คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 27 มกราคม 2019 เรื่อง “อุปมาคำสอนของพระเยซู” ตอน 10 “ในสวรรค์ ทุกคนได้รับรางวัลเท่ากัน” โดย นคร เวชสุภาพร

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  27  มกราคม  2019

 เรื่อง “อุปมาคำสอนของพระเยซู”

ตอน 10 “ในสวรรค์ ทุกคนได้รับรางวัลเท่ากัน”

โดย นคร  เวชสุภาพร

            สวัสดีครับ ถ้อยคำของพระเยซูประโยคนี้ ลึกซึ้งมาก ยิ่งเราไปใคร่ครวญข้อความนี้ มันลึกซึ้งเข้าไปทุกวันๆ พระเยซูตรัสไว้ว่าความจริงจะทำให้ท่านเป็นไท แรกๆ ผมคิดว่าความจริงจะทำให้ท่านเป็นไท หมายถึงว่าถ้าเรารู้เรื่องข่าวประเสริฐของพระเยซูว่าพระองค์ทรงเป็นผู้ช่วยให้รอด จะทำให้เราได้ไปสวรรค์ ได้บังเกิดใหม่ อะไรต่างๆ เหล่านี้ มันก็ถูกนะ แต่พอเราเรียนรู้จากพระเจ้าไปเรื่อยๆ พระเจ้าจะสอนเราไปเรื่อยๆ พระองค์บอกว่าความจริงจะทำให้เราเป็นไท หรือความจริงจะทำให้ท่านเป็นไท มันลึกซึ้งกว่านั้นอีก มันหมายถึงอย่างนั้นจริงๆ ไม่ได้หมายถึงเฉพาะว่าถ้าเรารู้ในวิญญาณว่าพระเยซูเป็นพระผู้ช่วยให้รอด  และรับเชื่อในการช่วยให้รอดของพระองค์ ท่านจะได้บังเกิดใหม่ เข้าไปสู่สวรรค์ ไม่ใช่แค่นั้น แต่มันหมายถึงทั้งหมดเลย ทั้งมหาจักรวาล ทุกเรื่องเลย ความจริงอะไรก็ตามที่ท่านรู้ มันทำให้ท่านเป็นไท เพราะฉะนั้น ตรงกันข้าม ก็คือความไม่จริง ก็ทำให้ท่านติดบ่วง เอาไปใช้ได้หมด ทุกเรื่องเลย เพราะพระองค์เปี่ยมด้วยสติปัญญา

ยกตัวอย่างเช่นความจริงเกี่ยวกับเรื่องสุขภาพของท่าน ร่างกายของท่าน พระเจ้าสร้างมาอย่างไร? จะต้องกินอะไร? จะต้องอยู่อย่างไร จึงจะมีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ อย่างมีสุขภาพดีที่สุด เท่าที่จะทำได้ ถ้าใครรู้ความจริง … ความจริงจะทำให้คนนั้นเป็นไท เป็นอิสรภาพ ถ้าใครไม่รู้ความจริง ถูกหลอกลวง เขาก็จะไม่ได้รับประโยชน์เต็มที่ เขาก็จะทุกข์มากขึ้น จากการถูกหลอกนั้น มันใช้ได้ทุกเรื่องเลย ใครที่โลภ หาเงิน หาทอง หาทรัพย์สมบัติในโลกนี้ ด้วยวิถีที่ผิด ถูกหลอกไป ไม่รู้ความจริงเกี่ยวกับทรัพย์สมบัติ หรือการอยู่บนโลกใบนี้ การใช้เงิน ใช้ทอง ใช้ทรัพยากรบนโลกนี้ อย่างไร? ถ้ารู้ความจริงเกี่ยวกับถ้อยคำพระเจ้า เขาก็จะเป็นอิสระจากการขัดสน หมายถึงขัดสนแบบทนทุกข์ทรมาน เขาก็จะอยู่อย่างสบายบนโลกใบนี้ นี่ยกตัวอย่างให้ฟัง ถึงบอกว่าเรียนรู้จักเรื่องพระเจ้า มันไม่ใช่แค่ที่เราได้ยินเท่านั้นเอง แต่มันลึกเข้าไปทุกวันๆ

เรากลับมาต่อเรื่องอุปมาคำสอนของพระเยซู ตอนที่ 10 แต่ก่อนเริ่มของวันนี้ เราจะมาทบทวนที่ได้เรียนรู้ไปเมื่อครั้งที่แล้วสักนิดหนึ่ง เพราะว่ามันจะมีประเด็นที่เกี่ยวเนื่องกับเรื่องเนื้อหาในวันนี้ด้วย คล้ายๆ กัน

ครั้งที่แล้ว ตอนที่ 9 เราได้เรียนอุปมาคำสอนของพระเยซูในหนังสือลูกา บทที่ 7 ที่พระเยซูได้รับเชิญให้ไปทานอาหารที่บ้านของซีโมน … ซีโมนคนนี้  ไม่ใช่ซีโมนเปโตร  อัครสาวก   แต่เป็นฟาริสีคนหนึ่ง แล้วก็มีหญิงคนหนึ่ง ซึ่งเป็นที่รู้จักกันในเมืองนั้นว่าเป็นหญิงชั่วมาก เป็นคนบาปมาก ผู้หญิงคนนี้เขาก็มาหาพระเยซู แล้วก็เอาน้ำมันหอม มาชโลมที่พระบาท ที่เท้าของพระองค์ แล้วก็ใช้ผมของเธอเช็ดที่พระบาทพระเยซู แล้วก็จูบที่พระบาทนั้น พอพวกฟาริสีที่นั่งรับประทานอาหารด้วยกัน เห็นพระเยซูยอมให้ผู้หญิงคนนี้ ซึ่งเป็นคนชั่วคนบาปหนามาเข้าใกล้ ก็ตกใจ คิดในใจว่า …

“ถ้าพระเยซูเป็นผู้เผยพระวจนะ หรือมาจากพระเจ้าจริง พระองค์ต้องรู้สิว่าคนนี้เป็นคนบาปชั่วมากเลย เข้าใกล้ไม่ได้” อะไรประมาณนี้

พวกฟาริสีก็ถือตัว เมื่อเห็นอย่างนั้น พระเยซูน่าจะทำเหมือนอย่างที่เราคิดกัน คือมันอยู่คนละชั้น เราฟาริสี พวกที่เคร่งในศาสนา เคร่งในบัญญัติของพระเจ้า จะไม่ไปยุ่งด้วยกับคนชั่วมากกว่าเรา พูดง่ายๆ คนเหมือนกัน ชั่วมากกว่า เพราะตัวเองมีความมั่นใจในการรักษาบทบัญญัติของพระเจ้า เป็นถึงขนาดฟาริสี คือเคร่งในบัญญัติ เคร่งในศาสนามาก จะไปอยู่ใกล้ชิดกับคนบาปหนา ผู้หญิงอย่างนี้ ไม่ได้ ต้องอยู่ห่างๆ ไว้ แบ่งชั้นวรรณะคนด้วยศีลธรรม พูดง่ายๆ

พระเยซูก็อ่านในใจออก พระองค์รู้ว่าพวกนี้คิดอะไรอยู่ แม้กระทั่งสาวกของพระองค์เอง เปโตรนั่งอยู่ตรงนั้น คิดอะไรอยู่ พระองค์เลยตรัสสอนคำอุปมาที่เราได้เรียนรู้กันไปครั้งที่แล้ว

พระองค์บอกว่าคนปล่อยเงินกู้ มีลูกหนี้ 2 ราย รายหนึ่งเป็นหนี้ 500 บาท อีกรายหนึ่งเป็นหนี้ 50 บาท แล้วเจ้าหนี้ ก็ยกหนี้ให้ทั้งหมดเลย ถามว่าในสองคนนี้ คนไหนรักเจ้าหนี้มากกว่ากัน ทุกคนก็ตอบกันหมดว่าคนที่มีหนี้มากกว่า แน่นอน คนที่มีหนี้มากกว่า ต้องรักเจ้าหนี้มากกว่า

“ปลดหนี้ฉันหมดเลย ฉันแบกรับหนี้ไม่ไหว 50 ล้าน ใช้ไม่หมดแน่ๆ”

อีกคนหนึ่งเป็นหนี้ 500 บาทเอง ถึงพระองค์ไม่ช่วย ฉันผ่อนไปในชีวิตนี้ ฉันก็มีสิทธิ์ที่จะผ่อนหมดเหมือนกัน เพราะฉะนั้น โอเค มายกหนี้ให้ก็ขอบคุณเฉยๆ ไม่ค่อยซึ้งเท่าไร? แต่อีกคนหนึ่ง ชีวิตนี้ทั้งชีวิต ไม่มีทางใช้หนี้เขาหมด ตลอดไปเลยแน่นอน 50 ล้านบาท ไม่มีทางเลย แต่พระเยซูบอกเจ้าหนี้คนนี้ยกให้ ซึ้งมาก เห็นชัดๆ พระเยซูยกอุปมาเรื่องนี้ เพื่ออธิบายว่าเพราะผู้หญิงคนนี้ รู้ตัวดีว่าตัวเองทำอะไรมาบ้าง เป็นหนี้เยอะเท่าไร? มีบาปหนาติดตัวมากเท่าไร? มากมายขนาดไหน? ตัวเองช่วยตัวเองไม่ได้แน่นอน จำเป็นต้องพึ่งใครสักคนหนึ่งมาช่วย เพราะตัวเองช่วยไม่ได้แล้ว เปรียบเทียบในเรื่องอุปมานี้ ก็คือเหมือนกับคนที่เป็นหนี้เขามากมายมหาศาล ไม่มีวันที่จะใช้ด้วยกำลังของตัวเองได้ ก็จะรักเจ้าหนี้ที่ยกหนี้ให้มาก เพราะว่าเหมือนชุบชีวิตใหม่ขึ้นมาเลย

นี่ยกตัวอย่างพวกฟาริสีหรือพวกยิว ที่รักษาบทบัญญัติ ที่ไม่ใช่ฟาริสี เป็นชาวบ้านธรรมดา แต่รักษาบทบัญญัติมาก ก็รู้สึกว่าตัวเองยังทำได้ ยังผ่อนได้  พอเขายกหนี้ให้ ไม่ใช่ไม่รับนะ รับ ขอบคุณครับ คนนี้มีบุญคุณกับฉัน เท่านั้นเอง จบ ในความเป็นจริงเป็นอย่างนั้น พวกนี้รู้หมด คิดอะไร ก็เลยอุปมานี้มาให้เห็นชัดๆ ว่ามันคืออะไร? เมื่อเทียบในปัจจุบัน เรื่องธรรมดาเลยเป็นอย่างนี้ มันไม่ใช่ผิดหรือถูก แต่มนุษย์คิดอย่างนี้แหละ

พระเยซูบอกว่า “เหตุฉะนั้น เราบอกท่านว่าบาปมากมายของนางได้รับการอภัยแล้ว ตามที่ได้เห็นตามความรักมากมายของนาง แต่ผู้ที่ได้รับการอภัยน้อย ก็รักน้อย” เป๊ะ

และพระเยซูก็ได้ตรัสกับหญิงชั่วคนนั้นว่า “ความเชื่อของเจ้า ได้ทำให้เจ้ารอด จงไปเป็นสุขเถิด”

“ความเชื่อของเจ้า ได้ทำให้เจ้ารอด” ซึ่งพวกเราในยุคปัจจุบันนี้  หรือตั้งแต่อดีตมาถึงปัจจุบัน ก็เหมือนกับที่พระเยซูได้ยกอุปมาอันนี้  ที่ได้เรียนรู้กันไปเมื่อครั้งที่แล้ว ก็คือมีอยู่ 2 พวก

พวกหนึ่ง คือพวกที่เป็นเหมือนกับผู้หญิงคนนี้ คือรู้ว่าตัวเองช่วยตัวเองไม่ได้ เป็นหนี้เขาเยอะเหลือเกิน เมื่อไรจะใช้บาป เวรกรรมหมดสักที ไม่ไหวแล้ว เดี๋ยวก็ทำผิด เดี๋ยวก็ทำพลาด เดี๋ยวก็ผิดศีลธรรม เดี๋ยวก็ควบคุมอารมณ์ไม่อยู่ มันทำไมเลวอย่างนี้ นี่ในใจพูดนะ

“ทำไมฉันเป็นคนแย่แบบนี้ๆ”

พอเจอพระเยซูเข้าไป พระเยซูยกหนี้ให้หมด พระเยซูตายที่ไม้กางเขน เพื่อเราได้รับความรอด น้ำหูน้ำตาไหล พระองค์เป็นผู้ไถ่บาปฉันทั้งหมดทั้งสิ้นแล้ว ที่ฉันทำไม่ได้ นี่แหละพวกแรก ท่านก็ไปคิดดูแล้วกันว่าท่านเป็นพวกไหน?

