คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 22 กันยายน 2019 เรื่อง “การต่อสู้ของโลกวิญญาณ ทางความคิด” ตอน 2 โดย นคร เวชสุภาพร

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  22  กันยายน  2019

 เรื่อง “การต่อสู้ของโลกวิญญาณ ทางความคิด” ตอน 2

โดย นคร  เวชสุภาพร

            วันนี้เรามาดูกันต่อเรื่อง “การต่อสู้ของโลกวิญญาณ ทางความคิด” ตอน 2 หรือภาษาติดปากของชาวคริสเตียนทั่วๆ ไปเรียกว่าสงครามฝ่ายวิญญาณ เราจะมาคุยถึงเรื่องนี้ ที่เราต้องเผชิญอยู่ทุกวัน ตลอดเวลา ตราบที่เรายังดำเนินชีวิตอยู่ในร่างกายนี้ อยู่บนโลกใบนี้ เราจำเป็นต้องอยู่ในสงครามฝ่ายวิญญาณนั่นแหละ หนีก็ไม่ได้ ไม่ร่วมก็ไม่ได้ เมื่อวันที่ท่านบังเกิดใหม่ในพระเยซู เมื่อวันที่ท่านรับเชื่อในข่าวประเสริฐของพระเยซู ท่านเข้าไปสู่สงครามฝ่ายวิญญาณนี้ เต็มรูปแบบแล้ว แต่ถามว่าตอนที่ยังไม่เชื่อ ท่านอยู่ในสงครามไหม? ว่ากันแล้ว ท่านก็อยู่ในสงคราม เพียงแต่ท่านเป็นเชลยอยู่ แต่ตอนนี้ท่านเป็นอิสระแล้ว เพราะท่านเชื่อในข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์ ท่านรอดแล้ว แต่ท่านก็ยังอยู่ในสงคราม แต่เป็นสงครามที่เราชนะแล้ว

ผมจะอธิบายให้ฟังว่าสงครามฝ่ายวิญญาณ สงครามโลกวิญญาณ มันคืออะไร? แล้วมันเกิดขึ้นเมื่อไร? มารแน่นอนใช่ไหม? ที่เป็นศัตรูของพระเจ้า สงครามฝ่ายวิญญาณเกิดขึ้นตั้งแต่มารยังมีชื่อเดิม ซึ่งเป็นชื่อที่ดี ยังไม่เป็นมาร ยังไม่เป็นซาตาน ซึ่งแปลว่าความชั่วร้าย ชื่อเดิม ที่ดีๆ ของมารหรือซาตาน คือลูซีเฟอร์

ลูซีเฟอร์เป็นสิ่งที่พระเจ้าทรงสร้าง ไม่ใช่มนุษย์นะ ลูซีเฟอร์เป็นหัวหน้าทูตสวรรค์ตนหนึ่ง  ที่โดดเด่นมากในเรื่องเกี่ยวกับการนมัสการ ในพระคัมภีร์บอกว่าสวยงามมาก และดังมาก เก่งมาก คำชมเหล่านั้น จากเหล่าทูตสวรรค์ และแม้กระทั่งอาจจะพระเจ้าพระบิดา พระเจ้าพระบุตร พระเจ้าพระวิญญาณบริสุทธิ์ชมด้วย

ในพระคัมภีร์บอก แล้ววันหนึ่ง อยู่ๆ ลูซีเฟอร์ที่ถูกสร้างมาเป็นทูตสวรรค์ดีๆ มันก็เกิดความเย่อหยิ่งขึ้นมา อยากจะเป็นพระเจ้าเอง เป็นการเริ่มต้นของความชั่วร้าย ที่เรียกว่าความบาป ซึ่งเรียกว่า Miss the target  แปลว่าไม่ตรงตามเป้าหมาย ที่พระเจ้าได้สร้างไว้ เมื่อท่านได้ฟังตรงนี้บ่อย ก็จะเข้าใจถึงกฎระเบียบที่มนุษย์ต้องตกลงไปในความบาป มันเกิดขึ้นมาเอง ไม่ใช่พระเจ้าสร้างขึ้นมา ในพระคัมภีร์เขียนอย่างนั้นว่าความชั่วร้าย การเป็นกบฏ ผิดเป้าหมาย ตามที่พระเจ้าได้ประสงค์ สร้างไว้ว่าทูตสวรรค์ตนนี้ ทำหน้าที่อะไร? เป็นสิ่งที่ดีทั้งนั้น แต่จู่ๆ สิ่งดีในตนที่เรียกว่าลูซีเฟอร์ มันเกิดความเย่อหยิ่งจองหอง อยากเป็นพระเจ้าเสียเอง อยากจะแข่งกับพระเยซู ในพระคัมภีร์พูดอย่างนั้น เพราะอะไร? ไม่รู้ ในพระคัมภีร์พูดอย่างนี้ เราก็เชื่ออย่างนั้นว่ามันเกิดขึ้นมาเอง

เพราะฉะนั้น ถามว่าผู้สร้างความชั่วร้ายให้เกิดขึ้น ใช่พระเจ้าไหม? ไม่ใช่ ใครเป็นผู้สร้างความชั่วร้าย? ไม่รู้ แต่มันเกิดขึ้นมาเอง ที่ในตัวตนของทูตสวรรค์ตนหนึ่ง ที่มีชื่อว่าลูซีเฟอร์ ท่านต้องจำตรงนี้ไว้ คือถ้าฐานของความรู้ท่าน ง่ายๆ ชัดๆ แข็งแรง ก็ไม่มีอะไรจะมาโกหกท่านต่อไปในอนาคต

ความชั่วร้ายมันเกิดขึ้นมาเอง เพราะฉะนั้น ต่อไปนี้อย่าบอกว่าพระเจ้าอนุญาต หรือทำให้สิ่งชั่วร้ายเกิดขึ้น ถามว่าตอนที่สิ่งชั่วร้ายเกิดขึ้นมาเอง ในตัวตนของลูซีเฟอร์ พระเจ้าอนุญาตให้มันเกิดขึ้นไหม? ไม่ พระเจ้าไม่ต้องการ ไม่ได้อยากให้มันเป็นอย่างนี้ แต่มันเป็นขึ้นมาเอง แล้วมันก็เริ่มกบฏ

“กบฏ” ก็คือบาปนั่นแหละ บาป แปลว่า Miss the target แปลว่าผิดเป้าหมาย  ก็คือการทำอะไรก็ตามที่ผิดจากวัตถุประสงค์ที่พระเจ้าต้องการ หรือที่พระเจ้าได้สร้างเอาไว้ พระเจ้าสร้างให้ตัวตนของลูซีเฟอร์ เป็นทูตสวรรค์ที่ดี แต่มันกลายเป็นสิ่งที่ทำตรงกันข้ามกับความดี เรียกว่าความชั่วนั่นเอง เพราะฉะนั้น มันเริ่มทำบาป มันเริ่มกบฏต่อพระเจ้า ต่อต้านพระเจ้า พระเจ้าบอกขาว มันก็บอกดำ พระเจ้าบอกไป มันก็ไม่ไป อะไรก็ตามที่มันตรงกันข้ามกับพระเจ้า มันทำหมด พระคัมภีร์บอกพระเจ้าเป็นความรัก เพราะฉะนั้น ลูซีเฟอร์เป็นต้นกำเนิดของความเกลียด พระเจ้าเป็นแสงสว่าง ลูซีเฟอร์ ก็เป็นความมืด ท่านพอรู้แล้ว แต่ก่อนนี้ ก่อนที่ลูซีเฟอร์จะตกลงไปในความบาป มีความมืดไหม? ไม่มี ทุกอย่างเป็นความสว่างหมด มีความเกลียดชังไหม? ไม่มี มีแต่ความรัก ท่านพอมองเห็นแล้วว่ามันเกิดมาจากตรงไหน? นี่คือต้นเหตุของทั้งหลาย ทั้งปวง ในความเป็นจริง ในโลกฝ่ายวิญญาณ

วิธีการของมัน ก็เริ่มต้น ก็คือความบาป การทำตรงข้ามกับพระเจ้า อยู่ในตัวมัน มันก็มีบาปเกิดขึ้นในตัวลูซีเฟอร์เพียงหนึ่งเดียว แล้วมันก็เริ่มต้น ไปหาพรรคพวก ด้วยวิธีเดียวที่มันทำ แล้วพระเยซูก็บอกด้วย คือวิธีขโมย เพื่อฆ่าและทำลาย มันขโมยความจริง พระเจ้าเป็นความจริง มันเป็นความโกหก มันก็เริ่มไปหลอกชาวบ้านเขา ชาวบ้านสมัยนั้น ก็คือทูตสวรรค์ มันคงไม่ไปหลอกพระเยซูนะ เพราะมันก็คงรู้แหละว่าพระเยซูเป็นความจริง มันหลอกไม่ได้ มันก็ไปหลอกทูตสวรรค์ทั้งปวงที่พระเจ้าทรงสร้างประชากรในสวรรค์ตอนนั้น มีแต่ทูตสวรรค์ ในพระคัมภีร์เขียนไว้อย่างนั้น เพราะฉะนั้น ทูตสวรรค์ก็ถูกมารเข้าไปหลอก มันอาจจะไปหลอกมีคาเอลก็ได้ มันอาจจะไปหลอกกาเบรียลก็ได้ 2 ตนนี้ก็เป็นหัวหน้าทูตสวรรค์ … หัวหน้าทูตสวรรค์มี 3 ตน ลูซีเฟอร์ตกไปหนึ่ง มันอาจจะเริ่มไปหลอก หัวหน้าทูตสวรรค์ 2 ตนนั้น แต่มีคาเอลกับกาเบรียลไม่สนใจ มันก็หลอกทูตสวรรค์ชั้นรองลงมา อาจจะเป็นชั้นนายพัน นายเอก นายร้อย นายสิบ จนกระทั่งเป็นพลทูตสวรรค์เยอะแยะ

ฟังให้ดีนะ เนื่องจากความสามารถของมัน ความเก่งของมัน ความอ่อนหวาน ปากเป็นเอก เนื่องจากสิ่งเหล่านี้พระเจ้าสร้างมันขึ้นมา ให้เอาความเก่งเหล่านี้ไปในทางที่ดี แต่มันเอาความเก่งเหล่านี้มาทำในทางที่ไม่ดี มันก็สามารถไปโกหก หลอกลวงทูตสวรรค์ได้ถึง 1 ใน 3  ก็คือ 33.3% ของทูตสวรรค์ทั้งหมด  ถ้าสมมติว่าตอนนั้นทูตสวรรค์มี 1 ล้านตน มันก็สามารถหลอกทูตสวรรค์ไปได้ 333,333 ตนอะไรประมาณนั้น ที่เหลือก็ไม่ไป ยังอยู่ในกองทัพของพระเจ้าอยู่ ยังเชื่อฟังพระเจ้า ปรากฏว่าทูตสวรรค์เหล่านั้น 1 ใน 3 ที่เชื่อมัน ก็เลยกลายเป็นไม่เชื่อฟังต่อพระเจ้า บาปก็เริ่มเพิ่มจำนวนมาแล้ว เริ่มจากลูซีเฟอร์

ผมพยายามแยกให้ชัดเจนว่าพระเจ้าคือใคร?  ลูซีเฟอร์คือใคร?  บาปคืออะไร? ความชั่วร้ายคืออะไร? อย่าเอาพระเจ้าเข้ามาอยู่กับความชั่วร้ายเด็ดขาด เพราะฉะนั้น  มาร ลูซีเฟอร์ก็เลยสามารถไปโกหกหลอกลวงทูตสวรรค์เหล่านี้ ตั้ง 1 ใน 3 ของทูตสวรรค์ทั้งหมด มาเป็นพรรคพวก เรียกว่าทูตสวรรค์ตกกระป๋อง ก็คือตกลงไปในความบาป  เพราะฉะนั้น ตอนนี้ ในโลกความมืด มีสิ่งที่ถูกสร้างขึ้นมา คือลูซีเฟอร์ ซึ่งเปลี่ยนชื่อเป็นซาตาน  ลูซีเฟอร์ แปลว่าดาวแห่งรุ่งอรุณ ดาวสวยงามมาก เจิดจรัส กลายเป็นชื่อซาตาน แปลว่าความชั่วร้าย ทูตสวรรค์ตนนี้ เรียกว่าตัวชั่วร้าย  เวลาเราเรียกใคร ไอ้ชั่วร้าย คือนั่นแหละ กำลังเล็งถึงซาตาน และความชั่วร้ายนี้ ถูกส่งต่อไปยังทูตสวรรค์ตนอื่นๆ อีก 1 ใน 3 เป็นกลุ่มทูตสวรรค์ที่ชั่วร้าย ท่านเห็นภาพแล้วนะ

