คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 24 พฤศจิกายน 2019 เรื่อง “ความเชื่อเก่าแก่ VS ความจริงที่จะทำให้ท่านเป็นไท”ตอน 2 โดย นคร เวชสุภาพร

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  24  พฤศจิกายน  2019

 เรื่อง “ความเชื่อเก่าแก่ VS ความจริงที่จะทำให้ท่านเป็นไท”ตอน 2

โดย นคร  เวชสุภาพร

            สุขสันต์วันขอบคุณพระเจ้า เรามาต่อเรื่อง “ความเชื่อเก่าแก่ VS ความจริงที่ทำให้ท่านเป็นไท” ตอน 2 ที่เราจะรวบรวมความเชื่อ หรือคำสอนที่มีมาแต่โบราณ ที่เรียกว่าสอนกันมาตั้งแต่อ้อนแต่ออก อะไรประมาณนี้ ถูกถ่ายทอดต่อๆ กันมาเรื่อยๆ จนกลายเป็นความเชื่อเก่าแก่ ไม่รู้มาจากไหน? ซึ่งเราจะเน้นเฉพาะตรงจุดที่คำสอนในความเชื่อเหล่านั้น ไม่ตรงกันกับความหมายในพระคัมภีร์เลย ซึ่งอย่างที่ผมเคยเกริ่นไว้ ในสัปดาห์ที่แล้วว่ามีอยู่หลายเรื่องที่ทำให้ข่าวดีของพระเยซูที่ง่ายที่สุด กลับกลายเป็นเรื่องยาก ไม่มีอะไรง่ายเท่ากับเรื่องของข่าวดีของพระเยซูที่จะไปสวรรค์ ก่อนหน้าพระเยซูมามีแต่คนบอกจะไปสวรรค์อย่างไร? ไม่มีใครไปได้สักคน ยากหมดเลยครับ ทุกคำสอนเลย แม้กระทั่งรวมถึงคำสอนของชาวอิสราเอลเอง ที่เรียกว่าประชากรของพระเจ้า พระเจ้าก็บอกว่าไม่มีใครไปได้สักคน มันยากมาก พอพระเยซูมาตายที่ไม้กางเขน  เป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่ 3 สวรรค์ลงมาตั้งง่ายๆ คนเข้ามาได้ง่ายๆ แต่คนไปติดอยู่ของเก่า เพราะสอนกันมานาน รู้สึกของพระเยซูง่ายไป คือจริงๆ มันง่ายอย่างนั้น

ในหนังสือโคโลสี อาจารย์เปาโลจึงบอกว่า … “ข้าพเจ้าต้องยกเรื่องนี้มาพูดกับท่าน เพื่อไม่ให้ใครมาล่อลวงท่าน ด้วยถ้อยคำที่น่าเชื่อถือ”

ความเชื่อเก่าๆ ที่สอนมาตั้งแต่เก่าแก่ ตั้งแต่อ้อนแต่ออก ส่วนใหญ่มาจากผู้ที่ฟังดูแล้วน่าเชื่อถือ ทั้งสิ้น ที่เขายกย่องให้เป็นผู้อาวุโสทางด้านคำสอน ทางด้านปรัชญาอะไรแบบนี้ ซึ่งส่วนใหญ่ พอเราได้ยินได้ฟัง มันฟังดูดี ใช่ในสายตามนุษย์ ตามความคิดของมนุษย์ เป็นไปได้เยอะแยะเลย แม้กระทั่งกวีเอง แต่งเพลงเอย แต่งบทกลอนอะไรต่างๆ ฟังดูดี ก็มีเยอะแยะ แต่ความหมายในคำว่าดูดี มันคืออะไร? ตรงนี้สำคัญมากกว่า อาจารย์เปาโลไม่อยากจะให้ใครถูกล่อลวงไปด้วยความน่าเชื่อถือแบบมนุษย์ พูดง่ายๆ ซึ่งความน่าเชื่อถือแบบมนุษย์ บางครั้งเราไปเชื่อ ในสิ่งที่ดูน่าเชื่อถือ แต่มันไม่ตรงกันกับถ้อยคำพระเจ้า เราก็จะเสียผลประโยชน์ ในเรื่องข่าวประเสริฐไป และเป็นหนึ่งในจำนวนผู้ทำลายข่าวประเสริฐ โดยไม่รู้ตัว คือเรากลายเป็นพยานเท็จ เรื่องข่าวประเสริฐ โดยไม่รู้ตัว

เปาโลย้ำแล้วย้ำอีกว่าไม่ว่าคำพูดหรือคำสอนนั้น จะมาจากผู้ใหญ่ขนาดไหน? จากผู้อาวุโส ผู้มีตำแหน่งขนาดไหนก็ตาม หรือฟังดูน่าเชื่อถือมากขนาดไหนก็ตาม คนแห่กันไปฟังเยอะเลย สมมตินะ แต่ถ้ามันไม่ตรงกับข่าวประเสริฐที่แท้จริงของพระเยซูคริสต์ คำพูด คำสอนเหล่านั้น ก็เชื่อถือไม่ได้เด็ดขาด เปาโลเป็นผู้ที่ปกป้องเรื่องนี้อย่างมาก ตอนที่พูดอยู่นี้ เปาโลนึกไปถึงพวกอัครสาวก ที่เดินกับพระเยซูในสมัยนั้น ถ้าอัครสาวกที่เดินกับพระเยซู ที่เรียกว่าสาวกใกล้ชิด 12 ท่าน ตอนที่พระเยซูดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ ดูเหมือนสนิทกว่า ดูเหมือนจะรู้เรื่องมากกว่าคนอื่นๆ ก่อนที่จะถูกตรึงบนไม้กางเขน ยังเดินอยู่ด้วยกัน ขนาดเป็นขึ้นจากความตาย ยังมาเจอกันเลย  เพราะฉะนั้น คนเหล่านี้น่าจะมีคนเชื่อถือมากกว่า เปาโลหมายถึงว่าแม้กระทั่งคนเหล่านี้ ทำอะไร หรือพูดอะไร หรือสอนอะไรที่ไม่ตรงกับถ้อยคำพระเจ้า ก็ไม่ต้องไปเชื่อเขา ไม่ได้อยู่ที่เดินกับพระเยซูมาก่อนหรือไม่ อยู่ที่ถ้อยคำของพระเจ้า เมื่อพระเยซูสอนเรื่องข่าวดีของพระเจ้าว่าพระเยซูเป็นใคร? มาไถ่บาป แผนการของพระเจ้าเป็นอย่างไร? ตรงนั้น สำคัญมากกว่า เอเมน

สัปดาห์ที่แล้วเราเริ่มกันที่เรื่องแรก คือเรื่องความเชื่อในการทำตามประเพณี หัวข้อครั้งที่แล้ว ที่ในปัจจุบัน ยังมีคริสเตียนหลายคน โดยเฉพาะคริสเตียนเก่าแก่ ที่ยังคงยึดติดกับธรรมเนียมปฎิบัติต่างๆ ที่ได้สอนกันต่อๆ มา ที่เปาโลใช้คำว่า “เป็นปรัชญาอันไร้แก่นสาร” ฟังดูน่าเชื่อถือ แต่คำว่า “ไร้แก่นสาร” หมายถึงว่ามันไม่มีข้อมูลของความเป็นจริง ตามที่พระเยซูสอน ในเรื่องเกี่ยวกับสวรรค์ เข้าสวรรค์ได้อย่างไร?  บางอัน ปรัชญามันยากมากเลย กว่าจะเข้าสวรรค์ได้ ลำบากมาก แต่ฟังดูมันมีเหตุผล แบบมนุษย์ คนพูดก็น่าเชื่อถือ ใช้คำพูดแบบสลวยด้วย แต่สิ่งเหล่านั้น ไม่ตรงตามถ้อยคำพระเจ้า เปาโลบอกนั่นแหละ คือสิ่งที่ไร้แก่นสาร

โคโลสี 2:8 “จงระวังให้ดี อย่าให้ใครมาจับท่านเป็นทาส ด้วยปรัชญาอันไร้แก่นสาร และหลอกลวง  ซึ่งอาศัยธรรมเนียมปฏิบัติ ที่มนุษย์ถ่ายทอดกันมา และหลักการพื้นฐานต่างๆ ของโลกนี้  แทนที่จะอาศัยพระคริสต์”

 

แทนที่จะอาศัยพระเยซูคริสต์ ก็คืออาศัยข่าวประเสริฐเท่านั้น แต่นี่ไม่อาศัยอะไร อาศัยปรัชญา อาศัยหลักการที่เขาถ่ายทอดกันมา เป็นประเพณี เป็นวัฒนธรรมไปแล้ว อะไรต่างๆ

ก็สรุปได้ว่าการกระทำมี 2 แบบ แบบโบร่ำโบราณ เป็นสิ่งที่ถูกต้องตามหลักพระคัมภีร์เสมอ ต้องจำไว้เลย เราต้องหูไว ตาไวในเรื่องถ้อยคำพระเจ้า ถ้าจะมีเหตุผล ก็ควรจะมีเหตุผลลักษณะพระคัมภีร์ไบเบิ้ลเป็นรากฐาน ไม่ใช่มีเหตุผลแบบมนุษย์ ยกตัวอย่างมีเหตุผลแบบมนุษย์ ก็คือบรรยายเขาเป็นใคร? อย่างนี้ไม่ใช่  เขามีตำแหน่งอะไร? อย่างนี้ไม่ใช่ เขาแต่งตัวอย่างไร? อย่างนี้ไม่ใช่ นี่คือหลักการ มาตรฐานแบบมนุษย์ ใช่ไหม? แต่ถ้าหลักฐานตามแบบพระคัมภีร์ ก็คือที่เขาพูดมา ข้อความนั้น มันตรงกับที่พระเยซูพูดไหม? มันหมายความว่าอะไรในพระคัมภีร์ เกี่ยวกับสวรรค์อย่างไร? ถูกต้องไหม? ขัดแย้งกับข้ออื่นๆ หรือไม่? อะไรอย่างนี้เป็นต้น อันนี้เป็นเรื่องที่สำคัญมาก แต่ถึงแม้ขนาดย้ำกันขนาดนี้ก็ตาม พูดกันละเอียดถึงขนาดนี้  ก็ไม่ใช่ว่าจะทำกันได้ง่ายๆ โดยเฉพาะผู้เชื่อในบ้านเรา

“บ้านเรา” หมายถึงที่ในประเทศไทย ซึ่งว่ากันตามจริงแล้ว มันทั้งแถบเอเชียสะส่วนใหญ่ ความยาก ก็คือส่วนใหญ่จะมีความเชื่อติดตัวมาตั้งแต่เดิม ในเรื่องเวรกรรม

“โอ๊ย! เวรกรรม” มันติดปากเลย

ไม่ได้ตั้งใจจะพูด มันหลุดปากออกมาเอง เหยียบตะปูเข้าไป

“โอ๊ย! เวรกรรม”

คนข้างๆ ถาม “เธอต้องไปทำอะไรมาแน่ๆ ชาติก่อน ไปทิ้งตะปูให้คนอื่นเขาเหยียบหรือเปล่า มาชาตินี้ คนอื่นเขาเลยทิ้งให้เราเหยียบมั้ง”

“ไม่เป็นไร ช่างมันเถอะ มีกรรม มีเวร เราก็ต้องชดใช้มันไปว่ากันไป ทำดีเยอะๆ ไว้แล้วกัน เวรกรรมนั้นจะได้ลด ทำดีไว้ เพื่อจะได้ไปผ่อนจ่ายเจ้ากรรมนายเวรได้”

ไม่รู้มาจากไหน?  แล้วแทบไม่ต้องสอน มันเป็นหมดเลย มันอยู่ในใจ อยู่ในความคิดตลอด อย่างนี้เป็นต้น เขาเรียกความเชื่อแบบนี้ว่าประเพณี มันลึกกว่าประเพณี จะบอกว่าวัฒนธรรม มันลึกกว่าวัฒนธรรม มันฝังเข้าไปอยู่ในชีวิตเรา เมื่อเราเกิด มันจึงยากมาก ที่จะเอาความเชื่อเดิมๆ ออกไป เพราะเราถูกสอนมายาวนาน ความเชื่อเดิมๆ นี้ว่าเรามีบาปกรรมเวร ติดตัวมา มีเจ้ากรรม นายเวร มาตามเก็บหนี้เรา มาเคาะประตูบ้านทุกวัน จ่ายหรือยัง ชดใช้หรือยัง พอเราเกิดมีอะไรขึ้น เสียหาย เราก็บอกกำลังใช้เวร  เราต้องพยายามทำดีเยอะๆ เพื่อจะได้ลบล้างบาปออกบ้าง

