คำหนุนใจ Pre Sermon วันอาทิตย์ที่ 25 พฤศจิกายน 2018 เรื่อง “Thanksgiving Worship and Prayers” โดย นคร เวชสุภาพร

คำหนุนใจ Pre Sermon วันอาทิตย์ที่ 25 พฤศจิกายน 2018

เรื่อง “Thanksgiving  Worship and Prayers”

โดย นคร  เวชสุภาพร

            สวัสดีครับพี่น้อง ถ้าสังเกตจะเห็นว่านมัสการจะมีแต่เพลงขอบคุณ เพราะอะไร?  เพราะว่าเดือนนี้เป็นเดือนขอบคุณพระเจ้า ประจำปีของทุกๆ ปี คือเป็นเดือนที่มีวันขอบคุณพระเจ้าอยู่ในนั้น แล้วเราก็นำสิ่งนี้ นำโอกาสนี้มา ระลึกถึงพระคุณพระเจ้าร่วมกัน วันนี้ ก็เลยเป็นพิเศษ นมัสการพิเศษ เน้นเรื่องการขอบคุณพระเจ้า เพื่อให้เรามีชีวิตอยู่ และรู้ว่าพระคุณของพระเจ้า ต่อชีวิตเรานั้น เป็นเช่นไร เดี๋ยวอีกสักครู่หนึ่ง จะให้ต่างคนต่างขอบคุณส่วนตัว แต่จะขอแนะแนวให้ก่อนว่าเราควรจะขอบคุณพระเจ้าตรงไหน? มี 2 อันเท่านั้นเอง ความหวังในโลกนี้ และในโลกหน้า

ในพระเจ้ามี 2 อย่าง ความหวังปัจจุบันนี้ ตอนนี้ ที่ดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ พระเจ้าสัญญากับเราว่าอย่างไร?  ดูแลเราอย่างไร? และความหวังในชีวิตหน้า ความหวังในชีวิตนิรันดร์ ที่เราจะอยู่ในสวรรค์สถานกับพระเจ้านิรันดร์กาล พระเจ้าสัญญากับเราไว้อย่างไร? และพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้าที่สถิตอยู่ในวิญญาณของเรา ในใจของเรา ยืนยันกับเราอย่างไรว่า 2 สิ่งนี้เป็นจริง นี่แหละ เราขอบคุณพระเจ้าใน 2 อย่างนี้

เอาอย่างแรกก่อน เราควรขอบคุณพระเจ้าเรื่องความหวังในปัจจุบัน คือพระเจ้าบอกว่าแม้นกในอากาศ มองสิ นกในอากาศมันเคยอดตายไหม? มันไม่ได้ทำมาหากินอะไร? มันไม่ได้หว่านข้าว ไม่ได้เก็บเกี่ยว พระเจ้าเลี้ยงนกเอาไว้ แล้วท่านล่ะ ท่านในที่นี่ คือใครที่เป็นลูกพระเจ้า ที่เชื่อในพระเยซู ท่านเป็นลูกของพระเจ้า สำคัญกว่านกนั้นตั้งเท่าไร? เห็นนกบินอยู่บนฟ้าทุกชนิด มีข้าว มีปลากิน อยู่ได้ดี ชีวิตของท่านพระเจ้าดูแลให้อย่างมากมาย ไม่ต้องเป็นห่วงว่าจะเอาอะไรกิน วันนี้ พรุ่งนี้ จะทำอย่างไร? พระเจ้าดูแลให้ เห็นไหม? สัญญา

สัญญาที่สอง บอกว่าไม่มีสิ่งชั่วร้ายใดๆ ไม่มีความโหดร้ายใดๆ ไม่มีอิทธิพลใดๆ ไม่มีอาวุธใดๆ มาทำร้ายท่าน เอาท่านออกไปจากมือพระเจ้าได้ เพราะพระเจ้าสถิตอยู่กับท่านตลอดเวลา ไม่ว่าท่านจะรู้หรือไม่รู้ ก็ตาม ท่านเดินไปไหนมาไหนบนโลกใบนี้ พระเจ้าอยู่กับท่านตลอดเวลา เห็นไหม?

นี่ 2 เรื่องแค่นี้  และท่านก็เห็นแล้วว่าพระเจ้าบอกว่าเราเป็นผู้จัดเตรียม จัดหาทุกสิ่งทุกอย่าง ที่ท่านจำเป็นต้องใช้สอย จากคลังทรัพย์อันมั่งคั่งของพระองค์ในพระเยซูคริสต์ เมื่อท่านเข้ามาอยู่ในพระเยซูคริสต์ เป็นลูกของพระเจ้าแล้ว พระองค์จะดูแลเลี้ยงดูท่าน ไม่มีวันขัดสน พระเจ้าบอกไว้อย่างนั้น  คนมาเชื่อพระเจ้าไม่เคยขัดสน

คำว่า “ขัดสน” บางคนก็บอกว่ายังขาดแคลนเงิน เรารู้สึกขาดแคลน แต่เราไม่ขัดสน เรามีพอกินพอใช้ มีน้อยก็ใช้น้อย มีมากก็ใช้มาก บางคนมีน้อยใช้มากอีกต่างหาก เพราะมันมาจากไหนก็ไม่รู้ ก็ใช้ไป ให้ออกไป

แล้วอะไรที่จำเป็น เงินซื้อไม่ได้ อย่างที่ผมเคยบอก เงินซื้อไม่ได้หลายเรื่องเลย เงินซื้อไม่ได้ แต่พระเจ้าจัดเตรียมให้เราได้ สันติสุข ความสงบสุข เงินซื้อได้ไหม? ไม่ได้ และอีกหลายๆ เรื่อง  ความสัมพันธ์ ผู้คนรอบข้างที่ดีงาม จิตใจที่ดีงาม ซื้อได้ไหม? ไม่ได้ สิ่งเหล่านี้ พระเจ้าจัดเตรียมให้กับเรา นี่คือความหวังใจอยู่บนโลกใบนี้ ไม่ต้องห่วง เราสามารถเผชิญทุกสิ่งได้ ผ่านทางพระเยซูคริสต์ ผู้ทรงเสริมกำลัง ผู้ทรงนำพาเราผ่าน  นี่สัญญาไว้อย่างนั้น

แล้วก็มีตัวอย่าง เช่น เปาโลก็เป็นตัวอย่างว่าพระเจ้านำพาเขาผ่าน ผ่านหมดทุกอย่าง ตอนอด ก็ผ่าน ตอนมีก็ผ่าน ตอนแข็งแรงดี ก็ผ่าน ตอนสุขภาพไม่ดี ก็ผ่าน ผ่านเพราะอะไร? เพราะพระเยซู พระเจ้าเสริมกำลังให้เขา เขาผ่าน เอเมน

สองสิ่งนี้เหมาะสมที่จะนำมาคิดในการขอบคุณพระเจ้าประจำปี จริงๆ ประจำวันของเราด้วยซ้ำ ประจำชั่วโมงด้วยซ้ำ แต่ปีหนึ่ง ครั้งหนึ่งที่เรานำมาเน้นให้ท่านได้ปฏิบัติ ได้คิดถึงสิ่งเหล่านี้ ก็จะมีพระพรมากยิ่งขึ้น

ใช้เวลานี้ในการขอบคุณพระเจ้าส่วนตัว ท่านก็อธิษฐานขอบคุณพระเจ้าอย่างที่ผมบอกมา ขอบคุณพระเจ้าสำหรับความหวังเดี๋ยวนี้  ปัจจุบันบนโลกใบนี้ เดินบนโลกใบนี้ ไม่ต้องห่วงแล้ว

สองความหวังในโลกหน้า เมื่อท่านจากโลกนี้ไป ไม่ต้องกลัวตายเลย ตาย คือกำไรชีวิต เริ่มต้นใหม่ เข้าไปในสวรรค์สถาน หลุดรอดพ้นจากความทุกข์ยากลำบากตลอดไปเลย 2 สิ่งนี้ให้เราขอบคุณพระเจ้านะ …

“พระเจ้าเราขอบคุณพระองค์ร่วมกัน ขอบคุณพระองค์ที่หลายครั้ง ที่เราไม่รู้ว่าเราจะเผชิญปัญหานั้นได้อย่างไร? หลายครั้งที่ปัญหานั้น ไม่สามารถที่จะแก้ไขได้จริงๆ โดยสายตาของมนุษย์ เหมือนทางตัน แต่แล้วพระหัตถ์ของพระองค์ก็เข้ามาในวินาทีนั้น ช่วยให้รอดไปอีกครั้งหนึ่ง บินขึ้นมาใหม่เหมือนนกอินทรีพร้อมกับพระองค์ ลูกทั้งหลายขอบพระคุณพระองค์ ที่ทรงจัดเตรียมทุกสิ่งทุกอย่างไว้ให้ และมันเป็นสิ่งดี สำหรับลูกทั้งหลาย ที่จะดำเนินชีวิตเป็นที่ถวายเกียรติแด่พระองค์ด้วย

ขอทรงนำพวกเราทั้งหลายต่อไป แบบนี้ด้วยเถิด และขอบคุณพระองค์ สำหรับชีวิตนิรันดร์ในพระเยซูคริสต์ ที่พระองค์ทรงประทานให้ ทุกครั้งที่เรานึกถึงความตาย ความเจ็บปวด อีกด้านหนึ่ง คือความปิติยินดีที่เราจะได้พักผ่อน อยู่กับพระองค์ในสวรรค์สถานนิรันดร์กาลเสียทีหนึ่ง ซึ่งไม่มีใครสามารถให้ความคิด ความสงบ การเผชิญหน้ากับสิ่งเหล่านี้ได้ นอกจากความหวังใจในพระเยซูคริสต์เท่านั้น เราขอบคุณพระองค์ สิ่งเหล่านี้ ไม่สามารถซื้อได้ ไม่สามารถแสวงหาด้วยมนุษย์ทั้งหลาย ด้วยกำลังของมนุษย์  แต่เป็นของประทานจากพระองค์ ผ่านทางพระเยซูคริสต์