ปรากฏว่าแพ้สงคราม พระเจ้าก็ตัดสินคดี ในพระคัมภีร์เขียนว่าให้ทูตสวรรค์ 1 ใน 3 ซึ่งมีหัวหน้าตกกระป๋อง ถูกเหวี่ยงลงมาอยู่ในโลกนี้ เราไม่รู้ อย่าไปสนใจว่ามันคืออะไร? พระคัมภีร์บอกอย่างนี้ เราก็เชื่ออย่างนี้ ถ้าในพระคัมภีร์ไม่ได้บอก เราก็ไม่ต้องไปรู้ ยังมีอีกเยอะแยะมากมายหลายอย่างที่เราอยากรู้ แต่เราไม่รู้ เอาเท่าที่รู้แค่นี้ เราก็หัวโตแล้ว

ตอนนี้ความชั่วร้ายอยู่ที่สิ่งมีชีวิตที่พระเจ้าสร้างขึ้นมา เรียกว่าทูตสวรรค์เท่านั้น สิ่งเหล่านี้มีชีวิต จากนั้นพระเจ้าสร้างมนุษย์ตามพระฉายของพระองค์ เป็นลูกของพระองค์ เหมือนพระองค์เลย แล้วก็บอกว่าให้เชื่อฟัง

มารก็ทำหน้าที่มัน ก็คือเอาการโกหกหลอกลวง มาหลอกอาดัมและเอวา ซึ่งตอนนั้นบริสุทธิ์ ไร้เดียงสากับบาปใดๆ ทั้งปวง เพราะเป็นฝ่ายพระเจ้า 100% โดยวิธีการโกหก หลอกลวง เอาความจริงของพระเจ้ามาบิดพลิ้ว ให้มันฟังแล้วดูเหมือนใช่ แต่มันไม่ใช่ ก็ไปบอกเอวาว่า …

“ก็กินผลไม้ต้นนี้สิ”

เอวาบอก “ไม่ได้ พระเจ้าสั่งห้าม ต้องเชื่อฟัง เราเป็นลูกที่เชื่อฟัง”

มารบอกว่า “ไม่จริงหรอก พระเจ้าโกหก”

นี่คือสิ่งที่ท่านต้องจำไว้เลย แล้วมันจะใช้วิธีนี้  วิธีเดียว ไม่มีวิธีอื่น ไม่ต้องกลัวว่ามันมาหักคอ ไม่ต้องกลัวมันมาอยู่ในที่มืดๆ ไม่ต้องกลัวมันมากระโดดหยองๆ ผมก็แปลกใจ ทำไมคนกลัวผีก็ไม่รู้ ทั้งๆ ที่ไม่ต้องใช้พระเยซู มันก็ไปนะ เอาไฟนิออน สปอร์ตไลท์ฉายไป ผีหายหมดเลย แปลกดี ผีต้องไปอยู่ที่มืดๆ ไกลๆ ให้ไปอยู่ในป่าช้า ผีดุมาก เอาสปอร์ตไลท์ทั้งหมดฉายเข้าไปเลย สว่างทั้งกลางวันกลางคืน เหมือนกันหมด ไม่เจอแน่นอน ให้เราไปนอนกลางคืน ตีหนึ่ง เรากล้าไปไหม? กล้าไป เพราะไม่มีแล้ว  มันโดนสปอร์ตไลท์ไล่ไปแล้ว อันนี้เรื่องจริง ไม่ต้องไปอยู่ในที่แอบๆ ที่ลับๆ เดี๋ยวค่อยว่ากันทีหลัง มันไม่ใช่อย่างนั้น

เอวาบอกว่า … “พระเจ้าบอกว่า “วันใดที่เจ้ากิน เจ้าจะต้องตาย”

มันบอก “พระเจ้าพูดไม่จริง ถ้าวันใดเจ้ากิน เจ้าจะเป็นเหมือนพระเจ้า”

ครึ่งหนึ่งถูก พระเจ้าสั่งว่า “อย่ากิน ถ้าวันใดที่เจ้ากิน เจ้าจะตาย”

มันก็บอกว่า “เออ! ใช่ พระเจ้าสั่งอย่ากิน”

มันไม่ได้แย้งว่าไม่ใช่ พระเจ้าไม่ได้สั่ง มันบอกเลยว่า “ใช่ พระเจ้าสั่งไม่ให้กิน”

คนก็ อันนี้มันก็พูดตรงกับถ้อยคำพระเจ้าครึ่งหนึ่ง แต่พระเจ้าสั่งว่า “ไม่ให้กิน ถ้าวันใดที่เจ้ากิน เจ้าจะต้องตาย มันเป็นพิษ” พูดง่ายๆ “กินแล้วเจ้าจะเป็นพิษ”

มันแทนที่จะบอกว่าพระเจ้าไม่ได้สั่ง คนก็จะรู้ว่าอย่ามาโกหก พระเจ้าสั่ง ฉันได้ยินกับหู จดไว้ด้วย แต่มันบอกว่า “พระเจ้าสั่งใช่แล้ว แต่ …” ตอนท้ายบิดไป ไม่ให้กิน เพราะว่า “ถ้าเจ้ากิน เจ้าจะไม่เป็นพิษ แต่จะมีอายุวัฒนะ” อันนี้สมมติให้ฟัง เป็นอายุวัฒนะ เสริมสร้างพลังกาย สุขภาพแข็งแรงด้วยซ้ำ มันหลอก

พ่อบอก “อย่ากินนะ มันเป็นพิษ”

มันบอก “กิน สุขภาพแข็งแรง ยอดเยี่ยมเลย”

มันบอกเอวาว่า “วันใดเจ้าขืนกิน เจ้าจะรู้ทันพระเจ้า จะเป็นเหมือนพระเจ้า”

ทั้งๆ ที่พระเจ้าสร้างอาดัมและเอวามา ตามพระฉายของพระองค์ เหมือนแล้ว เขาเรียกว่าความเล่ห์เหลี่ยม เพราะว่ามันไม่ใช่ทูตสวรรค์ธรรมดา แต่มันเป็นหัวหน้าทูตสวรรค์ที่มีชื่อเสียง มีฝีมือ ที่พระเจ้าสร้างขึ้นมา พอมันกลายเป็นชั่วร้าย มันชั่วร้ายระดับโปรเลย หาที่จับไม่ได้เลย จับผิดยากมากเลย มันหลอกลวงมากเลย

ในที่สุด เราก็รู้อยู่ดีว่าอาดัมและเอวา ทั้งสองตกลงไปในการกระทำอันเดียวกัน ต้นเหตุ คืออยากเป็นเหมือนพระเจ้า จึงทำสิ่งหนึ่งที่เรียกว่ากบฏ ทำสิ่งหนึ่งที่เรียกว่าบาป ทำสิ่งหนึ่งที่เรียกว่า Miss the target ทำสิ่งหนึ่งที่เรียกว่าเป็นศัตรูกับพระเจ้า ทำสิ่งหนึ่ง คืออยู่ตรงกันข้ามกับพระเจ้า เข้าไปเป็นพวกเดียวกันกับมารและสมุนของมัน พวกกบฏ พวกบาป เห็นไหม? แค่นี้เอง ท่านจะมองภาพ เห็นชัดๆ เลยว่าไม่ได้เกี่ยวกับพระเจ้าเลย พอบาปเข้ามาปุ๊บ มันย้ายข้างเข้ามา ความมืด ก็ปกคลุมอยู่เหนือ

อย่างตะกี้เห็น อาดัม เอวาอยู่ในแสงสว่าง พอความมืดเข้ามา แสงสว่างก็หายไป เป็นความมืด ความสาปแช่ง คือสิ่งที่ไม่ดีต่างๆ เข้ามาแทนที่พระพร คือสิ่งดีๆ ที่มาจากพระเจ้า ที่อยู่ในแสงสว่าง อาณาจักรทั้งโลกใบนี้ สลาย มืด โลกใบนี้เหมือนบ้านของอาดัมและเอวา ตกอยู่ในคำสาปแช่ง ระบบของโลกนี้ทั้งหมด ตกอยู่ในคำสาปแช่ง

คำสาปแช่ง ก็คือความตายทางฝ่ายวิญญาณ คำสาปแช่ง ก็คือพ่อบอกอย่าแยงมือลงไปในรูปลั๊กนี้นะ ลูกอย่าแยง และวันหนึ่ง ลูกก็ไม่เชื่อฟัง มีคนบอกมาว่าไม่เป็นไร แยงเข้าไปเถอะ ลูกก็เอานิ้วแยงเข้าไป แล้วมันก็ช๊อต ผมร่วงหมดเลย สมมติ ชัก เป็นพิการไปเลย ให้เห็นว่ายังมีชีวิตอยู่ แต่พิการ ท่านเห็นไหม? ถามว่าเราผู้เป็นพ่อทำให้เขาพิการไหม? ไม่ใช่ กฎทางธรรมชาติมันเป็นอย่างนั้น ที่พระเจ้าต้องการ คือความดีงามให้กับลูกของตัวเอง รัก สร้างสิ่งที่ดีที่สุดให้กับเขา แล้วก็บอกเขาอย่าทำอะไรที่ไม่ดี แล้วถ้าเขาทำ กฎระเบียบมันก็ออกไป เขาย้ายไปเป็นพวกมาร และไม่ใช่แต่โลกใบนี้ที่ปกคลุมด้วยความมืดและด้วยความบาปเท่านั้น แต่รวมถึงอาดัมและเอวาซึ่งเป็นต้นพันธุ์ของมนุษยชาติทั้งหมด เพราะว่าพระเจ้าสร้างอาดัมและเอวาเป็นแม่พิมพ์ที่ดี เพื่อจะให้เขากำเนิด มนุษยชาติให้กับมนุษย์ทั่วโลก เท่าไรไม่รู้ แต่รู้ว่าพระเจ้าสร้าง ให้เต็มโลกเลย

พระเจ้าบอกจงมีเผ่าพันธุ์ขยายเต็มโลก อวยพรให้อาดัมและเอวามีเผ่าพันธุ์ ถ้าเทียบกับปัจจุบัน เหมือนโรงงานที่สร้างต้นแบบรถยนต์ขึ้นมา กว่าจะสร้างนานมากเลย จนสวยงามเรียบร้อยดีแล้ว มองดู โอเค ดี เข้าโรงงาน มี order 1,000 กดปุ่ม 1,000 แล้วจากนี้มันก็ผลิตไปเรื่อยๆ 1,000 ที่ออกมา จะเหมือนต้นฉบับไม่มีผิด พระเจ้าก็สร้างมนุษย์อย่างนั้นแหละ จริงๆ มันห่างกันเยอะวัตถุสิ่งของกับสิ่งที่มีชีวิตเหมือนพระเจ้า มีลมปรานของพระเจ้า พระเจ้าสถิตอยู่กับเขา จึงพามนุษยชาติทั้งหมด ซึ่งปัจจุบันสามารถพูดตามหลักวิทยาศาสตร์ได้ว่ามนุษย์ทั้งหมดอยู่ในดีเอ็นเอของอาดัมกับเอวา

ดีเอ็นเอเข้าใจใช่ไหม? ผมก็ไม่เข้าใจนะ แต่รู้ว่าดีเอ็นเอ มันหมายถึงรหัสต้นพันธุ์ของมนุษย์ว่าคนนี้เป็นลูกใคร? มาจากใคร? แล้วเขาไล่ไปไกลมาก เป็นหมื่นปี พิสูจน์แล้วว่ามันมาจากนั้นจริงๆ เราไม่ต้องไปสนใจวิทยาศาสตร์มากนัก เอาแค่ว่าในพระคัมภีร์ว่าอย่างนั้น วิทยาศาสตร์หาเจอก็ดี เขาเรียกว่าเอามาฟังเป็นชิวๆ ฟังแบบสนุกๆ แต่อย่าไปหวังมันมาก เพราะถ้าขืนเราไปฝากความหวัง หรือไปมองที่วัตถุสิ่งของที่จับต้องมองเห็นได้ มารมันจะบิดพลิ้วอีก เดี๋ยวเราจะเละตุ้มเป๊ะ เรากลับมาที่ถ้อยคำพระเจ้าพูดไว้อย่างนี้ เราก็ว่าอย่างนี้ เพียงแต่เอามาคุยเล่น

สรุปแล้วก็คือมนุษย์ทุกคนอยู่ในตัวอาดัมและเอวา พระคัมภีร์บอกไว้อย่างนั้น เมื่อเอวา อาดัมทำผิด หลักการที่สมควรที่จะเป็น ที่พระเจ้าสร้างมา คือทำบาป เป็นศัตรูกับพระเจ้า กบฏต่อพระเจ้า เพราะฉะนั้น จึงพาเหล่ามวลมนุษยชาติทั้งหมดที่อยู่ในอาดัมตกลงไปในความบาปด้วยเช่นเดียวกัน ทั้งหมดเลย รวมทั้งโลกใบนี้ด้วย ระบบของโลกใบนี้ด้วย ทั้งหมดเลย

พระคัมภีร์จึงบอกว่าพระเจ้ามองลงมาจากสวรรค์ไม่มีใครดีเลย ทุกคนเป็นคนชั่วทั้งสิ้น แล้วพระเจ้าเป็นพ่อควรจะทำอย่างไร? เจ็บปวดรวดร้าวมากๆ เลย ถูกไหม? โกรธลูกไหม? ถ้าเป็นท่าน ท่านจะโกรธลูกไหม? ลูกเรานะ เราสอน อย่าแยง เข้าไป แล้วก็มีพี่เลี้ยงอยู่คนหนึ่งบอกว่าแยงก็ไม่เป็นไรหรอก พูดทุกวัน จนลูกเราเผลอ แทนที่จะจำสิ่งที่เราสอน เชื่อเรา เผลอไปแยง อาจจะลองแยงดู แล้วมันเกิดเป็นอัมพาตขึ้นมา แล้วเราจะไปเตะลูกเราไหม?