แม้จะมาเชื่อพระเจ้าแล้ว ได้รับความรอดจากโทษของความบาปเรียบร้อยแล้วก็ตาม นี่คือหลักการของข่าวประเสริฐของพระเยซู เมื่อมาเชื่อพระเยซูคริสต์ พระองค์มาไถ่บาป มาชำระบาปให้กับมนุษย์หมดสิ้นแล้ว นี่คือความหมายของคำว่า “ข่าวดีของพระเยซู” สั้นๆ

เพราะฉะนั้น แม้จะมาเชื่อพระเจ้าแล้ว ได้รับความรอดจากบาปแล้ว โดยพระเยซูคริสต์ไถ่ให้แล้วก็ตาม แต่ก็ยังติดอยู่กับคำสอนตามประเพณีเดิมๆ ที่สอนต่อๆ กันมา ที่สอนว่า …

“เราได้รับความรอด โดยพระคุณแล้ว ก็จริง แต่ก็ยังคงต้องรักษาความดีงามในการดำเนินชีวิตให้บริสุทธิ์ด้วยนะ ปราศจากความบาป  มิฉะนั้น จะถูกพิพากษาลงโทษ พระเจ้าจะบ้วนออกมานะ หรือไม่ทำตามคำสอนของพระเยซู วันหนึ่งข้างหน้า พระองค์จะบอกว่าไม่รู้จักเรานะ กลัวมากเลย”

“ใครเมื่อเช้านี้ไม่ได้อธิษฐานตอนเช้า ระวังไว้นะ ไม่ได้อธิษฐานบ่อยๆ พระเจ้าลืมเธอนะ ตายไป เจอพระเยซู … “พระเยซูเจ้าข้า” … “เธอเป็นใคร ฉันไม่รู้จักเธอ”

อะไรประมาณนี้ ขู่เราอีก แล้วท่านคิดว่ามันน่าจะเป็นอย่างนั้นไหม? พระเยซูบอกว่า …

“เราไม่รู้จักท่าน”

ตอนที่พระเยซูพูดเรื่องนี้ พระเยซูพูดกับผู้ที่เขาคิดว่าเขาเชื่อพระเยซู แล้วเขาบอกว่าอย่างไร?  พระเยซูบอกคนไหนที่ทำตามน้ำพระทัยพระเจ้า คนนั้น คือผู้ที่จะได้ไปสวรรค์ ได้รับความรอดใช่ไหม? คนเหล่านั้นบอก

“ฉันตามน้ำพระทัยพระเจ้าแล้ว”

“ทำอะไร”

“ข้าพเจ้าขับผีออก ข้าพเจ้าทำโน่นทำนี่ จำไม่ได้เหรอ ข้าพเจ้าทำเยอะแยะไปหมดเลย ขับผีออก ทั้งอดอาหาร อธิษฐาน ทั้งถวายสิบลด ทั้งตามกฎระเบียบ ทุกอย่างเลย”

พระเยซูบอก “ทำหมดทุกอย่างใช่ไหม? ดีมาก เมื่อถึงวันนั้น เราจะบอกว่าเราไม่รู้จักเจ้า”

ไม่งงเหรอ แล้วพระองค์บอกว่าผู้ที่ทำตามน้ำพระทัยพระเจ้าเท่านั้น เราจึงจะรู้จักเขา เขาถึงจะเป็นครอบครัวเดียวกับเรา เป็นพ่อ เป็นแม่ เป็นญาติพี่น้องกับเรา คนนั้นต้องเป็นคนที่ทำตามน้ำพระทัยพระเจ้า แล้วน้ำพระทัยพระเจ้า คืออะไร? น้ำพระทัยพระเจ้า ก็คือข่าวดีของพระเยซู น้ำพระทัยพระเจ้า คือพระเจ้าต้องการให้มนุษย์ได้รับความรอด โดยประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ ที่ทรงรักมากมาย ลงมาเกิดเป็นมนุษย์ เพื่อสละชีวิต ที่ไม้กางเขน เพื่อไถ่บาป ชำระบาปให้กับมนุษย์ทั้งมวล คนมาเชื่อในเราถึงจะได้รับความรอด ถ้าเธอเชื่อในตัวเธอ เชื่อว่าฉันต้องทำอันนั้น ฉันต้องทำอันนี้ จะให้ช่วยตัวเองอยู่ แล้วจะรอดได้อย่างไร ในเมื่อ ช่วยอย่างไร มันก็ไม่มีวันที่จะครบ 100% ตามมาตรฐานของพระเจ้า พระเยซูจึงบอกว่าเราไม่รู้จักเจ้า เพราะเจ้าไม่มีทางไปสวรรค์ได้ด้วยตัวของเจ้าเองหรอก ต่อให้เจ้าขับผีออก ต่อให้เจ้าอธิษฐาน ต่อให้เจ้าทำอันโน้นทำอันนี้ให้กับพระเจ้าเยอะแยะ รักพระเยซูมาก แต่ถ้าเจ้ายังฝังความเชื่อว่า …

“ฉันจะรอดได้ ฉันจะต้องทำๆ พึ่งในสิ่งที่ฉันทำ ไม่ได้พึ่งพระเยซู”

สุดท้ายก็ไม่ได้รับความรอด ไม่ได้อยู่ในสวรรค์ พระเยซูก็จะบอกว่า …

“เราไม่รู้จักเจ้า”

วันนี้ตรงนี้เฉพาะแค่นี้ก่อน เราค่อยๆ สอนเรื่องนี้ต่อๆ ไป เราก็วนๆ อยู่แถวๆ นี้  พอสอนกันไป สอนกันมา จนบางความเชื่อ ก็เป็นสอนผิดๆ ถูกๆ จนเกิดเป็นศาสนกิจประจำ ทำเป็นกิจวัตร แต่อันนี้เป็นกิจวัตรในเรื่องศาสนา ก็เลยเรียกว่าศาสนกิจ กลายเป็นกฎข้อบังคับขึ้นมาเลย ทั้งๆ ที่พระคัมภีร์ไม่มี มีทั้งรายการที่ห้ามทำ รายการที่ต้องทำ ยาวเหยียด จนทุกวันนี้ ศิษยาภิบาล ก็ยังคงเจอกับคำถามของสมาชิก หลายคริสตจักรก็เจอคำถามสมาชิก ก็เพราะคำสอนเก่าๆ แก่ๆ มาอย่างนั้น ซึ่งมันไม่รู้ว่ามาจากไหน? ศิษยาภิบาลก็จะถูกถามจากคริสเตียนที่พอมาเชื่อแล้ว ก็สับสน คนมาใส่โน่น คนมาสอนนี่ เยอะแยะเลย ถามว่าอย่างไร? อันนี้ทำได้ไหม? อันนั้นทำได้ไหม? ไปวัดได้ไหม? จุดธูปได้ไหม? ไปงานศพ ไหว้ศพไหม? ไปเช็งเม้งได้ไหม? อธิษฐานก่อนนอน ลืมอธิษฐานทำอย่างไร? ไม่อธิษฐานก่อนทานข้าว ผิดไหม? ต้องยกโทษไหม? ต้องขออภัยโทษบาป จากพระเจ้าไหม? ดูทีวีได้ไหม? กินหมูได้ไหม? เขาอดอาหารกัน เราต้องอดอาหารด้วยไหม? เขาอดอาหารกัน เราไม่อด เรารู้สึกฟ้องผิด คุ้นๆ ไหมอย่างนั้น

อย่าลืมนะครัวว่าเราอยู่กับการสอนที่ผิดๆ ที่เป็นประเพณีวัฒนธรรมเดิมๆ มาเป็นเวลานานมาก นานเท่าไรไม่รู้ ตามชีวิตของเรา ซึ่งคำสอนเหล่านั้น บางทีมันไม่ได้สอนมาแบบนั่งสอนอย่างนี้ แต่มันคือชีวิตของเรา ได้เห็นบรรพบุรุษทำอันโน้น ทำอันนั้น มันก็ซึมซับเข้ามา จะให้ลบออกในเวลาสั้นๆ แค่พูดครั้งเดียวจบ อย่างนี้ มันยาก ไม่ใช่ง่ายๆ หรอก ซึ่งจริงๆ แล้วในหนังสือ 1 โครินธ์ เปาโลก็บอกไว้แล้วว่ากฎระเบียบ ข้อบังคับของพระเจ้าทั้งหมด มีเพียง 1 ข้อเอง คนมาถามเปาโลเยอะแยะเลย อย่างนี้ อันนั้นได้ไหม? อันนี้ได้ไหม? เปาโลบอกมันเยอะเหลือเกิน

แล้วก็อธิบายให้ฟังว่าอันนี้ทำได้นะ อันนี้ทำไม่ได้ อันนี้ถ้าจะไปกินของที่เขาไหว้รูปเคารพ กินได้นะ แต่ถ้าการกินนั้น ทำให้คริสเตียนคนอื่นเขาสะดุด เพื่อความรัก เราก็อดซะ อย่าไปกิน กินหรือไม่กินไม่สำคัญ ให้เขาสบายใจแล้วกัน อะไรประมาณนี้ แล้วมันมีอีกหลายเรื่องเยอะแยะมากไปหมด เปาโลรู้ไม่มีทางตอบหมด ก็เลยสรุปเป็นมาตรฐานไว้ว่ากฎระเบียบ ข้อบังคับของพระเจ้า มีเพียงข้อเดียว คือ “จงทำทุกสิ่งด้วยความเชื่อ” ซึ่งอยู่ในโรม บทที่ 14 เดี๋ยวอ่าน ตอนนี้อ่าน 1 โครินธ์ 10:23 ก่อน

1 โครินธ์ 10: 23  “เราได้รับอนุญาตให้ทำทุกสิ่งได้ แต่ไม่ใช่ว่าทุกสิ่ง จะเป็นประโยชน์ เราได้รับอนุญาตให้ทำทุกสิ่งได้ แต่ไม่ใช่ว่าทุกสิ่ง จะเป็นการเสริมสร้างขึ้น”

 

อาจารย์เปาโลตอบยอดเยี่ยมมาก สั้นๆ แต่มีความหมายครบ ถามทำอันนั้นได้ไหม? ทำอันนี้ได้ไหม?  อาจารย์เปาโลบอกแล้วไงว่าพออยู่ในพระคริสต์ ท่านเป็นอิสระแล้ว ไม่ได้อยู่ในกฎที่ต้องถูกบังคับแล้ว อิสระ แต่จงใช้ความอิสระของท่าน ทำในสิ่งที่ถูกต้อง ดีงามในทางพระเจ้า แต่คนก็จะถาม มันจะถูกอย่างไร มันเยอะแยะไปหมด จะทำอันโน้น อันนี้ การกระทำบนโลกใบนี้ มัน 108  1009 อย่าง เปาโลก็เลยพูดรวมๆ เอามาตรฐานของข้อนี้ไปวัดแล้วกัน

“เราได้รับอนุญาตให้ทำทุกสิ่งได้” คือเป็นอิสระแล้ว รับอนุญาตให้ทำทุกสิ่งได้ ยกตัวอย่างเช่น ไม่มีวันสะบาโตแล้ว แต่ก่อนนี้ต้องมีวันสะบาโต 1 อาทิตย์ต้องมี 1 วัน ที่ไม่ทำอะไรเลย แสวงหาพระเจ้า พักผ่อน นั่นก่อนพระเยซูมา ซึ่งเขาใช้วันเสาร์ เพราะฉะนั้น ตอนนี้เราเป็นอิสระแล้ว เราไม่ต้องมีวันสะบาโต ตอนนี้ วันอาทิตย์ เราไม่ต้องมาก็ได้ แต่ในนี้บอกว่า “ไม่ใช่ว่าทุกสิ่งจะเป็นประโยชน์ เราได้รับอนุญาตให้ทำทุกสิ่งได้ แต่ไม่ใช่ว่าทุกสิ่งจะเป็นการเสริมสร้างขึ้น” พูดง่ายๆ ว่าเราได้รับอนุญาตให้ทำทุกสิ่งได้ แต่ทุกสิ่งที่เราทำนั้น ไปคิดเอาเองว่ามีประโยชน์ต่อชีวิตเรา ชีวิตคนรอบข้างไหม? เป็นความรัก เป็นความงดงาม เป็นความดีงามหรือไม่? เรามีอิสระที่จะทำแล้ว เพราะฉะนั้น ไปคิดดู ถ้าเป็นสิ่งที่ดี ก็ทำ เราไม่จำเป็นต้องมีวันสะบาโตแล้วใช่ไหม? อาทิตย์หนึ่งไม่ต้องมีวันหยุดแล้วใช่ไหม? แล้วจะทำมาหากินไป ทำอะไรเหนื่อยยาก จนไม่มีวันหยุด ไม่มีวันพักผ่อน เดี๋ยวก็ป่วยหรอก เพราะฉะนั้น พักสะบ้าง ดีกว่าไหม? อะไรอย่างนี้ อะไรที่เป็นประโยชน์

