คำหนุนใจ Pre Sermon วันอาทิตย์ที่ 4 พฤศจิกายน 2018 เรื่อง “ความหมายของการให้” โดย นคร เวชสุภาพร

คำหนุนใจ Pre Sermon วันอาทิตย์ที่ 4 พฤศจิกายน 2018

เรื่อง “ความหมายของการให้”

โดย นคร  เวชสุภาพร

            สวัสดีครับพี่น้อง เดือนพฤศจิกายน ใกล้เทศกาลอะไรน๊า เทศกาลขอบคุณพระเจ้า เราก็มาเริ่มต้นคุยกันทุกปี ปีนี้พิเศษนิดหนึ่งว่าเราจะขอบคุณพระเจ้าอย่างไร ถึงจะเหมาะที่สุด รู้ไหม?  มีอันเดียว ที่ขอบคุณพระเจ้า พระเจ้าให้เราขอบคุณตรงนี้ เพื่อชีวิตเราเอง ไม่ใช่เพื่อพระองค์เลย คนที่เป็นพ่อแม่ คนที่เป็นคนให้กำเนิด ก็จะมักจะอย่างนี้เสมอ ไม่เคยคิดถึงตัวเองหรอก คิดถึงคนอื่นเสมอ บางทีสอนไป ให้ทำไป ดูเหมือนทำให้พระองค์ แต่ไม่ได้ทำให้พระองค์หรอก ส่วนประโยชน์อันใหญ่ยิ่งเกิดขึ้นกับคนทำนั่นแหละ ก็คือลูกคนนั้นที่กตัญญู พระเจ้าบอกว่าถ้าอยากจะรับใช้พระองค์ ให้มีชีวิตด้วยการให้

วันนี้ เราจะมาคุยกันเรื่องการให้ นานจะคุยทีหนึ่ง เพราะเรื่องนี้เป็นเรื่องที่บาดใจมาก ไม่อยากจะคุยเลย คุยทีไรมันสะเทือน เพราะมันสะเทือนหัวใจที่สองของเรา ซึ่งสำคัญกว่าหัวใจแรกอีก  หัวใจแรกเราอยู่ทางซ้ายหรือทางขวา? ทางซ้าย  หัวใจที่สองอยู่ซ้ายขวาเลย รู้ไหมว่าอยู่ที่ไหน? กระเป๋าตังค์ พูดถึงกระเป๋าตังค์ ทุกคน  วันนี้จะพูดถึงการให้

การให้ คือการต้องให้ออกไป หลายคนไม่เข้าใจ มาหาพระเจ้า  เวลาจะให้ จะถวาย  ทำไงรู้หรือเปล่า? ตั้งเป้าเลย อยากจะได้คืนตรงนั้น อยากจะได้คืนตรงนี้ อยากได้ตรงนั้น อยากได้ตรงนี้ เลยไม่ได้เลย เพราะว่าการให้ ให้โดยตั้งใจว่าอยากจะได้คืน ไม่ใช่ให้เลยไง เอาใหม่อีกที การให้โดยที่เราตั้งใจหวังว่าจะได้คืน ไม่ว่าจะคืนน้อย คืนเยอะ คืนอะไรก็ตาม มันก็คือไม่ได้ตั้งใจจะให้ ถูกไหม? เราเรียกว่าอะไร? ถ้าทำอย่างนั้น อย่างท่านไปตลาด

ท่านตั้งใจจะซื้อมะม่วงสักโลหนึ่ง ท่านเอาเงินให้เขา 200 เพื่ออะไร? ท่านให้เงินเขาไป 200 ท่านให้เงินเขา 200 ใช่หรือเปล่า? ไม่ได้ให้ ท่านแลกกับมะม่วงที่ท่านตั้งใจอยากได้ อย่างนั้นเขาไม่เรียกว่าให้ เห็นหรือยัง? นี่คือแง่มุมหนึ่งที่ให้เราได้สังเกตเห็น

