คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 23 มิถุนายน 2019 เรื่อง “สำเร็จแล้ว … เราได้รับชีวิตใหม่ วิญญาณใหม่ ความคิดจิตใจใหม่เรียบร้อยแล้ว” ตอน 7 โดย นคร เวชสุภาพร

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  23  มิถุนายน  2019

เรื่อง “สำเร็จแล้ว … เราได้รับชีวิตใหม่  วิญญาณใหม่

ความคิดจิตใจใหม่เรียบร้อยแล้ว” ตอน 7

โดย นคร  เวชสุภาพร

            สวัสดีครับ เรายังคงอยู่ในซีรี่ย์ของเรื่องเกี่ยวกับวันอีสเตอร์อยู่ เพิ่งจะเลยมาไม่กี่อาทิตย์ เดี๋ยวจะลืมไปเปล่าๆ ซึ่งเป็นความจริงที่สำคัญมากๆ เทศกาลอีสเตอร์จะจบลงที่ความยิ่งใหญ่ วันที่ยิ่งใหญ่ที่สุด วันสำคัญที่สุดของประวัติศาสตร์ทางวิญญาณของโลกนี้เลย คือวันเพ็นเทคอส วันที่ 50 หลังจากที่พระเยซูเป็นขึ้นจากความตาย วันเพ็นเทคอสเป็นวันที่สำคัญที่สุดในข่าวประเสริฐของพระเจ้า และซีรี่ส์นี้เป็นเรื่องเกี่ยวกับวันเพ็นเทคอส ที่พึ่งผ่านมาเมื่อ 2 สัปดาห์ที่แล้ว ปีนี้ซึ่งตรงกับวันที่ 9 มิถุนายน

เป็นวันที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้ามาสถิตอยู่กับมนุษย์ เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ ไม่รู้กี่พันกี่หมื่นปี? หลังจากที่มนุษย์ตกลงไปในความบาป พระเจ้าต้องออกไปจากมนุษย์ มนุษย์ให้มารมาอยู่แทน อยู่ในวิญญาณของเขา วิญญาณของเขาเสียหายไป และวันเพ็นเทคอส คือวันที่รื้อฟื้นกลับคืนมา พระเจ้าล้างบาง พระเจ้าลงมาสถิตอยู่กับมนุษย์ได้เรียบร้อยแล้ว โดยการกระทำให้สำเร็จ โดยพระเยซูคริสต์ที่ไม้กางเขน นี่คือข่าวดีที่ประกาศมา 2,000 ปีแล้ว แล้วจะประกาศต่อไป

สัปดาห์ที่แล้วใช้ชื่อยาวมาก เรื่อง “เราได้รับชีวิตใหม่ วิญญาณใหม่ ความคิดจิตใจใหม่เรียบร้อยแล้ว”

นี่คือความจริง พระคัมภีร์บอกว่าจงระวังพวกมาร พวกมารพยายามจะมาขโมยเรื่องราวแห่งความจริงนี้ไป ขณะที่เราที่รู้ความจริงแล้ว พยายามจะประกาศข่าวดี พูดข่าวดี มารก็พยายามประกาศข่าวร้าย ลบข่าวดีออก ต่อต้านกัน เป็นศัตรูกัน มารมีหน้าที่แค่นั้นเอง มันทำอะไรไม่ได้เลย ถ้ามันไม่ขโมยความจริงไป และวิธีการที่มารถนัดที่สุด ในการขโมยความจริง ก็คือทำให้ความจริงของพระเจ้า หรือข่าวดีของพระเจ้าที่สำคัญๆ มันผิดไปเลย หรือไม่ก็เพี้ยนไปมากที่สุด เท่าที่มันจะทำได้

เพ็นเทคอสวันที่พระเจ้าลงมาสถิตอยู่กับมนุษย์ ใครๆ ก็อยากได้  แต่ทำไม 2,000 ปีที่ผ่านมา มีหลายคนที่ไม่รู้ความจริง แล้วก็ไม่เอา เพราะความจริงถูกทำให้เสียหาย เพี้ยนไป แต่พระเจ้าก็ยังทำงานของพระองค์อยู่ เราจึงจดจำเอาความจริงนี้ ความจริงที่พวกมารจ้องที่จะขโมยจากเรา คือความจริงเรื่องเกี่ยวกับสวรรค์ ที่พระเยซูประกาศนั่นเอง ก็คือข่าวดีของพระเยซูคริสต์ ที่พระองค์เป็นผู้ประกาศ เป็นผู้แรก สรุปโดยรวมว่าข่าวดีนี้ คือมีเหตุอะไรเกิดขึ้น เมื่อประมาณ 2,000 ปีที่แล้ว ที่นอกเมืองเยรูซาเล็ม ที่มีชื่อว่าหุบเขาโกละโกธา ข่าวคือมนุษย์บอกๆ กัน เมื่อวานนี้เกิดอะไรขึ้น เมื่อวานซืนเกิดอะไรขึ้น เมื่อ 2,000 ปีเกิดอะไรขึ้น

ตอนที่มันเกิดขึ้นใหม่ๆ เขาบอกเมื่อ 2 เดือนที่แล้ว เกิดอะไรขึ้น ผ่านมา 5 ปี เมื่อ 5 ปีที่แล้วเกิดอะไรขึ้นที่เยรูซาเล็ม ที่โกละโกธา ผ่านมา 2,000 ปี เราก็กำลังเล่าเหตุการณ์เหมือนเดิม มันเกิดอะไรขึ้นในโลกวิญญาณ มันเกี่ยวพันอะไรกับมนุษย์ เมื่อ 2,000 ปีที่เกิดขึ้น ที่นอกเมืองเยรูซาเล็ม ที่โกละโกธา มนุษย์สามารถเกิดใหม่ในวิญญาณ สามารถได้รับชีวิตใหม่ วิญญาณใหม่ ความคิดจิตใจใหม่เลย  ไม่ต้องทำอะไรเลย แค่ความเชื่ออย่างเดียว ซึ่งพระเจ้าได้วางแผนการ ที่จะช่วยเหลือมนุษย์ หลายๆ พันปีแล้ว  ตั้งแต่ปฐมกาลจนกระทั่งพระเยซูมาเกิดจริงๆ พระองค์บอกเป็นคำเผยพระวจนะ บอกล่วงหน้าว่าจะเกิดอะไรขึ้น ครั้งที่แล้ว เราใช้ข้อพระคัมภีร์ในเอเสเคียล 36:26-27 นี่เป็นการบอกล่วงหน้า ถึงแผนการของพระเจ้าว่าพระองค์จะทำอะไร ผ่านทางพระบุตรของพระองค์ที่ไม้กางเขน ก่อนที่พระเยซูคริสต์จะมาเกิด ก่อนเหตุการณ์จะเกิดขึ้นจริงที่โกละโกธา ประมาณ 500 กว่าปี

เอเสเคียล 36:26-27  “26 เราจะให้จิตใจใหม่แก่เจ้า และใส่วิญญาณใหม่ในเจ้า เราจะขจัดใจหินออกจากเจ้า และให้เจ้ามีใจเนื้อ 27 เราจะใส่วิญญาณของเราไว้ในเจ้า โน้มนำเจ้า ให้ปฏิบัติตามกฎหมายของเรา และใส่ใจ รักษาบทบัญญัติของเรา”

 

เพราะฉะนั้น เมื่อเราเชื่อในข่าวดีของพระเจ้าแล้ว และเราได้รับการบังเกิดใหม่ในวิญญาณ โดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้าแล้ว เราจึงมีสภาพ เป็นวิญญาณ ตามข้อพระคัมภีร์เมื่อสักครู่นี้ พระเยซูทำให้สำเร็จแล้ว พอเราเชื่อในข่าวดีนี้ว่าเป็นอย่างนั้น เราก็บังเกิดใหม่ในวิญญาณ มีวิญญาณที่บริสุทธิ์เหมือนพระเจ้า เราจึงมีสภาพเป็นวิญญาณ และมีจิตใจที่เหมือนพระเยซู และมีพระวิญญาณบริสุทธิ์เข้ามาสถิตอยู่กับเราด้วย ซึ่งพระวิญญาณนี้ก็จะคอยเป็นพี่เลี้ยง เป็นที่ปรึกษา เป็นสติปัญญา เป็นผู้คอยนำพาเรา ให้ดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ตามพระประสงค์ของพระเจ้า ตามความต้องการของพระเจ้า ซึ่งเป็นธรรมชาติของวิญญาณ และจิตใจใหม่ภายในเรา ที่พระเจ้าทรงประทานให้ตามข้อพระคัมภีร์เมื่อสักครู่ที่เราได้อ่าน คือพระองค์ขจัดเอาใจหินออกไป ใจหิน คือใจที่ดื้อด้าน กบฏต่อพระเจ้า เป็นศัตรูต่อพระเจ้า ไม่เชื่อฟังพระเจ้า ไม่รู้จักพระเจ้า ต่อต้านพระเจ้า นี่เขาเรียกว่าใจหิน แต่พระเจ้าเอาใจหินออกไป ใส่ใจเนื้อเข้ามาแทนที่ ใจเนื้อ ก็คือใจที่เข้ากับพระเจ้าได้ กลับคืนดีกับพระเจ้า พระเจ้าประทานวิญญาณใหม่ และความคิดจิตใจใหม่ให้กับมนุษย์ทุกคนได้แล้ว ถ้าพูดถึงผู้ที่ฟังอยู่ตอนนี้ ที่ยังไม่เชื่อนะ อยากจะบอกว่าพระเจ้าสามารถประทานวิญญาณใหม่ ชีวิตจิตใจใหม่ ให้กับท่านได้แล้ว และทำไปแล้วด้วย ที่ไม้กางเขน ถ้าท่านต้องการ เดี๋ยวนี้ได้ทันที เหมือนท่านที่นั่งอยู่ที่นี่ คือมนุษย์สามารถเกิดใหม่ เป็นวิญญาณใหม่ มีความคิดจิตใจใหม่เหมือนพระเจ้าได้ทันทีเลย ไม่ต้องรอตาย ไปสวรรค์ แล้วถึงจะได้รับ ได้รับทันทีตอนนี้เลย

เมื่อเราเชื่อแล้วพระเจ้าต้องการให้เราตั้งความคิดจิตใจ จดจ่อความคิดไปที่ความจริงตรงนี้ ตรงโลกวิญญาณที่เกิดขึ้นนี้ เพื่อที่เราจะไม่ถูกขโมยเอาความจริงนี้ไป จากชีวิตของเรา 2 โครินธ์ 4:16-18

2 โครินธ์ 4:16-18 “16 เพราะฉะนั้น เราจึงไม่ท้อใจ ถึงแม้กายภายนอกของเรา กำลังทรุดโทรมไป แต่จิตใจภายในของเรากำลังฟื้นขึ้นใหม่ทุกวัน 17 เพราะความทุกข์ลำบากเล็กๆ น้อยๆ เพียงชัวคราวของเรา ทำให้เราได้รับศักดิ์ศรีนิรันดร์ ซึ่งเหนือกว่าสิ่งเหล่านั้นทั้งหมดมากมายนัก 18 ดังนั้น เราจึงไม่จับจ้องอยู่กับสิ่งที่มองเห็น แต่อยู่กับสิ่งที่มองไม่เห็น เพราะสิ่งที่เรามองเห็นนั้น ไม่จีรังยั่งยืน แต่สิ่งที่เรามองไม่เห็นนั้น ถาวรนิรันดร์”

 

เพราะฉะนั้น เราจึงไม่ท้อใจ แม้ร่างกายที่เราเห็นนี้จะต้องทรุดโทรมไป ต้องเจ็บป่วย จะต้องเหนื่อยยากลำบาก ต้องกลัว ต้องวิตกกังวลอะไรต่างๆ ซึ่งเป็นผลมาจากบาปในร่างกายนี้ แต่เราได้รับจิตใจใหม่ วิญญาณใหม่ เหมือนพระเจ้า เหมือนพระเยซู เราได้รับแล้ว แล้วมันเจริญเติบโตขึ้นทุกวัน  เพราะฉะนั้น เมื่อเอามาเทียบกันกับวิญญาณข้างในเรา ที่อยู่กับพระเจ้าแล้ว ที่เหมือนพระเยซู มาเทียบกับภายนอก ที่ยังทนทุกข์ลำบากบนโลกใบนี้อยู่ ในนี้บอกว่าให้เราจดจ่อความคิดไปที่ความจริง คือไปที่โลกวิญญาณ ที่มองไม่เห็น คือวิญญาณของเรา เป็นตัวจริงๆ ของเรา

โลกใบนี้ ถูกทำให้เสียหาย เนื่องจากมนุษย์ตกลงไปในความบาป และถูกสาปแช่งไปถึงดินด้วย ดังนั้น ร่างกายมนุษย์จึงถูกสาปแช่งไปด้วยเช่นเดียวกัน เราจึงต้องตาย ปกติไม่ตาย สร้างเซลใหม่ไปเรื่อยๆ อยู่นิรันดร์เหมือนกับพระเจ้า แต่พอมนุษย์ตกลงไปในความบาป เริ่มเจ็บป่วย เริ่มต้องตาย เริ่มต้องนับหนึ่ง เริ่มมีการแก่ เริ่มมีการเหี่ยว เริ่มมีตีนกา เริ่มมีรอยย่น เริ่มคิดมาก เริ่มมีความกลัว เริ่มมะเร็ง … มะเร็งเกิดมาตั้งแต่โน้น สมัยที่อาดัมทำบาปใหม่ๆ ถ้าพูดอย่างนี้ คนไม่เข้าใจ นึกว่าเราบ้าแล้วนะ มะเร็งเกิดจากเอวา เกิดมาได้อย่างไร? ก็เอวาไม่เชื่อฟังพระเจ้า เลยไปเรียกอาดัมมา ไม่เชื่อด้วย สองคนช่วยกันไม่เชื่อ พอไม่เชื่อก็กบฏต่อพระเจ้า พระพรออกไป พระเจ้าออกไปจากวิญญาณของมนุษย์ และคำสาป ก็ลงมาอยู่ที่โลกใบนี้ ก็คือร่างกายของเขา ซึ่งมาจากดิน ก็ไปด้วย

ตอนที่พระเยซูมาฟื้นฟู มาตายที่ไม้กางเขน แล้วทำให้เราได้เกิดใหม่ แค่วิญญาณและความคิดจิตใจเท่านั้น เพราะฉะนั้น นี่คือความจริงที่เราต้องเรียนรู้ด้วย พระเจ้ากำลังบอกว่าให้เรา จดจ่อความคิดไปที่โลกวิญญาณ เราย้อนกลับมาถึงตัวเราเองว่าเราควรจะจดจ่อไปที่โลกวิญญาณตรงไหน? ในเมื่อเรารู้จักข่าวประเสริฐ เราต้อนรับข่าวดีแล้ว อาจจะได้รับข่าวดีไปร้อยหนึ่ง บางคนอาจจะได้รับแค่แปดสิบ บางคนได้รับแค่เจ็ดสิบ แต่ทุกวันนี้ เจริญเติบโต ได้รับข่าวดีไปเรื่อยๆ ตอนนี้รู้แล้วว่าควรจะทำอย่างไร? ควรจดจ่อ หมายถึงความคิด หมายถึงใคร่ครวญ พิจารณาในโลกวิญญาณตลอดเวลา เพราะว่ามองไม่เห็น สัมผัสไม่ได้ มันจึงต้องใช้จดจ่อความคิด ให้ใส่เข้าไปทุกวันๆ ผมก็เลยคิดว่าเอาความจริงเหล่านี้มา บอกท่านว่าท่านควรจดจ่อตรงนี้อย่างไร ให้ชีวิตท่านมีสันติสุขมากขึ้น มีความสุขมากขึ้นด้วย คือมีความทุกข์น้อยลงนั่นเอง ในขณะที่ดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ อยู่ในร่างกายที่มันต้องตายได้ ที่อยู่ใต้อิทธิพลของบาป แต่วิญญาณเกิดใหม่ ความคิดจิตใจเกิดใหม่ เหมือนพระเจ้าแล้ว แล้วทำอย่างไร?

วิธีทำ ก็คือพิจารณาใคร่ครวญ ภาวนา ตามความจริงนี้ ผมเอามาให้ท่านเป็นตัวอย่างนิดหนึ่ง ลองใส่ชื่อท่านลงไปในนี้ ถ้าผมพูดชื่อผม ท่านพูดชื่อท่าน แล้วพูดตามผมทั้งหมด ตามความจริงต่อไปนี้

“นครเป็นวิญญาณที่ได้บังเกิดใหม่ในพระคริสต์ และพระเจ้าได้ประทานจิตใจใหม่ ให้กับนคร

นครจึงเป็นวิญญาณที่มีความคิดจิตใจ ที่ใหม่สะอาดบริสุทธิ์ เหมือนพระเยซูเป็นวิญญาณแห่งความรัก  เป็นวิญญาณแห่งความสว่างเหมือนพระเยซู ไร้มลทิน และไร้ความบาปใดใดทั้งสิ้น เป็นผู้ชอบธรรมอย่างแท้จริง  …   วิญญาณและความคิดจิตใจใหม่นี้ เป็นตัวจริงจริงของนครที่จะอยู่ตลอดไป  ในสวรรค์กับพระเจ้า

นครได้เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเจ้า ในขณะนี้แล้ว ชีวิตของนคร คือวิญญาณ ...  และความคิดจิตใจนี้ ซ่อนอยู่ในพระคริสต์กับพระเจ้า … พระวิญญาณบริสุทธิ์ ได้จุ่มนครลงไปในความเป็นหนึ่งเดียวกันกับวิญญาณของพระเจ้าพระบิดา พระบุตรพระเยซู และพระวิญญาณ”

ทำอย่างนี้ ทำบ่อยๆ กลางคืนก็คิด ก่อนนอนก็คิด  ตื่นมาก็คิด กินข้าวก็คิด คิดไปเรื่อยๆ คิดไปครึ่งหนึ่งก็คิด มีเวลานนิดหนึ่งก็คิดนิดหนึ่ง คิดได้ 2 บรรทัดก็หลับไป คือการต้องจดจ่อกับโลกวิญญาณอย่างนี้ เพื่อไม่ให้มันหลอกเรา อะไรที่เกิดขึ้นในโลกวัตถุ เรื่องสำคัญๆ เราลืมคิดไป สิ่งที่สำคัญกว่า คือโลกวิญญาณตรงนี้ต่างหาก เพราะฉะนั้น ในขณะนี้ วิญญาณใหม่ของเราอยู่กับพระเจ้า และความคิดจิตใจที่ติดกับวิญญาณนั้น เป็นของพระเจ้าใส่ลงมาเลย นี่คือความจริง เพียงแต่อาศัยในร่างกายภายนอก เพียงชั่วคราว นี่คือความจริง ทั้งหมดนี้มาจากพระคัมภีร์ ผมสรุปมารวมให้ท่าน ได้เห็น และได้สามารถเอาไปภาวนา ง่ายๆ รวมหมดเลย ซึ่งร่างกายนี้ต้องตายลง และหมดลมหายใจเน่าเปื่อยไปในที่สุด ร่างกายนี้ยังคงได้รับอิทธิพลจากระบบของโลก ร่างกายที่เราอาศัยอยู่ทุกวันนี้ จากสิ่งต่างๆ ภายนอก ฟังให้ดีๆ ถ้าเรารับเชื่อแล้ว เราได้บังเกิดใหม่แล้ว วิญญาณและความคิดจิตใจของเราใหม่เอี่ยมเหมือนพระเจ้า ไม่มีบาปเลย แต่ร่างกายนี้ยังได้รับอิทธิพลจากโลกภายนอก จากสื่อต่างๆ ภายนอก ที่มันเป็นศัตรูกับพระเจ้า ต่อต้านพระเจ้า ไม่สามารถเข้ากับพระเจ้าได้ ซึ่งมันก็พยายามที่จะล่อลวง หลอกลวง ส่งสัญญาณชักจูงให้ร่างกายที่เราอาศัยอยู่นี้ ปฏิบัติในสิ่งที่ตรงกันข้ามกับทางของพระเจ้า ตรงกันข้ามกับธรรมชาติลักษณะที่เป็นเหมือนพระเจ้า ภายในวิญญาณและจิตใจใหม่ของเรา

ท่านเห็นหรือยังเกิดสงครามอะไรขึ้น ตะกี้นี้เราพูดกัน เราภาวนา เราเกิดใหม่ในวิญญาณ  เหมือนพระเจ้า แต่เราอยู่ในร่างกายที่ยังอ่อนแอ ยังรับอิทธิพลที่เต็มไปด้วยกระแสของโลกนี้อยู่ พูดง่ายๆ ซึ่งวันหนึ่งข้างหน้า ร่างกายนี้ จะเปื่อยเน่าและตายไป และพระเจ้าได้จัดเตรียมร่างกายใหม่ ซึ่งเรียกว่าร่างกายสวรรค์ ที่ไม่อยู่ภายใต้อิทธิพลของบาป เป็นร่างกายที่บริสุทธิ์ ไม่มีคำว่าเจ็บป่วย ปวดร้าว ไม่มีน้ำตา ไม่มีความทุกข์ตลอดไปนิรันดร์กาล ขอบคุณพระเจ้า นี่คือความหวังของเรา เพราะฉะนั้น ในนี้จึงบอกว่าเมื่อเราภาวนาอย่างนี้ จดจ่ออย่างนี้ ความทุกข์ยากลำบาก ความยากจนเอ่ย ปัญหาโน้นปัญหานี้ วุ่นวายไปหมดบนโลกใบนี้ มันเป็นเรื่องธรรมดา มันต้องเกิดขึ้น แต่วันหนึ่งข้างหน้า เราไม่ต้องเผชิญสิ่งเหล่านี้อีก เรามีความหวังว่ามันจะสิ้นสุดลง มันจบ แล้วไม่ใช่จบแค่ 500 ปี ไม่ใช่ไปเสวยสุขอีก 200 ปี แต่ไปเสวยสุขนิรันดร์กาล

นี่คือความจริงในโลกวิญญาณ และเป็นความหวังใจอันเดียวในโลกวิญญาณเท่านั้น ของมนุษย์คนใดก็ตามที่ใช้สิทธิของเขา เชื่อในข่าวดีของพระเยซู ทุกคนควรจะมีความหวังใจ ตรงนี้ อันเดียวเท่านั้นเอง อย่าหวังว่าจะมีความร่ำรวยบนโลกใบนี้ อย่าหวังว่าจะไม่มีปัญหาเลย  เพราะโลกใบนี้เสียหายไปแล้ว แต่ขอบคุณพระเจ้า พระเยซูบอกท่านอยู่บนโลกใบนี้ ท่านก็ประสบกับความทุกข์ยากลำบากต่างๆ นานา แต่เราชนะโลกนี้แล้วนะ เอเมน มันทำเราได้แค่นี้เอง จบแล้ว เหลืออีกไม่กี่ปีเอง บางคนก็เหมือนไม่กี่ปี นี่พูดถึงเฉพาะเท่าที่เป็นไปได้นะ อาจจะ 30 ปี 20 ปี 10 ปี เมื่อเทียบกับนิรันดร์ มันเทียบกันไม่ติดเลย

