คำหนุนใจ Pre Sermon วันอาทิตย์ที่ 30 กันยายน 2018 เรื่อง “จงนิ่งสงบ และรู้ว่าเราคือพระเจ้า” โดย นคร เวชสุภาพร

คำหนุนใจ Pre Sermon วันอาทิตย์ที่ 30 กันยายน 2018

เรื่อง “จงนิ่งสงบ และรู้ว่าเราคือพระเจ้า”

โดย นคร  เวชสุภาพร

            สวัสดีครับ พระเยซูบอกว่าถ้าเราอยากจะรู้จักอาณาจักรสวรรค์ ถ้าเราอยากเข้าใจอาณาจักรมากขึ้น เรามีหน้าที่ทำ 3 สิ่งนี้ คือ …

(1) ขอ และขออยู่เรื่อยๆ อย่าหยุดขอ

(2) หา หาไปเรื่อยๆ แล้วก็อย่าหยุดหา

(3) เคาะ แล้วเคาะไปเรื่อยๆ อย่าหยุดเคาะ

ถ้าไม่หยุด 3 สิ่งนี้ ท่านก็จะหา และหาไปเรื่อยๆ ท่านก็จะได้พบไปเรื่อยๆ ถ้าท่านขอไปเรื่อยๆ ไม่หยุด ท่านก็จะได้รับสิ่งที่ท่านขอไปเรื่อยๆ ไม่หยุด ถ้าท่านเคาะไม่หยุด เคาะไปเรื่อยๆ ไม่หยุด ท่านก็จะได้รับสิ่งที่ท่านเคาะ ประตูก็จะเปิดให้กับท่านเรื่อยๆ ไม่หยุด

ทั้งหมดนี้พูดถึงเรื่องเกี่ยวกับสุขภาพแข็งแรง  เกี่ยวกับการเงินเจริญรุ่งเรืองมั่งคั่งขึ้น  ใช่หรือไม่?  ไม่ใช่  แล้วพูดเกี่ยวกับอะไร? ขออะไร? หาอะไร? เคาะอะไร? พูดถึงเรื่องเกี่ยวกับสวรรค์ เพราะประโยคนี้ พระเยซูเป็นคนพูด ถ้าพระเยซูพูดเมื่อไร? มันหมายถึงพูดถึงเรื่องเกี่ยวกับสวรรค์ วิธีเข้าสวรรค์ทำอย่างไร?  ไปสวรรค์เกี่ยวกับพระเจ้าทำอย่างไร?  มนุษย์จะไปได้อย่างไร? แล้วเราเรียนรู้มานิดหนึ่งแล้วว่าอันดับหนึ่ง คนนั้นต้องบังเกิดใหม่ นี่คือสิ่งที่หนึ่งที่พระเยซูพูด

ถ้าพระเยซูพูดอะไรต่างๆ ท่านต้องฟังทางมนุษย์ ท่านไม่ค่อยเข้าใจ ท่านก็ตอบไปเลยว่าเกี่ยวกับเรื่องสวรรค์แน่นอน เกี่ยวกับเรื่องบังเกิดใหม่แน่นอน คนที่บังเกิดใหม่เคาะไม่หยุด คนที่ยังไม่รู้จักสวรรค์เลย ยังไม่เกิดใหม่ พูดถึงเมื่อตะกี้ ทำอะไร? เคาะๆ หาๆ ขอๆ ที่อยากจะไปสวรรค์ เจอพระเยซู ไม่หยุดเลย ไม่เข้าใจตอนนี้ ฟังพระเยซูต่อไป พระเยซูพูดไม่เข้าใจ ก็ฟังๆ วันหนึ่งจะถูกเปิดให้กับเขา เขาจะได้รับพระวิญญาณบริสุทธิ์บังเกิดใหม่ เข้าไปสู่สวรรค์เลย  พอเข้าไปสู่สวรรค์ปุ๊บ เขายังไม่ยอมหยุดอีก ทำอะไรต่อเคาะๆ หาๆ ขอๆ ต่อไป เขาก็จะเริ่มต้นเติบโต รู้ว่าบังเกิดใหม่แปลว่าอะไร?  เข้าใจแล้ว มันคืออย่างนี้นั่นเอง อยู่บนโลกใบนี้ ต้องทำตัวอย่างไร? เข้าใจและเจริญเติบโตในวิญญาณต่อไปเรื่อยๆ ชื่นชมยินดีมากขึ้น มีสันติสุขมากขึ้น ไม่หยุดเลย เอเมน

นี่คือความหมาย ท่านรู้เคล็ดลับแล้วใช่ไหม? ดังนั้นการไปค่ายครั้งนี้ คือหนึ่งในจำนวนวิธีการขอๆ เคาะๆ หาๆ เรื่องเกี่ยวสวรรค์ ก็คือบังเกิดใหม่ เรื่องวิญญาณเอ่ย เที่ยวนี้เราจะไปดูสิว่าตัวจริงๆ เราบังเกิดใหม่ หน้าตาเป็นอย่างไร? ใครอยากรู้บ้าง? ว่าหน้าตาท่านเหมือนกับในกระจกที่ท่านมองเมื่อเช้านี้หรือเปล่า? ตัวจริงๆ ท่านเป็นใคร? ตัวจริงๆ ท่านหน้าตาเป็นอย่างไร? เที่ยวนี้จะเอากระจกไปให้ท่านดู กระจกทางวิญญาณนะ ไปดูว่า …

“อ๋อ! ฉันเกิดใหม่ หน้าตาเป็นอย่างนี้นั่นเอง”

ใครอยากรู้บ้าง? ถ้าใครไม่อยากรู้ จ่ายค่าค่ายแล้ว ก็ต้องไปนะ เราจะได้รู้แล้วว่าหน้าตาเป็นอย่างไร? ที่พระคัมภีร์บอกจำนวนหนึ่ง ในหนังสือฮีบรู บทที่ 10 ฮีบรูเป็นหนึ่งที่พูดถึงเรื่องเกี่ยวกับการไถ่ เกี่ยวกับพระเยซู เกี่ยวกับที่พระเยซูมาทำการให้มนุษย์เข้าสู่สวรรค์ได้อย่างไร? เกิดใหม่ได้อย่างไร?  บังเกิดใหม่ คืออะไร? อย่างชัดเจนมาก

ในฮีบรู 10:14 บอกว่าการตายของพระเยซูที่ไม้กางเขนเพียงครั้งเดียวเท่านั้น สามารถชำระได้แล้ว ชำระใครได้แล้ว? ชำระมนุษย์ทั้งปวงให้สะอาดหมดจดบริสุทธิ์ ปราศจากตำหนิใดๆ เลย เป็นสิ่งที่ถูกต้องแยกออกมา เป็นวิหารของพระเจ้าเลย ซึ่งหมายถึงใคร? หมายถึงคนที่เชื่อในข่าวประเสริฐของพระเยซูก็ได้รับตรงนี้ ท่านคิดดูสิ

เราจะไปดูสิว่าตัวบังเกิดใหม่ของเรา ที่ในนี้บอกว่าสะอาด หมดจด บริสุทธิ์ เป็นอย่างไร? ทางวิญญาณ ใช้เวลานิดเดียว แต่ผมคิดว่ามันก็ทำ เป็นการจุดประกายให้ท่านเห็นว่าวิญญาณเราเป็นเช่นไร? แล้วเราจะมีความภูมิใจ มีความอิ่มเอิบใจ มีความมั่นคง ในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้และตลอดไป มีความหวังที่มั่นคง เพราะว่าชีวิตเราเกิดและได้วางรากบนศิลา พระเยซูคริสต์ มันเป็นเช่นนั้น มันเป็นอย่างนี้เอง มันจะเห็นชัด

และผมกำลังจะเตรียมอะไรให้ท่านหลายอย่าง ให้ท่านเรียนน้อย แต่ปฏิบัติมาก ปฏิบัติแค่นี้ วนเวียนไปเรื่องพระเจ้า เรื่องสวรรค์ เรื่องบังเกิดใหม่ และมีวิธีการใหม่ๆ ให้ท่านดูว่าลองทำอย่างนี้ดูไหม? บางทีเราพยายามหาด้วยตัวเราเองมาเยอะแล้ว เราพยายามอยู่นิ่งๆ แล้วลองหาแบบฝ่ายวิญญาณอีกอย่างหนึ่ง ที่เราไม่ค่อยได้ทำ ไม่ค่อยได้สนใจ เพราะมนุษย์ก็ชอบทำอะไรบางอย่าง รู้สึกได้ทำ

ยกตัวอย่างเช่น พอเข้าห้องอธิษฐาน ก็ไม่หยุดเลย พูดถ้อยคำพระเจ้า  อธิษฐานกับพระเจ้า พูดๆ ลืมฟังพระเจ้าไปเลย พระเจ้าไม่ได้โอกาสพูดเลย พระเจ้าจะเข้ามาพูด อ้าว! พอเราหยุดปุ๊บ เราก็เดินออกไปเลย พอดี อะไรประมาณนั้น อันนี้ยกตัวอย่างให้ฟัง

เที่ยวนี้ลองทำตามที่พระเจ้าบอกเรา สอนเรามาตั้งนานแล้วว่าจงนิ่ง และรู้เถิด เราคือพระเจ้า จงนิ่งแปลว่าอะไร?  แปลว่าไม่พูด จงนิ่ง แปลว่านิ่งๆ ไม่ต้องพูดมากเฉยๆ นิ่งๆ ไว้ แล้วเฉยๆ เหรอ ไม่ต้องทำอะไร? ไม่ใช่ จงนิ่ง และรับรู้เท่านั้นเองว่าพระองค์เป็นพระเจ้า สถิตอยู่กับเรา เราบังเกิดใหม่อยู่ในพระเจ้า ในพระเยซูคริสต์เราเป็นใคร แค่นี้เอง นิ่งๆ ใจเย็นๆ เราไม่เคยเย็นๆ อย่างนี้เลย เที่ยวนี้เราไปเย็นๆ กัน คือเย็นเดียว เลิกเลย ที่เหลือเป็นอิสระส่วนตัว ไปนิ่งกันเอง

สอนให้นิ่งง่ายนะ แต่เอาไปทำมันยาก สอนให้นิ่งใช้เวลาไม่กี่ชั่วโมง โอเค จากนี้ต่อไปทำอย่างนี้นะครับ เวลาจะไปหาพระเจ้า เข้าไปถึง แล้วนิ่งๆ จบแล้ว เรียน ก็คือนิ่งๆ แปลว่าอะไร? คืออย่าพูด ไม่ต้องพูด อยู่เฉยๆ นิ่งที่สุดเลย ไม่ต้องเดินไปมาด้วย คืออยู่นิ่งๆ ใจเย็นๆ สบายๆ

และก็รับรู้ แปลว่าอะไร? ถ้อยคำพระเจ้าบอกว่าอะไร? สั้นๆ ง่ายๆ เอง ถ้อยคำพระเจ้าบอกว่าเราบังเกิดใหม่ บังเกิดใหม่อย่างไร? ถามพระวิญญาณบริสุทธิ์เอาเองสิ ถามโดยวิธีอะไร? นิ่งๆ อยากรู้ไหม?  บังเกิดใหม่มันเป็นอย่างไร? ถ้าอยากรู้ ถามพระวิญญาณ ถามพระเจ้าเอง ถามด้วยวิธีอะไร? นิ่งๆ เพราะในนั้นบอกว่านิ่ง แล้วรับรู้ว่าพระองค์เป็นพระเจ้า จะได้รู้ว่าพระองค์เป็นพระเจ้า ถ้าไม่นิ่ง ก็ไม่รู้ว่าพระองค์เป็นพระเจ้า เป็นอย่างไร?

เพราะฉะนั้น ใครอยากรู้จักพระเจ้าเยอะๆ ก็ต้องนิ่งเยอะๆ ก็ฝึกตั้งแต่ค่ายครั้งนี้ไป ไปนิ่งๆ สัก 3 ชั่วโมงกว่าๆ ดูสิว่ามันเป็นอย่างไร? มันจะตายไหม? นิ่งสัก 3 ชั่วโมงกว่าๆ

“อ้าว! มาค่ายครั้งนี้ ไม่มีการสอนเหรอ”

“นี่แหละสอน แล้วทำอะไร? นิ่งๆ อ้าว! เริ่มแล้วนะ 1, 2, 3”

“ไม่มีการสอนเหรอ?”

“มีสิ ก็นี่ไง สอนอยู่ ทำอะไร? นิ่งๆ เฉยๆ”

แต่ไม่ขนาดนั้นหรอก ให้ท่านนิ่ง แล้วผมจะพูดนิดๆ หน่อยๆ ให้ท่านฟังว่าทำไมเราต้องนิ่ง และขณะที่นิ่ง เราควรรับรู้ว่าพระองค์เป็นพระเจ้า รับรู้อย่างไร? Be still แปลว่าจงนิ่ง And know แปลว่ารับรู้ ท่านรู้ไหมว่า Know ที่แปลว่ารับรู้ มันแปลว่าอะไร? แปลว่า Worship แปลว่านมัสการ คำว่านมัสการ มิได้หมายถึงมาร้องเพลงอย่างนี้ นี่เป็นส่วนหนึ่งของท่าทางการนมัสการ

นมัสการ แปลว่าการเข้าไปหาพระเจ้า การเข้าไปหาพ่อเรา มีความสัมพันธ์ รู้ว่าคนนี้เป็นพ่อเรา  แล้วก็คุยกัน  นี่เขาเรียกว่านมัสการ ซึ่งออกมาได้หลายวิธี การนมัสการ ด้วยการร้องเพลง เป็นแค่หนึ่งอย่างในจำนวนนั้น มีอีกหลายอย่าง คือเข้าไปนิ่งๆ และรับรู้ว่าพระองค์เป็นพระเจ้า ก็เป็นการนมัสการอีกอย่างหนึ่ง เป็นการ worship ลึกๆ ในวิญญาณอีกอย่างหนึ่ง ที่พระเยซูบอกว่าพระเจ้า แสวงหาคนเหล่านั้น ที่เข้าไปหาพระองค์ ด้วยการนมัสการทางวิญญาณ และความจริง

ความจริง คือถ้อยคำพระเจ้า  เราผ่านทางความจริง คือเราเชื่อในพระเยซู เราเจอพระเจ้าแล้ว คราวนี้ เราก็มาเรียนรู้ว่าลองนิ่งๆ ดูสิว่าพระเจ้าที่รู้จักกับเราแล้ว เป็นพ่อเราแล้ว เราอยู่ในบ้านนี้มาตั้งนานแล้ว ไม่เคยแวะเข้าไปดูพ่อเราสักที วันนี้ลองแวะเข้าไปดูพ่อเราสักหน่อยว่าเป็นอย่างไร? อันนี้พูดเล่นๆ ในทางมนุษย์ แต่จริงๆ อยู่กับเราตลอด บางทีเราไม่รู้ เราก็ไปแสวงหาพระเจ้าข้างนอกบ้าง ตรงนั้นเขาบอกคนนี้เทศน์ดี เราก็ไป ตรงนี้เขาบอกมีอัศจรรย์ เราก็ไป ตรงนั้นเขาบอกมีอย่างนั้น เราก็ไป ไปหมดทุกแห่งเลย ลืมคิดไปว่าพระเจ้าบอกว่าพระองค์ทรงสถิตอยู่กับเรา สถิตอยู่กับเราแล้ว สร้างบ้านอยู่ในเรา อยู่กับเรา เราบังเกิดใหม่ เราลืมไป  ไปหาสะทั่วเลย  สิ่งเดียวที่ยังไม่ได้หา คือที่บ้าน พระเจ้าอยู่ที่บ้าน เราไม่ได้ไปหา เราดันออกไปข้างนอก ออกไปเยอะแยะ อย่างนี้เป็นต้น

เที่ยวนี้จะได้มีโอกาสมารวมกัน เดินทางอีกเส้นทางหนึ่งที่เราไม่เคยทำ ลองทำกันดูสิว่ามันเป็นอย่างไร? ง่ายๆ ไม่มีอะไรเลย คือทำอะไร? นิ่งๆ แต่มันยาก ไม่ต้องเตรียมอะไรไปเลยนะ ไม่ต้องเตรียมพระคัมภีร์ไป ไม่ต้องเตรียมอะไรทั้งสิ้น เตรียมอย่างเดียว คือนิ่งๆ ไปแล้วนิ่งๆ อยู่บ้าน คุยให้จบเลยนะ ลองดูสิว่าไม่คุยสัก 3-4 ชั่วโมง มันจะเป็นอะไรไหม? ลองนิ่งๆ ดูนะ ขอบคุณพระเจ้า

 

**********************

 

 

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 23 กันยายน 2018 เรื่อง “อุปมาคำสอนของพระเยซู” ตอน 5 “การเปรียบเทียบการบังเกิดใหม่” โดย นคร เวชสุภาพร

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  23  กันยายน  2018

 เรื่อง “อุปมาคำสอนของพระเยซู”

ตอน 5 “การเปรียบเทียบการบังเกิดใหม่”

โดย นคร  เวชสุภาพร

            ซีรี่ย์ชุด “อุปมาคำสอนของพระเยซู” ตอนที่ 5  “การเปรียบเทียบการบังเกิดใหม่” อุปมาคำสอนของพระเยซู เราฟังกันมา 4 ตอนแล้ว …

เรื่องผ้าทอใหม่กับเสื้อเก่า ที่บอกว่า “ไม่มีผู้ใดเอาท่อนผ้าทอใหม่ มาปะเสื้อเก่า” เพราะว่าผ้าที่ปะเข้าไปนั้น จะหดตัว ทำให้เสื้อเก่าขาดกว้างออกไป  ไม่มีประโยชน์และทำให้เสียหายด้วย

เป็นอุปมาเปรียบเทียบว่าการที่มนุษย์ จะสามารถเข้าไปในอาณาจักรสวรรค์ของพระเจ้าได้นั้น หรือการที่มนุษย์จะทำให้พระเจ้ามาสถิตอยู่กับเขา ในวิญญาณของเขา ในร่างกายของเขาได้นั้น มนุษย์กับพระเจ้าต้องมีสภาพเข้ากันได้

เรื่องไม่มีผู้ใดเอาน้ำองุ่นใหม่มาใส่ในถุงหนังเก่า เพราะจะทำถุงหนังขาด น้ำองุ่นรั่วและถุงหนังก็จะเสียไปด้วย แต่เขาย่อมเอาน้ำองุ่นใหม่ ใส่ในถุงหนังใหม่

เหล้าองุ่นใหม่ หมายถึงพระเจ้า พระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้าที่ไม่สามารถอยู่กับวิญญาณของมนุษย์ที่เก่าๆ สกปรก เป็นบาปได้นั่นเอง เพราะความสะอาดบริสุทธิ์ของพระเจ้า จะไปอยู่กับความสกปรกของมนุษย์ ไม่ได้ ต้องทำให้มนุษย์สะอาด บริสุทธิ์ เหมือนพระเจ้าเสียก่อน พระเจ้าจึงจะเข้ามาอยู่ได้

ทุกอุปมาที่พระเยซูสอน เป็นเรื่องเกี่ยวกับสวรรค์ การเข้าไปในสวรรค์ได้อย่างไร?  สวรรค์เป็นอย่างไร? บังเกิดใหม่เป็นอย่างไร? ทั้งหมดเลย

เรื่องท่านทั้งหลายเป็นแสงสว่างของโลก จงให้ความสว่างของท่านกระจ่างแจ้งต่อหน้าคนทั้งหลาย เพื่อเขาจะเห็นการดีของท่าน  และสรรเสริญพระบิดาของท่าน ผู้สถิตในสวรรค์ ท่านทั้งหลาย คือผู้ที่เชื่อในพระเยซูนั่นเอง พระเยซูบอกว่าคนไหนที่เชื่อพระเยซูจริงๆ จังๆ แล้ว เขาจะได้รับการบังเกิดใหม่ กลายเป็นเหมือนพระเจ้า … พระเจ้าเป็นแสงสว่าง เขาก็เป็นแสงสว่างด้วย ในวิญญาณเป็นหนึ่งเดียวกัน ซึ่งภาษาพระคัมภีร์ใช้อีกคำหนึ่งว่า “บัพติศมา” แปลว่าจุ่มลงไป มุดลงไป กลายเป็นหนึ่งเดียวกัน

พระเยซูบอกว่า “จงรับรู้ และปล่อยให้แสงสว่างในชีวิตของท่านเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์ ฉายแสงไปทั่ว ไม่ต้องพยายาม เพราะมันสว่างของมันเอง เป็นธรรมชาติอยู่แล้ว ตามการทรงนำของพระเจ้าที่สถิตอยู่กับท่านตลอดเวลา ซึ่งพระองค์เป็นหนึ่งเดียวกับท่าน ไปก็ไปด้วยกัน”

