คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 5 สิงหาคม 2018
เรื่อง “เพราะข่าวดีสำเร็จแล้ว เราจึงเป็นไทแล้วจริงๆ”
ตอน 5 “ความรอดนิรันดร์ รอดแล้ว รอดเลยในพระเยซูคริสต์”
โดย นคร เวชสุภาพร
สวัสดีครับ เรามาเริ่มรับประทานอาหารทางฝ่ายวิญญาณกันเลย เพราะเราคงหิวกระหาย สัปดาห์หนึ่ง มีอยู่ครั้งเดียวเอง ความจริงควรจะไปฟังทบทวนบ่อยๆ ในยูทูป มีทุกสัปดาห์เลย ทุกช่วงด้วย
เริ่มต้น มาซีรี่ย์เดิม “เพราะข่าวดีสำเร็จแล้ว เราจึงเป็นไทแล้วจริงๆ” ตอน 5 ชื่อตอนว่า “ความรอดนิรันดร์ รอดแล้ว รอดเลยในพระเยซูคริสต์”
ในการบรรยายเรื่องนี้ ที่ผ่านมา ส่วนใหญ่เราอ้างอิงถ้อยคำพระเจ้าในหนังสือฮีบรูมา 4 ตอน ตอนนี้เป็นตอนที่ 5 ซึ่งเป็นจดหมายฝากชาวฮีบรู หรือชาวยิว ที่เขียนโดยอัครสาวกของพระเยซูท่านหนึ่ง มีตำราเขาบอกว่าอาจจะเป็นเปาโล อาจจะเป็นคนนั้น คนนี้ แต่ไม่มีหลักฐานชัดเจน แต่รู้ว่าเป็นอัครทูต เพราะว่ามีความรู้จริงทั้งสองด้าน คือทั้งพระคัมภีร์ใหม่และพระคัมภีร์เก่าด้วย เอามาเปรียบเทียบกันอย่างชัดเจน
จดหมายฝากถึงชาวฮีบรู หรือชาวยิวนี้ เขียนในช่วงเวลาประมาณ 30 ปี หลังจากพระเยซูเสด็จสู่สวรรค์ ซึ่งผู้เชื่อชาวยิว หรือชาวฮีบรูในสมัยนั้น ก็จะมีการแตกแยกในเรื่องของความเชื่อกันอย่างมาก หลายคนยังติดยึดในพิธีกรรมศาสนาเดิม ศาสนายิว ติดอยู่กับความเชื่อเดิมๆ แล้วก็เที่ยวไปสอนคนอื่นแบบผิดๆ หรือไปจ้องจับผิดคนอื่น ก็มี เนื้อหาส่วนใหญ่ในหนังสือฮีบรู หรือหนังสือสำหรับชาวยิวนี้ จึงเป็นการเขียนมาเพื่อเตือนสติชาวยิว ชาวอิสราเอลให้กลับมาสู่แก่นแท้ของข่าวประเสริฐว่าข่าวประเสริฐ คืออะไร? เมื่อเทียบกับประเพณีเดิม และการเป็นอยู่เดิมๆ ของคนยิว (เท่านั้น) ไม่เกี่ยวกับคนอื่นเลย นี่คือพื้นฐาน
ผู้เขียนเขากำลังบอกชาวยิว ว่าให้รู้แก่นแท้ของข่าวดีของพระเยซูคริสต์คืออะไร? ความรอดในพระเยซูคริสต์ เป็นพระคุณ ไม่ใช่มาจากการกระทำของตัวท่านเอง หรือตัวเราเอง หรือคนยิวเอง เป็นความรอดนิรันดร์ รอดแล้ว รอดเลย ในพระเยซูคริสต์ ในหนังสือฮีบรู มีแค่นี้เอง
ชาวฮีบรู หรือชาวยิว ที่หนังสือฮีบรูเขียนไปถึง ก็เปรียบเหมือนเป็นตัวแทนของคนบนโลกนี้ ทุกยุคทุกสมัย ที่ตอบสนองต่อข่าวดีอย่างไร? ทุกยุคทุกสมัยก็จะเป็นอย่างนี้ทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นชาวยิวหรือไม่ยิว แต่ในหนังสือฮีบรูพูดถึงชาวยิว อย่างเดียว ซึ่งมีอยู่ 3 กลุ่มหลักๆ ในพระคัมภีร์นะ มีความแตกต่างกันในการฟังถ้อยคำข่าวดีของพระเยซูคริสต์ และตอบสนองไม่เหมือนกัน เราเรียนไปแล้วตรงนี้
กลุ่มที่ 1 คือผู้ที่ได้รับข่าวดีของพระเยซูแล้ว แต่ไม่เชื่อเลย คือปฏิเสธพระเยซู เป็นศัตรูกันไปเลย เลิกกันไปเลย ซึ่งภาพ เหมือนคนที่จับพระเยซูไปตรึงที่ไม้กางเขน คนที่จับไป ก็คือคนยิว ไม่เชื่อเลย เป็นช่างไม้เห็นๆ อยู่ แล้วมาบอกว่าเป็นลูกของพระเจ้า อย่างไรก็ไม่เชื่อ
กลุ่มที่ 2 คือผู้ที่ได้รับฟังข่าวดี เรื่องพระเยซูแล้ว เริ่มรับเชื่อ ตื่นเต้น เห็นอัศจรรย์ที่พระเยซูทำ เริ่มเชื่อและอยู่ในระหว่างเก็บรักษาความเชื่อ รอวันให้ความเชื่อนั้นดิ่งลงไปในวิญญาณ และบังเกิดออกมาเป็นปากพูดด้วยความเชื่อ จิตใจพูดด้วยความเชื่อ หลุดออกมาจากข้างใน เหมือนหนังสือโรม บทที่ 10 บอกไว้
กลุ่มที่ 3 คือชาวยิวที่ได้ยินได้ฟังข่าวดีของพระเยซู บางคน เริ่มฟังปุ๊บ …
“ใช่เหรอ ไม่ใช่มั้ง”
แต่ก็ไม่ปฏิเสธ ยังแอบๆ มองๆ อยู่ แอบๆ ศึกษา เดินตาม แต่ยังไม่แน่ใจ บางคนดีใจเลย …
“ใช่แน่ๆ”
แล้วรักษาต่อไปๆ ไม่ว่าจะถูกอะไรข่มเหง ก็รักษาต่อไป จนกระทั่งข่าวดีหล่นลงไปในวิญญาณ บังเกิดใหม่ เกิดในวิญญาณ ไม่ใช่มุดเข้าไปในครรภ์ของมารดาใหม่ แต่เกิดในวิญญาณ จากข่าวประเสริฐนั้น หล่นลงไปในวิญญาณ เกิดใหม่เรียบร้อยแล้ว เป็นอิสระจากความบาป ได้รับความรอดนิรันดร์ รอดแล้วรอดเลย ในพระเยซูคริสต์ นี่คือพวกที่ 3
ถ้ามาเปรียบเทียบกับเรา แล้วเราอยู่ในพวกไหน? และในครั้งที่แล้ว เราก็ได้เรียนรู้จากคำอุปมาของพระเยซูคริสต์ที่ผมนำมาเปรียบเทียบ ในหนังสือมัทธิว ที่พระเยซูได้สอน บรรดาเหล่าสาวก ได้เปรียบเทียบผู้คนประเภทต่างๆ ที่ตอบสนองต่อข่าวดีของพระเยซูคริสต์ โดยเปรียบเทียบข่าวดีนั้น เป็นเมล็ดพืช ลองอ่านทบทวนดูนะ มัทธิว 13:18-23