เราทั้งหลายขอบคุณพระเจ้า สำหรับปีนี้ และปีต่อๆ ไป เราขอบคุณพระเจ้า สำหรับวันขอบคุณพระเจ้าที่ผ่านมา เมื่อวันพฤหัสฯ ขอบคุณพระเจ้าสำหรับประเทศไทย ที่พระองค์ทรงให้เราได้มาเกิดที่นี่ อยู่ที่นี่ มีสันติสุข ความสงบสุขที่นี่ เป็นประเทศที่ปลอดภัย เจริญรุ่งเรือง อุดมสมบูรณ์ และมีอิสรภาพ เสรีภาพในการทำหลายสิ่งหลายอย่าง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในการแสวงหาความจริงในองค์พระเยซูคริสต์

ขอบคุณพระเจ้า สำหรับสถาบันพระมหากษัตริย์ที่ทรงประทานให้ในประเทศนี้ ที่ให้เราได้อยู่ร่วมกันเหมือนกันเหมือนครอบครัวใหญ่ๆ ครอบครัวหนึ่ง มีความผูกพันซึ่งกันและกัน

ขอบคุณพระเจ้า สำหรับครอบครัวที่ดีงาม ที่พระองค์ทรงประทานให้เราได้อยู่อาศัยในคริสตจักร เหมือนครอบครัวเล็กๆ ครอบครัวหนึ่ง ที่เราได้รู้จัก เป็นพี่เป็นน้อง หนุนจิตชูใจซึ่งกันและกัน โดยท่ามกลางการเคลื่อนไหวของพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระองค์ เราขอบคุณพระเจ้า

ขอบคุณพระองค์ที่ทรงเลี้ยงดูเรา ไม่เคยขัดสน ไม่เคยขาดแคลน ไม่เคยอดตาย มีกินมีใช้ตลอดเวลา

ขอบคุณพระเจ้าที่ทรงแก้ไขให้หลายเรื่อง หลายสิ่งนั้น ไม่สามารถบอกได้ว่ามันคืออะไร? เหตุการณ์อย่างไร? แต่รู้ว่าไม่สามารถที่จะมีใช้มาช่วยเราในขณะนั้นได้ แต่พระองค์ก็มาช่วยเราทุกที ทุกครั้ง ตลอดเสมอมา เราขอบคุณพระองค์

และขอบคุณพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่ทรงประทานความมั่นใจ ยืนยันในจิตใจของเราว่าเราเป็นลูกของพระองค์ สะอาดบริสุทธิ์ ปราศจากบาป และเราเหมาะสมที่จะไปอยู่ในสวรรค์กับพระองค์ในสวรรค์สถานนิรันดร์ เมื่อเราทิ้งร่างนี้แล้ว ในวันหนึ่งข้างหน้า ขอบคุณพระเจ้าในสิ่งนี้

ขอบคุณพระเจ้าสำหรับทุกสิ่งที่พระองค์ทรงประทานให้ ขอชีวิตเราเป็นที่ถวายเกียรติแด่พระองค์เถิด ขอบคุณพระองค์ร่วมกัน ในนามพระเยซู  เอเมน

 

*********************

 

 

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 25 พฤศจิกายน 2018 เรื่อง “อุปมาคำสอนของพระเยซู” ตอน 8 “การให้อภัย” โดย นคร เวชสุภาพร

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  25  พฤศจิกายน  2018

 เรื่อง “อุปมาคำสอนของพระเยซู”

ตอน 8 “การให้อภัย”

โดย นคร  เวชสุภาพร

            มาถึงอาหารฝ่ายวิญญาณ อุปมาคำสอนของพระเยซู ตอนที่ 8 “การให้อภัย” 7 ตอนที่ผ่านมา วนเวียน เน้นย้ำกันอยู่ในเรื่องของการบังเกิดใหม่ ซึ่งพระคัมภีร์บอกว่าเป็นหนทางเดียวเท่านั้น ที่จะทำให้มนุษย์ ซึ่งเป็นคนบาป โดยกำเนิด สามารถเข้าไปในแผ่นดินสวรรค์ได้ และพระคัมภีร์ทั้งเล่ม อุปมาคำสอนของพระเยซู ก็พูดเกี่ยวกับเรื่องการบังเกิดใหม่ หรือการเข้าสู่อาณาจักรสวรรค์เหล่านี้ ทั้งนั้นเลย วันนี้เจะสอนเกี่ยวกับเรื่องการให้อภัย  ก็เป็นเรื่องเกี่ยวกับการบังเกิดใหม่ และจะเข้าไปอยู่กับพระเจ้าในสวรรค์ได้อย่างไร?

สมมติว่ามีเพื่อนมาพูดจาไม่ดีกับเรา  หรือว่าเขามาโกงเรา  หรือหักหลังเรา  เราจะสามารถยอมได้สักกี่ครั้งที่จะไม่โต้ตอบเลย  นิ่งเลย  เอาง่ายๆ เพื่อนที่ใกล้ชิดเราที่สุดเลย ลูกเราดื้อกับเรา ไม่เชื่อฟังเรา แถม (หักหลังเราอีก) มีนะ จะเกิดเหตุอะไรก็ตาม ไม่รู้ เราจะให้อภัยลูกที่รักที่สุด สักกี่ครั้ง ถ้าเขาทำผิด เหมือนเดิมอีก เราคงได้ยินคำพูดอย่างนี้บ่อยๆ ว่า …

“ครั้งนี้ยอมให้ก่อนนะ แต่อย่าให้มีครั้งที่สอง”

หรือไม่ก็บอกว่า “หลายครั้งมาแล้วนะ ต่อไปนี้ไม่ได้แล้วนะ” คือไม่ยอมอีกแล้ว ถูกไหม?

เรามาดูคำตอบดีกว่า ในพระคัมภีร์ พระเยซูตอบเรื่องการให้อภัยนี้ไว้อย่างไร? มาตรฐานของพระเจ้า เรื่องการอภัยนี้อยู่ตรงไหน? เราจะต้องยกโทษ ผู้ที่กระทำผิดต่อเราสักกี่ครั้งดี? มัทธิว 18:21-22

มัทธิว 18:21-22 “21 เปโตรมาทูลถามพระเยซูว่า “พระองค์เจ้าข้า หากพี่น้องทำบาปต่อข้าพระองค์ ข้าพระองค์ควรจะยกโทษให้เขากี่ครั้งดี สักเจ็ดครั้งหรือ! 22 พระเยซูตรัสว่า “เราบอกท่านว่าไม่ใช่เจ็ดครั้ง แต่เจ็ดสิบ  เจ็ดครั้ง”

 

ตามมาตรฐานของมนุษย์ทั่วไป เราคิดว่าการอภัยเพียงแค่ครั้งสองครั้ง หรืออย่างมาก 3 ครั้งก็ อภัยได้เยอะแล้วนะ เหมือนคำพูดที่บอกว่าความอดทนของเรามีขีดจำกัด

เปโตรมาถามพระเยซูว่า “หากพี่น้องทำบาปกับข้าพระองค์ … ข้าพระองค์ควรจะยกโทษให้เขากี่ครั้งดี สัก 7 ครั้งหรือ?”

ซึ่งถ้าเอาตามมาตรฐานของมนุษย์ เปโตรคงคิดว่าที่คิดว่า 7 ก็น่าจะสุดยอดของคนดีแล้วนะ  อดทนมาได้ 7 ครั้ง ถือว่าเยี่ยมมากแล้ว …

“ฉันทำเยี่ยมแล้วนะ  สัก 7 ครั้งได้ไหม?”

กะว่าจะได้รับคำชม “เปโตร ดีมากเลย เธอทำได้ตั้ง 7 ครั้ง”

แต่นี่เรากำลังพูดถึงจำนวนครั้งที่เราต้องอภัยกับคนๆ เดียว กับความผิดเรื่องเดียวกันนะครับ พูดง่ายๆ คือต่อให้มีใครมาทำผิดต่อเรา เรื่องเดิมๆ ซ้ำๆ ซากๆ ถึง 7 ครั้ง เราก็ยังไม่โกรธ รอให้มีครั้งที่ 8 แล้วค่อยโกรธ ยากมากเลยนะ พระเยซูบอกว่า …

“เราบอกท่านว่าไม่ใช่ 7 ครั้ง แต่ 70 … 7 ครั้ง”

ตรงนี้ ไม่ได้หมายความ 77 นะ ภาษาอังกฤษ ภาษาเดิม แปลว่า Seventy time seven แปลว่า 70×7 = 490 ครั้งต่อหนึ่งเรื่อง  ถ้าเขาโกงเรา … เราต้องอภัยให้เขา ให้เขาโกงเราประมาณ 490 อายตัวเองมาก นึกว่าตัวเองแน่ อภัยให้ 7 ครั้ง พระเยซูตอบกลับมา  พูดง่ายๆ พระเยซูกำลังบอกว่ามันเป็นไปไม่ได้ มันไม่สามารถทำด้วยตัวเองได้  ต้องทำความเข้าใจก่อนว่าเหตุการณ์ที่เปโตรถามพระเยซู เป็นช่วงเวลาก่อนการถูกตรึงที่ไม้กางเขนของพระเยซู ก่อนที่พระเยซูจะบอกว่า …

“สำเร็จแล้ว”

