คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 16 กุมภาพันธ์ 2020
เรื่อง “ความเชื่อเก่าแก่กับความจริงที่ทำให้เป็นไท”
ตอน 5 “เราต้องหมั่นสารภาพบาปกับพระเจ้าอยู่เสมอ”
โดย นคร เวชสุภาพร
วันนี้เรามาต่อ “ความเชื่อเก่าแก่กับความจริงที่ทำให้เป็นไท” ตอนที่ 5 สัปดาห์ที่แล้ว เราได้เรียนรู้แล้วว่าเมื่อเราเชื่อในข่าวดีของพระเยซูคริสต์ และได้บังเกิดใหม่ จากความเชื่อ เป็นลูกของพระเจ้าแล้ว เราก็ไม่ต้องชำระล้างจิตใจของเราให้สะอาดบริสุทธิ์ในสายพระเนตรของพระเจ้าอีกต่อไปแล้ว เพราะพระเจ้าได้ทำให้เราแล้ว รวมทั้งวิญญาณของเราด้วย แต่สิ่งที่เราสมควรทำในฐานะที่เราบังเกิดใหม่ เป็นลูกของพระเจ้าแล้ว คือจงเปลี่ยนแปลง ปรับปรุงความคิดในร่างกายนี้เสียใหม่ ให้เข้ากันกับความคิดของพระคริสต์ ในจิตใจของเรา ในวิญญาณของเรา ที่เหมือนพระเจ้าอยู่นั่นแหละ ภาษาอังกฤษเขาเรียกว่าปรับปรุงความคิดของเรา Mind ปรับปรุงเปลี่ยนแปลงความคิดของเรา ที่อยู่ในเนื้อหนังร่างกายนี้ ให้เป็นเหมือน Mind of Christ คือเป็นความคิดที่เหมือนพระเยซูคริสต์ ซึ่งเราได้รับจากพระเจ้า สะอาดบริสุทธิ์ คิดเหมือนพระเยซูเลย
ฉะนั้น ปรับความคิดที่เนื้อหนังร่างกายนี้ ให้มันเข้ากัน จูนให้มันเข้ากันกับพระเยซู หรือพระเจ้า ที่สถิตอยู่กับเรา อย่าไปตามระบบของโลกนี้ ซึ่งถูกควบคุมโดยมาร นั่นเอง ในหนังสือโรม 12:2 ลองทบทวนกันนิดหนึ่ง
โรม 12:2 “อย่าดำเนินชีวิตตามอย่างคนในโลกนี้ แต่จงรับการเปลี่ยนแปลงจิตใจของท่านใหม่ แล้วท่านจึงจะสามารถพิสูจน์และยืนยันได้ว่าสิ่งใด คือพระประสงค์ของพระเจ้า คือพระประสงค์อันดีอันเป็นที่พอพระทัยและสมบูรณ์พร้อมของพระองค์”
“อย่าดำเนินชีวิตตามอย่างคนในโลกนี้” หมายถึงเวลาเรามาเชื่อแล้ว เราได้บังเกิดใหม่ในวิญญาณแล้ว อย่าดำเนินชีวิตตามอย่างระบบของโลกนี้ ซึ่งถูกควบคุมและดำเนินการโดยมาร ผ่านทางบรรดาผู้คนบนโลกใบนี้ ทั้งที่เชื่อและไม่เชื่อ มันส่งกระแสมายุแยงตลอดเวลา มันทำอะไรเราไม่ได้หรอก นอกจากจะให้เราเชื่อมันและทำเองนั่นแหละ ผู้ที่ไม่ได้เชื่อในพระเจ้า ไม่ได้บังเกิดใหม่ ก็หนักหน่อย แต่ผู้ที่เชื่อ ก็มีโอกาสเหมือนกัน ที่จะฟังมัน แล้วไม่ฟังพระคริสต์ที่อยู่ข้างในเรา อย่างนี้ เขาเรียกว่าระบบของโลกนี้
ครั้งที่แล้ว เราได้เรียนรู้แล้วว่าพระเจ้าได้ เข้าไปในโลกฝ่ายวิญญาณ ผ่าตัดวิญญาณของเรา เมื่อตอนที่เรา รับเชื่อในข่าวดีของพระเยซูคริสต์จริงๆ ว่าพระเยซูเป็นพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์ ตายที่ไม้กางเขน หลั่งพระโลหิต ถูกฝังไว้ แล้วเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่ 3 เมื่อตอนที่เราเชื่อข่าวดีของพระเยซูคริสต์เรื่องนี้ พระเจ้าได้ผ่าตัดวิญญาณของเรา ไม่ว่าเมื่อไรก็ตาม ที่เราเชื่อจริงๆ เชื่อในใจ รับด้วยปาก พระเจ้าได้ทำการเข้าไปที่วิญญาณของเรา แล้วก็ย้ายวิญญาณของเราออกจากที่อยู่เดิม คืออาณาจักรของความมืด ในพระคัมภีร์โรมบอกอยู่ในอาดัม DNA ของเราอยู่ในนั้น แต่นี่ลึกไปถึงวิญญาณ พระเจ้าผ่าตัดวิญญาณของเรา โดยการย้ายวิญญาณของเราออกจากอาดัม หรือในอาณาจักรของความมืดเข้ามาอยู่ในพระคริสต์
พระคัมภีร์บอกว่าพระองค์ได้ทำให้วิญญาณของเราตาย และชดใช้บาปร่วมกับพระเยซูคริสต์ที่ไม้กางเขน แล้วได้ถูกฝังอยู่ในอุโมงค์ ร่วมกับพระคริสต์ และพระเจ้าก็ได้ชุบให้เรา เป็นขึ้นจากตาย พร้อมหรือร่วมกันกับพระเยซูคริสต์ ได้เกิดใหม่ในวิญญาณ และได้ประทานจิตใจใหม่เอี่ยมให้กับเรา เป็นวิญญาณและจิตใจที่เป็นชีวิตนิรันดร์ สะอาด บริสุทธิ์ เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์ไม่มีผิดเลย สามารถเข้ากันได้กับความบริสุทธิ์ สะอาด ศักดิ์สิทธิ์ ฤทธิ์เดชของพระเจ้าแล้ว พระเจ้าจึงสามารถเข้ามาอยู่ในร่างกาย มาอยู่กับวิญญาณของเรา เอเมน
