คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 28 เมษายน 2019
เรื่อง “สำเร็จแล้ว … ไม่มีโทษแห่งความบาปอีกแล้ว” ตอน 3
โดย นคร เวชสุภาพร
วันนี้ชื่อเรื่อง “สำเร็จแล้ว … ไม่มีโทษแห่งความบาปอีกแล้ว” วันนี้เราจะมาดูกันต่อในหนังสือโรม บทที่ 8 ซึ่งเป็นเรื่องต่อจากวันอีสเตอร์ สัปดาห์ที่แล้วว่าในวันศุกร์ประเสริฐ เมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว หลังจากที่พระเยซูได้ตรัสคำว่า “สำเร็จแล้ว” ก่อนสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน หลังจากนั้นเกิดอะไรขึ้นกับบรรดาผู้ที่เชื่อในข่าวดี ที่พระองค์บอกว่า “สำเร็จแล้ว”
คำว่า “สำเร็จแล้ว” คือคำสุดท้ายที่พระเยซูประกาศบนไม้กางเขน ก่อนสิ้นพระชนม์ แต่เป็นการเริ่มต้นประกาศข่าวดีของพระองค์ว่าแผนการของพระเจ้า ในการช่วยกู้มนุษย์ให้รอดพ้นจากโทษของความบาปและความตายนั้น ได้วางมาตั้งแต่นมนาน บัดนี้ได้ถูกกระทำให้สำเร็จแล้ว พระคัมภีร์ทั้งเล่มสำเร็จแล้ว สิ่งที่พระเยซูได้เคยเทศนา หรือได้ประกาศไว้ ในขณะที่ยังคงสภาพของการเป็นมนุษย์อยู่ในขณะนั้น คือยังไม่ถูกตรึงที่ไม้กางเขน พระเยซูตระเวนสั่งสอนเรื่องเกี่ยวกับสวรรค์ คำอุปมา คำเทศนา ทั้งหมด ล้วนเป็นเรื่องเกี่ยวกับอาณาจักรสวรรค์ … อาณาจักรสวรรค์กำลังมาตั้งอยู่ พระเจ้ามีน้ำพระทัยในอาณาจักรสวรรค์อย่างไร? มนุษย์จะเข้าในอาณาจักรสวรรค์ได้อย่างไร? พระองค์สอนแค่นี้ จนไปสุด 3 ปีที่โกละโกธาที่ไม้กางเขน พระองค์บอกว่า “สำเร็จแล้ว” ก็คือสวรรค์ ที่บอกกำลังมา ก็มาแล้ว
สรุปคำว่า “สำเร็จแล้ว” ก็คือแผนการของพระเจ้าทั้งหมด ได้สำเร็จแล้ว อาณาจักรสวรรค์ลงมาตั้งอยู่บนโลกนี้ 2,000 ปีแล้ว และอาณาจักรสวรรค์บนโลกนี้มีชื่อว่า “อาณาจักรพระเยซูคริสต์” หรือ “อาณาจักรพระคริสต์” นั่นเอง เพราะฉะนั้น คำว่าในพระคริสต์ ก็คือในสวรรค์ อาณาจักรพระคริสต์ ก็คืออาณาจักรสวรรค์
พระเจ้าได้ตั้งอาณาจักรสวรรค์บนโลกนี้สำเร็จแล้ว คำว่า “สำเร็จแล้ว” ตอนที่พูด เมื่อวันศุกร์ประเสริฐ ก่อนพระเยซูคริสต์สิ้นพระชนม์นั้น ภาษากรีกใช้คำว่า “Tetelestai” แปลว่า “จ่ายหมดแล้ว” สำเร็จแล้ว ก็คือจ่ายหมดแล้ว โดยผ่านทางการสิ้นพระชนม์ของพระองค์ คือการตายของพระเยซูคริสต์บนไม้กางเขน อาณาจักรสวรรค์นี้ จึงมีชื่อว่าอาณาจักรของพระคริสต์ เพราะพระเยซูคริสต์เป็นคนจ่าย เพราะฉะนั้น พระเจ้าจึงตั้งชื่อให้เป็นเกียรติแก่ผู้จ่าย คือพระเยซู จึงใช้ชื่ออาณาจักรนี้ว่าอาณาจักรพระคริสต์
คือก่อนที่แผนการของพระเจ้า ที่วางไว้ทั้งหมดตั้งแต่พระคัมภีร์เดิม จนกระทั่งถึงหมดทั้งเล่ม จะถูกกระทำให้สำเร็จ โลกวิญญาณในตอนนั้น เคยมีเพียงอาณาจักรเดียว ซึ่งในพระคัมภีร์ใช้ชื่อว่า “อาณาจักรแห่งความมืด” ซึ่งบางทีใช้คำว่า “อาณาจักรแห่งความบาปและความสาปแช่ง” ซึ่งรวมๆ พระคัมภีร์ใหม่ใช้คำว่า “อาณาจักรอาดัม” หรือในอาดัม ซึ่งอยู่ตรงข้ามกับในพระคริสต์ แต่พอพระเยซูบอกสำเร็จแล้ว อาณาจักรสวรรค์ลงมาตั้งอยู่แล้ว โลกวิญญาณก็เพิ่มมาอีกหนึ่งอาณาจักร คืออาณาจักรแห่งความสว่าง ซึ่งบางครั้งก็ใช้คำว่า “อาณาจักรสวรรค์” “อาณาจักรพระคริสต์” รวมๆ กันเรียกว่าอาณาจักรพระคริสต์ หรือในพระคริสต์ เพราะฉะนั้น 2,000 ปีที่ผ่านมานั้น จนถึงทุกวันนี้ โลกวิญญาณมี 2 อาณาจักร
หนังสือโรม บทที่ 8 ที่เราได้เรียนกันสัปดาห์ที่แล้ว ก็เป็นบทสรุปว่าหลังจากที่แผนการพระเจ้าได้ถูกกระทำให้สำเร็จแล้ว หลังจากที่อาณาจักรสวรรค์หรืออาณาจักรพระคริสต์ได้ถูกตั้งบนโลกใบนี้สำเร็จแล้ว หลังจากนั้น เกิดอะไรขึ้น เราทบทวนกันนิดหนึ่ง โรม 8:1-5
โรม 8:1-5 “1 เหตุฉะนั้น บัดนี้ จึงไม่มีการลงโทษ แก่บรรดาผู้ที่อยู่ในพระเยซูคริสต์ 2 เพราะว่าโดยทางพระเยซูคริสต์ กฎของพระวิญญาณแห่งชีวิต ได้ปลดปล่อยท่าน ให้เป็นอิสระจาก กฎแห่งบาปและความตาย 3 เพราะสิ่งที่บทบัญญัติทำไม่ได้ เนื่องจากวิสัยบาป ทำให้อ่อนแอนั้น พระเจ้าทรงกระทำแล้ว โดยส่งพระบุตรของพระองค์เอง มาในสภาพเช่นเดียวกับมนุษย์ ที่เป็นคนบาป เพื่อเป็นเครื่องบูชาไถ่บาป และโดยการกระทำเช่นนี้ พระองค์ได้ตัดสินลงโทษบาป ในมนุษย์ที่เป็นคนบาป 4 เพื่อข้อกำหนดอันชอบธรรมของบทบัญญัติ จะได้สำเร็จครบถ้วน ในตัวเราทั้งหลาย ผู้ไม่ดำเนินชีวิตตามวิสัยบาป แต่ดำเนินชีวิตตามพระวิญญาณ 5 ผู้ที่ดำเนินชีวิตตามวิสัยบาป ก็ปักใจในสิ่งที่วิสัยบาปต้องการ แต่ผู้ที่ดำเนินชีวิตตามพระวิญญาณ ก็ปักใจในสิ่งที่พระวิญญาณทรงประสงค์”