มัทธิว 13:18-23 “18 “จงฟังความหมายของคำอุปมาเรื่องผู้หว่านนี้คือ 19 เมื่อผู้ใดได้ยินเนื้อความเกี่ยวกับอาณาจักรของพระเจ้าและไม่เข้าใจ มารก็มาฉวยเอาสิ่งที่หว่านลงในใจของเขาไป นี่คือเมล็ดพืชที่หว่านตามทาง 20 เมล็ดพืชที่ตกลงบนพื้นที่มีหินมาก คือผู้ที่ได้ยินพระวจนะแล้วก็รับไว้ทันทีด้วยความยินดี 21 แต่เพราะไม่หยั่งรากลึก จึงคงอยู่แค่ชั่วคราว เมื่อเกิดปัญหาหรือการข่มเหงเนื่องด้วยพระวจนะนั้น ก็เลิกราไปอย่างรวดเร็ว 22 เมล็ดพืชที่ตกกลางพงหนาม คือผู้ที่ได้ยินพระวจนะ แต่ถูกความพะวักพะวนในชีวิตนี้ และความหลอกลวงของทรัพย์สมบัติรัดเสีย ทำให้ไม่เกิดผล 23 ส่วนเมล็ดพืช ซึ่งตกในดินดีนั้น คือผู้ที่ได้ยินพระวจนะ และเข้าใจก็เกิดผลร้อยเท่า หกสิบเท่า หรือสามสิบเท่าของที่หว่านลงไป”
เมื่อเปรียบเทียบระหว่างการหว่านเมล็ดพืชกับการประกาศข่าวประเสริฐของพระเจ้า ก็จะสามารถสรุปได้อย่างนี้ว่า …
ประเภทที่ 1 เมล็ดที่ตกตามทาง นกมาจิกกินไปหมด ไม่เกิดผลอะไรเลย ก็เปรียบได้กับคนที่ได้ยินการประกาศแล้ว แต่ยังไม่เกิดความเข้าใจ แล้วยังเย่อหยิ่งอีกต่างหาก ยังไม่เกิดความเชื่อออกมาเลย ก็เปรียบเทียบว่ามาร เปรียบเหมือนนกมาฉกฉวยกินเมล็ดนั้นไปหมดเลย ไม่เกิดอะไรขึ้น ไม่มีโอกาส ไม่รู้เรื่องเลย พวกนี้เขาเรียกว่าพวกศัตรูของพระเจ้า หรือเป็นปรปักษ์กับพระเจ้า อยู่ตรงกันข้ามกับพระเจ้า คือไม่เชื่อพระเจ้าเลย
ประเภทที่ 2 เมล็ดที่ตกตามกรวดหิน ดินไม่ลึก ทำให้งอกขึ้นอย่างเร็ว แต่อยู่ได้ไม่นาน เมล็ดพืชชนิดนี้ เปรียบได้กับผู้คนที่ได้ยินพระวจนะ ได้ยินข่าวประเสริฐของพระเจ้า ก็รับไว้ทันที เริ่มเชื่อทันที ด้วยความตื่นเต้นและด้วยความยินดี แต่มันไม่ลึกพอ ไม่อดทนพอ คือความเชื่อยังไม่ดิ่งลงไปในใจเลย เลิกเชื่อแล้ว ไม่พยายามที่จะรักษาถ้อยคำข่าวประเสริฐนั้นไว้ จึงอยู่ได้แค่ชั่วคราว มีการข่มเหงรังแกเกิดขึ้น เกิดการต่อต้าน เกิดความทุกข์ลำบากบ้าง? ปัญหาบ้าง? จากความเชื่อนั้น ก็เลิกเชื่ออย่างรวดเร็ว คือเลิกเชื่อข่าวดีนี้เลย
ประเภทที่ 3 เมล็ดที่ตกลงกลางพงหนาม มีแต่หนามปกคลุมไม่สามารถเกิดผลได้เลย ก็เปรียบผู้ที่ได้ยินพระวจนะ มีดินอยู่นะ ไม่ใช่ริมทาง ไม่ใช่หิน แต่ถูกความพะวักพะวนในชีวิตนี้ และความหลอกลวงของทรัพย์สมบัติ ทำให้ไม่เกิดผล พูดง่ายๆ ก็ไม่ผ่านการทดสอบ การล่อลวงของโลก ระบบของโลกนี้นั่นเอง ลาภ ยศ สรรเสริญพูดง่ายๆ และการล่อลวงนี้ ทำให้เกิดความพะวักพะวน เอาอย่างไรดี จะเอาโลกนี้ หรือเอาพระเยซูดี สรุปสุดท้าย ก็เอาลาภ ยศ สรรเสริญไป เอาโลกนี้ไป ก็คือไม่เกิดผล ความเชื่อ เมล็ดข่าวดีนั้น ก็ไม่ดิ่งลงไปในวิญญาณ ไม่เกิดออกเป็นการบังเกิดใหม่ ก็มีค่าเท่ากับไม่เชื่อ
ประเภทที่ 4 เมล็ดที่ตกบนดินดี ก็เปรียบได้กับผู้ที่ได้ยินพระวจนะ ข่าวประเสริฐของพระเจ้าแล้ว เกิดความเข้าใจมากหรือน้อยก็ตาม นิดหนึ่งก็ตาม ก็เก็บรักษาตรงนั้นไว้อย่างดีเลย แม้ว่าความเชื่อนิดเดียว เท่าเมล็ดมัสตาร์ด แต่เขาเก็บรักษาไว้อย่างดีเลย ไม่ทิ้งไป ไม่เข้าใจหมด ก็ค่อยๆ รักษาไป ค่อยๆ ติดตามไป ไม่เย่อหยิ่ง จนกระทั่งเมล็ดนั้น ค่อยๆ ลึกลงไป ค่อยๆ งอก จนกระทั่งบังเกิดใหม่ ที่ในพระคัมภีร์บอกว่าเกิดเป็นผล 100 เท่าบ้าง 60 เท่าบ้าง 30 เท่าบ้างของที่หว่านออกไป เป็นความรอดนิรันดร์ รอดแล้ว รอดเลยในพระเยซูคริสต์ แล้วแบ่งความรอดนี้ไปให้คนอื่น บางคนก็แบ่งไปได้ 30 บางคนก็แบ่งไปได้ 60 เท่า บางคนแบ่งให้คนอื่นได้ 100 เท่า แล้วแต่พระเจ้าจะนำเขาไปใช้อย่างไร? บางคนก็เป็นต้นไม้ใหญ่ นกกามาอยู่ได้ 100 ตัว บางคนเป็นต้นไม้ใหญ่ นกกามาอยู่ได้ 20 ตัว บางคนนกกาก็มาอาศัยอยู่ได้ 50 ตัว แล้วแต่พระเจ้า ไม่ได้อยู่ที่เขาหรอก พอเห็นไหม? บางคนเป็นนักประกาศใหญ่เลย ประกาศมีคนมาเชื่อ บังเกิดใหม่เยอะแยะ ก็แล้วแต่เขา ผู้ที่ทำให้เกิดผล คือพระวิญญาณของพระเจ้า ไม่ใช่คนนั้น พยายามก็ไม่ได้นะ
เพราะฉะนั้น จะพยายามเป็นนักเทศน์ก็ไม่ได้ จะพยายามเป็นนักนำนมัสการ นักร้องยิ่งไม่ได้ใหญ่ เพราะมันพิสูจน์ง่าย เพราะร้องไป มันเพี้ยนๆ แล้วจะนำนมัสการอย่างไร? เพราะฉะนั้น ต้องเป็นไปตามของประทานของพระองค์ สร้างเรามาอย่างไร? ก็ไปตามนั้นแหละ เป็นแม่บ้าน ก็ประกาศแบบแม่บ้าน ถ้าไม่ได้เป็นแม่บ้าน ก็อย่าพยายามไปทำอาหาร มันก็กินไม่ได้ มันไม่อร่อย อะไรประมาณนี้นะ
กลับมาที่ชาวฮีบรู ตามหนังสือฮีบรูที่เราได้เรียนกัน ที่บอกว่าชาวฮีบรูมีอยู่ 3 กลุ่ม เหมือนกันไหม?