ซึ่งสิ่งเหล่านี้ มารพยายามจะขโมยออกจากเราให้ได้ เราพยายามจะบอกพระเจ้าว่ามาเป็นคริสเตียนแล้ว เอาความทุกข์เราออกไปจากโลกนี้เถิด เราจะได้ไม่เป็นอันนั้น เราไม่อยากป่วย เราไม่อยากอะไร มันไม่ได้ มันเป็นจริงตามนั้น กฎของมันเป็นอย่างนั้น ก็ต้องรอ แต่ถ้าเราฝืนมัน ก็ไม่มีความสุข

แล้วก็มีความจริงอีกเรื่องหนึ่ง  ที่เป็นประเด็นฮิตฮอทอันดับต้นๆ ที่มารพยายามมาขโมยเหมือนกัน ที่พยายามบิดเบือนความจริงเรื่องนี้ บ่อยมาก คือเรื่องเกี่ยวกับการเชื่อฟังพระเจ้า โรม 6:16

โรม 6:16 “ท่านไม่รู้หรือว่าเมื่อท่านยอมตัวเชื่อฟังเยี่ยงทาสต่อผู้ใด ท่านก็เป็นทาสของผู้ที่ท่านเชื่อฟังนั้น ไม่ว่าท่านจะเป็นทาสของบาป ซึ่งนำไปสู่ความตาย หรือเป็นทาสของการเชื่อฟัง  ซึ่งนำไปสู่ความชอบธรรมก็ตาม”

 

ถ้าอ่านข้อนี้ข้อเดียว ถ้าท่านยังทำบาปอยู่ ก็แปลว่าท่านเป็นทาสของบาป ถูกไหม? ถ้าแปลง่ายๆ ก็คือถ้าท่านเชื่อฟังหัวหน้าบาป คือมาร แต่ถ้าท่านเชื่อฟังพระเจ้า ท่านก็ต้องทำตามคำสอนของพระเจ้า และไม่ทำบาป ถูกหรือเปล่า? ถ้าฟังข้อนี้ข้อเดียว ก็เลยต้องถามคำถามเดิมๆ ซ้ำๆ อีกว่าแล้วเป็นไปได้ไหม? เมื่อมาเชื่อพระเจ้าแล้ว จะไม่ทำบาปอีกเลย? ก็เป็นไปไม่ได้ สรุปแล้ว ท่านก็เริ่มคิด เอาอย่างไร? ก็ไม่ยาก อย่าเอาข้อเดียวมาตีความ อยากรู้ก็ไปอ่านต่อว่าบริบททั้งหมดว่าอย่างไร? ข้อ 17 กับ 18

โรม 6:17-18 “17 แต่ขอบพระคุณพระเจ้าที่แม้ท่านเคยเป็นทาสของบาป ท่านก็เชื่อฟังคำสอน ซึ่งทรงมอบหมายแก่ท่านนั้นอย่างสุดใจ 18 ท่านได้รับการปลดปล่อยให้เป็นอิสระจากบาปและได้กลายเป็นทาสของความชอบธรรมแล้ว”

 

อันนี้ต้องตั้งใจฟังนิดหนึ่ง เนื่องจากมันลึกซึ้งทางโลกวิญญาณ และภาษาไทยแปลออกมา แล้วเข้าใจยากนิดหนึ่ง ในนี้บอก แต่ขอบคุณพระเจ้า  แต่แสดงว่ามันไม่เป็นไปตามที่เราคิดเมื่อตะกี้นี้หรอก ถูกไหม? แต่ขอบคุณพระเจ้า เพราะแม้ท่านเคยเป็นทาสของบาป ท่านก็เชื่อฟังคำสอน ซึ่งทรงมอบหมายไว้ให้ท่านสุดใจ อันนี้ผมแปลให้นิดหนึ่ง จากภาษาเดิม หมายถึงท่านเคยเป็นคนบาป แต่เดี๋ยวนี้ ท่านก็ยังเชื่อฟังคำสอน ซึ่งพระเจ้าได้ใส่ไว้ในจิตใจของท่าน แค่นี้เอง จำได้ไหมตะกี้นี้อ่านเอเสเคียลอันเดียวกันนี้แหละ คือจิตใจใหม่ พระเจ้าใส่ความเชื่อฟังลงไปแล้ว ใส่ความเหมือนพระเจ้า เหมือนพระเยซูลงไปแล้ว ใส่ความเป็นมิตรกับพระเจ้า เข้ากันกับพระเจ้าไปแล้ว เอาศัตรู เอาใจหินออกไปแล้ว แค่นี้เอง พอแปลอย่างนี้ ท่านก็เข้าใจง่ายขึ้นแล้ว

ข้อ 18 แปลต่อมาอีกว่าท่านได้รับการปลดปล่อยให้เป็นอิสระจากบาปแล้ว และได้กลายเป็นทาสของความชอบธรรมแล้ว

ก็คือวิญญาณและความคิดจิตใจที่ได้บังเกิดใหม่แล้วนั้น มันกลายเป็นทาส ก็คือติดสนิทกับพระเจ้าแล้ว เป็นทาสของพระเจ้า แต่ก่อนนี้ บาปครอบงำเราอย่างไร? ตอนนี้พระเจ้าครอบงำเราอย่างนั้น ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับเราทำอะไรเลยนะ ในขณะเดียวกัน ในอดีตก็ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับเราทำเลย อาดัมทำ โดนเรา ตอนนี้พระเยซูทำ โดนถึงเราเหมือนกัน เห็นภาพอะไรบางอย่างไหม?

สังเกตไหมครับคำว่า “เคยเป็นทาสของบาป” ก็คือในอดีตเคยเป็น แต่ปัจจุบันไม่ได้เป็นแล้ว  ภาษาอังกฤษเรียกว่าเป็น Past tense เป็นอดีตไปแล้ว จบไปเรียบร้อยแล้ว

คำว่า “ทาสของความชอบธรรม” ที่ประโยคต่อมา ใช้คำว่า “ได้กลายเป็น (แล้ว)” มันเป็นอดีตเหมือนกัน แต่เป็นอดีตที่ยืดยาว เขาเรียกว่าได้รับแล้ว และปัจจุบันก็ยังเป็นอย่างนั้นอยู่ เขาเรียกว่า Present Perfect Tense  มันต่อเนื่องกันมา

ข้อที่ 17 “แต่ขอบคุณพระเจ้าที่แต่ก่อนนี้ เรายังไม่เกิดใหม่ เราเป็นทาสของความบาป มารครอบเราอยู่ แต่ในขณะนี้ ท่านก็เชื่อฟัง หมายถึงในขณะนี้ พระเจ้าได้ทำให้ท่านกลายเป็นวิญญาณใหม่ จิตใจใหม่ ที่พระเจ้าใส่ลงไป ให้เป็นวิญญาณและจิตใจที่เชื่อฟังพระเจ้าเรียบร้อยแล้ว”

นี่คือความอัศจรรย์ของพระคุณพระเจ้า ที่เรียกว่า Amazing Grace เคยเป็นทาสของความบาป แต่ด้วยความเชื่อในข่าวดีของพระเยซูแค่นั้นเอง ไม่ได้ทำอะไรเลย เราได้กลายเป็นผู้มีจิตใจใหม่เอี่ยมในพระเจ้า และได้รับการปลดปล่อยให้เป็นอิสระจากทาสบาปทั้งปวง แค่ด้วยความเชื่อเท่านั้นเอง เกิดใหม่ทางวิญญาณ และความคิดจิตใจที่ใหม่เอี่ยม ขอบคุณพระเจ้า ที่พระเจ้าได้ผ่าตัด เปลี่ยนใจหินกับเปลี่ยนวิญญาณของเราใหม่ ให้เป็นวิญญาณเหมือนพระเจ้า เปลี่ยนความคิดจิตใจของเราใหม่ ให้เป็นเหมือนพระเจ้า เป็นทาส เชื่อฟังพระเจ้า เราไม่ได้ทำอะไรเลย พระเจ้าผ่าตัดหัวใจให้ใหม่ เอาของใหม่ใส่มา ตามที่พระองค์ทรงสัญญาไว้ และใส่วิญญาณใหม่ในเจ้า เราจะขจัดใจหินออกไปจากเจ้า และให้ใจเนื้อ เราจะใส่วิญญาณของเราไว้ในใจ ก็คือพระวิญญาณ โน้มนำเจ้า ก็คือนำพาเจ้าให้ปฏิบัติตามกฎหมายของเรา คือทางของพระเจ้า และใส่ใจในการรักษาบทบัญญัติของเรา บทบัญญัติของพระเจ้า คือความรัก ความถูกต้อง ความดีงาม ความชอบธรรม หัวใจใหม่ที่พระเจ้าประทานให้เรา ก็คือหัวใจที่เชื่อฟังพระเจ้าอย่างสุดใจ 100% มีธรรมชาติ มีเนเจอร์ที่เป็นของพระเจ้า เชื่อฟังพระเจ้า หัวใจที่ต้องการทำทุกอย่าง ตามพระประสงค์ของพระเจ้า หัวใจที่ต้องการมอบถวายทุกสิ่งแด่พระเจ้า หัวใจที่มีความรักเหมือนพระเจ้า นี่คือธรรมชาติ ลักษณะของหัวใจ หรือความคิดจิตใจของผู้เชื่อทุกคนในพระเยซูคริสต์ในวิญญาณ เอเมน เราไม่ได้ทำอะไรเลย พระเจ้าทำให้เราทุกอย่าง

เรามีคุณสมบัติอย่างนี้ ถ้าท่านเอาไปนั่งคิดอย่างนี้ แล้วภาวนาอย่างนี้อยู่บ่อยๆ จนท่านรู้ว่าตัวจริงๆ ท่านเป็นใคร? ท่านจะยืดอกเลยว่าขอบคุณพระเจ้า ท่านจะไม่รู้สึกห่อเหี่ยว หดหู่เลย แล้วถามว่าท่านจะเย่อหยิ่งไหมเมื่อรู้ความจริงนี้? ไม่เย่อหยิ่งเลย เพราะท่านรู้ว่าพระเจ้าทำ ไม่เกี่ยวอะไรกับฉันเลย แม้แต่นิดเดียว แต่อย่างที่พูดเสมอว่าเรายังวนเวียนอยู่กับอิทธิพล และอยู่ใต้กระแสของโลกนี้ เพราะฉะนั้น เรายังมีโอกาสพลาดพลั้ง ถูกล่อลวง ให้ทำผิดบาป ในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ได้ และทำอย่างแน่นอน ไม่ว่าจะมากหรือน้อยก็ตาม แต่การกระทำผิดบาป ที่เกิดขึ้นจากภายนอก ไม่ใช่ในวิญญาณของเรา

ท่านพอจะเห็นภาพแล้วนะ วิญญาณและความคิดจิตใจเราใหม่เอี่ยมเลย ยังอาศัยอยู่ในร่างกายนี้เท่านั้นเอง ร่างกายนี้ไม่ใช่ตัวจริงของเรา วันหนึ่งเราต้องทิ้งมันไป เหมือนที่เปาโลพูดถึงการต่อสู้ ในการดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ว่าในใจเขาคิดอย่างไร? ในใจเขามีความรู้สึกอย่างไร? ซึ่งผู้เชื่อทุกคนก็เป็นเหมือนกัน เปาโลพูดว่าอย่างไร? ในโรม 7:15-17 มาเชื่อพระเจ้าแล้ว วิญญาณก็ใหม่ จิตใจก็ใหม่ เหมือนพระเยซูเลย เต็มไปด้วยความบริสุทธิ์ เป็นวิญญาณแห่งความรัก เป็นความสว่าง เปาโลบอกว่า …

“ข้าพเจ้าไม่เข้าใจ สิ่งที่ตนเองทำ เพราะสิ่งที่ข้าพเจ้าต้องการจะทำ ข้าพเจ้าไม่ทำ แต่ข้าพเจ้ากลับทำสิ่งที่ตนเองเกลียด และถ้าข้าพเจ้าทำสิ่งที่ตนเองไม่ต้องการจะทำ ข้าพเจ้าก็เห็นด้วยว่าบทบัญญัตินั้นดี ดังที่เป็นอยู่ จึงไม่ใช่ตัวข้าพเจ้าเองที่เป็นผู้กระทำสิ่งนี้อีกต่อไป แต่เป็นเพราะบาปที่อยู่ในข้าพเจ้า”

“ข้าพเจ้า” หมายถึงใคร? “ข้าพเจ้าไม่เข้าใจในสิ่งที่ตนเองทำ เพราะสิ่งที่ข้าพเจ้าต้องการจะทำ ข้าพเจ้าไม่ได้ทำ เพราะข้างในข้าพเจ้าต้องการจะทำให้เหมือนพระเจ้าเป๊ะเลย แต่ข้างนอก มันได้รับสื่อ  อิทธิพล ความคุ้นเคย ความชินกับชีวิตเก่าๆ มันทนไม่ไหว”

ยกตัวอย่างง่ายๆ ชัดๆ เปาโล ข้างในได้รับการบังเกิดใหม่ วิญญาณใหม่ มีความคิดจิตใจใหม่ เหมือนพระเจ้าเลย เต็มไปด้วยความรัก วิญญาณของเปาโลเป็นความรัก  มีความคิดจิตใจที่เป็นความรัก ความรัก คือการอดทนนาน กระทำคุณให้ ไม่อิจฉา ไม่อวดตัว ให้อภัยเสมอ แต่ปรากฏว่าเปาโลไปเจอคนที่ต่อต้านข่าวประเสริฐของพระเจ้าอย่างรุนแรงและดื้อด้านมากเลย ทำให้ผู้เชื่อใหม่ หลงหาย เปาโลทนไม่ไหว โกรธขึ้นมา ด่าสุดๆ เลย ถามว่าที่ด่านั้น กับวิญญาณตรงกันไหม? วิญญาณบริสุทธิ์ เต็มไปด้วยความรัก เป็นความรัก ไม่ด่า ไม่อิจฉา ไม่อวดตัว ไม่เย่อหยิ่งผยอง ไม่โกรธเกลียดใครแล้ว แต่ทนไม่ไหว เปาโลเป็นคนทำเหรอ? เปาโลบอกว่าตัวจริงๆ ฉันไม่ได้เป็นคนทำ แต่บาปที่อยู่ในตัวข้าพเจ้าต่างหากที่ทำ  ที่โกรธนั้น ที่โมโหนั้น มันอยู่ในเนื้อหนังร่างกายนี้ แต่วิญญาณไม่มี ความคิดจิตใจไม่มี มันเป็นเนเจอร์ เหมือนพระเจ้าไปแล้ว พระเจ้าบอกว่าพระองค์ทรงประทานชีวิตใหม่ วิญญาณใหม่ หัวใจใหม่ให้กับเราแล้ว เป็นหัวใจที่สะอาด บริสุทธิ์ ไร้มลทิน ปราศจากบาป เพื่อพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระองค์จะสามารถเข้ามาสถิตได้ เพราะถ้าข้างในเราไม่สะอาด พระวิญญาณพระเจ้าก็เข้ามาอยู่กับเราไม่ได้ มีสิ่งสกปรกเพียงนิดเดียว ก็อยู่ไม่ได้แล้ว เพราะว่าพระเจ้าจะสถิตที่ใด? ที่นั่นต้องสะอาดมากๆ เลย

พระเจ้ายกตัวอย่างให้ในพระคัมภีร์เดิม บอกให้รู้เลย การทรงสถิตของพระองค์ เป็นฤทธิ์เดชอำนาจ บริสุทธิ์ขนาดไหน?  ทำให้มนุษย์ได้เห็นแล้ว พระคัมภีร์บอกว่าพระเจ้าทรงชำระล้างเราให้บริสุทธิ์ เพื่อพร้อมที่จะเป็นวิหารของพระเจ้า พลับพลาของพระเจ้า พระคัมภีร์เดิมวิหารของพระเจ้า หรือพลับพลาของพระเจ้า เป็นที่นมัสการที่มนุษย์ หรือเรียกว่าปุโรหิต เป็นผู้สร้างขึ้น ซึ่งครั้งแรกเลย พระเจ้าให้โมเสสสร้าง แล้วบอกว่านี่คือวิหารที่เราจะสถิตอยู่ แต่ทำด้วยมือนะ เลียนแบบ จำลองมาจากสวรรค์ จะเป็นวิหารที่ใช้สำหรับการนมัสการ ก็คือใช้ติดต่อกับพระเจ้า สมัยโมเสส มีเพียงปุโรหิตเข้าไปได้ แค่คนเดียว และได้ปีละครั้ง ก่อนจะเข้าไป ก็ต้องทำตัวให้สะอาดบริสุทธิ์ เพราะอันตรายมากๆ นึกออกใช่ไหมว่าพระเจ้าต้องการให้มนุษย์ได้เห็นว่าความบริสุทธิ์ของพระองค์ขนาดไหน? ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับเหตุและผลเลย เกี่ยวกับความเป็นจริงของลักษณะวิญญาณพระเจ้าว่าสะอาด บริสุทธิ์มากๆ มนุษย์สกปรกนิดเดียวก็ไม่ได้เลย เข้าไปได้ปีละครั้ง  ถ้าคนนั้นเข้าไป เตรียมตัวไม่พร้อม ทำอะไรพลาดนิดเดียว ตาย ต้องดึงเชือกออกมา เขาถึงให้ใส่ลูกกระพรวน หมายถึงชุดเขาใส่ลูกกระพรวน กรุ๊งกริ๊งๆ ถ้าเสียงเงียบไปเมื่อไร ไม่มีโต้ตอบ ดึงลากออกมา ตายแล้ว เพราะไปทำอะไรบางอย่างที่ผิดจากที่พระเจ้าสั่งให้ทำ

นี่คือฤทธิ์อำนาจของความบริสุทธิ์ของพระเจ้า แล้วถ้าพระเจ้ามาสถิตอยู่กับเรา ตามพระคัมภีร์ใหม่ที่บอกไว้ มันอัศจรรย์ยิ่งใหญ่ขนาดไหน? เมื่อร่างกายเราที่บอกชำระจนสะอาดหมดจดเรียบร้อยแล้ว พระเจ้าจึงเข้ามาอยู่ได้ เอเมน มันถึงเป็นข่าวดีมากๆ ในขณะเดียวกันคนที่ถูกล่อลวงด้วยมาร ไม่เชื่อในข่าวดีนี้ จะมีความรู้สึกว่า …

“มันจะเป็นไปได้อย่างไร? ฉันสกปรก ฉันทำไม่ดีเลย ฉันจะมาอยู่กับพระเจ้าได้อย่างไร?”

พระเจ้าบอก “Noๆๆๆ เจ้าไม่ต้องทำอะไรเลย เพราะเราเป็นคนทำให้เจ้าแล้ว ทำให้เอง เพียงแต่เจ้าเข้ามาใช้สิทธิ์เท่านั้นเอง”

พอมาถึงยุคพันธสัญญาใหม่ วิหารของพระเจ้า อยู่ในร่างกายของมนุษย์ “ในเรา” หมายถึงในผู้เชื่อทุกคน แล้วถ้าบอกว่าวันนี้ พระเจ้าชำระเราจนสะอาดบริสุทธิ์แล้ว พระวิญญาณมาสถิตอยู่ด้วยกันกับเราแล้ว แล้วเกิดวันหนึ่งข้างหน้า เราเผลอไปทำบาป ทำอันโน้นอันนี้ สกปรกอย่างโน้นอย่างนี้ แล้วเราไม่ตายเหรอ พอเราโกหกทีหนึ่ง พระวิญญาณต้องออกไปแป๊บหนึ่ง เมื่อเช้านี้ เราขับรถมา เราหงุดหงิด ไปว่าคนตัดหน้าปุ๊บ พระวิญญาณออกไปแป๊บหนึ่ง พอเราขอโทษปุ๊บ พระวิญญาณเข้ามา พอเราเข้ามาในโบสถ์ปุ๊บ เรารำคาญคนๆ นี้ พระวิญญาณออกไป พอเราเกิดเข้ามาในโบสถ์ อธิษฐาน พระวิญญาณเข้ามา แล้ววันหนึ่งจะกี่ครั้ง พระวิญญาณเข้าๆ ออกๆ ตัวเรา

ท่านจะรู้แล้ว มันไม่ใช่แน่ วิญญาณก็วิญญาณ วัตถุก็วัตถุ คนละเรื่องกัน อย่างที่ผมบอกเสมอ การตีความพระคัมภีร์ ต้องดูบริบท โดยรวม ภาพรวม ต้องยึดตามพื้นฐานข้อเชื่อในพระคัมภีร์เป็นหลักว่ามันรวมกันแล้ว เป็นลักษณะอย่างไร? ไม่อย่างนั้นมันจะตลกๆ

วิหารสมัยโมเสส ที่พระเจ้าบอกให้ทำ ก็คือวิหารที่ทำด้วยมือ จำลองว่าเป็นอย่างนั้น เพื่อเป็นเงาของวันเพ็นเทคอสว่าพระเจ้าจะมาสถิตอยู่กับมนุษย์ พระเจ้าบอกทำเลียนแบบที่อยู่ในสวรรค์ แล้วท่านดูนะว่ามันจริงไหม? ผมกำลังยกตัวอย่างให้ท่านดูสุดท้าย

วิหารสมัยโมเสส พระเจ้าให้ทำอย่างไร? มีลานชั้นนอก ไม่มีอะไรให้ดูเลย เดินผ่านลานชั้นนอกปุ๊บ มีประตูเข้าห้อง เรียกว่าห้องชั้นใน ในห้องชั้นในมีม่านกั้น หลังม่านเรียกว่าห้องบริสุทธิ์ที่สุด ห้องที่พระเจ้าสถิตอยู่  ถ้าพูดภาษาอังกฤษ ก็คือข้างนอก เรียกเอ๊าคอร์ด เรียกว่าลานวิหาร อันที่สอง ก็คือ Holy place คือสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ พอผ่านม่านข้างใน อันที่สามเรียกว่า The most Holy place หรือเรียกว่า Holy of Holies แปลว่าสถานที่บริสุทธิ์ที่สุด ซึ่งจะมีหีบพันธสัญญา ซึ่งเล็งถึงการทรงสถิตของพระเจ้าอยู่ที่นั่น  แล้วถ้าเทียบกับมนุษย์ในปัจจุบันล่ะ ที่พระเยซูทำให้สำเร็จแล้ว ที่ไม้กางเขนแล้ว เมื่อมนุษย์คนใดคนหนึ่งเชื่อในพระเจ้า เกิดอะไรขึ้น พระเจ้าจะเข้ามาสถิตกับเขา ที่ในวิญญาณ และจิตใจของเขา พระเจ้าจะผ่าตัดใจใหม่ ให้วิญญาณใหม่กับเขา แล้วพระองค์ก็เข้าไปอยู่กับเขาเลย ที่วิญญาณและจิตใจของเขา แต่ร่างกายของเขายังเป็นเหมือนเดิม ท่านเห็นไหม?