การสิ้นพระชนม์ของพระเยซูคริสต์บนไม้กางเขน เป็นผลให้เกิดการตั้งอาณาจักรสวรรค์บนแผ่นดินโลกนี้ เรียกว่า “อาณาจักรสวรรค์” สำเร็จแล้วด้วย ตามแผนการของพระเจ้าที่ได้ตั้งไว้ว่าวันนั้น วันนี้จะมีการตั้งอาณาจักรหนึ่งขึ้นมาบนโลกใบนี้ อาณาจักรนั้นตามองไม่เห็น หูไม่ได้ยิน เป็นอาณาจักรที่พระเจ้าเตรียมไว้สำหรับผู้ที่รักพระองค์ เรียกว่าอาณาจักรโลกวิญญาณ คืออาณาจักรสวรรค์ พระเจ้ากับมนุษย์จะมาอยู่ด้วยกัน ตามแผนการที่พระเจ้าได้ตั้งไว้ และสัญญาไว้ตั้งแต่นมแต่นาน แต่อ้อนแต่ออกแล้วว่าพระเจ้าจะทำอย่างนี้ มันเกิดขึ้นเมื่อสำเร็จแล้ว “จ่ายหนี้หมดแล้ว” พระเยซูได้จ่าย … จ่ายในนามของมวลมนุษยชาติ พอจ่ายหนี้หมด ก็มีครอบครัวมนุษย์เกิดขึ้น 1 ครอบครัว เรียกว่า “ครอบครัวพระคริสต์” ซึ่งไม่มีหนี้แล้ว
ซึ่งอาณาจักรสวรรค์ที่ว่านี้ เป็นอาณาจักรสวรรค์ทางโลกวิญญาณ ตามองไม่เห็น มือจับต้องไม่ได้ แต่ใช้ความเชื่อ ความรู้ทางวิญญาณของเราว่ามันมีอยู่ เรียกว่าพร ที่ตามองไม่เห็น หูไม่ได้ยิน ที่พระเจ้าจัดเตรียมไว้ ซึ่งอาณาจักรสวรรค์ทางโลกวิญญาณนี้ ที่ทำให้วิญญาณมนุษย์สามารถที่จะอยู่กับพระเจ้า ผู้บริสุทธิ์ สะอาด ศักดิ์สิทธิ์ได้ในฐานะเป็นบุตรของพระองค์ ไม่ต้องรอให้ตายนะ 2,000 ปีที่ผ่านมา สวรรค์ตั้งอยู่บนโลกใบนี้แล้ว มนุษย์สามารถเข้าไปอยู่กับพระเจ้า ติดต่อพระเจ้าได้เรียบร้อยแล้ว เพราะจ่ายหนี้บาปหมดแล้ว มีข้อแม้ว่าต้องอยู่ในสำมะโนครัวที่ 2 ซึ่งมีหัวหน้า ชื่อพระเยซูคริสต์
ในโรม บทที่ 8 เปาโลได้แยกแยะให้เราเห็นความแตกต่าง ระหว่างผู้ที่ยังอยู่อาศัยในอาณาจักรเดิม ที่ยังเป็นหนี้อยู่ กับผู้ที่ได้ย้ายออกมาสู่อาณาจักรใหม่ สู่สำมะโนครัวใหม่ ซึ่งจ่ายหนี้หมดแล้วว่ามันแตกต่างกันอย่างไร? คนที่ยังมีหนี้อยู่ ก็ต้องใช้หนี้ต่อไป
ในข้อที่ 1 ผลเกิดขึ้นในโลกฝ่ายวิญญาณ คือไม่มีการลงโทษใดๆ สำหรับผู้ที่อาศัยอยู่ในอาณาจักรพระคริสต์ ก็แสดงว่าผู้ที่ไม่ได้อาศัยอยู่ในอาณาจักรพระคริสต์ ก็ยังมีโทษอยู่ พูดง่ายๆ ผู้ที่อยู่ในพระเยซูคริสต์ไม่ต้องถูกลงโทษ เพราะไม่มีหนี้สินแล้ว
ในข้อ 2 บอกว่า “เพราะว่ากฎของพระวิญญาณแห่งชีวิต ในพระเยซูคริสต์ ได้ปลดปล่อยให้ผู้นั้นเป็นอิสระจากกฎของความบาป และความตาย” เพราะฉะนั้น ผู้ที่ไม่ได้อยู่ในพระคริสต์ ก็ยังไม่ได้รับการปลดปล่อยหลุดพ้นออกจากความบาปและความตาย ก็คือต้องรับโทษอยู่เหมือนเดิม เพราะว่าคนที่อยู่ในพระเยซูคริสต์ มีกฎแห่งวิญญาณว่าเขาได้เกิดใหม่แล้ว เขาได้รับการปลดปล่อยให้เป็นอิสรภาพแล้ว เพราะกฎของวิญญาณได้บอกแล้วว่าหนี้สินที่มนุษย์ติดหนี้ไว้ ตั้งเยอะแยะมากมาย ตั้งแต่บรรพบุรุษมานั้น พระเยซูคริสต์ได้จ่ายหมดเรียบร้อยไปแล้ว หนี้มองไม่เห็น เพราะไม่เห็นนั่นแหละ เขาถึงเรียกว่ากฎแห่งวิญญาณแห่งชีวิต
กฎแห่งวิญญาณ คือกฎที่มองไม่เห็น แต่มันมีอยู่จริงๆ และถ้าใครเชื่อ ก็ได้รับตามนั้น เพราะวิญญาณเขาไม่ต้องใช้หนี้ ก็เป็นอิสระ
ข้อที่ 3 บอกว่าเพราะว่ามนุษย์ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ พระเจ้าจึงส่งพระบุตรมาเป็นพระผู้ช่วยให้รอด นี่คือข่าวดี ซึ่งใครเชื่อข่าวดีนี้ ก็ได้รับความรอด ไม่ต้องพึ่งการกระทำอะไรเลยแม้แต่นิดเดียว ใครที่ยังไม่เชื่อ ก็ยังไม่ได้รับ ก็อยู่ที่เดิม
ข้อ 3 หมายถึงตรงนี้ มนุษย์ไม่สามารถใช้หนี้ของมนุษย์เองได้ เกิดมาเป็นมนุษย์ ก็เป็นคนบาป ติดหนี้เขา จะไปใช้หนี้เขาได้อย่างไร? ต้องมหาเศรษฐีจึงจะใช้หนี้ได้ พระเยซูคริสต์มาเกิดเป็นมนุษย์ก็จริง แต่ไม่ได้อยู่ในตระกูลเป็นคนบาป ไม่ได้ติดหนี้ใคร มาในฐานะร่ำรวยมากเลย ก็เลยสามารถมีตังค์ มาใช้หนี้ให้เลย หนี้ของมนุษย์จริงๆ ถูกใช้ไปหมดเรียบร้อยแล้ว แต่ทำไมทุกวันนี้ไม่หมด เพราะคนที่ได้รับการชำระหนี้ไปเรียบร้อยแล้ว เขาไม่เชื่อ
“เกิดมาต้องใช้เวรใช้กรรมเป็นเรื่องธรรมดา จะมีใครมาชดใช้แทนเราได้”
ก็คิดแบบนี้ เหมือนกับเราเป็นหนี้เขาสักห้าล้านบาท เยอะมาก ไม่มีวันใช้หมดอยู่แล้ว ตายก็ไม่หมด ได้เงินวันละ 150, 300 บาท ไม่มีทางใช้หมด มีอยู่วันหนึ่ง มีคนข้างบ้าน เขามาถึงบอกว่าห้าล้านบาทใช้ให้หมดเรียบร้อยแล้ว
“ใครจะมาช่วยเรา อยู่ข้างบ้าน ไม่มีอะไรสัมพันธ์กันมากมาย พวกเราใช้หนี้กันต่อไปเถอะ”
พอไม่เชื่อ ก็มีค่าเท่ากับเป็นหนี้เหมือนเดิม ใช้ชีวิตเหมือนเดิม
ข้อที่ 4 พูดถึงความแตกต่างของผู้ที่อาศัยอยู่ใน 2 อาณาจักรนี้ว่าลักษณะชีวิต คุณภาพมันแตกต่างกันอย่างไร? ถ้าจะพูดให้เข้าใจง่ายๆ กำลังบอกถึงธรรมชาติสันดานของทั้งสองอาณาจักรนี้ อยู่ในอาณาจักรนี้สันดานเป็นอย่างไร? อยู่ในอาณาจักรนั้นสันดานเป็นอย่างไร?