ให้พระเยซูคริสต์ดำรงชีวิตอยู่ในเรานั่นเอง แปลว่าอย่างนี้ พระเยซูบอกว่า “จงให้แสงสว่างฉายแสงออกไป” ก็คือปล่อยให้พระเยซูนำทางเรา เป็นชีวิตของเรา ให้เรารับรู้เสมอๆ ตลอดเวลาว่าพระเยซูเป็นแสงสว่าง พระเยซูอยู่กับเรา แค่นี้เอง ไม่ต้องพยายามไปจุดให้มันสว่างขึ้น มันสว่างพอแล้ว เอเมน

ก็เหมือนพระเจ้า ไม่พอได้อย่างไร? เพียงแต่เปลี่ยนความคิดจิตใจเสียใหม่ เปลี่ยนการมองเสียใหม่ ให้มันเป็นไปตามวิญญาณข้างใน ซึ่งเป็นความจริง … ความจริงทำให้เราเป็นอิสระ เป็นไทว่า …

“ฉันเป็นแสงสว่าง ไม่ต้องพยายามไปทำอะไรก็ตาม ให้มันสว่างขึ้น”

ปล่อยให้มันสว่างไปเรื่อยๆ ตามการทรงนำของพระเจ้า

เรื่องต้นไม้ดี ย่อมไม่ให้ผลเลว และต้นไม้เลว ย่อมไม่ให้ผลดี แน่นอน พระเยซูกำลังเปรียบเทียบ เป็นธรรมชาติง่ายๆ ถ้าต้นไม้เลว มันเลวแน่ๆ ต้นไม้เป็นพงหนาม มันเป็นพงหนามแน่ ต้นไม้เป็นทุเรียน มันออกมาเป็นทุเรียนแน่ ต้นไม้เป็นมะม่วง มันออกมาเป็นมะม่วงแน่ อยู่ที่รากของมัน

พระเยซูบอกว่าเราจะรู้จักต้นไม้ดีหรือไม่ดี  ได้ด้วยการดูที่ผลของมัน ผลของต้นไม้ขึ้นอยู่กับรากของมัน รากมันเป็นอย่างไร? เดี๋ยวผลมันต้องเป็นอย่างนั้นแน่ ถ้ารากดี ย่อมให้ผลดี ถ้ารากเลว ก็ไม่มีทางที่จะเป็นผลดีได้เลย แม้แต่นิดเดียว แม้มองตอนนี้ ดูเหมือนดี แต่ในที่สุด มันเลว เพราะข้างล่างมันเลว แต่ถ้าข้างล่างมันดี ตอนนี้ดูมันอาจจะหงิกๆ งอๆ แต่เดี๋ยวมันต้องดี เพราะมันอยู่ที่รากของมัน มนุษย์มองไม่เห็น แต่พระเจ้า พระเยซูกำลังสอนเราว่าอยู่ที่รากมัน

“ลูกดูที่รากมันนะ อย่าไปดูข้างนอก อาจจะถูกหลอกได้”

เดี๋ยวนี้เขายิ่งหลอกกันง่ายๆ ทำได้หมดทุกอย่าง แต่รากไม่ใช่ของมัน ในที่สุด มันไม่ใช่

พระเยซูกำลังเปรียบเทียบวิญญาณซึ่งเป็นตัวจริงของมนุษย์ จะเป็นวิญญาณที่ดี เป็นวิญญาณที่สะอาดและบริสุทธิ์ไร้ตำหนิ ก็ต้องเกิดมาจากรากที่ดี ก็คือต้องบังเกิดจากพระเจ้า หรือเกิดจากพระวิญญาณบริสุทธิ์เท่านั้น มันถึงจะออกมาดี ซึ่งตอนนี้ อาจจะดูเหมือนไม่ดี แต่ข้างในมันดี พระเยซูกำลังพูดถึงเรื่องโลกวิญญาณง่ายๆ เกี่ยวกับการบังเกิดใหม่ อุปมาเหล่านี้พูดถึงเรื่องเกี่ยวกับสวรรค์

จากที่เรียนมา 4 ตอนแล้ว เราพอจะเห็นภาพชัดเจน … พระเยซูกำลังบอกว่าพันธสัญญาเดิมกับพันธสัญญาใหม่มันเข้ากันไม่ได้ ไปด้วยกันไม่ได้ ตาต่อตา ฟันต่อฟัน คือพันธสัญญาเดิม แต่พันธสัญญาใหม่ คือยุคพระคุณ เอามารวมกันไม่ได้ ต้องเลือกเอาอันใดอันหนึ่ง ของเก่ากับของใหม่ ไปด้วยกันไม่ได้ สกปรกกับสะอาดเข้ากันไม่ได้ ความมืดกับความสว่างไปด้วยกันไม่ได้ อยู่ด้วยกันไม่ได้ ต้นไม้เลวกับต้นไม้ดี ก็อยู่ด้วยกันไม่ได้ มันต่างกันโดยสิ้นเชิง

จะพึ่งตัวเองกับพึ่งพระเจ้า ก็เข้ากันไม่ได้ จะพึ่งตัวเองก็พึ่งไปเลย ไม่ต้องพึ่งพระเจ้า จะบอกว่าพึ่งพระเจ้า และพึ่งตัวเองด้วย ไม่จริง ถ้าพึ่งพระเจ้าจริง ต้องจริง 100% ไม่ใช่พึ่งพระเจ้า 99 แล้วพึ่งตัวเอง 1 ก็เท่ากับไม่พึ่ง เชื่อ ก็คือเชื่อ 100% ไม่มีเชื่อพระเจ้าแล้ว มาผสมอย่างอื่น ไม่มีทาง

พันธสัญญาเดิม ยุคตาต่อตา ฟันต่อฟันของเก่า ความสกปรก ความมืด ผลของต้นไม้เลว การพึ่งตนเอง ก็คือสภาพทางวิญญาณของมนุษย์ที่เป็นคนบาป ทั้งหมดนี้ กำลังพูดถึงมนุษย์สกปรก เป็นบาป ตั้งแต่เกิด มนุษย์ทุกคนเริ่มต้น เกิดมาจากท้องพ่อท้องแม่ ก็ยังไม่บาปนะ แต่เกิดจากท้องพ่อท้องแม่ก็ตายทางวิญญาณแล้ว เพราะว่าความตายเป็นผลของความบาป เพราะบรรพบุรุษของเราทำบาป ผลของความบาป ทำให้ความตายมาสู่มวลมนุษยชาติ พระคัมภีร์พูดไว้อย่างนั้น เราก็คือมวลมนุษยชาติที่เกิดมาภายหลัง เลยเกิดมาปุ๊บ ยังไม่ได้ทำบาปเลย แต่ตายในวิญญาณ พอตายในวิญญาณปุ๊บ ก็เริ่มทำบาป เพราะมันตาย ก็คือผลไม้เลว มันก็ออกผลเลว

ฟังไปเรื่อยๆ เดี๋ยววิญญาณก็ค่อยๆ สอนเรา ในที่สุด จะมีวันหนึ่งเราจะบอก

“มันแปลว่าอย่างนี้เอง เข้าใจแล้ว”

นั่นแหละ เข้าใจที่สอง เกิดขึ้นในวิญญาณ เป็นผลออกมา

พระคัมภีร์บอกว่ามนุษย์ทุกคน ใช้เวรใช้กรรมที่บรรพบุรุษเราทำไว้ คือเราตายในวิญญาณ พอตายในวิญญาณปุ๊บ เกิดมาก็เริ่มทำบาป เราจะเห็นเด็กๆ ตีพ่อตีแม่  โกหกบ้าง? อิจฉาริษยาบ้าง? ไม่ได้มีใครสอนเลย เพราะว่าความตายในวิญญาณ มันเกิดเป็นผลเหล่านี้ ไม่ต้องสอน ที่ต้องสอน คือสอนฝั่งตรงข้าม สอนให้เขาเป็นคนแบ่งปัน อย่าเห็นแก่ตัว ยากๆ เด็กๆ เราจะเห็น พัฒนาการมันเป็นไปตามนี้ เพราะพระคัมภีร์เป็นจริง วิญญาณมนุษย์ที่เกิดมาชดใช้บาป ก็คือความตาย แล้วความตายนั้น จะทำให้มนุษย์ที่เกิดมาวิญญาณไม่รู้จักพระเจ้า วิญญาณอยู่ในความมืด วิญญาณสกปรก มีแต่ผลเลวออกมาทั้งสิ้น ก็เลยจะทำแต่สิ่งที่ไม่ดี จึงต้องพยายามใช้กฎระเบียบอะไรมาบีบมนุษย์ มาคั้นมนุษย์ มาสอนมนุษย์ให้ทำสิ่งที่ตรงกันข้ามกับในใจ ก็คือทำดีๆ ถ้าเผลอก็ทำบาปเป็นธรรมชาติของเขา เพราะธรรมชาติมันสกปรก ธรรมชาติมันตาย ไม่รู้จักพระเจ้า มันก็จะผลิตแต่ผลไม่ดี

ซึ่งมนุษย์เกิดมา มีวิญญาณที่ตาย ไม่รู้จักพระเจ้า สกปรก อยู่ในความมืด ถ้าเผื่อไม่มีการเปลี่ยนแปลงในมนุษย์คนนั้นเลย  เขาก็จะอยู่ในสภาพนั้นตลอดไป จนกระทั่งจากโลกนี้ไป เขาก็จะไปอยู่ในที่ๆ ขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน ความทุกข์นั้นเอง ในสถานที่ที่ไม่มีพระเจ้า ไม่มีแสงสว่าง เป็นความมืดนั่นเอง เรารู้แล้วความจริงเป็นอย่างนี้ ไม่มีใครช่วยได้เลย จึงมีเพียงวิธีเดียวเท่านั้น ที่มนุษย์จะสามารถเปลี่ยนสภาพนี้ได้ สภาพธรรมชาติที่เป็นความตายในวิญญาณ คือไปเกิดใหม่

ทุกครั้งที่ท่านทำอะไรลงไป จงมองให้เห็นเถิดว่ามีกาฝากนี้แอบๆ อยู่ด้วย … แล้วเรามีอีกเรื่องหนึ่ง ที่เราได้คุยกันไป วันนี้มาทบทวน แล้วตอนท้ายๆ จะมีแถมอีกเรื่องหนึ่ง เหมือนอีกเรื่องหนึ่งที่พระเยซูทรงสอนว่า …

          “แม้ท่านทั้งหลายเรียกเราว่าเจ้านาย อาจารย์ แต่เราจะบอกท่านว่าเราไม่รู้จักเจ้า”

มาดูมัทธิว 7:21-23 “21 ไม่ใช่ทุกคนที่เรียกเราว่า ‘พระองค์เจ้าข้า พระองค์เจ้าข้า’ จะได้เข้าอาณาจักรสวรรค์ แต่คนที่ทำตามพระประสงค์ของพระบิดาของเรา ผู้สถิตในสวรรค์เท่านั้นที่จะได้เข้า 22 หลายคนจะพูดกับเราในวันนั้นว่า ‘พระองค์เจ้าข้า พระองค์เจ้าข้า พวกข้าพระองค์เผยพระวจนะในพระนามของพระองค์ ขับผีในพระนามของพระองค์ และทำการอัศจรรย์มากมายมิใช่หรือ’ 23 เมื่อนั้นเราจะบอกเขาอย่างตรงไปตรงมาว่า ‘เราไม่รู้จักเจ้าเลย เจ้าคนทำชั่ว จงไปให้พ้น”

 

คำพูดตรงนี้ พระเยซูกำลังหมายถึงพวกที่ติดตามพระองค์ หรือพวกที่นับถือพระองค์ เพียงเพราะว่าเชื่อในการกระทำ อัศจรรย์ของพระองค์ อยากเห็นการรักษาคนป่วยให้หาย การทำคนตายให้ฟื้น การรักษาคนง่อยให้เดินได้ แต่คนเหล่านี้ ไม่ได้มีการบังเกิดใหม่ จึงไม่รู้จักพระองค์ พระองค์ไม่รู้จักเขาจริงๆ และเมื่อยังไม่ได้บังเกิดใหม่  ต่อให้เรียกพระเยซูว่าพระเจ้า พระอาจารย์หรือเจ้านาย  ก็ยังคงเป็นได้แค่ผลของต้นไม้เลว ข้างในมันไม่เกิดใหม่ มันเลวอีกแล้ว พูดใหม่ก็เลว เพราะว่ายังไม่ได้เข้ามาติดสนิท เป็นหนึ่งเดียวกัน ยังไม่ได้บัพติศมา เข้ามาเป็นหนึ่งเดียวกับวิญญาณของพระองค์ในพระเยซูคริสต์เลย ยังไม่ได้ย้ายเข้ามาอยู่ในอาณาจักรแห่งความสว่าง ยังไม่ได้เป็นแสงสว่างเลย ยังไม่ได้รับความรอดจากบาป จากความตายทางวิญญาณเลย ยังอยู่ในสภาพตายในวิญญาณ เหมือนที่เกิดมาใหม่ๆ ตั้งแต่คลอด ยังไม่ได้รับการชำระให้สะอาดหมดจด พ้นจากความสกปรกในวิญญาณเลย พระคัมภีร์ใช้คำว่ายังเป็นคนบาป คนตายในวิญญาณ คนชั่วอยู่เลย จึงทำแต่สิ่งที่ไม่ดีแน่นอน แม้บางครั้งดูภายนอก เหมือนทำสิ่งที่ไม่ดีบ้าง? แต่มันมาจากข้างใน ที่เป็นต้นกำเนิดของที่ไม่ดีทั้งหลาย ในวิญญาณ เพราะวิญญาณยังไม่ได้บังเกิดใหม่

พระเยซูจึงบอกว่า “เราไม่รู้จักเจ้าเลย เจ้าคนทำชั่ว จงไปให้พ้น”

ไม่ใช่พระเยซูไม่มีเมตตา พระเยซูกำลังยกอุปมา ก็จะไปรู้จักได้อย่างไร? เจ้าไม่บังเกิดใหม่ ไม่เป็นหนึ่งเดียวกัน เจ้าเป็นดำ เราเป็นขาว เจ้าเป็นความมืด เราเป็นแสงสว่าง แล้วจะมารู้จักกันได้อย่างไร? นี่ยกอุปมาให้เห็นว่ามันเป็นอย่างนี้ ไม่เข้าใจไม่เป็นไร ฟังไปเรื่อยๆ จะอยู่ในสวรรค์ได้อย่างไร? ถ้าไม่บังเกิดใหม่ พระเยซูกำลังจะบอกว่าถ้าเราอยู่ในสวรรค์เมื่อไร?

พระเยซูก็จะบอกว่า “เรารู้จักเจ้า เจอเจ้าทุกวันทุกเช้า เจ้านอน เราก็อยู่กับเจ้า เจ้านั่งเราก็อยู่กับเจ้า เจ้าบ่นนินทาเราก็อยู่กับเจ้า เจ้าไม่เชื่อฟังเรา เจ้าไปทำเละเทะ เราก็อยู่กับเจ้า วันนั้นเจ้าด่าคน เราก็อยู่กับเจ้า ปากเจ้าพูดไม่ดี เราก็อยู่กับเจ้า” ถูกหรือไม่ถูก?

“เพราะเราเป็นหนึ่งเดียวกับเจ้า … เจ้าบัพติศมาอยู่ในเราแล้ว เราอยู่ในเจ้า เราเป็นหนึ่งเดียวกัน สามพระภาค มาทำบ้านอยู่กับเจ้า ในตัวของเจ้าแล้ว เอเมน”

อย่างนี้เรียกว่ารู้จัก ถ้าไม่ใช่เช่นนี้ ไม่ได้เกิดใหม่ แล้วจะไปรู้จักได้อย่างไร?

พระเยซูจึงบอกว่า … “เราไม่รู้จักเจ้าเลย เจ้าคนทำชั่ว เพราะวิญญาณชั่ว จงไปให้พ้น”

พระเยซูพูดต่อว่า … “แต่คนที่ทำตามพระประสงค์ของพระบิดาของเรา ผู้สถิตในสวรรค์เท่านั้นที่จะได้เข้าในอาณาจักรสวรรค์”

“คนที่ทำตามพระประสงค์ของพระบิดา” ก็คือน้ำพระทัยของพระเจ้า คือคนที่เชื่อว่าพระเยซูเป็นพระมาซีฮาห์ ที่พระเจ้าจัดเตรียมไว้ มาช่วยมนุษย์ให้รอดพ้นจากความบาป ตั้งแต่อาดัมทำบาปใหม่ๆ หล่นปุ๊บ พระเจ้าก็พูดมาตั้งแต่วันนั้นเลยว่า …

“จะส่งพระมาซีฮาห์มาช่วยให้มนุษย์ได้รับความรอด จากโทษของความบาปนี้”

พูดมาตลอดๆ จนหลายพันปี พระเยซูมาเกิดเป็นมนุษย์ ทำสำเร็จแล้วที่ไม้กางเขน ตอนบ่าย 3 โมง วันศุกร์พระองค์ตะโกนบอกว่าสำเร็จแล้ว จบแล้ว การไถ่บาปจบแล้ว  คนที่เชื่อพระเยซูคริสต์ เชื่อแผนการนี้  คือเชื่อในน้ำพระทัยพระเจ้า พระประสงค์ของพระเจ้า พระเยซูบอกคนที่ทำตามพระประสงค์ของพระเจ้า เชื่อในฉัน  เชื่อในพระเยซู จึงสามารถเข้าไปอยู่ในอาณาจักรสวรรค์ได้ เพราะเขาจะได้บังเกิดใหม่ และความเชื่อที่จะนำไปสู่การบังเกิดใหม่ ก็คือการพูดด้วยปากและเชื่อด้วยใจ ยอมรับสารภาพ ให้เป็นไปตามที่พระคัมภีร์บอกไว้

สารภาพว่า “พระเยซูเป็นพระบุตรของพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์ ตายที่ไม้กางเขน หลั่งพระโลหิต ชำระฉันให้พ้นจากความบาป และพระองค์ทรงเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่สาม ช่วยฉันให้เป็นอิสระแล้ว เอเมน” อย่างนี้เขาเรียกว่าสารภาพ

คนที่สารภาพอย่างนี้ ออกจากใจจริงๆ อย่างนี้ ก็ได้รับการบังเกิดใหม่ เมื่อบังเกิดใหม่ คราวนี้ พระเยซูบอกว่า …

“ฉันรู้จักเจ้าแล้ว เจ้าอยู่ในสวรรค์แล้ว”

พระเยซูจึงบอกว่าคนที่ทำตามพระประสงค์ของพระบิดาเท่านั้น ที่จะสามารถเข้าไปอยู่ในสวรรค์ได้

ตอนที่พระเยซูยังไม่ตายที่ไม้กางเขน มันยังไม่สำเร็จ ไม่มีพระวิญญาณบริสุทธิ์ การบังเกิดใหม่ยังไม่ได้เริ่มต้น พันธสัญญาใหม่ยังไม่ได้เริ่มต้น คนเหล่านั้น ไม่มีโอกาสที่จะมานั่งอยู่อย่างนี้เหมือนเรา คนเหล่านั้น เมื่อฟังอย่างนี้ เขาต้องเกิดการสงสัยแน่นอน งง และนี่คือเรื่องราวของคนหนึ่งที่เขางง พระเยซูพูดเรื่องบังเกิดใหม่ เข้าสู่สวรรค์ได้ มันคืออะไร?  ไม่ใช่ไม่เชื่อ เขาเริ่มต้นเชื่อแล้ว แต่เขาไม่เข้าใจว่าบังเกิดใหม่เป็นอย่างไร? เขาก็เลยแอบไปหาพระเยซู ในหนังสือยอห์น 3:1-4 มาดูสิว่าคนนี้ เขาสงสัยตรงไหน สำคัญตรงที่พระเยซูอธิบายให้เขาฟังอย่างไร?