“สมน้ำหน้า แทนที่จะเชื่อฉัน ทำอย่างนี้อีกแล้ว ตบให้มันจำ”

ไปที่โรงพยาบาล กำลังนอนให้น้ำเกลือ หายใจไม่ออก ตบมันอีก

“ไอ้ลูกไม่รักดี ทำไมดื้ออย่างนี้ บอกแล้วอย่าทำ ดูสิ เป็นอย่างนี้”

ท่านว่าท่านทำหรือเปล่า? พระเยซูบอกว่าเราที่เป็นคนบาป ยังรู้จักให้ของดีๆ กับลูกเรา แล้วนับประสาอะไรกับพระเจ้าผู้สร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก พระองค์จะให้สิ่งที่ดีสำหรับเราเสมอ มีเหรอ ลูกขอปลา พ่อจะเอางูให้ พอเขาขอขนมปัง เอาก้อนหินให้ มีพ่อคนไหนเป็นอย่างนี้บ้าง ถ้าไม่เคยเห็นท่านคิดไม่ออก รับรองพระเจ้าก็จะไม่เป็นอย่างนั้นเด็ดขาด พระองค์เอาความชั่วร้ายมาสู่มนุษย์ได้อย่างไร?  เป็นไปไม่ได้ พระเยซูมาเพื่อบอกความจริง กระชากเอามนุษย์ออกมา เราถูกมารหลอก เป็นอัมพาตไม่พอ แถมบอกว่า …

“พ่อทำฉัน”

ทารุณไหม? พ่อเศร้าใจมากเลย เศร้าใจหนึ่ง คือลูกฉันไม่เหมือนเดิม ลูกฉันเป็นอัมพาต สองลูกฉันยังกล่าวหาว่าฉันเป็นคนทำอีก  ทั้งๆ ที่ฉันเป็นคนช่วยเขา ฉันดูแลเขาอย่างดี เจ็บมากเลย ท่านลองคิดดูสิ นี่คือหัวใจของพระเจ้า  เราจะเรียนรู้ไปเรื่อยๆ เพื่อพื้นฐานที่ถูกต้อง พอพื้นฐานถูกต้อง ท่านจะเข้าใจ เห็นชัดเจนว่าใครอยู่ข้างใคร? ใครเป็นขาว ใครเป็นดำ อย่ามามั่วเด็ดขาด พอเห็นสิ่งไม่ดีเกิดขึ้น บนโลกใบนี้ พระเจ้าอนุญาตให้ทำ อันนี้พระเจ้าควบคุม พายุฝนอย่างนี้ พระเจ้าปล่อยให้คนจมน้ำตายได้อย่างไร? ทำไมพระเจ้าควบคุมทุกสิ่งได้ พระเจ้าไม่ควบคุมตรงนี้ด้วย อะไรอย่างนี้ไปเรื่อยๆ ซึ่งทำให้พระเจ้าเสียชื่อ แต่พระเจ้าไม่มีวันเสียชื่อ พระองค์เป็นความจริง อย่างไรก็เป็นจริง แต่ทำให้มนุษย์ทั้งหลาย ไม่มีโอกาสได้รับความรอด ไม่มีโอกาสได้รับพระพร สมอย่างที่เขาควรจะได้รับ แค่นั้นเอง ผมไม่ห่วงพระเจ้าหรอก ผมห่วงมนุษย์ที่เป็นผู้ที่พระเจ้าสร้างขึ้นมา แล้วยังถูกหลอกเท่านั้นเอง ยอมเสียเวลาตรงนี้ มารมา เพื่อขโมย ฆ่าและทำลาย ขโมยความจริง มันทำอย่างอื่นไม่ได้หรอก จำไว้เลย มันไม่มีฤทธิ์อำนาจ ทำอะไรได้สักนิดหนึ่ง มันถูกถอดออกไปแล้ว ต้องจำใส่ใจ จำใส่สมองเรา ถ้ามันไม่เอาความจริงออกไปจากเรา มันจะทำอะไรเราไม่ได้เลย มันต้องขโมยความจริงออกไปก่อน  แล้วจากนั้น มันก็มาฆ่าและทำลายเรา ด้วยฤทธิ์อำนาจและความสามารถของตัวเราเองนั่นแหละ พระคัมภีร์บอกว่าตอนที่ท่านตกลงไปในความบาป  ทำสิ่งที่ชั่วร้าย หรือเข้าไปอยู่ในความทุกข์ยากลำบาก อย่าพูดนะว่าพระเจ้าทดลองท่าน พระเจ้าไม่เคยทดลองใคร พระเจ้ามีแต่ความรัก ความเมตตา ความช่วยเหลือ แต่ที่ท่านตกลงไปในความบาป ทุกข์ยากลำบาก ถูกทดลอง เพราะกิเลสตัณหาของท่าน รับเอาแรงกระตุ้น ความโกหกหลอกลวงของมาร ที่อยู่บนโลกใบนี้ ส่งให้ท่าน แล้วท่านรับด้วย กิเลสตัณหานี้ ท่านก็ตกลงไปในการล่อลวงของมัน ความทุกข์ยากลำบาก ก็เข้ามา

นี่คือการปูพื้นฐานสำหรับวันนี้ ถามว่ามารทำอย่างนี้เพื่ออะไร? เพราะว่าธรรมชาติของมาร คือความชั่วร้าย  เป็นศัตรูกับพระเจ้า โดยตรง เพราะฉะนั้น ทำอะไรก็ตาม ที่ตรงกันข้ามกับพระเจ้า ในเมื่อพระเจ้ารักลูกของพระองค์ทั้งหลาย มันก็มีหน้าที่พามนุษย์ทั้งหลายมาเป็นพวกของมัน เยาะเย้ยพระเจ้า

“ไหน ลูกของพระองค์เป็นอย่างนี้ ไหน ลูกของพระองค์ ไม่เห็นสักคนหนึ่งเลย  มันก็หัวเราะเยาะ ไหนโลกสร้างมาอย่างสวยงาม ทำไมมันวิปริตอย่างนี้ล่ะ อากาศก็เป็นพิษ อาหารที่ควรจะเกิดขึ้นมาดีๆ อย่างง่ายดาย แทบจะไม่ต้องปลูก มันก็เกิดขึ้นเอง ปลูกมา 3 ปี ไม่ขึ้น ที่กินไม่ได้ ที่เป็นพิษ มันก็ขึ้นดี ต้นอะไรต่างๆ บางต้นที่กินไม่ได้ เป็นพิษ ขึ้นเฉยๆ ไม่มีอะไรเลย จะไปปลูกผักสักต้นหนึ่ง ปลูกต้นไม้ที่กินได้ต้นหนึ่ง ลำบากลำบน แมลงมากัดมาแทะ”

ใช่หรือไม่ใช่ สิ่งเหล่านี้เรามองไม่เห็น ผืนดินลำบากลำบน แม้กระทั่งมนุษย์ยังถูกสาปแช่ง ต้องทำมาหากินบนโลกใบนี้ อาบเหงื่อต่างน้ำ ก็คืออยากอยู่ห้องแอร์ เป็นไปตามธรรมชาติที่พระเจ้าสร้างขึ้นมา เย็นๆ สบายๆ แต่เนื่องจากถูกสาปแช่งไปแล้ว เพราะฉะนั้น อยู่ห้องแอร์ก็ป่วย อยู่ในห้องแอร์ เสร็จแล้วก็ออกไปข้างนอก ให้เหงื่อออก แล้วจะรู้สึกดี ก็กฎมันเป็นอย่างนี้ หนีไม่พ้น โลกมันวิปริตไปหมดแล้ว แต่พระเจ้าสัญญาแล้ว ความหวังใจในพระเยซูคริสต์ คือพระเจ้าสัญญาแล้ว โลกใบนี้ พระองค์ชนะแล้ว แต่รอการสร้างใหม่เท่านั้นเอง  วันหนึ่งข้างหน้า เมื่อไรเราไม่รู้ แต่ในพระเยซูคริสต์ วิญญาณเราข้างในถูกสร้างใหม่แล้ว เอเมน  ขอพระเจ้าอวยพรครับ

 

**********************

 

 

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 15 กันยายน 2019 เรื่อง “การต่อสู้ของโลกวิญญาณ ทางความคิด” ตอน 1 โดย นคร เวชสุภาพร

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  15  กันยายน  2019

 เรื่อง “การต่อสู้ของโลกวิญญาณ ทางความคิด” ตอน 1

โดย นคร  เวชสุภาพร

            วันนี้จะเริ่มหัวข้อเรื่อง “การต่อสู้ของโลกวิญญาณ ทางความคิด” ยังจำได้ไหมครับ ที่ผมเคยตั้งคำถามครั้งที่แล้วว่าชีวิตคนเรา ที่มีความทุกข์ เพราะอะไร? ต้นเหตุที่แท้จริงของความทุกข์ทั้งหลาย ทั้งปวงของมนุษยชาติ ไม่ได้อยู่ที่ปัญหานั้น ไม่ได้อยู่ที่ความเจ็บป่วย ไม่ได้อยู่ที่ความยากจน แต่อยู่ที่ความคิด ความท้อใจ ความกังวล ความกลัว เหล่านี้มาจากความคิดทั้งนั้น ไม่มีเงิน ก็ทุกข์ เพราะว่าคิด กลัวจะไม่มีกิน  มีเงินเยอะ ก็ทุกข์ เพราะกลัวเงินหมด แล้วไม่พอใช้  เจ็บป่วยก็ทุกข์แน่นอน เพราะกลัวว่าตาย หรือไม่ก็เจ็บทนไม่ไหว นี่คิดทั้งนั้นนะ  แข็งแรงก็ทุกข์ เพราะกลัวจะไม่แข็งแรงในอนาคต คือจะป่วย แม้แต่เด็ก ก็ยังทุกข์ เพราะอยากจะเป็นผู้ใหญ่  ผู้ใหญ่ก็ทุกข์ เพราะอยากจะเป็นเด็ก ดูหน้าทุกวัน ไปซื้ออาหารเสริม เพื่อให้ดูเป็นเด็ก เด็กก็กลุ้มใจ  เมื่อไรจะโตสักที อยากเป็นผู้ใหญ่สักที คิดทั้งนั้น คิดให้มันทุกข์

สรุป ก็คือความคิดแบบโลกนี้ ทำให้เราทุกข์ ซึ่งพระคัมภีร์บอกว่าเป็นผลของการที่เราไปจดจ่ออยู่กับสิ่งที่เป็นของโลก  คือเป็นวัตถุสิ่งของที่จับต้องมองเห็นได้บนโลกใบนี้ เราเรียกกันว่าโลกวัตถุ เราไปจดจ่อ จับจ้อง เอาจริงเอาจังกับมันเยอะมากในชีวิต  คือสิ่งที่ตามองเห็น จับต้องได้ ซึ่งจะทำให้เราเป็นทุกข์แน่นอน เพราะมันเปลี่ยนแปลงไปเรื่อย จะมากหรือน้อยเท่านั้นเอง แต่ถ้าใครไปจับ ยิ่งจับมันเยอะเท่าไร ก็ยิ่งทุกข์มากเท่านั้น     ถ้อยคำพระเจ้าจึงบอกให้เราจดจ่อ เอาจริงเอาจัง มองไปที่เบื้องบน มองไปที่มิติทางวิญญาณ ซึ่งมันเหนือกว่า มันสูงกว่า

“เบื้องบน” หมายถึงมองทะลุเข้าไปในมิติที่เป็นวิญญาณ หรือเราเรียกกันว่าโลกวิญญาณ หรือเรียกว่าอาณาจักรวิญญาณ หรือภาษาอังกฤษเรียกว่า Spirit world เป็นมิติอะไรบางอย่าง ซึ่งมีอยู่จริงๆ ซึ่งเป็นสถานที่ที่อยู่แท้จริงของเรา ที่เราเรียกกันว่าสวรรค์นั่นเอง

สวรรค์อยู่ในอาณาจักรทางวิญญาณ เพราะฉะนั้น มองอาณาจักรโลกวัตถุนี้ มองไม่เห็นสวรรค์หรอก การไปจดจ่ออยู่กับสิ่งเบื้องบนตามพระคัมภีร์บอก คือไปจดจ่ออยู่ที่โลกวิญญาณ ไม่ใช่โลกวัตถุบนโลกใบนี้  จะทำให้เราเห็นชัด ในความเป็นจริงว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นในโลกวิญญาณนั้น มันเป็นอย่างไร? เพราะพระเจ้าเป็นผู้สร้างสรรพสิ่งทั้งหลายเหล่านี้ เป็นผู้บอกเราว่ามันเป็นอย่างไรบ้าง? และก็อธิบายให้ฟังเลย เรียบร้อยเลยว่าถ้าเป็นโลกวัตถุนะ มันไม่เที่ยง มันหลอกเรา แต่ถ้าเป็นอาณาจักรวิญญาณ มันเรื่องจริง เป็นอย่างนี้ๆ ให้เราเชื่อฟัง พระเจ้าสอนเรา  เพื่อเราจะได้ไปในทางที่ดีๆ พูดง่ายๆ

