คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 26 พฤษภาคม 2019 เรื่อง “สำเร็จแล้ว … เราได้เป็นลูกพระเจ้าแล้ว” ตอน 5 โดย นคร เวชสุภาพร

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  26  พฤษภาคม  2019

 เรื่อง “สำเร็จแล้ว … เราได้เป็นลูกพระเจ้าแล้ว”  ตอน 5

โดย นคร  เวชสุภาพร

 

สวัสดีครับ อีก 2 อาทิตย์เรามีนัดกันนะครับ ฉลองอีกแล้ว เป็นคริสเตียนดีเนอะ ฉลองบ่อยเหลือเกิน วันอาทิตย์ที่ 9 มิถุนายน เป็นวันครบรอบของโฮลี่ ออฟ โฮลี่ส์ อภิสุทธิสถาน ผมหมายถึงในโลกวิญญาณนะ “Holy  of  Holies” หรือภาษาไทย “อภิสุทธิสถาน” แปลว่าบริสุทธิ์สะอาดที่สุด ที่พระเจ้าประทับอยู่ เราฉลองสถานที่ที่พระเจ้าประทับอยู่ ไม่ใช่หมายถึงอาคารหลังนี้ แต่ทางโลกวิญญาณ หมายถึงร่างกายของมนุษย์ได้กลายเป็นสถานที่ที่บริสุทธิ์ที่สุด ที่มีชื่อว่า “โฮลี่ ออฟ โฮลี่ส์” หรือ “อภิสุทธิสถาน” ที่พระเจ้าลงมาประทับอยู่ เราระลึกถึงครั้งแรกที่พระเจ้าลงมาประทับอยู่กับมนุษย์ ในร่างกายของมนุษย์ ที่สะอาดหมดจด เป็นอภิสุทธิสถาน เป็นโฮลี่ ออฟ โฮลี่ส์ของพระองค์ เมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว เราระลึกถึงวันนั้น มีชื่อว่า “วันเพนเตคอส” วันที่ 50 หลังจากที่พระเยซูเป็นขึ้นจากความตาย วันที่ 50 หลังจากวันอีสเตอร์ ปีนี้ก็ตรงกับวันที่ 9 มิถุนายน เพราะฉะนั้น เราจึงมีนัดกันที่จะมาฉลอง ระลึกถึงวันเกิดของโฮลี่ ออฟ โฮลี่ส์ แต่อย่าไปนึกถึงโบสถ์เรานะ

วันเกิดของอภิสุทธิสถาน ซึ่งแปลว่าสถานที่ที่บริสุทธิ์ที่สุด ที่พระเจ้าประทับอยู่ เป็นวันที่ในโลกวิญญาณ เกิดอัศจรรย์มากมาย เกิดความยิ่งใหญ่มาก ทั้งหลายทั้งปวง ถ้าเกิดมีใครทำหนัง ที่มองทะลุ ถ่ายภาพทางโลกวิญญาณได้ วันนั้นเป็นวันที่เกิดปรากฏการณ์ที่ยิ่งใหญ่มหาศาลมาก และมีผลยิ่งกว่าระเบิดปรมาณูอีก เพราะว่าระเบิดปรมาณู หลังจากระเบิดแล้ว มีความรุนแรงแล้ว อาจจะมีเชื้อกำมันตภาพรังสีอีกสัก (สมมตินะ) ร้อยปี สองร้อยปี แต่อันนี้มีผลไปตลอด นิรันดร์เลย เมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว วันเพนเตคอส มันเกิดผลในโลกวิญญาณ และมันเกิดผลตลอดต่อเนื่องมาจนถึงทุกวันนี้ และตลอดไป จนนิรันดร์เลย คือพระเจ้ามาสถิตอยู่กับมนุษย์ได้แล้ว นิรันดร์แล้ว โดยพระเยซูคริสต์เป็นผู้กระทำให้แผนการของพระเจ้าที่จะมาสถิตอยู่กับมนุษย์นั้น สำเร็จแล้ว เป็นวันที่ยิ่งใหญ่ ที่พระเจ้าวางแผนการไว้ตั้งนานว่าจะมาสถิตกับมนุษย์ กลับมาคืนดีกับมนุษย์ เหมือนเดิม แต่ก่อนโน้น เหมือนสมัยสวนเอเดน แล้วก็วางแผนไว้เรียบร้อยว่าพระเยซูจะมาเป็นผู้กระทำ เขียนไว้ในหนังสือตั้งแต่ปฐมกาล ที่เราเรียกกันว่าพระคัมภีร์ไบเบิ้ลเดิม กระทั่งมาถึงเมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว พระเยซูมาเกิดเป็นมนุษย์ แล้วได้ถูกจับไปตรึงตายที่ไม้กางเขน แผนการทั้งหมด พระเยซูจึงได้กระทำให้สำเร็จแล้ว

สำเร็จแล้ว วันนี้เป็นตอนสุดท้ายของซีรี่ส์ในปีนี้ ถ้าว่ากันตามจริง จะว่ากันเรื่องพระคัมภีร์ เรื่องพระเจ้า หรือมาบรรยาย ประกาศ ก็เรื่องเดียวกันหมด พระคัมภีร์ทั้งหมดทั้งเล่มก็พูดเรื่องนี้เรื่องเดียว ไม่ได้พูดเรื่องอื่นเลย ฟังดูเหมือนเรื่องอื่น แต่จริงๆ เล็งมาถึงเรื่องนี้ เรื่องเดียว คือเรื่องพระเยซูได้ทำสำเร็จแล้ว

เรามาร่วมระลึกถึงสิ่งที่พระเยซูทรงกระทำให้สำเร็จแล้ว ในวันศุกร์ประเสริฐ วันอีสเตอร์ เมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว ในหนังสือโรม บทที่ 8 ที่เราได้เรียนกันไป 3 ตอนที่ผ่านมาว่าจะเป็นเรื่องราวที่ผมยกขึ้นมาให้ท่านเห็นชัดๆ สรุปให้เราได้เข้าใจว่าก่อนที่พระเยซูจะสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน เมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว พระองค์พูดคำสุดท้ายว่า …

“สำเร็จแล้ว” ภาษากรีกพูดว่า “Tetelestai”

หลังจากนั้น ได้เกิดเป็นปรากฏการณ์ยิ่งใหญ่ทางโลกวิญญาณ มหาศาลจนมาถึงทุกวันนี้

สิ่งที่เราเรียนรู้ไปเมื่อ 3 ตอนที่แล้ว คำว่า “สำเร็จแล้ว” ทำให้เกิดอะไรขึ้นบ้าง? …

(1) สำเร็จแล้ว … เราได้ย้ายสำมะโนครัว เข้ามาอยู่ในอาณาจักรของพระเจ้าเข้ามาอยู่ในสวรรค์ร่วมกับพระเยซูคริสต์แล้ว

(2) สำเร็จแล้ว … ไม่มีการลงโทษใดๆ อีกแล้ว แก่บรรดาผู้ที่อยู่ในพระเยซูคริสต์ หรืออยู่ในอาณาจักรแห่งแสงสว่างนี้ เพราะฉะนั้น ใครที่อยู่ในอาณาจักรของพระคริสต์ เชื่อในข่าวประเสริฐ มาอยู่ในอาณาจักรแห่งแสงสว่างนี้ ก็จะไม่มีการลงโทษใดๆ อีกแล้ว

