คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 29 ธันวาคม 2019 เรื่อง “ไม่ท้อใจ เมื่อเผชิญความทุกข์ยากลำบาก (ความจริงเกี่ยวกับความทุกข์ยากลำบาก)” โดย นคร เวชสุภาพร

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  29  ธันวาคม  2019

เรื่อง “ไม่ท้อใจ เมื่อเผชิญความทุกข์ยากลำบาก

(ความจริงเกี่ยวกับความทุกข์ยากลำบาก)”

โดย นคร  เวชสุภาพร

            สวัสดีวันอาทิตย์สุดท้ายของปีนี้  ปี 2019 แล้วเมื่อไรมันจะถึงวันสุดท้ายของโลกใบนี้ เราไม่รู้ รอวันนั้นอยู่ รอพระเยซูกลับมา ถือโอกาสสวัสดีส่งท้ายปีเก่า และเตรียมต้อนรับปีใหม่ เวลาจะมาบรรยายวันสุดท้ายของปี มันต้องเข้ากับบรรยากาศนิดหนึ่ง จึงตั้งใจชื่อเข้ากับบรรยากาศมากเลย ถ้าท่านฟัง ท่านจะใช่ เข้าจริงๆ เพราะว่าช่วงส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ควรจะพูดอะไรที่ดีๆ เป็นสิริมงคลนะ ทุกคนรู้เลย ชื่อเรื่องมา ถ้าไม่รักจริงจากพระเจ้า ก็จะไม่สวัสดีปีใหม่ด้วยข้อความที่จะบรรยายในวันนี้ “ไม่ท้อใจ เมื่อเผชิญความทุกข์ยากลำบาก (ความจริงเรื่องเกี่ยวกับความทุกข์ยากลำบาก)”

ขอบคุณพระเจ้าที่พระองค์ได้นำพาชีวิตของพวกเราทุกคน มาอีก 1 ปี ผ่านทั้งช่วงเวลาแห่งความสุขและความทุกข์ อันไหนมากกว่า หลายคนก็ต้องผ่านปัญหา ผ่านความทุกข์ยากลำบาก ก็มากบ้าง น้อยบ้าง ก็แล้วแต่สายตาของคนๆ นั้นว่าเขาจะมองอะไรมากกว่า ลองนึกย้อนกลับไป ในช่วงหลายๆ ปีที่ผ่านมาว่าแต่ละปีต้องเผชิญกับปัญหาต่างๆ ปัญหาเศรษฐกิจ ปัญหาสุขภาพ ปัญหาครอบครัว ปัญหาความวุ่นวายในประเทศ ปัญหาความวุ่นวายในโลกตอนนี้ สมัยก่อนคิดแต่เรื่องประเทศไทยว่ามีเรื่องยุ่งตรงนั้นตรงนี้ เดี๋ยวนี้โซเซียลมีเดีย อยู่ที่ไหนก็ได้ยินหมด รู้หมดเลยว่าเป็นข่าวของความทุกข์ยากลำบากทั้งนั้น มันวุ่นวายขึ้นทุกวัน

แล้วทุกปี พอปีเก่าจะผ่านไป แบบวันนี้ เตรียมตัวเริ่มต้นปีใหม่ หลายคนก็มักจะตั้งความหวังกันว่าปีใหม่นี้ ทุกอย่างน่าจะเลวลง ไม่มีใครตั้งอย่างนี้แน่นอน ไม่เป็นสิริมงคล ก็จะตั้งกันว่าทุกอย่างต้องดีขึ้นปีนี้ เศรษฐกิจน่าจะดีขึ้น ฟื้นตัวใหญ่ ปัญหาหลายอย่างน่าจะคลี่คลายไปในทางที่ดีขึ้น หลายคนก็อธิษฐานขอพระเจ้าอย่างนี้แน่นอน เอเมนไหม? คงไม่มีใครอธิษฐาน …         “พระเจ้าขอให้ปีนี้ไม่ค่อยดีนะ สำหรับลูก”

ไม่มีแน่นอน ถามว่าอธิษฐานขออย่างนี้ทุกปี แล้วนึกย้อนกลับไปว่าแล้วที่ผ่านมาทุกปี  ทุกอย่างดีขึ้น อย่างที่ขอหรือเปล่า? ลองคิดดูสิ ปีที่แล้วเราก็อธิษฐาน แล้วปีนี้มันดีขึ้นไหม? อย่างน้อยปีที่แล้ว เราต้องมีอธิษฐานเรื่องนี้แน่นอน …

“พระเจ้าอวยพรสุขภาพของลูกให้ดีขึ้น”

แล้วปีนี้ มันดีขึ้นไหม? ถามจริง

“ดีไม่ดีขึ้นไม่รู้ แต่ฉันเข้มแข็งขึ้น” เข้มแข็งขึ้นข้างในนะ  ในวิญญาณ

บ่อยครั้งที่เราเผชิญกับความทุกข์ยากลำบาก ซึ่งอาจเกิดขึ้นกับเราเอง หรือกับคนที่เรารัก กับคนใกล้ชิด อาจจะเป็นเจ็บป่วยอย่างมาก อาจจะเป็นความขาดแคลนอย่างหนักสาหัส อาจจะเป็นการทะเลาะวิวาทกับคนใกล้ชิด หรือความสัมพันธ์ขาดสะบั้นลง แบบต่อกันไม่ติดแล้ว  หรืออาจจะเกิดความรู้สึกทางอารมณ์ที่ควบคุมไม่อยู่ เช่น ความกังวล  ความกลัว ความโกรธ ความซึมเศร้า และเราก็หวังจากพระเจ้าว่าพระเจ้าช่วยได้ แน่นอนทุกคนก็คิดอย่างนี้แหละ ซึ่งสมควรจะคิดอย่างนี้ด้วย อันนี้ ไม่ว่าใครนะ ก็เลยอธิษฐานอย่างหนัก เพราะอยากจะได้ตรงนั้น อยากจะได้สุขภาพแข็งแรง อยากให้การงานเจริญรุ่งเรืองมั่งคั่ง อยากให้ที่มีปัญหาต่างๆ มันเคลียร์ไปสักทีหนึ่ง ไม่มีปัญหาเลย ไม่ได้เหรอ ก็อธิษฐานอย่างหนักๆ แล้วไปขอให้คนอื่นช่วยอธิษฐาน ขอให้ศิษยาภิบาลอธิษฐานให้ ก็ทำแล้ว พยายามทำทุกอย่าง ที่จะทำให้สถานการณ์เปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดี และยิ่งทำมากเท่าไร? ตะเกียกตะกายมากเท่าไร? เราก็จะรู้สึกสิ้นหวังและท้อแท้มากขึ้นเท่านั้น เพราะมันไม่สำเร็จ เป็นไปตามที่เราอยากได้ นี่เรื่องจริงเลยนะ

เมื่อพบว่าสถานการณ์ มันไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปตามที่เราคาดหวังเลย บางครั้งแม้แต่นิดเดียวเลย ไม่เปลี่ยนเลย แถมแย่ลงด้วย มันก็เลยทำให้อาจเกิดความสับสน ความกังวล กลัวมากขึ้น แล้วก็เกิดการตั้งคำถามขึ้น คริสเตียนหลายคน พอชีวิตประสบปัญหา หรือความทุกข์ยากลำบาก อธิษฐานขอพระเจ้าเท่าไร? ปัญหาก็ไม่หมดไปจากชีวิตสักที ก็จะหาคำตอบว่าเกิดอะไรขึ้น ทำไมพระเจ้าไม่ช่วย ทำไมพระเจ้าไม่ตอบคำอธิษฐาน อันนี้อยู่ในใจเราทุกคน อยู่แล้ว แน่นอน ถ้าเผื่อเราไม่มีคำตอบ มันก็จะอยู่คาใจเราไปตลอด แต่วันนี้ มีคำตอบมา เพื่อจะได้ไม่คาใจ

–  ทำไมพระเจ้าไม่ตอบคำอธิษฐาน

–  ทำไมพระเจ้าปล่อยให้เรื่องนี้เป็นอย่างนี้ได้ ไหนบอกว่ารักเราไง?

พระคัมภีร์บอกว่าพระเจ้าสถิตอยู่ด้วย และพระเจ้าอยู่ที่ไหนกันแน่ตอนนี้ ไหนบอกสถิตอยู่ด้วย แล้วทำไมปล่อยให้ลูกๆ ของพระองค์ต้องเจอกับเรื่องร้ายๆ อย่างนี้นะ

พอพยายามจะหาคำตอบ หลายคนก็ไปได้คำตอบมาถึงตัวเองจริงๆ ซึ่งเป็นคำตอบที่ท๊อปฮิตมาก สำหรับคริสเตียน ลองนึกในใจทำไมปัญหา ไม่หมดสักที ปัญหาโน้นปัญหานี้ ทำไมสุขภาพไม่เห็นดีสักที รับรองพอผมบอกเขาตอบมาอย่างนี้ ใช่ ได้ยิน ทุกคนจะคุ้นๆ เลยว่าคำตอบแบบนี้ได้เจอกันมาทุกคน เปิดไปยูทูปได้เจอแน่ …

“ทำไมเรามาเชื่อพระเจ้าแล้ว ยังต้องเผชิญกับปัญหาและความทุกข์ยากลำบาก”

… คำตอบที่เราคุ้นๆ กันจะมี 2 แบบดังต่อไปนี้แน่นอน …

(1) พระเจ้าไม่มีพระประสงค์ให้ลูกๆ ของพระองค์ต้องเจอกับปัญหา หรือความทุกข์ลำบากใดๆ เลยนะ เพียงแต่ว่าเรา หรือคุณต้องเชื่อให้เต็มที่ ต้องเพิ่มความเชื่อให้มาก และต้องไม่ทำอะไรที่ขัดต่อน้ำพระทัยพระเจ้า ก็คือต้องไม่ทำบาป เท่านั้นเอง แก้ปัญหาได้

เพราะฉะนั้น ถ้าปัญหาของเราที่ตะกี้นี้ที่บอกไป มันยังอยู่ มันยังไม่เปลี่ยนแปลง ถ้าตามนี้นะ ตามที่เขาตอบว่ามันเป็นอย่างนี้ แสดงว่าความเชื่อเรายังไม่มากพอ ต้องพยายามมากว่านี้ เราต้องทำให้ความเชื่อเราเพิ่มพูนมากขึ้น จนถึงที่สุด จะทำให้พระเจ้าเปลี่ยนแปลงสถานการณ์ตามเราได้ ยกตัวอย่างในพระคัมภีร์เยอะแยะ มาใส่ใหญ่ ยกตัวอย่างว่าเราต้องอัดมากยิ่งขึ้น เคาะ เอาให้พระเจ้ารำคาญ จะได้ตอบเรา อะไรประมาณนั้น คุ้นๆ นะ เช่น เขาก็จะแนะนำเราว่า …

“คุณต้องอธิษฐานด้วยความเชื่อเยอะๆ  ยังไม่ได้ใช่ไหม? ต้องอดอาหาร อธิษฐาน ต้องท่องถ้อยคำด้วย ให้เกิดความเชื่อเยอะๆ ขึ้นในใจของท่าน เฝ้าเดี๋ยวน้อยไปหรือเปล่า? วันหนึ่งถึง 3 ชั่วโมงไหม? เขาปัญหาน้อยยังตั้ง 3 ชั่วโมง อันนี้ปัญหาเยอะ ต้อง 6 ชั่วโมงแล้ว”

เราก็แบกจนลิ้นห้อยเรื่อยๆ ต้องแสวงหาพระเจ้าและการช่วยกู้ของพระองค์ คุ้นๆ ใช่ไหม?  อะไรประมาณนี้ เขาก็จะแนะนำเราอย่างนี้ หรือไม่อีกที อาจเป็นเพราะตัวเรา หรือคนในครอบครัวของเรา ไปทำอะไรผิดบาปหรือเปล่า ที่คุณอาจจะยังไม่รู้ ไปหาสำรวจสิ ในบ้านมีอะไรไหม? มีรูปเคารพอยู่หรือเปล่า? เยอะแยะไปหมด นี่คือคำตอบฮิตอันหนึ่ง

(2) มาเชื่อพระเจ้าแล้ว ทำไมยังเผชิญปัญหาแบบนี้ ทุกข์ยากลำบากอย่างนี้ คำตอบที่สอง ก็คือติดอันดับท๊อปฮิต ตรวจสอบ สถานการณ์ความทุกข์ยากลำบาก ที่เรากำลังเผชิญอยู่นั้น มาจากพระเจ้าทำให้มันเกิดขึ้น  พูดง่ายๆ พระเจ้าโยนปัญหาเหล่านั้นมาใส่คุณ มาใส่ในชีวิตของคุณ เป็นแผนการของพระเจ้าที่จะให้ปัญหาและความทุกข์ยากลำบากเหล่านี้ เกิดขึ้นในชีวิตของคุณ เพื่อให้คุณได้เรียนรู้ อันนี้คุ้นๆ ใหญ่เลย มันมีบ่อย เพื่อที่พระองค์จะได้ฝึกฝน ให้เราแข็งแกร่ง อดทน เราจะต้องผ่านความเจ็บปวด ความทุกข์แทบตาย สำหรับบางรายนะ ทรมาน เพื่อพระองค์จะได้ดัดนิสัยเรา และในยามที่เราพลาดพลั้งไปทำอะไรผิด พระเจ้าก็จะตีสอนเรา และบางครั้งพระเจ้าก็จะนำเราไปยังสถานที่ที่ทุกข์ยากลำบาก เพื่อจะทดสอบความเชื่อของเรา ฟังดูคุ้นๆ แล้วมัน ใช่นะ

คุ้นๆ ไหมครับสำหรับ 2 คำตอบนี้ เจอแน่ แล้วหลังจากที่เราได้เรียนรู้ จากถ้อยคำพระเจ้า จากคำบรรยายเมื่อครู่นี้ เมื่อไม่กี่สัปดาห์ หรือไม่ตลอดทั้งปีก็ได้ ความจริงในถ้อยคำพระเจ้าว่าเราได้บังเกิดใหม่ในโลกวิญญาณ  ด้วยความเชื่อในพระเยซูคริสต์ เรียนกันมาเยอะขนาดนี้แล้ว ท่านที่นั่งอยู่ในขณะนี้ ที่ได้ยินได้ฟังเมื่อตะกี้นี้ว่าคำตอบทั้งสองข้อนี้ เป็นคำตอบที่ถูกต้องหรือไม่? ท่านคิดในใจ เป็นตัวยืนยันว่าท่านได้เรียนรู้คำบรรยายเมื่อปีที่ผ่านมาชัดเจนไหม? เรื่องเกี่ยวกับการบังเกิดใหม่ ในพระเยซูคริสต์ ท่านจะรู้ทันทีว่า 2 คำตอบเมื่อตะกี้นี้ มันถูกต้องตามหลักพระคัมภีร์ไหม?

ทั้งสองคำตอบเป็นความเชื่อและคำสอนที่ถูกหรือผิด? ผิดแน่นอน ที่ได้รับการถ่ายทอดมาจากใครก็ไม่รู้ มาจากตำนาน มาจากคนก่อนเรา ไม่รู้ใคร? คำกล่าวที่ว่าพระเจ้าทดสอบความเชื่อเรา  ด้วยการใช้ความทุกข์ยากลำบาก  เพื่อที่จะฝึกฝนเราให้เข้มแข็งนั้น คือเท็จทั้งสิ้น ซึ่งจริงๆ แล้วการทดสอบความเชื่อ ผ่านทางความทุกข์ยากลำบากเหล่านี้ มาจากระบบของโลกนี้ ที่มันเสียหายไปแล้ว ผมย้ำเรื่องนี้บ่อยๆ ชัดๆ ความคิด ข้อมูลผิดๆ เหล่านี้ ถูกส่งเข้ามาล่อลวงเรา โดยมารใช้ระบบของโลกนี้ ล่อลวง หลอกลวง และใส่ร้ายพระเจ้า ใส่ร้ายพระเยซูว่าพระเจ้าเป็นผู้เอาความชั่วร้าย เอาความลำบากเข้ามา เพื่อทดสอบเรา ในขณะที่เราเชื่อแล้ว เราได้บังเกิดใหม่แล้ว เป็นลูกของพระเจ้า เราอยู่ในพระคริสต์แล้ว สิ่งที่เกิดขึ้น คือพระวิญญาณที่สถิตอยู่กับเราภายใน ท่านไม่รู้เหรอ ท่านเป็นวิหารของพระเจ้า  เมื่อท่านเชื่อในพระเจ้า ท่านบังเกิดใหม่แล้ว พระคัมภีร์บอก ท่านไม่รู้เหรอ แสดงว่ามันเป็นจริงตามนั้นว่าพระเจ้าสถิตอยู่กับท่าน พระองค์จะเป็นผู้คอยช่วยนำพาเรา เป็นผู้ปลอบโยน และให้เราสามารถเผชิญกับความทุกข์ยากลำบากเหล่านี้ได้ต่างหาก เห็นไหมนี่คนละเรื่องเลย นี่คือข้อมูลความจริง และเป็นพระลักษณะของพระเจ้าที่แท้จริง มีพระเจ้าเป็นพระเจ้าแห่งความดี  พระเจ้าแห่งความรัก พระเจ้าแห่งความเมตตา แต่มารเป็นบ่อเกิดของความชั่วร้าย

“พระเจ้าดี มารชั่วร้าย”

ไม่ต้องมีต่อเติมอะไรอย่างอื่นเลย ไม่มีแต่ ไม่มีแม้ พระเจ้าดี ไม่ว่าท่านจะเห็นอะไรต่างๆ เข้าใจหรือไม่เข้าใจ คือสรุปแล้ว พระเจ้าดี เป็นความรัก เป็นความเมตตา เป็นแสงสว่าง ทำชั่วไม่เป็น โหดร้ายไม่เป็น ตรงกันข้ามกัน มาร ไม่มีความรัก ไม่มีความเมตตา ไม่มีความซื่อตรง ไม่มีความดีงาม อะไรทั้งสิ้น เป็นความชั่วร้ายเพียวๆ 100% เช่นเดียวกัน ต้องฝังความจริงนี้ใส่ตัวไว้ตลอดเวลา ไม่อย่างนั้น มันหลอกเรา แล้วเราก็เลย มีศัตรูที่เป็นมิตร แต่มีมิตรเหมือนมีศัตรู มันยุ่งไปหมด มันก็ยิ่งทุกข์หนัก

พระเจ้าที่เป็นพระเจ้าที่ดี เป็นพระเจ้าแห่งความรัก เป็นพระเจ้าแห่งความเมตตา เป็นพระเจ้าผู้ปลอบโยน พระคัมภีร์บอกอย่างนี้ตลอดเลย จะไม่ติดต่อกับลูกๆ ของพระองค์ พูดกับลูกๆ ของพระองค์ ผ่านทางความทุกข์ยากลำบาก  หรือผ่านทางโศกนาฎกรรมเด็ดขาด ลูกเรา ขนาดเราเป็นคนบาป  เราไม่ใช่พระเจ้า  เรายังรักลูกของเราขนาดไหน? นี่พระเจ้า พระคัมภีร์บอกมากกว่านั้นสักเท่าใดที่พระเจ้า จะรักเรามากยิ่งกว่านั้นอีก

ข้อมูลความจริงที่เราต้องใส่เข้าไปในสมองเรา  เพื่อไปทำลายล้างข้อมูลเท็จ ข้อมูลโกหกที่เคยรับมาในอดีต …

“พระเจ้าไม่ใช่ผู้ที่ทำให้เกิดโศกนาฎกรรม หรือเป็นผู้ต้องการให้ความทุกข์ยากลำบากเกิดขึ้นในชีวิตเรา มนุษย์ทุกคน เพราะพระองค์ทรงเป็นพระเจ้าดี”

พระองค์ดี พระองค์ร้ายไม่เป็นเลย และถ้าอย่างนั้น คำตอบที่ถูกต้องตามหลักของพระคัมภีร์ คืออะไร?

–  ทำไมเรามาเชื่อพระเจ้าแล้ว ยังคงต้องเผชิญปัญหา ความทุกข์ยากลำบากนั้น

กลับมาที่เดิม ความทุกข์ยากลำบาก ตอบสิ ถ้าไม่ใช่มาจากพระเจ้า แล้วทำไมมันยังต้องมีอยู่ ในเมื่อเราเชื่อพระเจ้าแล้ว ก็คือข้อมูลที่ตั้งใจมาบรรยายให้ท่าน แล้วมันก็จะเป็นพรให้ท่านไป ไม่ใช่พรสำหรับปีหน้าอย่างเดียว ตลอดไปเลย แต่พรนี้มันต้องมาโดยรับรู้ความจริง พระเยซูพูดตลอดว่าความจริงจะทำให้ท่านเป็นไท ความจริงทำให้เราเป็นอิสระ ไม่เป็นทาส

ความจริง ก็คือตอนที่พระเจ้าสร้างโลก ธรรมชาติของชีวิตบนโลกใบนี้ทั้งหมดเลย สวยและดี แต่เนื่องจากความบาป คำสาปแช่งที่เกิดขึ้น  จากการที่มนุษย์ คืออาดัมและเอวาบรรพบุรุษของเรา ถูกล่อลวงโดยมาร  ได้ทำให้โลกใบนี้ มันชั่วร้าย เอาความชั่วร้ายเข้ามา เอาความดีออกไป พูดง่ายๆ ก็คือเอามารเข้ามา เอาพระเจ้าออกไป พระเจ้าไม่ได้ตั้งใจจะออกไป แต่มนุษย์ไม่เอาพระองค์ โดยถูกล่อลวง และตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา โลกใบนี้ ก็มีแต่ความชั่วร้าย ไม่สวยงาม ไม่ราบรื่นอีกต่อไป

ตอนที่พระเจ้าสร้างสวนเอเดน สร้างมนุษย์ใหม่ๆ ดีงามหมดเลย พระเจ้าอยู่ด้วย แล้วพระเจ้า สั่งอาดัมและเอวาว่า …

“อย่ากินผลไม้นี้ ถ้าวันใดเจ้าขืนกิน เราจะฆ่าเจ้า” ถูกหรือเปล่า? ไม่ใช่

“ถ้าวันใดเจ้าขืนกิน เราจะลงโทษเจ้า” ใช่หรือเปล่า?  ไม่ใช่

“ถ้าวันใดเจ้าขืนกิน เราจะตีสอนเจ้า” ใช่หรือเปล่า?  ไม่ใช่

แต่บันทึกไว้อย่างนี้ “ถ้าวันใดเจ้าขืนกิน เจ้าจะตาย”

ใครทำให้ตาย พระเจ้าทำให้ตายเหรอ ไม่ใช่ พระเจ้าว่า “ถ้าวันใดเจ้าขืนกิน เจ้าจะได้รับผลของมัน” คือความบาป ทำให้เกิดความตาย

อย่างที่ผมพยายามยกตัวอย่าง บ่อยๆ เด็กๆ ลูกเรา อย่าเอามือแหย่ลงไปในปลั๊กไฟนะลูก ถ้าวันใดเจ้าแหย่เข้าไป ฉันจะฆ่าแก อย่างนั้นเหรอ ไม่ใช่ ไปแหย่ไฟมันจะช๊อตเอา มันตายนะ ลูกเอ๋ย อันนี้จะเห็นชัด เริ่มตั้งแต่ครั้งแรกแล้ว เริ่มโลกใหม่ๆ ว่าใครคือดี  ใครคือเลว   ไม่ได้มาจากพระเจ้า พระเจ้าไม่ได้มีบุคลิกอย่างนั้น  นี่คือความจริง ที่จะทำให้ท่านเป็นอิสระ ซึ่งเราจะต้องยอมรับความจริงนี้ เพื่อจะได้เป็นอิสระ เพื่อเราจะดำเนินชีวิตอยู่ในความจริงนี้ และมีทุกข์ให้มันน้อยที่สุด นี่คือสิ่งที่พระเจ้าต้องการ และมีสันติสุขในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ด้วยความสงบสุขกับพระเจ้ามากที่สุด นั่นคือสิ่งที่พระองค์ต้องการ

ความหวังที่คิดว่าพระเจ้าจะให้ฉันมีชีวิตที่สุขสบาย ในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ฟังให้ดีนะ ฉันหวังว่าพระเจ้าจะอวยพรฉันให้มีชีวิตที่สุขสบาย

“สุขสบาย”

ในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ เป็นความหวังที่เป็นไปได้ไหม? ไม่ได้ ในเมื่อเรายังอยู่บนโลกใบนี้ โลกเดิมอยู่เลย มันจะเป็นไปได้ได้อย่างไร? มันเป็นไปไม่ได้ ความบาป ความสาปแช่งมันเข้ามาอยู่ในโลกนี้แล้ว สุขสบายกาย มันเป็นไปไม่ได้ มันไม่ตรงกับความเป็นจริงกับโลกที่เสียหายไป เพราะความจริงโลกใบนี้มันกำลังไปสู่ความเสื่อมโทรม เสียหายอย่างหนัก และจะสิ้นสุดในวันหนึ่งข้างหน้า ซึ่งไม่มีใครรู้นอกจากพระบิดาเท่านั้น เห็นไหม?  เมื่อมันยังไม่สิ้นสุด มันก็ยังอยู่ในความชั่วร้าย ท่านอยู่ในแตงโมเน่า ท่านก็จะได้รับความเน่าของแตงโมด้วย ท่านอยู่ในแตงโมเน่า ท่านอย่าหวังว่า …

“ฉันจะหาตรงที่มันดีๆ”