ผมจะอธิบายให้ท่านฟังนิดหนึ่ง ให้ชัดๆ ขึ้น ในโลกวิญญาณที่เรามองไม่เห็น มนุษย์ทุกคนต้องอยู่ที่ไหนที่หนึ่งในโลกวิญญาณ ไม่ว่าจะเชื่อพระเจ้าหรือไม่เชื่อ พูดง่ายๆ ว่ามนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้ ต้องอยู่ที่ประเทศใดประเทศหนึ่ง ถ้าเขายังเป็นมนุษย์อยู่ นอกจากไม่มีประเทศ ก็อยู่ที่ใดที่หนึ่งบนโลกใบนี้ อยู่ตรงตำแหน่งไหน? จะขั้วโลกเหนือ ขั้วโลกใต้ ตะวันออก ตะวันตก ต้องอยู่ที่ไหนที่หนึ่ง ถ้าเขาเป็นมนุษย์ ในโลกวิญญาณก็มีอยู่ 2 แห่งเหมือนกัน คือโลกวิญญาณที่เรียกว่าความมืด อยู่ในอาดัมและโลกวิญญาณที่อยู่ในความสว่าง คือในพระคริสต์ ไม่ว่าจะทำอะไร ก็ต้องอยู่ในนี้
เพราะฉะนั้น การที่พระเจ้าได้ผ่าตัดวิญญาณของเรา ก็คือย้ายเราออกจากอาณาจักรแห่งความมืด พระคัมภีร์ใหม่ได้พูดถึงเรื่องนี้ทั้งนั้นเลย นี่คือหัวใจของข่าวดีว่าพระเจ้าผ่าตัดเรา ผ่านทางพระเยซูคริสต์ในวิญญาณเรา ย้ายเราออกจากอาณาจักรของความมืด ซึ่งอยู่ใต้อำนาจของมาร อยู่ในอาดัม ซึ่งอยู่ใต้อำนาจของความบาป คำสาปแช่ง อยู่ใต้อำนาจของกฎ ย้ายเราเข้ามาสู่พระเยซู พอย้ายเข้ามาอยู่ในพระเยซูแล้ว ก็เป็นเหมือนพระเยซู พอเชื่อข่าวประเสริฐของพระเยซูปุ๊บ พระเจ้าได้เอาวิญญาณเราผ่าตัด จัดการปุ๊บ เอาวิญญาณเราเข้าไปอยู่ในพระคริสต์ เสร็จแล้ว เราก็ตายที่ไม้กางเขนร่วมกับพระคริสต์ แล้วเราก็ถูกฝังอยู่ในอุโมงค์ 3 วัน ร่วมกับพระเยซูคริสต์ พระคัมภีร์พูดอย่างนี้ชัดเจนเลย แล้ววันที่ 3 พระเจ้าได้ชุบพระเยซูให้เป็นขึ้นจากความตาย เราก็เลยเป็นด้วย นั่งอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้า ในสวรรค์สถาน และได้รับวิญญาณใหม่ ที่เรียกว่าวิญญาณเกิดใหม่แล้ว เป็นวิญญาณสะอาด ใหม่ หมดจด เรียบร้อยเลย ไม่มีที่ติใดๆ เลยแม้แต่นิดเดียว นี่คือครั้งที่แล้ว
แล้วมาหัวข้อบรรยายในวันนี้คือ “ความเชื่อเก่าแก่กับความจริงที่จะทำให้ท่านเป็นไท” ตอนที่ 5 เขามีการสอนไว้อย่างนี้นะ คือ “เราต้องหมั่นสารภาพบาปกับพระเจ้าอยู่เสมอ” คิดในใจ นี่เราได้รับการสอนอย่างนี้มาตลอด ที่แล้วมา เราเชื่ออย่างเดียว ใครไม่รู้สอนไว้ เราก็ไม่ได้คิด ตอนนี้ เรามาคิดดูว่ามันถูกไหมว่าเป็นความเชื่อ ตามตำนาน ที่สอนกันมานานมาก แล้วว่าเมื่อเรามาเชื่อพระเจ้าแล้ว เราต้องหมั่นสารภาพบาปของเราต่อพระเจ้าอยู่เสมอๆ เพื่อที่เราจะได้รักษาชีวิตให้สะอาด บริสุทธิ์ในสายพระเนตรของพระเจ้าไว้ได้ คิดให้ดีๆ อันนี้ช้านิดหนึ่ง ใครไม่รู้ สอนมานานแล้ว แต่ไม่ใช่ในพระคัมภีร์แน่ เป็นตำนานเก่าแก่ สอนเราว่าเมื่อท่านได้มาเชื่อพระเยซูแล้ว บังเกิดใหม่ เป็นลูกของพระเจ้าแล้ว ไม่ว่าท่านจะพลั้งเผลอไปทำผิดอะไร? ทำบาปอะไร? ไม่ว่าจะเจตนาหรือไม่เจตนาก็ตาม ก็จงอธิษฐานขอรับการอภัยจากพระเจ้า เพราะพระเจ้าเปี่ยมล้นด้วยความรัก ความเมตตา พระองค์จะทรงอภัยบาปให้กับท่าน ไม่ว่าท่านจะทำกี่ครั้งก็ตาม ไม่ว่าความผิดนั้นจะเล็กหรือใหญ่ขนาดไหนก็ตาม ให้ท่านหมั่นที่จะสารภาพต่อพระเจ้า คุ้นไหม? ฟังดูดีมาก มันถึงเชื่อง่าย
หลายคนก็เคยได้รับการสอนมาว่าทุกครั้งที่เข้าไปหาพระเจ้า เราควรเริ่มต้นการอธิษฐาน ด้วยการสารภาพบาปก่อน แล้วถึงจะคุยกับพระเจ้า จะอธิษฐานอะไรก็ว่ากันไป ในขณะนมัสการ ใช่เลย ร้องเพลงนมัสการพระเจ้า ถ้าให้ดี ก็คือต้องสารภาพบาปก่อน มันกลายเป็นอะไรที่คริสเตียน ผู้มาเชื่อต้องทำ ทุกวันนี้ ก็ยังมีหลายแห่ง ที่นมัสการวันอาทิตย์ และมีการประกาศว่าใครที่รู้ตัวว่าทำผิด หรือเผลอไปทำอะไรมา ระหว่างสัปดาห์ที่แล้ว ก็ให้ออกมาข้างหน้า ให้ที่ประชุมร่วมกันอธิษฐานให้ เพื่อขอรับการอภัยโทษ จากพระเจ้า อาทิตย์นี้มาโบสถ์ ก็ออกมา เพื่อขอรับการอภัยโทษจากพระเจ้า พออาทิตย์หน้ามาอีก รู้สึกไม่สบายใจ ก็ออกไปอีก ให้อธิษฐานอีก พออาทิตย์ต่อไป ก็ออกไปอีก ไม่สบายใจ มันยังไม่ชนะ เพราะฉะนั้น ไปหาศิษยาภิบาลที่โบสถ์วันธรรมดาเลย ให้อธิษฐานให้อีก อันนี้เกิดขึ้นอย่างนี้จริงๆ ใช่ไหม?