เพราะฉะนั้น การตั้งความคิด จดจ่อไปที่เบื้องบน ก็คือจดจ่อไปที่ความจริงในโลกวิญญาณ หรืออาณาจักรวิญญาณ ที่พระเจ้ากำลังบอก สอนเรานั่นเอง เพราะว่าความจริงในโลกวิญญาณ เราไม่รู้ว่ามันเป็นอย่างไร? เพราะมองไม่เห็น เราก็จะรู้เฉพาะสิ่งที่พระเจ้าอธิบายให้เราฟัง บอกเรา สอนเราว่าโลกวิญญาณมันคืออะไร? มันเป็นอย่างไร? ถ้าไม่บอกเรา ไม่สอนเรา เราไม่รู้เรื่องหรอก ถ้าไม่รู้ คือเราไม่เชื่อด้วยว่ามีโลกวิญญาณ หรืออาจจะเชื่อบ้าง ไม่เชื่อบ้าง มั่วไปหมดเลย ก็คือตาวิญญาณเราตาบอด มองไม่เห็นทางโลกวิญญาณ เพราะฉะนั้น ก็มาสอนเราให้เรารับรู้ และที่พระเจ้ามาบอกเราอยู่ที่ถ้อยคำพระเจ้า ในพระคัมภีร์ไบเบิ้ล และผู้ที่จะสอนเราจริงๆ ไม่ใช่ศิษยาภิบาล แต่เป็นพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่สอนเรา ตัวจริงๆ ค่อยๆ สอนเรา จากข้างในออกมาข้างนอก ศิษยาภิบาลมีหน้าที่สอน จากข้างนอกไปข้างใน คือพูดให้ท่านฟัง เป็นเหมือนเครื่องมืออันหนึ่ง แต่ผู้ที่จะยืนยันกับท่านว่ามันเป็นจริงอย่างไรในโลกวิญญาณ ท่านจะรู้ ท่านจะร้องอ๋อเมื่อไร นั่นเป็นหน้าที่ของพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า ซึ่งสถิตในท่าน และกระทำการงานอยู่บนโลกใบนี้ 2,000 ปีมาแล้ว

เพราะฉะนั้น  การจดจ่อไปยังโลกวิญญาณ ที่อยู่เบื้องบน อาณาจักรทางวิญญาณ ที่เรียกว่าเบื้องบนนั้น ก็คือจดจ่อในถ้อยคำพระเจ้า ผมเคยบอกอยู่เสมอๆ สิ่งที่เราเรียนรู้กัน สิ่งที่เป็นอาวุธประจำตัวเรา คือพระคัมภีร์เล่มนี้ ทั้งหมดเป็นเรื่องเกี่ยวกับโลกวิญญาณทั้งสิ้น ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับโลกวัตถุ … วัตถุต้องไปหาอย่างอื่นเรียนเอา เอ็นไซโคบีเดีย ไปดู Google เยอะแยะไปหมดเลย วิชาความรู้ของโลกใบนี้ แต่หยิบพระคัมภีร์ขึ้นมา จงนึกถึงเลยว่าเรากำลังเรียนรู้สิ่งที่พระเจ้ากำลังสอนเรา เกี่ยวกับโลกวิญญาณ เพราะฉะนั้น การจดจ่อที่ถ้อยคำพระเจ้า ที่พระองค์เปิดเผย สอนเราเกี่ยวกับโลกวิญญาณ มันจึงเป็นสิ่งสำคัญว่าในโลกวิญญาณมีอะไรเกิดขึ้นบ้าง มีลักษณะเป็นอย่างไร? มันสีขาว สีดำ สีเหลือง สีแดง เดินซ้าย เดินขวา หน้าหลังเป็นอย่างไร? เดินอย่างนี้ไม่ดี เดินอย่างนั้น ดีอย่างไร? พระเจ้าเป็นผู้สอนเราทางโลกวิญญาณทั้งสิ้น อยู่ในพระคัมภีร์ เราจึงต้องจดจ่อ ให้ความสนใจกับถ้อยคำของพระเจ้า

พระคัมภีร์ไบเบิ้ล ก็คือลายแทงในโลกฝ่ายวิญญาณ ที่พระองค์ทรงสอนเราว่าระบบของโลกทางฝ่ายวิญญาณเป็นอย่างไร? มันทำงานอย่างไร? พระเจ้าสอน ผ่านทางพระวิญญาณบริสุทธิ์  และผ่านทางการอ่านพระคัมภีร์เอง ผ่านทางการฟังศิษยาภิบาลพูด ฟังครูอื่นๆ สอน ฟังคำพยานของพี่น้องที่รู้เรื่องนี้ มีชีวิตอยู่ในเรื่องนี้ แล้วเขาเล่าให้ฟัง แล้วพระวิญญาณบริสุทธิ์ก็จะคอนเฟิร์ม ก็คือเป็นพยานยืนยันว่าถูกต้อง ค่อยๆ สอนเราในตัวของเราเองนั่นแหละ

นี่คือวิธีการเรียนรู้ในการจดจ่อในถ้อยคำของพระเจ้า ก็คือโลกฝ่ายวิญญาณ เพราะบ้านของเราอยู่ที่นั่น ถ้าไม่ใช่บ้านของเรา  เราก็ไม่ต้องไปยุ่งกับมัน บ้านเราไม่ได้อยู่บนโลกใบนี้ แม้ว่าเราจะมีบ้านอยู่บนโลกใบนี้ แต่มันเป็นบ้านสมมติ มันอยู่แค่เพียงชั่วคราว อีกไม่นาน ก็ไปแล้ว แต่บ้านจริงๆ ของเราอยู่ที่สวรรค์ … สวรรค์ อยู่ที่อาณาจักรโลกฝ่ายวิญญาณ

แล้วทำไมเราต้องจดจ่ออยู่ตลอดเวลาด้วย ก็เพราะว่ามันเป็นโลกวิญญาณ ซึ่งตาฝ่ายเนื้อหนังเรามองไม่เห็น หูก็ไม่ได้ยิน จับต้องก็ไม่ได้ ซึ่งว่ากันในอดีต ตอนที่พระเจ้าสร้างมนุษย์ใหม่ๆ ตอนที่วิญญาณเรายังไม่ตกลงไปในความบาป ยังไม่ถูกตัดขาดออกจากพระเจ้า ยังไม่เป็นวิญญาณที่ตาย เรายังมีความสามารถมองไปในมิติทางวิญญาณสบายๆ มองเห็นพระเจ้าหน้าต่อหน้า แต่เนื่องจากมนุษย์คู่แรก ตกลงไปในความบาป ถูกตัดขาดจากพระเจ้า เผ่าพันธุ์มนุษย์ทั้งสิ้น มนุษยชาติทั้งหมดจึงถูกตัดขาดออกจากพระเจ้า ไม่สามารถเห็นพระเจ้าได้ ตาบอด ความสามารถลดลงมากเลย ขนาดเราเป็นมนุษย์ เรายังรู้เลยนะ พอเราอายุแก่ขึ้นมากๆ ความสามารถในสายตาเรายังด้อยลง บางทีอยู่ไกลๆ เรามองไม่เห็นแล้ว เห็นไม่ค่อยชัด อ่านไม่ได้เลย ยังด้อยลง แต่เรื่องความบาปของมนุษย์นั้น ร้ายแรงมาก จากตาที่มองเห็น ทางโลกวิญญาณ มองไม่เห็นแล้ว ไม่มีพระเจ้าแล้ว สำหรับเขา เพราะว่าเขามองไม่เห็น ที่บอกว่าไม่มี อย่างนี้เป็นต้น เพราะฉะนั้น การให้ความสำคัญในเรื่องของการมารู้จักพระเจ้าผ่านทางถ้อยคำพระเจ้า ที่อธิบายและสอนเราเรื่องโลกวิญญาณนี้ มันเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด  ไม่ว่าจะเป็น คริสเตียนหรือไม่ก็ตาม ที่จะเรียนรู้เลย เป็นไปไม่ได้เลย เพราะว่าตาวิญญาณจะไม่ถูกเปิดออก ตาฝ่ายวิญญาณจะถูกเปิดออก เมื่อรับเชื่อ ก็คือใช้สิทธิของเขา ที่พระเยซูทำให้เขาที่ไม้กางเขน  ปลดปล่อยเขาให้เป็นอิสระ จากความบาป เมื่อเขาเป็นอิสระจากความบาปแล้ว เมื่อบังเกิดใหม่ในพระเยซูคริสต์ การบังเกิดใหม่นั้น วิญญาณเขาอุแว้ขึ้นมา เขาก็เริ่มต้นมอง และสัมผัสในโลกฝ่ายวิญญาณได้บ้าง จะ เหมือนสมัยก่อนโน้นที่ไม่ได้ทำบาปเลย ยังไม่ได้  เพราะยังอยู่ในเนื้อหนังร่างกายนี้อยู่ แต่วิญญาณข้างในเริ่มต้นรับรู้แล้ว มนุษย์ทำบาป มนุษย์ก็ต้องตกลงไปในความเสียหาย ตาบอดทางฝ่ายวิญญาณ มองไม่เห็น เลยจับต้องมองไม่ได้ ในสิ่งที่เป็นโลกฝ่ายวิญญาณ    เพราะฉะนั้น พอไม่มีพระเจ้า ไม่รู้เรื่องราวของพระเจ้า พระเจ้าจึงต้องเตรียมให้กับมนุษย์ ที่ตาบอดฝ่ายวิญญาณ

วิธีการเตรียม ก็คือเตรียมลายแทง แผนที่ทางโลกวิญญาณไว้ให้ คือในพระคัมภีร์นี้นั่นเอง จึงต้องมีแผนที่ทางฝ่ายวิญญาณให้ เราที่เป็นมนุษย์ที่อยู่ในร่างกายนี้อยู่ จึงจำเป็นต้องดำเนินชีวิตตามที่พระเจ้าบอกไว้ในโลกฝ่ายวิญญาณ เพราะเรามองไม่เห็น เราจึงต้องพึ่งในแผนที่ คือถ้อยคำของพระเจ้า ที่เราสามารถเชื่อถือได้ เพราะว่าเป็นถ้อยคำของพระเจ้า ที่พระองค์บอกว่าเป็นความจริง และเรารู้ได้อย่างไร? เพราะพระวิญญาณบริสุทธิ์อยู่ข้างในเรา และพระเจ้าผู้นี้เป็นผู้ให้กำเนิดเรา เป็นพ่อเรา รักเรามาก สัตย์ซื่อ เที่ยงตรง เที่ยงธรรม เราจึงไว้ใจได้ว่าแผนที่นี้ดีสำหรับเราแน่นอน เราจึงเดินตามพ่อเราไปตามถ้อยคำ เราที่อยู่บนโลกใบนี้ หมายถึงโลกวัตถุ ตอนนี้อยู่ เราทุกคนต้องมีพ่อแม่อยู่แล้ว ในโลกวิญญาณ พระเจ้าก็บอกแล้วว่าเราเป็นลูกพระเจ้า ถ้อยคำพระเจ้าบอกเรา

ให้เราเอาความจริงในโลกวิญญาณเหล่านี้ มาจดจ่อ วิธีการจดจ่อ ก็คือใส่ถ้อยคำพระเจ้าเหล่านี้ เข้าไปอยู่ในความคิด ให้มันจดจำได้ แล้วก็ใคร่ครวญ ให้หลับตา แล้วนึกถึงภาพ ไม่เหมือนสิงโตกินเนื้อ แต่มันเหมือนวัวกินหญ้า ค่อยๆ เคี้ยวเอื้องไปเรื่อยๆ เอาถ้อยคำพระเจ้าเหล่านี้มาใคร่ครวญ ให้มันชัดเข้าไปเรื่อยๆ เอาสารอาหารเข้าไปเรื่อยๆ ให้มันย่อยเข้าไปเรื่อยๆ ย่อยถ้อยคำ ย่อยความจริงเหล่านี้ไปเรื่อยๆ เข้าไปเลี้ยงดูตัวตนฝ่ายวิญญาณของเราข้างในนั้น จนกระทั่งสิ่งที่มองไม่เห็น มันเริ่มต้องมองเห็น ตาทางฝ่ายวิญญาณ เริ่มโตขึ้น เพราะวิญญาณข้างในโตขึ้น เริ่มมองเห็นรางๆ แล้ว สิ่งที่ตะกี้บอก จับต้องมองไม่ได้ เริ่มจับต้องมองเห็นได้ขึ้นมาทันที ค่อยๆ ทีละนิดทีละหน่อย ก่อนมาเชื่อพระเจ้า ไม่เคยกล้า หรือบอกว่า