มันไม่มีดีหรอก เราต้องยอมรับความจริงอย่างนี้ ถ้าเราไม่ยอมรับ เราก็ฝืนกับความจริง มันไม่ได้  เราก็จะมีทุกข์มากขึ้น กังวลมากขึ้น แทนที่จะมีสุข และรอดไปสวรรค์ แบบมีสันติสุข กลายเป็นรอดไปสวรรค์ แบบรอดในไฟ กังวลอยู่ตลอด  แล้ววันที่สิ้นสุดของความชั่วร้ายบนโลกใบนี้ ก็คือวันที่พระเยซูคริสต์จะกลับมาใหม่

พระเยซูถูกรับลอยขึ้นไปต่อหน้าต่อตา เข้าไปอยู่ในสวรรค์ ประมาณ 2,000 กว่าปี ตอนนี้พระเยซูอยู่ตรงนี้ รูปร่างแบบมนุษย์นะ รอวันนั้น วันที่พระเยซูกลับมาใหม่ เมื่อพระเยซูยังไม่กลับในเวลานี้ ก็อย่าหวังว่า …

“แม้ฉันจะเชื่อในพระเยซูแล้ว ฤทธิ์เดชอำนาจของพระองค์จะช่วยให้ฉันมีความสุขสบาย บนโลกใบนี้ อย่างเดียวเท่านั้น ไม่มีความทุกข์เลย สบาย”

วิธีเดียวที่จะทำให้เราได้พบกับสันติสุข ความสงบ คือมองและยอมรับ ไปที่ความจริงที่มันเกิดขึ้นว่าโลกมันเสียหายไปแล้ว แต่เรารับเชื่อพระเจ้า เราเชื่อในพระเยซู เราได้บังเกิดใหม่ เป็นลูกของพระเจ้าแล้ว พระเจ้าตอนนี้สถิตอยู่ในเรา เราเป็นวิหารของพระเจ้า นี่คือความจริง อะไรที่มันไม่จริง มันไม่ได้ อย่าพยายามไปฝืน ไปหวังมัน  แต่อะไรที่มันเป็นจริง พระเจ้าจะพาเราเข้ามาสู่ความเป็นจริงและสงบ เพื่อมีความสุขบ้าง มากกว่าที่เราถูกหลอก

วิธีการ คือให้เราจดจ่อเหมือนเดิมที่บอกไว้เสมอ จดจ่อตาฝ่ายวิญญาณของเรา และโฟกัส หมายถึงพุ่งไปที่โลกวิญญาณ ที่เบื้องบนว่าตอนนี้ ร่างกายเราเป็นวิหารของพระเจ้านะ พระเจ้าอยู่กับเรานะ ทุกวันนี้ จะรู้หรือไม่รู้ ทุกเสี้ยววินาที ทุกลมหายใจเข้าออกของท่าน  พระเจ้าสถิตอยู่กับเรา แสงสว่างของพระเยซูคริสต์ฉายออกจากตัวเราตลอดเวลา ไม่ต้องถึงกระดูก แค่ผิวหนัง ก็มีแสงสว่างกระจายออกมาตลอดเวลาในกายของเรา แต่เรามองไม่เห็น ในพระคัมภีร์ใช้คำนี้ว่าพระองค์จูงมือเราตลอดเวลา ขณะที่เราหลับ พระองค์ก็ไม่หลับ ทุกวัน ทุกเวลา ทุกนาที ทุกวินาที ทุกเสี้ยววินาที ทุกลมหายใจเข้าออก อยู่กับเราตลอดเวลา  และข้อสำคัญ สิ่งที่เราจำเป็นต้องเรียนรู้ เพื่อจะได้ไม่ถูกหลอก โดยมาร และอยู่บนโลกใบนี้ และมีสันติสุขได้ ก็คือต้องแก้ข้อกล่าวหาที่สอนกันมาผิดๆ  กล่าวหาพระเจ้า

สิ่งที่สอนกันมาผิดๆ เช่น สิ่งไม่ดีที่เกิดขึ้นต่างๆ นั้น  เกิดจากความเชื่อของเรามันน้อยนิด มารมันใส่ร้ายตัวเรา  ให้เรารู้สึกฟ้องผิดว่าที่มันเป็นคนใส่ความชั่วร้ายเข้ามาในชีวิตเรา เอาความทุกข์ยากเข้ามา มันบอกเราว่าเป็นคนทำเอง เพราะเรามีความเชื่อน้อย หรือเกิดจากการที่เราไปทำผิดบาป หรือเป็นการลงโทษจากพระเจ้า เพราะเราไปทำผิด ทำบาป นี่มันเยอะมากเป็นอย่างนี้ ต้องแก้ไขตรงนี้ก่อนว่าความคิดนี้มันไม่ถูกต้อง เพราะถ้าท่านไปคิดอย่างนี้อีก มันก็เลอะอีก มันไม่ได้เป็นความจริง เพราะความจริง ความทุกข์ลำบาก เกิดจากโลกใบนี้ ที่มันเสียหาย มันถูกสาปแช่ง เหมือนแตงโมเน่า ความจริงต้องดึงตรงนี้มาให้ได้ ไม่อย่างนั้น มันผลักให้เรารับผิดชอบ เราก็รับ เราเองแหละเป็นคนทำ ไม่ใช่ แกต่างหากมาร ชัดเจนเลย นี่คือความจริง ไม่ว่าจะเชื่อพระเจ้าหรือไม่เชื่อ เป็นคริสเตียนหรือไม่เป็นก็ตาม คนทำดี ก็เจอความทุกข์ยากลำบาก เจอปัญหาวิกฤต เจอปัญหาในชีวิต เจอโศกนาฎกรรม เช่นเดียวกันกับคนที่ชั่ว เหมือนกัน นี่แสดงว่าเรามีความเชื่อน้อย  ไม่ใช่เลย เหมือนกันหมด ไม่ว่าเชื่อพระเจ้าหรือไม่เชื่อ ก็เป็นอย่างนี้หมด เพราะโลกใบนี้มันเน่าไปแล้ว มันวิปริตไปแล้ว ต้องรับตรงนี้ให้ได้ คิดตรงนี้ให้ได้ นี่คือส่วนหนึ่งของข่าวดี ข่าวประเสริฐ ให้ชัดๆ เลยว่าอย่าไปหวังเอาอะไรแน่นอนกับโลกใบนี้ และระบบของโลกใบนี้ ถ้าขืนไปฟิค ติดสนิทอยู่กับมัน หวังในมัน คุณก็จะเสียใจ เพราะมันหลอกลวงคุณไปเรื่อยๆ พระคัมภีร์ใช้คำว่ามันกินลม กินแล้ง มันไร้สาระ มันไม่มีประโยชน์ มันเปลี่ยนไปเรื่อยๆ

ในระหว่างที่เรากำลังเผชิญปัญหา พระเจ้าก็สถิตอยู่กับเรา คอยนำทางเรา และพาเราก้าวผ่านความชั่วร้ายบนโลกใบนี้ และแน่นอนพระเจ้าไม่ใช่เป็น ผู้ที่เอาความชั่วร้ายมายัดเหยียดใส่เรา แต่กำลังพาเรา จูงมือเรา ดำเนินชีวิตให้มันทุกข์น้อยที่สุดเท่าที่เป็นไปได้

เมื่อคืนนี้ผมได้คิด เหมือนโลกใบนี้มันเสียหายหมดแล้ว นึกถึงภาพสงคราม ทำไมสงครามกลางเมืองในประเทศต่างๆ อยู่ใกล้ๆ เรา ที่ในยุคเราก็เห็นชัด ก็คือสงครามที่อยู่ในเวียดนาม หรือเขมรก็ตาม ปรากฏว่ามีการสู้รบกัน แล้วเขาก็เอาระเบิดไปฝังไว้ในดิน ประชาชนไม่รู้เรื่อง เดินไปเหยียบระเบิด ขาขาด แขนขาด เสียชีวิต พิการเยอะแยะไปหมดเลย ไม่รู้ว่ามันอยู่ที่ไหนบ้าง มันอยู่ใต้ดิน ฝังไว้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง แถบๆ ชายแดน ผมเห็นภาพเหมือนกันอย่างนั้นแหละว่าบนโลกใบนี้ มันมีหลุมระเบิดเต็มไปหมดเลย แล้วเราดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ เราจะไม่โดนระเบิดเหรอ มันโดนแน่ๆ แหละ แต่ถ้าเรามีผู้นำทางดีๆ เราก็อาจจะโดน เพราะมันเยอะ เพราะบางครั้งเราไม่เชื่อเขา เราขอเดินอย่างนี้อีกทีหนึ่ง เขาบอกให้มาทางซ้าย เราก็บอก เราอยากจะไปทางขวา เพราะเพื่อนชวน แล้วเราเหยียบทางขวาไป เราก็นิ้วขาดไปนิ้วหนึ่ง แต่ไม่ถึงตาย เขาก็บอกต่อไปให้เชื่อเขา เดินตาม เราก็เจ็บน้อยหน่อย ไม่ใช่ไม่เจ็บ

สมมติ โลกใบนี้หลุมระเบิดเต็มไปหมดเลย แล้วพระเจ้าพาเราเดิน ขวา เราเดินไปขวา เดินชนกำแพง พยายามให้มา เขาดื้อ จะไปทางนั้น เสร็จแล้วก็จำได้แล้วว่าถ้าเดินไปอย่างนั้น จะไปไม่ได้ เห็นไหม? ครั้งที่แล้ว ฉันจำได้ ฉันเจ็บแล้ว เพราะฉะนั้น ครั้งนี้ พระเจ้าพามาทางนี้ เราก็เดินตามไป ดีแล้ว รอด เดินไปถึงตรงนี้พระเจ้าบอก ลงไปเป็นเหว อย่าลงๆ ไม่ลง แต่บางครั้ง อาจจะลงไปก่อน แล้วก็จำได้ ไม่ใช่ๆ

เพราะฉะนั้น เราก็เหมือนกัน พระเจ้าพาเรา เราก็เดิน ขวานิดหนึ่ง ขวา 45 องศา แล้วเราคุ้นๆ ใครๆ ก็บอกสติปัญญาของมนุษย์แบบนี้ แก้ไขอย่างนี้ดี เจ็บ เขาบอกแล้วอย่าโลภๆ โอเคๆ วันหลังเจอเรื่องนี้อีก ฉันจำได้แล้ว ครั้งที่แล้วหลอกลวงให้ฉันโลภ ฉันเสร็จเลย ฉันเชื่อพระเจ้าดีกว่า ทั้งชีวิตมันเป็นอย่างนี้ และถ้าเราไม่เชื่อในพระเจ้า เราเป็นอย่างไร? พระคัมภีร์บอกเหมือนคนตาบอด ไม่รู้เรื่องเลย ท่านลองคิดดู ถ้าเผื่อคริสเตียนมีพระเจ้าสถิตอยู่นำพาชีวิต ไปสวรรค์ยังพิการเยอะแยะเลย นิ้วขาดบ้าง ขาขาดบ้าง ไปเหยียบกับระเบิด แล้วถ้าไม่ได้เป็นคริสเตียน คงไม่เหลืออะไรเลย เพราะเหยียบทั้งวัน  โดนอันนั้น โดนอันนี้ตลอด

สรุป ก็คือต้องแก้ไขความคิด และความเข้าใจของเรา ใน 2 ประเด็นนี้ คือ …

(1) ความทุกข์ลำบากที่เกิดขึ้นบนโลกใบนี้ ไม่ได้เกิดขึ้นจากพระเจ้านำเข้ามา ต้องพยายามใส่เข้าไปให้ได้ 100%

(2) ปัญหาความทุกข์ยากลำบากที่เราต้องเผชิญ ในระหว่างการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ไม่ได้เกิดจากความบาป ความสาปแช่ง หรือเกิดจากการกระทำต่อพระเจ้าแต่อย่างใดเลย แม้แต่นิดเดียว คือเราไม่ต้องรับผิดชอบ มันไม่ได้เกี่ยวกับเราเลยแม้แต่นิดเดียว เพราะพระคัมภีร์บอกแล้วว่าเพราะบาปของเรา ถูกยกออกไปหมดแล้ว ถูกชำระจนขาวสะอาดหมดจดแล้ว  โดยพระโลหิตของพระเยซูคริสต์ พระองค์อยู่ที่ไม้กางเขน บอกว่าสำเร็จแล้ว เท็จเทเรสสไตด์ จ่ายหมดแล้ว จ่ายหนี้บาป  ไม่เกี่ยวแล้ว เราได้บังเกิดใหม่ เราเป็นลูกพระเจ้าแล้ว เราไม่เป็นหนี้ใคร ไม่ต้องชดใช้หนี้ให้ใครอีกต่อไป

เพราะฉะนั้น จำไว้เลย มันไม่ใช่ตัวเราแน่นอน เราไม่ต้องชดใช้อะไรทั้งสิ้น นี่คือความจริงที่จะทำให้เราเป็นอิสระ

(1) ไม่ใช่มาจากพระเจ้า

(2) ไม่ใช่มาจากตัวเรา

เราไม่ต้องรับผิดชอบ นี่คือการเป็นอิสระ

เอเฟซัส 1:3-6 ยืนยันให้กับเราว่าเมื่อเราบังเกิดใหม่ในพระเยซูคริสต์ เราได้รับการไถ่บาป ชั่วนิรันดร์ ทันทีทันใดนั้น เราได้รับพระพรทางโลกฝ่ายวิญญาณนานัปการเต็มที่ ไม่ขาดตกบกพร่องอะไรเลยแม้แต่นิดเดียว ครบถ้วนบริบูรณ์ ที่จะเป็นคนดี และได้ดีในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ และในสวรรคสถานตลอดไปเป็นนิตย์ นี่ตัวยืนยันว่าเราไม่ต้องไปรับผิดชอบสิ่งที่เขาบอก แต่เหตุมาจากโลกใบนี้ที่เน่ามากกว่า

เอเฟซัส 1:3-6 “3 สรรเสริญพระเจ้า พระบิดาของพระเยซูคริสต์เจ้าของเรา ผู้ประทานพระพรฝ่ายจิตวิญญาณนานัปการในพระคริสต์แก่เราทั้งหลายในสวรรคสถาน 4 เพราะพระองค์ได้ทรงเลือกเราไว้ในพระคริสต์ ตั้งแต่ก่อนทรงสร้างโลก ให้บริสุทธิ์ปราศจากที่ติในสายพระเนตรพระองค์ด้วยความรัก 5 พระองค์ทรงกำหนดไว้ล่วงหน้า ที่จะรับเราเป็นบุตรของพระองค์ ผ่านทางพระเยซูคริสต์ ตามพระประสงค์อันดีของพระองค์ 6 เพื่อเป็นการสรรเสริญพระคุณสูงส่ง ซึ่งพระองค์ประทานให้เราเปล่าๆ อย่างเหลือล้นในพระองค์ ผู้ทรงเป็นที่รักของพระเจ้า”

 

ชัดเจนมาก  พระเจ้าได้ประทานพระพรนานัปการ แปลว่าหมดทุกอย่าง ในพระคริสต์ ในพระคริสต์ คือในโลกวิญญาณ ก็คือพระพรทางฝ่ายวิญญาณ เราได้รับมาหมดเรียบร้อยแล้ว แต่พระพรทางฝ่ายเนื้อหนังที่ยังดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ มันก็ยังเป็นไปตาม ระเบียบกฎเกณฑ์ และเป็นไปตามคำสาปแช่งเดิมอยู่ พระเจ้ายังไม่ได้เปลี่ยนแปลงโลกใบนี้  เพราะฉะนั้น มันเป็นไปตามคำสาปแช่งที่มีอยู่บนโลกใบนี้ ซึ่งวันหนึ่งข้างหน้า พระเจ้าจะชำระให้ จะจัดการให้เรียบร้อย สัญญาไว้

เพราะฉะนั้น  แทนที่จะใส่ร้ายพระเจ้าว่าพระเจ้านำความชั่วร้ายมาให้ พระเจ้าทรมานลูกของตัวเอง เพื่อฝึกฝนอะไรต่างๆ เหล่านั้น ก็ควรเข้าใจให้ถูกต้องใหม่ว่าจริงๆ แล้วพระเจ้าเป็นผู้นำเราผ่านความทุกข์ยากลำบาก ที่ถูกล่อลวง โดยระบบของโลกใบนี้ ที่เสียหายไปแล้ว ที่กำลังถูกควบคุมโดยมารต่างหาก ไม่ใช่เป็นคนทำ แถมเป็นคนช่วยเราออกมาด้วยซ้ำไป

พระคัมภีร์บันทึกไว้ว่าเจ้าแห่งย่านฟ้าอากาศ  god of this world  ก็คือมาร ได้ปิดบังตาผู้คนเหล่านั้น ที่ยังไม่เชื่อ ให้ไม่เชื่อในข่าวประเสริฐของพระเจ้า  เพื่อที่จะได้เป็นศัตรูกับพระเจ้า เป็นพวกของมันต่อไป เพื่อทำสิ่งชั่วร้ายบนโลกใบนี้ ให้มันเกิดความยุ่งเหยิง วุ่นวาย  ทำให้คนที่เชื่อพระเจ้า หรือคริสเตียนสับสนมากขึ้น  ท่านจะเห็นภาพว่าอะไรต่างๆ ที่เกิดขึ้นบนโลกใบนี้ มันไม่ได้อยู่ที่พระเจ้าควบคุมอย่างเดียว คำว่าพระเจ้าทรงควบคุมทุกอย่างอยู่ อยู่ในพระหัตถ์พระเจ้า มิได้หมายถึงพระเจ้าอยากจะทำอะไรก็ทำ ไม่ใช่ มันมีกฎ มีระเบียบ พระเจ้าเป็นพระเจ้าผู้สัตย์ซื่อ ยุติธรรม ทำตามระบบระเบียบของพระองค์ พระองค์ไม่ละเมิดสิ่งที่พระองค์ทรงสั่งไว้ อะไรต่างๆ เหล่านี้ เพราะฉะนั้น เราจะเห็นชัดเจนว่ามารพยายามที่จะให้เราเข้าใจพระเจ้าผิด พยายามยัดเยียดความชั่วร้ายไปที่พระเจ้า ซึ่งอย่างที่ตะกี้บอก ถ้าเราฝังอยู่ในหัวตลอดเวลา พระเจ้าเป็นพระเจ้าดี ไม่มีความชั่วร้าย  ไม่ว่าเราจะคิดได้หรือไม่ได้ ไม่ว่าเราจะเข้าใจหรือไม่เข้าใจเหตุการณ์นั้นอย่างไรก็ตาม? แต่เราสรุปเลยว่าพระเจ้าเป็นพระเจ้าดี

“อันนี้ฉันไม่รู้หรอก ฉันไม่เข้าใจ ลึกซึ้งมาก”

สรุปแล้วว่าถ้าเป็นสิ่งที่ไม่ดี มาจากมารแน่นอน แต่ถ้าเป็นสิ่งที่ดี มาจากพระเจ้าแน่นอน สิ่งที่พระเจ้าทำเพื่อเรา ท่ามกลางความชั่วร้ายบนโลกใบนี้ มีบันทึกไว้ในหนังสือสดุดี ท่านลองดูนะ สดุดีบอกว่าพระองค์ทรงนำเรา เดินผ่านหุบเขาเงามัจจุราช ผมยกสดุดีมาให้ท่านเห็นชัดเจนแจ่มใส ได้ว่าทุกวันนี้ บนโลกใบนี้ เกิดอะไรขึ้น แล้วคริสเตียนอยู่ตรงไหน? ดำเนินชีวิตกันอย่างไรในโลกวิญญาณ  นี่คือสดุดี บทที่ 23 พระองค์ทรงเตรียมสำรับ คือเตรียมโต๊ะอาหารให้กับเราต่อหน้าต่อตาศัตรู พระองค์ทรงเจิมศีรษะเราด้วยน้ำมัน ลองอ่านดู สดุดี 23:1-6

ก่อนอ่าน ผมจะอธิบายให้ฟังในสดุดี บทที่ 22 และบทที่ 23 เขาเรียกว่าเป็นการบอกล่วงหน้าของพระเจ้า เวลาพระเจ้าบอกล่วงหน้า พระเจ้าบอก 2 อย่าง คือไม่ด้วยภาพ ก็ด้วยถ้อยคำ ถ้าด้วยถ้อยคำ เขาเรียกว่าเผยพระวจนะ แต่ถ้าด้วยภาพ เขาเรียกว่าด้วยนิมิต แต่นิมิตนี้ก็กำลังจะบอกว่าภายภาคหน้าจะเกิดอะไรขึ้น โดยให้นิมิตกับกษัตริย์ดาวิดบันทึกเอาไว้ถึงเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้น หลังจากที่กษัตริย์ดาวิดได้นิมิตนี้อีก 1,000 ปี เกี่ยวกับพระเยซูคริสต์ ที่จะมาเกิดเป็นมนุษย์  และไปยอมตาย ด้วยความทุกข์ทรมานบนไม้กางเขน หลั่งโลหิต เพื่อชำระบาป  ไถ่บาปให้กับมนุษย์ทุกคน  เพื่อให้มนุษย์ทุกคนกลับมาสู่ครอบครัวพระเจ้าเหมือนเดิมได้ เพื่อพระเจ้ากับมนุษย์จะได้คืนดีกันได้

เพราะฉะนั้น เรามาอยู่ในยุคนี้ เราหันกลับไปดูสิว่าในการบอกล่วงหน้าของพระเจ้า ในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นที่ไม้กางเขน มันเป็นอย่างไร? ก็คืออยู่ในสดุดี บทที่ 22 ท่านไปอ่านเอง สดุดี บทที่ 22 คือเหตุการณ์ทั้งหมด ที่อยู่ที่ไม้กางเขน ที่พระเยซูคริสต์กำลังไถ่บาปให้เรา จนกระทั่งจบ สำเร็จแล้ว  พอสำเร็จแล้วปุ๊บ นิมิตต่อมา ก็คือสดุดี 23 คือ เฮ้ๆ เป็นขึ้นจากความตายแล้ว  ต่อไปนี้มนุษย์กับพระเจ้ากลับคืนดีกันแล้ว มนุษย์สามารถเข้าไปอยู่ในพระนิเวศน์ของพระเจ้า เข้าไปอยู่ในสวรรคสถานได้แล้ว  แล้วพระเจ้าก็เข้ามาอยู่ในร่างกายของมนุษย์ และดำเนินไปด้วยกัน แล้วมันเป็นอย่างนี้ ก็เป็นอย่างที่เขียน สดุดีนี้ เป็นนิมิตที่กษัตริย์ดาวิดบันทึกเอาไว้

สดุดี 23 ก็คือความเป็นจริงในโลกฝ่ายวิญญาณ ในขณะนี้ ที่พวกเราทั้งหลาย เชื่อในพระเยซูคริสต์ และได้บังเกิดใหม่แล้ว ร่างกายเราเป็นวิหารของพระเจ้า พระเจ้าเข้ามาสถิตอยู่กับเราแล้ว ขณะที่ทุกวันนี้ ที่เรานั่งอยู่ที่นี่ มันเกิดสดุดี บทที่ 23 ในชีวิตของพวกเราทุกคน อ่านไป ท่านจะได้เข้าใจ

สดุดี 23:1-6 “1 องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงเลี้ยงดูข้าพเจ้าดั่งเลี้ยงแกะ ข้าพเจ้าจะไม่ขัดสน  2 พระองค์ทรงให้ข้าพเจ้านอนลงในทุ่งหญ้าเขียวสด พระองค์ทรงนำข้าพเจ้ามายังริมน้ำอันสงบ  3 พระองค์ทรงฟื้นฟูจิตวิญญาณของข้าพเจ้า พระองค์ทรงนำข้าพเจ้าไปในทางชอบธรรม เพื่อเห็นแก่พระนามของพระองค์ 4 แม้ข้าพระองค์เดินผ่านหุบเขาเงาแห่งความตาย ข้าพระองค์จะไม่หวาดกลัวความชั่วร้ายใดๆ เพราะพระองค์สถิตกับข้าพระองค์ พระองค์ทรงปกป้องและนำทางข้าพระองค์ ทำให้ข้าพระองค์สบายใจ 5 พระองค์ทรงจัดเตรียมอาหารสำหรับข้าพระองค์ ต่อหน้าศัตรูทั้งหลายของข้าพระองค์ พระองค์ทรงเจิมศีรษะข้าพระองค์ด้วยน้ำมัน จอกของข้าพระองค์เปี่ยมล้นอยู่ 6 แน่ทีเดียว ความดีและความรักอันยั่งยืนจะติดตามข้าพเจ้าไป ตลอดวันคืนชีวิตของข้าพเจ้า และข้าพเจ้าจะอาศัยอยู่ในพระนิเวศขององค์พระผู้เป็นเจ้าตลอดไป”

 

นี่คือท่านกำลังอยู่ตรงนี้ ที่เราอ่าน คือคำเผยพระวจนะบอกล่วงหน้าสิ่งที่เกิดขึ้น ในอีก 1,000 ปีข้างหน้า เมื่อพระเยซูมา และตอนนี้พระเยซูมาทำสำเร็จแล้วตามนี้  เลยมา 2,000 ปีแล้ว และเราทั้งหลายเชื่อในพระเยซู เรากำลังอยู่ตรงนี้เลย ทั้งหมด “บัดนี้ พระเจ้ากับมนุษย์สามารถเข้ากันได้แล้ว” ก็คือเราทั้งหลายเป็นคริสเตียน กำลังเป็นอย่างนี้ ตามที่บรรยายไว้ในหนังสือสดุดี บทที่ 23 ชัดเจน และเมื่อเราหมดหน้าที่บนโลกใบนี้แล้ว พระเจ้าก็จะมารับเรากลับบ้าน