เพราะฉะนั้น บางคนจึงออกมาทุกอาทิตย์เลย ไปรับการเจิม ไปรับการชำระล้างทุกอาทิตย์ บางคนหนักกว่านั้น ไปรับการไล่ผีออก ไล่แล้วไล่อีก ไม่รู้พระเจ้าที่อยู่ในตัวไปไหน ทำไมผีมันเยอะอย่างนี้ เพราะอะไร? แล้วมันมาจากไหน? ในเมื่อพระคัมภีร์ไม่มีบันทึกอย่างนั้น ใช่ไหม? เพราะแน่นอน เมื่อเรียกแล้ว ถ้าไม่มั่นใจ ทุกคนเดินออกไปหมดแหละ เพราะว่าอาทิตย์นี้ ผมบอกท่าน พูดตรงนี้เสร็จปุ๊บ ท่านเดินออกไปปุ๊บ ถามว่าบางคนไม่ถึง 1 นาที ทำบาปไหม?
“ตอนนี้มั่นใจ ฉันเชื่อพระเจ้า ฉันบังเกิดใหม่ เป็นลูกพระเจ้า สะอาดหมดจด”
พอออกไป เดี๋ยวอารมณ์ไม่ดีขึ้นมา รู้สึกตัวไหมว่าเราบาปอีกแล้ว แล้วมันก็สะสมไปเรื่อยๆ จนถึงวันอาทิตย์ 7 วัน มาโบสถ์ มีการเรียกอย่างนี้ รับรองก็ต้องมีคนออกมา เพราะเขาไม่มั่นใจในความบริสุทธิ์สะอาดของตัวเขาเอง วิญญาณของเขา ท่านพอจะเห็นภาพชัดขึ้นแล้วนะ ซึ่งถ้าความเชื่อหรือคำสอนอย่างนี้ สมมติก่อนว่ามันถูก ว่าเราต้องสารภาพบาปกับพระเจ้าบ่อยๆ เสมอๆ กันลืม อะไรแบบนี้ ถามตามเหตุผลเลยนะ ถ้าเกิดมีบาปที่เรานึกไม่ถึง หรือลืมสารภาพไป หรือสารภาพไม่ทัน ตายก่อน แล้วมันจะเกิดอะไรขึ้น สารภาพไม่ทันตายก่อนมีเยอะเลยนะ ไม่ต้องรอพระเยซูมา ไปหาพระเยซูเองเลย ออกจากโบสถ์นี้ไป ไปติดเชื้อโควิต 19 ตาย ยังไม่ได้สารภาพบาป แล้วทำอย่างไร? แล้วบางอันลืมไป กะว่าเดี๋ยวกลับบ้านจะอธิษฐาน อ้าว! ลืมแล้ว แล้วต้องคอยจำ ต้องทำอะไรบ้าง? พระเยซูบอกแค่ความคิด ก็ผิดแล้ว ตอนนี้บางคนนั่งอยู่ข้างๆ
“ใส่น้ำหอมมาฉุนมากเลย รำคาญจริงๆ เลย”
บาปหรือยัง? บาปแล้ว คิดแค่นี้ก็บาปแล้ว กลับไป ต้องอธิษฐานสารภาพบาป ลืมไป ตายก่อน จะอยู่ในนรกหรือในสวรรค์ดี ท่านพอนึกภาพออกไหม? ผมพยายามให้ท่านมาชัดๆ
แต่ข่าวดีของพระเยซูคริสต์ที่บันทึกไว้ในพระคัมภีร์ คืออะไร? โคโลสี 2:13
โคโลสี 2:13 “เมื่อท่านตายแล้วในบาปของท่าน และในวิสัยบาปของท่าน ซึ่งไม่ได้เข้าสุหนัต พระเจ้าได้ทรงให้ท่านมีชีวิตด้วยกันกับพระคริสต์ พระองค์ทรงอภัยโทษบาปทั้งสิ้นของเรา”
“เมื่อท่านตายแล้วในบาปของท่าน และในวิสัยบาปของท่าน คือเนเจอร์ ธรรมชาติบาปของท่าน ซึ่งไม่ได้เข้าสุหนัต” หมายความว่าก่อนที่จะเชื่อในพระเจ้า ทุกคนมีสภาพเป็นคนบาป ไม่ใช่เป็นประชากรของพระเจ้า เป็นประชากรของมาร และอยู่ในธรรมชาติ หรือวิสัย หรือเนเจอร์ของความบาป ซึ่งไม่ได้อยู่ในพันธสัญญา ไม่ได้เป็นชนชาติของพระเจ้า ที่เรียนกันในครั้งที่แล้วว่าที่เข้าสุหนัต คือการทำในยุคพันธสัญญาเดิม เล็งให้เห็นถึงพันธสัญญากับพระเจ้าว่าเป็นประชากรของพระเจ้า เล็งให้เห็นถึงในยุคปัจจุบัน ในยุคโลกวิญญาณ พวกที่ไม่ได้เข้าสุหนัต สมัยนั้น ถือว่าเป็นพวกนอกรีต ไม่ได้เป็นประชากรของพระเจ้า การอยู่ในวิสัยบาป หรือเนเจอร์บาป ที่ไม่ได้เข้าสุหนัต ก็คือการไม่มีส่วนร่วมในพระคริสต์นั่นเอง ก็คือยังไม่เชื่อในพระคริสต์ ยังไม่ได้เกิดใหม่ในวิญญาณ เพราะฉะนั้น ไม่มีส่วนร่วมในพระคริสต์ ก็คือยังคงเป็นคนบาปอยู่นั่นเอง
โคโลสี 2:11 ที่เราได้อ่านครั้งที่แล้ว บอกไว้อย่างนี้ว่าในพระองค์ท่านยังได้เข้าสุหนัต คือเมื่อพระเจ้าได้ย้ายท่านเข้ามาอยู่ในพระเยซูคริสต์ปุ๊บ ท่านได้เข้าสุหนัต ไม่ใช่ด้วยมือมนุษย์ แต่ด้วยพระวิญญาณ ก็คือพระเจ้าได้ย้ายท่านเข้ามาอยู่ในพระเยซูคริสต์ ทำพันธสัญญากับพระองค์ เป็นประชากรของพระองค์ เป็นลูกของพระองค์ ในพระองค์ ท่านยังได้เข้าสุหนัต คือได้สลัดวิสัยบาปทิ้ง เป็นสุหนัตที่ไม่ได้ทำด้วยมือมนุษย์ แต่ทำโดยพระคริสต์ นี่ครั้งที่แล้ว ในโคโลสี 2:11 สลัดวิสัยบาป คือเอาเนเจอร์บาป เอาธรรมชาติบาปตัวเก่าออกไปเลย วิญญาณเราใหม่เอี่ยมเลย เรียกว่าบังเกิดใหม่
