คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 24 มีนาคม 2019 เรื่อง “อุปมาคำสอนของพระเยซู” ตอน 14 “การลงทุนที่ให้ผลตอบแทนดีที่สุด” โดย นคร เวชสุภาพร

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  24  มีนาคม  2019

 เรื่อง “อุปมาคำสอนของพระเยซู”

ตอน 14 “การลงทุนที่ให้ผลตอบแทนดีที่สุด”

โดย นคร  เวชสุภาพร

            เรายังอยู่ในซีรี่ย์ชุด “อุปมาคำสอนของพระเยซู” ตอน 14 มีชื่อตอนว่า “การลงทุนที่ให้ผลตอบแทนดีที่สุด” เมื่อพูดถึงการลงทุน เราต้องนึกถึงประโยคนี้ก่อนเลย เคยได้ยินไหม?

“การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรตัดสินใจก่อนการลงทุน”

เป็นประโยคเด็ด ที่ถูกบังคับให้ใส่ไว้ในการโฆษณาเกี่ยวกับการลงทุนทุกตัว ไม่ว่าจะเป็นเรื่องหุ้น เรื่องกองทุนต่างๆ เพื่อให้ประชาชนเรียนรู้ รับรู้ และเข้าใจก่อนการเอาเงินไปลงทุนว่าการลงทุนมีความเสี่ยง และอะไรที่ได้รับผลตอบแทนสูงๆ ก็ยิ่งต้องเสี่ยงมาก โอกาสได้รับผลตอบแทนน้อยๆ ก็เสี่ยงน้อย เป็นเรื่องธรรมดา

ความเสี่ยง ก็คือการผันผวนที่เป็นไปได้ ทั้งกำไรและขาดทุน เช่น การลงทุนทำการค้าหรือธุรกิจ อะไรก็ตามที่ทำลงไป แล้วได้เยอะแยะ อันนั้นเสี่ยงมาก แต่ถ้าลงทุนอะไรตั้งนาน กว่าจะได้ ได้มาทีหนึ่งไม่เยอะ  ค่อยๆ ได้ทีละนิดทีละหน่อย อย่างนี้เสี่ยงไม่สูง หรือคนไม่อยากเสี่ยง เอาเงินไปฝากแบงค์ อย่างนั้นไม่เรียกว่าลงทุนนะ เรียกว่าเอาเงินไปฝาก กินดอก เงินอยู่ ยกเว้นแบงค์เจ๊ง อันนั้นเป็นอุบัติเหตุ

สิ่งที่เราจะเรียนรู้กันในวันนี้ เป็นอุปมาคำสอนของพระเยซู ที่เปรียบให้เห็นถึงทางเลือกในการลงทุน ซึ่งแน่นอน ไม่ใช่การลงทุนในเรื่องทรัพย์สินเงินทองบนโลกใบนี้ แต่เป็นการลงทุนด้วยชีวิตของเรา  และผลตอบแทนที่จะได้รับ จะเป็นอะไรน๊า คำอุปมาของพระเยซู เกี่ยวกับการบังเกิดใหม่ การไปสวรรค์ เกี่ยวกับอาณาจักรสวรรค์ พระเยซูสอนจะไปสวรรค์ ต้องลงทุนอย่างไร?

เริ่มต้นคำอุปมา เรื่องเงินตะลันต์ ในมัทธิว 25:14-18 บันทึกไว้อย่างนี้

มัทธิว 25:14-18 “14 อาณาจักรสวรรค์ยังเปรียบเหมือนชายคนหนึ่งจะออกเดินทาง จึงเรียกคนรับใช้มามอบหมายทรัพย์สินให้ดูแล 15 เขาให้เงินคนหนึ่งห้าตะลันต์ คนหนึ่งสองตะลันต์และอีกคนหนึ่งตะลันต์เดียว ตามความสามารถของแต่ละคน แล้วเขาก็ไป 16 คนที่ได้รับห้าตะลันต์ นำเงินไปลงทุนทันที และได้กำไรมาอีกห้าตะลันต์ 17 คนที่รับสองตะลันต์ ก็เช่นกัน ได้กำไรมาอีกสองตะลันต์ 18 ส่วนคนที่ได้รับตะลันต์เดียว ไปขุดหลุมเอาเงินของนายซ่อนไว้”

 

เจ้านายคนหนึ่ง มีเงินทองเยอะแยะมากมาย กำลังจะออกเดินทางไปต่างเมือง ก็เลยเรียกคนรับใช้มา 3 คน เพื่อมอบหมายให้ดูแลเงินของตัวเอง ในนี้บอกว่ามอบหมายให้ตามความสามารถของแต่ละคน มองดูแล้วว่าใครควรจะเป็นอย่างไร? คนแรกให้ดูแลเงิน 5 ตะลันต์ คนที่สอง 2 ตะลันต์ คนที่สาม 1 ตะลันต์ เพื่อให้เห็นภาพว่าเงินตะลันต์ในสมัยนั้น มันมีค่าประมาณไหน?

มีบันทึกไว้อย่างนี้ว่าเงินจำนวน 1 ตะลันต์ จะมีค่าเท่ากับค่าจ้างแรงงาน 1 คน เป็นเวลาประมาณ 15 – 20 ปี ถ้าเทียบเงินปัจจุบันนะ เอาวันนี้นะ ค่าแรงขั้นต่ำต่อปี คร่าวๆ ก็ประมาณ 100,000 บาทต่อปี ประมาณนะ เพราะฉะนั้น  1 ตะลันต์ในยุคนั้น ก็น่าจะประมาณ 1,500,000 – 2,000,000 ในยุคนี้ เพื่อท่านจะได้เห็นภาพว่าเงินที่เจ้านายฝากให้คนรับใช้ดูแล มันไม่ใช่น้อยๆ นะ มันเป็นเงินก้อนใหญ่พอสมควร พอได้รับมอบหมายให้ดูแลเงินของเจ้านาย

คนรับใช้คนที่หนึ่ง ได้มา 5 ตะลันต์ปุ๊บ ได้มา 10 ล้าน  คนรับใช้คนนี้ ก็นำไปลงทุน และได้กำไรเท่าตัว ในนี้เขียนไว้ใช่ไหม? คือได้เพิ่มมาอีก 5 ตะลันต์ ได้เพิ่มมาอีก 10 ล้าน = 20 ล้าน

คนรับใช้คนที่สอง ก็ทำเหมือนกัน  คือได้มา 2 ตะลันต์ ก็เอา 2 ตะลันต์ไปลงทุน ก็ได้มาอีก 2 ตะลันต์ ก็เท่ากับ 8 ล้าน

ส่วนคนที่สาม ได้รับมอบหมายให้ดูแล 1 ตะลันต์ ประมาณ 2 ล้าน ไม่ได้นำเงินไปลงทุนเลย แต่ไปขุดหลุมซ่อนไว้ ซ่อนเงินเจ้านายไว้ … มาดูต่อว่าพอเจ้านายกลับมา อะไรเกิดขึ้นบ้าง

มัทธิว 25:19-30 “19 อีกนาน หลังจากนั้น นายก็กลับมา และสะสางบัญชีกับคนรับใช้ 20 คนที่ได้รับห้าตะลันต์ นำอีกห้าตะลันต์ มาเรียนว่า ‘นายเจ้าข้า ท่านให้ไว้ห้าตะลันต์ ดูเถิด  ข้าพเจ้าได้กำไรมาอีกห้าตะลันต์’ 21 “เจ้านายของเขาตอบว่า ‘ดีมาก เจ้าเป็นบ่าวที่ดีและสัตย์ซื่อ! เจ้าสัตย์ซื่อในของเล็กน้อย เราจะตั้งเจ้าให้ดูแลของมาก มาร่วมยินดีในความสุขกับนายของเจ้าเถิด’ 22 “คนที่ได้รับสองตะลันต์ก็มาเรียนว่า ‘นายเจ้าข้า ท่านให้ไว้สองตะลันต์ ดูเถิด ข้าพเจ้าได้กำไรมาอีกสองตะลันต์’ 23 “เจ้านายของเขาตอบว่า ‘ดีมาก เจ้าเป็นบ่าวที่ดีและสัตย์ซื่อ! เจ้าสัตย์ซื่อในของเล็กน้อย เราจะตั้งเจ้าให้ดูแลของมาก มาร่วมยินดีในความสุขกับนายของเจ้าเถิด!’ 24 “แล้วคนที่ได้รับตะลันต์เดียวมาเรียนว่า ‘นายเจ้าข้า ข้าพเจ้ารู้ว่าท่านเป็นคนใจแข็ง ซึ่งเก็บเกี่ยวสิ่งที่ท่านไม่ได้เพาะปลูก และรวบรวมผลที่ท่านไม่ได้หว่าน 25 ข้าพเจ้ากลัว จึงเอาเงินไปซ่อนไว้ในดิน ดูเถิด นี่คือเงินของท่าน 26 “เจ้านายของเขาตอบว่า ‘ไอ้บ่าวเลวแสนขี้เกียจ เจ้าก็รู้ว่าเราเก็บเกี่ยวสิ่งที่เราไม่ได้เพาะปลูก และรวบรวมผลที่เราไม่ได้หว่าน 27 เช่นนั้นแล้ว ก็น่าจะเอาเงินของเราไปฝากธนาคารไว้ เพื่อเวลาที่เรากลับมา เราจะได้เงินคืนพร้อมดอกเบี้ยด้วย 28 “ ‘จงริบเงินหนึ่งตะลันต์นี้ ไปให้คนที่มีสิบตะลันต์  29 เพราะทุกคนที่มี จะได้รับเพิ่ม และเขาจะมีเหลือเฟือ   ส่วนผู้ที่ไม่มี แม้ที่เขามีอยู่ ก็จะถูกริบไปจากเขา 30 โยนไอ้บ่าวไร้ค่าคนนั้นออกไปที่มืดข้างนอก  ที่ซึ่งจะมีการร่ำไห้ และขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน”

 

“อีกนาน” เจ้านายไปนาน พิสูจน์ว่าคนรับใช้เอาเงินไปทำอะไร? ในนี้บอกว่าคนที่ได้ 5 ตะลันต์ เจ้านายกลับมาบอกว่า “ดีมาก” เพราะเขาได้กำไรมาอีก 5 ตะลันต์ คนที่ได้มา 2 ก็ได้กำไรมาอีก 2 เจ้านายก็บอกว่า “ดีมาก” ไม่มีใครได้มากกว่ากัน ในทางรางวัลที่เจ้านายบอก “ดีมากๆ” ทั้งๆ ที่ตามตาเรามองเห็น  คนแรกได้ตั้ง 5 ตะลันต์ เยอะกว่าตั้งเยอะ คนที่สองได้ 2 เอง แต่เจ้านายบอก “ดีมาก” ฟังตรงนี้ไว้ก่อน

หลายคนเวลาศึกษาเรื่องอุปมาคำสอนของพระเยซู แล้วก็ตีความว่าพระเยซูกำลังพูดถึงคริสเตียนผู้ที่เชื่อแล้ว เป็นลูกของพระเจ้าแล้ว แต่จริงๆ แล้ว ตอนที่พระเยซูตระเวนสั่งสอนผู้คน พระองค์ไม่ได้สอนเฉพาะผู้ที่ติดตามพระองค์เท่านั้น ส่วนใหญ่พระองค์จะพูดถึงมนุษย์ทั้งหมดเลย บนโลกใบนี้ว่าจะมีผลตอบสนองต่อการไปสวรรค์อย่างไร? เขามีความคิดอย่างไร? ในข้อมูลที่พระเยซูสอน ข่าวดีที่พระเยซูบอกว่าเข้าสวรรค์ต้องเป็นอย่างนี้ เขาเข้าใจได้อย่างไร แล้วเขาปฏิบัติต่อ หรือฟังและเชื่อขนาดไหน? มากกว่า

ตัวอย่างในอุปมาเรื่องเงินตะลันต์ที่เรากำลังอ่านอยู่นี้ ความเข้าใจส่วนใหญ่ไปตีความว่าพระเยซูกำลังพูดถึงผู้ที่เชื่อแล้ว หรือเป็นคริสเตียนแล้ว แล้วก็บอกว่าเป็นคริสเตียน จะต้องพยายามใช้ของประทานที่พระเจ้าให้มา ไม่ว่า 5 ตะลันต์ก็ตาม 2 ตะลันต์ก็ตาม 1 ตะลันต์ก็ตาม เพื่อให้เกิดประโยชน์มากที่สุดในอาณาจักรพระเจ้า ถวายเกียรติแด่พระเจ้าให้มากที่สุด  เกิดผลในกิจการของพระเจ้ามากที่สุด  ต้องพยายามให้ถึงที่สุดเลย ดูรายการหน้าโบสถ์สิ มีอะไรให้เราทำบ้าง? ตั้งแต่กวาดโบสถ์ ถวายทรัพย์ จนออกไปประกาศข่าวดี ต้องพยายามผลักดันให้ผู้คนออกไปทำ เพื่อที่จะเอาข้อนี้มาอ้าง

ซึ่งถ้าเราตีความถ้อยคำตรงนี้  ในลักษณะอย่างนี้ แล้วตอนท้ายของอุปมานี้ ที่บอกว่าคนรับใช้ที่ได้รับเงินมา 1 ตะลันต์ แต่ไม่ได้ทำประโยชน์อะไรให้เกิดผลงอกงามขึ้นมา คนรับใช้คนนี้ถูกลงโทษอย่างหนัก คือถูกโยนออกไปในที่มืดข้างนอก ที่ซึ่งมีการร่ำไห้ และขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน ซึ่งหมายถึงนรกนั่นเอง แล้วมันแย้งกันไหมล่ะ ลูกพระเจ้าถูกจับโยนออกมาจากบ้านพระเจ้า กลับมาอยู่ในนรก มันไม่ใช่ถ้อยคำพระเจ้าเลย ถ้อยคำพระเจ้าบอก เมื่อใครมาเชื่อพระเจ้าแล้ว เป็นลูกพระเจ้าแล้ว เป็นคริสเตียนแล้ว เราจดชื่อเขาอยู่ในฝ่ามือของเรา ไม่มีใครเอาเขาออกไปจากคอกของเราได้อีกแล้ว พระเยซูบอก

ถ้าเราตีความว่าตรงนี้ หมายถึงคริสเตียน หรือคนที่เป็นลูกพระเจ้า แล้วที่พระคัมภีร์สอนมาทั้งหมด ที่เราได้เรียนมา ข้ออื่นๆ ที่บอกว่าพระเยซูตาย เพื่อไถ่บาปเรา ชดใช้ความผิดบาปของเราแล้ว เราเป็นไทแล้วจริงๆ เราได้รับอิสรภาพแล้ว เราได้รับความรอดนิรันดร์แล้ว โดยพระคุณพระเจ้า ไม่ใช่ด้วยการกระทำของเราเอง แล้วมันคืออะไร? มันแย้งกันใหญ่เลย โดยเฉพาะที่บอกว่าเราเป็นลูกพระเจ้าแล้ว ยิ่งแย้งใหญ่เลย  มันก็ไปไม่รอด