มาโบสถ์ได้รับคำสอน มาเจอพี่น้องคริสเตียนด้วยกัน ได้กินข้าวฟรี อันนี้แถมให้ ได้ฟังคำบรรยายที่พระเจ้าเตรียมไว้ ให้เราได้ยินได้ฟัง เป็นอาหารฝ่ายวิญญาณ ได้อบอุ่นกับคนในครอบครัวเดียวกัน คือครอบครัวของพระเจ้า มีความลำบาก ได้รับการหนุนจิต ชูใจ บางทีเราทุกข์ลำบาก เราก็ได้รับการหนุนจิต ชูใจจากเขา เป็นประโยชน์ไหม? เป็น ควรจะรักษาไว้ไหม? อย่างนี้ควรจะรักษา ยกตัวอย่างให้ท่านเห็น

แต่ก่อนนี้ เขาอดอาหารกันวันศุกร์ ก่อนวันสะบาโตหนึ่งวัน อดอาหารถวายแด่พระเจ้า มาตอนนี้ เราได้ยินคนอื่นเขาบอกว่าเขาจะอดอาหาร เกิดว่าเราเป็นโรคกระเพาะ เราก็รู้สึกฟ้องผิด เพราะเราไม่ได้อด เดี๋ยวพระเจ้าไม่พอใจ เพราะฉะนั้น เราเลยอดไปด้วย  ก็เกิดปัญหา คราวนี้ลำไส้ทะลุเลย เราไปร้องครวญครางกับพระเจ้า อย่างนี้เป็นต้น เรามีอิสระแล้ว เราจำเป็นต้องรักษาการอดอาหารอธิษฐานไหม? ไม่ต้อง เราเลือกเอาเฉพาะตอนนี้ มันมีประโยชน์ต่อเราไหม? ไม่มี ก็ไม่ต้องไปอด ปล่อยให้คนอื่นเขาอดไป หรือบางทีคนอื่นเขาไม่อด คริสตมาสเขาเลี้ยงกันใหญ่โต รู้สึกเราอยากจะอด เพราะเป็นประโยชน์กับเรา เพราะเรารู้สึกเราอ้วนเกินไปแล้ว หมอบอก อ้าว! อย่างนี้เป็นประโยชน์ไหม? เป็นประโยชน์ เพราะฉะนั้น  คริสตมาสปีนี้ เราก็มาเที่ยว กินกับเขาเหมือนเดิม แต่กินน้อยหน่อย  เพราะเราอ้วนเกินไป  หมอบอกให้ลดน้ำหนัก มันเป็นประโยชน์ต่อเราไหม? เป็น อย่างนี้ เปาโลตอบคำเดียว ได้หมดเลย อะไรที่เสริมสร้าง ไม่ต้องมาถามแล้วต่อไปนี้ ไม่ต้องไปหาศิษยาภิบาลมาถามอีกแล้วว่าอะไรทำได้ ไม่ได้ ไปคิดเอาเอง ทำได้หมดทุกอย่าง แต่มันมีประโยชน์ไม่มีประโยชน์ครับ

1 โครินธ์ 10:31  “ไม่ว่าท่านจะกินหรือดื่ม หรือทำอะไรก็ตาม จงทำทุกสิ่ง เพื่อพระเกียรติสิริของพระเจ้า”

 

นี่ก็คือเงื่อนไข ทำได้หมดทุกอย่างแหละ  แต่ทำสิ่งนี้ มีประโยชน์ไหม? แล้วมันถวายเกียรติไหมล่ะ ถ้าเราอ้วนฉุ แล้วก็เป็นโรคความดันโลหิตสูง เป็นเบาหวาน แล้วไม่ลดน้ำหนัก อ้วนเกินมากเลย แล้วเราก็เป็นคริสเตียน ถวายเกียรติแด่พระเจ้าไหม? อย่างที่บอก แม้ว่าผมจะมาบอกว่าเราควรดูแลสุขภาพ อย่าให้มันอ้วนจนเกินไป  นี่เป็นกฎระเบียบ ก็ต้องทำ เป็นอิสระในพระเยซูคริสต์ ความอ้วนความผอมไม่ได้ทำให้เราไปสวรรค์หรือไม่ไป แต่ความอ้วนหรือความผอม ที่เราไม่ดูแลสุขภาพเราเอง จะทำให้เราอยู่บนโลกใบนี้  เหมือนอยู่ในนรก มันทุกข์เกินกว่าที่ควรจะเป็น แต่ก็ไปสวรรค์อยู่ดี

โรม 14:23 อันนี้ตัวสรุปที่บอกไว้  เพราะฉะนั้น เราทำได้ทั้งนั้นแหละ เพราะเราอยู่ในพระเยซูคริสต์แล้ว เราเป็นอิสระแล้ว แต่ถ้าไม่สร้างสรรค์ ไม่ดีงาม เราก็ไม่ทำ ทั้งๆ ที่มีสิทธิ์

โรม 14:23 “แต่ผู้ที่ยังสงสัยอยู่นั้น ถ้าเขากิน ก็มีความผิด เพราะเขาไม่ได้กินตามความเชื่อ และการกระทำใดๆ ซึ่งไม่ได้มาจากความเชื่อ ก็เป็นบาป

 

“การกระทำใดๆ ที่มิได้มีรากฐานจากความเชื่อ ในพระเยซู  ก็บาปทั้งนั้น” หมายความว่าชีวิตคนไหน ถ้าไม่ได้ต้อนรับพระเยซูคริสต์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอด ไม่มีพระเยซูมาไถ่บาปให้กับเขา ไม่ว่าเขาจะทำอะไร? ตรงไหน? ก็บาปทั้งนั้นแหละ แต่ถ้าเผื่อคนนั้นรู้ตัวว่าตัวเองเชื่อในพระเยซู ได้รับความรอด จากการไถ่บาปของพระเยซูแล้ว ไม่ว่าเขาจะทำอะไรก็ตาม รอดหมด เข้าใจใช่ไหม? ไม่เข้าใจ ไม่เป็นไร เอาไว้ก่อน แล้วค่อยว่ากันไป เพราะเรื่องของพระเจ้า ต้องฟังกันบ่อยๆ ต้องค่อยๆ ทีละนิดๆ ไม่มีว่าฟังแล้ว รู้เลย รู้วันนี้ เดี๋ยววันรุ่งขึ้น อ๋อ!

ข่าวประเสริฐของพระเจ้า  มันจึงเป็นข่าวประเสริฐของการขอบคุณพระเจ้า และอ๋อ! ข่าวประเสริฐของพระเจ้า ข่าวดีของพระเยซูคริสต์ คือข่าวประเสริฐที่บอกว่าอ๋อ! ขอบคุณพระเจ้า ไม่ใช่เรื่องร้องไห้ ไม่ใช่เรื่องคร่ำครวญ ไม่ใช่ ข่าวประเสริฐของพระเจ้า เมื่อเข้าไปอยู่ในชีวิตของคนไหน ควรจะเป็น อ๋อ! ขอบคุณพระเจ้า แล้วก็จะออกไปเรื่อยๆ ขอบคุณพระเจ้า อ๋อ! แล้วขอบคุณพระเจ้า ไปเรื่อยๆ

ความเชื่อและความรอดของเรา ไม่มีอะไร ขึ้นอยู่กับธรรมเนียมปฏิบัติ หรือประเพณีที่ทำกันมาตั้งแต่โบร่ำโบราณ แต่ขึ้นอยู่กับว่าพระเยซูได้ทำอะไรสำเร็จแล้วบ้างที่ไม้กางเขน  เอเมน ต้องจำตรงนี้ไว้ให้ดีๆ โคโลสี 2:6-7 จึงบันทึกไว้อย่างชัดเจน ต้องเอาตรงนี้ใส่เข้าไปในสมองของเราให้เต็มที่

โคโลสี 2:6-7  “ดังนั้น ในเมื่อท่านได้รับพระเยซูคริสต์ เป็นองค์พระผู้เป็นเจ้าแล้ว ก็จงดำเนินชีวิตในพระองค์ต่อไป ด้วยการหยั่งราก และรับการก่อร่างสร้างขึ้นในพระองค์ มั่นคงขึ้นในความเชื่อ ตามที่ได้รับการสอนมา และเต็มล้นด้วยการขอบพระคุณ”

 

เป็นบทสรุปของอาจารย์เปาโล ที่ให้เราได้ใช้มาตรฐาน ในการพิจารณาว่าเราควรจะมีท่าทีอย่างไร ต่อคำสอน คำพูด ที่เราได้ยินได้ฟังต่อขนบธรรมเนียมประเพณีต่างๆ ที่สอนกันมา ที่ขัดแย้งกับข่าวดีพระเยซู เมื่อท่านได้รับพระเยซูคริสต์ คือเมื่อท่านต้อนรับพระเยซูคริสต์ให้เป็นพระผู้ช่วยให้รอด เมื่อท่านได้รับพระเยซูคริสต์เป็นองค์พระผู้เป็นเจ้าแล้ว ก็จงดำเนินชีวิตในพระองค์ต่อไป หมายถึงขณะนั้น พระเจ้าได้ย้ายท่านเข้ามาอยู่ในอาณาจักรที่เรียกว่าของพระคริสต์ ย้ายท่านเข้ามาอยู่ในวิญญาณของพระเจ้า ที่เรียกว่าพระคริสต์ จงมีชีวิตอยู่ตรงนั้น

(1) หยั่งราก จากเดิมที่เรามีความเชื่อเก่าแก่ ผิดๆ ถูกๆ ไม่รู้มาจากไหน? ฝังลึกอยู่ในสมองเรา อยู่ในชีวิตเรา  ก็ให้เราเปลี่ยน หันมาหยั่งรากใหม่ บนพื้นฐานของข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์ พระคัมภีร์จึงบอกให้เราจดจ่อต่อไปที่เบื้องบน จดจ่อที่โลกวิญญาณว่ามันเกิดอะไรขึ้น ตาเรามองไม่เห็น เราจำเป็นต้องจดจ่อ คือหลับตาให้เห็น แล้วให้มันจำให้ได้ ต่อไปนี้ ลืมตาก็เห็นตลอดเลย เห็นว่าเราเป็นใครในพระเยซูคริสต์ เราเป็นลูกของพระเจ้าจริงๆ ตอนนี้เราอยู่ในสวรรค์แล้วนะจ๊ะ

(2) รับการสร้างขึ้นในพระองค์ รับการก่อร่างสร้างขึ้นในพระองค์ … ในพระองค์ ก็คือในพระคริสต์ ยอมรับในการทรงสร้างใหม่ของพระคริสต์ว่าเราได้รับการบังเกิดใหม่แล้ว รับรู้ว่าเราเป็นวิญญาณอยู่ในพระคริสต์ แล้วพระเจ้ากำลังสร้างเราขึ้นใหม่ ให้เรารับรู้ตลอดเวลา ไม่ใช่เราสร้างตัวเองให้เจริญเติบโต แต่พระเจ้าสร้างเรา เพราะเรามาอยู่ในครอบครัวของพระคริสต์แล้ว ให้เรารับรู้ตรงนี้เท่านั้นเอง ให้เราเติบโตขึ้นทุกวัน ก็คือจดจ่ออยู่ที่วิญญาณใหม่

ในหนังสือ 2 โครินธ์ 4:16 “เหตุฉะนั้น ข้าพเจ้าจะไม่ท้อแท้ ไม่ย่อท้อ แม้กายภายนอกจะทรุดโทรมไป  แต่จิตใจภายในวิญญาณ มันเจริญเติบโตใหม่ขึ้นทุกวันๆ”

หลับๆ ตื่นๆ ก็ทุกวัน ไม่ต้องทำอะไรเลย มันก็เจริญเติบโต เพราะว่าพระเจ้าเป็นผู้ทำให้เขาเจริญเติบโต เขา คือวิญญาณของเรา