สรุปรวมความ ก็คือก่อนที่จะมาเชื่อพระเจ้านั้น ท่านยังมีสภาพ เป็นคนบาป พอผมบอกท่านมีสภาพเป็นคนบาป จงมองให้เห็นถึงความเป็นจริง ซึ่งผมพยายามเน้นตรงนี้บ่อยๆ พอบอกว่า “ท่านๆ” “คนๆ” หมายถึงตัวตนจริงๆ ของเรา คือวิญญาณที่อยู่นิรันดร์ ที่เรามองไม่เห็น ผมก็มองท่านไม่เห็น ตัวท่านเอง ก็มองตัวท่านเองไม่เห็น นี่แหละ คือปัญหา ที่ถูกหลอกได้ง่าย แต่พระคัมภีร์บอกเรา สอนเรา ก่อนที่จะมาเชื่อพระเจ้านั้น ท่านยังมีสภาพเป็นคนบาป และยังไม่มีส่วนร่วมในพระคริสต์ เพราะฉะนั้น วิญญาณท่านจึงตาย คือถูกตัดขาดออกจากพระเจ้า อยู่ในโลกแห่งความมืด อยู่กับมาร อยู่ในอาดัม ไม่สามารถเข้ากับพระเจ้า ไม่บริสุทธิ์สะอาดในสายพระเนตรของพระเจ้า
ตอนก่อนที่ผมจะเชื่อในพระเจ้า เป็นอย่างนั้น เป็นที่ตรงวิญญาณของเรา ทุกครั้งต่อไปนี้ พอบอก “ฉันๆ” นึกไปเลยว่า “ฉัน” หมายถึงวิญญาณ ซึ่งจะอยู่นิรันดร์
เพราะฉะนั้น นี่คือก่อนที่จะเชื่อ และหลังจากที่มาเชื่อพระเจ้าแล้ว มี 2 สิ่งที่เกิดขึ้นกับฉัน ฟังให้ดีๆ ในวิญญาณของฉัน ตัวเป็นๆ ตัวจริงๆ ของฉัน ก็คือ …
(1) คือพระเจ้าได้ทรงให้ท่านมีชีวิตอยู่กับพระคริสต์ ให้ท่านเกิดใหม่ และอยู่ในอาณาจักรของพระคริสต์ ย้ายท่านออกจากอาดัมไปอยู่กับพระคริสต์
(2) คือพระองค์ทรงอภัยบาปทั้งสิ้นของเรา แปลว่า อภัยทุกๆ ครั้ง “ทุกๆ ครั้ง” แปลว่าไม่มียกเว้นบางครั้ง ถ้าบางคนบอกว่า …
“ไม่ได้ บาปนี้พระเจ้าไม่อภัยให้”
“ทำไม”
“เพราะมันเป็นบาปที่ตั้งใจทำ”
“อ้าว! ในนี้บอกว่าทุกๆ ครั้ง”
แปลว่าทุกๆ ครั้ง ยกเว้นตั้งใจ อย่างนั้นหรือเปล่า? ในนี้บอกทุกครั้ง ทั้งหมดเลย ทั้งที่ตั้งใจและไม่ตั้งใจ แต่ว่ากันตามจริงแล้วพระเยซูไม่เคยว่าไม่ตั้งใจ เพราะมันทำมาจากข้างในทั้งสิ้น มันตั้งใจทั้งนั้นแหละ ไม่มีคำว่าไม่ตั้งใจหรอก อันที่บอกว่าไม่ตั้งใจ คือมนุษย์พยายามหาความชอบธรรมให้ตัวเอง
ใครที่ยังสงสัย หรือยังไม่มั่นใจในเรื่องการอภัยโทษบาปทั้งสิ้น ว่าท่านได้รับการอภัยบาปทั้งสิ้นแล้วจริงๆ การไถ่บาปนิรันดร์ การได้รับความรอดนิรันดร์จากพระเยซูคริสต์ จากพระเจ้าแล้ว ถ้าท่านยังไม่มั่นใจในเรื่องนี้ ผมอยากแนะนำให้ท่านไปอ่านหนังสือ ศึกษาเพิ่มเติม อันนี้เป็นหนังสือที่ชัดเจนมากเลยในพระคัมภีร์ หนังสือจดหมายฝากฮีบรู โดยเฉพาะอย่างยิ่งบทที่ 9 และบทที่ 10 จริงๆ เขาว่ามาตั้งแต่บทที่ 1 นั่นแหละ แต่ว่าเน้นชัดๆ ชัวร์ๆ บทที่ 9 บทที่ 10 อ่านเฉพาะ 2 บทนี้ ก็เข้าใจแล้ว ซึ่งเป็นถ้อยคำพระเจ้า ที่ย้ำยืนยันกับเราว่าบาปทั้งหลาย ทั้งปวงของเราได้ถูกลบล้างไปจนหมดสิ้นแล้ว ได้รับการไถ่บาปชั่วนิรันดร์ ใช้คำนี้เลย “ได้รับการไถ่บาปนิรันดร์” เรามาดูฮีบรู 9:12
ฮีบรู 9:12 “พระองค์ไม่ได้ทรงเข้าไปด้วยเลือดแพะหรือเลือดวัว แต่พระองค์ทรงเข้าไปสู่อภิสุทธิสถาน ด้วยพระโลหิตของพระองค์เอง พระองค์ทรงกระทำเช่นนี้ เพียงครั้งเดียวเป็นพอ และได้การไถ่บาปชั่วนิรันดร์มา”
พูดตามนะ “พระองค์ทรงกระทำเช่นนี้ เพียงครั้งเดียวเป็นพอ และได้การไถ่บาปชั่วนิรันดร์มา”
พระองค์ได้ทรงเข้าไปสู่อภิสุทธิสถาน คือสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สุด ที่พระเจ้าสถิตอยู่ โดยพระโลหิตของพระองค์เอง สมัยอดีต พระเจ้าสร้างเงาว่าอนาคตจะทำอย่างนี้ ปุโรหิตที่เป็นมนุษย์บาปเข้าไป เอาเลือดแพะเลือดแกะ เลือดสัตว์เข้าไป แต่พอมาถึงพระเยซูที่เล็งไว้ ของจริงมา จะเป็นอย่างนี้แหละ พระองค์ทรงเข้าไปสู่อภิสุทธิสถาน ด้วยตัวพระองค์เอง และพระองค์ทรงกระทำเช่นนี้ ก็คือไถ่บาป เพียงครั้งเดียวเป็นพอ ได้รับการไถ่บาปชั่วนิรันดร์
ในสมัยพระคัมภีร์เดิมที่เป็นเงานั้น มนุษย์ที่เป็นปุโรหิตเอาเลือดสัตว์เข้าไป ต้องไปทุกปี ไปต่ออายุ ไม่มีการเอาออกไป มีแต่ปกปิดไว้ชั่วคราว คำว่า “ไถ่บาปนิรันดร์” ครอบคลุมตั้งแต่บาปที่ติดตัวเรามาตั้งแต่เกิด เกิดมาไม่ต้องอะไรเลย ก็บาปแล้ว เพราะเป็นบาปที่ส่งทอดมาจากบรรพบุรุษของเรา คือในอาดัม ซึ่งมนุษย์ทุกคนมีตรงนี้อยู่ใน DNA บาปที่ติดตัวเรามาตั้งแต่เกิด บาปที่เราเคยทำในอดีต ไม่ว่าจะจำได้หรือไม่ได้ ก็ตาม รวมทั้งบาปที่เรากำลังทำกันอยู่ในขณะนี้ คิดในใจว่า …