“ฉันบริสุทธิ์สะอาด สามารถอยู่กับพระเจ้าในสวรรค์ได้ ฉันเป็นลูกพระเจ้า”

แต่ก่อนนี้ ไม่กล้าพูดเลย  แต่เดี๋ยวนี้บางคนอธิษฐาน น่าอิจฉามากเลย บางคนที่เขาไม่รู้จักพระเจ้า แล้วมาแอบฟังเรา อยู่ในห้องส่วนตัว

“พระบิดาเจ้าข้า ลูกรักพระองค์เหลือเกิน”

เป็นจริงเป็นจังมากเลย ไม่ใช่แค่นั้น ไม่ใช่ห้องส่วนตัวด้วย บางคนส่วนรวมเลย อยู่โต๊ะอาหารใหญ่ ร้านอาหารใหญ่โตมาก

“ข้าแต่พระเจ้า ลูกขอบคุณพระองค์ สำหรับอาหารมื้อนี้”

ใครจ่าย เราก็จ่าย แล้วทำไมเขาขอบคุณพระเจ้า เพราะว่าเขาเห็นพระเจ้าแล้วไง ถึงแม้จะไม่เห็นชัดๆ หน้าต่อหน้า แต่เขาเห็นรางๆ  เห็นไหม? ตรงนั้นเขาเรียกความเชื่อ … เชื่อว่าวิญญาณที่มองไม่เห็นนั้น เป็นจริง ความเชื่อไม่ได้หมายถึงเชื่อว่าอธิษฐานแล้ว คนตายจะเป็นขึ้นมาใหม่ ไม่ใช่อย่างนั้น ความเชื่อ คือการรู้ว่าโลกวิญญาณที่มองไม่เห็น มันมีอยู่จริงๆ

ในหนังสือฮีบรู บทที่ 11 อธิบายไว้ว่าพระเจ้าสร้างสิ่งต่างๆ ที่มองไม่เห็น แล้วเราก็มองไม่เห็นเหมือนกัน แต่ด้วยความเชื่อ สิ่งที่มองไม่เห็นนั้น จะเกิดร่องรอยหลักฐาน จับต้องมองเห็นได้ทันที ใส่ความเชื่อปุ๊บ มองเห็นทันที และความเชื่อนั้น เกิดขึ้นได้จากตาดู หูฟัง ปากพูด ใคร่ครวญถ้อยคำพระเจ้า มันกลับไป กลับมาอยู่นั่นแหละ นี่คือวิธีการ หลักการที่พระเจ้าจะนำพาเราให้อยู่ในเส้นทางของพระองค์ ที่ไปดี พูดง่ายๆ ก็คือเอาข้อมูลความจริงที่พระเจ้าบอกในเรื่องเกี่ยวกับโลกฝ่ายวิญญาณใส่เข้าไปในสมองนี้ ไปล้างสมอง เอาของไม่ดีออกไป เอาของดีเข้ามา ล้างสมอง โดยการใส่ความจริงเข้ามา ซ้ำๆ กัน จนกระทั่งสิ่งที่เรามองไม่เห็น จับต้องไม่ได้ มันกลายเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจริงๆ มีอยู่จริงๆ เพราะความเชื่อมันเกิดขึ้นในความคิดของเรานั่นเอง นี่คือวิธีการและความหมายที่บอกว่าให้เราจดจ่อ ตั้งความคิด ใคร่ครวญไปที่สิ่งที่อยู่เบื้องบน คือโลกฝ่ายวิญญาณ ก็คือสวรรค์ ก็คือถ้อยคำพระเจ้าที่อธิบายให้เราฟัง ซึ่งสิ่งเหล่านี้สำคัญมาก

แต่ในขณะที่เรายังดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ อยู่ในเนื้อหนังร่างกายนี้ ร่างกายที่เป็นวัตถุ ที่เราเห็นอยู่นี้ มันก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย ที่เราจะบังคับความคิด ให้จดจ่ออยู่ที่เบื้องบน ในโลกฝ่ายวิญญาณ มันไม่ใช่ง่ายๆ เลย  เพราะมันแย้งกัน มันเห็นอยู่ สิ่งที่มองไม่เห็น มีอยู่จริง แต่สิ่งที่มองเห็นมันชัดมากกว่า อะไรอย่างนี้ มันก็ไขว้เขวได้ง่ายๆ มันเกิดความแย้งกัน เห็นเป็นอย่างนี้ แต่ไม่เห็นมันเป็นจริง  มันทารุณนะ มันยากนะ แต่มันไม่ยากตรงที่พระเจ้าเริ่มสอนเราบอกว่าให้เราเริ่มทำทีละนิด เพราะในขณะที่เราพยายามที่จะเชื่อฟังถ้อยคำพระเจ้า ว่าแผนที่ทางโลกฝ่ายวิญญาณพระเจ้าเป็นอย่างไร? พยายามที่จะทำตามถ้อยคำพระเจ้า พยายามที่จะรับรู้ความจริงที่พระเจ้าบอก ในเรื่องโลกฝ่ายวิญญาณว่ามันเป็นอย่างไร? ในขณะเดียวกัน พวกมารที่ทำงานอยู่บนโลกใบนี้ มันก็พยายามทำหน้าที่ของมันอยู่เหมือนกัน คือทำทุกสิ่งที่ตรงกันข้ามกับความจริง เอาความจริงออกไปจากเราให้หมดเลย ทุกสิ่งที่ตรงกันข้ามกับโลกวิญญาณ ที่พระเจ้าสอนเรา มารก็จะมาเอาความจริงออกไป แล้วเอาความโกหกมาใส่ ถ้ามันสามารถเอาความจริงออกไปหมด 100% ได้ มันเอาไปเลย ถ้ามันเอาออกไปไม่ได้  สมมติว่ามันเอาออกไปได้ 10% มันก็จะเอาออกไป 10% ถ้ามันเอาออกไปได้ 50 มันก็จะเอาออก 50 แล้วก็ผสมอันอื่นเข้าไป เพื่อให้ความจริงนั้น จริงไม่ค่อย 100% เหมือนอย่างบางคนมาเชื่อพระเจ้า เชื่อว่าความรอด โดยพระเยซูคริสต์

“ฉันรอดแล้ว”

แต่ในพระคัมภีร์ รอดในพระเยซูคริสต์ มันหมายถึงรอดทางฝ่ายวิญญาณ วิญญาณเราได้บังเกิดใหม่ ได้เป็นลูกของพระเจ้า การรักษาของพระองค์ รักษาความบาปของเรา โรคภัยร้ายแรง ที่แย่ที่สุดของมนุษย์ทุกคน ก็คือความบาป พระเยซูรักษาโรคภัยไข้เจ็บของเราหายแล้ว คือบาปนั้นหายแล้ว บาปนั้นหลุดไปแล้ว เราเป็นผู้ชอบธรรมของพระเจ้า พ้นจากบาปแล้ว เป็นลูกของพระเจ้า ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นในโลกฝ่ายวิญญาณเท่านั้น มันก็หลอก แล้วก็ยัดเหยียดใส่ไป รวมถึงโรคภัยไข้เจ็บของเธอต้องหายด้วยนะ คนนั้น ก็งงสิ

“อ้าว! วิญญาณฉันไปอยู่กับพระเจ้า ฉันเป็นมะเร็งอยู่ ฉันก็ต้องหายด้วยสิ”

ก็พยายามจะเอามะเร็งให้หาย มันหายได้อย่างไร? ก็ไม่ได้เป็นพันธสัญญาของพระเจ้า  มันไม่เกี่ยวกับโลกวิญญาณ พอไม่หาย เริ่มไม่แน่ใจว่า …

“ตกลงที่ฉันรอดแล้ว ทางวิญญาณที่บอกว่าฉันเป็นลูกพระเจ้า ที่เกิดจริงๆ แล้ว ตามพระคัมภีร์ มันเป็นจริงไหม”

ท่านพอมองเห็นภาพไหม? มันก็เลยไม่มั่นใจสักอย่าง ที่ควรจะได้ ก็ไม่ได้ ที่ไม่ควรจะได้ ก็อยากจะได้ มันก็เลยเละ นี่แหละ คือการขโมยไป 50% นี่สมมติ แต่ถ้ามันขโมยไปได้หมดเลย ก็คือใครมาพูดถึงเรื่องพระเยซูไถ่บาป ฉันไม่เชื่ออยู่แล้ว แล้วจะเป็นลูกพระเจ้า ตายไปแล้วจะได้ไปอยู่ในสวรรค์ ไม่ต้องตกนรก ฉันไม่เชื่ออยู่แล้ว อย่างนี้เขาเรียกว่ามันขโมยไปหมดเลย แต่ถ้าขโมยไปครึ่งเดียว คือตอนแรกๆ ที่บอก เชื่อ แต่ทำไมทำอย่างนี้ หวังอะไรแปลกๆ เพราะความจริงได้ถูกขโมยไป

เพราะฉะนั้น นี่คือการต่อสู้ที่เรียกว่าสงครามทางวิญญาณ หรือสงครามฝ่ายวิญญาณ หรือสงครามทางความคิดนั่นเอง เห็นไหม? แล้วก็ถูกหลอกอีก พระเจ้าก็บอกว่าสงครามมันเกิดขึ้นทางความคิด ที่โลกวิญญาณ พอได้ยินอย่างนี้ มารก็มาหลอกเราอีก พระเจ้าสอนอย่างไร? สงครามฝ่ายวิญญาณ ต้องไล่ผี ไปที่ไหนต้องไล่ผี ต้องผูกมัด ต้องอะไรต่างๆ เหล่านั้น ไม่ใช่เลย วิญญาณเราเกิดใหม่ พระเจ้าบอกเราเกิดจากพระเจ้า พอเราเกิดจากพระเจ้า เราอยู่ในพระหัตถ์พระเจ้า ไม่มีใครมาทำร้ายเราได้แล้ว นี่เราไปที่ไหน ก็ต้องไปไล่ผี ไปกลัวผี บางคนไล่ 30 ครั้ง 40 ครั้ง ผีที่ไหนจะมาอยู่ ในเมื่อพระเจ้าสถิตอยู่กับเขาแล้ว เชื่อแล้ว บางคนไล่วันนี้ อาทิตย์หน้าอาจารย์คนนี้มา ต้องไปไล่ที่โน่น อาจารย์บอกไล่ไป ยังเหลืออีก 30 ตัว อาทิตย์หน้ามาไล่ต่อ นี่เรื่องจริงนะ ไม่ใช่พูดเล่นๆ สรุปแล้ว ก็ทำเหมือนกับคนที่ไม่เชื่อพระเจ้า ไม่ต่างอะไรกันเลย ใช่ไหม? ยกตัวอย่างให้ฟัง วันนี้ไม่ได้มาสอนเรื่องนี้ เพราะฉะนั้น ถ้ามันทำได้หมด มันก็เอาหมด

และนี่คือหัวข้อของการบรรยายในวันนี้ การต่อสู้ทางโลกฝ่ายวิญญาณ ทางความคิด สงครามฝ่ายวิญญาณ คือสงครามทางความคิด พระคัมภีร์บอกว่าสงครามโลกวิญญาณ ที่เรากำลังเผชิญอยู่นี้ กำลังดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ เราไม่ได้สู้รบแบบที่โลกนี้เขาทำกัน อาวุธที่ใช้ในการทำสงคราม ก็ไม่เหมือนกัน 2 โครินธ์ 10:3-5 บอกว่า …

2 โครินธ์ 10:3-5 “3 เพราะแม้เราอยู่ในโลก เราก็ไม่ได้สู้รบตบมืออย่างที่โลกทำ 4 อาวุธที่เราใช้ต่อสู้ไม่ใช่อาวุธของโลก แต่เป็นอาวุธที่เปี่ยมด้วยฤทธิ์อำนาจของพระเจ้า สามารถทำลายล้างที่มั่นต่างๆ ได้ 5 เราทำลายล้างประเด็นโต้แย้ง และคำแอบอ้างทั้งปวง ที่ตั้งตัวขัดขวางความรู้ของพระเจ้า และเราสยบทุกความคิด ให้ยอมจำนนเชื่อฟังพระคริสต์”

 