(3) สำเร็จแล้ว … เราได้ตายไปแล้ว ร่วมกับพระเยซูคริสต์ที่ไม้กางเขน คำว่า “ตายที่ไม้กางเขน” คือเราได้ชดใช้หนี้ของเราไปแล้ว พร้อมกับพระเยซูที่ไม้กางเขนนั้น ที่พระเยซูตายที่ไม้กางเขน เราได้ตายไปด้วย เป็นการชดใช้หนี้ เป็นพยานกับพระเยซู บอกว่า “จบแล้ว” เอเมน ไม่มีหนี้สินที่ต้องชดใช้อีกต่อไปแล้ว

(4) สำเร็จแล้ว … พระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า เข้ามาสถิตอยู่กับเราได้แล้ว หรือเราเรียกนัยหนึ่งว่าเข้ามาเจิมเราด้วยไฟ คือพระวิญญาณบริสุทธิ์ พระเจ้าเจิมเราด้วยไฟ พระเยซูเจิมเราด้วยไฟ บัพติศมาเราด้วยไฟ คือจุ่มเราลงไปในไฟ … ไฟ คือพระวิญญาณบริสุทธิ์ … พระวิญญาณบริสุทธิ์ก็ขมวดปม แล้วก็ทำปรากฏการณ์ชุบเราให้เป็นขึ้นมาใหม่แล้ว เมื่อเราเชื่อในข่าวดีนี้ ทั้งหมดนี้เราได้รับมาหมดแล้ว ไม่ว่าท่านจะรู้สึกหรือไม่รู้สึกก็ตาม ความจริงได้รับไปแล้ว ท่านอาจจะไม่รู้สึก อาจจะมองไม่เห็น จับต้องไม่ได้ ไม่มีกลิ่น ไม่มีอะไรต่างๆ ไม่มีความคิดจะเชื่อด้วยซ้ำ แต่วิญญาณที่ท่านเคยเชื่อแล้วจริงๆ ในพระเยซูคริสต์ในข่าวดีนั้น มันเกิดอย่างนี้แล้วในโลกฝ่ายวิญญาณ เอเมน

เราจึงต้องดำเนินชีวิตด้วยความเชื่อ เชื่อในถ้อยคำ ไม่ใช่เชื่อด้วยความรู้สึก สิ่งต่างๆ เหล่านี้ เราได้ลองหมดแล้ว ซึ่งเป็นผลจากสิ่งที่พระเยซูได้ทรงกระทำให้สำเร็จแล้ว ที่ไม้กางเขน เมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว วันศุกร์ พระองค์ตะโกนลั่นว่าสำเร็จแล้ว เขาจึงเรียกว่าศุกร์ประเสริฐ ศุกร์แห่งข่าวดี ศุกร์แห่งสิ่งที่ดีๆ สำหรับมวลมนุษยชาติ ข่าวร้ายของมาร

จากคนที่อยู่ในสภาพชั่วร้าย เลวทราม สกปรกสิ้นดี เป็นคนบาป ตอนนี้กลายเป็นลูกพระเจ้าแล้ว ไม่ได้ทำอะไรเลย แค่เชื่อในข่าวดีของพระเยซู ที่บอกพระองค์ทรงทำสำเร็จแล้ว ก็เป็นลูกพระเจ้าได้แล้ว

โรม 8:14 “เพราะพระวิญญาณของพระเจ้าทรงนำผู้ใด ผู้นั้นเป็นบุตรของพระเจ้า

 

“พระวิญญาณของพระเจ้าทรงนำผู้ใด ผู้นั้นเป็นบุตรของพระเจ้า” ชัดเจนเลย ที่เราเรียนกันมาทั้งหมด ก็เพื่อให้เห็นตรงนี้

ที่บอกว่า “ได้ย้ายเข้ามาอยู่ในอาณาจักรสวรรค์แล้ว” เราได้ตายไปแล้วกับพระคริสต์ เรามีพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้าเข้ามาสถิตอยู่ด้วยกับเรา เราได้เกิดใหม่แล้ว ข้อ 14 ตรงนี้ กำลังบอกว่าถ้าเป็นอย่างนั้น ทั้งหมดนี้ มันเกิดขึ้นกับเราแล้ว ก็แปลว่าท่านเป็นลูกของพระเจ้าแล้ว ไม่ต้องรอให้ตาย แล้วท่านค่อยเป็น แต่ท่านเป็นลูกของพระเจ้าแล้ว ทั้งหมดนั้น มันเกิดขึ้นแล้ว

โรม 8:15 “ท่านไม่ได้รับวิญญาณ ซึ่งทำให้ท่านเป็นทาสของความกลัวอีก แต่ท่านได้รับพระวิญญาณ ผู้ทำให้ท่านเป็นบุตรของพระเจ้า และโดยพระองค์ เราร้องว่า “อับบา พ่อ

 

อาจารย์เปาโลกำลังแบ่งแยกให้เราเห็นถึงความแตกต่าง ระหว่างสภาพในวิญญาณของคนที่เชื่อในพระเจ้ากับคนที่ไม่เชื่อในพระเจ้า คนที่เชื่อตามข่าวดีบอกว่าสำเร็จแล้ว ฉันเชื่อตามนั้น อีกคนหนึ่งบอกว่าไม่เชื่อ ฉันก็อยู่ของฉันอย่างนี้ ฉันไม่รู้เรื่อง สำเร็จแล้ว อะไรไม่สนใจ อาจารย์เปาโลกำลังให้เห็นสภาพของวิญญาณของทั้งสองฝั่งว่ามันเป็นเช่นไร?  ก่อนที่เราจะมาเชื่อพระเจ้า คือก่อนที่เราจะย้ายสำมะโนครัวในโลกวิญญาณ ก่อนที่เราจะมีพระวิญญาณบริสุทธิ์ให้เราเกิดใหม่ สถิตอยู่กับเรา ก่อนหน้านั้น วิญญาณเราเคยอยู่ภายใต้การควบคุมของวิญญาณแห่งความชั่วร้าย ซึ่งภาษาไทยแปลจากความหมายของภาษาเดิมว่ามาร … มาร คือวิญญาณชั่วร้าย ที่อยู่ตรงข้ามกับพระเจ้า เราอยู่ใต้การควบคุมของมัน ซึ่งควบคุมเราด้วยการข่มขู่ ให้เราเป็นทาสมัน มันจึงเกิดความกลัว ต้องทำอย่างนั้น ต้องทำอย่างนี้ ต้องอยู่ภายใต้กฎเกณฑ์ที่กำหนดไว้ ถ้าไม่ทำต้องได้รับการลงโทษ ซึ่งมันเป็นจริงตามนั้น เพราะเราอยู่ในบาป