ผู้ที่อยู่ในพระคริสต์ ก็คืออยู่ในสวรรค์ก็จะมีสันดาน วิญญาณที่เป็นเหมือนพระเจ้า เป็นความรัก เป็นความสัตย์ซื่อ มีเมตตา
ผู้ที่อยู่ในอาดัม อยู่ตรงข้าม ก็จะมีสันดานทางวิญญาณ มีลักษณะที่เป็นฝ่ายตรงข้ามกับทางพระเจ้า ถ้าพระเจ้าเป็นความรัก เขาก็เป็นความเกลียดชัง ถ้าพระเจ้าสัตย์ซื่อ เขาก็เป็นคนคดโกง โกหก ถ้าพระเจ้ามีเมตตา เขาก็เป็นคนโหดร้ายทารุณ
มาถึงข้อ 5 อธิบายเพิ่มเติมว่าธรรมชาติของผู้เชื่อ ซึ่งอยู่กับพระเจ้า สะอาด บริสุทธิ์แล้วก็จริง แต่บ่อยครั้งที่อาจจะยังคงกระทำบาป หรือกระทำสิ่งที่ตรงข้ามกับความดีงามของพระเจ้า ในขณะที่ธรรมชาติของวิญญาณของผู้ไม่เชื่อ ยังคงตรงกันข้ามกับพระเจ้า แต่บ่อยครั้งที่อาจกระทำความดี เหมือนพระเจ้า ถูกหรือไม่ถูก? สังเกตให้ดีๆ ตรงนี้กำลังบอกว่าคนที่ไม่เชื่อพระเจ้า เราดูข้างนอกบางครั้งเขาก็กระทำสิ่งที่ดีๆ เหมือนพระเจ้าทำ คนที่เชื่อพระเจ้าบางทีก็ทำสิ่งที่ตรงกันข้ามกับพระเจ้า ทำไมเป็นอย่างนี้ ไม่เห็นเหมือนพระเจ้าเลย
พูดง่ายๆ ก็คือในทางภายนอก อาจทำสิ่งที่เหมือนหรือสิ่งที่ตรงกันข้ามกับพระเจ้าก็ได้ แต่วิญญาณ ซึ่งเป็นตัวตนที่แท้จริง ภายในอยู่ที่อาณาจักรไหน? อาณาจักรใหม่หรือเก่า อยู่ในธรรมชาติลักษณะไหน? มันก็เป็นอย่างนั้น เหมือนที่พระเยซูพูดอยู่บ่อยๆ ยกตัวอย่างให้ใช่ไหม? ต้นไม้ดี ก็จะให้ผลดี ต้นไม้เลวก็จะให้ผลเลว ถ้ามันดี ก็ดีที่ต้นมัน ไม่ใช่ดีที่ปลาย มาดูข้อต่อไป
โรม 8:6-7 “6 จิตใจของคนบาป นำไปสู่ความตาย แต่จิตใจที่พระวิญญาณทรงควบคุมนำไปสู่ชีวิตและสันติสุข 7 จิตใจที่เต็มไปด้วยบาป ก็เป็นศัตรูกับพระเจ้า ไม่ยอมอยู่ใต้บทบัญญัติของพระเจ้า ทั้งไม่สามารถอยู่ได้ด้วย”
จิตใจตรงนี้ หมายถึงจิตใต้สำนึกก็ได้ หมายถึงความคิดข้างในลึกๆ ของเรา เป็นจิตใต้สำนึกที่อยู่ติดๆ กับวิญญาณ พระคัมภีร์บอกแล้วว่ามนุษย์เป็นวิญญาณ และมีความคิดจิตใจ หมายถึงความคิดจิตใจตรงนี้
“ฉันเป็นวิญญาณ ฉันมีความคิดจิตใจ ฉันอาศัยอยู่ในร่างกายนี้ชั่วคราว”
เพราะฉะนั้น 2 อันแรก เรามองไม่เห็น แต่อันสุดท้ายเราเห็นร่างกายนี้ เฉพาะบริบทนี้ พออ่านถึง “จิตใจ” จงนึกถึงเลยว่ามันอยู่ติดกับตัวตนแท้จริงของเรา ก็คือวิญญาณ ไม่ว่าจะเชื่อพระเจ้าหรือไม่เชื่อนะ มันหมายถึงอย่างนั้น คนไม่เชื่อพระเจ้าก็เป็นวิญญาณและมีความคิดจิตใจ และอาศัยอยู่ในร่างกายนี้ เหมือนกับเรา แต่ไม่เหมือนกัน
ที่ผ่านๆ มา มีคนพยายามที่จะตีความในถ้อยคำโรม บทที่ 8 นี้ว่าหมายถึงผู้เชื่อ 2 กลุ่ม คือผู้เชื่อตามวิสัยบาป กับผู้เชื่อที่ดำเนินชีวิตตามพระวิญญาณ แล้วก็สอนแบบขัดแย้งกันไปๆ มาๆ เมื่อมาเชื่อพระเจ้าแล้ว เราได้รับการชำระบาปแล้ว เราเป็นอิสระจากโทษของความบาปแล้ว เพราะฉะนั้น เราต้องเปลี่ยนแปลงการดำเนินชีวิต ต้องดำเนินชีวิตให้เป็นไปตามน้ำพระทัยพระเจ้า ต้องไม่ทำบาปอีกต่อไป ส่วนใหญ่เขาจะตีความและสอนกันอย่างนี้
คำถาม ก็คือเราทุกคนรู้ตัวดีว่าแม้จะมาเชื่อพระเจ้าแล้ว ชีวิตข้างในวิญญาณเปลี่ยนแปลงหมด เหมือนพระเจ้าแล้ว เราก็ยังมีโอกาส 100% ที่ยังคงทำบาปอยู่ ตรงกันข้ามกับพระเจ้าอยู่ แล้วจะเกิดอะไรขึ้นกับเรา เมื่อเรามาเชื่อ เราจะรอดไหม? แล้วจะรอดกี่ครั้ง แล้วที่พระคัมภีร์ไบเบิ้ลบอกว่าเราทั้งหลายรอด โดยพระคุณพระเจ้า ได้มาฟรีๆ โดยที่เราไม่ต้องทำอะไรเลย หมายความว่าอย่างไร? ถ้ายังมีข้อกังขา หรือข้อแม้ว่าเมื่อมาเชื่อแล้ว เรา “ต้อง” ทำทุกอย่างให้ครบถ้วนบริบูรณ์ ต้องไม่ทำบาป แล้วในนี้บอกว่าเราไม่ต้องทำอะไร ได้มาฟรีๆ มันหมายความว่าอย่างไร? มันแย้งกันไหม
สาเหตุที่ทำให้หลายๆ คนเข้าใจความหมายตรงนี้ผิด ก็เพราะไปตีความคำว่า “ผู้ไม่ดำเนินชีวิต ตามวิสัยบาป” ก็ไปแปลผิดว่าหมายถึงผู้ที่ไม่กระทำบาป บนโลกนี้อีกเลย ซึ่งไม่มีมนุษย์คนไหนทำได้ ไม่มีมนุษย์คนไหนเลยที่จะเลิกทำบาปได้เลย และในสายพระเนตรของพระเจ้า มาตรฐานของพระเจ้า แค่คิด ก็บาปแล้ว นึกโกรธในใจ ก็เท่ากับทำบาปแล้ว แค่ไม่ให้อภัยเขา พระเจ้าก็ไม่อภัยให้เราแล้ว แล้วเราจะไปทำอะไรได้ เราพึ่งตัวเองได้หรือ?