อีกอันหนึ่ง แง่มุมหนึ่งที่ให้เห็น ก็คือขณะที่เราไปกับเพื่อนเรา เราทานข้าว 2 จาน สั่งจานหนึ่ง แล้วยังไม่อิ่ม สั่งอีกจานหนึ่งมา ปรากฏว่าสั่งอีกจานหนึ่งมา อิ่มเกินไป กินได้ครึ่งจานอิ่มแล้ว อีกครึ่งจานเราให้เพื่อน  แบ่งให้เพื่อน เราให้เธอ เราให้เขาไหม? ถามจริง เราให้หรือเปล่า? อีกครึ่งจานเราให้เขาไหม? ไม่ได้ให้ ทำไม?  เราเหลือ เราไม่ได้ตั้งใจให้เขาสักหน่อยเลย เราเหลือ เรากินไม่หมด เราจะทิ้งแล้ว ทิ้งไป ก็เสียดาย เพราะฉะนั้น ให้ดีกว่า อย่างนี้ไม่ใช่ อย่างนี้ไม่ใช่ให้ บางคนบอกฉันเสียดายนะ เอาไปให้เขาดีกว่า อย่างนี้ไม่ใช่ให้ ให้ในลักษณะของพระเจ้า ไม่ใช่แบบนี้

แค่ยกตัวอย่าง 2 อย่างนี้ เราจะได้เห็นภาพชัดเจนว่าคำว่าให้ในลักษณะพระคัมภีร์ไบเบิ้ลของพระเจ้า แปลว่าอะไร? คำที่พระเยซูพูดว่าการให้ เป็นเหตุให้เกิดความสุขมากกว่ายิ่งการรับ การให้ที่พระเยซูพูด หมายถึงอะไร? หมายถึงการแลกหรือ? หมายถึงการลงทุนหรือ? เพื่อจะหวังกำไรหรือ?  ไม่ใช่ แต่การให้เป็นลักษณะอย่างนี้ อยู่ใน 2 โครินธ์ 9:6 จะได้รู้ว่าที่แล้วมาทั้งปี หรือบางคนเชื่อพระเจ้ามาตั้งนาน ตั้ง 10 ปีแล้ว ได้ให้อะไรบ้างไหม? ปรากฏว่าคิดมาแล้ว ไม่ได้ให้เลย ทั้งหมดเป็นการลงทุน และเป็นการทิ้งขยะของเหลือ เสียดาย ไหนๆ จะทิ้งอยู่แล้ว ก็เลยไปให้คนอื่นเขา อย่างนี้ไม่ได้ให้แบบพระเจ้า

2 โครินธ์ 9:6-8 6 จงจำไว้ว่าผู้ที่หว่านอย่างตระหนี่ ก็จะเก็บเกี่ยวได้น้อย ผู้ที่หว่านด้วยใจกว้างขวาง ก็จะเก็บเกี่ยวได้มาก 7 แต่ละคนควรใหตามที่คิดหมายไว้ในใจ ไม่ใช่อย่างลังเล หรือเพราะถูกผลักดัน เพราะพระเจ้าทรงรักผู้ที่ให้ด้วยใจยินดี 8 และพระเจ้าทรงสามารถประทานพระคุณทุกประการอย่างล้นเหลือแก่ท่าน เพื่อว่าท่านจะมีทุกอย่างที่จำเป็นอยู่ทุกเวลา และท่านจะมีล้นเหลือ สำหรับการดีทุกอย่าง

 

ตะกี้ผมอ่านแบบตกร่องให้ท่านเห็น  เพื่อให้ท่านจำแม่นๆ ว่านี่คือการให้ จำไว้ ให้ต้องคิดหมายไว้ในใจว่าเราตั้งใจให้จริงๆ ให้ ก็คือให้ ไม่หวังสิ่งตอบแทน เขาถึงเรียกว่าให้ ถ้าหวังแม้แต่นิดเดียว คือจะเป็นลงทุนก็ตาม จะเป็นเศษของ ของเหลือ ก็ตาม ช่วยเอาไปเก็บที ช่วยเอาไปทิ้งขยะที นั่นแหละ เรากำลังบอกเพื่อเรา เอาไปทิ้งขยะที  แหม! ทำเป็นมีบุญคุณอีกนะ ให้เขา ตัวเองก็กินไม่ลง อย่างไรก็ต้องทิ้งอยู่แล้ว นึกออกใช่ไหม? เสื้อขาดๆ แทนที่จะเอาไปทำขี้ริ้ว แต่เอาไปให้เขา แล้วก็บอกว่าให้ ไม่จริง