แม้เราอยู่ในโลก เราก็ไม่ได้สู้รบปรบมืออย่างที่โลกทำ อาวุธที่เราใช้ต่อสู้ ไม่ใช่อาวุธของโลก แต่เป็นอาวุธที่เปี่ยมด้วยฤทธิ์อำนาจของพระเจ้า ก็คือถ้อยคำพระเจ้า สามารถทำลายล้างที่มั่นต่างๆ ได้ ท่านคิดว่ามันหมายถึงอะไร? มันเกี่ยวกับโลกวิญญาณทั้งสิ้น ถูกต้อง ถึงแม้ว่าเรากำลังดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ในร่างกายที่เราเห็นอยู่นี้ เขาเรียกว่าเนื้อหนังที่มองเห็น จับต้องได้  เขาไม่ทำแบบใช้ความคิดแบบมนุษย์ แต่ต้องทำแบบโลกฝ่ายวิญญาณ ซึ่งตรงนี้หมายถึงพื้นเพ ชาวโครินธ์ในขณะนั้น เขาต่อสู้สงครามนี้ แบบมนุษย์ ก็คือคิดว่าบางสิ่งบางอย่างที่เราทำ มันพิเศษกว่าคนอื่นเขา อาจารย์เปาโลเขียนเรื่องนี้ขึ้นมา เพื่อจะเตือนชาวโครินธ์ว่าท่านไม่ใช่มาเชื่อพระเจ้า เพราะเป็นคนยิว แล้วคุณดีกว่าเขา ไม่ใช่ แล้วคนที่มาเชื่อพระเจ้า แล้วไม่ใช่ยิว ก็กลัว ไม่มั่นใจว่าเราเป็นลูกพระเจ้า หรือเป็นลูกเมียน้อย ไม่แน่ใจว่าเราสะอาด หมดจดแล้ว หรือเรายังประพฤติไม่ได้ เหมือนกับคนที่เป็นยิวเลย  เราเป็นคนต่างชาติ เราถือศีลกินเจ ยังสู้ฟาริสี สู้คนยิวไม่ได้เลย คนยิวก็อยู่ในบัญญัติของพระเจ้า มาตั้งนานแล้ว แต่เราทำอะไรไม่ได้เหมือนเขาเลย ไม่ได้ถวายสิบลดเลย เพราะฉะนั้น เราเชื่อพระเยซูแล้ว เป็นผู้ชอบธรรม เป็นลูกของพระเจ้าครึ่งเดียว สู้พวกชาวยิวไม่ได้หรอก ชาวโครินธ์ที่ไม่ใช่ยิว ก็คิดอย่างนี้ ชาวยิวเองก็คิดอย่างนี้

“ฉันเป็นคนยิว ฉันเป็นเผ่าพันธุ์พิเศษ ติดสนิทกับพระเจ้า มีอภิสิทธิ์มากกว่า เป็นคนที่รักษาบัญญัติของพระเจ้ามาตั้งนานแล้ว ปฏิบัติพระเจ้ามาตั้งนานแล้ว อยู่ใกล้พระเจ้าด้วย ทำมากกว่าคนอื่นๆ พระเจ้ารักมากกว่าคนอื่นเขา”

และชอบคิดว่า “พระเจ้าเตรียมความรอดในพระเยซูคริสต์ไว้ให้กับชนชาติอิสราเอลเท่านั้น ไม่เกี่ยวกับคนต่างชาติ”

คนเหล่านี้ เชื่อแล้วนะ เป็นคริสเตียนนะ อาจารย์เปาโลเขียนไป พวกนายยังเป็นอย่างนี้เหรอ อาจารย์เปาโลชี้ให้เห็นอย่างนี้ คือสงคราม ถ้าเปรียบกับผู้เชื่อหรือคริสเตียนในยุคนี้ ก็คงคล้ายๆ กับว่าคนที่คิดว่าตัวเองติดสนิทกับพระเจ้า อธิษฐานเยอะกว่าคนอื่น รับใช้เยอะกว่าคนอื่นๆ ถวายก็เยอะกว่าคนอื่นๆ แล้วก็คิดว่าพระเจ้ารัก มากกว่าคนอื่น ต้องได้พระพรมากกว่าคนอื่น คือยกระดับตัวเองว่าเป็นผู้เชื่อที่มีมาตรฐานสูงกว่าคนอื่น มีไหม? มี เยอะไหม? เยอะ

แล้วด้วยระบบของโลกนี้ ก็ส่งเสริมให้ผู้เชื่อมีความคิดแบบนี้ด้วย ซึ่งอย่างที่บอก เป็นผลของมารนั่นแหละ เป็นการงานของมาร ลองยกตัวอย่าง สังคมคริสเตียน เจอกัน ไม่ว่าจะไปงานไว้อาลัย งานฉลอง งานขึ้นโบสถ์ใหม่ เขาจะถามอะไร? เขาจะคุยอะไร?

“อ๋อ! เป็นคริสเตียนเหรอ? เชื่อมากี่ปีแล้ว?” ถามทำไม?

“รับใช้บ้างหรือเปล่า?”

“ออกไปประกาศบ้างไหม?”

“อธิษฐานเป็นประจำหรือเปล่า?” ถ้าเราบอกว่าอธิษฐานเป็นประจำ “นานเท่าไร?”

“อดอาหารหรือเปล่า?”

“ไปโบสถ์ทุกอาทิตย์ไหม?” ไม่ไป หรือไม่ตอบ

ผมไป แล้วผมรำคาญตรงนี้มาก ตั้งแต่ไหน? แต่ไร? คือคำถามอะไรรู้ไหม?

ตอนนี้โบสถ์มีกี่คนแล้ว?

ถามทำไม?  ผมไม่ได้หมายถึงตอนนี้ ตั้งแต่สมัยโฮลี่เป็นแชมป์เรื่องเพิ่มพูนคริสตจักรนะ ไม่กี่เดือนมีสมาชิก 4-5 ร้อยคนในสมัยนั้นนะ ทุกคนแวะมาดู ผมไม่เคยไปไหน แล้วถามใครเลยว่าคริสตจักรมีกี่คนแล้ว? ตัวผมเองยังไม่รู้เลยว่ามีกี่คน? หมายถึงคริสตจักรเราเอง เรายังไม่รู้ว่ามีกี่คน? ชอบถามกันอย่างนี้ ไม่รู้อะไรอยู่ในใจ คุ้นๆ ไหม? นี่ยกตัวอย่างแค่นี้ แล้วท่านไปคิดเอา ถามอะไรแปลกๆ ซึ่งคำถามพวกนี้ พวกเราเองก็เคยถูกเขาตั้งคำถาม แล้วก็เคยถามเขาไหม? แต่คิดว่าน้อย  เพราะว่าด้วยระบบของโลกนี้ ระบบแบบมนุษย์คิด แทนที่จะใช้อาวุธ ที่เป็นศาตราวุธ ที่เป็นของพระเจ้าในโลกวิญญาณ มาใช้อาวุธ ที่คิดแบบสติปัญญาแบบเนื้อหนัง รักพระเจ้ามากๆ ก็ต้องอดอาหาร ต้องอธิษฐานเยอะๆ ไม่ใช่ว่าสิ่งเหล่านั้นไม่ดี ผมกำลังพูดคนละมุมกันนะ  มักจะใช้ระบบของโลก หรือมาตรฐานของโลก เป็นตัวคิด เป็นตัววัด ซึ่งก็คือวัดการกระทำของเราและของเขา แล้วก็เอามาคำนวณ แบบมนุษย์ว่าใครทำมาก ก็ได้มาก

ซึ่งในทางพระเจ้า มันไม่ใช่อย่างนั้นเลย พระคัมภีร์บอกไว้ชัดเจนว่าในทางพระเจ้า มีเพียงขาวกับดำ ไม่มีเทา ไม่มีสีเนื้อ เชื่อก็คือเชื่อ ไม่เชื่อ ก็ไม่เชื่อ ไม่มีเชื่อเยอะกว่า หรือเชื่อน้อยกว่า ลูกพระเจ้าทุกคน พระเจ้าก็รักเท่ากันหมด ไม่มีรักใครมากกว่า ไม่มีใครมีอภิสิทธิ์เหนือกว่าใคร? รอดจากบาป ก็คือรอด ไม่ใช่รอด 80% ไม่มี เป็นผู้ชอบธรรมในพระเยซูคริสต์แล้ว ด้วยความเชื่อ ก็เป็นผู้ชอบธรรม 100% ชอบธรรมก็คือชอบธรรม ไม่ใช่ชอบธรรมแค่ 90 ไม่มี ถ้าไม่ชอบธรรม ก็คือยังคงเป็นคนบาปอยู่ ก็คือบาป 100% ต่อให้เข้ามาโบสถ์ แล้วบอกเชื่อพระเจ้า ก็ยังเป็นคนบาป 100% เป็นคริสเตียน มาเชื่อพระเจ้าแล้ว ก็เป็นผู้เชื่อพระเจ้า 100% แม้ว่าเพิ่งมาเชื่อพระเจ้า  3-4 วัน เมื่อวานนี้ยังทะเลาะกับเขาอยู่เลย เมื่อวานนี้ยังโลภอยู่เลย เมื่อวานนี้ยังด่าเขาอยู่เลย เขาเชื่อวันนี้แล้ว เขาเป็นผู้ชอบธรรม 100% แล้วเขากลับไปที่บ้าน เขายังกินเหล้าเมายา เหมือนกับเมื่อวานที่เขายังไม่เชื่อ เพื่อนมาชวนไปกินเหล้า ก็ยังไปอยู่ หรือเพื่อนมาที่บ้าน เขาก็ยังกินอยู่ สมมติ แล้วตอนที่เขากินอยู่นั้น ถามว่าเขาเป็นคริสเตียนเชื่อใหม่ 1 วัน เขาเป็นผู้ชอบธรรมกี่เปอร์เซ็นต์? 100% แน่นอน

ทีอย่างนี้ทำไมท่านเห็นชัด แต่พอผ่านไปนานๆ เป็นผู้เชื่อมา 10 ปีแล้ว ไม่เห็นท่านคิดอย่างนี้ ท่านคำนวณใหญ่เลยว่าอันนี้ 10 ปีทำอันนี้ สมควรจะเป็นอย่างนี้ เพราะฉะนั้น รอดแค่ 20% ท่านคำนวณใหญ่เลย เพราะมันยาวใช่ไหม? แต่พอบอกแค่วันเดียว ท่านเริ่มเห็นชัด วันเดียวไม่ต้องคำนวณแล้ว 100 เหมือนกัน ไม่อย่างนั้น พระเจ้าจะมีคำพยานเหรอ? โจรบนไม้กางเขน หันมาหาพระเยซู แล้วเชื่อพระเยซู บอกฝากชีวิตเขาไว้กับพระเยซูด้วย เอาผมไปสวรรค์ด้วย ท่านเป็นพระเมสิยาห์แน่นอน พระเยซูบอกว่าเดี๋ยวเจอกันที่สวรรค์ นั่นโจรจริงๆ นะ ทำชั่วมาจนกระทั่งถูกประหารชีวิต  ไม่ถึง 1 วันเลย แต่เขาได้ไปสวรรค์ แล้วอย่างนี้ ความคิดแบบมนุษย์รับได้ไหม? รับไม่ได้ ความคิดนั้น ไม่มีทางรับได้เลย ถ้าตราบใดยังใช้อาวุธแบบมนุษย์ ไม่มีทางที่จะชนะเลย แพ้มันเด็ดขาด ไม่มีเหตุผลอะไรที่จะชนะ มันต้องใช้ถ้อยคำพระเจ้า ที่ชนะสงครามนี้

“ถ้อยคำพระเจ้าบอกอย่างไร? ฉันเชื่อตามนั้น ฉันไม่รู้ล่ะ ถ้าถ้อยคำพระเจ้าบอกว่าไม่ใช่ด้วยการกระทำ แต่เป็นพระคุณของพระเจ้า ใครมาเชื่อพระเยซู เขาได้รับความรอด เอเมน” จบ

เหมือนนักเลงสมัยนี้ถาม “จบไหม?”

“ครับ จบครับจบ”

ถ้อยคำพระเจ้าบอกไว้อย่างนั้น จบก็คือจบ ใครจะรับใช้แค่ไหน? อธิษฐานมากขนาดไหน? ถวายแค่ไหน? หรือแม้กระทั่งมีตำแหน่งหน้าที่ในการงาน เป็นศิษยาภิบาล เป็นอาจารย์สอน เป็นผู้นำ โดยตามนุษย์เกิดผลเยอะแยะในทางพระเจ้า  แต่ในทางโลกฝ่ายวิญญาณ ความเป็นจริงที่พระเจ้าสอน ไม่มีการเปรียบเทียบสิ่งเหล่านี้กับโลกวิญญาณเลยแม้แต่นิดเดียว มีแต่บอกเครดิตทั้งหมดยกให้พระเจ้า พระวิญญาณ เราไม่มีส่วนเลย แล้วจริงๆ มันก็เป็นอย่างนั้นแหละ

ซึ่งการทำสงคราม เอาชนะความคิดเหล่านี้ได้ ต้องใช้ถ้อยคำพระเจ้า ซึ่งเป็นความจริงเท่านั้น ไม่ใช่พยายามเอาตำแหน่งหน้าที่การงาน เอาการกระทำของตนเองไปเปรียบเทียบหาคุณค่าของเราในพระเยซูคริสต์ คุณค่าของเราในพระเยซูคริสต์อยู่ที่ถ้อยคำ พระคัมภีร์ไม่ได้บอกว่าในพระเยซูคริสต์ ท่านเชื่อแล้ว ท่านทำอะไรบ้าง? เคยทำอะไรบ้างไหม? ฟ้องผิดตลอด มานั่งตรงนี้ ถามว่าตั้งแต่เชื่อพระเจ้ามา คุณทำอะไรบ้าง? แค่นี้ก็ตายแล้ว เป็นประโยคที่ทับถม ไม่ใช่ พระวิญญาณมาอยู่กับมนุษย์ พระคัมภีร์บอกเหรอ พระวิญญาณไม่ได้มาเพื่อทับถม แต่มาเพื่อนำพา เพื่อเป็นผู้นำ เป็นพี่เลี้ยง ค่อยๆ สอนว่าเราเป็นใคร?