เปาโลบอกว่าดังนั้น จึงไม่มีการลงโทษใดๆ สำหรับผู้ที่เชื่อในพระเยซูคริสต์ ไม่มีการลงโทษเขาอีกแล้ว ถ้าเขาเชื่อในพระเยซู แต่ตรงนี้บอกว่าคนรับใช้นี้ ดูแลเงินเจ้านายไม่ดี จึงถูกลงโทษ อย่างหนัก และยังแถมในข้อตะกี้ เจ้านายเรียกคนนี้ว่าชาติชั่ว คือผมจะบอกให้ทำไมเรียกชาติชั่ว พระคัมภีร์บอกมนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้ชั่วหมด คนที่ไม่ชั่ว คือคนที่พระเยซูไถ่บาปให้เขาแล้ว เขามารับสิทธิของพระเยซู ที่ไถ่บาปให้เขาแล้ว มารับสิทธิของเขาจากความชั่วกลายเป็นความดี ไม่ใช่เขา พระเยซูเป็นผู้ทำ แต่ถ้าเขาไม่มารับสิทธิ เขายังเป็นคนชั่วเหมือนเดิม ยอห์น 3:16-17  พระเยซู คือผู้ที่พระเจ้าประทานให้ ใครที่เชื่อในพระบุตรจะไม่พินาศ แต่มีชีวิตนิรันดร์ แต่พระบุตรไม่ได้มาตัดสิน พิพากษาคนบนโลกใบนี้ แต่เขาถูกตัดสินอยู่แล้ว ไม่เชื่อพระเยซู ก็เป็นคนบาปอยู่แล้ว ไม่ต้องไปเพิ่มกว่านั้น  คนบาป ก็คือคนชั่วนั่นเอง แต่ถ้ามาเชื่อพระเยซูบาปนั้น พระเยซูเอาไปแล้ว เขาก็หลุดพ้นจากบาป ก็แค่นั้นเอง

เพราะฉะนั้น ก่อนที่เราจะเรียนรู้กันต่อไปว่าคำอุปมาพระเยซูตรงนี้ หมายความว่าอะไร? ก่อนอื่นต้องทำความเข้าใจก่อนว่าพระองค์พูดถึงมนุษย์บนโลกใบนี้ ที่ยังไม่เป็นคริสเตียน ยังไม่เชื่อในข่าวดี ยังไม่ได้เป็นลูกของพระเจ้า ยังเป็นคนที่ชั่วอยู่ รู้แล้วนะ

ตัวอย่างอุปมาอีกเรื่องหนึ่ง การหว่านเมล็ดพืช ที่เราได้เรียนแล้ว ที่บอกว่าพืชผลที่จะได้รับนั้น ก็ขึ้นอยู่กับว่าเมล็ดที่หว่านออกไป ไปตกที่ไหน? ดินเป็นอย่างไร? เปรียบได้กับการประกาศข่าวประเสริฐ ข่าวดีของพระเจ้าเรื่องสวรรค์ ว่าประกาศไปให้กับมนุษย์บนโลกนี้ทั้งหมดเลย และมนุษย์บนโลกนี้ ก็ถูกแบ่งออกเป็น 4 ประเภท

(1)  เมล็ดที่ตกตามทางนกจิกกินไปหมด เปรียบได้กับคนที่ได้ยินการประกาศแล้ว แต่ยังไม่เกิดความเข้าใจ ไม่เกิดความเชื่อ แล้วมารมาฉวยเอาไป

นี่คือหนึ่งในจำนวนผู้ที่ไม่เชื่อ ได้ยินข่าวดีเรื่องสวรรค์ พระเยซูมาประกาศให้ได้ยิน เขามีการตอบรับอย่างนี้

(2)  ประเภทที่สอง เมล็ดพืชที่ตกบนพื้นกรวดหิน คือผู้ที่ได้ยินพระวจนะแล้ว ได้รับไว้ทันที ด้วยความตื่นเต้น แต่เพราะไม่ได้หยั่งรากลึก จึงอยู่ได้แค่ชั่วคราว ยังไม่ใช่ของจริง ในที่สุด ก็ทิ้งไป  จบ

นี่ก็อีกพวกหนึ่งที่ได้ยิน ได้ฟังข่าวดี

(3)  พวกที่สาม เมล็ดที่ตกกลางพงหนาม มีแต่หนามปกคลุม ก็เปรียบได้กับผู้ที่ได้ยินพระวจนะ คือได้ยินถ้อยคำข่าวดี เรื่องของพระเจ้า ได้ยินเกี่ยวกับสวรรค์ เกี่ยวกับอุปมาที่พระเยซูพูด แต่ไม่ผ่านการล่อลวงของโลก ความเชื่อไม่สามารถดิ่งลงไปในจิตใจเขาได้ เพราะเขาไม่ลงทุน ไม่เอา ไปทำอย่างอื่นดีกว่า คิดว่ามันได้กำไรมาก รอพระเจ้าไม่ไหว ก็ทิ้งไป

(4) ประเภทสุดท้าย เมล็ดที่ตกบนดินดี ก็คือผู้ที่ได้ยินพระวจนะ หรือได้ยินถ้อยคำพระเจ้า เรื่องเกี่ยวกับสวรรค์ และมีความเข้าใจ และเก็บรักษาไว้ด้วยความเชื่อ ก็คือลงทุน จนกระทั่งความเชื่อนั้นมันหยั่งรากลึกเข้าไปในใจเรื่อยๆ กลายเป็นบังเกิดใหม่ เป็นลูกพระเจ้า

ดินทั้งสี่ประเภทนี้ ก็หมายถึงคนที่ยังไม่ได้เชื่อพระเจ้า คนที่ยังไม่ได้เป็นคริสเตียน คนที่ยังไม่ได้เป็นลูกพระเจ้า คนทั่วไปบนโลกใบนี้แหละ เมื่อได้รับฟังเรื่องราวของพระเยซูคริสต์เกี่ยวกับข่าวดีของสวรรค์ มาถึงแล้ว เมื่อได้รับการประกาศข่าวประเสริฐแล้ว มีผลในการดำเนินชีวิต โต้ตอบ เขาสนใจขนาดไหน ลงทุนขนาดไหน? ทำหรือไม่ทำ? นี่มันเป็นอย่างนี้

เพราะฉะนั้น วันนี้เราจะมาเรียนรู้คำอุปมาเรื่องเงินตะลันต์นี้ ในมุมมองใหม่ เป็นมุมมองของผู้ที่ได้เข้าใจถ้อยคำพระเจ้าอย่างถ่องแท้ และลึกซึ้งในความหมายของคำว่า “พระคุณพระเจ้า” คือข่าวดี หรือสลับกัน ก็คือข่าวดี คือพระคุณพระเจ้ามาถึงเรา

ในคำอุปมาเรื่องตะลันต์ตรงนี้ พระเยซูกำลังเปรียบเทียบมูลค่าเงินตะลันต์กับข่าวประเสริฐ ที่ตะกี้เราคุยกันว่าเงิน 5 ล้าน 10 ล้าน พระเยซูยกขึ้นมา เป็นจำนวนเงินที่มีค่า เปรียบเทียบจากเรื่องที่พระองค์พูด จากสวรรค์ ก็คือข่าวดี เรื่องของสวรรค์ ก็คล้ายๆ เรื่องการหว่านเมล็ดพืชที่เราได้ยกตัวอย่างมา คือบางคนได้ยิน ได้ฟังเรื่องข่าวดี ของพระเยซู เรื่องเกี่ยวกับสวรรค์ บางคนได้ฟังมานิดเดียว เปรียบเหมือนเงิน 1 ตะลันต์เท่านั้นเอง บางคนได้ฟังมาเยอะหน่อย ได้ 2 ตะลันต์ บางคนญาติพี่น้องเพื่อนฝูงรักมาก ไปหาทุกวัน ไปพูดข่าวประเสริฐ ตัวเองก็รำคาญ ตัวเองก็ได้ยินได้ฟังไป เปรียบเหมือนคนที่ได้รับ 5 ตะลันต์ ฟังเยอะๆ พอเชื่อปั๊บ ไปเร็วเลย เพราะมีคนไปบอก ไปสอนอยู่เรื่อย ท่านพอมองเห็นไหม?

อย่างผมเป็นคนที่ได้ 5 ตะลันต์ ผมรู้ เพราะมีคนมาพูดกับผมเยอะมากเลย แล้วผมก็ฟังไปอย่างนั้นแหละ ฟังไป เถียงไป พอคนใหม่มา เถียงเขาๆ เหมือนสนทนาธรรมตลอดๆ ก็เหมือนได้ 5 ตะลันต์ได้ฟังเยอะ บางคนได้ฟังข่าวประเสริฐจากการประกาศแป๊บเดียว หรือได้ยินจากเพื่อนนิดเดียว หายไปแล้ว แต่ในที่สุด เขาก็มาเชื่อข่าวประเสริฐของพระเจ้าจริงๆ ได้เกิดใหม่จริงๆ ก็มีนะ นี่เป็นประสบการณ์

แต่ไม่ว่าจะได้รับมาเท่าไร? ได้ยินข่าวดีของพระเยซูเกี่ยวกับสวรรค์เยอะแค่ไหนก็ตาม ผลที่จะได้รับนั้น ขึ้นอยู่กับว่าคนๆ นั้น นำไปลงทุนต่อหรือเปล่า? พูดง่ายๆ ว่าเชื่อไหม? เชื่อก็คือลงทุน ไม่เชื่อ ก็คือไม่เอา  ไม่ลงทุน ไม่เสี่ยง ซึ่งการลงทุนในที่นี้ ก็คือลงทุนด้วยชีวิตของตนเอง หลังจากที่เราได้ฟังข่าวประเสริฐของพระเยซู มีใครมาเล่าเรื่องข่าวดีของพระเยซูให้เราฟัง เราพร้อมไหมที่จะลงชีวิตให้กับข่าวดีของพระเยซูที่เราได้ยินได้ฟัง หลายครั้งเราจะตัดสินใจ ก็ไม่ใช่ง่ายๆ  ท่านเองอาจจะมีประสบการณ์อย่างนี้ คือไม่ใช่ครั้งแรกที่ท่านได้ฟังข่าวประเสริฐ แล้วท่านกล้าลงทุน อาจเป็นครั้งที่ 40 ครั้งที่ 50 ครั้งที่ 100 ครั้งที่พัน ครั้งที่หมื่น ก็ได้ ใหม่ๆ ท่านฟัง ก็ดีนะ แต่อาจจะฟังครั้งที่ 20 มันดีมากขึ้น แต่ เยอะเลย เอาน่าลงทุน เอาสิ มันเป็นอย่างนี้ คือหมายความว่าเรากล้าเสี่ยงไหม เวลาเราตัดสินใจ เพื่อพระเยซู ถามว่าเชื่อพระเยซูต้องเสี่ยงไหม? เสี่ยง … เสี่ยงหลายอย่าง ยิ่งเราอยู่ในประเทศนี้ ยิ่งเสี่ยงเยอะ ในขณะที่ข่าวประเสริฐของพระเยซูบอกว่าเวลาเราจะเข้าไปอยู่สวรรค์ เข้าไปได้วิธีใด ด้วยความเชื่อ เชื่อข่าวดี เชื่อพระเยซู เชื่อด้วยใจ  พูดด้วยปาก ก็นำมาสู่ความรอดแล้ว มันง่ายไหม?  ง่าย

รับด้วยปาก เชื่อด้วยใจ เชื่ออะไร? เชื่อในข่าวดีของพระเยซูว่าเป็นพระผู้ช่วยให้รอดของเรา เป็นพระเจ้าที่ตายที่ไม้กางเขน ด้วยความทุกข์ทรมาน หลั่งพระโลหิตชำระบาปของเรา เชื่อยากมากเลย แต่ถ้าคนนั้น รับด้วยปากและเชื่อด้วยใจอย่างนี้ คนนั้นก็สามารถไปอยู่ในสวรรค์ได้ แต่ความเชื่อก่อนหน้านี้ ความเชื่อเดิมบอกว่าอยากไปสวรรค์ใช่ไหม? ต้องทำอย่างไร? ต้องทำดี ทำบุญเยอะๆ สะสมบารมีไว้ ถ้าท่านสะสมเยอะๆ อาจจะได้ขึ้นสวรรค์ชั้นดีขึ้น ค่อยๆ สะสมไปเรื่อยๆ ถูกไหม? อย่างนี้แหละ ท่านว่าเสี่ยงหรือไม่เสี่ยง? ของพระเยซูเหมือนง่ายเกินไป เหมือนไม่ได้ทำอะไรเลย เชื่อพระเยซูอย่างเดียว ไม่มีอะไรให้ทำเลยเหรอ แล้วจะเชื่อได้อย่างไร? อีกอันหนึ่ง ดูเหมือนดีนะ เดินไปไหน รู้สึก …

“ฉันเป็นคนดี สมควรไปสวรรค์”

อันนี้เรามาเชื่อพระเยซู “ฉันสมควรไปสวรรค์ เพราะฉันไม่ได้ทำอะไรเลย”

มันรู้สึกเชื่อยาก นี่แหละ คือความลำบากในการลงทุน เรื่องข่าวประเสริฐของพระเยซู คือความเสี่ยงที่เห็นชัดๆ เหมือนแชร์ลูกโซ่ ลงทุนไปพันหนึ่ง สิ้นเดือนนี้ ได้มา 1,200 เลย ได้ทั้งเงินต้นคืนและได้กำไรอีก 200 ไม่พอถือต่อไปอีก ลงทุนเยอะขึ้น ได้กำไรเยอะขึ้น ทำมา 6 เดือนเป็นเศรษฐีแล้ว ลงทุนไปอีก 2 ปี กลายเป็นยาจก และแถมติดคุกอีก ถูกหรือไม่ถูก? เสี่ยงไหม? แต่ได้เยอะไหม? ได้เยอะ แต่อีกคนหนึ่ง

“ลูกโซ่ ฉันไม่เอา ฝากธนาคาร ได้ดอกเบี้ยนิดหนึ่งๆ”

10 ปีผ่านไป ก็ยัง ได้นิดหนึ่งไปเรื่อยๆ ก็ยังได้อยู่ใช่ไหม? แต่อีกคนหนึ่งติดคุกไปแล้ว นี่ยกตัวอย่างให้ฟังเฉยๆ ว่าความเสี่ยงในการลงทุนมันคืออะไร? พระเยซูกำลังสอนเรื่องนี้ว่าอันหนึ่ง คือความเชื่อ ไม่ต้องทำอะไรเลย อีกอันหนึ่งต้องทำเยอะๆ ทำมากๆ ทำด้วยตัวเอง เพราะฉะนั้น พระเยซูกำลังบอกว่า …

“การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนตัดสินใจให้ดีๆ ก่อนที่จะลงทุน เพราะนี่เป็นการลงทุนชีวิตของท่าน คิดให้ดีๆ”

ย้อนกลับไปดูที่ถ้อยคำเมื่อตะกี้ ที่คนรับใช้ คนสุดท้ายนำเงิน 1 ตะลันต์ไปขุดหลุมฝัง ตอนทีเจ้านายกลับมา คนรับใช้รายงานว่า …

“นายเจ้าข้า ข้าพเจ้ารู้ว่าท่านเป็นคนใจแข็ง (แข็งกระด้าง) ซึ่งเก็บเกี่ยวสิ่งที่ท่านไม่ได้เพาะปลูก และรวบรวมผลที่ท่านไม่ได้หว่าน”

ตรงนี้หมายความว่าอย่างไร? คนที่ได้ 1 ตะลันต์ ในความคิดของเขา เหตุผลของคนๆ นี้ คือไม่อยากเอาเงินนี้ไปลงทุน เพราะลักษณะของเจ้านาย พระลักษณะของพระเจ้า ในความคิดของเขานะ คือเป็นคนใจแข็งกระด้าง โหดร้าย ใครทำผิด ทำไม่ถูกต้อง ต้องถูกลงโทษ คนรับใช้คนนี้ ก็เลยกลัว ไม่กล้าทำอะไรกับเงินที่ได้รับมา ไม่กล้าลงทุน ไม่กล้าเสี่ยงอะไรทั้งนั้น เพราะกลัวถูกลงโทษ