การไถ่บาปของมนุษย์สำเร็จแล้ว เป็นช่วงเวลาก่อนที่จะมีวันเพ็นเตคอส คือวันเกิดใหม่ของมนุษย์ พระวิญญาณลงมาสถิตอยู่กับมนุษย์  คือทำให้วิญญาณมนุษย์ได้เกิดใหม่ เป็นครั้งแรกของโลกนี้ เมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว ช่วงเวลาที่พูดกับเปโตรตอนนี้ ไม่ได้เป็นช่วงหลังเพ็นเตคอส แต่ก่อนหน้า มนุษย์ยังไม่เกิดใหม่ มนุษย์ยังไม่ได้รับการชำระล้างจากบาป ยังอยู่ใต้กฎแห่งธรรมบัญญัติเดิมอยู่ คือพระเยซูตอบเปโตรว่าถ้าจะทำตามกฎบัญญัติ ตามมาตรฐานของพระเจ้าเดิมๆ ในการให้อภัยจากพระเจ้า ต้องทำขนาดไหน? เดิมๆ คือกฎในสมัยโมเสสให้ไว้ และคำตอบของพระเยซู ก็คือต้องทำแบบชนิดที่ว่าต้องไม่มีขอบเขต ต้องอภัยตลอดเลย ไม่มีที่สิ้นสุด

พระเยซูกำลังจะบอกว่าเมื่อผู้คนของพระเจ้า หรือว่าประชากรของพระเจ้า ยอมทำตามพระเจ้าทุกอย่าง จากใจ จากวิญญาณของเขา พระเจ้าถึงจะรับได้ ถ้าเขาทำด้วยกำลังของเขา และเขาทำไม่ได้  ก็ถือว่าสอบตกหมด ไม่ว่าจะทำได้มากหรือน้อย ไม่ว่าจะ 7 ครั้ง 70×7 ครั้ง 70×20 ครั้งก็ตาม เขาก็สอบตกหมดทั้งสิ้น ซึ่งเรื่องเหล่านี้ อยู่ในพระคัมภีร์ทั้งหมดเลย

พระเยซูบอกว่าการให้อภัย ตามมาตรฐานของพระเจ้า คือต้องให้อภัย 70×7 ครั้ง ต่อหนึ่งคน ต่อหนึ่งเรื่อง เปโตรฟังแล้ว อึ้ง ซึ่งตรงนี้แหละ น่าจะเป็นประเด็นคำตอบที่แท้จริง ที่พระเยซูบอกว่าต้องอภัย 70x7 = 490 เป็นเพียงอุปมาเปรียบเทียบ เพื่อจะให้เห็นว่ามันเป็นไปไม่ได้ มนุษย์ไม่มีใครทำอย่างนี้ได้หรอก แต่มนุษย์คิดว่าทำได้ 90% ยอดเยี่ยมแล้ว แข่งกันใหญ่เลย มัทธิว 18:23-27 บอกไว้ว่า …

มัทธิว 18:23-27 “23 เหตุฉะนั้น อาณาจักรสวรรค์เป็นเหมือนกษัตริย์องค์หนึ่ง ซึ่งประสงค์จะสะสางบัญชีกับข้าราชบริพาร 24 เมื่อเริ่มสะสางคนหนึ่ง ซึ่งเป็นหนี้อยู่หลายสิบล้านเหรียญเดนาริอัน ถูกนำตัวมาพบ 25 เนื่องจากเขาไม่สามารถชำระหนี้ กษัตริย์จึงสั่งให้เอาตัวเขากับภรรยาและบุตร ตลอดจนข้าวของทุกอย่างไปขาย เพื่อมาใช้หนี้ 26 “ข้าราชบริพารคนนั้น ก็คุกเข่าลง วิงวอนต่อหน้าพระองค์ว่า ‘ขอทรงผัดผ่อนให้ข้าพระองค์เถิด แล้วข้าพระองค์จะใช้หนี้ให้จนครบ’ 27 กษัตริย์ทรงสงสาร จึงยกหนี้ให้ และปล่อยตัวไป”

 

คำอุปมาของพระเยซูในเรื่องนี้ จะถูกยกมาใช้บ่อยมาก เวลาที่จะสอนเรื่องเกี่ยวกับการให้อภัย หรือการยกโทษให้กับผู้ที่กระทำผิดต่อเรา  ในข้อ 22 ที่เราอ่านตอนต้น  ตอนที่พระเยซูตอบว่าต้องให้อภัย 70×7 หรือ 490 ครั้ง ก็เป็นอุปมาเปรียบเทียบให้เห็นภาพว่ามันเป็นไปไม่ได้ จำนวน 490 ครั้ง เป็นการแทนความหมายว่าเป็นการอภัยแบบไม่มีวันสิ้นสุด เป็นการอภัยแบบสมบูรณ์ คือต้องอภัยตลอดไปนั่นเอง

มาถึงข้อที่ 24 บอกว่า “อาณาจักรสวรรค์เหมือนกษัตริย์องค์หนึ่งที่จะสะสางบัญชีกับข้าราชบริพาร แล้วมีข้าราชบริพารคนหนึ่งเป็นหนี้อยู่หลายสิบล้านเหรียญ ก็เป็นการเปรียบเทียบให้เห็นว่าเป็นหนี้ จำนวนมหาศาล ที่เกินกว่าใครจะชำระหนี้ได้หมด เกินกว่ามนุษย์ธรรมดาทั้งหลายจะทำได้

ถ้อยคำตรงนี้ กำลังจะให้เราเห็นภาพว่าหนี้ความบาปและความตายของมนุษย์ที่รับมาจากอาดัม บรรพบุรุษของเรา ที่จะต้องชดใช้นั้น มันใหญ่ มากมายมหาศาล เกินกว่ากำลังของมนุษย์จะใช้หนี้ของตัวเองได้ คือมันเป็นไปไม่ได้เลย

คือต้องทำความเข้าใจก่อน ตอนที่เปโตรถามพระเยซู เป็นตอนที่พระเยซูยังไม่ถูกตรึง เปโตรยังไม่ได้เกิดใหม่ เปโตรยังไม่เข้าใจถึงสิ่งต่างๆ เหล่านี้ว่าเกิดใหม่มันคืออะไร? เปโตรยืนอยู่บนกฎบัญญัติเดิม ตั้งแต่สมัยโมเสส เรื่องนี้ เกิดขึ้นในขณะที่พระเยซูกำลังพูดกับชาวยิว ชาวยิวจะเข้าใจหมดเลยว่าที่พระเยซูพูดหมายความว่าอย่างไร? นี่คือกฎระเบียบของชาวยิวทั้งสิ้น พระเยซูกำลังบอกเปโตรว่าถ้าจะทำตามกฎบัญญัติ ตามมาตรฐานของพระเจ้า ในเรื่องการอภัย ต้องทำขนาดนี้ คือขนาดสุดๆ 100% 70×7 คือบริบูรณ์จริงๆ คือทำไม่ได้

ในนี้บอกว่าเมื่อข้าราชบริพารคนนั้น เป็นหนี้ แล้วคุกเข่าของเขา อ้อนวอนต่อกษัตริย์ กษัตริย์ก็สงสาร ยกหนี้ให้ โดยไม่คิดอะไรเลย เรามาอ่านต่อว่าหลังจากนั้น เกิดอะไรขึ้น มัทธิว 18:28-35

มัทธิว 18:28-35 “28 แต่เมื่อข้าราชบริพารผู้นั้น ออกมาพบเพื่อนข้าราชบริพารด้วยกัน ซึ่งติดหนี้เขาอยู่หนึ่งร้อยเหรียญเดนาริอัน จึงจับคนนั้นเค้นคอและขู่เข็ญว่าจงจ่ายหนี้คืนมา 29 เพื่อนข้าราชบริพารนั้น ก็คุกเข่าอ้อนวอนเขาว่า ‘ขอผัดผ่อนหนี้ให้ก่อน แล้วข้าพเจ้าจะใช้หนี้ให้’ 30 “แต่เขาไม่ยอม กลับนำคนนั้นไปเข้าคุก จนกว่าเขาจะใช้หนี้ 31 เมื่อข้าราชบริพารคนอื่นๆ เห็นเหตุการณ์ก็สลดใจนัก จึงพากันไปเข้าเฝ้ากษัตริย์ และกราบทูลทุกอย่างที่เกิดขึ้น 32 “กษัตริย์จึงตรัสเรียกข้าราชบริพารคนนั้นมา และตรัสว่า ‘ไอ้ข้าชั่วช้า เรายกหนี้ของเจ้าทั้งหมดให้ ก็เพราะเจ้าวอนขอต่อเรา 33 ไม่ควรหรือ ที่เจ้าจะเมตตาเพื่อนข้าราชบริพารด้วยกัน เหมือนที่เราเมตตาเจ้า?’ 34 กษัตริย์กริ้วนัก จึงทรงมอบตัวเขาให้พัศดีไปทรมาน จนกว่าจะใช้หนี้ครบ 35 “เช่นนี้แหละ พระบิดาของเราในสวรรค์ จะทรงกระทำแก่ท่านแต่ละคนเช่นนั้น หากท่านไม่ยกโทษให้พี่น้องจากใจของท่าน”

 

อุปมาในเรื่องนี้ จะจบด้วยประโยคนี้ว่า …

“เช่นนี้แหละ พระบิดาของเราในสวรรค์จะทำกับท่านแต่ละคนเช่นนั้น หากท่านไม่ยกโทษให้พี่น้องจากใจของท่าน”

“ใจ” ตัวนี้ ก็คือวิญญาณของท่าน

“หากท่านไม่ยกโทษให้พี่น้องจากวิญญาณของท่าน ท่านก็ไม่ได้รับการยกโทษ หรืออภัยโทษจากพระเจ้าเช่นเดียวกัน”

ตอนที่พระเยซูพูดอย่างนี้ มนุษย์ยังไม่สามารถเกิดใหม่ได้ พระเยซูยังไม่ไถ่บาปให้กับมนุษย์เสร็จสิ้นบนไม้กางเขนเลย ยังไม่บอกว่าสำเร็จแล้ว ยิ่งเป็นไปไม่ได้ใหญ่เลย เห็นหรือยังว่าพระเยซูกำลังสอนอุปมาเรื่องนี้ เกี่ยวกับการไปสวรรค์และการบังเกิดใหม่ พระเยซูกำลังบอกเราว่าเจ้าทำเองไม่ได้ เพื่อจะได้บอกว่า …