เพราะฉะนั้น ร่างกาย จิตใจ และวิญญาณของเรา คือวิหารของพระเจ้า มันแปลว่าอย่างนี้ พระเจ้าเข้ามาสถิตอยู่ข้างในตัวเรานั่นแหละ และเราจะอยู่กับพระเจ้าอย่างนี้ตลอดไป ซึ่งยังมีข้อพระคัมภีร์อื่นๆ ที่ยืนยันว่าพระเจ้าได้ประทานวิญญาณให้อยู่กับเรา จิตใจใหม่ให้กับเราเรียบร้อยไปแล้ว เมื่อเราเชื่อในข่าวดีของพระเจ้า ผมจะยกตัวอย่างให้สักนิดหนึ่ง เพื่อยืนยันให้ท่านเห็น โรม 5:5

โรม 5:5 “ความหวังไม่ทำให้เราผิดหวัง เพราะพระเจ้าทรงเทความรักของพระองค์ เข้ามาในจิตใจของเรา โดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ ผู้ซึ่งพระเจ้าได้ประทานแก่เรา”

 

เอเฟซัส 3:7 “ข้าพเจ้าได้เป็นผู้รับใช้แห่งข่าวประเสริฐนี้ โดยพระคุณ ซึ่งพระเจ้าประทานแก่ข้าพเจ้า ผ่านทางการทำงานของฤทธิ์อำนาจของพระองค์”

 

ท่านสังเกตดู 2 ข้อที่ผ่านมา ไม่มีการกระทำของมนุษย์เกี่ยวข้องเลย พระเจ้าเป็นผู้ทำหมดเลย ให้ฟรีๆ หมด จึงเรียกว่าพระคุณ พระองค์ทรงกระทำทั้งสิ้น วิญญาณที่พระเจ้าประทานให้อยู่กับเรา คือพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า จะอยู่กับเราได้ คือเราต้องสะอาดหมดจด บริสุทธิ์มากๆ ที่สุด  พระองค์ก็ทรงชำระให้เรา โดยที่เราไม่ต้องทำอะไรเลย  พระองค์ทรงกระทำให้ ผ่านทางพระเยซูคริสต์ที่ไม้กางเขน ที่เรียกว่าข่าวดี ถ้าเราต้องทำเอง เรียกว่าข่าวร้ายเลย เพราะไม่มีใครทำได้ ไม่มีใคร ทำตัวเองให้สะอาดบริสุทธิ์ เหมาะที่พระเจ้าจะมาสถิตอยู่ด้วย เป็นไปไม่ได้เลย

ก่อนที่พระเยซูจะทำให้สำเร็จ แม้กระทั่งผิดนิดเดียว วันนี้อาบน้ำน้อยไปหน่อย จะต้องเข้าเฝ้าพระเจ้าปีละหนึ่งครั้ง สมมติมหาปุโรหิต แต่งตัวผิดนิดหนึ่ง ตาย เข้าไปแกว่งเครื่องหอม ซึ่งเรียกว่าการทรงสถิตของพระเจ้า ใส่ผงกำยาน ใส่ผิดไปนิดหนึ่ง ตาย  เพราะความบริสุทธิ์ของพระเจ้า มันไม่ได้เกี่ยวกันกับว่าในใจคุณคิดอะไร? คุณตั้งความหวังว่าอะไร? ไม่เกี่ยว อย่างที่ผมบอก มันเป็นกฎ มันเป็นธรรมชาติ พระเจ้าเป็นความบริสุทธิ์ ความบริสุทธิ์ของพระเจ้าเป็นฤทธิ์เดชอำนาจในตัว ซึ่งอยู่ตรงกันข้ามกับความบาป เหมือนกับแรงดึงดูดของโลก ไม่ว่าคุณจะเป็นคนดี หรือไม่ดี หรือเป็นคนเลวอย่างไร? คุณเดินออกไปจากดาดฟ้า คุณก็ตกลงไป

2 โครินธ์ 1:22 “ทรงประทับตรา แสดงความเป็นเจ้าของบนเรา และประทานพระวิญญาณของพระองค์ไว้ในใจเรา เป็นมัดจำค้ำประกัน ในสิ่งที่จะมาถึง”

 

พอท่านเชื่อในข่าวดีของพระเยซูว่าเป็นจริง พระเจ้าเปลี่ยนหัวใจท่านใหม่ เป็นหัวใจที่เหมือนพระเยซู เปลี่ยนวิญญาณท่านใหม่ เป็นวิญญาณที่เหมือนพระเยซู และในนี้บอกและทรงประทับตรา … “ประทับตรา” แปลว่าปิดห้อง ต่อจากนี้ไม่มีใครเอาเราออกไปจากมือของพระเจ้าได้แล้ว ต่อให้เป็นมารหรือตัวเราเอง ก็ออกไม่ได้ เมื่อเราได้ถูกเปลี่ยนแปลง เป็นเหมือนพระเจ้าแล้ว มันก็เป็นอย่างนั้น มันจะเปลี่ยนเป็นอย่างอื่นไม่ได้แล้ว ไม่ต้องห่วง

กาลาเทีย 4:6 “ในเมื่อท่านเป็นบุตร พระเจ้าจึงทรงให้พระวิญญาณของพระบุตรของพระองค์เข้ามาในใจเรา พระวิญญาณผู้ทรงร้องเรียกว่า “อับบา พ่อ””

 

“ในเมื่อท่านเป็นบุตร” เป็นบุตร เพราะท่านทำดี ไม่ใช่ เป็นบุตร เพราะท่านได้เกิดมาเป็นบุตร เกิดใหม่ พอท่านเชื่อในข่าวดีของพระเยซูว่าพระองค์ทรงชำระบาปให้กับท่านบนไม้กางเขน ท่านใช้สิทธิของท่าน ทันทีทันใดนั้น พระวิญญาณบริสุทธิ์จะเข้ามา เขาเรียกว่าบัพติศมาท่านด้วยไฟ คือจุ่มวิญญาณและจิตใจท่าน ลงไปในฤทธิ์เดชอำนาจแห่งความบริสุทธิ์ของพระเจ้าที่ยิ่งใหญ่สูงสุดนั้น และทำให้บังเกิดใหม่ในวิญญาณและความคิดจิตใจ เป็นไปตามที่พระเจ้าวางแผนมาตั้งนานแล้ว ในนี้จึงบอกว่าพระเจ้าจึงทรงให้พระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระองค์เข้ามาอยู่ในใจของเรา วิญญาณก็เปลี่ยนใหม่ จิตใจก็มีพระวิญญาณบริสุทธิ์อยู่ และพระวิญญาณผู้นี้ ก็จะค่อยๆ สอนเราในทางของพระเจ้าทั้งหมด ในทางของความรัก ความสว่าง และสอนเราในทางของความคุ้นเคย ความสัมพันธ์ในครอบครัว ก็คือให้เราเรียกพระเจ้าว่าพ่อ ให้เราเรียกพระเยซูว่าพี่ ให้เราเรียกพี่น้องคนอื่นๆ ที่เป็นคริสเตียนว่าพี่น้อง พระวิญญาณจะนำเรา นี่คือตัวอย่าง แล้วจะนำเราไปเรื่อยๆ ทุกอย่างทุกเรื่องแหละ เพียงแต่เราได้ยินพระองค์หรือเปล่า? ต่อไปนี้ เวลาจะอธิษฐาน ภาวนา หาความจริงอะไรต่างๆ ให้วิ่งไปที่พระคัมภีร์ อันนี้ก็มีส่วน แต่ท่านต้องตั้งความคิดจิตใจไว้ที่วิญญาณตลอด ถ้าอธิษฐาน ให้อธิษฐานด้วยใจ ด้วยวิญญาณ ถ้าจะถวาย ให้คิดถวายด้วยความประสงค์จากใจ มันหมายถึงตรงนี้  ทุกอย่างทำจากข้างในออกมาข้างนอก นั่นแหละ คือคริสเตียน

เวลาจะคิดอะไรก็ตาม คิดจากข้างใน คือฝ่ายวิญญาณของเรา ไม่ต้องออกไปข้างนอก ถ้าเมื่อไรก็ตามท่านทำอย่างนี้ เท่ากับเรากำลังลากมาร สมมติว่าเป็นการต่อสู้กันบนโลกใบนี้ เรากำลังลากมารขึ้นมาบนเวทีของเรา เวทีของเราที่เราจะชนะ 100% หมัดหนักที่สุด ก็คือเวทีทางโลกวิญญาณ เราแค่ฮุ๊กทีเดียวกระเด็นไปไกลเลย แต่ถ้าเราถูกมันลากลงจากวิญญาณ ลงไปอยู่บนโลกใบนี้ แล้วให้เราไปชกกับมัน ตายลูกเดียว ต่อให้เป็นคริสเตียน อย่างไรก็ตาย ต่อให้มีตำแหน่งในคริสเตียนก็ตาย เพราะว่าในทางคริสเตียน ตำแหน่งเท่ากันหมด เพราะฉะนั้นเราต้องลากมันเข้ามาตรงนี้ พยายามฝึกฝนที่จะทำอะไรก็ตาม ผลักออกจากใจ

พระคัมภีร์บอกจะนมัสการพระเจ้า จงนมัสการด้วยวิญญาณและความจริง ถ้าจะให้ ก็ต้องให้จากใจ รักพี่น้อง รักจากใจ ทุกอย่างจากใจหมด เพราะในใจนั้นบริสุทธิ์สะอาด เป็นลูกของพระเจ้า และมีพระเจ้าเป็นพี่เลี้ยงของเราอยู่ เอเมน

คำว่า “ภาวนา” “อธิษฐาน” “pray” อย่าไปนั่งคิด เราชอบนั่งคิดว่าการภาวนา คือต้องไปนั่งเงียบๆ นั่งในห้องคนเดียว อธิษฐาน คำว่า “อธิษฐาน” คือการติดต่อกับพระเจ้า ถามว่าติดต่อกับพระเจ้า ต้องติดต่อทางไหน? ทางวิญญาณ การภาวนา ก็คือการทำอะไรก็ตามที่จะติดต่อกับพระเจ้าทางวิญญาณ คิดไปถึงโลกวิญญาณ เขาเรียกว่าภาวนา เรียกว่า Pray  พระคัมภีร์จึงบอกให้เราอธิษฐานเสมอๆ อธิษฐานตลอด 24 ชั่วโมง แล้วใครไปนั่งอธิษฐานอย่างนั้นได้ มันไม่ได้แปลว่าอย่างนั้น อธิษฐาน 24 ชั่วโมง ท่านสามารถทำได้แล้วตอนนี้ คือในใจท่านจดจ่ออยู่กับเรื่องของโลกวิญญาณตลอด ท่านสามารถภาวนาได้ตลอด 24 ชั่วโมง ท่านสามารถอธิษฐานได้ตลอด 24 ชั่วโมงเลย เพียงแต่ส่วนหนึ่งเท่านั้น ในบางวันเท่านั้น ที่ท่านมานมัสการพระเจ้า ในวิญญาณและมีเพลงประกอบ อาจเป็นเพลงไทย เพลงฝรั่ง เพลงจีนประกอบเท่านั้น แต่ท่านร้องเพลงจากวิญญาณของท่าน ท่านไม่ต้องมาที่โบสถ์ แล้วก็มาร้องด้วยวิญญาณตรงนี้ ท่านอยู่ที่ไหน ท่านก็ร้องได้ เพราะวิญญาณอยู่ในตัวท่านนั่นเอง  เอเมน ขอพระเจ้าอวยพรครับ

 

****************************

 

 

 

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 16 มิถุนายน 2019 เรื่อง “สำเร็จแล้ว … เราได้รับชีวิตใหม่ วิญญาณใหม่ ความคิดจิตใจใหม่เรียบร้อยแล้ว” ตอน 6 โดย นคร เวชสุภาพร

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  16  มิถุนายน  2019

 เรื่อง “สำเร็จแล้ว … เราได้รับชีวิตใหม่  วิญญาณใหม่

ความคิดจิตใจใหม่เรียบร้อยแล้ว” ตอน 6

โดย นคร  เวชสุภาพร

            วันนี้ผมใช้หัวข้อเรื่องว่า “เราได้รับชีวิตใหม่ วิญญาณใหม่ ความคิดจิตใจใหม่เรียบร้อยแล้ว” นี่คือข่าวดี มาพูดถึงวันกำเนิดคริสตจักรใหม่ เมื่อสัปดาห์ที่แล้วได้พูดไปแล้ว เป็นวันเพ็นเทคอส เป็นวันก่อตั้งของ 2 คริสตจักรนี้ ทางโลกวิญญาณและโลกวัตถุ เผอิญมันเป็นวันเดียวกันพอดี แต่ห่างกัน วันเพ็นเทคอส ของเราครบรอบ 26 ปีกับของพระเจ้าฉลองไปเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ครบรอบประมาณ 2,000 ปี

พระคัมภีร์บันทึกไว้ว่าหลังจากเป็นขึ้นจากความตายของพระเยซูคริสต์ ในวันอีสเตอร์แล้ว พระองค์ก็ได้ทรงปรากฎพระองค์ และอยู่กับเหล่าสาวกอีก 40 วัน จากนั้น ก็ทรงถูกรับ ลอยเข้าไปอยู่ในสวรรค์ ทางโลกวิญญาณ ต่อหน้าต่อตาผู้คนจำนวนมาก ซึ่งเป็นพยานในวันนั้น บันทึกเอาไว้ในหนังสือกิจการ

และในมาระโก บทที่ 16 บันทึกเหตุการณ์อย่างนี้ว่าพระเยซูคริสต์ถูกรับขึ้นสู่สวรรค์ ประทับที่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้า  … ลอยขึ้นไปนั่งในสวรรค์ ที่แห่งหนึ่งในโลกวิญญาณ ที่มองไม่เห็น เรียกว่าสวรรค์ ซึ่งก่อนที่พระเยซูจะถูกรับไปอยู่บนสวรรค์กับพระเจ้า คือในช่วง 40 วันที่อยู่กับเหล่าสาวก ที่เดินสอนกับเหล่าสาวก หลังจากเป็นขึ้นจากความตายแล้ว พระองค์ก็ได้ทรงบอกไว้ก่อนล่วงหน้าแล้วว่าพระองค์จะต้องจากไปเร็วๆ นี้ และได้ทรงสัญญาว่าเมื่อจากไป จะทรงประทานพระวิญญาณบริสุทธิ์ ให้มาสถิตอยู่ด้วยกันกับพวกเธอ หรือกับมนุษย์นั่นเอง ตอนพูดตอนนั้น ไม่มีใครเข้าใจ แต่มีคนจดว่าพระองค์พูดอะไร? แล้วค่อยมาเข้าใจทีหลัง

เคยมีใครตั้งคำถามไหมครับว่าทำไมพระเยซูต้องถูกรับขึ้นไปบนสวรรค์ด้วย? ทำไมพระเจ้าถึงไม่ให้พระเยซูอยู่กับมนุษย์ เดินอยู่บนโลกใบนี้ หลังจากเป็นขึ้นจากความตายตลอดไปเลย บางคนบอกว่าพระเจ้าให้พระเยซูอยู่กับมนุษย์อย่างนั้นนะ รับรองป่านนี้คนทั้งโลกเชื่อพระเจ้าหมดแล้ว นี่คิดแบบมนุษย์

เรื่องราวข่าวประเสริฐของพระเยซู มักจะมีคนตั้งคำถามว่าทำไมอย่างนั้น ทำไมอย่างนี้ คิดตามภาษาปัญญามนุษย์ เรื่อยเปื่อย เราจะมาดูคำตอบกัน พระองค์เป็นคนตอบว่าทำไมพระองค์ต้องจากไป เพื่ออะไร? ยอห์น 16:7

ยอห์น 16:7 “เราบอกความจริงแก่พวกท่านว่าการที่เราจะจากพวกท่านไป ก็เพื่อผลดีของพวกท่าน ถ้าเราไม่ไป องค์ที่ปรึกษาก็จะไม่มาหาพวกท่าน แต่ถ้าเราไป เราจะส่งพระองค์มาหาพวกท่าน”

 

พระเยซูตอบเองเลยว่าเหตุผลที่พระองค์ถูกรับขึ้นไปอยู่บนสวรรค์กับพระเจ้า ก็เพื่อมนุษย์จะได้มีโอกาส มีองค์ที่ปรึกษามาอยู่ด้วย องค์ที่ปรึกษาในนี้ ก็คือพระวิญญาณ คือพระเจ้านั่นเอง ในรูปแบบของพระวิญญาณ 1 ใน 3 พระภาค พระเจ้า พระบิดา พระเจ้า พระบุตร พระเจ้า พระวิญญาณบริสุทธิ์ คือพระเจ้ามาสถิตอยู่กับมนุษย์นั่นเอง ถ้าพระเยซูไม่เข้าไปอยู่ในโลกวิญญาณ พระเจ้าก็ไม่สามารถมาอยู่ในร่างกายของมนุษย์ได้ พูดง่ายๆ อย่างนี้

วันเพ็นเทคอสที่เราได้ฉลองกันไป เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ก็คือวันที่องค์ที่ปรึกษา หรือองค์พระวิญญาณบริสุทธิ์ ก็คือพระเจ้าได้มาอยู่กับมนุษย์เป็นครั้งแรก ในประวัติศาสตร์มนุษยชาติ มาจนถึงทุกวันนี้ ประมาณ 2,000 ปี เราจึงฉลองเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว

ถ้าพระเยซูยังคงเป็นมนุษย์ เดินอยู่กับพวกเราบนโลกใบนี้ คิดให้ดีๆ แล้วที่บอกว่าพระเจ้าสถิตอยู่กับผู้เชื่อทุกคน มันก็เป็นไปไม่ได้ เพราะพระเยซูต้องอยู่ทีละแห่งๆ แล้วอยู่กับทุกคน ทำอย่างไร? ประชากรโลกมีจำนวนมากมาย หลายพันล้าน มันเป็นไปไม่ได้ เพราะฉะนั้น พระเจ้าต้องมาในรูปแบบของวิญญาณ เพราะว่าพระเยซูไม่ใช่วิญญาณอีกต่อไป พระเจ้า พระบิดาเป็นวิญญาณ พระเจ้าพระวิญญาณบริสุทธิ์ เป็นวิญญาณ แต่พระเยซูเป็นมนุษย์ และเป็นวิญญาณด้วย คือเป็นมนุษย์และเป็นพระเจ้าพร้อมกัน

ถ้าพระเยซูเป็นวิญญาณ ก็ไม่เป็นประโยชน์อะไรกับเราเลย แต่ถ้าเป็นมนุษย์ ก็คือเป็นต้นพันธุ์ เป็นเผ่าพันธุ์  เป็นหัวหน้าเราอีกทีหนึ่ง และหัวหน้าของเราชนะแล้ว เอเมน อาดัมก็เป็นหัวหน้าเราในอดีต แต่อาดัมแพ้

เพราะฉะนั้น แผนการของพระเจ้า ก็คือส่งพระวิญญาณบริสุทธิ์ให้มาเป็นตัวแทนของพระเยซู มาอยู่กับพวกเราทุกคน ทุกวันนี้นั่นเอง แผนการนี้วางไว้ตั้งแต่ก่อนสร้างโลกแล้ว ถ้ามนุษย์ตกลงไปในความบาป จะทำอย่างนี้  คือสรุปสุดท้ายให้พระวิญญาณพระเจ้าลงมาสถิตอยู่กับมนุษย์ทุกคนอีกครั้งหนึ่ง แต่พระเยซูต้องเข้ามาทำงาน ก็ว่ากันไป เอเมน ยอห์น 16:13-15 ลองอ่านดูว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์อธิบายอย่างไรว่าพระองค์จะมาทำอะไร? อย่างไร? ในร่างกายเรา

ยอห์น 16:13-15 “13 เมื่อพระวิญญาณแห่งความจริงเสด็จมา พระองค์จะทรงนำพวกท่าน ไปสู่ความจริงทั้งมวล พระองค์จะไม่ตรัส โดยลำพังพระองค์เอง แต่จะตรัสเฉพาะสิ่งที่ทรงได้ยิน และจะทรงแจ้งแก่พวกท่าน ถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้น 14 พระองค์จะทรงนำเกียรติสิริมาให้เรา โดยการนำสิ่งที่เป็นของเรา มาสำแดงแก่พวกท่าน 15 ทุกสิ่งที่เป็นของพระบิดา ก็เป็นของเรา ฉะนั้น เราจึงกล่าวว่าพระวิญญาณจะทรงนำสิ่งที่เป็นของเรา มาสำแดงแก่พวกท่าน”

 

“เรา” คือพระเยซู เมื่อพระวิญญาณแห่งความจริง คือพระวิญญาณบริสุทธิ์เสด็จมา พระองค์จะทรงนำพวกท่าน

“พวกท่าน” ก็คือใครก็ตาม มนุษย์คนใดก็ตาม ที่เชื่อในข่าวดีของพระเยซูคริสต์ เชื่อในการกระทำของพระเยซูบนไม้กางเขน เชื่อว่าพระองค์เป็นพระเจ้า มาช่วยเหลือ เป็นผู้ช่วยให้รอด คนนั้นแหละ

พระองค์จะทรงนำพวกท่านไปสู่ความจริงทั้งมวล ความจริงที่พระเยซูกำลังพูดตรงนี้ ทำให้เราเป็นไท แล้วอะไรคือความจริงทั้งมวล คำตอบก็ต้องมาจากพระคัมภีร์ อ่านดูต่อ ยอห์น 14:26 พระองค์ตอบเอง

ยอห์น 14:26 “องค์ที่ปรึกษา คือพระวิญญาณบริสุทธิ์ ซึ่งพระบิดาจะทรงส่งมาในนามของเรา จะทรงสอนสิ่งทั้งปวงแก่พวกท่าน และจะให้พวกท่านระลึกถึงทุกสิ่งที่เราได้กล่าวกับพวกท่าน”

 

เอเมน พระบิดาจะส่งพระวิญญาณมาในนามของพระเยซู เพราะเราเริ่มต้นเชื่อที่องค์พระเยซู เป็นพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์ ตายที่ไม้กางเขน ไถ่บาปให้กับเรา  ทางพระเยซูนั่นเอง พอใครเชื่อแบบนี้ปุ๊บ พระเจ้าก็จะทำให้คนนั้นเกิดใหม่ แล้วส่งพระวิญญาณบริสุทธิ์เข้ามาอยู่ในร่างกายของเขา นั่นคือความจริง และพระวิญญาณผู้นี้ จะทรงสอนสิ่งทั้งปวงแก่พวกท่าน และจะให้พวกท่านระลึกถึงทุกสิ่งที่เราได้กล่าวกับท่าน