ผมจะบอกให้ท่านฟัง พอเราได้เชื่อพระเจ้าแล้ว เชื่อพระเยซูแล้ว พอรับเชื่อปั๊บ เราได้บังเกิดใหม่ในโลกฝ่ายวิญญาณ มาเป็นวิญญาณ พระเจ้ามาสถิต และนำพาเราเดิน ดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ โดยตั้งใจที่จะใช้เรา  คือใช้เราที่เป็นมนุษย์ คือเรายังอยู่ในร่างกายเดิมนี้  ร่างกายเดิมที่ยังไปไหนมาไหนได้บนโลกใบนี้ เพื่อประกาศพระสิริ เพื่อให้แสงสว่างของพระองค์เข้ามาอยู่ในเรา และเราก็เป็นลูกของพระองค์ เป็นแสงสว่างเดียวกันนั่นแหละ ฉายแสงออกไปยังโลกใบนี้ ที่มันมืด เพื่อข่าวดีของพระเจ้า เพื่อผู้คนอีกมากหลาย เพื่อแผนการของพระองค์จะได้สำเร็จ เราไม่รู้แผนการคืออะไร? แต่พระองค์ทรงใช้อย่างนี้แหละ และถ้าเผื่อสมมติว่ามันไม่ได้ต้องการเราแล้ว ภาระนี้ไม่ต้องการเราแล้ว ก็มีคนอื่นทำ พระองค์ก็จะรับเรากลับบ้านไง อยู่ทำไม เหนื่อยเปล่าๆ มันไม่ได้ดีอยู่แล้ว มันทุกข์ ก็รับกลับไป เหมือนเกิดขึ้นกับเปาโล … เปาโลทั้งติดคุก ทั้งถูกเฆี่ยน เรือแตก จิปาถะ ไม่ตาย เพราะมันยังไม่ถึงเวลา มันยังไม่หมดภาระ ที่พระเจ้าให้เปาโลในการประกาศข่าว เปาโลก็พูดเอง ถ้าเราอยู่ ก็เป็นประโยชน์ สำหรับพวกท่าน  แต่ถ้าเราไป มันดีกว่าเยอะ ให้ไปดีกว่า ตายก็ได้กำไร และเปาโลมีทุกข์มาก เปาโลมีความเชื่อ มีความทุกข์ได้อย่างไร? เปาโล ในกิจการบอกว่าคนเอาผ้าเช็ดหน้าไปให้เปาโลวางมือ เอาผ้าเช็ดหน้าไปวางคนป่วย คนป่วยหายโรค เปาโลมีความเชื่อเยอะมากนะ ไม่กลัวอะไรเลย แต่เปาโลมีทุกข์ทรมานมาก มีหนามในเนื้อ ไปขอพระเจ้า  3 ครั้ง พระเจ้าบอกว่าอย่างไร? ถ้าเปาโลอธิษฐานถึง 3 ครั้งในความทุกข์ยากลำบากเหล่านั้น แสดงว่ามันทุกข์ยากลำบากจริงๆ และพระเจ้าบอกว่า …

“พระคุณของเรา ในพระเยซูคริสต์ มันมากเพียงพอสำหรับเจ้าในการทำงานอยู่บนโลกใบนี้ และฤทธิ์เดชอำนาจเราจะทวีคูณขึ้นเต็มขนาด ทำงานอย่างเต็มที่ในชีวิตของเจ้า เมื่อเจ้าอ่อนแอ ลำบาก”

พระเจ้ากำลังจะบอกว่าอย่างนั้นแหละดีแล้ว เพราะโลกใบนี้มันเป็นอย่างนั้น เราก็เหมือนกัน  ถ้าพระเจ้าเสร็จงานกับเรา พระเจ้าก็เอาเรากลับแล้ว เพราะฉะนั้น  เราอยู่ทุกวันนี้  พระเจ้าสถิตอยู่กับเรา นำพาเราเดินแต่ละวัน ก็เพื่อใช้เรา ใช้ร่างกายเราให้เป็นประโยชน์ในพระราชกิจของพระองค์ ในแผนการของพระองค์ ที่เราไม่รู้จริงๆ ว่ามันคืออะไร? แต่ใช้เราแน่นอน ตราบใดที่เรายังมีลมหายใจอยู่ พระเจ้าใช้เรา  และถ้าเสร็จการงานเมื่อไร พระเจ้าก็รับกลับไป ในขณะที่เรายังอยู่บนโลกใบนี้ ขณะนี้ เดี๋ยวนี้  ในพระคัมภีร์บอกท่านอยู่ในสวรรค์แล้ว แต่เป็นสวรรค์ระดับหนึ่งที่เรียกว่าพาราไดซ์ ภาษาไทยแปลว่าเมืองบรมสุขเกษม ตอนนี้ท่านอยู่ที่เมืองบรมสุขเกษม อยู่ในสวรรค์แล้ว ในวิญญาณท่าน พระคัมภีร์บอกว่าเมื่อท่านรับเชื่อในพระเยซูคริสต์ ท่านได้นั่งอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้า ในสวรรคสถานร่วมกับพระเยซูคริสต์เรียบร้อยไปแล้ว ท่านรู้ไหม? รู้ แต่บางครั้งลืม  ตอนมีความทุกข์มากๆ มันลืม มันเรื่องธรรมดา แต่ต้องรับรู้บ่อยๆ จดจ่อบ่อยๆ ท่านอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้า ในสวรรคสถาน อยู่เดี๋ยวนี้ ได้รับพระพรนานัปการเรียบร้อยไปแล้ว ที่ตะกี้เราอ่านกัน  ท่านอยู่ที่นี่แล้ว เพียงแต่มันถูกฟิค ถูกบังคับ  โดยการยังอยู่ในร่างกายของมนุษย์อยู่นี้  มันก็เลย ถูกเบียดบัง มองอะไรไม่เห็นชัด แต่พระเจ้ากำลังใช้ร่างกายนี้เป็นประโยชน์ในการประกาศข่าวดีของพระองค์ และเมื่อวันข้างหน้า

อย่างที่บอก เมื่อพระเยซูคริสต์กลับมา เมื่อหมดยุคของโลกใบนี้ ที่มันเสียหายนี้ เมื่อพระเจ้าล้างโลกใบนี้  มันก็จะมีสวรรค์ใหม่ลงมา อันนี้เรียกว่าสวรรค์จริงๆ ซึ่งพระคัมภีร์ใช้คำว่า “นครเยรูซาเล็มใหม่” ก็คือโลกใหม่ สวรรค์ใหม่ เพราะโลกเก่า ฟ้าเก่าได้ล่วงไป ทะเลก็ไม่มีอีกแล้ว  และพระเจ้าก็ให้เราเห็นลางๆ ว่าโลกใหม่หน้าตาเป็นอย่างไร? นิดหนึ่ง  เพื่อเป็นยาหอมให้กับท่าน ในการดำเนินชีวิตปีใหม่นี้ต่อไป จนกระทั่งถึงสุดท้าย ชีวิตเรา เราจะได้เผชิญกับความทุกข์ยากลำบากได้อย่างมั่นคงขึ้น  มีสันติสุข (ไม่เอาแล้วสุขสบายกาย ไม่หวังตรงนั้นแล้ว ได้ก็ดี ไม่ได้ก็ไม่เป็นไร แต่มีสันติสุข) ถ้าอย่างนี้มันเป็นไปได้แน่นอน เพราะว่าเป็นไปตามธรรมชาติความเป็นจริง ที่เกิดขึ้น  ไม่ฝืน อย่างนี้ได้แน่นอน คือหวังให้มีสันติสุขมากที่สุด

พระคัมภีร์เวลาเขาอธิษฐานกัน เขาให้พรกัน เขาจึงบอกว่าสันตุสุขจงมีแด่ท่าน ไม่ได้บอกความสุขจงมีแด่ท่าน สันติสุข เวลาบอกพระพร คือพระพรทางฝ่ายวิญญาณ ไม่ใช่พระพรทางฝ่ายร่างกาย เจริญรุ่งเรืองแข็งแรง  ร่ำรวย อะไรไม่ใช่เลย อันนั้นเป็นส่วนประกอบ มีไม่มีไม่เป็นไร เอเมน

วิวรณ์ 2:1-4 คือความหวังใจของเรา

วิวรณ์ 21:1-4  “1 และข้าพเจ้าเห็นฟ้าใหม่และโลกใหม่ เพราะฟ้าเดิมและโลกเดิมได้ดับสูญไปแล้ว ทะเลก็ไม่มีอีกแล้ว 2 ข้าพเจ้าเห็นนครบริสุทธิ์ คือเยรูซาเล็มใหม่ ที่พระเจ้าทรงให้เลื่อนลอยลงมาจากสวรรค์ นครนี้ ได้รับการตระเตรียมไว้เหมือนเจ้าสาวแต่งกายงดงามรอรับผู้เป็นสามี 3 และข้าพเจ้าได้ยินเสียงดังมาจากพระที่นั่งว่า “บัดนี้ ที่ประทับของพระเจ้ามาอยู่กับมนุษย์แล้ว พระองค์จะสถิตกับพวกเขา  เขาทั้งหลายจะเป็นประชากรของพระองค์ และพระเจ้าเองจะทรงอยู่กับพวกเขา และเป็นพระเจ้าของพวกเขา 4 พระองค์จะทรงซับน้ำตาทุกๆ หยดของพวกเขา จะไม่มีความตาย หรือการคร่ำครวญ หรือการร่ำไห้ หรือความเจ็บปวดรวดร้าว อีกต่อไป เพราะระบบเก่า ได้ผ่านพ้นไปแล้ว”

 

ระบบเก่า ก็คือโลกใบนี้ คำสาปแช่ง มันจบแล้ว  สวนเอเดนใหม่ สวรรค์ใหม่ที่พระเจ้าสร้างให้ มันดีกว่าเก่ามากสักไม่รู้เท่าไร? มากกว่าตอนโลกนี้ไม่เสียหายด้วยซ้ำ ดีกว่าสมัยที่อาดัมและเอวาตกลงไปในความบาป พระคัมภีร์บันทึกว่าพระเจ้าอยู่ด้วยกับอาดัมและเอวา พระเจ้าเดินอยู่ข้างๆ จูงมือเขาเดิน แค่นี้เขาก็มีความสุขเหลือหลายแล้ว แต่ในโลกใหม่นี้ บอกว่า …

“พระเจ้าทรงอยู่ในเขาเลย ไม่เอาอีกแล้ว ไม่ยืนข้างๆ ให้ถูกมารหลอกลูกฉันอีกแล้ว ฉันจะไปเดินอยู่ในตัวเขา เป็นหนึ่งเดียวกันเลย ไม่มีใครมาหลอกเขาได้อีกแล้ว ไม่มีใครมาเอาเขาออกไปจากมือฉันได้อีกแล้ว ไม่มีใครเอาแกะออกจากคอกของฉันได้อีกแล้ว ฉันไม่ยอมอีกแล้ว และจะอยู่ที่นั่นนิรันดร์กาล”

ผมอยากให้ท่านมองสดุดี บทที่ 23 ให้ท่านค่อยๆ อ่านไป แล้วให้พระวิญญาณเปิดตาฝ่ายวิญญาณให้ท่านเห็นว่าในขณะนี้ ในปัจจุบันนี้ ในเดี๋ยวนี้ เมื่อท่านเชื่อในพระเยซูคริสต์แล้ว ท่านอยู่อย่างนี้แล้ว ท่านเป็นอย่างนี้แล้ว องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงเลี้ยงดูข้าพเจ้าดุจเลี้ยงแกะ ให้ท่านใส่ชื่อท่านไปเลยว่าพระเจ้าเลี้ยงนครดุจเลี้ยงแกะ ใส่ชื่อท่านเข้าไปเลย มันเป็นเดี๋ยวนี้ มันอยู่เดี๋ยวนี้เลย ตอนนี้มันเป็นอย่างนี้อยู่ แล้วท่านจะไปกลัวความทุกข์ยากลำบากอะไรล่ะ ที่ท่านกลัวมาตลอด ที่ท่านวิตกกังวลมาตลอด เรื่องสุขภาพเอย การเงิน การงาน เรื่องความสัมพันธ์ เรื่องปัญหาต่างๆ ของโลกใบนี้ เรื่องความวุ่นวายต่างๆ ของโลกใบนี้ ท่านกลัวอะไรตอนนี้  พระเจ้าอยู่กับท่านตอนนี้แล้ว

ท่านหลับตาลงก็ได้ เดี๋ยวผมอ่านให้ฟัง จะได้มีสมาธิ

“พระเจ้าทรงเป็นผู้เลี้ยงฉันเหมือนกับเลี้ยงแกะ ฉันไม่มีวันที่ขัดสนในพระพรต่างๆ ในโลกฝ่ายวิญญาณเลยแม้แต่นิดเดียว ฉันครบถ้วนบริบูรณ์ เป็นผู้ชอบธรรม พระองค์ทรงให้ฉันนอนที่ทุ่งหญ้าเขียวสด และนำฉันไปยังริมน้ำแดนสงบ เต็มไปด้วยสันติสุข พระองค์ให้ฉันบังเกิดใหม่ในวิญญาณ เป็นวิญญาณที่บริสุทธิ์สะอาด เหมือนพระเยซู และพระองค์ทรงทำให้ฉันเป็นผู้ชอบธรรม ฉันเป็นผู้ชอบธรรม โดยพระเยซูคริสต์ แม้ว่าฉันยังดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้อยู่ ต้องเดินผ่านหุบเขาเงามัจจุราช เงาแห่งความตาย ความชั่ว ฉันก็จะไม่กลัวความชั่วร้ายใดๆ เพราะว่าพระเจ้าสถิตอยู่ในร่างกายฉันขณะนี้ พระองค์จะทรงปกป้องฉันและนำทางฉัน ฉันสามารถวางใจและสบายใจได้ในพระองค์ พระองค์ทรงเตรียมทุกสิ่งไว้ให้ ในการดำเนินชีวิตอยู่ ต่อหน้าต่อตาศัตรูรอบข้างบนโลกใบนี้  พระองค์ทรงเจิมศีรษะของฉันด้วยน้ำมัน ด้วยความรัก ด้วยความเอ็นดู ด้วยความเมตตา ด้วยความปลอบโยนจิตใจฉันตลอดเวลา ขันน้ำก็ล้นอยู่ ความปลื้มปิติยินดีในความรักของพระเจ้า ก็ล้นอยู่ในใจของฉันตลอดเวลา ตลอดวันคืน ซึ่งแน่นอนทีเดียว ที่ความดี ความรัก อันมั่นคงของพระเจ้านี้ จะอยู่กับฉัน ในชีวิตของฉันนี้ตลอดไป ตลอดวัน ตลอดคืน ตลอดชีวิตของฉัน และฉันจะอยู่อาศัยในพระนิเวศน์ของพระเจ้าอย่างนี้ตลอดไป จนกระทั่งไปถึงสวรรค์ใหม่ที่พระองค์ทรงจัดเตรียมไว้ให้ จะไม่มีความทุกข์ยากลำบากที่นั่นอีกต่อไป จะไม่มีโรคภัยไข้เจ็บ ไม่มีความขาดแคลน ไม่มีการทะเลาะวิวาท ไม่มีปัญหาใดๆ ในสวรรค์ที่นั่นอีกต่อไป”

แล้วให้ท่านใช้เวลานี้อธิษฐานกับพระเจ้า ขอพระเจ้าอวยพรครับ

 

***********************

 

 

 

 

คำบรรยายคืนวันอาทิตย์ที่ 22 ธันวาคม 2019 เรื่อง “วันคริสต์มาส … คนบาปได้คืนดีกับพระเจ้า” ตอน 2 โดย นคร เวชสุภาพร

คำบรรยายคืนวันอาทิตย์ที่  22  ธันวาคม  2019

 เรื่อง “วันคริสต์มาส … คนบาปได้คืนดีกับพระเจ้า”  ตอน 2

โดย นคร  เวชสุภาพร

 

พระเจ้าสร้างมนุษย์ให้ขาวบริสุทธิ์เหมือนพระเจ้าเลย  พระเจ้าคุยด้วย ก็คุยได้ ติดต่อกับพระเจ้าได้ เพราะว่าพระเจ้าก็ขาวบริสุทธิ์ มนุษย์ก็บริสุทธิ์ วิญญาณบริสุทธิ์อยู่ด้วยกัน เป็นอย่างนี้เลย และมันเกี่ยวอะไรกับวันคริสตมาส เกี่ยวเพราะว่าถ้าเผื่อเป็นอย่างนี้ต่อไปเรื่อยๆ ก็ไม่จำเป็นต้องมีวันคริสตมาส พระเยซูไม่ต้องมาเกิดเป็นมนุษย์ มาไถ่บาปให้ แล้วมันเกิดอะไรขึ้น ทำไมพระเยซูจำเป็นต้องมา เพราะว่าไม่ว่าเราจะเดินไปไหน ก็จะเป็นอย่างนี้ตลอด มนุษย์ทุกคนเป็นวิญญาณ อาศัยในร่างกาย บางทีเรามอง เราก็นึกว่ามนุษย์เป็นร่างกายแค่นี้ ไม่ใช่ นั่นตัวปลอม ไม่ได้ตัวจริงเลย วันหนึ่งตัวท่านก็ต้องลงไปในดิน ต้องตายไป ตัวเราจริงๆ เป็นวิญญาณ

“มนุษย์เป็นวิญญาณ มีความคิดจิตใจ อาศัยในร่างกายชั่วคราว” เป็นแบบนี้ขาวบริสุทธิ์

ในพระคัมภีร์บอกว่ามนุษย์เริ่มต้นไปทำสิ่งหนึ่งที่เรียกว่าบาป … “บาป” แปลว่าไม่ตรงตามเป้าหมายที่พระเจ้าสร้าง พระเจ้าสร้างให้มนุษย์ขาวสะอาด อยู่กับพระเจ้าได้ มนุษย์ไปทำบาป ไปทำผิด ผิดความประสงค์ของผู้สร้าง ความประสงค์ของพ่อว่าสร้างเขามาให้เขาอยู่กับพ่อของเขา สะอาดหมดจด เขาไปเชื่อมาร ซึ่งเป็นต้นกำเนิดของความชั่วร้ายทั้งหมดเลย ความชั่วร้ายนี้ไม่ได้มาจากพระเจ้า พระเจ้าเป็นความดี เป็นความงาม แต่มารกำเนิดความชั่วร้ายด้วยตัวของมันเอง ในพระคัมภีร์ไบเบิ้ลเขียนไว้อย่างนั้น มารก็มาหลอกลวงมนุษย์ บอกว่า …

“ดื้อกับพระเจ้า กบฏกับพระเจ้าดีกว่า แล้วตัวเราเอง แทนที่จะเป็นลูกพระเจ้า เป็นพระเจ้าเสียเองเลย ในพระคัมภีร์ไบเบิ้ลบอกพอเขาไปเชื่อมารปั๊บ เขาตกลงไปในความบาป คือเขาไม่เชื่อฟัง เขาเป็นกบฏต่อพระเจ้า เขากำลังไล่พระเจ้าออกไป พูดง่ายๆ เขากำลังบอกพระเจ้าว่า …

“ฉันไม่เอาเธอแล้ว เธอออกไป”

ในพระคัมภีร์ไบเบิ้ลบอกว่ามนุษย์จึงตกลงไปในความบาป และความบาปนี้ ที่เขาทำลงไป มันเป็นผลให้เกิดความตาย ตายในฝ่ายวิญญาณ คือวิญญาณที่ขาวๆ อยู่กลายเป็นมืด ร่างกายก็มืด และไปเป็นทาส เหมือนไปเป็นลูกมาร เขากำลังไล่พระเจ้าออกไป พระเจ้าก็ไม่สามารถคุยกับเขาได้ ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นไป เขาก็ห่าง ตาเริ่มบอด เริ่มไม่รู้ว่าฉันเป็นใคร มาจากไหน? เขารู้อย่างเดียวว่า …

“ฉันมันดำ สกปรก ฉันต้องทำอะไรบางอย่าง เพราะว่าฉันไม่ได้ถูกสร้างมาเป็นอย่างนี้ แต่ว่าฉันทำอยู่ ฉันทนไม่ได้ แต่ไม่รู้จะทำอย่างไร? วิญญาณก็มืด ร่างกายก็มืด แล้วเขาทำอย่างไร? พระเจ้าออกไปแล้ว ติดต่อกันไม่ได้ ยิ่งนับวันเป็นสิบปี เป็นร้อยปี เป็นพันปี ยิ่งไม่เห็นใหญ่เลย มองไม่เห็นพระเจ้า แต่วิญญาณเขารู้อะไรบางอย่างว่า …

“มันไม่ใช่ที่ของฉัน สีดำๆ นี้ ฉันไม่อยากจะอยู่อย่างนี้ มันไม่ใช่ธรรมชาติของฉัน ที่ฉันเป็น วิญญาณฉันมาจากพระเจ้า ฉันไม่ได้ดำอย่างนี้ แต่ไม่รู้จะทำอย่างไร? ดิ้นก็ไม่หลุด เพราะว่ามันอยู่ที่วิญญาณ”

เพราะฉะนั้น เขาจึงทำได้แค่ร่างกายภายนอกนี้ ก็เริ่มทำสิ่งหนึ่งที่เรียกว่า “ความดี” ตลอดชีวิตของเขา ไม่ว่าจะกี่พันปีก็ตาม มนุษย์ก็จะทำอย่างนี้ ข้างในวิญญาณทำอะไรไม่ได้ ร่างกายรู้ว่า …

“ฉันเป็นสิ่งมีชีวิตที่มาจากสิ่งที่ดีงาม ตามธรรมชาติที่ฉันเกิดมาเป็น  ฉันควรจะทำดี ฉันควรจะให้ ร่างกายฉันทำอยู่ และฉันพยายามที่จะดำเนินชีวิตด้วยความรัก เพราะฉันเกิดมาเป็นอย่างนั้น ธรรมชาติของฉันเป็นอย่างนั้นจริงๆ”

นี่คือธรรมชาติของมนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้ จะเป็นอย่างนี้หมด จากสีดำ เห็นไหม? ข้างนอก ชีวิตเขาเป็นสีดำ เขาพยายามทำอะไรก็ได้ ให้มันเป็นสีขาวที่สุด เท่าที่เขาจะทำได้  เพราะเขารู้ว่าสีขาวจะช่วยลดภาระเขาลง ลดคำสาปแช่งลง จากอะไรบางอย่างที่มันผิดพลาดไป เรียกว่ากรรมก็ได้  กรรมเก่า หรืออะไรต่าง เขาไม่รู้ แต่เขารู้ว่ามันต้องมีอะไรบางอย่าง  ที่มันผิดปกติในชีวิตฉัน ฉันต้องใช้หนี้มัน เขาก็จะพยายามสู้กับมันด้วยตัวเอง ทำความดีต่างๆ เหล่านี้ เพื่อให้มันขาวขึ้น แจกจ่าย ทำบุญทำทานก็ว่าไป นี่ยกตัวอย่างให้ฟัง นี่คือความคิดของมนุษย์ทุกคน พยายามทำอย่างนี้ พยายามฝึกที่จะสู้กับมัน สู้กับความดำ ความมืด ความบาปในตัวของเขา

วิธีที่จะทำอย่างนี้ มนุษย์ทำอย่างไร? ก็บอกให้ครอบครัว ลูกหลานเหลนโหลน เผ่าพันธุ์ กลุ่มของตน ชนเผ่าของตน ทำความดี แล้วก็จดไว้ว่าอย่างนี้เรียกว่าดี คือ …

“การให้ คือความดีนะ จำไว้นะ ลูกๆ หลานๆ พวกเราทุกคนต้องรู้จักการให้ ต้องรู้จักแจกจ่ายคนยากจน คนตกทุกข์ได้ยาก น้ำท่วมต้องให้นะ”

เขาเรียกกันว่าเป็นกฎ … กฎของชุมชน เป็นกฎต่างๆ แล้วแต่กฎของกลุ่มไหนๆ ก็ช่วยกันคิดกฎดีๆ แล้วก็เขียนกฎนั้นออกมา เราเรียกกันว่ากฎศีลธรรม ก็แล้วแต่กลุ่มคน ชนชาติไหนก็ตาม ที่รู้ว่าอะไรที่ดีงาม ที่เรียกว่าลักษณะประเพณี วัฒนธรรม และเป็นศีลธรรมประจำกลุ่มต่างๆ ชนชาติต่างๆ ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา เป็นพันๆ ปี

อ้าว! มีเมตตา เห็นไหม?  นี่คือสิ่งที่มนุษย์พยายามจะทำให้ตัวเองขาวที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพราะรู้ว่ามันเป็นประโยชน์ต่อชีวิตของเขา แต่เห็นอะไรบางอย่างไหม? วิญญาณเขาไม่ได้กระทบเลย วิญญาณเขายังคงดำอยู่ แม้ข้างนอกจะดูเหมือนขาว ต่อให้ทำมากกว่านี้อีก มันก็ไม่มีวันที่จะขาวหมดได้ มันก็ยังมีดำๆ อยู่ เพราะข้างในตัวจริงๆ ของมนุษย์เป็นวิญญาณ มันดำอยู่ มันทำกันไม่ได้ ทำข้างนอกอย่างไร มันก็ไม่ถึงข้างใน

ที่ตะกี้บอกพระเจ้าถูกไล่ออกไปแล้ว ไม่มีความสัมพันธ์กัน ติดต่อกันไม่ได้ พระเจ้าทำอย่างไร? รักลูกของตนเอง อยากจะช่วยเขา แต่เขาไม่รู้เรื่องอะไรแล้ว  เขาไม่รู้จักกับเราแล้ว แต่เราก็ยังช่วยเขาอยู่ เพราะว่าเขาเป็นลูกเรา เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของเรา เราจะไปช่วยเขาให้ได้