“มาพึ่งเราๆ ถ้าเจ้าทำเองได้ เจ้าก็ไม่มาพึ่งเรา เพราะฉะนั้น เจ้าทำเองไม่ได้ จำไว้”

พระเยซูกำลังบอกว่ากฎก็คือกฎ … กฎก็คือบัญญัติ … บัญญัติจะอยู่ตลอดไป มาตรฐานของพระเจ้ายังคงเหมือนเดิม ในบัญญัติเขียนไว้อย่างไร? ก็เป็นอย่างนั้น ไม่มีการลดหย่อน  ไม่มีคำว่าน้อยลง ตามที่พระเยซูได้พูดเอาไว้ในมัทธิว 5:17-20 ว่า …

มัทธิว 5:17-20 “17 อย่าคิดว่าเรามา เพื่อล้มล้างหนังสือบทบัญญัติ หรือหนังสือผู้เผยพระวจนะ เราไม่ได้มาล้มล้าง แต่มาเพื่อทำให้สำเร็จครบถ้วน 18 เราบอกความจริงแก่ท่านว่าตราบจนฟ้าและดินสูญสิ้นไป แม้อักษรที่เล็กที่สุดสักตัวหนึ่ง หรือขีดๆ หนึ่ง ก็จะไม่มีทางสูญหายจากหนังสือบทบัญญัติ จนกว่าทุกสิ่งทุกอย่างจะสำเร็จครบถ้วน 19 ผู้ใดฝ่าฝืนบทบัญญัติเหล่านี้ แม้ข้อเล็กน้อยที่สุด และสอนคนอื่นให้ทำเช่นเดียวกัน ผู้นั้นจะได้ชื่อว่าเป็นผู้เล็กน้อยที่สุดในอาณาจักรสวรรค์ ส่วนผู้ที่ปฏิบัติและสั่งสอนตามคำบัญชาเหล่านี้ จะได้ชื่อว่าเป็นผู้ยิ่งใหญ่ในอาณาจักรสวรรค์ 20 เพราะเราบอกท่านว่าหากความชอบธรรมของท่าน ไม่มากกว่าของพวกฟาริสี และเหล่าธรรมาจารย์แล้ว ท่านจะไม่ได้เข้าอาณาจักรสวรรค์อย่างแน่นอน”

 

ในข้อ 19 บอก “ผู้ใดฝ่าฝืนกฎเหล่านี้ แม้ข้อเล็กๆ น้อยๆ ที่สุด และสอนคนอื่นให้ทำเช่นเดียวกัน ผู้นั้นจะได้ชื่อว่าเป็นผู้เล็กน้อยที่สุดในอาณาจักรสวรรค์”

“ผู้นั้นจะเป็นผู้เล็กน้อยที่สุดในอาณาจักรสวรรค์” คือไม่ได้เข้าสวรรค์

อะไรล่ะ “ผู้ใดฝ่าฝืนบทบัญญัติแค่เล็กน้อย” เขาบอกว่าอภัย ต้องอภัย 490 ครั้งต่อหนึ่งคดี เราก็บอกว่าอภัยแค่ 7 ครั้งก็เก่งแล้ว พระเจ้าคงเห็นใจเราแล้ว อันนี้ทำให้เล็กน้อย เราก็บอกว่าพยายามทำให้ดีที่สุดแล้วกัน ทำให้มันได้สัก 20 ครั้ง คนนี้ก็ยอดกว่าคนนี้ นี่มันทำให้เล็กน้อย พระเจ้าบอกไม่ได้ ต้องทำให้ 490 ครั้ง ถ้าไม่เข้าใจ ไม่เป็นไร ใช้เชื่อเอา

พระเยซูมาตอกย้ำว่าความศักดิ์สิทธิ์และความเคร่งครัดของบทบัญญัติ  กฎของพระเจ้า  ยังคงอยู่ครบถ้วนบริบูรณ์ แม้ว่าพระเยซูจะมาก็ตาม กฎบัญญัติเหล่านั้น ที่ได้บันทึกเอาไว้ ยังอยู่ครบถ้วน แม้ตัวอักษรเล็กๆ หรือแม้แต่เพียงขีด ขีดเดียว ก็จะไม่หายไปจากบทบัญญัติ แต่พระองค์จะทำให้มันสมบูรณ์ ใครทำ? พระเยซูทำแทนเรา  เราทำไม่ได้  สิ่งเหล่านั้น ทำให้เสร็จ สมบูรณ์ ถึงจะได้รับการอภัยจากพระเจ้า ถึงจะได้รับพรจากพระเจ้า แต่มนุษย์ทำไม่ได้ เราจึงต้องเกิดมาเป็นมนุษย์ เพื่อมาเป็นตัวแทนของมนุษย์ ขณะที่เราทำ มนุษย์ทุกคนที่อยู่ในเรานั้น ทำด้วยกัน เอเมน

ความหมาย ก็คือเมื่อมนุษย์ไม่สามารถทำได้ คือไม่สามารถให้อภัย ตามมาตรฐานของพระเจ้าได้ มนุษย์ก็ไม่สามารถที่จะเข้าอาณาจักรสวรรค์อย่างแน่นอน พระเยซูจึงพูดแล้วพูดอีก ย้ำแล้วย้ำอีกว่าหนทางเดียวเท่านั้น ที่มนุษย์จะไปสวรรค์ได้ ก็คือต้องผ่านทางพระเยซู คือต้องบังเกิดใหม่ ในความเชื่อ ในพระเยซูเท่านั้น ถึงจะอภัยจากใจได้ เพราะใจเกิดใหม่ วิญญาณเกิดใหม่ มันอภัยจากใจ เพราะว่าบริสุทธิ์ อินโนเซ็นต์เรื่องของการโกรธกัน อินโนเซ็นต์ข้างในเลย วิญญาณสะอาดหมดจด ปราศจากบาปใดๆ ทั้งสิ้นเลย ไม่รู้จักด้วยซ้ำไปว่าการโกรธเขา การไม่ให้อภัยเขาเป็นอย่างไร? มันเป็นอย่างนั้น

ชาวยิวในสมัยนั้น อยู่ใต้กฎบัญญัติของพระเจ้าที่ตั้งเอาไว้ตั้งแต่สมัยโมเสส มีกฎบัญญัติที่ต้องปฏิบัติตาม 600 กว่าข้อ ชาวยิวต้องปฏิบัติอย่างเคร่งครัด เรื่องการให้อภัย ที่เราเรียนรู้กันอยู่นี้ ก็เป็นเพียง 1 ใน 600 กว่าข้อเท่านั้น  ที่ยกมาเป็นตัวอย่าง ให้รู้ว่าพูดตรงนี้ไป โดนทุกคน

“ฉันเป็นคนมีเมตตา ฉันอภัย ฉันไม่เคยฆ่าคนเลย ไม่เคยตีหัวชาวบ้านเขา”

พระเยซูบอก “แค่ว่าเขาไอ้บ้า แค่โกรธเขานิดเดียว ก็เท่ากับฆ่าเขาแล้ว ไม่รู้เหรอ” เป็นอย่างนี้

พระเยซูพยายามบอกว่ากฎ มันมีจริงๆ แล้วต้องทำตามจริงๆ ถึงจะรอด แต่มนุษย์ทำไม่ได้ พยายามชี้ให้เห็นว่ามนุษย์ทำไม่ได้ๆ แต่มนุษย์ก็พยายามทำให้รู้สึกว่าเอาแค่ครึ่งหนึ่งก็พอ พระเยซูบอกไม่ได้ ขีดๆ หนึ่ง จุดๆ หนึ่ง ก็จะไม่ถูกลบเลือนหายไป จนกว่าสิ่งนั้นจะถูกทำให้สำเร็จ ซึ่งพระเยซูก็ทำสำเร็จแล้วที่ไม้กางเขนแทนพวกเราทุกคน เราจึงต้องไปพึ่งพระเยซู ถ้าเราทำสำเร็จแล้ว เราพึ่งตัวเองได้ เราก็ไม่ต้องไปพึ่งพระเยซูไง ถ้าไม่พึ่งพระเยซู ก็ต้องปลอบใจตัวเองว่า …

“เราก็ทำดีที่สุดแล้ว”

พูดถึงตอนก่อนที่พระเยซูจะมาเกิด และหลังพระเยซูมาเกิด ก็ยังมีคนคิดอย่างนี้อยู่ ในพวกชาวยิว

“เราก็ทำดีที่สุดแล้ว ก็ได้แค่นี้ พระเจ้าคงเข้าใจในความพยายามของเรา และความตั้งใจของเราดีอยู่แล้ว”

นี่คือความคิดแบบมนุษย์ ที่ร้ายแรงมาก ดูเหมือนหนุนใจดี แต่มันไม่ใช่ เพราะถ้าคิดอย่างนี้เมื่อไร? พระคุณทางพระเยซูคริสต์จะหมดความหมายทันที

เปาโลก็คิดอย่างนั้นนะ อดีตที่เปาโลยังไม่ได้มาเชื่อ

“ฉันถือได้ 300 แล้ว พวกเธอทำไมไม่ถือ เธอยังได้แค่ร้อยกว่าเอง ฝึกต่อไปสิ อดทนต่อไป รักษาต่อไป แล้วกะว่าสิ้นปีหน้า ฉันจะได้เป็น 400 ข้อ”

แล้วก็มาอวดกัน แล้วไปเจอบางคนไม่ถือเลย อยู่นอกวิหาร ตีอกชกหัว พระเยซูยกตัวอย่าง …

“พระเจ้าเมตตาลูกด้วย ลูกเป็นคนเลว ลูกเป็นคนบาป ไม่มีอะไรดีเลย”

แล้วพวกฟาริสีบอก “นี่ไง พวกนี้ ตกนรกแน่นอน ไม่รักษาบัญญัติเลย ไม่ได้สนใจเลย ฉันไปสวรรค์ ฉันดีกว่าเขาตั้งเยอะ”

พอเห็นอะไรไหม? แต่พระเยซูบอกเป็นศูนย์เท่ากัน ไม่มีคำว่าดี 90% ไม่มีคำว่าดี 99% ไม่มีคำว่าดี 99.99% ไม่มี เพราะ 99.99% ก็คือจุดหนึ่งมันหายไป พระเยซูบอกจุดๆ หนึ่ง และขีดๆ หนึ่ง ก็จะไม่ถูกลบหายไป จะบอกว่าได้ตั้ง 99.99% ทำด้วยตัวเองถึงขนาดนี้ ไม่ได้ พระเยซูบอกว่าพระเจ้าต้องการ 100%

แม้กระทั่งหน้าสุดท้ายของหนังสือวิวรณ์บอกว่าใครก็ตามที่ให้จุดๆ หนึ่ง ขีดๆ หนึ่ง ลบหายไป ไม่ได้เข้าสวรรค์แน่ ก็เพราะว่าเขาพึ่งตัวเองไง เขาเอาตัวเองเป็นตัวตั้งว่า …

“ฉันทำได้เท่าไร?”