“เรา” คือพระเยซู และจะให้พระวิญญาณบริสุทธิ์สอนท่าน และระลึกถึงคำพูดต่างๆ คำสอนต่างๆ อุปมาต่างๆ ที่เราไม่เข้าใจ ฟังแล้วงงไปงงมานั้น สอนเราอย่างละเอียดและเข้าใจดี โดยพระวิญญาณบริสุทธิ์จะบอกกับท่านที่ในวิญญาณของท่าน เอเมน ขณะที่เราฟังคำบรรยายจากผู้บรรยาย หรือฟังคำพยานจากผู้ที่เป็นพยานเรื่องเกี่ยวกับพระเจ้า พระวิญญาณจะเป็นผู้อยู่ข้างในตัวเรา คอยเสริมให้กับเรา คอยบวกๆ ลบๆ อะไรที่ไม่ใช่ ก็บอกไม่ใช่ อะไรที่ใช่ ก็บอกใช่ บางครั้งอะไรที่ไม่ใช่ พระองค์บอกไม่ใช่ ในความคิดเราเคยบอกใช่ แต่ความตั้งใจของพระวิญญาณ คือกำลังสอนเราเกี่ยวกับเรื่องความจริง ที่พระเยซูบอกเราในพระคัมภีร์ไบเบิ้ล ซึ่งมันมีนิดเดียว ความจริงทั้งมวล ที่พระคัมภีร์จะมาสอน และมานำพวกเรา ก็คือความจริงทั้งมวลที่พระเยซูได้ตระเวนสั่งสอน ประกาศแค่ 3 ปีเอง ไม่เยอะเลย นิดเดียว ตอนที่ดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ ก่อนที่จะทำงานสำเร็จ ที่ไม้กางเขน

พระเยซูดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ 33 ปี แต่สอนจริงๆ แค่ 3 ปีสุดท้าย พระองค์ไม่ได้มาสอนศีลธรรม ไม่ได้มาสอนวิธีการทำความดี แต่มาสอนเรื่องเดียว 3 ปี ขมวดปมเลย สอนเรื่องสวรรค์ … สวรรค์กำลังมา จะเข้าสวรรค์ทำอย่างไร? สวรรค์เป็นอย่างไร? แค่นั้นเอง แล้วทำไมสอน 3 ปี แค่นั้นพอแล้ว พอท่านเข้าสวรรค์จริงๆ ปุ๊บ พระวิญญาณจะเสด็จมาอยู่กับท่าน ข้างในตัวท่าน และพระองค์ก็จะทรงสอนท่านเอง เรื่องอื่น เรื่องศีลธรรม เรื่องความรักในโลกใบนี้ เรื่องอะไรก็ว่ากันไป พระวิญญาณก็จะเป็นพี่เลี้ยง เป็นสติปัญญา เป็นที่ปรึกษา พาท่านเดินไปด้วยกัน เอเมน

แต่ถึงแม้ว่าเราจะได้รับการสอน การทรงนำจากพระวิญญาณไปสู่ความจริงทั้งมวลแล้ว ในขณะเดียวกัน เหล่าวิญญาณชั่วทั้งหลายที่ยังคงวนเวียนอยู่บนแผ่นดินโลกนี้ มันยังคงทำงานอยู่ ก็คือพวกมารซาตานและสมุนของมัน คือกลุ่มทูตสวรรค์ที่ถูกขับไล่ออกจากสวรรค์ สมุนของมาร พวกวิญญาณชั่วเหล่านี้ มันก็พยายามแยกย้ายกันทำหน้าที่ งานหลักของมารซาตาน ก็คือหลอกล่อมนุษย์ให้ต่อต้านพระเจ้า ให้กบฏต่อพระเจ้า เป็นศัตรูกับพระเจ้า ไม่เชื่อข่าวดีของพระเจ้าเหมือนเดิม แล้ววิธีการของพวกมาร มันใช้ในการล่อลวงมนุษย์ ก็คือทำให้ความจริงของพระเจ้าผิดเพี้ยนไป นี่คือหน้าที่ของมันเท่านั้นเอง มันไม่ได้มาหลอกเราแบบในหนัง ผีหลอก ไม่มี ไม่ต้องห่วง ว่ากันตามจริง มันมีน้อยกว่าพวกเราอีก ถ้าพระคัมภีร์บอกว่ามารและสมุนของมัน 1 ใน 3 ของทูตสวรรค์ของพระเจ้า ตกกระป๋อง กลายเป็นมาร แล้วก็วิญญาณชั่วต่างๆ ที่คอยหลอกล่อเรา ให้ไม่รู้ความจริงของพระเจ้า 1 ใน 3 ก็แสดงว่ามีพวกเราเหลือ 2 ใน 3 ยังไม่นับแม่ทัพใหญ่ คือพระเยซูคริสต์อีก ชัยชนะเหลือล้นแล้ว ไม่ต้องห่วง มันทำอะไรไม่ได้เลย หลอกไม่ได้ ตอนกลางคืนกระตุกขาเราไม่ได้ ที่บอกกระตุกขา บางทีเราเครียด ไม่ต้องไปฟังเลย ไม่มีหลอก ถ้ามันกระตุกได้ เรามีอีก 2 ใน 3 เขามี 1 ใน 3 สมมติเขามี 100 คน เรามี 200 ถ้ามันกระตุกนะ  พวกเราตบกระโหลกเลย หมายถึงพวกเราทางโลกวิญญาณ ถ้าเกิดมีอย่างนั้นจริงๆ ท่านไม่ต้องห่วง แต่ที่น่าห่วงที่สุด  ที่มันทำได้ ก็คือมันบิดพลิ้วความจริง ทำให้ความจริงไม่มาถึงมนุษย์ ตรงนี้ แค่นี้เอง เมื่อไรก็ตามที่ความจริงในข่าวดีของพระเยซูไม่มาถึงมนุษย์คนใด คนนั้นก็ยังอยู่ที่เดิม ก็ยังต่อต้านพระเจ้า ก็ยังเป็นทาสมารอยู่เหมือนเดิม เพราะฉะนั้น วิธีการของมาร ก็คือทำอย่างไรก็ตามให้มนุษย์หลุดออกไปจากความรู้เรื่องความจริงของพระเจ้า เพื่อจะได้เป็นศัตรูกับพระเจ้าต่อไป ไม่ได้รับสิทธิอะไรต่างๆ ที่พระเจ้าทำไว้เลย

แล้ววิธีการที่พวกมารใช้หลอกมนุษย์ ที่ดีที่สุด ก็คือการขโมย พระเยซูบอกว่ามารมาเพื่อขโมย ฆ่า และทำลาย มันจะทำลายเราไม่ได้เลย ถ้ามันไม่เริ่มต้นด้วยขโมย ถ้ามันขโมยเงินเราไปได้   สมมติเรามีเงินในบ้าน   ใส่เชฟไว้    มารมันส่งวิญญาณชั่วมา    มองไม่เห็นเลย ทะลุเชฟได้ ไปเอาเงินได้ พระเจ้าส่งทูตสวรรค์มาอีก 2 เท่า เอาเงินมาใส่ให้เราเยอะขึ้นกว่าเก่า ไม่ต้องทำงานทำการแล้วตอนนี้ เข้าใจใช่ไหมครับ? มันเป็นไปไม่ได้ ไม่ต้องห่วง สิ่งที่มันทำได้ ก็คือขโมยความจริง … ความจริงที่จะทำให้เราเป็นไท

ยอห์น 10:9-10 บันทึกไว้อย่างนี้ “9 เราเป็นประตูนั้น ผู้ใดเข้ามาทางเราจะรอด เขาจะเข้าออก และพบทุ่งหญ้า 10 ขโมยนั้นมาเพียงเพื่อลัก ฆ่า และทำลาย เราได้มา เพื่อเขาทั้งหลายจะมีชีวิตและมีชีวิตอย่างครบบริบูรณ์”

 

พระคัมภีร์บอกว่าความจริง คือพระเจ้าได้ประทานชีวิตใหม่ วิญญาณใหม่ ความคิดจิตใจใหม่ ให้กับท่านแล้ว ให้กับมนุษย์แล้ว ไปรับสิทธิได้ทันทีในพระเยซูคริสต์ 2,000 ปีมาแล้ว แปลว่าตอนนี้ท่านได้รับชีวิตใหม่จากพระเจ้าแล้ว ไม่ต้องรอ ตอนนี้ท่านได้รับวิญญาณใหม่แล้ว

ตอนนี้ ท่านได้รับจิตใจใหม่ ที่ติดกับวิญญาณท่านแล้ว

ตอนนี้ ท่านอยู่ในสวรรค์แล้ว

ขอบคุณพระเจ้า ท่านรู้ไหมกว่าเราจะมาอย่างนี้ได้ เราใช้เวลาคุยเรื่องนี้ไปกี่ปี? มันไม่ง่ายเลยนะ ท่านลองไปถามใครก็ได้ ที่เชื่อพระเจ้าแล้ว ท่านอาจจะไม่ได้คำตอบแบบนี้ ท่านจะเห็นมันง่ายๆ แต่มันไม่ง่าย เวลามารมันจะขโมย มันจะขโมยสิ่งเหล่านี้ไปก่อน ทำให้ข่าวดี กลายเป็นข่าวค่อนข้างดี พระเจ้าทำให้เราบริสุทธิ์สะอาดเรียบร้อยแล้ว 100% กลายเป็นพระเจ้าทำให้เราบริสุทธิ์สะอาดแล้ว 60% 50% ไม่มี ของพระเจ้า คือ 0 %  หรือ 100% ไม่มีตรงกลางๆ ฉันเป็นคนชอบธรรม กลางๆ คือฉันทำดีบ้าง ทำชั่วบ้าง เพราะฉะนั้น ฉันอยู่กลางๆ อยู่ประมาณ 50, 60% ไม่มี มีแต่ท่านเป็นศูนย์หรือท่านเป็นร้อย ท่านเป็นร้อยก็อยู่ในสวรรค์ ท่านเป็นศูนย์ก็อยู่ในสถานที่ที่ไม่มีพระเจ้าเหมือนเดิม เหมือนตอนที่พระเยซูยังไม่มาทำอะไรที่ไม้กางเขน นี่คือความจริงทั้งมวลในพระคัมภีร์ ที่พระเยซูบอกว่าความจริงจะทำให้ท่านเป็นไท แต่พวกมารไม่ต้องการให้มนุษย์เป็นไท เพราะมันต้องการควบคุมโลกใบนี้เหมือนเดิม มันต้องการให้มนุษย์เป็นพวกมัน คือเป็นศัตรูกับพระเจ้า

เพราะฉะนั้น วิธีการของมัน ก็คือทำให้ความจริงทั้งมวลเหล่านั้น เสียหาย ด้อยลง ถ้ามันเอาไปได้หมดเลย มันเอาไปหมด แต่ถ้ามันเอาไปไม่ได้ สมมติว่าเราได้รับข่าวดีมา 100%  ถ้าเป็นไปได้ มันคิดในใจเลย มันไม่เคยสงสารเราเลย มันจะขโมยทั้งร้อยนั้นไป แต่ถ้าเผื่อมีคนช่วยเรา พระวิญญาณช่วยเรา เราสนใจอะไรต่างๆ ศิษยาภิบาลมาช่วยกัน พี่เลี้ยงมาช่วยกัน ท่าทางช่วยได้ มันแค่มากที่สุด อาจจะได้ 30% คนๆ นั้นก็อยู่แบบกระท่อนกระแท่น เอาไป 70% ท่านพอเข้าใจไหม? แล้วเขาก็ไปประกาศข่าวดีกับคนอื่นต่อไป ประกาศไปได้แค่ 70 ไม่สามารถประกาศร้อยได้ เพราะเขารู้แค่ 70 เอง ก็ถูกขโมยไปแล้ว แล้วถ้าไปเรื่อยๆ ลูกเขาได้ 70 แล้วมาขโมยต่อ ไปถึงหลานได้ 50 ไปถึงเหลนได้เท่าไร? คิดในใจ ถึงเหลนน่าจะเหลือ 20 ไปถึงโหลนเหลือแค่นับถือศาสนาคริสต์ ก็ตามปู่ย่าตาทวดนั่นแหละ ไม่มีโบสถ์ ไม่อะไรทั้งสิ้น แต่ตามสำมะโนครัวเขียนว่าเป็นคริสต์ศาสนา ท่านพอเข้าใจไหม? ท่านพอมองเห็นภาพไหม? คนถามไม่รู้เรื่องเลย

แต่ท่านนั่งอยู่ขณะนี้ ท่านกำลังบอกว่าท่าน คือต้นพันธุ์ใหม่ที่เกิดและเรียนรู้จากพระวิญญาณบริสุทธิ์ ท่านกำลังตอบเมื่อตะกี้มันเป็นความจริงที่รุนแรงมาก ท่านตอบขณะนี้ท่านอยู่ในสวรรค์แล้ว แค่ประโยคเดียว มารดิ้นพาดๆ เลย เพราะมันไม่อยากให้ใครรู้เลยว่าการเข้าสู่สวรรค์ มันเดี๋ยวนี้เลย ไม่ใช่ต้องรอตายไปก่อน มันเดี๋ยวนี้ทันทีเลย มันพิสูจน์ได้ทันทีเลย  ท่านจะได้เห็นภาพสงครามฝ่ายวิญญาณมันสู้กันแค่นี้ ไม่ต้องกลัวผีอีกต่อไป แต่เรากลัวความมืด มันชิน ไม่ได้ชินกับความมืดนะ ชินกับความกลัว เพราะเรากลัวความมืด ลองไม่เคยดูหนังผีเลยสิ เราไม่เคยฟังเรื่องผีเลย  มาหลอกเรา มันก็ไม่มี ข้อมูลมาให้เรากลัว จริงหรือไม่จริง อยู่เมืองจีน ผีก็เป็นแบบนี้ เดินตัวตรง ยื่นมือออกมา แล้วกระโดด อยู่เมืองฝรั่ง อยู่อเมริกา ผีก็แต่งตัวสวย แต่งเป็นแด๊กคูล่า มีผ้าคลุม เพราะมันหนาว มาผีไทย เปิดหมดเลย ใส่สไบอย่างเดียว บ้านอยู่สูง มือต้องยาว อะไรอย่างนี้ เราจะได้เห็นภาพไงว่าความจริงในโลกฝ่ายวิญญาณนั้น คืออะไร?

เพราะฉะนั้น พวกมารคอยจ้อง และพยายามที่จะเอาข่าวดีนี้ออกไป ตะกี้นี้เราอ่าน ขโมย มาเพื่อลัก ฆ่า และทำลาย แต่พระเยซูบอกว่าเรามาเพื่อเขาทั้งหลายจะได้ชีวิต และมีชีวิตอย่างครบบริบูรณ์ มันตรงกันข้าม ความจริง ก็คือเรื่องข่าวดีของพระเยซูคริสต์ น่าจะเป็นเรื่องเล่าวันนี้ เล่าทุกวันเลยว่าเมื่อ 2,000 ปีเกิดอะไรขึ้นที่โกละโกธา ในโลกวิญญาณมีอะไรเกิดขึ้นบ้าง และมีเหตุอะไรบ้าง ทุกวันเป็นใหม่ทั้งนั้น สามารถพูดได้ตลอด เพราะมันเกิดขึ้นแล้ว จึงเรียกว่าข่าวเล่า แสดงว่ามันเกิดขึ้นแล้ว ไม่ใช่ข่าวเดาเอา มนุษย์สามารถเกิดใหม่ เป็นวิญญาณใหม่ เป็นความคิดจิตใจใหม่ เหมือนพระเจ้า บริสุทธิ์ผุดผ่อง เหมือนพระเจ้าเลย เหมือนพระเยซูเลย ทันทีเลย บนโลกใบนี้ ไม่ต้องรอให้ตายก่อน ไม่ต้องรอหมดลมหายใจ พระเจ้าได้วางแผนการนี้ไว้หลายพันปี ก่อนที่จะส่งพระบุตร คือพระเยซูคริสต์มากระทำให้สำเร็จบนไม้กางเขน โกละโกธา

ผมยกตัวอย่างข้อพระคัมภีร์ที่พูดถึงเรื่องเกี่ยวกับการที่พระเยซูกระทำที่ไม้กางเขน อย่างชัดเจนว่าเป็นแผนการของพระเจ้าอย่างไร? ที่พระเจ้าบอกล่วงหน้า ในแผนการที่พระคัมภีร์บอกว่าการเผยวจนะ ในพระคัมภีร์เดิมทั้งหมดเลย นี่คือตอนหนึ่งในนั้น ที่ชัดเจนมาก เอเสเคียล 36:26-27 อันนี้บอกถึงเรื่องเพ็นเทคอส บอกถึงเรื่องพระเยซูทำสำเร็จที่ไม้กางเขน เกิดอะไรขึ้นอย่างไร? บอกก่อนล่วงหน้า ก่อนที่พระเยซูจะทำบนไม้กางเขน ประมาณพันปี

เอเสเคียล 36:26-27  “26 เราจะให้จิตใจใหม่แก่เจ้า และใส่วิญญาณใหม่ในเจ้า เราจะขจัดใจหินออกจากเจ้า และให้เจ้ามีใจเนื้อ 27 เราจะใส่วิญญาณของเราไว้ในเจ้า โน้มนำเจ้า ให้ปฏิบัติตามกฎหมายของเรา และใส่ใจ รักษาบทบัญญัติของเรา”

 

พระเจ้าตรัสว่า “เราจะให้จิตใจใหม่แก่เจ้า” พูดมาก่อนพระเยซูคริสต์จะมาเกิด ประมาณพันปี จิตใจ คือความคิดจิตใจที่ติดกับวิญญาณ

นี่คือแผนการที่พระเจ้าเปิดเผยไว้ผ่านทางผู้เผยพระวจนะเอเสเคียล ตั้งแต่ก่อนที่พระเยซูจะมาเกิดเป็นมนุษย์ บอกว่า “จะ” จะให้จิตใจใหม่ จะให้วิญญาณใหม่ จะให้ชีวิตใหม่ และให้การดำเนินชีวิตแบบใหม่ ทั้งหมดนี้ จะให้เมื่อพระเยซูได้ทรงกระทำตามแผนการของพระองค์สำเร็จ แล้วพระเยซูก็ทำสำเร็จแล้ว ที่บนไม้กางเขน วันศุกร์ ตอนบ่าย 3 โมง  พระองค์ประกาศว่า “สำเร็จแล้ว” ภาษากรีกว่า “Telelestai” แปลว่า “สำเร็จแล้ว” หรือแปลได้อีกคำหนึ่งว่า “จ่ายหมดแล้ว” จ่ายหนี้ของมวลมนุษยชาติหมดแล้ว

“เธอสามารถมาสวรรค์ได้เดี๋ยวนี้เลย ทันทีเลย พิสูจน์ได้เลย ร่างกายของเธอจะเป็นวิหารของพระเจ้า พระเจ้าจะสถิตอยู่ด้วย ภาษาไทยเขาเรียกว่ามีองค์ เข้าใจคำว่ามีองค์ไหม? ไม่ใช่องค์ธรรมดา องค์ใหญ่สูงสุดเลย ไปที่ไหนองค์อยู่กับเธอเลย”

มันเป็นจริงตามนั้น มันน่าตื่นเต้น แผนการสำเร็จแล้ว Telelestai แล้ว ตามที่เราอ่านในเอเสเคียล บอกล่วงหน้าว่ามันจะเป็นอย่างนั้น พอสำเร็จแล้ว มันก็เป็นตามที่เขียน นี่คือความจริง ที่จะทำให้มนุษย์เป็นไท แต่น่าเสียดาย ความจริงต่างๆ นี้ ถูกบิดเบือนไปเยอะ มีทั้งบิดเบือน เพราะไม่รู้ ไม่เข้าใจ จนถึงเป็นการทำงานของพวกมาร สมุนของมัน  พยายามปิดบังตา พยายามหลอกล่อต่างๆ ที่จะเอาความจริงนี้ไปจากมนุษย์ และบิดเบือนโดยความเย่อหยิ่งของมนุษย์เองว่า …

“ฉันรู้ๆ”

แทนที่จะพึ่งพระวิญญาณ แทนที่จะค่อยๆ อธิษฐาน แล้วค่อยๆ สังเกตดูในพระคัมภีร์มันคืออะไร? พระคัมภีร์บันทึกไว้ชัดเจนว่าเราได้รับชีวิตใหม่ จิตใจใหม่ วิญญาณใหม่เรียบร้อยไปแล้ว ผมพยายามพูดเรื่อยนี้บ่อยมาก หลายปีนี้ พยายามเน้นคำหลังๆ ที่เขาไม่เน้น คือคำว่า “เรียบร้อยไปแล้ว” “ได้แล้ว” พยายามเน้น เพราะว่าตรงนี้ คือหัวใจของข่าวดีของพระเจ้า ข่าวประเสริฐของพระเจ้า เพราะก่อนพระเยซูมา มีแต่คนรอ เพราะรู้ว่าพระเจ้าจะประทานผู้ช่วยให้รอด มาช่วยเหลือมนุษย์ ทุกคนรู้ … รู้ระแคะระคายว่าวันหนึ่งจะมีคนมาช่วยมนุษย์ให้รอดพ้นจากหนี้บาป เวรกรรม ความทุกข์ทรมานของมนุษย์ ลำบากลำบนไม่มีใครช่วยได้ เราต้องรอให้คนๆ หนึ่งที่มีบารมีมาเกิด รอ อันนี้รู้หมด แต่พอมาเกิดแล้ว เฉย ไม่รู้ว่าคนนี้มาเกิดแล้ว คือพระเยซูคริสต์นั่นเอง พระคัมภีร์บันทึกไว้ชัดเจนว่าได้รับชีวิตใหม่เรียบร้อยแล้ว ได้รับวิญญาณใหม่เรียบร้อยแล้ว แต่ยังมีคน มีคริสเตียนเรา มีผู้เชื่อ สอนกันว่าตอนนี้เรายังเป็นคนเดิม เป็นเหมือนเดิมอยู่ ต้องรอจนกว่าตายไปแล้ว ถึงจะได้รับการสร้างใหม่ ถึงจะได้ไปสวรรค์หรือเปล่า? ฟังให้ดีๆ นะ ถึงจะได้ของใหม่ ต้องรอให้จากโลกนี้ไปก่อน

บางคำสอน ฟังให้ดีๆ แม้จะมาเชื่อพระเจ้าแล้วก็ตาม ก็ยังต้องระวังตัวในการดำเนินชีวิต ต้องละเว้นจากการทำบาป ต้องคอยระวังไม่ให้สูญเสียความเชื่อ ต้องรักษาความเชื่อเอาไว้ และถ้าเรามาเชื่อพระเจ้าแล้ว ยังต้องคอยระวังรักษาความเชื่ออีก ยังต้องลุ้นว่ามีการกระทำอะไรบ้างที่เป็นบวกหรือเป็นลบอยู่ แล้วอย่างนี้จะเรียกว่าพระคุณ Amazing Grace ได้อย่างไร? มันขัดกันมาก Amazing Grace คือฟรี เข้าใจไหมครับ เราก็ไม่มั่นใจเลยว่าตกลงเรารอดไหม? เชื่อพระเจ้าแล้ว ไหนบอกรอดแล้ว ไปอยู่สวรรค์แล้ว วันดีคืนดีมีบอกอยู่สวรรค์แล้วก็จริง แต่ต้องระวังตัวนะ อยู่บนโลกใบนี้ สุดท้ายต้องไปอยู่ต่อหน้า พิพากษาพระเจ้าอีก พระเจ้าจะดูว่าทำสมควรไหม?