พวกที่สอง คือฉันก็เป็นคนมีบาป มีกรรมเหมือนกัน เกิดมาก็ติดหนี้ ใช้บาปเวรกรรม แต่ว่าฉันเป็นคนเอาจริงเอาจัง ในเรื่องของชีวิต ในเรื่องของศาสนาที่ฉันนับถืออยู่ เคร่งครัดในจริยธรรม ศีลธรรม อะไรก็แล้วแต่ พยายามทำที่สุดเลย แล้วพยายามกัดฟันทนกับความบาปผิดอะไรที่ทำ ผิดแล้วผิดเล่า ก็พยายามสู้กับมัน สู้ด้วยตัวเอง พอมาเชื่อพระเยซู อาจจะเฉยๆ ด้วยซ้ำไป เพราะมีความรู้สึกว่าสู้ด้วยตัวเองได้  เผื่อจะสะสมบารมีไปอีกหลายชาติ จะได้หมดหนี้ได้

อย่างนี้ไง  พอเห็นไหม 2 พวก นี่คือตามภาษามนุษย์ พระองค์สอนอุปมาเรื่องนี้มา 2,000 ปีเลยนะ เอามาพูดในยุคปัจจุบัน ก็เป็นอย่างนี้อยู่เหมือนเดิม จะมีอยู่ 2 พวก แม้คนที่มาเชื่อพระเจ้าแล้ว ได้รับความรอดแล้ว ก็จะมี 2 พวกนี้นี่แหละ ก็ยังแบบนี้ ลองถามสิว่าที่นั่งอยู่ที่นี่ ท่านรับเชื่อในพระเจ้าแล้ว รอดแล้ว ได้รับการยกหนี้แล้ว ท่านอยู่ในประเภทไหน? อยู่ในประเภทแรก รักพระเยซูสุดใจ อย่างไรฉันก็ไม่สามารถช่วยตัวเองได้ หรือท่านกำลังคิดว่าท่านสมควรได้รับความรอดจากพระเจ้าแล้ว

“เพราะก่อนที่จะเชื่อพระเจ้า ฉันเป็นคนทำดีมาก สังคมยกย่องว่าฉันเป็นคนดี มีความยุติธรรม มีความเมตตาต่อผู้คน อะไรต่างๆ เหล่านั้น เป็นคนใจบุญ ฉันไม่เหมือนอีกคนหนึ่ง ก่อนมาเชื่อพระเจ้าขี้เหล้าเมายา หยำเป คดโกงคนอื่นมาเยอะแยะ ก่อนตาย ถึงมารับเชื่อ”

เราอยู่ในประเภทไหน? พระเยซูบอกเท่ากัน นี่คืออุปมาที่ทำให้เราได้เห็นชัดเจนว่ามันมีอย่างนี้ตลอดเวลา ซึ่งไม่ใช่ข่าวประเสริฐของพระเจ้า ไม่ใช่วิธีการคิดของพระเจ้า

และสำหรับคนกลุ่มที่สองที่บอกว่าตัวเองสมควรได้รับความรอด ส่วนใหญ่แล้วคนเหล่านี้ ชอบไปตัดสินคนอื่นว่าคนนี้ไม่สมควรได้รับความรอด จะไปสมควรได้อย่างไร? ทำตัวอย่างนี้ แต่พระเจ้าไม่ได้คิดอย่างนั้น คนก็คิดแบบคนกลุ่มที่ 2 คือพวกฟาริสี แม้ว่าจะเชื่อเรื่องพระเจ้า แล้วก็เป็น ไม่เชื่อก็เป็น คือมองคนอื่นตามสายตาของมนุษย์ว่าเขาเป็นอะไรตอนนี้ เขาขี้เหล้าเมายา เขาสมควรได้รับไหม? ไม่สมควร

คนที่เป็นคริสเตียนแล้ว ทุกวันนี้ยังมีแบบกลุ่มที่ 2 คือกลุ่มฟาริสีกับสาวก ชาวยิวในขณะนั้นที่ฟังอยู่ไหม? ที่พระเยซูยกตัวอย่าง มีไหม? เช่น …

ไม่เห็นรับใช้เลย ฉันรับใช้ทั้งวันทั้งคืน ตื่นขึ้นมา จิตใจฉันมีแต่รับใช้ อธิษฐานทั้งวันทั้งคืน เธอไม่เคยประกาศเลย เธอไม่เคยอธิษฐานเลย เธอไม่เคยอันโน้นอันนี้ คนนี้ลำบากแล้ว ต้องอธิษฐานให้เขามากขึ้น เขาเหมือนสะดุดแล้ว เพราะเขาอธิษฐานน้อย อดอาหารไม่เห็นอด ประกาศ ก็ไม่เห็นประกาศเลย เขามีงานประกาศ ก็ไม่เห็นไปร่วมกับเขาเลย เคยได้ยินไหม? ที่พูดไม่ได้ว่าสิ่งเหล่านี้ไม่ดี แต่ว่าความคิดเหล่านี้มันไม่ถูกต้อง สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่ดีหมด แต่ไม่ใช่เอาสิ่งเหล่านี้มา เพื่อเสริมบารมีให้ตัวเองว่าฉันสมควรได้รับความรัก ความเมตตาจากพระเจ้ามากกว่าอีกคนที่เขาไม่ได้ทำ

เข้าใจใช่ไหมครับว่ามันมีอย่างนี้จริงๆ บางคนก็บอกว่ามีความรู้สึกว่า …

“ดูสิ อย่างนี้ได้รับความรอดเหรอ”

“ทำไม”

“เป็นคริสเตียนมา 30 ปี ยังโกหกอยู่เลย ยังติดเหล้า ติดบุหรี่อีก เป็นคริสเตียนได้อย่างไร?”

แล้วก็ดูถูกเขา เหยียดเขาเป็นเหมือนคริสเตียนชั้น 2 หรือไม่อย่างนั้น ก็ขับออกจากโบสถ์ไปเลย อะไรต่างๆ เหล่านี้ ในขณะที่ขับออกจากโบสถ์ไป กรรมการที่ประชุม อาจจะเป็นผู้ใหญ่ในที่ประชุม อาจจะลงมติว่าขับคนนี้ออกไป  สูบบุหรี่เป็นประจำ ไม่ยอมทิ้งนิสัยนี้ 30 ปีแล้ว ให้เขาขับออกจากโบสถ์ไปเลย สมมตินะ มีหรือเปล่าไม่รู้ นี่ยกตัวอย่างให้เห็นชัดๆ คณะกรรมการอาจจะมี 6 คน … 6 คนในนั้น มี 3 คน อ้วนมาก หมอสั่งให้ลดอาหาร ประมาณ 40 ปี ลดไม่ได้สักที ผมอยากทราบว่าคนที่ติดบุหรี่

กับคนที่อ้วนมาก จะเป็นโรคอย่างนั้น ถวายเกียรติพระเจ้าหรือไม่ถวายเกียรติเท่ากันไหม? เท่ากัน แต่คนชอบไปมองคนสูบบุหรี่ แต่คนอ้วนไม่มองเขา ไม่ได้ว่าคนอ้วนนะ ยกตัวอย่างชัดๆ เลยว่ากินๆ ไม่ยอมหยุด จนอ้วนมาก ถวายเกียรติพระเจ้าไหม? ไม่ถวาย หมอสั่งห้ามหรือยัง? สั่ง สั่งมานานเท่าไรแล้ว? 40 ปี แต่คนก็ไม่เห็นจะขับเขาออกจากโบสถ์ นี่พยายามพูดให้แรงๆ เพื่อจะได้เห็นภาพความแตกต่างชัดเจนว่าบางคนบอกว่า ….

“โบสถ์นี้ไม่ดีเลย โกหกและโกงพี่น้อง มาบอกพี่น้องยืมเงินเขา 5,000 บาท จะคืน แล้วหายไปเลย ไม่ยอมมาคืนเขา” ว่าเขาใหญ่เลย

อีกคนหนึ่งเป็นนักธุรกิจใหญ่โต อาจเป็นมัคนายกของโบสถ์ก็ได้ แต่ไปโกงข้างนอกมา โดยที่ตัวเองก็รู้ เขาเรียกอะไร? บาปบริสุทธิ์ กินตามน้ำ  อย่างนี้ ถามว่าแล้วมันต่างกันตรงไหน? เห็นไหม? พระเจ้าไม่ได้บอกอย่างมนุษย์มอง มนุษย์เรามองข้างนอก เป็นอย่างนี้ๆ แต่พระเจ้ามองดูข้างในลึกๆ พูดง่ายๆ มันก็เลวพอๆ กัน และดีพอๆ กัน ถ้าเกิดใหม่ในพระเจ้า ก็ดีเท่าๆ กันหมดเลย เป็นลูกของพระเจ้า แต่ถ้าไม่เกิดใหม่ ก็เลวเท่ากันหมด เพราะในพระคัมภีร์บอกมนุษย์ทุกคนเป็นบาป

พระองค์พูดกับหญิงคนนี้ว่า … “ความเชื่อของเจ้า ทำให้เจ้าได้รับความรอด หลุดพ้นจากโทษของความบาป” ไม่ใช่พระองค์ด้วยซ้ำ

พระองค์น่าจะพูดว่า “เพราะฉันไถ่บาปเธอ เธอจึงได้รับความรอด”

ไม่ใช่ พระองค์บอกว่า “ความเชื่อของเธอ ทำให้เธอได้รับความรอด”

ไม่ใช่พระเยซูด้วยซ้ำ อย่างนี้น่าคิด เป็นส่วนหนึ่งที่น่าจะเอามาพูดให้เห็นชัดเจน ทุกวันนี้ คนมาเชื่อพระเจ้า และได้รับความรอดจากบาป ถามว่าใครช่วยเขาให้ได้รับความรอด ตอบว่าพระเยซู ถูกไหม? แต่ยังไม่ถูกเจ๋งเลย แต่ถ้าอยากให้ถูกเป๊ะ เหมือนพระเยซูเลย ต้องบอกว่าตัวเขาเอง พอเราบอกตัวเขาเองปุ๊บ ข่าวประเสริฐของพระเจ้า ครบบริบูรณ์เลย มันต่างกันอย่างไร?  พอเราบอกเราปุ๊บ แสดงว่าพระเยซูทำเสร็จไปแล้ว แต่ถ้าเราบอกพระเยซู แสดงว่าพระเยซูยังทำไม่เสร็จ เพิ่งมาทำตอนนี้

เข้าใจไหม? สมมติเราบอกว่าเรารอดตอนนี้ รอด เพราะพระเยซู มันก็ถูกแค่ครึ่งเดียว ทำให้ข่าวประเสริฐตุปัดตุเป๋ไป ถ้าผมบอกว่าผมรอด เพราะพระเยซูมาช่วยผม แสดงว่าพระเยซูเพิ่งมาช่วยผม ถูกหรือเปล่า? แต่พระคัมภีร์บอกว่าพระเยซูช่วยเราตั้งแต่เรายังไม่เกิด ตั้งแต่เมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว บนไม้กางเขน พระเยซูเอาบาปของมนุษย์ทั้งหมดออกไปแล้ว ถูกไหม? ผมเพิ่งเกิดมา ผมเพิ่งรู้ข่าวประเสริฐ ผมยังไม่เชื่อข่าวประเสริฐนั้นเป็นเวลา 30, 40 ปี ไม่เชื่อๆ จนอายุ 30 กว่าปี ฟังข่าวประเสริฐอีกที ผมรับสิทธิของผม ผมรับเชื่อปุ๊บ ถามว่าผมรอด เพราะอะไร? เพราะตัวผมเอง (ไม่เชื่อมาตั้งนาน) ถ้าผมเกิดมา อุแว้ ผมเชื่อเลย ผมก็ได้รับความรอดมาตั้งนานแล้ว ผมได้รับความรอดตั้งแต่อยู่ใน DNA ของพ่อแม่ ตั้งนานแล้ว ผมได้รับความรอดตั้งแต่ DNA ของใครไม่รู้ บรรพบุรุษของผม ตั้งแต่เมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว ตั้งแต่ที่ไม้กางเขน ผมได้รับความรอดแล้ว เอเมน เหมือนกับผมไม่ได้รับความรอด ผมเป็นคนบาป ตั้งแต่สมัยอยู่ในอาดัม เมื่อหลายพันปีก่อนโน้น ตั้งแต่อาดัมล้มลงไปในความบาป ผมหล่นไปด้วยเลย  เพราะผมอยู่ใน DNA ของอาดัม เห็นภาพไหม?  นี่คือข่าวประเสริฐ นี่คือข่าวดี พระเยซูสอนลึกซึ้งมาก เวลาท่านไปอ่าน ค่อยๆ ทีละนิดทีละหน่อย ทุกคำในนั้นเลย สามารถเป็นสติปัญญาให้เราเห็นว่าพระองค์กำลังสอนเรื่องอะไร?

ผมบอกแล้วใช่ไหมว่าอุปมาของพระเยซูไม่ได้สอนเรื่องจริยธรรม ศีลธรรม แต่สอนเรื่องเกี่ยวกับแผ่นดินสวรรค์  เกี่ยวกับการบังเกิดใหม่ เข้าไปในสวรรค์ได้อย่างไร? แค่นี้เอง สวรรค์เขาคิดกันอย่างไร?  เขาทำกันอย่างไร?  ทำอย่างไรถึงไปอยู่ในสวรรค์ได้ คำอุปมาคำสอนของพระเยซูที่เราได้เรียนกันไป ทำให้เราได้เห็นถึงความรักของพระเจ้า ที่ยิ่งใหญ่ ซึ่งเรียกว่าพระคุณ

อุปมาเหล่านี้ ทำให้เห็นถึงพระคุณของพระเจ้า ความรักของพระเจ้าที่มาถึงมนุษย์ทุกคนเท่ากันหมด เทลงมาเลย ไม่สามารถบอกได้ว่าเทให้คนนี้มากกว่าคนนี้ เทลงมาเท่ากันหมด เหมือนที่คนไทยชอบพูดว่าฝนตกทั่วฟ้า ผู้หญิงคนนี้ทำบาปมาก ดูไม่มีค่าในสายตามนุษย์ โดยเฉพาะตามสายตาของผู้คนรอบข้างที่คิดว่าตัวเองนั้นบริสุทธิ์กว่า ทำได้ดีกว่า หรือรับใช้พระเจ้า อยู่ใกล้ชิดพระเจ้ามากกว่า ซึ่งอาจจะมองเธอเป็นคนอีกชั้นหนึ่ง แต่จริงๆ แล้วพระคุณพระเจ้าเทลงมาเท่ากันหมด พระเยซูกำลังสอนสาวกและพวกเราทุกคนว่าอย่าคิดอย่างนี้ ถ้าคิดอย่างนี้มันผิดหมด มันไม่ใช่เลย  มันไม่ถูกต้องเลย ในความรักของพระเจ้า ให้ทุกคนได้รับความรอดเท่ากัน ไม่ใช่ด้วยการกระทำของตนเอง แต่รอดในพระคุณ ตรงนี้เป็นหัวใจ เป็นน้ำหนักสำคัญของเรื่องข่าวประเสริฐของพระเจ้า จำเป็นมากที่จะพูดเรื่องนี้ รอดโดยพระคุณ ไม่ใช่การกระทำ  ท่องเป็นพันเป็นล้าน เดี๋ยวมันก็กลับมาที่ตัวเรา ขอเติมสักนิดหนึ่งไม่ได้เหรอ มันทำให้ข่าวประเสริฐของพระเจ้าเจือจางลงไป ถ้าเต็มร้อย มันต้องรอดโดยพระคุณอย่างเดียว ไม่เกี่ยวกับการกระทำเลย ไม่ว่าจะกรณีไหนที่นำมาเกี่ยวกับความรอด ต้องคิดอย่างนี้