ข้อที่ 6 ที่เราอ่าน “จิตใจของคนบาป นำไปสู่ความตาย แต่จิตใจที่พระวิญญาณทรงควบคุม นำไปสู่ชีวิตและสันติสุข”
จิตใจตรงนี้ หมายถึงจิตใต้สำนึกลึกๆ ที่มันติดกับวิญญาณตัวจริงๆ ของเรา “เรา” ในที่นี้หมายถึงมนุษย์ที่ทั้งเชื่อและไม่เชื่อ เหมือนกัน นี่เป็นลักษณะ สรีระร่างกายของมนุษย์ทุกคน คือเป็นวิญญาณ มีความคิดจิตใจ และอาศัยในร่างกายนี้ชั่วคราว
มาถึงตรงนี้ อธิบายได้ว่าอย่างไร? จิตใจของคนบาป ก็คือจิตใต้สำนึกที่ติดอยู่กับวิญญาณของคนบาป คนบาปอยู่ในอาณาจักร นำไปสู่ความตาย “ตาย” ในที่นี้หมายถึงตัดขาดออกจากพระเจ้า เป็นศัตรูกับพระเจ้า ต่อต้านพระเจ้า ไม่รู้จักพระเจ้า ไม่เห็นพระเจ้า เกลียดพระเจ้า ท่านเริ่มเข้าใจนะ
แต่จิตใจที่พระวิญญาณทรงควบคุม นำไปสู่ชีวิต คือจิตใจที่อยู่ติดกับวิญญาณ ซึ่งมีพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้าอยู่ด้วย ท่านก็รู้แล้วว่าอยู่ที่ไหน? ตรงกันข้ามกับเมื่อตะกี้นี้ นำไปสู่ชีวิต
“ชีวิต” นี้หมายถึงชีวิตที่เป็นเหมือนพระเจ้านิรันดร์ ซึ่งแปลสั้นๆ ว่าชีวิตนิรันดร์ พูดง่ายๆ ก็คือจิตใต้สำนึกลึกๆ ของคนที่เชื่อพระเจ้าแล้ว ที่ได้เกิดใหม่แล้ว อยู่กับพระเจ้า เขาได้รับชีวิตนิรันดร์เหมือนพระเจ้า แปลแค่นี้เอง
มาถึงตรงนี้ คิดว่าทุกคนคงเข้าใจว่าทุกครั้งที่เราได้เห็นคำว่า “คนบาป” นั้น หมายถึงผู้ที่ยังไม่เชื่อ แล้วถ้าเป็นจิตใจของผู้ที่เชื่อแล้ว อยู่ในพระคริสต์แล้ว แต่ยังเผลอไปทำบาป เรียกว่าจิตใจที่พระวิญญาณทรงควบคุม พระคัมภีร์บอกนะ ผมไม่ได้พูดเอง เรียกเขาว่า “จิตใจที่พระวิญญาณทรงควบคุม”
เพราะผู้ที่เชื่อ ได้ย้ายสำมะโนครัวมาอยู่ในพระคริสต์แล้ว ทางโลกฝ่ายวิญญาณ เขาจะไม่มีคำว่า “ตาย” อีกต่อไปแล้ว เพราะคำว่า “ตาย” แปลว่าเป็นศัตรูกับพระเจ้า ต่อต้านพระเจ้า เข้ากับพระเจ้าไม่ได้ แต่เข้าไปอยู่กับพระเจ้าแล้ว บัพติศมาเป็นหนึ่งเดียวกันไปเรียบร้อยแล้ว เขาเชื่อแล้ว เพราะความรอดที่ได้รับมานั้น เป็นความรอดนิรันดร์ การคืนดีกับพระเจ้าตอนที่เรารับเชื่อ ตอนที่เราเกิดใหม่แล้ว มันเป็นนิรันดร์ มันเป็นอย่างไรเป็นอย่างนั้นเลย เกิดใหม่แล้ว เกิดการเปลี่ยนแปลงในวิญญาณ เราไม่ได้เป็นศัตรูกับพระเจ้าอีกต่อไป ไม่มีทางได้เป็นเลย เพราะวิญญาณเปลี่ยนไปแล้ว ธรรมชาติ ตัวตนแท้ๆ ของเราได้เปลี่ยนไปแล้ว
ข้อที่ 7 บอกว่าจิตใจที่เต็มไปด้วยบาป ก็เป็นศัตรูกับพระเจ้า จิตใจที่ติดอยู่กับคนที่ยังไม่เชื่อพระเจ้า ซึ่งเรียกว่าเป็นคนบาปอยู่นั้น เขาก็จะเป็นศัตรูกับพระเจ้า ต่อต้านพระเจ้า พระเจ้าคิดอย่างนี้ เขาก็คิดอย่างนั้น พระเจ้าบอกขาว เขาบอกดำ พระเจ้าบอกอย่า เขาบอกจะทำ ไม่ยอมอยู่ใต้บทบัญญัติของพระเจ้า มันดื้อ โดยสันดาน โดยธรรมชาติ จิตใจก็คิด พยายามที่จะทำอะไรก็ตามที่ธรรมชาติมันเป็นอย่างนั้น เข้ากับพระเจ้าไม่ได้
โรม บทที่ 8 ที่เราได้เรียนกันมา ได้แบ่งคนเป็น 2 กลุ่ม คือกลุ่มที่เชื่อพระเจ้าแล้ว ที่เรียกว่าอยู่ในพระคริสต์แล้ว อยู่ในอาณาจักรแห่งแสงสว่างแล้ว กับกลุ่มที่ยังไม่ได้เชื่อ และใช้สิทธิของเขาในพระเจ้า ซึ่งในนี้เรียกว่าอาณาจักรอาดัม อยู่ในความมืด แบ่งกันแบบนี้ ไม่ใช่แบ่งโดยวิธีการดำเนินชีวิต เพราะถ้าท่านเห็นความจริงเหล่านี้ ท่านจะเห็นชัดเจนขึ้นว่าข่าวดีนี้ เป็นข่าวดีอย่างแท้จริง ไม่อย่างนั้นท่านจะสับสนมาก วุ่นวายไปหมด
พระคัมภีร์บอกว่าผู้ที่เชื่อในข่าวดีของพระเยซูว่าสำเร็จแล้ว สวรรค์มาตั้งอยู่แล้ว สำมะโนครัวใหม่ได้เกิดขึ้นแล้ว เขาจะได้รับการย้ายสำมะโนครัวทางโลกวิญญาณ เข้ามาสู่อาณาจักรสวรรค์ อยู่ในอาณาจักรพระคริสต์ ถูกย้ายออกจากอาณาจักรของความมืดมาสู่อาณาจักรของความสว่าง
“ท่านไม่รู้เหรอ ท่านได้ถูกย้ายออกจากอาณาจักรของความมืด เข้ามาสู่อาณาจักรของความสว่างแล้ว” เอเมน
เรายังอยู่ประเทศไทยเหมือนเดิมเลย ไม่ได้ย้ายบ้าน เขากำลังพูดถึงเรื่องโลกวิญญาณทั้งสิ้น ท่านถูกย้าย ท่านไม่ได้ย้ายเองด้วย พระเจ้าย้าย เพราะเคารพสิทธิของท่าน ท่านบอกไม่เอาแล้ว ไม่อยากอยู่สำมะโนครัวเดิม อาดัมไม่ไหวแล้ว ไม่อยากจะชดใช้บาปด้วยตัวเอง ไม่อยากจะพึ่งตัวเองแล้ว พึ่งพระเยซูดีกว่า แค่นั้นเอง ขอเชื่อในข่าวดีที่พระเยซูตายที่ไม้กางเขน เพื่อฉัน ทันทีทันใด ท่านก็ถูกย้ายสำมะโนครัว และวิญญาณของท่านเข้ามาอยู่ในอาณาจักรหนึ่งที่เรียกว่าอาณาจักรพระคริสต์ ในโลกวิญญาณ