มนุษย์ก็เลยเอาความคิดตรงนี้มาแข่งขันกัน มาอวดกัน การทำความดี

“ฉันชั้นที่ 8 แล้ว เธอชั้นที่ 6 เอง ฉันกำลังพุ่งไปสู่ชั้นที่ 9 เธอยังอยู่ชั้นที่ 6 ชั้นที่ 4 ชั้นที่ 2 ไปกันใหญ่เลย”

แต่สำหรับพระเจ้าแล้วเหมือนกันหมด พระคัมภีร์บอกมนุษย์เป็นคนเลวหมด ชั่วเหมือนกันหมด ไม่มีคนดีสักคนเดียว แต่พอพระเยซูมาตายที่ไม้กางเขน ช่วยมนุษย์ทุกคนให้ได้มีโอกาสรอดจากความบาปแล้ว หนังสือเอเฟซัส บทที่ 2 บอกว่าทุกคนรอดเหมือนกันหมด

“เหมือนกัน” แปลว่ารอดด้วยพระคุณ เพื่อว่าจะได้ไม่มีใครสามารถอวดตัวได้ว่าฉันทำ แล้วฉันได้รอด …

“เป็นไปได้อย่างไร โจรบนไม้กางเขน ทำชั่วมาตลอดชีวิตเลย แค่บอกพระเยซูว่าฉันเชื่อพระองค์แล้ว  ได้รับความรอด”

มนุษย์ก็คิดแบบมนุษย์ เอาไปแข่งกัน เอาไปอวดกัน เย่อหยิ่ง คนไหนทำได้มาก ก็คิดว่าจะได้รับรางวัลจากพระเจ้ามาก ก็จะมาอวดกัน นี่พูดถึงช่วงนั้น ช่วงที่พระเยซูยังไม่ตายที่ไม้กางเขน ทำงานยังไม่สำเร็จ อวดกัน

“ทำอย่างไร ถึงจะอยู่เบื้องขวาของพระเจ้าได้”

แปลว่า “ทำอย่างไร เมื่อไปสวรรค์ถึงจะได้อยู่เบื้องขวาของพระองค์ ถ้าคนอื่นเขาทำ 10 ข้อ ฉันทำสัก 15 ข้อ ได้อยู่เบื้องขวาไหม?”

ขึ้นไปยังคิดอีกว่าถ้าฉันทำเยอะๆ ฉันจะได้ดีกว่าคนอื่นเขา เถียงกันทั้งยอห์น ทั้งยากอบ ทั้งเปโตร

นี่ขนาด สาวกใกล้ๆ กัน ใครจะอยู่เบื้องขวา แต่หลังจากพระเยซูเป็นขึ้นจากความตายแล้ว พระวิญญาณบริสุทธิ์สถิตอยู่ สาวกเหล่านี้บังเกิดใหม่แล้ว ไม่มีใครถามอีกต่อไปเลยว่าจะอยู่เบื้องขวาเบื้องซ้าย ทุกคนเท่ากันหมดเลย เหมือนที่พระเยซูยกตัวอย่างเรื่องที่เจ้าของสวนจ้างคนงานมาทำงาน จะทำ 8 โมงเช้า จะทำ 5 โมงเย็น ทำงานเวลาไหน? ได้ค่าจ้างเท่ากัน 1 เดนาริอัน ไม่ใช่คนมาทำสายๆ จะได้น้อยกว่า ทุกคนได้เท่ากัน แล้วจะมาโวยวายอะไรกัน มนุษย์ชอบคิดว่าฉันทำเยอะกว่า ฉันควรจะได้เยอะกว่า ลืมคิดว่าไปว่าที่เธอทำได้เยอะ มันก็ไม่สมบูรณ์ มันไม่เข้าข่ายการรับการอภัยโทษจากพระเจ้า ยังไง มันตกนรกอยู่ดี พระเยซูกำลังจะบอกว่า …

“ถ้าเธอยังพึ่งตัวเองอยู่ เธอไม่มีทางไปสวรรค์เลย ถ้าเธอยังถือกฎบัญญัตินั้น แล้วจะไปทำตาม ไม่ได้เลย ฉันนี่แหละจะมาทำกฎบัญญัตินั้นให้สำเร็จ เธอต้องมาพึ่งฉัน เธอต้องเชื่อในฉันเท่านั้น”

พระคัมภีร์บอกพระเจ้าเป็นพระเจ้าแห่งความยุติธรรม เป็นผู้พิพากษาของมหาจักรวาล พระองค์ต้องยุติธรรมต่อทุกเรื่อง เพราะฉะนั้น ต้องตามกฎจริงๆ ถึงจะเป็นผู้ชอบธรรม ผิดนิดหนึ่งก็ไม่ได้ จะอะลุ่มอล่วยกันก็ไม่ได้  พระเยซูบอกว่านี่คือสิ่งที่ทำให้มนุษย์จำเป็นต้องมีพระองค์ ต้องการพระองค์เพียงอย่างเดียว ถึงจะได้รับความรอดจากบาป ไปสู่สวรรค์ได้ โดยเขาต้องเกิดใหม่ โดยเขาต้องผ่านทางความเชื่อในพระองค์ … พระองค์จะมาช่วยมนุษย์ทุกคนให้หลุดพ้นจากความบาป ให้กลายเป็นผู้ชอบธรรม โดยไม่ต้องทำอะไรเลย คือแค่เชื่อ แล้วได้รับการบังเกิดใหม่

อย่างที่ผมบอกแล้ว ทั้งหมดนี้ อุปมาก็กลับมาสอนเรื่องเดิม ต้องบังเกิดใหม่ จะได้เข้าสวรรค์ได้ จบ จะเข้าสวรรค์ก็เหมือนกันหมด เข้าเท่ากันหมดเลย  เพราะตอนก่อนเข้าสวรรค์ มันก็ชั่วเท่ากันหมด พอเข้าสวรรค์ก็เท่าๆ กันหมด ไม่ใช่คนนี้ ได้รางวัลพระเจ้ามาก รับใช้เยอะ เทศนาเยอะ ประกาศเยอะ ไม่มีเท่ากันหมด เพราะการเทศน์เยอะ การประกาศเยอะ รับใช้เยอะ มันได้ทำให้คุณได้รับความรอด คุณคิดไปเองว่าคุณได้รับรางวัล เปล่าเลย คุณรอด เพราะพระคุณของพระเจ้า ฟรีๆ  ผ่านทางพระเยซูคริสต์  เหมือนกับคนที่ไม่ได้ทำอะไรเลย เหมือนกับคนมาเชื่อเมื่อวานนี้ ตลอดชีวิตเขาขี้เหล้าเมายามาตลอด อาทิตย์ต่อไป ก็เสียชีวิตแล้ว เขาก็ไปสวรรค์เท่ากับคุณ ไม่มีใครเบอร์หนึ่ง เอเมน แค่นี้เอง

“พยายามทำต่อไปให้ดีที่สุดแล้วกัน พระเจ้าเข้าใจดี” นั่นเขากำลังปลอบใจคนอื่นแบบผิดๆ

ต้องบอกเขาเลย “ไม่ได้ เธอต้องมาพึ่งพระเยซู”

เธอทำไม่ได้หรอก อภัยให้ไม่ได้ ไปโกรธ ไปด่า มนุษย์ก็ทำอย่างนี้นะ แต่ที่เธอด่าไป ที่เธอโกรธไป มันเนื้อหนัง มันไม่ใช่ตัวเธอจริงๆ ตัวเธอจริงๆ คือวิญญาณ สามารถบังเกิดใหม่ได้ โดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า ผ่านทางความเชื่อ ในพระเยซูคริสต์ ที่ตายที่ไม้กางเขน เมื่อเธอเกิดใหม่ วิญญาณเธอบริสุทธิ์แล้ว ไม่ได้เกี่ยวข้องกับเนื้อหนังที่มันเป็นกาฝากที่อยู่ในร่างกายนี้เลยสักนิด ซึ่ง ณ วันนี้ มันยังอยู่ในร่างกาย วันหนึ่งข้างหน้า เมื่อเธอจากโลกนี้ไป วิญญาณและความคิดจิตใจของเธอที่บริสุทธิ์นั้น ไปอยู่กับพระเจ้าและได้รับร่างกายใหม่ ร่างนี้ มันตกกระป๋องไปแล้ว มันไม่เกี่ยวกัน มันไม่ใช่ตัวเธอ เธอไม่เคยโกรธใครเลย ตั้งแต่เกิดใหม่แล้ว เอเมน ถ้าท่านไม่เชื่อตรงนี้ ท่านกำลังบอกพระเยซูโกหก พระเยซูบอกว่าถ้าท่านบังเกิดใหม่  ก็คือบังเกิดใหม่ ครบถ้วนบริบูรณ์ เป็นลูกพระเจ้า สะอาดหมดจดเลย เป็นหนึ่งเดียวกัน พระเจ้าจะโกหกได้อย่างไร? ท่านกับพระเจ้าเป็นหนึ่งเดียวกัน พระเจ้ามาสร้างบ้านอยู่ในท่าน วิญญาณท่านจุ่มลงไปในพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า จุ่มลงไปในวิญญาณพระเจ้าพระบิดา พระเจ้าพระบุตร พระเยซู พระเจ้าพระวิญญาณบริสุทธิ์ เป็นหนึ่งเดียวกัน สะอาดหมดจดแล้ว ท่านจะโกหกได้อย่างไร? ท่านจะโกงได้อย่างไร? ท่านจะฆ่าคนได้อย่างไร? ท่านจะเป็นคนเลวได้อย่างไร? ไม่เป็นแล้ว แต่ …