ไม่ว่าจะบาปเล็ก บาปน้อย บาปใหญ่ บาปหนา บาปบางเท่าไร พระเจ้าก็ถือว่าเป็นบาป ไม่มีเล็ก ไม่มีใหญ่ แล้วไม่มีการว่าเกิดใหม่ แล้วเป็นเล็ก เป็นน้อย เป็นใหญ่ เกิดใหม่ ก็คือเกิดใหม่ในวิญญาณเท่ากันหมด ทุกคนบาปเท่ากัน และให้รับความเมตตาจากพระเจ้าเท่ากัน ไม่มีใครเด่นกว่าใคร? นี่คือสิ่งที่พระเยซูพยายามจะสื่อให้พวกเราได้เห็นว่าสวรรค์ของพระเจ้า เป็นอย่างนี้ การบังเกิดใหม่ ก็บังเกิดเลย มีสิทธิเท่ากันหมดเลย ไม่ใช่ว่าบังเกิดใหม่แล้ว คนนี้ดีกว่าคนนี้ คนนี้เท่ห์กว่าคนนี้ คนนี้ใหญ่กว่าคนนี้ คนนี้นั่งเบื้องซ้าย คนนี้นั่งเบื้องขวา แต่พระคัมภีร์บอกทุกคนเกิดใหม่ แล้วก็ไปนั่งที่เบื้องขวาของพระเจ้าเท่ากันหมดเลย บางคนสงสัยมากว่า นั่งเท่ากันหมด แล้วเก้าอี้จะใหญ่ขนาดไหน? อันนี้เกินเหตุไปนิดหนึ่ง เราคิดไม่ออกหรอก แต่พระเจ้าบอกอย่างนั้น ก็คืออย่างนั้นแหละ

พระคัมภีร์บอกเราได้ถูกบังเกิดใหม่แล้ว เราได้ถูกแต่งตั้งให้นั่งอยู่ที่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้า ร่วมกับพระเยซูคริสต์

“เรา” คือผู้ที่เชื่อในข่าวประเสริฐ ได้รับความรอดแล้ว ตั้ง 2,000 กว่าปีมานี้ มีกี่คน? รวมทั้งเราที่นั่งอยู่ที่นี่ มีทั้งหมดรวมกี่คนไม่รู้ แล้วเก้าอี้มันจะใหญ่ขนาดไหน? ฝากคิดดู สัปดาห์หน้ามาตอบ และทุกคนมีสิทธิเท่ากันหมด  พระเจ้ารักเราเท่ากันหมด เพราะทุกคนเป็นลูกของพระเจ้า เอเมน ขอบคุณพระเจ้า ไม่ว่าท่านจะเป็นใคร? รับเชื่อเมื่อไร? ทำอะไรมาก่อน แม้ว่าเชื่อแล้ว จะทำอะไรๆ ก็ไม่สำคัญ ท่านเกิดเป็นลูก ก็เป็นลูกเลย รักในฐานะเป็นลูก

อุปมาคำสอนของพระเยซู เรื่องต่อไป ที่วันนี้เราจะมาคุยกัน ก็ยังอยู่ในประเด็นนี้ ความรักของพระเจ้า ที่ให้กับมนุษย์เท่าเทียมกัน ในเรื่องผู้หญิงที่เราได้เรียนกันไป มันเป็นเรื่องเท่าเทียมกัน ในการอภัยในความบาป ไม่ว่าบาปเล็ก บาปใหญ่ ก็อภัยเหมือนกันหมด เกิดใหม่ ก็เกิดใหม่เหมือนๆ กันหมด แล้วเรื่องที่เราจะเรียนกันต่อวันนี้ อยู่ในหนังสือมัทธิว บทที่ 20 เป็นเรื่องของการเท่าเทียมกันในรางวัลที่จะได้รับ จากพระเจ้าในสวรรค์ (สวรรค์ไม่ต้องรอข้างหน้านะ เราเรียนเลยกันมานานแล้ว สอนมาตั้งนานแล้วว่าพอเชื่อพระเจ้าปุ๊บ ท่านอยู่ในสวรรค์แล้ว ตอนนี้นั่งอยู่ในสวรรค์แล้ว)

มัทธิว 20:1-16 “1 ด้วยว่าอาณาจักรสวรรค์ เป็นเช่นเจ้าของสวน ซึ่งออกไปแต่เช้า เพื่อจ้างคนมาทำงานในสวนองุ่นของตน 2 เมื่อเขาตกลงว่าจะจ่ายค่าจ้างวันละหนึ่งเดนาริอัน แล้วก็ให้พวกเขา มาทำงานในสวนองุ่น 3 “ราวสามโมงเช้า เขาออกไปเห็นหลายคนยืนอยู่ว่างๆ ที่ตลาด 4 จึงชวนว่า ‘มาทำงานในสวนองุ่นของเราสิ เราจะให้ค่าจ้างตามสมควร’ 5 พวกเขาก็มา “ตอนเที่ยงวัน และบ่ายสามโมง เจ้าของสวนออกไปทำเช่นเดิมอีก 6 ราวห้าโมงเย็น เขาออกไปพบคนยืนอยู่ จึงถามว่า ‘ทำไมมายืนอยู่ว่างๆ ทั้งวันที่นี่?’ 7 “พวกนั้นตอบว่า ‘เพราะไม่มีใครจ้างเรา’ “เขาจึงพูดว่า ‘มาทำงานที่สวนของเราสิ’ 8 “พอพลบค่ำ เจ้าของสวนองุ่น ก็สั่งหัวหน้าคนงานว่า ‘ไปเรียกคนงานมารับค่าจ้าง ตั้งแต่คนหลังสุด ไปจนถึงคนแรกสุด’ 9 “ลูกจ้างที่มาเริ่มทำงานตอนประมาณห้าโมงเย็น รับเงินไปคนละหนึ่งเดนาริอัน 10 ฝ่ายคนที่มาก่อน นึกว่าตนจะได้มากกว่านั้น แต่ก็ได้คนละหนึ่งเดนาริอันเหมือนกัน 11 เมื่อพวกเขารับเงินแล้ว จึงบ่นต่อว่าเจ้าของสวน 12 ‘คนมาทีหลังทำงานแค่ชั่วโมงเดียว กลับได้เท่าๆ กับเรา ที่ตรากตรำกรำแดดมาทั้งวัน’ 13 “แต่เจ้าของสวนตอบคนหนึ่งในพวกนั้นว่า ‘เพื่อนเอ๋ย เราไม่ได้โกงนะ ก็ตกลงกันไว้ว่าหนึ่งเดนาริอันไม่ใช่หรือ? 14 รับค่าจ้างและไปเถิด เราพอใจจะให้คนมาทีหลังได้เท่าๆ กันกับท่าน 15 เงินของเรา เราไม่มีสิทธิ์ใช้ตามใจชอบหรือ? หรือว่าท่านอิจฉา เพราะเห็นเราใจกว้าง?’ 16 “ดังนั้น คนสุดท้ายจะเป็นคนต้น และคนต้นจะเป็นคนสุดท้าย

 

อุปมาของพระเยซูเรื่องนี้ ประโยคที่เราคุ้นๆ กันอยู่ ได้ยินบ่อยมาก ก็คือถ้อยคำตอนท้าย ที่บอกว่าคนสุดท้ายจะเป็นคนต้น และคนต้นจะเป็นคนสุดท้าย ใครอยากเป็นคนสุดท้าย ยกมือขึ้น ไม่มี ใครอยากเป็นคนต้น ยกมือขึ้น ดีแล้วที่ไม่ทำ คิดในใจก่อนตรงนี้แปลว่าอะไร? แต่ดีแล้วที่ไม่ยก ยกหรือไม่ยก ก็เหมือนกันหมด ผมว่าถ้าไม่ยก แสดงว่าท่านเข้าใจอุปมาของพระเยซู ที่เรียนมา 9 ตอน ตอนนี้เป็นตอนที่ 10 ถ้าเป็นสมัยก่อนอาจจะยก

ประโยคนี้มีคนพยายามที่จะตีความหมายกันเยอะมาก ถูกบ้าง ผิดบ้าง แต่พูดเสมอว่าการศึกษาพระคัมภีร์ เราไม่ควรหยิบยกประโยคใด ประโยคหนึ่งขึ้นมา หรือถ้อยคำใด ถ้อยคำหนึ่งขึ้นมา และก็ตีความเช่นนั้น โดยไม่ได้คำนึงถึงบริบท ในเนื้อหาของสิ่งที่บันทึกไว้ในนั้น การตีความแบบนั้น อันตรายมากๆ แล้วก็มีผิดแบบตั้งใจก็มี แล้วก็แบบไม่ตั้งใจ ก็มี

แบบในอุปมาคำสอนเรื่องนี้ เจ้าของสวนองุ่น ต้องการจ้างคนมาทำงานในสวนองุ่น แล้วก็ออกไปหาคนงานตั้งแต่เช้า ได้คนมากลุ่มหนึ่ง โดยตกลงกับคนที่มาตั้งแต่เช้าว่าจะให้ค่าจ้าง 1 เดนาริอัน ตอนเที่ยงก็ออกไปหาคนงานมาเพิ่มอีก ตอนบ่ายสามโมงก็ออกไปหาคนงานเพิ่มอีก  3 กลุ่ม จนกระทั่งห้าโมงเย็น ก็ยังออกไปหาคนงานชุดสุดท้าย ตอนนี้มี 4 กลุ่ม เข้ามาทำงานในสวนเพิ่มอีก ในนี้บอกว่าคนที่มาทีหลังสุด ทำงานแค่ 1 ชั่วโมง แสดงว่า 6 โมงเลิก

สมมติว่าเราเป็นคนหนึ่งในคนงานที่เริ่มมาทำงานตั้งแต่เช้า นับไปประมาณ 10 ชั่วโมง และระหว่างทำงานทั้งวัน เราก็อดไม่ได้ ตามภาษามนุษย์ เราก็เห็นคนงานมาใหม่ เข้ามาสมทบ เป็นระยะๆ แต่ในใจเราคิด มากี่โมง? จะได้เท่าเราไหมเนี้ย เราก็ต้องคิดเป็นธรรมดา มนุษย์คิดอย่างนี้ เพราะเรามองเห็นตอนเขาเข้ามา เราได้ 1 เดนาริอัน แล้วเขาจะได้เท่าไร? ซึ่งบางคนก็ทำงานแค่บางช่วง ก็ 6 ชั่วโมงบ้าง? 3 ชั่วโมงบ้าง? อะไรประมาณนี้ น้อยที่สุด ก็คือ 1 ชั่วโมง ตามหลักความยุติธรรมของมนุษย์ ค่าจ้างของแต่ละคน ก็ไม่ควรที่จะเท่ากัน อันนี้ถูกหรือไม่ถูก? ถูกนะ มนุษย์ที่อยู่ในความบาป ก็คิดอย่างนี้ทุกคน แน่นอน มันถูกต้องเลย ตามเหตุและผล ถูกหมด

อ่านให้ดีๆ แต่ในนี้ อุปมาในสวรรค์เขาคิดกันอย่างนี้ บรรทัดแรกขึ้นมา บอกในสวรรค์เขาเป็นอย่างนี้ ไม่เห็นความคิดแบบมนุษย์เลย  พระเยซูกำลังสอนเราในอันดับแรก คือสวรรค์กับมนุษย์ไม่เหมือนกัน อย่าเอามาเทียบว่ามนุษย์เป็นอย่างนี้ สวรรค์ก็ต้องเป็นอย่างนี้ ไม่ใช่ บางคนบอกว่าพระเจ้าตีสอน มนุษย์ยังตีสอน รักลูก เรายังเฆี่ยนเลย  เอาหวายฟาด พระเจ้ารักเรา ก็ต้องเฆี่ยนเรา พระเจ้าอยู่ในสวรรค์นะ อย่าไปคิดอย่างนั้น พระเจ้าไม่ปล่อยเราอย่างนี้หรอก ปล่อยอย่างไร? ไม่รู้ แต่ก่อนผมก็คิดอย่างนี้  ถ้ามนุษย์ทำอย่างนี้ พระเจ้าคงจะทำอย่างนี้ คิดไม่ได้แล้ว ไม่ใช่เลย ความรักพระเจ้าเกินล้นมากเลย พระเจ้าดูแลเรา พระคัมภีร์พูดอย่างไร? เราก็พูดอย่างนั้น พูดตามนั้น

แต่ปรากฏว่าพอเลิกงาน ถึงเวลาจ่ายค่าจ้างแล้ว เจ้าของสวนองุ่น ก็เรียกคนงานมารับค่าจ้างตั้งแต่คนหลังสุด ไปจนถึงคนแรกสุด มันน่าโมโหไหมล่ะ เรามาแต่เช้านะ พอรับค่าจ้าง ให้คนมาสุดท้ายได้ก่อน ลูกจ้างที่เริ่มทำงานตอน 5 โมงเย็น รับคนละ 1 เดนาริอัน ตามสัญญา ทำไปแค่ชั่วโมงเดียวเอง ได้รับก่อน มาทีหลังด้วย ฝ่ายคนที่มาก่อน นึกว่าตนเองจะได้รับมากกว่านั้น แต่ก็ได้คนละ 1 เดนาริอันเหมือนกัน ไม่ได้รับก่อน คงนึกว่าเราคงได้รับรางวัลพิเศษ เลยเอาไว้ทีหลัง ถูกไหม? ถึงเวลารับ ไม่พอใจมากเลย  อะไรอ่ะ ไม่ได้รับรางวัล ยังให้มารับทีหลังอีกต่างหาก แต่นี่ระบบสวรรค์ พระเยซูกำลังบอกว่านี่ระบบสวรรค์ใช่ไหม? ตอนเริ่มต้นบอกใช่ไหมว่านี่เป็นระบบสวรรค์ มันน่าเจ็บใช่ไหม? ถ้าเราเป็นคนงานที่มาเริ่มทำงานตั้งแต่เช้า แล้วทำงานมาเป็น 10 ชั่วโมง แต่เวลาจ่ายเงิน ไปเรียกคนที่ทำงานสุดท้าย มาเข้าแถวก่อนเลย รับเสร็จ ก็ไปกินเฮฮาก่อนเราอีก เราจะคิดอย่างไร? เราอาจจะคิดใจชื้น อย่างที่บอก เดี๋ยวเราจะมีรางวัลมากกว่านั้น แต่ปรากฏว่ารางวัลก็ไม่ได้ อะไรก็ไม่ได้ ได้เท่ากัน ซึ่งเสียเปรียบ เพราะว่าไม่ได้รางวัลจากสิ่งที่เราคาดหวัง ตามภาษามนุษย์ว่าเราทำอย่างนี้ เราควรจะได้ แล้วเรายอมไหม? เรายอมในความไม่ยุติธรรมไหม? ไม่มีทางยอมหรอก ตราบใดที่เรายังไม่สามารถนำเอาความรักของพระเจ้า ที่เราได้บังเกิดใหม่เข้ามาอยู่ในใจเรา เราไม่มีทางตัดสินอะไรบนโลกใบนี้ได้ถูกต้องเลย มันจะไปคนละทิศคนละทางหมด

พระเยซูกำลังจะสอนเราอย่างนี้แหละว่าอย่างไรเรื่องเกี่ยวกับสวรรค์ เรื่องเกี่ยวกับพระเจ้า มันเป็นอย่างนั้น อย่าเอาความคิดของมนุษย์ ประเพณี ธรรมเนียม ความยุติธรรม อะไรต่างๆ ของมนุษย์ใส่เข้าไปเด็ดขาด เมื่อบอกว่าจุดๆ หนึ่ง ขีดๆ หนึ่ง จะไม่หายไป มันก็เป็นอย่างนั้นแหละ ไม่ต้องพยายามไปช่วย เขียนไว้ว่ายาโคบเรารัก เอซาวเราชัง ตั้งแต่เขายังไม่เกิดเลย พอเกิดมา นิสัยข้างนอกยาโคบสู้เอซาวไม่ได้ ทั้งโกง ทั้งโกหก โกหกพ่อ ขี้เกียจอีกต่างหาก เอซาวเป็นพี่ชายคนโตที่ดีมาก เขาเป็นฝาแฝด คลานออกมาก่อน ทำงานได้ดีมากเลย แล้วในพระคัมภีร์พูดว่า …

“คุณมีสิทธิ์อะไรไปตัดสินว่าพระเจ้าเป็นคนไม่ยุติธรรม คุณรู้เหรอว่าพระเจ้าไม่ยุติธรรม”

เพราะว่านี่ บันทึกไว้อย่างนี้ ไม่รู้ คุณเป็นใคร? คุณจะไปตัดสินพระเจ้าเหรอ คุณเป็นดินนะ พระเจ้าเป็นคนปั้นคุณนะ คุณจะมาบอกคนปั้นว่าปั้นฉันอย่างนี้ อย่างนั้นทำไม? คนปั้นก็จะบอกมันเรื่องของฉัน

เจ้าของสวน คือพระเจ้า บอกว่า … “มันเรื่องของฉัน เงินของฉัน ฉันตกลงกับเธอว่าอย่างนี้ 1 เดนาริอันใช่ไหม?  ก็โอเคแล้วไง?”