ตรงนี้ ก็เปรียบเทียบให้เห็นคนบางประเภทที่มองพระลักษณะของพระเจ้าผิด คือคิดว่าพระเจ้าคงเป็นพระเจ้าที่ยิ่งใหญ่จริงๆ มีฤทธิ์อำนาจมากจริงๆ แล้วก็คงเป็นพระเจ้าที่เข้มงวด โหดร้าย สั่งฆ่า ก็ฆ่าทั้งหมู่บ้านเลย น่ากลัวมาก ผมคิดเล่นๆ นะ คนที่คิดถึงพระเจ้าหน้าตาแบบนี้ ก็คือคนที่ในอดีตตอนเด็กๆ มีคนสอนมา ทำดีได้ไปสวรรค์ ทำชั่วตกนรก คิดมาตลอดว่าถ้าไปสวรรค์ทั้งที มันคงจะเจอกฎระเบียบร้ายแรง ไม่ได้คิดถึงแม้แต่นิดเดียวว่าพระเจ้าเป็นความรัก มีพระคุณมหาศาล มีพระเมตตา นี่คือนิสัยจริงๆ ของพระเจ้า  พระลักษณะจริงๆ ของพระเจ้า  ไม่เห็นตรงนี้เลย เห็นพระเจ้าลักษณะแบบคนรับใช้คนสุดท้ายคนนี้ ก็เลยเกิดความกลัว ไม่เสี่ยงดีกว่า เพราะว่ามองไม่เห็นความเมตตา มองไม่เห็นพระลักษณะที่เป็นพระคุณของพระเจ้า เห็นตาต่อตา ฟันต่อฟัน

เพราะฉะนั้น เขากลับไปทำเหมือนเดิมดีกว่า คือทำผิดทำถูกบ้าง อย่างน้อยมีทำดีบ้างล่ะ แต่จะมาบอกว่าพึ่งพระเยซูคนนี้ ไม่ต้องพึ่งการกระทำของตนเอง ไม่กล้า เลยไม่เอาไปลงทุน ซึ่งในความจริงแล้ว เราได้เรียนรู้กันมาตลอดว่าพระเจ้าเป็นพระเจ้าแห่งความรัก พระองค์ทรงรักมนุษย์ทุกคนยิ่งนัก จึงได้ประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ลงมา เกิดบนโลกใบนี้ ตายที่ไม้กางเขน เพื่อมนุษย์จะได้รับชีวิตนิรันดร์ พระบุตรมา ไม่ได้มาเพื่อพิพากษามนุษย์ทั้งโลก แต่มนุษย์ทั้งโลก กำลังถูกพิพากษาอยู่แล้ว เพราะบาปของเขา พระองค์มาเพื่อช่วย เป็นพระผู้ช่วยให้รอด เยซู แปลว่าผู้ช่วยให้รอด ไม่ใช่มาเพื่อตัดสิน เพราะมนุษย์ถูกตัดสินก่อนหน้านี้แล้ว ตั้งแต่เริ่มต้นแล้ว ยังไงเขาก็อยู่นรกอยู่แล้ว แต่พระเยซูมาช่วยให้เขาไปสู่สวรรค์อย่างนี้ ซึ่งทั้งหมดนี้ เป็นความรักของพระเจ้าที่มีต่อมนุษย์ การกระทำทั้งหมดที่พระองค์ทรงกระทำผ่านทางพระเยซู เราเรียกว่าข่าวดีแห่งพระคุณไง พระคุณ คือเราไม่ต้องทำอะไร? พระเจ้าทำให้หมดทุกอย่าง

คนรับใช้คนสุดท้าย ก้าวไม่ถึงตรงนี้ ไม่ได้เชื่อในพระลักษณะของพระเจ้า ไม่ว่าเราจะเข้าใจหรือไม่เข้าใจ เจ้านายเราไม่ได้เป็นคนอย่างนั้น เจ้านายเราเป็นคนมีเมตตา เต็มไปด้วยความรัก ไว้ใจได้

เรามาดูคำอุปมา เรื่องถัดไป ซึ่งมีความหมายใกล้เคียงกัน ต่อๆ กัน มัทธิว 13:31-32 นี่ลักษณะเดียวกันว่าพระเยซูกำลังอุปมาถึงถ้าเราจะลงทุนในลักษณะลงทุนในข่าวดี มันจะเป็นลักษณะอย่างนี้ ถ้าจะลงทุนเกี่ยวกับเรื่องสวรรค์ในแบบข่าวดีของพระเยซู มันจะเป็นลักษณะอย่างนี้

มัทธิว 13:31-32 “31 พระองค์ทรงยกคำอุปมาอีกข้อหนึ่งว่า “อาณาจักรสวรรค์เปรียบเหมือนเมล็ดมัสตาร์ด ซึ่งมีคนเอาไปเพาะในทุ่งของตน 32 แม้เมล็ดนั้นเล็กกว่าเมล็ดทั้งปวง แต่เมื่องอกขึ้น ก็ใหญ่ที่สุดในสวน และกลายเป็นต้น ให้นกในอากาศมาเกาะกิ่ง”

 

พูดถึงเมล็ดมัสตาร์ดบ้านเราไม่ค่อยคุ้นนะ แต่ทางตะวันออกกลางมีปลูกกันเยอะมาก  ทุกคนจะรู้จักเมล็ดมัสตาร์ดว่ามีขนาดเล็กมาก คล้ายๆ เมล็ดงา นิดเดียว แต่เห็นเล็กๆ อย่างนี้ เวลาเอาไปเพาะปลูก เวลามันงอกขึ้นมา มันโตเต็มที่แล้ว มันเต็มทุ่งเลย ใหญ่มาก ให้ผลเยอะมาก อุปมาตรงนี้ พระเยซูกำลังเปรียบกับความเชื่อ ให้เห็นภาพว่าความเชื่อแม้เพียงนิดเดียว เล็กๆ เท่าเมล็ดมัสตาร์ด แต่ถ้าเรายอมลงทุนกับความเชื่อนี้ ลงไปในข่าวดีของพระเยซู ผลที่ได้รับมันยิ่งใหญ่มากมายมหาศาล คือมองไม่เห็นผลที่จะได้รับตอนที่ลงทุนเลย

ยกตัวอย่าง คนหนึ่งเอาไปลงทุนบิตคอยด์ คล้ายๆ แชร์ลูกโซ่ มันได้ผลๆ เราอยู่ที่บ้าน เข้ามาฟังทุกวันๆ ทำไมมันได้ เราเอาเงินจำนวนเดียวกันไปฝากแบงค์ ได้ดอกเบี้ย 1% รัฐบาลประกาศลดดอกเบี้ยอีก ตอนนี้เหลือ 0.75 ตอนนี้ได้น้อยกว่าเดิมอีก แต่เงินเรายังอยู่เหมือนเดิม เมื่อไรมันจะได้ รอไป 15 ปี มันจึงได้อีก 1 เท่า สมมตินะ เอาไปฝากหนึ่งล้าน รอไปอีก 15 ปีได้มาเท่าหนึ่ง … เดี๋ยวนี้ไม่ได้ แต่ก่อนนี้ได้ เอาแต่ก่อนสิ รอไปอีก 15 ปีได้อีก 1 ล้าน รอนานมาก คนที่เล่นแชร์น้ำมัน แป๊บเดียวได้เป็นล้านแล้ว เห็นไหม? แล้วเราอยากลงทุนแบบไหนมากกว่า การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรศึกษาก่อนการลงทุน มิฉะนั้น จะเจ๊ง ไม่ใช่เจ๊งอย่างเดียว แต่ติดคุกอีกต่างหาก คนติดคุกเหล่านี้ เขาไม่ได้ตั้งใจนะ แต่มันไปเรื่อยๆ พอลงทุนไปเรื่อยๆ มันได้ มันล่อเราไปเรื่อยๆ อีกฝั่งหนึ่งที่จริงๆ หลับแล้ว ตื่นแล้ว วันๆ หนึ่ง คอยนั่งแต่ฟังข่าวดีว่าดอกเบี้ยจะลดลงเมื่อไร? แต่เงินมันอยู่จริงๆ มันเป็นการสะสมทรัพย์ แบบถาวร แบบหยั่งยืน การฝากเงินแบงค์ ไม่ได้พูดถึงปัจจุบัน แนะนำให้ไปฝากแบงค์ อันนี้ให้ไปคิดเอง นี่เปรียบเทียบให้เห็นถึงข่าวประเสริฐของพระเยซูว่ามัสตาร์ดคืออะไร? มันเล็กๆ มองไม่เห็น แต่เวลาเก็บเกี่ยวผล มันโอ้โห อาจจะดูเหมือนใช้เวลานานมาก ตั้งแต่เริ่มหว่านเมล็ดเล็กๆ ลงไปจนถึงว่ามันจะออกผล แต่เมื่อถึงวันที่มันเริ่มออกผล มันจะออกผลยิ่งใหญ่ทวีคูณมากมาย  มันก็คือสวรรค์นั่นเอง ก็เหมือนเราลงทุนในความเชื่อ ในข่าวดีตอนนี้ ทุกวันก็เหมือนกัน ไม่เห็นมีอะไรแปลกใหม่เลย ก็เชื่อพระเยซู แต่วันหนึ่งเกิดท่านตายไป ท่านป่วยตาย ถ้าป่วยตาย แสดงว่าอายุยืน  ถ้าไม่ป่วยตาย เกิดอุบัติเหตุตาย ท่านจะโอ้โห คุ้มค่าอ่ะ ชีวิตบนโลกใบนี้มันสั้นเหลือเกิน แค่ 60 ปี 70 ปี 80 ปี ให้ร้อยหนึ่งด้วยกับชีวิตนิรันดร์ มาอยู่กับพระเจ้าในสวรรค์สถาน นั่นแหละ พระเยซูกำลังยกตัวอย่างเมล็ดมัสตาร์ดที่ท่านหว่านลงไป ไม่เห็นอะไรหรอก แต่เมื่อมันโตเต็มไร่แล้ว มันเยอะเก็บเกี่ยวไม่หมดเลย ลักษณะอย่างนั้น

ถ้าผมเปรียบเทียบปลูกเมล็ดมัสตาร์ดขึ้นมา กว่าจะได้ต้นใหญ่ อีกนาน อีกหลายปี คนข้างบ้านเขาปลูกกล้วย  แป๊บเดียว ยังไม่ออกลูกเลย มันขึ้นต้นแล้ว ยังพอเห็นภาพว่ามันออกลูกแน่ แต่เมล็ดมัสตาร์ด ปลูกไปปีหนึ่ง ยังไม่เห็นผลเลย แต่สุดท้ายผลมันเหมือนกัน กล้วยเก็บกินไม่กี่หวี แต่ไม่นาน มันก็ตาย ในสวรรค์มันจะขนาดไหน?

อุปมาเรื่องสุดท้าย เกี่ยวเนื่องกัน ลักษณะเดียวกัน อันนี้ก็ชัดเจน ลงทุนน้อยๆ แต่มันได้เยอะ ไม่ใช่ทางพระเจ้าแน่ ของพระเจ้าต้องใช้ความอดทน ใช้ความเชื่อ วางใจ ไม่ต้องทำอะไร ปล่อยให้มัน โตขึ้นเอง เกี่ยวเนื่องกันในมัทธิว บทที่ 13 ข้อ 33-35 อันนี้ ผู้หญิงรู้จักดี

มัทธิว 13:33-35 “33 แล้วทรงยกคำอุปมาอีกข้อหนึ่งว่า “อาณาจักรสวรรค์เปรียบเหมือนเชื้อขนม ซึ่งผู้หญิงเอาไปผสมในแป้งกองใหญ่ จนแป้งทั้งก้อนฟูขึ้น” 34 ทั้งหมดนี้ พระเยซูตรัสแก่ฝูงชนเป็นคำอุปมา พระองค์ไม่ได้ตรัสสิ่งใดกับพวกเขาเลย นอกจากคำอุปมา 35 ทั้งนี้ เป็นจริงตามที่กล่าวไว้ ผ่านทางผู้เผยพระวจนะว่า “ข้าพเจ้าจะเอื้อนเอ่ยคำอุปมา จะเผยสิ่งที่ซ่อนเร้นไว้ ตั้งแต่ครั้งทรงสร้างโลก”

 

เผยสิ่งที่ทรงซ่อนเร้นไว้ ตั้งแต่ก่อนสร้างโลกว่ามนุษย์ตกลงไปในความบาป พระเจ้าจะประทานพระบุตรมาช่วยมนุษย์อย่างไร? ทุกอย่างเปิดเผยทั้งหมด โดยคำสอนของพระเยซูในอุปมา บอกแล้วไง อุปมาคำสอนของพระเยซูทั้งหมด เกี่ยวกับเรื่องสวรรค์ มนุษย์จะไปสวรรค์ได้อย่างไร? มนุษย์จะได้รับการช่วยเหลืออย่างไร?

เชื้อขนม ก็คือผงฟู หรือเรียกว่ายีสต์ ทับศัพท์ มันเป็นสิ่งมีชีวิตเล็กๆ คล้ายกับเมล็ดมัสตาร์ด คล้ายกันในเชิงยกตัวอย่างเปรียบเทียบ มันเล็กๆ เอง ซึ่งพอผมอ่านตรงนี้ ผมก็ไม่เข้าใจ เพราะไม่เคยทำขนม ไม่เคยรับจ้างไปเป็นคนทำขนมปัง สมัยก่อนอ่านก็ไม่รู้เรื่อง  แต่รู้ว่ามันมีอะไรประมาณนี้  ตอนนี้เห็นชัดเลย  ไปเปิดดูเองก็ได้ เขาเรียกว่าโดรน คือก้อนแป้ง แล้วเขาก็ใส่ยีสต์ลงไปนิดหนึ่ง เสร็จแล้ว สุดท้าย จบ ก็คือมันพองขึ้นมาเต็มไปหมด เขาใส่ยีสต์เพียงช้อนเดียว ลงไปในก้อนแป้ง พอพักไว้ 1-2 ชั่วโมง มันพองขึ้นมาเป็นก้อนเบ่อเริ่ม ใหญ่โตเลย

พระเยซูกำลังยกตัวอย่าง มันเล็กๆ ด้วย แต่เพิ่มเติมจากมัสตาร์ด มันเล็กๆ แล้วมันทำงานจากข้างในออกมาข้างนอก เหมือนคนที่เขาฟังข่าวดี เขาลงทุนชีวิตเขาไป ใช้ความเชื่อเล็กๆ ลงไปในโลกวิญญาณ  แล้วมันก็เกิดพอกออกมา เป็นวิญญาณ เจริญเติบโตขึ้นเรื่อยๆ แล้วครอบครองอาณาจักรสวรรค์ร่วมกับพระเยซูคริสต์ คือนั่งอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้าในสวรรค์สถานเลยทีเดียว ใหญ่ไหมล่ะ  ไม่ใช่จากข้างนอกเข้าไปข้างใน อย่างที่ผมบอกเสมอ มันต้องจากข้างในไปข้างนอก เพราะมนุษย์บาป และเป็นคนชั่วทั้งโลก พระเยซูบอกว่าเขาชั่วที่วิญญาณของเขา ข้างในเขา พระเยซูบอกว่าเหมือนหลุมศพฉาบปูนขาว ข้างนอกเราจะทำดีอย่างไร  มันก็แค่ฉาบปูนขาว แต่ข้างในมันคือหลุดศพ ข้างในมันตายอยู่ เต็มไปด้วยความบาป จากบรรพบุรุษ เกิดมาก็บาปแล้ว