ถ้าท่านอยากให้จริงๆ ยกตัวอย่างเสื้อขาดๆ คุณต้องเอาเสื้อที่คุณรักที่สุด อย่างนี้แหละ ท่านจะชัดเลยว่านี่ให้จริง เวลาให้ มันจะมีเหมือนมีดเฉือน เลือดชิบๆ นิดๆ นั่นแหละ เขาเรียกว่าให้ พระเจ้าทำเป็นตัวอย่าง ยอห์น 3:16 พระเจ้าทรงให้พระบุตร คือพระเยซูมาตายที่ไม้กางเขน เพื่อเรา นี่แหละให้ เลือดชิบๆ มีเสียสละลงไป นั่นแหละ คือการให้

“คิดหมายไว้ในใจ” คือตั้งใจไว้แล้วว่าไม่ได้หวังสิ่งตอบแทน เมื่อไม่ได้หวังสิ่งตอบแทน ก็ไม่เสียใจเลย มีแต่สุข ตั้งแต่วันที่ตัดสินใจ ยังไม่ทันให้เลย แค่ตัดสินใจได้แล้ว

ยกตัวอย่างเช่น วันนี้เราตั้งใจจะมาโบสถ์ คิดว่าจะเอาเงินมาให้ เพื่อมีส่วนร่วมในการประกาศข่าวดีของพระเจ้า การเอาเงินมารวมกันที่โบสถ์ โบสถ์ ก็คือสถานที่ของพระเจ้า เพื่อจะเอาไปประกาศข่าวดีหลายๆ ทาง แล้วแต่ ให้ข่าวดีออกไป เป็นการงานดี ตั้งใจจากที่บ้านแล้ว ตั้งใจตั้งแต่เมื่อคืนนี้แล้ว อธิษฐานเรียบร้อยแล้ว ตั้งใจตั้งแต่ที่บ้านแล้ว วันนี้ 10 บาทนี้จะให้ออกไป จบสิ้น พออธิษฐาน เอเมนปุ๊บ มีสุขแล้ว  เพราะไม่ได้นึกว่า 10 บาทนั้น มันไม่ใช่ …

“พระเจ้า ลูกให้ไป 10 บาทแล้ว พระองค์สัญญา (เปิดพระคัมภีร์เลย 2 โครินธ์ บทที่ 9 เมื่อตะกี้) พระองค์จะให้ลูกเหลือล้น ให้ทุกอย่างที่ลูกจำเป็น โอ้! เหลือล้น มีทรัพย์สินเงินทองเยอะแยะ ลูกเหลือล้นมีมากมาย”

ไม่ใช่วิธีนั้น … ใช่ พระคัมภีร์เขียนอย่างนี้ แต่ไม่ใช่หน้าที่ของเราที่จะไปหวังว่าจะต้องเหลือล้นอย่างนั้น จะต้องเหลือล้นอย่างนี้  ในนี้บอกมีทุกอย่างที่จำเป็น แล้วใครเป็นคนตัดสินใจจำเป็น? ใคร? เราเหรอ ถ้าเราจำเป็น มันจำเป็นไปหมด มากกว่ารถเบนซ์ ยังจำเป็นเลย มีรถเบนซ์ก็อยากจำเป็นเป็นรถยี่ห้ออื่น ไปดวงดาว ก็จำเป็นไปดวงอื่นต่อๆ ไป ไปดวงจันทร์ได้ ก็จำเป็นที่จะไปดวงดาวพฤหัสฯ ที่ไกลออกไป ไม่มีวันจบวันสิ้น นี่คือจำเป็นเหรอ เราไม่มีทางหรอก เพราะเราอยู่ในเนื้อหนัง อยู่ในความบาป อยู่ในความอ่อนแอ เป็นไปไม่ได้หรอก ดังนั้นความจำเป็นตรงนี้อยู่ที่พระเจ้า พระองค์ทรงประทานให้เราทุกอย่างที่เราจำเป็น ถ้าเราอธิษฐานอย่างนี้ว่าเราตัดสินใจถวาย 10 บาท จบ พรุ่งนี้ให้ออกไปเลย จบแล้ว เรานอนหลับสบาย ไม่ต้องกลัวอะไรแล้ว เพราะว่าไม่ว่าเราจะจำเป็นอะไร เดี๋ยวพระเจ้าจัดการให้เอง อย่างนี้ คือเรียกว่าให้ เอเมนไหม? จบสักที