ในพระคัมภีร์ไบเบิ้ลจึงเขียนไว้ว่ามนุษย์หลงไป พระเจ้าไม่ได้ว่ามนุษย์เลวทราม ไม่ดี เพียงแต่บอกมนุษย์หลงไป เขาหลงออกจากบ้านไป จะเรียกเขากลับบ้าน วิธีเรียก ก็คือส่งพระเยซูมา นี่แหละ วันคริสตมาส ส่งมาอย่างไร?  เพราะมนุษย์ช่วยตัวเองไม่ได้ เพราะวิญญาณเขาดำอยู่ ร่างกายเขาอาจจะพยายามทำได้ แต่เขาจะทำอย่างไร? ไม่มีทางจะเปลี่ยนวิญญาณได้  พระเจ้าจึงต้องประทานพระเยซูคริสต์มาในวันคริสตมาส พระเยซูมาประสูติ เพื่อที่จะเปลี่ยนข้างใน   ข้างนอกไม่สนใจเลย เพราะตัวข้างในนี้ คือตัวจริงๆ ของมนุษย์ ส่วนร่างกาย เดี๋ยวมันก็ต้องลงดิน ตายไป แต่วิญญาณต่างหากที่จะอยู่ตลอดไป จะอยู่ในนรก หรือสวรรค์ ต้องอยู่ตลอดไป เพราะเป็นวิญญาณที่มาจากพระเจ้า เป็นวิญญาณนิรันดร์ มีอยู่นิรันดร์ เพียงแต่จะอยู่ที่ไหนนิรันดร์เท่านั้นแหละ พระเยซูมาตายที่ไม้กางเขนไถ่บาปให้ มนุษย์คนไหนที่ได้ยินได้ฟังว่า …

“พระเยซูเหรอ ช่วยฉันได้เหรอ ฉันช่วยตัวเองไม่ได้”

ก็มาหาพระเยซูบอก “พระเยซูช่วยฉันด้วยเถิด เพราะว่าฉันช่วยตัวเองไม่ได้แล้ว เหนื่อยมากๆ เลย ไม่ไหวๆ ฉันรู้ว่าทำอย่างไรก็ไม่ครบถ้วนบริบูรณ์ เดี๋ยวก็ผิด เดี๋ยวก็พลาด ทำๆ ไป เดี๋ยวก็คิดชั่ว เดี๋ยวก็คิดไม่ดี ทำอย่างไรก็ไม่สะอาด ฉันช่วยตัวเองไม่ได้ พระเยซูช่วยฉันได้จริงๆ เหรอ ฉันขอพระเยซูมาช่วยฉันดีกว่า พระเยซูบอกผู้ใดแบกภาระและเหน็ดเหนื่อยจงมาหาเรา”

ทันทีที่เขาบอกว่าเขาขอพระเยซูมาช่วย เขายอมรับแล้วว่าเขาเป็นบาป เป็นมืดๆ อยู่ เขาช่วยตัวเองไม่ได้ ให้หลุดพ้นจากความมืดนี้ เขาต้องให้วิญญาณที่เป็นสว่าง คือพระเจ้ามาช่วยเขา เขาจึงจะทำได้ เพราะฉะนั้น เขาบอกว่าเขาไม่ไหวแล้ว ขอพระเยซูมาช่วยเถิด พระเยซูก็มาช่วยเขา  ไถ่บาปให้เขา ทันทีที่เขาเชื่อ และขอพระเยซูมาช่วย อย่างที่บอก พระเยซูมาเรียกร้องขอเขาตลอด

“เปิดใจเถิดๆ เราจะเข้าไปช่วยในใจเขา”

เขาไม่ได้รู้ เขาไม่ได้ยิน เพราะเขาชินกับสิ่งที่เขาทำมาตลอด เขานึกว่าสิ่งนี้ยังช่วยได้อยู่ ปะเข้าไปเรื่อยๆ  จนวันหนึ่งปะ จนหมดแรง เหนื่อยแล้ว ไม่ไหวจริงๆ ขอพระเยซูช่วยดีกว่า อย่างนั้นแหละ พระเยซูต้องการวันนั้น วันที่เขาหมดแรง พอเขาบอกขอพระเยซูมาช่วยปั๊บ วิญญาณเขาขอ ผ่านทางตัวของเขาถูกไหม? เขาจะทำอะไร ต้องผ่านทางวิญญาณ  วิญญาณเขาก็ได้รับการบังเกิดใหม่  พระเยซูเป็นแสงสว่าง เป็นฤทธิ์อำนาจ วิญญาณพระเยซูจะผ่านเข้าไปในวิญญาณ จากปากที่เขาพูด จะเข้าไปอยู่ในนี้ เปลี่ยนแปลงวิญญาณที่มืดๆ เมื่อกี้ กลายเป็นมาสว่าง สะอาดหมดจด บริสุทธิ์ผุดผ่อง ไม่มีบาป ไร้ที่ตำหนิ ไร้มลทินใดๆ เป็นผู้ชอบธรรม เหมือนไม่เคยทำผิดอะไรเลยแม้แต่นิดเดียว ความมืดความดำ พระเยซูเอาออกไปหมดแล้ว แล้วก็กลับคืนสู่พระเจ้า   เขาก็จะมองเห็นพระเจ้า ในวิญญาณ พระเจ้าก็สามารถเข้าไปกอดเขาได้ เหมือนเดิม และจากนี้เป็นต้นไป พระเจ้าก็จะจูงมือเขาเดินไปไหน? ก็ไปด้วยกันตลอด

ขณะเดียวกัน ที่ข้างนอก ทำอะไรอยู่ ตัวมืดๆ นี้ มันก็เริ่มเป็นสีเทา ดีขึ้น แต่มันก็ยังเหมือนเดิม มันไม่เปลี่ยนแปลง เพราะว่าวันหนึ่งมันต้องลงไปสู่ดิน มันถูกสาปไปแล้ว อย่างไร มันไม่ได้ดีกว่านี้แล้ว พระเจ้าจะสนใจตรงวิญญาณมากกว่า จะได้ไปอยู่สวรรค์นิรันดร์ และพระเจ้าเตรียมร่างกายใหม่ให้ เมื่อร่างกายนี้ วันหนึ่ง 80  … 90 … 100 ปี หรือกี่ปีก็ตาม จากไป พระเจ้าเตรียมร่างกายใหม่ ร่างกายสำหรับสวรรค์ ที่กลับมาเหมือนสมัยตอนถูกสร้างขึ้นใหม่ๆ ไม่มีโรคภัยไข้เจ็บ ไม่มีมะเร็ง ไม่มีทะเลาะกัน ไม่มีทุกข์ทรมาน ไม่มีแม้กระทั่งน้ำตาและความโศกเศร้า โดยที่ให้ร่างกายนี้ ได้เข้าไปสวมแทนร่างกายที่เข้าไปสู่ดินนี้ และพระเจ้าจะให้เขาครอบครองในสวรรค์ ซึ่งเรียกว่าบ้านของพระเจ้า ซึ่งในพระคัมภีร์เขียนไว้อย่างนี้ สวยสดงดงาม ร่วมกับพระเยซูคริสต์ ซึ่งเหมือนพี่ชายร่วมกัน เป็นลูกของพระเจ้า  เป็นทายาทร่วมกัน ครอบครองมรดก และทรัพย์สมบัติทุกอย่างในสวรรคสถานนั้นทั้งหมดเลย เป็นของเขา เท่ากันหมด ไม่ว่าเขาจะเป็นใคร? มีค่าเท่ากัน ได้เท่ากัน มีศักดิ์ศรีสูงเท่ากันกับพระเยซูเลย นี่แหละ ทำไมพระเยซูจึงมาเกิดเป็นมนุษย์

เพราะฉะนั้น เวลาคนมาเชื่อพระเยซู เขาไปสวรรค์แน่นอน ถามว่าทำไมไป เพราะว่าคนมาเชื่อพระเยซูแล้ว ข้างในขาว ต่อให้ไปโกหกเขาบ้าง ไปทำไม่ดีบ้าง ไปตีเขาบ้าง มันไม่ได้เกี่ยวกับข้างในแล้ว ข้างในพระเจ้าก็จะเริ่มสอนเขา วิญญาณเขาสะอาดหมดจด ไม่โกรธใคร ไม่เกลียดใคร เขาอภัยให้ใครก็ได้ทั้งหมดแล้ว จริงๆ ในใจฉัน ไม่เกลียดเลย แต่ข้างนอกมันเคยชิน มันก็เลย หมั่นไส้บ้าง? ไม่ได้สนใจตรงนี้หรอก เพราะวันหนึ่งมันจะจากไป ทิ้งไป ตัวจริงๆ มันสำคัญกว่า เหมือนกัน แต่คนละด้านกับครั้งแรก ตอนนี้ข้างในดำ ข้างนอกพยายามปะให้ขาว มันก็ไม่เข้าข้างใน พระเยซูบอก เหมือนหลุมศพฉาบปูนขาว ตอนแรกคือดำๆ ข้างใน ข้างนอกพยายามฉาบปูนขาว มันก็ไม่ถึงข้างใน ในทางกลับกัน เมื่อต้อนรับพระเยซูเป็นผู้ช่วยให้รอดแล้ว ไม่พึ่งตนเองอีกแล้ว ไม่พึ่งความดีของตัวเอง ไม่พึ่งการกระทำของตัวเองอีกแล้ว พึ่งในการกระทำของพระเยซู ทันทีทันใดนั้น ข้างในสะอาด ข้างนอกอาจจะสกปรกบ้าง ช่างมัน เดี๋ยวพระเจ้านำไปทีละนิด มอบให้พระเจ้าไป ท่านลองคิดดู เมื่อตอนเริ่มต้น ตอนที่มนุษย์ตกลงไปในความบาป และเป็นดำๆ นั้น มนุษย์ก็ไม่ได้ทำเอง ถูกไหม? เราเกิดมา เราดำขึ้นมาทันทีเลย เพราะมาจากบรรพบุรุษเรา คืออาดัมที่ดำอยู่แล้ว

เพราะฉะนั้น ตอนนี้ พระเยซูมา เราย้ายข้างมาอยู่กับพระเยซู พระเยซูทำให้เราขาว เราไม่ต้องทำอะไร เราก็อยู่เฉยๆ นั่นแหละ เราก็ขาวได้ โดยการเลือกข้างเอา เพราะตอนที่เราตกนรก หรือเราเป็นวิญญาณที่ดำอยู่ ตัดขาดจากพระเจ้า เราก็ไม่ได้ทำอะไรเลย เพราะอาดัมส่งทอดมาอีกที เพียงแต่เราย้ายจากอาดัมมาอยู่ที่พระเยซู ซึ่งเป็นมนุษย์อีกคนหนึ่ง พอย้ายข้าง เราก็มีชัยชนะ เป็นสีขาว โดยที่ไม่ต้องทำอะไรเลย เหมือนกัน นี่เขาเรียกว่าข่าวดีที่มาถึงมนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้ ในลักษณะของวันคริสตมาส ก็คือพระเจ้าผู้สร้างสรรพสิ่งทั้งหลาย ยอมสละสภาพพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์ เพื่อตายที่ไม้กางเขน เพื่อหลั่งพระโลหิต เพื่อชำระบาปให้กับมนุษย์ทั้งปวงทุกคน ให้พ้นจากโทษของความบาป กลับมาคืนดีกับพระเจ้า มาสู่แสงสว่าง ความสะอาด ความขาวบริสุทธิ์เหมือนพระเจ้าได้ โดยเพียงแค่เชื่อในพระเยซูคริสต์เท่านั้น  ยอมรับในเรื่องนี้ว่ามนุษย์เป็นวิญญาณจริงๆ และมันเป็นอย่างนี้จริงๆ แค่นี้เอง และยอมรับว่าพระเยซูมา เพื่อช่วยฉัน และฉันช่วยตัวเองไม่ได้ ก็คือ ….

–  ยอมรับว่าฉันเป็นคนบาป มืดๆ

–  ฉันต้องการความช่วยเหลือ

–  และพระเยซูช่วยฉันได้ ฉันขอพระเยซูมาช่วย จบ

แค่นั้น การพูดแค่นี้ การเชื่อแค่นี้ เป็นการย้ายข้าง จากบรรพบุรุษอาดัมมาสู่พระเยซูคริสต์ จากนั้นไป ไม่ต้องทำอะไร? บางคนถามว่าย้ายข้างต้องทำอะไรไหม? ต้องทำอันนั้นไหม? ต้องทำอันนี้ไหม? ต้องมีประเพณีเก่า ประเพณีใหม่ ประเพณีของศาสนาเดิม ของศาสนาเก่า ศาสนาใหม่ ศาสนาคริสต์ ต้องทำไหม? ไม่ต้องทำอะไรทั้งนั้น ไม่ต้องไปยุ่งกับอะไรทั้งสิ้นเลย เชื่อแค่นี้อย่างเดียว นอกนั้นคิดว่าอยากจะทำอะไรที่มันเป็นประโยชน์ ก็ทำไป อะไรที่คิดว่าไม่อยากทำ ก็ไม่ต้องทำ เพราะว่าตรงที่สำคัญที่สุดในวิญญาณเรา เราทำแล้ว คือเราย้ายข้างวิญญาณมาสู่ฝั่งพระเยซูคริสต์แล้ว ไม่เชื่อ ท่านลองดูก็ได้ ท่านจะเห็นชัดเจนว่ามันเป็นจริง เอากลับไปนั่งคิดดูก็ได้

นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้น จากการที่พระเยซูคริสต์มาเกิด และเราฉลองวันคริสตมาส ชาวโลกยินดี ก็เพราะอย่างนี้ เพราะมีทางไปแล้ว เรามีทางออกแล้ว และการที่จะไปอยู่กับพระเจ้า มันจะอยู่นิรันดร์กาล เพราะฉะนั้น คนที่เชื่อพระเยซู เราจะเห็นอย่างนี้ เขาอาจจะเจอความทุกข์ลำบากบนโลกใบนี้ ซึ่งมันเสียหายไปเยอะแยะมากมาย ความวิปริตของโลกใบนี้ ซึ่งเสียหายไป เนื่องจากบรรพบุรุษเรา  เอาความชั่วร้ายเข้ามาในโลกใบนี้ ผ่านทางมารซาตาน ซึ่งปัจจุบันยังไม่ได้ถูกสะสางคดี วันหนึ่งมันจะถูกสะสางคดี มันก็จะมีความทุกข์ลำบากบ้าง แต่มันเพียงชั่วคราว แป๊บเดียวเอง เดี๋ยวมันก็ผ่านไป วิญญาณก็ไปอยู่กับพระเจ้านิรันดร์เท่านั้นเอง แล้วพระเจ้าจะสร้างโลกใหม่ ร่างกายใหม่ให้กับลูกๆ ของพระองค์อยู่ร่วมกัน นี่คือคำสัญญาที่ให้ไว้ เอเมน ขอพระเจ้าอวยพรครับ

 

*****************************

 

 

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 22 ธันวาคม 2019 เรื่อง “วันคริสต์มาส … คนบาปได้คืนดีกับพระเจ้า” ตอน 1 โดย นคร เวชสุภาพร

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  22  ธันวาคม  2019

 เรื่อง “วันคริสต์มาส … คนบาปได้คืนดีกับพระเจ้า”  ตอน 1

โดย นคร  เวชสุภาพร

            Merry  Christmas” ครับ  แปลภาษาไทยเลย “ขอให้ท่านได้พบสันติสุข และความสงบทางใจ  จากการเสียสละของพระเยซูคริสต์  ที่ได้ทรงไถ่บาปให้ท่าน”

วันนี้ก็ต้องมาพูดเรื่องความหมายของคริสตมาสทุกปี ก็ต้องพูดอย่างนี้ คริสเตียนทุกคนตอบกันได้หมดว่าวันคริสตมาส ก็คือวันที่เขาฉลอง ไม่ใช่วันประสูติจริงๆ นะ หมายถึงเขาถือเอาวันนี้มาฉลองการประสูติของพระเยซูคริสต์ ซึ่งเป็นพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์ เพื่อมาไถ่บาปให้กับมนุษย์ทั้งปวง ให้รอดพ้นจากโทษของความบาปทั้งมวล  ตามที่พระคัมภีร์บอกว่ามนุษย์ทุกคนเป็นคนบาป  และต้องรับโทษของความบาปนั้นทุกคน โทษนี้ก็คือถูกตัดขาดจากความสัมพันธ์กับพระเจ้า ไม่สามารถอยู่ร่วมกับพระเจ้าได้ ไม่สามารถเข้าไปในอาณาจักรสวรรค์ของพระเจ้าได้ เข้าไปไม่ได้เลย พระเจ้าจึงส่งพระบุตรองค์เดียว คือพระเยซูคริสต์ มาช่วยมนุษย์ให้รอดพ้นจากโทษของความบาป กลับไปคืนดี ไปมีสัมพันธ์กับพระเจ้าที่ดีเหมือนเดิม

นี่คือคำตอบว่าทำไมต้องมีวันคริสตมาส  หรือทำไมพระเยซูต้องมาเกิดเป็นมนุษย์ ซึ่งทุกคนที่เป็นคริสเตียนก็ต้องรู้ตรงนี้อยู่แล้ว เป็นพื้นฐาน

ถ้าใครถามว่า “ทำไมต้องมีวันคริสตมาส”

ก็ต้องตอบเขาว่า “เพื่อว่ามนุษย์จะได้สามารถกลับคืนดีกันกับพระเจ้าได้”

เข้ากันได้ มีความสัมพันธ์กันได้ อย่างถูกต้อง เหมือนกับนึกถึงเรื่องนี้ เมื่อ 2 เดือนที่แล้ว ปกติบ้านเราใช้ไฟฟ้า 220 โวลต์ เราเสียบปลั๊กไป กระแสไฟ วิ่งมา 220 โวลต์ ผมไปหยิบเอาหลอดไฟที่มันเป็นหลอด 12 โวลต์ พอเสียบไปปุ๊บ มันขาด ไม่สว่างเลย ผมก็นึกขึ้นได้ เหมือนไม่มีผิดเลย  เมื่อมนุษย์ทำบาป ก็ถูกตัดขาดออกจากพระเจ้าไปอย่างนี้ เข้ากันไม่ได้เลย มันไม่สว่าง ผมต้องไปเปลี่ยนเอาหลอดใหม่มา ซึ่งเขียนว่าหลอด 220 โวลต์ พอเสียบไปปุ๊บ มันกลับคืนดีกับไฟฟ้า เพราะมันคืนดีกัน มันเป็น 220 เหมือนกัน มันจึงเข้ากันได้ มันแปลว่าอย่างนี้

เราก็จะมาย้อนเหตุการณ์ถอยหลังไปอีกว่าก่อนที่มนุษย์จะกลายเป็นคนบาป มีอะไรเกิดขึ้นบ้าง? แล้วทำไมอยู่ๆ มนุษย์ก็บาป และต้องได้รับโทษของความบาปนั้น พูดง่ายๆ ถ้าพระเจ้าสร้างมนุษย์ ทำไมมนุษย์จะต้องตายด้วย หมายถึงตายทางร่างกายนี้ด้วยนะ ทำไมต้องเจ็บป่วย ทำไมต้องตาย

ก่อนอื่น เราต้องเข้าใจก่อนว่าตัวตนที่แท้จริงของมนุษย์เป็นอย่างไร? เราจะศึกษาเรื่องนี้ จะดูให้ถ่องแท้ เราต้องรู้ว่ามนุษย์นั้น ประกอบด้วยอะไรบ้าง? ในพระคัมภีร์บอกมนุษย์เป็นวิญญาณ ไม่ใช่มนุษย์มีวิญญาณนะ มนุษย์เป็นวิญญาณ เหมือนที่ท่านบอกว่า …

“ฉันเป็นผู้หญิง” ไม่ใช่บอกว่า “ฉันมีผู้หญิงอยู่” … “ฉันเป็นผู้ชาย” มันต่างกัน

พระคัมภีร์บอกว่ามนุษย์เป็นวิญญาณ ที่มีจิตใจติดอยู่กับวิญญาณนั้น และอาศัยอยู่ในร่างกายที่ถูกสร้างขึ้นมาจากธาตุทั้ง 4 ที่เรียกว่าโลกนี้  คือดิน น้ำ ลม ไฟ ถ้าจะศึกษาเรื่องเกี่ยวกับพระเจ้า เกี่ยวกับเรา อันนี้สำคัญที่สุด นี่คือความจริงที่มนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้ จำเป็นต้องรู้ และเมื่อรู้แล้ว จำเป็นต้องยอมรับ เพราะฉะนั้น ถ้าเผื่อตรงนี้ไม่รับตั้งแต่แรก  ที่เรียนไป ก็ไม่มีประโยชน์ มันผิดทาง เหมือนติดกระดุมเม็ดแรกผิด เพราะฉะนั้น ต้องจำไว้ว่ามนุษย์เป็นวิญญาณ มีจิตใจ อาศัยในร่างกาย จำได้ไหม?

“มนุษย์เป็นวิญญาณ มีจิตใจ อาศัยในร่างกาย”

มันต่างกันนะ “เป็น” … “มี” … “อาศัย”

จำไว้เลย ไปไหนก็ตาม ให้รู้ว่ามนุษย์ทุกคนเป็นวิญญาณ  ยกตัวอย่างเช่น ผมเป็นวิญญาณ คุณพิชิตเป็นร่างกายของผม ไปไหนก็ไปด้วยกัน ให้มองอย่างนี้ตลอด ดูในกระจกก็ให้เห็นว่าผม ฉันเป็นวิญญาณ มีความคิดอยู่ในนี้ คิดสรรเสริญพระเจ้าก็ได้ คิดไม่เชื่อฟังพระเจ้าก็ได้ แต่ฉันอาศัยอยู่ในร่างกายที่สร้างขึ้นมาด้วยดิน น้ำ ลม ไฟ  คือโลกใบนี้ ฉันจะอยู่ในร่างกายนี้ เพียงชั่วคราว

และแรกเริ่ม เดิมทีนั้น วิญญาณข้างในตัวเรา มาจากพระเจ้า มีความสัมพันธ์กับพระเจ้า ใกล้ชิดสนิทสนม สัมผัสมองเห็นพระเจ้า มองเห็นโลกวิญญาณชัดเจนเลย ไม่ต้องพยายาม ต่อมาเมื่อมารซาตานเข้ามาล่อลวงให้มนุษย์หลงเชื่อ เริ่มดื้อกับพระเจ้า กบฏต่อพระเจ้า ไม่เชื่อฟังพระเจ้า ซึ่งพระคัมภีร์เรียกการไม่เชื่อฟัง การกบฏต่อพระเจ้านี้ว่าการทำบาป

การทำบาปนี้ เรียกว่า “Miss the target” แปลว่าไม่ตรงตามเป้าหมายที่พระเจ้าวางไว้ พระเจ้าไม่ได้วางไว้ให้มนุษย์ต้องตาย พระเจ้าไม่ได้วางให้มนุษย์เป็นอย่างนี้ แต่มนุษย์ไปทำให้มันเกิดขึ้น ผิดเป้าหมายไป เขาเรียกว่าทำบาป

และผลของความบาป พระคัมภีร์บันทึกไว้ว่าทำให้เกิดความตายในวิญญาณ แล้วมันก็มีผลออกมาที่ร่างกายต้องกลับสู่ดิน ซึ่งมนุษย์เราเรียกว่าตายเหมือนกัน  แต่จริงๆ มันคือการกลับไปสู่ดิน สลายไป แต่วิญญาณนั้นตาย ข้างใน

ตั้งแต่นั้นมา สภาพของมนุษย์จึงกลายเป็นวิญญาณที่บาป เมื่อตะกี้นี้ วิญญาณที่เราเห็น จากสภาพเป็นลูกพระเจ้า กลายเป็นวิญญาณบาป มีลักษณะเป็นศัตรู กบฏกับพระเจ้า ไม่สามารถเข้ากันกับพระเจ้าได้อีกต่อไป ไม่สามารถมีสัมพันธ์ที่ดีกับพระเจ้าได้อีกต่อไป  ไม่สามารถสัมผัส ไม่สามารถมองเห็นพระเจ้าได้อีกต่อไป ไม่สามารถรับรู้โลกวิญญาณได้เหมือนเดิมอีกต่อไป กลายเป็นทาสมาร ตกอยู่ใต้อิทธิพลของมาร มารมีความชั่วร้าย กำเนิดขึ้นมาด้วยตัวของมันเอง คือเป็นต้นกำเนิดของความชั่ว หรือความบาปทั้งปวง เป็นศัตรูกับพระเจ้าเกิดขึ้น โดยตัวของมันเอง ก็คือมารเป็นแหล่งกำเนิดของบาป เป็นรากของความบาป

เพราะฉะนั้น เราจึงเห็นภาพอย่างชัดเจนว่านี่แหละคือสิ่งที่เกิดขึ้น เมื่อวันที่มนุษย์ได้ถูกล่อลวงให้ตกลงไปในความบาป โดยผ่านทางอาดัมและเอวา บรรพบุรุษของเรา เมื่อมนุษย์ทำ ถือว่าเผ่าพันธุ์มนุษย์ทำ เพราะว่าเราทั้งหลาย อยู่ในดีเอ็นเอของอาดัมและเอวา เพราฉะนั้น ทุกคนในเผ่าพันธุ์นี้ ตกลงไปในโทษของความบาปนี้ เหมือนกัน อยู่ในคำสาปแช่งนี้ เหมือนกันทั้งสิ้นเลย