นี่พระคัมภีร์ล้วนๆ มันตายข้างในแล้ว ฉะนั้น การแก้ มันต้องแก้ที่ข้างใน  เข้าไปแก้ตรงหลุมศพนั่นให้มันมีชีวิตขึ้นมา พระเยซูประทานชีวิตให้  พระเจ้าชุบเราให้เป็นขึ้นมาใหม่ พร้อมกับพระเยซู ชุบที่วิญญาณของเราเกิดใหม่ นั่นแหละคือสวรรค์ บังเกิดใหม่ เข้าไปอยู่ในอาณาจักรสวรรค์ ที่ข้างใน มันเริ่มจากความเชื่อเล็กๆ ที่เราหว่านลงไป ในข่าวดีของพระเยซูที่ประกาศเรื่องสวรรค์ ตอนที่พระองค์เดินอยู่บนโลกใบนี้ และบันทึกเอาไว้ ไม่กี่หน้า สอนแค่ 3 ปีเอง ถ้าพระองค์มาสอนเรื่องเกี่ยวกับศีลธรรม ความดีงาม สอนทั้งชีวิตก็ไม่จบหรอก แต่พระองค์ไม่ได้มาสอนตรงนั้น พระองค์มาสอนวิธีการเปลี่ยนข้างใน จากชั่วเป็นดี เปลี่ยนข้างใน จากหลุมศพ เป็นชีวิต เปลี่ยนข้างในจากความมืด มาเป็นความสว่าง เปลี่ยนข้างในจากลูกมาร มาเป็นลูกพระเจ้า พระเยซูสอนอยู่แค่นี้เอง ไม่ได้สอนอะไรเลย แต่ถ้าเราลงทุนกับพระเยซู มันก็มีแค่นี้ให้เรียน แต่ถ้าเราบอกเราจะเรียนเอง เราจะทำเอง เราจะมีเรื่องเรียนอีกเยอะมากเลย นี่ผมไม่ได้ต่อต้านนะ ผมก็เรียนมาเยอะเหมือนกัน เราต้องไปเรียนในโรงเรียนพระคัมภีร์ เราต้องอ่านพระคัมภีร์ เราต้องอย่างโน้นอย่างนี้ เพื่อจะศึกษา ต้องทำอันนี้ ต้องทำอันนั้น ต้องรับใช้พระเจ้าเยอะๆ อีก แต่มันไม่ใช่  … ไม่ใช่ว่าไม่ดีนะ แต่มันไม่ใช่ที่ดีที่สุด ที่ดีที่สุด คือง่ายๆ ลงทุนความเชื่อนิดเดียว แต่ก็บอกยากมากที่จะตัดสินใจ เพราะฉะนั้น ควรไปศึกษาก่อนการลงทุน เพราะการลงทุนมีความเสี่ยง

เพราะฉะนั้น สรุปในสิ่งที่เราเรียนทั้ง 3 อุปมานี้ และอุปมาอื่นๆ ที่เราเรียนกันมา 14 ตอนนี้ เป็นเรื่องเกี่ยวกับสวรรค์ … สวรรค์กำลังมา พระเยซูพูดอยู่นี้ ตั้งแต่ยังไม่ถูกตรึงกางเขน สวรรค์ยังไม่มา ตอนสวรรค์มา คือตอนที่พระเยซูอยู่บนไม้กางเขน ถูกตรึง และสิ้นพระชนม์ และวันที่สามเป็นขึ้นมาใหม่ นั่นแหละ สถาปนาสวรรค์เรียบร้อยไปแล้ว แต่ก่อนหน้านี้ ตอนพูดอยู่นี้ สวรรค์กำลังจะมาตั้งอยู่ เลยบอกไว้ก่อน ถ้ามาเมื่อไร ท่านจะลงทุนไหม? อุปมาเป็นเรื่องเหล่านี้ทั้งหมด อุปมาวันนี้ ประเด็นที่น่าสนใจ ก็คือ …

(1) การลงทุนกับข่าวดีของพระเยซู ตอนเริ่มต้น มันจะเล็กๆ แต่ท้ายๆ มันจะใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ เป็นผลมากขึ้นเรื่อยๆ

(2) มันจะเกิดผล ไม่ใช่จากข้างนอก มันจะเกิดผลจากข้างในเรา ในร่างกายเรา เห็นชัดๆ คือในวิญญาณเรา เป็นเรื่องเกี่ยวกับโลกวิญญาณทั้งสิ้น

อ่านพระคัมภีร์ พยายามเน้นให้ฟังโดยใช้หูทางฝ่ายวิญญาณฟัง เหมือนที่พระเยซูบอกใครมีหูจงฟังเถิด หมายถึงมีหูทางฝ่ายวิญญาณ ใครมีตาจงดูเถิด หมายถึงตาทางฝ่ายวิญญาณ อ่านให้รู้ว่าเป็นเรื่องเกี่ยวกับโลกวิญญาณทั้งสิ้น เพราะมันทำงานจากข้างในออกมาข้างนอก เริ่มต้นเล็กๆ แต่สุดท้ายมันใหญ่เกินกว่าที่เราสามารถรับได้ เราต้องบอกว่าโอ้โห บางคนบอกโอ้โหตั้งแต่ยังอยู่ในร่างกายนี้อยู่เลย พูดง่ายๆ ตั้งแต่ยังไม่ตาย คนที่เชื่อพระเจ้ามาหลายๆ ปี 30, 40 ปี แม้ว่าเขาจะอยู่บนโลกใบนี้ ดูเหมือนว่ากระท่อนกระแท่น ตามสายตาของคนอื่น ไม่ได้รวยเหมือนคนอื่น แต่เกือบทุกคนถามว่าเชื่อพระเยซูเป็นไง เขาจะบอกมันมีความสุขจริงๆ เลย โอ้โห บางคนโอ้โหก่อนที่จะจากโลกนี้ไป แล้วถามเผื่อคนนั้น วิญญาณที่สะอาดหมดจด บริสุทธิ์เหมือนพระเยซู ออกจากร่างไปปุ๊บ เขาก็ไปอยู่ที่เดิม เขาอยู่ในวิญญาณอยู่แล้ว เพียงแต่เขาไม่ติดขัดอยู่กับเนื้อหนังบนโลกใบนี้  เพราะเนื้อหนังบนโลกใบนี้ มันหยุดทำงาน ไปรอรับร่างกายใหม่ ร่างกายที่เต็มไปด้วยพระสิริของพระเจ้า จากพระเจ้าในสวรรค์สถาน พระคัมภีร์บอกเขาจะเห็นพระเจ้าหน้าต่อหน้า ตาต่อตา เห็นจริงๆ เลย ไม่มีการลางๆ อีกแล้ว ท่านจะตะโกนว่าอย่างไร?  ถ้าตอนที่มีชีวิตอยู่ ท่านบอกเชื่อพระเยซู มีความสุขที่สุดแล้ว ดีแล้ว ถึงวันนั้น ถ้าออกไปแล้วเห็นอย่างนี้ ท่านจะคิดว่าอย่างไร? ท่านจะบอกว่าอย่างไร?

บางทีเจอความทุกข์บนโลกใบนี้ มันเรื่องธรรมดา เรื่องการเจ็บไข้ได้ป่วย เรื่องการกินการอยู่ พระเจ้าก็พาเราไปทีละวันๆ หลายเรื่องเราไม่เข้าใจว่าทำไมต้องทุกข์ พระคัมภีร์บอกเราว่าโลกใบนี้ มันเสียหายไปแล้ว เนื่องจากบาป มันเละไปแล้ว รอจนกว่าพระเจ้าจะฟื้นฟูโลกใบนี้ใหม่ แล้วให้เรากลับมาครอบครอง ซึ่งครอบครองด้วยร่างกายใหม่ ร่างกายที่ไม่ได้อยู่ใต้อำนาจของบาป ไม่ได้อยู่ใต้อิทธิพลของกิเลสตัณหาของเนื้อหนังอีกต่อไป ไม่มีโรคภัยไข้เจ็บอีกต่อไป ไม่มีน้ำตาอีกต่อไป ไม่มีความทุกข์ยากอีกต่อไป  ไม่มีใครมาทวงหนี้อีกต่อไป ไม่ต้องไปฝากเงินแบงค์อีกต่อไป ไม่ต้องขอเงินแม่อีกต่อไป แล้วยังอีกหลายๆ อย่าง ที่อยู่กับพระเจ้าหน้าต่อหน้า แม้กระทั่งพื้นยังเป็นทองเลย สมัยก่อนเขาไม่รู้จะยกว่าอย่างไร? ก็เลยบอกขนาดพื้นบ้านในสวรรค์ของเรายังเป็นทองเลย ท่านลองคิดดู แค่กรวดหน้าบ้านก้อนนิดหนึ่ง ยังใหญ่เลย ไม่รู้กี่บาท ท่านจะร้องว่าอย่างไร?

เพราะฉะนั้น บางทีเจอความทุกข์ยากลำบากบนโลกใบนี้ จงมองให้เห็น มองข้ามไปตรงโลกวิญญาณ ความเชื่อนี้มันอยู่ที่เกิดขึ้นจากข้างในวิญญาณออกมา ไม่ใช่จากข้างนอกเข้าไป อย่าไปมองหาจากข้างนอก มันไม่มีหรอก ข้างนอกถูกหลอกทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไรก็ตาม  ไม่ว่าบางครั้งถูกหลอกโดนการแอบอ้างชื่อพระเจ้าด้วย อย่าไปเชื่อ ต้องจากข้างในออกมา ไม่ใช่ มาเชื่อพระเจ้าแล้วจะร่ำรวย จะแข็งแรง จะประสบความสำเร็จบนโลกใบนี้ทุกอย่าง อย่าไปเชื่อๆ ไม่มีจริง ถ้ามีจริงอย่างนั้น โลกใบนี้มันก็ไม่ได้เสียหายสิ แล้วถ้ามีจริงอย่างนั้น พวกท่านไม่มีโอกาสได้นั่งที่นี่นะ  เพราะท่านต้องเข้าคิวอยู่โน้น อยู่ปากทาง เพราะคนแห่กันมาหมด ผมต้องบอก …

“ให้คนใหม่เข้ามาก่อน คุณเคยมาแล้ว เขาอยากรวย ให้เขามา เขาอยากแข็งแรงเข้ามา”

อย่าไปถูกหลอก เขาบอกแล้วว่าการลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรศึกษาก่อนลงทุน มิฉะนั้นจะเสียใจ  นี่มันเรื่องจริง เราไม่เข้าใจ บางที ก็ไม่อยากได้ อยากได้จริงๆ แต่มันไม่ใช่ แล้วจะถูกเขาหลอกทำไมต่อไป ก็อยากได้ มันเป๊ะเลยนะ ที่พูดมา

เราต้องฝึกไว้ว่าไม่มองสิ่งที่มองเห็นได้ ไม่มองสิ่งที่จับต้องมองเห็นได้ ในโลกใบนี้ มองไปทางฝ่ายวิญญาณ  เพราะว่าเรื่องผลที่เกิดขึ้นต่างๆ ในโลกวิญญาณนั้น มันเกิดขึ้นจากข้างใน ในวิญญาณของเราออกมา ซึ่งวิญญาณของเราอยู่ในสวรรค์แล้วกับพระเจ้า

สรุปแล้ว คือตอนนี้ถ้าเรามาเชื่อพระเจ้า ลงทุนกับพระเยซูแล้ว อะไรเกิดขึ้นในโลกวิญญาณ วิญญาณของเราข้างในเกิดใหม่ เป็นวิญญาณที่เหมือนพระเยซู สะอาดหมดจดบริสุทธิ์ ศักดิ์สิทธิ์ ไม่มีบาปแม้แต่นิดเดียว วิญญาณเราพร้อมกับความคิดจิตใจของวิญญาณ เป็นตัวจริงของเรา ซึ่งจะอยู่ตลอดไป อยู่ที่ไหน? อยู่ที่นี่แหละ อยู่เหมือนเดิม เพราะขณะที่พระคัมภีร์พูดตอนนี้ เราเชื่อในพระเจ้า วิญญาณได้ถูกย้ายออกจากอาณาจักรของความมืด ที่เป็นทาสของมาร เข้าไปอยู่ในอาณาจักรแห่งแสงสว่างของพระบุตร คือย้ายเราเข้ามาสู่อาณาจักรวิญญาณที่เป็นสวรรค์ ชีวิตเราถูกซ่อนอยู่ในพระคริสต์ ร่วมกับพระเจ้า พระเจ้าพระบิดา  พระเยซู พระวิญญาณบริสุทธิ์เข้ามาสถิตอยู่กับเรา เป็นหนึ่งเดียวกัน ในโลกวิญญาณมันเป็นเช่นนี้ ความคิด จิตใจ เราถูกชำระล้างด้วยพระโลหิตของพระเยซู สะอาดหมดจด ไม่มีโทษใดๆ ติดเลยแม้แต่นิดเดียว และเรายังอยู่ในร่างกายเดิมนี้ ยังหายใจได้ ตามองเห็นได้ เพื่อพระเจ้าจะได้ใช้เราต่อไปในการไปประกาศข่าวประเสริฐ โดยที่ท่านไม่ต้องพยายาม เดี๋ยวพระเจ้าพาไปเอง ตามทางของพระองค์ ตามวิถีการของพระองค์ จะประกาศด้วยคำพูด หรือการกระทำ หรือทำอะไรไม่รู้ เดี๋ยวพระเจ้าจัดการท่านเอง ให้พระองค์นำไป อย่าพยายามไปนำพระเจ้า อย่าไปคิดจะทำอันโน้นอันนี้ เดี๋ยวถึงเวลา พระเจ้าจะพาท่านไปเอง แล้วพอทำจนกระทั่งท่านเสร็จงาน พระองค์ก็นำท่านกลับบ้าน จะนำท่านกลับบ้าน จากการเป็นมะเร็ง จะนำท่านกลับบ้าน จากการเป็นโรคอะไร หรือไม่เป็นโรคเลย หรือเป็นอุบัติเหตุ ไม่รู้ ไม่มีสิทธิ์รู้ เพราะว่ามันเป็นเรื่องของโลก ที่ตามองเห็น ไม่ใช่เรื่องเกี่ยวกับโลกวิญญาณ เราไม่สนใจ เพราะเรารู้ว่าโลกที่ตามองเห็นนี้ มันวิปริต มันเสียหาย มันอยู่ใต้อำนาจของมาร ซึ่งสามารถจะบิดอะไรต่างๆ แล้วมันหลอกเราได้ ถ้าเราขืนไปมองตรงนั้น มันจะถูกหลอกไปเรื่อยๆ เพราะฉะนั้น หลอกเราไม่ได้ เมื่อเราไม่มอง ไม่สนใจ เอเมน

นี่คือความจริง เพราะฉะนั้น วันนี้เราได้ตรงนี้ไปแล้ว เราก็จะไม่เหมือนทาสคนสุดท้าย ที่ไม่รู้จักเจ้านายของเขา เราก็จะเหมือนคนบนโลกใบนี้ ที่รู้จักพระเจ้า เพราะตอนนี้เรารู้แล้วว่าพระเจ้ามีพระลักษณะอย่างไร? ไม่ได้โหดร้าย ไม่ได้น่ากลัวอย่างนั้น แต่พระเจ้าเป็นความอ่อนน้อม เป็นความนุ่มนวล เป็นความดีงาม ตลอดเวลา 100% ไม่มีสีดำเลย พระเจ้าไม่ได้เป็นคนขี้โกรธ ไม่ได้เป็นคนขี้อาฆาตใคร พระเจ้าเป็นความรักจริงๆ แล้วพระองค์ใส่ความรักของพระองค์เข้ามาในเรา ทำให้เรารักคนอื่นได้ ทำให้เรารักพระเจ้าได้ ไม่ใช่เราพยายามที่จะรัก แต่พระเจ้าใส่ความรักเข้ามาในวิญญาณเรา แล้วเราก็กลายเป็นวิญญาณแห่งความรัก แม้ข้างนอกเราจะชินกับความโกรธ เกลียด อิจฉา ริษยา แต่ No อันนั้น วันหนึ่งมันต้องตายไป แต่วิญญาณเราที่เกิดใหม่ทุกวันๆ เป็นวิญญาณที่มาจากพระเจ้า เป็นวิญญาณแห่งความรัก ซึ่งมีลักษณะ คืออดทนนาน กระทำคุณให้ ไม่อิจฉา ไม่อวดตัว ไม่หยิ่งผยอง ไม่อะไรต่างๆ เยอะแยะ เอเมน มาหว่านตรงนี้กันดีกว่า นี่คือพระคุณของพระเจ้า พระเจ้าคือพระคุณ ข่าวดีของพระองค์ คือพระคุณ  ขอพระเจ้าอวยพรครับ