“อ้าว ตกลง ฉันจะได้ไปสวรรค์ไหม?”

ไม่รู้ กลับมาที่เดิม เห็นไหม? ข่าวประเสริฐพระเจ้าเสียหายไปแล้ว ตะกี้บอกได้รับ สรุปตอนนี้ไม่ได้ ยังไม่แน่ใจว่าจะได้ เห็นไหม? สิ่งนี้เกิดขึ้นไหม? เกิดขึ้น แล้วเกิดขึ้นบ่อยด้วย เกิดขึ้นเยอะด้วย เราต้องเรียนรู้จักถ้อยคำพระเจ้าจริงๆ และอธิษฐานกับพระวิญญาณว่ามันคืออะไร? อยากรู้ๆ เดี๋ยวพระวิญญาณจะค่อยๆ สอนเราทีละนิดทีละหน่อย เวลาผมสอน ก็อย่าปักใจว่าอย่างนี้ใช่ ถูก ไปคิดดูว่าถูกไหม? ไปคิดตามเหตุผล ไปเปิดพระคัมภีร์ดูว่ามันจริงไหม? ว่ามันใช่ไหม? คุณนครพูดตามพระคัมภีร์หรือเปล่า? หรือพูดเอง แล้วตอนที่พูดพระคัมภีร์เหล่านั้น ไปศึกษาเองว่ามันใช่ไหม? มันคืออะไร? เรียนภาพรวมของข่าวประเสริฐ เรียนภาพรวมในพระคัมภีร์ 1 เล่ม ไม่ใช่เอาแค่เศษนิดๆ หน่อยๆ มาเรียน แล้วก็มาเดาเอาว่ามันเป็นอย่างนี้ แต่เอาภาพรวมว่าพระเจ้าคือใคร? ข่าวประเสริฐ คืออะไร? เหมือนเอาภาพรวมของช้างมารวมกัน แล้วเห็นว่าเป็นช้าง ไม่ใช่ไปจับ คลำงา แล้วก็บอกว่าช้าง จับคลำหาง แล้วบอกว่าช้าง จับแตะตัว แล้วบอกว่าช้าง มันถูกหมดแหละ แต่มันใช่ความจริงไหม?  ถามว่ามันถูกไหม?  ก็ช้างจริงๆ แต่ช้างไม่ใช่งา มีส่วนประกอบอีกต่างๆ ที่เป็นความจริง ที่จำเป็นต้องเรียนรู้ นี่แหละคือการงานของพวกเราทุกคนบนโลกใบนี้ 1 เปโตร 2:24 บันทึกไว้อย่างนี้ ลองอ่านดู นำมาให้ท่านเห็น เพื่อแยกแยะว่าอะไรเสร็จเรียบร้อยแล้วบ้าง?

1 เปโตร 2:24 “พระองค์เอง ทรงรับแบกบาปของเราทั้งหลายไว้ที่พระกายบนไม้กางเขนนั้น เพื่อเราจะได้ตายต่อบาป และมีชีวิตอยู่เพื่อความชอบธรรม และด้วยบาดแผลของพระองค์ พวกท่านได้รับการรักษาให้หาย”

 

โดยรอยแผลเฆี่ยนของพระเยซู เราได้รับการรักษาให้หาย คำว่า “ได้รับการรักษาให้หาย” ตรงนี้หมายถึงได้รับการรักษาให้หาย ทางวิญญาณ จากโรคบาป ซึ่งก็มีหลายคนเอามาใช้ผิด หมายถึงว่าโดยพระเยซูแล้ว เราจะต้องหายโรคภัยไข้เจ็บทางร่างกาย ทางวัตถุ ทุกอย่าง โดยรอยแผลเฆี่ยนของพระเยซูรักษาทุกโรค คำว่า “รักษาให้หาย” ในบริบทนี้ ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับโรคภัยไข้เจ็บทางร่างกายเลยแม้แต่นิดเดียว  เห็นไหม? ภาพรวมมันไม่ใช่เลย แต่เราเอาแค่นั้น แล้วเราก็ไปคิดของเราเอง

“รักษาให้หาย” คือหายจากโรคบาป เพราะวิญญาณเดิมของมนุษย์ ก่อนที่พระเยซูจะมาตายที่ไม้กางเขน ก่อนที่คนนั้นจะรับเชื่อในข่าวดีของพระเยซู วิญญาณเดิมของมนุษย์ก่อนที่จะได้รับการบังเกิดใหม่นั้น เป็นวิญญาณบาป เป็นวิญญาณที่สกปรก ไม่สามารถอยู่กับพระเจ้าได้ เป็นศัตรู เป็นปฏิปักษ์ พระเจ้าบอกขาว เขาบอกดำ พระเจ้าบอกไป ฉันไม่ไป อะไรก็ตามตรงข้ามกับพระเจ้าหมด พระเจ้าบอกรัก บอกฉันเกลียด ฆ่า ทำลาย อะไรอย่างนี้ เพราะฉะนั้น ถ้าพระเจ้าต้องการจะประทานพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้าให้มาสถิตกับมนุษย์ คิดให้ดีๆ พระองค์ก็ต้องทำให้วิญญาณของมนุษย์เป็นวิญญาณที่สะอาดบริสุทธิ์ ปราศจากบาปสะก่อน เช็ด ทำความสะอาดที่อยู่นี้ก่อน เพราะมันสกปรกอยู่ แล้วพระองค์จึงจะมาสถิตอยู่กับเราได้  ถูกไหม?

และวิธีทำให้มนุษย์สะอาด ก็คือโดยรอยแผลเฆี่ยนของพระเยซู ได้รักษาเราให้หายจากความสกปรกโสมม หายจากเชื้อโรค ไวรัสบาป หลุดออกไปเลย จากวิญญาณและความคิดจิตใจของเรา ที่เป็นตัวตนจริงๆ ของเรา เอาออกไปเลย และในการทำให้วิญญาณของมนุษย์สะอาดบริสุทธิ์ปราศจากบาปได้นั้น พระเจ้าจำเป็นต้องใช้วิธีการผ่าตัดเปลี่ยนใหม่ ไม่ใช่ซ่อมแซม เพราะมันเสียหายมาก เสียหายยับเยิน มันซ่อมไม่ได้แล้ว มันเป็นหัวใจที่เละแล้ว มีทางเดียว คือจะอยู่ต่อ ต้องเปลี่ยนหัวใจใหม่เลย  ต้องเปลี่ยนทั้งวิญญาณ ทั้งความคิดจิตใจเราใหม่  การรักษาของพระเจ้าไม่สามารถเปลี่ยนแค่บางส่วนได้ เปลี่ยนอะไหล่ได้ไหม? ไม่ได้ ถ้าเป็นรถ เขาก็เรียกว่าเปลี่ยนทั้งยวงเลย คือทั้งวิญญาณและความคิดจิตใจ ที่เป็นตัวตนของมนุษย์จริงๆ ตัวตนของเราที่จะอยู่ไปตลอด คือวิญญาณของเราและความคิดจิตใจของเรา ไม่สามารถมาเปลี่ยนอะไหล่ตรงนี้ได้ แต่ต้องเปลี่ยนหมด เปลี่ยนของจริง ของใหม่เลย ซึ่งฟังดูแล้ว ก็เหมือนว่าน่าจะเข้าใจได้ง่ายๆ แต่ในความเป็นจริง อย่างที่บอกไว้ มารมันจะพยายามบิดพลิ้ว ทำอะไรก็ได้ที่ให้เสียหายกับข่าวประเสริฐของพระเจ้า ในการที่จะขโมยความจริงนี้ไปจากมนุษย์ พยายามที่จะทำทุกวิถีทางที่จะทำให้มนุษย์ไม่ได้เป็นไทสักทีหนึ่ง ไม่ได้รับความจริงสักทีหนึ่ง การทำงานของมาร มีทั้งการทำงานผ่านทางกระแสของโลกใบนี้ ที่เขาดำเนินกัน อันนี้เรียกสติปัญญาของโลก อันนี้เรียกความรู้วิชาการของโลก ซึ่งทั้งหมดนี้ มันต่อต้านกับพระเจ้า ต่อต้านข่าวดีของพระเจ้าทั้งสิ้น ผ่านทางกระแสของโลกนี้ ผ่านทางข้อมูลข่าวสาร และกิเลสตัณหาของเราเอง ของมนุษย์ ของร่างกายที่เป็นวิหารนี้ มันยังมีกิเลสตัณหาอยู่ ผ่านทางคำสอนเท็จ จากผู้คนทั้งหลายที่ไม่รู้ไม่เข้าใจ หรือจงใจก็ไม่รู้นะ สิ่งเหล่านี้ค่อยๆ คืบคลานเข้ามา เพื่อขโมยเอาความจริงไปก่อน ค่อยๆ ขโมยความจริงไปทีละนิด แล้วค่อยๆ ฆ่าและทำลายแผนการของพระเจ้า ที่จะให้ชีวิตใหม่กับมวลมนุษยชาติ และให้ไปแล้วด้วย  แค่นี้เอง มารมันจ้องทำลาย โดยการฆ่า ขโมยความจริงไป แล้วฆ่าชีวิตนิรันดร์เสีย ไม่ได้แล้ว กลับไปอยู่ที่เดิม กลับไปตายเหมือนเดิม ไม่ได้รับชีวิตนิรันดร์ ไม่ได้เป็นลูกพระเจ้า เพราะความจริง ถูกขโมยไปแล้ว

วิธีการของมัน ก็คือขโมยเอาความจริง และหลอกล่อด้วยความเท็จทั้งหลาย เอามาใส่เรา ถ้าเผื่อขโมยไปหมด ดี ถ้าเผื่อไม่หมด เอาครึ่งหนึ่งก็ยังดี ถ้าไม่ได้ครึ่งหนึ่ง เอา 10% ก็ยังดี พยายามดิ้น สุดท้าย ไม่ให้ข่าวประเสริฐ 100% กับมนุษย์เด็ดขาด  เพราะกลัว เพราะนี่คืออาวุธสำคัญที่สุดของพระเจ้า และทำสำเร็จแล้ว ที่พระเยซูคริสต์มีชัยชนะ อยู่ที่ไม้กางเขน

โรม 2:5 ผมยกมาให้ท่านดู ท่านจะได้เห็นว่าวิญญาณเก่าของเราก่อนที่จะรับเชื่อในพระเจ้า ก่อนจะได้ข่าวดีของพระเจ้า มันเป็นลักษณะอย่างไร?

โรม 2:5 “แต่เพราะท่านใจแข็ง ดื้อด้าน และไม่ยอมกลับใจ ท่านจึงส่ำสมพระพิโรธให้แก่ตนเองไว้ สำหรับวันแห่งพระพิโรธของพระเจ้า เมื่อพระองค์ทรงสำแดงการพิพากษา อันชอบธรรม”

 

เห็นไหม ใจแข็ง จิตใจที่อยู่ตรงกันข้ามกับพระเจ้า เข้ากับพระเจ้าไม่ได้ เป็นศัตรูกับพระเจ้า ดื้อด้าน ไม่กลับใจเลย ฟังอะไรก็ไม่รู้เรื่องเลย เพราะจิตใจนั้นมันเป็นทาสมาร มันยังอยู่ในความบาป

กิจการ  7:51 “ท่านเหล่าประชากรผู้หัวแข็ง ผู้มีจิตใจและหูที่ไม่ได้เข้าสุหนัต ท่านก็เป็นเหมือนบรรพบุรุษของท่าน พวกท่านต่อต้านพระวิญญาณบริสุทธิ์เสมอ”

 

เหล่าประชากรผู้หัวแข็ง หมายถึงชาวอิสราเอล ผู้หัวแข็ง เขาประกาศข่าวดี ข่าวประเสริฐแล้ว แต่ได้บอกถึงลักษณะของวิญญาณพวกเขาว่าเป็นวิญญาณที่แข็งกระด้างต่อพระเจ้า เป็นศัตรูกับพระเจ้า พูดถึงสภาพลักษณ์วิญญาณเขาเป็นอย่างนั้น ผู้มีจิตใจและหูไม่ได้เข้าสุหนัต ก็คือหูทางฝ่ายวิญญาณไม่ได้อยู่ในทางพระเจ้า เข้าสุหนัต คือการทำพันธสัญญากับพระเจ้า การคืนดีกับพระเจ้า พูดง่ายๆ คือไม่ได้คืนดี การเข้าสุหนัตเป็นสัญลักษณะอันหนึ่งที่เล็งให้เห็นว่าเราต้องการคืนดีกับพระเจ้า ยื่นมือมา อันนี้ไม่ใช่ ไม่รู้เรื่อง ไม่รู้จักพระเจ้า ก็คือเป็นศัตรูกับพระเจ้า ท่านก็เป็นเหมือนบรรพบุรุษของท่าน ก็คือเหมือนชาวยิว สมัยก่อนพระเยซูจะมาเกิดนั่นแหละ พวกเขาเหล่านั้นทั้งหมดเลยนะ ก่อนหน้าพระเยซูคริสต์จะมาเกิดทั้งหมด รวมถึงกษัตริย์ดาวิด รวมถึงโมเสส อาโรนทั้งหมดเลย เป็นอย่างนี้หมด เป็นศัตรู เพราะวิญญาณเขาเป็นศัตรู พระเจ้าไม่ได้เข้าไปสถิตอยู่ข้างใน พระเจ้านำเขาอยู่ข้างนอก พระเจ้าต้องไปอยู่ในอภิสุทธิสถานที่ทำด้วยมือ คือพลับพลา ต้องมีสัญลักษณ์เป็นหีบพันธสัญญาว่าพระเจ้าอยู่ที่นี่ แต่บัดนี้ พระเยซูทำให้สำเร็จแล้ว คือพระเจ้าสามารถมาสถิตอยู่กับมนุษย์ได้แล้ว

นี่พูดถึงในอดีตก่อนที่จะเชื่อพระเจ้า ก่อนที่จะรับเชื่อในข่าวดีของพระเจ้า ก่อนที่วิญญาณจะเกิดใหม่ จิตใจของมนุษย์สกปรกอย่างนี้แหละ พระเจ้าจึงจำเป็นต้องชำระวิญญาณและความคิดจิตใจของมนุษย์เสียใหม่ ให้เอี่ยมเลย เพื่อพระองค์จะได้มาอยู่ได้ วิธีการทำให้สะอาดบริสุทธิ์ ก็คือการส่งพระบุตรมาทำให้สำเร็จ คือ Telelestai ตายที่ไม้กางเขน หลั่งพระโลหิต ชำระบาปให้กับเรา แล้วเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่ 3 และประกาศว่าสำเร็จแล้ว นั่นแหละ พระเจ้าทำสำเร็จแล้ว  ให้มนุษย์สะอาดแล้ว พร้อมที่พระองค์จะเข้ามาอยู่แล้ว คราวนี้รอมนุษย์คนนั้น จะรู้ข่าวดีนี้ แล้วก็เปิดใจว่าเอาด้วยคน อยากได้ๆ แสดงความต้องการออกมาแค่นั้นเอง ใช้สิทธิของเขา ในพระเยซูคริสต์เท่านั้นเอง

เพราะฉะนั้น เมื่อเราเชื่อในข่าวดีของพระเจ้า เราจะเกิดการเกิดใหม่ในวิญญาณ ก็คือพระเจ้ามาประทานวิญญาณใหม่ ความคิดจิตใจใหม่ให้กับเรา โดยเดชของพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า เราจึงมีสภาพที่เป็นวิญญาณ และมีความคิดจิตใจที่สะอาดบริสุทธิ์เหมือนพระเจ้า  ถ้าเราต้อนรับข่าวดี และเรายังมีพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า ซึ่งคือตัวพระเจ้าเอง มาในรูปแบบพระวิญญาณบริสุทธิ์ มาสถิตอยู่กับเรา อยู่ข้างๆ วิญญาณของเรา เป็นหนึ่งเดียวกันกับเรา ในร่างกายนี้ด้วย ในขณะที่กำลังเดินบนโลกใบนี้แหละ เอเมน ในขณะที่เรายังป่วยเป็นมะเร็งอยู่เลย มาเชื่อพระเจ้าแล้ว ได้เกิดใหม่แล้ว วิญญาณเปลี่ยนใหม่ ความคิดจิตใจเปลี่ยนใหม่ พระวิญญาณบริสุทธิ์ได้เข้ามาสถิตอยู่แล้ว เราก็ยังเป็นมะเร็งอยู่เลย แต่ข้างในมันสะอาดหมดจดแล้ว เดี๋ยวพระวิญญาณจะนำเราต่อไปในการเผชิญกับปัญหามะเร็งนั่นแหละ แต่จะเผชิญแบบไหน? ผ่านอย่างไรไม่รู้ แต่มันผ่านแน่นอน เพราะความหวังเราไม่ได้อยู่ตรงนี้ ร่างกายเรา 80, 90, 100 ปี มันก็ต้องลงโลง มันต้องจบ สุดท้าย เพราะว่ามนุษย์บาป และความบาปนี้ ทำให้ร่างกายนี้ต้องตาย แต่วิญญาณเกิดใหม่แล้ว พระเจ้าเตรียมร่างกายใหม่ให้กับเราเรียบร้อยแล้ว

พระวิญญาณคอยเป็นพี่เลี้ยง เป็นที่ปรึกษา เป็นสติปัญญานำพาชีวิตเรา เขาเรียกว่าหนทางของพระเจ้า แนวทางของพระเจ้า ก็คือความรัก ความปลาบปลื้มใจ ความชื่นชมยินดี ความรักอดทนนาน กระทำคุณให้ พระวิญญาณจะนำเราไป นำเราตรงไหน? วิญญาณของเรา ความคิดจิตใจของเรา ที่เปลี่ยนแล้ว นี่คือข่าวดี  ขอพระเจ้าอวยพรครับ

 

**************************

 

 

 

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 9 มิถุนายน 2019 เรื่อง “Celebrating 26 years of God’s Faithfulness” โดย นคร เวชสุภาพร

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  9  มิถุนายน  2019

 เรื่อง “Celebrating 26 years of God’s Faithfulness”

โดย นคร  เวชสุภาพร

 

สุขสันต์วันเกิดครับ 2 วันเกิดเลย วันเกิดแรก คือวันเกิดคริสตจักร หรือภาษาไทย เราพูดกันแบบง่ายๆ คริสเตียนไทย เรียกว่า “โบสถ์” วันเกิดโบสถ์ แต่เป็นคริสตจักรสากล คำว่า “สากล” หมายถึงทั้งโลก เป็นโบสถ์เดียว คริสตจักรเดียว วันนี้เป็นวันเกิดครบรอบ 2,000 กว่าปีของคริสตจักรสากล หรือโบสถ์สากล

โบสถ์หรือคริสตจักร หมายถึงสถานที่ที่พระเจ้าสถิตอยู่ ต้องเข้าใจตรงนี้นะ เพราะเราอยู่ไปนานๆ เป็นคริสเตียนไปนานๆ ชักงง พอบอกโบสถ์หรือคริสตจักร เราจะไปนึกถึงสถานที่ นึกถึงเก้าอี้ที่เรานั่ง นึกถึงทุกวันอาทิตย์เรานมัสการร่วมกัน อันนั้น ยังไม่ใช่โบสถ์จริงๆ อันนั้นเป็นสมมติว่าเป็นโบสถ์ มันเป็นสถานที่ที่เรียกว่าสถานที่ชุมนุม สถานที่ประชุม ไม่ต่างอะไรกันกับพารากอนฮอลล์ ไม่ต่างอะไรกับศูนย์วัฒนธรรม ไม่ต่างอะไรกับศูนย์วัฒนธรรมไทยญี่ปุ่นดินแดง ไม่ต่างอะไรกับโรงหนังใหญ่ๆ โรงหนึ่ง ที่สามารถรวบรวมคนมาชุมนุมกันได้ ไม่ว่าจะทำกิจกรรมอะไรก็ตาม เราเรียกว่าที่ประชุม

เพราะฉะนั้น โบสถ์ในลักษณะนี้ เขาเรียกว่าโบสถ์สมมติ ก็คือที่ชุมนุมชนของคนที่รู้จักพระเจ้า จะมาศึกษาเรื่องพระเจ้า จะมาพูดคุยเรื่องพระเจ้า จะมาทำกิจกรรมของพระเจ้าร่วมกัน เรียกว่าโบสถ์อีกแบบหนึ่ง ไม่ใช่โบสถ์สากล

โบสถ์สากล คือโบสถ์ทางโลกฝ่ายวิญญาณ ที่พระเจ้าได้สถาปนาโบสถ์ทางโลกฝ่ายวิญญาณนี้เรียบร้อยไปแล้ว 2,000 กว่าปีผ่านมาแล้ว วันที่สามหลังจากพระเยซูสิ้นพระชนม์ พระองค์ทรงเป็นขึ้นมาใหม่ … การเป็นขึ้นมาใหม่ เป็นการสถาปนาทั้งหมดเลยว่ามีโบสถ์ขึ้น โบสถ์สากล พระเจ้าลงมาสถิตกับมนุษย์ได้แล้ว รอวันฤกษ์ดีเท่านั้นเอง และฤกษ์ดีนั้น ก็คือหลังจากพระเยซูเป็นขึ้นจากความตาย นับมา 50 วัน เรียกว่าวันเพ็นเทคอส ย้อนกลับไป 2,000 ปีที่แล้ว วันนี้แหละเป็นวันครบรอบที่พระเจ้าลงมาสถิตอยู่กับมนุษย์ มนุษย์ทุกคนก็เลยเป็นสถานที่ที่พระเจ้าสถิตอยู่ด้วยได้ ถ้าเขาต้องการ ถ้าเขายินยอม ถ้าเขาไม่ต้องการ พระองค์ก็ทำอะไรไม่ได้ เขาก็ยังอยู่เหมือนเดิม แต่ถ้าเขาต้องการให้พระเจ้ามาสถิตอยู่กับเขา เขาทำได้โดยการเชื่อ ในการสิ้นพระชนม์ของพระเยซูว่าเป็นการกระทำ เพื่อชำระบาปให้กับมนุษย์ทุกคน เตรียมมนุษย์ทุกคนให้พร้อม บริสุทธิ์ สะอาดทางฝ่ายวิญญาณ เพื่อเป็นสถานที่ที่อาศัยของพระเจ้า ผู้บริสุทธิ์สูงสุด ยิ่งใหญ่สูงสุดได้