ยอห์น 3:1-4 “1 มีฟาริสีคนหนึ่ง ชื่อ “นิโคเดมัส” เป็นสมาชิกสภาการปกครองของยิว 2 เขามาหาพระเยซูในเวลากลางคืน และทูลว่า “รับบี เรารู้อยู่ว่าท่านเป็นครู ผู้มาจากพระเจ้า เพราะไม่มีใครสามารถทำหมายสำคัญที่ท่านทำอยู่ หากพระเจ้าไม่ได้สถิตกับเขา 3 พระเยซูตรัสตอบ โดยประกาศว่า “เราบอกความจริงแก่ท่านว่าไม่มีใครเห็นอาณาจักรของพระเจ้าได้ ถ้าเขาไม่บังเกิดใหม่” 4 นิโคเดมัสทูลถามว่า “คนจะเกิดใหม่ได้อย่างไร เมื่อเขาแก่แล้ว แน่นอน เขาไม่อาจเข้าไปในครรภ์มารดาเป็นครั้งที่สอง เพื่อเกิดออกมาใหม่”

 

พระเยซูสอนไปทั่ว มีคนแอบฟังบ้าง? ไม่ต่อต้านบ้าง? เชื่อบ้าง? แล้วแต่ … แต่มีคนหนึ่งแอบฟังอยู่ ชื่อนิโคเดมัส เป็นฟาริสี และเป็นสมาชิกของสภาการปกครองของชาวยิว ก็แสดงว่าเป็นหนึ่งในพวกผู้นำทางศาสนายิว ซึ่งพวกฟาริสีตอนนั้น ส่วนใหญ่ยังต่อต้านพระเยซู รับไม่ได้กับสิ่งที่พระเยซูพูด แต่ด้วยความที่นิโคเดมัส ซึ่งได้เห็นการอัศจรรย์ที่พระเยซูทำ อยากเริ่มต้น อยากรู้จักพระเยซูมากขึ้น แต่จะมาคุยกลางวัน ในที่สาธารณะ ก็กลัวเพื่อนๆ ต่อต้าน เลยแอบมาหาพระเยซูตอนกลางคืน

สิ่งที่นิโคเดมันสงสัย ก็คือสิ่งที่พระเยซูสอนว่าไม่มีใครเห็นอาณาจักรสวรรค์ หรือเข้าสวรรค์ของพระเจ้าได้ ถ้าเขาไม่บังเกิดใหม่ ทุกคนก็มุ่งไปที่สวรรค์ทั้งนั้น  ไม่ใช่ยิวอย่างเดียว ทุกๆ ศาสนาก็อยากไปสวรรค์ เขารู้เหรอ สวรรค์ แปลว่าอะไร? ทุกศาสนาก็มีคำว่าสวรรค์ รู้ว่าหลังความตายจะไปไหน?  ก็อยากไปอยู่สวรรค์ทั้งนั้น  นิโคเดมัสเป็นชาวยิวที่เคร่งในศานา ก็เป็นอย่างนั้น พอบอกวิธีเข้าสู่สวรรค์ ต้องบังเกิดใหม่

“ฉันอยากเข้าสู่สวรรค์อยู่แล้ว ต้องบังเกิดใหม่ ฉันก็เชื่อคนๆ นี้ว่าเขาพูดจริง เพราะเขาทำอัศจรรย์ ให้ฉันเห็นเยอะแยะ แต่บังเกิดใหม่อย่างไร? งง”

พวกเราไม่งง เพราะเรามาเรียนตอนพระเยซูมา พระวิญญาณบริสุทธิ์สถิตอยู่กับเราแล้ว แต่พอนึกถึงคนที่ไม่รู้เรื่อง หรือแม้แต่ตอนนี้ที่ท่านไปคุยให้เพื่อนท่านฟัง เขาไม่ได้เป็นคริสเตียน อยากไปสวรรค์ ต้องไปบังเกิดใหม่? เขาก็จะบอกว่าบ้า ไปไกลๆ เขาจึงงงมากเลย  จะบ้าหรือไง? บังเกิดใหม่อะไร? แต่ทำไมเราไม่เห็นบ้า เรายิ้มแย้มแจ่มใส พอผมบอกทุกคนบังเกิดใหม่ ยิ้ม นี่เห็นความแตกต่างไหม?

นิโคเดมัสเขาอยากจะรู้ว่าบังเกิดใหม่เป็นอย่างไร? มันหมายความว่าอย่างไร?  ก็เลยไปถามพระเยซู คนจะเกิดใหม่ได้อย่างไร? เมื่อเขาแก่แล้ว แน่นอน เขาไม่อาจเข้าไปในครรภ์มารดาเป็นครั้งที่สอง เพื่อเกิดออกมาใหม่ได้ เขาคิดถึงขนาดนี้ เลยมาถามพระเยซู คือคนที่ไม่ได้บังเกิดใหม่ พอฟังอะไรในพระคัมภีร์ ก็จะเอาสติปัญญามนุษย์ คิดแต่เฉพาะสิ่งที่จับต้องมองเห็นได้เท่านั้น แต่คนที่บังเกิดใหม่ เมื่อเล่าถึงพระคัมภีร์ทั้งหมด เขาจะมองไปที่โลกวิญญาณ สิ่งที่กำลังเกิดขึ้นทั้งหมด ที่เราพูดถึงนี้เป็นโลกวิญญาณทั้งสิ้น และใครมีตา ใครมีหู จงฟังเถิด จงเห็นเถิด ถ้าบังเกิดใหม่ก็มีตาที่เห็น ถ้าไม่บังเกิดใหม่ ก็ไม่เห็น ท่านเห็นแล้ว ท่านเลยไม่รู้สึกงง

การบังเกิดใหม่ หมายความว่าการบังเกิดทางวิญญาณ  แต่นิโคเดมัสเข้าใจว่าเป็นการกำเนิดของมนุษย์ แบบเนื้อหนัง แบบสิ่งที่ตามองเห็น ต่างกันเยอะไหม? แต่ผมบอกคุณบังเกิดใหม่ เราทุกคนในนี้รู้แล้ว มันเกี่ยวกับการบังเกิดใหม่ทางวิญญาณ แต่นิโคเดมัสไม่ใช่อย่างนั้น เมื่อนิโคเดมัสถามอย่างนี้แล้ว พระเยซูก็ตอบให้ เป็นแบบอุปมาเปรียบเทียบอีกแล้ว ในยอห์น 3:5-9

ยอห์น 3:5-9 “5 พระเยซูตรัสตอบว่า “เราบอกความจริงแก่ท่านว่าไม่มีใครสามารถเข้าอาณาจักรของพระเจ้าได้ ถ้าเขาไม่ได้เกิดจากน้ำและพระวิญญาณ 6 มนุษย์ให้กำเนิดมนุษย์ แต่พระวิญญาณให้กำเนิดวิญญาณ 7 ท่านไม่ควรแปลกใจที่เราบอกว่า “ท่านต้องเกิดใหม่” 8 ลมพัดไปที่ไหนก็ได้ตามใจชอบ ท่านได้ยินเสียงลม แต่ท่านไม่อาจบอกว่าลมมาจากไหน หรือจะไปที่ไหน ทุกคนที่เกิดจากพระวิญญาณ ก็เช่นกัน” 9 นิโคเดมัสทูลถามว่า “สิ่งนี้จะเป็นไปได้อย่างไร?”

 

พระองค์ตรัสบอกว่า “ไม่มีใครสามารถเข้าอาณาจักรสวรรค์ของพระเจ้าได้ ถ้าเขาไม่ได้เกิดจากน้ำและพระวิญญาณ”

ก่อนพระเยซูจะตายที่ไม้กางเขน มีผู้รับใช้พระเจ้าคนหนึ่ง ชื่อยอห์น บัพติศโต มีหน้าที่ให้คนได้บัพติศมาในน้ำ จุ่มลงไปในน้ำ เพื่อแสดงการกลับใจใหม่จริงๆ เชื่อพระเจ้าจริงๆ นั่นเป็นจุดเริ่มต้น  การกลับใจใหม่ คือการถ่อมใจ ถ้าไม่ถ่อมใจ ไม่มีวันที่จะได้พบความจริงเลยแม้แต่นิดเดียว ขนาดถ่อมใจยังต้องค่อยๆ ก้าวไปที่ละนิดๆ เดี๋ยวจะรู้ความจริงเอง เดี๋ยวความเชื่อจะค่อยๆ เจริญเติบโต จนกระทั่งมันดิ่งลงไปในใจ ในวิญญาณ มันถึงจะบังเกิดใหม่ อันนี้ กลับใจก็ไม่กลับใจ เย่อหยิ่ง ไม่มีทาง พระเยซูบอกเขาต้องกลับใจใหม่จริงๆ ยอมถ่อมใจ พอถ่อมใจแล้ว เขาจะมีโอกาสได้เกิดใหม่จากพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า โดยการที่พระเยซูตายที่ไม้กางเขน และทำให้มนุษย์สะอาด พระวิญญาณบริสุทธิ์จะลงมา เขาเรียกว่าบัพติศมาในพระวิญญาณบริสุทธิ์ ก็คือการที่มนุษย์ได้ชุบให้บังเกิดใหม่ เข้าไปเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระวิญญาณบริสุทธิ์ เรียกว่าบัพติศมาในพระวิญญาณบริสุทธิ์ คือจุ่มลงไปในพระวิญญาณบริสุทธิ์ จุ่มลงไปในฤทธิ์เดชอำนาจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ จุ่มลงไปใน 3 พระภาค เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์ ย้ายไปอยู่ในอาณาจักรของพระเจ้าในสวรรค์นั่นเอง นี่หมายถึงตรงนั้น ชัดเลย แล้วพระองค์ยกตัวอย่างให้ฟังว่าท่านไม่ควรแปลกใจ

ที่เราบอกว่า “ท่านต้องเกิดใหม่ ลมพัดไปที่ไหน? ก็ตามใจชอบ ท่านได้ยินเสียงของลม แต่ท่านไม่รู้ว่าลมาจากที่ไหน?”

พระเยซูกำลังสอนนิโคเดมัสว่าที่ท่านคิด ท่านคิดแต่เรื่องของสิ่งที่ตามองเห็น ท่านไม่รู้จักลมเหรอ นิโคเดมัสบอกรู้จักลม มีไหมลม? มี ท่านเห็นไหม? ไม่เห็น แต่ทำไมท่านเชื่อว่ามีลม เห็นไหม พระเยซูกำลังบอกนิโคเดมัส … นิโคเดมัสบอกต้องตามองเห็นถึงจะเชื่อ …

ทุกคนที่เกิดจากพระวิญญาณ ก็เช่นเดียวกัน ท่านเห็นพระวิญญาณไหม? ไม่เห็น แต่ท่านเชื่อ พระเยซูบอกว่าคนที่บังเกิดใหม่ เขาต้องเชื่อ ในขณะที่สัมผัสก็ไม่ได้ มองก็ไม่เห็น แตะต้องก็ไม่โดน แต่เชื่อในพระคำของพระเจ้า แล้วจึงเกิดใหม่ คราวนี้แหละ มันจะรู้อยู่ข้างในวิญญาณของเขา ไม่ใช่ด้วยตา หู จมูก ลิ้น กาย แต่ด้วยใจของเขา แต่นิโคเดมัสกำลังใช้ตา หู จมูก ลิ้น กาย ดม หา จึงบอกว่ามีลมจริงๆ ทั้งๆ ที่ตามองไม่เห็น แต่พระเยซูบอกว่าคนที่จะบังเกิดใหม่จะต้องไม่ใช้ตา หู จมูก ลิ้น กาย แต่ต้องใช้ใจเชื่อ … เชื่อด้วยใจ แล้วพอได้ผลปุ๊บ ใจมันรู้ ไม่รู้จะตอบคนว่าอย่างไร? รู้ได้อย่างไรว่าพระเจ้าสถิตอยู่กับเรา รู้สิ ทำไมรู้ “ข้ารู้ เพราะอยู่ในใจ” เห็นไหม?

พอเรียนรู้แล้ว เราตื่นเต้นนะ แล้วเราดูว่าพระองค์พูดอะไรต่อ ท่านจะเห็นชัดว่าที่ผมพูดหมายถึงอะไร? แล้วท่านอ่านต่อไปในพระเยซู ท่านจะเห็นภาพรวมหมดเลย ขอบคุณพระเจ้า ในยอห์น 3:10-15 บอกว่า …

ยอห์น 3:10-15   “10 พระเยซูตรัสว่า “ท่านเป็นอาจารย์ของคนอิสราเอล แล้วท่านไม่เข้าใจสิ่งเหล่านี้หรือ 11 เราบอกความจริงแก่ท่านว่าเราพูดสิ่งที่เรารู้ และเราเป็นพยานถึงสิ่งที่เราเห็นมา แต่ถึงกระนั้น พวกท่านก็ไม่ยอมรับคำพยานของเรา 12 เราได้พูดกับท่านถึงสิ่งในโลกนี้และท่านไม่เชื่อ แล้วถ้าเราพูดถึงสิ่งในสวรรค์ ท่านจะเชื่อได้อย่างไร 13 ไม่มีใครเคยขึ้นไปบนสวรรค์ เว้นแต่ผู้ที่มาจากสวรรค์ คือบุตรมนุษย์ 14 โมเสสยกงูขึ้นในถิ่นกันดารอย่างไร บุตรมนุษย์ก็ต้องถูกยกขึ้นอย่างนั้น 15 เพื่อทุกคนที่เชื่อในพระองค์จะมีชีวิตนิรันดร์”

 

ถ้าเราจะเชื่อพระเจ้า ถ้าเราอยากจะอยู่ในสวรรค์ พระเยซูกำลังบอกว่าเราต้องใช้ใจ เราต้องใช้ความเชื่ออย่างเดียว เราไม่สามารถใช้ตา หู จมูก ลิ้น กาย สัมผัสอะไรต่างๆ ไม่ได้เลย มันเกิดขึ้นข้างในวิญญาณเท่านั้น เรื่องพระเจ้าทั้งเล่มเลย เป็นเรื่องเกี่ยวกับใจ เรื่องเกี่ยวกับวิญญาณทั้งสิ้น เรื่องที่เล่าทั้งหมดว่าจะมีโมเสส มีอาโรน มีเรื่องกษัตริย์ดาวิดทั้งหมด กำลังเล็งไปถึงภาพเบื้องหลัง คือโลกฝ่ายวิญญาณทั้งสิ้น สิ่งเหล่านั้น เป็นเพียงแค่เงา ให้เราเห็นว่าพระองค์กำลังทำอะไร พาท่านเข้าไปสู่โลกวิญญาณแล้ว คือบังเกิดใหม่แล้ว ท่านจะรู้หมดเลย หมายถึงอะไร? งู หมายถึงอะไร? งูที่มาพูดกับเอวา อาดัม หมายถึงอะไร? ทำไมตกลงไปในความบาป เพราะอะไร? มันจะรู้ในวิญญาณทั้งสิ้น เพราะฉะนั้น เลิกใช้สติปัญญาและความคิดแบบมนุษย์ ในการอ่านพระคัมภีร์เสียที  พยายามนึกไปถึงข้างหลังว่าพระองค์กำลังทำอะไร? ในโลกวิญญาณ เกี่ยวกับสวรรค์ เกี่ยวกับการไถ่มนุษย์ให้รอดพ้นจากบาป แม้เริ่มต้นแล้วอาจจะไม่ค่อยเข้าใจ แต่อดทนหน่อย ค่อยๆ ไปทีละนิดๆ ท่านจะรู้ความจริง ขอพระเจ้าอวยพรครับ

 

*************************

 

 

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 16 กันยายน 2018 เรื่อง “อุปมาคำสอนของพระเยซู” ตอน 4 “ต้นไม้ดี ย่อมให้ผลดี” โดย นคร เวชสุภาพร

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  16  กันยายน  2018

 เรื่อง “อุปมาคำสอนของพระเยซู”

ตอน 4 “ต้นไม้ดี ย่อมให้ผลดี”

โดย นคร  เวชสุภาพร

 

วันนี้เรามาต่อซีรี่ส์นี้ “อุปมาคำสอนของพระเยซู” ตอน 4 ชื่อเรื่องว่า “ต้นไม้ดี ย่อมให้ผลดี” อุปมาทั้งหมดนี้ พระเยซูเป็นผู้ตรัสและสอนเอง ฟังพระเจ้าพูดเลยว่าพระองค์มีแผนการอะไร สำหรับมนุษย์ และเป็นอย่างไร?

เรากำลังเรียนเรื่องอุปมาคำสอนของพระเยซู สรุป ก็คือเนื้อหาคำสอนทั้งหมดของพระเยซู พูดถึงทางที่มนุษย์จะไปอยู่กับพระเจ้าในสวรรค์สถาน ซึ่งทำได้ โดยวิถีทางเดียว ก็คือวิญญาณของมนุษย์จะต้องบริสุทธิ์ สะอาด ไม่มีที่ติเลย 100% ต้องเป็นเหมือนพระเจ้า จึงจะสามารถอยู่กับพระเจ้าในสวรรค์ได้

ซึ่งคิดตามตรรกะเหตุผลของมนุษย์ จะไปอยู่กับพระเจ้า ก็ต้องเหมือนพระเจ้า สกปรกไปอยู่กับพระเจ้าไม่ได้ มนุษย์ทุกชาติ ทุกภาษารู้เรื่องนี้หมด ซึ่งพระเยซูเป็นผู้ที่รับมอบภารกิจนี้ มาจากพระเจ้า คือพระองค์ทรงเป็นพระบุตรของพระเจ้าที่ยอมมาเกิดเป็นมนุษย์ เพื่อตายที่ไม้กางเขน และเป็นขึ้นมาจากความตายในวันที่สาม เพื่อทำให้มนุษย์ทุกคนที่เชื่อในพระองค์ ได้รับการชำระ โดยการบังเกิดใหม่ในวิญญาณ

คำอุปมาคำสอนของพระเยซูที่เราจะเรียนทั้งหมด เป็นเรื่องเกี่ยวกับสวรรค์และการบังเกิดใหม่ในวิญญาณ ไม่ได้พูดเรื่องอื่นเลย ย้ำอีกที ไม่ได้พูดเรื่องศีลธรรม คำสอนใดต่างๆ พูดแต่เรื่องนี้ อาณาจักรสวรรค์ คืออะไร? อาณาจักรสวรรค์กำลังมา? อาณาจักรสวรรค์อยู่ที่นี่แล้ว ก็คือสิ่งที่เรากำลังเรียนรู้ การบังเกิดใหม่ เรื่องเกี่ยวกับวิญญาณ ซึ่งเป็นเพียงหนทางเดียวเท่านั้น ที่จะทำให้มนุษย์บริสุทธิ์ และสะอาดเหมือนพระเจ้า จะได้สามารถเข้าไปอยู่ในสวรรค์ อยู่กับพระเจ้าได้ตลอดกาล ซึ่งมนุษย์ก็รู้นะว่าจะอยู่กับพระเจ้าต้องบริสุทธิ์สะอาดอย่างนั้น แต่ก็พยายามด้วยตัวเอง ซึ่งพยายามเท่าไรก็รู้ว่ามันไม่สำเร็จ พระเยซูเลยมาเป็นทางใหม่ให้ “มรดกใหม่” ที่พระเจ้าประทานให้กับมนุษย์ผ่านทางพระเยซูคริสต์ เรียกว่าพันธสัญญาใหม่ เป็นพันธสัญญาจากพระเจ้า ที่ได้รับโดยผ่านทางความเชื่อในการกระทำของพระเยซูคริสต์ เชื่อว่าพระเยซูเป็นพระมาซีฮาห์ ก็คือพระผู้ช่วยให้รอด ที่พระเจ้าทรงจัดเตรียมไว้ให้มนุษย์ตั้งแต่สมัยบรรพบุรุษกี่ร้อย? กี่พันปีมาแล้ว รอคอยกัน พระองค์ คือผู้นั่นแหละ ที่พระเจ้าทรงประทานให้ เป็นพระบุตรของพระองค์เองเลย มาเป็นพระมาซีฮาห์ ภาษาฮีบรู แปลว่าผู้ช่วยให้รอด .. รอดจากนรก รอดจากความบาป ในวิญญาณของเรา เป็นผู้ไถ่บาป ก็ได้ ก็คือไถ่เราออกจากบาป ช่วยเราให้พ้นจากคุก นรก การเป็นทาส ในวิญญาณของเรา ซึ่งเราช่วยตัวเองไม่ได้ แต่พระองค์ทรงประทานพระเยซูมาช่วยเรา

ซึ่งตรงกันข้ามกับ “พันธสัญญาเก่า” ก็คือก่อนที่พระเยซูจะมาทำการบนไม้กางเขน ก่อนที่พระเยซูจะมาเกิดเป็นมนุษย์ นั่นพันธสัญญาเก่า ซึ่งพระเจ้าได้ให้ไว้กับมนุษย์ ซึ่งมนุษย์ต้อง ปฏิบัติตามธรรมบัญญัติ ตามกฎระเบียบเป๊ะ ต่อให้เป๊ะอย่างไร? ก็ไม่ได้ครบถ้วนบริบูรณ์ ไม่มีทางสมบูรณ์ได้ แต่ก็ยังดีบ้างนิดหน่อยๆ เพื่อติดต่อกับมนุษย์ได้บ้าง เพื่อรอให้ถึงวันหนึ่งที่พระเยซูจะมาเกิดเป็นมนุษย์ และตายที่ไม้กางเขน และทำแผนการการไถ่มนุษย์ให้สำเร็จ และมันสำเร็จเมื่อวันศุกร์ประเสริฐ แปลว่าศุกร์ก่อนวันอีสเตอร์ เมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว วันศุกร์ที่พระองค์ทรงถูกตรึงที่ไม้กางเขน นั่นแหละ เรารู้ว่าสำเร็จ 2,000 ปีมาแล้ว บ่าย 3 โมงบนไม้กางเขน พระเยซูตะโกนลั่นเลยว่า … “สำเร็จแล้ว”