กลุ่มที่ 1 คือกลุ่มที่ปฏิเสธพระเยซูเลย ไม่เอาเลย เป็นศัตรูเลย
กลุ่มที่ 2 คือกำลังลังเลใจจะเอาอย่างไรดี? ชักเข้าชักออก ชักออกชักเข้า
กลุ่มที่ 3 คือตัดสินใจแล้ว เก็บรักษาความเชื่อ เชื่อไปเรื่อยๆ จนกระทั่งบังเกิดใหม่
กลุ่มแรก คือกลุ่มที่ปฏิเสธ ก็เปรียบเหมือนการหว่านที่เมล็ดตกตามทาง นกมาจิกกินไปหมด
กลุ่มที่สอง คือกลุ่มที่กำลังลังเล ก็เปรียบได้กับเมล็ดที่ตกบนกรวดหิน ดินไม่ลึก ทำให้งอกขึ้นอย่างรวดเร็ว แต่อยู่ได้ไม่นาน และพวกที่อาจเป็นเมล็ดที่ตกกลางพงหนาม มีหนามเยอะ ดินน้อย ไม่สามารถเกิดได้
กลุ่มที่สาม ก็คือกลุ่มที่ตัดสินใจเชื่อและเก็บรักษาไว้ เชื่อแล้วเชื่อเลย ก็คือเมล็ดที่ตกบนดินดี เกิดผล 100 เท่า 60 เท่า หรือ 30 เท่าของที่หว่านไป
นี่คือเปรียบเทียบกับชาวยิวแล้ว กลับมาที่หนังสือฮีบรูแล้ว ท่านจะเห็นภาพ อย่างที่ผมบอกแล้วว่าพระเจ้าติดต่อกับชาวยิว ตั้งแต่สมัยโบราณ ก็เพื่อเป็นตัวอย่างให้กับมนุษย์ทั้งหมดบนโลกว่าถ้าจะมาอยู่กับพระเจ้า อยากได้พรจากพระเจ้า จนกระทั่งถึงได้รับชีวิตนิรันดร์ต้องทำแบบนี้ พูดอะไรต้องเชื่อตามนั้น ไม่ใช่ใช้ความคิดเหตุผลมนุษย์ คิดแล้วคิดอีก คิดๆๆ พระเจ้าพูดอย่างไร? เป็นไปตามนั้น ไม่ต้องคิด ไม่ต้องเข้าใจ ต้องเชื่อพระองค์อย่างเดียวเท่านั้น เพราะพระเจ้าทรงทราบดีว่ามนุษย์อ่อนแอ เดี๋ยวถูกหลอก
“ฉะนั้น เชื่อฉันอย่างเดียวแล้วกัน ไม่ต้องหันหน้าหันตาไปไหน ไม่ต้องแว๊บไปไหน? มองตรงมาเลย แล้วเดินไป อย่าซ้าย อย่าขวา ทั้งซ้าย ทั้งขวามันมีคนล่อลวง มารล่อลวงอะไรเยอะแยะ อย่ามองๆ มองที่เราโดยตรงเลย”
เหมือนจูงคนตาบอด เรานั่นแหละตาบอด พระเจ้าจูงเราไป
และบทสรุปของกลุ่มผู้ที่เชื่อประเภทต่างๆ หรือเมล็ดที่ตกลงดินประเภทต่างๆ ตรงนี้ คือหนังสือฮีบรู 6:8-9 ที่เราได้สรุปกันไป อ่านอีกครั้งหนึ่ง เพื่อจะย้ำ
ฮีบรู 6:8-9 “8 ผืนแผ่นดินที่เกิดหนามเล็กหนามใหญ่ ก็ไร้ค่า และตกอยู่ในอันตราย จากการถูกสาปแช่ง ในที่สุด ก็จะถูกเผาทิ้ง 9 แต่ … เพื่อนที่รัก แม้เราจะพูดเช่นนี้ เราก็มั่นใจว่าในกรณีของท่านยังมีสิ่งที่ดีกว่า คือสิ่งต่างๆ ที่มาพร้อมกับความรอด”
“ผืนแผ่นดินที่เกิดหนามเล็กหนามใหญ่ ก็ไร้ค่า และตกอยู่ในอันตราย จากการถูกสาปแช่ง ในที่สุด ก็จะถูกเผาทิ้ง”
“ผืนแผ่นดินที่เกิดหนามเล็กใหญ่” ก็คือเมล็ดที่ตกบนดิน ทั้ง 3 ประเภทแรก คือตกตามทาง ตกตามกรวดหิน ตกบนพงหนาม ทั้ง 3 ชนิดนี้ ล้วนไม่เกิดผลทั้งสิ้น ไร้ค่าทั้งสิ้น ต้องเอาไปเผาทั้งสิ้น
ดิน 3 ประเภทนี้ เมื่อเปรียบเทียบกับชาวยิวสมัยนั้น ก็คือกลุ่มแรกปฏิเสธข่าวประเสริฐ กลุ่มที่ 2 ลังเล ไม่ได้รับความรอดหมดเลย ซึ่งพระคัมภีร์ใช้คำว่าตกอยู่ในอันตราย และถูกสาปแช่ง ในที่สุด ก็ถูกเผาทิ้ง ไม่ว่าจะลังเล ในที่สุด ก็ไม่เชื่อ หรือไม่เชื่อตั้งแต่แรก มีค่าเท่ากัน ก็คือไม่รอดนั่นเอง
มาถึงข้อที่ 9 ที่บอกว่า “แต่พี่น้อง แม้เราจะพูดเช่นนี้ แต่ในกรณีของท่าน ยังมีสิ่งที่ดีกว่า คือสิ่งต่างๆ ที่พร้อมกับความรอด (ความรอดนิรันดร์ในพระเยซูคริสต์ รอดแล้วรอดเลย) นี่เขากำลังพูดตรงนี้ เพราะเราเป็นประเภทสุดท้าย ประเภทที่ได้รับความรอดแล้ว
“แต่พี่น้องที่รัก” พี่น้องในพระเยซู ผู้ที่ได้ตัดสินใจ เชื่อในข่าวดี และเก็บรักษา จนบังเกิดใหม่แล้ว เป็นคริสเตียนแล้ว ซึ่งเหมือนกับพวกเราที่นั่งที่นี่ บังเกิดใหม่แล้ว เหมือนกับเขา ซึ่งพระคัมภีร์บอกว่า …
“ในกรณีของท่าน ยังมีสิ่งที่ดีกว่า คือสิ่งต่างๆ ที่มาพร้อมกับความรอดนิรันดร์ รอดแล้ว รอดเลย ในพระเยซูคริสต์”
เอามาใช้กับพวกเราได้ ขณะนี้ เราเชื่อพระเจ้าจนกระทั่งบังเกิดใหม่แล้ว สิ่งที่ดีกว่าอยู่ในตัวเราหมดเลย ก็คือได้รับความรอด รอดแล้ว รอดเลยในพระเยซูคริสต์ ถามว่ามีอะไรบ้างครับ สิ่งต่างๆ ที่มาพร้อมกับความรอด ที่สามารถมั่นใจได้ว่าท่านได้รับแล้วแน่นอน ทุกวันนี้ได้รับแล้วด้วย ท่านปิ๊งขึ้นมาเมื่อไร รอดในพระเยซูคริสต์เมื่อไร ได้บังเกิดใหม่ในวิญญาณท่าน ท่านได้สิ่งเหล่านั้นเรียบร้อยแล้ว ที่เราเรียกว่าความรอด