สาธิตให้ดู แรกเริ่มเดิมที ตอนพระเจ้าสร้างมนุษย์ใหม่ๆ วิญญาณของมนุษย์กับพระเจ้าไม่ต่างกันเลย บริสุทธิ์ สีขาว คือความบริสุทธิ์สะอาด พระเจ้ากับมนุษย์รวมกันเป็นหนึ่งเดียวกันได้ ไปไหนมาไหนได้ พอมนุษย์ถูกล่อลวงโดยมาร ให้ไม่เชื่อฟัง พระเจ้าสั่งไว้แล้วนะว่า …

“วันใดเจ้าขืนกบฏ ไม่เชื่อฟังเรา  เจ้าจะต้องตาย เจ้าจะได้รับโทษ เจ้าจะถูกตัดขาดจากเรา แล้วมารไปล่อลวงมนุษย์ อาดัมเอวาก็ได้ทำบาป ในโลกวิญญาณ ทันทีเลย ขาดออกจากกัน พระเจ้าสีขาว แต่มนุษย์เป็นสีดำแล้ว มืดแล้ว มนุษย์ลงไปอยู่ในอาณาจักรของความมืด จากวันนั้น มนุษย์ก็เป็นอย่างนี้ตลอด เข้ากับพระเจ้าไม่ได้

ตัวตนแท้ๆ ของมนุษย์ที่บอกว่าคือวิญญาณนั้น ข้างในมันเป็นบาป เป็นศัตรู กบฏกับพระเจ้า ไม่สามารถเข้ากับพระเจ้าได้เลย ซึ่งตามกฎของพระเจ้า ก็คือความบาปก่อให้เกิดความตายและคำสาปแช่ง ไม่ต้องบอกนะคำสาปแช่งแปลว่าอะไร? มนุษย์ทุกคนรู้ดี คือการรับสิ่งที่ไม่ดีทั้งหลายทั้งปวง

ปัญหาของมนุษย์จึงไม่ได้อยู่ที่การกระทำข้างนอก ที่เรียกว่าบาป แต่มันอยู่ที่สภาพวิญญาณที่เป็นบาปต่างหาก มนุษย์ทั่วๆ ไป จึงพยายามที่จะช่วยเหลือตนเองก่อนที่พระเยซูจะมาเกิด หรือแม้แต่เกิดแล้ว แต่ไม่ยอมรับพระเยซู เหมือนเราเมื่อตอนก่อนมาเชื่อพระเยซู มนุษย์จึงพยายามช่วยเหลือตนเองให้พ้นคำสาปแช่ง เพราะรู้ตัวเองว่าเราเป็นคนบาป ลึกๆ เรารู้ และพยายามทุกหนทางที่จะไม่ทำบาป เพื่อจะได้ลดโทษได้ลดคำสาปแช่ง แล้วคำถามว่ามนุษย์พยายามทำด้วยวิธีใด  ก็ด้วยวิธีฝึกฝน บอกลูก บอกหลาน บอกชุมชน บอกกลุ่มของตน บอกกับตัวเอง โดยออกเป็นกฎ เราเรียกกันว่ากฎระเบียบ กฎข้อกำหนดต่างๆ ข้อห้ามต่างๆ ศีลธรรมต่างๆ ตามที่แต่ละกลุ่ม แต่ละชุมชนเห็นพ้องกันว่ามันดีงาม ทำอย่างนี้ พยายาม แต่จิตสำนึกลึกๆ ข้างในของมนุษย์ก็รู้ว่าไม่มีทางที่จะทำได้ครบถ้วนบริบูรณ์ มันถึงมีคำว่า “ต้องสะสมบารมี” สะสมความดีไปเรื่อยๆ ต้องเกิดใหม่อีกกี่ครั้งก็ไม่รู้ แต่รู้ว่ามันต้องทำ เพราะไม่รู้จะทำอย่างไร?  ก็ได้แค่ทำจากข้างนอกเข้าไป มันจะครบถ้วนสมบูรณ์ได้อย่างไร? ในเมื่อปัญหามันอยู่ที่วิญญาณตัวจริงๆ ข้างใน เรามาแก้ข้างนอก มันไม่มีทางได้

ปัญหาของมนุษย์มันอยู่ที่วิญญาณที่เป็นตัวจริง ที่อยู่ข้างใน ที่มันเป็นบาป เป็นรากเหง้าของความชั่วร้ายต่างๆ เป็นพิษร้ายแรงอยู่ในวิญญาณ ที่เป็นตัวตนแท้ๆ ของเรา ไม่ใช่การกระทำเลย พอเห็นภาพไหม?

คือข้างนอกทำอะไร  มันไม่ได้เกี่ยวกับข้างในเลยแม้แต่นิดเดียว พระเยซูบอกว่าต้นไม้ดี มันก็อยู่ที่รากของมัน มันก็จะออกผลดี ถ้าเราไปเบียดกับต้นที่ไม่ดี ก็ออกผลไม่ดี ซึ่งตอนแรกๆ มันจะดูเหมือนดี เหมือนกับว่ากำลังยิ้มอยู่ แต่มันชั่วร้ายข้างใน เขาเรียกว่าหลุมศพฉาบปูนขาว ข้างนอกก็ดูสะอาดสอ้านเรียบร้อยดี แต่ข้างในมันสกปรก

นี่ไม่ได้หมายถึงพระเยซูต้องการมาว่าใคร? แต่พระเยซูกำลังมาบอกความจริงในโลกวิญญาณ ให้เราได้รู้ว่าเหตุมันเกิดขึ้นที่ใด และพระองค์มาเพื่อช่วยเราที่ต้นเหตุ เพื่อมันจะได้ผล ก็คือต้องมารักษาเรา ต้นเหตุที่เกิดขึ้น ก็คือที่วิญญาณของเรา พระเจ้าผู้เป็นพ่อก็ขอร้อง เรียกร้องให้ลูกๆ ของพระองค์กลับบ้าน กลับมาคืนดีกันเถอะ ตั้งแต่วันนั้น โดยวางแผนการไว้ให้พระเยซูมาช่วย ร้องเรียก เรียกร้องให้มนุษย์กลับสวรรค์เถิด กลับบ้านเราเถิด โดยทางพระเยซูคริสต์ ให้มาเป็นผู้เยียวยา รักษาวิญญาณของมนุษย์กลับคืนดีกับพระเจ้า ทำให้มนุษย์สามารถเข้ากับพระเจ้าได้ กลับมาอยู่ในบ้าน มาอยู่ในสวรรค์กับพระเจ้าชั่วนิรันดร์ ให้พระเยซูมา แก้ไข เปลี่ยนเราใหม่จากหลอดที่มันใช้ไม่ได้แล้ว ให้มันเป็นหลอดที่สามารถเสียบเข้าไปใน 220 โวลต์ แล้วก็สว่างออกมาได้ เอเมน เราไม่มีทางช่วยเหลือตัวเองได้ เราเป็นหลอดไฟริบรี่ๆ มีไฟไม่ถึง 1 โวลต์ เราพยายามปั่นตัวเอง ปั่นให้ตายอย่างไร ก็ไม่ถึง 220 โวลต์ พระเยซูคริสต์จะมาเปลี่ยนเราเลย ชุบเราใหม่เลย เอาหลอดของเรานั่นแหละทิ้งไปเลย แล้วให้หลอดเราใหม่ เป็นหลอด 220

“เสียบเลยลูก”

พอเสียบปั๊บ มันติดปุ๊บ มันสว่างทันที พระเยซูจึงบอกว่าท่านเป็นลูกแห่งความสว่างไม่รู้เหรอ จงให้ความสว่างในท่านฉายไปยังโลกใบนี้ ไปที่ไหน ก็สว่างที่นั่น เอเมน ไม่ใช่ความดีที่ท่านทำ แต่มันเป็นหลักวิทยาศาสตร์จริงๆ ในทางพระเจ้า เพราะฉะนั้น จึงไม่สนใจ พอสว่างแล้ว ข้างนอกท่านจะไปทำอะไร เดี๋ยวมันจะตามมาเอง และความสว่างนั้น เมื่อได้รับการช่วยเหลือจากพระเจ้า มัน เกิดที่วิญญาณ  เพราะฉะนั้น มันจะไม่ได้อยู่ในสวรรค์ แค่วันหนึ่ง 2 วัน  3 วัน 7 วัน แต่มันจะเป็นตลอดไป มันไม่สามารถที่จะมานับเวลาได้ เพราะว่ามันเป็นวิญญาณ เป็นตัวตนเราเปลี่ยนไปแล้ว เปลี่ยนไปเหมือนพระเจ้า เป็นลูกของพระเจ้า เป็นวิญญาณที่เรียกว่าวิญญาณนิรันดร์ ซึ่งไม่ได้แปลความหมายว่าระยะเวลานิรันดร์ เราจะอยู่ตลอดไป ไม่มีการตาย อันนั้นเป็นคุณสมบัติ ซึ่งได้รับอยู่แล้ว แต่เป็นวิญญาณที่เหมือนพระเจ้า เรียกว่าวิญญาณนิรันดร์ แล้วเราจะอยู่ที่นั่น พระเยซู เจ้าของวันคริสตมาสมาบังเกิด เพื่อมนุษย์จะได้กลับคืนดีกับพระเจ้า กลับไปอยู่สวรรค์ ไปอยู่บ้านของเรานิรันดร์ จะเป็นอย่างนั้นตลอดไป มีความสุขตลอดไปนิรันดร์ นี่คือความหวัง นี่คือความจริง  ที่พระเยซูมาเกิดเป็นมนุษย์ และตายที่ไม้กางเขน เพื่อเรา

ในวิวรณ์บทที่ 21 อ่านนิดหนึ่ง เพื่อจะให้กำลังใจท่านว่าทำไมคนรู้เรื่องนี้ จึงมาฉลองคริสตมาสกันมานานแล้ว ไม่ใช่คริสตมาสอย่างเดียว ฉลองทุกวันแหละ ดีใจเหลือเกินที่พระเยซูมาบังเกิด เพราะเขามีความหวังในชีวิตนิรันดร์ ที่ได้อยู่กับพระเจ้านิรันดร์กาล โดยไม่ได้เป็นคนบาปอีกต่อไป วิวรณ์ บทที่ 21 เขาบอกถึงบ้านที่เราจะอยู่กับพระเจ้าในสวรรคสถาน ในโลกที่มองไม่เห็น จงมองให้เห็นเถิดในโลกวิญญาณจะเป็นอย่างนี้ว่าเมื่อท่านเชื่อในข่าวดีของพระเยซู เชื่อในการทรงไถ่บาปของพระเยซู ที่มาเกิดเป็นมนุษย์ เจ้าของวันคริสตมาสแล้ว พระเยซูได้ไถ่ท่าน ให้ท่านได้กลับคืนดีกับพระเจ้า ทำให้ท่านไปอยู่ในบ้านแห่งสวรรค์ และบ้านสวรรค์นั้น ท่านจะอยู่นิรันดร์ มีลักษณะตอนจบเป็นอย่างไร เมื่อท่านเชื่อในข่าวดี เชื่อในพระเยซูคริสต์ ต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดจากบาป ท่านต้อนรับพระเยซูเมื่อไร? ท่านก็ถูกย้ายเข้ามาอยู่ในอาณาจักรสวรรค์ทันที แต่เป็นอาณาจักรสวรรค์ที่เรียกว่าพาราไดร์ เรียกว่าสวรรค์อันหนึ่ง ตอนที่เรานั่งอยู่นี้ เรานั่งอยู่ในสวรรค์แล้ว พระคัมภีร์บอก อยู่ในพาราไดร์ แต่รอการไปอยู่ในสวรรค์ใหญ่อีกครั้งหนึ่ง เมื่อวันที่พระเยซูกลับมาใหม่ หรือเมื่อวันที่ครบกำหนด ที่พระเจ้าจัดเตรียมให้กับโลกใบนี้ อาจจะเป็นพรุ่งนี้ มะรืนนี้ เที่ยงวันนี้ เราไม่รู้หรอก อาจจะเป็นปีหน้า อีกกี่ปีเราไม่รู้ มาดูสิว่าวันสุดท้ายจริงๆ เมื่อเราออกจากร่างกายนี้แล้ว  เราอยู่ที่ไหนนิรันดร์ จะได้เห็นภาพ จะได้เห็นความหมาย ความสำคัญของคริสตมาสว่ามันคืออะไร?

วิวรณ์ 21:1-4 “1 และข้าพเจ้าเห็นฟ้าใหม่และโลกใหม่ เพราะฟ้าเดิมและโลกเดิม ได้ดับสูญไปแล้ว ทะเลก็ไม่มีอีกแล้ว 2 ข้าพเจ้าเห็นนครบริสุทธิ์ คือเยรูซาเล็มใหม่ ที่พระเจ้าทรงให้เลื่อนลอยลงมาจากสวรรค์ นครนี้ ได้รับการตระเตรียมไว้เหมือนเจ้าสาว แต่งกายงดงามรอรับผู้เป็นสามี 3 และข้าพเจ้าได้ยินเสียงดังมาจากพระที่นั่งว่า “บัดนี้ ที่ประทับของพระเจ้ามาอยู่กับมนุษย์แล้ว พระองค์จะสถิตกับพวกเขา เขาทั้งหลายจะเป็นประชากรของพระองค์ และพระเจ้าเองจะทรงอยู่กับพวกเขา และเป็นพระเจ้าของพวกเขา 4 พระองค์จะทรงซับน้ำตาทุกๆ หยดของพวกเขา จะไม่มีความตาย หรือการคร่ำครวญ หรือการร่ำไห้ หรือความเจ็บปวดรวดร้าว อีกต่อไป เพราะระบบเก่าได้ผ่านพ้นไปแล้ว”

 

นี่คือความหวังที่ชัดเจน ที่มองเห็นจับต้องได้เลย สำหรับผู้ที่มีความเชื่อในพระเยซู และได้ยอมรับแล้วว่า …

“พระเยซูเป็นผู้ไถ่บาปให้กับตัวเอง ให้กับฉัน และบัดนี้ ฉันเป็นลูกของพระเจ้า อยู่ในสวรรค์แล้วปัจจุบันนี้ แต่อนาคตเมื่อฉันทิ้งร่างกายเก่านี้ไปแล้ว ที่ฉันสวมอยู่ในปัจจุบัน ฉันจะไปสวมร่างกายใหม่ ที่พระเจ้าจัดเตรียมให้ และจะไปอยู่ในสวรรค์”

แบบนี้ ชัดเจน ต้องบอกตัวเองเลยว่าจงมองให้เห็นเถิด มันเป็นอย่างนี้แหละ

เราควรจะมีความชื่นชมยินดีมากขนาดไหน? ในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ เมื่อเรารู้ความจริงเหล่านี้

ถ้าอยากให้เห็นโลกวิญญาณ ต้องช่วยเหลือ โดยการหลับตาเนื้อหนังซะ มันจะได้มีสมาธิ หลับตาลง แล้วก็บอกตัวเองนะ

“จงมองให้เห็นเถิดๆๆๆ”

แล้วก็นึกถึงภาพที่เขาอ่านถ้อยคำพระเจ้าให้เราฟังเมื่อสักครู่นี้

“บัดนี้ ที่ประทับของพระเจ้ามาอยู่กับมนุษย์แล้ว พระองค์จะทรงสถิตกับฉัน ฉันจะเป็นลูกของพระเจ้า เป็นประชากรของพระเจ้า และพระเจ้าเองจะทรงอยู่กับฉันตลอดเวลา และเป็นพระเจ้าของฉันตลอดไป และพระเจ้า พ่อของฉันนี้ จะซับน้ำตาทุกๆ หยดของฉัน จะไม่มีความตาย ไม่มีการคร่ำครวญ ไม่มีการร่ำไห้ ไม่มีการเจ็บปวดรวดร้าวอีกต่อไป เพราะโลกเก่า ระบบเก่าจบสิ้นแล้ว นี่คือโลกใหม่ บ้านใหม่ สวนเอเดนใหม่ ที่พระเจ้าจัดเตรียมให้กับฉัน เอเมน”

ลืมตาได้ เวลาท่านอ่านพระคัมภีร์ หรืออยากจะให้เข้าใจโลกวิญญาณชัดๆ พยายามทำอย่างนี้แหละ เราเรียกกันว่าภาวนา พิจารณา ใคร่ครวญถ้อยคำของพระเจ้า เราเรียกกันว่า Set our mind การตั้งโฟกัสไปที่โลกวิญญาณ คือสวรรคสถาน ซึ่งมันเป็นจริงตามถ้อยคำของพระเจ้า

ตอนที่พระเยซูลงมาเกิดเป็นมนุษย์ และเริ่มต้นทำการประกาศ ตอนอายุ 30  ตอนหลังคริสตมาสประมาณ 30 ปี พระองค์ทรงเริ่มต้นคำแรกเลย  พระองค์ประกาศ ในยอห์น 3:16 ว่า …

ยอห์น 3:16  “เพราะว่าพระเจ้าทรงรักโลก จนได้ประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ เพื่อทุกคนที่เชื่อในพระบุตรนั้น จะไม่พินาศ แต่มีชีวิตนิรันดร์”

 

พระบุตรองค์เดียว ก็คือตัวพระองค์เอง เพื่อจะไม่พินาศ ก็คือเพื่อจะไม่ต้องไปลงนรก ไม่ถูกลงโทษด้วยคำสาปแช่ง แต่ได้รับชีวิตนิรันดร์ คือชีวิตที่เป็นเหมือนพระเจ้า ไม่ใช่ชีวิตนิรันดร์คืออยู่ตลอดไป  แม้คนไม่เชื่อพระเจ้า ไม่ได้ต้อนรับพระเยซูคริสต์ให้เป็นพระผู้ช่วยให้รอด ก็อยู่ตลอดไปเหมือนกัน อยู่ในนรกตลอดไป อยู่ในความพินาศตลอดไป แต่ไม่มีวิญญาณของพระเจ้าอยู่ในชีวิตของเขา วิญญาณเขาอยู่ในความมืด

ในโคโลสี 1:21-22 ก็เช่นเดียวกัน ได้บันทึกไว้อย่างนี้ “21 ครั้งหนึ่ง พวกท่านเคยแยกขาดจากพระเจ้า และเป็นศัตรูกับพระองค์อยู่ในใจ เพราะพฤติการณ์ชั่วของท่าน 22 แต่บัดนี้ ทรงให้ท่านคืนดีกับพระองค์ โดยการสิ้นพระชนม์ของพระคริสต์ เพื่อถวายท่านให้เป็นผู้บริสุทธิ์ ปราศจากตำหนิ และพ้นจากข้อกล่าวหา ต่อหน้าพระองค์”

 

“ครั้งหนึ่ง พวกท่านเคยแยกขาดจากพระเจ้า เป็นศัตรูกับพระองค์อยู่ในใจ” ครั้งหนึ่ง เราเคยเป็นหลอดไฟที่ใช้ไม่ได้ ขืนเสียบไปพังแน่ เข้ากับพระเจ้าไม่ได้ แต่บัดนี้ ทรงให้ท่านคืนดีกับพระองค์ คือรักษาเรา ทำอะไรบางอย่างในวิญญาณของเรา ให้เราเป็นวิญญาณที่สามารถต่อติดกับพระเจ้าได้เหมือนเดิม

ในประโยคที่บอกว่าเพราะพฤติกรรมชั่วของท่านนั้น ไม่ใช่พฤติกรรม มันหมายถึงตัวตนจริงๆ ภาษาเดิมตรงนี้ หมายถึงว่าเพราะท่านเป็นศัตรูกับพระองค์อยู่ในวิญญาณของท่าน “เพราะพฤติกรรมชั่วของท่าน” ก็คือเพราะพฤติกรรมจากวิญญาณชั่วของท่าน วิญญาณที่สกปรก วิญญาณดำๆ นั้น พระคัมภีร์กำลังพูดอย่างนั้น ท่านไม่สามารถเข้าหาพระเจ้า แต่พระเจ้าพระเยซูเข้ามารักษาท่าน ในวิญญาณของท่านให้เปลี่ยนใหม่เลย บังเกิดใหม่  ไม่เอาหลอดเดิมอีกต่อไป เอาหลอดใหม่มาเลย วิญญาณท่านเปลี่ยนใหม่ สามารถเข้ากับพระเจ้าได้ นั่นหมายความว่าอย่างนี้

โรม 5:10 ก็เช่นเดียวกัน บอกไว้อย่างนี้ว่า … “เพราะถ้าเรายังได้คืนดีกับพระเจ้า โดยการสิ้นพระชนม์ของพระบุตรของพระองค์ ในขณะที่เราเป็นศัตรูกับพระองค์ ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อเราได้คืนดีกับพระองค์แล้ว เราก็จะได้รับความรอด โดยพระชนม์ชีพของพระองค์อย่างแน่นอน

 

ก่อนพระเยซูมาช่วยเรา เป็นอย่างนี้ โดยการสิ้นพระชนม์ของพระเยซูคริสต์ เราทั้งหลายได้รับการทำให้คืนดีกับพระเจ้า คืนดีแล้ว ดีกว่าเดิมอีก โดยพระชนม์ชีพของพระองค์ โดยโลหิตของพระเยซู ทำให้เราเป็นหนึ่งเดียวกัน จะเรียกว่าการบัพติศมาเข้าไปสู่วิญญาณเดียวกันก็ได้ ตามพระคัมภีร์บอก โคโลสี 1:12-14 …

โคโลสี 1:12-14 “12 ในการขอบพระคุณพระบิดา ผู้ทรงทำให้พวกท่านเหมาะสมที่จะมีส่วน ในกรรมสิทธิ์ของประชากรของพระเจ้า ในอาณาจักรแห่งความสว่าง 13 เพราะพระองค์ได้ทรงช่วยเราให้พ้นจากอาณาจักรของความมืด และทรงนำเราเข้ามาสู่อาณาจักรของพระบุตรที่รักของพระองค์ 14 ในพระบุตรนี้ เราได้รับการไถ่บาป คือการอภัยโทษบาปของเรา”

 

ก่อนที่เราจะรับเชื่อพระเยซูคริสต์ เราเป็นคนบาป วิญญาณเรามืด แต่เมื่อเราเริ่มต้นยอมรับ และเชื่อในความจริงในข่าวดีนี้ว่าพระเยซูเป็นผู้ช่วยให้เรารอดจากโทษของความบาป และความตายนี้ได้ พอเรารับเชื่อปั๊บ พระเจ้าได้เอาวิญญาณดำๆ ที่ข้างในนั้น ตัวตนแท้ๆ ของเราลงไปอยู่กับพระเยซู ไปตายร่วมกับพระเยซูที่ไม้กางเขน ไปลงในนรก พร้อมกับพระเยซู ในวินาทีนั้นเป็นอย่างนี้จริงๆ แล้ววันที่ 3 พระเจ้าก็ชุบให้เราเป็นขึ้นจากความตาย พร้อมกับพระเยซูคริสต์ ทั้งหมดในพระคัมภีร์ใหม่ ชัดเจน เป็นอย่างนี้ นี่ข่าวดีของพระเยซูคริสต์

ถามว่าทั้งหมดนี้ เกี่ยวอะไรกับที่เราทำไหม? ไม่เกี่ยวเลย  ข้างนอกจะทำอะไรไม่เกี่ยวเลย  ไม่สำคัญเลย สำคัญที่วิญญาณที่เราอยู่ข้างในต่างหาก ใช่ไหม? แล้วพระเยซู ก่อนที่พระองค์จะสิ้นพระชนม์ พระองค์จึงประกาศว่า “สำเร็จแล้ว” มนุษยชาติ จากอาณาจักรของความมืด  มาสู่ความสว่างได้รับอิสรภาพแล้ว จากอยู่ในคุกมืด บัดนี้มนุษย์ ไม่ใช่ฉันคนเดียว มนุษย์ทั้งหมด สามารถที่จะมาอยู่ในอาณาจักรแห่งความสว่าง มาคืนดีกับพระเจ้าได้แล้ว ที่พระองค์บอกสำเร็จแล้ว หมายถึงอย่างนั้น มนุษย์จากคนบาป มาเป็นคนชอบธรรมได้แล้ว วิญญาณนะ จากการเป็นทาส เป็นหนี้ต้องชดใช้ มาเป็นวิญญาณที่มีอิสรภาพ ได้ครอบครองสวรรค์ของพระเจ้า ในฐานะลูกของพระเจ้าด้วย ได้ถูกย้ายจากอำนาจของมาร มาสู่อำนาจของพระเจ้า จากอยู่ในนรก อยู่ในความพินาศตลอดไป กลายเป็นมาอยู่ในสวรรค์ และจะอยู่ในสวรรค์นิรันดร์ มีความสุขกับพระเจ้าตลอดไป ถูกย้ายจากเผ่าพันธุ์ที่เต็มไปด้วยความชั่วร้าย  ซึ่งได้รับมาจากรากของมารซาตาน ลงไปอยู่ในเผ่าพันธุ์มนุษย์ผ่านทางอาดัม ต้น DNA ของมนุษย์ เราเคยอยู่ในตัวอาดัม อยู่ในรากของต้นไม้ต้นนี้ เผ่าพันธุ์มนุษย์ ที่เป็นรากของความชั่วร้าย ความตาย การเป็นกบฏต่อพระเจ้า บัดนี้ถูกย้ายออกจากรากของต้นนี้แล้ว มาอยู่ในรากของต้นใหม่ที่ชื่อว่าพระเยซูคริสต์ เอเมน เห็นภาพไหม?