“คนนี้เหม็นจริงๆ น้ำก็ไม่อาบ”
คิดอยู่ตอนนี้ … “เราอุตส่าห์ทักเขานะ ไม่ยอมยิ้มกับเราเลย หมั่นไส้จริงๆ คนนี้”
บาปไหม? กำลังคิดอยู่ใช่ไหม? ต้องสารภาพบาปไหม? บาปที่เรากระทำกันอยู่ในขณะนี้ จนถึงบาปที่เราจะทำพรุ่งนี้ด้วย ไม่ต้องถึงพรุ่งนี้ เดี๋ยวออกจากนี้ไป ไปกินข้าว อากาศยิ่งร้อนๆ อยู่ อารมณ์ไม่ดี มีโอกาสไหม? ก็คือบาปในอนาคตนั่นเอง เพราะฉะนั้น บาปที่พระเยซูไถ่นิรันดร์ มันรวมตั้งแต่บาปในอดีตจนถึงบาปในอนาคต ตลอดไปเลย เอเมน
พระคัมภีร์ได้บันทึกอย่างนี้ ในพระคัมภีร์เดิม เป็นแผนการของพระเจ้าบอกล่วงหน้าว่า … ตราบเท่าที่ดวงอาทิตย์ขึ้นทางทิศตะวันออก และตกทางทิศตะวันตก มันไม่มีวันได้เจอกันเลย บาปทั้งหลายทั้งปวงของเราได้ถูกลบล้างไปจนหมดสิ้นแล้ว พระเจ้าได้เอาออกไปไม่มีอีกเลย ที่จะมีบาปอีกต่อไป เมื่อถึงวันนั้น คือวันที่พระเยซูมาไถ่บาปเรา เพราะฉะนั้น จำเป็นต้องมีการสารภาพบาปไหม? ในเมื่อบาปมันไม่มี มันไม่ได้เป็นหนี้ ต้องไปขอร้องเขาให้อภัยให้ฉันด้วยนะ ฉันไม่มีเงินจ่าย มันไม่ได้เป็นหนี้เขาแล้ว เอเมนไหม? ชัดเจนเลย
และการสารภาพบาปในพระคัมภีร์บอก มีพูดถึงในหนังสือ 1 ยอห์น 1:9 คนเอาไปใช้ผิดเยอะแยะ ในนี้มีพูดถึง แต่พูดถึงตรงนี้ คือการสารภาพบาปของมนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้ ขอเพียงครั้งเดียว เป็นพอแล้ว ก็คือสารภาพว่า …
“ฉันยอมรับว่าฉันเป็นคนบาป และต้องการการช่วยเหลือจากพระเจ้า และเชื่อว่าพระเจ้าส่งพระเยซูคริสต์ พระบุตรองค์เดียวของพระองค์มาเป็นผู้ไถ่บาป มาตายบนไม้กางเขน หลั่งพระโลหิต และเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่ 3 ฉันเชื่อตรงนี้ ฉันสารภาพบาปฉัน”
ทันใดนั้น เขาได้บังเกิดใหม่ แล้วจากนั้น ก็ไม่สารภาพอีกแล้ว สารภาพครั้งเดียวนั่นแหละ ในหนังสือ 1 ยอห์น 9 บอกว่า …
“ใครก็ตามที่สำนึกอย่างนี้ว่าฉันเป็นคนบาป และต้องการรับการช่วยเหลือ ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้”
ให้ทำอย่างไร? ให้เข้าไปหาพระเจ้า แล้วก็ยอมรับว่า … “ฉันเป็นคนบาป ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ เชื่อในพระเยซู พระเยซูช่วยได้”
นี่คือข่าวประเสริฐ ครั้งเดียว ไม่ต้องสารภาพบาปอีกต่อไป เกิดใหม่ในพระเจ้า นี่คือความหมายของคำว่า … “เพียงครั้งเดียวเป็นพอ” และได้การไถ่บาปชั่วนิรันดร์มา ตามพระคัมภีร์ที่ตะกี้เราได้อ่านกัน
ในหนังสือสดุดี กษัตริย์ดาวิดก็เคยเผยพระวจนะไว้อย่างนี้ นี่ก็เป็นเงา เป็นสิ่งที่พระเจ้าบอกล่วงหน้า ในพระคัมภีร์เดิม ชัดเจนเลย สดุดี 32:2
สดุดี 32:2 “ความสุขมีแก่ผู้ที่องค์พระผู้เป็นเจ้า ไม่ทรงถือโทษบาปของเขา”
ภาพของพระเจ้าที่กษัตริย์ดาวิดได้รับการเปิดเผยให้เห็นทางวิญญาณ ก็คือทรงเป็นพระเจ้าที่ไม่ทรงจดจำความผิด ไม่ทรงถือโทษในบาปของมนุษย์ แต่วิธีการเข้าหาพระเจ้า ที่คริสเตียนหลายคนได้รับการสอนมา ตามตำนานเก่าแก่เป็นอย่างไรครับ? เคยได้ยินไหมครับ หลักการอธิษฐานกับพระเจ้ามี 4 ข้อ ผมตอนมาเชื่อพระเจ้าใหม่ๆ ช่วงแรกมีความสุขมาก ไม่รู้เรื่องอะไร พอเริ่มเข้ามาเรียนพระคัมภีร์ปุ๊บ มาเลย ภาระเต็มเลย ก่อนนี้มาเชื่อพระเจ้าใหม่ๆ เข้ามาถึง อยู่ที่ไหนก็ …
“โอ้! พระเจ้า ลูกรักพระองค์ ขอบคุณพระเจ้าที่ทรงไถ่บาปลูก ขอบคุณพระเจ้า”
ขอนั่นขอนี่ กระหนุงกระหนิง ไปเรียนพระคัมภีร์ ไม่นานเลยนะ เริ่มกลับเข้ามา อธิษฐานกับพระเจ้า เดี๋ยวเปิดดูก่อนว่าเขาสอนเอาไว้ว่าอย่างไร? เริ่มต้นให้สรรเสริญพระเจ้าก่อน แล้วก็ขอพระเจ้ายกโทษบาปที่เราอาจจะเคยทำ หรือทำ คิดใหญ่เลย คิดไปทำบาปอะไรบ้าง หมดเวลาพอดี ไม่ได้อธิษฐานเลย หมดเวลาแล้ว จำไม่ได้ว่าต้องอธิษฐานอย่างไร? ยกตัวอย่างเช่น …
(1) ต้องเริ่มต้นการอธิษฐานด้วยการสรรเสริญพระเจ้า