รอดนิรันดร์ คือพระโลหิตของพระเยซูคริสต์ที่หลั่งที่ไม้กางเขน ชำระวิญญาณของท่าน จากคนบาป ให้กลายเป็นผู้ชอบธรรม สะอาดหมดจด ไร้ตำหนิ บริสุทธิ์เท่าพระเจ้า เพราะเป็นลูกของพระเจ้า และจะอยู่กับพระองค์นิรันดร์ ไม่มีบาปเหลืออยู่ แม้แต่นิดหนึ่ง ใสกริ๊งเลย พระคัมภีร์จะพูดอย่างนี้ตลอด ตะกี้นี้บอกว่ารอดแล้ว รอดเลย จากนี้ต่อไปเราไม่ป่วยเลย เอเมน ต่อไปนี้รวยอย่างเดียว ซื้อล๊อตเตอร์รี่อะไรก็ถูกหมด เอเมน เราทุกคนต้องมีรถใหม่หมด เอเมน พอบอกว่าเราเป็นลูกของพระเจ้าที่สะอาดหมดจด พ้นมลทินต่างๆ พ้นบาปเวรกรรมเรียบร้อยแล้ว ไม่เอเมนเลย นิสัยของมนุษย์ภายนอกเป็นอย่างนี้ แต่ในวิญญาณกำลังตะโกนลั่นเลย ใช่แล้ว ถูกต้อง แต่มันไม่ออกมาเท่านั้นเอง เหมือนกับหลายครั้ง ที่เรารักคนนี้มาก แต่มันอดไม่ได้ที่จะขอด่าหน่อย พอด่าไปแล้วเราก็ …
“ขอพระเจ้าอภัยให้ลูกด้วยเถิด”
เหมือนลูกเรา เราก็ว่าแรงๆ แต่จริงๆ เรารักเขา ข้างนอกอาจจะโมโห แต่ข้างในร้องไห้อยู่ อย่างนี้ วิญญาณ เราเป็นลูกพระเจ้า และสะอาดหมดจด พระคัมภีร์บอกไว้อย่างนี้ พระเจ้าพูดไว้อย่างนี้ เราก็มีหน้าที่ที่จะเชื่อเอา ไม่ต้องไปพยายามเข้าใจ สะอาดบริสุทธิ์อย่างไร? เมื่อตะกี้ยังไปว่าเขามาเลย เมื่อวานยังคิดโลภอยู่เลย ถ้าอย่างนั้น เขาเรียกไม่เชื่อแล้ว
ในพระคัมภีร์ที่เราอ่าน ยังมีสิ่งดีกว่า หรือสิ่งต่างๆ ที่มาพร้อมกับความรอด ก็คือรอดจากการพิพากษาของพระเจ้า พิพากษาว่าอะไร? …
“คุณเป็นคนบาป ต้องลงนรก”
เขากลัวตรงนี้ แต่เขาไม่รู้ว่ามีสิ่งดีๆ ที่มาพร้อมกับความรอดนั้น ก็คือนอกจากพระเจ้าจะไม่พิพากษาท่านแล้ว ไม่ว่าบาปในอดีต ปัจจุบัน อนาคตก็ตาม ยกให้ท่าน วิญญาณท่านสะอาดบริสุทธิ์แล้ว แค่นั้นไม่พอ แต่รับมาเป็นลูก วิญญาณสะอาดหมดจด เหมือนพระองค์เลย อยู่ในพระคริสต์ และจะร่วมครองราชย์กับพระเยซูคริสต์ชั่วนิรันดร์ เป็นทายาทที่มีมรดกด้วย นี่คือสิ่งที่ดีกว่า ที่ชาวยิวคิดไม่ถึง แค่ได้รับการอภัยโทษ เขาก็ดีใจแล้ว
ชาวยิวกับคำว่า “รอด” ตั้งแต่อดีตแล้ว มีแค่นี้เอง รอดจากการพิพากษา
ถามทุกคนมาเรียนถึงตรงนี้แล้ว มั่นใจไหมว่าเราได้รับความรอดแล้ว รอดแล้วรอดเลยหรือเปล่า? รอดนิรันดร์ไหม? ใครที่บอกว่ามั่นใจ 100% ผมให้อ่านข้อความนี้ แล้วดูว่าจะตกใจไหม? ผมเชื่อว่าทุกคนมั่นใจแล้ว เพราะพระคัมภีร์บอกตรงหมดเลย ชัดหมดเลย ยึดอย่างไร ก็ใช่หมดเลยว่าเราได้รับ รอดแล้ว รอดเลย เป็นลูกพระเจ้าแล้ว สะอาด หมดจดบริสุทธิ์ ปราศจากบาปใดๆ เป็นผู้ชอบธรรม ทุกคนยอมรับตรงนี้หมด 100% แต่ว่าพอผมอ่านฮีบรู หนังสือเดียวกันนี้ เรื่องเดียวกันนี้ ทุกคนก็ตกใจ ที่เราได้ยินมา ทำไมมันเป็นอย่างนี้
ลองอ่านดูในฮีบรู เหมือนกัน จากบทที่ 6 เมื่อกี้นี้ ผู้เขียนเขาก็บรรยายเปรียบเทียบระหว่างพระเยซูคริสต์กับโมเสส … โมเสสพระเจ้าใช้ในเรื่องพิธีกรรม ให้ผู้คนได้ปกคลุมบาปของตัวเอง ปีต่อปี เพื่อเล็งให้เห็นพระเยซูคริสต์จะมา แค่นั้น พอบทที่ 10 เขาก็กลับมาพูดถึงเรื่องนี้อีก ฮีบรู 10:26-27
ฮีบรู 10:26-27 “26 หลังจากรู้ความจริงแล้ว ถ้าเรายังขืนทำบาป โดยเจตนาต่อไปอีก ก็จะไม่เหลือเครื่องบูชาลบบาปใดๆ 27 มีแต่รอคอยด้วยความหวาดกลัว ถึงการพิพากษา และไฟร้อนแรง ซึ่งจะเผาผลาญบรรดาศัตรูของพระเจ้า”
ข้อที่เราอ่านไปเมื่อตะกี้ ที่บอกว่า … หลังจากรู้ความจริงแล้ว คือข่าวดีของพระเยซูคริสต์ เรายังขืนทำบาป โดยเจตนาต่อไปอีก จะไม่เหลือเครื่องบูชาลบบาปใดๆ แปลว่าถึงแม้ว่าเราจะเชื่อแล้ว เชื่อแบบดิ่งลึกลงไปเลย จนกระทั่งบังเกิดใหม่ แล้วเราเกิดเผลอไปทำบาปอีก เราจะสูญเสียความรอดอีกนะสิ ใช่ไหม?