รอกันมาหลายพันปี จบแล้ว ได้แล้ว แล้วก็สิ้นพระชนม์ นั่นแหละ คือรอกันมา นั่นคือพันธสัญญาเก่า รอวันนี้ วันที่พระเยซูมาบังเกิดเป็นมนุษย์ และตายที่ไม้กางเขน และทำให้สำเร็จแล้ว เพราะฉะนั้น พันธสัญญาเก่า ก็ต้องจบกันไป หลังจากพระเยซูตายที่ไม้กางเขน  แล้วบอกสำเร็จแล้ว จากนี้ต่อไป เป็นพันธสัญญาใหม่ที่จะติดต่อกับมนุษย์ มนุษย์ต้องเชื่อฟัง ผู้สร้างเขา  ผู้สร้างสรรพสิ่งทั้งหลาย คือพระเจ้า พระองค์วางแผนการนี้ไว้อย่างนี้

“ใครมีหู จงฟังเถิด”

ขืนไปดำเนินอยู่ในพันธสัญญาเก่า มันไม่สำเร็จอยู่แล้ว ทำด้วยตัวเอง มันไม่ไหว ก็รู้อยู่แล้ว เพราะฉะนั้น  หยุดเถิด แล้วมาพึ่งในพันธสัญญาใหม่ พึ่งในการกระทำ ที่พระองค์บอกสำเร็จแล้ว พระองค์ทรงทำให้ที่ไม้กางเขนเรียบร้อยไปแล้ว เป็นตัวแทนของมนุษย์ทั้งปวงบนโลกใบนี้ เอเมน

ซึ่งเราก็พูดกันมาตลอดว่าในความเป็นจริง จริงๆ แล้ว ไม่มีมนุษย์คนใด ที่สามารถทำตามบัญญัติ ถูกต้องหมด ด้วยตัวเอง ไม่มีผิดเลย ไม่มีมนุษย์คนใดไม่เคยทำบาปเลยแม้แต่นิดเดียว เราก็รู้อยู่ เพราะว่ามนุษย์อ่อนแอ ไม่มีทางที่จะทำได้ ตามมาตรฐานของพระเจ้าหรอก ไม่สามารถรักษาวิญญาณของตัวเองให้สะอาด ไร้ที่ตำหนิ ไม่มีมลทิน คือไม่มีบาปเลยแม้แต่นิดเดียว เป็นไปไม่ได้

และนี่ก็คือเหตุผลที่บอกว่าทำไม  พระเจ้าจึงต้องประทานพันธสัญญาใหม่ให้กับมนุษย์ เพราะมนุษย์ทำไม่ได้ เพราะวิญญาณข้างในของมนุษย์เป็นทาสของความบาป แล้วจะทำได้อย่างไร? ข้างนอก ทำให้ตายอย่างไร? ก็บาปอยู่ดี ทำบาปนิดหนึ่ง ก็คือบาป สำหรับพระเจ้าไม่มีบาปน้อย บาปนิดหนึ่ง บาป 5% บาป 1% บาปเท่ากัน

บาป คือบาป เพราะพระเจ้าดูที่วิญญาณข้างใน  ถ้าวิญญาณบาป มันบาปแน่ๆ ไม่ว่าน้อยหรือมาก เพราะมันอยู่ข้างใน  ต่อให้ทำน้อย ข้างในก็มีความบาป เท่ากับคนทำข้างนอกเยอะ มีค่าเท่ากัน

ยิ่งเรียน ยิ่งชัดเจน เป็นตรรกะ บางครั้ง มีเหตุผล คิดตามภาษามนุษย์ก็ยังได้ว่าไม่มีใครทำได้เลยนะ มีใครในโลกนี้ ไม่เคยโกหก ไม่เคยคิดชั่วแม้แต่ครั้งเดียว มันเป็นไปไม่ได้เลย  และถ้าขืนไปพยายามด้วยตัวเองต่อไป มันก็ตาย พระองค์ประทานพระเยซูให้แล้ว กลับมาเถิด มาพักผ่อนหายเหนื่อยและเป็นสุข … ครั้งที่แล้ว เราได้เรียนอุปมา เรื่องความสว่าง มาทบทวนกัน มัทธิว 5:14-16

มัทธิว 5:14-16 “14 ท่านทั้งหลายเป็นแสงสว่างของโลก เมืองที่ตั้งอยู่บนภูเขาจะซ่อนไว้ไม่ได้ 15 เช่นเดียวกัน เมื่อคนจุดตะเกียงแล้วย่อมไม่เอาฝาครอบ แต่จะตั้งไว้บนเชิงตะเกียง ให้ส่องสว่างแก่ทุกคนในบ้าน 16 ในทำนองเดียวกัน จงให้ความสว่างของท่าน กระจ่างแจ้งต่อหน้าคนทั้งหลาย เพื่อเขาจะเห็นการดีของท่าน และสรรเสริญพระบิดาของท่าน ผู้สถิตในสวรรค์”

 

พระเยซูทรงเป็นความสว่าง และพระองค์บอกว่า …

“ท่านทั้งหลายเป็นความสว่าง”

เราเป็นความสว่าง เมื่อเราได้บังเกิดใหม่ในวิญญาณ มาเป็นลูกของพระเจ้าแล้ว เราก็จะมีสภาพเหมือนพ่อของเรา ก็เหมือนกับพระเจ้า ไม่อย่างนั้น เราอยู่กับพระองค์ไม่ได้ เราเป็นลูกพระองค์และมีสภาพในวิญญาณเหมือนพระเจ้า พระเจ้าเป็นความสว่าง เราก็เลยเป็นความสว่างด้วย โดยที่เราไม่ต้องทำอะไรเลย

แสงสว่าง ก็คือสภาพที่เป็นเหมือนพระเจ้า เหมือนพระเยซู พระเยซูกับพระเจ้า ในพระคัมภีร์พูดรวมๆ กันว่าพระเจ้าเป็นความรัก พระเจ้าเป็นความเมตตา พระเจ้าเป็นความสว่าง พระเจ้าเป็นความดี เพราะฉะนั้น เมื่อเราเป็นเหมือนพระองค์ เราก็เป็นความสว่าง เราเป็นความรัก เราเป็นความเมตตา เราเป็นความดี พระคัมภีร์บอกว่าท่านเป็นคนดี เป็นเมตตา เราเป็นความรักเหมือนพระเจ้าเลย แม้ว่าบางครั้งในทางร่างกายที่เราเห็นกันอยู่ อาจถูกล่อลวงไปทำในสิ่งที่ตรงกันข้ามกับข้างในวิญญาณของเรา แต่โดยเนื้อแท้ โดยสภาพในวิญญาณ ก็ยังเป็นความสว่างเหมือนพระเจ้าอยู่ดี

คำอุปมาคำสอนของพระเยซู ในพันธสัญญาใหม่ ที่สอนเรื่องเกี่ยวกับสวรรค์ เกี่ยวกับวิธีไปสวรรค์ เกี่ยวกับการบังเกิดใหม่ วันนี้เข้าตอนที่ 4 ในลูกา 6:43-45 …

ลูกา 6:43-45 “43 ต้นไม้ดี ย่อมไม่ให้ผลเลว และต้นไม้เลว ย่อมไม่ให้ผลดี 44 เราจะรู้จักต้นไม้แต่ละต้นได้ ด้วยผลของมัน พุ่มหนามย่อมไม่ออกผลเป็นมะเดื่อ หรือกอหนามย่อมไม่ออกผลเป็นองุ่น 45 คนดีย่อมนำสิ่งดีออกจากความดีที่สะสมไว้ในใจของตน ส่วนคนชั่วก็นำสิ่งชั่วออกจากความชั่วที่สะสมไว้ในใจของตน เพราะปากย่อมเอ่ยสิ่งที่เอ่อล้นออกมาจากใจ”

 

เคล็ดลับที่จะเรียนเรื่องเหล่านี้ เอาผลมาก่อนเลย

“ไม่รู้ล่ะ สรุปฉันจะเข้าใจ ไม่เข้าใจ จากนี้ต่อไป แต่ฉันรู้ว่าทั้งหมดนี้ มันแปลว่าอะไร?”

ตรงนี้มันสำคัญกว่าเยอะเลย พูดตรงๆ ไม่ต้องเรียนมากเลย เอาแค่ท่านเชื่อแค่นี้ก็พอแล้ว แต่ไม่ได้หรอก พระเจ้าให้เราเรียน เพื่อเราจะได้รู้ จะได้เจริญเติบโต เพื่อพระเจ้าจะได้ใช้เราออกไป เราเป็นแสงสว่าง นำเราไปปักที่ไหน เราก็ได้มากขึ้น เป็นไปตามน้ำพระทัยพระเจ้า

“ต้นไม้ดี ย่อมให้ผลดี หรือต้นไม้ดี ย่อมไม่ให้ผลเลว” และ “ต้นไม้เลว ย่อมไม่ให้ผลดี” นึกถึงธรรมชาติ พระเจ้าไม่ได้สอนอะไรยากเลย อุปมา คือเดินๆ ไปแล้วเห็น แล้วก็บอก แล้วพอท่านรู้เคล็ดลับ พอท่านมีอุปมาของท่านเอง พระเจ้าสอนท่านส่วนตัวเลย เหมือนที่สอนพวกเราที่รู้จักในเรื่องนี้มากๆ และสนใจในเรื่องนี้มากๆ ท่านเดินไปในชีวิต พระเจ้าจะบอก เหมือนตรงนั้นเลย โดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ พระเจ้าจะสอนท่านเป็นหลายๆ ครั้งเลย ก็เหมือนเรื่องนี้ ต้นไม้ดี มันก็ให้ผลดี ถ้าต้นไม้เลว มันจะให้ผลดี เป็นไปไม่ได้ ปลูกต้นมะละกอ จะกลายเป็นทุเรียน อย่าไปหวังเลย  ไม่มีหรอก มันธรรมชาติ พระเยซูกำลังสอนเราง่ายๆ

“ต้นไม้ดี ย่อมไม่ให้ผลเลว และต้นไม้เลว ย่อมไม่ให้ผลดี เราจะรู้จักต้นไม้แต่ละต้น ได้ด้วยผลของมัน พุ่มหนามย่อมไม่ออกผลเป็นมะเดื่อ หรือกอหนามย่อมไม่ออกผลเป็นองุ่น หรือต้นหญ้าย่อมไม่ออกผลเป็นเงาะ”

ในเมืองไทยเราเห็นชัด คำอุปมาตรงนี้ เป็นการเปรียบเทียบเรื่องเกี่ยวกับธรรมชาติ ความเป็นจริงง่ายๆ ที่เราเรียกกันว่าความจริงทั่วๆ ไป ความจริงที่เขาเรียกว่ามีมาตรฐาน ยอมรับกันทั้งหมด ภาษาไทยเรียกว่าสัจจธรรม นี่คือสัจจธรรมของธรรมชาติ มันเป็นอย่างนี้ ไม่มีใครเถียง ถูกต้องหมด

คราวนี้มาดูสิว่าพระเยซูกำลังเปรียบเทียบเรื่องนี้กับเรื่องวิญญาณ การบังเกิดใหม่ การเข้าไปสู่สวรรค์ และเข้าไปอยู่กับพระเจ้าได้อย่างไร?

“ต้นไม้ดี ก็ย่อมให้ผลดี” พูดง่ายๆ ต้นไม้ที่มีธรรมชาติ ชีวิตของมัน เป็นของดี มันก็ออกผลเป็นดี ต้นไม้ที่มีธรรมชาติเลวอยู่ มันย่อมให้ผลเลว

คำขยายความข้อนี้บอกว่าถ้าเราเอาพุ่มหนาม หรือกอหนามมาปลูก เราจะให้มันออกผลเป็นลูกมะเดื่อหรือลูกองุ่นย่อมเป็นไปไม่ได้  พูดอย่างนี้ปุ๊บ ชาวอิสราเอล หรือคนติดตามพระองค์รู้หมดเลย ใช่ นี่เป็นสัจจธรรม

ความรู้สึกคนที่ฟังตอนนั้นเป็นอย่างไร? ชัดๆ ง่ายๆ ถูกเลย ถ้ามาสมัยเรา ผมพูด ผมก็จะเปรียบเทียบอย่างนี้ว่าเราเลี้ยงสุนัข ธรรมชาติของสุนัขก็คือเห่า ถ้าเราเลี้ยงแมว ธรรมชาติของแมว ก็ร้องเมี้ยวๆ เราเลี้ยงสุนัข แล้วจะสอนให้มันร้องเมี้ยวๆ เหมือนแมว มันก็เป็นไปไม่ได้

คำอุปมาตรงนี้ พระเยซูต้องการเปรียบเทียบให้เราเข้าใจว่าเราจะไปบังคับ ไปฝืนธรรมชาติ เป็นไปไม่ได้

ต้นไม้ มีทั้งที่เป็นต้นไม้ดี และต้นไม้เลว ฉันใด วิญญาณมนุษย์ ก็มีทั้งวิญญาณที่ดี และวิญญาณที่ไม่ดีฉันนั้น วิญญาณที่ดี ก็คือวิญญาณที่สะอาดหมดจด ไม่มีตำหนิใดๆ เลย เป็นเหมือนพระเจ้าเลย ส่วนวิญญาณที่ไม่ดี ก็อยู่ตรงกันข้าม คือวิญญาณที่ยังไม่ได้รับการชำระให้หลุดพ้นจากบาป ยังสกปรกอยู่ พูดง่ายๆ วิญญาณที่ดี คือวิญญาณที่สามารถไปสวรรค์ อยู่กับพระเจ้าในสวรรค์สถานได้ ไร้ตำหนิ ส่วนวิญญาณที่ไม่ดี คือวิญญาณที่ไม่สามารถเข้าไปในสวรรค์ได้ เพราะเป็นศัตรูกับพระเจ้า เป็นความสกปรก นี่คือระเบียบ คือกฎต่างๆ ของธรรมชาติ ของสัจจธรรมที่พระเยซูกำลังสอนเราตรงนี้

เหมือนคำอุปมาที่บอกว่าต้นไม้ดี ย่อมให้ผลดี พูดอีกทางหนึ่ง ก็คือผลของต้นไม้จะออกมาดีได้ ต้องมาจากต้นไม้ต้นนั้นมันกำเนิดมาอย่างไร? ถ้าต้นไม้นั้น มีต้นกำเนิดที่ดี มันก็จะให้ผลดี คือแก่นของชีวิตของมัน ตัวจริงของมัน ธรรมชาติของมันเป็นอะไร? เปรียบเทียบกับวิญญาณของมนุษย์ก็เช่นเดียวกัน วิญญาณของมนุษย์ จะเป็นวิญญาณที่ดี เป็นวิญญาณที่สะอาดบริสุทธิ์ได้ ก็มาจากต้นกำเนิดที่ดีเท่านั้น และต้นกำเนิดที่ดีของมนุษย์ ต้องเป็นวิญญาณที่มาจากพระเจ้า

เพราะฉะนั้น วิญญาณของมนุษย์จะเป็นวิญญาณที่สะอาด บริสุทธิ์ หมดจดได้ ก็ต้องเป็นวิญญาณที่บังเกิดมาจากพระเจ้า หรือพูดง่ายๆ เกิดมาจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้าเท่านั้น ก็กำลังพูดถึงการบังเกิดใหม่ในวิญญาณ พระเยซูบอกว่าเราจำเป็นต้องมีการบังเกิดใหม่ในวิญญาณ ถ้าไม่บังเกิดใหม่ในวิญญาณ เราไม่สามารถที่จะผลิตผลดีได้เลย แค่อุปมาสั้นๆ ลึกซึ้งมาก ซึ่งที่เราเรียนมาทั้งหมด ก็คือตรงนี้แหละ ที่บอกว่ามนุษย์ต้องบังเกิดใหม่เท่านั้น จึงจะสามารถมีวิญญาณที่สะอาดบริสุทธิ์ ไร้ตำหนิ ไร้บาป เหมือนพระเจ้าได้ ต้องเกิดใหม่เท่านั้น เพราะการกำเนิดหรือการบังเกิดครั้งแรกของมนุษย์ทุกคน คือตอนเราคลอดมาเป็นมนุษย์ ทุกคนบนโลกใบนี้ ล้วนมีเชื้อของความบาปติดตัวมาทั้งนั้น เราเกิดมาอุ๊แว๊ๆๆๆ ไม่ต้องทำอะไรเลย วิญญาณก็บาปแล้ว

วิธีเดียวที่จะทำให้บาปนั้น หมดไปได้จากวิญญาณของเรา คือต้องเกิดใหม่ อย่างครั้งที่แล้วที่ผมพูด มันต้องเกิดใหม่เท่านั้น เห็นคนๆ หนึ่ง อย่างเช่นนักฟุตบอล โรนัลโด้ ถ้าผมบอกว่า …

“ผมอยากจะเตะบอลให้เก่ง ผมจะเรียนเตะบอลให้เก่งเท่าโรนัลโด้” สมมติผมพูด

คุณก็จะบอกผมว่า “คุณไปเกิดใหม่เถอะ”

เผลอๆ คุณดูถูกผมด้วย “เกิดใหม่อีก 10 ชาติก็ไม่เป็น”

พระคัมภีร์บันทึกไว้อย่างนั้นเลยว่าเมื่อเราเชื่อในพระเจ้า พระบุตรของพระเจ้า พระเยซู ในการไถ่บาป พระวิญญาณบริสุทธิ์จะทำให้เราบังเกิดใหม่ในวิญญาณ เพราะว่าต้นไม้ดีเท่านั้น จึงจะสามารถให้ผลดีได้ ถ้าเราไม่เกิดใหม่ ในวิญญาณ เราไม่สามารถผลิตผลออกมาได้เลย แม้แต่นิดเดียว เพราะวิญญาณข้างในมันไม่ดี อย่างไรมันก็ไม่ดี

คำว่า “ผลดี” หรือ “ผลเลว” ตรงนี้ พระคัมภีร์พูดไว้อย่างนี้ ตั้งใจฟังนะ ไม่มีตรงกลางๆ ใครจะพูดว่าตอนนี้  ยังไม่ค่อยสะอาดเท่าไร? ยังมีสกปรกนิดๆ หน่อยๆ กำลังพยายามทำอยู่ อีกนิดเดียวกำลังจะบริสุทธิ์แล้ว ทำอีกนิดเดียวก็จะได้ไปสวรรค์แล้ว

ในทางวิญญาณ ไม่มีตรงกลาง ไม่มีคำว่าเกือบ ไม่มีคำว่าสีเทา มีแต่สีขาวกับดำ สว่างหรือมืด ไม่มีสลัวๆ มีดีกับเลว ดี 90 เลว 10 ไม่มี ดีก็คือดีเลย เลวก็คือเลวเลย แล้วก็มีไร้ที่ตำหนิ สะอาดบริสุทธิ์ 100% กับสกปรก 100% ไม่มีสะอาดไปแล้วประมาณ 90 ทั้งอธิษฐานเยอะ ทำอันนั้นเยอะ ทำอันนี้เยอะ มาโบสถ์ประจำ ช่วยโบสถ์อะไรต่างๆ ตอนนี้สะอาดไปแล้ว 90 ไม่มี ถ้าสะอาด ก็คือสะอาด 100% ถ้าสกปรก คือสกปรก 100%

ผมพยายามเอามาสอน ให้ท่านจำง่ายๆ ชีวิตปกติทั่วๆ ไป เอามาเปรียบเทียบให้ดู เพื่อให้เรารู้ถึงแก่นมัน ถ้าท่านรู้ถึงแก่นมัน ต่อไปนี้ท่านจะสนุกด้วย เพราะพระวิญญาณบริสุทธิ์สอนท่านไปเรื่อยๆ หรือธรรมชาติจะสอนท่านไปเรื่อยๆ

ถ้าเราพูดอย่างนี้ ตามพระคัมภีร์ตะกี้เลย ที่พระเยซูสอนเมื่อกี้ อุปมานี้ ถ้าบอกว่าเรามาเกิดใหม่แล้ว เป็นวิญญาณที่ดีแล้ว สะอาดบริสุทธิ์ เหมือนพระเจ้าเลย เป็นแสงสว่าง มีสภาพในวิญญาณเหมือนพระเจ้า ไร้ที่ตำหนิ บริสุทธิ์สะอาด เป็นความรัก เป็นความดีงาม เป็นความเมตตา เหมือนพระเยซูเลย

“แล้วคริสเตียนที่บังเกิดใหม่อย่างนี้แล้ว แต่ทำสิ่งชั่วร้ายในชีวิต ผลิตผลที่ไม่ดีออกมา ไปทำสิ่งที่น่ารังเกียจ ในสายตาของมนุษย์ทั้งโลก รวมทั้งตัวเราเองด้วย คนข้างๆ ด้วย”

