลย อยู่บ้าน แบมืออย่างเดียว แล้วเราก็ต้องให้ด้วย เห็นไหม? ไม่เรียกว่ายิ่งกว่าผู้พิชิต แล้วให้เรียกว่าอะไร?

พอเป็นยิ่งกว่าผู้พิชิตในข้อ 38 บอกว่า … “เพราะข้าพเจ้าเชื่อมั่นว่าไม่ว่าความตายหรือชีวิต ไม่ว่าทูตสวรรค์หรือวิญญาณชั่ว ไม่ว่าเป็นปัจจุบันหรืออนาคต หรือฤทธิ์อำนาจใดๆ ไม่ว่าเบื้องสูง หรือเบื้องลึก หรือสิ่งอื่นใดในสรรพสิ่งที่พระเจ้าทรงสร้าง ล้วนไม่สามารถจะพรากเรา เอาเราออกไปจากการเป็นลูกของพระเจ้าได้เลย พรากจากมือพระเจ้าออกไปได้เลย ไม่สามารถเอาเราไปได้แล้ว เราเป็นลูกแล้ว อยู่กับพระองค์แล้วตอนนี้ อยู่ตลอดเวลา เราหลับ พระองค์ก็ไม่หลับ แล้วกลัวอะไร? สวรรค์อยู่แน่นอนแล้ว แล้วอะไรที่อยู่บนโลกใบนี้ เดี๋ยวพระองค์ก็นำพาเรา จูงมือเราไปทีละนิดทีละหน่อย

โรม 8:38 “ดังนั้น ในความทุกข์ทั้งปวงเหล่านี้ เราทั้งหลายเป็นยิ่งกว่าผู้พิชิต ได้รับชัยชนะอย่างเหลือล้น โดยไม่ต้องทำอะไรเลย ผ่านทางพระเยซู เป็นผู้กระทำ พระเยซูผู้ซึ่งรักเรามาก ถึงขนาดตายแทนเราได้”

พูดถึงตรงนี้แล้วนึกถึง ตะกี้เราพูดถึงบัวขาว … บัวขาวยอมให้เขาศอก เลือดอาบ เพื่อเมียอยู่ที่บ้านได้รับ อย่างนี้ คล้ายๆ

“เพราะข้าพเจ้ามีความเชื่อมั่น โดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่สถิตอยู่กับข้าพเจ้าตลอดเวลาว่าไม่มีการสงสัยในความเชื่อของข้าพเจ้าเลยว่าไม่ว่าจะเป็นความตาย หรือเป็นชีวิต หรือเป็นทูตสวรรค์ หรือเป็นเหล่าวิญญาณชั่ว หรือกำลังอำนาจใดๆ ก็ตาม หรือเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นในยุคปัจจุบันนี้ ความทุกข์ยากลำบากเหล่านี้ ภูเขาไฟ น้ำท่วม กันดาร ฝนไม่ตก 2.5 อะไรต่างๆ เหล่านี้ ไม่สามารถมาข่มขู่ ใช้คำนี้เลย สิ่งที่มันข่มขู่เราทุกวันนี้ กินอะไรก็เป็นพิษ อันนั้นก็แย่ อันนี้ก็แย่ ไปไหนไม่ได้แล้ว ไม่ต้องกลัวเลย และสิ่งที่ข่มขู่ และน่ากลัว ที่จะมีขึ้นมาอีกในอนาคต จะมีอีกนะ หรือฤทธิ์อำนาจใดๆ ไม่ว่าจะมาจากคน มาจากประเทศ หรือมาจากวิญญาณก็ตาม หรือของสูง หรือของลึก ก็คือสติปัญญา หรือสิ่งที่ถูกสร้างขึ้นก็ตาม ไม่สามารถแยกเราขาดออกจากการเป็นหนึ่งเดียวกันกับความรักอันไม่มีลิมิต ไม่มีขอบเขตจำกัดของพระเจ้า ในพระคริสต์ได้เลย” เอเมน

เพราะฉะนั้น เมื่อท่านเชื่อแล้ว อยู่ในพระเยซูแล้ว เกิดใหม่แล้ว ท่านไม่ต้องทำอะไรแล้ว พระองค์จะเป็นผู้พาท่านไป สงบๆ นิ่งๆ อดทนไว้เท่านั้นเอง รอคอยด้วยความหวัง พระคัมภีร์จึงใช้คำว่าพระหัตถ์ของพระองค์จูงมือเราแล้ว สำหรับบรรดาผู้คนที่ยังไม่มีพระเยซู ไม่มีพระเจ้ามาจูงมือ ก็ไม่ยาก พระคัมภีร์บอกว่าเปิดใจท่าน ต้อนรับสิทธิของท่านที่พระเยซูทำให้ แค่เปิดใจ เชื่อว่าพระเยซูมาไถ่บาปให้กับท่านจริงๆ  พระเยซูตายที่ไม้กางเขน  พระเยซูบอกว่าสำเร็จแล้วจริงๆ เชื่อด้วยใจ แล้วก็พูดด้วยปาก อธิษฐานที่ไหนก็ได้ คนเดียวก็ได้ ไม่ต้องพูดก็ได้ ใช้นึกในใจก็ได้ แค่นั้นเอง เป็นการเปิดประตูโลกวิญญาณ พระเจ้าก็จะเข้าไปสถิตกับท่าน และท่านก็จะได้รับทั้งหมดเหล่านี้ ที่วันนี้ ผมพยายามอธิบายให้ท่านฟังอย่างชัดเจน พระเจ้าก็มาอยู่ข้างๆ ท่าน เดินไปด้วยกัน ความหวังเราคือชีวิตนิรันดร์ อยู่ในสวรรค์กับพระเจ้านิรันดร์กาล บนโลกใบนี้ไม่ต้องห่วง  แม้มีความทุกข์ยากลำบากบ้าง แต่เดี๋ยวพระเจ้าพาผ่านไปเอง แล้วพาผ่านไปเรื่อยๆ จนวันหนึ่ง เราจากโลกนี้ไปอยู่กับพระเจ้าถาวรนิรันดร์ มีสุขนิรันดร์ ไม่มีความทุกข์อีกต่อไป เอเมน ขอพระเจ้าอวยพรครับ

 

*************************