พระเจ้าบอกว่า “ความรอดนิรันดร์ เมื่อเจ้ามาอยู่ในมือเรา ไม่มีใครเอาเจ้าออกจากมือเราไปได้ เราให้ใจใหม่กับเจ้า ให้วิญญาณใหม่กับเจ้าไปแล้ว เราจะอยู่กับเจ้า … เจ้าเป็นของเรา เจ้าเป็นประชากรของเรา”
พระคัมภีร์บอกว่าบาปเล็ก บาปใหญ่ มันก็บาป เราไปคิดกันเองว่าอันนี้บาปเล็ก อันนี้บาปใหญ่ ฟาริสีบอกบาปอย่างนี้ บาปใหญ่ คือการผิดประเวณี พระเยซูบอกแค่มองด้วยตา แค่คิดเท่านั้น ก็บาปหมดเลย ฟาริสีงง ฟาริสีบอก “อย่าฆ่าคน” พระเยซูบอก “แค่โกรธ ไม่ให้อภัย ก็เท่ากับฆ่าคนแล้ว” นี่คือกฎ นี่คือจริง แล้วยังมีอีกเยอะแยะ ท่านต้องรู้ความจริงเหล่านี้ ท่านไปอ่านพระคัมภีร์ที่พระเยซูสอน ท่านจะนั่งหัวเราะ ขำ
เราไปคิดเอง คิดแบบมนุษย์ ใส่ตรรกะแบบมนุษย์ว่าอย่างนี้บาปเล็ก อย่างนี้บาปใหญ่ อย่างนั้น อย่างนี้ ในที่สุด เราเชื่อพระเจ้าแบบใช้เหตุและผลของมนุษย์ ก็กลายเป็นฟาริสีในที่สุด มันต้องไม่ใช่อย่างนั้น
และสมมติว่าถ้าเราต้องสูญเสียความรอดในวิญญาณของเรา ในทุกครั้งที่เราไปทำบาป ซึ่งทำแน่นอน ท่านคิดว่าในวันหนึ่งเราจะสูญเสียความรอดสักกี่ครั้ง และถ้าเกิดความรอดนั้น ที่ทำบาปนั้น ลืมขอโทษพระเจ้า ลืมขออภัยจากพระเจ้า แล้วทำอย่างไร? ท่านจะจดไว้ไหมว่าลืมไปกี่ครั้ง ถึงวันที่ท่านหมดลมหายใจ วิญญาณออกจากร่าง สมมติว่าพรุ่งนี้มีอุกาบาตรลงมาชนโลก หรือว่ารถสิบล้อวิ่งชนเข้ามาในบ้าน ท่านมีโอกาส …
“พระเจ้าขอยกโทษได้ไหม?” อย่างนั้นเหรอ
ท่านจะรู้ว่ามันไม่ใช่ มันตรงกันข้ามกับพระคัมภีร์ใหม่ ที่บอกถึงความรอดของข่าวประเสริฐนี้ แสดงว่าไม่มีใครเลยสิ ที่ได้รับความรอด ถ้าเป็นอย่างนี้ เพราะว่าความรอดนี้ เป็นความรอดทางวิญญาณใช่ไหม? วิญญาณรอด แต่เนื้อหนังยังอันเก่าอยู่ ความคิดเก่าๆ ยังดำเนินอยู่บนโลกใบนี้ ซึ่งอยู่ใต้อิทธิพลของบาปอยู่เหมือนเดิม ในที่สุด ร่างกายนี้ ก็ทำบาปแน่นอน ถูกไหม? ถ้าอย่างนั้น ก็ไม่มีทางรอดสิ เดี๋ยวก็ต้องลงนรกอยู่แล้ว เชื่อพระเจ้ามีประโยชน์อะไร? กลายเป็นอย่างนั้นไป แต่มันไม่ใช่อย่างนั้น ถ้อยคำพระเจ้าในพระคัมภีร์ยืนยันกับเราว่าเมื่อเราได้บังเกิดใหม่แล้ว ผ่านทางความเชื่อในพระเยซูคริสต์แล้ว เราได้รับการชำระให้บริสุทธิ์แบบปราศจากบาปถาวรนิรันดร์ ครั้งเดียวพอ หมายถึงพระเยซูคริสต์ตายที่ไม้กางเขน หลั่งพระโลหิตของพระองค์ครั้งเดียวพอ ไม่รู้จะพูดสักกี่ครั้งว่าพระคัมภีร์บันทึกไว้อย่างนี้ ในฮีบรูก็มี พระองค์เข้าไปในอภิสุทธิสถานเพียงครั้งเดียว โลหิตของพระองค์เข้าไป แล้วพระองค์ได้ไถ่บาปครั้งเดียวพอให้กับมวลมนุษย์ แต่โมเสสเข้าไปปีละครั้ง เอาเลือดโค เลือดแพะ เลือดแกะ เลือดสัตว์เข้าไป แต่ฮีบรูเปรียบเทียบให้เราฟังอย่างนี้ ในพระคัมภีร์บอกเราได้รับการไถ่แบบถาวรนิรันดร์ เราไม่ต้องอยู่ภายใต้กฎบัญญัติ หรือข้อบังคับใดๆ ไม่ต้องกังวลอีกต่อไปว่าอะไรทำได้? อะไรทำไม่ได้? เพราะไม่มีการกระทำใดๆ ทำให้เราสูญเสียความรอดไปได้เลย ตามหลักพระคัมภีร์ อย่าใช้ความคิดของตัวเอง พอท่านเชื่อในพระเจ้าเป๊ะๆ ท่านจะรู้ว่าแสงสว่างจะชัดขึ้นว่ามันเพราะอะไร? พระโลหิตของพระเยซูคริสต์ยังคงมีฤทธิ์ตลอดเวลา ในวานนี้ วันนี้ และสืบๆ ไปเป็นนิตย์ ในอดีต ปัจจุบันและตลอดกาล พระโลหิตของพระเยซูคริสต์มีฤทธิ์ เป็นตัวยืนยันว่านี่คือพันธสัญญาใหม่ ผู้ใดเชื่อจะเป็นอย่างนี้ เอเมน
แล้วถ้าอย่างนั้นในฮีบรู 10:27 ที่ตะกี้นี้ที่เราอ่านกันไป มันหมายความว่าอย่างไร? ที่ทำให้เราสะดุ้ง …
“หลังจากรู้ความจริงแล้ว ถ้าเรายังขืนทำบาป โดยเจตนาต่อไปอีก ก็จะไม่เหลือเครื่องบูชาลบบาปใดๆ แต่รอคอยด้วยความหวาดกลัว ถึงการพิพากษา และไฟร้อนแรง ซึ่งจะเผาผลาญบรรดาศัตรูปฏิปักษ์ของพระเจ้า”
คำว่า “บาป” ในพระคัมภีร์ ส่วนใหญ่ โดยเฉพาะในพระคัมภีร์ใหม่ ไม่ว่าจะในหนังสือมัทธิว เอเฟซัส หรือโครินธ์ ก็จะหมายถึงการกระทำบาป ตามที่เราเข้าใจกัน ซึ่งเป็นการบาป ที่ได้รับการไถ่โดยพระโลหิตพระเยซูคริสต์ไปแล้ว ได้รับการอภัยไปแล้ว ได้รับการชำระล้างไปแล้ว โดยพระโลหิตพระเยซูคริสต์