ถามว่ามีอีกไหน?  มี ก็ตัวเรา มีไหมล่ะ ทำไมเป็นอย่างนี้  ไหนบอกว่าเราเชื่อพระเจ้า เราบังเกิดใหม่แล้ว

“เป็นความรักอะไร? ตะกี้เกลียดจะตาย หน้านี้ไม่อยากจะเจอ ทำกับฉันอย่างนี้ ฉันจำได้ พระเจ้าขอช่วยลูกให้อภัยให้เขาได้”

แสดงว่าตอนนั้น มันอภัยไม่ได้ ถูกต้องแล้ว หลายคนก็คิดอย่างนี้ในใจ แล้วก็ทำอะไรหลายๆ  อย่าง ที่เป็นผลที่ไม่ดีทั้งนั้น  แล้วไหนบอกว่าข้างในดี มีผลที่ดีไง แล้วจะเอาอย่างไร? มีเยอะไหมที่คิดอย่างนี้ มีแน่ๆ ถ้าไม่รู้ความจริง

“ทำไมมันเป็นอย่างนี้นะ พระเยซูบอกว่าวิญญาณเราดีแล้ว ข้างนอกมันต้องดีแน่นอน เราดีได้อย่างไร? เมื่อตะกี้เรายังไปทำไม่ดีเลย พระเยซูพูดผิดเหรอ ชักงง”

อาจารย์เปาโลได้พูดไว้อย่างนี้ในหนังสือโรม 7:15-20 …

โรม 7:15-20 “15 ข้าพเจ้าไม่เข้าใจสิ่งที่ตนเองทำ เพราะสิ่งที่ข้าพเจ้าต้องการจะทำ  ข้าพเจ้าไม่ทำ แต่ข้าพเจ้ากลับทำ สิ่งที่ตนเองเกลียด 16 และถ้าข้าพเจ้าทำสิ่งที่ตนเองไม่ต้องการจะทำ ข้าพเจ้าก็เห็นด้วยว่าบทบัญญัตินั้นดี 17 ดังที่เป็นอยู่ จึงไม่ใช่ตัวข้าพเจ้าเองที่เป็นผู้ทำสิ่งนี้อีกต่อไป แต่เป็นบาป ซึ่งอยู่ในตัวข้าพเจ้าที่ทำ 18 ข้าพเจ้ารู้ว่าไม่มีสิ่งดีอะไรอยู่ในตัวข้าพเจ้า คือ ในวิสัยบาปของข้าพเจ้า เพราะข้าพเจ้าปรารถนาจะทำสิ่งที่ดี แต่ทำไม่ได้ 19 เพราะข้าพเจ้าไม่ได้ทำสิ่งดีที่ข้าพเจ้าต้องการทำ แต่สิ่งชั่ว ซึ่งข้าพเจ้าไม่ต้องการทำ ข้าพเจ้ากลับทำเรื่อยไป 20 ถ้าข้าพเจ้าทำสิ่งที่ตนเองไม่ต้องการจะทำ ย่อมไม่ใช่ตัวข้าพเจ้าเองที่ทำ แต่เป็นบาป ซึ่งอยู่ในตัวข้าพเจ้าต่างหากที่ทำ”

 

เปาโลเป็นคริสเตียนที่มีความเชื่อสูง  สอนพระคัมภีร์ใหม่หลายเล่มของจดหมายฝาก ลึกซึ้งมาก เจอพระเยซูหน้าต่อหน้าเลย ความเชื่อสูงมาก ทำไมพูดอย่างนี้ พูดแปลกๆ มันแปลว่าอะไร? ผมจะพาท่านไปทีละนิดๆ แล้วท่านจะไม่งง มันก็เหมือนกับตัวท่านนั่นแหละ เวลาผมพูดถึงเปาโลตอนนี้ ท่านลองสลับสวิทส์ แล้วใส่ชื่อท่านเข้าไป มันเป๊ะเลย

“ฉันไม่เข้าใจสิ่งที่ตนเองทำ เพราะสิ่งที่ฉันต้องการจะทำ ฉันไม่ทำ แต่ฉันกลับทำ สิ่งที่ตนเองเกลียด”

ใช่หรือไม่ใช่? อ้าว! ทุกคนไม่ยอมรับอีกเหรอ หรือทุกคนคิดว่าตั้งแต่เชื่อพระเยซูมา ฉันรักในสิ่งที่ฉันทำทุกอย่าง มันดีหมดเลย ไม่จริงหรอก ผมเชื่อว่าหลายครั้ง ท่านคงเบื่อเหลือเกิน ทำไมฉันเป็นอย่างนี้ ตั้งใจมากี่ครั้งแล้ว ว่าจะไม่งอนแล้วนะ เอาใหม่ๆ นี่แหละคือเกลียดตัวเองแล้ว  ว่าจะไม่เครียด เชื่อพระเจ้าสิ ไม่ต้องกังวล ไม่ต้องกลัว นี่แหละ กำลังทำสิ่งที่ตัวเองเกลียด อย่าไปคิดถึงเรื่องไกลๆ มากๆ เอาใกล้ๆ ตัวนี่แหละ อ่านแล้วก็งงนะ แต่จริงๆ ใส่ชื่อเราลงไป มันก็ไม่งง ชัดเลย

สำหรับคำถามของหลายๆ คนที่มักจะถามว่าเป็นคริสเตียนแล้ว มีวิญญาณบริสุทธิ์ ที่ทำให้เราเกิดใหม่นั้น เป็นวิญญาณที่ดีแล้ว แต่ทำไมยังมีคนทำผิด ทำบาป ผลิตผลเลวอยู่เยอะ เต็มไปหมดในชีวิตของเขา อ่านข้อ 19 กับข้อ 20 ตรงนี้ แล้วจะชัดเลยนะว่า …

19 เพราะข้าพเจ้าไม่ได้ทำสิ่งดีที่ข้าพเจ้าต้องการทำ แต่สิ่งชั่ว ซึ่งข้าพเจ้าไม่ต้องการทำ ข้าพเจ้ากลับทำเรื่อยไป 20 ถ้าข้าพเจ้าทำสิ่งที่ตนเองไม่ต้องการจะทำ ย่อมไม่ใช่ตัวข้าพเจ้าเองที่ทำ แต่เป็นบาป ซึ่งอยู่ในตัวข้าพเจ้าต่างหากที่ทำ

“เรื่อยไป” แปลว่าทำตลอดชีวิตของเขาแหละ

ในภาษาเดิมบอกว่า “แต่เป็นบาปต่างหากที่มันทำ” เริ่มชัดขึ้นแล้วนะ

วิญญาณของผู้ที่ได้รับการบังเกิดใหม่ เมื่อเชื่อพระเยซูแล้ว เป็นวิญญาณที่สะอาด บริสุทธิ์ หมดจด 100% เป็นวิญญาณที่เต็มล้นไปด้วยความรัก  ความเมตตา ความดีงาม 100% เป็นธรรมชาติเลย  แต่ในขณะที่เรายังอยู่ในร่างกายนี้  บนโลกใบนี้อยู่ มันก็อาจจะมีปรสิต

ปรสิตมี 2 อย่าง คือปรสิตทางพืชและปรสิตทางสัตว์ มีลักษณะเหมือนกัน ถ้าพูดภาษาชาวบ้าน รับรองคำนี้ ทุกคนรู้เลย กาฝากหรือปรสิต มันใช้ชีวิตไปแฝงไว้กับชีวิตอื่น แล้วก็ทำลายชีวิตอื่น ด้วยการฆ่าตัวอื่นตาย โดยการแอบเอาอาหาร เอาชีวิตสิ่งที่มันไปฝากไว้ เอามาเป็นชีวิตของตัวเอง อย่างเช่น กาฝากต้นไม้ ว่ากันไปต้นโน้นต้นนี้เยอะแยะไปหมดเลย แล้วก็กาฝากที่เป็นสัตว์ อย่างเช่น พวกพยาธิ แบตทีเรีย พวกนี้มันเอาชีวิตเรา

เพราะฉะนั้น บาปเหมือนกาฝาก เหมือนที่อาจารย์เปาโลบอกว่า … “ถ้าข้าพเจ้าทำสิ่งที่ตนเองไม่ต้องการจะทำ ย่อมไม่ใช่ตัวข้าพเจ้าเองอยากทำ แต่มันเป็นบาป ซึ่งอยู่ในข้าพเจ้าต่างหากเป็นผู้ทำ เชื้อบาปที่อยู่ในข้าพเจ้า มันเป็นผู้กระทำ มันไม่ใช่ตัวข้าพเจ้าเองที่ทำ ศัตรู คือเชื้อบาป ที่ยังแอบแฝงอยู่ในตัวของเรา ที่เป็นตัวมนุษย์ ที่ดำเนินอยู่บนโลกนี้ ที่เป็นร่างกายนี้ มันเหมือนกาฝาก และเป็นผู้ที่ผลิตผลเลว มาอยู่ในชีวิตของเรา ตั้งใจฟังให้ดีๆ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น มันไม่สามารถเปลี่ยนแปลงธรรมชาติแท้ๆ ของเราได้ ที่มันเป็นธรรมชาติที่ได้บังเกิดใหม่แล้วในวิญญาณ เนื้อแท้ หรือธรรมชาติของเราในวิญญาณ ที่บังเกิดใหม่แล้ว ก็คือวิญญาณที่บริสุทธิ์ สะอาด หมดจด เป็นแสงสว่าง เป็นความรัก ความดี ความเมตตา เหมือนพระเจ้าทุกประการ แม้ว่าเมื่อตะกี้นี้เราจะคิดโกรธใคร แม้ว่าตะกี้นี้เราจะไปด่าใคร? ขณะที่ด่านั้น วิญญาณเราก็ยังบริสุทธิ์สะอาด เหมือนพระเจ้าอยู่ ผมไม่ได้พูดเอง เปาโลเป็นคนสอน ซึ่งตรงกับที่พระเยซูสอนเมื่อตะกี้นี้เลยนะครับ

เป็นไปไม่ได้ถ้าวิญญาณสะอาดแล้ว ข้างนอกมันต้องสะอาด เพราะว่ามันเป็นชีวิต มันสะอาด เป็นของแท้ มันเป็นตัวตนจริงๆ ของเราที่ได้บังเกิดใหม่ในวิญญาณแล้ว เชื้อบาปมันแอบแฝงเหมือนกาฝากที่อยู่ในชีวิตของเรา ต้นไม้ที่ดี แม้บางครั้ง อาจจะมีพวกกาฝากมาเกาะกิน ทำให้ผลที่ออกมา เปลี่ยนไปบ้าง บิดเบี้ยวไปบ้าง แต่มันก็ไม่ได้ทำให้ความดี หรือความแข็งแกร่ง ธรรมชาติของต้นไม้ ความสวยงามของต้นไม้นั้นๆ เปลี่ยนแปลงแต่อย่างใด มันก็ยังคงเป็นต้นไม้ที่ดีตลอดไป ถ้าเผื่อมีคนดูแลมันต่อ

เมื่อเราได้รับการบังเกิดใหม่ จากต้นกำเนิดที่เป็นต้นไม้ดี สภาพธรรมชาติของเรา คือข้างในวิญญาณ ก็จะเป็นไปตามนั้น  เราบังเกิดใหม่จากพระเจ้า เพราะฉะนั้น ธรรมชาติของเรา ข้างในวิญญาณเป็นลูกพระเจ้า เป็นเหมือนพระเจ้า คือเป็นความรัก ความเมตตา ความดีงาม ความรอบคอบ อยู่ในครอบครัวของพระเจ้าที่ดีงาม แล้วก็เป็นอย่างนั้นตลอดไปเลย ไม่มีใครเอาเราออกไป จากมือของพระองค์ได้ พระองค์ทรงปกปักคุ้มครองดูแลเรา

“เราช่วยเจ้าให้รอดแล้ว รอดเลย  ไม่มีใครมาเอาเจ้าออกไป จากเราได้”

พอหรือยังพระเจ้าสัญญาขนาดนี้ สัญญามากกว่านี้อีก เยอะกว่านี้ ไม่มีใครเอาเราออกไปจากครอบครัวพระเจ้านี้ได้อีกแล้ว ไม่มีเลย กาฝากมันทำอะไรเราไม่ได้เลย มันก็ทำได้แค่หลอกล่อเราไปทีละนิด ทีละหน่อย

การอยู่ในพระเยซูคริสต์ เราเป็นแสงสว่าง เต็มไปด้วยความดีงาม ชีวิตเราต่อติดอยู่กับพระองค์  จึงมีแต่ความดี ผลทั้งสิ้น ดี ไม่มีผลเลวร้ายเลย แม้แต่นิดเดียว เพราะเราอยู่กับพระเจ้าข้างในวิญญาณของเรา นอกจากบางครั้ง เราอาจถูกล่อลวง ยอมให้ศัตรู ปรสิตนี้  ที่เรียกว่าบาป ซึ่งมันเหมือนกาฝาก ปรสิตที่อาจจะมีอิทธิพลต่อร่างกายและความคิดจิตใจของเรา เข้ามาผลิตผลที่ไม่ดีในชีวิตของเราบ้าง? เป็นบางครั้งเท่านั้น  ซึ่งไม่ได้เป็นไปตามความต้องการของเนื้อแท้ๆ ธรรมชาติในวิญญาณของเราเลยแม้แต่นิดเดียว เราจึงไม่ค่อยสบายใจเลย เราจึง …

“ใครช่วยฉันที แต่ขอบคุณพระเจ้า พระเยซูคริสต์ช่วยฉันได้”

เรายังคงมั่นคงอยู่ในวิญญาณนี้ แล้วพระเจ้าก็เปลี่ยนแปลงความคิดจิตใจของเรา ด้วยถ้อยคำพระเจ้าไปทีละวันๆ จัดการกับกาฝากนั้นไปทีละนิดทีละหน่อย ให้มันน้อยลง

เพราะฉะนั้น จึงไม่ใช่ตัวเราที่เป็นผู้กระทำ แต่เป็นบาป ซึ่งมันเป็นกาฝาก เป็นปรสิตต่างหาก ที่เป็นผู้กระทำ พระคัมภีร์เขียนไว้อย่างนั้น อะไรหลายๆ อย่างที่ตัวเราเองแท้ๆ แท้จริงข้างในเราไม่ชอบ ไม่อยากทำ เราอยากท้องเสียเหรอ ไม่อยาก เราอยากผอมหัวโตเหรอ ไม่อยาก เพราะแบตทีเรียที่ไม่ดี พยาธิที่อยู่ในตัวเรา เราต้องรู้  เราจะดิวกับมันอย่างไร ให้มันทำร้ายเราน้อยที่สุด ต้องอยู่กับมัน เผลอนิดเดียว มันก็สามารถทำอะไรเราได้ อย่างนี้เป็นต้น นี่เขาเรียกว่ากาฝาก

เพราะฉะนั้น ผู้ที่เชื่อในพระเยซูและได้บังเกิดใหม่ในวิญญาณ ก็จะเป็นคนดีพร้อม ที่อาจมีผลชั่วในบางครั้ง ซึ่งไม่เหมือนแต่ก่อน ตอนที่ยังไม่ได้เชื่อในพระเยซู ยังไม่ได้บังเกิดใหม่ในวิญญาณ  … วิญญาณซึ่งเป็นตัวจริงๆ ของเรา ยังตกอยู่ในความบาป ยังเป็นทาสความบาป สกปรกอยู่

ก่อนพระเยซูคริสต์มาเกิด พระคัมภีร์บอกเลยว่าในโลกนี้ ไม่มีใครดีเลยสักคน มีแต่คนไม่ดี คนชั่ว คนบาป อ่านให้ดีนะ ก่อนเราเชื่อพระเยซู เรายังไม่บังเกิดใหม่ พระคัมภีร์บอกว่าตอนนั้น ไม่มีใครสักคนเลยดีพร้อม ตัวเราเองก็ไม่ดี เป็นคนชั่ว คนบาป ถามว่ามีบางครั้งไหม ที่เราอาจทำความดีบ้าง? ตอนก่อนเชื่อพระเจ้า เราก็ยังทำดีอยู่

เพราะฉะนั้น จะเห็นได้ว่าคนชั่ว คนบาป ที่บางครั้งทำดีบ้าง ก็มี ก็คือทำความดีอย่างไร? เท่าไร? ก็ยังเป็นคนบาปอยู่ เพราะโดยธรรมชาติในวิญญาณ มันเป็นคนบาป ก่อนที่เราจะเชื่อพระเจ้า นี่คือความเป็นจริงของสัจจธรรม ที่ผมบอก มันเป็นธรรมชาติ

ส่วนคนที่บังเกิดใหม่ในวิญญาณ โดยพระเยซู โดยธรรมชาติในวิญญาณ เป็นคนชอบธรรม เป็นคนดีพร้อม เหมือนพระเจ้าเลย สะอาดบริสุทธิ์ ไร้ตำหนิ เหมือนพระเจ้า ถึงจะมีผลิตผลที่ไม่ดีบ้าง จากปรสิต แต่โดยธรรมชาติข้างในวิญญาณ เป็นคนดี มีเมตตา เหมือนพระเจ้า นั่นเอง

ไม่ต้องดูข้างนอก ให้ดูข้างในนั่นแหละ สำคัญ เราต้องดูแบบนี้ พระเยซูกำลังสอนว่าท่านไม่เป็นต้นไม้ดี ก็เป็นต้นไม้เลว ไม่มีกึ่งๆ กลางๆ ถ้าข้างในไม่เป็นต้นไม้ดี ก็เป็นต้นไม้เลว ท่านไม่เป็นของพระเจ้า ท่านก็เป็นของมาร ไม่เป็นคนชอบธรรม ก็เป็นคนบาป ไม่เป็นคนดี ก็เป็นคนชั่ว ท่านไม่สามารถมีสถานะอื่นได้ นอกจากนี้อีกแล้ว ก็คือไม่ขาว ก็ดำ ไม่สามารถอยู่ในที่เทาๆ ได้ เพราะมีแค่ 2 อาณาจักรเท่านั้น คืออาณาจักรแห่งความสว่าง หรือเรียกว่าอาณาจักรสวรรค์ของพระเจ้า แล้วก็อาณาจักรของความมืด  ที่ไม่มีพระเจ้าเท่านั้น

วิญญาณมนุษย์ทุกคนจะอยู่ข้างใดข้างหนึ่งเท่านั้น ถ้าอยู่ข้างมืด ก็อยู่ในอาดัม  ถ้าอยู่ในความสว่าง ก็อยู่ในพระคริสต์ ถ้าอยู่ในความมืด ก็อยู่ในที่ที่ไม่มีพระเจ้า ถ้าอยู่ในความสว่าง ก็คือสวรรค์ ไม่มีอย่างอื่น ไม่มีอยู่ 90% อยู่ไหน ก็อยู่ตรงนั้น  ถ้าคุณอยู่ในความมืด  อยู่ในอาดัม คุณยังมีสิทธิ์ ที่จะเลือกเปลี่ยนมา เพราะพระเยซูทำให้แล้ว ที่ไม้กางเขน พระเยซูบอกคนมีหูจงฟัง และมาหาพระองค์ และจะได้หายเหนื่อยและเป็นสุข

คุณสมบัติ ลักษณะ ความสามารถทั้งหมด มาจากการเกิดมาเป็น อย่างที่ผมบอก ทั้งหมดเลยที่เราเป็น สะอาด หมดจด บริสุทธิ์ เกิดมาเป็น ไม่ใช่เราทำ ไม่สามารถฝึกฝน ปฏิบัติได้ด้วยตนเอง เหมือนที่เคยบอกไว้ ครั้งที่แล้วว่าเกิดเป็นผู้ชาย ก็เป็นผู้ชาย ไม่สามารถ พยายามทำตัวเองให้เป็นผู้ชาย แม้เป็นผู้ชาย แอบไปใส่กระโปรง ก็ยังเป็นผู้ชาย จะแอบไปทาปากบ้าง ก็เป็นผู้ชาย  เดินเหมือนผู้หญิงบ้าง ก็เป็นผู้ชาย เพราะข้างในเป็นผู้ชาย  เพราะเขาเกิดมาเป็นผู้ชาย

เกิดมาเป็นปลา ก็อยู่ในน้ำ ว่ายน้ำเป็นเลย เหมือนเราคลอดเด็กมา เดี๋ยวถึงเวลาเขาก็คลาน … คลานแล้วก็ตั้งไข่ … ตั้งไข่แล้วก็เดิน … เดินแล้วก็วิ่ง ต้องไปสอนเขาไหม? ไม่ต้องสอน