“ฉันยังอาศัยอยู่ในร่างกายนี้เพียงชั่วคราว เดี๋ยวก็ทิ้งมันไป”

ความหวังเรา ก็คือวิญญาณและความคิดจิตใจ ที่เป็นตัวตนจริงๆ ของเรา ออกจากร่างไป นั่นแหละอิสระ นั่นแหละ Freedom นั่นแหละโซ่ตรวนหักหาย ฉันได้เป็นไท (จริงๆ) แต่ตอนอยู่ในโลกนี้ หักหายในวิญญาณ แต่ร่างกายยังคงทุกข์ทรมานกับการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ เพราะเนื้อหนัง เพราะกาฝากมันเกาะอยู่ แต่พระเจ้ายังต้องใช้เนื้อหนังนี้อยู่ ให้เรามีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ เพื่อกระทำการงานของพระองค์ ซึ่งมีอย่างเดียว คือแผนการของพระเยซูทำมา และให้เราทำต่อ ก็คือการประกาศข่าวดี ให้กับผู้คนได้รู้เรื่องเกี่ยวกับการบังเกิดใหม่และการเข้าไปอยู่ในสวรรค์กับพระเจ้าอย่างไร? นี่แหละหน้าที่ของเรา มีแค่นี้เอง ซึ่งความเป็นจริงแล้ว มนุษย์ไม่มีทางที่จะทำด้วยตัวเองได้ ให้บริสุทธิ์ 100% ได้ มนุษย์ก็รู้ แต่ด้วยพระคุณพระเจ้าเท่านั้น ที่มนุษย์จะรอดพ้นจากโทษของความบาป ความตาย และได้รับการบังเกิดใหม่ได้ เป็นลูกของพระเจ้าได้ เขาเรียกว่าเป็นผู้ชอบธรรม คือไม่มีบาป ไม่มีการตัดสินคดีว่าเป็นคนดี คนบาป แต่ตัดสินเป็นคนดี 100% และสามารถเข้าไปอยู่ในอาณาจักรสวรรค์ของพระเจ้าได้ อยู่กับพระเจ้าได้นิรันดร์กาล ว่าไปแล้ว ก็อยู่เดี๋ยวนี้เลย เมื่อเชื่อก็อยู่กับพระเจ้าในสวรรค์แล้ว เพียงแต่เรายังติดอยู่ที่ร่างกายนี้ ต้องดำเนินชีวิตอยู่บนโลกนี้ แบบมนุษย์อยู่ เพราะว่าพระเจ้าต้องการใช้ร่างกายนี้ ให้เป็นเครื่องมือของพระองค์ในการประกาศข่าวดีต่อไป

ถามว่าเราอยู่บนโลกนี้ทำไม? ทุกข์ทรมานร่างกายก็แก่ลงไป และยังมาสู้กับกิเลสตัณหาทางฝ่ายเนื้อหนัง กาฝากนี้อีก พระเจ้าบอกยังไม่หมดงาน กำลังใช้อยู่ มีป้ายปักข้างหลังไว้ว่า “อยู่ในระหว่างการใช้งาน” แล้วร่างกายนี้อยู่ในการทรงสร้างใหม่ วันหนึ่งข้างหน้า ตัวเก่านี้ทิ้งไปเลย รอตัวใหม่ สะอาดหมดจด เอเมน ดีใจไหมตอนนี้ สบายไหม?

มิน่า พระเยซูจึงบอกว่า “ใครที่เหน็ดเหนื่อยและแบกภาระหนักในการมีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ รวมทั้งชาวยิวด้วย รวมทั้งไม่ใช่ยิวด้วย รวมทั้งคนที่ทำอบายมุกทุกชนิด รวมทั้งคนที่มีความชอบธรรมมากเลย เป็นคนดีมากๆ เลย พวกนี้ทั้งหมด เหนื่อยทั้งนั้น มาหาเราสิ เราจะให้หายเหนื่อยและเป็นสุข”

หายเหนื่อย คืออย่างนี้ มอบภาระไว้ที่พระเยซู มันแปลว่าอย่างนี้ แล้วก็พึ่งในพระองค์ เอเมน ขอพระเจ้าอวยพรครับ

 

************************

 

 

 

 

 

คำหนุนใจ Pre Sermon วันอาทิตย์ที่ 4 พฤศจิกายน 2018 เรื่อง “ความหมายของการให้” โดย นคร เวชสุภาพร

คำหนุนใจ Pre Sermon วันอาทิตย์ที่ 4 พฤศจิกายน 2018

เรื่อง “ความหมายของการให้”

โดย นคร  เวชสุภาพร

            สวัสดีครับพี่น้อง เดือนพฤศจิกายน ใกล้เทศกาลอะไรน๊า เทศกาลขอบคุณพระเจ้า เราก็มาเริ่มต้นคุยกันทุกปี ปีนี้พิเศษนิดหนึ่งว่าเราจะขอบคุณพระเจ้าอย่างไร ถึงจะเหมาะที่สุด รู้ไหม?  มีอันเดียว ที่ขอบคุณพระเจ้า พระเจ้าให้เราขอบคุณตรงนี้ เพื่อชีวิตเราเอง ไม่ใช่เพื่อพระองค์เลย คนที่เป็นพ่อแม่ คนที่เป็นคนให้กำเนิด ก็จะมักจะอย่างนี้เสมอ ไม่เคยคิดถึงตัวเองหรอก คิดถึงคนอื่นเสมอ บางทีสอนไป ให้ทำไป ดูเหมือนทำให้พระองค์ แต่ไม่ได้ทำให้พระองค์หรอก ส่วนประโยชน์อันใหญ่ยิ่งเกิดขึ้นกับคนทำนั่นแหละ ก็คือลูกคนนั้นที่กตัญญู พระเจ้าบอกว่าถ้าอยากจะรับใช้พระองค์ ให้มีชีวิตด้วยการให้

วันนี้ เราจะมาคุยกันเรื่องการให้ นานจะคุยทีหนึ่ง เพราะเรื่องนี้เป็นเรื่องที่บาดใจมาก ไม่อยากจะคุยเลย คุยทีไรมันสะเทือน เพราะมันสะเทือนหัวใจที่สองของเรา ซึ่งสำคัญกว่าหัวใจแรกอีก  หัวใจแรกเราอยู่ทางซ้ายหรือทางขวา? ทางซ้าย  หัวใจที่สองอยู่ซ้ายขวาเลย รู้ไหมว่าอยู่ที่ไหน? กระเป๋าตังค์ พูดถึงกระเป๋าตังค์ ทุกคน  วันนี้จะพูดถึงการให้

การให้ คือการต้องให้ออกไป หลายคนไม่เข้าใจ มาหาพระเจ้า  เวลาจะให้ จะถวาย  ทำไงรู้หรือเปล่า? ตั้งเป้าเลย อยากจะได้คืนตรงนั้น อยากจะได้คืนตรงนี้ อยากได้ตรงนั้น อยากได้ตรงนี้ เลยไม่ได้เลย เพราะว่าการให้ ให้โดยตั้งใจว่าอยากจะได้คืน ไม่ใช่ให้เลยไง เอาใหม่อีกที การให้โดยที่เราตั้งใจหวังว่าจะได้คืน ไม่ว่าจะคืนน้อย คืนเยอะ คืนอะไรก็ตาม มันก็คือไม่ได้ตั้งใจจะให้ ถูกไหม? เราเรียกว่าอะไร? ถ้าทำอย่างนั้น อย่างท่านไปตลาด

ท่านตั้งใจจะซื้อมะม่วงสักโลหนึ่ง ท่านเอาเงินให้เขา 200 เพื่ออะไร? ท่านให้เงินเขาไป 200 ท่านให้เงินเขา 200 ใช่หรือเปล่า? ไม่ได้ให้ ท่านแลกกับมะม่วงที่ท่านตั้งใจอยากได้ อย่างนั้นเขาไม่เรียกว่าให้ เห็นหรือยัง? นี่คือแง่มุมหนึ่งที่ให้เราได้สังเกตเห็น

อีกอันหนึ่ง แง่มุมหนึ่งที่ให้เห็น ก็คือขณะที่เราไปกับเพื่อนเรา เราทานข้าว 2 จาน สั่งจานหนึ่ง แล้วยังไม่อิ่ม สั่งอีกจานหนึ่งมา ปรากฏว่าสั่งอีกจานหนึ่งมา อิ่มเกินไป กินได้ครึ่งจานอิ่มแล้ว อีกครึ่งจานเราให้เพื่อน  แบ่งให้เพื่อน เราให้เธอ เราให้เขาไหม? ถามจริง เราให้หรือเปล่า? อีกครึ่งจานเราให้เขาไหม? ไม่ได้ให้ ทำไม?  เราเหลือ เราไม่ได้ตั้งใจให้เขาสักหน่อยเลย เราเหลือ เรากินไม่หมด เราจะทิ้งแล้ว ทิ้งไป ก็เสียดาย เพราะฉะนั้น ให้ดีกว่า อย่างนี้ไม่ใช่ อย่างนี้ไม่ใช่ให้ บางคนบอกฉันเสียดายนะ เอาไปให้เขาดีกว่า อย่างนี้ไม่ใช่ให้ ให้ในลักษณะของพระเจ้า ไม่ใช่แบบนี้