ส่วนผู้ที่ไม่เชื่อในข่าวดี ก็ยังคงอยู่ในสำมะโนครัวเดิม คืออยู่ในอาณาจักรเดิม ซึ่งมีชื่อว่าอาณาจักรแห่งความบาปและความตาย และความสาปแช่ง ซึ่งในพระคัมภีร์เรียกว่าอยู่ในอาณาจักรของอาดัม อยู่ในความมืด เหมือนเดิม พระเยซูไม่ได้มาทำให้เขาอยู่ในความมืด แต่เขาอยู่ในความมืดเหมือนเดิม เพราะเขาไม่ใช้สิทธิของเขาเท่านั้นเอง
พระคัมภีร์จึงบอกว่าพระเยซูไม่ได้มา เพื่อตัดสินมนุษย์ ไม่ได้มา เพื่อพิพากษามนุษย์ แต่มาเพื่อช่วยให้รอด ใครต้องการความช่วยเหลือ ก็ได้รับความรอด ใครที่ไม่ต้องการความช่วยเหลือ ก็อยู่ที่เดิม พระเยซูไม่ได้ทำอะไรเลย สักนิดหนึ่ง มาช่วยให้รอด ไม่ได้มาซ้ำเติม ไม้อ้อช้ำแล้ว ก็ไม่ซ้ำเติม มาช่วย แต่ถ้าไม่เชื่อ พระองค์ก็เสียพระทัย เพราะว่าช่วยไปแล้ว เธอไม่ใช้สิทธิของเธอเอง
ในโลกวิญญาณมีอยู่ 2 แห่งเท่านั้น ขอบคุณพระเจ้า ที่เรามีสิทธิ์ที่จะเลือกอยู่อาศัยได้ในอาณาจักรใดอาณาจักรหนึ่ง ไม่ว่าจะอยู่ในพระคริสต์ หรืออยู่ในอาดัมเหมือนเดิมก็ได้ อยู่ในความมืดเหมือนเดิม หรืออยู่ในความสว่างก็ได้ อยู่กับพระเจ้าก็ได้ อยู่กับมารก็ได้ ถ้าเราตัดสินใจเลือกที่จะอยู่ในพระคริสต์ พระคัมภีร์ก็เรียกว่า “อยู่ในพระวิญญาณ” ถ้าไม่ใช้สิทธิ์ ท่านก็อยู่ในอาดัม อยู่ในวิสัยบาป แปลว่าเนเจอร์ แปลว่าธรรมชาติบาป แปลว่าสันดานบาป ฉันก็อยู่ในอาดัม อยู่ในมาร แต่ถ้าย้ายมาอยู่ในพระคริสต์ ฉันก็อยู่ในพระวิญญาณ อยู่ในเนเจอร์ อยู่ในสันดานวิญญาณพระเจ้า เหมือนพระเจ้า พูดอย่างนี้ เพื่อให้ท่านเห็นคำว่า “สันดาน” ไม่ได้ร้ายแรง ไม่ได้เป็นคำด่า แต่เป็นคำละเอียดภาษาไทยเราดีมากๆ ที่ให้เห็นชัดๆ ว่าสันดาน หมายถึงอะไร? สมัยก่อนโดนด่าอยู่บ่อยๆ ผู้ใหญ่ชอบว่า …
“แกนิสัยเนี้ย สันดรยังแก้ได้ แต่สันดานแก้ไม่ได้แล้ว”
เรารู้แล้วว่าสันดานเป็นสิ่งธรรมชาติ แก้ไม่ได้
เลือกอยู่ในพระคริสต์ ก็คือในพระคัมภีร์ใช้คำว่าถ้าท่านอยู่ในพระคริสต์ ก็คือเลือกที่จะคืนดีกับพระเจ้า คืนดีกัน เข้ากันได้ แต่ถ้าท่านอยู่ในอาดัม ก็ยังคงเป็นศัตรูกับพระเจ้า ต่อต้านพระเจ้า เป็นตรงกันข้ามกับพระเจ้า เข้ากันไม่ได้
อยู่ในพระคริสต์ ก็เป็นประชากรของพระเจ้า ในพระคัมภีร์บอกว่าท่านไม่รู้หรือ! ท่านเป็นประชากรของพระเจ้า ท่านไม่ได้เป็นคนแปลกหน้าอีกต่อไปแล้ว แต่ถ้าท่านไม่เลือกเปลี่ยนมาอยู่ในพระคริสต์ ท่านอยู่ในอาดัม ก็เป็นประชากรของโลกนี้ ซึ่งวิปริตไปแล้ว ซึ่งตกในความบาปไปแล้ว โลกนี้มันชั่วร้าย เพราะความบาปปกคลุมอยู่ ถ้าอยู่ในพระคริสต์ ก็เป็นผู้ชอบธรรม พระคัมภีร์ใช้คำว่า “ธรรมิกชน” ถ้ายังอยู่ในอาดัม ก็เรียกว่าเป็นคนบาป ที่จะต้องถูกพิพากษาลงโทษ เพราะใช้หนี้ไม่หมด
พระคัมภีร์ใช้คำว่า “อยู่ในพระคริสต์” จิตใจที่ลึกๆ ที่ติดอยู่กับวิญญาณของท่านนั้น ก็จะถูกควบคุมด้วยพระวิญญาณของพระเจ้า เป็นหนึ่งเดียวกันกับวิญญาณของพระเจ้า … พระเจ้า ซึ่งสมัยอดีต ก่อนที่พระเยซูจะถูกตรึงที่ไม้กางเขน แค่มองยังไม่ได้เลย แต่ตอนนี้วิญญาณของฉัน ตัวจริงๆ ของฉันกับพระเจ้าเป็นหนึ่งเดียวกัน มันหมายถึงอย่างนั้น แต่ถ้าท่านยังอยู่ในอาดัม จิตใจตรงนี้ มันจะเป็นเหมือนกันทั้งหมดเลย มันจะเป็นความบาป ซึ่งบังคับโดยมาร ให้ท่านเห็นภาพมันตรงกันข้ามกันสุดขั้ว ทรมานมากเลย
เวลาคนประกาศข่าวประเสริฐ รู้ลึกๆ อย่างนี้ ถึงทุ่มเทชีวิตประกาศๆ เปาโลจึงประกาศ ใครมาขวางทางเรื่องประกาศข่าวดี เปาโลต่อว่าแรงเลย ไม่ว่าจะเป็นพวกเดียวกันหรือไม่ใช่พวกเดียวกัน ไม่ว่าจะเป็นชาวยิว ซึ่งเชื่อแล้วก็ตาม เพราะเปาโลไม่อยากให้ข่าวดีของพระเจ้าเสียหาย กลายเป็นข่าวเกือบดี … เกือบดี มันก็คือไม่ดี หรือกลายเป็นข่าวท่าทางจะดี ก็คือยังไม่สำเร็จ หรือเป็นข่าวน่าจะดี ก็ยังไม่สำเร็จ แต่เปาโลบอกมันเป็นข่าวดีแล้ว สำเร็จแล้ว พระคัมภีร์ต้องการให้ข่าวดี เป็นข่าวดีจริงๆ
สรุป ก็คือถ้าเผื่อท่านเลือกที่จะอยู่ในพระคริสต์ ก็เท่ากับท่านเลือกที่จะมาอยู่กับแสงสว่าง มองทุกอย่างเห็นหมดเลย เข้าใจหมด ชีวิตไปโลด แต่ถ้าท่านไม่เลือก จะอยู่ที่เดิม วิญญาณของท่านอยู่ในอาณาจักรหนึ่งที่เรียกว่าความมืด มืดสนิท มีการขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน มีความทรมานนิรันดร์ มันหมายถึงอย่างนั้น แต่ถ้าท่านย้ายมาอยู่ในอาณาจักรของพระคริสต์ อยู่ในความสว่าง มันสว่างนิรันดร์ คำว่า “นิรันดร์” เหมือนกัน แต่จะสว่างนิรันดร์ หรือจะมืดนิรันดร์เท่านั้นเอง โรม 8:8-9 อันนี้จะทำให้เราเห็นชัดขึ้นอีก