เกิดเป็นสุนัข ก็ไม่สามารถว่ายน้ำเหมือนปลาได้ แม้จะเอาสุนัขไปสอน ผมเคยเอาไปเข้าโรงเรียน ฝึกให้ทำได้หลายอย่างเลย คาบตะกร้าไปตลาด ก็ได้ แต่ก็ไม่เหมือนเอาคนไป สอนสุนัขว่ายน้ำได้ไหม? ได้ มันว่ายอยู่ในน้ำได้นานเท่าไร? ถ้าอยู่ทั้งวัน ในที่สุด มันต้องจมน้ำตาย

ฉันใดก็ฉันนั้น เหมือนกันเลย ถ้ามนุษย์คิดว่าเราทำด้วยตัวเองได้ ทำความดี เพื่อจะได้ความบริสุทธิ์ มันอาจจะไม่หมดแรงวันนี้ แต่มันก็ไปหมดแรงอีกวันหนึ่งข้างหน้า อาจจะไม่ใช่ปีนี้ อาจจะเป็นอีก 10 ปีข้างหน้า เหนื่อย   พระเยซูจึงบอกว่า …

“คนที่ทำอย่างนี้  จงมาหาพระองค์เถิด จงหายเหนื่อยและเป็นสุขเถิด พระองค์ทรงทำให้สำเร็จแล้ว ท่านจะได้ในสิ่งที่ท่านได้ ยกตัวอย่างเรื่องว่ายน้ำ ท่านจะว่ายน้ำเลย โดยไม่ต้องฝึกอีกแล้ว ท่านจะเป็นคนดีพร้อมเลย  โดยไม่ต้องพยายามทำ เพราะว่าเราทำให้กับท่านแล้ว ท่านเพียงมารับสิทธิของท่าน”

พระเยซูกำลังสอนเรื่องคุณสมบัติ ลักษณะทางฝ่ายวิญญาณของมนุษย์ ซึ่งมีอยู่ 2 พวกเท่านั้น

พวกแรก คือเกิดในอาดัม บรรพบุรุษของมนุษย์ เป็นบรรพบุรุษที่ติดเชื้อบาป เกิดมาก็เป็นบาป ต้องอยู่ในความมืด เป็นธรรมชาติเลย ไม่ต้องทำอะไรเลย เป็นอยู่ในความมืดเลย นี่คือพวกแรก

พวกที่สอง คือพวกที่เชื่อในพระเยซู ได้รับการบังเกิดใหม่ในวิญญาณ เกิดในพระคริสต์ ก็เป็นผู้ที่บริสุทธิ์ สะอาด ไร้ตำหนิใดๆ ไร้บาปใดๆ เป็นผู้ชอบธรรม อยู่ในความสว่าง เป็นความสว่างเลย โดยไม่ต้องทำอะไรเลย อยู่ในต้นไม้ดีเลย

มีอยู่ 2 พวกเท่านั้นเอง ผมเดินในหมู่บ้าน เห็นเขาปลูกต้นประดู่รอบหมู่บ้าน ประดู่มีดอกสวย สีเหลือง ถึงหน้าออกดอกหอม สวยมาก เดินไปก็เห็น และคิดว่าต้นไม้มันก็ชื่นชมยินดีที่ได้ทำหน้าที่ให้เราได้ดม ให้เราได้ดูความสวยงามของมัน ตามหน้าที่ที่มันถูกสร้าง 3-4 ปีให้หลัง ลืมสังเกต มีอยู่ต้นหนึ่งอยู่มุมๆ ไม่ค่อยมีคนเห็น มันรก ไปดู ปรากฏว่าต้นประดู่ต้นนี้ ที่ผมเห็น มันเป็นต้นประดู่ที่มีผลและดอกเป็นต้นไทร … ต้นไทรเป็นกาฝากชนิดหนึ่ง มาเกาะติดอยู่ในต้นประดู่นี้ มันกินไปค่อนต้นแล้ว เมื่อเข้าไปดูใกล้ๆ ตกใจกลัวมันตาย พอเข้าไปดูใกล้ๆ ตื่นเต้นนิดหนึ่ง ก็ได้ยินเสียงต้นประดู่พูดกับผมอย่างนี้ว่า …

“ดอกประดู่อันสวยงาม ข้าพเจ้าอยากผลิตออกมาให้ท่านได้ดม ได้หอม ได้ดูเหมือนเดิมหลายปีก่อน แต่ก็ผลิตไม่ได้แล้ว ดอกไทร ทำให้ผมน่าเกลียดมากเลย มันไม่สวยเลย ผมไม่อยากจะผลิตออกมาเลย แต่ก็ผลิตออกมาจนได้”

แล้วต้นประดู่ก็บอกต่ออีกว่า “ข้าพเจ้าช่างเป็นต้นไม้ที่น่าสมเพชจริงๆ”

แล้วมันก็ตะโกนว่า “มีใครบ้างหนอ ที่ช่วยข้าพเจ้าได้ ให้หลุดจากตรงนี้ ข้าพเจ้าอยากจะทำ”

นี่คือสภาวะในวิญญาณของมนุษย์ทุกคน พระเจ้าไม่เคยโกรธใครเลย น่าสงสารมากกว่า ทุกคน ไม่ว่าจะเชื่อพระเจ้าหรือไม่เชื่อ ก็อย่างนี้ แต่เขายิ่งหนัก เพราะเขาต้องสู้กับกาฝากพวกนี้ด้วยตัวเอง จะเอาแรงที่ไหนไปสู้ มันจะตายอยู่แล้ว อันนี้พูดถึงต้นไม้ ผมเองจะไปช่วยเขา ยังไม่รู้จะรอดไหม? หมายถึงว่าต้นไม้ต้นนี้จะรอดไหม? เพราะมันถูกกินไปเยอะมาก ดอกที่เคยให้สวยๆ ไม่มีแล้ว มันกลายเป็นอะไรไม่รู้ ตัวมันเองก็กลายพันธุ์ไปเลย กำลังจะตาย บางต้นก็ตายไปแล้ว เพราะกาฝาก

กาฝากบางทีมันก็ขึ้นกับต้นมะม่วงบ้าง? ต้นฝรั่งบ้าง? ต้นอะไรต่างๆ ท่านลองคิดดู ท่านคิดว่าต้นไม้เหล่านั้น มันไม่อยากผลิตฝรั่งสวยๆ ให้ท่านกินเหรอ มันคงดีใจมากเลย เพราะมันได้ทำหน้าที่ที่พระเจ้าสร้างมันขึ้นมา ให้เป็นอาหารของเรา ออกดอก ออกผลอย่างดี เพราะเป็นต้นไม้ดี แต่ทำไมเป็นต้นไม้เลวอย่างนั้นล่ะ มันไม่ใช่ตัวมัน มันวิปริตไปแล้ว มันมีเชื้ออะไรบางอย่าง ที่มีอิทธิพลในโลกใบนี้ มาทำให้โลกใบนี้เสียหายไป เรียกว่าปรสิต เรียกว่าสิ่งมีชีวิตสิ่งหนึ่งที่มันทำร้าย ความดีงามของมนุษย์ ซึ่งเป็นเหมือนพระเจ้า มันทำร้ายสภาพโลกใบนี้ ที่เป็นเหมือนพระเจ้า  เสียหายไปหมดเลย ซึ่งเราเรียกมันว่า “บาป” มันเข้ามาในโลกนี้แล้ว มันอยู่ที่นี่แล้ว มันยังอยู่ ยังไม่ถึงเวลาของมันที่จะถูกกำจัดออกไป แต่จะมีวันหนึ่งที่มันจะถูกกำจัดออกไป

นี่คือความรู้สึกของพระเจ้า และความรู้สึกของมนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้ พระเจ้าถึงบอกให้อภัยเถอะ ถ้าท่านมองเห็นอย่างนี้ ท่านจะให้อภัยทุกคนได้ นี่คือสัจจธรรม เวลาท่านออกไปข้างนอก ไม่ว่าจะเห็นต้นไม้ หรือเห็นสิ่งมีชีวิต แม้กระทั่งเห็นคนและเห็นตัวท่านเองด้วย ถ้าท่านเห็นตัวท่านเองได้ ท่านก็จะเห็นคนอื่น ข้างๆ ท่านได้ว่าเขาจะพูดอย่างนี้ ท่านจะโกรธเขาไหม?

“มีใครช่วยข้าพเจ้า สิ่งที่ข้าพเจ้าอยากทำ ข้าพเจ้าไม่ได้ทำ ข้าพเจ้าไม่อยากโกงคนนี้เลย แต่ข้าพเจ้าก็ไปโกงเขา”

แล้วเราก็ฆ่าเขา เอาให้ตายไปข้างหนึ่ง มันเลว เราดี เอาเปรียบเรา อะไรแบบนี้ แล้วถามว่าในใจเขาเป็นอย่างไร? ในใจเขาก็คิดเหมือนต้นไม้เมื่อตะกี้นี้

“ใครช่วยข้าพเจ้าได้บ้าง?”

เขาอาจจะไม่ได้ยินข่าวประเสริฐก็ได้ ถูกไหม? นี่คือความรู้สึก ในกาลาเทีย บทที่ 5 พระคัมภีร์จึงได้บอกว่าผลของพระวิญญาณ คือการกระทำดี ความดีงาม ความมีเมตตา และผลของความบาป นำไปสู่ความตาย คือการฆ่ากัน ความเย่อหยิ่ง การไม่ให้อภัย แล้วเราอยากทำเหรออย่างนั้น ไม่ใช่เราเอง แต่เราถูกกาฝากผลิตออกมา

แต่ขอบคุณพระเจ้าครับ ในฝ่ายวิญญาณ ตะกี้นี้ประดู่ใครช่วยมันได้ครับ? เจ้าของสวน คนที่รู้เรื่องสวน มาขุดมันไป แล้วก็จัดการให้มัน แล้วไปปักในสวนของตนเอง แล้วเริ่มให้อาหารอย่างดีเลย จัดการกับกาฝาก แต่ตัดมากไม่ได้ เพราะตัดได้แต่กิ่งกาฝากออกเท่านั้น ที่มันลงลึกลงไปในลำต้นมัน ต้องทิ้งไว้อย่างนั้น อันนี้ไปถามชาวสวนมานะ ตัดมาก ต้นไม้ตาย ตัดมันเฉพาะเท่าที่ทำได้ แล้วก็ปล่อยไว้อย่างนั้น พอมันขึ้นมาอีก ก็ตัดอีก แต่ข้างล่าง ใส่ปุ๋ยอัดเต็มที่เลย มันก็จะออกดอกประดู่เหมือนเดิมได้ โดยที่มีกาฝากอยู่ในตัว แต่เผลอเมื่อไร? มันก็โผล่ออกมาอีกแล้ว นั่นคือชีวิตเราแหละ

ชีวิตคริสเตียน ก็เป็นอย่างนั้น เผลอเมื่อไร กาฝาก ก็ผลิตผลออกมา กลายเป็นโกรธ กลายเป็นโมโห กลายเป็นขุ่นเคือง กลายเป็นกังวล วิตกกลัว  จะเอาอะไรกิน  เอาอะไรดื่ม  ทุกอย่างเลย  แต่พอลิดกิ่งเหล่านี้ ด้วยถ้อยคำพระเจ้า ด้วยการเข้ามาหาพระเจ้า ด้วยการศึกษา ด้วยการวิงวอนขอพระเจ้าไปทีละวันๆ เปลี่ยนแปลงความคิดจิตใจเสียใหม่ ในถ้อยคำพระเจ้าว่าเราเป็นคนดีแล้ว เรายอดเยี่ยมแล้ว พระเจ้าอยู่กับเรา พระคัมภีร์บอกอย่างนั้น เราเป็นลูกของพระเจ้า เดี๋ยวมันจะค่อยๆ ผลิตออกมา นี่คืออาหารในวิญญาณของเรา เกิดความมั่นคง เกิดความมั่นใจว่าเราคือใคร?  เราสมควรที่จะกระทำอะไร? แล้วพระเจ้าก็จะมาช่วยกันกับเราลิดกิ่งกาฝากนั้น ทีละนิดๆ โกรธก็น้อยลง อภัยได้มากขึ้นแล้ว ถามว่ายังอยู่กับเราไหม? อยู่ แต่มันทำอะไรเราไม่ได้แล้ว หรืออาจจะทำได้ แต่ทำได้ไม่เยอะ เพราะเราควบคุมมันแล้ว ตอนนี้ โดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่ให้กำลังกับเรา ให้สติปัญญากับเรา ให้เครื่องมือกับเราในวิญญาณของเรา ควบคุมมันที่ความคิดจิตใจของเรา ซึ่งเป็นเหมือนกองบัญชาการในชีวิตของเราเลยทีเดียว เอเมน แล้วก็อยู่กันไปจนวันสุดท้ายในโลกใบนี้ ขอบคุณพระเจ้า จากไป ดีกว่าอยู่ พระคัมภีร์จึงบอกไว้ พอจากไปปุ๊บ มันก็ตายไปพร้อมกับเนื้อหนัง เพราะมันอยู่แค่เนื้อหนังของเรา  จบ  เราก็ไปรับร่างกายใหม่  ที่ไม่มีปรสิต  ไม่มีกาฝากอีกต่อไปแล้ว เอเมน ขอพระเจ้าอวยพรครับ

 

 

***************************

 

 

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 2 กันยายน 2018 เรื่อง “อุปมาคำสอนของพระเยซู” ตอน 3 “ท่านทั้งหลายเป็นแสงสว่างของโลก” โดย นคร เวชสุภาพร

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  2  กันยายน  2018

 เรื่อง “อุปมาคำสอนของพระเยซู”

ตอน 3 “ท่านทั้งหลายเป็นแสงสว่างของโลก”

โดย นคร  เวชสุภาพร

 

เรามาต่อกันในซีรี่ย์ “อุปมาคำสอนของพระเยซู” ตอน 3 ใช้ชื่อเรื่องตามชื่ออุปมาที่เราจะเรียนกัน คือ “ท่านทั้งหลายเป็นแสงสว่างของโลก”

เรากำลังเรียนรู้เรื่องอุปมาสอนของพระเยซู ซึ่งผมได้พูดไปแล้วว่าคำสอนของพระเยซู ที่บันทึกไว้ในพระคัมภีร์ทั้งหมด ส่วนใหญ่จะเป็นอุปมา … อุปมา คือข้อความ หรือเรื่องราวที่ยกมาเปรียบเทียบ อุปมาของพระเยซู ก็คือนำเอาสิ่งที่เราใช้อยู่ปัจจุบัน มาเปรียบกับไปสวรรค์อย่างไร? บังเกิดใหม่อย่างไร? จะอยู่กับพระเจ้าได้อย่างไร? วิญญาณเกิดใหม่ได้อย่างไร? เป็นหนึ่งเดียวกับพระเจ้าได้อย่างไร? เข้าไปสู่ครอบครัวของพระเจ้าได้อย่างไร? นึกวนเวียนอยู่ตรงนี้

อุปมาในพระคัมภีร์ทั้งหมด พระเยซูพูดเปรียบเทียบเรื่องเกี่ยวกับสวรรค์

ในสัปดาห์ที่แล้ว เราได้เรียนอุปมาของพระเยซู 2 เรื่อง คือ …

  1. การเปรียบเทียบ “ผ้าทอเก่ากับเสื้อใหม่” ที่พระคัมภีร์บอกว่าไม่มีผู้ใด เอาท่อนผ้าทอใหม่ มาปะเสื้อเก่า เพราะว่าผ้าที่ปะเข้าไปนั้น เมื่อหดจะทำให้เสื้อเก่าขาดกว้างออกไปอีก เสียหายมากขึ้นด้วยซ้ำ เป็นอุปมาเปรียบเทียบเรื่องการที่จะทำให้มนุษย์สามารถเข้าไปในอาณาจักรสวรรค์ของพระเจ้าได้ หรือการที่พระเจ้าจะมาสถิตอยู่กับมนุษย์ได้นั่นเอง มนุษย์กับพระเจ้าต้องมีลักษณะสภาพเข้ากันได้ พระเจ้าจึงมาสถิตอยู่กับมนุษย์ หรือมนุษย์ไปอยู่กับพระเจ้าได้เท่านั้น ถ้าอยู่คนละขั้ว มนุษย์ตาย ความบริสุทธิ์ของพระเจ้ากับความสกปรก ความบาปของมนุษย์ เข้ากันไม่ได้

เพราะฉะนั้น เปรียบเทียบให้เห็นว่าผ้าเก่ากับผ้าใหม่จะต้องเข้ากันได้ มนุษย์จะต้องถูกชำระล้าง จะต้องบังเกิดใหม่ให้สะอาดหมดจด จึงเข้ากับพระเจ้าได้นั่นเอง

อุปมาตรงนี้ ที่พระเยซูกำลังอธิบายว่าผ้าเก่า คือพันธสัญญาเดิม ที่พระเจ้าใช้มาตั้งแต่อดีต เพื่อเล็งถึงว่าวันหนึ่งพระเยซูจะมาบังเกิดเป็นมนุษย์ และมาตายที่ไม้กางเขน ช่วยมนุษย์ให้หลุดพ้นจากความบาป และกลับไปสู่ครอบครัวของพระเจ้าได้   เรียกกฎตอนพระเยซูตายที่ไม้กางเขนว่าผ้าใหม่ คือพันธสัญญาใหม่ เข้ากันไม่ได้ จะเอาอะไรก็เอาอย่างหนึ่ง พระเยซูกำลังบอกว่าเชื่อพระเยซู ก็ไม่ต้องไปทำพันธสัญญาเก่า เพราะมันจบไปแล้ว ถ้าไม่เชื่อพระเยซู ยังคงดำเนินชีวิตตามพันธสัญญาเก่า ก็ช่วยไม่ได้  … ไม่ได้ไปสวรรค์

นี่คืออุปมาเกี่ยวกับผ้าเก่ากับผ้าใหม่ เรื่องของพันธสัญญาเดิมกับพันธสัญญาใหม่ อยู่คนละพื้นฐานกัน พันธสัญญาเดิม อยู่บนพื้นฐานของตาต่อตา ฟันต่อฟัน ทำเอง ทำได้ก็ได้ ทำไม่ได้ ก็โดนลงโทษ  สำหรับผ้าใหม่ คือกฎใหม่ในพระเยซูคริสต์ คือไม่ได้อยู่บนพื้นฐานของการกระทำของเราเลย แต่บนพื้นฐานของการกระทำของพระเยซู ซึ่งเป็นพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์ ตายที่ไม้กางเขน เพื่อเราทั้งหลาย พระองค์เป็นตัวแทนให้กับเรา ทำแทนเราเลย เราไม่ต้องทำอะไรทั้งสิ้น เรามีแต่รับเอาลูกเดียว เรียกว่ากฎแห่งพระคุณ

กฎเก่าในพระคัมภีร์เดิม เรียกว่า “กฎแห่งตาต่อตา ฟันต่อฟัน”

กฎใหม่ในพระสัญญาใหม่ เรียกว่า “กฎแห่งพระคุณ” ในกฎแห่งพระคุณนี้ ไม่มีกฎของความบาปและความตาย ไม่มีกฎแห่งการกระทำของตนเอง การกระทำของเรานั้น เป็นศูนย์ไปเลย ไม่มีประโยชน์ เพราะเราเข้าไปอยู่ในกฎใหม่แล้ว

  1. และอุปมาอีกเรื่องหนึ่ง ที่เราเรียนสัปดาห์ที่แล้ว คือ “ไม่มีผู้ใดเอาน้ำองุ่นใหม่ มาใส่ในถุงหนังเก่า เพราะถ้าทำอย่างนั้น ถุงหนังจะขาด น้ำองุ่นจะรั่ว และถุงหนังก็จะเสียไปด้วย แต่เขาย่อมเอาน้ำองุ่นใหม่ ใส่ในถุงหนังใหม่ แล้วทั้งสองอย่างก็อยู่ด้วยกันดีไปเลย”

ฟังแล้ว ท่านรู้แล้ว เล็งถึงพระเจ้าที่จะมาสถิตอยู่กับมนุษย์ และมนุษย์ที่ยังไม่ได้รับการบังเกิดใหม่ ยังไม่เชื่อพระเยซู หรือยังไม่เกิดในทางวิญญาณ ก็เหมือนถุงหนังเก่า ก็คือวิญญาณมนุษย์เก่า เข้ากันไม่ได้ พระวิญญาณของพระเจ้าเหมือนเหล้าใหม่ จะมาใส่วิญญาณเก่าของเราไม่ได้ เพราะวิญญาณเก่าเราสกปรก มีตำหนิ มีมลทิน เป็นบาปอยู่ เป็นศัตรูกับพระเจ้า เข้ากันไม่ได้ ขืนเข้ามา เราก็ตาย ต้องเปลี่ยนถุงเก่าให้เป็นใหม่เสียก่อน ก็คือพระเจ้า พระเยซูมาเพื่อเกิดเป็นมนุษย์ ตายที่ไม้กางเขน เพื่อทำให้เราบังเกิดใหม่ในวิญญาณ พอวิญญาณใหม่ปุ๊บ มันใหม่เอี่ยมเลย