นี่คือสภาพที่พระคัมภีร์ใช้คำว่า “ทาสของความกลัว” เป็นสภาพของคนที่ยังอยู่ในอาณาจักรของความมืด อาณาจักรของมาร อาณาจักรของความชั่วร้าย ยังไม่ได้ย้ายเข้ามาอยู่ในอาณาจักรแห่งแสงสว่างของพระบุตร คือพระเยซูคริสต์ ยังไม่เชื่อในข่าวดีว่าเขามีสิทธิ์ที่จะย้ายมา เขายังอยู่ในอาณาจักรเดิม อาณาจักรแห่งความมืด ภายใต้การควบคุม และกดขี่ข่มเหง โดยมาร ทำให้เขาพยายามที่จะทำสิ่งที่ดี เหมือนเราในอดีต ก่อนจะเชื่อพระเจ้า เราตั้งใจ พยายามทำสิ่งที่เรียกว่าดี เพื่อหวังจะชดเชยหนี้บาปเวรกรรม เพราะเรากลัว กลัวนรก กลัวผลของมัน กลัวมาก เราจึงตั้งใจให้มันดีที่สุด ในอดีตเป็นอย่างนั้น ซึ่งพอเรามาเชื่อพระเจ้าปุ๊บ เราไม่ได้เป็นอย่างนั้นแล้ว วิญญาณแห่งความกลัวไม่ได้อยู่ในเรา เราก็ยังคงทำดี พยายามทำดีเหมือนกัน แต่เราไม่ได้พยายามทำดี ทำสิ่งที่ถูกต้อง เพราะกลัว  แต่เราทำ เพราะมันเป็นธรรมชาติ อยู่ในวิญญาณของเรา มันอยากทำดี เพราะข้างในมันอยากดี และเราไม่ได้ทำดี เพราะจะได้ไปสวรรค์ ฉันอยู่ในสวรรค์แล้ว พระเยซูทำให้แล้ว เพราะฉะนั้น ฉันตั้งใจจะทำสิ่งที่ดี เพราะว่าฉันสมควรทำสิ่งดี

ความหมายตรงนี้ อาจารย์เปาโลกำลังพูดถึงคนบางกลุ่มที่เป็นผู้เชื่อแล้ว ย้ายสำมะโนครัวเข้ามาอยู่ในอาณาจักรสวรรค์แล้ว แต่ยังคงประพฤติ ปฏิบัติตัวเสมือนว่ายังคงเป็นทาสแห่งความกลัวอยู่ คือแม้จะเชื่อข่าวดีแล้ว แต่ยังถูกล่อลวงด้วยผู้คนรอบข้าง ให้พยายามทำดี เพื่อไปสวรรค์อยู่ เหมือนเดิม ฟังให้ดีๆ ตั้งใจหน่อย ยังเตือนคนเหล่านั้นว่า …

“นายเชื่อแล้ว นายรอดแล้ว นายอยู่ในสวรรค์แล้วตอนนี้ นายเป็นลูกของพระเจ้าแล้วนะ ตอนนี้ นายไม่ได้ทำดี เพื่อที่จะไปสวรรค์อีกแล้ว เพื่อจะชดใช้หนี้อีกต่อไป พระเยซูทำสำเร็จแล้ว แต่นายตั้งใจทำดี เพื่อพระเจ้า เห็นแก่พระคุณพระเจ้า”

และเป็นสิ่งที่เป็นธรรมชาติของชีวิตใหม่ของท่าน มันเป็นอย่างนั้น เปาโลเอาตรงนี้นิดหนึ่งมาพยายามเตือน สอนความจริงให้กับผู้เชื่อแล้ว ให้เขารู้ว่าเขาควรจะปฏิบัติอย่างไรในความเชื่อที่ถูกต้อง เพื่อไม่ให้ข่าวประเสริฐมันเสียหาย

เปาโลจึงบอกว่า “ท่านไม่รู้หรอกหรือว่าท่านได้รับพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า เข้ามาสถิตอยู่ในตัวแล้ว ทำให้ท่านได้เกิดใหม่ เป็นลูกของพระเจ้าแล้ว และผู้ที่มีพระวิญญาณบริสุทธิ์มาสถิตอยู่กับเขานั้น ที่ได้เกิดใหม่แล้วนั้น ได้ถูกเรียกว่าเป็นลูกของพระเจ้าแล้ว”

มันหมายถึงอย่างนั้น และเมื่อเราเป็นลูกของพระเจ้าแล้ว ทำไมยังทำตัวอย่างนั้นอยู่ มันหมายถึงแค่นี้ ทำตัวอย่างนั้นทำไม? หมือนก่อนนี้ที่ยังไม่เชื่อ เราทำสิ่งที่ดี เพื่อจะชดใช้หนี้สินของตัวเอง เพื่อชดใช้หนี้บาปของตัวเอง เพื่อไปสวรรค์ใช่ไหม? ทำอย่างนั้นอยู่อีกเหรอ ไหนบอกเชื่อข่าวดี พระเยซูทำสำเร็จแล้ว ทำไมทุกวันนี้ทำดี เพื่อจะไปชดใช้หนี้อีกล่ะ ไม่ควรคิดอย่างนั้น เปาโลกำลังเตือนเขา เพราะไม่อย่างนั้น ข่าวดีจะเสีย

เพราะฉะนั้น คำว่าพระวิญญาณผู้ทำให้ท่านเป็นบุตรของพระเจ้า ตามพระคัมภีร์เมื่อตะกี้นี้ ในพระคัมภีร์ภาษาเดิมใช้คำว่า “You have received the Spirit of adoption as sons.” ซึ่งถ้าแปลตรงตัว ก็จะได้ความหมายว่า “พระวิญญาณบริสุทธิ์ที่รับท่านเป็นบุตร” ทำไมเขาต้องใช้คำว่าบุตรบุญธรรม เพราะว่าพื้นเพ เบื้องหลังของพระคัมภีร์ที่เรากำลังอ่านอยู่นี้ เขียนเมื่ออาณาจักรโรมันรุ่งเรือง ตอนนั้น วัฒนธรรมเป็นเช่นไร? เขาจะใช้คำนั้น เพื่อว่าคนอ่านในตอนนั้นจะได้เข้าใจว่า …

“อ๋อ! ฉันเป็นลูกพระเจ้ามีสิทธิ์อะไรบ้าง”

กฎหมายที่ใหญ่ที่สุด และเข้มแข็งที่สุด ยิ่งใหญ่ที่สุดในเวลานั้น ก็คือกฎหมายของโรมันนั่นเอง เพราะเป็นประเทศมหาอำนาจ ในสมัยกรีกและโรมัน เรื่องการรับรองเป็นบุตรบุญธรรม ตามกฎหมายเขา เป็นเรื่องปกติทั่วไปมาก ทำกันเยอแยะมาก เป็นกฎหมายที่ระบุให้บุตรบุญธรรมมีสถานะ และสิทธิเท่าเทียมกับบุตรทางสายเลือดทุกประการ รวมทั้งสิทธิ์ในการรับมรดก ก็ได้รับเท่ากันทุกอย่าง เขาถึงใช้คำนี้ไง แต่เดี๋ยวนี้เขาอาจจะไม่ได้ใช้แล้ว

ในพระคัมภีร์เดิม เมื่อพูดถึงพระบุตรหรือคำว่าพระเยซูคริสต์ ก็จะใช้คำว่า “Natural Son of God” พูดง่ายๆ ว่าเมื่อพูดถึงพระเยซู พระบุตร เป็นบุตรของพระเจ้าโดยธรรมชาติกำเนิด โดยทางสายเลือดนั่นเอง  ส่วนผู้ที่เชื่อข่าวดี ก็จะเป็น “Adopted sons by Grace” ก็คือเป็นบุตรบุญธรรมที่รับเข้ามาเป็นลูก โดยพระคุณ คือได้ฟรีๆ ให้เปล่าๆ เพราะฉะนั้น คนที่รับมาเป็นลูก ก็จะได้รับสถานะและสิทธิ์ทุกอย่าง รวมทั้งมรดกทุกประการของพระเจ้า เทียบเท่ากับพระบุตรของพระองค์ คือพระเยซู