โรม 8:8-9 “8 บรรดาผู้ที่วิสัยบาปควบคุมอยู่ ไม่อาจเป็นที่ชอบพระทัยของพระเจ้าได้ 9 อย่างไรก็ตาม ถ้าพระวิญญาณของพระเจ้าสถิตในท่าน ท่านก็ไม่ได้ถูกควบคุมโดยวิสัยบาปแต่โดยพระวิญญาณ และถ้าผู้ใด ไม่มีพระวิญญาณของพระคริสต์ ผู้นั้นก็ไม่ได้เป็นของพระคริสต์”
“บรรดาผู้ที่วิสัยบาปควบคุมอยู่” คือวิญญาณของคนบาป วิญญาณเขาเป็นศัตรูกับพระเจ้า ไม่อาจเป็นที่ชอบพอพระทัยของพระเจ้าได้ ไม่ใช่พระเจ้าเกลียดเขา แต่มันเข้ากันไม่ได้ พระเจ้าพูดหนึ่ง เขาไปสอง พระเจ้าบอกขาว เขาไปดำ โดยเนเจอร์มันไม่ได้เลย อย่างไรก็ตามถ้าพระวิญญาณของพระเจ้าสถิตในท่าน ท่านก็ไม่ได้ถูกควบคุมโดยวิสัยบาปนะ ถ้าเราเชื่อ พระเจ้าเข้ามาควบคุม พระวิญญาณอยู่ในเรา ก็ไม่มีวิสัยบาป มันมีวิสัยอันเดียว คือวิสัยของความบริสุทธิ์ของพระเจ้าอยู่ในเรา เราเป็นความรัก อดทน ไม่อิจฉา ไม่อวดตัว เราอภัยได้ เราอินโนเซนต์ เราไร้เดียงสาในเรื่องกระทำสิ่งที่ชั่วร้าย เพราะเราเป็นลูกพระเจ้า นี่พูดถึงในวิญญาณ แต่ถ้าผู้ใดไม่มีพระวิญญาณของพระคริสต์ ผู้นั้นก็ไม่ได้เป็นของพระคริสต์
ถ้าเราเชื่อ เราเป็นของพระคริสต์ เป็นหนึ่งเดียวกัน ถ้าไม่เชื่อ ก็ไม่ได้เป็นของพระเจ้าเลย ไม่ได้อยู่ในพระเจ้า คนละเรื่อง คนละขั้วเลย พระคัมภีร์บริบทนี้ต้องการให้เราเห็นชัดเจน เด็ดขาดของคน 2 กลุ่ม ลักษณะของคน 2 กลุ่ม คุณภาพของคน 2 กลุ่ม คือกลุ่มที่อยู่ในสำมะโนครัวใหม่ ที่มีชื่อว่า “พระคริสต์” ที่เรียกว่า “สวรรค์” กับกลุ่มเดิมที่ไม่ยอมเปลี่ยนแปลงไม่ยอมเชื่อในข่าวดี ยังอยู่ที่เดิม เรียกว่าในอาดัม อยู่ในความมืด มันต่างกันอย่างไร? เพื่อจะบอกคนเหล่านั้นว่านี่คือข่าวดี มาเถอะ ง่ายนิดเดียว คือเชื่อในสิ่งที่พระเยซูทำ ที่ไม้กางเขน เมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว ซึ่งถ้าเป็นเปาโล ก็อาจจะบอกว่าเชื่อในสิ่งที่พระเยซูทำ แล้วประกาศที่ไม้กางเขนแล้ว เมื่อหลายปีก่อน
“บังเกิดใหม่” หมายถึงมาเชื่อพระเจ้าแล้ว ย้ายเข้ามาสู่อาณาจักรใหม่ เข้ามาสู่สำมะโนครัวใหม่ เกิดใหม่จริงๆ ไม่ใช่ย้ายเข้ามาเฉยๆ คือเกิดจากคนบาปมากลายเป็นคนชอบธรรม เกิดจากอยู่ในอาณาจักรแห่งความมืด ย้ายเข้ามาสู่อาณาจักรแห่งแสงสว่าง
ที่ตะกี้บอกมนุษย์เป็นวิญญาณ และมีความคิดจิตใจ ทั้งวิญญาณก็เกิดใหม่เหมือนพระเจ้า ทั้งความคิดจิตใจก็เหมือนพระเจ้า ติดมาเลย เพียงแต่ยังอาศัยอยู่ในร่างกายนี้เหมือนเดิมเท่านั้นเอง ตอนที่เราเชื่อพระเจ้ามี 2 สิ่งที่เปลี่ยนทันที รุนแรงในโลกวิญญาณที่เรามองไม่เห็น ก็คือวิญญาณและความคิดจิตใจลึกๆ ตรงนี้ ที่มันติดอยู่ในวิญญาณ เปลี่ยนใหม่ ได้ถูกชำระ โดยฤทธิ์เดชอำนาจของพระโลหิตพระเยซู
มนุษย์เรา เมื่อบังเกิดใหม่แล้ว ก็จะมีความคิดจิตใจที่สะอาดบริสุทธิ์ เป็นวิญญาณที่เหมือนพระเจ้า มีความคิดจิตใจที่เหมือนพระเจ้าเลย จิตใต้สำนึกเราเหมือนพระเจ้า สะอาดบริสุทธิ์ ขณะเดียวกันเรายังอาศัยอยู่ในร่างกายนี้อยู่ ร่างกายนี้ มีสมอง แล้วมันก็มีความคิดของมันด้วย ความคิดอาจพอจะจับได้ แต่ไม่ชัดเจน แต่สมองชัดเจนแน่ เวลาเราคิดอะไรใช้สมอง และความคิดในสมอง พอคิดอะไรปุ๊บ จะสั่งให้ร่างกายกระทำ นี่คือเรื่องจริงๆ ของธรรมชาติของร่างกาย ไม่ว่าท่านจะเดิน สมองต้องเป็นคนสั่ง ซึ่งบางคนที่บอกเป็นอัมพาต เพราะบางแห่งของสมองเสียหายไป เขาก็บังคับมือขวาไม่ได้ บังคับมือซ้ายไม่ได้ ก็แล้วแต่
สมองตัวนี้ หรือความคิดในสมองตรงนี้ ยังคงรับอิทธิพล จากโลกใบนี้ ที่มันตกลงไปในความบาป ยังคงรับอิทธิพลจากบาป หรืออะไรก็ตามที่ตรงกันข้ามกับทางของพระเจ้า ที่มันพยายามส่งกระแส จะกระตุ้นตา หู จมูก ลิ้น กาย และความคิดของเรา กระตุ้นไปในทิศทางที่อยู่ตรงข้ามกับพระเจ้า ให้ความคิดและสมอง สั่งการ ให้ทำตามอิทธิพลของมัน พูดง่ายๆ มันก็ส่งไวไฟ ส่งสัญญาณกระตุ้น …
“อย่างนี้มันอภัยไม่ได้แล้ว อภัยไป 3, 4 ครั้งแล้ว อย่างนี้ต้องอัดแล้ว” อะไรอย่างนี้
นี่คือสิ่งที่ส่งเข้ามา แล้วความคิดก็คิด สมองก็เริ่มกลั่นกรอง ความเคยชินต่างๆ ไม่เกี่ยวกับโลกวิญญาณตอนนี้ ส่วนขณะเดียวกัน ทางโลกวิญญาณ … วิญญาณของเราที่ได้เกิดใหม่แล้ว อยู่กับพระเจ้าแล้ว ความคิดจิตใจที่อยู่ติดกับวิญญาณเลย สะอาดบริสุทธิ์เหมือนพระเจ้าแล้ว เต็มไปด้วยความรัก พระวิญญาณก็ส่งกระแสมา
“เราเกิดมาเป็นลูกพระเจ้า เต็มไปด้วยความรัก อดทนนาน กระทำคุณให้ อย่างนี้ อภัยเขาเถอะ อย่าไปคิดมากเลย เขาทำอย่างนี้ เพราะเขาจำเป็นต้องทำ อภัยให้เขาเถอะ แต่ก่อนนี้เราก็เป็นอย่างนี้เหมือนกันใช่ไหม? แต่ตอนนี้เราดีขึ้นแล้ว เรารู้ เราเข้าใจ เราอภัยให้เขานะ เราไม่ใช่มีเนเจอร์ สันดานเป็นอย่างนั้นนะ เนเจอร์ สันดานเราเป็นของดี”