เมื่อเขาเชื่อว่าพระเยซูทำได้ ทำสำเร็จแล้ว เขาก็จะได้รับการชำระให้บริสุทธิ์สะอาดผุดผ่องตามนั้น พอสะอาดบริสุทธิ์แล้ว พระเจ้าก็สามารถที่จะเข้ามาอยู่กับเขาได้ ไม่อย่างนั้นอยู่ไม่ได้ มนุษย์เข้ามาสัมผัสพระเจ้า ตายเลย แต่ด้วยความเชื่อในการกระทำของพระเยซูคริสต์ที่ได้ตาย และได้เป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่ 3 ทำให้มนุษย์ทุกคนสะอาดบริสุทธิ์ ผุดผ่อง ในพระคัมภีร์บอกสะอาดเท่ากับพระบุตร คือสะอาดเท่ากับพระเยซูเลย จึงสามารถให้พระเจ้าเข้ามาสถิตอยู่กับเขาได้ และครั้งแรกที่เกิดขึ้น คือเมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว หลังจากเป็นขึ้นจากความตาย 50 วัน พระเจ้าลงมาสถิตอยู่ด้วย เรากำลังมาฉลองกัน ตอนนี้เขาฉลองกันทั่วโลก ครบรอบ 2,000 ปี พระเจ้าสถิตอยู่ เพราะฉะนั้น ขณะที่ท่านรู้จักพระเจ้าตอนนี้ ท่านเชื่อในพระเจ้าตอนนี้แล้ว ท่านรู้ไหมว่าใครอยู่กับท่าน? พระเจ้า ท่านเชื่อไหม? เมื่อเช้ายังหงุดหงิดอยู่เลย แต่ขณะเดียวกัน …

“ฉันผู้ที่เชื่อในพระเยซูคริสต์ ฉันเป็นลูกพระเจ้า พระเจ้าเข้ามาสถิตอยู่ในฉัน”

เดี๋ยวนี้ในร่างกายนี้ ที่เรามองในกระจกนี้ พระเจ้าอยู่กับเราตรงนี้แล้ว พระเจ้าผู้นี้ยิ่งใหญ่ขนาดไหน? เอาแค่ง่ายๆ โมเสสยกไม้เท้าขึ้น พระเจ้าทำลมพัดอย่างแรง ทำทะเลแดงให้แยกออกเป็นสองข้าง ให้คนอิสราเอลเดินข้ามไป เอาแค่นี้ ใหญ่ไม่พอใช่ไหม? ในพระคัมภีร์บอกว่าพระเจ้า ผู้ทรงเคลื่อนไหว เรียกสิ่งที่ไม่มี ให้มีขึ้น สร้างมหาจักรวาลทั้งหมด ที่เรามองขึ้นไป ทั้งโลก ดวงอาทิตย์ ดวงดาว ดวงจันทร์และอะไรอื่นๆ อีกมากมายที่เรามองไม่เห็น ลึกลงไปในท้องฟ้า ในอวกาศ ในจักรวาลทั้งหมด พระเจ้าผู้นี้แหละ ผู้ที่แยกทะเลแดงนั่นแหละ เป็นผู้สร้างสิ่งเหล่านี้ทั้งหมดเลย

พระเจ้าผู้นี้ ยิ่งใหญ่ที่สุด ตอนนี้อยู่ในตัวเราแล้ว อยู่ในร่างกายเราแล้ว นี่คือสิ่งที่สำคัญที่สุด ที่จะต้องมีการประกาศ ที่ต้องมีการพูดออกไปในวันเพ็นเทคอสของทุกๆ ปี มากๆ ไม่อย่างนั้นเราจะลืม พอเรามาเป็นคริสเตียนนานๆ เข้า เรานึกว่าเรากำลังนับถือศาสนาคริสต์ ข่าวดีก็จะไปไม่ถึงลูกถึงหลานเรา พอถึงลูกถึงหลานเรา ก็จะกลายเป็นนับถือตามพ่อแม่ นับถือศาสนาคริสต์ ถามว่าเป็นอะไร? ไม่รู้ … เป็นใคร? ไม่รู้  …พระเจ้าทำอะไร? ไม่รู้  … ตัวเองเป็นใคร? เป็นลูกพระเจ้า? ไม่รู้ … ทำอย่างไรถึงเป็นลูกพระเจ้า? ไม่รู้ ข่าวดีของพระเจ้า ก็จะเสื่อมถอยไปเรื่อยๆ ฤทธิ์เดชของพระเจ้าที่ยิ่งใหญ่สูงสุด ก็ทำงานผ่านมนุษย์ไม่ได้ เพราะว่ามนุษย์ไม่ได้เชื่อตามนั้น ก็คือไม่ยอมนั่นเอง ไม่ยอมกับไม่เชื่อ ก็มีค่าเท่ากัน พระคัมภีร์จะใช้คำนี้เสมอ ท่านจะได้ยินบ่อยๆ  คือการยอมรับ ที่เขาเรียกว่า “รับเชื่อไหม?” จริงๆ มันแปลว่า “ยอมรับไหม?” แปลเป็นภาษาไทย เหมือนยอมรับสารภาพ คล้ายๆ ในทางไทย เราเอาคำนี้มาใช้กับในทางลบ ไม่ค่อยจะดี

ยกตัวอย่างเช่น …

“ยอมรับไหมว่าเธอไปขโมยเขา”

“ยอมรับไหมว่าเธอฆ่าเขาตาย”

“ยอมรับไหม?” … ก็คือยอมรับสารภาพไหม? ในพระคัมภีร์ใช้คำเดียวกัน แต่เป็นคำที่ดี คือยอมรับไหมว่าพระเจ้าช่วยเธอให้รอดแล้ว  โดยผ่านทางพระเยซูคริสต์ ตายที่ไม้กางเขน เธอได้บริสุทธิ์สะอาด เธอสามารถเป็นลูกของพระเจ้า สะอาดบริสุทธิ์เหมือนพระเยซูเลย เธอจะยอมรับไหม? มันแปลว่าอย่างนี้ ถ้าเธอยอมรับ พระเจ้ายิ่งใหญ่ สามารถทำงานผ่านชีวิตของเธอได้ ทำอัศจรรย์ใหญ่กว่าแยกทะเลแดงออกเป็น 2 ข้างก็ได้ ใหญ่กว่านั้น ก็ได้ ใหญ่กว่าสร้างมหาจักรวาลนี้ ก็ได้ ผ่านทางชีวิตของเธอ เธอยอมรับไหม? ทุกวันนี้ เรามานมัสการอะไรต่างๆ เรามาร้องเพลง หรืออธิษฐานก็ตาม เราขอพูดคำเดียว คือเราขอยอม เราบอกว่าเป็นไปตามน้ำพระทัย ก็คือเรากำลังบอกว่ายอม ไม่มีอะไรเลย วันแรกที่ก้าวเข้ามาหาพระเยซู ก้าวเข้ามารับเชื่อพระเจ้า ก้าวเข้ามารู้จักพระเจ้า ก็คือการยอมแล้ว ยอมสารภาพแล้วว่าตัวเองเอาตัวไม่รอด ขอพึ่งในพระเจ้า ยอมทุกอย่าง พระเจ้าใช้ชีวิตเราเลย พระเจ้าก็จะใช้ชีวิตเราต่อไป

นี่พูดถึงแง่มุมหนึ่งของวันเกิดของคริสตจักรสากล ตอนนี้ มีคริสตจักรสากลอยู่เต็มบ้านเต็มเมือง เต็มโลกใบนี้ทั้งหมด ตามที่พระเจ้าบอกไว้ล่วงหน้าแล้ว ตั้งแต่หนังสือพระคัมภีร์เดิม ตั้งแต่ 2,000 ปีก่อน ตั้งแต่ 4,000 ปีก่อนแล้ว บอกไว้ล่วงหน้าแล้วว่าวันหนึ่ง อาณาจักรของพระคริสต์ อาณาจักรของพระเจ้าจะปกคลุมอยู่เหนือโลกใบนี้ทั้งหมดเลย วันนั้นมาถึงแล้ว คือวันที่พระเยซูทำสำเร็จแล้วที่ไม้กางเขน และเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่ 3 พระเจ้าปกคลุมไปหมดทั้งโลกแล้ว โดยผ่านทางมนุษย์ที่ยอมให้พระเจ้าใช้ ยอมจำนนต่อพระเจ้า ยอมเชื่อว่าพระเจ้าทำได้จริง และอยู่ในทุกหนทุกแห่ง ตอนนี้ที่ไหนๆ ก็มี นั่นแหละ คือวันเกิดของคริสตจักร หรือโบสถ์สากล ซึ่งเราทั้งหลาย ก็เป็นหนึ่งในนั้น

เขาถึงมีคำ “เราเป็นหนึ่งเดียวกัน” หมายถึงเราเป็นสถานที่ที่พระเจ้าสถิตอยู่ และเรากับพระเจ้าเป็นหนึ่งเดียวกัน แล้วเราต่างฝ่ายต่างก็เป็นหนึ่งเดียวกันด้วย เพราะเราอยู่ในที่เดียวกัน อยู่ที่สวรรค์ในพระเจ้าเหมือนกัน ไม่ว่าจะอยู่ประเทศไหนก็ตาม เราก็เป็นหนึ่งในวิญญาณเดียวกัน เอเมน

แล้วอันที่สองเป็นคริสตจักรสมมติ คือเป็นคริสตจักรที่เรียกว่าคริสตจักร แต่ไม่ใช่สถานที่ที่พระเจ้าสถิตอยู่ เป็นแค่สถานที่ทางวัตถุ หรือเรียกกันว่าพลับพลา หรือคริสตจักรที่ทำด้วยมือของมนุษย์ แต่ร่างกายของเราที่บอกว่าเป็นคริสตจักรสากล ในพระเยซูคริสต์ นั่นคือพระหัตถ์พระเจ้าทำ ทางโลกวิญญาณ แต่คริสตจักรที่เรากำลังพูดถึงอันที่สอง คือคริสตจักรที่เป็นสมมติ คือสถานที่ที่เราเรียกว่าโบสถ์ คริสตจักรทั่วโลกที่มีอยู่ ตั้งอยู่ เป็นแค่สมมติ ถูกสร้างโดยมนุษย์ ที่พระเจ้าทำงานผ่านเขา ให้ช่วยดูแล ช่วยนำที่ดินมาให้ ช่วยนำมาจ้างคนงานมาก่อสร้าง นี่แหละคือฝีมือมนุษย์ทั้งนั้น ที่พระเจ้าสามารถใช้เขาได้ ให้เขาลงไม้ลงมือ ก่อสร้างสถานที่นี้ขึ้นมา แต่ไม่ใช่สถานที่ที่พระเจ้าสถิตอยู่

ฟังอีกทีหนึ่ง ทำไมผมต้องเน้นตรงนี้บ่อยๆ เพราะว่าอยากให้ข่าวประเสริฐจริงๆ ไปถึงลูกหลานเรา พระเจ้าไม่ได้สถิตอยู่ ณ คริสตจักรที่ทำด้วยมือ เราแต่งให้สวย เราทำให้ดี เพื่อประโยชน์ในการใช้สอยของพี่น้องที่มาชุมนุมด้วยกัน เรามีห้องน้ำที่ดี เรามีอะไรต่างๆ เหล่านั้น เพื่อประโยชน์ในการอยู่ด้วยกัน อยู่ร่วมกัน ใช้สถานที่นี้เป็นที่ชุมนุม เรียนรู้เรื่องพระคัมภีร์ หนุนใจกัน สอนกันในเรื่องข่าวดีของพระเจ้า ให้รู้จักพระเจ้ามากขึ้น แต่ไม่ใช่สถานที่ที่ศักดิ์สิทธิ์ว่าพระเจ้าจะอยู่ที่นี่ เพราะพระเจ้าอยู่ในเรา อยู่ในมนุษย์ นี่คือข่าวดี

ถ้าเราไม่พูดอย่างนี้บ่อยๆ พอนานๆ ไป ก็เลอะเทอะไปเรื่อยเปื่อย ไปหาพระเจ้าที่ไหน? ที่โบสถ์  … โบสถ์ไหน? ที่ศรีนครินทร์ หรือที่แพรกษาที่เรากำลังจะไป ไม่ใช่ สถานที่นั้นเป็นสถานที่ชุมนุมชนของผู้ที่เชื่อ ที่พระเจ้าเรียกเขามาชุมนุมกัน เพื่อจะใช้งานเขา ในลักษณะใดลักษณะหนึ่ง ในวิถีใดวิถีหนึ่ง ในทางใดทางหนึ่ง โดยเฉพาะมารวมกัน เอเมนไหม? และมันเกิดขึ้นได้ โดยพระเจ้าเข้าไปทำงานในชีวิตของเขาแล้ว สถิตอยู่กับเขาแล้ว แล้วก็กล่อมเกลาเขา นำพาเขา ให้เขาเข้ามาลงไม้ลงมือสร้าง มันไม่เหมือนกับคริสตจักรสากลที่พระเจ้าลงมือสร้าง เมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว ไม่เกี่ยวอะไรกับมนุษย์ เพราะมนุษย์ทำอะไรไม่ได้เลย พระองค์ลงมือด้วยตัวเองเลย ก็คือพระองค์ทรงตายที่ไม้กางเขน และเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่ 3 คือพระเยซูคริสต์เท่านั้น เราไม่ต้องเกี่ยวข้อง แต่หลังจากนั้น มาทำคริสตจักรที่ทำด้วยมือ เราต้องเกี่ยวข้อง เพราะเราเป็นมนุษย์ เราต้องลงไม้ลงมือ พระเจ้าจะไม่มาใส่ชฎา ลอยลงมา …

“วันนี้เราจะมาประชุมที่แพรกษา เพราะฉะนั้น จงเกิดอาคารขึ้น”

ไม่ทำอย่างนั้นนะ แต่พระองค์ทรงเตรียมประชากรของพระองค์ ผู้ที่ยอมให้พระเจ้าใช้ คือพระเจ้าสถิตอยู่กับเขาแล้ว แล้วก็ยอมต่อไปเรื่อยๆ พระเจ้าก็จะนำเขามาร่วมกัน คนนี้เป็นช่าง คนนี้เป็นวิศวกร คนนี้เป็นนักการค้า คนนี้เป็นนักธุรกิจ คนนี้เป็นแม่บ้าน คนนี้เป็นคนธรรมดา ไม่ได้เป็นแม่บ้านด้วย เป็นพ่อบ้าน  อยู่บ้านเฉยๆ ทุกคนมีส่วนร่วม แล้วพระเจ้าก็ทำงานผ่านในวิญญาณของเขา ให้เขายอมที่จะให้พระองค์ใช้ ทำอะไรก็แล้วแต่ เราก็จะเห็นภาพคริสตจักรของพระเจ้าก่อร่างสร้างขึ้นมา แต่ให้รู้ความจริงว่าเป็นคริสตจักรสมมติ แต่จริงๆ เรียกว่าสถานที่ชุมนุมชนของคนที่รู้จักพระเจ้ามาร่วมกัน

ฉะนั้น เราจะได้รู้ว่าเราควรจะให้เกียรติตรงไหน? อย่างไร? ขนาดไหน? ให้ถูกต้อง เพื่อจะได้รักษาข่าวประเสริฐนี้ต่อไป  เพราะฉะนั้น ต่อไปนี้ ถ้าบอกว่าจะไปหาพระเจ้า … พระเจ้าอยู่ที่ไหน? ไปมองกระจกเลย พระเจ้าอยู่ในตัวเรา เราต้องพูดให้ลูกหลานฟังอยู่เรื่อยๆ แต่มิได้หมายถึงที่ชุมนุมชนไม่สำคัญ … ที่ชุมนุมชนก็สำคัญ เพราะว่าพระเจ้าทรงตั้งขึ้น  สถาปนาขึ้น แม้จะเป็นแหล่งสมมติว่าพระเจ้าสถิตอยู่ก็จริง แต่เป็นสถานที่ที่เราจะมาเรียนรู้จักพระเจ้า เราจะมาร่วมกันรับใช้พระเจ้า เราจะมาร่วมกันอยู่ในแผนการของพระเจ้า ที่พระเจ้าจะทรงนำต่อไป ให้ข่าวดีของพระเจ้า ให้ความรักของพระองค์ผ่านทางพระเยซูคริสต์ไปถึงบรรดาผู้คนอีกมากมายเยอะแยะ ที่เขายังไม่รู้ความจริงในอดีตที่เราไม่รู้ ไม่มีความหวัง ตายลูกเดียว ให้เรามีความรักอย่างนั้น หนุนใจกัน  ดูแลซึ่งกันและกัน และจับมือกัน ช่วยคนอื่นเขาต่อไป

ถามว่าช่วยอย่างไร? ช่วยตามน้ำพระทัยพระองค์ ตามแต่พระองค์จะทรงนำไป เราไม่รู้หรอกอนาคตจะเป็นอย่างไร? แต่เรารู้อย่างเดียว มีความหวังชัดเจนแน่วแน่ว่าพระเจ้ากำลังนำเราอยู่เดี๋ยวนี้ เรามีชีวิตอยู่ ไม่ใช่มีชีวิตอยู่เพื่ออนาคตอย่างเดียว เรามีชีวิตอยู่ เรามีความหวังแน่นอน ความหวังของเรา คืออนาคตสุดท้ายเลย คือเราไปอยู่กับพระเจ้าในสวรรค์นิรันดร์ เราสบายแล้ว แต่การอยู่บนโลกนี้ เราต้องหวังเดี๋ยวนี้ ไม่ใช่ รอหวังว่าปีหน้าจะทำอันโน้น ปีหน้าจะทำอันนี้ ไม่ใช่วางแผนไม่ได้ วางแผนได้ แต่เราไม่รู้ พระคัมภีร์บอกว่าอย่าบอกนะว่าพรุ่งนี้จะไปทำอะไร? เพราะไม่มีใครรู้ว่าพรุ่งนี้ ท่านยังมีชีวิตอยู่หรือเปล่า? แต่ทำวันนี้ ให้ดีที่สุด วันนี้ท่านจะทำอะไร? ทำเดี๋ยวนี้ ท่านจะรับใช้พระเจ้า ท่านจะยอมรับใช้พระเจ้า ท่านจะมีส่วนในการดูแลที่ชุมนุมชนของพระเจ้า อย่างไรบ้าง ให้พระเจ้าเปิดตา ให้พระเจ้าเสริมกำลัง และทำมันเดี๋ยวนี้เลย ไม่ต้องมาบอกพระเจ้า …

“พระเจ้า ลูกหวังว่าอีก 3 ปีข้างหน้า ลูกจะอย่างนั้น”

ไม่ต้องสัญญากับพระเจ้าเลย เอาวันนี้ ทำวันนี้ เท่าที่วันนี้ทำได้ สมมติวันนี้ มีอยู่พันหนึ่ง เหลือจากสิ่งจำเป็นต้องใช้สอยจริงๆ ในชีวิตประจำวันแล้ว พันหนึ่งนั้น จะทำอะไรก็ทำ ไม่ต้องบอกพระเจ้าว่า …

“พ่อ ตอนนี้มีอยู่พันหนึ่ง ถ้าเผื่อมีล้านหนึ่งเมื่อไรนะ ลูกจะทำอันโน้นอันนี้”

ไม่ได้ทำหรอก ทำมันเดี๋ยวนี้ ทันที พรุ่งนี้ก็ไม่รู้จะมีโอกาสหรือเปล่า? เราจะเปลี่ยน หรือพระเจ้าหมดหน้าที่การงานบนโลกใบนี้แล้ว จบแล้ว พระเยซูกลับมาใหม่ หรือเราจบชีวิตเราก็ตาม เราไม่มีโอกาส เพราะฉะนั้น ตอนนี้ เรามีโอกาสของเรา ก็ทำอย่างนั้นแหละ วันนี้เลยถือโอกาสมา Happy birthday ที่ชุมนุมชนที่เราอยู่ร่วมกันที่นี่ คือคริสตจักรสมมติ ที่เป็นชื่อเดียวกันกับในพระคัมภีร์ คืออภิสุทธิสถาน หรือ Holy of Holies ครบรอบ 26 ปี ใครอยู่มา 26 ปียกมือขึ้น เยอะแยะไปหมดเลย บางคนอยู่ 27 ปี คืออยู่ตั้งแต่ก่อนจะมาเป็นคริสตจักร หลายคน ที่ไม่ยกมือ หลายคน 27, 28 ปี เห็นหน้ากันมาตลอด

ก็ขอบคุณพระเจ้า ที่เราได้เห็นการเจริญเติบโต อย่างที่ผมบอก การเจริญเติบโตที่สำคัญที่สุด คือการเจริญเติบโตของสมาชิกหรือผู้เชื่อในพระเจ้า ไม่ใช่ การเจริญเติบโตของคริสตจักรสมมติ ที่เรามองกัน แต่การเจริญเติบโตทางวิญญาณ คุณภาพทางวิญญาณของคนนั้นที่เชื่อในที่ชุมนุมชนนี้ มันเป็นที่หนุนจิตชูใจเราอย่างมาก ใน 26 ปีนี้ เราเห็นเยอแยะมากมาย มีผู้คนได้เปลี่ยนชีวิต และเป็นเครื่องมือของพระเจ้า ในการใช้สอยในชีวิตของเขามากมาย ยิ่งกว่าอัศจรรย์ เราได้เห็นหลายคน ได้รับอัศจรรย์แบบวัตถุ แต่เราได้เห็นหลายคนที่อัศจรรย์กว่านั้น ก็คือไม่ได้เกี่ยวกับวัตถุ แต่เกี่ยวกับชีวิตเปลี่ยนแปลง ครอบครัวเปลี่ยนแปลง สิ่งรอบข้างเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดี อย่างไม่น่าเชื่อ อย่างไม่น่าเป็นไปได้ ก็เป็นไปได้ หรือหลายคน ที่ไม่น่าจะมาถึงวันนี้เลยนะ เพราะอุปสรรค ปัญหามันเยอะเหลือเกิน แต่ในที่สุด เขาก็ผ่านพ้นอุปสรรคปัญหา จนทุกวันนี้เขาก็เจริญเติบโต เข้มแข็งในทางวิญญาณอย่างมาก และยังเป็นที่พึ่งให้กับคนอื่นได้อีกด้วย ตรงนี้เป็นสิ่งสำคัญมาก

วันนี้ จึงขอบคุณพระเจ้า ในโอกาสฉลองครบรอบ 26 ปีด้วยกัน  … 26 ปีนี้ เราย้ายมาหลายแห่ง แล้วเราก็ไม่ได้คิด ไม่ได้คาดหวังว่าวันหนึ่งจะต้องมีที่ดินของตนเอง ถามว่าอยากได้ไหม? ก็อยากได้ แต่ก็แล้วแต่พระเจ้า อย่างที่บอกว่าเมื่อเรารู้ความจริงแล้ว ทุกอย่างก็อยู่ที่พระเจ้า ก็อธิษฐานต่อไป