เขาเขียนอย่างนี้ เข้าใจเลย ถ้าอ่านตอนนี้ อาจจะไม่เข้าใจมากนัก แต่กำลังอธิบายให้ท่านเข้าใจขึ้น และในนี้บอกว่า “และโดยพระองค์ เราร้องเรียกว่า “อับบา … พ่อ” อับบา แปลว่าพ่อ ก็คือเมื่อเราได้รับการรับรองให้มีสถานะเป็นลูกของพระเจ้า เทียบเท่ากับพระบุตร คือพระเยซูแล้ว พระวิญญาณที่เข้ามาสถิตอยู่กับเรา ก็จะสอนเราให้เรียกพระเจ้า ที่เราเคยกลัว จะลงโทษเรา  ที่เรารู้ว่าเป็นพระเจ้าที่สะอาดบริสุทธิ์ ยิ่งใหญ่ เข้าใกล้นิดหนึ่งก็ไม่ได้ เข้าใกล้นิดหนึ่ง ก็ตายแน่เลย พระวิญญาณผู้นี้ ก็จะค่อยๆ สอนเรา  บอกเราว่าให้เรียกพระเจ้า ผู้บริสุทธิ์ สูงสุด ผู้นี้แหละว่าเป็นปาป๊า อับบา แปลว่าป๊า สนิทมากนะ  ไม่ใช่เป็นพระราชบิดาอย่างที่เขียนไว้ เป็นป๊า เป็นพ่อ แล้วค่อยๆ สอนเราให้เรียกอย่างเต็มปากว่าพ่อ โดยไม่ต้องรู้สึกเขิน ซึ่งใหม่ๆ เราก็จะรู้สึกเขิน เพราะว่ามันยังไม่ชิน แล้วใครทำให้เราชิน พระวิญญาณที่อยู่ในเรา ค่อยๆ สอนเรา

ถามท่าน ท่านนึกถึงวันแรกที่ท่านเข้ามารับข่าวประเสริฐของพระเจ้า และเริ่มต้นดำเนินตามพระวิญญาณ เริ่มต้นอธิษฐานกับพระเจ้า มีใครเรียกพระเจ้าว่าพระบิดาบ้าง? มีใครเรียกพระเจ้าว่าพ่อ ส่วนใหญ่ก็เรียกพระบิดา เพราะตามเขามา ไม่กล้าเรียกว่าพ่อ ถูกไหม? บางทีเรียกพระบิดา ยังเขินๆ เลย มันเหมือนลิเก เพราะยังไม่เคยชิน แต่ขณะที่ยังไม่เคยชินนั้น พระวิญญาณค่อยๆ สอน จนทุกวันนี้ บางคนเชื่อมา 30, 40 ปี พ่อกินข้าวนะ  แต่ก่อนนี้แรกๆ อาทิตย์แรก …

“โอ้ … ข้าแต่พระบิดา ขอบคุณพระบิดาสำหรับอาหารมื้อนี้มากเลย”

พูดเยอะแยะ แต่เดี๋ยวนี้ “พ่อกินแล้วนะ”

เพราะพระวิญญาณสอนเราว่านี่พ่อเรา หิวก็กินสิ ไม่ใช่สอนเราไม่ให้อธิษฐานนะ ไม่ใช่นะ เข้าใจใช่ไหม? หมายถึงสนิทสนม ไม่มีอะไรเลย นอกนั้นเป็นวิธีของมนุษย์ ก็ว่ากันไป ส่วนใหญ่เราจะเรียนมามากกว่า มีพี่เลี้ยงสอนเรา เราก็จดจำมา เผลอๆ จำไม่ได้ จดใส่กระดาษเลย

“พระบิดาผู้สถิตในสวรรค์ ข้าพระองค์ขอบคุณพระองค์ สำหรับอาหารมื้อนี้”

อะไรก็ว่าไป ท่องจนจำได้ แล้วก็ติด จำในสมองมาจนถึงทุกวันนี้ จนวันหนึ่ง สนิทกับพระเจ้ามากขึ้นเรื่อยๆ ธรรมชาติในวิญญาณ จึงออกมาจากปากของเรา พ่ออย่างนี้ไม่ไหวแล้วไม่ไหว แต่ก่อนเราไม่กล้าพูด นี่แหละคือสิ่งที่เปาโลกำลังพยายามที่จะอธิบายให้เราฟังว่ามันเกิดอะไรขึ้น เมื่อเราเชื่อในข่าวดีของพระเจ้า เมื่อเรารับเชื่อแล้ว เกิดอะไรขึ้นในโลกฝ่ายวิญญาณบ้าง เราได้เป็นลูกของพระเจ้า เรียกพระเจ้าว่าพ่อ โดยไม่ต้องเขิน เราสามารถพูดกับพ่อ เหมือนพูดกับพ่อที่สนิทกันบนโลกใบนี้ เป็นคนที่โคตรดีเลย  เพราะพ่อเราคนนี้ เป็นพ่อที่มีบุคลิกลักษณะแห่งความรัก 100% เลย อดทนนาน กระทำคุณให้ ไม่อิจฉา ไม่หยิ่งผยอง ไม่เห็นแก่ตนเองฝ่ายเดียว พ่อเราเป็นอย่างนี้ ท่านลองคิดดู ไม่สนิทได้อย่างไร? ทุกอย่างสวยงามเลย เราชอบนึกถึงพ่อปุ๊บ ต้องทำเหมือนพ่อเราที่เป็นมนุษย์  พ่อเราที่เป็นมนุษย์ ยังเป็นมนุษย์อยู่ ไม่เพอร์เฟคไง เขาอาจจะรักเรามาก แต่เขาทำไม่ได้ เขาอาจจะรักเราเยอะ แต่เขาทำได้แค่นี้ ไม่ใช่เขาไม่รัก อย่างนี้เป็นต้น

โรม 8:16 “พระวิญญาณเอง ทรงยืนยันร่วมกับวิญญาณจิตของเรา ว่าเราเป็นบุตรของพระเจ้า

 

หลายครั้งเรานึกว่าประสบการณ์ การมาคริสตจักรของเรา ประสบการณ์การเรียนรู้คำอธิษฐาน อย่างอ่านพระคัมภีร์ต่างๆ เป็นตัวทำให้เรารู้สึกสนิทสนมกับพระเจ้า แต่เดี๋ยวนี้ตรงกันข้ามเลย ไม่ใช่ไม่มีประโยชน์ แต่สิ่งสำคัญกว่านั้น คือพระวิญญาณเอง เป็นส่วนสำคัญที่สุด ส่วนอื่นเป็นส่วนประกอบ ไม่มีก็ได้ มีก็ดี แต่สิ่งสำคัญอยู่ที่พระวิญญาณ ถ้าไม่มีพระวิญญาณ ต่อให้ท่านไปเรียนโรงเรียนพระคัมภีร์เลย ศึกษา ค้นคว้าประวัติศาสตร์ลึกซึ้งมาก ท่านก็ไม่สามารถเรียกพระเจ้าว่าพ่อได้ เป็นไปไม่ได้ เพราะพระคัมภีร์บอกไว้อย่างนั้น

ในทำนองเดียวกัน ในทางตรงกันข้าม คือแม้ท่านจะเป็นลูกชาวนา และเป็นชาวนาที่ไม่ได้เรียนหนังสือเลย ไม่เคยรู้เรื่องอะไรเลย ในสิ่งต่างๆ แต่ท่านเชื่อในข่าวประเสริฐของพระเจ้า ท่านรับเชื่อในพระเยซูปุ๊บ ทันทีทันใดนั้น พระวิญญาณจะสอนให้ท่านสามารถเรียกพระเจ้าว่าพ่อ หรือพระบิดาก็ได้ เขาจึงบอกทำไมคนเชื่อเหมือนง่ายๆ แต่บางทีเรียนรู้เยอะๆ กลับไม่เชื่ออะไรอย่างนี้