เห็นไหม? มันก็ตีกัน ในขณะเดียวกันที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ในตัวของเราพยายามส่งกระแสแบบนี้ เพื่อจะเปลี่ยนแปลงความคิดของเราเสียใหม่ และพระวิญญาณก็ส่งความคิดนี้เข้ามา ซึ่งพระคัมภีร์ภาษาอังกฤษใช้คำว่า “Mine of Christ” แปลว่าความคิดของพระคริสต์ ความคิดในลักษณะของคนที่อยู่ในพระคริสต์ ความคิดของลักษณะคนที่อยู่ในสวรรค์ เขาคิดกันอย่างนี้ เรามีอยู่ในตัวของเรา อยู่ในความคิดของเรา เป็นอย่างนั้น ความคิดจิตใจอย่างนี้ มันก็จะสู้กัน เป็นเหมือนที่ปรึกษาเรา ความคิดจิตใจตรงนี้ก็จะช่วยเราในการเปลี่ยนแปลงความคิดเคยชินของเรา ให้เป็นไปด้วยกันกับพระเจ้า ผ่านทางสื่อของพระเจ้า เช่นถ้อยคำของพระเจ้าในพระคัมภีร์พูดถึงเรื่องเกี่ยวกับพระเจ้า คุยเรื่องเกี่ยวกับพระเจ้า พูดง่ายๆ อะไรก็เกี่ยวกับพระเจ้าทั้งหมด เพื่อมาสั่งการสมองอีกที
“สมอง ฉันจะสั่งแก อภัยให้เขาสะ แทนที่จะยกมือตบ แกยกมือไหว้เขาเลย”
บางทีมันเร็วมากเลยนะ ยกมือตบกับยกมือสวัสดี มันต่างกันนะ เกิดโมโห กำลังทะเลาะกัน ตบเลย เรื่องกลายเป็นใหญ่โตเลย ถ้ามีอะไรฉันทำผิด ขอโทษด้วยนะ คนนั้นเงียบ อีกคนสยบทันที เกิดความรัก เขาเรียกว่าลบความบาปออกไปเยอะเลย ถ้าตบเลย คนนั้นตบกลับ ตำรวจมา เป็นเรื่องใหญ่โต เขาเรียกว่าบาปทั้งนั้น แต่พอเปลี่ยนจากตบ เป็นสวัสดีปุ๊บ ทุกอย่างสงบ เต็มไปด้วยความรัก ทุกอย่างเป็นดีหมด กระจกในร้านก็ยังดีอยู่ โต๊ะข้างๆ เขาก็ไม่หัวแตก เพราะเราตีกัน โดนลูกหลงไป ท่านเห็นภาพไหม? มันเป็นอย่างนี้ นี่พูดให้เห็นชัดๆ บางเรื่องเท่านั้นเอง เพื่อเราจะได้เห็นว่าสมองเป็นคนสั่งการ แต่ก่อนที่มันจะสั่งการ ต้องมีข้อมูลให้มันว่า …
“ฉันจะทำอย่างนี้แหละ”
แล้วใครเป็นคนสั่งให้ทำอย่างนี้ ก็มี 2 พวก รับจากที่ปรึกษาคนไหน? ถ้ารับจากที่ปรึกษาที่เป็นวิญญาณของเราที่เกิดใหม่แล้วจากพระเจ้า มันก็อีกอย่างหนึ่ง แต่ถ้ารับจากโลกใบนี้ ตาต่อตา ฟันต่อฟัน ผลประโยชน์ฉัน ฉันไม่ยอมเด็ดขาด อันนี้ก็เป็นอีกแบบหนึ่ง ผลของการกระทำก็จะถูกสมองสั่งให้เป็นแบบนั้น
สมองหรือความคิดของเราตัวนี้แหละที่พระคัมภีร์ใช้คำว่า “เป็นป้อมปราการ” มันสำคัญที่สุด ที่จะเกิดการต่อสู้ที่เรียกว่า “Spiritual Warfare” ไม่ได้หมายถึงว่าอธิษฐานสู้กับมาร วิญญาณสู้กัน ส่งทูตสวรรค์ไปตีกับมาร รบกัน ส่งระเบิดปรมณูทางฝ่ายวิญญาณ ไม่ใช่ “Spiritual Warfare” ตรงนั้นในโลกวิญญาณไม่ต้องห่วง พระเจ้าเรายิ่งใหญ่มาก พระเยซูนั่งอยู่กับพระเจ้าในสวรรค์สถาน ครอบครองควบคุมทั้งหมด พระเจ้ามอบให้พระเยซูทั้งหมดแล้ว ไม่ต้องกลัวเลย แต่มากลัวตรงนี้มากกว่า ตรง …
“ฉันเอง มีที่ปรึกษาผิดหรือเปล่า? ที่ปรึกษาฉันถูกไหม?”
จริงๆ มันสู้รบกันตรงนี้ “Spiritual Warfare” ตรงสมองและความคิดของเรา ระหว่างสื่อที่ส่งผ่านทางพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า เรียกว่า “Mine of Christ” ความคิดของพระเยซูคริสต์ ความคิดแบบพระเยซูคริสต์ ที่ส่งผ่านทางพระวิญญาณบริสุทธิ์ กับสื่อที่ส่งผ่านมาทางโลกนี้ เจ้าแห่งโลกนี้ ก็ตัวนั้นแหละ พระคัมภีร์บอก มารกระทำการงานในคนที่ไม่เชื่อทั้งหลาย คนไม่เชื่อทั้งหลายอยู่ใต้อำนาจของมัน เห็นแก่ตัวบ้างอะไรต่างๆ ทำให้เราวุ่นวายไปหมด และมาแยงให้เราทำอะไรก็ได้ ในสิ่งที่มันตรงกันข้ามกับวิญญาณของเรา มันก็ทุกข์ทรมานนะ โกงเรา แกล้งเรา แล้วในวิญญาณบอกว่าให้เราอดทน ให้เราให้ความรักเขา ให้เราอธิษฐานให้เขา ให้เราอภัยให้เขา มันก็ทุกข์ทรมาน
ใครสามารถยึดป้อมปราการตรงนี้ได้ สมองหรือความคิดตรงนี้ได้ ก็สามารถควบคุมการสั่งการได้ อวัยวะร่างกาย มี 2 พวกเอง ขาวหรือดำ สมองที่เคยชิน ยึดความคิดเราว่า …
“ถ้าใครขับรถตัดหน้า ด่าเลย”
นี่คือสมอง พระคัมภีร์บอกไปเปลี่ยนแปลงเสียใหม่ โดยการไปอธิษฐานกับพระเจ้า ไปอ่านถ้อยคำพระเจ้า อยู่กับพระเจ้าไปเรื่อยๆ Set your mine หมายถึงจงเอาความคิดจิตใจนี้ ไปจดจ่ออยู่ที่เบื้องบน ที่มันอยู่นิรันดร์ อย่ามาสนใจบนโลกใบนี้ ที่มันอยู่ชั่วคราว มันหมายถึงอย่างนั้น และถ้าเราจดจ่อกับเบื้องบน จดจ่อกับพระเจ้า เช่นอย่างที่บอก เรื่องถ้อยคำพระเจ้าอะไรต่างๆ ถ้อยคำพระเจ้า จะมีอิทธิพลอยู่ในความคิด อยู่ในสมองของเรา เคยชินกับเรื่องถ้อยคำพระเจ้า เราก็จะมีกำลังพอ ที่จะทำให้อวัยวะมันทำตามน้ำพระทัยพระเจ้า เราจะได้รู้ว่าน้ำพระทัยพระเจ้าที่ดีที่สุด คืออะไร?