ถามว่าเกิดเมื่อไร? เกิดเมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว ตอนที่พระเยซูตายที่ไม้กางเขน  และเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่ 3 ตอนนั้น มนุษย์สามารถเกิดใหม่แล้ว ใครเชื่อ ก็ได้เกิดใหม่ที่ในวิญญาณ เป็นถุงหนังใหม่ พระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า เหล้าใหม่สามารถเข้ามาสถิตอยู่กับมนุษย์ได้

เพราะฉะนั้น พระวิญญาณบริสุทธิ์จะไปสถิตอยู่กับมนุษย์ที่มีวิญญาณเก่าๆ ที่ไม่ได้บังเกิดใหม่ไม่ได้ เพราะความบริสุทธิ์ของพระเจ้าจะอยู่กับความสกปรกของมนุษย์ไม่ได้ มันคนละทางกัน

ครั้งที่แล้วที่ผมยกตัวอย่างเรื่องเกี่ยวกับไฟฟ้าแรงสูง ไม่ได้เกี่ยวกับว่าคุณทำดีหรือไม่ดี มันเป็นกฎธรรมชาติเป็นอย่างนั้น

พระวิญญาณบริสุทธิ์จะลงมาอยู่กับมนุษย์ที่เป็นถุงหนังใหม่เท่านั้น ก็คือวิญญาณของมนุษย์ที่ได้รับการบังเกิดใหม่เท่านั้น มันเป็นธรรมชาติ เป็นกฎ เหมือนดวงอาทิตย์ขึ้น ทางทิศตะวันออก และฉายแสงมาทั่วโลก ไม่ว่าคนนี้จะทำเลวหรือไม่เลว ดีหรือไม่ดี พอดวงอาทิตย์ฉายแสงมา เขาก็ร้อน ถ้าเขาอยู่ในที่มืดๆ เขาก็สว่าง แสงสว่างมาเขาก็เห็น แม้ว่าเขาจะเป็นคนเลวก็ตาม เขาก็เห็น คนนี้เป็นคนดีมากๆ เลย แสงอาทิตย์ส่องมา เขาก็เห็น เหมือนกัน เขาไม่ได้อะไรพิเศษกว่ากันเลย เพราะนี่เป็นกฎที่พระเจ้าวางไว้ เป็นกฎธรรมชาติ

กฎ คือสิ่งที่เขียนจากพระคำของพระเจ้า จากถ้อยคำพระเจ้า แล้วบันทึกไว้ในพระคัมภีร์ มันต้องเป็นไปตามนั้น แล้วใครเป็นคนดูแลให้เป็นไปตามนั้น  ผู้พิพากษาใหญ่ของมหาจักรวาลเป็นผู้ดูแล ผู้พิพากษานั้น มีชื่อว่า “พระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่สูงสุด ผู้ทรงสร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก ผู้ทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งหลาย ผู้ทรงฤทธานุภาพอำนาจยิ่งใหญ่สูงสุดน็น

ผู้ทรงครอบครองควบคุมอยู่เหนือทุกสิ่งสารพัด ผู้เป็นพระเจ้าแต่เพียงพระองค์เดียว นอกจากพระองค์ ไม่มีพระเจ้าอื่นใด ผู้ทรงประกอบกิจการงานใด ไม่มีใครขวางพระองค์ได้เลย ผู้ทรงกระทำได้ทุกสิ่ง ผู้เป็นพระเจ้าแห่งความยุติธรรม ผู้นี้แหละ เป็นผู้ดูแลอยู่ทั้งหมด ให้เป็นไปตามกฎ”

ที่อาทิตย์ที่แล้วผมบอกว่าพอเดินออกไปจากที่สูง ถ้าไม่มีฐานรองรับ มันก็ถูกดูดลงมา เช่น เดินไปดาดฟ้าชั้น 10 เดินก้าวออกไปจากดาดฟ้า มันก็ถูกดูดตกลงไปที่พื้น ไม่ว่าคนนั้นจะเป็นคนดีอย่างไร? เป็นคนยอดเยี่ยมอย่างไร? เป็นคนมีใจเมตตาอย่างไร? เดินออกไป ก็ตก คนนี้จะเลวอย่างไร? เป็นคนอกตัญญู แย่ในสายตามนุษย์เยอะแยะไปหมด ก้าวออกไป ก็ตก ปรากฏว่าไอแซค นิวตันเขาก็เจอกฎเหล่านี้ มันต้องดูดลงไป

เลยมาอีกสักพักหนึ่ง ก็มีพี่น้องตระกูลไรท์ ที่เป็นผู้ริเริ่มเกี่ยวกับกฎที่ทำให้มีเครื่องบินขึ้น มาถึงปัจจุบันนี้ พี่น้องตระกูลไรท์เขาก็เหมือนอย่างนี้ ไปนั่งดูๆ มันต้องมีกฎอะไรบางอย่าง ที่ทำให้แอปเปิ้ลไม่หล่นลงมา ทำให้ของที่มีน้ำหนัก ที่ดูดลงมา สามารถลอยอยู่ในอากาศได้ เขาก็พยายามคิดค้นหา จนเจอกฎเรียกว่า “กฎแห่งการยกขึ้น”

“กฎของการยกขึ้น” ภาษาอังกฤษเรียกว่า “Aero Dynamic” แปลว่ากลศาสตร์เกี่ยวกับการเคลื่อนไหวของอากาศและก๊าซ

คิดบวกลบคูณหาร จนสามารถเอาชนะกฎของแรงดึงดูดของโลกได้ เขาก็คำนวณน้ำหนักเท่านี้ ฉะนั้น ปีกต้องเท่านี้ ต้องเบาอย่างนี้ ต้องวิ่งเร็วขนาดนี้ เร็วขนาดและสมดุลกับสิ่งต่างๆ ที่บอกมา Aero Dynamic ก็จะทำให้วัตถุที่จะถูกดูดลงมา มันลอยในอากาศได้  เขาก็เป็นผู้ริเริ่มทำเครื่องบินขึ้นมา

เครื่องบิน คือวัตถุหนักๆ ซึ่งสมควรที่จะถูกแรงดึงดูดของโลกดูดลงมา แต่มันไม่ดูดลงมา มันลอยอยู่ได้ ก็เพราะว่ามันมีกฎอีกกฎหนึ่งอยู่เหนือกฎแรงดึงดูดของโลก

ยังมีความเร็วบวกกับน้ำหนักของวัตถุ และความเบาของวัตถุ รูปร่างของวัตถุที่ตัดอากาศอะไรต่างๆ ผสมผสานกันแล้วเรียกว่ากฎแห่งการยกขึ้น ขณะที่บินอยู่ มีชัยชนะอยู่เหนือแรงดึงดูด

ตอนที่เครื่องบินบินอยู่ แรงดึงดูดของโลกยังมีอยู่ แต่มันทำอะไรไม่ได้ เพราะว่าเครื่องบินลำนั้น ใช้กฎแรงยกขึ้น แต่ถ้าน้ำมันหมดปุ๊บ กฎแห่งการยกขึ้นเสียไป หายไป กฎแรงดึงดูดโลกก็ยังอยู่เหมือนเดิม ผมจะบอกให้คุณฟังว่าพระคัมภีร์บันทึกไว้ชัดเจนเลยว่ามันเป็นกฎ เรียกว่ากฎของความบาปและความตาย ทำให้เกิดความตายในวิญญาณของมนุษย์ ก็คือมนุษย์ทำบาปปุ๊บ ตาย คือชดใช้เวรกรรม หนี้สินที่ทำผิดไปเมื่อตะกี้ เรียกว่ากฎของความบาป ไม่ว่าคุณจะเป็นคนดี หรือคนเลวก็ตาม คุณทำบาปปุ๊บ คุณรับผิดชอบในสิ่งที่ทำ คือต้องชดใช้บาป ชดใช้เวรกรรม ต้องตาย … ตาย คืออยู่กับพระเจ้าไม่ได้ ไม่ว่าบาปนั้นจะเป็นบาปใหญ่ หรือบาปเล็ก บาปเผลอหรือบาปไม่เผลอ ก็ตาม เหมือนตอนที่คุณเดินออกไป ที่ชั้น 10 ของดาดฟ้า แล้วคุณบอกว่าคุณไม่เคยทำอะไรไม่ดีเลย คุณเป็นคนดีมาก พอคุณเดินออกไปชั้น 10 คุณก็ตก คุณบอกว่าคุณไม่เคยทำบาปเลย แม้แต่นิดหนึ่ง เป็นคนดีมาก รักษาศีล รักษาธรรมทุกอย่าง เป็นคนเรียบร้อย กตัญญูด้วย แต่เมื่อวันนั้นคุณทนไม่ไหวจริงๆ กำลังอารมณ์เสียพอดีเลย ข้าวก็ไม่ได้กิน รถตัดหน้า น้ำกระเด็นใส่หน้า ทนไม่ไหว ด่าทันทีเลย

“ไอ้บ้าเอ้ย”

พระเยซูบอกว่าด่าเขาว่าไอ้บ้า มีค่าเท่ากับฆ่าเขาตาย ต้องใช้หนี้ ทำดีมาตลอดเลย ก็ต้องใช้บาปเวรกรรมนี่แหละ และมีใครล่ะ ที่จะสามารถรักษาตรงนั้นได้ จนกระทั่งวันตาย แค่คิดก็เท่ากับทำแล้ว

ยกตัวอย่างให้อีกอันหนึ่งก็ได้ กฎแห่งแรงดึงดูดของโลก เวลาท่านลงไปอยู่ในน้ำ ไม่ว่าจะอ้วนหรือผอม ก็มีน้ำหนัก แรงดึงดูดโลก ก็ดูดท่านลงไปใต้น้ำ ถูกไหม? แต่มีอีกกฎหนึ่ง เขาเรียกว่าถ้าท่านมีลมพอ เอาง่ายๆ เห็นชัดๆ ก็คือเรือยาง เราสูบลมเข้าไป มันก็พองขึ้น พอเรือยางพองขึ้นมา เราก็ไปนั่งอยู่ในเรือยาง ทั้งๆ ที่อยู่บนทะเล มันไม่ดูดลงไป เพราะเราทำดี ไม่ใช่ เพราะเรารู้จักอีกกฎหนึ่ง ในขณะนั้นว่ามันมีชัยชนะอยู่เหนือกฎของแรงดึงดูด คือถ้าผมอยู่ในน้ำ ผมก็หาอากาศมาให้มันมากพอที่จะพยุงผม ไม่ให้ถูกดูดลงไป

หรือผมจะใช้อีกวิธีหนึ่ง ใช้แรงตัวเองชนะมันได้เหมือนกัน แต่ได้แค่ชั่วคราวเท่านั้น ผมโดดลงไปในน้ำ กับอีกคนหนึ่งโดด ผมพอว่ายน้ำเป็น ผมใช้กำลังของตัวเองกับกฎที่มีอยู่ คือถ้าผมมีความเร็วพอ มันดูดผมไม่ได้ ผมก็เอาแรงผมว่ายไป คนว่ายน้ำไม่เป็น โดดลงไปปุ๊บ ดูดทันทีเลย ผมทำดีกว่าเขาเหรอ ไม่ใช่ เพราะผมรู้จักกฎอะไรบางอย่างว่ามันใช่ ผมว่ายไปไม่นาน ผมก็หมดแรง สู้อีกคนหนึ่งไม่ได้ ซึ่งเป็นนักกีฬาว่ายน้ำเหรียญทองของโลก เขาโดดลงไป เขาอยู่นานกว่าผมตั้งเยอะ   ท่านคิดว่าได้อีกนานเท่าไร? คนนี้ว่ายเก่งมาก ว่าย 24 ชั่วโมงเลย เป็นไปได้ ถามว่าเขาว่ายได้ถึงปีหนึ่งไหม? หยุดไม่ได้นะ เพราะหยุดเมื่อไร จม

กลับมาคนสุดท้าย ที่ผมบอก ก็คือคนต้นที่ผมยกตัวอย่าง ลอยอยู่ในห่วงยาง แรงก็ไม่ต้องออก แล้วก็ผิวปากไป ร้องเพลงสรรเสริญพระเจ้าไป เอเมน ฮาเลลูยา ถามว่าเขาเอาเปรียบเหรอ ไม่ใช่ เพราะเขารู้ความจริงแห่งโลกวิญญาณว่ามีกฎตรงนี้อยู่ เขากำลังอยู่ในกฎพิเศษอีกอันหนึ่ง ที่ไม่มีใครเข้าใจ แต่พระเจ้าสอนให้

ยกตัวอย่างทั้งหมดมา เพื่อให้เห็นว่ากฎของวิญญาณแห่งชีวิตในองค์พระเยซูคริสต์ มีจริงๆ ซึ่งมีอายุยืนยาว 2,000 ปีแล้ว มีชัยชนะอยู่เหนือกฎของความบาปและความตาย … “กฎของความบาปและความตาย” มีอยู่ว่าท่านทำบาป ท่านต้องชดใช้หนี้บาปของท่าน และหนี้นั้นคือความตาย  แต่เมื่อ 2,000 ปีก่อน พระเยซูคริสต์ตายที่ไม้กางเขน และทำให้เกิดกฎใหม่ขึ้น เรียกว่า “กฎวิญญาณแห่งชีวิต ในพระเยซูคริสต์” ทำให้ท่านมีอิสรภาพ มีชัยชนะอยู่เหนือกฎของความบาปและความตาย คือต่อให้ท่านทำบาป ท่านก็ไม่ต้องตาย เพราะท่านอยู่ในกฎใหม่ คือกฎของพระเยซูคริสต์ เอเมน

“ประชากรของเราถูกทำลาย เพราะขาดความรู้” พระเจ้าตรัส

มนุษย์ทั้งหลาย ถูกทำลาย เพราะเขาขาดความรู้ เขาไม่เข้าใจ เขาไม่รู้ เขาถูกเชียร์ให้ใช้กำลังของตัวเอง แล้วมันไปไม่รอด เนื้อหนังก็อ่อนแอ มนุษย์ก็อ่อนแอ ช่วยตัวเองไม่ได้ ยังไงก็ช่วยไม่ได้ มาพึ่งกฎใหม่ที่พระเจ้าวางไว้สิ แล้วอย่าเย่อหยิ่ง คิดว่าตัวเองแน่

ครั้งที่แล้ว เราได้พูดถึงสภาพวิญญาณของมนุษย์ว่าวิญญาณของเราที่เกิดใหม่เหมือนกับถุงหนังใหม่ คือวิญญาณของมนุษย์ที่ใหม่เอี่ยม ที่พระเจ้าจะมาสถิตอยู่กับวิญญาณของเรา เพราะฉะนั้น คนที่จะเชื่อในเรื่องนี้ได้ เขาต้องเชื่อว่ามนุษย์เป็นวิญญาณ ถ้าเขาไม่เชื่อเรื่องนี้ จบไปเลย ขนาดเราเป็นคริสเตียน เรารู้ เราเชื่อว่าเราเป็นวิญญาณ หลายครั้งเรายังต้องเปลี่ยนความคิดจิตใจว่า …

“ฉันเป็นวิญญาณจริงๆ”

เพราะพออยู่ๆ ไป เผลอๆ ท่านก็เป็นคนธรรมดา ไม่ใช่ “ฉันเป็นวิญญาณ มีความคิดจิตใจ และอยู่ในร่างกายนี้

พอบอก … “เราบังเกิดใหม่”

บางคน … “เกิดใหม่ได้อย่างไร? เธอก็อยู่เหมือนเดิม”

“ไม่ใช่ที่เธอเห็นฉันเหมือนเดิมนั้น มันเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตฉัน”

คือเป็นร่างกาย แต่ความคิดจิตใจ วิญญาณท่านมองไม่เห็น ที่ท่านจะเห็นผมมีบุคลิกอย่างนี้ เป็นคนสนุกๆ นี่คือบุคลิก แต่วิญญาณผมท่านไม่เห็นแน่นอน แต่ในพระคัมภีร์บอกขณะที่เราเชื่อว่าพระเยซูเป็นพระเจ้า ที่พระเจ้าประทานให้กับมนุษย์ เป็นพระมาซีฮาห์  พระผู้ช่วยให้รอดของมนุษย์ ที่จะช่วยให้มนุษย์รอดจากกฎของความบาปและความตายนั้น พระองค์ช่วย ถ้าเราเชื่อในพระองค์แล้ว เราจะได้รับการบังเกิดใหม่ในวิญญาณของเรา และมันเป็นอย่างนั้นจริงๆ

เกิดใหม่ เมื่อเราเชื่อ ว่ากันตามตรงแล้ว การเกิดใหม่ มันเกิดตั้งแต่เมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว ในพระคัมภีร์บอกว่าขณะที่พระเยซูถูกตรึงที่ไม้กางเขนนั้น ท่านอยู่กับพระองค์ในนั้นแล้ว ท่านอยู่ในร่างกายของพระองค์ ท่านถูกตรึงไปด้วยกันแล้ว เพียงแต่ท่านเกิดมาตอนหลัง ในยุค 2,000 ปีต่อมา ท่านรับรู้เรื่องนี้ ท่านบอก …

“เชื่อๆ ฉันเชื่อว่าวันนั้น ฉันอยู่ที่นั่น ฉันอยู่ในร่างกายของพระเยซู พระองค์เอาชีวิตฉันเข้าไปอยู่ในนั้นแล้ว และฉันตายไปแล้วต่อบาป และได้เป็นขึ้นมาใหม่”

อาจจะฟังดูยาก ต้องใช้ความเชื่อเอา ไม่ต้องเข้าใจมาก เสร็จแล้ววิญญาณฉันได้บังเกิดใหม่ เพราะฉะนั้น ต้องเข้าใจว่าเวลาบอก “บังเกิดใหม่” เกิดใหม่ที่วิญญาณของท่าน ร่างกายยังเห็นอยู่เหมือนเดิม ความคิดจิตใจยังก้ำๆ กึ่งๆ คือมันเคยชินกับความเป็นเดิมๆ อยู่ แต่มันถูกเปลี่ยนด้วยกัน เพราะว่าความคิดจิตใจส่วนลึกนั้น มันติดอยู่กับวิญญาณ มันอาจจะมีอุปนิสัยใจคออะไรต่างๆ คล้ายๆ เดิม เคยชินกับเรื่องเดิมๆ นี่ร่างกายไม่ต้องพูดถึงเลย มันเดิมหมดแหละ แม้แต่สิวยังเม็ดเดิม ผมขาวก็ยังเส้นเดิม แต่วิญญาณมันใหม่เอี่ยมเลย พระเจ้าเข้ามาสถิตอยู่ด้วย และฤทธิ์เดชอำนาจนี้ ก็จะค่อยๆ ผ่านทางความคิดจิตใจ หรือเรียกว่า soul หรือเรียกว่า mind จิตใต้สำนึกก็ตาม พระเจ้าเสริมสร้างตรงนี้แหละ เขาเรียกว่ากองบัญชาการของพระเจ้าในชีวิตของเรา ก็คือเป็นตัวที่จะตัดสินใจว่าจะไปทางกิเลสตัณหาของเนื้อหนังดี หรือจะมาทางพระเจ้าดี เป็นผู้ตัดสินใจ

ตรงนี้ เรากำลังจะพูดถึงเรื่องวิญญาณ วิญญาณมันต้องเกิดใหม่ ไม่มีการเกิด แล้วก็ไปตายอีก ไม่มี เกิดแล้วเกิดเลย ไปอยู่กับพระเจ้า ไม่มีใครเอาเราออกไปจากพระหัตถ์ของพระเจ้าได้อีกแล้ว ถ้าเราเชื่อในพระเยซูจริงๆ และความเชื่อนั้นไหลลงไปในจิตวิญญาณ ได้บังเกิดใหม่ในวิญญาณ เหมือนในพระคัมภีร์โรม 10:9-10 บอกไว้ ยอมรับด้วยปาก สารภาพด้วยปากว่าพระเยซูคริสต์เป็นพระบุตรของพระเจ้า เป็นพระมาซีฮาห์ที่พระเจ้าเตรียมไว้ให้กับมนุษย์ และเชื่อด้วยใจว่าพระเยซูได้เป็นขึ้นมาจากความตายในวันที่ 3 แค่นั้นเอง สิ่งเหล่านี้ ความเชื่อหล่นเข้าไปในใจ และเกิดสิ่งเหล่านี้ ทันทีทันใด คนนั้นได้บังเกิดใหม่ ยอมรับสารภาพว่าพระเจ้าพูดถูก พระเยซูคริสต์ที่ถูกตรึงที่ไม้กางเขน  คือพระมาซีฮาห์ ที่พระเจ้าประทานให้กับมนุษยชาติ รวมถึงฉันด้วย ฉันเชื่อ เขาเรียกว่ายอมรับสารภาพ ให้เป็นไปตามถ้อยคำพระเจ้า พระเจ้าพูดอย่างนั้น เราก็เชื่ออย่างนั้น สารภาพด้วยปากไปเรื่อยๆ นานๆ ขึ้น ไม่รู้วันไหน? คำสารภาพนั้น จะไหลเข้าสู่วิญญาณ เขาเรียกว่าไหลไปสู่ความคิดจิตใจ แล้วจะค่อยๆ ไหลลงมาลึกๆ จนวิญญาณนั้นบังเกิดใหม่