(3) มั่นคงในความเชื่อ ตามถ้อยคำพระเจ้า ก็คือไม่หวั่นไหวต่อสิ่งที่อาจารย์เปาโลบอกว่าเป็นปรัชญาที่ไร้แก่นสาร ที่จะมาหลอกลวงเรา เราไม่หวั่นไหวหรอก ไม่ว่าปรัชญานั้นจะมาจากคนมีชื่อเสียงขนาดไหน?  คนแห่กันไปทั้งโลกขนาดไหนก็ตาม แล้วก็บอกว่าใครๆ เขาก็เชื่ออย่างนี้ทั้งนั้น แต่ถ้าเผื่อมันไร้แก่นสาร มันไม่ตรงกับถ้อยคำพระเจ้า เราปฏิเสธได้ ฟันธงว่ามันผิดแน่นอน มันผิดจากที่เราฝังรากลึกของโลกวิญญาณ ในถ้อยคำพระเจ้าไว้ในความคิดจิตใจของเราแล้ว โดยวิธีการใคร่ครวญ พิจารณา จดจ่อ set mind พระคัมภีร์บอก set mind above คือตั้งความคิดจิตใจไว้ที่เบื้องบน ที่พระเยซูคริสต์สถิตอยู่ ณ เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้าในสวรรค์สถาน และเราก็นั่งอยู่ที่นั่นด้วย มันจะเห็นชัดได้ ก็โดยการพิจารณา โฟกัสทุกวันเวลา ตลอดชีวิตของเรา มันถึงจะสู้กับการถูกหลอกลวงที่เราบอกเมื่อตะกี้นี้ได้  แล้วต้อง set mind อย่างนั้นบ่อยๆ ให้มันอยู่ในโลกวิญญาณว่ามันเกิดอะไรขึ้น โลกวัตถุที่มองเห็น แทบไม่ต้องพูดเลย เพราะมองเห็นอยู่แล้ว

เมื่อวานซืน มีแผ่นดินไหว ไม่ต้องบอกก็ได้ มันมี มันก็เคลื่อนไว เสียหาย มันก็มีให้เห็นๆ แต่ในโลกวิญญาณ เกิดอะไรขึ้น เมื่อ 2,000 ปี พระเยซูมาทำอะไร ในโลกวิญญาณเปลี่ยนแปลงอย่างไร? พระคัมภีร์จะพูดในโลกวิญญาณทั้งสิ้น 100% ทั้งหมดเลย

(4) เต็มล้นด้วยการขอบพระคุณ เพราะว่าพระเจ้าทำสำเร็จแล้ว เพราะพระเยซูทำเรียบร้อยหมดแล้ว เพราะฉะนั้น เราก็ได้แต่ขอบคุณ  ขอบคุณในทุกกรณี เป็นที่มาของการสรุปความเชื่อในพระเยซูคริสต์ของเรา ถ้าเรามีภาพในสมองชัดเจน  ถ้าเรามีภาพการจดจำชัดเจน และเรา set mind อยู่ตลอดเวลา ในเบื้องบนว่าเกิดอะไรขึ้น ตามหลักพระคัมภีร์ว่าเราได้ถูกไถ่ไปแล้ว ตอนนี้เราอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้า ในสวรรค์สถาน เป็นลูกของพระองค์ เราร่วมครอบครองกับพระเยซูคริสต์ในสวรรค์สถานเรียบร้อยไปแล้ว อยู่ ณ ที่นี่เรียบร้อยไปแล้ว ถ้าอีกสักครู่ เราเดินออกไปกินข้าว ติดคอ ตายไปเลย เราก็อยู่ในสวรรค์เหมือนเดิม แล้วเราก็ไปเตรียมรอรับร่างกายใหม่จากพระเจ้า เป็นร่างกายที่เหมือนพระเยซูคริสต์ไม่มีผิด อะไรอย่างนี้ มันเยอะแยะไปหมดเลย  เราก็จะไม่กลัวอะไรเลยบนโลกใบนี้ เพราะเรามองทะลุสิ่งที่เป็นจริงในโลกวิญญาณแล้ว อย่างนี้เขาเรียกว่าการตั้งความคิดจิตใจไว้ที่เบื้องบน

เรามาฝึกกัน ฝึกบ่อยๆ เวลาฝึกให้หลับตา แต่ถ้าคล่องๆ แล้ว ก็ไม่ต้องหลับตา ให้นึกในใจ จงมองให้เห็นเถิดในโลกฝ่ายวิญญาณ ซึ่งในภาษาไทยเขาแปลมาว่าให้จดจ่อ จงจดจ่อไปที่เบื้องบน คือโลกวิญญาณว่ามันเกิดอะไรขึ้น  เดี๋ยววันนี้  ทำตามนี้นิดหนึ่ง นี่คือจดจ่อว่าในโลกวิญญาณตอนนี้มันเป็นอย่างไร? พูดง่ายๆ ตอนนี้เรากำลังไปดูในโลกวิญญาณว่าเป็นอย่างไร? พระวิญญาณจะนำพาเราไปผ่านถ้อยคำพระเจ้าว่าในโลกวิญญาณตอนนี้เป็นอย่างไร? เราอยู่ที่ไหนในพระเยซูคริสต์ ในพระเยซูคริสต์เป็นอย่างไรบ้าง? แล้วอนาคตเราเป็นอย่างไร?

หลับตาลง หายใจลึกๆ ทำตัวสบายๆ ตั้งสมาธิ เข้าไปอยู่ในโลกวิญญาณ …

“ฉันเป็นวิญญาณ ที่มีจิตใจ และอาศัยในร่างกายนี้ เพียงชั่วคราว ร่างกายนี้ จำเป็นต้องเสื่อมโทรมลง แก่ลงไป ไปสู่ความตาย ตามคำสาปของบาป ตั้งแต่บรรพบุรุษ คืออาดัม แต่วิญญาณของฉัน และจิตใจของฉัน ได้รับการสร้างใหม่ โดยความเชื่อในพระเยซู พระเจ้าได้ทำให้ฉันตายไปพร้อมกับพระเยซู และทรงชุบฉันให้เป็นขึ้นจากความตาย  พร้อมกับพระเยซู ฉันจึงเป็นวิญญาณ ที่ได้บังเกิดใหม่ ในพระเยซูคริสต์ และพระองค์ได้ประทานใจใหม่ ให้กับฉันด้วย ฉันจึงเป็นวิญญาณ และมีใจใหม่ ที่เหมือนพระเยซู มีลักษณะธรรมชาติเหมือนพระเจ้า เป็นลูกของพระเจ้า เป็นความรัก เป็นความบริสุทธิ์ ไร้บาป ไร้ตำหนิ เป็นผู้ชอบธรรม เป็นแสงสว่าง อาศัยอยู่ในพระคริสต์  เป็นชีวิตที่ซ่อนอยู่ในพระคริสต์กับพระเจ้า พระเจ้าได้จุ่มฉันลง เข้าไปอยู่ในวิญญาณของพระองค์ คือฉันได้รับการบัพติศมา ลงไปเป็นหนึ่งเดียวกันกับวิญญาณของพระเจ้าทั้ง 3 พระภาค ทั้งพระบิดา พระบุตรและพระวิญญาณ

วิญญาณฉันเป็นหนึ่งเดียวกับพระองค์ ฉันได้นั่งอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้า ในสวรรค์สถานนี้ ร่วมกับพระเยซูคริสต์เรียบร้อยแล้ว วันนี้ วินาทีนี้ ถ้ามีอะไรเกิดขึ้น ที่ฉันจำเป็นต้องสละร่างกายนี้ คือร่างกายนี้ตายไป วิญญาณของฉันจะออกไป อยู่ที่สวรรค์ที่เดิม รอคอยการสวมร่างใหม่ ที่พระเจ้าเรียกว่าร่างกายสวรรค์ ร่างกายทิพ ที่เหมือนพระเยซูในปัจจุบัน และฉันจะสวมร่างกายสวรรค์นี้ ชั่วนิรันดร์ จะไม่มีความตาย ไม่มีความเจ็บป่วย ไม่มีความเจ็บปวด ไม่มีการพลัดพรากจากกัน ไม่มีความโศกเศร้า ไม่มีความทุกข์ทรมาน ไม่มีน้ำตาอีกต่อไป ฉันจะอยู่กับพระเจ้าอย่างนี้ ตลอดไป”

เงียบๆ ในขณะนี้ ให้ท่านขอบคุณพระเจ้า เพราะทั้งหมดนั้น พระเจ้าทำเสร็จเรียบร้อยแล้ว  ท่านต้องขอบคุณพระเจ้า ให้พระวิญญาณนำท่านไปเรื่อยๆ ขอบคุณพระเจ้า

“ขอบคุณพระเจ้าที่ฉันเป็นลูกพระเจ้าแล้ว ขอบคุณพระเจ้า ที่ฉันไม่ต้องทุกข์ทรมานนิรันดร์กาล ขอบคุณพระเจ้า ถ้าไม่มีพระองค์ ฉันคงไม่สามารถทำอย่างนี้ได้”

ท่านก็ขอบคุณพระเจ้าไป ท่านอาจจะนึกถึงผู้คนรอบข้างในชีวิต ญาติพี่น้องต่างๆ ที่ยังไม่รู้ความจริงในเรื่องข่าวประเสริฐ ท่านก็จะเริ่มรู้แล้วว่าท่านจะทำอย่างไร? ท่านก็เริ่มอธิษฐานให้ผู้คนเหล่านั้น ท่านก็จะเริ่มปลดปล่อยความรักจากวิญญาณของท่าน ที่ท่านเป็นอยู่ในขณะนี้ ออกมาแล้ว มันไม่ได้เกี่ยวอะไรกับที่ท่านเป็นคนหงุดหงิด มันไม่ได้เกี่ยวอะไรกับที่ท่านเป็นคนขี้โมโหง่าย มันไม่ได้เกี่ยวอะไรกับที่ท่านอาจจะเป็นคนเห็นแก่ตัว มันคนละเรื่องกัน มันไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องโลกวัตถุนี้เลย เรากำลังเข้าไปอยู่ในโลกวิญญาณ แล้วเราก็เห็นบรรดาผู้คนในโลกใบนี้ ยังไม่เห็นความจริงในโลกวิญญาณนี้อีกมากมายนัก เขาทั้งหลายก็เหมือนเราในอดีต เราจึงสามารถอธิษฐานให้เขาได้ด้วยวิญญาณที่บริสุทธิ์จากวิญญาณข้างในของเรา  ที่พระคัมภีร์เรียกว่าการอธิษฐานในวิญญาณ เราจึงสามารถอธิษฐานในวิญญาณ ในขณะนี้ได้ ขอพระเจ้าเปิดตาวิญญาณผู้คนเหล่านั้น ญาติพี่น้อง คนที่เรารู้จัก ให้เขาได้เห็นถึงความจริงง่ายๆ ในข่าวดีของพระเยซูคริสต์ ขอบคุณพระเจ้า ขอพระเจ้าอวยพรครับ

 

*************************

 

 

 

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 17 พฤศจิกายน 2019 เรื่อง “ความเชื่อเก่าแก่ VS ความจริงที่จะทำให้ท่านเป็นไท”ตอน 1 โดย นคร เวชสุภาพร

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  17  พฤศจิกายน  2019

 เรื่อง “ความเชื่อเก่าแก่ VS ความจริงที่จะทำให้ท่านเป็นไท”ตอน 1

โดย นคร  เวชสุภาพร

            วันนี้เราก็จะเริ่มซีรี่ย์ชุดใหม่ แต่ประเด็นเนื้อหาก็ยังคงเวียนอยู่เรื่องเดิมๆ บางคนก็บอกว่าฟังพาสเตอร์พูด … พูดแต่เรื่องเดิม วนไปวนมาตลอดเลย ก็พระคัมภีร์ทั้งเล่ม พูดเรื่องเดิมทั้งนั้น เรื่องไปสวรรค์อย่างไร? ข่าวประเสริฐของพระเจ้า ไม่ใช่เรื่องกินและเรื่องดื่ม แต่เป็นเรื่องสวรรค์ เรื่องโลกวิญญาณ เรื่องในสิ่งที่มองไม่เห็น ที่พระเยซูทำให้กับเรา ซึ่งถ้าตั้งใจฟังกันให้ดีๆ ถึงแม้จะดูเหมือนผมพูดเรื่องเดิมๆ ทุกอย่าง แต่มันจะมีมุมใหม่ๆ มีข้อคิดใหม่ๆ อยู่เสมอ ที่พระคัมภีร์บอกว่าถ้อยคำพระเจ้าสดใหม่เสมอ ใช้ได้กับทุกโอกาส ทุกสถานการณ์ และใช้ได้กับทุกยุค ทุกสมัย เอเมน