 

 

**************************

 

 

 

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 3 มีนาคม 2019 เรื่อง “อุปมาคำสอนของพระเยซู” ตอน 13 “บุตรน้อยหลงหาย” ตอน 2 โดย นคร เวชสุภาพร

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  3  มีนาคม  2019

 เรื่อง “อุปมาคำสอนของพระเยซู”

ตอน 13 “บุตรน้อยหลงหาย” ตอน 2

โดย นคร  เวชสุภาพร

            อุปมาคำสอนของพระเยซู ทั้งหมดในพระคัมภีร์ ไม่ได้เกี่ยวกับคำสอนแบบจริยธรรมบนโลกใบนี้ว่าต้องทำอย่างไร? แต่พูดเล็งไปถึงเรื่องเกี่ยวกับสวรรค์ว่าสวรรค์มาถึงแล้ว ก่อนหน้าพระเยซูมาโลกนี้ เป็นตรงกันข้ามกับสวรรค์ ก็คือนรก นรกก็คู่กันกับความมืด พอพระเยซูมา พระเยซูบอก พระองค์นำสวรรค์มา พระองค์เป็นความสว่าง มาแล้ว หลังจากนั้น พระองค์ก็เริ่มประกาศว่าสวรรค์ หรือความสว่าง เป็นอย่างไร? อาณาจักรของความสว่าง หรือสวรรค์ของพระเจ้า เป็นอะไรอย่างไร? พระองค์ก็สอนเป็นอุปมา

“อุปมา” แปลว่ายกเรื่องราวขึ้นมา เจออะไรก็เรียกอุปมา เจออะไรก็พูดเป็นอุปมา เห็นเสาไฟ ก็เอาเสาไฟเป็นหลัก มีสายไฟฟ้าวิ่ง สมมตินะ ผมขับรถผ่าน ผมก็ชี้ไปให้พวกเราดู เห็นเสาไฟไหม? นี่คือสายไฟฟ้าแรงสูง เรามองไม่เห็น ถ้าเราเชื่อ ในนั้นมันมีจริงๆ มีพลัง มีกำลังอยู่ ถ้าใครเอามือไปจับ มันดูดตายเลย มันมีพลังแรง ถ้าคนรู้วิธีการ คือรู้จักเอาพลังนั้นมาใช้ประโยชน์ โดยการแตะต้องไม่ให้มันดูด ยกตัวอย่างเช่น มีชนวน มียางหุ้มอยู่ แล้วไปจับ มันแตะต้องได้ อะไรประมาณนี้ ผมกำลังพูดเรื่องเกี่ยวกับไฟฟ้า โดยใช้อุปมาเป็นเครื่องมือในการสอน ให้คนเข้าใจ ถึงเรื่องเกี่ยวกับไฟฟ้า อะไรต่างๆ ที่มองไม่เห็น นึกออกใช่ไหม?

ที่พระเยซูพูดอุปมาทั้งหมด ก็อย่างนี้แหละ เดินไปเจอทุ่งนา ที่กำลังหว่านข้าว เก็บเกี่ยวข้าวอยู่ พระองค์มองปุ๊บ พระองค์บอก …

“สวรรค์เป็นเหมือนทุ่งนานี่แหละ เขากำลังหว่านเมล็ด  เมล็ดเหมือนถ้อยคำพระเจ้าที่มาถึงเรา”

พอพระองค์เดินไปเจอต้นองุ่น เขาปลูกองุ่น ไร่นา กับสวนไม่เหมือนกันนะ ตะกี้เป็นนา อันนี้ เดินผ่านมา ที่นี่เป็นสวนองุ่น พระองค์ก็บอกว่า …

“สวรรค์เปรียบเหมือนสวนองุ่นนี่แหละ พระเจ้าเป็นเจ้าของสวนองุ่น และเรา (พระเยซู) เปรียบเหมือนเถาองุ่น พวกท่านเปรียบเหมือนแขนงขององุ่น ต้องมาต่อกับเราถึงจะออกผลได้”

อย่างนี้เรียกว่าอุปมา เดินไปเจอเปโตร ชาวประมง ก็ต้องจับปลา พระองค์ก็อุปมา บอกว่าเราจะเรียกให้ท่านไปจับคน ท่านเคยจับปลา ต่อไปนี้จะไปจับคนแล้ว อะไรประมาณนั้น ยกตัวอย่างให้ท่านฟัง ท่านจะได้เข้าใจว่าอุปมาคืออะไร?

เพราะฉะนั้น คำอุปมาของพระเยซูยกตัวอย่างทั้งหมดนั้น เพื่อเล็งไปถึงเรื่องเกี่ยวกับไปสวรรค์ เป็นอย่างไร? ซึ่งเราเรียนรู้กันไปบ้างแล้วว่าถ้าไปสวรรค์มันต้องบังเกิดใหม่ บังเกิดใหม่เป็นอย่างไร? ก็ยกตัวอย่างอุปมาพระเยซูขึ้นมา ต่อไปนี้ท่านสามารถตอบได้เลย เปิดพระคัมภีร์ปุ๊บอ่านเจอ พระเยซูยกอุปมา เรื่องนี้ไม่เข้าใจ แปลว่าอะไร? แต่รู้ทันทีว่ามันเรื่องเกี่ยวกับสวรรค์คืออะไร? จะไปสวรรค์ทำอย่างไร? มันก็ไม่ต่างอะไรกับเรื่องที่เราเรียนมาแล้ว เรื่องเกี่ยวกับหว่านเมล็ด เรื่องเกี่ยวกับถุงหนังเก่า ถุงหนังใหม่ เรื่องเกี่ยวกับเหล้าเก่า เหล้าใหม่ เรื่องนี้ยังไม่เข้าใจ วันอาทิตย์นี้ไปเรียนดีกว่า แต่รู้แล้วล่ะว่าคำตอบคืออะไร? จะได้ไม่ไขว้เขว

อุปมาคำสอนของพระเยซู การบรรยายในวันนี้ มันจะต่อเนื่องกับครั้งที่แล้ว เป็นอุปมาคำสอนของพระเยซูเกี่ยวกับเรื่องของหาย และได้คืน ก็คือหายไปแล้ว ค้นพบ เจอ ซึ่งพระเยซูกำลังเปรียบเทียบ ให้เราเห็นภาพของมีค่าสำหรับเราหายไป ก็เปรียบได้กับลูกๆ ของพระเจ้า ที่มีค่าในสายพระเนตรของพระเจ้า เป็นแก้วตาดวงใจของพระเจ้า ความบาป ทำให้เขาหลงหายไป จากพระเจ้า พระเยซูบอกตรงนี้ ยิ่งของที่หายไปมันมีค่ามากเท่าไร? ตอนที่เราทำหายไป หรือมีเหตุที่ทำให้ของมันศูนย์เสียไป เราก็รู้สึกเสียใจ เสียดายมากเท่านั้น และจะพยายามค้นหา ทำให้มันกลับคืนมาให้ได้ และเวลาที่เราค้นหาเจอ เราก็จะดีใจมากมาย ที่ได้ของนั้นกลับคืนมา เราจะรู้สึกตื่นเต้นดีใจขนาดไหน ก็ขึ้นอยู่กับความรู้สึกของเรา ที่ให้คุณค่ากับของที่หายไปมากเท่าไร?  และความรู้สึกของพระเจ้า ก็เช่นเดียวกัน

พระเยซูกำลังให้เราเห็นความรักของพระเจ้า ความรู้สึกส่วนลึกของพระเจ้า เมื่อลูกๆ มนุษย์ทุกคนของพระองค์ได้หายไปในความบาป พระองค์ไม่เคยลดละความพยายามที่จะออกตามหา และเมื่อพบแล้ว แม้เพียงคนเดียวก็ตาม ก็จะดีใจมาก สั่งให้จัดงานเลี้ยงในสวรรค์ทันที นี่คืออุปมาที่เรียนรู้ไปแล้ว

ในสัปดาห์ที่แล้ว เราค้างไว้ที่เรื่องบุตรน้อยหลงหาย เรื่องของเด็กหนุ่มคนหนึ่ง เป็นลูกชายเศรษฐี พ่อมีทรัพย์สมบัติไร่นามากมาย แต่เด็กหนุ่มคนนี้ ก็ลุกขึ้นมาเรียกร้องขอแบ่งมรดกจากพ่อ อยากเป็นอิสระจากพ่อ อยากอยู่ด้วยตนเอง พึ่งตนเอง แต่ในที่สุด ก็ไปไม่รอด เอาทรัพย์สินเงินทองที่พ่อแบ่งให้ไปผลาญจนหมด จนต้องไปทำงานเป็นลูกจ้างเลี้ยงหมู ซึ่งถือว่าเป็นอาชีพที่ต่ำมาก ที่สุดๆ ของคนยิวในสมัยนั้น  ชีวิตของเด็กหนุ่มคนนี้ ตกต่ำมาก ถึงขนาดแย่งอาหารหมูกิน หมูน่ารังเกียจไม่พอ ไม่เข้าใกล้ ไม่แตะต้อง นี่ยังไปกินข้าวของหมูแทน ก็แสดงว่าสุดๆ ของเขาแล้ว สุดท้าย เขาก็สำนึกได้ เพราะมันสุดๆ แล้ว ไปไม่รอด พึ่งตัวเองก็ไม่ไหวแล้ว เลยนึกถึงว่ากลับไปหาพ่อเราดีกว่า แต่ก็ไม่กล้ากลับไป เพราะอาย รู้สึกว่าเราทำอะไรผิดมากมาย เยอะแยะเหลือเกิน พ่อจะอภัยให้กับเราหรือ? ก่อนจะกลับไปหาพ่อ เด็กหนุ่มคนนี้ ก็เตรียมตัว รู้ตัวเองว่าทำบาปมากมาย ชดใช้ไม่รู้กี่อะสงค์ไขถึงจะหมดสักที เกิดมาทำไมบาปมันมากขนาดนี้ เมื่อไรจะชดใช้หมดสักที จะกลับไปหาพระเจ้า ก็โอ้โห ชดใช้เราหมดเหรอ เยอะแยะเหลือเกิน ก็เลยเตรียมตัวเตรียมใจว่าฉันจะพูดอย่างไรดี ครั้งที่แล้ว เราได้อ่านกัน ได้บันทึกในพระคัมภีร์บอกว่า …

“บิดาเจ้าข้า พ่อจ๋า ลูกทำบาปต่อสวรรค์ และต่อท่านด้วย ลูกไม่คู่ควรจะได้ชื่อว่าเป็นบุตรของท่านอีกต่อไป ให้ข้าพเจ้าเป็นเหมือนลูกจ้างคนหนึ่งของท่านเถิด”

นึกถึงความบาปของตัวเอง แต่ปรากฏว่าพอถึงวันที่กลับบ้านจริงๆ ไม่มีโอกาสได้พูดตาม สคลิป เพราะพ่อยืนอยู่หน้าบ้าน มองมาเห็นลูกชายแต่ไกล ตื่นเต้น  ดีใจ ไม่ฟังอะไรทั้งนั้น ตะโกนลั่นบ้านด้วยความดีใจ ให้คนรับใช้ว่า …

“เร็วๆ ลูกของเรากลับมาแล้ว ไปเอาเสื้อคลุม ไปเอาแหวนมา ไปเอารองเท้ามา แล้วก็เลือกลูกวัวที่อ้วนที่สุด (หมายถึงความสมบูรณ์ที่สุด) มาฆ่าเตรียมไว้เลย  เราจะจัดงานเลี้ยงฉลอง ต้อนรับลูกของเรา”

และเหตุที่ทำให้เศรษฐีคนนี้ จัดงานลี้ยงฉลองใหญ่โต ในนั้นบันทึกไว้ว่า “เพราะลูกชายคนนี้ของเราได้ตายไปแล้ว แล้วได้กลับคืนมาใหม่ ได้หายไปแล้ว และได้พบกันอีก” ดีใจมาก

พระเยซูกำลังบอกว่าสวรรค์เป็นอย่างนี้ เด็กหนุ่มคนนี้ ก็คือชีวิตของเรา ก่อนที่จะมาเชื่อพระเจ้า เชื่อในข่าวดีของพระเจ้า  พระเจ้าผู้เป็นพ่อของเรา ก็เคยรอคอยเรากลับมาแบบนี้ รอคอยเรากลับมา เชื่อในข่าวดีของพระเจ้าอย่างนี้แหละ รอที่จะให้เรากลับบ้าน ไม่ว่าเราจะเคยทำผิดมากมายขนาดไหนก็ตาม ทันทีที่เรากลับใจใหม่ มาใช้สิทธิของเราในพระเยซู กลับมาหาพระเจ้า ทุกอย่างก็จบบริบูรณ์ เพราะความผิดบาป ถูกลบล้างหมดแล้ว เราได้มีสิทธิในการที่จะเป็นลูกของพระเจ้า กลับคืนมาเรียบร้อยไปแล้ว ตั้งแต่เรายังไม่เกิด พระเยซูทำให้กับเราเรียบร้อยไปแล้ว เมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว ที่ไม้กางเขน โดยการสิ้นพระชนม์ของพระองค์ และเป็นขึ้นใหม่ในวันที่สาม ถ้าเราใช้สิทธิของเรา ในสิ่งที่พระเยซูทำให้กับเรา พระเจ้าก็ดีใจมากมายมหาศาลเลย แล้วก็จะเริ่มจัดงานเลี้ยงใหญ่โตให้กับเรา นี่คืออุปมาที่เราได้เรียนครั้งที่แล้ว

ซึ่งอย่างนี้เป็นอุปมาที่น่าจะจบแบบแฮปปี้เอ็นดิ้งนะ แต่มันไม่ใช่อย่างนั้น เพราะเรื่องมันยังไม่จบ ยังมีต่อไป เพราะเด็กหนุ่มคนนี้ ยังมีพี่ชายที่อยู่กับพ่อมาตลอด ไม่เคยจากไปไหนเลย มาดูกันว่าเมื่อน้องชายทำตัวแบบนี้ สำมะเรเทเมาแบบนี้ กลับมาแบบนี้ คนเป็นพี่ชายเขาคิดอย่างไร? เขามีความรู้สึกอย่างไร? ในลูกา 15:25 เป็นต้นไป

ลูกา 15:25-30 “25 ฝ่ายบุตรคนโตอยู่ที่ทุ่งนา  เมื่อกลับมาใกล้ถึงบ้าน  เขาได้ยินเสียงดนตรีและเสียงเต้นรำ 26 ดังนั้น เขาจึงเรียกคนรับใช้คนหนึ่ง มาถามว่ามีอะไร 27 คนรับใช้ตอบว่า ‘น้องชายของท่านกลับมาแล้ว บิดาของท่าน  จึงให้ฆ่าลูกวัวขุน  เพราะท่านได้เขากลับมาโดยสวัสดิภาพ’ 28 “บุตรคนโตก็โกรธ และไม่ยอมเข้าบ้าน  บิดาจึงออกมาขอร้องเขา 29 แต่เขาตอบบิดาว่า ‘ดูเถิด! หลายปีมานี้ ข้าพเจ้าตรากตรำรับใช้ท่าน  และไม่เคยขัดคำสั่งของท่านเลย  แต่ลูกแพะสักตัว ท่านก็ยังไม่เคยยกให้ข้าพเจ้า  เพื่อเลี้ยงฉลองกับเพื่อนๆ 30 แต่เมื่อลูกคนนี้ของท่านกลับมาบ้าน  ทั้งๆ ที่ได้ผลาญสมบัติของท่าน  หมดไปกับหญิงโสเภณี ท่านยังฆ่าลูกวัวขุนให้เขา’”

 