เห็นไหม? เรากำลังมองให้ทะลุไปถึงเรื่องระบบสวรรค์และของโลกไม่เหมือนกัน พระเจ้าพูดอย่างไร? เราก็เชื่อตามนั้น แม้ว่าเราจะไม่เข้าใจ เราก็เชื่อ ที่หลายๆ ครั้งที่ผมแกล้งพูดให้ท่านฟัง พอบรรยายไป ผมบอกเข้าใจไหมๆๆ ไม่เข้าใจใช่ไหม? ไม่เป็นไร ไม่เข้าใจดีแล้ว ใช้ความเชื่อ เพราะนี่เป็นพระคัมภีร์เอามาอ่านให้ฟัง

พระเจ้าตรัสอย่างนี้ “เพื่อนเอ๋ย เราไม่ได้โกงนะ ก็ตกลงกันไว้ว่า 1 เดนาริอันมิใช่หรือ? รับค่าจ้างไปเถิด เราพอใจจะให้คนมาทีหลังได้เท่าๆ กันกับท่าน เงินของเรา เราไม่มีสิทธิ์ใช้ตามใจชอบของเราหรือ? หรือว่าท่านอิจฉา เพราะเห็นว่าเราใจกว้าง”

นี่คือสิ่งที่พระเยซูกำลังใช้คำอุปมานี้ สอนให้เราเห็นภาพรวมว่าพระเจ้าประทานให้กับมนุษย์ทุกคนเท่าเทียบกันหมด มนุษย์เองไปคิดแบบมนุษย์ว่าคนนี้ต้องใหญ่กว่าคนนั้น คนนั้นก็ต้องต่ำกว่าคนนั้นมั้ง ใครทำเยอะได้เยอะ ใครทำน้อยได้น้อย แต่พระเจ้าไม่ได้เห็นอย่างนี้เลย พระเจ้าเห็นว่าทุกคนเป็นคนบาปเท่ากัน เมื่อได้บังเกิดใหม่ โดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า ผ่านทางพระเยซูคริสต์ ก็จะเท่าๆ กันหมด พระเยซูตายที่ไม้กางเขนให้กับทุกคนเท่ากัน และเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่ 3 และให้ทุกคนเป็นขึ้นมาใหม่ บังเกิดใหม่เท่าๆ กันหมด เช่นเดียวกัน และได้ทำไปแล้วด้วย

พวกชาวยิวชอบคิดอย่างนี้ว่าใครทำดีมาก ใครเคร่งศาสนามาก ก็จะได้รับรางวัลในสวรรค์เยอะ ใครที่ทำน้อย ก็ได้รับน้อย ซึ่งมันไม่ถูก มันไม่ใช่ อย่าว่าแต่ชาวยิวเลย เราก็คิดแบบนั้น คนนี้ทำมากได้มาก คนนี้ทำน้อยได้น้อย ไม่ใช่ แม้กระทั่งเหล่าสาวกที่เดินกับพระเยซู เปโตร ยอห์น ยากอบ คนเหล่านี้ใกล้ชิดพระเยซูมาก สาวกเอก ตอนที่พระเยซูยังเดินอยู่บนโลกใบนี้ ก็คิดอย่างนี้ แอบกระซิบพระเยซู เล่นเส้น

“ลูกพี่ๆ ทำอย่างไร ในสวรรค์ ฉันจะได้เป็นข้างขวา ทำอย่างไร ฉันจะได้เป็นศิษย์เอก ทำอย่างไร ฉันจะได้เป็นโน่นเป็นนี่ เป็นใหญ่ในสวรรค์”

ใช่ไหม? พวกนี้เขาคิดอย่างนี้ เขาคิดแบบมนุษย์ ก็คือมันต้องมีสิ ขึ้นไปถึงปุ๊บ ในพระคัมภีร์บอกว่าทุกคนจะได้นั่งอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้าในสวรรค์สถาน คิดตามความคิดมนุษย์ นั่งอยู่เบื้องขวา มันก็ต้องมีคนนั่งอยู่ใกล้ที่สุด ขวานั้น ไปอยู่สุด นี่คิดแบบมนุษย์ ถูกหมดแหละ แต่พระคัมภีร์พลิกไปเลย คิดไม่ถึงหรอก ไม่ต้องคิด ในนี้บอกนั่งอยู่เบื้องขวา เท่ากันหมดเลย นั่งอย่างไร? ไม่รู้สิ จบ เชื่อเอา  เข้าใจไหม? ถ้าท่านพยายามไปคิด ท่านก็จะหลง พอหลง ตัวเนื้อหนังออกมา ก็จะลดความเข้มข้น ความจริงจังของข่าวดีของพระเจ้า ข่าวดีของพระเจ้า พระเจ้าว่าอย่างไร? ก็ว่าตามนั้น  อย่าใส่อะไรลงไปเพิ่ม ไม่ใช่ “ถ้า” ไม่ต้องมีถ้า พระเจ้าบอกเชื่อพระเยซู ได้รับความรอด จบ เชื่อ แต่ถ้าเผื่อเขาทำชั่วมาตลอดชีวิต จนกระทั่งวินาทีสุดท้าย อยู่ที่ห้อง ICU แล้วมารับเชื่อตอนนั้น รอดไหม?  เราต้องตอบว่ารอด ไม่ต้องมาบอกว่าถ้าเป็นอย่างนั้น  ถ้าเผื่ออย่างนี้ เธอได้รับความรอด ไม่มี รอดก็คือรอด รอดเมื่อไร? ไม่รู้ แล้วไม่มีคำว่ายุติธรรม หรือไม่ยุติธรรม เขาจะรอดวันสุดท้าย คนนี้สบายเลย ทำชั่วมาตลอดชีวิต มาถึงวินาทีสุดท้าย รับเชื่อพอดี ได้รับความรอด ได้รับรางวัลเหมือนกับเรา ในสวรรค์เลย  รับไม่ได้ คนรับไม่ได้นั้น ก็ไปสวรรค์แบบไฟลนก้น เพราะได้ไปสวรรค์เหมือนกัน

จบอุปมาในนี้ ถามว่าคนต้นไปเป็นคนปลาย ในที่สุด คนที่มาทำงานตั้งแต่เช้า ได้รับ 1 เดนาริอันหรือเปล่า? ได้รับ แสดงว่าทุกคนได้รับความรอดหมด

ลองมาคิดสิ ตอนแรกที่ผมให้ท่านคิด ท่านคิดว่ามันแปลว่าอะไร? หลายคนก็ไปตีความว่าคนต้นเป็นคนปลาย ก็คือชาวยิวที่มารู้จักพระเจ้าก่อนใครเพื่อนเลย พอถึงวันจริงๆ ชาวยิวไม่ได้รับความรอด แต่คนต่างชาติ ที่ไม่ใช่ยิว กลับเป็นคนที่ได้รับความรอด คนชอบคิดอย่างนี้ แต่มันไม่ใช่ สำนวนนี้ ในพระคัมภีร์ที่เราอ่านไปเมื่อตะกี้ คนต้นเป็นคนปลาย คนปลายเป็นคนต้น มันแปลว่าไม่มีเลย  ไม่มีทั้งต้นทั้งปลาย

ตรงนี้ เป็นสำนวนแปลว่าทุกคนเสมอกัน ไม่มีคนต้นและคนปลาย ก็คือทุกคนเท่ากัน ได้รับความรอดเหมือนกัน บางคนรอด อย่างมีสันติสุข สงบๆ แต่บางคนรอดด้วยไฟ รอดด้วยความอิจฉา หงุดหงิดๆ รอดไหม? รอด เป็นไปได้ไหม? หรือว่าคนรอดต้องสงบ ดีตลอดเลย รอดก็ต้องรักษาจิตให้สงบ รอด ฉันไม่โกรธใครๆ รอดๆ ไม่ใช่ครับ ข่าวประเสริฐไม่ใช่อย่างนั้น ข่าวประเสริฐไม่มีคำว่า “ถ้า” ไม่มีคำว่า “แต่” แต่ถ้าท่านโกรธคนอยู่ รอดไหม? รอด เพราะรอดด้วยพระคุณ นี่แหละ คุณไปทำให้ข่าวประเสริฐของพระเจ้าอ่อนลง เขาบอกสีขาว คุณบอกว่าเทา เกือบๆ ขาว ขาวขุ่นๆ ไม่มี ขาวก็คือขาว ดำก็คือดำ ในข่าวประเสริฐของพระเจ้า ไม่มีคำว่าสีเทา สีขาวอ่อน ขาวแก่ มีแต่ดำ หรือไม่ก็ขาว เวลาท่านบอกว่าเขาเชื่อพระเจ้าแล้ว วินาทีสุดท้าย เขายังโกรธมาก เขาไม่ได้รับความรอดหรอก คนเชื่อพระเจ้าไม่ได้รับความรอด ใครบอกท่าน? ปัญญาแบบมนุษย์ใช่ไหม? ถ้าทำอย่างนี้ แล้วจะไม่ได้รับความรอด แต่พระคัมภีร์บอกเขาเกิดใหม่ วิญญาณเขาเป็นลูกของพระเจ้า เขาอยู่ในพระเจ้าแล้ว ตั้งแต่เขารับเชื่อ เขาอยู่ในสวรรค์ เขายังไม่ออกจากร่างนี้เลย เขาอยู่ในสวรรค์แล้ว แค่นี้ท่านก็แปลไม่ออก ไม่เข้าใจว่ามันคืออะไร?

นี่แหละโลกวิญญาณในข่าวประเสริฐของพระเจ้า ก็เป็นอย่างนี้ พระเยซูไม่ได้สอนเรื่องศีลธรรม แต่สอนว่าวิธีความคิดในทางพระเจ้า ในทางสวรรค์ มันต่างกับมนุษย์อย่างไร? เพื่อว่าเราจะได้ช่วยกัน รักษาความแข็งแรง แข็งแกร่ง ความจริงของถ้อยคำพระเจ้า ในเรื่องเกี่ยวกับข่าวประเสริฐ ไม่ละเลย คือถูกต้องหมด พระคัมภีร์พูดจะไม่ยอมให้ประเพณีของมนุษย์ ความคิดแบบมนุษย์มาทำให้ถ้อยคำพระเจ้าเฉไปเฉมา จุดๆ หนึ่ง หรือขีดๆ หนึ่งจะไม่ลบเลือนหายไป  มันต้องเป็นไปตามนั้น ไม่ว่าฉันจะเข้าใจหรือไม่ก็ตาม เอเมน

เวลาเราอ่านอุปมา หลายสิ่งหลายอย่างในอดีตเราไม่ได้อ่านเลย เราไม่สนใจเลย แต่ตอนนี้เราเห็นชัด มิน่าพระเยซูจึงบอกว่าความเชื่อจะทำให้เจ้ารอด ความเชื่อ ไม่ใช่จริยธรรมทำให้เจ้ารอด แต่ความเชื่อต่างหาก

มีคนเคยตั้งคำถามนี้ รู้จักฮิตเลอร์ไหม? เด็กสมัยนี้ รู้จักหรือเปล่าไม่รู้ ฮิตเลอร์ คือเผด็จการนาซี ที่ทำสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่เป็นคนโหดร้ายมาก เพราะว่าสั่งฆ่าคนยิว เป็นล้านๆ คน ใช้รมแก๊ส คนยิวนะ ไม่ใช่คนธรรมดา มนุษย์คิดอีกแล้ว คนยิว คือประชากรของพระเจ้า พระเจ้ารักยิวมากนะ อดคิดไม่ได้  แต่พระเจ้ามองลงมา ในสวรรค์บอกว่ายิว ก็คือคนๆ หนึ่ง คนไทย ก็เป็นคน แต่แสดงบทในโลกใบนี้ ก็คือคนไทย เรียกว่าชาวต่างชาติ สำหรับยิว ก็คือคนๆ หนึ่งที่มีเชื้อสายเป็นอิสราเอล แค่นั่นเอง แต่เราแบ่งของเราเอง

คนนี้ฆ่าคนของพระเจ้าไปตั้งเยอะเลยนะ  เป็นล้านๆ คน แล้วคนอื่นๆ ฆ่าคนอื่น ไม่ชั่วมากเลยนะ นี่ชั่วมาก ก็ชั่วเท่ากันแหละ สมมติเจ็งกิสข่านฆ่าคนมากกว่าฮิตเลอร์ ไม่เห็นมีใครพูด เจ็งกิสข่านมาเชื่อพระเจ้าได้อย่างไร? ฆ่าคนไปตั้งเยอะ ไม่พูด แต่พอฮิตเลอร์ฆ่าชาวยิว นี่ฆ่าประชากรของพระเจ้าเลยหรือ? เพราะฉะนั้น พระเจ้าโกรธมาก ใส่เองอีก เห็นไหม? ในสายตาพระเจ้าเท่ากันหมดแหละ มนุษย์ก็คือมนุษย์