นึกว่าพระเจ้าเป็น ATM นึกว่าพระเจ้าเป็นสลอดแมนชีน ให้ไป 10 บาท กะจะได้ 100 นี่คิดการค้าเกินควร ตำรวจควรจำนะเนี้ย  เป็นพ่อค้าแม่ค้าที่แย่มากเลย จะเอาตั้ง 10 เท่า 100 เท่า เห็นพระเจ้าเป็นแบบหมูๆ ให้ไป 10 บาทจะเอามา 100 เอามาพัน ไม่ใช่หน้าที่เรา  นี่แหละคือเคล็ดลับของการเจริญรุ่งเรืองในทางพระเจ้า มันนิดเดียวเอง ทำได้ไหม? นานๆ พูดที ทำได้ไหม? ทำได้ อดทนหน่อย ฝึกตั้งแต่นิดๆ หน่อยๆ 10 บาท ก็ทำได้ ถ้าท่านทำ 10 ได้ 100 บาทก็ทำได้  100 บาท ต่อไปเป็นพันก็ทำได้ เห็นหมื่น เป็นแสน เป็นล้าน เป็นสิบล้าน เป็นยี่สิบล้าน เป็นร้อยล้านท่านก็ทำได้ เพราะมันเริ่มจากนิดเดียว อย่ารอบอกพระเจ้า …

“พระเจ้าให้ถูกล๊อตเตอร์รี่ก่อน จะให้เลย”

ไม่มีวันให้หรอก อย่างนี้ก็โลภตลอดชีวิต ไม่มีทางเป็นไปได้เลย มันต้องมาจากนิดเดียว ถ้าน้อยท่านให้ได้ ใหญ่ก็ให้ได้ น้อยยังให้ไม่ได้เลย อย่าไปหวังเลยว่าพอมีเยอะๆ แล้วจะให้ เป็นไปไม่ได้ ทุกคน พอเป็นไปไม่ได้ นึกถึงจะเป็นไปได้ทุกที แต่มันเป็นไปไม่ได้หรอก …

“รอให้ฉันถูกล๊อตเตอร์รี่ก่อนเถอะ ฉันจะสร้างโบสถ์เองเลย จะถวายครึ่งหนึ่งของที่ถูกเลย”

สมมติว่าถูกจริงๆ ให้ไหม? คิดเอาเองแล้วกัน ถ้าบางคนบอกว่าให้ ถูกเลย ให้ครึ่งหนึ่ง ก็หวังพระเจ้าจะให้อะไรมาอีกไหม? ไม่มีวันจบสิ้น อย่างนี้เขาเรียกว่าโลภ ซึ่งพระเยซูบอกว่าจงระวังความโลภทุกชนิด  ทุกคนรู้วิธีการให้ แล้วแต่ในนี้บอกว่าอย่างไร? บอกว่ามีทุกอย่างที่จำเป็นอยู่ทุกเวลาด้วย 10 บาท เมื่อคืนตัดสินใจให้ไปแล้ว เงินยังไม่ได้จ่ายออกจากกระเป๋าเลย มีความสุข นี่แหละ มีความสุขมากยิ่งกว่าการรับ โอ้โห ยิ้มตลอดเลย  ยิ้มหวังว่าจะได้ เปล่า ยิ้มหวัง พระเจ้าดูแล แม้กระทั่งนกในอากาศ  พระองค์ยังดูแลเลย มากกว่านั้นสักเท่าใด ที่ลูกเป็นลูกพระองค์ พระองค์จะดูแลลูก เพราะลูกเป็นลูกที่เชื่อฟัง จบ