อาการแบบนี้ เรียกว่าน้อยใจใช่ไหม? ทั้งน้อยใจและอิจฉา น้องชายออกจากบ้าน ไปใช้ชีวิตฟุ่มเฟือย ผลาญเงินพ่อจนหมด พอกลับมาถึงบ้าน พ่อกลับเลี้ยงต้อนรับใหญ่โต ไม่ว่าอะไรสักคำ ทีตัวเราเองอยู่กับพ่อมาตลอด คอยดูแลรับใช้ทุกอย่าง พ่อยังไม่เคยจัดงานเลี้ยงให้เลย มันน่าน้อยใจจริงๆ ความน้อยใจก็มาจากความอิจฉา ไม่มีใครหรอกน้อยใจเฉยๆ เล่นๆ มันน้อยใจ เพราะว่าอิจฉาเขา ทุกคนมีโอกาสหนึ่ง จะรับหรือไม่รับ มากหรือน้อยก็ตาม แต่ทุกคนมี แต่ให้รู้ว่าขณะน้อยใจ แปลว่าเรากำลังอิจฉาเขา คิดหนัก โทษแต่ตัวเราเอง

ถ้าเราย้อนกลับไปดูช่วงเวลาที่พระเยซูกำลังสอนอุปมานี้ “พวกฟาริสี” คือชาวยิวที่เคร่งศาสนา พวกนี้ ก็เปรียบเหมือนพี่ชายคนโต ที่พระเยซูกำลังพูดถึงในเรื่องนี้ ที่ถือตัวว่าอยู่ใกล้ชิดพระเจ้า เคร่งศาสนา รักษาบทบัญญัติได้ครบถ้วนบริบูรณ์ ที่สุดเท่าที่ทำได้ แล้วมักชอบดูหมิ่นคนเก็บภาษี เพราะเป็นคนยิวที่ไม่เคร่งศาสนา เป็นพวกที่บาปหนากว่า บาปมากกว่า และทุกครั้งที่เห็นพระเยซูไปเอาใจใส่คนเก็บภาษี หรือคนบาปมากกว่าเหล่านี้ พวกฟาริสีก็จะเกิดอาการแบบพี่ชายคนโต คือเข้ามาต่อว่าพระเยซูทั้งทางตรงและทางอ้อม นินทาว่าร้ายพระองค์ว่าไปยุ่งกับคนบาปเหล่านี้ทำไม? ทำไมไม่เอาเวลามาใส่ใจพวกเรา ซึ่งดีกว่าตั้งเยอะ พูดง่ายๆ ก็คือกำลังน้อยใจ เพราะว่าอิจฉา

ในยุคนั้น คือพวกฟาริสี เป็นเหมือนพี่ชาย ท่านว่าถ้าเป็นคริสเตียนในยุคปัจจุบัน ไม่ได้เกี่ยวกับชาวยิว ในอดีต ในปัจจุบัน ท่านคิดว่าใครคือพี่ชายคนโต?  ใครที่เชื่อพระเจ้ามานานแล้ว อยู่ใกล้ชิดพระเจ้ามาตลอด ก็เปรียบเหมือนเป็นพี่ชายคนโตในเรื่องนี้ ก็เหมือนแกะ 99 ตัวที่อยู่ในคอก ที่พระเจ้าละไว้ แล้วก็รีบไปสนใจ หาแกะ 1 ตัวที่หาย พี่ชายคนโต ก็เหมือนกับเหรียญที่มีค่าสำหรับเหรียญทอง เหรียญเงิน 9 เหรียญ ที่พระเจ้าทิ้งไว้ในเชฟอย่างปลอดภัย และใช้ทั้งชีวิต ทุ่มไปหาเหรียญหนึ่งที่มันหายไป ค้นหาๆ จนกว่าจะพบ ถูกไหม? และผู้เชื่อใหม่ ที่พึ่งมาเชื่อพระเจ้า ก็เปรียบเหมือนน้องที่เคยหลงหายไป และได้ใช้สิทธิของเขา กลับมาหาพระเจ้า อยู่ในครอบครัวสวรรค์

คริสเตียนหลายคนก็อิจฉา เห็นคริสเตียนใหม่ๆ อธิษฐานอะไร แป๊บเดียว พระเจ้าก็ตอบ ทำไมมันง่ายอย่างนี้ ทีเรารับใช้ตั้งเยอะมาตลอด แต่ขออะไร ก็เงียบ ก็ไม่ได้สักที ทำไมตอนมาใหม่ๆ ได้บ่อย ได้ง่ายๆ เดี๋ยวนี้อธิษฐานก็เก่งกว่าแต่ก่อน ก่อนนอนก็อธิษฐาน ก่อนทานข้าวก็อธิษฐาน ถวายทรัพย์ด้วย ร้องเพลงนมัสการก็เก่ง  มาโบสถ์เป็นประจำเลย เคยคิดอย่างนี้ไหม? แต่หลายคนก็ลืมไปว่าก่อนเป็นอย่างนี้ ตัวเองก็เป็นน้องมาก่อน เริ่มต้นเชื่อพระเจ้ามาก่อนนั่นแหละ ไม่รู้กี่ปี ก็แล้วแต่ ถูกไหม? คือช่วงใหม่ๆ เราก็เป็นแบบเขาแหละ มันรู้สึกสดชื่นเหลือเกิน ขออะไรก็ได้ง่าย พระเจ้าก็คุยกับเราตลอด เดี๋ยวตรงนี้ก็หมายสำคัญ ตรงนั้นก็หมายสำคัญ เยอะแยะไปหมดเลย ตอนนี้หาหมายสำคัญไม่ค่อยเจอ แถมศิษยาภิบาลไม่ค่อยดูแลเราอีก ป่วยก็ไม่ค่อยมาเยี่ยม ตอนมาใหม่ๆ ไม่ป่วยก็ยังมาเยี่ยมเลย ถ้าไม่ไปเยี่ยม ท่านจงดีใจเถิด ท่านกำลังเป็นผู้ใหญ่แล้ว และกำลังทำงานให้พระเจ้าอยู่ เป็นพี่ชายคนโตแล้ว  เข้าใจไหม? ไม่เข้าใจ มาเยี่ยมก็ดี พี่ชายคนโตก็อยากให้เยี่ยมอยู่ มันเป็นธรรมดา แต่เราต้องมั่นใจว่าเราโตแล้ว พระเจ้าจึงนำอย่างนี้ แล้วถ้าท่านต้องการจริงๆ พี่ชายคนโตต้องการจริงๆ พระเจ้าก็จะนำท่านไปเอง  แต่ถ้าไม่นำมา อยู่กับพระเจ้าดีแล้ว ไม่ต้องอยู่กับศิษยาภิบาล ศิษยาภิบาลช่วยท่านไม่ได้สักคน ต่อให้ท่านเชื่อใหม่ก็ตาม ศิษยาภิบาลก็แค่ไปให้กำลังใจ คอยดูให้ท่าน แต่ผู้ที่จะนำพาท่านเจริญเติบโตต่อไป ก็คือพระเจ้าต่างหาก พระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระองค์ต่างหาก พูดเหมือนแก้ตัวนะ ศิษยาภิบาลทุกคนปรบมือยิ้ม ดีจัง เข้าใจไหม?

ถ้าเผื่อดูท่านตลอด 2 ปีผ่านไป 3 ปีผ่านไป ก็ไปหาท่านเหมือนเดิม ท่านเตรียมตัวอันตรายแล้วนะ ท่านมีอะไรผิดปกติต่างหาก เป็นโรคอะไรบางอย่างที่ไม่โต ก็เหมือนๆ เด็กทารกที่เราเลี้ยง เป็นทารกอยู่ ถึงเวลาก็ป้อนๆ อันนั้นก็ทำให้ อันนี้ก็ทำให้ ทำให้หมดทุกอย่าง แต่ถ้ามันเลยไปจนอายุ 10 ขวบ ยังต้องมาป้อนอยู่ แสดงว่าผิดปกติแล้ว จริงไหม? อย่างที่บอก เมื่อสังเกตดู พวกพี่ๆ ชอบอิจฉาน้องว่าทำไมน้องทำอะไรก็ได้ เดี๋ยวเราเป็นพี่ แล้วทำเหมือนน้อง อุแว้ก็แล้ว พ่อไม่เห็นมาชงนมให้เราเลย เราจะใส่รองเท้าก็ไม่ก้มลงไปผูกเชือกรองเท้าให้เรา ปล่อยเราให้ใส่ตั้งนาน ผูกถูกบ้าง ผิดบ้างอะไรต่างๆ พ่อกำลังสอนอยู่ ขืนยังผูกให้ตลอด 20 ก็ยังผูกไม่เป็น นี่ยกตัวอย่างให้ฟัง มันเป็นธรรมชาติ แต่พอมาเรื่องพระเจ้ามันอิจฉามากกว่า เพราะมันเป็นชีวิต มันหนักกว่า มันเห็นว่าทำไมเรายิ่งเข้าใกล้พระเจ้า  เหมือนดูยิ่งห่าง ไม่ห่างหรอก พระเจ้าอยู่ด้วยเสมอ เท่ากัน และมากกว่าด้วย

จริงๆ แล้วไม่ว่าจะเป็นน้องหรือเป็นพี่ พระเจ้าสถิตอยู่ด้วยเท่ากันหมด แต่วิธีการนำเรา มันต่างกัน เพราะตรงนั้นเป็นน้องใหม่ แต่เราเป็นพี่ชายคนโตแล้ว กำลังนำเราอีกแบบหนึ่งเท่านั้นเอง

คำพูดของพี่ชายในเรื่องนี้ ในอุปมาเรื่องนี้ที่บอกว่า “ดูเถิด หลายปีมานี้ ข้าพเจ้าตรากตรำรับใช้ท่าน และไม่เคยขัดคำสั่งของท่านเลย แต่ลูกแพะสักตัว ท่านก็ยังไม่เคยยกให้ข้าพเจ้า เพื่อเลี้ยงฉลองกับเพื่อนๆ เลย”

ตรงนี้ ดูแล้ว อาจกำลังน้อยใจ แต่จริงๆ แล้ว เป็นความรู้สึกของการทวงบุญคุณกับพ่อ

“ฉันทำดีกับพ่อมาตั้งเยอะแล้ว เชื่อฟังมาตลอด ดูแลรับใช้งานอย่างดีมาตลอด เพราะฉะนั้น พ่อควรจะให้อะไร เป็นรางวัลในการตอบแทนฉันบ้างสิ”

เราเคยทวงบุญคุณพ่อไหม? อ้าว! ดูสิว่าใช่หรือไม่ใช่?

“ฉันเชื่อพระเจ้ามาตั้งนาน แล้วก็ทำตามที่พระเจ้าบอกมาตลอด ทำตามที่พระคัมภีร์สอนมาตลอด เชื่อฟังพระเจ้ามาตลอด รับใช้อย่างมุ่งมั่นมาตลอด”

ทุกคนก็บอกว่าเราก็ไม่เคยมาทำงานที่โบสถ์ เรารับใช้เมื่อไร? ก็กิจวัตร อย่างที่ตะกี้ผมบอก บางคนก็ตั้งเวลาอธิษฐานไว้ 3 เวลา บางคนก็ 2 เวลา ตื่นมาต้องอธิษฐาน นอนก็ต้องอธิษฐาน บางคนก็ตื่นมาอธิษฐาน 3 ชั่วโมง ตื่นขึ้นมา 2 ชั่วโมงต้องอธิษฐาน พกพระคัมภีร์ไปด้วย  ท่องพระคัมภีร์อีก ร้องเพลงนมัสการ พยายามทำทุกอย่าง เดี๋ยวฟังต่อไป ก็รู้ว่ามันใช่ตัวเราหรือไม่? พยายามทำสิ่งที่คิดว่ามันควรจะทำมาตลอด ให้พระเจ้าพอพระทัย เพราะฉะนั้น …

“พระเจ้าก็น่าจะตอบคำอธิษฐานของฉันบ้างนะ อวยพรฉันบ้างสิ”

อันนี้อยู่ในใจเราลึกๆ เราไม่รู้หรอก นี่คือความคิดที่เหมือนกับว่าพระเจ้าเป็นหนี้เรา พระเจ้าต้องตอบแทนในสิ่งที่เราได้ทำให้พระเจ้า เรากำลังคิดว่าเราทำให้พระเจ้า ทุกครั้งที่เราอธิษฐาน หรือทำกิจวัตรกับพระเจ้า ถ้าเราคิดว่าเราทำให้พระเจ้าพอพระทัย ก็เท่ากับว่าเราคิดว่าเราทำให้พระเจ้านั่นเอง เราก็เหมือนพี่ชายคนโต ทำงานๆ ออกไปประกาศ ออกไปทำอะไรต่างๆ เราควรที่จะได้ผลตอบแทนจากพระเจ้า จากพ่อของเรา จากเรื่องนี้นะ แล้วไม่ได้ทำธรรมดา ตั้งใจทำอย่างดีงามทุกครั้ง คนเราเวลารักษากฎของพระเจ้ามากๆ ตั้งใจมากๆ ก็คือกฎ … กฎคืออะไร?

“อุ้ย! ลูก ก่อนกินข้าวอธิษฐานสิ เดี๋ยวพ่อพาอธิษฐาน” นี่กฎ แล้วใช่ไหม?

“แล้วก่อนนอนอธิษฐานหรือยัง?” อย่างที่บอก “ให้ท่องถ้อยคำพระเจ้า ก็ยังไม่ท่องอีก ดูสิ วันนี้ท่องหรือยัง?”

นี่กลายเป็นกฎแล้ว บางทีเราไม่รู้ตัว เผลอๆ เราก็ทำ เพราะเราคิดว่าสิ่งที่เราทำ มันถูกต้อง เป็นที่พอพระทัย เราก็เลยอยากให้คนข้างๆ เรา เป็นที่พอพระทัยเหมือนกัน กฎไม่ได้มาจากพระเจ้า กฎมาจากเรา มนุษย์เราเอง ท่องหรือยัง? ร้องเพลงพระเจ้า นมัสการได้กี่เพลงแล้ว ร้องบ้างหรือเปล่า?  นมัสการบ้างหรือเปล่า?  กี่วันแล้วไม่ได้นมัสการ? นี่ประกาศพระเจ้าบ้างหรือเปล่า? เมื่อกี้ลงจากแท๊กซี่ ได้ประกาศหรือเปล่า? ทำไมไม่ประกาศ ในพระคัมภีร์บอกทุกช่วงโอกาสต้องประกาศทั้งหมด อย่างนี้ใช่ไหม? ชักคุ้นๆ แล้ว ชักไปลึกแล้ว เคลียด คิ้วขมวดชนกัน เราพยายามทำให้เป็นกฎ แล้วพยายามทำ ให้มันเป็นกฎขึ้นมา เพราะว่าในใจลึกๆ เราหวังอะไรบางอย่าง เราไม่รู้ตัว คือเราหวังที่เรียกว่าพระพร ไม่ว่าพรอะไรแล้วแต่ เรากำลังหวังพระพร มันดูเหมือนเราทำด้วยใจจริง เรารักพระเจ้า นมัสการพระเจ้า รับใช้พระเจ้า แต่จริงๆ ข้างในลึกๆ เราอยากได้อะไรบางอย่างเป็นการตอบแทน

พระเยซูกำลังสอนอุปมานี้ “พ่อไม่เห็นให้รางวัลเราเลย เราทำงานมาตลอด” งานนี้เราคิดว่ามันเป็นงาน พระเจ้าไม่ได้ใช้เราเลย ในอุปมาเรื่องนี้ มีคนใช้เยอะแยะในบ้าน พระเจ้าเพียงให้ครอบครองในบ้านเท่านั้นเอง จะทำอะไรก็ได้  แต่เราคิดว่าไม่ได้ เราต้องช่วยคนงานทำ ช่วยๆ เสร็จแล้ว ไม่ได้ตั้งใจจะช่วยด้วย ความอิสระในใจ หรือว่าความจริงใจ  แต่ช่วย เพราะว่าเราอยากจะทำโชว์พ่อ พ่อคงชอบ แล้วเราจะได้ความโปรดปรานจากพ่อ เราอธิษฐานๆ ที่พระเยซูบอกเคาะๆ เราก็เคาะใหญ่เลย อธิษฐาน เพื่อเราจะได้รับในสิ่งที่เราอยากได้ลึกๆ ในใจของเรา หรือบางคนไม่ใช่ในใจลึกๆ ออกจากปากเลย  ให้ผู้คนได้รู้เลย