(2) ให้ทบทวนว่าวันนี้เราไปทำบาป หรือทำอะไรไม่ดีมา ก็ให้สารภาพบาปนั้นกับพระเจ้า แล้วก็ขอพระเมตตาของพระเจ้าอภัยในความผิดบาปเหล่านั้นให้เราด้วย
(3) จากนั้น ก็ให้ขอบคุณพระเจ้าสำหรับพระพรของพระองค์ ที่ให้กับเราในแต่ละวัน
(4) จบการอธิษฐานด้วยการทูลขอสิ่งที่เราอยากได้ ให้พระองค์ทรงช่วย
มีใครเข้าไปหาพ่อเราแบบนี้บ้าง? มีใครที่ตอนเล็กๆ แล้วบอกอย่างนี้ …
“พ่อ วันนี้ลูกจะไปคุยด้วยนะ พ่อเป็นคนดีเหลือเกิน พ่อเป็นคนดีของลูกมากเลย”
ยอพ่อใหญ่เลย เสร็จแล้วก็คิด จดเอาไว้ … “พ่อ เมื่อวานนี้ลูกไม่เชื่อฟังพ่อ พ่อบอกลูกว่าอย่าไปเที่ยว ลูกก็ไปเที่ยว ยกโทษให้ลูกด้วยนะ”
แล้วก็คิดๆ แล้วก็ยกโทษเยอะแยะเลย “เมื่อวานนี้คิดว่าพ่อเป็นคนใจร้าย ยกโทษให้ลูกด้วยนะ”
เสร็จแล้ว จากนั้น ก็ให้ขอบคุณพระเจ้า “ขอบคุณพ่อ สำหรับเมื่อวานซืนนี้ ที่ให้ข้าวลูกกิน”
จบการอธิษฐานด้วยว่า … “พ่อ ลูกขอเงินสัก 10 บาท ขอเงินสักร้อยหนึ่ง”
พ่อคงคิดว่า … “ทำไม คิดว่าฉันโง่หรือไง ปะเหลาะให้ฉันเชื่อใจ ในที่สุดก็มาขอเงิน” อะไรอย่างนี้
นี่เป็นการสอน แล้วเราเคยคิดว่าความสัมพันธ์กับพ่อลูกต้องเป็นอย่างนี้เหรอ ผมเชื่อว่าพวกเราทุกคนผ่านการสอนแบบนี้มาเกือบหมด เพราะหลังๆ มาที่นี่ไม่ได้สอนแบบนี้แล้ว จากที่เราได้เรียนรู้อย่างชัดเจนขนาดนี้แล้วว่าจากนี้ไป เราไม่จำเป็นต้องสารภาพบาปอะไรอีกแล้ว เราเป็นลูกอย่างแท้จริง และสะอาดหมดจด บริสุทธิ์ในสายพระเนตรของพระเจ้า ผู้เป็นพ่อของเราเรียบร้อยแล้ว เรากำลังไปคุยกับพ่อที่รักเรามาก และไม่จดจำความบาปผิดของเราเลย พระเจ้าที่เป็นพ่อ ที่ได้ชำระล้างเราจนสะอาดหมดจด บริสุทธิ์ เหมือนพระองค์แล้ว เพราะเป็นลูกของพระองค์แล้ว สะอาดหมดจดเลย พระเจ้าที่ไม่เคยจดจำความผิดของเราแม้แต่นิดเดียวเลย พระองค์บอก
แต่มิได้หมายความว่าผมบอกว่าแต่นี้ต่อไป เราขอโทษพระเจ้าไม่ได้ ยังขอโทษได้อยู่ ถ้ารู้สึกอยากจะขอโทษว่าเราไปทำอะไรผิดมา กี่ครั้งแล้ว สู้ไม่ได้สักที ไม่เป็นไร ในใจรู้ว่าเราเป็นลูกของพระเจ้า สะอาดหมดจดเรียบร้อยไปแล้ว ไม่ต้องขอโทษก็ได้ แต่จะขอโทษก็ไม่เป็นไร แต่ให้ในใจรู้ว่าเป็นอย่างนี้ สะอาดหมดจดแล้ว หรือเราอาจจะติดปากไปแล้ว เพราะถูกสอนผิดๆ มา ขอโทษพระเจ้า แต่ในใจรู้แล้วว่าถึงไม่ขอโทษ พระเจ้าก็อภัยให้แล้ว ไม่ได้จดจำความผิดของเราแม้แต่นิดเดียว ไม่ได้สำคัญอะไรเลย หรือถ้าเราพอจะจำได้ เราก็บอกว่า …
“โอ! พระเจ้า ลูกเสียใจ ลูกขอโทษ” ก็ได้
มันอยู่ที่ความจริงใจข้างในมากกว่า ที่เรารู้ความจริงหรือไม่? แล้วทำไม ผมถึงต้องมาเน้นตรงนี้เยอะๆ เพราะนี่คือหลักการของมาร ที่จะพยายามดิสเครดิต ทำให้ข่าวประเสริฐของพระเจ้าด้อยลง โดยการผ่านทางพวกเรานั่นแหละ ผู้เชื่อทั้งหลาย เราได้ไปสวรรค์จริง แต่ทำให้คนข้างๆ ไม่ได้ไปสวรรค์ ข่าวประเสริฐไม่ได้ไปถึงเขา เพราะข่าวประเสริฐได้ถูกตัดทอนไปเรื่อยๆ ว่าตกลงเราต้องพึ่งตัวเองอยู่ เราต้องทำดีอยู่นะ ถึงจะได้รับความรอด พระคัมภีร์บอกเรารอด ไม่ใช่เพราะการกระทำของเรา ไม่ใช่เพราะเราทำดี แล้วเรารอด แต่เรารอดแล้ว เราจึงทำดี เพราะพระเจ้าช่วยเรา แล้วยังทำชั่วอยู่ไหม? ยังทำชั่วอยู่บ้าง? แต่เราไม่ได้รอด เพราะเราทำดี ถ้าเรารอดเพราะทำดี เดี๋ยวเราชั่ว ก็ไม่ได้รอด เขาเรียกว่ารอด โดยพระคุณ การเชื่อในพระเยซูคริสต์ ความรอดจากบาป
เพราะฉะนั้น ชีวิตของเราจะสำแดงให้คนข้างๆ เขาเห็นความจริงว่าคริสเตียนเป็นอย่างนี้ ข่าวดี คือท่านเชื่อพระเจ้าแล้ว รอดเลย แล้วผมก็ทำอย่างนั้นจริงๆ ผมก็อธิษฐานอย่างนั้นจริงๆ แล้วเขาก็เห็นชีวิตของเราว่านี่คือดำเนินชีวิตในข่าวดีของพระเจ้า ดำเนินชีวิตในวิญญาณจริงๆ ถ้าว่าเราทำผิดบาป แล้วเรายังมาอธิษฐานกับพระเจ้าน้ำตาไหล
“ยกโทษให้ลูกด้วย ลูกแย่ ลูกต้องตกนรกแน่ๆ”
แล้วคนที่ไม่เชื่อพระเจ้า เขาบอก … “แล้วฉันจะมาเชื่อพระเจ้าทำไม? ก็พอกันแหละ เหมือนกันแหละ ฉันก็กลัวนรกนั่นแหละ แต่ไม่รู้จะทำอย่างไร?”