มาถึงปีนี้ 26 ปี ขอบคุณพระเจ้าอย่างมากๆ เลยว่าสิ่งที่น่าดีใจมากกว่านั้น ไม่ใช่ที่ดินที่เราจะได้มาก่อสร้างสถานที่ชุมนุมชน สำหรับลูกหลานเรานะ เราใช้ได้แน่ๆ อยู่แล้ว แต่ลูกหลานเราจะได้ใช้ด้วย เพราะว่าคราวนี้เราจะไม่ต้องย้ายไปไหน? ลูกหลานก็จะอยู่ที่แพรกษานี้ ไปจนตลอด จนพระเยซูกลับมานั่นแหละ

สิ่งที่น่ายินดี ไม่ใช่สถานที่ที่ได้รับ ท่านลองคิดดู ที่ยินดี ก็เพราะว่าเราได้คุยกันบ่อยๆ ในพระคัมภีร์ ผมได้ย้ำอยู่เรื่อยๆ แล้วย้ำมากๆ บ่อยๆ ทุกครั้งที่มีการเอ่ยถึงการถวายทรัพย์ ซึ่งผมไม่ค่อยได้พูดถึงเรื่องเหล่านี้ นานๆ จะถูกทีหนึ่ง พอพูดทีไร ผมก็จะบอกเสมอว่าความรักในทางพระเจ้า คือการให้ … ให้โดยไม่หวังสิ่งตอบแทน ให้มือซ้าย มือขวาไม่รู้ ให้มือขวา มือซ้ายไม่รู้ ให้โดยไม่ต้องการอะไรทั้งสิ้น ไม่ต้องการเกียรติ ไม่ต้องการคำชม ที่ผมบอก นั่นแหละ คือการให้จริงๆ เราต้องฝึกใช่ไหม? ทุกครั้งที่ผมมีโอกาสพูด ผมก็จะบอกมาถึงเวลาฝึกฝนในการถวายทรัพย์ ฝึกฝนในการรู้จักให้ แล้วมันก็เกิดผล … เกิดผลตรงไหน? ตรงที่ 2 โครินธ์ 9:6 ที่ผมบอกอยู่บ่อยๆ จงจำไว้ว่าผู้ที่หว่านอย่างตะหนี่ ก็จะเก็บเกี่ยวได้น้อย ผู้ที่หว่านด้วยใจกว้างขวาง ก็จะเก็บเกี่ยวได้มาก แต่ละคนที่เขาควรจะเป็น ที่เขาคิดหมายไว้ในใจ ไม่ใช่อย่างลังเล หรือเพราะถูกผลักดัน เพราะพระเจ้าทรงรักผู้ที่ให้ด้วยใจยินดี และพระเจ้าทรงสามารถประทานพระคุณทุกประการอย่างล้นเหลือ แก่ท่าน เพื่อว่าท่านจะได้มีทุกอย่างที่จำเป็น อยู่ทุกเวลา และท่านจะมีล้นเหลือ สำหรับการดีทุกอย่าง เหมือนที่เขียนไว้ว่าเขาได้แจกจ่ายให้คนยากจน ความชอบธรรมของเขาจะดำรงอยู่เป็นนิจ

ถามว่าตรงนี้ ดีใจตรงไหน? ดีใจตรงที่สถานที่ที่เราได้ จะไปสร้างสถานชุมนุม ที่นมัสการของเรา อีก 3 ปีข้างหน้า ผู้ที่ให้ ได้แสดงเจตจำนงค์ตั้งแต่แรกแล้ว … เคยได้ยินไหม แต่ก่อนเขามีบริจาคน้ำท่วม ที่ออกทีวี  แล้วมีคนโทรศัพท์เข้ามาบริจาค เราจะได้ยินว่าคนนี้บริจาคเท่าไร? ผู้ไม่ประสงค์ออกนาม เท่าไร? ก็ย้อนกลับไปที่บอกพี่น้องของเรา ผู้นี้ยืนยันบอกว่าผมขอ 2 อย่างเท่านั้น …

อย่างแรก คือให้เอาไปเร็วๆ หมายถึงให้รับโอนเร็วๆ เอาไปใช้เลย รีบๆ

อย่างที่สอง คือผมขออยู่อย่างเงียบๆ ไม่ต้องบอกว่าใครเป็นคนให้เลย

สิ่งนี้มันน่ายินดีกว่าที่ดินอีก ที่ดินเมื่อไรได้ ก็ได้ เมื่อพระเจ้าจะให้ แต่ตรงนี้ พระเจ้าทำก็ไม่ได้ ต้องคนๆ นั้นยินยอมให้พระเจ้าค่อยๆ สร้างเขาขึ้นมาในความเชื่อ ต้องค่อยๆ ได้รับการสอน ได้รับถ้อยคำพระเจ้าในแต่ละครั้ง แต่ละวัน แต่ละคำบรรยาย ที่เขาฟัง ฟังเพื่อให้โลภมากขึ้น ฟังเพื่อให้ลด ให้ละมากขึ้น ฟังให้เกิดความเบียดเบียน หรือเห็นแก่ตัวมากขึ้น หรือฟัง เพื่อให้เกิดความเสียสละมากขึ้น  เขาได้ตรงไหนไป? แล้วถามว่าพระเจ้าต้องการอะไร? พระเจ้าต้องการกล่อมเกลาจิตวิญญาณของเรา โดยคำบรรยาย โดยคำเทศนาของศิษยาภิบาล หรืออาจารย์ต่างๆ ตลอดเวลา ทุกอาทิตย์ๆ หรือวันธรรมดาเอาไปฟัง เพื่อให้ความคิดเขาเปลี่ยนแปลง ให้เหมือนน้ำพระทัยพระเจ้า ให้เขาดำเนินชีวิตเหมือนวิญญาณเขาได้เกิดใหม่ เหมือนพระเจ้า วิญญาณที่เรียกว่าวิญญาณแห่งความรัก กระทำคุณให้ ไม่อิจฉา ไม่อวดตัว ไม่เย่อหยิ่งผยอง เป็นคนที่เสียสละ ให้เขาฝึกฝนที่จะใช้ความรักนั้น ที่อยู่ข้างในตัวเขาออกมาข้างนอก ซึ่งโลกนี้กำลังต้องการ และนี่คือผลของมัน ที่ได้แล้ว ไม่ใช่ อธิษฐานเมื่อวานแล้วได้ มันต้องค่อยๆ ใช้เวลาฝึกฝนทีละนิดทีละหน่อย

นี่คือสิ่งที่น่ายินดีมาก และผมก็ลืมไป เพราะว่าได้คุยกันเมื่อปลายปีที่แล้วว่าเจตจำนงค์ของพี่น้องท่านนี้ต้องการอะไร? ก็รับรู้ไว้ แล้วก็บอกว่าโอเค ผมกับคณะกรรมการจะรีบจดทะเบียนมูลนิธิฯ ก็ไปปรึกษาทางฝ่ายกฎหมายว่าจะทำอย่างไร? ถึงจะปลอดภัยที่สุด สำหรับการบริหารที่ดินนี้ เขาก็บอกว่าใช้ในนามมูลนิธิดีที่สุด ก็ไปจดทะเบียนมูลนิธิ ก็คิดว่าเมื่อมันเสร็จแล้ว จด เพื่อที่จะโอนที่ดินเข้ามูลนิธิ แรกๆ เขาบอกใช้เวลา 2, 3 เดือน ก็เสร็จแล้ว ปรากฏว่าเลยมา 7, 8 เดือนแล้วมั้ง เนื่องจากมูลนิธิเก่าที่มีอยู่ มันเยอะมาก แล้วใช้เส้นสายไปจดกันเละไปหมด จนกระทั่งมั่วบ้าง มีของปลอมบ้าง เขาจึงต้องการสังคยาณา เอาของเก่าให้มันเรียบร้อยไปก่อน อันไหนไม่ใช่ก็ตัดทิ้ง ไปตรวจสอบอันเก่าให้เรียบร้อยก่อน แล้วอันใหม่ เขาก็ค้างไว้ เขาว่านะ ก็อยู่ในคำอธิษฐานต่อไป

กลับมาเมื่อตะกี้นี้ ปรากฏว่าก็รอ ไม่ได้สักที พี่น้องท่านนี้ก็ถามอยู่เรื่อย เมื่อไรจะมารับไปสักที ก็มันยังจดไม่ได้ จนกระทั่งถึงเวลาที่ผมสัญญากับที่ประชุมไว้หลายปีแล้วว่า 3 ปีสุดท้ายของสัญญาที่เช่าที่นี่ ผมต้องประกาศแล้วว่าเราจะไปไหน? ทุกคนจะได้เตรียมตัวว่าใครจะไปไหน? อธิษฐานร่วมกันอย่างไร? เพราะว่ามีเวลาอยู่ 3 ปีเท่านั้น ก่อนหน้านี้จะไม่พูดเลย เพียงแต่บอกว่ามันเหลืออีกกี่ปีเท่านั้น แต่บอกแล้วว่าถ้าภายใน 3 ปี จะบอกหมดว่าจะทำอะไรอย่างไร? จะได้มีเวลาเพียงพอ ก็ครบรอบวันนี้ คือเหลืออีกประมาณ 3 ปี ก็ต้องบอกวันนี้ว่าแผนการเราจะไปที่ไหน? ก็เลยต้องแจ้ง โดยที่ยังไม่โอนที่ดินมา และมูลนิธิก็ยังไม่เสร็จ อยู่ในการจดทะเบียนอยู่ ก็เลยจัดงานนี้ขึ้นมา เพื่อบอกกล่าวกันทุกคนแล้วว่าทุบหม้อข้าวแล้วนะครับตอนนี้ ตัวใครตัวฉันแล้วนะ เรากำลังจะไปที่ไหน? เมื่อไร? อย่างไร? เพื่อทุกคนจะได้ตื่นตัว ก็เลยบอกล่วงหน้า วันนี้จะบอกความคืบหน้าว่าเราจะย้ายไปไหน? หลายคนก็ถามตลอด เราจะไปอย่างไร? อย่างที่อาจารย์นำบอก อยากอยู่ที่เดิม เพราะแน่นอนความสบาย มันขี้เกียจ ไม่อยากไปไหนแล้ว แต่นั่นแค่เศษๆ เพราะเราไม่ได้อยู่ด้วยตัวเราเอง เราอยู่ด้วยน้ำพระทัยพระเจ้า พระเจ้าต้องการให้เราไป เราก็ไป

วิธีที่รู้ว่าพระเจ้าต้องการให้เราไป คือพระเจ้าไม่ให้เราอยู่ เขาก็ไม่ให้เราอยู่ เราก็ต้องไป

ก็เลยต้องมาบอกในวันนี้ วันเริ่มต้นของแคมเปญการย้ายสถานที่ รู้แล้วตอนนี้ชัดเจน ขับรถไปดูกันเอง ไปอธิษฐานกันเอง

พี่น้องเราท่านนี้ที่ได้ถวายที่ดิน ใช้สถานที่แพรกษาเป็นที่ชุมชน ใช้ประโยชน์ในการประกาศข่าวดี แล้วให้พี่น้องศึกษาเรื่องพระเจ้า ได้ย้ำยืนยันแล้วว่าเจตนารมณ์ไม่ต้องการให้ใครรู้ว่าเขาถวาย ผมก็ลืมไป นึกว่าวันนี้ว่าจะติดต่อเชิญมา เพื่อทำพิธีให้ทุกคนได้รู้ว่านี่คือโฉนด? นี่คืออะไร? นิดเดียวๆ เลยให้ทางคณะกรรมการเขาติดต่อไป พี่น้องท่านนี้ก็พูดและยืนยันกลับมาเหมือนเดิม ผมดีใจมากเลย ยืนยันมาบอกว่า …

“ขออภัยด้วยนะครับ ถ้าให้ขึ้นไปเป็นพยานเรื่องพระเจ้า โอเค พูดได้ แต่ถ้าให้ขึ้นไปแสดงตนว่าเป็นผู้ให้ ขออยู่เงียบๆ นะครับ”

มันชื่นใจ บางทีทำอะไรเยอะแยะ ก็ลืม ลืมไปว่าสิ่งนี้เป็นสิ่งที่เราบอกตั้งแต่แรกแล้ว ฝึกฝนตัวเอง ไม่ว่าจะมากหรือน้อย ให้มือขวา อย่าให้มือซ้ายรู้ ให้ไป ไม่ต้องมีใครรู้เลย เงียบๆ ยิ่งเงียบยิ่งดี เอเมนไหม?

นี่คือตัวอย่างอันหนึ่งที่ได้เอามาหนุนจิตชูใจกัน สำหรับผมแล้ว ผมถือว่าอัศจรรย์มากกว่าที่ดินที่เราจะได้ไปอยู่ร่วมกัน และใช้สถานที่ที่เป็นของเราจริงๆ แล้วจะไม่ต้องถูกเขาไล่ไปไหนอีกแล้ว ผมว่าตรงนี้อัศจรรย์กว่า มันมีโอกาสเป็นอย่างนี้ได้น้อยมาก สำหรับผู้คน ไม่ใช่คริสเตียนอย่างเดียว แต่ผู้คนในปัจจุบันนี้ มันเป็นได้น้อยมาก ทำดี แล้วไม่เอาหน้า ผมว่ามันยากมากจริงๆ บางทีเราไม่อยากได้หน้า แต่คนอื่นเขาเผลอชมนิดหนึ่ง เราก็เผลอสวมกอดเลยนะ เราก็รับเลย พอรับไปนานๆ มันก็จะเหลิงไป นึกออกใช่ไหม? สมมติว่าย้อนกลับมาที่พี่น้องคนนี้อาจจะปล่อยเลยตามเลย

“อ้าว! ก็อาจารย์เขาเชิญแล้ว”

ก็ไปเลย แต่เขายังรักษาเหมือนเดิม เหมือนเมื่อหลายเดือนที่แล้วว่าไม่ต้องการให้ใครรู้ มันตรงพระคัมภีร์ ให้ด้วยใจ ไม่ตะหนี่ มีความคิดในใจ ให้ คือให้ ไม่ใช่ลงทุน การให้ แล้วหวังว่าเราจะได้เกียรติกลับมา คือการลงทุน  การให้ เพื่อหวังว่าพระเจ้าจะอวยพรเรากลับมาเยอะแยะ คือการลงทุน แต่การให้ เพราะรัก … ความรัก คือเห็นผู้คนเขาลำบาก เขายังไม่รู้จักพระเจ้า ไปแถวไหน? อาจเป็นพระพร สำหรับเขา เด็กแถวนั้นอาจไม่มีที่เรียน อาจจะสร้างเป็นโรงเรียน เราคิดล่วงหน้าไว้แล้วนะ แต่ก่อนหน้านี้ ก็เคยคิดว่าอยากจะเป็นโรงเรียน เด็กแถวนั้นจะได้มาเรียนหนังสือ อะไรแบบนั้น แต่เราไม่รู้หรอกว่าพระเจ้าจะทำอะไร? การให้ คืออย่างนี้

เพราะฉะนั้น เลยอยากหนุนใจพวกเราทุกคนที่มีส่วนในที่ประชุมแห่งนี้ ในอนาคตอันใกล้นี้ เริ่มตั้งแต่ตอนนี้เป็นต้นไป ให้ตั้งใจอย่างนี้ พระคัมภีร์ก็บอกว่าพระเจ้าพอพระทัยมาก คือพอพระทัยให้เราทำตามที่เราเป็น คือวิญญาณเราเป็นลูกพระเจ้า เต็มไปด้วยความรัก เหมือนพระเยซู เพราะฉะนั้น เราทำเหมือนพระเยซู ฝึกฝนเหมือนที่พระวิญญาณสอนและนำพาในชีวิตเราแต่ละวัน และพระองค์พอใจมากที่สุด อยากให้ทุกคนมีส่วนร่วมแบบนี้แหละ ร่วมเท่าที่เราเป็นอยู่ ผมบอกเลยนะว่าถ้าพูดถึงวัตถุสิ่งของ ไม่ต้องพึ่งเลย พระเจ้าผู้เดียวทำได้ทุกอย่าง แต่พึ่งเรา เพื่อที่จะสร้างเราแต่ละคนขึ้นมา เพื่อจะใช้เราต่อไป ในการประกาศข่าวดีของพระองค์ ไม่ใช่สร้างเรา เพื่อเราจะมีเงิน เอาของมาให้ ไม่ใช่ สร้างเรา เพื่อให้เรามีคุณภาพ ในชีวิต ที่จะเป็นพยานด้วยชีวิตของเรา ให้กับผู้อื่น รอบข้างเรา โดยเฉพาะอย่างยิ่งลูกหลาน เหลนโหลนเรา สำคัญที่สุด

บางทีเราดู เราคิด เหมือนใกล้ๆ นะ แต่จริงๆ มันไม่ใช่ มันเป็นแผนการยาว ไกลมาก พระเจ้าไม่ได้มองชีวิตเราแค่นี้ พระเจ้ามองไปทะลุถึงลูกหลาน เหลนโหลนเรา ไปถึงครอบครัว ต่อเนื่องกันเยอะแยะไปหมดเลย นี่คือสายพระเนตรพระเจ้า ไม่ใช่มองดูแค่สั้นๆ ว่าเราได้ เราให้ พรุ่งนี้ มะรืนนี้ เราอยู่ในโลกใบนี้ เราคงจะได้ดี ต่างๆ เหล่านั้น ไม่ใช่วิธีนั้น ในทางพระเจ้า คือดูแลเราด้วยความรักและวางแผนไว้สำหรับความรักนั้น จะได้เผื่อแผ่ไปยังบรรดาผู้คน ที่เขาตกทุกข์ได้ยาก ลำบากที่สุด ก็คือไม่รู้จักพระเจ้า ไม่รู้จักข่าวดี ไม่มีความหวังในชีวิตนิรันดร์ ไม่มีความหวังในสวรรค์เลย ไม่รู้จักอะไรเลยแม้แต่นิดหนึ่ง ก็คนตาบอดนั่นเอง เราที่รู้แล้ว ตาสว่างแล้ว อย่างไรก็ไปรอดแล้ว เราควรจะนึกถึงคนที่เขาตาบอด เราควรจะทำทุกสิ่งทุกอย่างที่ทำได้ เพื่อให้ความรักนี้ ไปถึงพวกเขา เหมือนพวกเราในที่นี้

นี่คือสิ่งที่พระเจ้าอยากให้มันเกิดขึ้น ในวิญญาณของเรา โดยไม่ถูกบังคับ โดยสบายๆ ถ้ายังทำไม่ได้ ไม่เป็นไร ไม่ต้องรู้สึกฟ้องผิด เดี๋ยวพระวิญญาณจะค่อยๆ กล่อมเกลาท่านทีละนิด ทีละหน่อย ให้เปลี่ยนแปลง ค่อยๆ มีความรักอย่างนี้แน่นอน เพราะพระวิญญาณบริสุทธิ์ พระเจ้าให้มาสถิตกับเรา เพื่อการนี้โดยเฉพาะ ไม่ใช่ เพื่อแค่ทำการอัศจรรย์ร่างกายเราอย่างเดียว แต่ทำการอัศจรรย์กว่านั้น คือเปลี่ยนแปลงนิสัยใจคอของเรา ให้เป็นเหมือนพระเยซู ซึ่งคือวิญญาณข้างในนั่นเอง เอเมน

เราไม่ได้หวัง แค่พระวิญญาณอยู่กับเรา แล้วอัศจรรย์เกิดขึ้น อาจจะมี หรือไม่มี ไม่ได้เป็นสิ่งสำคัญ แต่สิ่งสำคัญควรจะมี ก็คือชีวิตเราควรจะเปลี่ยนแปลงนะ ไม่ใช่ บอกเชื่อพระเจ้ามาตั้งนานแล้ว  ไม่มีอะไรเปลี่ยนเลยสักนิดหนึ่ง ผมว่ามันไม่น่าใช่ มันต้องมีเปลี่ยนแหละ แล้วใครรู้ ตัวเราเองแหละรู้ มากน้อยเพียงใด

นี่ก็เอามาเป็นสิ่งที่ได้คุยกันในวันนี้ เพราะฉะนั้น ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป เราก็จะเริ่มรณรงค์ ให้ทุกคนมีส่วนเข้ามาอยู่ในนี้ จำไว้เลยนะ ไม่ใช่รณรงค์ เพื่อที่จะขอความช่วยเหลือจากทุกคน เข้ามาช่วยพระเจ้า ในการสร้างอาคารไม่ใช่ ถ้าเป็นเช่นนั้น เพลงเมื่อตะกี้เราร้อง ก็ร้องผิดหมดเลย ที่ร้องว่า พระเจ้ายิ่งใหญ่  มันก็ไม่ยิ่งใหญ่จริง  พระเจ้ายังต้องการให้เราช่วยเลย แล้วเราจะให้พระองค์ช่วยอะไรเรา แล้วพระเจ้าจะใหญ่ได้อย่างไร? ไม่จำเป็น เพราะอย่างไรมันก็เสร็จอยู่แล้วล่ะ เอเมนไหม? สถานที่ประชุมที่แพรกษา มันเกิดขึ้นในวิญญาณตั้งนานแล้ว ถ้าเป็นน้ำพระทัย วางแผนไว้พระเยซูจะมาตายที่ไม้กางเขน เมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว มันเกิดขึ้นก่อนหน้า 2,000 ปีแล้ว พระองค์บอกไว้ล่วงหน้าก่อนว่ามันจะเป็นอย่างนั้น และพอถึงวันจริงๆ มันก็เกิดขึ้นตามที่เป็น แล้วเรามีส่วนเกี่ยวข้องอะไร? ก็คือพระเจ้ากำลังทำงานของพระองค์ … พระองค์ต้องการให้พวกเรามีส่วนเข้ามาร่วม เพื่อจะใช้ชีวิตเราให้เป็นประโยชน์ต่อผู้อื่นรอบข้างเรา โดยเฉพาะลูกหลาน เหลนโหลน เรายินยอมไหม? แค่นั้นเอง  อย่าไปคิดนะว่าท่านต้องกลับไปทำงานให้หนักขึ้น เพื่อจะเอาเงินมาช่วยพระเจ้า  อย่าไปคิดว่าท่านจะกลับไปเทกระปุกให้หมดเลย มันเหลือเท่าไร จะเอามาให้หมด อย่าไปคิดอย่างนั้น  แต่ถ้าพระเจ้านำท่าน ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งของใครของเขา แล้วแต่ แต่กำลังจะบอกให้ว่าอย่าใช้ความรู้สึก เข้าใจใช่ไหมครับ