อย่างเช่น เราอยากได้ความมั่นคั่ง ร่ำรวย  ซึ่งมนุษย์ทุกคนอยากได้ เราอธิษฐาน เพื่อให้มันรวย เราอธิษฐานๆ เพื่อให้มันแข็งแรง เพื่อให้มันหายโรค เราอยากให้พระเจ้าตอบคำอธิษฐาน ให้เป็นไปตามความคิดของเรา ซึ่งอาจจะอยู่ในใจ หรืออยู่ข้างนอกก็ตาม นี่แหละ คือสิ่งที่เราบอกพระเจ้า พระเจ้าต้องตอบสิ ทำตั้งเยอะแล้ว เราอดอาหารอธิษฐาน พระเจ้าต้องตอบเราแน่นอน กิจการนี้จะต้องเจริญรุ่งเรือง แล้วพระเจ้าก็ตอบจริงๆ อดอาหารอธิษฐานไป 40 วัน สำหรับกิจการนี้ ในที่สุด มันก็เจ๊ง  เพราะถ้ามันไม่เจ๊ง ทุกวันนี้ โบสถ์เจ๊งแน่เลย เพราะคนมารอคิวยาว เข้ามาขอรับเชื่อ พอรับเชื่อ เข้าโบสถ์ๆ พอทุกคนทำตามกฎนี้ได้หมด รับรองรวยหมดเลย ไม่ต้องไปเรียนแล้วหนังสือ เรื่องวิชาลงทุน มีจรรยาบรรณอะไรต่างๆ ไม่ต้อง มาเชื่อพระเยซูแล้วมาเรียน ตอนนี้โบสถ์ใหญ่ที่สุดในโลกเลย แล้วจริงๆ มันเป็นไหม? มันเป็นการหลอกลวงมากกว่า ไม่ต้องมีโรงพยาบาลแล้ว เคาะไปๆ อธิษฐานไป มันหายโรคเอง เป็นไปได้ไหม? เป็นไปไม่ได้ แต่ในใจลึกๆ ทุกคนอยากได้ เป็นน้องมาใหม่ๆ หายจากมะเร็ง โอกาสจะหายมีจริงๆ นะ มีบางคนหายจากมะเร็ง หายจากโรคจริงๆ กิจการได้รับการช่วยกู้จากพระเจ้า จากล้มละลายปุ๊บกลายเป็นดีเลย นั่นมันตอนเริ่มต้น เป็นน้องใหม่ แล้วถ้าเป็นอย่างนี้ตลอดไปเรื่อยๆ ก็ดีสิ คนก็แห่กันมาเยอะแยะ พระเจ้าก็จะนำเขาต่อไป มันเป็นอะไรก็ไม่รู้แล้ว

จากวันแรกล้มละลาย แล้วกลับมาใหม่ ผ่านไป 10 ปี อาจจะล้มละลายอีกทีหนึ่ง หนักกว่าเก่าอีกก็ได้ จากวันแรกหายจากโรคมะเร็ง อัศจรรย์ 10 ปีต่อมา กลับมาเป็นมะเร็งใหม่ แล้วก็ตายเลย กลับไปอยู่กับพระเจ้าแล้ว ใช่หรือไม่? ไม่กล้าตอบ ท่านเห็นอยู่ทุกวันนี้ ใช่หรือไม่? ใช่ เพราะฉะนั้น เราต้องรู้ความจริง อย่าถูกหลอกอีกต่อไป พรพระเจ้าให้เราหมดเรียบร้อยแล้ว ในโลกวิญญาณ

จากอุปมาเรื่องนี้ เป็นอันตรายของความคิดของคริสเตียน ของวงการคริสเตียนก็ว่าได้ เราถูกหลอก ถูกดึงไป  เพื่อทำอะไรรู้ไหม? มารมันไม่ต้องทำอะไรมากอยู่แล้ว มันทำไม่ได้อยู่แล้ว เมื่อเรารู้ความจริง มันก็พยายามให้เรารู้ความจริง ให้น้อยที่สุด ถ้าเราไม่รู้ความจริงเลย ก็ดีเลย ก็หลงหายไป แต่ถ้าเรากลับมาเป็นน้องใหม่แล้ว เป็นพี่ชายคนโตแล้ว มันพยายามให้เป็นพี่ชายคนโตที่เป็นในอุปมานี้ ซึ่งเราสามารถเป็นพี่ชายคนโตที่พระเจ้าอยากให้เป็นได้ ซึ่งทุกท่านก็อยากจะเป็นเช่นนั้น

ย้อนกลับมาดูเรื่องบุตรน้อยหลงหาย พอพี่ชายรู้สึกอิจฉาน้อง หลังจากที่พูดจาตัดพ้อ น้อยใจพ่อ ทวงบุญคุณพ่อ มาดูสิว่าพ่อตอบว่าอย่างไร?

ลูกา 15:31-32 “31 บิดากล่าวว่าลูกเอ๋ย เจ้าอยู่กับพ่อตลอดมา และทุกสิ่งที่พ่อมี  ก็เป็นของเจ้า 32 แต่ที่เราต้องเฉลิมฉลองและยินดีกัน เพราะน้องคนนี้ของเจ้าได้ตายไปแล้ว และกลับเป็นขึ้นมาอีก เขาหายไปแล้ว และได้พบกันอีก”

 

เมื่อไรก็ตามที่เรารู้สึกว่าเราทำงานรับใช้พระเจ้า ด้วยความตั้งใจ อ่านพระคัมภีร์สม่ำเสมอ อธิษฐานสม่ำเสมอ เชื่อฟังพระเจ้าทุกอย่าง แต่ทำไมเหมือนพระเจ้าไม่สนใจเราเลย มองข้ามเราไป เมื่อเรารู้สึกอิจฉาผู้เชื่อใหม่ น้อยใจพ่อที่ดูเหมือนว่าน้องที่มาเชื่อใหม่ ได้รับการสนใจมากกว่าเรา พระเจ้าก็จะตอบเราแบบนี้ว่า …

“ลูกเอ๋ย เจ้าอยู่กับเราเสมอ และสิ่งของทั้งหมดของเรา ก็เป็นของเจ้า”

นั่นหมายถึงมรดกที่พ่อจัดเตรียมไว้ให้ มันเป็นของเจ้า เจ้าได้รับเรียบร้อยไปแล้ว แล้วเจ้าจะไปอิจฉาน้องเขาทำไม? พูดง่ายๆ ว่าสวรรค์เป็นของเจ้าแล้ว ทุกสิ่งในสวรรค์เป็นของเจ้าแล้ว พระคัมภีร์บันทึกว่าพระพรนานัปประการในสวรรค์ พระเจ้าได้ประทานให้กับท่านผู้เชื่อเรียบร้อยไปแล้ว เอเมน

บางคนพอเชื่อพระเจ้ามานานๆ ก็ได้รับการสอนมาว่าต้องทำอะไรบ้าง? ยกตัวอย่าง ต้องไปโบสถ์ทุกวันอาทิตย์ ห้ามขาดโบสถ์ ต้องอ่านพระคัมภีร์ ห้ามหยุดอ่าน  ต้องจัดเวลาเฝ้าเดี่ยว ต้องออกไปประกาศข่าวดีให้กับคนไม่รู้จัก แล้วก็ต้องถวายสิบลด ต้องถวายเงินพิเศษในการประกาศ และก็ต้อง ต้อง ต้อง อีกเยอะแยะ นี่ยกตัวอย่างให้ดูเฉยๆ ใครที่กระทำตามได้อย่างสม่ำเสมอ รักษาไป เหนื่อยจะตายไม่ไหว แต่อึดขึ้นมา เราต้องประกาศ คราวก่อนเราประกาศ คนนี้ยังมาเชื่อพระเจ้าจริงๆ เลย มันเกิดผลจริงๆ เพราะฉะนั้น เราต้องประกาศ คนนี้จะเชื่อหรือไม่เชื่อ มันขึ้นอยู่กับความรับผิดชอบของเรา หนักเลยคราวนี้ ถ้าเราไม่ไปประกาศ ใครจะไปช่วยเขา ถ้าเขาเกิดไม่เชื่อพระเจ้า จนกระทั่งเขาสิ้นชีวิตไป อาจจะอีกชั่วโมงหนึ่ง เขาถูกรถชนตาย แล้วเราไม่ประกาศให้เขา  เราต้องรับผิดชอบวิญญาณของเขาที่ตกนรก  มันทรมานไหมล่ะ  เคยได้ยินไหม คนประกาศอย่างนี้ ท่านต้องรับผิดชอบนะ ถ้าท่านไม่ประกาศ ก็เกิดความทุกข์ทรมานใจ เราก็ไม่ไหวอยู่แล้ว ต้องไปประกาศ เพราะเรากลัวเขาตกนรก แล้วเราต้องรับผิดชอบ พระเจ้าจะมาด่าเรา

“ทำไมไม่รับผิดชอบ วิญญาณนี้ตกนรก เพราะท่านไม่ไปประกาศให้เขา ก่อนที่เขาจะเสียชีวิตไป เขาเจอท่านพอดี 2 นาทีนั้น ทำไมไม่ประกาศ  … นี่อีกคนหนึ่ง ท่านไปประกาศให้เขา เขาเชื่อแล้ว เขาไปสวรรค์แล้ว ท่านได้รางวัล แต่ตอนนี้ไม่ได้รางวัล ต้องแย่”

สรุปเราต้องรับผิดชอบทั้งหมด ในชีวิต กลับมาเหมือนเดิม ถูกไหม? แปลกนะ พอเราทำอะไรก็ตามที่มันรักษากฎอะไรต่างๆ ที่ต้องๆ อย่างสม่ำเสมอ ดีงาม นานๆ เข้ามัน ก็จะลืมตัว เราไม่ตั้งใจไปสอนคนอื่นต่ออย่างนั้นหรอก แต่มันลืมตัว นี่คืออันตรายมาก เราก็ยังเป็นพี่ชายคนโตอย่างนั้น  แต่เราจะเป็นพี่ชายคนโตที่จะเป็นพิษ เป็นภัยต่อน้องๆ ที่เข้ามาหา เราจะคอยเอาไม้ตะบองตี น้องชายวิ่งมาขอบรั้วตรงโน้น พ่อมองไม่เห็นหรอก ฟาดมันก่อน มันหนีไปแล้ว  พ่อไม่ทันเห็นเลย  ในคำอุปมานี้ พ่อจะเห็นลูกชายเมื่อเดินผ่านรั้วลวดหนาม สมมติว่าทุ่งนาของพ่อกว้างขวางมาก พ่อยืนอยู่นั้น ใครจะกลับมา คนนี้มาแต่ไกล พ่อยังมองไม่เห็น กว่าจะผ่านรั้วลวดหนามมา นี่พอผ่านรั้วลวดหนามมานิดเดียวเอง พี่ชายคนโตเอาไม้ตะบองไล่ฟาด ฟาดด้วยวิธีนี้ หนีไปหมด เพราะพี่ชายคนโตเขาบอกเขารับใช้พระเจ้า เขาทำอย่างนี้ ทำกฎอย่างนี้ จนกระทั่งลืมตัว ทำสิ่งนี้ แล้วเขาจะมีความบริสุทธิ์ผุดผ่องเหมือนพระเจ้า ใกล้ชิดพระเจ้า เป็นที่พอพระทัยพระเจ้าจริงจัง

แล้วคนที่รับใช้พระเจ้าแบบนี้ หนักเข้า ก็จะเริ่มสำรวจคนอื่น สำรวจคนในบ้านที่หลุดเข้ามาในครอบครัวสวรรค์แล้ว

“ทำน้อยไปนะ ทำให้ได้เหมือนฉัน นี่ยังไม่ได้ไปตัดหญ้าเลย ไปตัดหญ้ากับฉัน อันนี้ทำไมไม่ทำ ฉันทำแทนพ่อแล้ว”

ก็ไปชี้นิ้วทุกคนเลย คนนั้นทำน้อย คนนี้ทำไม่พอ ต้องทำอีก เพราะเอาตัวเองเป็นเกณฑ์

“ถ้าฉันอธิษฐานวันละ 5 ชั่วโมงได้ ฉันจะพาทุกคนมาทำ ถ้าฉันเป็นนักประกาศ ฉันจะพาทุกคนเป็นนักประกาศ ถ้าฉันเป็นนักนมัสการ ฉันจะพาทุกคนมานมัสการ ทุกคนต้องทำตามที่ฉันบอก นี่แหละ คือที่พระเจ้าพอพระทัย อยากให้ทุกคนตามฉัน”

ท่านคอยสังเกตมีจริงๆ มีเยอะ แล้วก็คิดไปเองว่า …

“พระเจ้าจะไม่อวยพรคนเหล่านี้ ที่ไม่ได้ทำตามฉัน ไม่ได้โฮลี่เหมือนฉัน ไม่ได้อธิษฐานเหมือนฉัน  ไม่ได้อดอาหารเหมือนฉัน ไม่ได้รับใช้พระเจ้าเหมือนฉัน ไม่ได้มาโบสถ์เป็นประจำเหมือนฉัน เพราะคนเหล่านี้ ที่ไม่ได้ทำเหมือนฉัน เขาต่ำกว่ามาตรฐาน” เอาตัวเองเป็นมาตรฐาน

“ใครจะมาอยู่ในสวรรค์ ฉันเป็นมาตรฐาน เป็นพี่ชายคนโต ฉันทำได้แล้ว”

ถ้าใครก็ตามที่คิดอย่างนั้น  พระเจ้าอาจจะถามกลับว่า …

“มาตรฐานของใครมิทราบ? มาตรฐานของพระเจ้า คือทุกคนเท่ากันหมด ทุกคนเป็นลูกพระเจ้าเหมือนกันหมด ทุกคนมีสิทธิเท่าๆ กันกับพระเยซู”

พอไหม? จบไหม? ท่านไปตัดสินอะไรเขา เขามีความบริสุทธิ์ผุดผ่อง มีสิทธิเป็นลูกพระเจ้า มีค่าเท่าๆ กับพระเยซู แล้วท่านยังชี้นิ้วเขาอีก จบเลย