ถ้อยคำพระเจ้า ก็คือความจริงในโลกวิญญาณ ที่พระเจ้าได้บอกว่าเมื่อท่านเชื่อ ในข่าวดีของพระเยซูคริสต์ ท่านได้เกิดใหม่ เข้าไปอยู่ในพระเยซูคริสต์  … ในพระเยซูคริสต์ ท่านทั้งหลาย หรือเราทั้งหลายผู้ที่เชื่อนั้น ได้รับการชำระ จนสะอาด หมดจด ครบถ้วน บริบูรณ์เรียบร้อยไปแล้ว ได้เป็นประชากรของพระเจ้า เป็นลูกของพระเจ้า ในฐานะลูกของพระเจ้าที่เป็นทายาท รับมรดกร่วมกับพระเยซูคริสต์ ครอบครองอาณาจักรสวรรค์ร่วมกับพระเยซูคริสต์เรียบร้อยไปแล้ว ไม่ใช่โดยการกระทำของท่านเลย ไม่ใช่โดยชาติตระกูลด้วย ไม่ใช่โดยเชื้อสาย เผ่าพันธุ์ด้วย แต่ด้วยความเชื่อในพระเยซูเท่านั้น นี่คือพระคัมภีร์ นี่แหละคืออาวุธ ไม่ใช่การโต้เถียงกับความโกหกหลอกลวง ที่อยู่ในความคิดของเรา ไม่ต้องไปบอกใครเลย ภาวนาอยู่คนเดียวนั้นแหละ ทำสงครามอยู่คนเดียวนั่นแหละ ในความคิด

เพราะฉะนั้น นี่คือความจริง … ความจริงจะทำให้เราเป็นไท เราจึงไม่จำเป็นต้องแสวงหาความชอบธรรมด้วยตัวของเราเอง แสวงหาความสมบูรณ์ครบถ้วนในการเป็นลูกของพระเจ้า ด้วยตัวเราเอง  เราไม่จำเป็นต้องแสวงหาความชอบธรรม ด้วยการกระทำใดๆ เพิ่มเติมอีก นอกจากที่พระเยซูทำให้เรียบร้อยไปแล้ว พระเยซูบอกสมบูรณ์ ก็สมบูรณ์แล้ว เราไม่ต้องทำ เอเมน

ทั้งหมดนี้ คือความจริง และเป็นความจริงที่ถาวรนิรันดร์ ไม่มีอะไรมาเปลี่ยนแปลงหรือลบล้างได้ คือถ้อยคำพระเจ้าที่บอกมนุษยชาติทั้งปวงว่าอะไรเกิดขึ้นในโลกฝ่ายวิญญาณบ้าง และท่านเชื่อพระเยซูคริสต์ เชื่อในการไถ่บาปของพระเยซู เชื่อว่าพระเยซูเป็นพระผู้ช่วยให้รอดที่พระเจ้าส่งมาช่วยมนุษยชาติ ที่เกิดขึ้นแล้วในโลกฝ่ายวิญญาณ ท่านจะได้รับสิทธินี้ทันทีในโลกฝ่ายวิญญาณ  แต่สิ่งที่เกิดขึ้น ก็คือความจริงเหล่านี้ เป็นสิ่งที่มารมันทนไม่ได้ มันเหลืออยู่สิ่งเดียวที่มันทำได้ คือโกหก หลอกลวง เพราะหน้าที่ของมาร ก็คือโกหก ทำลายความจริงเหล่านี้ เพราะฉะนั้น มันก็พยายามที่จะส่งข้อมูลความคิดที่ตรงกันข้ามกับความจริงเหล่านี้ ให้กับเรา เช่นให้เรามีความภาคภูมิใจกับบางสิ่งบางอย่างที่เราทำ เมื่อเราเชื่อพระเจ้าแล้ว ทำบางสิ่งบางอย่างที่ดีๆ เราก็ภูมิใจ มันก็เชียร์ใหญ่เลย ภูมิใจสิๆ อย่างนี้ พระเจ้าชอบ พระเจ้าพอพระทัย ใช่ไหม? มันก็จะให้เรามีความภาคภูมิใจกับบางสิ่งบางอย่างที่เราทำ เช่น …

เราถวายสิบลดเป็นประจำ มันก็จะบอก ภูมิใจสิๆ เดี๋ยวเราก็อดไม่ได้

เราอธิษฐานอยู่เสมอ มันก็บอกภูมิใจสิๆ อธิษฐานเสมอ

เราออกไปประกาศบ่อยๆ มันก็บอกภูมิใจๆ

เราพาคนมาเชื่อพระเจ้าเยอะๆ มันก็บอกตัวเธอเป็นพระพรๆ

ซึ่งแน่นอนสิ่งเหล่านี้ เป็นการกระทำที่ดี ไม่ได้ต่อต้านนะ แต่มันเชียร์ให้เรารู้สึก ฉันทำอะไรบางอย่าง พอมากๆ ไป มันก็เกิดการพึ่งในการกระทำของตนเอง ดีไหม? ดีทั้งนั้นแหละ อธิษฐานอยู่เสมอดีไหม? ดี … ถวายสิบลดเสมอดีไหม? ดี … ประกาศดีไหม? ดี … พาคนมารับเชื่อดีไหม? ดี แต่สิ่งเหล่านี้ไม่ดีพอ ที่จะทำให้เราเป็นผู้ชอบธรรมของพระเจ้า ในสายพระเนตรของพระเจ้า ในมาตรฐานของพระเจ้าได้เลยแม้แต่นิดเดียว เพราะเราทำไม่ได้ พระเจ้าจึงต้องส่งพระเยซูมา แต่พวกมารก็จะคอยส่งข้อมูลให้เราเกิดความภาคภูมิใจในสิ่งเหล่านี้ และอาวุธที่อันตรายที่สุดของพวกมัน ก็คือข้อมูลส่งเสริมให้เราเปรียบเทียบกับคนอื่น พอเราภูมิใจมากๆ เราก็จะเปรียบเทียบกับคนอื่นว่าเราทำได้มากกว่า เช่น ถวายมากกว่าคนอื่น อธิษฐานมากกว่าคนอื่น รับใช้มากกว่าคนอื่น ช่วยเหลือพี่น้องมากกว่าคนอื่น ทำดีกับพี่น้องมากกว่าคนอื่นอีก เพราะฉะนั้น พระเจ้ารักเรามากกว่าคนอื่น เราสมควรจะได้รับฐานะเป็นลูกของพระเจ้ามากกว่าคนอื่น ไปแหละ ไปโลดแล้ว รางวัลที่พระเจ้าจัดเตรียมไว้ให้กับเราจะต้องมีมากกว่าคนอื่นด้วยเช่นเดียวกัน ไปไกลเกิน มารก็จะทำหน้าที่อย่างนี้

นี่คือ Spiritual warfare สงครามฝ่ายวิญญาณ ซึ่งถ้าเราไม่ระวัง และติดกับดักแห่งความภาคภูมิใจเหล่านี้ เมื่อถึงวันที่เราผิดพลาดอะไรขึ้นมาในการดำเนินชีวิต ไม่ว่าจะเป็นโน่นนิดนี่หน่อย ซึ่งมันผิดพลาดแน่นอน คนๆ นั้น หรือเราก็จะไม่มีความมั่นใจในความรอดในพระเยซูคริสต์อีกต่อไป แม้เราเชื่อในพระเจ้าแล้วก็ตาม เรายังคงพึ่งความสำคัญในการกระทำของตนเอง เพื่อที่จะได้รับความรอด แทนที่จะพึ่งในพระเจ้าแต่เพียงผู้เดียว ท่านพอมองเห็นไหม?

และวิธีที่เราจะสามารถระวัง ไม่ให้ติดกับดักการล่อลวงของมารอย่างนี้ได้ ก็คือต้องใช้อาวุธป้องกันตัว ที่พระเจ้าเตรียมไว้ให้กับเราแล้ว ซึ่งก็คือถ้อยคำพระเจ้านั่นเอง ก็คือความจริงของพระเจ้าที่บอกเรา สอนเรา พระคัมภีร์บอกว่าถ้อยคำพระเจ้าเปรียบเหมือนดาบสองคม ดูสิว่ามันแรงขนาดไหน? ฮีบรู 4:12 บอกไว้

ฮีบรู 4:12 “เพราะว่าพระดำรัสของพระเจ้านั้น มีชีวิตและทรงอานุภาพ คมยิ่งกว่าดาบสองคมใดๆ แทงทะลุแม้กระทั่งจิตและวิญญาณ ข้อต่อและไขกระดูก วินิจฉัยความคิดและท่าทีในใจ”

 

ในสมัยนั้น ดาบสองคมถือว่าร้ายแรงที่สุด 2,000 ปีโน้น แต่คำว่า “ดาบสองคม” ในข้อนี้ หมายถึงมีดสั้นนะ ที่มีความคมทั้งสองด้าน ชาวยิวรู้จักดี เพราะชาวยิวโบราณจะใช้มีดสั้น 2 คมนี้ไว้เชือดคอแกะหรือแพะให้มันตายเร็วๆ จะได้ไม่ทรมาน และง่าย

ประเด็นสำคัญของคำว่า “ดาบสองคม” ความหมายก็คือเป็นมีดที่คมที่สุด ที่มนุษย์สามารถจะทำได้ในสมัยนั้น และพระวจนะหรือถ้อยคำพระเจ้า ก็จะมีพลังอำนาจคมที่สุด สามารถแทงทะลุทุกส่วนในชีวิตของมนุษย์ สามารถอ่านวิถีทางความคิดของมนุษย์ได้นั่นเอง มันหมายถึงอย่างนั้น คือเอามาเป็นสงคราม สู้กับข้อมูลคำพูดของมาร ที่ส่งข้อมูลเข้ามาในความคิดของเรา ทำอย่างนี้เป็นลูกพระเจ้าได้อย่างไร? ทำอย่างนี้ เป็นผู้ชอบธรรมได้อย่างไร? ไม่ใช่เป็นยิวสักหน่อยเลย แล้วจะมาบอกว่าเป็นลูกพระเจ้าได้อย่างไร? เป็นคนต่างชาตินะ เมื่อมารส่งผ่านข้อมูล วิถีทางของโลกวัตถุนี้เข้ามาในความคิดของเราว่าพฤติกรรมนิสัยของเราในโลกนี้ ยังเทียบคนอื่นเขาไม่ได้เลย ยังไม่สมควร คนเขาไม่เชื่อพระเจ้า อยู่ข้างบ้าน เขายังมีศีลธรรมดีกว่าท่านเลย เขายังไม่หงุดหงิดเลย เขาดูดีไปหมดเลย เพียงแต่เขาไม่เชื่อพระเจ้าเท่านั้นเอง ท่านเชื่อพระเยซู แค่นี้เอง แล้วยังสู้เขาไม่ได้ แล้วยังจะไปบอกว่าได้รับความรอด ไปอยู่ในสวรรค์ คนข้างบ้านเขายังไม่บอกว่าเขาอยู่ในสวรรค์เลย เขายังสั่งสมบารมีต่อไป ถูกไหม? แล้วท่านจะว่าอย่างไร? ท่านจะสู้เขาอย่างไร? นี่แหละคือสงคราม เราก็ต้องสู้ด้วย สงครามโลกฝ่ายวิญญาณ เอาถ้อยคำพระเจ้าสู้ เราก็ต้องส่งดาบสองคมเข้าไป ที่ป้อมปราการที่มันยึดเอาไว้ ป้อมปราการ ก็คือความคิดของเรา ในสมองของเรา ใส่เข้าไปเลย ถ้อยคำพระเจ้าที่บอกว่าเราเป็นผู้ชอบธรรม ถ้อยคำพระเจ้าที่เราเรียนอยู่เรื่อยๆ ที่มันอยู่ที่สมองเรา

มันบอกเราเมื่อตะกี้นี้ว่า “เราไม่สมควรที่จะเป็นผู้ชอบธรรม ลองเปรียบเทียบดูสิ คนข้างบ้าน หรือเพื่อนคนนี้เขายังดีกว่านายเลย”

เราก็บอกว่า “ถ้อยคำพระเจ้าบอกว่าเราเป็นผู้สะอาดบริสุทธิ์ และสามารถอยู่กับพระเจ้าในสวรรค์สถานได้ ด้วยพระคุณของพระเจ้า ที่กระทำผ่านทางพระเยซูคริสต์ พระบุตรของพระองค์ที่ตายที่ไม้กางเขน และชำระบาปให้กับฉัน ฉันไม่ได้เป็นผู้ชอบธรรม ด้วยการกระทำของฉันเอง ถ้อยคำพระเจ้าบอกไว้อย่างนั้น”