มีหลายคนตั้งคำถามว่าถ้าเผื่อวินาทีสุดท้ายของฮิตเลอร์ ซึ่งในประวัติศาสตร์เขาหลบหนีไปไหน?  บ้างก็ว่าไปโน่น บ้างก็ว่าไปอยู่ที่เกาะอะไรต่างๆ  ถ้าเผื่อนาทีสุดท้ายเขารับเชื่อล่ะ เขาจะไปสวรรค์ไหม? ท่านว่าไปไหม? ไป แต่ท่านอาจจะไปข้างนอก คุยกับคนอื่นเรื่อยๆ คุยกับนักศาสนาศาสตร์ ท่านก็เริ่มเขว แต่ตราบใดที่ท่านบอกว่าไป แล้วรักษาคำตอบนี้ไว้ในใจเสมออย่างนี้ ท่านกำลังรักษาถ้อยคำพระเจ้า ซึ่งพระเจ้าทรงดีใจมาก รักษาความจริงแห่งข่าวประเสริฐของพระเจ้า  ที่บอกว่าความจริงจะทำให้มนุษย์เป็นไท เอเมน ถ้าท่านแบ่งไปนิดหนึ่ง มันก็จะเขว กลัดกระดุมผิดเม็ดแรก เดี๋ยวก็ไปเรื่อยๆ ถ้าท่านลังเลเมื่อไร? มันก็ไปเรื่อย ยิ่งไปฟังตรรกะ เหตุผลของมนุษย์เยอะๆ ที่เป็นนักปราชญ์ต่างๆ เถียงว่าอย่างนี้ๆ ฮิตเลอร์ฆ่าคนไปตั้งเท่าไร? ฆ่าคนด้วยความทุกข์ทรมาน ฆ่าทั้งเด็ก ท่านจะบอกว่าไม่แน่ใจแล้ว ถูกไม่ถูก? ผมพูดตรงนี้ชัดๆ พระคัมภีร์กำลังสอนเรื่องโลกสวรรค์ ในสวรรค์เป็นอย่างไร? ท่านก็ฟังไปฝั่งเดียว เต็มที่เลย ท่านตัดสินใจเต็มที่เลย รอดแน่นอนฮิตเลอร์ แต่พอไปอยู่ฝั่งโลก เขาก็บอกมีเหรอ ฆ่าอย่างเลือดเย็น เด็กๆ เต็มไปหมด ในล้านคน เป็นเด็กๆ สามแสนคน แล้วเขาฆ่าอย่างโหด ไม่สนใจเลย ก่อนฆ่าก็เอาเสื้อผ้าออกมาหมดเลย แล้วให้เดินเข้าไปด้วยความทุกข์ทรมาน พอท่านฟังมากๆ ท่านก็เลยบอกว่าไม่น่าจะรอด นี่แหละ นี่ยกตัวอย่างให้เห็นชัดๆ เรื่องเดียว แต่ชีวิตมันเป็นแบบนี้แหละ ให้ท่านเลือกตลอดเลย ตลอดเวลา ไม่ใช่เรื่องนี้เรื่องเดียว

เพราะฉะนั้น สรุป ความหมายในถ้อยคำพระเจ้าตรงนี้ บอกว่าคนสุดท้ายจะเป็นคนต้น และคนต้นจะเป็นคนสุดท้าย ความหมายง่ายๆ ก็คือไม่มีใครเป็นคนต้นและไม่มีใครเป็นคนสุดท้าย ในสวรรค์ หรือบนสวรรค์ก็ตาม ทุกคนเป็นมีสิทธิ์เท่ากันหมดเลย ได้รับรางวัลเท่ากัน  เพราะพระองค์ให้รางวัลแบบเดียวกันกับเจ้าของสวนองุ่น พระองค์บอกในสวรรค์เป็นอย่างนี้ ที่จ่ายค่าจ้างเท่ากันหมด ทำมากี่ชั่วโมง ก็ได้เท่ากัน 1 เดนาริอันเหมือนกัน ฉันใดก็ฉันนั้น จะทำดีมากขนาดไหน? จะรักษาธรรมบัญญัติมากขนาดไหน? ในสวรรค์ รางวัลจากพระเจ้าที่เตรียมไว้ให้กับทุกคน ก็เท่ากัน หลายคนเริ่มแล้ว …

“เทศน์แบบนี้ คนก็ไม่ทำดีสิ คนก็ไม่พยายามไปประกาศ คนก็ไม่พยายามจะถวายทรัพย์ คนก็ไม่พยายามมาช่วยงานโบสถ์สิ ไม่พยายามจะอธิษฐานสิ”

ท่านคิดอย่างนี้ใช่ไหม? รู้น่า ไม่คิด ก็เริ่มจะคิด ก็ปล่อยให้ท่านคิดไป แล้วท่านจะเชื่อความคิดนั้น หรือจะเชื่อถ้อยคำพระเจ้าตรงนี้  ถ้าท่านเชื่อความคิดท่าน แสดงว่าท่านใส่คำว่า “ถ้า” ลงไปอีกแล้ว ในสวรรค์เขาบอกอย่างนี้ ท่านก็บอกอย่างนี้ ไม่รู้ๆ ท่านก็ตอบเขาไปสิ แต่ถ้าท่านใส่ข้อมูลที่ท่านคิด แปลว่าท่านใส่คำว่าถ้า ในพระคัมภีร์บอกว่าความรักของพระเจ้าเป็นพระคุณของพระเจ้าเทลงมาผ่านทางพระเยซูคริสต์ไม่มีเงื่อนไข แปลว่าไม่มีคำว่า “ถ้า” เอเมน เอาถ้าออกไปเลย ไม่รู้ ฉันส่ายหัวอย่างเดียว ถ้าคิดไม่ออกไม่มี พระคัมภีร์บอกไปอย่างนี้ จบแล้ว ไม่รู้ อันนี้ไม่ถูกต้องตามหลักการ ไม่รู้แหละ หลักการอะไร ฉันไม่รู้ แต่ว่าหลักการพระคัมภีร์ในสวรรค์เขาเป็นอย่างนี้แหละ ท่านไปคิดกับพระเจ้าเองแล้วกัน อย่ามาทะเลาะกับฉันเลย ไปทะเลาะกับพระเจ้าเอง

บนสวรรค์ รางวัลที่พระเจ้าเตรียมไว้ให้กับพวกเรา เหมือนกันหมด สบายใจหลายคน เป็นอิสรภาพหลายคน นี่แหละคือความจริงทำให้เราเป็นไท ไม่ใช่มาเชื่อพระเจ้า อันนี้ก็ไม่ได้ อันนั้นก็ไม่ได้ ปล่อยให้พระเจ้านำไป พระเจ้าไม่ได้พูดอะไร เราก็ไม่ต้องเติมลงไป พระเจ้าบอกรอดแล้ว เราก็บอกรอดแล้ว ทำไมไม่ไปประกาศ เอ้อ! อยากประกาศ ก็ประกาศ ไม่อยากประกาศ ก็ไม่ต้องประกาศ อยู่เฉยๆ เธอก็ยังเป็นลูกพระเจ้าอยู่ เอเมนไหม?

ซึ่งการกระทำอย่างนี้ กำลังรักษาข่าวดีไว้ บนโลกใบนี้ไม่ให้จางลง ซึ่งพระเยซูสั่งอันเดียวเท่านั้น  คำว่าประกาศของพระเยซูให้รักษาไว้ นี่คือการประกาศ การประกาศไม่ใช่ท่านมีนิสัยดีๆ คือประกาศ ไม่ใช่ ไม่รู้จะบอกว่าอย่างไร?  ถ้าการทำดี คือการประกาศ ป่านนี้คนที่ไม่เชื่อพระเจ้าก็ประกาศเยอะแยะไปหมดเลย เพราะเขาทำดีกว่าเราตั้งเยอะ อย่างนี้ เขาก็กำลังประกาศสิ ที่ผมพูดนี้ ไม่ได้พูดส่งให้ท่านไปทำสิ่งที่ชั่วร้าย ไม่ใช่ ท่านเข้าใจไหม? ผมกำลังพูดให้ท่านเกี่ยวกับว่าข่าวดีของพระเจ้า คืออะไร? พระเยซูกำลังสอนอะไรในอุปมาทั้งหมดในเรื่องระบบสวรรค์ ท่านต้องรักษาความจริงนี้ไว้ เพื่อลูกหลานเหลนโหลนของมนุษย์ต่อไปภายภาคหน้าจะได้อยู่กับข่าวประเสริฐนี้  จะได้ยิน ได้ฟังข่าวประเสริฐ แบบเต็มๆ ร้อย เหมือนที่เปาโลประกาศ ตั้งแต่เมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว พระเยซูให้เปาโลเป็นตัวแทน แล้วเปาโลก็จะหงุดหงิด มากเลยเรื่องเหล่านี้ เรื่องเดียว ก็คือมีใครมาทำข่าวประเสริฐของพระเยซูให้จางลง ไปอ่านดูได้เลย ทุกเล่มที่เปาโลเขียน เขียนอย่างนี้ทั้งหมด คือโมโห โกรธมาก สำหรับใครก็ตาม ที่มาทำให้ข่าวประเสริฐของพระเจ้าด้อยลงไป ไปเติมของตัวเองลงไป

นี่คือสิ่งที่เราควรจะรับรู้ไว้ และควรจะรู้ว่าพระเจ้าพอพระทัยอะไร? พอพระทัยเชื่อพระเจ้าเต็มร้อย อย่าให้มันอ่อนแอลง อย่าทำให้มันเป็นเทาๆ จริงก็ว่าจริง ไม่จริงก็ว่าไม่จริง ไม่มี การจริง แต่ว่า .. ไม่จริง แต่ว่า … เป็นถ้อยคำพระเจ้าจริงๆ ไม่รู้จะอธิบายอย่างไร? ก็ไม่รู้สิ เพราะไม่ใช่หน้าที่ของฉัน หน้าที่ของฉันมีอย่างเดียว คือเชื่อ เห็นไหม? พระคัมภีร์บอกว่าผู้ชอบธรรมของพระเจ้าเขาจะดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ด้วยความเชื่อ จากความเชื่อ ไปถึงความเชื่อ และจบสุดท้ายด้วยความเชื่อ ไม่มีอะไรเลย ไม่ต้องใช้ความคิด และความเชื่อพระเจ้ามันง่ายนิดเดียว มันไม่มีอะไร คือไม่ใช่เป็นการกระทำของฉัน พระเจ้าเทมาให้ฉันฟรีๆ ทุกคนได้เท่ากันหมด นี่คือข่าวดีของพระเจ้า ที่เราต้องรักษาไว้ นี่คือการประกาศ ชีวิตเราคือการประกาศ คือตรงนี้ต่างหาก กับการที่มนุษย์พยายามไปคิดใส่เข้าไปใหญ่ ชีวิต คือการประกาศ เข้าร่วมกลุ่ม หาทางประกาศ  เขาไม่ฟัง พยายามยัดเหยียดให้เขาฟัง เขาไม่รับ พยายามยัดเหยียดให้เขารับ กาลเทศะก็ไม่มี ทุกอย่างไม่รู้ จะประกาศลูกเดียว ใช่หรือไม่?

ท่านลองไปคิดดู เทียบกับที่พระเยซูสอนในอุปมาต่างๆ มันใช่ไหม? มันเป็นระบบสวรรค์ไหม?  หรือเป็นระบบที่มนุษย์คิดขึ้นมา แล้วก็ใส่เข้าไปเอง ผมไม่ได้ตัดสิน ผมลองให้ท่านเอาไปคิดดู เพราะผมทำมาทั้งสองอย่างแล้ว และผมศึกษาถ้อยคำพระเจ้า ผมเชื่อว่าใช่แน่ เพราะถ้อยคำพระเจ้าบันทึกไว้อย่างนี้  ถ้าท่านสงสัย ท่านไปอ่านถ้อยคำพระเจ้าว่ามีอย่างอื่นอีกไหม? มีคำว่า “ถ้า” ไหม? มีไหมเปาโล เปโตรพยายามบอกให้มนุษย์ บอกให้ผู้เชื่อออกไปประกาศ มีไหม? ออกไปรับใช้ๆ มีไหม? ออกไปถวายทรัพย์ๆ มีไหม? หรือว่าเขาพูดแต่ข่าวประเสริฐของพระเจ้าเป็นอย่างนั้น ข่าวประเสริฐของพระเจ้าเป็นอย่างนี้ อย่าหนีออกไปจากข่าวประเสริฐ แล้วก็จะพูดย้ำอยู่เรื่องเดียว คือพระเยซูไถ่บาปเราแล้ว เราเป็นอิสรภาพแล้ว ไม่มีอะไรทำเราได้แล้ว

จบด้วยฮีบรู 10:10 บันทึกไว้ในพระคัมภีร์ จุดๆ หนึ่ง และขีดๆ หนึ่งจะไม่ถูกลบเลือนหายไป มันจะต้องเป็นไปตามนี้ ไม่มีคำว่า “ถ้า” นี่ยกมาเพียงข้อเดียว แต่ในพระคัมภีร์จะเป็นอย่างนี้หมดเลย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในจดหมายฝาก คือจดหมายแห่งการรักษาข่าวประเสริฐของพระเจ้าเขียนอย่างนี้ตลอดเวลา อยู่ในความหมายนี้ตลอดเวลา นี่ยกตัวอย่างให้อันเดียว เพื่อจะได้ง่ายขึ้น

ฮีบรู 10:10 “… เราทั้งหลายจึงได้รับการทรงชำระให้บริสุทธิ์  โดยการถวายพระกายของพระเยซูคริสต์ เป็นเครื่องบูชา  เพียงครั้งเดียวเป็นพอ

 