ทุกอย่างอยู่ที่รากมัน มันอยู่ที่ข้างใน มันไม่ได้อยู่ที่ข้างนอก  ถ้าเข้าต่อกับรากถูก มันไปเอง ข้างนอกไม่ต้องไปสนใจเลย ข้างนอกเดี๋ยวพระวิญญาณก็จะนำเราไปทำ ถูกๆ ผิดๆ บ้าง ก็ไม่เป็นไรหรอก ให้มันสมกับที่เป็นลูกพระเจ้าก็แล้วกัน จะเอาครบถ้วนบริบูรณ์ จนกระทั่งสุดท้ายบนโลกใบนี้ มันเป็นไม่ได้หรอก แต่วิญญาณมันสมบูรณ์แล้ว ไม่ต้องห่วง ลูกเอ๋ย เอเมน ตัดสินใจจากการเป็นศัตรูกับพระเจ้า เป็นกบฏต่อพระเจ้า  ไม่เชื่อฟังพระเจ้า มาเป็นลูกของพระเจ้า ที่เชื่อฟังพระเจ้า 100% เลย เข้ากันได้ดี เรียบร้อยเลย เพราะวิญญาณเข้ากันได้เรียบร้อยแล้ว พระเจ้าใช่ๆ แต่เนื้อหนังร่างกายข้างนอก ก็ว่ากันไปตามความเคยชิน ตามระบบที่ต้องอยู่บนโลกใบนี้  ระบบที่มันเสียหาย ไปบนโลกใบนี้ มันทำให้เกิดอะไรวิปริตวิปราตเยอะแยะไปหมด ไม่เป็นไรลูกเอ๋ย เดี๋ยวเรานำไปเอง เอเมน เขาถึงเรียกว่าพระคุณไง จากความทุกข์นิรันดร์ พระเยซูนำพาเรา เปลี่ยนแปลงวิญญาณเราเข้ามาสู่ความสุข ที่เป็นนิรันดร์ ซึ่งแปลว่าตลอดไป ตลอดกาล

1 โครินธ์ 15:22 “เพราะในเมื่อความตาย สืบเนื่องมาจากมนุษย์คนเดียว การเป็นขึ้นจากตาย ก็สืบเนื่องมาจากมนุษย์คนเดียวเช่นกัน เพราะว่าในอาดัม คนทั้งปวงตายฉันใด ในพระคริสต์ คนทั้งปวงจะได้รับชีวิต ฉันนั้น”

 

มนุษย์ทั้งหมด  เป็นวิญญาณ และทั้งหมดอยู่ในความตาย อยู่ในความมืด มนุษย์ทุกคนเริ่มต้นจากอาดัมนั่นเอง ในอาดัมคนทั้งปวงตาย นี่พูดถึงปฐมกาล และก็ตายมาตลอด เพราะมีแต่ลูกหลานอาดัมทั้งนั้น และลูกหลานเหล่านั้นก็ติดเชื้อมาตลอด วิญญาณก็ตายมาตลอด จนกระทั่ง เมื่อประมาณ 2,000 ปีที่แล้ว พระเยซูมาบังเกิดเป็นมนุษย์ เพื่อเป็นหัวหน้าของมนุษย์ เพราะมนุษย์ต้องได้รับการช่วยเหลือจากมนุษย์เท่านั้น มนุษย์จะได้รับการช่วยเหลือมาจากวิญญาณไม่ได้ วิญญาณหมายถึงวิญญาณเปล่าๆ จากทูตสวรรค์ก็ไม่ได้ จากพระเจ้าเองก็ไม่ได้ จากพระเยซูก็ไม่ได้ ถ้าเผื่อพระเยซูไม่มาเกิดเป็นมนุษย์ พระองค์ก็เป็นวิญญาณ ก็มาทำอะไรบนโลกใบนี้ไม่ได้ โลกใบนี้เป็นของมนุษย์ เพราะฉะนั้น ใครจะมาทำอะไรบนโลกใบนี้ ต้องเป็นมนุษย์ พระเยซูจึงต้องมาเกิดเป็นมนุษย์ เพื่อจะได้มีสิทธิ จะทำอะไรก็ได้  เป็นหนึ่งคนของมนุษย์ เผ่าพันธุ์ของมนุษย์ และเป็นมนุษย์ที่มาจากพระเจ้า  และเป็นมนุษย์ 100% ก็คือเป็นบุคคลเดียวในโลกใบนี้ ที่พิเศษกว่าชาวบ้านเขา สมัยนั้น  เรียกว่าเป็นทั้งพระเจ้าและเป็นทั้งมนุษย์ในคนเดียวกัน จึงจำเป็นต้องมาเกิดในหญิงพรหมจารีย์ แมรี่ เพื่อเป็นมนุษย์ แต่วิญญาณมาจากพระเจ้า เพื่อมาเป็นตัวแทนของมนุษย์ รับโทษ การกระทำของมนุษย์ทั้งปวง รับเอาความบาปทั้งปวงไว้ที่ตัวพระองค์เอง เพื่อจะไถ่มนุษย์ให้พ้นจากความผิดบาป ที่ต้องรับโทษ แล้วพระองค์ก็เป็นต้นพันธุ์ของมนุษย์พันธุ์ใหม่ ตระกูลใหม่ ต่อจากอาดัม ก็คือเป็นต้นตระกูลของพระคริสต์

เพราะฉะนั้น บนโลกใบนี้ ทุกวันนี้ในโลกวิญญาณ มนุษย์มีอยู่แค่ 2 ตระกูลเท่านั้น ตระกูลหนึ่ง คือตระกูลเก่า มีชื่อว่า “ในอาดัม” ตระกูลใหม่ เชื่อวางใจในพระเยซูเป็นพระผู้ช่วยให้รอดแน่นอน มาเริ่มต้นพันธุ์ใหม่แน่นอน มาพาฉันกลับบ้านไปอยู่กับพระเจ้าในสวรรคสถาน และเชื่อตามนี้  เขาก็จะได้ไปอยู่ในตระกูลใหม่ ตระกูลที่มีชัยชนะ เรียกว่า “ในพระคริสต์” ท่านอยากจะเลือกอย่างไหน? แน่นอน ถ้าเรารู้ความจริงเหล่านี้ ไม่มีใครเลือกอาดัม เลือกในพระคริสต์ วิธีเลือกทำอย่างไร?  เชื่อแค่นั้นเอง เชื่อว่าพระเจ้าทรงประทานพระเยซูคริสต์มากระทำสิ่งนี้ เพื่อปวงมนุษยชาติทั้งหลายจะได้รับความรอด จากบาป รอดจากนรก เพื่อมาตั้งต้นพันธุ์ใหม่ของมนุษย์ เรียกว่าพันธุ์แห่งชัยชนะ เพื่อให้มนุษย์ที่ไม่สามารถช่วยตัวเองได้ เพราะเป็นวิญญาณบาปนั้น ได้มีโอกาสย้ายตัวเองแค่นั่นเอง ไม่ต้องทำอะไรเลย  เพราะทำไม่ไหวอยู่แล้ว  เพราะวิญญาณเราบาปอยู่ มาพึ่งในบุคคลที่สามารถทำได้ พี่ชายหรือบรรพบุรุษเราคนหนึ่ง ที่มีชื่อว่าเยซู และเขาบอกว่าเขามาจากพระเจ้า แค่นั้นเอง ไม่ต้องทำอะไรเลย แค่ใช้สิทธิ์

เพราะตอนที่มนุษย์ตกลงไปในความบาป ตอนสมัยอาดัม มนุษย์ก็ไม่ได้ทำอะไรเลย เพราะอาดัมทำ ฉันยังไม่ได้ทำอะไรเลย ฉันยังเป็นบาปไปด้วยเลย ฉันยังถูกสาปแช่งไปด้วยเลย แล้วพระเยซูมา เพื่อช่วยฉันหลุดพ้นจากคำสาปแช่ง ฉันก็ไม่ต้องทำอะไรด้วย ตอนก่อนหน้าพระเยซูจะมา ฉันเชื่อว่าฉันอยู่ในอาดัม มนุษย์มีเวรมีกรรมต้องชดใช้ ทำไมฉันเชื่อได้ ฉันไปทำเวรกรรมอะไรมาจากที่ไหน? เกิดมาก็ต้องชดใช้เวรกรรม เวรกรรมปางก่อนปางไหนก็ไม่รู้ ฉันก็ยอมรับได้ แต่พอมาบอกว่าพระเยซูเป็นพระผู้ช่วยให้รอด ไม่ต้องชดใช้บาปแหละ มันจริงเหรอ มันเป็นไปได้เหรอ ทีอย่างนี้ทำไมไม่เชื่อ มันก็เหมือนกันแหละ มันไม่ต่างอะไรกันเลย คนหนึ่งพาเราไปลงเหว อีกคนหนึ่งพาเราขึ้นจากเหว เราไม่ได้ทำอะไรทั้งสองข้างเลย  ตอนบาป เราก็ไม่ได้ทำ ตอนเป็นขึ้นมาใหม่ เราก็ไม่ต้องทำเช่นเดียวกัน เพราะว่าความตายทั้งหมดที่เข้ามาในโลก เกิดจากมนุษย์เพียงคนเดียวเท่านั้น ฉันใดก็ฉันนั้น มนุษย์เพียงคนเดียว ก็ทำให้เป็นขึ้นจากความตายได้เหมือนกัน และเพราะว่าในอาดัมทำให้มนุษย์ทุกคนตาย ตัดขาดจากพระเจ้า และต้องอยู่ในนรกตลอดไป ฉันใดก็ฉันนั้น ในพระเยซูคริสต์ ในการกระทำของพระเยซูคริสต์ ได้ทำให้มนุษย์ทุกคน เป็นขึ้นมาจากความตาย เป็นขึ้นมาใหม่ เกิดใหม่ เข้ามาสู่ชีวิตนิรันดร์เหมือนพระเจ้าได้เช่นเดียวกัน (เยาะเย้ยมารแบบว่า “นะโว๊ย มารแพ้แล้ว”) ผมไม่ได้พูดเล่นนะ ในพระคัมภีร์เขียนคำนี้เลย เยาะเย้ยเลย เปาโล เขียนบอก …

“ความตายเจ้าอยู่ไหน? เหล็กในเจ้าอยู่ไหน?”

นี่มันก็เคือเยาะเย้ยนะ  ในพระเยซูคริสต์ เราได้รับชัยชนะเหนือความตายเหล่านี้เรียบร้อยแล้ว นี่คือข่าวดีมันง่ายๆ มันไม่มีอะไรเลย  ถ้าเราไม่ไปผสมปนเปกับปรัชญา หรือสติปัญญาแบบมนุษย์ พระเยซูถึงบอกสำเร็จแล้วๆ ข่าวประเสริฐของพระเจ้า คือสำเร็จแล้ว

โอเค มาถึงเวลาให้เราฝึกฝนในการใคร่ครวญถ้อยคำพระเจ้าในวันนี้ … หลับตาลง … แล้วก็พูดกับตัวเอง …

“จงมองให้เห็นเถิด จงมองเข้าไปในวิญญาณ (พูดกับตัวเองนะ) จงมองเข้าไปในโลกวิญญาณและมองให้เห็นเถิด  (สบายๆ หายใจลึกๆ ให้พระวิญญาณนำเราไป) ฉันเป็นวิญญาณที่ถูกสร้างขึ้นใหม่ ได้บังเกิดใหม่ในพระเยซูคริสต์ มีจิตใจใหม่ ที่พระเจ้าประทานให้ เป็นวิญญาณและมีจิตใจที่เหมือนกับพระเยซู สะอาด บริสุทธิ์ ไร้ที่ตำหนิใดๆ ในสายพระเนตรของพระเจ้า  เป็นผู้ชอบธรรม เป็นความสว่างเหมือนพระเจ้า เป็นความรักเหมือนพระเยซู วิญญาณของฉันนี้ และใจนี้ อาศัยในร่างกายเก่านี้ เพียงชั่วคราว วันหนึ่ง เมื่อร่างกายนี้ กลับสู่ดินไป วิญญาณและจิตใจใหม่ ที่เป็นตัวตนจริงๆ ของฉัน จะไปรอสวมร่างกายใหม่ ที่พระเจ้าจัดเตรียมไว้ให้ จะเป็นร่างกายที่สง่างาม เต็มด้วยรัศมี ราศีพระสิริของพระเจ้า  ไม่มีความทุกข์ ไม่มีความโศกเศร้า ไม่มีความเจ็บปวด ไม่มีความทุกข์ทรมาน ไม่มีโรคภัยไข้เจ็บ ไม่มีน้ำตาอีกต่อไป ตลอดชั่วนิรันดร์ และฉันจะอยู่ในสวรรค์กับพระเจ้าอย่างนี้ตลอดไป เป็นลูกของพระเจ้าที่ได้ครอบครองทุกสิ่ง ร่วมกับพระเยซูตลอดไป ขอบคุณพระเจ้า”

แล้วก็ให้อธิษฐาน … “พระบิดาขอช่วยลูกให้เห็นภาพเหล่านี้ ที่จะเป็นจริงในโลกฝ่ายวิญญาณ ให้ชัดเจน เพื่อลูกจะได้มีกำลัง มีความหวังในการดำเนินชีวิตอยู่ เพื่อประกาศข่าวดีของพระองค์ด้วยเช่นเดียวกัน และลูกอธิษฐานขอพระองค์ทรงช่วยลูก ที่จะนำเอาแสงสว่างความจริงของพระองค์นี้ ไปยังบรรดาผู้คนบนโลกใบนี้ ทุกๆ คน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คนที่ยังไม่รู้ความจริง ยังไม่ได้ยอมรับความจริงเหล่านี้ ยังไม่ได้บังเกิดใหม่ ขอทรงช่วยผู้คนเหล่านั้นด้วยเถิด จะผ่านทางชีวิตของลูกหรือผ่านทางอะไรก็ตาม ลูกอธิษฐานวิงวอนให้กับผู้คนเหล่านั้น พี่น้องร่วมโลกเดียวกัน ที่เขายังไม่ได้เห็นความเป็นจริงนี้ ขอเปิดตาฝ่ายวิญญาณให้กับเขาด้วยเถิด ลูกสรรเสริญ และขอบคุณพระองค์ในพระนามพระเยซูคริสต์เจ้า เอเมน”

ขอพระเจ้าอวยพรครับ

 

 

**************************

 

 

 

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 15 ธันวาคม 2019 เรื่อง “ความเชื่อเก่าแก่ VS ความจริงที่จะทำให้ท่านเป็นไท” ตอน 3 โดย นคร เวชสุภาพร

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  15  ธันวาคม  2019

 เรื่อง “ความเชื่อเก่าแก่ VSความจริงที่จะทำให้ท่านเป็นไท” ตอน 3

โดย นคร  เวชสุภาพร

            สัปดาห์ที่แล้ว เราเริ่มกันที่เรื่องแรกของซีรี่ย์ที่ใช้ชื่อว่า “ความเชื่อเก่าแก่ VS ความจริงที่จะทำให้ท่านเป็นไท” เราเริ่มกันที่เรื่องแรก คือความเชื่อในการทำตามพิธีที่ในปัจจุบันยังมีคริสเตียนหลายคน โดยเฉพาะคริสเตียนเก่าแก่ ที่ยังคงยึดติดกับธรรมเนียมปฏิบัติต่างๆ ที่ได้รับการสอนต่อๆ กันมา ที่เปาโลจะใช้คำนี้ ในเรื่องนี้ เพื่อเตือนสติให้กับผู้เชื่อทั้งหลาย ตั้งแต่สมัยโน้นแล้ว เปาโลใช้คำว่าเป็นปรัชญาอันไร้แก่นสาร ฟังดูดี ฟังดูเป็นปรัชญา แต่มันไร้แก่นสาร ซึ่งบันทึกไว้ในโคโลสี 2:8

โคโลสี 2:8 “จงระวังให้ดี อย่าให้ใครมาจับท่านเป็นทาส ด้วยปรัชญาอันไร้แก่นสารและหลอกลวง ซึ่งอาศัยธรรมเนียมปฏิบัติที่มนุษย์ถ่ายทอดกันมา และหลักการพื้นฐานต่างๆ ของโลกนี้ แทนที่จะอาศัยพระคริสต์”

 

จับเป็นทาส ก็แสดงว่าเราเป็นไท ถูกไหม?  อย่าให้ใครมาจับเราไปเป็นทาส เพราะเราเป็นไทแล้ว นี่พูดกับใคร? พูดกับผู้เชื่อในพระเยซูคริสต์ ผู้ที่เรียกตัวเองว่าเป็นคริสเตียนแล้ว ก็สรุปได้ว่าการกระทำตามประเพณีเก่าแก่ ตั้งแต่โบร่ำโบราณไม่ใช่เป็นสิ่งที่ถูกต้องตามหลักความจริงในพระคัมภีร์ทุกอย่างเสมอไป ดังนั้น เราต้องยึดมั่นในความจริงของข่าวดี เรื่องของการไถ่บาปของพระเยซู ในพระคัมภีร์เป็นหลักอย่างเดียวเท่านั้น ไม่ใช่ปรัชญา ไม่ใช่สติปัญญาของมนุษย์ ไม่ใช่ตามตำนานเล่าขาน ที่สืบเนื่องมาจากบรรพบุรุษ ผู้อาวุโส หรือผู้ที่น่าเชื่อถือ ตามสายตา ตามสติปัญญาของมนุษย์ อันนี้ชัดๆ ไม่ว่าตามสายตาของเรา หรือมนุษย์ทั้งหลายจะยกย่อง และน่าเชื่อถือแต่ถ้ามันไม่ตรงกับข่าวดีข่าวประเสริฐที่บันทึกไว้ มันไร้แก่นสาร มันไม่มีประโยชน์ ทำลายข่าวประเสริฐด้วยซ้ำไป พระเยซูตรัสว่าความจริงในข่าวประเสริฐจะทำให้เราเป็นไท

คำว่า “ต้อง” แปลว่ากฎ ต้องคือต้องทำ ถ้าไม่ทำ ก็โดน พระเยซูมาปลดปล่อยเราเป็นอิสระจากกฎ ก็คือมาปลดปล่อยเราจากการต้องทำอันโน้น ต้องทำอันนี้ ต้องไม่ทำอันโน้น ต้องไม่ทำอันนี้ ต้องอย่าทำอย่างนั้น ต้องอย่าทำอย่างนี้ “ต้อง” ก็คือการเป็นทาสนั่นเอง

ในหนังสือ 1 โครินธ์เปาโลก็บอกไว้แล้วว่ากฎ ระเบียบ มีอยู่ต้องเดียว ก็คือข้อบังคับของพระเจ้า  สำหรับผู้ที่เชื่อในการไถ่บาปของพระเยซูคริสต์ที่เรียกตัวเองว่าคริสเตียน ผู้เชื่อแล้ว คือต้องทำทุกอย่าง ด้วยความเชื่อในการกระทำของพระเยซูคริสต์ ในการไถ่บาป เพื่อมนุษย์ทั้งปวง

ในหนังสือโรม บันทึกไว้อย่างนี้ เปาโลบอก มันเหลือต้องเดียว  และการกระทำใดๆ ซึ่งไม่ได้มาจากความเชื่อ (ในพระเยซูคริสต์ ในการไถ่บาปของพระองค์) ก็เป็นบาปทั้งสิ้น กฎทุกอย่างล้มเลิกหมด ถ้าไม่ได้เชื่อในพระเยซูคริสต์ ผู้ช่วยให้รอดจากบาป ทำอะไรก็บาป เพราะยังไม่ได้เกิดใหม่ ชีวิตจริงๆ คือวิญญาณข้างใน ยังเป็นบาปอยู่ จะทำอะไรก็มาจากภายในวิญญาณของเรา ที่เป็นบาป มันก็บาปทั้งนั้น เหมือนที่พระเยซูเปรียบพวกฟาริสีที่มีความภาคภูมิใจในการกระทำของตัวเอง ในความชอบธรรมที่ตัวเองสร้างขึ้นว่าอย่างนี้ดี ทำตามกฎระเบียบ ที่พระเจ้าวางไว้ทั้งหมด แล้วบอกว่าเราเป็นผู้ชอบธรรม เราได้ทำแล้วดี พระเยซูเปรียบฟาริสีนี้เหมือนหลุมศพ ฉาบปูนขาว หลุมศพ คือข้างใน มันตาย ข้างในมันเป็นบาป ข้างนอกฉาบปูนขาว ทำอย่างดี มันไม่มีประโยชน์ ตรงกันข้ามกับผู้ที่เชื่อวางใจในพระเยซูว่าเป็นพระผู้ช่วยให้รอด ไม่พึ่งการกระทำของตัวเอง ไม่พึ่งความชอบธรรมของตนเอง แต่พึ่งความชอบธรรมที่มาจากผู้ช่วยให้รอด คือพระเยซู เขาคนนั้น ก็ได้รับการบังเกิดใหม่ ในวิญญาณ แก่นชีวิตของเขา ข้างในวิญญาณของเขาจริงๆ มันได้เกิดใหม่ เป็นวิญญาณใหม่ แล้วยังแถมมีจิตใจใหม่ ที่พระเจ้าประทานให้ ซึ่งสะอาด บริสุทธิ์ชอบธรรม ในพระคัมภีร์บอกเท่าๆ กันกับเปาโล ถูกไหม? ในวิญญาณเขาจะสะอาดหมดจด ปราศจากที่ตำหนิใดๆ เป็นผู้ชอบธรรมบริสุทธิ์ เท่าๆ กับพระเยซู

ตอนนี้ใครที่เชื่อในข่าวดีของพระเยซู ใครที่เป็นคริสเตียนจริงๆ ท่านเป็นผู้ชอบธรรม บริสุทธิ์สะอาด เท่ากับพระเยซูเลย เราแน่ใจ เพราะได้ถูกบันทึกไว้ในพระคัมภีร์อย่างนั้น เอเมน

“ชอบธรรมเท่ากับพระเยซูเลยเหรอ เมื่อเช้าขับรถมา ยังด่าเขาอยู่เลย”

“ไม่รู้ ในพระคัมภีร์ว่าไว้อย่างนั้น ฉันก็เชื่ออย่างนั้น”

มันตรงกันข้ามกันกับผู้ที่เชื่อและวางใจในพระเจ้า ในพระเยซูคริสต์ว่าเป็นผู้ช่วยให้รอด เขาไม่ได้พึ่งการกระทำของตนเอง แต่เขาพึ่งในพระผู้ช่วยให้รอดที่พระเจ้าทรงประทานให้ เพียงผู้เดียว คือพระเยซู มีทางเดียวเท่านั้น คือพระเยซู สะอาดหมดจดเท่ากับพระเยซู ภายนอกเราอาจจะทำอะไรก็ตาม แต่วิญญาณของเราจริงๆ เป็นผู้ชอบธรรม โดยธรรมชาติ ลักษณะชีวิตเรา ตัวตนจริงๆ เรา เป็นผู้ชอบธรรมเหมือนพระเยซู แต่นิสัย ความประพฤติของเรา มันไม่เหมือนพระเยซู มันแยกกัน พอเข้าใจไหม? ความเป็นตัวตนกับนิสัยมันไม่เหมือนกัน ผมพยายามที่จะหาทางอธิบายตรงนี้ให้ท่านเข้าใจ

การกระทำที่เป็นนิสัย ไม่ใช่ตัวตนจริงๆ แท้ๆ ของเรา ยกตัวอย่าง อันนี้ท่านจะเห็นได้ชัดเลย ตัวตนแท้ๆ จริงๆ ของเรา ใครเป็นผู้หญิงยกมือขึ้น? บางครั้งผู้หญิงก็แต่งตัวให้เหมือนผู้ชาย ทำท่าทางทะมัดทะแมง เล่นกล้าม กล้ามใหญ่มากเลย มีในยูทูปเยอะแยะ ถามว่าจะเล่นให้ตายอย่างไร ล่ำกว่านักเพาะกายผู้ชายเยอะขนาดไหน? เขาก็บอกว่าเขาเป็นผู้ชายนะๆ เขาก็เป็นเป็นผู้หญิงอยู่ดี เพราะว่าธรรมชาติการเกิดของเขาเป็นผู้หญิง ใครจะเป็นอะไร? มันเป็นอยู่จากการเกิดมาเป็น ถูกไหม? ถ้าเป็นผู้ชาย ก็เป็นผู้ชายตั้งแต่เกิด  ไม่สามารถเกิดเป็นผู้หญิง แล้วมาทีหลัง ทำนิสัยให้เป็นผู้ชาย ไม่มีทาง อันเดียวกันกับตะกี้นี้ ถ้าเกิดใหม่ในพระเยซู เป็นคริสเตียนแล้ว มันสะอาดหมดจด บริสุทธิ์ พระเยซูชำระเรียบร้อยแล้ว แต่ภายนอกอาจจะทำอะไรบางอย่างที่มันสกปรกอยู่ ไม่ใช่ตัวตนแท้จริงของเรา เอเมน มีความหวังแล้ว ยิ้มหลายคนเลยนะ เปาโลจึงบอกไว้อย่างนี้ว่านี่คืออิสรภาพ ในการเชื่อในพระเยซู นี่คือข่าวดีของพระเยซู ข่าวดีที่เปาโลปกป้องไว้ ห้ามไม่ให้ใครมาลบล้าง หรือทำลาย หรือทำให้มันด้อยลง ใน 1 โครินธ์ 10:23 บอกไว้อย่างนี้ชัดเจน

1 โครินธ์ 10:23 “เราได้รับอนุญาต (มีอิสระเสรีภาพ ) ให้ทำทุกสิ่งได้ แต่ไม่ใช่ว่าทุกสิ่ง จะเป็นประโยชน์ เราได้รับอนุญาตให้ทำทุกสิ่งได้ แต่ไม่ใช่ว่าทุกสิ่ง จะเป็นการเสริมสร้างขึ้น”