พระวิญญาณของพระเจ้าที่อยู่ในเรา ก็จะเป็นพยาน ยืนยันให้กับเราว่าเราเป็นลูกของพระเจ้า ยืนยันตลอดเลย เธอเป็นลูกพระเจ้านะๆ ก็คือพระวิญญาณจะคอยชี้นำเรา สอนเรา ตักเตือนเรา คอยนำทาง ให้เรารู้ตัวอยู่เสมอว่าเราเป็นลูกของพระเจ้า เพราะบางทีเราเผลอ พอเจอปัญหาหน่อย เจออะไรบางอย่างที่มันไขว้เขว สับสน หรือไม่มั่นใจว่าเอ๊ะ เราใช่ลูกพระเจ้าหรือเปล่านะ พระวิญญาณก็จะยืนยันกับเราว่าใช่

โรม 8:17 “บัดนี้ ถ้าเราเป็นบุตรของพระองค์แล้ว เราก็เป็นทายาท คือเป็นทายาทของพระเจ้า และเป็นทายาทร่วมกับพระคริสต์ ถ้าเราร่วมทนทุกข์อย่างแท้จริงกับพระองค์ เราก็จะร่วมในพระเกียรติสิริของพระองค์ด้วย”

 

เมื่อพระวิญญาณได้ทำให้เราเป็นบุตรของพระเจ้าแล้ว ให้เราเกิดใหม่ เป็นบุตรของพระเจ้า เราก็ได้เป็นทายาทโดยสมบูรณ์ของพระเจ้าด้วย และเมื่อเราได้ชื่อว่าเป็นทายาทโดยสมบูรณ์ของพระเจ้าแล้ว เราก็มีสิทธิในมรดกของพระเจ้าด้วย อย่างที่ตะกี้นี้บอก ตามกฎหมายเป๊ะเลยในสมัยโน้น ในข้อนี้บอกว่าเป็นทายาทของพระเจ้า และเป็นทายาทร่วมกับพระเยซู … พระเยซูที่เราเรียกว่าพระองค์เป็นเจ้านาย เป็นพระเจ้า ตอนนี้เรามีสิทธิเท่ากับพระองค์เลย เราไม่ได้พูดเอง ในนี้เขียนไว้ พระเจ้าให้บันทึกไว้เลยว่าพวกเธอมีสิทธิเท่ากับพระบุตร มีลายลักษณ์อักษรเสร็จ เหมือนมีพินัยกรรมเสร็จ พระคัมภีร์ มันสามารถแปลได้ด้วยว่าหนังสือพินัยกรรม คือหนังสือมรดก เขียนไว้เสร็จเลย  ไม่มีการเปลี่ยนแปลง

เราเป็นทายาทร่วมกับพระคริสต์ พูดง่ายๆ คือพระเยซูคริสต์ ซึ่งเป็นพระบุตรของพระเจ้า โดยสายเลือด อยู่กับพระเจ้ามาตั้งแต่ก่อนจะสร้างทุกสิ่งเลย พระองค์ได้รับมรดกอะไรจากพระเจ้า เราก็ได้รับสิ่งนั้นด้วย เหมือนกัน เอเมน และเมื่อเป็นทายาทโดยสมบูรณ์แล้ว ได้รับมรดกทุกอย่างร่วมกันแล้ว ก็ต้องได้รับบางสิ่งบางอย่างที่ไม่อยากได้เหมือนกัน ใช่ไหม? เหมือนร่วมหัวจมท้าย เป็นหนึ่งเดียวกันแล้ว ทุกอย่างในนี้ คืออะไร? ในข้อ 17 ตอนท้ายๆ ที่เราไม่ค่อยอยากอ่าน ในนี้บอกว่า …

“ถ้าเราร่วมทนทุกข์อย่างแท้จริงกับพระองค์ เราก็จะร่วมในพระเกียรติสิริของพระองค์ด้วย”

“ร่วมทนทุกข์อย่างแท้จริงกับพระองค์” หลายคนคิดใหญ่ ทุกข์อย่างไร? ก็คือขณะที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ทำงานอยู่ในตัวเรา ในขณะเดียวกัน เรากำลังดำเนินชีวิตอยู่ในร่างกายนี้ ยังอยู่บนโลกของความชั่วร้ายนี้อยู่ พระเจ้ายังไม่ได้ตกแต่งโลกนี้ใหม่ ไม่ได้ทำโลกใหม่ โลกยังโลกเก่า ซึ่งตกอยู่ในความบาป

เพราะฉะนั้น ระบบของโลกนี้ ซึ่งเป็นระบบของบาป มันก็มีอิทธิพลส่งกระแสเข้ามาในชีวิตเราได้ มันก็เกิดการต่อสู้ ขัดแย้ง เป็นสงครามฝ่ายวิญญาณ ที่ผมบอกท่านไงว่ามันส่งผ่านเข้ามาทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ความคิดของเรา สู้กันใหญ่เลย  พระวิญญาณที่ทรงนำเราอยู่บอกว่าให้เราทำทุกสิ่งผ่านทางพระวิญญาณ  เพราะเราเป็นลูกพระเจ้า เป็นความรัก วิญญาณเราเป็นความรัก ไม่ใช่พระเจ้าเป็นความรักอย่างเดียว ตัวเราเอง วิญญาณตัวจริงๆ ข้างใน ที่เกิดใหม่ เป็นความรัก เพราะฉะนั้น พระวิญญาณสอนเรา เราต้องดำเนินชีวิตเป็นความรัก ความรักอดทนนาน มีความเมตตา ไม่โกรธ ให้อภัย ไม่โลภ แต่ขณะที่เราเดินอยู่บนโลกใบนี้ ตา หู จมูก ลิ้น กาย และความคิดเรา กระแสภายนอกที่ผ่านเข้ามาทางสัมผัสเหล่านี้ มันพยายามที่จะล่อลวงเราไปในทางตรงกันข้าม พระเจ้าบอกอดทนนาน มันบอกว่าทนไม่ได้แล้ว … กระทำคุณให้ ใครเคยกระทำความเสียหายให้คนอื่นบ้าง ไปด่าเขา มีไหม? ไม่มี ดีมาก … ไม่อิจฉา ไม่มีใครอิจฉาเลยใช่ไหม? ถูก เห็นไหม? อย่างนี้ทำตามพระวิญญาณ แต่โลกมันพยายามบอกให้เรา อย่างนี้มันดูมากไม่ได้หรอก มันร้อนตา อิจฉาตาร้อนไง คืออย่างนี้

นี่คือความทุกข์ลำบาก ไม่ทุกข์เหรอ อ่านต่อไป ในข้อเมื่อกี้ มันทุกข์จริงๆ พระคัมภีร์ชั้นหนึ่งเลยนะ มันเป็นความขัดแย้งที่จำเป็น เพราะท่านเลือกข้างไปแล้ว เลือกที่จะอยู่ข้างข่าวประเสริฐ ข่าวดี คือเลือกที่จะอยู่กับพระเยซู เพราะฉะนั้น ท่านไม่ตามโลกนี้ พอไม่ตามโลกนี้ โลกนี้ ก็จะเป็นศัตรูกับท่าน สู้กับท่าน แต่ถ้าท่านยอมโลกนี้ ท่านก็ไม่ต้องสู้กับโลกใบนี้ แต่ท่านต้องสู้กับความสำนึกในใจ ที่พระเจ้าบอกท่านเป็นคนบาป จะเอาอย่างไร?