ท่านพอจะมองเห็นไหม? มารจะทำให้ข่าวประเสริฐของพระเจ้าด้อยลง แต่ถ้าท่านบอกว่า …
“พระเจ้าลูกขอบคุณพระองค์ ที่อภัยให้ลูกตลอด ไม่ว่าจะทำอะไรผิดก็ตาม สิ่งที่ลูกคิดไม่ดีไป สิ่งที่ลูกโลภไป ที่ลูกไปขโมยของเขา โกรธเขา ลูกเสียใจ ลูกรู้ว่าพระองค์ยกโทษให้ลูกเรียบร้อยแล้ว และลูกเป็นคนบริสุทธิ์สะอาด เหมาะสมกับการอยู่สวรรค์กับพระองค์ เพราะลูกได้รับการชำระโดยพระเยซูคริสต์ด้วยความเชื่อ เป็นลูกที่สะอาดหมดจด บริสุทธิ์ของพระองค์เรียบร้อยไปแล้ว เอเมน”
เพื่อนที่อยู่ข้างๆ เราได้ยิน อยากได้จังเลย อย่างนี้ … “อยากได้จัง เพราะฉันก็ช่วยตัวเองไม่ได้ หลายครั้งที่ฉันโกรธ อารมณ์ไม่ได้ ก็ว่าเขาไป เสียใจ ไม่รู้จะไปหาใครดี จะพึ่งตัวเอง เดี๋ยวก็ทำอีกแล้ว เดี๋ยวก็โกรธ เดี๋ยวก็โลภ เดี๋ยวก็หลง เดี๋ยวก็กิเลสขึ้น นี่เหรอ ข่าวดีของพระเยซูคริสต์ ใช่จริงๆ ฉันชักสนใจแล้วสิ”
เขาก็จะมาถามเรา นี่แหละคือการประกาศข่าวดี ที่เป็นของแท้ๆ เพราะฉะนั้น เราจะบอกเสียใจ หรือจะบอกขอโทษพระเจ้าติดปากก็ตาม แต่ให้ข้างในความคิดของเราลึกๆ เขาเรียกว่า … ตะกี้นี้ บอกว่าจงเปลี่ยนแปลงความคิดจิตใจเสียใหม่ แม้ปากจะบอกว่า … “พระเจ้าขอโทษ” … แต่ให้เปลี่ยนแปลงความคิดจิตใจเสียใหม่ว่า …
“ตัวจริงๆ ของฉันสะอาด บริสุทธิ์ ศักดิ์สิทธิ์ เหมือนพระเยซูไม่มีผิดเลย ไม่ได้ทำอะไรผิดเลย พระเจ้าชำระโทษให้ ชำระล้างเรียบร้อยแล้ว ครั้งเดียวเป็นพอ นี่ไม่ใช่ตัวฉัน นี่คือความเคยชินของร่างกายนี้ที่ยังอยู่ใต้อิทธิพลของระบบของโลกใบนี้ ซึ่งควบคุมโดยมาร ซึ่งพยายามส่งเป็นกระแสเข้ามา กระตุ้น เรียกว่าเนื้อหนัง กระตุ้นๆ ให้ความคิดของฉันทำตามมัน ซึ่งฉันกำลังฝึกฝนความคิด จับมัน และเอาถ้อยคำพระเจ้าใส่เข้าไปแทนที่ ค่อยๆ ฝึกมันไปทีละนิดทีละหน่อย แต่ไม่ใช่ตัวจริงๆ ของฉัน วันหนึ่งความคิดนี้มันจะต้องไปอยู่กับร่างกายนี้ และไปอยู่ในดิน เพราะว่าร่างกายนี้ถูกสร้างมาจากดิน น้ำ ลม ไฟ วันหนึ่งโลกใบนี้ถูกทำลาย สิ้นสุด ร่างกายนี้ก็จะสิ้นสุดด้วย หรือร่างกายนี้ไม่ถึงวันที่โลกสิ้นสุด ร่างกายฉันอาจจะสิ้นสุดเองก่อนก็ได้ จากความเจ็บป่วย หรืออะไรก็ตาม นั่นไม่ใช่ตัวจริงของฉัน ตัวจริงของฉันคือวิญญาณของฉัน และวิญญาณของฉันถูกชำระล้างจนสะอาดหมดจดเหมือนพระเยซู และมีใจใหม่ที่พระเจ้าทรงประทานให้ บริสุทธิ์ สะอาด ศักดิ์สิทธิ์และตรงนี้ ฉันจะไปอยู่กับพระเจ้านิรันดร์ และรอรับร่างกายใหม่จากพระเจ้าที่ทรงจัดเตรียมไว้ให้ฉัน เพื่อสวมร่างกายนั้น ในวันหนึ่งข้างหน้า เอเมน”
นี่มันคือความหวังใจของคริสเตียน มันจะเป็นอย่างนี้ การรู้สึกผิด รู้สึกเสียใจ เป็นสิ่งที่ดี เป็นสิ่งที่เราควรจะระลึกถึง เพราะในพระคัมภีร์บอกว่าให้เราจงเปลี่ยนแปลงความคิดเสียใหม่ เราทำอะไรไม่ถูกต้อง ความคิดของพระคริสต์ที่อยู่ในวิญญาณของเราจะส่งข้อมูลมา อย่างนี้ไม่ถูกต้อง เราก็ได้ยิน …
“ขอโทษๆ เสียใจๆ”
เป็นสิ่งที่ดี เพื่อเป็นสิ่งที่เตือนใจ ไม่ให้เราทำสิ่งที่ผิดๆ ซ้ำๆ เยอะๆ บ่อยๆ ซึ่งถึงแม้จะทำซ้ำ ก็ไม่เป็นไร ไม่ได้ทำให้เราไม่รอด แต่ทำให้เราลำบาก ในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ เพราะว่ามันไม่เป็นพระพร สำหรับการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้เท่านั้น มันไม่ได้เกี่ยวกับชีวิตนิรันดร์ การไปอยู่ในสวรรค์กับพระเจ้าเลย แม้แต่นิดเดียว เอเมน
เพราะฉะนั้น ถ้าเรารู้ความจริง เราจะไม่กลัว ทำผิดก็ผิดไป คนเราเกิดมาก็ทำผิดทั้งนั้นแหละ เพราะมันยังอยู่ในระบบของโลกนี้อยู่ แต่วิญญาณไม่มีการกระทำผิดอีกต่อไปแล้ว เพราะเป็นวิญญาณที่สะอาดหมดจด อยู่กับพระเจ้า และใจใหม่ที่พระเจ้าทำให้เป็นเหมือนพระเยซู ไม่มีวันทำอะไรผิดอีกต่อไป เต็มไปด้วยความรัก เหมือนพระเยซูไม่มีผิดเลย …