แค่ยกตัวอย่าง 2 อย่างนี้ เราจะได้เห็นภาพชัดเจนว่าคำว่าให้ในลักษณะพระคัมภีร์ไบเบิ้ลของพระเจ้า แปลว่าอะไร? คำที่พระเยซูพูดว่าการให้ เป็นเหตุให้เกิดความสุขมากกว่ายิ่งการรับ การให้ที่พระเยซูพูด หมายถึงอะไร? หมายถึงการแลกหรือ? หมายถึงการลงทุนหรือ? เพื่อจะหวังกำไรหรือ?  ไม่ใช่ แต่การให้เป็นลักษณะอย่างนี้ อยู่ใน 2 โครินธ์ 9:6 จะได้รู้ว่าที่แล้วมาทั้งปี หรือบางคนเชื่อพระเจ้ามาตั้งนาน ตั้ง 10 ปีแล้ว ได้ให้อะไรบ้างไหม? ปรากฏว่าคิดมาแล้ว ไม่ได้ให้เลย ทั้งหมดเป็นการลงทุน และเป็นการทิ้งขยะของเหลือ เสียดาย ไหนๆ จะทิ้งอยู่แล้ว ก็เลยไปให้คนอื่นเขา อย่างนี้ไม่ได้ให้แบบพระเจ้า

2 โครินธ์ 9:6-8 6 จงจำไว้ว่าผู้ที่หว่านอย่างตระหนี่ ก็จะเก็บเกี่ยวได้น้อย ผู้ที่หว่านด้วยใจกว้างขวาง ก็จะเก็บเกี่ยวได้มาก 7 แต่ละคนควรใหตามที่คิดหมายไว้ในใจ ไม่ใช่อย่างลังเล หรือเพราะถูกผลักดัน เพราะพระเจ้าทรงรักผู้ที่ให้ด้วยใจยินดี 8 และพระเจ้าทรงสามารถประทานพระคุณทุกประการอย่างล้นเหลือแก่ท่าน เพื่อว่าท่านจะมีทุกอย่างที่จำเป็นอยู่ทุกเวลา และท่านจะมีล้นเหลือ สำหรับการดีทุกอย่าง

 

ตะกี้ผมอ่านแบบตกร่องให้ท่านเห็น  เพื่อให้ท่านจำแม่นๆ ว่านี่คือการให้ จำไว้ ให้ต้องคิดหมายไว้ในใจว่าเราตั้งใจให้จริงๆ ให้ ก็คือให้ ไม่หวังสิ่งตอบแทน เขาถึงเรียกว่าให้ ถ้าหวังแม้แต่นิดเดียว คือจะเป็นลงทุนก็ตาม จะเป็นเศษของ ของเหลือ ก็ตาม ช่วยเอาไปเก็บที ช่วยเอาไปทิ้งขยะที นั่นแหละ เรากำลังบอกเพื่อเรา เอาไปทิ้งขยะที  แหม! ทำเป็นมีบุญคุณอีกนะ ให้เขา ตัวเองก็กินไม่ลง อย่างไรก็ต้องทิ้งอยู่แล้ว นึกออกใช่ไหม? เสื้อขาดๆ แทนที่จะเอาไปทำขี้ริ้ว แต่เอาไปให้เขา แล้วก็บอกว่าให้ ไม่จริง

ถ้าท่านอยากให้จริงๆ ยกตัวอย่างเสื้อขาดๆ คุณต้องเอาเสื้อที่คุณรักที่สุด อย่างนี้แหละ ท่านจะชัดเลยว่านี่ให้จริง เวลาให้ มันจะมีเหมือนมีดเฉือน เลือดชิบๆ นิดๆ นั่นแหละ เขาเรียกว่าให้ พระเจ้าทำเป็นตัวอย่าง ยอห์น 3:16 พระเจ้าทรงให้พระบุตร คือพระเยซูมาตายที่ไม้กางเขน เพื่อเรา นี่แหละให้ เลือดชิบๆ มีเสียสละลงไป นั่นแหละ คือการให้

“คิดหมายไว้ในใจ” คือตั้งใจไว้แล้วว่าไม่ได้หวังสิ่งตอบแทน เมื่อไม่ได้หวังสิ่งตอบแทน ก็ไม่เสียใจเลย มีแต่สุข ตั้งแต่วันที่ตัดสินใจ ยังไม่ทันให้เลย แค่ตัดสินใจได้แล้ว

ยกตัวอย่างเช่น วันนี้เราตั้งใจจะมาโบสถ์ คิดว่าจะเอาเงินมาให้ เพื่อมีส่วนร่วมในการประกาศข่าวดีของพระเจ้า การเอาเงินมารวมกันที่โบสถ์ โบสถ์ ก็คือสถานที่ของพระเจ้า เพื่อจะเอาไปประกาศข่าวดีหลายๆ ทาง แล้วแต่ ให้ข่าวดีออกไป เป็นการงานดี ตั้งใจจากที่บ้านแล้ว ตั้งใจตั้งแต่เมื่อคืนนี้แล้ว อธิษฐานเรียบร้อยแล้ว ตั้งใจตั้งแต่ที่บ้านแล้ว วันนี้ 10 บาทนี้จะให้ออกไป จบสิ้น พออธิษฐาน เอเมนปุ๊บ มีสุขแล้ว  เพราะไม่ได้นึกว่า 10 บาทนั้น มันไม่ใช่ …

“พระเจ้า ลูกให้ไป 10 บาทแล้ว พระองค์สัญญา (เปิดพระคัมภีร์เลย 2 โครินธ์ บทที่ 9 เมื่อตะกี้) พระองค์จะให้ลูกเหลือล้น ให้ทุกอย่างที่ลูกจำเป็น โอ้! เหลือล้น มีทรัพย์สินเงินทองเยอะแยะ ลูกเหลือล้นมีมากมาย”

ไม่ใช่วิธีนั้น … ใช่ พระคัมภีร์เขียนอย่างนี้ แต่ไม่ใช่หน้าที่ของเราที่จะไปหวังว่าจะต้องเหลือล้นอย่างนั้น จะต้องเหลือล้นอย่างนี้  ในนี้บอกมีทุกอย่างที่จำเป็น แล้วใครเป็นคนตัดสินใจจำเป็น? ใคร? เราเหรอ ถ้าเราจำเป็น มันจำเป็นไปหมด มากกว่ารถเบนซ์ ยังจำเป็นเลย มีรถเบนซ์ก็อยากจำเป็นเป็นรถยี่ห้ออื่น ไปดวงดาว ก็จำเป็นไปดวงอื่นต่อๆ ไป ไปดวงจันทร์ได้ ก็จำเป็นที่จะไปดวงดาวพฤหัสฯ ที่ไกลออกไป ไม่มีวันจบวันสิ้น นี่คือจำเป็นเหรอ เราไม่มีทางหรอก เพราะเราอยู่ในเนื้อหนัง อยู่ในความบาป อยู่ในความอ่อนแอ เป็นไปไม่ได้หรอก ดังนั้นความจำเป็นตรงนี้อยู่ที่พระเจ้า พระองค์ทรงประทานให้เราทุกอย่างที่เราจำเป็น ถ้าเราอธิษฐานอย่างนี้ว่าเราตัดสินใจถวาย 10 บาท จบ พรุ่งนี้ให้ออกไปเลย จบแล้ว เรานอนหลับสบาย ไม่ต้องกลัวอะไรแล้ว เพราะว่าไม่ว่าเราจะจำเป็นอะไร เดี๋ยวพระเจ้าจัดการให้เอง อย่างนี้ คือเรียกว่าให้ เอเมนไหม? จบสักที

นึกว่าพระเจ้าเป็น ATM นึกว่าพระเจ้าเป็นสลอดแมนชีน ให้ไป 10 บาท กะจะได้ 100 นี่คิดการค้าเกินควร ตำรวจควรจำนะเนี้ย  เป็นพ่อค้าแม่ค้าที่แย่มากเลย จะเอาตั้ง 10 เท่า 100 เท่า เห็นพระเจ้าเป็นแบบหมูๆ ให้ไป 10 บาทจะเอามา 100 เอามาพัน ไม่ใช่หน้าที่เรา  นี่แหละคือเคล็ดลับของการเจริญรุ่งเรืองในทางพระเจ้า มันนิดเดียวเอง ทำได้ไหม? นานๆ พูดที ทำได้ไหม? ทำได้ อดทนหน่อย ฝึกตั้งแต่นิดๆ หน่อยๆ 10 บาท ก็ทำได้ ถ้าท่านทำ 10 ได้ 100 บาทก็ทำได้  100 บาท ต่อไปเป็นพันก็ทำได้ เห็นหมื่น เป็นแสน เป็นล้าน เป็นสิบล้าน เป็นยี่สิบล้าน เป็นร้อยล้านท่านก็ทำได้ เพราะมันเริ่มจากนิดเดียว อย่ารอบอกพระเจ้า …

“พระเจ้าให้ถูกล๊อตเตอร์รี่ก่อน จะให้เลย”