พระวิญญาณที่นำเราอยู่ จะบอกเราเสมอ ในทางของพระเจ้า ในวิญญาณ ในธรรมชาติของเรา ให้ทำอย่างไร? ตรงนี้แหละสัจจธรรมความจริง ที่พระคัมภีร์บอกว่าอยู่บนโลกนี้ เราก็ต้องเผชิญกับความทุกข์ยากลำบากต่างๆ นานาๆ แต่เราชนะโลกนี้แล้ว เราอยู่บนโลกนี้แป๊บเดียว มันไม่ใช่ความทุกข์ยากลำบากทางกาย ไม่ใช่เรื่องของความยากจน ปัญหาปากท้อง สุขภาพร่างกายเท่านั้น แต่เป็นความยากลำบากของการต่อสู้ในด้านจิตวิญญาณ และความคิดจิตใจข้างใน ที่เรียกว่าทำดี ทำไม่ดี ทำอะไรถูกต้องหรือไม่ถูกต้อง ซึ่งมันทุกข์ทรมาน ใครก็ตามที่มาเชื่อพระเจ้า มาเป็นลูกพระเจ้า มีพระวิญญาณบริสุทธิ์อยู่ด้วยข้างใน ก็จะต้องเป็นแบบนี้ทุกคน ก็จะเผชิญกับความทุกข์ยากลำบากในลักษณะอย่างนี้กันทั้งนั้นทุกคน ไม่อยากทำ แต่ก็ทำ ทำเสร็จแล้ว อยากจะเลิก เข้าไปหาพระเจ้า

เมื่อเราเชื่อในข่าวดี ตัวตนที่แท้จริงของเราข้างใน เราไม่อยาก และไม่ต้องการทำอะไรที่ไม่ใช่ทางของพระเจ้า ไม่ใช่ธรรมชาติของตัวเรา ธรรมชาติตัวเราที่เกิดใหม่ เหมือนพระเจ้าเป๊ะเลย เป็นวิญญาณแห่งความรัก เป็นอากาเป้ ไม่รู้จักโกรธ เกลียด อิจฉาริษยา ไม่รู้จักเลย เพราะฉะนั้น ร่างกายที่ทำอะไรตรงกันข้าม มันจะทรมาน สู้กันเอง เราไม่อยากทำอะไรที่เป็นตามโลกใบนี้  ซึ่งเรียกว่าความชั่วร้าย ตรงกันข้ามกับพระเจ้า ตรงกันข้ามกับธรรมชาติที่อยู่ในวิญญาณเรา เราไม่อยากโลภ ไม่อยากโกรธ ไม่อยากโกหก นี่คือสิ่งที่พระวิญญาณบริสุทธิ์นำเรา ให้ทำแบบนี้ แต่ในขณะเดียวกันกระแสของโลกนี้ ที่อยู่รอบข้างเราเต็มไปหมด ก็ผ่านเข้ามา ล่อลวงเรา ผ่านทางเนื้อหนัง วิสัยบาป ถึงเราไม่ได้เป็นทาสมันแล้วนะ แต่เราอยู่ในสิ่งแวดล้อมเหล่านี้ ตา หู จมูก ลิ้น กายเรายังอยู่ ความคิดเรายังอยู่  มันส่งเข้ามา เราก็มีโอกาสที่จะทำสิ่งเหล่านั้นได้ ถ้าเราไม่ระมัดระวัง ก็ทำเยอะ ถ้าระมัดระวัง ก็ทำน้อยหน่อย มันพยายามจะล่อลวงเราให้ทำตามมัน ตามกระแสของโลกนี้  พยายามหลอกลวงให้เราทำสิ่งที่ตรงกันข้ามกับทางของพระเจ้า พยายามชักชวนเราให้หลงในทางของโลก มันก็จะต่อสู้กันอย่างนี้ตลอดชีวิตของเรา ซึ่งมันก็ชนะบ้างแพ้บ้าง

ถามว่าคนที่เชื่อพระเจ้าแล้ว  เชื่อในข่าวดีแล้ว ยังคงทำผิด ยังคงทำบาปอยู่ไหม? ทำ แน่นอน แต่ทำไป เพราะมันต้านไม่ไหว แต่ก่อนทำไม่มีต้านเลย แต่ตอนนี้ต้านไม่ไหว บางครั้งมันอ่อนแอเกินไป แต่ตัวตนที่แท้จริงของเรา ไม่ได้อยากทำอย่างนั้นเลย เปาโลจึงบอกว่า …

“โอ๊ย! ข้าพเจ้าเป็นคนน่าสมเพช”

แต่ต่อด้วยอะไร? “แต่ข้าพเจ้าขอบคุณพระเจ้า ข้าพเจ้าได้รับความรอด โดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า  พระเยซูคริสต์”

นึกภาพออกไหม? ข้างในมันรอดแล้ว คนอื่นทำผิดทำบาปแล้ว อาจจะรู้สึกเฉยๆ แต่พวกเรามันไม่ปกติแล้ว เมื่อมาเชื่อแล้ว พระวิญญาณบริสุทธิ์อยู่กับตัวแล้ว เราไม่สามารถทำเหมือนคนที่ไม่เชื่อ คือทำผิดทำบาปเฉยๆ ไม่เดือดร้อนอะไร เป็นเรื่องปกติของโลกใบนี้เขาทำกัน โลภแบบนี้ก็ธรรมดา โกรธแบบนี้มันธรรมดา แค้นนี้ต้องชำระ ธรรมดา แต่ลูกของพระเจ้า พระวิญญาณบริสุทธิ์อยู่ด้วยในตัว และได้เกิดใหม่แล้ว เมื่อพลาดไปแล้ว ถ้าเป็นลูกพระเจ้าจะไม่กลัว ทำบาปไปแล้ว ไม่มีตกนรกแล้ว แต่เราเสียใจ ไม่อยากทำให้พระเจ้าเสียใจ และเราก็ไม่ได้เข้าไปหาพระเจ้า ให้ยกโทษ ไม่มีโทษแล้ว แต่เราเข้าไปหาพระเจ้า ขอพระเจ้าช่วยด้วย ลูกเสียใจ ลูกไม่อยากทำเลย ให้กำลังลูกด้วย แบบนี้มันถูก แล้วมันจะไปดี แต่ถ้าเราไปถึงบอก …

“พระเจ้ายกโทษให้ลูกด้วย”

อ้าว! แล้วพระเยซูบอกทำสำเร็จแล้ว แปลว่าอะไร? มันก็แย้งกันอยู่เรื่อยๆ มันไม่จบสักที แล้วเราก็ไม่สามารถบอกลูกหลานและคนต่อๆ ไป ให้รู้จักข่าวประเสริฐ 100% ได้ มันก็จะเอียงๆ

“พ่อ ไหนขออภัยจากพระเจ้าอยู่เลย แล้วไหนพ่อบอกว่าพระเยซูทำสำเร็จแล้ว เมื่อวันอีสเตอร์”

ลูกก็จะงง ลูกก็ไปบอกหลานต่อ สรุปแล้ว ไปถึงเหลน ไม่รู้ข่าวประเสริฐ คืออะไร? นับเป็นศาสนาไปแล้วกัน ในที่สุดไปถึงโหลน ก็เลิกเชื่อ  เพราะไม่มีผลเลย เปาโลจึงพยายามอย่างยิ่งที่จะพูดเรื่องนี้ให้ชัดๆ แล้วต่อว่าอย่างรุนแรงเลย สำหรับคนที่เฉียงออกไป ทำให้ข่าวประเสริฐด้อยลง เวลาเราทำผิดอะไร ก็แค่ …