พระคัมภีร์บอกพระเยซู คือความจริง ความจริงจะทำให้ท่านเป็นไท พระเยซูจะทำให้ท่านเป็นอิสระ ซึ่งฟังดูก็ง่ายมาก ความหมายตรงๆ ไม่ต้องตีความอะไรทั้งนั้น แค่เชื่อในข่าวดีของพระเยซู แล้วท่านจะเป็นไท เป็นอิสระ หลุดพ้นจากโทษของความบาป ไม่มีการลงโทษใดๆ อีกแล้ว เป็นไท โดยไม่ต้องทำอะไรเลย ที่เรียกว่าพระคุณ เราเรียนกันมาแล้ว

คริสเตียนที่เชื่อพระเจ้าแล้วทุกคน มั่นใจไหมว่าได้รับความรอด จากบาปแน่นอน ถึงแม้จะพลั้งเผลอไปทำบาป หรือไม่ทำตามกฎบัญญัติเดิมๆ ของพระเจ้า ซึ่งทำแน่ๆ วันนี้ออกไป ทำบาปไหม? ทำแน่ๆ แล้วยังมั่นใจไหมว่าที่ทำแน่ๆ นั้น จะได้ไปสวรรค์จริงๆ คำว่ามั่นใจ หมายถึงมันเชื่ออย่างเต็มอกเลยนะ

ยกตัวอย่าง แม้กระทั่งปลุกขึ้นมาตอนดึกๆ เพลีย ง่วงมาก 11 โมงไปปลุกขึ้นมา ถามว่าไปสวรรค์ไหม? ไปแน่นอน อย่างนี้ คือข้างในมันรู้ 100% เข้าใจไหม? ไม่ใช่ปลุกขึ้นมา …

“ไม่รู้เหมือนกัน ฉันอยู่ไหน จะไปสวรรค์เหรอ”

อย่างนี้ไม่มั่นใจ หรือไม่ต้อง 11 โมง ตื่นเช้ามา อากาศสดชื่น ดีเลย ไปสวรรค์ไหม? เมื่อตะกี้นี้ ตื่นขึ้นมาหงุดหงิด ไปว่าลูกก่อนไปโรงเรียน ไม่มั่นใจว่าจะไปสวรรค์หรือเปล่า?

แรกๆ บอก “ไปๆ” พอถามลึกๆ หลายคนเริ่มไม่มั่นใจ เพราะหลายคนยังมีความคิด หรือความเชื่อแบบเดิมๆ ติดตัวมา และยากที่จะลบล้างความเชื่อเดิมๆ เหล่านั้นออกไป มันก็เลยทำให้เรื่องข่าวดีของพระเจ้า ข่าวดีของพระเยซู ซึ่งดูเหมือนจะเป็นเรื่องง่าย กลายเป็นเรื่องยาก จริงๆ มันง่ายนิดเดียว แต่คนชอบยากๆ มากกว่า พระเยซูบอกว่า …

“จงเข้าประตูทางแคบ”

ทางแคบ แปลว่าคนไม่ค่อยมาหรอก คนนึกว่าทางแคบ มันคงยาก ไม่ใช่ ทางแคบ คือมันง่ายเกินไป ไม่เอา ทำเองดีกว่า เพราะฉะนั้น ทุกคนก็จะไปทำเองๆ ฉันจะต้องสะสมความดี ฉันต้องสะสมบารมี ฉันจะต้องสะสมไปสวรรค์ให้ได้ เพราะฉะนั้น ทำเข้าไปๆ ทุกคนก็แห่ไปพึ่งตัวเองหมดเลย ซึ่งข่าวดีของพระเจ้า คือพึ่งพระเยซูเพียงผู้เดียว เอเมน พระเยซูบอกว่าทุกคนไปทางกว้างหมดเลย แต่ถ้าใครจะไปสวรรค์ต้องผ่านทางแคบ ทางแคบๆ ก็คือเชื่อในสิ่งที่พระเยซู ทำให้เราเท่านั้น เวลาพูดมันง่าย เวลาปฏิบัติ มันยากมาก อาจารย์เปาโลเขียนในหนังสือโคโลสี 2:4

โคโลสี 2:2-4 “2 จุดมุ่งหมายของข้าพเจ้า ก็คือให้กำลังใจพวกเขา ให้พวกเขาประสานรวมกันด้วยความรักและด้วยความเชื่อมั่น อันเต็มเปี่ยม 3 ซึ่งเกิดจากความเข้าใจที่แท้จริง เพื่อว่าพวกเขาจะได้รู้ถึงความล้ำลึกของพระเจ้า คือพระคริสต์ซึ่งคลังสติปัญญา และความรู้ทั้งมวลซ่อนอยู่ในพระองค์ 4 ข้าพเจ้าบอกอย่างนี้ เพื่อไม่ให้ใครมาล่อลวงท่าน ด้วยถ้อยคำที่ฟังน่าเชื่อถือ”

 

“ข้าพเจ้าบอกอย่างนี้ เพื่อไม่ให้ใครมาล่อลวงท่าน” ท่านผู้เป็นคริสเตียนเชื่อใหม่ ล่อลวงท่าน ด้วยถ้อยคำที่น่าเชื่อ แบบมนุษย์ เพราะไม่ใช่ถ้อยคำพระเจ้า ถ้อยคำที่ฟังน่าเชื่อถือ ก็เช่นถ้อยคำมาจากคำพูดของผู้ใหญ่ที่น่านับถือ มีตำแหน่ง โดยเฉพาะคนที่เป็นผู้นำทางศาสนาในยุคนั้น หรือถ้อยคำที่มีสำนวนโวหารไพเราะ

“พี่น้อง บัดนี้ อะไรอย่างนี้”

ฟังแล้ว น่าเชื่อถือ ดูแล้วรู้สึกดี แล้วก็ไปเชื่อ คนนี้เทศน์ดีมาก สนุกมากเลย เชื่อ เปาโลบอกว่ามีโอกาสถูกหลอกลวงได้  เพราะฉะนั้น เตือนไว้ และคำสอนเหล่านี้ ก็ถูกถ่ายทอดกันต่อๆ มา คำหลอกลวงเหล่านี้  ที่ฟังดูแล้วไพเราะ เป็นสติปัญญาของมนุษย์ จนกลายเป็นความเชื่อที่เป็นประเพณีเก่าแก่ ซึ่งอาจารย์เปาโลบอกว่าไม่ว่าคนพูดนั้น จะผู้ใหญ่ขนาดไหนก็ตาม หรือเป็นคำพูดที่ฟังดูน่าเชื่อถือขนาดไหนก็ตาม แต่ถ้าคำพูดนั้น ไม่ตรงกับความจริง ตามข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์ที่บันทึกไว้ในพระคัมภีร์ คำพูดนั้น ก็เชื่อถือไม่ได้ มันมาหลอกลวงเรา นี่คือหัวข้อคำบรรยาย ซีรี่ย์ชุดใหม่นี้ ที่มีชื่อเรื่องว่า “ความเชื่อเก่าแก่ VS ความจริงที่จะทำให้ท่านเป็นไท”

ซึ่งจะรวบรวมเอาความเชื่อที่มีมาแต่โบราณที่หลายเรื่อง ทำให้เรื่องง่ายๆ ข่าวดีของพระเยซูคริสต์กลายเป็นเรื่องยาก แล้วเราก็จะมาศึกษากันว่าความเชื่อเก่าแก่เหล่านี้  ขัดแย้งความจริง ตามถ้อยคำพระเจ้าอย่างไร? เพื่อความจริงจะได้ทำให้เราเป็นอิสระจริงๆ เราเชื่อพระเยซู เราควรจะเป็นอิสระ (จริงๆ) แต่บางคนมาเชื่อพระเยซูแล้ว ยังไม่ค่อยเป็นอิสระเท่าไร? ทั้งๆ ที่สมควรเป็นอิสระ เพราะพระเยซูทำให้เราเป็นอิสระ คริสเตียนที่เชื่อแล้วจริงๆ วิญญาณเป็นอิสระแล้ว แต่กระทำชีวิตอยู่บนโลกใบนี้  เหมือนเป็นทาสอยู่ เปาโลพูดแบบนั้นเลย เหมือนเป็นทาสอยู่ ทั้งๆ ที่พระเยซูปลดปล่อย หลุดจากการเป็นทาส เรียบร้อยแล้ว

เริ่มต้นเรื่องแรก “การทำตามธรรมเนียมประเพณี” คริสเตียนเก่าแก่หลายคน โดยเฉพาะพวกที่ชอบศึกษาธรรมเนียมปฏิบัติที่มีมาแต่โบราณ แล้วก็คิดไปเองว่าเราควรจะยึดธรรมเนียมปฏิบัติดั้งเดิม ตามที่ผู้ใหญ่เขาบอกกันมา นี่พูดถึงในอดีตเป็นอย่างนี้จริงๆ นะ ผู้หลักผู้ใหญ่มียศ มีตำแหน่งทางศาสนาเขาว่ากันมา เพราะฉะนั้น เขาบอกว่าอย่างนี้ ตามเขา แล้วยังบอกกันว่าตามผู้ใหญ่ หมาไม่กัด อะไรประมาณนั้น แบบไทยๆ แม้กระทั่งทุกวันนี้ก็ยังมีหลายแห่งที่ยังยึดถือธรรมเนียมปฏิบัติที่เรียกว่าศาสนกิจกันอยู่ ทั้งๆ ที่พระคัมภีร์ทั้งเล่มไม่มีตรงไหน บอกไว้เลยเกี่ยวกับเรื่องนี้ ยกเว้น 2 เรื่องพระคัมภีร์มีบันทึกบอกไว้ คือ “พิธีมหาสนิท” กับ “พิธีบัพติศมาในน้ำ” แค่นี้เอง

แล้วคนก็เอา 2 อันนี้ไปใช้ ไปตีความหมายผิด พึ่งพิธีมหาสนิท เพื่อจะทำให้เรารอด พึ่งพิธีลงน้ำ เพื่อจะให้เรารอด ซึ่งไม่ใช่เลย

นอกจากพิธีกรรมต่างๆ แล้ว ก็ยังมีเรื่องข้อห้ามต่างๆ มีเรื่องกฎระเบียนที่ตั้งขึ้นมาเอง สำหรับผู้ใหญ่ต่างๆ เหล่านั้น  ซึ่งส่วนใหญ่มาจากการสืบทอดธรรมเนียมปฏิบัติที่มาตั้งแต่ดั้งเดิม เก่าแก่ ต่อๆ กันมาตั้งแต่กฎหมายเดิม ตั้งแต่ชาวยิวเดิมๆ อาจารย์เปาโลทราบอยู่แล้วว่าจะต้องมีเหตุการณ์อย่างนี้ เกิดขึ้นแน่ๆ ก็เลยสอน ดักคอไว้ก่อน ในโคโลสี 2:8

โคโลสี 2:8 “จงระวังให้ดี อย่าให้ใครมาจับท่านเป็นทาส ด้วยปรัชญาอันไร้แก่นสารและหลอกลวง ซึ่งอาศัยธรรมเนียมปฏิบัติที่มนุษย์ถ่ายทอดกันมา และหลักการพื้นฐานต่างๆ ของโลกนี้ แทนที่จะอาศัยพระคริสต์”

 

“แทนที่จะอาศัยพระคริสต์” ก็คือแทนที่จะอาศัยข่าวดีของพระเยซู จะได้รู้ ปรัชญาอันไร้แก่นสารและหลอกลวง ก็คือคำพูดหรือคำสอนที่เป็นปรัชญา ฟังดูเท่ห์ ฟังดูลึกซึ้ง เปาโลพูดภาษาชาวบ้านมากเลยนะ ท่านไปตายพร้อมกับพระเยซูคริสต์แล้ว และพระเจ้าได้ทำให้ท่านเป็นขึ้นมาจากความตาย ไม่มีเท่ห์เลย คำสอนเชิงปรัชญา ต้องมาคิดหลายตลบ ฟังดูแล้วน่าเชื่อถือ อ้างอิงจากธรรมเนียมปฏิบัติที่มีมาแต่โบราณ ที่ฟังแล้วมันดูขลัง สมัยโมเสสเขายังทำอย่างนี้ อาโรนก็อย่างนี้แหละ