พูดกับตัวเอง ไม่ใช่ไปพูดกับคนอื่นนะ 2 โครินธ์ 10:4-6 บอกไว้อย่างนี้ ให้ทำสงคราม โดยเอาถ้อยคำพระเจ้า เอาข้อมูลของพระเจ้าเข้าไปจัดการ แล้วก็นำเอาความไม่เชื่อฟังพระเจ้า สิ่งที่มารใส่เข้าไป ปัดมันทิ้งไป ทำให้มันเป็นศูนย์ไป คือฆ่ามันตาย พูดง่ายๆ เอาให้มันราบพนาสูญไปเลย แล้วเอาถ้อยคำพระเจ้าเข้าไปแทนที่

ความเชื่อและไว้วางใจในพระเจ้านี้ บวกกับการจดจ่อในถ้อยคำพระเจ้า โดยการใส่ถ้อยคำพระเจ้า ใส่ความจริงของพระเจ้า ในเรื่องเกี่ยวกับโลกวิญญาณนี้ เข้าไปในความคิดจิตใจของเรา มันคือการตั้งความคิดไว้ที่เบื้องบน โลกฝ่ายวิญญาณนั้นเอง ที่เราเรียกกันว่าใคร่ครวญถ้อยคำพระเจ้า ภาวนาถ้อยคำพระเจ้า

การภาวนาถ้อยคำพระเจ้า การใคร่ครวญ ใส่ความจริงของพระเจ้าเข้าไปในโลกวิญญาณ ในความคิดจิตใจของเรา คือการเตรียมพร้อม การอยู่บนโลกใบนี้ อย่างผู้มีชัยชนะมากที่สุด ภาวนาถ้อยคำพระเจ้า หมายถึงพูดสิ่งที่เป็นความจริง ในเรื่องโลกฝ่ายวิญญาณซ้ำๆ กัน มากๆ ในความคิดจิตใจของเรา ให้มันจดจำให้ได้ เราต้องเอาความจริงใส่เข้าไปบ่อยๆ ให้มันเป็นป้อมปราการที่ฝ่ายเรายึดครองอยู่ ถ้อยคำของพระองค์ยึดครองอยู่ ฤทธิ์อำนาจของถ้อยคำพระเจ้าเต็มอยู่ในความคิดจิตใจ ในสมองเราเลย

เพราะฉะนั้น การต่อต้านของมาร ที่มาจากข้างนอกส่งเข้ามา มันเข้ามาไม่ได้ นั่นแหละ คือชัยชนะ เมื่อมารพยายามส่งข้อความที่เป็นความไม่ถูกต้อง เป็นข้อมูลเท็จ ส่งข้อมูลที่ผิดเข้ามา ผ่านทางโลกนี้ ผ่านทางวัตถุสิ่งของ ตามองเห็น หูได้ยิน จับต้องได้ เข้ามาทางเนื้อหนัง ฝ่ายร่างกาย เข้ามาในความคิดจิตใจของเรา เราก็จะเอาถ้อยคำเหล่านี้ที่เราเตรียมไว้เรียบร้อย ในการสู้รบต่อต้านทันที เราก็จะไม่กลัว เราก็จะเต็มไปด้วยสันติสุข

นี่คือสิ่งเดียวที่เป็นวิธีการที่พระเจ้าสอนเรา ในการทำสงครามฝ่ายวิญญาณ คือภาวนาถ้อยคำพระเจ้า เคยบ่นพึมพำอะไรไหม? เขาเรียกว่าบ่นพึมพำแบบดีนะ เขาเรียกว่าใคร่ครวญ ไตร่ตรอง ตรึกตรองข้อความอะไรบางอย่าง แบบพึมพำอย่างดี

ยกตัวอย่างเช่น สมมติว่าเป็นตัวเลขแล้วกัน 7+5+4 ได้เท่าไร? เราก็คิด พึมพำๆ โอเคๆ คล้ายๆ อย่างนั้นแหละ คือใส่ใจตรึกตรองสิ่งเหล่านั้น

“เชื่อพระเยซูคริสต์ ถ้อยคำพระเจ้าบอกว่าฉันเกิดใหม่แล้ว ในพระเยซูคริสต์พระเจ้าบอกว่าฉันเกิดใหม่ในพระเยซูคริสต์แล้ว ฉันมาเชื่อพระเจ้า ถ้อยคำพระเจ้าในพระคัมภีร์บอกว่า … เมื่อฉันมาเชื่อพระเจ้า พระเจ้าให้ฉันได้บังเกิดใหม่แล้ว ฉันได้บังเกิดใหม่แล้ว ฉันเป็นวิญญาณ ชีวิตฉันเป็นวิญญาณ พระคัมภีร์บอกว่าชีวิตของฉันเป็นวิญญาณ ที่ฉันเห็นในร่างกายนี้ มันไม่ได้อยู่ตลอดไป มันอยู่ชั่วคราว อีก 70 ปี 80 ปี มันก็ต้องตายไป แต่วิญญาณของฉันถาวรนิรันดร์ ทุกวันนี้ มันเจริญเติบโตใหม่ขึ้นทุกวันๆ”

พูดมันทุกวันๆ มันจะอ๋อไปเรื่อยๆ มันจะอย่างที่ตะกี้บอก …

“อ๋อ! เข้าใจแล้ว”

มาที่โบสถ์ได้ยินศิษยาภิบาล หรือใครสอน เรื่องเกี่ยวกับถ้อยคำพระเจ้า มันก็จะเสริมเข้าไป

“อ๋อ! ฉันเป็นผู้ชอบธรรมของพระเจ้า  เพราะความเชื่อ พระเยซูตายที่ไม้กางเขนเพื่อฉัน”

มันก็จะเสริมเข้าไปเรื่อยๆ ป้อมปราการก็จะใหญ่ขึ้นไปเรื่อยๆ ก็ไม่มีใครมาทำร้ายท่านได้เลย มันจะทำร้ายท่านได้แค่อันเดียว คือเอาความจริงออกไปจากความคิดของท่าน และมันเอาเข้าไม่ได้เลย ถ้าท่านเอาความจริงใส่เข้าไปเรื่อยๆ และไม่ยอมใส่ของปลอมเข้ามา คือง่ายๆ สมองเราไม่มีวันว่าง เหมือนขวดน้ำเปล่า สมองก็เป็นอย่างนั้น ขวดน้ำเปล่า ที่ท่านเห็นอยู่ มันไม่เคยว่างนะ มันไม่เคยเป็นสูญญากาศ  มันมีอากาศหรือมีน้ำ ถ้าท่านอยากเอาอากาศออกไป ต้องเอาน้ำใส่เข้าไป อากาศมันก็หายไป

ในทำนองเดียวกัน สมมติว่าน้ำคือถ้อยคำพระเจ้า ถ้ามันมีของโกหกอยู่ครึ่งสมอง ท่านบอกอยากเอามันออกไป ต้องใส่ถ้อยคำพระเจ้าลงไป จนครบ อันนั้นมันไปเอง มันพูดถึงเรื่องอะไร เราเอาเรื่องเหล่านั้นในพระคัมภีร์พูดกับมัน มันพูดถึงความชอบธรรม เราเอาความชอบธรรมพูดกับมัน มันพูดถึงความเจ็บป่วย เราเอาความเจ็บป่วยพูดกับมัน

ครั้งที่แล้วเราก็ได้เรียนรู้กัน มันพูดถึงความเจ็บป่วย ทุกข์ทรมาน ไหนบอกเชื่อพระเจ้า ไม่ทุกข์ทรมานไง บอกมันเลย 2 โครินธ์ 4:16 พูดกับตัวเอง  แต่ก็พูดกับมารนั่นแหละ ไม่ต้องเอาตรงๆ เอาแค่ข้อมูลเรื่องราวก็ได้

2 โครินธ์ 4:16 “เหตุฉะนั้น ฉันจะไม่ย่อท้อ ฉันจะไม่ท้อแท้ ฉันจะไม่กลัว ฉันจะไม่วิตกกังวล แม้ว่าร่างกายภายนอกจะทรุดโทรมลงไปทุกวัน จะแก่ลงไปทุกวัน จะเจ็บปวด และจะต้องตายในวันหนึ่งในที่สุด เพราะว่ามันเป็นร่างกายบาป แต่วิญญาณข้างในฉันเจริญเติบโตขึ้นทุกวัน เข้าไปสู่ความไพบูลย์ในพระเยซูคริสต์ พระเจ้าเตรียมร่างกายใหม่ให้ฉันเรียบร้อยแล้ว วันนหนึ่ง ฉันจะทิ้งร่างกายนี้ ไปรับร่างกายใหม่ และร่างกายใหม่นั้น เป็นร่างกายที่สะอาดหมดจดบริสุทธิ์ ไม่มีความเจ็บปวด ไม่มีความทุกข์ทรมาน เป็นร่างกายที่เหมือนพระเยซูคริสต์ 100%”

พูดบ่อยๆ ก็จะชิน ถามว่าชินกับใคร? ชินกับตัวเอง คล้ายๆ อย่างนี้ แล้วทำไมตะกี้นี้ผมต้องหลับตา เพราะหลับตา มันจะเห็นชัดไง

นี่แหละเขาเรียกว่าสงคราม  และสงครามนี้ทำให้เราชนะอยู่ตลอดเวลา

วันนี้เราลองฝึกเลย ฝึกตามผม ผมจะเอาพื้นฐานจาก 2 โครินธ์ 5:17 พื้นฐานมันต้องมาจากความรู้ของจริงที่พระเจ้าสอนเราเกี่ยวกับโลกวิญญาณ เอาตรงนั้นมาภาวนา มาจดจำ พูดไปเรื่อยๆ ยิ่งสำคัญมากๆ เกี่ยวกับความรอด พูดมันไป ไตร่ตรองมันไปตลอดชีวิต ก็ได้ 2 โครินธ์ 5:17 เดี๋ยวท่านพูดตามผม แล้วท่านจะได้ไปฝึกด้วย แล้วต่อไปนี้ ทำเมื่อไรก็ได้ ทำในรถ อยู่ในห้องน้ำ ก่อนนอน ตื่นนอน อยู่ห้องประชุม ถ้าเขายังไม่ประชุม อยู่ว่างๆ เราก็หลับตาคิด หรือพูดไป ในหัวเราคิดเองก็ได้ ฝึกไปมากๆ แล้วเราคิดเอง ไม่ต้องพูด ยังสามารถทำได้อยู่

2 โครินธ์ 5:17 “เหตุฉะนั้น ถ้าผู้ใดอยู่ในพระคริสต์ การทรงสร้างใหม่ได้เกิดขึ้นแล้ว สิ่งเก่าได้ล่วงไป สิ่งใหม่ได้เข้ามา!”

 

พูดตามผมนะ “ฉันเป็นวิญญาณที่ได้บังเกิดใหม่แล้วในพระคริสต์ วิญญาณฉันเกิดใหม่ โดยฤทธิ์อำนาจจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ พระเจ้าชุบฉันให้เป็นขึ้นมาใหม่พร้อมกับพระเยซู และประทานใจใหม่ให้กับฉันด้วย ที่บริสุทธิ์ ไร้ที่ติ ปราศจากบาป เป็นผู้ชอบธรรมของพระเจ้า ตัวเก่า วิญญาณเก่าที่เป็นวิญญาณบาปได้ตายไปแล้ว และมองให้เห็นเถิด

ตอนนี้วิญญาณฉันที่เกิดใหม่แล้ว สะอาดหมดจด ไร้ที่ติ บริสุทธิ์ เป็นลูกของพระเจ้า เหมือนพระเยซู เป็นวิญญาณแห่งความรัก วิญญาณแห่งความสว่าง เต็มไปด้วยความชื่นชมยินดี เต็มไปด้วยความชอบธรรม ไร้เดียงสาต่อบาปทุกชนิด ฉันเป็นวิญญาณที่เป็นลูกของพระเจ้า เป็นทายาทของพระเจ้า ครอบครองสวรรค์ร่วมกับพระเยซูคริสต์ อยู่ในอาณาจักรสวรรค์ ในฐานะเป็นลูกของพระเจ้า ร่วมกับพระเยซู และฉันจะอยู่กับพระเจ้าอย่างนี้ตลอดไป

ขอบคุณพระเจ้า ตัวใหม่ฉัน วิญญาณฉันบริสุทธิ์สะอาด เป็นลูกของพระเจ้า โดยความเชื่อ ไม่ใช่การกระทำของฉัน แต่เป็นการกระทำของพระเยซูคริสต์ พระผู้ช่วยให้รอด ที่พระเจ้าได้ประทานให้กับมนุษยชาติ ซึ่งรวมทั้งฉันด้วย ฉันจึงเป็นผู้ชอบธรรม สะอาดหมดจดพ้นจากบาป ด้วยความเชื่อ ในพระเยซูคริสต์นี้ ขอบคุณพระเจ้า ที่ได้ให้ความจริงนี้ กระจ่างอยู่ในใจตลอดเวลา เอเมน”

นี่ประมาณสัก 2 นาที ทำอย่างนี้ นี่คือถ้อยคำพระเจ้า ใน 2 โครินธ์ 5:17 ท่านก็เอาข้ออื่น ยังมีอีกเยอะแยะ แล้วท่านก็พูดให้ตัวเองฟังทุกวันๆ ขอบคุณพระเจ้า ขอพระเจ้าอวยพรครับ

 

*******************