“พ่อจ๋า ลูกเสียใจ”

นี่แสดงว่าคนนี้เชื่อถูกต้องจริงๆ ว่าพระเยซูทำสำเร็จแล้ว ข่าวประเสริฐเขารักษาไว้จริงๆ ข่าวดีที่พระเยซูบอก เราทำสำเร็จแล้ว ใช้หนี้บาปเรียบร้อย จบ ไม่มีการมาขอโทษ อภัยบาปอีกแล้ว มีแต่ …

“ลูกเสียใจมากเลย ลูกไม่อยากทำมากเลย ขอประทานสติปัญญาให้กับลูก ที่จะรู้ว่าจะสู้กับมันอย่างไร? จะทำอย่างไร? ด้วยเถิด เอเมน”

แล้วก็หัวเราะต่อไป ไม่ใช่หมกมุนอยู่แต่กับ “ยกโทษให้ลูกด้วยๆ” ไม่ใช่ ถ้าจะอดอาหาร อดอาหาร เพื่อจะชนะกับกิเลสตัณหาตัวนี้ เสียใจกับสิ่งนี้ ลูกจึงอดอาหาร เพื่อจะสู้กับมันตรงนี้ ไม่ใช่อดอาหาร เพื่อพระเจ้าจะได้ยกโทษให้ลูก นี่บาปกี่ครั้งแล้ว ไม่ใช่ นี่เขาเรียกว่าเป้าหมายมันผิดไป การกระทำเหมือนกัน แต่เป้าหมายในใจผิดไป ทำให้ข่าวประเสริฐเสีย แล้วมันไม่ได้ผลเท่าที่ควร

เพราะฉะนั้น นี่คือสิ่งหนึ่งที่เปาโลกอยากให้ข่าวประเสริฐมันชัดเจนอย่างนั้น เราไม่อยากกระทำสิ่งที่ไม่ถูกต้อง ไม่ใช่เพราะเรากลัวถูกลงโทษ เพราะเรามั่นใจแล้วว่าไม่มีการลงโทษใดๆ เกิดขึ้นกับเราอีกแล้ว เมื่อเราอยู่ในพระเยซูคริสต์

ดังนั้น ไม่มีที่จะลงโทษใดๆ แก่ผู้ที่อาศัยในพระเยซู

ถูกหรือเปล่า? ร้องวันนั้น ตกเย็นมา “พระเจ้าช่วยด้วย ขออภัยให้ลูก แล้วลงโทษได้อย่างไร?” ก็ไหนบอกไม่มีแล้วไง ไม่มี ก็ไม่มี “ไม่มีการลงโทษใดๆ แล้ว ท่านแค่เสียใจเท่านั้น” นี่หมายถึงโลกวิญญาณ ที่มีผลต่อการควบคุมของพระเจ้าที่ดูแลเรื่องโลกวิญญาณทั้งหมดเลย แต่ในกฎของโลกวัตถุ มันก็มีของมันนะ ท่านไปตีหัวชาวบ้านเขา พระเจ้าก็ไม่ได้โกรธอะไรท่านหรอก ท่านมาเสียใจ ไปตีหัวเขาแล้ว เผลอไป ไม่ได้ควบคุมสติ แทนที่จะรักเขา เขาก็เรียกตำรวจมาจับท่าน ท่านก็ถูกปรับหรือท่านก็ไปติดคุก ไม่ใช่เดินไปหาตำรวจ …

ดังนั้นไม่มี ที่จะลงโทษใด

เขาก็จับท่านไป นี่ยกตัวอย่างให้ท่านเห็นชัดๆ มันอีกเยอะ เรื่องจะเป็นอย่างนี้ทั้งหมด ไม่ใช่ท่านไปทำความโลภ

“พระเจ้ายกโทษให้ลูกด้วย ที่ลูกโลภ ไปโกงเขา”

ไม่ต้อง ทำอย่างไร? “พระเจ้าลูกเสียใจ ลูกไม่น่าไปทำอย่างนั้นเลย แทนที่ลูกจะเชื่อในพระองค์ ประทานสติปัญญาให้ลูกในครั้งต่อไป ที่ลูกจะมีความมั่นคงกว่านี้ ที่จะไม่โลภด้วยเถิด”

เดินไปอีกข้างหนึ่ง ตำรวจเดินมา เอาสร้อยข้อมือมาให้ฟรีๆ ท่านก็บอก … “ขอบคุณพระเจ้า พระเจ้าช่วยดูแลลูกด้วย”

พระเจ้าก็ดูแล อาจจะไม่ติดคุก แต่ท่านก็ต้องโดนอะไรบางอย่าง พระเจ้าอาจจะดูแลอะไรบางอย่าง ตามระบบ ระเบียบ กฎของโลกวัตถุที่มันมีอยู่ ยกตัวอย่างเช่น พระคัมภีร์บอกให้ท่านมีสติ ท่านบอกท่านไม่มีสติ ท่านเดินออกไปชั้น 3 แล้วหล่นตุ๊บลงไป ไม่ต้องหล่นสิ ลูกอธิษฐานสม่ำเสมอเลย ลูกไม่ควรหล่น .. หล่นไหม? หล่น เพราะมันมีกฎอยู่บนโลกใบนี้ กฎแรงดึงดูดของโลก ก็ว่ากันไปตามนั้น แต่ในโลกวิญญาณ ไม่เกี่ยวกันเลย คนละเรื่องกัน ค่อยๆ เรียนรู้ไป เพราะฉะนั้น คำว่า “ไม่ต้องลงโทษใดๆ” คือเรื่องของโลกฝ่ายวิญญาณ คือโทษของความบาป คือความตาย ท่านไม่ต้องรับอีกต่อไปแล้ว โทษที่จะทำให้ท่านหลุดออกไปจากสวรรค์ ท่านไม่ต้องกลัวอีกแล้ว แต่โทษบนโลกใบนี้ ที่มันมีกฎระเบียบของมันอยู่ ท่านก็ต้องรับ เพราะฉะนั้น ใครที่มีความรู้สึกว่าตัวเองกำลังเผชิญกับสงครามทางจิตใจ หรือกำลังต่อสู้อย่างหนักว่าจะเลือกฝั่งไหนดี มันส่งเข้ามา อันนี้ก็ดี อันนั้นก็ดี แต่พระเจ้าบอกอย่า จงดีใจเถิดว่าท่านมาถูกทางแล้ว มันมีการต่อต้านอยู่ข้างในว่าที่เราทำไปนั้นมันโลภ มันไม่ดี เราเอาเปรียบชาวบ้านเขาอยู่เหรือเปล่า อย่างนี้ เป็นสิ่งที่ดี พระวิญญาณกำลังนำพาท่าน เป็นลูกพระเจ้า กล่อมเกลาจิตใจของท่านให้เข้มแข็งและมีกำลังพอที่จะต่อสู้กับสิ่งต่างๆ บนโลกนี้ ที่จะมาล่อลวงให้เราทำตามมัน