ขนาดพี่น้องที่มอบที่ดินนี้ ครั้งแรกมา ผมบอกให้กลับไปคิดดูก่อน คิดดีๆ ไม่ได้บอกดีใจ เอามาเลย กำลังอยากได้พอดีเลย คิดดูก่อน ไม่เป็นไรนะ ไปประชุมทั้งครอบครัวเลย ไม่ให้ก็ไม่เป็นไรนะ อย่ามีความรู้สึกว่าตอนนี้จะให้ เราต้องการของจริงๆ ไม่ใช่รู้สึกว่ามา เราดีใจ เราก็จะสร้างบาปให้กับครอบครัวนั้น เพราะมันไม่ใช่ เมื่อไม่ใช่ ความรู้สึกโลภ อยากได้ด้วย ก็เลยทั้งสองฝั่งรู้สึกไม่ใช่การนำ ในที่สุด ก็จบด้วย อวสานด้วยโศกนาฎกรรม ไม่มีใครผิดนะ แต่โศกนาฎกรรม มันไม่สวยงาม

เพราะฉะนั้น ถ้าเป็นไปได้ เมื่อกี้บอกว่าให้สบายใจกันทั้งคู่ ทั้งสองฝั่ง คนรับก็สบายใจ ไม่ต้องเร่งรับ แล้วก็ไม่ต้องบอกมาแล้ว ฉันต้องรีบเอา เดี๋ยวเขาไม่ให้ ที่นี่รับรองได้ว่าไม่มีอย่างนั้นเลย บอกแล้วว่าได้ทำอย่างนี้มาตลอด แล้วครั้งนี้ก็ยังทำอยู่นะ ที่บอกว่ารอให้มูลนิธิจดเรียบร้อย แล้วประกาศ ก็เป็นส่วนหนึ่ง ในวิธีการรับของถวาย จากพี่น้องที่จะมาร่วมกันสร้าง เหมือนกัน ก็คือไม่อยากจะบีบบังคับว่าในขณะที่รอการจดทะเบียน พี่น้องสามารถเปลี่ยนใจได้นะ ก็รอจนกว่าวันสุดท้าย  เมื่อไปโอน อันนั้นมันจบแล้ว

ให้เราทุกคนมีความรู้สึกอย่างนี้เหมือนกัน ส่วนท่านจะไปสัญญากับพระเจ้าอย่างไร? ไปอธิษฐานกับพระเจ้า เป็นแบบกันเองอย่างไร? เป็นอีกเรื่องหนึ่ง นี่ยกตัวอย่างให้ฟัง มีหลายคนก็ทำอย่างนี้ ผมก็เคยทำอย่างนี้ คือเหมือนสัญญาพ่อลูก ไม่ใช่สัญญาแบบติดสินบน บางทีผมใช้วิธีนี้

“พระเจ้า ฟังดูแล้ว โครงการนี้ (ครั้งที่แล้ว ที่ย้ายมาที่นี่) ลูกอยากมีส่วนร่วมมากเลย  ลูกตั้งใจไว้ว่าจะมีส่วนสักเท่านี้ๆ ถ้าเป็นไปได้ …”

อย่างนี้ได้ ส่วนตัว แล้วไม่ต้องเอาตรงนี้มาบอกผม บอกศิษยาภิบาล ผมอธิษฐานแล้ว ผมอยากจะให้ส่วนนี้ ไม่ต้อง คุยกับพระเจ้าเป็นส่วนตัวเลย ให้ก็ให้ ไม่ให้ก็ไม่ให้  ไม่เป็นไร?  ไม่ต้องมาบอกคริสตจักรว่า …

“ผมตั้งใจจะสร้างอาคารให้ 10 ล้านบาทเลย ถ้าผมกำไรจากตรงนี้”

ไม่ต้อง ไม่มีก็ไม่มี มี 10 บาท ก็เอา 10 บาทมา พอแล้ว นั่นแหละ มีความสุข เข้าใจใช่ไหมครับ ผมไม่รู้จะอธิบายให้ฟังอย่างไร? เรื่องเหล่านี้ ต้องค่อยๆ เล่าสู่กันฟัง เพราะว่าเงินทองของบาดใจ พูดอะไรมากไม่ได้ มันเรื่องธรรมดา เพราะฉะนั้น ให้มีความรู้สึกสบาย แล้วก็สงบ แล้วก็ไม่ทำลายความเชื่อของตัวเอง การทำลายความเชื่อของตัวเอง คือเราคาดหวังไว้สูง แล้วเราใช้ความรู้สึก แล้วมันทำไม่ได้ เพราะเราใช้ความรู้สึก ไม่ใช่ความเชื่อ ความรู้สึกวันนั้น มันเป็นอย่างนี้ สิ่งแวดล้อมเป็นอย่างนี้ ทำให้เกิดรู้สึกอย่างนี้ แต่มันไม่ใช่ความจริง แล้วมันเป็นไปไม่ได้ แล้วเรามานั่งฟ้องผิด วุ่นวายไปหมด บางคนบางทีไปแอบเอาเงินลูกมาถวาย เพื่อจะสร้างโบสถ์ แล้วในที่สุด ลูกรู้เข้าทีหลัง สมมติลูกยังไม่เชื่อ แล้วเกิดอะไรขึ้น โศกนาฎกรรมไหม? เห็นภาพเลยนะ คนไปเอามา คือแม่นะ แต่เป็นเงินของลูก แล้วคุณมีสิทธิ์อะไรไปเอาเงินของเขา ต่อให้เป็นเงินของคุณเอง คุณก็ไม่ต้องให้ ถ้าเผื่อคุณไม่พร้อมที่จะให้ นี่เงินของลูกนะ หรือเงินของสามีก็ตาม หรือภรรยาก็ตาม จะเชื่อหรือไม่เชื่อก็ตาม อย่างนี้เป็นต้น ถ้าไม่มีสันติสุข ไม่เป็นหนึ่งเดียวกัน ถ้ามาจากพระเจ้า ต้องมีสันติสุข ต้องพร้อมๆ กัน สามีภรรยา ใช่ นี่เป็นเงินของเรา สิทธิของเรา ไม่ใช่เงินลูก ไม่ต้องถามลูก เราก็ตัดสินใจได้เลย แต่ถ้าเป็นเงินของลูก ลูกให้เราแล้ว ก็เป็นของเราแล้ว อย่างนี้ได้ แต่ไม่ใช่ เป็นเงินบัญชีของลูก ลูกถวาย ตื้อลูกทุกวัน แล้วลูกก็ไม่ได้เชื่อพระเจ้าสักทีหนึ่ง เพราะพ่อแม่ทำอย่างนี้ จึงไม่เชื่อ  ลูกก็คงคิดว่า …

“ไงแม่ร้องอยู่บ่อยว่าพระเจ้ายิ่งใหญ่ๆ ให้ลูกไปช่วยพระเจ้า ดูสิ”

อย่างนี้ คือสิ่งที่ผมว่ามันไร้สาระ คิดให้ดีๆ เรามาเชื่อพระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่สูงสุด เรากำลังเชื่อว่าพระเจ้าเป็นจริง พระเจ้าช่วยเราได้ เสร็จแล้ว เราก็มาบอกว่าเรากำลังจะช่วยพระเจ้า เราให้พระเจ้าทำอย่างนี้ดีกว่า ให้พระเจ้าทำการงานผ่านชีวิตเรา ถ้ามันเป็นไปตามนั้นได้ ก็ดี ถ้าเป็นไปไม่ได้ ก็ไม่เป็นไร ไม่ต้องรู้สึกฟ้องผิด แสดงว่าพระเจ้าต้องการใช้เราแค่นี้เอง ถ้าเรามีส่วนในการสร้างอาคารได้ ตามที่เราเคยคิดก็ดี แต่ถ้าไม่ได้ ก็แสดงว่าพระเจ้าต้องการให้เรามีส่วนร่วมในงานนี้เท่านี้ พอแล้ว เอเมนไหม? ถ้าพระเจ้านำพาเราผ่านทางการอธิษฐาน เราสามารถอธิษฐานให้ทุกคืนเลย เรื่องเกี่ยวกับอาคารที่จะก่อสร้างที่นี่ ทุกคืนเลย คืนละ 10 นาที 5 นาที ถ้าเราทำได้ ทำไป ถ้าคนข้างๆ เขาทำได้แค่นั้น เขาหลับ เขาลืมไป ก็ไม่ต้องไปว่าเขา พระเจ้าก็ใช้เขาอย่างนั้น เข้าใจใช่ไหมครับ ไม่ใช่เอามาเปรียบเทียบว่า …

“ฉันอธิษฐานทุกคืน เธอไม่อธิษฐานเลย ทำไมอย่างนี้”

แค่พูดแค่นั้น คนที่อธิษฐาน ก็สอบตกแล้ว

“ฉันมีส่วนร่วมอธิษฐาน ไม่เห็นมีใครอธิษฐานเลย”

มนุษย์เราจะเป็นอย่างนี้ ทำๆ ไป แล้วเพลิน

“ฉันทำงานจนเหนื่อยจะตาย ไม่เห็นมีใครทำอะไรเลย”

มันจะเป็นเพลิน ไปดูสถานที่ใหม่สิ ทุกคนช่วยกันอย่างนั้น คนนี้ไม่ช่วยเลย มันเรื่องของเขา  ไม่ใช่เรื่องเรา เราได้แค่ไหน ก็แค่นั้น ถ้าเราเอามาเปรียบเทียบกัน เราก็จะกลับกลายเป็นคนที่ไม่เชื่อพระเจ้า ถ้าเราเชื่อพระเจ้า เราต้องมั่นใจว่าวันนี้วันเกิดของพระเจ้า พระเจ้าลงมาสถิตอยู่กับมนุษย์แล้ว  พระองค์จะเป็นผู้นำพาเขาเอง  ถ้าเขาทำได้แค่นั้น แสดงว่าพระเจ้านำพาเขาแค่นั้น พระวิญญาณบอกเหมาะสมแล้ว พระวิญญาณที่อยู่กับเรา ให้เราทำเหมือนเยอะกว่า ก็เพราะว่าเราเหมาะสมอยู่อย่างนั้น และถ้าเราเอาตัวเราไปเปรียบเทียบกับเขา  เขาทำน้อยกว่า แล้วเราเอาตัวเราไปเปรียบเทียบกับคนที่ทำได้เยอะกว่า เราก็ตายลูกเดียว เราก็เครียด รับใช้ไปเครียดไป ไม่ใช่ วิธีรับใช้พระเจ้า คือยอม แค่นั้นเอง ไม่ใช่วิธีรับใช้พระเจ้า คือพยายามๆ ทำด้วยตัวเอง  ไม่ใช่ ไม่ต้องพยายาม วิธีรับใช้พระเจ้า คือยอมให้พระวิญญาณทำงานผ่านชีวิตของเรา เอเมน มันต่างกันกับว่าวิธีรับใช้พระเจ้า ต้องพยายามทำนะ อันนี้ไม่ใช่วิธีรับใช้พระเจ้า เราไม่ได้เป็นทาสอย่างนั้นต่อไปแล้ว เราเป็นลูกของพระเจ้า พระวิญญาณบริสุทธิ์จะสถิตอยู่กับเรา ต่อให้เราไม่ทำอะไรเลยแม้แต่นิดหนึ่ง ไม่อธิษฐานด้วย สำหรับโครงการนี้ พระวิญญาณบริสุทธิ์ยังสถิตอยู่กับเราไหม? อยู่ แล้วพระวิญญาณยังทำงานอยู่ในชีวิตเราไหม? ทำ แล้วพระวิญญาณทำเหมือนกับคนอื่นๆ ไหม? ทำ

ก็วางใจ ยอมรับว่าจะเป็นอย่างนั้น วางใจในพระองค์ไว้ ถึงเวลา พระองค์จะทรงกระทำอย่างอื่นเอง มันจะได้มีความสุข เราก็มีคุณค่าเท่าคนอื่น ไม่ใช่ คนอื่นเขาทำเยอะ เราทำน้อย เราก็เศร้าใจ

“ทำไมฉันทำได้แค่นี้ ฉันเป็นคนด้อย”

ด้อยอะไร? เราเป็นลูกพระเจ้าเท่ากันเลย ไม่ต่างอะไรกันเลย ไม่ว่าจะเป็นศิษยาภิบาล คนมอบที่ดินที่นี่ หรือจะเป็นคนมอบอาคาร หรือเป็นแค่อธิษฐานให้ มีค่าเท่ากัน ไม่ได้ต่างอะไรกันเลย แม้แต่นิดเดียว เราต้องทำความเข้าใจตั้งแต่วันแรกนี้ เรากำลังเริ่มแคมเปญนี้ด้วยวิธีการที่ถูกต้องในทางของพระเจ้าอย่างไร? ทุกสิ่งที่พูดมานี้ อยู่ในพระคัมภีร์ทั้งสิ้น แล้วเราได้เรียนรู้กันมาตลอด ให้ฝึกฝนกันมาตลอด นี่แหละคือความรัก นี่แหละคือความจริง นี่แหละคือข่าวประเสริฐของพระเจ้า ที่ออกมาเป็นความรัก ที่สำแดงแล้ว ที่ออกมาในพระเยซูคริสต์ แล้วเราทุกคนต้องมีส่วนอย่างนี้แหละ

และเราถือโอกาสอย่างนี้ ซึ่งเป็นวันดี ที่เป็นวันที่เราระลึกถึงพระวิญญาณบริสุทธิ์ คือพระเจ้า เข้ามาสถิตอยู่กับมนุษย์ เป็นครั้งแรก โดยพระวิญญาณบริสุทธิ์  เป็นผู้ดำเนินการ เคลื่อนไหวในชีวิตของเรา ร่างกายของมนุษย์ที่ยินยอมให้พระองค์เข้ามา คือเปิดใจต้อนรับพระเยซู ยอมรับว่าพระองค์เป็นผู้ช่วยให้รอด ตายที่ไม้กางเขน เพื่อชำระบาปและเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่ 3 แล้ว 2,000 ปีมาแล้ว รับสิทธินี้ไว้ ทันทีทันใด พระวิญญาณบริสุทธิ์ก็เข้ามาบัพติศมา คือจุ่มเราเข้าไปในฤทธิ์เดช หรือเรียกว่าไฟแห่งพระวิญญาณ ทำให้เราได้บังเกิดใหม่ กลายเป็นลูกของพระเจ้าทันที ทำอย่างนี้มาแล้ว เริ่มทำมาแล้ว 2,000 ปีแล้ว ทุกวันนี้กำลังทำอยู่ ทุกวันนี้เกิดอย่างนี้ขึ้นในทั่วหัวระแหงในโลกใบนี้  ทุกประเทศมีอย่างนี้เกิดขึ้นตลอด เราพูดอยู่นี้ ก็มี พระวิญญาณบริสุทธิ์กำลังเจิมใครด้วยไฟ และกำลังชุบให้เขาเป็นขึ้นมาใหม่ เหมือนพระเยซู ตอนนี้ก็ยังเป็นอยู่ แต่ไม่รู้อยู่ที่ไหน? แต่ละนาทีมีอย่างนี้ตลอด และจะมีไปเรื่อยๆ จนกระทั่งจบแผนการของพระเจ้า คือพระเยซูกลับมาอีกครั้งหนึ่ง มาชำระทุกอย่างให้เรียบร้อย ทุกอย่างจบ เอเมน นี่คือข่าวดี

และสิ่งเหล่านี้ ควรจะมีการพูดต่อไป พูดให้ลูกหลาน เหลนโหลนฟังว่านี่คือข่าวดี ข่าวประเสริฐ วันนี้เป็นวันอะไร? มันเกิดอะไรขึ้น ฟังดูแรกๆ อาจจะดูเหมือนเพ้อเจ้อ แต่ทั้งหมดนี้ มาจากพระคัมภีร์ทั้งสิ้น ขอให้ท่านพูดความจริงนี้ไปเรื่อยๆ ลูกหลาน เหลนโหลนจะค่อยๆ ได้ อินเข้าไปทีละนิดทีละหน่อย พระคัมภีร์ เปาโลบอกไว้อย่างไร? ข่าวประเสริฐ สำหรับคนที่ยังไม่รู้จัก เขานึกว่าเป็นข่าวของคนโง่ พระคัมภีร์บอกว่าแต่ข่าวประเสริฐสำหรับเรานั้น ผู้เชื่อ  คือ Power คือฤทธิ์เดชอำนาจ คือบางอย่างที่สามารถทำสิ่งที่เกินกว่ามนุษย์จะเห็น มนุษย์จะเข้าใจ มนุษย์จะใช้ความรู้สึก  เกินกว่าเหตุผลของเขา เขาถึงเรียกว่าฤทธิ์เดช เขาถึงเรียกว่า Power สำหรับคนที่เชื่อ  คือเราทั้งหลายที่เชื่อแล้ว ฤทธิ์อำนาจของพระเจ้า ที่มาสถิตอยู่กับเรา ที่เรียกว่าข่าวดีนี้ เป็นฤทธิ์อำนาจที่ทำอะไรบางอย่างที่เกิดขึ้นอย่างรุนแรงมาก คือทำให้มนุษย์บาปอย่างเรา กลายเป็นลูกพระเจ้าได้ มันอัศจรรย์ขนาดไหน? และสามารถเกิดขึ้นได้ทุกหนทุกแห่ง ตอนนี้พร้อมกันเลย ทั่วโลกเลย ตรงนี้ก็เกิด ตรงนั้นก็เกิด ทำงานพร้อมกันหมดได้ นี่แหละคือสิ่งที่คนที่เชื่อแล้วได้สัมผัสฤทธิ์เดชอำนาจนี้ แต่สำหรับคนที่ไม่เชื่อ เขาก็นึกว่าเป็นเรื่องงมงาย ก็แน่นอน เพราะว่าเขาไม่มีทางที่จะเข้าใจ เพราะฤทธิ์เดชอำนาจนี้ มันเกินความเข้าใจของมนุษย์ เกินสติปัญญาของมนุษย์ แล้วต้องอาศัยอะไร? พระคัมภีร์บอกอาศัยการฟังถ้อยคำแห่งความจริงบ่อยๆ แล้วคนนั้น ที่ยังไม่เข้าใจ ก็จะเริ่มเข้าใจ เริ่มรู้ และยอมรับว่าข่าวดีนี้ เป็นจริง

ในหนังสือโรมบอกแล้วเขาจะได้ยินได้อย่างไร ถ้าไม่มีคนพูดว่าเพ็นเทคอสคืออะไร? มันเกิดอะไรขึ้น เมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว ประวัติศาสตร์หน้าหนึ่งของมนุษยชาติมันเกิดอะไรขึ้น ในโลกวิญญาณ มันไม่ใช่หนึ่งในศาสนาต่างๆ ที่มนุษย์สร้างขึ้น  เพื่อจะยึดเหนี่ยวจิตใจ หรือเป็นกฎหมายทางด้านศีลธรรมที่จะมาอยู่ร่วมกันด้วยความดีงาม มันไม่ใช่แค่นั้น มันเป็นความเป็นจริง แห่งประวัติศาสตร์มนุษยชาติที่เกิดขึ้นแล้ว ก่อนหน้านี้ ประวัติศาสตร์มนุษยชาติได้บันทึกไว้แล้ว มนุษย์ตกลงไปในความบาป เมื่อ 2,000 ปีที่แล้วพระเจ้าได้ส่งพระเยซูมาตายที่ไม้กางเขน และเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่สาม และพิสูจน์แล้ว และเกิดอะไรขึ้นตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา จนถึงวันนี้ สิ่งที่คาดไม่ถึง คือมนุษย์สามารถเป็นที่อยู่อาศัยของพระเจ้า สามารถเป็นลูกพระเจ้า พระเจ้าเข้ามาสถิตอยู่กับเขาได้ เต็มหัวระแหงเยอะแยะ มากขึ้นทุกวันๆ ไม่ใช่ศาสนาคริสต์มากขึ้นทุกวัน แต่คนที่เชื่อในพระเจ้า และเป็นสถานที่ที่พระเจ้าสถิตอยู่ในตัวเขา มากขึ้นทุกวันๆ เดินไปที่ไหน คนนี้ ข้างในวิญญาณเขา ก็เป็นวิญญาณของพระเจ้าสถิตอยู่ด้วย มากขึ้นทุกวันๆ มันตื่นเต้นตรงนี้

ถ้าเราไม่พูดตรงนี้ ในวันอย่างนี้ ก็ไม่มีโอกาสพูดให้เขาฟัง อาจจะเป็นคริสตมาสบ้าง แต่มันก็ไม่ชัดเจน อย่างวันอีสเตอร์กับวันเพ็นเทคอสอย่างนี้ ผมพยายามเล่า วันนี้ไม่ได้จดพระคัมภีร์มาให้ เพราะไม่อยากเอาข้อพระคัมภีร์มาขวางในการที่เราจะจำ อยากให้ท่านจำเป็นสตอรี่ จำเป็นเรื่องเฉยๆ  แล้วไปเล่าต่อ ในอดีตเมื่อหลายพันปี มันก็เป็นแค่นี้ มันไม่มีหนังสือพระคัมภีร์ … พระคัมภีร์เพิ่งจะแปล พึ่งจะเขียนมา ประมาณ 500 ปีนี่เอง มันไม่มีพระคัมภีร์อย่างนี้ให้อ่าน ก็เล่าต่อกันมา เล่าให้ลูกหลานเหลนโหลนฟัง เปาโลจึงเล่าและบอก ย้ำยืนยันอยู่เรื่อยๆ ว่าโมโหมากที่สุด อย่าให้ใครมาทำให้ข่าวดีของพระเจ้าลดน้อยถอยลงไป อย่าให้ใครมาบิดเบือนข่าวดีของพระเจ้า โมโหมาก เพราะเปาโลทราบดีว่าถ้าเกิดข่าวดีมันบิดเบือน มันจะเสียหายหมดเลย  สิ่งเดียวที่มารต้องการทำทุกวันนี้ คือต้องการบิดเบือนข่าวดี  พยายามให้ไปไกลๆ ให้มันเป็นศาสนาไปก็ดี ให้เป็นอะไรอะไรปะรำปะราก็ดี แต่ไม่ใช่ มันเป็นอะไรที่ทันสมัยที่สุด  เกิดขึ้นได้ทันที เกิดขึ้นเดี๋ยวนี้ พิสูจน์ได้ รับรู้ได้ และเกิดขึ้นทุกหัวระแหงเท่ากัน ไม่ว่าจะไปอยู่ที่ในป่า ในเขา ที่ไหนก็ตาม เกิดขึ้นเหมือนกัน คือมนุษย์ทุกคนสามารถเป็นลูกของพระเจ้า ที่พระเจ้าเข้ามาสถิตอยู่กับเขา ในร่างกายเขาได้ทันที ไม่ต้องรอตายไป เดี๋ยวนี้ทันทีได้เลย นั่นแหละคือวันสำคัญ วันเพ็นเทคอส ขอพระเจ้าอวยพรครับ

 

***********************