 

“เราได้รับอนุญาต” ก็แปลว่าเรามีอิสระเสรีภาพในพระเยซูคริสต์ ที่จะทำอะไรทุกสิ่งได้ ไม่บาปอีกต่อไป เพราะว่าวิญญาณข้างในมันสะอาดหมดจด เปาโลก็บอกไง ไปคิดไตร่ตรองเองแล้วกันว่าสิ่งที่เราทำ มีประโยชน์ไหม? สร้างสรรค์ไหม?  มันมีโทษ ไม่สร้างสรรค์ ไม่ถวายเกียรติแด่พระเจ้า ไม่สมกับที่เป็นลูกของพระเจ้า  เราเป็นลูกของพระเจ้าที่มีวิญญาณ และมีจิตใจที่เหมือนพระเยซูแล้ว เราทำอะไรไป มันสมไหม? เราเป็นสุภาพสตรี ควรรจะเป็นกุลสตรีไหม? กุลสตรีไทย ควรจะอ่อนช้อย เรียบร้อย สมกับเป็นกุลสตรีหน่อย ทำอะไรแข็งกระด้าง ไม่สมกับเป็นกุลสตรีเลย  เคยได้ยินใช่ไหม? โบราณ คนไทยชอบว่าลูกสาว ทำอะไรอย่ากระโดกกระเดก เหมือนผู้ชาย เป็นผู้หญิง ทำอะไรให้มันนุ่มนวล พูดจาให้มันอ่อนหวานหน่อย

ในทำนองเดียวกัน เราเป็นลูกพระเจ้า เกิดใหม่ รู้จักทำอะไรให้มันดีๆ หน่อย ทำอะไรให้มันสมกับเป็นลูกพระเจ้าหน่อย ถวายเกียรติแด่พ่อเราหน่อย ไม่ใช่ทำอะไรอย่างนี้ แต่การกระทำนั้น ไม่สามารถทำให้เรากลายเป็นลูกมารได้ เราเป็นลูกพระเจ้า ก็เป็นลูกพระเจ้า เอเมน นี่ชัดเจน  เรามีอิสรภาพในการทำ แต่มาคิดดูว่ามันสร้างสรรค์ มีประโยชน์ไหม? ให้เกียรติต่อพ่อของเราหรือเปล่า? แล้วก็พยายามที่จะทำสิ่งที่สร้างสรรค์เกิดประโยชน์ ให้โทษน้อยที่สุดกับตัวเอง และผู้คนรอบข้าง แค่นี้เอง ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับความรอด ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับตัวตนจริงๆ ที่เรา เป็นลูกของพระเจ้าเลยแม้แต่นิดเดียว ถึงแม้เราจะเป็นลูกของพระเจ้า อยู่ในสวรรค์กับพระเจ้านิรันดร์แล้ว ก็ตาม ก็ทำอะไรให้มันมีประโยชน์ ให้มันเป็นที่ถวายเกียรติ และการมีประโยชน์นั้น มันทำให้ชีวิตเราบนโลกใบนี้ มีความสุขมากขึ้น ลำบากน้อยลงนั่นเอง หลายสิ่งหลายอย่าง พระเจ้าก็สอนในพระคัมภีร์ แนะนำเราว่าเมื่อเรามาเชื่อแล้ว เราควรทำอย่างไร? เพื่อจะมีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ มีความสุข แต่มิได้หมายถึงว่ามาสั่งเราว่าต้องทำอันนั้น ต้องทำอันนี้ เรามีอิสรภาพแล้ว เพียงแต่มาแนะนำแนวทางว่า …

“ลูกทำอย่างนั้น ลูกทำอย่างนี้ แล้วจะมีความสุข ยังไงลูกก็เป็นลูกของพ่ออยู่แล้ว”

พระเจ้าแนะนำอะไร? ยกตัวอย่างง่ายๆ เช่น จงให้เกียรติบิดามารดา จงมีความกตัญญูต่อพ่อแม่  เจ้าจะได้ไปดีมาดีบนโลกใบนี้ เจ้าจะได้พระพร เจ้าจะได้ดี แล้วถ้าเราไม่ให้เกียรติบิดามารดา เราตกนรกเหรอ? ไม่ใช่ แต่เราจะเหมือนตกนรก อยู่บนโลกใบนี้ มันไม่ได้พระพร

หรือพระเจ้าบอกว่าถ้าเราโกรธใคร? มีความขุ่นเคืองใคร? ทะเลาะกัน ไม่ว่าใครถูกใครผิดก็ตาม ก่อนตะวันตกดิน ให้เราเคลียร์ซะ คืนดีกันซะ คำว่า “คืนดี” ไม่ต้องวิ่งไปหาเขา ไม่ต้องโทรศัพท์ไปหาเขา ให้เราเคลียร์ออกจากสมองซะ ก่อนตะวันตกดิน ปัจจุบันเขาก็รู้ ก็บอกแล้ว ก่อนจะนอนให้มันเคลียร์ ไม่ใช่นอนไป โกรธไป มันหลับไม่สนิท ฝันร้ายอีกต่างหาก สุขภาพเสื่อมโทรม มันไม่ได้เกี่ยวกับการตกนรกหรือไม่? ไม่ได้เกี่ยวกับวิญญาณเราเลย แต่มันเกี่ยวกับความสุข ชีวิตของเราบนโลกใบนี้ต่างหาก หรือสอนเราว่า …

“ลูกเอ่ย อย่ารักเงินทอง”

“อย่าโลภนะ”

ถ้าเราโลภ เราจะหลุดจากการเป็นลูกพระเจ้าไหม? ไม่เป็น แล้วเราโลภ เราจะตกนรกไหม?  ไม่เป็น แต่เราเหมือนตกนรกเลย เพราะเราจะเป็นหนี้เป็นสินเขา ก็เพราะความโลภของเราทั้งนั้นแหละ เราจะอยู่ห่างจากพระเจ้ามาก เพราะเรารักเงินเยอะ อะไรอย่างนี้ ยกตัวอย่างให้ฟัง เราจะได้เห็นชัดเจนว่าสิ่งต่างๆ เหล่านี้ พระเจ้าสอนเรา เพื่อให้มันเกิดผลดี ไม่ใช่สั่งเราต้องทำอันนั้น ต้องทำอันนี้ เพราะข่าวดีของพระเจ้า คือพระองค์ทรงปลดปล่อยเราเป็นอิสรภาพแล้ว เราไม่ได้เป็นทาสอะไรอีกต่อไป กฎต่างๆ เหล่านี้ จะต้องทำอันนั้น จะต้องทำอันนี้ สิ่งเหล่านี้ มันควรจะรักษาไว้ เพื่อรักษาข่าวดีของพระเจ้า  ไม่อย่างนั้น ข่าวดีมันจะถูกบิดเบือนไปเรื่อยๆ จนในที่สุด พระเยซูทำหรือไม่ทำ มีค่าเท่ากัน เรายังต้องมาทำอยู่ ทำความชอบธรรมให้ตนเอง อย่างนี้เป็นต้น

หรือยกตัวอย่างอันหนึ่ง ง่ายๆ พระเยซูบอกว่าการทำมหาสนิท กินขนมปังและดื่มน้ำองุ่น พระเยซูบอกว่าจงกระทำเช่นนี้ เพื่อระลึกถึงเรา ถ้าเราไม่กระทำ เราหลุดจากการเป็นลูกพระเจ้าไหม? เราเป็นคริสเตียนแล้ว ไม่หลุด เป็นลูกพระเจ้า ก็เป็นลูกแล้ว แต่พระเยซูกำลังสอนเราว่าถ้าทำตรงนี้ มันเป็นประโยชน์ต่อเจ้าว่าจงระลึกถึงสิ่งที่เราได้กระทำให้กับเจ้า ไม่อย่างนั้น เดี๋ยวเจ้าลืม ก็คือเราได้ตาย ขนมปัง คือร่างกายที่แตกหัก เราได้ถูกตรึงที่ไม้กางเขน หลั่งโลหิต เพื่อชำระบาปให้กับเจ้า เจ้าไม่มีบาป เจ้าเป็นผู้ชอบธรรมเรียบร้อยแล้ว โดยการกระทำของเรา ไม่ใช่การกระทำของเจ้า เพราะฉะนั้น เมื่อเจ้าจะพลาดไปทำอะไรก็ตาม แต่เจ้าเชื่อในเรา เจ้าก็เป็นผู้ชอบธรรมอยู่ดี ไม่มีบาปอยู่ดี เอเมน ไม่อย่างนั้น พอเราเดินไป เราไม่ทำการระลึกถึงอย่างนี้บ่อยๆ เราดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ไปเรื่อยๆ เดี๋ยวก็ถูกหลอก ก็เห็นอยู่กับตาว่าทำบาป แล้วยังจะบอกว่าเป็นผู้ชอบธรรมอีก อย่างนี้ก็ดีสิ เป็นคริสเตียนก็ดี ทำชั่วอะไรก็ได้ แล้วบอกว่าพระเจ้าไถ่บาปให้ เราก็จะถูกโลกนี้ ปัญญาอะไรต่างๆ ที่น่าเชื่อถือ หลอกลวงเรา ทำให้เราไขว้เขว งง เราก็จะมีชีวิตอยู่ ที่มีความทุกข์ แม้ว่าเป็นลูกพระเจ้าที่รอดแล้วก็จริง แต่เราจะมีความทุกข์ ฟ้องผิด และเราจะเป็นคนทำลายข่าวประเสริฐด้วยชีวิตของเรา เพราะเราทำให้ข่าวประเสริฐด้อยลง

หรือแม้แต่ถวายสิบลดอย่างนี้  จำเป็นต้องถวายไหม? ไม่ต้อง แต่มันมีประโยชน์นะ มันสร้างสรรค์ไหม? ถวายสิบลด ก็คือตรงกันข้ามกับโลภ รักเงินและทอง ยิ่งทำตามพระเยซู มากขึ้นเท่าไร? ก็ยิ่งจะมีความสุขมากขึ้นเท่านั้น ทำตามน้อย ก็มีความสุขน้อย แค่ไม่รักเงินทองเฉยๆ มันก็เริ่มให้ ยิ่งไม่รักเงินทองมากเท่าไร ก็ยิ่งมีความสุขมากเท่านั้น เพราะฉะนั้น พระเยซูกำลังจะบอกเราทางอ้อมทางตรง ทุกอย่างว่ามันมีความสุขมากนะ ก่อนพระเยซูมาอยู่ในกฎ ถูกบังคับว่าจงถวายสิบลด 10% เท่านั้นเอง แต่พอมาอยู่ในพระเจ้า พระเยซูคริสต์บังเกิดใหม่แล้ว ไม่ได้อยู่ในกฎนี้อีกต่อไป ใน 2 โครินธ์บอกไว้ว่าจงให้ด้วยใจยินดี และคิดหมายไว้อยู่ในใจ แล้วพระเจ้าจะจัดเตรียมทั้งหลายทั้งปวงที่เป็นพระพรนานานับประการ ทุกด้านของชีวิต ให้กับท่าน มากกว่าอีก เห็นไหม? ไม่ได้ใส่ 10% แล้วนะ อาจจะ 50% อาจจะเป็น 100% ขึ้นอยู่กับพระวิญญาณบริสุทธิ์นำพาท่านในวิญญาณของท่านนั่นแหละ ที่เกิดใหม่นั้น เห็นหรือยัง? อะไรมีความสุขกว่า

สิ่งเหล่านี้ควรจะมานั่งคิดดีๆ หรือแม้กระทั่งมาโบสถ์วันอาทิตย์ เขาเรียกวันสะบาโต ไม่ต้องไปบังคับว่าต้องมาโบสถ์ ไม่ต้องแล้ว แต่ถามว่ามันเป็นประโยชน์หรือเป็นโทษ มันสร้างสรรค์หรือไม่สร้างสรรค์ การมารวมกันอยู่ ในสถานที่ชุมนุมของผู้เชื่อ ในทุกอาทิตย์ มันมีประโยชน์ต่อชีวิตเราบนโลกใบนี้ หรือมีโทษ  ท่านไปคิดดู มันมีประโยชน์มากมายมหาศาลเลย ได้ฟังถ้อยคำพระเจ้า ได้ยินเสียงเพลงเกี่ยวกับพระเจ้า ได้ร่วมร้องเพลงกับเขา เขาเล่นดนตรี เราอยู่บ้าน เราก็เล่นดนตรีไม่ได้ ร้องเพี้ยนไปเพี้ยนมา ไม่ค่อยมัน แต่ก็ยังดี มาที่นี่ได้รับเพลงใหม่ ไปหัดร้องต่อที่บ้าน ไม่อย่างนั้น มันเบื่อแหละ อะไรอย่างนี้ และแถมได้ฟังคำหนุนใจ ออกไปได้เจอพี่น้องทักทายกัน อยู่ในโลกของความเชื่อ เสริมสร้างความเชื่อซึ่งกันและกัน ถามว่ามันสร้างสรรค์ไหม? สร้างสรรค์ ควรทำไหม?  ควรทำ แล้วถ้าไม่ทำล่ะ ท่านก็ไม่ได้พระพรตรงนี้ นึกออกไหมว่าไม่มีการบังคับแล้ว เพียงแต่แนะแนว แนะนำให้ พระเจ้าเป็นพ่อเรา แนะนำดีกว่า หรือแม้แต่การเฝ้าเดี่ยว ในแต่ละวัน อธิษฐานในแต่ละวัน ในพระคัมภีร์พูดเสมอว่าจงอธิษฐาน  เขาบอกกันว่าถ้าเป็นผู้เชื่อแล้ว อย่างน้อย แต่ละวัน ควรจะมีเวลาเฝ้าเดี่ยว

เฝ้าเดี่ยว แปลว่าอยู่คนเดียวกับพระเจ้า อธิษฐานกับพระเจ้า  ไม่ว่าจะเรื่องอะไรก็ตาม อย่างน้อยวันละสัก 15 นาที

“15 นาทีเยอะ งานฉันยุ่งมากๆ เลย”

เขาก็เลยบอกว่าปกติคนเรา ควรจะมีเวลาสัก 15 นาที ในการเฝ้าเดี่ยว ในการคุยกับพระเจ้า ในการอธิษฐานกับพระเจ้า ในเรื่องอะไรต่างๆ แล้วชีวิตจะมีความสุข ความสุขนะ ไม่ใช่สันติสุข เผชิญกับโลกใบนี้ได้ ซึ่งมันวิปริต มันเสียหายจากการกระทำของมาร ยุ่งวุ่นวายไปหมดแล้ว เอาอะไรแน่กับโลกใบนี้ไม่ได้เลย สักอย่างหนึ่ง แต่ท่านเข้าไปหลบ ลี้ภัยอยู่ในพระเจ้า โดยการอธิษฐานได้ อย่างน้อยวันละ 15 นาที คิดว่าดีที่สุดแล้ว ท่านบอกว่ายุ่งมาก งานเยอะมาก อันนั้นก็ต้องทำ อันนี้ก็เป็นภาระ ผู้เชี่ยวชาญเลยบอกว่า …

“ถ้าคุณคิดว่าคุณมีภาระยุ่งวุ่นวายมาก คุณควรจะมีการอธิษฐานเฝ้าเดี่ยวกับพระเจ้าอย่างน้อย แทนที่จะ 15 นาที ก็เป็นครึ่งชั่วโมง”

แล้วถ้าคุณบอกไม่มีเวลาเลย  ถ้าไม่มีเวลาเลย คุณควรจะ ต้องอธิษฐานกับพระเจ้าวันละ 1 ชั่วโมง คือมันจำเป็น  แล้วถ้าคุณไม่ทำตาม คุณตกนรกไหม? ไม่ตก ถ้าคุณไม่ทำตาม คุณก็ยังเป็นลูกของพระเจ้าอยู่ แต่เป็นลูกของพระเจ้าที่ขึ้นสวรรค์ แบบเหมือนรอดด้วยไฟ ไม่มีความสงบ ไม่มีอะไรเลยสักอย่าง พระเจ้าเป็นที่ยึดมั่น เป็นป้อมปราการ เป็นที่พักพิง พึ่งพิงแห่งเดียวของเรา

สรุปแล้ว ควรอธิษฐานไหม?  แล้วในนี้มีกี่คนที่อธิษฐาน? เราเป็นอิสระแล้วก็จริง แต่มันมีสติปัญญา ที่พระเจ้าบอกเราว่าไม่ต้องแล้ว แต่ …

“ลูกเอ่ย ทำอย่างนี้มันดีสำหรับเจ้า เจ้ารอดแล้วล่ะ เจ้าอยู่ในมือเราแล้ว อยู่ในคอกของเรา ไม่มีใครเอาเจ้าออกไปจากความรอดนี้ได้แล้ว เจ้าเป็นลูกของเราแล้ว แต่สมกับเป็นลูกของเราหน่อย ให้มีสันติสุข ให้มีความสุข ชนะทุกอย่างบนโลกนี้ ด้วยวิธีการนี่แหละ ไม่ใช่ด้วยตามใจเจ้า เพราะตามใจเจ้า ไม่ได้หรอก เพราะโลกนี้มันวิปริต มันผิดไปแล้ว กิเลสตัณหาของเจ้ามันคอยฟังระบบของโลกนี้ตลอด พระเจ้าที่อยู่ข้างในเจ้า จะเป็นคนทำ เจ้าจะได้ยินได้อย่างไร ถ้าเจ้าไม่ใช้เวลาในการอธิษฐาน ในการเฝ้าเดี่ยวกับพระเจ้า”

นับแต่วันนี้เป็นต้นไป เริ่มต้นทำกันเยอะขึ้น แน่นอน เหมือนถูกโวยวาย พระเจ้าไม่ว่า พระเจ้ารักเรานะ ถึงมาเตือนเราอะไรต่างๆ เหล่านี้  พูดออกนอกเรื่องไปนิดหนึ่ง

กลับมาเรื่องนี้ มาดูกันต่อกับเรื่องความเชื่อเก่าแก่ ที่ไม่ตรงกับข่าวดีของพระเยซู ตามที่มีบันทึกไว้ในพระคัมภีร์ วันนี้ก็เป็นตอนที่ 3 เป็นเรื่องของความเชื่อที่สอนกันมานานมากแล้ว ที่บอกว่าเมื่อเชื่อในพระเยซูคริสต์แล้ว เป็นคริสเตียนแล้ว ต้องหมั่นฝึกฝนให้ความเชื่อเพิ่มพูนขึ้น

เคยได้ยินไหมครับคำสอนจากคริสเตียนอาวุโสกว่าเราบอกว่า … ต้อนรับพระเยซูแล้ว ต้องหมั่นฝึกฝนตัวเอง พยายามกระทำให้มีความเชื่อเพิ่มพูนขึ้นทุกวันนะ เคยได้ยินใช่ไหม?  ต้องพยายามทำตัวให้เป็นคริสเตียนที่สมบูรณ์แบบ ต้องพยายามทำอุปนิสัยตัวเองทุกอย่างให้เป็นผู้ชอบธรรมที่สมบูรณ์แบบในสายพระเนตรของพระเจ้า ย้ำอีกที “สมบูรณ์แบบในสายพระเนตรของพระเจ้า” ต้องพยายามให้พระวิญญาณบริสุทธิ์เพิ่มเติมในชีวิตของท่าน ให้พระวิญญาณบริสุทธิ์ทำงานเต็มที่ ในวิญญาณของท่าน เคยได้ยินใช่ไหม? พอเราไม่ได้อะไรสักอย่าง เขาก็บอกว่า ….

“ความเชื่อไม่พอ ต้องเพิ่มความเชื่อเข้าไปอีก”

พอเราป่วยขึ้นมา “ความเชื่อไม่พอ สร้างความเชื่อขึ้นมาสิ มันจะได้หายป่วย”

ทุกอย่าง ภาระตกมาที่เราหมดเลย เราต้องรับผิดชอบหมด มาดูว่าพระคัมภีร์บอกว่าอย่างไร?  โคโลสี 2:9-10

โคโลสี 2:9-10 “9 เพราะในพระคริสต์ พระลักษณะทั้งสิ้นของพระเจ้า ดำรงอยู่อย่างบริบูรณ์  ในพระกายของพระองค์  10  และท่านได้รับความบริบูรณ์ในพระคริสต์  ผู้ทรงเป็นศีรษะเหนือเทพผู้ทรงเดชานุภาพ  และเทพผู้ทรงอำนาจทั้งสิ้น

 

ตั้งใจฟังนิดหนึ่งนะ “ในพระคริสต์” คำว่า “พระกายของพระองค์” คือพระลักษณ์ทั้งสิ้นของพระเจ้า คือพระเจ้าเต็มรูปแบบเลย ดำรงอยู่อย่างบริบูรณ์ในร่างกายของพระเยซูคริสต์ … และต่อด้วย … และท่าน … ท่านตรงนี้ คือผู้ที่เชื่อในข่าวดีของพระเยซู พูดง่ายๆ ที่เป็นคริสเตียนแล้ว ที่วางใจในการไถ่บาปของพระเยซู และท่านได้รับความบริบูรณ์ในพระคริสต์ … แสดงว่าความบริบูรณ์ของพระเจ้า อยู่ในตัวเราเรียบร้อยแล้ว ตอนที่เรามาเชื่อพระเจ้าและต้อนรับพระเยซูคริสต์มาเป็นพระผู้ช่วยให้รอด นึกถึง เรารับด้วยปาก เชื่อด้วยใจว่าพระเยซูเป็นพระผู้ช่วยให้รอดจริงๆ ที่พระบิดาทรงประทานให้กับมนุษย์ทั้งปวง เพื่อไถ่บาปและเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่ 3 ไม่รู้เมื่อไร ที่เราเชื่อจริงๆ ณ นาทีนั้น เราได้รับทุกสิ่งทุกอย่าง ในฐานะที่ผู้เชื่อควรได้รับ ครบถ้วนบริบูรณ์แล้ว ครบเลย ทั้ง 3 พระภาคเข้ามาอยู่ในชีวิตของเรา เปาโลบอกว่า …

“ท่านไม่รู้เหรอว่าร่างกายของท่าน เป็นวิหารของพระเจ้า ที่พระเจ้าสถิตอยู่”

ไม่ใช่ว่ามาเป็นคริสเตียนแล้ว  เชื่อแล้ว ค่อยมาพยายามปฏิบัติ ให้ชีวิตครบถ้วนบริบูรณ์ทีหลัง เห็นไหม? มันต่างกันกับที่เขาสอนกันมา ไม่จำเป็นต้องมาเพิ่มพูนพระวิญญาณทีหลัง เมื่อท่านบังเกิดใหม่ในพระเยซูคริสต์ ด้วยความเชื่อในข่าวดี ท่านได้รับพระพรนานาประการทางฝ่ายวิญญาณครบถ้วนสมบูรณ์แบบ เรียบร้อยไปแล้ว ในฐานะเป็นลูกของพระเจ้า ฮาเลลูยา เราจึงไม่จำเป็นต้องแสวงหาพระพรฝ่ายวิญญาณอะไรเพิ่มเติมอีก เพราะเรามีครบถ้วนบริบูรณ์แล้ว ไม่ขาดอะไรเลย

สมมติว่าเรามีลูกสัก 50 คน คนโตคลอดออกมา เขาก็เป็นลูก เขาก็อยู่ในบ้านของเรา ทรัพย์สมบัติของเรา ก็เป็นของเขาหมด เราทำมรดกให้เขาหมด มาเมื่อวานนี้ มีลูกคนที่ 50 เพิ่งเกิด เขาก็เป็นลูกเรา เขาก็ได้รับทั้งหมดเลย มรดกที่เราเตรียมไว้ให้เท่ากันกับคนแรกเลย ยกตัวอย่างว่าคนที่เชื่อพระเจ้ามาแล้ว  เป็นคริสเตียนมาก่อนหน้านั้น ได้รับอะไร เมื่อตอน 50 ปีที่แล้ว คนนี้รับเชื่อแล้ว วินาทีที่ท่านเปิดใจ ต้อนรับพระเยซูตอนนี้ ท่านก็ได้รับเท่ากันกับคนที่อายุ 50 เท่ากันหมด เอเมนไหม? รับในฐานะเป็นลูกของพระเจ้า ไม่มีคำว่าลูกคนนี้ก่อน ลูกคนนี้หลัง พระเจ้าให้เท่ากันหมดเลย เอเมน เพราะให้ในฐานะเป็นลูก

เรากำลังคุยกับในเรื่องเกี่ยวกับวิญญาณทั้งสิ้น เรื่องความเชื่อและความรอดทางวิญญาณ ท่านไม่ต้องทำอะไรมากกว่านี้อีกเลย ไม่ต้องฝึกฝนอะไรอีกเลย ไม่ต้องพยายามทำอะไรอีกเลย เพราะทุกอย่างมันครบถ้วนบริบูรณ์ สำเร็จแล้ว ตั้งแต่วินาทีที่ท่านเปิดใจ ต้อนรับ ใช้สิทธิของท่านในพระเยซูคริสต์ ที่พระองค์ได้ทรงกระทำที่ไม้กางเขน และได้เป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่ 3 เอเมน พอท่านรับเชื่อจริงๆ ปุ๊บ ท่านได้ถูกทำให้ตาย ร่วมกับพระเยซูคริสต์ที่ไม้กางเขน และลงไปอยู่ในนรก อยู่ในหลุมศพกับพระเยซูคริสต์ และวันที่ 3 พระองค์ได้ชุบให้พระเยซูคริสต์และตัวท่านที่อยู่ในพระเยซู เป็นขึ้นจากความตาย  เกิดเป็นลูกของพระเจ้า ภาษาพระคัมภีร์ใช้คำว่าบัพติศมา