ยกตัวอย่างเช่นการอิจฉาริษยา การโกรธ การเกลียดกัน การควบคุมตัวเองไม่ได้ ความโลภ แล้วแต่เยอะแยะไปหมด ที่เราทำอยู่ทุกวันนี้ บาปเหล่านี้ มันถูกยกโทษหมดเรียบร้อยแล้วในการกระทำ ไม่ว่าจะทำอะไรบนโลกใบนี้
แต่คำว่า “บาป” ในหนังสือฮีบรูที่เราอ่านมา และบาปที่พูดกันอยู่ในชาวยิว ไม่ใช่เป็นบาปอย่างนี้ บาปตัวนี้ พระคัมภีร์กำลังพูดถึงบาปชนิดหนึ่งที่ไม่สามารถอภัยให้ได้ คือบาปแห่งการไม่เชื่อพระเยซูคริสต์ เป็นปฏิปักษ์ต่อพระเยซูคริสต์ เป็นศัตรูกับพระเจ้านั่นเอง พอเราแปลความหมายผิดไปคำเดียว เละตุ้มเป๊ะเลย พอท่านแปลถูกปุ๊บ ใช่ ทุกอย่างเริ่มเห็นภาพชัดขึ้น เวลาชาวยิวเดิมๆ เขาพูดถึงบาป เขากำลังหมายถึงบาปที่ไม่เชื่อฟังพระเยซู คือตอนที่พระเยซูมาเกิดแล้ว ไม่เชื่อฟังพระเจ้านั่นเอง
ยกตัวอย่างเช่น พระเจ้าบอก “อย่าไหว้รูปเคารพ” แล้วเขาไปไหว้รูปเคารพในสมัยโมเสส สมัยเดิม พระเจ้าบอกอย่าทำ ก็ทำ นี่เรียกว่าบาป อยู่คนละข้างกับพระเจ้า เป็นศัตรูกับพระเจ้า
พระเจ้าบอก “ฆ่าให้หมด” เขาไม่ฆ่า นี่แหละบาป
พระเจ้าบอก “ไปรบเขาชนะ ก็ไม่ต้องเอาของเขามา” ไปแอบเอาของเขามา อย่างนี้เขาเรียกว่าบาป
เวลาพูดถึง “บาป” ตัวนี้ในฮีบรู ในชาวยิว หมายถึงตรงนี้ คนยิวเวลาอ่านตรงนี้ เขาจะเข้าใจว่าหมายถึงอะไร? ถ้าท่านได้ยินข่าวดี ข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์แล้ว ท่านยังขืนไม่เชื่อพระเจ้าอีกพระเจ้าบอก …
“เราส่งบุตรของเราลงมาแล้ว ที่แล้วๆ มา เราส่งใครก็ตาม เป็นคนงาน ส่งโมเสสมา ส่งอาโรนมา ส่งดาวิดมา ส่งซาโลมอนมา อะไรต่างๆ ตอนนี้เราส่งลูกของเรามาเองเลย จบแล้ว สุดท้ายแล้ว ยังไม่เชื่อเราอีกเหรอ”
ถ้าไม่เชื่อ ก็คือเป็นศัตรู ก็คือเป็นบาป
ท่านจะเห็นภาพแล้วตรงนี้ พอเป็นบาปแล้ว ท่านปฏิเสธพระผู้ช่วยให้รอด เพียงผู้เดียว เหลือผู้เดียวแล้ว จากนี้ต่อไป ไม่มีผู้อื่นที่มาตามหลังพระเยซู ไม่มีพระมาซีฮาห์อื่นอีกแล้ว ท่านยังปฏิเสธเขาอยู่ ท่านก็ถูกพิพากษาอย่างแน่นอน 100% ถูกเผา 100% เข้าใจใช่ไหมครับ? นี่เป็นการพูดให้กับชาวยิว ในสมัยอดีตได้รู้ ถ้าไม่ใช่ชาวยิว พูดอย่างไร? คำเดียวกันเลย ลักษณะเดียวกัน ความหมายเดียวกัน ถ้าไม่ใช่ชาวยิว จะอยู่ในพระคัมภีร์ยอห์น 3:16-19 ซึ่งเราฮิตกันอยู่ดี ยอห์น 3:16 ทุกคนท่องได้ว่า …
“พระเจ้าทรงรักโลก จนได้ประทานพระบุตร คือพระเยซูองค์เดียวลงมา เพื่อทุกคนจะไม่พินาศ แต่ได้รับชีวิตนิรันดร์ และรอดตลอดไป”
แต่คนที่ไม่รับ เขาจะพินาศ พระเยซูไม่ได้มาตัดสินเขา แต่เขาอยู่ในความพินาศของเขาอยู่แล้ว เพราะเขาปฏิเสธ คนที่มาช่วยเขา อันเดียวกัน แต่อันนั้นพูดให้กับคนต่างชาติ ที่ไม่ใช่ยิว แต่อันนี้พูดให้กับคนยิวรู้ว่าคุณกำลังทำบาปอันยิ่งใหญ่แล้ว คือคุณไม่เชื่อฟังพระเจ้า เที่ยวนี้เป็นการไม่เชื่อฟังพระเจ้าอย่างใหญ่หลวง คุณไม่เชื่อโมเสส คุณไม่เชื่ออาโรน โทษยังไม่แรงเท่านี้ อันนี้ใหญ่สุดแล้ว คุณไม่เชื่อพระเจ้า เพราะพระเจ้าส่งพระเยซูมา คุณไม่เชื่อ เพราะพระเยซูเป็นคนสุดท้ายแล้ว ถ้าคุณไม่เชื่ออาโรน ยังมีพระเยซูอยู่ ถูกไหม? ถ้าคุณไม่เชื่อมาลาคี คุณยังมีพระเยซูอยู่ ถูกไหม? ถ้าคุณไม่เชื่อยอห์นบัพติศโต คุณยังมีพระเยซูอยู่ แต่ถ้าคุณไม่เชื่อพระเยซู ก็คือถูกพิพากษา คืออยู่ที่เดิม
นี่คือหนังสือที่เขาเขียนไปให้คนยิว พอเรารู้ภูมิหลัง เราจะได้เข้าใจ ไม่หลงประเด็น ฮีบรู 10:28-29
ฮีบรู 10:28-29 “28 คนใดฝ่าฝืนบทบัญญัติของโมเสส หากมีพยานสองหรือสามคน ยังต้องตาย โดยปราศจากความเมตตา 29 ท่านคิดว่าผู้ที่เหยียบย่ำพระบุตรของพระเจ้า ทำราวกับว่าพระโลหิตแห่งพันธสัญญา ซึ่งชำระเขาให้บริสุทธิ์นั้น ไม่ศักดิ์สิทธิ์ และลบหลู่พระวิญญาณ แห่งพระคุณ สมควรจะรับโทษ หนักมากกว่านั้นสักเพียงใด”