ไม่มีวันให้หรอก อย่างนี้ก็โลภตลอดชีวิต ไม่มีทางเป็นไปได้เลย มันต้องมาจากนิดเดียว ถ้าน้อยท่านให้ได้ ใหญ่ก็ให้ได้ น้อยยังให้ไม่ได้เลย อย่าไปหวังเลยว่าพอมีเยอะๆ แล้วจะให้ เป็นไปไม่ได้ ทุกคน พอเป็นไปไม่ได้ นึกถึงจะเป็นไปได้ทุกที แต่มันเป็นไปไม่ได้หรอก …

“รอให้ฉันถูกล๊อตเตอร์รี่ก่อนเถอะ ฉันจะสร้างโบสถ์เองเลย จะถวายครึ่งหนึ่งของที่ถูกเลย”

สมมติว่าถูกจริงๆ ให้ไหม? คิดเอาเองแล้วกัน ถ้าบางคนบอกว่าให้ ถูกเลย ให้ครึ่งหนึ่ง ก็หวังพระเจ้าจะให้อะไรมาอีกไหม? ไม่มีวันจบสิ้น อย่างนี้เขาเรียกว่าโลภ ซึ่งพระเยซูบอกว่าจงระวังความโลภทุกชนิด  ทุกคนรู้วิธีการให้ แล้วแต่ในนี้บอกว่าอย่างไร? บอกว่ามีทุกอย่างที่จำเป็นอยู่ทุกเวลาด้วย 10 บาท เมื่อคืนตัดสินใจให้ไปแล้ว เงินยังไม่ได้จ่ายออกจากกระเป๋าเลย มีความสุข นี่แหละ มีความสุขมากยิ่งกว่าการรับ โอ้โห ยิ้มตลอดเลย  ยิ้มหวังว่าจะได้ เปล่า ยิ้มหวัง พระเจ้าดูแล แม้กระทั่งนกในอากาศ  พระองค์ยังดูแลเลย มากกว่านั้นสักเท่าใด ที่ลูกเป็นลูกพระองค์ พระองค์จะดูแลลูก เพราะลูกเป็นลูกที่เชื่อฟัง จบ

ลูกเป็นลูกที่ไม่โลภ แล้วแต่พระองค์ แล้วแต่ทุกอย่าง ชีวิตมีความสุข แล้วในนี้บอกว่าทุกเวลา ทุกเวลา คือคุณจำเป็นอะไร? ทุกเวลา มันไม่แน่นอน วันนี้ท่านอาจจะจำเป็นใช้เงิน แต่ในวันข้างหน้าอีก 10 ปีท่านอาจจะไม่ได้ใช้เงินแล้ว เพราะเงินท่านมีแล้ว  หรืออาจจะไม่มี แต่เงินก็ช่วยไม่ได้ ในตอนนั้น  อย่างอื่นมากกว่าที่ช่วยได้ ซึ่งผมก็ไม่รู้อะไร เงินก็ช่วยไม่ได้ ถูกไหม? แต่อาจจะเป็นคนข้างเคียงช่วยได้ อาจจะเป็นคนที่รู้เรื่องนี้โดยเฉพาะมาช่วยคุณได้ พระเจ้าจะส่งคนนั้นแหละมาหาคุณ เอาสติปัญญามาให้คุณ เงินก็จะช่วยไม่ได้ เอเมนไหม? เยอะแยะมากมาย ในชีวิตเราก็ผ่านมาเยอะ ทุกเวลา เวลาไหนก็ตาม เวลาที่เราจำเป็นต้องใช้อะไรต่างๆ มาถึงที่เลย  ใครเอามาให้ พระเจ้าจัดเตรียมให้ และท่านจะมีล้นเหลือสำหรับการดีทุกอย่าง

ล้นเหลือทำการดี ไม่ได้หมายถึงเงินนะ บางทีแรง บางทีสติปัญญา  บางทีโอกาสด้วย บางครั้งมันมีโอกาสให้ท่านทำดี มันมีโอกาส บางคนไม่มีโอกาส พระเจ้าเปิดโอกาสให้ท่านมีโอกาสทำดี ยกตัวอย่างเช่น พระเจ้าพาท่านเผอิญเดินไปเจอคนกำลังเป็นลม ล้มฟุบลงไป พระเจ้าทำการงานในใจของท่านช่วยเขา ดูแลเขาอย่างดี จนกระทั่งเขาหายดีเลย เรียบร้อยแล้ว ท่านรู้สึกมีความสุขมากเลย ที่ได้ให้ตรงนี้ออกไป ถามว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเลยว่าวันนี้ ท่านจะเดินออกจากบ้าน เคยมองดูใครล้มบ้าง ท่านไม่ได้ดู ท่านก็ทำงานชีวิตของท่านไปเรื่อยๆ อยู่ในพระเจ้าตลอดเวลา แต่พอเกิดขึ้นปุ๊บ ทันทีปุ๊บ เวลานั้นทันที ท่านต้องการอะไร? ท่านได้รับการทรงนำจากพระเจ้า เรื่องความรัก ความเสียสละ ความเสี่ยง ที่จะกล้าทำ บางครั้งมันเสี่ยงนะ เขาอาจจะอยู่กลางถนนก็ได้ ท่านต้องเสี่ยงบ้าง แต่พระเจ้าจะบอกท่านว่าให้ทำอะไรบ้าง? ในขณะนั้น  แล้วท่าน พอทำเสร็จแล้ว ท่านดูเป็นฮีโร่เลยนะ นี่คือการดี ฮีโร่ที่พระเจ้าเตรียมไว้ แต่อย่าไปรับนะ อย่าไปรับว่าเราเป็นฮีโร่ เราขอบคุณพระเจ้า แล้วก็เดินผ่านไป นั่นคือหนึ่งบทบาท ในชีวิต ไม่ได้มีเป็นหยากเยื่อเลย สำหรับเรา ขอบคุณพระเจ้า  เป็นการดีอันหนึ่ง ที่พระเจ้าทำผ่านชีวิตเรา จบ ไม่ใช่เราควรจะได้รับเกียรติ ไม่ใช่เราเลย แต่เป็นพระเจ้า แล้วก็เดินผ่านไป เห็นไหม?

สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้น ไม่ใช่เพราะเรา แต่เกิดขึ้นจากการฝึกฝนในการให้ด้วยความตั้งใจจริงจากข้างในว่าให้เพราะความยินดี คืออะไร? ให้จริงๆ นะ ไม่ใช่ให้เพื่อหวัง เอเมน

จากนี้ต่อไป รู้จักการให้แล้วนะ เพราะฉะนั้น ก็ถึงเวลาประมาณ 11 โมงกว่าๆ คริสตจักรก็จะมีเวลาให้ท่าน ช่วงนี้ เป็นเวลาที่แล้วแต่ท่าน จะบอกท่านเสมอว่าทำใจให้สบาย จะให้ไม่ให้ ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับเราเลย เกี่ยวกับพระเจ้า แล้วไม่ต้องให้วันนี้  เดี๋ยวนี้ก็ได้ ไปให้ที่อื่น แอบให้ อะไรก็ตาม อยู่ที่ท่าน วิธีการให้ ผมอยากจะบอกท่าน เป็นพยานกับท่านว่าคนทำอย่างนี้ เป็นได้อย่างนี้จริงๆ

ถ้าใครอยากได้พระพรที่พระเยซูบอกว่าเป็นสุขมากยิ่งกว่าการรับ ใครอยากได้ล้นเหลือ มีทุกอย่างเท่าที่จำเป็นในทุกเวลา  จงให้ๆ อย่าหยุดให้ ไม่รู้จะบอกว่าอย่างไร? จะแนะนำท่านว่าจงให้เถิด ยิ่งให้มากเท่าไร? ท่านยิ่งได้มากเท่านั้น คำว่า “มาก” ไม่ใช่เงินจำนวนมากๆ หมายถึงให้ตามกำลังของท่าน คนมีล้านหนึ่ง เขาให้ 10 บาท กับคนมี 10 บาท เขาให้ 10 บาท มันต่างกันเยอะเลยนะ คนมีล้านหนึ่งให้แสนหนึ่ง กับคนมี 10 บาท ให้ 9 บาท ต่างกันเยอะเลยนะ มันไม่ได้อยู่ที่เงิน มันอยู่ที่จำนวน การเสียสละของท่านออกไป  การเฉือนเนื้อของท่าน การเฉือนหัวใจของท่านเจ็บปวดขนาดไหน? ท่านยอมออกไปนั้น  ตัวนี่แหละ คือตัวกำหนดว่ามันเยอะขนาดไหน? ซึ่งมันวัดกันไม่ได้ คนมีความสามารถอยู่หนึ่งแสน มันหลอกไม่ได้หรอก ก็รู้ว่าตัวเองมีแสนหนึ่ง คนมีหนึ่งพัน ก็หลอกไม่ได้หรอกว่าตัวเองมีหนึ่งพัน เพราะฉะนั้น เขาเฉือนจากหนึ่งพัน ไปร้อยหนึ่ง 10% นะ แต่คนมีแสนหนึ่ง เฉือนร้อยหนึ่ง เฉือนออกไปห้าร้อย เฉือนออกไปพันหนึ่ง สู้คนนี้ไม่ได้เลย มี 1% เท่านั้นเอง มันเป็นตัวเปอร์เซ็นต์มากกว่า

เพราะฉะนั้น ตรงนี้ก็เป็นอีกปัจจัยหนึ่ง ที่ให้ท่านได้สังเกตว่าได้ให้มากมาย แล้วพยายาม คือฝึกฝน ครั้งแรกยกได้น้อย ต่อไปจะยกได้มากขึ้น มากขึ้นเรื่อยๆ เพราะเป็นกฎกติกาที่พระเจ้าวางไว้  กล้ามเนื้อในการให้ออกไป มันจะเพิ่มพูนขึ้นๆ อย่าไปอยู่ดีๆ แบกหนักๆ ล้มทับตาย ทีละนิดทีละหน่อย ไม่ได้เดือดร้อนเลย  แต่เป็นการฝึกฝน เอาใจใส่ ตั้งใจจริง  เอเมน

 

*********************