คิดตามนะ เห็นภาพไหม? เราทั้งหลาย ก็คือผู้ที่เชื่อ พระเยซูทำเสร็จตั้งนาน แต่คนที่จะช่วยให้ท่านรอด ก็คือคุณเอง คุณเองต้องตัดสินใจเชื่อ นั่นแหละ เราจึงรอด  “เราทั้งหลาย” ตัดสินใจ ช่วยตัวเอง ก็คือใช้ความเชื่อว่าพระเยซูเป็นใคร? เราทั้งหลายจึงได้รับการทรงชำระให้บริสุทธิ์เหมือนพระเจ้าเลย เหมือนพระเยซูเลย สะอาดหมดจด ไม่มีบาปแม้แต่นิดเดียว ไม่มีอะไรเลย รักษาคำนี้ไว้ตลอด ไม่ว่าตาจะมองเห็นคนนี้จะโกหกอย่างไร? คนนี้นิสัยไม่ดีอย่างไร? ขี้โกงอย่างไร? หงุดหงิดเขาอย่างไร? ด่าว่าเขาอย่างไร? ไม่รู้ ในนี้ไม่มี ในนี้บอกว่าเราทั้งหลายที่เชื่อแล้ว จึงได้รับการชำระให้บริสุทธิ์เหมือนพระเจ้า เป็นลูกของพระเจ้าเลย โดยการถวายพระกายของพระเยซูคริสต์ เป็นเครื่องบูชา ครั้งเดียว เป็นพอแล้ว ไม่ต้องการการกระทำของเราเพิ่มไปอีก ไม่ต้อง เอเมน นี่จบอย่างนี้ นี่คือสวรรค์ ขอพระเจ้าอวยพรครับ

 

************************

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 6 มกราคม 2019 เรื่อง “อุปมาคำสอนของพระเยซู” ตอน 9 “บาปแค่ไหน ก็รอดเท่ากัน” โดย นคร เวชสุภาพร

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  6  มกราคม  2019

 เรื่อง “อุปมาคำสอนของพระเยซู”

ตอน 9 “บาปแค่ไหน ก็รอดเท่ากัน”

โดย นคร  เวชสุภาพร

 

สวัสดีปีใหม่ครับ เราได้พบกันครั้งแรกในปีนี้ ปีใหม่ก็จริง แต่กลับมาบรรยายเรื่องเก่า เป็นซีรี่ย์ต่อ จริงๆ ว่ากันมาแล้ว 2,000 ปี ก็เป็นเรื่องเดิม เรื่องข่าวดี ซีรี่ย์นี้ ใช้ชื่อเรื่องว่า “อุปมาคำสอนของพระเยซู” เราเรียนกันมาแล้ว 8 ตอน วันนี้เป็นตอนที่ 9 มีชื่อตอนว่า “บาปแค่ไหน ก็รอดเท่ากัน” เราได้เรียนรู้กันไปหลายอุปมาแล้ว ตั้งแต่เรื่องผ้าเก่า ผ้าใหม่ เหล้าเก่า เหล้าใหม่ ถุงหนังเก่า ถุงหนังใหม่ ต้นไม้ดี ต้นไม้เลว และสุดท้าย การให้อภัย แต่ไม่ว่าจะเป็นอุปมาคำสอนเรื่องอะไร? ก็จะเป็นแก่นแท้ หรือความหมายที่แท้จริงของอุปมา เรื่องเดียวกันหมด  พระเยซูสอนเรื่องหนทางเดียวที่มนุษย์จะไปสวรรค์ มนุษย์ที่เป็นคนบาป คนชั่ว จะไปอยู่กับพระเจ้าในสวรรค์ได้อย่างไร? ซึ่งเราก็ได้เรียนรู้แล้ว ต้องบังเกิดใหม่ หรือเกิดใหม่ในพระเยซูเท่านั้น แม้เราจะเรียนอุปมาไปอีกหลายตอน แต่ว่าพระเยซูสอนพุ่งตรงมา หมายความถึงเรื่องนี้ทั้งนั้น

ครั้งที่แล้ว เราได้เรียนรู้กันถึงเรื่องการให้อภัย ตามความหมายในพระคัมภีร์ที่เปโตรได้ถามพระเยซูว่า …

“หากพี่น้องทำบาปต่อเรา เราควรยกโทษให้เขาสักกี่ครั้งดี? สัก 7 ครั้งหรือ?”

และคำตอบของพระเยซู ก็คือ … “เราบอกท่านว่าไม่ใช่ 7 ครั้ง แต่เป็น 70 … 7 ครั้ง”

ก็คือ 70x7 นี่คือการให้อภัย ตามมาตรฐานของพระเจ้า คือเป็นจำนวน 490 ครั้ง ต่อหนึ่งคน ต่อหนึ่งเรื่อง … มาตรฐานของพระเจ้า ที่พระเจ้าต้องการจากมนุษย์ ทุกคน ทำได้ไหม? คิดเอาเองแล้วกัน

การให้อภัยที่เปโตรถาม เป็นบัญญัติที่สำคัญมาก ที่ชาวยิวในสมัยโน้น ยึดถืออย่างเคร่งครัด โดยตลอด กังวลตลอด คือบัญญัติจะบอกไว้เลยว่าถ้าท่านไม่ให้อภัยต่อมนุษย์ พี่น้องคนอื่นๆ หรือแม้กระทั่งไม่ใช่ชาวยิวก็ตาม พระเจ้าก็จะไม่ให้อภัยท่านด้วย

ซึ่งสมัยนั้น คำว่า “การอภัย” มันคือการอภัยแบบครบถ้วนบริบูรณ์ตามที่พระเจ้าบอก คือแม้กระทั่งว่าเขา “ไอ้โง่” ยังไม่ได้เลย นี่แหละคืออภัยอย่างสมบูรณ์ บอกไอ้เซ่อ เท่ากับเราฆ่าเขา มีค่าเท่ากัน

สรุป ก็คือพระเยซูกำลังจะบอกว่าไม่มีมนุษย์คนไหนสามารถทำได้หรอก ไม่สามารถที่จะให้อภัยตาม  มาตรฐานของพระเจ้า ถ้าอยากทำได้ ต้องไปเกิดใหม่ มาหาเรา เดี๋ยวเราจะบอกวิธีทำ ก็คือทำให้เจ้าเกิดใหม่ เกิดใหม่ปุ๊บ วิญญาณก็ใหม่ สะอาดเหมือนพระเจ้า นี่คือสิ่งที่พระเยซูสอนในเรื่องอุปมานี้ และอุปมาอื่นๆ ก็ลักษณะเดียวกัน

มนุษย์ทุกคนจึงจำเป็นต้องมาพึ่งพระเยซู เพื่อจะได้บังเกิดใหม่ พอบังเกิดใหม่ปุ๊บ ก็จะมีธรรมชาติในวิญญาณข้างในเป็นความรักของพระเจ้า เป็นลูกของพระเจ้า  ก็จะสามารถให้อภัยใครก็ได้ เป็นไปตามธรรมชาติ โกรธไม่เป็น แม้ว่าข้างนอกโกรธอยู่ เพราะกิเลสของเนื้อหนังที่ได้รับอิทธิพล จากบาป ซึ่งส่งกระแสเข้ามา แต่วิญญาณก็จะสะอาดใหม่เอี่ยม พระเจ้ามองที่วิญญาณเท่านั้น สะอาดทุกคน ไม่รู้จักโกรธสักคน แต่อยู่ในร่างกายเพียงชั่วคราว เพราะพระเจ้าใช้เราให้ดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ พอเสร็จสิ้นการงาน พระเจ้าก็เอาวิญญาณและความคิดจิตใจที่เป็นตัวตนของเราแท้ๆ กลับบ้าน ไปอยู่สวรรค์ มันสะอาดหมดจด ส่วนร่างกายเก่าเราไม่เอา ไม่ใช่ตัวเรา สวมไว้เพียงชั่วคราวเท่านั้น เพราะฉะนั้น เราควรจะรีบทิ้งร่างกายนี้ไปนะ ในพระคัมภีร์พูดไว้อย่างนั้น การจากไป ก็มีความสุขหรือดีกว่าการอยู่บนโลกใบนี้ จากไปอยู่กับพระเจ้าเลย ไม่ต้องอยู่ในเนื้อหนังร่างกาย ที่มันต้องอยู่ใต้อำนาจอิทธิพลของความบาป ผ่านทางกิเลสของเนื้อหนังอยู่นี้ มันดีกว่า ไม่ต้องทุกข์ทรมานกับความวุ่นวายของโลกใบนี้ด้วย แต่ว่าพระเจ้ายังต้องใช้งานเราอยู่ เราอยากจะไป ก็ยังไปไม่ได้ เพราะฉะนั้น บอกพี่น้องข้างๆ อดทนรออีกนิดหนึ่ง อย่าเพิ่งรีบไปไหน รอพระเจ้าใช้งานให้ครบถ้วนบริบูรณ์ซะก่อน ที่อยากจะไป ก็ตั้งความหวังไว้ รอที่จะจากไป เอเมน นี่แหละ ความสุขของผู้ที่ได้บังเกิดใหม่

คำอุปมา คำสอนของพระเยซูเรื่องใหม่ ที่เราจะเรียนรู้กันในวันนี้ อยู่ในหนังสือลูกา  7:36-39 เป็นอุปมาอีกเรื่องหนึ่ง ซึ่งพระเยซูจะสอนให้เรารู้จักการบังเกิดใหม่ เข้าไปอยู่ในสวรรค์ได้อย่างไร? การได้รับการชำระ อภัยโทษจากความบาปของพระเจ้า เป็นอย่างไร?

ลูกา 7:36-39 “36 ฟาริสีคนหนึ่ง เชิญพระเยซูไปรับประทานอาหารมื้อค่ำ พระองค์จึงเสด็จไปที่บ้านของเขา และทรงนั่งรับประทานอาหารอยู่ที่โต๊ะ 37 หญิงคนหนึ่งในเมืองนั้น เคยเป็นหญิงชั่ว เมื่อรู้ว่าพระเยซูกำลังเสวยพระกระยาหารที่บ้านฟาริสีคนนั้น ก็นำขวดน้ำมันหอมเข้ามา 38 และมายืนอยู่ข้างหลังพระองค์ที่พระบาท นางร่ำไห้หลั่งน้ำตารดพระบาท แล้วเอาผมเช็ด จูบพระบาท และรินน้ำมันหอม ชโลมพระบาทของพระองค์  39 เมื่อฟาริสีที่เชิญพระเยซูเห็นเช่นนั้น ก็นึกในใจว่า “หากคนนี้เป็นผู้เผยพระวจนะ เขาก็น่าจะรู้ว่าผู้ที่มาแตะต้องเขาเป็นใคร และเป็นผู้หญิงประเภทไหน เพราะนางเป็นคนบาป”

 

เริ่มเรื่อง คือพระเยซูได้รับเชิญไปรับประทานอาหารมื้อค่ำที่บ้านฟาริสีคนหนึ่ง ที่ชื่อ ซีโมน ไม่ใช่คนที่เป็นสาวกพระเยซูนะ  คล้ายๆ กับนิโคเดมัส คือเป็นคนที่เริ่มเชื่อว่าพระเยซูเป็นใคร? และอยากจะเรียนรู้ต่อไป เขาก็เชิญพระเยซูไปบ้าน ไปเลี้ยง แล้วพระเยซูก็ไป แล้วมีหญิงคนหนึ่งในเมืองนั้น ซึ่งรู้ข่าวว่าพระเยซูจะไปที่นั่น และเป็นหญิงที่ในพระคัมภีร์ บอกว่าเป็นหญิงชั่ว

คำว่า “หญิงชั่ว” ตรงนี้ ในพระคัมภีร์บางฉบับอธิบายว่าผู้คนทั้งเมือง รู้ว่าผู้หญิงคนนี้ เป็นผู้หญิงบาป มักจะใช้กับผู้หญิงที่มีประวัติในเรื่องการผิดศีลธรรม หรือผู้หญิงที่ทำตัวไม่เรียบร้อย  ไม่สำรวม ซึ่งตามบัญญัติของชาวยิวในสมัยนั้น ถือว่าผู้หญิงเหล่านี้ เป็นคนชั่ว  หรือเป็นคนบาป อย่างแรง ยิวเขาคิดอย่างนี้นะ

แล้วพวกที่คิดว่าตัวเองสะอาด บริสุทธิ์ ตัวเองรักษาบทบัญญัติอย่างดี ก็คือพวกฟาริสี ก็จะไม่เข้าไปใกล้ชิด หรือคบหาสมาคมกับหญิงชั่วเหล่านี้ โดยเด็ดขาด ถือว่าผิดบัญญัติ ใครไปคบ ไปใกล้ชิดกับหญิงพวกนี้ เป็นเรื่องประหลาด เป็นเรื่องที่ไม่เหมาะสมอย่างยิ่ง ทำให้เสียเกียรติพระเจ้ามาก โดยเฉพาะคนยิว เพราะเขาคิดว่าเขาอยู่ใกล้พระเจ้ามาก เขาสะอาดบริสุทธิ์กว่าคนที่ไม่ใช่ยิว

ในนี้บอกว่าผู้หญิงคนนั้น เข้ามาหาพระองค์ เอาน้ำมันหอมราด ชโลมพระบาท แล้วก็ใช้ผมเช็ด ร้องไห้ด้วย ทำไมต้องทำอย่างนั้น? การกระทำของหญิงคนนี้ ไม่ต้องอธิบายเยอะนะ ก็คือความรู้สึกว่าพระเยซูมีบุญคุณต่อเขามาก รักพระเยซูมาก ต้องอะไรบางอย่างที่พระเยซูช่วยอะไรเขาไว้ เขาต้องเทิดทูน ยกย่อง ให้เกียรติ นึกถึงพระคุณของพระเยซูมากเลย เขาถึงกล้าทำอย่างนี้ พวกฟาริสีเห็น  รู้ทันทีว่าผู้หญิงคนนี้เป็นผู้หญิงชั่ว ตกใจ นึกในใจว่า …

“หากพระเยซูเป็นผู้เผยพระวจนะจริงๆ ตามที่เขาบอกกันมา พระเยซูก็น่าจะรู้ว่าผู้ที่มาแตะต้องเขา เป็นหญิงประเภทไหน? และนางเป็นคนบาป (บาปหนา, บาปเยอะ, บาปมาก)”

ท่านลองคิดเองแล้วกันว่าถ้าท่านเป็นคริสเตียน แล้วมีคนไม่ดีมากๆ เข้ามาในโบสถ์ ท่านจะคิดอย่างไรกับเขา แล้วพระเจ้าคิดอย่างไร? ฝากไว้

สิ่งที่พวกฟาริสี รวมทั้งพวกเราด้วย ใช้ตัดสินว่าใครเป็นคนชั่วคนบาป ก็จะดูการกระทำของเขา ในอดีต เราจะดูประวัติคนนี้ว่าเคยทำชั่วอะไรมาบ้าง สำหรับพระเยซู พระองค์คิดอย่างไรในเรื่องนี้

ลูกา 7:40-43 “40 พระเยซูตรัสกับเขาว่า “ซีโมน เรามีอะไรจะบอกท่าน” เขาทูลว่า “ท่านอาจารย์ว่าไปเถิด 41 พระองค์ตรัสว่า “คนปล่อยเงินกู้คนหนึ่ง มีลูกหนี้สองราย รายหนึ่งเป็นหนี้ห้าร้อยเหรียญเดนาริอัน อีกรายหนึ่งเป็นหนี้ห้าสิบเหรียญ 42 ทั้งสองคนไม่มีเงินใช้หนี้ เขาจึงยกหนี้ให้ทั้งคู่ ในสองคนนี้ คนไหนจะรักเจ้าหนี้มากกว่ากัน?” 43 ซีโมนทูลตอบว่า “ข้าพเจ้าคิดว่าคนที่ได้รับการยกหนี้มากกว่า” พระเยซูตรัสว่า “ท่านตัดสินถูกแล้ว”

 

คำอุปมาของพระเยซูตรงนี้ สะท้อนให้เห็นถึงความคิดของมนุษย์ทุกคน ไม่ใช่เฉพาะฟาริสีสมัยนั้น แต่หมายถึงมนุษย์ทุกคนที่เป็นคนบาป ตามที่พระคัมภีร์บอก เป็นคนชั่ว อยู่ในวิญญาณของเรา จะมีนิสัยอย่างนี้ มักชอบเปรียบเทียบ เปรียบมันทุกเรื่องตั้งแต่เปรียบว่า …

“ฉันเป็นอย่างไร? เธอทำอะไร? เธอเป็นอย่างไง?”