แต่ว่าสิ่งที่ผมพูดนี้ ไม่ใช่ไม่ส่งเสริม ฟังให้ดีๆ เดี๋ยวคนจะเข้าใจไปอีกด้านหนึ่ง สิ่งที่ผมพูดนี้ ไม่ใช่สิ่งที่ไม่ส่งเสริม ไม่ว่าจะการมาโบสถ์เป็นประจำ การนมัสการ การอ่านพระคัมภีร์ การท่องพระคัมภีร์ การอธิษฐาน มันเป็นสิ่งดีทั้งหมด สำหรับผู้เชื่อ ไม่ว่าจะใหม่หรือเก่า แต่ผมกำลังบอกว่าบุคลิก ลักษณะของคนแต่ละคนนั้น มันไม่เหมือนกัน พระเจ้าสร้างมาอย่างไร ก็อย่างนั้น มันจะไม่เหมือนกัน พระเจ้านำใครทำแค่ไหน? ก็แค่นั้น พระเจ้านำคนนี้ไปแบบนี้ ก็แบบนี้ พระเจ้านำคนนั้นไปแบบนั้น ก็แบบนั้น จะได้มีหลายๆ แบบ อย่าเอาความคิดของเรา ไปตั้งเป็นมาตรฐาน แล้วบอกว่าคนอื่นต่ำกว่ามาตรฐานที่เราวาง ให้วางใจในพระเจ้า เขาอาจจะไม่ทำเหมือนกัน แต่เราวางใจพระเจ้าว่าพระเจ้าสถิตอยู่กับเขาแล้ว ตอนนี้พระคัมภีร์บอกพระเจ้าอยู่กับเขาแล้ว เมื่อเขารับสิทธิของพระเจ้า เขาเชื่อในพระเจ้า เขาบังเกิดใหม่แล้ว  พระเจ้าอยู่กับเขาแล้ว ไม่มีใครเอาเขาออกจากพระเจ้าได้แล้ว แต่ทำไมเขาไม่มาโบสถ์ ไม่เป็นไร วางใจในพระเจ้า ถ้าเป็นห่วงเป็นใยเขา ก็อธิษฐานให้เขา พอ อธิษฐานดีๆ นะ ไม่ใช่อธิษฐานส่งนะ เชื่อและวางใจในพระเจ้าสิ พระเจ้าอยู่กับเขาแล้ว ในพระคัมภีร์บอกไว้อย่างนั้น เขาเชื่อเมื่อไร? พระเจ้าลงมาสถิตอยู่กับเขาทันที เอเมน พระเจ้าจะเอาใจหินออกไป เอาใจใหม่ วิญญาณใหม่ให้กับเขา เขาบังเกิดใหม่แล้ว ไม่มีใครเอาเขาออกไปจากคอกของเราได้อีกแล้ว พระเยซูบอก โอเค เดี๋ยวพระเจ้าจะนำเขาไปอีกสไตล์หนึ่ง แล้วแต่

แต่ถามว่าผมสนับสนุนไหม? ให้คนมาโบสถ์เป็นประจำ ทำไมจะไม่สนับสนุนล่ะ ยิ่งเป็นศิษยาภิบาล ยิ่งสนับสนุนให้ทุกคนพยายามถวายทรัพย์ ก็เราดูค่าใช้จ่ายอยู่ทุกวัน ก็มาจากพวกท่านนั่นแหละ แต่เรามองข้ามท่านไปอีกที ถึงพระเจ้า ถ้ามองที่พวกท่าน ผมก็ต้องไปบังคับท่าน ไปพยายามเกลี้ยกล่อม พยายามหาอุบายทุกอย่าง เพื่อให้ท่านถวาย ลืมไปซะ ที่นี่ไม่มี เลิกก็เลิกกัน แต่ศิษยาภิบาลทุกคน ผู้ใหญ่ทุกคนในที่นี้ เขาทำเป็นตัวอย่าง เขาไม่บังคับ เพราะเขาไม่อยากทำ แล้วเอาตัวเองเป็นเกณฑ์ว่าท่านต้องทำให้ได้เหมือนผม ท่านต้องทำให้เหมือนศิษยาภิบาลเขาถวายสิบลด เกินกว่าสิบลดอีก ที่เขาออกไปประกาศเกินกว่าชีวิตของท่าน เขาไม่เอาตัวเองเป็นเกณฑ์ พระเจ้าจะใช้ท่านอย่างไร? ไม่รู้ โบสถ์นี้ ก็เป็นโบสถ์ของพระเจ้า เราวางใจในพระเจ้า ชีวิตอย่างนี้ เป็นชีวิตเกิดใหม่ บังเกิดใหม่ในพระเยซูจริงๆ วางใจพระองค์จริงๆ ไม่ใช่วิธีการมนุษย์ มันมีเหตุ มีผล และสิ่งที่ผมพูดทั้งหมด มันเกิดขึ้นในอดีตเยอะแยะมากมาย กฎระเบียบที่มนุษย์สร้างขึ้นมามากมาย อาจารย์เปาโลก็เจอปัญหาอย่างนี้ มีคนเยอะแยะมากมายถามอะไรแบบนี้กับอาจารย์เปาโล ถามว่าทำอันนั้นได้ไหม? ทำอันนี้ได้ไหม? ยกตัวอย่าง …

เขาบอก มาเชื่อพระเจ้าแล้ว กินอาหารไหว้รูปเคารพไม่ได้?

เขาบอก มาเชื่อพระเจ้าแล้ว ถือวันเหล่านี้ไม่ได้? ทำได้ไม่ได้?

เขาบอก มาเชื่อพระเจ้าแล้ว อย่างโน้นได้ไหม? อย่างนี้ไม่ได้?

มันเยอะเหลือเกิน อาจารย์เปาโลตอบสั้นๆ ตอบเป็นข้อๆ นิดหน่อย ที่เป็นหลักการของคริสเตียน ที่เชื่อในพระเจ้าแล้ว ไม่ว่าจะเก่าหรือไม่? เป็นหลัก ง่ายๆ และบันทึกไว้ในพระคัมภีร์

“ท่านมีอิสรภาพในการทำทุกสิ่งได้ แต่ไม่ใช่ว่าทุกสิ่งที่ท่านทำ จะเป็นประโยชน์”

ท่านมีสิทธิเสรีภาพในการทำทุกสิ่งได้ แต่ไม่ใช่ทุกสิ่ง จะเป็นการเสริมสร้าง มันอาจจะเป็นการทำลายก็ได้ แต่ท่านมีอิสรภาพ เมื่อเชื่อพระเจ้าแล้ว

อิสรภาพ แปลว่าไม่มีคำว่า “ต้อง” ถูกไหม? ไม่มีคำว่าห้าม  ถ้าท่านเชื่อพระเจ้าจริงๆ สองคำนี้เอาออกไปจากชีวิตของท่านได้เลย  เพราะท่านมีอิสรภาพในการทำทุกสิ่งได้ ถ้าแปลง่ายๆ ก็คือตอนที่เราเชื่อพระเจ้าแล้ว เราเป็นคริสเตียนแล้ว เรามีอิสรภาพในพระเยซูคริสต์ เราทำอะไรก็ได้ เพราะไม่มีสิ่งใดที่เรียกว่าบาป สำหรับผู้เชื่ออีกแล้ว มีแต่คำว่าเป็นประโยชน์หรือเป็นโทษ สำหรับชีวิตเราและคนรอบข้าง

เปาโลยังบอกว่าไม่ว่าจะทำอะไรก็ตาม โดยปราศจากความเชื่อ ก็เป็นบาปทั้งนั้น ความเชื่อนี้ ก็คือความเชื่อในการไถ่บาปของพระเยซูคริสต์ ที่ไถ่ให้เราเป็นอิสรภาพ ถ้าเราไม่เชื่อ เราก็เป็นทาสอยู่ดี แต่ถ้าเราเป็นไทโดยการไถ่บาปของพระเยซูคริสต์เรียบร้อยแล้ว ตั้งแต่ 2,000 ปี เราก็เป็นอิสรภาพ เป็นไทอยู่ดี ไม่ว่าจะทำอะไรก็เป็นไท มันหมายถึงอย่างนั้น  ถ้าเราอยู่ในพระคริสต์ ไม่ว่าทำอะไร ในวิญญาณของเราไม่บาป แต่จะมีความสงบสุขหรือมีสันติสุข บนโลกใบนี้มากหรือน้อย ให้กับตัวเราเองและคนรอบข้าง มันขึ้นอยู่กับสิ่งที่เราทำนั่นแหละว่ามันเป็นอะไร? ไม่มีข้อพระคัมภีร์ไหนที่ห้ามเราไม่ให้โลภ แต่บอกอย่าโลภ เพราะโลภมันทำให้เราเจ็บตัวและผู้คนรอบข้างเจ็บตัวด้วย แต่เราเหมือนเดิม คล้ายๆ อย่างนั้นแหละ เราไม่โลภ ไม่โมโห เราก็ไม่ต้องรับผิดชอบต่อผลของความโลภ ผลของความโมโห ควบคุมอารมณ์ไม่อยู่ มันเกิดโทษ ทั้งโทษต่อตัวเอง และคนรอบข้างเราด้วย  แต่มันไม่มีผลอะไรต่อความรอดในโลกวิญญาณ ในการอยู่ในสวรรค์ของเรา ไม่มีผลต่อสิทธิความเป็นลูกของเรา ในพระเยซูเลย ซึ่งเราได้รับเรียบร้อยไปแล้ว เมื่อตอนพระเยซูตายที่ไม้กางเขน และได้รับสิทธินี้เรียบร้อยไปแล้ว ตอนที่เรากลับใจมาใช้สิทธิของเรา มาเชื่อในข่าวดีของพระเยซู วันไหนไม่รู้ วันนั้นแหละ เราได้ไปแล้ว และมันได้ตลอด เราอยู่ที่นั่นตลอด อยู่ในวิญญาณเราตลอดไป เอเมน

นี่เขาเรียกว่าอิสรภาพจริงๆ เอาความจริงนี้ใส่เข้าไปในใจของเราให้ได้ มนุษย์ทุกคนมักคิดว่าความดีเท่านั้น ที่ต้องสะสมไปในโลกหน้า จ้องมองไปที่ความดี ไปหลักชัย แต่พระเจ้าบอกว่าความเชื่อในพระเยซูเท่านั้น ที่ต้องสะสมไปในโลกหน้า จงจ้องมองไปที่พระเยซูคริสต์ เป็นหลักชัย ไม่ใช่การกระทำ ไม่ว่าดีหรือเลว

เพราะฉะนั้น ถ้าคิดว่าชีวิตนี้เราคงสะสมความดีไม่พอแน่ๆ สำหรับการอยู่ในสวรรค์ สำหรับโลกหน้า ก็จงหันมาพึ่งพระเยซู ผู้ช่วยให้รอด เชื่อในการไถ่บาปของพระองค์เถิด มนุษย์ทั้งหลาย รวมทั้งเราที่นั่งอยู่ที่นี่ด้วย

ข้อคิดจากอุปมาคำสอนของพระเยซู เรื่องบุตรน้อยหลงหาย สรุปได้อะไรบ้าง? ไม่ว่าเราจะเป็นลูกคนโต หรือลูกคนเล็ก พระเจ้า ซึ่งเป็นพ่อของเรา ก็ได้จัดเตรียมมรดกให้กับเราเรียบร้อยไปแล้ว ทรัพย์สมบัติในสวรรค์ ทุกอย่างเป็นของเรา และเป็นของเราเท่าๆ กันหมด รวมทั้งพี่ชายคนโตของเรา คือพระเยซูด้วย ตอนนี้พวกเราทุกคนที่นี่ ก็มีด้วยกัน 3 กลุ่ม

กลุ่มที่หนึ่ง ลูกที่อยู่ใกล้ชิดพ่อมานานแล้ว ก็คือคริสเตียนเก่า คือพี่ชายคนโต

กลุ่มที่สอง คือบุตรน้อยหลงหาย ที่พึ่งกลับมาพบพ่อ ก็คือผู้เชื่อใหม่

กลุ่มที่สาม คือบุตรน้อยหลงหาย ที่ยังอยู่นอกรั้วลวดหนามอยู่เลย อยู่นอกสวรรค์อยู่ ยังหลงหายอยู่

ซึ่งถ้อยคำของพระเจ้าวันนี้ ก็มาถึงลูกๆ ของพระเจ้าทุกๆ คน ทั้ง 3 กลุ่มนี้ สำหรับคริสเตียนเก่า ที่เปรียบเหมือนพี่ชายคนโต เราควรจะมีความยินดี ต้อนรับน้องใหม่ ที่มาเชื่อใหม่ ด้วยใจชื่นชมยินดี ไปกับพ่อ เราควรจะ เฮ้ๆๆๆๆ ดีใจด้วย ไปฉลองกับเขาด้วยอีกคน

และสำหรับผู้เชื่อใหม่ พระเจ้ายังเลี้ยงดูเราด้วยอาหารอ่อนอยู่ และพระเจ้าจะค่อยๆ ฝึกเราให้โตขึ้น ให้เราเรียนรู้มากขึ้น โดยตัวเราเอง ก็ต้องหมั่นฝึกฝนจิตวิญญาณของเรา ให้เหมาะ ให้สมควรกับการเป็นลูกของพระเจ้า ที่บริสุทธิ์ ไม่ใช่ต้องนะ ให้สมควรและเหมาะสม เท่าที่ทำได้  จากข้างในแท้ๆ ไม่ใช่กฎ เราต้องรู้จักฝึก เพื่อจะเตรียมพร้อมสำหรับอาหารแข็ง  … อาหารแข็ง คือปัญหาไง ปัญหาเข้ามา เราจะผ่านได้

สำหรับกลุ่มที่ 3 คือกลุ่มบุตรน้อยหลงหายของพระเจ้า ที่ยังกลับไม่ถึงบ้าน อาจจะยังไม่ได้ฟังข่าวดี หรือฟังข่าวดีแล้ว ยังไม่ได้ตัดสินใจ ยังอยู่นอกรั้วเลย

ไม่ว่าด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม ถ้อยคำพระเจ้าในวันนี้ ข่าวดีนี้ มาถึงท่านวันนี้เป็นพิเศษ ที่จะบอกกับท่านว่าพระเจ้าหรือพ่อของท่าน ในโลกวิญญาณ ในสวรรค์รอคอยใจจดใจจ่อ เฝ้าตามหาท่าน รอท่านกลับบ้าน รอท่านเมื่อไรจะใช้สิทธิของท่าน ที่พระองค์มอบให้ท่านเรียบร้อยไปแล้ว โดยผ่านทางพระเยซูคริสต์ ที่ได้ตายที่ไม้กางเขน หลั่งพระโลหิตชำระท่าน จนหมดบาปหมดเวรหมดกรรม จนสะอาดหมดจด จนเป็นลูกของพระเจ้า เรียบร้อยไปแล้ว ท่านเพียงแต่มาใช้สิทธิของท่านเท่านั้นเอง ไม่มีต้อง ไม่มีอะไรทั้งสิ้น ไม่ต้องมีการแลกเปลี่ยน ไม่ต้องมีอะไรทั้งสิ้น ใช้สิทธิเท่านั้น รับไปฟรีๆ  ไม่ต้องกรอกใบสมัครด้วย ไม่ต้องลงน้ำบัพติศมาก็ได้  ไม่ต้องมาโบสถ์ก็ได้  ไม่ต้องร้องเพลงนมัสการก็ได้ ไม่ต้องถวายทรัพย์ก็ได้ ไม่ต้องอะไรอีก ที่ท่านหงุดหงิดไม่อยากจะทำ ไม่ต้องอธิษฐานก็ได้

ผมกำลังจะบอกให้ท่านใช้สิทธิของท่าน ให้ฟรีๆ ไม่ต้องมีคำว่าต้องอะไร ไม่ต้องทำอะไรเลยทั้งสิ้น แค่นั้นก็พอแล้ว พระเจ้าก็จะจัดงานเลี้ยงให้กับท่าน ท่านได้เป็นบุตรน้อยของพระเจ้าที่ตายไปแล้ว ได้เป็นขึ้นมาใหม่ พระเจ้าดีใจเป็นที่สุด แล้วได้จัดงานเลี้ยงใหญ่โตให้กับท่าน แล้วไม่มีใครเอาท่านออกไปจากบ้านของพระเจ้าได้อีกแล้ว เมื่อครั้งเดียวที่ท่านเข้ามา แล้วใช้สิทธิของท่าน รับสิทธิของท่าน เข้ามาในสวรรค์ของพระเจ้าแล้ว ไม่มีใครพาออกประตูรั้วลวดหนามของพระเจ้าได้อีกเลย ไม่ว่าท่านจะก่อคดีอะไร เวรกรรมอะไรมาก่อน นี่พูดถึงวิญญาณอย่างเดียวนะ ไม่มีใครเอาท่านออกจากพระเจ้า จากโลกวิญญาณ ไม่มีทางเลย ท่านจะได้รับความรอดนี้ตลอดไป เอเมน ขอพระเจ้าอวยพรครับ

 

**************************