นี่คือความหมายของคำว่า “เราต้องทุกข์ร่วมกับพระเยซูคริสต์” ถ้าเราคิดว่าเราเชื่อในข่าวดีของพระเยซูแล้ว เราได้รับสิทธิ รับมรดกในทางพระเจ้ามากมาย สิ่งนี้มันจะเกิดขึ้นออโต้ คือความทุกข์ยากลำบาก เหมือนเราอยู่ในฝั่งขาว แล้วมันต้องต่อต้านกับฝั่งดำ มันเป็นธรรมชาติ กำลังพูดถึงอย่างนี้ ถ้าท่านเชื่อในข่าวประเสริฐของพระเยซู พระเจ้าสถิตอยู่ในท่านแล้ว วิญญาณท่านเปลี่ยนไปแล้ว เป็นลูกพระเจ้า สะอาด บริสุทธิ์ เต็มไปด้วยความรักแล้ว ท่านอยู่บนโลกใบนี้ ซึ่งเต็มไปด้วยความเกลียดชัง ตรงกันข้ามกับพระเจ้า ต่อต้านกับพระเจ้า เป็นศัตรูกับพระเจ้า มันเกิดเหตุอย่างนี้ขึ้น ท่านจะเหมือนปลาที่อยู่บนบก แต่ไม่ใช่ตายนะ มันยังมีชีวิตอยู่ แต่มันกระเสือกกระสน มันมีความสุขไหม? เอาปลาช่อนวางไว้บนบก มันดิ้นๆ ไปหาธรรมชาติของเขา ธรรมชาติของเขาต้องอยู่ในน้ำ ธรรมชาติลูกของพระเจ้าจะต้องอยู่ในพระวิญญาณ ต้องอยู่กับความรักของพระเจ้า มันก็ดิ้นเข้าไปหาน้ำ น้ำคือความรักของพระเจ้า มันก็จะดิ้นอยู่อย่างนั้นแหละ เพราะฉะนั้น นี่คือความทุกข์ทรมานของคนที่เชื่อแล้ว จะเป็นอย่างนี้ วันทั้งวันท่านจะเห็นอันนั้นอันนี้ ในใจเขาสู้กันไปสู้กันมา

เพราะฉะนั้น เปาโลจึงบอกว่า “ถ้าข้าพเจ้าเลือกได้นะ ข้าพเจ้าขอเข้าไปอยู่ในน้ำตลอดไป ไม่อยู่แล้วบนบกนี้  ไม่ไหว”

เปาโลก็จะบอกว่า “ถ้าข้าพเจ้าเลือกได้ ข้าพเจ้าขอไปอยู่กับพระเจ้าในสวรรค์ จากโลกนี้ ไปเลยดีกว่า”

เห็นไหม? เปาโลยังพูดอย่างนี้ แล้วเราจะพูดอย่างไร? “แต่ข้าพเจ้าต้องอยู่ เพราะอยู่เพื่อท่าน พระเจ้าใช้ทำงานต่อ อยู่ก็อยู่เพื่อพระคริสต์ เพื่ออาณาจักรของพระคริสต์จะได้เจริญรุ่งเรือง เพื่อผู้คนในอาณาจักรพระคริสต์จะได้รู้ความจริงมากขึ้น เพื่อผู้คนที่ยังไม่ได้เข้ามาในอาณาจักรนี้ จะได้เริ่มเข้ามาเยอะขึ้น”

อยู่เพื่อพระคริสต์ ก็คือทำงาน แต่ถ้าตาย ก็กำไรมหาศาลเลย สู้ไปดีกว่า เห็นพระเจ้าหน้าต่อหน้า สบายแล้ว … ถ้าคิดอย่างนี้ได้ มันก็จะรู้วิธีว่าเราควรจะทำตัวอย่างไร? เพราะฉะนั้น ใครที่เผลอไปโมโหใคร? เผลอไปด่าใคร? แล้วกลับมานั่งเสียใจว่าเราไม่น่าทำอะไรเมื่อตะกี้นี้เลย เราไม่ควรตะโกนด่าเขาไปเลย ขณะที่เขาขับรถตัดหน้าเรา เราน่าจะใจเย็นกว่านี้ ขณะที่เขาโกงเราไป เราแค้นเขามาก เราทำอะไรที่ไม่ถูกต้อง เราไม่ควรพูดจาอย่างนี้กับเขาเลย กลับไปเสียใจมาก

นี่คือข่าวดีสำหรับท่าน ท่านทำถูกแล้ว นี่แหละคือความทุกข์ทรมานที่พระคัมภีร์บอกท่านต้องร่วมทุกข์กับพระเยซู นี่ไม่ได้ยกตัวอย่างอย่างอื่นอีก หลายอย่างที่จะต้องฝึกฝน นี่พยายามพูด พยายามหาอะไร? หลายคนก็คงเจอว่ามันมีอะไรหลายอย่างที่มันฝืนกับข้างในมาก ทำไม่ได้ ก็เสียใจ แล้วก็ดีใจเถิดว่าเรามาถูกทางแล้ว มันต้องมีอย่างนี้ขึ้น เราต้องเสียใจ และรู้ในใจดีว่าพระวิญญาณกำลังทำงานในเรา ค่อยๆ ฝึกเราให้ดีขึ้น เสียใจอยู่พักหนึ่ง แล้วจบ เข้ามาหาพระวิญญาณต่อ มั่นคงในความเชื่อ มั่นคงในความรอด มั่นคงในความบริสุทธิ์สะอาดแห่งวิญญาณของเรา มั่นคงในความชอบธรรมที่วิญญาณของเราได้รับ โดยผ่านทางพระเยซูกระทำที่ไม้กางเขน มั่นคงในความเชื่อเหล่านี้ แล้วก็เดินต่อไป ล้มอะไรก็กลับมาใหม่ พระคัมภีร์เดิมจึงได้พูดเป็นเงาไว้ว่าคนชอบธรรมล้มแล้ว เขาจะลุกขึ้นมาใหม่ พระวิญญาณก็จะปลุกเขาให้ลุกขึ้นมาใหม่

เพราะฉะนั้น อยากให้ท่านทั้งหลายตัดสินใจเชื่อในข่าวดี และก็ย้ายสำมะโนครัว ย้ายอาณาจักรจากความมืด สำมะโนครัวจากในอาดัม ซึ่งเต็มไปด้วยความบาป กลับมาอยู่ในพระเยซูคริสต์ มาเป็นลูกของพระเจ้า มาเป็นทายาทร่วมกับพระเยซูคริสต์ มาร่วมกันครอบครองมรดกในสวรรค์นิรันดร์กาล ร่วมกับผู้ที่เชื่อแล้ว

หน้าที่ของเราผู้ที่เชื่อแล้ว ก็คือเอาข่าวดีนี้ ไปบอกคนอื่นเขา ไม่ต้องทำอะไรเลย ถามไปสวรรค์ต้องทำอะไร? ไม่ต้องทำอะไรเลย เพราะว่าพระเยซูทำสำเร็จแล้ว ทำให้มนุษย์ทุกคนเข้าสวรรค์ได้ พระเยซูทำสำเร็จแล้ว เพราะฉะนั้น ไม่ต้องทำอะไรเลย มารับสิทธิของท่านเท่านั้นเอง ท่านสามารถเป็นลูกของพระเจ้าได้ โดยไม่ต้องทำอะไรเลย ท่านสามารถเข้ามาเป็นทายาทของพระเจ้า รับมรดกต่างๆ เท่ากับพระเยซูคริสต์เลย โดยไม่ต้องทำอะไรเลย เพราะพระเยซูได้ทำสำเร็จแล้ว เอเมน ขอพระเจ้าอวยพรครับ

 

**************************