เปรี้ยง พอวิญญาณเกิดใหม่ พูดทันทีเลย ยอมรับว่า …

“พระเยซูคริสต์เป็นเจ้านาย เป็นพระเจ้า มาเกิด เพื่อไถ่ฉันให้รอดจากบาป แล้วพระองค์ทรงเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่ 3”

คำพูดนี้ เขาเรียกว่า “เรม่า” เป็นฤทธิ์เดช เป็นถ้อยคำพระเจ้า แต่ไม่ใช่ถ้อยคำพระเจ้าแบบโลโค่ ก็คือแบบถ้อยคำพระเจ้าที่เรามาอ่านกัน เป็นถ้อยคำพระเจ้าที่มันเกิดฤทธิ์เดชขึ้นมาจากใจเลย เหมือนถ้อยคำพระเจ้าที่พระองค์ทรงตรัส คำแรกเมื่อตอนสร้างโลกว่า …

“จงเกิดดวงสว่างขึ้น” อันนั่นแหละ แล้วดวงสว่างก็เกิดขึ้น

อันนี้เหมือนกัน “พระเยซูเป็นพระผู้ช่วยให้รอดของฉัน”

มันเป็นฤทธิ์เดชอำนาจ บังเกิดใหม่ในวิญญาณ ตัวนี่แหละ คือตัวที่จะอยู่กับพระเจ้า นิรันดร์ ไม่ใช่ …

“รอว่าเชื่อพระเยซู ทำตามน้ำพระทัยนะ พยายามทำดี ตามที่เขาสอนมา เพื่อว่าตายไปแล้ว ทิ้งร่างกายนี้ จะได้ไปอยู่กับพระเจ้าในสวรรค์ จะได้วิญญาณใหม่เอี่ยมจากพระเจ้า”

พระคัมภีร์บอก “เดี๋ยวนี้เลย” ท่านเชื่อเดี๋ยวนี้ ได้เดี๋ยวนี้ ถึงแม้ท่านไม่เชื่อ ท่านก็ยังได้เลย เพียงแต่ท่านไม่ได้ไปใช้สิทธิ์ของท่านเอง ที่ผมยกตัวอย่างเรื่อยๆ ว่าเงิน 600 บาท สำหรับคนที่เกษียนแล้ว ไปรับหรือเปล่า? ทุกเดือนท่านได้ 600 บาท รัฐบาลประกาศแล้ว แต่ยังมีอีกหลายคนที่ไม่ได้ไปรับ แล้วเงินเขาอยู่ไหน?  ก็อยู่ที่ธนาคารนั่นแหละ ไม่ใช่เขาไม่ได้นะ เขาได้ แต่เขาไม่ไปรับ พระคัมภีร์บอกแล้วว่าพระองค์ทรงรักโลกนี้ยิ่งนัก จึงได้ทรงประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ เพื่อมนุษย์จะได้รับความรอด คนที่เชื่อ ถ้าไม่เชื่อ เขาก็ไม่ได้ เขาก็ไม่เอา

ถ้าท่านเข้าใจสิ่งเหล่านี้ ท่านจะเห็นภาพ มันเป็นกติกา เป็นระเบียบ เป็นกฎธรรมชาติ มันไม่ได้ยุ่งยากอะไรเลย ในการที่จะเข้าใจ แต่มันต้องใช้ความถ่อมใจ ถึงจะรู้ได้ ถ่อมใจถึงจะได้ผล ถ่อมใจ ถึงจะได้รับประโยชน์ แต่ถ้าอยากจะรู้มาก อาจจะไม่ได้อะไรเลย คิดใหญ่เลย

“เป็นไปได้อย่างไร ฉันไม่เคยไปช่วยรัฐบาลอะไรเลยสักนิดหนึ่ง แล้วฉันก็ไม่ได้สมควรเป็นคนอย่างนั้น ฉันอาจจะเป็นคนกินเหล้าเมายา ไม่เอางานเอาการเลย รัฐบาลจะมาช่วยฉันทำไม”

“เขาช่วยเธอจริงๆ ใครๆ ก็ได้ ไปรับเลย 600 บาทต่อเดือน”

“เป็นไปไม่ได้ รัฐบาลถังแตกอย่างนี้ เขาจะเอาอะไรมาให้ฉัน”

เถียงอยู่นั่นแหละ ในที่สุด วันแล้ววันเล่า ก็ไม่ได้ไปรับสิทธิของตัวเองสักที จนตาย เงินก็กองอยู่ตรงนั้น  ก็ไม่มีใครมาเอาของเขาไปได้ ความรอดก็เหมือนกัน นาย ก. ความรอดก็เป็นของเขา ไม่มีใครเอาไปได้ แต่เขายังเถียงอยู่ ยังเย่อหยิ่งอยู่อย่างนี้ ไม่เอาไป ตายไป ความรอดก็ยังอยู่ตรงนั้นแหละ เขาไม่ได้รับเท่านั้นเอง

เรามาต่อวันนี้ เรื่อง “อุปมาคำสอนของพระเยซู” ตอนที่ 3 ชื่อตอน “ท่านทั้งหลายเป็นแสงสว่างของโลก” มัทธิว 5:14-16 นี่ก็เป็นอีกอันหนึ่งในอุปมาที่น่าเรียนรู้ คิดตามไปว่าเป็นอย่างไร? เรื่องหมายถึงอะไร?

มัทธิว 5:14-16 “14 ท่านทั้งหลายเป็นแสงสว่างของโลก เมืองที่ตั้งอยู่บนภูเขาจะซ่อนไว้ไม่ได้ 15 เช่นเดียวกัน เมื่อคนจุดตะเกียงแล้วย่อมไม่เอาฝาครอบ แต่จะตั้งไว้บนเชิงตะเกียง ให้ส่องสว่างแก่ทุกคนในบ้าน 16 ในทำนองเดียวกัน จงให้ความสว่างของท่าน กระจ่างแจ้งต่อหน้าคนทั้งหลาย เพื่อเขาจะเห็นการดีของท่าน และสรรเสริญพระบิดาของท่าน ผู้สถิตในสวรรค์”

 

คำอุปมาตรงนี้ พระเยซูบอกว่า “ท่านทั้งหลายเป็นแสงสว่างของโลก” … “ท่านทั้งหลาย”  ก็คือผู้ที่เชื่อพระเจ้า เชื่อว่าพระเยซูเป็นพระบุตรของพระเจ้า เป็นพระมาซีฮาห์ ที่มาเกิดบนโลกนี้ เพื่อเราทั้งหลาย และมาตายที่ไม้กางเขน  และเป็นขึ้นมาใหม่ ในวันที่ 3

“ท่านทั้งหลาย” คือผู้ที่เป็นถุงหนังใหม่ คือวิญญาณบังเกิดใหม่แล้ว เป็นแสงสว่างแล้ว ท่านทั้งหลายเป็นแสงสว่างของโลก ไม่ใช่ท่านทั้งหลายมีแสงสว่าง เป็นกับมี คนละเรื่องกันนะ พระเยซูกำลังพูดกับเราว่าพระองค์เป็นแสงสว่าง และเมื่อพระเจ้าให้เราบังเกิดใหม่ในวิญญาณของเรา มาเป็นลูกของพระเจ้า เราก็จะมีสภาพเหมือนพระเจ้า เหมือนพระเยซู คือเป็นแสงสว่างด้วย นี่พระองค์ทรงพูดเอง เราไม่ต้องทำอะไรเลย เหมือนกับการเกิดมาเป็นผู้หญิง เกิดมาเป็นผู้ชาย ไม่ต้องทำอะไรเลย มันเกิดมาเป็น หรือบางคนมีความสามารถเยอะแยะ เกิดมาก็ร้องเพลงเก่งเลย มีพรสวรรค์ในการร้องเพลง เขาเรียกว่าเกิดมาเป็น แต่การทำอะไรเพิ่ม เป็นการฝึกฝนเท่านั้นเอง เกิดมาเป็นเลย เรียกว่าเป็นพรสวรรค์ ซึ่งบางคนก็ชอบพูดกันเล่นๆ ว่า …

“เธอเกิดใหม่ ก็ไม่มีทางได้อย่างนี้”

“ทำอย่างไรฉันถึงจะร้องเหมือนนักร้องดีๆ นะ”

เพื่อนบอก “อย่างนี้ เกิดใหม่อีก 10 ชาติก็ไม่มีทางเป็น”

เพราะเขารู้ว่าคนที่ร้องเก่งๆ เหล่านั้น เกิดมาเป็นอย่างนั้นเลย ปลาเกิดมา มันต้องฝึกว่ายน้ำไหม? ไม่ต้อง เกิดมาเป็นเลย

พระเยซูบอกเราเป็นแสงสว่าง เพราะเราเป็นลูกพระเจ้า เหมือนพระเจ้าของเรา ผู้ให้บังเกิดใหม่กับเรา  เกิดมา เราก็เป็นแสงสว่าง  เกิดเมื่อไร? เมื่อตอนที่เราเชื่อว่าพระเยซูเป็นพระมาซีฮาห์ของเรา และทรงตายที่ไม้กางเขน และเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่ 3 วิญญาณาเราได้บังเกิดใหม่ ฤทธิ์เดชอำนาจอะไรบางอย่าง เกิดเป็นบิ๊กแบ็ง ที่พระเจ้าเนรมิตสร้างโลกสมัยปฐมกาล มันได้บังเกิดขึ้นในวิญญาณของเรา คนนั้นคนเดียวก่อน ตอนนั้น ณ วินาทีนั้น เราไม่รู้เมื่อไร ตอนไหนบิ๊กแบ็งมันเกิดขึ้น ที่วิญญาณของเรา ด้วยความเชื่อในพระเยซูคริสต์ มีเสียงสั่งมาบอกว่า …

“จงเกิดใหม่”

เราเกิดใหม่ โดยกฎที่เราเข้าไปรับเอาผลประโยชน์ จากกฎของพระเยซูที่ทำไว้ คือกฎของวิญญาณแห่งชีวิต ในพระเยซูคริสต์ เราเชื่อ เรายกมือ เราจะไม่อยู่ที่กฎเดิมอีกต่อไปแล้ว กฎของความบาปและความตาย เราอยากจะมาอยู่ในพระเยซูคริสต์แล้ว เราต้องการ เราเชื่อพระองค์ทุกอย่าง พอความเชื่อนั้นถึงขั้น เต็มที่ตามกฎแล้ว มันก็เกิดขึ้นมาทันที วิญญาณเราได้บังเกิดใหม่ ถูกเนรมิตขึ้นมา เป็นลูกของพระเจ้า พระเยซูบอก …

“เธอเป็นลูกแล้ว เธอก็เป็นเหมือนกับเรา (เราในที่นี้ หมายถึงพระเจ้าพระบิดา พระเจ้าพระบุตร พระเยซู และพระเจ้าพระวิญญาณบริสุทธิ์) เราทั้งสามเป็นหนึ่งเดียวกัน เราทั้งสามเป็นความสว่าง หรือเป็นแสงสว่าง เพราะฉะนั้น ท่านเป็นหนึ่งเดียวกับเรา ท่านเป็นความสว่าง”

ที่ผมบอกท่านแล้วว่าอุปมาทั้งหมดของพระเยซู จะพูดถึงเรื่องเกี่ยวกับทางไปสวรรค์ สวรรค์เป็นอย่างไร? การบังเกิดใหม่เป็นอย่างไร? และการบังเกิดใหม่กับการไปสวรรค์ของพระเจ้า จะต้องเข้าไปร่วมเป็นหนึ่งเดียว บัพติศมา จุ่มลงไปร่วมกัน เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์ วิญญาณเราต้องบัพติศมาเข้าไปในวิญญาณของพระเจ้าพระบิดา พระเจ้าพระบุตรพระเยซู พระวิญญาณบริสุทธิ์เป็นหนึ่งเดียวกันเท่านั้น ถึงจะเรียกว่าบังเกิดใหม่ เราต้องพร้อมที่จะเข้าไปเป็นหนึ่ง ก็คือเชื่อในพระเยซู และได้รับการชำระบาป

เมื่อเราเป็นคริสเตียน เราเกิดมา เราต้องทำอะไรให้เป็นแสงสว่างไหม? ท่านเชื่อแล้ว พระเจ้าทำให้ท่านบังเกิดใหม่ เป็นแสงสว่าง พระเยซูบอกท่านเป็นแสงสว่าง ท่านมีหน้าที่ทำอะไรให้มันเป็นแสงสว่างไหม? ไม่มีเลย ไม่ต้องแล้ว เพราะมันเป็น อย่างที่ผมบอกพ่อแม่ให้กำเนิดท่านเป็นผู้ชาย ท่านต้องพยายามทำให้มันเป็นผู้ชายไหม? ไม่ต้อง แต่บางครั้งท่านอาจจะอยากใส่กระโปรงบ้าง ท่านเกิดมาเป็นผู้หญิง บางครั้งท่านอาจจะทำตัวเป็นผู้ชาย แต่ท่านก็เป็นผู้หญิง ใครเป็นคนกำหนด? ถ้าเป็นมนุษย์ ก็คือพ่อแม่ให้กำเนิดท่านเป็นผู้ชาย ท่านก็เป็นผู้ชาย เป็นผู้หญิงก็เป็นผู้หญิง ท่านไม่มีหน้าที่ทำอะไรให้มันเป็นมากขึ้นกว่านั้น  มันเป็นแล้ว เพียงแต่เมื่อรู้แล้วว่าเราเป็นผู้ชาย เราก็พยายามทำตัว เปลี่ยนความคิดจิตใจให้เป็นผู้ชายหน่อย ให้แมนๆ หน่อย ปกป้องดูแลผู้หญิงให้หน่อย ทำให้สมกับเป็นผู้ชาย แต่ไม่ต้องทำให้เป็นผู้ชาย  เพราะเป็นอยู่แล้ว

ทำอะไรก็ตามให้มันเป็นกุลสตรีหน่อย เคยได้ยินหรือเปล่า? มีมารยาทหน่อย เขารู้ว่าเราเป็นผู้หญิงแล้ว เธอไม่ต้องพยายามทำตัวให้เป็นผู้หญิงมากขึ้น ในทำนองเดียวกัน ถ้าเรายังเกิดใหม่ เป็นแสงสว่าง พระเยซูกำลังบอกว่าแสงสว่าง ไม่มีใครเอาฝาครอบไว้ ใครจะจุดตะเกียง แล้วเอาฝาครอบไว้ แล้วจะไปจุดทำไม เปลืองไฟเปล่าๆ ผมจุดเทียน เพราะต้องการให้แถวนั้นสว่าง คนเดินไปเดินมาจะได้เห็นทาง ถูกไหม? ถามว่าผมจุดตะเกียง จุดเทียนเสร็จ ผมเดินออกมาปุ๊บ เทียนต้องทำอย่างนี้ไหม?

“ฉันต้องสว่างๆ ต้องสว่างขึ้นๆ”

ไม่ต้องทำอะไรทั้งสิ้น อยู่เฉยๆ พระเจ้าให้เราบังเกิดเป็นแสงสว่างแล้ว ปล่อยให้เขาสว่างไปเมื่อคนจุดตะเกียงแล้ว ย่อมไม่มีใครเอาฝาครอบ แต่จะตั้งไว้บนเชิงตะเกียง ให้ส่องสว่างแก่ทุกคนในบ้านและคนเดินไปเดินมา ในทำนองเดียวกัน

“จงให้ความสว่างของท่านกระจ่างแจ้ง” จงให้ ภาษาเดิมใช้คำว่า let แปลว่าปล่อย จงปล่อยให้มันสว่างไป  มันสว่างเอง

“เพื่อเขาจะเห็นการดีของท่าน และสรรเสริญพระบิดาของท่าน ผู้สถิตในสวรรค์” เพราะมันจะออกมาจากข้างใน พระเยซูยกตัวอย่าง บอกว่า …

“มาใกล้ๆ สิ ฉันสว่างแล้วนะ”

มีเทียนมาบอกอย่างนี้ไหม? จุดเทียนเสร็จ คนเดินผ่านไปผ่านมา

“ไม่เห็นขอบคุณเลย อุตส่าห์ให้ความสว่างไปแล้ว”

เทียน ไม่ต้องพูดเลย มันก็อยู่ของมันอย่างนั้น แล้วแต่คนจุดจะเอามันไปปักไว้ที่ไหน?  มันก็สว่างตรงนั้น เขาจะได้สรรเสริญพระบิดา เขาไม่ได้สรรเสริญเทียน เขาไม่ได้สรรเสริญตะเกียง เจ้าของตะเกียง คือพระบิดา ท่านพอเห็นภาพไหม?

ในทำนองเดียวกัน เราไม่ต้องพยายาม ไม่ต้องทำอะไรเลย เพียงแค่ยอมรับพระเยซู เปิดใจให้พระวิญญาณบริสุทธิ์เข้ามาสถิตอยู่ในใจของเรา เพื่อเราจะได้รับการบังเกิดใหม่เท่านั้น เมื่อเราได้รับการบังเกิดใหม่ บังเกิดแล้วบังเกิดเลย

ยกตัวอย่างเช่น เราเป็นปลา น้ำขึ้นท่วม เราออกมาเล่นน้ำ น้ำลง เราลงไม่ทัน ไปอยู่บนบก ดิ้นใหญ่เลย ถามว่าเราชอบไหม? ไม่ชอบ เพราะเราเป็นปลา เหมือนกัน เราเป็นลูกพระเจ้า เป็นแสงสว่างแล้ว บางครั้งมีความสุขเกินเหตุไปหน่อย ออกมาทำอะไรที่ไม่สมกับเป็นลูก ของพระเจ้าเลย เป็นไปได้ไหม?  และถามว่าเราดิ้นไหม? ดิ้น เพราะเราไม่ใช่เป็นอย่างนั้น ธรรมชาติของเราเป็นความดี ความเมตตา ความรัก ความรอดนี้

และคนที่จะรับได้ ง่ายนิดเดียว พระเจ้าทำให้เสร็จเรียบร้อยแล้ว สิทธินี้ไปรับเอาง่ายๆ ก็คือยอมรับสารภาพด้วยปากว่าพระเยซูเป็นพระมาซีฮาห์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอด ที่พระเจ้าสัญญาไว้ตั้งแต่ในอดีต ตั้งแต่กี่พันปีมาแล้วไม่รู้ว่าจะส่งพระบุตรของพระองค์มาช่วยมนุษย์ให้รอด จากกฎของความบาปและความตาย และพระเยซูก็มาแล้ว เมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว และตายที่ไม้กางเขน หลั่งพระโลหิต ชำระบาป ให้มนุษย์สะอาดหมดจดไร้ตำหนิ และพระองค์ทรงเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่ 3 เพียงแต่ยอมรับว่านี่เป็นจริง พระคัมภีร์พูดจริงๆ พระเจ้าพูดจริง แค่นั้นเอง และก็ปล่อยเลยว่าวันหนึ่งความจริงที่เราพูดไปเรื่อยๆ มันจะเกิดเป็นผลขึ้นมา ในวิญญาณของเรา วิญญาณของเราจะบังเกิดมา กลายเป็นความเชื่อว่าพระเยซูคริสต์ตายที่ไม้กางเขน  และเป็นขึ้นใหม่ในวันที่ 3

“พระเยซูเกิดใหม่ในวันที่ 3 และฉันก็เกิดพร้อมพระองค์ด้วย เกิดวันเดียวกันเลย และตอนนี้ ฉันรับสิทธิของฉันในพระเยซูคริสต์”

ก็เกิดความเชื่อ และเราก็ได้บังเกิดใหม่ตรงนั้นจริงๆ เริ่มต้นด้วยการเชื่อว่าพระเยซูคริสต์ เป็นพระบุตรของพระเจ้า ที่พระเจ้าทรงประทานให้ เชื่อแค่นี้ ไม่ว่าจะคิดอย่างไร? ไม่เข้าใจอย่างไร? ลดความเย่อหยิ่งลง ถ่อมใจลงแล้วเชื่อ และรักษาตรงนี้ไว้ จนวันหนึ่งมันไล่ลงไปในใจ มันปิ๊งขึ้นมา เป็นการบังเกิดใหม่ แค่นั้นเอง  ขอพระเจ้าอวยพรครับ

 

************************