พอท่านเชื่อปุ๊บ พระเจ้าได้เอาวิญญาณของท่าน บัพติศมา จุ่มลงไปในพระเยซูคริสต์ วิญญาณเป็นหนึ่งเดียวกัน พอพระเยซูตายที่ไม้กางเขน ท่านก็เลยตายด้วย พอพระเยซูอยู่ในหลุมศพ ท่านก็อยู่ด้วย พอพระเยซูเป็นขึ้นจากความตาย ท่านก็เป็นด้วย พอพระเยซูนั่งอยู่ในสวรรคสถาน ในขณะนี้ ท่านก็นั่งด้วย นั่นแหละ อย่างที่ผมเคยยกตัวอย่าง คำว่า “ในพระเยซูคริสต์” หมายถึงอย่างนี้

สมมติว่านี่เป็นวิญญาณของเรา ที่เป็นบาป นี่พระเยซู พระเจ้าบอกว่าพระองค์มาเคาะประตู เคาะหัวใจเราตลอด เปิดใจๆ เถิด เปิดใจต้อนรับพระเยซู คือต้อนรับข่าวดีของพระเยซูว่าเป็นจริง พอรับเชื่อทันทีปุ๊บ ในโลกวิญญาณ วิญญาณตัวนี้ พระเจ้าจับใส่เข้าไปอยู่ในพระคริสต์ พระเยซูตายที่ไม้กางเขน แล้วก็ลงไปอยู่ในนรก วันที่สาม พระองค์ได้ถูกชุบให้เป็นขึ้นจากความตาย ถูกยกขึ้นอยู่สูงสุด เหนือเทพใดๆ เหนืออาณาจักร เหนือฤทธิ์เดชอำนาจใดๆ ทั้งหมดเลย อยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้าในสวรรคสถาน เบื้องขวา ก็คือเป็นผู้ดูแลรับผิดชอบฤทธิ์เดชอำนาจทั้งหมด ทั้งในสวรรค์ก็ดี ในโลกก็ดี อยู่ที่พระองค์ และท่านอยู่ในนี้ด้วย ถ้าเรารู้ความจริงเหล่านี้ ความจริงจะทำให้เราเป็นไท เพราะฉะนั้น ในเรื่องความรอดในวิญญาณ ท่านไม่ต้องทำอะไรอีกแล้ว

มีคำสอนแบบโบราณๆ เขาว่ามา ซึ่งไม่ตรงกับถ้อยคำพระเจ้า บางคนบอกว่ามาเชื่อพระเยซูแล้ว ต้องรอเวลา ให้ได้รับพระวิญญาณเพิ่มขึ้นก่อน แล้วจึงมีประสบการณ์กับพระเจ้าเต็มที่ ได้รับพระพรเต็มที่ ฟังดูดี มีหลักการ น่าจะเป็นอย่างนั้น คนที่เริ่มเชื่อใหม่ๆ ยังอธิษฐานน้อยมาก ยังไม่เคยออกไปประกาศเลย จะมีประสบการณ์กับพระเจ้าเท่ากับผู้ที่เชื่อ รับใช้มาเป็น 10ๆ ปีได้อย่างไร? เป็นไปไม่ได้ ต้องรอให้พระวิญญาณเต็มที่เสียก่อน No เลย มันไม่ตรงกับถ้อยคำพระเจ้า ตรงนั้น มันคือทางกาย ทางนิสัย  ทางความประพฤติ ไม่ใช่ความรอดทางวิญญาณ ทางวิญญาณมันครบถ้วนบริบูรณ์ไปแล้ว แต่ในทางนิสัยใจคอ มันยังต้องฝึกฝน พระวิญญาณก็จะนำเรา ทำถูกบ้าง ผิดบ้าง อย่างเช่น คนที่เคยโกรธ หลับไปทั้งโกรธ ตะกี้ที่ผมพูดเรื่องควรจะเคลียร์ความบาดหมางอะไรต่างๆ ก่อนตะวันตกดิน เริ่มเข้าใจแล้ว เย็นนี้เริ่มต้นอธิษฐาน แล้วก็เริ่มต้นเคลียร์ ไม่โกรธใครดีกว่า เดี๋ยวมันเป็นโทษกับตัวเอง ไม่ได้รักเขาหรอก รักตัวเองนั่นแหละ ไม่โกรธเขาดีกว่า อธิษฐานขอพระเจ้าอวยพร หลับสบาย ได้ดีขึ้น เห็นไหม?

นี่คืออุปนิสัยใจคอ ซึ่งยังคงพัฒนาอยู่ แต่ทางวิญญาณ ทางความรอดไม่ต้องพัฒนาแล้ว มันจบแล้ว เป็นหน้าที่ของพระเจ้า พระวิญญาณบริสุทธิ์ บัพติศมาเราด้วยไฟ ก็คือพระวิญญาณบริสุทธิ์เข้าไป ให้เราเกิดใหม่ เราเป็นลูกของพระองค์ สะอาดบริสุทธิ์ ครบถ้วนบริบูรณ์ทุกอย่าง แต่นิสัยข้างนอก เดี๋ยวค่อยๆ ปรับไป แล้วพระวิญญาณของพระคริสต์ ก็คือพระเยซูจะนำเราไป  เคยได้ยินบ่อยๆ เราร้องเพลงอยู่เรื่อยๆ

“พระหัตถ์พระองค์ ทรงจูงมือข้า”

แล้วพระเยซูก็จะเสียบป้ายลงไปในพวกเราผู้เชื่อทั้งหลายว่า …

“ลูกเราคนนี้ น้องเราคนนี้เขากำลังถูกสร้างอยู่ เขาทำอะไรผิดพลาดไป ก็ขออภัยนะ”

มาดูถ้อยคำในเอเฟซัส 1:3-5 อันนี้ยิ่งย้ำชัดเจนใหญ่เลย

เอเฟซัส 1:3-5 “3 สรรเสริญพระเจ้า พระบิดาของพระเยซูคริสต์เจ้าของเรา ผู้ประทานพระพรฝ่ายจิตวิญญาณ นานัปการในพระคริสต์ แก่เราทั้งหลายในสวรรคสถาน 4 เพราะพระองค์ได้ทรงเลือกเราไว้ในพระคริสต์ ตั้งแต่ก่อนทรงสร้างโลก ให้บริสุทธิ์ ปราศจากที่ติ ในสายพระเนตรพระองค์ด้วยความรัก 5 พระองค์ทรงกำหนดไว้ล่วงหน้า ที่จะรับเราเป็นบุตรของพระองค์ ผ่านทางพระเยซูคริสต์ ตามพระประสงค์อันดีของพระองค์”

 

พระองค์ได้ทรงเลือกเราไว้ในพระคริสต์ตั้งแต่ก่อนสร้างโลก ให้บริสุทธิ์ ปราศจากที่ติ ในสายพระเนตรของพระองค์ ด้วยความรัก พระองค์ทรงกำหนดไว้ล่วงหน้า ที่จะรับเราเป็นบุตรของพระองค์ผ่านทางพระเยซูคริสต์ ตามพระประสงค์อันดีของพระองค์ พระองค์ทรงเลือกเราให้อยู่ในพระคริสต์ เป็นลูกของพระองค์ ที่สะอาดหมดจดในสายพระเนตรของพระองค์ ไม่ต้องไปฟังใครแล้ว สายตาของพระเจ้ามองเรามา สะอาดหมดจด บริสุทธิ์เลย บางคนบอกว่าพระเจ้ามองเราบริสุทธิ์ เพราะว่ามองผ่านพระเยซู ไม่ใช่ มองตัวเราบริสุทธิ์เท่าพระเยซูเลย ถ้อยคำที่สำคัญอยู่ข้อ 4 ที่บอกว่า … พระองค์คือพระเจ้าได้ทรงเลือกเราไว้ในพระคริสต์ตั้งแต่ก่อนสร้างโลกอีก และในข้อที่ 5 บอกว่า … พระองค์ทรงกำหนดไว้ล่วงหน้า ที่จะรับเราเป็นบุตรของพระองค์ผ่านทางพระเยซูคริสต์ … แผนการตั้งแต่ก่อนสร้างโลกแล้วว่าเราจะเป็นลูกของพระองค์ ที่สะอาดหมดจดเท่ากับพระเยซูคริสต์เลย จะย้ายเรามาอยู่ในสวรรค์ คือในพระคริสต์ เตรียมมาตั้งนานแล้ว ตั้งแต่ก่อนสร้างโลก พระเจ้ากำหนดไว้แล้วว่าเราจะเป็นผู้บริสุทธิ์ปราศจากที่ติในสายพระเนตรพระเจ้า เราจะเป็นบุตรของพระเจ้า โดยผ่านทางพระเยซู เพราะความบาป ทำให้เราทำเองไม่ได้ครบ 100 แน่นอน เพราะฉะนั้น ต้องผ่านทางพระเยซูเท่านั้น

คำว่า “ผ่านทางพระเยซู” ก็คือผ่านทางความเชื่อในข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์ ที่บอกว่าพระเยซูคริสต์ คือผู้ช่วยให้รอด ที่พระเจ้าประทานให้กับมนุษย์ทั้งปวง มาตายที่ไม้กางเขน หลั่งพระโลหิต ชำระบาปให้กับมนุษย์ทั้งปวง และทรงเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่ 3 และพระเจ้าได้ยกพระองค์ ให้นั่งที่เบื้องขวาของพระเจ้า ในสวรรคสถาน และข้อสำคัญ คือพระองค์ได้ทรงกระทำ ได้ประกาศด้วยตัวของพระองค์เองที่ไม้กางเขน เมื่อวันศุกร์ ตอนบ่าย 3 โมงว่า … “สำเร็จแล้ว” … ทั้งหมดนี้ ที่พระเจ้าบอก ที่เราอ่านกันนี้ ที่พระเจ้าต้องการให้เราเป็นลูกของพระองค์อะไรต่างๆ เหล่านี้ พระเยซูบอกว่ามันสำเร็จแล้ว ถ้าตามสายตายมนุษย์ คือสำเร็จแล้วมา 2,000 ปี เพราะกำหนดไว้ล่วงหน้าแล้ว ว่าเรามีสิทธิ์ที่จะได้รับคุณสมบัติเหล่านี้ คือได้เป็นผู้บริสุทธิ์ สมบูรณ์ครบถ้วน ปราศจากที่ติในสายพระเนตรของพระเจ้า ได้เป็นบุตรของพระเจ้า โดยพระคุณของพระองค์ ไม่ใช่การกระทำของเราเลยแม้แต่นิดเดียว เอเมน และสิทธิ์นี้จะเกิดผลได้ โดยผ่านทางการยอมรับในการกระทำของพระเยซู ผ่านการยอมรับในขบวนการที่พระเจ้าวางไว้ คือให้เชื่อในพระเยซูคริสต์ว่าเป็นพระผู้ช่วยให้รอด ที่พระเจ้าทรงประทานให้ เพียงผู้เดียวเท่านั้น พูดอีกครั้งหนึ่ง เพียงทางเดียวเท่านั้น พระเยซูจึงบอกว่าเราเป็นทางนั้น ท่านทั้งหลายจะไปหาพระบิดา คือจะไปสวรรค์ได้ มีทางเราทางเดียวเท่านั้น ไม่มีทางอื่นใดเลย และทันทีที่ผ่านทางความเชื่ออย่างนี้ ยอมรับด้วยปาก และเชื่อด้วยใจในพระเยซูคริสต์อย่างนี้แล้ว ทุกอย่างก็สมบูรณ์แบบแล้ว โดยที่ไม่ต้องทำอะไรเลย  เพราะพระเยซูทำให้แล้ว ได้รับการบังเกิดใหม่ เป็นลูกของพระเจ้าแล้ว ไม่มีการตายอีกต่อไป ไม่มีใครเอาลูกพระเจ้าออกไปจากพระหัตถ์ของพระองค์ได้ ไม่ว่าจะเป็นอำนาจใหญ่ขนาดไหน? สติปัญญาขนาดไหน? ไม่มีใครสามารถมาเอาพวกเรา ลูกของพระเจ้า ที่เชื่อในพระองค์แล้วออกไปจากในพระคริสต์นี้ได้เลย พระเยซูบอกว่าไม่มีใครเอาแกะที่อยู่ในคอกของเราออกไปได้เลย ไม่มีทางเลย

เพราะฉะนั้น ก็ไม่จำเป็นต้องแสวงหาพระพรฝ่ายวิญญาณเพิ่มขึ้น ถูกไหม? ใครจะมาหลอกเราไม่ได้แล้ว ฝ่ายวิญญาณ เรามีพรเต็มที่แล้ว เป็นลูกของพระเจ้าแล้ว  ไม่ต้องรอรับพระวิญญาณ เพราะพระวิญญาณมาสถิตอยู่กับเราแล้ว ตั้งแต่วินาทีแรก ที่เรารับเชื่อแล้ว เป็นผู้มาบัพติศมาเราด้วยไฟ ยิ่งกว่านั้นอีกต่างหาก ตั้งแต่นาทีที่เรารับเชื่อ และได้บังเกิดใหม่  ถ้าเราไม่มีพระวิญญาณบริสุทธิ์ จะบังเกิดใหม่ได้อย่างไร?  การบังเกิดใหม่ ก็คือพระวิญญาณบริสุทธิ์บัพติศมาเราด้วยไฟ คือพระเจ้าจุ่มเราลงไป บัพิตศมา แปลว่าจุ่มลง จุ่มลงไปในวิญญาณของพระเจ้า  จุ่มและให้เราบังเกิดใหม่ทันทีเลย เปลี่ยนแปลงวิญญาณเราที่สกปรกโสโครกให้กลายเป็นสะอาดหมดจด บริสุทธิ์เลย เขาเรียกว่าบัพติศมาด้วยไฟ คือฤทธิ์เดชอำนาจนี้ ย้ายเรา เปลี่ยนแปลงเรา เขาเรียกว่าคอนฟอร์ม ทรานฟอร์ม เปลี่ยนรูปร่างจากวิญญาณหงิกๆ งอๆ ผ่านทางไฟของพระวิญญาณบริสุทธิ์ เปลี่ยนเราเป็นรูปร่างที่ดีขึ้น เป็นลูกของพระเจ้าที่มีสง่าราศี ไม่มีที่ติใดๆ เลย ไม่มีบาป ไม่มีสิ่งสกปรกใดๆ เลยแม้แต่นิดเดียว และท่านเป็นอย่างนั้นแล้วตอนนี้ เพราะท่านเป็นผู้ที่เชื่อในข่าวประเสริฐของพระเจ้า เอเมน

โรม 8:9-10 ”9 อย่างไรก็ตาม ถ้าพระวิญญาณของพระเจ้าสถิตในท่าน ท่านก็ไม่ได้ถูกควบคุมโดยวิสัยบาป แต่โดยพระวิญญาณ และถ้าผู้ใดไม่มีพระวิญญาณของพระคริสต์ ผู้นั้นก็ไม่ได้เป็นของพระคริสต์ 10 แต่ถ้าพระคริสต์อยู่ในท่าน  กายของท่านก็ตายไป  เพราะบาป  ถึงกระนั้น จิตวิญญาณของท่าน ก็มีชีวิตอยู่ เพราะความชอบธรรม”

 

ขอบคุณพระเจ้า ทางฝ่ายวิญญาณ ในเรื่องของความเชื่อและความรอด เราไม่ต้องทำอะไรอีก ไม่ต้องรออะไรอีก และทางฝ่ายวิญญาณ ความรอด ไม่มีตรงกลาง ไม่มีว่ามีพระเยซู แต่ยังไม่ได้รับพระวิญญาณ หรือมีพระเยซูแล้ว แต่ยังทำไม่ได้ครบถ้วนบริบูรณ์ ไม่มี ความเชื่อแบบนี้ คือที่เราใช้คำว่าความเชื่อเก่าแก่ ที่ไม่ถูกต้องตามข่าวดีของพระเยซู ที่ควรจะถูกลบล้างออกไป และแทนที่ด้วยความจริงในถ้อยคำพระเจ้า ที่จะทำให้เราเป็นไท พระคัมภีร์บอกว่าเมื่อเราเชื่อในพระเยซูคริสต์แล้ว เราครบถ้วนบริบูรณ์แล้ว ไม่ขาดตกบกพร่องในสิ่งใดๆ เลย ไม่จำเป็นต้องมีสิ่งใดมาเพิ่มเติมอีกแล้ว เพื่อให้เราสมบูรณ์มากขึ้นกว่านี้อีก เราเป็นลูกของพระเจ้าที่สมบูรณ์ครบถ้วน ไม่จำเป็นต้องทำอะไรให้เป็นลูกมากขึ้น แต่ถ้าทำดี พ่อก็ชื่นใจ ต่อให้ทำไม่ดี ก็เป็นลูก เหมือนบุตรน้อยหลงหาย เป็นลูก ก็คือเป็นลูก ไม่ต้องไปสนใจว่าลูกแย่ ลูกทำอะไรผิด พ่อไม่ได้คิดเลย ลูกกลับมา ดีใจ เพราะเขาเป็นลูกเรา ไม่ใช่ว่าอ๋อ! หนีออกจากบ้านไปเหรอ ตัดขาด ไม่ใช่เป็นลูก ตัดไม่ได้ เขาเป็นลูกโดยสายเลือด นี่คือสายเลือดของพระเจ้า โดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ ผู้ให้กำเนิดเรา

ดังนั้น เมื่อเราเป็นลูกของพระเจ้า เราจึงมีทุกสิ่งทุกอย่างที่จำเป็นต้องมีในพระคริสต์ ในวิญญาณ เรียบร้อยแล้ว สิ่งเหล่านี้มาพร้อมกันกับการรับด้วยปากและเชื่อด้วยใจ ด้วยการต้อนรับพระเยซูคริสต์ มาเป็นพระผู้ช่วยให้รอด เป็นพระผู้ไถ่บาป ในชีวิตของเรา คือได้บังเกิดใหม่นั่นเอง คุณสมบัติแบบสมบูรณ์แบบอย่างนี้ เราได้รับทางเดียวเท่านั้น ไม่ใช่ความพยายาม ไม่ใช่การกระทำ ไม่ใช่ตั้งใจจะมีความประพฤติที่ถูกต้อง ไม่ใช่ ซึ่งสิ่งเหล่านั้นดีหมดนะ แต่ทางเดียวเท่านั้นที่จะทำให้เรามีคุณสมบัติครบถ้วนบริบูรณ์อย่างนี้ และสามารถอยู่ในสวรรค์กับพระเจ้านิรันดร์กาลได้ มีทางเดียวเท่านั้น คือการบังเกิดใหม่ในพระเยซู โดยพระเจ้าเท่านั้น ตัวนี้จึงเป็นตัวสำคัญมาก ไม่ใช่ด้วยการกระทำของเราเองเลยแม้แต่นิดเดียว แต่โดยการบังเกิดใหม่เท่านั้น เราจะได้รับสิ่งเหล่านี้ทั้งปวง ด้วยพระคุณพระเจ้าที่ทำให้เราได้บังเกิดใหม่ในพระเยซูคริสต์และได้เป็นบุตรของพระองค์ชั่วนิรันดร์ และสิ่งเหล่านี้ ที่เราเล่ากันอยู่นี้ คือความจริง นี่คือข่าวประเสริฐ แล้วทำไมเขาสอนกัน เขาคุยกันเรื่องอะไรก็ไม่รู้ ทำให้ข่าวประเสริฐเสียหาย ภาษาอังกฤษเขาเรียกดิสเครดิต คือมันทำให้ข่าวประเสริฐก้ำๆ กึ่งๆ มันไม่ชัดเจน  ถ้าเราช่วยกันรักษาข่าวประเสริฐให้มันชัดๆ ง่ายๆ อย่างนี้ แล้วไม่มีอะไรมารบกวน มาทำให้มันด้อยลง ผมเชื่อว่าคนมาเชื่อพระเจ้าง่ายๆ เยอะแยะ แต่นี่เราทำจนยากลำบาก  อันนี้ก็ไม่ได้ อันนั้นก็ไม่ได้ อันนั้นก็ยุ่ง เลยตัดสินใจยังไม่มาเชื่อดีกว่า พอมาเชื่อพระเจ้า ภาระเต็มไปหมด มากกว่าเก่าอีก สมัยยังไม่มาเชื่อพระเจ้า ไม่ต้องทำเลย ตอนนี้ต้องทำโน้นทำนี้ ตายแล้ว กลับไปหาครอบครัวก็ไม่ได้ มันเหนื่อยมาก จริงๆ พระเยซูบอกว่า …

“จงมาหาเรา เราจะให้ท่านหายเหนื่อยและเป็นสุข”

บางทีเราฟังดูแล้ว รู้สึกอาจจะไม่เกี่ยวกับเรา เราเชื่อแล้ว แต่ เรามีหน้าที่อย่างหนึ่ง ที่ต้องทำ ก็คือรักษาข่าวดีของพระเจ้า ช่วยกันปกป้องข่าวดีของพระเจ้า อย่าให้ใครมาดิสเครดิตให้มันแย่ลง  โดยปรัชญาของมนุษย์ โดยสติปัญญาของมนุษย์ ที่พระคัมภีร์เรียกว่าไร้แก่นสาร แต่จะทำอย่างนั้นได้ ตัวเราเองต้องอยู่ในความจริงเหล่านั้นมากๆ เพื่อให้มันเข้มแข็ง ในวิญญาณของเราให้ชัดเจนมาก แล้วทำอย่างไร? พระคัมภีร์บอกว่า …

“จงจดจ่อไปที่เบื้องบน”

ก็คือจงจดจ่อไปที่โลกวิญญาณ จดจ่อไปในพระคริสต์ ในพระคริสต์ที่เราเป็นอยู่ เรานั่งอยู่ที่เบื้องขวาในสวรรคสถาน เราได้บังเกิดใหม่แล้ว เราสะอาดหมดจดแล้ว จดจ่อด้วยวิธีหลับตา แล้วเปิดตาฝ่ายวิญญาณมองให้เห็นเถิดว่าฉันเป็นใครในพระเยซูคริสต์ จะไม่มีอะไรมาลบล้างความจริงเหล่านี้ จากวิญญาณของฉัน จากความคิดของฉันได้เลย เพราะมันเป็นไปตามพระคัมภีร์เป๊ะ เอเมน

ฝึกฝนเหมือนเดิม จดจ่อตามพระคัมภีร์บอก 2 โครินธ์ 4:16  บอกให้เราจดจ่อไปที่เบื้องบน ให้เราจดจ่อไปที่พระเจ้าไถ่บาป ให้เราได้บังเกิดใหม่ในพระเยซูคริสต์

หายใจลึกๆ แล้วก็เริ่มปรับโหมดเข้าสู่โลกวิญญาณ เริ่มเปิดตาฝ่ายวิญญาณขึ้นมา เพราะเรื่องเหล่านี้ เป็นเรื่องโลกวิญญาณทั้งสิ้น และให้มองเห็นความเป็นจริงของโลกวิญญาณในขณะนี้ว่าโลกวิญญาณมีอยู่จริงๆ และสถานะของเราในโลกวิญญาณเป็นเช่นไร? ตามที่พระเจ้าบอกในพระคัมภีร์ หายใจลึกๆ นะครับ แล้วก็บอกกับตัวเองว่า … จงมองให้เห็นเถิด  เปิดตาวิญญาณ จงมองให้เห็นเถิด … จงคิดตาม หรือพูดตามที่ผมจะนำท่านก็ได้นะครับ

“ฉันเป็นวิญญาณ ที่ได้บังเกิดใหม่ในพระเยซูคริสต์ พระเจ้าได้ชุบให้ฉันเป็นขึ้นจากความตาย พร้อมกับพระเยซูคริสต์ และได้ประทานจิตใจใหม่ให้กับฉัน ฉันจึงเป็นวิญญาณที่มีจิตใจใหม่ สะอาดหมดจด บริสุทธิ์ ไร้ที่ติในสายพระเนตรพระเจ้า เป็นเหมือนพระเยซู สามารถอยู่ในสวรรค์ร่วมกับพระเจ้า เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์ ครอบครองสวรรค์ร่วมกับพระเยซูคริสต์ในขณะนี้ วิญญาณของฉันนั่งอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้าในสวรรคสถาน พระเจ้าได้ประทานพระพรนานานับประการให้กับฉัน ที่ฉันจำเป็นต้องใช้ในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ และในสวรรค์ตลอดไป ฉันมีพระพรนี้ครบถ้วนบริบูรณ์ และพระวิญญาณสถิตอยู่กับฉัน เป็นหนึ่งเดียวกับฉัน คอยเป็นพี่เลี้ยงนำพาในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ในฐานะพี่เลี้ยงของลูกของพระเจ้า ที่ได้บังเกิดใหม่ในพระเยซู ฉันจะอยู่ในสวรรค์กับพระเจ้า ในฐานะลูกของพระองค์ชั่วนิรันดร์ ขอบคุณพระเจ้า”

ท่านก็ใช้เวลานี้อธิษฐาน ตอบสนองถ้อยคำพระเจ้า นี่คือความเป็นจริงที่พระเจ้าได้กระทำให้กับเรา โดยพระคุณ ฝึกที่จะคุยกับพระเจ้า ขอบคุณพระองค์ ขอพระองค์ทรงเปิดตาฝ่ายวิญญาณให้ลูกมากขึ้น ที่จะมองเห็นความเป็นจริงในโลกฝ่ายวิญญาณชัดเจนมากยิ่งขึ้น ขอพระเจ้าอวยพรครับ

 

****************************