“พระเจ้าเคลื่อนไหวตอนนั้น อย่างนี้เลย ต้องทำอย่างนี้”

อะไรประมาณนั้น ดูขลัง ดูศักดิ์สิทธิ์ ยกตัวอย่างเช่น จะขึ้นบรรยายถ้อยคำพระเจ้าทั้งที ดูขลัง เพราะถ้อยคำพระเจ้าศักดิ์สิทธิ์ จริงๆ ในพระคัมภีร์บอกถ้อยคำพระเจ้าศักดิ์สิทธิ์ มันหมายถึงศักดิ์สิทธิ์ของการเป็นความจริง ไม่เปลี่ยนแปลง ไม่ได้หมายถึงดูขลัง มีฤทธิ์ศักดิ์สิทธิ์ เพราะฉะนั้น เวลาเราจะขึ้นไปอ่านถ้อยคำพระเจ้า หรือบรรยาย หรือเทศนา เราจะต้องแต่งชุด ให้ดูขลังหน่อย ใส่สายสะพาย ใส่อะไร ขึ้นมา เป็นเหมือนชุดปุโรหิตยิวโบราณ ที่พระเจ้าให้แต่ง แล้วก็เอามาดัดแปลง ให้ดูน้อยๆ ลงนิดหนึ่ง แต่ก็ยังแต่งอยู่ อันนี้ผมไม่ได้พูดถึงคนแต่ง ไม่เกี่ยวกัน แต่กำลังจะบอกให้ฟังว่าสิ่งเหล่านี้ มันทำให้ข่าวดีของพระเจ้าค่อยๆ ถูกทำให้เสียหายไป ถูกทำให้ค่อยๆ จางไป ซึ่งสิ่งเหล่านี้ มันไม่ตรงกับความจริงในถ้อยคำพระเจ้าเลย ไม่เกี่ยวกับสิ่งที่พระเยซูพยายามสอนเรา บอกว่าพระองค์มาทำให้สำเร็จแล้ว ไถ่บาปเราแล้ว สวรรค์คืออะไร? การเข้าสวรรค์อย่างไร? เกิดในโลกวิญญาณอย่างไร? มันไม่ได้เกี่ยวกับการกิน การดื่ม การทำอะไรบนโลก เป็นศาสนกิจเลย ไม่เกี่ยวเลยแม้แต่นิดเดียว รวมทั้งพิธีมหาสนิทและพิธีบัพติศมาในน้ำ ก็ไม่เกี่ยวกับความรอดเลย แม้แต่นิดเดียว

เติมไปนิดหนึ่ง วันนี้ไม่ได้มาคุยเรื่องนี้ ทุกคนรู้จักบัพติศมาในน้ำ … บัพติศมาในน้ำไม่ได้ทำให้คนได้รับความรอด รู้ไหมบัพติศมาในน้ำ ผมคิดขึ้นมาเอง เปรียบเหมือนงานฉลองวันเกิด ท่านเกิดแล้วใช่ไหม? พอครบปีท่านก็มาฉลองวันเกิดใช่ไหม? ท่านก็ร้องเพลงอวยพรวันเกิด ท่านเกิดหรือยัง? เกิดแล้ว Happy Birthday ทำให้ท่านเกิดอีกทีไหม? ไม่ใช่ การบัพติศมาในน้ำ คือฉลองในหมู่ คนที่เขาเกิดใหม่แล้ว เขาเชื่อพระเยซูแล้ว ตั้งแต่เมื่อไร ไม่รู้ อาจจะเมื่อวาน เมื่อวานซืน อาทิตย์ที่แล้ว เดือนที่แล้ว ไม่รู้เมื่อไร? แต่วันนี้เขาจะฉลอง Happy Birthday to you แล้วเราร้องเพลงอะไร? สมมติว่าวันเกิดทางด้านมนุษย์ Happy Birthday to you ไม่เกี่ยวอะไรกับที่เราเกิด ถูกไหม?  เกิดในวิญญาณก็เหมือนกัน เกิดเมื่อไร? อาจจะรับเชื่อเดือนที่แล้ว  เกิดใหม่แล้ว วันนี้มาฉลอง “ข้าตัดสินใจแล้ว จะตามพระเยซู” เหมือนกัน แค่นี้ อันนี้แถมให้

ปรัชญาอันไร้แก่นสารเหล่านี้ มันทำให้เกิดคำหลอกลวง คือบิดพลิ้วถ้อยคำพระเจ้า ค่อยๆ บิด ถ้าบิดไปหมดเลย ยิ่งดี ถ้าบิดไม่ได้หมด บิดสัก 10% ก็ดี  ถ้า 10% ไม่ได้ 5% ก็ยังดี 5 % ไม่ได้ 1% ก็ยังดี แต่ใจจริงมารอยากจะบิดให้มันได้ครบ 100 เลย   ก็คือคนที่ไม่เชื่อนั่นเอง  แต่มาเชื่อแล้ว ทำอย่างไรได้ เชื่อแล้วไม่เป็นไร ทำให้เพี้ยนๆ เพื่อที่จะไม่ให้เขาไปส่งต่อข่าวดีนี้กับคนอื่น คนนี้รอด ไม่เป็นไร  สงครามไม่ได้จบตรงที่ว่าเรามาเชื่อพระเจ้า แล้วมารปล่อย ไม่ใช่ เรามาเชื่อแล้ว เราเข้าไปอยู่ในมือพระเจ้าแล้ว เข้าไปอยู่ในบ้านพระเจ้า ในสวรรค์แล้ว มันทำอะไรเราไม่ได้แล้ว  ก็จริง แต่มันจะทำให้เราเป็นพยานเท็จ เราไปสวรรค์จริง แต่เราไม่สามารถทำให้คนอื่นเชื่อได้เลย เพราะการประพฤติของเราตลกๆ แปลกๆ

เราเป็นช่างตัดผมอยู่ดีๆ พอมาเชื่อพระเจ้าเราดีใจเหลือเกิน ไปโบสถ์ ทุกคนพอมาเชื่อพระเจ้าปุ๊บ ทุกคนต้องประกาศๆ เราเป็นผู้เชื่อใหม่ ไม่รู้จะทำอย่างไร? เขาบอกต้องประกาศๆ เป็นช่างตัดผมก็ประกาศได้ เราก็ถูกบังคับ พยายามจะประกาศ พอลูกค้ามาปุ๊บ เรากำลังลับมีดจะโกนหนวดให้เขา ไปปาดที่ใกล้ๆ คอ แล้วเราถาม …

“คุณเคยตายไหม? คุณกลัวตายหรือเปล่า?”

เราพูดไม่ถูกกาลเทศะเลยนะ คนนั้น …

“กลัวสิครับ”

“เชื่อพระเยซูไหม?”

“เชื่อๆ”

เขาเชื่อจริงหรือเปล่าล่ะ

เราชอบทำอะไรแปลกๆ อย่างนี้ คริสเตียนใหม่ คุยแล้วสนุก เอารถไปล้าง เด็กวิ่งมาถึง …

“จะรับบริการอะไรครับ 1, 2, 3, 4”

“หนูเชื่อพระเยซูหรือยัง?”

เขาถามว่าจะรับบริการอะไรไหม? ดันไปถามว่าหนูเชื่อพระเยซูหรือยัง?

“พี่จอดรถข้างๆ นะ”

“หนูรู้ไหม ถ้าเชื่อพระเยซู แล้วหนูจะไปสวรรค์”

คุยกันรู้เรื่องไหมเนี้ย มันเหมือนถูกบังคับ มันไม่เป็นธรรมชาติ มันไม่มีกาลเทศะ ถ้าถูกทางพระเจ้า มันจะดีงาม เรียบร้อย ลงล๊อค เข้าใจได้ ไม่มีอะไรแปลกๆ นี่ข่าวประเสริฐเสียหายไหม? คนที่ประกาศ คนที่เชื่อแล้ว รอดจริงๆ แต่เขาไม่สามารถที่จะไปบอกให้คนอื่น รู้ถึงข่าวประเสริฐที่ง่ายๆ ของพระเยซูได้ เพราะถูกขโมยบางส่วน ที่เป็นความจริงไปนั่นเอง ซึ่งปรัชญาอันไร้แก่นสาร หลอกลวงเหล่านี้ ส่วนใหญ่ก็มาจากการไปศึกษาค้นคว้าดูว่าบรรพบุรุษ ผู้เชื่อในยุคก่อนๆ แทนที่จะไปศึกษาถ้อยคำพระเจ้า

ไปศึกษาดูว่าคนยุคก่อนๆ บรรพบุรุษของเรา ในคริสตจักรยุคแรกๆ เขาทำอะไรกัน ที่เปาโลเขียน ก็เป็นอย่างนี้แหละ ถ้าเผื่อเขาเดินมากับพระเยซู เคยเดินกับพระเยซู ต้องถูกต้องหมด ต้องทำตามเขาให้หมด เราต้องทำตามเปโตร ต้องทำตามยอห์น ต้องทำตามยากอบ เพราะว่าเขาเดินกับพระเยซูมานะ เปาโลเป็นใครยังไม่เคยเดินกับพระเยซูเลย แล้วยังแถมฆ่าคริสเตียนด้วย อย่าไปเชื่อเขาเลย มาเชื่อคนเหล่านี้ดีกว่า เขามองอย่างนี้ เขาไม่ได้มองเนื้อแท้ๆ ของความหมายของข่าวประเสริฐของพระเจ้า เขาถึงถูกหลอกได้

เปาโลชัดเจน เปาโลอ้างอย่างนี้เสมอ “ข้าพเจ้าถูกเรียกมาเป็นอัครทูต แบบเมียน้อย อัครทูต ต้องเดินกับพระเยซูสิ ตอนที่พระเยซูอยู่บนโลกใบนี้ แต่เปาโลไม่ได้เดินกับพระเยซู เพราะฉะนั้น หลายคนดูถูก แล้วผู้หลักผู้ใหญ่เหล่านั้น ที่บอก น่าเชื่อถือ เปโตรก็น่าเชื่อถือ ต้องทำตามเขา เขาแบ่งแยกคริสเตียน โดยการกระทำของเขา โดยความกลัวของเขา คือเขายังคงรักษาประเพณี การไม่คบหากับคนต่างด้าว คนที่ไม่ใช่ยิวอยู่เลย แม้กระทั่งเขาเป็นผู้นำในเรื่องคริสเตียนแล้ว มีคริสเตียนที่เป็นชาวกรีก และอื่นๆ ที่ไม่ใช่ยิว เปโตรไม่กินอาหารโต๊ะเดียวกัน ถือว่าเขาต่ำกว่า เปาโลถือมากเรื่องนี้ โกรธมาก ทะเลาะกันแต่เรื่องนี้

“คุณทำอย่างนั้นได้อย่างไร?”