นึกภาพนะ ตอนนี้กำลังพูดถึงยิวทั้งหมดเลย ที่มี 3 ประเภทใหญ่ๆ เมื่อฟังถ้อยคำตรงนี้แล้ว การเตือนตรงนี้แล้ว เขาคิดอย่างไร? ฟังดูเผินๆ เราอาจจะคิดว่าหมายถึงคนที่ไม่เชื่อพระเจ้าเท่านั้น แต่ลองคิดให้ดี ท่านคิดว่ามีไหมครับคริสเตียนที่มาเชื่อพระเจ้าแล้ว แต่ยังรู้สึกฟ้องผิดทุกครั้งที่เผลอไปทำผิดบาป มีไหม? ผมหมายถึงฟ้องผิด เรื่องความบาปทางวิญญาณ มีไหม? เช่นพอไปด่าใครเข้า ชักไม่แน่ใจว่าสูญเสียความรอดไหม? ยังเป็นลูกพระเจ้าอยู่ไหม? ต้องหาทางชำระบาปให้ตัวเอง มีไหม? ไม่มี คนที่เกิดใหม่จริงๆ จะไม่มีอย่างนี้เลย ถ้ามี ก็คือยังไม่เกิดใหม่ แต่เราอาจจะพะวักพะวงในเรื่องความประพฤติ
“ความจริงเราน่าอภัยให้เขานะ เราเป็นคริสเตียน เราน่าจะทำให้เป็นไปตามการบังเกิดใหม่ในวิญญาณของเรา”
แต่รับรองวิญญาณของเราจะไม่ “เราตกนรกหรือเปล่า?” ถ้าเมื่อไรเราคิดอย่างนั้น เราต้องทบทวน เราต้องไปรักษาความเชื่อไว้ ขอพระเจ้าเปิดตาฝ่ายวิญญาณ จนกว่าข่าวดีของพระเจ้าจริงๆ จะไหลลงไป จนกระทั่ง บังเกิดใหม่จริงๆ นั่นเอง
อาการอย่างหนึ่งที่เข้าข่ายของความเชื่อไม่เชื่อในพระเจ้า ก็คือพระคัมภีร์บอกเพราะฤทธิ์อำนาจพระโลหิตของพระเยซูคริสต์ที่ไถ่บาปเรา มันอยู่ตลอดนิรันดร์ แต่หลายครั้งเราบอกอยู่เหรอ ถ้าอยู่ แล้วทำไมตอนนี้ เรารู้สึกไม่สบายใจ การกระทำสิ่งนี้ เราผิดอีกแล้ว เราบาปอีกแล้ว อันนี้ผมพูดถึงวิญญาณตัวข้างในของเรานะ อาการอย่างนี้เข้าข่ายการไม่เชื่อในฤทธิ์เดชของพระโลหิตของพระเยซูคริสต์ ที่เราอ่านเมื่อตะกี้นี้ ฮีบรู 10:28-29 เพราะชาวฮีบรูเขาบอก เพราะข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์ คือฤทธิ์เดชอำนาจของพระเยซูคริสต์ชำระบาปท่านหมดเลย เที่ยวเดียวเกลี้ยงเลย ชาวฮีบรูบอก …
“เหรอ! เดี๋ยวสิ้นปีนี้ฉันก็ต้องไปทำพิธี เข้าไปวิหาร เอาสัตว์ไปชำระอีกทีหนึ่ง”
นี่แหละลบลู่พระบุตรของพระเจ้า มันหมายถึงตรงนี้ คำว่าลบหลู่ ไม่ได้หมายถึงไปว่าอะไร? แต่หมายถึงกำลังบอกว่าพระเยซูคริสต์พูดไม่จริง ถ้าจริง เราก็ไม่ต้องไปทำพิธีในวิหาร เหมือนเดิมสิ แต่ทำไมเรายังทำล่ะ ทำเพราะเราก็ไม่แน่ใจว่าได้รอดไหมจริงๆ ถ้าวิญญาณได้รับความรอดจริงๆ แล้ว มันจะไม่ทำเอง เหมือนที่ผมเคยถามท่านว่าในยุคปัจจุบัน ที่นั่งอยู่ในขณะนี้ มีใครในที่นี้ไหมที่ไปทำพิธีทางวิญญาณ อะไรก็ตามทางวิญญาณ ที่เกี่ยวข้องกับวิญญาณ เพื่อจะไถ่บาปให้มันน้อยลงในแต่ละปี ยกตัวอย่างวันเกิด ท่านไปทำอะไรไหม ช่วยพระเยซูทำให้บาปมันน้อยลง มีไหม? ถ้าบังเกิดใหม่ ไม่มีแน่ๆ เป็นไปไม่ได้เลย
ตัวนี้ เป็นตัวพิสูจน์ว่าชัวร์จริงไหมในวิญญาณ ถ้าชัวร์จริง เขาจะไม่ทำแล้ว อดีต อาจจะเคยทำมาตลอดทุกปี วันเกิด พิธีทางวิญญาณ ที่ให้เกิดผลทางวิญญาณ ยกตัวอย่างเช่น ให้ลดบาปตัวเองน้อยลงไป ให้มีพรมากขึ้น ให้เจริญรุ่งเรืองอะไรต่างๆ สิ่งเหล่านั้นจะไม่ทำอีกต่อไปเลย ถ้าเผื่อเราเชื่อจริงๆ และบังเกิดใหม่จริงๆ นั่นแหละคือความเชื่อในฤทธิ์เดชอำนาจแห่งพระโลหิตพระเยซูคริสต์อย่างแท้จริง นี้เรื่องเกี่ยวกับทางวิญญาณโดยเฉพาะ แต่แน่นอนทางโลกวัตถุ เราทำอะไรผิด เราก็อยากจะไปขอโทษคนโน้นคนนี้ คนละเรื่องกัน ฮีบรู 10:35-39 ได้บันทึกอย่างนี้ นี่ตอนจบเลยนะ
ฮีบรู 10:35-39 “35 ฉะนั้น อย่าทิ้งความมั่นใจของท่าน สิ่งนี้จะได้รับบำเหน็จอันยิ่งใหญ่ 36 ท่านทั้งหลายต้องอดทนบากบั่น เพื่อว่าเมื่อท่านได้ทำตามพระประสงค์ของพระเจ้าแล้ว ท่านจะได้รับสิ่งที่พระองค์ทรงสัญญาไว้ 37 เพราะ “เพียงครู่เดียว พระองค์ผู้กำลังเสด็จมาจะเสด็จมา และจะไม่ทรงล่าช้า 38 แต่ผู้ชอบธรรมของเรา จะดำรงชีวิตโดยความเชื่อ และหากเขาเสื่อมถอย เราจะไม่พอใจเขา” 39 ส่วนพวกเราไม่ใช่ผู้ที่เสื่อมถอย และถูกทำลาย แต่เป็นผู้ที่เชื่อและได้รับการช่วยให้รอด”
อย่างที่ผมบอก ต้องเรียนรู้ ต้องนึกภาพให้ออกว่าตอนนี้ยิวนั่งอยู่ตรงนี้หมด 3 กลุ่ม ในวิญญาณ
กลุ่มนี้ปฏิเสธเลย คือกลุ่มปฏิเสธเด็ดขาดต่อต้านพระเยซู จับพระเยซูไปตรึงเลย
กลุ่มนี้รับได้บ้าง แล้วกำลังเรียนรู้อยู่
กลุ่มสุดท้าย เชื่อแล้ว เป็นคริสเตียนแล้ว