แต่ทั้งหมดนี้ ก็ต้องกลับมาที่เดิมว่าไม่เกี่ยวกับความรอดทางวิญญาณเลย เพราะวิญญาณของเราถูกควบคุม 100% โดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า เกิดใหม่แล้ว เกิดแล้วก็เกิดเลย ไม่มีตายอีกแล้ว ไม่ใช่ เกิดๆ ตายๆ ตายๆ เกิดๆ เมื่อไรมันจะเสร็จ มันไม่ใช่ เกิดแล้วก็เกิดเลย ถ้าเกิดแล้วตายได้ พระเจ้าไม่เก่งแล้ว พระเยซูทำไม่สำเร็จแล้ว พระเยซูทำสำเร็จแล้ว พอเราเชื่อแล้ว นั่นแหละ คือเกิดใหม่ ได้แล้ว จบ
มันไม่เกี่ยวกับโลกวิญญาณที่เราพูดเมื่อตะกี้ “Spiritual Warfare” ทางสมอง ความคิด เพราะวิญญาณของเราได้เกิดใหม่แล้ว โดยความเชื่อในพระเยซูคริสต์ วิญญาณของเราตอนนี้ถูกควบคุม ติดสนิท เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า เป็นวิญญาณที่เหมือนพระเจ้า 100% เขาเรียกกันว่าบัพติศซึม เป็นหนึ่งเดียวกัน เขาเรียกว่าวิญญาณสามัคคีธรรมกับพระวิญญาณบริสุทธิ์กับวิญญาณของพระเจ้า พระบิดา พระบุตร กับพระวิญญาณบริสุทธิ์ เป็นหนึ่งเดียวกัน สามัคคีธรรมแปลว่าการรวมกันเป็นหนึ่ง เหมือนเอาน้ำกับน้ำใส่ลงไป มันเป็นหนึ่งเดียวกันแล้ว เขาเรียกว่าการบัพติศมาในไฟ พลังแห่งอำนาจของพระเจ้า เป็นหนึ่งเดียวกัน ฤทธิ์อำนาจพระเจ้าอยู่กับเราแล้ว เปลี่ยนแปลงเราเป็นหนึ่ง เหมือนพระองค์แล้ว ใครจะมาเอาเราออกไปจากพระเจ้าได้ พระเจ้าบอก มันใหญ่ขนาดไหนที่จะมาเอาคนนี้ออกจากมือเรา พระเยซูบอกไม่มีใครเอาแกะออกไปจากคอกของเราได้ ถ้าเขาเข้ามาในคอกแล้ว มีใครบ้าง ไม่ว่าฤทธิ์อำนาจใด ความยิ่งใหญ่ขนาดไหน? ลึกหรือกว้างขนาดไหน? ไม่มีทางที่จะมาเอาเราออกไปจากความรักของพระเจ้าได้เลย ในพระเยซูคริสต์ โรม บท 8 ตอนท้าย สรุปไว้อย่างนี้
เมื่อท่านเชื่อในข่าวดีของพระเยซู วิญญาณของท่านจะเกิดใหม่ และเป็นวิญญาณที่มีคุณลักษณะเป็นอากาเป้เลย โรม 8:10-11 สุดท้าย
โรม 8:10-11 “10 แต่ถ้าพระคริสต์อยู่ในท่าน กายของท่านก็ตายไป เพราะบาป ถึงกระนั้นจิตวิญญาณของท่าน ก็มีชีวิตอยู่เพราะความชอบธรรม 11 และถ้าพระวิญญาณของพระองค์ ผู้ทรงให้พระเยซูเป็นขึ้นจากตายสถิตในท่าน พระองค์ผู้ทรงให้พระคริสต์เป็นขึ้นจากตาย จะประทานชีวิตแก่กาย ซึ่งต้องตายของท่านด้วย พระองค์ประทานชีวิตนั้น โดยทางพระวิญญาณของพระองค์ ผู้สถิตในท่าน”
ถ้าพระคริสต์อยู่ในท่าน ก็หมายถึงถ้าท่านเชื่อในพระเยซู กายของท่านก็ตายไปเพราะบาป ตรงนี้คือหลักข้อเชื่อที่เราได้เรียนกันมา ตั้งแต่เริ่มต้น ตอนเชื่อพระเจ้าใหม่ๆ ว่ามนุษย์ทุกคนเป็นคนบาป ที่ต้องได้รับโทษของความบาป คือความตายและตาย ก็คือตายทั้งร่างกาย และตายทั้งวิญญาณ ร่างกายตาย ก็แปลว่าร่างกายต้องมีวันที่จะหมดอายุขัย คือตายแบบมนุษย์ แต่ตายครั้งที่สอง ก็คือตายทางวิญญาณ อันนี้ไม่มี 80 ปี 100 ปี อันนี้นิรันดร์ ตายอันที่สองทางวิญญาณ คือไม่รู้จักพระเจ้า เป็นศัตรูกับพระเจ้า ต้องชดใช้หนี้สิน อยู่กับพระเจ้าไม่ได้ และต้องอยู่ในความมืด อยู่ในนรกนิรันดร์
ตายแรก คือตายทางร่างกาย ที่ทุกคนต้องเจอ จะเชื่อพระเจ้าหรือไม่เชื่อพระเจ้า ก็ต้องเจอ วันหนึ่งต้องจากโลกนี้ไป ในนี้เขาถึงบอกว่าถ้าพระคริสต์อยู่ในท่าน กายท่านต้องตายไปในความบาป ถึงแม้ว่าเรามาเชื่อพระเจ้า เราได้บังเกิดใหม่ในวิญญาณแล้ว ความคิดจิตใจสะอาดเหมือนพระเจ้าเลย แม้ว่าเป็นอย่างนั้นก็จริง แต่กายเรายังต้องตาย เพราะบาป แต่จิตวิญญาณของท่าน ก็ยังมีอยู่ เพราะความชอบธรรม คือวิญญาณของท่านยังมีชีวิตอยู่ เพราะเป็นผู้ชอบธรรม เพราะพระเยซูไถ่ท่านแล้ว มันแปลว่าอย่างนี้
แต่ถ้าพระคริสต์อยู่ในท่าน พูดง่ายๆ แต่ถ้าท่านเชื่อในข่าวดี และวิญญาณของท่านได้ย้ายเข้ามาอยู่ในอาณาจักรของพระคริสต์ ย้ายมาอยู่ในสำมะโนครัวของพระคริสต์ อยู่ในสวรรค์แล้ว แม้ถึงวันที่ร่างกายต้องตายจากโลกนี้ไป อันนี้พูดถึงเราชัดๆ เลยนะ แต่วิญญาณที่เกิดใหม่ ที่อยู่กับพระเจ้า เป็นหนึ่งเดียวกัน ซึ่งเป็นตัวตนแท้ๆ ของพวกเราจริงๆ และจะอยู่ตลอดไป ที่ในสวรรค์กับพระเจ้านิรันดร์ นี่คือความหวังใจ นี่คือสันติสุข ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม เรารู้แล้ว รู้ล่วงหน้า รู้อนาคตหมดแล้วว่าชีวิตเราจะไปอยู่ที่ไหน? เอเมน
ทั้งสองอาณาจักรในโลกวิญญาณนี้ ให้ประโยชน์และให้โทษ เขาเรียกว่าต่างสุดขั้วกันเลย และมนุษย์ทุกคน มีสิทธิ์ที่จะเลือกเอาว่าจะอยู่ในอาณาจักรไหน? ในพระคริสต์ ซึ่งไม่มีการลงโทษใดๆ เนื่องจากบาปอีกต่อไป ที่เรียกว่าสวรรค์ หรือยังคงอยากจะอยู่ในอาดัม ในความมืด ที่จะต้องรับโทษของความบาปและการสาปแช่งอีกต่อไป นิรันดร์เช่นเดียวกัน และในพระคัมภีร์บอกว่าเลือกไม่ยากเลย ต้องใช้เงินเหรอ? ใช้สติปัญญาเหรอ? เปล่าเลย เลือกโดยใช้ความเชื่อเท่านั้น พระคัมภีร์บอกว่าพูดด้วยปาก และเชื่อด้วยใจ พูดว่า …
“พระเยซูเป็นพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์ ตายที่ไม้กางเขน หลั่งพระโลหิตของพระองค์ เพื่อชำระบาปให้กับฉันไปแล้ว และเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่สาม”
พูดด้วยปาก เชื่อด้วยใจ จบแล้ว ไม่ได้ทำอะไรเลย และเมื่อท่านพูดด้วยปาก และเชื่อด้วยใจว่าฉันยอมรับข่าวดีนี้ ฉันยอมรับว่าข่าวดีนี้เป็นจริง ทันทีทันใด ในโรม บท 8 ที่เราเรียนกันมา มันเกิดขึ้นออโตเมติก เกิดขึ้นในวิญญาณท่านก่อน แล้วก็เกิดขึ้นรอบวิญญาณของท่าน เป็นอาณาจักรวิญญาณ และท่านจะถูกย้ายมาอย่างนั้นจริงๆ เอเมน ขอให้ท่านเลือกที่จะอยู่กับพระคริสต์ โดยใช้สิทธิของท่าน เชื่อในข่าวดีที่พระเยซูทำให้กับท่านที่ไม้กางเขน เมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว เรียบร้อยไปแล้ว มารับไปเถิด มันเป็นของท่านไปแล้ว เอเมน ขอพระเจ้าอวยพรครับ
****************************