เปโตรที่ยืนกับพระเยซู ที่เดินกับพระเยซู แต่เนื่องจากความคุ้นเคย ความรับผิดชอบ ในฐานะเป็นอัครทูตของพระเจ้าที่ส่งไปให้ชาวยิว จึงตะขิดตะขวางใจมาก เคร่งครัดในเรื่องประเพณีในอดีตมากมาย นี่แหละคือสิ่งหนึ่งที่ความจริงถูกบิดเบือน ไม่ได้พิจารณาดูว่ามันตรงตามหลักการไหม? ถ้อยคำพระเจ้าหรือเปล่า? กลัวไปก่อนแล้ว ไบเบิ้ลบันทึกอย่างนั้นหรือ? ไม่รู้ รู้แต่ว่าเปโตรทำ ฉันทำบ้าง เพราะฉะนั้น …

“ข้างบ้านเขาเป็นชาวกรีกนะ เขาเพิ่งมาเชื่อพระเจ้า อย่าไปกินข้าวกับเขานะ”

“ทำไมทำอย่างนั้น เปาโลบอกว่ากินได้ เป็นพี่น้องกัน เป็นครอบครัวเดียวกันหมดแล้ว”

“ขนาดเปโตรเขายังไม่ทำเลย”

มันเป็นอย่างนี้  ขนาดเปโตรเขายังไม่ทำเลย  เปโตรเป็นใคร อะไรประมาณนี้

คริสเตียนมีอยู่ 2 ทางเลือก คือจะเลือกทำตามประเพณีปฏิบัติตามโบร่ำโบราณ ที่ถูกถ่ายทอดต่อๆ กันมา หรือจะยึดตามแก่นแท้ของข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์ ซึ่งเป็นความจริงที่จะทำให้ท่านเป็นไท

เห็นไหมมี 2 ทางเลือก สิ่งที่ยึดถือปฏิบัติมาตั้งแต่โบราณ เก่าแก่ยาวนาน ไม่ได้เป็นตัวบ่งบอกว่าเป็นสิ่งที่ถูกต้องเสมอไป เราเรียนมาตั้งเยอะแล้วนะ อิสราเอลในอดีต ทำผิด ทำพลาดตั้งเยอะ ผู้เชื่อชาวโครินธ์ก็มีแตกแยกหลายฝ่าย แต่ละฝ่ายก็มีธรรมเนียมปฏิบัติแตกต่างกัน เพราะฉะนั้น ถ้าเราไปทำตามเขา ก็เละไปหมด ไม่มีพื้นฐานที่ถูกต้อง เพราะฉะนั้น พื้นฐานจะต้องมาจากพระคัมภีร์ไบเบิ้ลที่บันทึกเอาไว้

เปาโลจึงบอกว่า “ความจริงจะทำให้ท่านเป็นไท” ไม่ได้อยู่ที่การปฏิบัติตามธรรมเนียมประเพณีที่สอนกันมาตั้งแต่โบราณ แต่อยู่ที่ข่าวดีของพระเยซูคริสต์เท่านั้น เพียวๆ ไม่มีการผสม ไม่มีการแต่งเติมอื่นๆ เข้าไป

ข่าวดีเรื่องสวรรค์ เรื่องความรอดในพระเยซูนั้น จะต้องขึ้นอยู่กับถ้อยคำพระเจ้าในพระคัมภีร์ และต้องแปลความหมายให้ถูกต้องด้วย ไม่ได้ขึ้นอยู่กับบรรพบุรุษ คนแก่คนเฒ่า หรือผู้อาวุโสในอดีตได้กล่าวไว้ คือในเรื่องของความเชื่อในข่าวดีของพระเยซูนี้ เราไม่สามารถใช้คำพังเพยที่ไทยๆ เราชอบพูดกัน

“เชื่อเถอะ”

“เพราะเขาอาบน้ำร้อนมาก่อนเรา เขาเชื่อพระเจ้ามาก่อนเราตั้งนานแล้ว”

กรณีนี้ใช้ไม่ได้เด็ดขาด มีโอกาสถูกหลอกได้อย่างง่ายๆ ซึ่งส่วนใหญ่บรรพบุรุษของเรา ก็เชื่อตามคำบอกเล่าของบรรพบุรุษ และบรรพบุรุษของเราก็เชื่อกันต่อๆ มาจากบรรพบุรุษอีกที ซึ่งพอถามว่าทำไมต้องทำอย่างนั้น ทำไมต้องเป็นอย่างนี้ ก็ตอบไม่ได้ เพราะเขาสอนต่อๆ กันมา ตอบไม่ได้ ถ้าท่านรู้ความจริง ในไบเบิ้ล ท่านจะรู้ว่าทุกอย่างในพระคัมภีร์มันต่อเนื่องกันหมด ตอบอะไรก็ได้ ไม่มีแย้งกันเลยสักนิดหนึ่ง ไม่อย่างนั้นมันยุ่งไปหมดเลย อันนั้นก็แย้ง อันนี้ก็แย้ง พระเยซูบอกทำสำเร็จแล้ว อันนี้บอกยังทำต่อ พระเยซูอภัยให้หมดแล้ว อันนี้บอกไม่ได้ เธอต้องขอการอภัยโทษ อย่างนี้เป็นต้น แต่สิ่งที่เราทราบแน่ๆ จากการได้ศึกษาในประวัติศาสตร์ก็คือบรรพบุรุษก่อนหน้าเรา แตกแยกจริงๆ มีความขัดแย้งทางความเชื่อเยอะแยะมากมายไปหมด ตั้งแต่อดีตมาจนถึงปัจจุบัน กว่า 2,000 ปี ทีนี้ก็ขึ้นอยู่กับว่าใครเชื่อ ตามบรรพบุรุษฝ่ายไหน ส่วนใหญ่จะเป็นอย่างนี้  ซึ่งเราเรียกกันว่านิกาย ก็ว่ากันไป ซึ่งจริงๆ มันไม่มี มันมีหนึ่งเดียว

จึงสรุปได้ว่าประเพณีเก่าแก่ ตั้งแต่โบร่ำโบราณ มิได้เป็นสิ่งที่ถูกต้องตามหลักพระคัมภีร์ทุกอย่างเสมอไป ถึงทำตามประเพณีตลอด แต่ถ้าไม่ตรงกับพระคัมภีร์ ก็มีสิทธิ์เพี้ยนไปก็ได้  แต่ที่ทำมาถูกต้อง ก็มีนะ ไม่ใช่ไม่มี

ดังนั้น เราจึงควรมีบรรทัดฐานเดียวกัน พระคัมภีร์ไบเบิ้ลบันทึกไว้อย่างไร? เป็นเพียงหลักฐานเดียวเท่านั้น ที่เราจะต้องทำตาม ไม่ใช่ทำตามตำนานเล่าขาน สืบเนื่องจากความเชื่อของบรรพบุรุษอาวุโส

ยกตัวอย่างให้ท่านเห็นอีกอันหนึ่ง ก่อนจะจบในวันนี้ เมื่อประมาณ 500 กว่าปีก่อน  มีเหตุการณ์หนึ่งเกิดขึ้น    ใหญ่โตมาก   ซึ่งทำให้เกิดคริสตจักรที่ถูกต้องตามกฎหมาย   แบบเราๆ เรียกกันว่าโปแตสแตนท์ ถ้าแบ่งคริสเตียนในปัจจุบัน  ในโลกนี้ทั้งหมด  แบ่งได้แค่ 2 กลุ่ม  คือโปแตสแตนท์ กับโรมันคาทอริค

เมื่อตอนที่เปาโลกำลังพูดอยู่นี้ ไม่มีโรมันคาทอริค ไม่มีโปแตสแตนท์ มีแต่คาทอริค เชิร์ท คาทอริค แปลว่าหนึ่งเดียว เริ่มประกาศที่กรุงเยรูซาเล็มไป แล้วเปาโลไปประกาศ และตั้งคริสตจักรที่ไหนก็ตาม เป็นคริสตจักรคาทอริคหมด เป็นคริสตจักรของพระเจ้า คริสตจักรของพระเยซูคริสต์ เหมือนกันหมด ไม่มีนิกายโน่นนี่ ทุกคนเหมือนกันหมด และทำตามที่พระเยซูบอก ทำตามข่าวประเสริฐ แล้วมันก็จะมีคนนี้ เริ่มเอาอย่างนั้นมาบวก จากข่าวประเสริฐเพียวๆ บวกอันนั้นไปนิดหนึ่ง บวกความเชื่อเดิม บวกประเพณีเดิม บวกกิเลสส่วนตัวเข้าไป บวกความอยากใหญ่อยากโตเข้าไป บวกความโลภเข้าไป  อยากได้เกียรติ มันเลยผสมปนเปกันมา จากเพียวๆ ก็เลยผสมกันเยอะแยะ เป็นหมู่เหล่าต่างๆ นานา แต่ก็ยังไม่แบ่งเป็นกลุ่มๆ ชัดเจนเหมือนปัจจุบัน

จนกระทั่งเป็นเรื่องเป็นราวขึ้น เมื่อมหาอาณาจักรโรมัน ซึ่งเป็นมหาอำนาจในขณะนั้นเปลี่ยนศาสนาประจำชาติ มาเป็นเชื่อพระเยซู โดยคอนสแตนติน เมื่อประมาณปี ค.ศ.300 คือหลังจากที่พระเยซูเป็นขึ้นจากความตายแล้ว ประมาณ 300 ปี โรมันซึ่งเคยข่มเหงและต่อต้านคริสเตียน ก็กลับกลายเป็นประเทศ เป็นมหาอาณาจักร ที่กลายเป็นมีศาสนาประจำชาติ เป็นคริสเตียน แล้วก็เหมือนเดิม พอเป็นคริสเตียนปุ๊บ  ก็จะมีผสมปนเปกันไปเยอะแยะไปหมด อย่างที่ผมบอก คนนี้ก็เชื่ออย่างนี้ คนนั้นก็เชื่ออย่างนั้น เอาของเก่ามาเสริมบ้าง การเป็นคริสเตียนของโรมันคาทอริคก็เริ่มบวกกับสิ่งที่เขาเคยเชื่อมาในอดีต เรื่องรูปเคารพอะไรต่างๆ รวมเข้าไปกับการนมัสการพระเยซูด้วย

เพราะฉะนั้น เขาจึงเรียกสไตล์เขาเอง ซึ่งแตกต่างกับคาทอริคเดิมแล้ว จากคริสตจักรเดิมๆ สมัยกรุงเยรูซาเล็ม สมัยเปาโล มันไม่เหมือนกันแล้ว เพราะเติมอะไรเข้าไปเยอะ มีทั้งคนถูกต้อง คนบริสุทธิ์ดีงามจริงๆ มีทั้งคนอยากเล่นการเมือง มีทั้งคนอยากใหญ่ อยากโลภ มีทั้งคนอยากจะร่ำรวยเข้าไปทางศาสนา เพราะฉะนั้น มันก็เลยกลายเป็น ชื่อว่าคาทอริค แบบโรมัน เขาเรียกว่าโรมันคาทอริค แล้วก็มาเรื่อยๆ จนพันสองร้อยปีผ่านมา ก็เป็น  ค.ศ.1500  ตอนที่เป็นโรมันคาทอริค เขาจะมีคนธรรมดา ที่เชื่อแบบธรรมดา เป็นคริสเตียนที่มาเชื่อพระเจ้าจริงๆ มันไม่เห็นตรงกับพระคัมภีร์เลย เคยอ่านมาบ้าง มันแปลกๆ ความรอดในพระเยซูบอกสำเร็จแล้ว ทำไมมันซื้อได้ด้วย ซื้อใบความรอด ก็ได้ คนทำบาปมา สารภาพบาปอย่างเดียวก็ไม่ได้ ต้องจ่ายตังค์ด้วย ถึงจะบริสุทธิ์

อะไรอย่างนี้ ยกตัวอย่างให้ฟัง และอย่างอื่นอีกมากมาย คนก็เริ่มคิดต่างๆ นานา ทำไมมันไม่ตรง มันใช่เหรอ มันก็จะมีคนแย้งมาตลอดเวลา แย้งอยู่ใต้ดิน คนที่ต้องการอำนาจ ก็พยายามกำจัดคนที่แย้งๆ กันไป  เพื่อที่จะได้สิ่งที่ตัวเองอยากได้ ลาภ ยศ สรรเสริญ จนกระทั่งประมาณ 500 ปีที่ผ่านมา  ก็มีคนๆ หนึ่ง ซึ่งก็คือหนึ่งในจำนวน คนเยอะแยะมากมาย ที่ประท้วงตลอดเวลาว่าอันนี้มันไม่ใช่เรื่องข่าวดีของพระเยซู นี่มันอะไรก็ไม่รู้ ในพระคัมภีร์ไม่ได้บอกให้ทำอย่างนี้สักหน่อย คนหนึ่งในจำนวนนั้นที่เป็นหัวหน้า มีชื่อว่ามาร์ติน ลูเธอร์ ก็คือหนึ่งในจำนวนผู้ที่แย้งอยู่ใต้ดิน ก็แอบแปลพระคัมภีร์ แอบไปอ่าน แอบไปทำ แล้วก็สอนใต้ดิน ให้คริสเตียนที่อยากรู้พระคัมภีร์จริงๆ อยากเป็นคริสเตียนแท้ๆ กลุ้มใจกับอันที่มันมั่วๆ กันหมด แอบเรียน ไม่แอบไม่ได้ ผิดกฎหมาย เพราะทางศาสนาตอนนั้น มันเข้มข้นมาก ในเรื่องของการเมือง เอาสั้นๆ นี่คือการต่อต้าน จนกระทั่ง ในสมัยของมาร์ติน ลูเธอร์ ต่อต้านจนสำเร็จ สรุปพูดง่ายๆ ก็คือต่อต้านจนกระทั่งพวกที่ต่อต้าน โผล่ขึ้นจากใต้ดินเยอะมากขึ้น จนกระทั่ง โรมันคาทอริค ไม่รู้จะทำอย่างไรได้  เพราะมันเยอะเหลือเกิน ปราบไม่หมดแล้ว เพราะฉะนั้น  ก็เลยยอมรับว่าโอเค ขึ้นมาเลย ให้เป็นอีกนิกายหนึ่ง เป็นความเชื่อหนึ่งในเรื่องพระเยซู