ตั้งแต่ใครรวยกว่ากัน ใครสวยกว่ากัน ใครหล่อกว่ากัน ใครผอมกว่ากัน? ใครเก่งกว่ากัน? ใครดีกว่ากัน? เปรียบเทียบแม้กระทั่งว่าบาปชนิดไหน? ใครทำอะไรใหญ่กว่ากัน

“ที่เธอทำบาปน้อย ฉันทำบาปเยอะ เธอทำบาปเยอะกว่าฉัน บาปอันนี้มากกว่า อันนี้น้อยกว่า”

นี่คือมนุษย์ทุกคน เพราะวิญญาณข้างในบาป มาอ่านกันต่อว่าคำอุปมาในนี้ พระเยซูกำลังจะบอกอะไรกับฟาริสี และกำลังจะบอกกับพวกเราด้วย

ลูกา 7:44-50 “44 แล้วพระองค์ทรงหันไปทางหญิงนั้น และตรัสกับซีโมนว่า “ท่านเห็นหญิงคนนี้หรือไม่ เราเข้ามาในบ้านของท่าน ท่านไม่ได้เอาน้ำมาให้เราล้างเท้า ส่วนนางเอาน้ำตาล้างเท้าของเรา และเช็ดด้วยผมของนาง 45 ท่านไม่ได้จูบเรา แต่หญิงนี้จูบเท้าเราไม่หยุด ตั้งแต่เราเข้ามาในบ้าน 46 ท่านไม่ได้รินน้ำมันรดศีรษะของเรา แต่นางรินน้ำมันหอมรดเท้าของเรา 47 เหตุฉะนั้น เราบอกท่านว่าบาปมากมายของนางได้รับการอภัยแล้ว ตามที่ได้เห็นจากความรักมากมายของนาง แต่ผู้ที่ได้รับการอภัยน้อยก็รักน้อย” 48 แล้วพระเยซูตรัสกับนางว่า “บาปของเจ้าได้รับการอภัยแล้ว” 49 แขกรับเชิญคนอื่นๆ เริ่มพูดกันว่า “ผู้นี้เป็นใครหนอ จึงให้อภัยบาปได้?” 50 พระเยซูตรัสกับหญิงนั้นว่า “ความเชื่อของเจ้า ได้ทำให้เจ้ารอด จงไปเป็นสุขเถิด”

 

พระเยซูกำลังให้เห็นความแตกต่างระหว่าง 2 กลุ่ม กลุ่มที่เรียกว่าฟาริสี ที่คิดว่าตัวเองทำสิ่งที่ดีงาม แล้วเห็นผู้หญิงคนนี้ว่าเป็นคนชั่ว บาปหนามาก แต่ทั้งสองกลุ่มนี้ ทำกับพระเยซูต่างกัน ผู้หญิงนี้พึ่งพระเยซูหมดเลย ผู้เดียวที่จะช่วยฉันได้ แต่ฟาริสีบอกพระเยซูก็ดี แต่มีบางอย่างที่ฉันจะทำเองด้วย พระเยซูเลยลดความสำคัญลง รู้ได้อย่างไร? ก็ทำต่อพระเยซูน้อยลง พระเยซูกำลังบอกกับฟาริสีว่าสิ่งที่ผู้หญิงคนนี้ทำกับพระองค์ แสดงให้เห็นถึงความรัก ความเทิดทูน ที่ผู้หญิงคนหนึ่งจะมีต่อพระองค์ และรู้ว่าพระองค์มีค่าเท่าไร? สำหรับเขา ถ้าผู้หญิงคนนี้ ทำอย่างนี้มาก แสดงว่าพระเยซูมีค่ากับเขามาก เทียบกับฟาริสีที่ทำนิดเดียว ล้างเท้ายังไม่ล้างเลย แสดงว่าฟาริสีให้ความสำคัญกับพระเยซูน้อย พูดง่ายๆ พระเยซูไม่จำเป็นสำหรับชีวิตท่านเท่าไรนัก หรือถ้าจำเป็น ก็จำเป็นน้อยกว่าผู้หญิงคนนี้ที่ต้องการพระเยซู

ความหมาย ก็คือเพราะผู้หญิงคนนี้ รู้ตัวดีว่าตัวเองทำอะไรมาบ้าง? มีบาปหนาขนาดไหน? เหมือนอุปมาเรื่องเจ้าหนี้ที่เมื่อตะกี้เราอ่าน เป็นลูกหนี้ที่ถูกยกหนี้มากกว่า ก็ย่อมรักเจ้าหนี้มากกว่า เพราะได้รับการช่วยเหลือ ผู้หญิงคนนี้รู้ตัวเองว่าเป็นลูกหนี้ ที่มีหนี้เยอะมาก ยังไงๆ ตัวเองก็ใช้หนี้ไม่หมด ก็เลยต้องพึ่งในพระเยซู 100% เชื่อหมดใจว่าพระเยซูเป็นพระผู้ช่วยให้รอด เพราะว่าตัวเองไม่สามารถทำด้วยตัวเองได้นั่นเอง

นี่คือหัวใจของคนที่จะเกิดใหม่ นี่คือหัวใจของคนที่จะมาเชื่อพระเยซู คือต้องรู้ว่าฉันแย่มาก ไม่มีทางรอดเลย ถ้าไม่มีพระเยซู

สรุปหมายถึงอย่างนี้  ผู้หญิงคนนี้ได้สำแดงสิ่งนี้ให้เราได้เห็น ในขณะที่เทียบกับพวกฟาริสีที่คิดว่าตัวเองเป็นคนบาป ก็จริง แต่ฉันกำลังพยายามด้วยตัวเอง รักษาบทบัญญัติของพระเจ้า ทำให้ตัวเองสะอาดบริสุทธิ์บ้าง? บาป  แม้ฉันจะมี แต่ก็มีไม่มากเท่ากับคนอื่น ฟังให้ดี ตรงนี้คือหัวใจ ตามอุปมา ก็คือฉันเป็นหนี้แค่นิดเดียว คนอื่นเป็นหนี้ 500 ฉันเป็นหนี้แค่ 50 หรือบางคนปฏิบัติเยอะมากๆ อธิษฐานมากๆ ฉันเป็นหนี้แค่ 5 เท่านั้นเอง เผลอๆ ฉันเป็นหนี้แค่หนึ่ง ยิ่งมีความคิดมากเท่าไร? พระเยซูก็ลดความสำคัญมากเท่านั้น เมื่อเป็นหนี้แค่นิดเดียว การปฏิบัติตัวออกมา ก็เลยแสดงออกถึงความรัก ที่มีต่อคนที่เป็นเจ้าหนี้ น้อยกว่าคนอื่นเขา นี่หมายถึงข้างใน ข้างนอกเราไม่รู้ว่าปฏิบัติอะไรอย่างไร?

พระเยซูบอกว่า “เหตุฉะนั้น บาปมากมายของนาง ได้รับการอภัยแล้ว จากที่ได้เห็นจากความรักมากมายของนาง แต่ผู้ที่ได้รับการอภัยน้อย ก็รักน้อย”

เห็นหรือยัง? “ผู้ที่ได้น้อย ก็ไม่ได้สำนึกถึงการกระทำของพระเยซู คือรักพระเยซูน้อย ผู้ที่สำนึกตัวเองมาก ที่บอกว่าฉันบาป ไม่มีทางแก้ไขได้เลย  ไม่มีใครช่วยฉันได้ แม้แต่ตัวฉันเองก็ช่วยไม่ได้ เพราะฉะนั้น ฉันพึ่งพระเยซู 100% เต็ม ก็เลยรักพระเยซู พึ่งพระเยซู 100% อีกคนหนึ่งบอก ฉันพึ่งตัวเองได้ พึ่งพระเยซูสัก 50 ตัวฉันเองทำเองอีก 50 ก็จะรักและพึ่งพระเยซูน้อยกว่า นี่เป็นธรรมชาติ ต้องเป็นอย่างนี้เลย

คำอุปมาที่พระเยซูสอน เป็นการย้ำให้เราเห็นพื้นฐานของมนุษย์ที่ชอบเปรียบเทียบ พยายามชั่ง ตวง วัด ค่าของความเข้มข้นของความชั่วที่ทำ เพื่อหาวิธีที่จะทำให้ตัวเองรอดพ้นจากบาป ด้วยตัวเอง ซึ่งมนุษย์ที่ไม่รู้จักพระเจ้า ก็พยายามที่จะทำ เพราะว่ามันติดบาป มาตั้งแต่เกิดแล้ว จะลบมันออกให้ได้ ทั้งๆ ที่พอมาเชื่อพระเยซู พระเยซูลบมันออก 100% แล้ว ไม่พอ วันทั้งวันยังเอายางลบๆ มันอยู่นั่น ลบจนเลือดไหลเลย เป็นผลร้ายอีก ชีวิตไม่มีสันติสุข

ตัวอย่างเช่น ถ้าทำแบบนี้นะ เป็นบาปใหญ่ ถ้าทำแบบนี้ บาปเล็กๆ เอง แค่ขับรถฝ่าไฟแดง แค่นี้เอง แค่ด่าเพื่อน บาปไม่เยอะ ด่าพ่อกับแม่ เรื่องใหญ่มากๆ เรามักจะคิดกันอย่างนี้ใช่ไหม? ไม่ใช่ให้ด่าแม่เขานะ หมายถึงว่าแม่ตัวเองอย่างนี้ ตวาดแม่ตัวเอง ไม่ได้ ฆ่าคนตายเป็นบาปใหญ่ ถ้าทะเลาะวิวาทกัน เป็นบาปเล็ก ทะเลาะวิวาทแค่นี้ นิดหน่อยเอง ยังไม่ถึงขนาดตีหัวเขาเลย พระเยซูบอกทะเลาะแค่นั้น ก็เท่ากับฆ่าเขาตายแล้ว บาปเท่ากัน

อีกอันหนึ่งชัดใหญ่ “เจตนา” เราไม่ได้เจตนา ดังนั้นไม่บาป  สำหรับพระเจ้า เจตนาหรือไม่เจตนา ก็บาป เพราะว่ามันเป็นบาป เพราะมันเป็นกฎ ลบเลือนไม่ได้ จุดๆ หนึ่ง ขีดๆ หนึ่งก็ลบไม่ได้ เพราะเป็นพระเจ้าผู้ดูแลรักษากฎนี้ เหมือนท่านเดินออกไป จากดาดฟ้าชั้น 2 ปุ๊บ ไม่มีอะไรรับท่าน ท่านก็ถูกแรงดึงดูดของโลก ดูดท่านลงมา เพราะว่ามันเป็นกฎของโลกนี้ กฎของวัตถุ คืออะไรที่มีน้ำหนัก เป็นวัตถุสิ่งของ ออกไปลอยๆ อยู่ จะถูกแรงดึงดูดของโลก ดูดลงมาบนพื้นดิน เพราะมันเป็นกฎ จะมีแบบนี้ไหม?

“คนนี้ไม่ดูดหรอก เพราะเขาทำดีไว้เยอะ อย่าไปดูดเขาเลย”

ทำได้ไหม?  พรุ่งนี้ดวงอาทิตย์อาจจะมาขึ้นทางทิศตะวันตก เพราะมีคนอธิษฐานขอเยอะ และจำเป็นมากเลย เพราะมันจะช่วยคนอีกประมาณ 2, 3 ล้านคนรอดจากการหายนะ เฉพาะพรุ่งนี้วันเดียว ดวงอาทิตย์จะขึ้นทางทิศตะวันตก ทำได้ไหม? ไม่ได้ เพราะว่ามันเป็นกฎ คนไม่เข้าใจตรงนี้ นึกว่า …

“พระเจ้าทำไมไม่ยุติธรรม”

พระเจ้ายุติธรรมจริงๆ พระคัมภีร์บอกพระเจ้ายุติธรรม ไม่มีการลำเอียงใดๆ เลย ทุกอย่างเป็นกฎ เป็นระเบียบ ถ้าท่านได้รับความรอดในพระเยซูคริสต์ ก็เหมือนกัน มันก็เป็นกฎ ถ้าท่านเชื่อว่าพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด ไถ่บาปท่าน ท่านก็ได้รับความรอดเลย มันเป็นกฎ ท่านจะแก้ ยังแก้ไม่ได้เลย ท่านอาจจะบอกว่าโจรคนนี้ ทำชั่วมาตลอดชีวิต แล้วทำชั่วจริงๆ จนถูกจับได้ แล้วถูกตรึง ให้ตายอย่างทรมานที่กางเขน เพื่อเป็นตัวอย่างว่าอย่าทำอย่างนี้อีก แล้วถูกตรึงวันเดียวกับพระเยซู อยู่ข้างพระเยซู 2 คน ทำชั่วทั้งสองคน สมควรตาย อีกคนหนึ่งมาหาพระเยซูบอก …

“พระเยซูฉันเชื่อๆ ขอฝากชีวิตด้วย ฉันเชื่อพระองค์ นำฉันไปสวรรค์ด้วย”