ลูกเป็นลูกที่ไม่โลภ แล้วแต่พระองค์ แล้วแต่ทุกอย่าง ชีวิตมีความสุข แล้วในนี้บอกว่าทุกเวลา ทุกเวลา คือคุณจำเป็นอะไร? ทุกเวลา มันไม่แน่นอน วันนี้ท่านอาจจะจำเป็นใช้เงิน แต่ในวันข้างหน้าอีก 10 ปีท่านอาจจะไม่ได้ใช้เงินแล้ว เพราะเงินท่านมีแล้ว  หรืออาจจะไม่มี แต่เงินก็ช่วยไม่ได้ ในตอนนั้น  อย่างอื่นมากกว่าที่ช่วยได้ ซึ่งผมก็ไม่รู้อะไร เงินก็ช่วยไม่ได้ ถูกไหม? แต่อาจจะเป็นคนข้างเคียงช่วยได้ อาจจะเป็นคนที่รู้เรื่องนี้โดยเฉพาะมาช่วยคุณได้ พระเจ้าจะส่งคนนั้นแหละมาหาคุณ เอาสติปัญญามาให้คุณ เงินก็จะช่วยไม่ได้ เอเมนไหม? เยอะแยะมากมาย ในชีวิตเราก็ผ่านมาเยอะ ทุกเวลา เวลาไหนก็ตาม เวลาที่เราจำเป็นต้องใช้อะไรต่างๆ มาถึงที่เลย  ใครเอามาให้ พระเจ้าจัดเตรียมให้ และท่านจะมีล้นเหลือสำหรับการดีทุกอย่าง

ล้นเหลือทำการดี ไม่ได้หมายถึงเงินนะ บางทีแรง บางทีสติปัญญา  บางทีโอกาสด้วย บางครั้งมันมีโอกาสให้ท่านทำดี มันมีโอกาส บางคนไม่มีโอกาส พระเจ้าเปิดโอกาสให้ท่านมีโอกาสทำดี ยกตัวอย่างเช่น พระเจ้าพาท่านเผอิญเดินไปเจอคนกำลังเป็นลม ล้มฟุบลงไป พระเจ้าทำการงานในใจของท่านช่วยเขา ดูแลเขาอย่างดี จนกระทั่งเขาหายดีเลย เรียบร้อยแล้ว ท่านรู้สึกมีความสุขมากเลย ที่ได้ให้ตรงนี้ออกไป ถามว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเลยว่าวันนี้ ท่านจะเดินออกจากบ้าน เคยมองดูใครล้มบ้าง ท่านไม่ได้ดู ท่านก็ทำงานชีวิตของท่านไปเรื่อยๆ อยู่ในพระเจ้าตลอดเวลา แต่พอเกิดขึ้นปุ๊บ ทันทีปุ๊บ เวลานั้นทันที ท่านต้องการอะไร? ท่านได้รับการทรงนำจากพระเจ้า เรื่องความรัก ความเสียสละ ความเสี่ยง ที่จะกล้าทำ บางครั้งมันเสี่ยงนะ เขาอาจจะอยู่กลางถนนก็ได้ ท่านต้องเสี่ยงบ้าง แต่พระเจ้าจะบอกท่านว่าให้ทำอะไรบ้าง? ในขณะนั้น  แล้วท่าน พอทำเสร็จแล้ว ท่านดูเป็นฮีโร่เลยนะ นี่คือการดี ฮีโร่ที่พระเจ้าเตรียมไว้ แต่อย่าไปรับนะ อย่าไปรับว่าเราเป็นฮีโร่ เราขอบคุณพระเจ้า แล้วก็เดินผ่านไป นั่นคือหนึ่งบทบาท ในชีวิต ไม่ได้มีเป็นหยากเยื่อเลย สำหรับเรา ขอบคุณพระเจ้า  เป็นการดีอันหนึ่ง ที่พระเจ้าทำผ่านชีวิตเรา จบ ไม่ใช่เราควรจะได้รับเกียรติ ไม่ใช่เราเลย แต่เป็นพระเจ้า แล้วก็เดินผ่านไป เห็นไหม?

สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้น ไม่ใช่เพราะเรา แต่เกิดขึ้นจากการฝึกฝนในการให้ด้วยความตั้งใจจริงจากข้างในว่าให้เพราะความยินดี คืออะไร? ให้จริงๆ นะ ไม่ใช่ให้เพื่อหวัง เอเมน

จากนี้ต่อไป รู้จักการให้แล้วนะ เพราะฉะนั้น ก็ถึงเวลาประมาณ 11 โมงกว่าๆ คริสตจักรก็จะมีเวลาให้ท่าน ช่วงนี้ เป็นเวลาที่แล้วแต่ท่าน จะบอกท่านเสมอว่าทำใจให้สบาย จะให้ไม่ให้ ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับเราเลย เกี่ยวกับพระเจ้า แล้วไม่ต้องให้วันนี้  เดี๋ยวนี้ก็ได้ ไปให้ที่อื่น แอบให้ อะไรก็ตาม อยู่ที่ท่าน วิธีการให้ ผมอยากจะบอกท่าน เป็นพยานกับท่านว่าคนทำอย่างนี้ เป็นได้อย่างนี้จริงๆ

ถ้าใครอยากได้พระพรที่พระเยซูบอกว่าเป็นสุขมากยิ่งกว่าการรับ ใครอยากได้ล้นเหลือ มีทุกอย่างเท่าที่จำเป็นในทุกเวลา  จงให้ๆ อย่าหยุดให้ ไม่รู้จะบอกว่าอย่างไร? จะแนะนำท่านว่าจงให้เถิด ยิ่งให้มากเท่าไร? ท่านยิ่งได้มากเท่านั้น คำว่า “มาก” ไม่ใช่เงินจำนวนมากๆ หมายถึงให้ตามกำลังของท่าน คนมีล้านหนึ่ง เขาให้ 10 บาท กับคนมี 10 บาท เขาให้ 10 บาท มันต่างกันเยอะเลยนะ คนมีล้านหนึ่งให้แสนหนึ่ง กับคนมี 10 บาท ให้ 9 บาท ต่างกันเยอะเลยนะ มันไม่ได้อยู่ที่เงิน มันอยู่ที่จำนวน การเสียสละของท่านออกไป  การเฉือนเนื้อของท่าน การเฉือนหัวใจของท่านเจ็บปวดขนาดไหน? ท่านยอมออกไปนั้น  ตัวนี่แหละ คือตัวกำหนดว่ามันเยอะขนาดไหน? ซึ่งมันวัดกันไม่ได้ คนมีความสามารถอยู่หนึ่งแสน มันหลอกไม่ได้หรอก ก็รู้ว่าตัวเองมีแสนหนึ่ง คนมีหนึ่งพัน ก็หลอกไม่ได้หรอกว่าตัวเองมีหนึ่งพัน เพราะฉะนั้น เขาเฉือนจากหนึ่งพัน ไปร้อยหนึ่ง 10% นะ แต่คนมีแสนหนึ่ง เฉือนร้อยหนึ่ง เฉือนออกไปห้าร้อย เฉือนออกไปพันหนึ่ง สู้คนนี้ไม่ได้เลย มี 1% เท่านั้นเอง มันเป็นตัวเปอร์เซ็นต์มากกว่า

เพราะฉะนั้น ตรงนี้ก็เป็นอีกปัจจัยหนึ่ง ที่ให้ท่านได้สังเกตว่าได้ให้มากมาย แล้วพยายาม คือฝึกฝน ครั้งแรกยกได้น้อย ต่อไปจะยกได้มากขึ้น มากขึ้นเรื่อยๆ เพราะเป็นกฎกติกาที่พระเจ้าวางไว้  กล้ามเนื้อในการให้ออกไป มันจะเพิ่มพูนขึ้นๆ อย่าไปอยู่ดีๆ แบกหนักๆ ล้มทับตาย ทีละนิดทีละหน่อย ไม่ได้เดือดร้อนเลย  แต่เป็นการฝึกฝน เอาใจใส่ ตั้งใจจริง  เอเมน

 

*********************