และจากนั้นมาร์ติน ลูเธอร์มาถึงปัจจุบัน 500 ปี ก็จะเกิดคริสเตียนแบบโปแตสแตนท์ คือพวกที่อยู่ในกลุ่มที่เขาเรียก โปแตส พวกประท้วง คริสเตียนพวกกลุ่มประท้วง เราก็อยู่ในข่ายพวกประท้วง ประท้วงว่านี่ไม่ใช่ และในกลุ่มผู้ประท้วงเอง ใน 500 ปีที่ผ่านมา ก็เชื่อไม่เหมือนกัน อย่างที่บอก บางคน ลงน้ำบัพติศมา ไม่เกี่ยวกับความรอด บางคนบอกไม่รู้ เขาว่ากันมาว่ามันเกี่ยว ทำดีกว่า ก็ทำต่อไป  พอทำต่อไป สอนลูกหลานว่าถ้าได้รับความรอด ไปสวรรค์ ต้องลงน้ำนะ ซึ่งในพระคัมภีร์ บอกไหมว่าจะไปสวรรค์ต้องลงน้ำ ไม่มี อย่างนี้เป็นต้น

อันนี้ไม่เป็นไร ก็แยกไป เขาได้รับความรอดจริง ไปบังคับให้ทุกคนลงน้ำ อันนี้เชื่อใหม่ ศึกษาแล้วไม่ใช่ ก็แบ่งแยกออกไป โปแตสของโปแตสอีกที คือกลุ่มประท้วงเขา แล้วก็แยกออกมาเป็นกลุ่มประท้วงของกลุ่มประท้วงอีกทีหนึ่ง มันก็แยกไปเรื่อยๆ เห็นภาพอะไรไหมว่าข่าวดีของพระเจ้าที่เป็นเพียวๆ 100% มันมีบิดมาบิดไป แต่ขอบคุณพระเจ้า จะบิดอย่างไรก็ตาม มันง่ายตรงที่รอดทางวิญญาณ เขารอดไปแล้ว เพียงแต่เขาจะส่งไม้ต่อให้กับคนหลังๆ ไม่ได้ดีนักเท่านั้นเอง  เพราะว่าเขาไปพูดข่าวประเสริฐที่ไม่ตรงตามพระคัมภีร์จริงๆ มันคือยาก

เพราะฉะนั้น เราจึงเห็นภาพว่าข่าวประเสริฐมันไม่ได้ยากอย่างนั้น แต่ที่เราเรียนรู้กันอยู่ เพื่อจะได้รู้ว่ามารมันตกกระป๋องไป มันถูกถอดยศออกไปหมด มันทำอะไรไม่ได้เลยตอนนี้ พระวิญญาณบริสุทธิ์อยู่กับเรา พระเจ้าสถิตอยู่กับเรา พระคัมภีร์บอกว่าท่านไม่รู้หรือ! คำว่าท่านไม่รู้หรือ! มันทำเสร็จแล้ว ถูกไหม? พระคัมภีร์จะพูดสิ่งนี้เสมอ ท่านไม่รู้หรือๆ เมื่อท่านเชื่อในพระเจ้าแล้ว ปุ๊บ เปาโลจะบอกว่าท่านไม่รู้หรือว่าท่านเป็นวิหารของพระเจ้า พระเจ้าสถิตอยู่ในท่าน ท่านไม่รู้หรือว่าท่านเป็นลูกของพระเจ้าแล้ว ท่านไม่รู้หรือว่าท่านสะอาดหมดจดแล้ว ท่านไม่รู้หรือว่าพระเยซูตายที่ไม้กางเขนครั้งเดียวเป็นพอ ชำระบาปให้ท่านหมดเรียบร้อยไปแล้ว ตั้งแต่อดีต ปัจจุบัน อนาคต จบไปแล้ว ท่านไม่รู้หรือท่านเชื่อพระเยซูแล้ว  ท่านอยู่ในสวรรค์เรียบร้อยแล้ว ตอนนี้ก็อยู่ในนั้นเรียบร้อยแล้ว เพียงแต่อาศัยในร่างกายนี้อยู่เท่านั้นเอง ท่านไม่รู้หรือ? แปลว่ามันสำเร็จแล้ว มันเป็นอย่างนั้นแล้ว

นี่คือข่าวดี ซึ่งอย่างที่บอก มารพยายามที่จะดันอันนี้ออกไปไกลๆ ให้มันยากๆ เข้าไว้ เพื่อให้คนรู้สึกก็ไม่เห็นมีอะไรแปลกใหม่กับอันอื่นๆ เขา อันอื่นๆ ก่อนที่จะมา ก็มีเยอะแยะความเชื่อต่างๆ ที่บอกว่าตนเป็นที่พึ่งแห่งตน เราต้องช่วยเหลือตัวเอง คนเราเกิดมามีเวรมีกรรม ต้องชดใช้เวรกรรม กฎแห่งกรรมมีจริงนะ ทำบาปก็ต้องชดใช้สิ แล้วในพระคัมภีร์ว่าอย่างไร? พระเยซูมารับบาปของเราไปแล้ว หนังสือฮีบรู บทที่ 10 บอกว่าโดยการสิ้นพระชนม์ของพระองค์ และพระโลหิตของพระองค์ การตายของพระองค์เพียงครั้งเดียวเป็นพอ ที่จะชำระท่านทั้งหลาย ให้สะอาดหมดจด บริสุทธิ์ ถวายแด่พระเจ้า เป็นเครื่องบูชาอันบริสุทธิ์สะอาด เอเมน หมด

พระเยซูบนไม้กางเขนบอกสำเร็จแล้ว แปลว่าท่านมาเชื่อพระเยซู ท่านไม่ต้องทำอะไร พระเยซูทำให้สำเร็จแล้ว คราวนี้ก็อยู่ที่ท่าน ท่านจะเชื่ออะไร? ท่านจะเชื่อในพระคัมภีร์ หรือจะเชื่อที่เขาว่ามา  ท่านลองไปถามสิว่าเขาว่ามาจากไหน? ว่ามาจากความเชื่อเดิมๆ ตั้งแต่ปู่ย่าตาทวดมาว่ามีเจ้ากรรมนายเวร มาคอยเจอตลอดเวลา เธอต้องชดใช้หนี้สิน เธอต้องชดใช้กรรม ชดใช้เวร ไม่มีทางหมดหรอก

แต่อีกฝั่งหนึ่ง พระเยซูบอก “ฉันใช้ให้หมดแล้ว หมดแล้วๆ”

เราจะจบตรงที่แล้วถ้าเราเรียนรู้ความจริงนี้แล้ว วิธีการที่เราจะไปใช้ ทำอย่างไร? จำที่ผมบอก ครั้งที่แล้วว่ามันมีสงครามฝ่ายวิญญาณอยู่จริงๆ และสงครามฝ่ายวิญญาณ มันไม่ได้เกี่ยวอะไรกับผีมารซาตาน จะมาหักคอท่านหรอก แต่มันเกี่ยวกับผีมารซาตานจะผ่านทางกระแสของโลกนี้ จะมาขโมยเอาความจริงออกไปจากสมองของท่าน ออกจากความคิดของท่าน พระคัมภีร์จึงบอกให้ท่านจดจ่อไปที่เบื้องบน ในสวรรค์สถานที่ท่านอยู่ เป็นลูกพระเจ้าแล้ว ในสวรรค์ ซึ่งเกิดขึ้นเดี๋ยวนี้แล้ว จดจ่อไปที่ถ้อยคำพระเจ้า ที่บอกไว้อย่างนั้น อย่าให้มันขโมยออกไปด้วยถ้อยคำหลอกลวง

จดจ่อก็คือเซ็ตมายด์ ก็คือใคร่ครวญ ภาวนา โฟกัส จ้อง จับเอาความจริงเหล่านั้น ใส่ไว้ในสมอง ใส่ไว้ในความคิดของเราตลอดเวลา ฝึกตลอดเวลา ถ้ามันอยู่ในนี้ มันก็จะอยู่ตลอดไป ไม่มีใครมาเอาไปได้ มารก็ทำอะไรไม่ได้ เพราะวิญญาณเราอยู่ในพระเจ้าแล้ว เพราะฉะนั้น ต่อไปนี้จะจบทุกครั้ง ผมก็จะฝึกเราในการเอาถ้อยคำพระเจ้าเข้าไปในสมองของเรา เข้าไปในความคิดของเราว่านี่แหละคือสิ่งที่เกิดขึ้นอยู่ นี่คือโลกวิญญาณที่ตามนุษย์มองไม่เห็น หูไม่ได้ยิน ที่พระเจ้าบอกตระเตรียมไว้ให้คนที่รักพระองค์ ในพระเยซูคริสต์ มันเกิดแล้ว มันเสร็จแล้ว มันเรียบร้อยแล้ว ท่านอยู่ตรงนั้นแล้ว ทำอย่างไรถึงจะได้เห็น ก็จงมองให้เห็นเถิด ทำอย่างไรท่านถึงจะได้รู้ ก็จงมองให้เห็นเถิด เปิดตาวิญญาณ แล้วมองให้เห็นเถิด อ้าว! เปิดตาวิญญาณเลย วิธีเปิดตาวิญญาณทำอย่างไร? ที่จะฝึกต่อไปนี้ ก็คือความจริงในถ้อยคำพระเจ้าทั้งหมด ท่านก็พยายามพูดตามผมไปเรื่อยๆ เหมือนกับพูดกับตัวเอง กลับไปบ้าน ท่านก็พูดให้ตัวเองฟังลักษณะอย่างนี้ …

“ขอบคุณพระเจ้า โดยพระเยซูคริสต์ ที่ทำให้ลูกเป็นอิสระ จากโทษของความบาป ขอบคุณพระเยซู ที่ชดใช้เวรกรรมให้กับลูก ขอบคุณพระเจ้า ที่ลูกได้เป็นลูกของพระองค์ ลูกขอบคุณพระเจ้า ลูกเชื่อว่าลูกเป็นวิญญาณที่ได้บังเกิดใหม่ ในพระเยซูคริสต์ พระเจ้าได้ให้ลูกตายพร้อมกับพระเยซูคริสต์ และชุบให้ลูกเป็นขึ้นจากความตาย พร้อมกับพระเยซูคริสต์ ลูกจึงได้เกิดใหม่ เป็นลูกของพระองค์ เป็นวิญญาณที่สะอาดหมดจด ไร้ตำหนิ ไร้โทษ และพระองค์ได้ประทานจิตใจใหม่ให้ลูกด้วย ลูกจึงเป็นวิญญาณที่มีความคิดจิตใจใหม่ ที่สะอาดบริสุทธิ์เหมือนพระเยซู เป็นลูกของพระองค์ และอยู่ในสวรรค์ร่วมกับพระเยซูคริสต์ ณ ขณะนี้แล้ว เพียงแต่ว่าลูกยังต้องอาศัยอยู่ในร่างกายเดิมนี้ เพื่อพระองค์จะสามารถใช้ลูกได้ ในการงานบนโลกใบนี้ แต่วันหนึ่งร่างกายที่จะต้องตายนี้ จะกลับไปสู่ดิน ตามโทษของความบาป จากบรรพบุรุษ คืออาดัม ณ วันนั้น วิญญาณของลูกและความคิดจิตใจของลูกจะออกจากร่างนี้ เตรียมไปรับร่างกายใหม่ ร่างกายสวรรค์ ที่พระองค์ทรงจัดเตรียมไว้ให้ เหมือนร่างกายของพระเยซู เต็มไปด้วยสง่าราศี เป็นความสว่าง ไม่มีการตาย ไม่มีความเจ็บปวด ไม่ต้องรับโทษใดๆ ไม่ต้องโศกเศร้า ไม่มีน้ำตาอีกต่อไป และลูกจะอยู่ในสวรรค์ ในร่างกายทิพย์นี้ ครอบครองร่วมกับพระเยซู อยู่ในสวรรค์ของพระองค์ที่เรียกว่าในพระคริสต์ตลอดชั่วนิจนิรันดร์ ขอบคุณพระเจ้าในพระคุณของพระองค์ ที่ทรงกระทำทุกสิ่งนี้ให้กับลูก ขอบคุณพระองค์ในนามพระเยซู เอเมน”

ขอพระเจ้าอวยพรครับ

 

************************