“ในวิญญาณและในใจใหม่ของฉันบอกว่าอภัยให้ มาตบอีกข้างหนึ่งก็ได้ แต่ความคิดของฉันได้รับการกระตุ้นจากระบบของโลกนี้บอก อัดมันต่อเลย อัดมัน สู้มันสิ”
พอเข้าใจไหม? ทนไม่ไหวแล้ว โต้ตอบออกไป ไม่เป็นไร คนละเรื่องกัน มันไม่ไหวแล้ว แต่ถ้าเผื่อฝึกฝนบ่อยๆ เอาถ้อยคำพระเจ้าที่เป็นถ้อยคำของพระคริสต์ เป็นความคิดของพระคริสต์มาใส่เข้าไปในความคิด ในร่างกายของเราบ่อยๆ เติมข้อมูลใหม่นี้เข้าไป มันก็จะสามารถต้านระบบของโลกนี้ ซึ่งถูกล่อลวง โดยมารส่งเข้ามาได้มากขึ้น เราจึงเรียกตรงนี้ว่าสงครามฝ่ายวิญญาณ ใน 2 โครินธ์ 10 บอกไว้ นี่คือสงครามฝ่ายวิญญาณ ชนะมันตรงความคิด ในร่างกายของเรา ระหว่างระบบของโลก ควบคุมโดยมาร และพระเยซูคริสต์ที่สถิตอยู่ในร่างกายของเรา ในวิญญาณของเรา และใจใหม่ของเรา นี่คือชนะ เราเป็นยิ่งกว่าผู้พิชิตไปแล้ว เราชนะ อย่างไรเราก็ชนะ เพราะฉะนั้น จากนี้ต่อไปให้ชีวิตของเรา มีความมั่นใจ มีความเชื่อที่มั่นอกมั่นใจว่าเราได้รับการไถ่บาปชั่วนิรันดร์เรียบร้อยไปแล้ว เราไม่ต้องสารภาพบาป เพื่อขอการอภัยโทษบาปอีกต่อไป เราเป็นลูกพระเจ้าแบบถาวรนิรันดร์ เราอยู่ในสวรรค์กับพระเจ้า แบบถาวรนิรันดร์เรียบร้อยไปแล้ว เราได้เกิดใหม่อยู่ในสวรรค์ เรียบร้อยไปแล้ว เพียงแต่มันติดอยู่ในร่างกายนี้เท่านั้นเอง เวลาร่างกายนี้ตาย หรือเรียกว่าวิญญาณออกจากร่าง เราไม่ได้ไปไหน เราก็อยู่ที่เดิม คืออยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้าในสวรรคสถาน อยู่กับพระเยซูคริสต์ อยู่ในสวรรค์ … สวรรค์คือที่ที่พระเจ้าสถิตอยู่
ให้เราเข้าใจในเรื่องนี้อย่างชัดเจน ท่านเห็นไหม? พอเข้าใจเรื่องแรกถูก มันถูกหมดเลย พอผิดมันเยอะแยะ ตีกันยุ่งวุ่นวายเลย เหมือนที่ผมเคยบอก กลัดกระดุมเม็ดแรกผิด ท้ายๆ มันเอียงไปเอียงมา แก้ไม่ได้เลย ต้องเริ่มต้นเม็ดแรกใหม่ เหมือนกัน พอเข้าใจตรงนี้ถูกปุ๊บ ต่อไปท่านจะเข้าใจหมดเลย อะไรที่เคยงง ต่อไปนี้ท่านจะรู้แล้ว ทำไมพระเจ้าถึงบอกอภัยให้เราหมดเรียบร้อย มันไม่ได้เกี่ยวกับการกระทำของเรา มันเกี่ยวกับเราเกิดใหม่แล้ว เป็นลูกพระเจ้า อยู่ในอาณาจักรนี้แล้ว ไม่ใช่ตัวเราอีกต่อไปเป็นผู้กระทำ แต่เป็นระบบเก่าที่มันกระตุ้นผ่านทางร่างกาย ความคิดนี้ ซึ่งวันหนึ่งมันจะสิ้นสุดไป มันชัดเจนนะ
“เพราะฉันรอดโดยการมาบังเกิดใหม่ อยู่ในพระคริสต์ ไม่ได้อยู่ในอาดัมอีกต่อไป”
นี่คือหัวใจ ผมถึงชอบร้องเพลงนี้ …
“อยู่ในพระคริสต์ พระองค์ทรงฤทธิ์ ฉันรอดความผิด ไม่กลัวความตาย
เกิดในพระองค์ จวบจนวันตาย พระคริสต์นำหน้า หนทางชีวี”
ตอนนี้พวกเราที่เชื่อแล้ว พระเจ้าสถิตอยู่กับเรา วิญญาณเราสะอาด หมดจดบริสุทธิ์ เหมือนพระเยซูคริสต์ไม่มีผิด แล้วมีจิตใจ ที่เรียกว่า Mind of Christ เหมือนพระคริสต์ไม่มีผิดเลย เป็นความรัก เป็นความสว่าง เป็นความศักดิ์สิทธิ์ บริสุทธิ์ อินโนเซ็นต์กับบาปเลย ไม่รู้บาปคืออะไร? ทำชั่วไม่เป็นเลย แต่เผอิญยังอาศัยอยู่ในร่างกายเก่านี้ ซึ่งมันยังเป็นเชื้อของระบบของโลกนี้ที่ถูกสาปแช่งไปแล้ว ซึ่งอยู่ภายใต้การควบคุมของมาร มารไม่สามารถทำอะไรเราได้เลย นอกจากส่งข้อมูลกระตุ้นเนื้อหนังร่างกายนี้ ให้ทำตามมัน ให้คิดหรือกระทำตรงกันข้ามกับพระเจ้า
พระเจ้าบอกว่าเราเกิดใหม่แล้ว เราเป็นความรัก สะอาดบริสุทธิ์เหมือนพระเจ้า
มารก็ส่งมาบอกว่า … “อย่างนี้ไม่ไหวนะ เธอให้อภัยเขามากี่ครั้งแล้ว จัดการเลย อัดมันเลย สู้มัน” อย่างนี้
พระเจ้าบอกว่า … “อย่าโลภนะ โลภทำให้เธอลำบาก ไม่ต้องโลภหรอก พระเจ้ารู้ว่าเธอต้องการอะไร? จะกินอะไร? ดื่มอะไร? อะไรต่างๆ พระเจ้าดูแล ขนาดนกในอากาศยังดูแลเลย แล้วจะไม่ดูแลเธอได้อย่างไร? ไม่ต้องห่วงหรอก”
มารบอก … “อย่างนี้แย่แล้ว จะต้องสะสมไว้ เศรษฐกิจจะไม่ดี โลภเข้าไป เก็บเข้าไป สะสมเข้าไปเยอะๆ มันดี มันจะได้ปลอดภัย”
เห็นไหม? แล้วก็สู้กันอย่างนี้ ขอพระเจ้าอวยพรครับ
*****************************