พระเยซูบอกว่าอย่างไร? เราจะได้เจอกันในสวรรค์ รอดไหม? รอด เราบอกไม่ยุติธรรม นี่คือมนุษย์คิด กับพระเจ้าคิดต่างกัน ต้องเข้าใจตรงนี้ ถ้าเป็นมนุษย์ต้องเข้าใจเรื่อยเปื่อยตามประสาของมนุษย์ ตำรวจเรียกรถ 2 คัน ฝ่าไฟแดงทั้งสองคัน คันหนึ่งปรับ 5,000 บาท จ่าย 5,000 ไม่มีการยกเว้น อีกคันหนึ่ง จอดพร้อมกัน ฝ่าไฟแดงปรับเท่ากัน 5,000 ส่งศาล คนนี้ก็แย้งผู้พิพากษาว่าที่ฝ่าไฟแดงเพราะอะไร? สมมตินะ ยกตัวอย่างให้น่าสงสาร เพราะว่าจำเป็นต้องไปช่วยคนนี้ ภายในหนึ่งวินาที เขาจะตายไม่ตาย ต้องรีบไปโรงพยาบาล มีหลักฐานเรียบร้อย ศาลและลูกขุนเห็นเหมาะสม เป็นสิ่งที่ดีงาม ที่เขาทำไว้ เพราะฉะนั้น ละเว้นสักหนึ่งราย ไม่เปรียบเทียบปรับ ถามว่าสามารถทำได้ไหม? ได้ เพราะมันเป็นกฎที่มนุษย์วาง มนุษย์ก็จะอย่างนี้ อันนี้ดีๆ มันคนละเรื่องกับโลกวิญญาณ ที่พระเจ้าวางกฎไว้ต่างๆ แก้ไขไม่ได้ พระเจ้าจึงต้องประทานพระเยซูคริสต์ พระบุตรองค์เดียวของพระองค์ มาตายที่ไม้กางเขน เพื่อรับบาปแทนเรา และสร้างกฎใหม่ เรียกว่ากฎแห่งพระคุณ ในวิญญาณ ในพระเยซูคริสต์ ที่จะทำให้เราเป็นอิสระจากกฎของความบาปและความตาย  ทำอย่างไรก็ตาย เพราะมันอยู่ในกฎนั้น จะมาอ้างไม่ได้ว่า …

“ฉันทำอย่างโน้น ฉันทำอย่างนี้ หวังดี”

มันไม่ใช่  มันอยู่ที่รู้ความจริงของกฎไหม? ความจริง จะทำให้เราเป็นไท เป็นอิสระ ไม่อย่างนั้น เราก็จะมานั่งคิดว่าอันนี้เจตนาทำผิดไหม? อันนี้ไม่เจตนา สำหรับพระเจ้า ทำบาป ก็คือบาป ไม่มีเจตนาหรือไม่เจตนา เราก็จะบอกทำบาปเยอะ ทำบาปน้อย ทำบาปเยอะๆ ต้องไปอยู่ในนรกมากกว่าคนที่ทำบาปน้อย เราบอก คนทำบาปน้อย ไปอยู่ในนรกขุมเดียว คนทำบาปเยอะๆ ไปอยู่นรกหลายขุม แสดงว่ามันต่างกันนะ ในพระเจ้าทำบาปมากบาปน้อย ก็ไปอยู่ในนรกที่เดียว ในทำนองเดียวกัน คนที่ไปอยู่ในสวรรค์ ก็ไปอยู่ในสวรรค์ที่เดียวกันนั่นแหละ ไม่มีอะไรที่ดีกว่า คนนี้ทำดี ไปอยู่ในสวรรค์ชั้นหนึ่ง พอแล้ว เธอต้องทำดีมากๆ ขึ้นไปอีก เพื่อว่าเมื่อจบชีวิต เธอจะได้ไปอยู่ในสวรรค์ชั้นสูงๆ เลย ชั้น 12 ก็ได้ เดี๋ยวนี้ยิ่งดีใหญ่ ใช้ลิฟท์ ชั้น 50 ก็ได้  แล้วแต่มนุษย์จะคิดตามประสามนุษย์ พระเยซูกำลังจะสอนเราอย่างนี้ สอนมา 2,000 ปี ยังเอามาใช้ได้ถึงปัจจุบัน เหมือนกันเด๊ะ คุ้นๆ ใช่ไหมถ้อยคำแบบนี้ แต่ในทางพระเจ้าไม่มีแบบนี้ ความรัก ความเมตตา การให้อภัยของพระเจ้าไม่มีความแตกต่างเลย ไม่มีการแบ่งแยกเลยว่าคนนี้บาปน้อย ฉะนั้น อภัยให้น้อย คนนี้บาปหนามาก เพราะฉะนั้น ไม่ให้อภัยเด็ดขาด ไม่มี พระเยซูตายที่ไม้กางเขน เพื่อมนุษย์ทุกคน เพื่อทุกคนจะได้รับความรอด มาถึงชีวิตนิรันดร์ พระเจ้าประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์มา เพื่อมนุษย์ทุกคน แต่ทุกคนต้องทำหน้าที่ ก็คือต้องใช้สิทธิของเขา ถ้าเขาใช้สิทธิของเขา ก็จะไม่มีใครมาแย้งได้เลย เขาก็จะได้รับสิทธิของเขาไป ตามนั้น

ในสายพระเนตรของพระเจ้า คำว่าบาป ไม่มีเรื่องปริมาณ ไม่มีเรื่องเจตนา มีเพียงบาป ก็คือบาป ทำบาปเล็ก ทำบาปใหญ่ ก็บาปเท่ากัน ไม่ว่าจะกี่ครั้ง ก็บาป เหมือนกัน ไม่ว่าจะเจตนา หรือไม่เจตนา ก็บาปเหมือนกัน ไม่มีคำปรากฏในพระคัมภีร์ว่ารอดจากบาป นิดหน่อย รอดจากบาปมาก มีแต่รอดจากบาปทุกคน มีแต่ขาวกับดำ ไม่มีเทาๆ

ถ้าเราทำให้กฎของพระเจ้า ถ้อยคำของพระเจ้าแม้แต่ขีดๆ หนึ่ง จุดๆ หนึ่ง ลบเลือนหายไป ด้อยลง อ่อนค่าลง ทำให้บัญญัติของพระเจ้าอ่อนแอลง คือไม่เข้มเท่าเดิม เพราะเราคิดเอง เราก็จะไม่แสวงหาพระคุณพระเจ้า เราก็จะพยายามด้วยกำลังของเราเอง ซึ่งคิดว่าทำให้ดีที่สุด ก็แล้วกัน แล้วเราจะเป็นที่พอใจของพระเจ้า เป็นที่รับได้ของพระองค์มากกว่าคนที่เขาไม่พยายาม อันตรายมาก แต่พระเยซูกำลังมาชี้ให้เราเห็นว่าเราพยายามเท่าไร ก็ไม่มีทางผ่านมาตรฐานของความบริสุทธิ์ของพระเจ้าได้  ไม่มีทางที่จะบริสุทธิ์สะอาด ปราศจากมลทินของบาปใดๆ ได้ตามมาตรฐาน ตามสายพระเนตรของพระเจ้าได้ เราไม่มีทางทำได้  ถ้าเราเห็นตามที่พระเยซูบอก พระเยซูกำลังบอกว่า …

“ถ้าท่านทำไม่ได้ ท่านต้องพึ่งเรา 100% ไง ต้องมาหาทางเรา 100%”

มาหาทางพระเยซู 100% และวางใจในพระองค์ ที่ทรงมาเกิดเป็นมนุษย์ มาเป็นพระผู้ช่วยให้รอด เป็นพระมาซีฮาห์ เป็นพระเมสซียาห์

บัญญัติของพระเจ้าที่จะรักษาไว้ เพื่อมนุษย์ทุกคนจะได้พ้นจากบาปได้นั้น ต้องเป็นบัญญัติที่ครบถ้วนบริบูรณ์ บอกว่า “ห้ามฆ่าคน” ก็ต้องไม่ฆ่าเลย แม้กระทั่งว่าคน เกลียดคนก็ไม่ได้เลย ต้องครบถ้วนอย่างนั้น ถึงจะได้เข้าในสวรรค์ได้ เข้าไปอยู่กับพระเจ้าได้ ต้องครบถ้วนบริบูรณ์ 600 กว่าข้อ หรือมากกว่านั้นอีก ซึ่งพระเยซูบอกมนุษย์ทำไม่ได้หรอก แต่พระองค์ทำให้เราได้ ก็คือเข้าไปเชื่อในพระองค์ พอท่านเชื่อ ท่านจะได้รับการบังเกิดใหม่ โดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า ซึ่งเป็นกฎแห่งพระวิญญาณ พอท่านเชื่อว่าพระเยซูเป็นพระบุตรของพระเจ้า ที่พระเจ้าประทานให้กับมนุษย์ทุกคน ตายที่ไม้กางเขน  เพื่อแบกรับเอาความบาปของมวลมนุษยชาติ และของฉันด้วย และพระองค์ทรงเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่ 3 นี่คือข่าวประเสริฐ คือฤทธิ์เดชอำนาจ คือกฎของวิญญาณ ใครที่เชื่ออย่างนี้ วิญญาณของเขาจะได้รับการบังเกิดใหม่ เป็นลูกของพระเจ้าที่สะอาดบริสุทธิ์ มีวิญญาณเหมือนพระเจ้าเลย สะอาดบริสุทธิ์เหมือนพระเจ้า เป็นลูกของพระเจ้า ไม่มีตำหนิใดๆ เลย พระเจ้าเป็นวิญญาณแห่งความรัก เคยได้ยินใช่ไหม?

“พระเจ้าเป็นความรัก  พระเจ้าเป็นความรัก”

พอเราเหมือนพระเจ้า เราก็เลย เป็นความรัก วิญญาณเราเป็นความรักเหมือนพระเจ้าเลย อย่างที่ตะกี้ผมบอก เราเพียงสวมใส่ร่างกายเก่า ซึ่งร่างกายเก่านี้ยังตกอยู่ใต้อิทธิพลของบาป เนื่องจากกิเลสตัณหามันยังอยู่ในนี้ เนื้อหนังนี้ และยังอยู่ในความคิดเก่าๆ นี้ อาจจะเผลอตกหล่นไป พระเจ้าไม่สนใจ พระเจ้าสนใจตัวจริงของเรา และความคิดจิตใจของเราที่บังเกิดใหม่แล้ว อยู่ในพระหัตถ์พระเจ้า พระเจ้าบอกว่า …

“จะไม่มีใครที่ไหนเอาเจ้าออกไปจากมือของเราได้อีกแล้ว เราใส่หัวใจใหม่ วิญญาณใหม่ลงไปที่เจ้าแล้ว ไม่มีฤทธิ์เดชอำนาจใดๆ ที่มาเอาเจ้าออกไปจากความรักของเราได้อีกแล้ว”

ฟิลิปปี บทที่ 1 บอกว่าพระเจ้าทรงให้ท่านเกิดใหม่แล้ว เริ่มต้นการงานดีในท่านแล้ว ข้าพเจ้าเชื่อมั่นว่าพระองค์จะทรงกระทำ พาท่านต่อไป จนกระทั่งสำเร็จผล เป็นไปตามน้ำพระทัยพระเจ้า จนกว่าวันของพระเยซูคริสต์จอมเจ้านาย คือวันที่ท่านจากไปหาพระเยซู หรือพระเยซูกลับมา เอเมน

เห็นไหม? ทำได้ เพราะว่าพระองค์ทำหนทางให้เรา สามารถไป เพราะว่ามันเป็นกฎ กฎนี้ เรียกว่ากฎแห่งพระคุณในพระเยซูคริสต์ มนุษย์คิดว่าพยายามทำให้ดีที่สุด ก็แล้วกัน เพื่อพระเจ้าจะได้พอใจ ฟังให้ดีๆ นะ มนุษย์คิดเหมือนฟาริสีสมัยก่อน แม้จะเป็นคริสเตียน ก็ยังคิดอย่างนี้อยู่ คิดว่าพยายามทำให้ดีที่สุด ก็แล้วกันนะ เพื่อพระเจ้าพอใจ แต่พระเยซูบอกว่า …

“สิ่งที่ทำให้พระเจ้าพอใจที่สุด คือท่านทั้งหลายจงเชื่อในเรา”

คนถามพระเยซู “พระเยซู พระเจ้าส่งพระองค์มาทำอะไรบนโลกนี้”

พระเยซูบอก “เรามาทำตามน้ำพระทัยพระเจ้า คือเชื่อในพระบิดา คนใดจะไปหาพระบิดา ต้องเชื่อในเรา”

คนไหนทำให้พระเจ้าพอใจ คือเชื่อในพระเจ้า พูดง่ายๆ คือคนไหนที่ทำให้พระเจ้าพอใจ คือคนที่เชื่อว่าพระเยซูเป็นพระบุตรของพระเจ้า มาไถ่บาปมนุษย์และเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่ 3 นี่แหละ คนที่เชื่อตรงนี้ คือคนที่พระเจ้าพอใจที่สุด เพราะว่าเชื่อตรงนี้แล้ว พระเจ้าจะนำพาเขามาเป็นลูกของพระองค์ แล้วพระองค์จะทรงนำพาเขาไปเรื่อยๆ และใช้เขาบนโลกใบนี้ ให้เป็นแสงสว่างที่เดินอยู่บนโลกนี้ พร้อมๆ กับพระองค์ เอเมน

เพราะฉะนั้น ถ้าอยากทำชีวิตให้เป็นที่พอพระทัยของพระเจ้า ซึ่งทุกคนอยากทำอยู่แล้วล่ะ พยายามอยากทำอยู่ อันนี้ง่ายขึ้นแล้ว อยากทำให้ชีวิตเป็นที่พอพระทัยพระเจ้า ก็คือเชื่อและวางใจในพระบุตร คือพระเยซู ว่าเป็นพระผู้ช่วยให้รอด ที่เป็นพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์ ตายที่ไม้กางเขน หลั่งพระโลหิต เพื่อชำระบาปให้กับเรา เพื่อให้เราได้บังเกิดใหม่ พร้อมๆ กับพระองค์ในวันที่ 3 ที่พระองค์ทรงเป็นขึ้นมาใหม่ แค่นั้นเอง แล้วเมื่อเราเป็นที่พอพระทัยพระเจ้าแล้ว พระเจ้าจะอวยพร และนำพาชีวิตท่านต่อไป เมื่อพระเจ้าทั้ง 3 พระภาคเสด็จเข้ามาสถิตอยู่ในท่าน ในวิญญาณของท่าน พระองค์จะนำพาท่านไป จบอุปมานี้ ขอพระเจ้าอวยพรครับ

 

********************************