นี่เขาเขียนบอกว่า “คนใดฝ่าฝืนบทบัญญัติของโมเสส” พวกนี้รู้จักโมเสสหมด “หาพยาน 2 – 3 คนมา โดนลงโทษ ปราศจากความเมตตา เพราะพระเจ้าตรงไปตรงมา ตรงตามกฎหมายทุกอย่าง ฆ่าคนก็โดนฆ่าด้วย”
แล้วก็บอกว่านี่คือพระเจ้าที่เราเชื่อใช่ไหม? ท่านลองคิดดู แล้วถ้าท่านเหยียบย่ำพระบุตรของพระเจ้า คือพระเยซูคริสต์ ทำราวกับว่าโลหิตของพระเยซู ตามพระสัญญาที่พระเจ้าส่งมาให้ ไม่บริสุทธิ์เพียงพอ ไม่ศักดิ์สิทธิ์เพียงพอ พระวิญญาณ คือวิญญาณที่บังเกิดใหม่ จะเข้ามาในวิญญาณเรา ให้เราบังเกิดใหม่ ไม่เอา ไม่ใช่ เรียกว่าพระวิญญาณแห่งพระคุณ ก็คือท่านไม่ต้องทำอะไร? พระเจ้าให้ด้วยความเชื่ออย่างเดียว ไม่เอาง่ายไป ผมกำลังจะถามท่านว่าท่านสมควรจะรับโทษหนักมากกว่านั้นสักเท่าใด? ขนาดสมัยโมเสสยังรับโทษขนาดนั้น แต่นี่พระบุตรของพระองค์มา แล้วท่านไม่เชื่อ แรงขนาดไหน? นี่กำลังพูดกับ 3 กลุ่มนี้
เพราะฉะนั้น กลุ่มที่สะดุ้ง ก็คือ 2 กลุ่มแรก กลุ่มสุดท้ายสะดุ้งน้อยหน่อย ก็เพียงแต่ลากความเชื่อต่อไป กลับไปถูกเมียว่า เพราะเมียไม่เชื่อ เมียพยายามฝืน ครอบครัวกำลังจะยกทรัพย์สมบัติให้ จะไม่ยกให้แล้ว เพราะมาเชื่อพระเยซู เริ่มฮึดสู้ เอา ยืนหยัดต่อไป ไม่เอาสมบัติ ก็ไม่เอา จะยืนหยัดเชื่อในพระเยซูต่อไป นี่พูดถึงชาวยิวสมัยนั้นนะ คนที่เชื่อแล้ว ก็หายเหนื่อย ถูกรังแกมาตั้งเยอะ ถูกเอาเปรียบ จากคนในสังคมชาวยิว ในสมัยนั้น
เพราะฉะนั้น ในข้อ 35 บอกว่าฉะนั้น อย่าทิ้งความมั่นใจของท่าน สิ่งนี้จะทำให้ท่านได้รับบำเหน็จอันยิ่งใหญ่ ท่านทั้งหลายต้องทน อดทน บากบั่น เพื่อว่าเมื่อท่านได้ทำตามพระประสงค์ของพระเจ้าแล้ว พระประสงค์นี้คืออะไร? เชื่อพระเยซู น้ำพระทัยพระเจ้า มีสิ่งเดียว คือเชื่อพระเยซู ก็จบแล้ว ที่เหลือจะเชื่อบ้าง ไม่เชื่อบ้าง อะไรก็ว่าไป แต่สิ่งสำคัญที่สุด ท่านต้องเชื่อพระเยซู เชื่อพระเยซูท่านได้หมดแล้ว นี่คือเคล็ดลับ แค่นี้เอง ไปแปลอะไรก็ไม่รู้ วุ่นวาย เหนื่อยเลย
เพราะฉะนั้น พี่น้อง ท่านจงอดทน รักษาความเชื่อนี้ไว้ ที่ท่านเชื่อไปแล้ว มันถูกแล้ว เมื่อท่านได้ทำตาม เมื่อท่านได้เชื่อพระเยซูแล้ว ทำตามพระประสงค์ของพระเยซูแล้ว พระองค์ก็จะทำตามที่พระองค์สัญญาไว้ จำได้ไหมพระองค์บอกว่าพระองค์จะเป็นพระเจ้า ผู้ทรงรักษาสิ่งที่พระองค์ทรงสัญญาตลอดหนึ่งพันชั่วอายุคน ชาวยิวรู้หมดเลย พระองค์ผู้กำลังจะเสด็จมา และจะไม่ล่าช้า ก็คือพระเยซูบอกแล้วใช่ไหม? ตามข่าวดีนั้น บอกว่าพระองค์จะกลับมาอีกทีนะ แต่จะกลับมาในสถานะของพระเดช เอารางวัลมาให้กับผู้เชื่อแล้วนะ
แล้วต่อไป ข้อ 38 บอกว่า “แต่ผู้ชอบธรรมของเราจะดำรงชีวิตอยู่ โดยความเชื่อ เพราะฉะนั้น ผู้ชอบธรรมกลุ่มนี้นะ จำไว้นะ ต่อไปนี้ ท่านจงดำเนินชีวิตด้วยความเชื่อ ไม่ใช่ตามองเห็น ไม่ใช่ความเข้าใจ ไม่ใช่ความคิด ไม่ว่าอะไรก็ตามที่มันแย้งกับถ้อยคำพระเจ้าบอก มันไม่ใช่ทั้งสิ้น พระคัมภีร์เขียนไว้อย่างนั้น ฉันเชื่อ” มันหมายถึงอย่างนี้
“และหากเขาเสื่อมถอย ในความเชื่อเขาไป เราจะไม่พอใจเลย”
พระเจ้าไม่ต้องการให้ใครคนใดคนหนึ่งไปสู่คำพิพากษา ไปสู่นรกเลย พระเจ้าต้องการให้ทุกคนมาตามน้ำพระทัยของพระองค์ คือมาเชื่อในพระเยซู ได้รับความรอดกันทุกคน นี่คือน้ำพระทัยพระเจ้า ไม่ว่าท่านจะเห็นอะไรก็ตาม นี่คือน้ำพระทัยพระเจ้า เอเมน
“ส่วนพวกเรา ไม่ใช่ผู้เสื่อมถอย”
คนพูดกำลังบอก “แต่พวกเราไม่ใช่ 2 ประเภทนี้นะ เราประเภทที่ไม่ได้เสื่อมถอยอยู่แล้ว อดทนอยู่แล้ว ถูกเขารังแก เขาบอกว่าพวกนี้โง่ มาเชื่อข่าวประเสริฐอะไรบ้าๆ บอๆ เราอดทนอยู่แล้ว เขาบอกว่าไม่เห็นมีเหตุผลเลย ไม่ได้ทำอะไรอย่างนั้น ได้รับความรอด คนทำดีแทบตาย ไม่ได้รอด เป็นไปไม่ได้ เราก็ไม่รู้ เราก็ไม่ฟัง เราก็เชื่อในข่าวดีพระเจ้า”
หมายถึงอย่างนั้น ส่วนพวกเราไม่ใช่ผู้ที่เสื่อมถอย และถูกทำลาย แต่เป็นผู้ที่เชื่อและได้รับการช่วยให้รอด รอดนิรันดร์ รอดแล้ว รอดเลยในพระเยซูคริสต์ มันหมายถึงอย่างนี้
เพราะฉะนั้น ข่าวประเสริฐของพระเจ้ามีแค่นี้ ท่านต้องเชื่อ โดยหลับหูหลับตาเชื่อ เชื่อโดยไม่เข้าใจ เชื่อด้วยไร้เหตุผล เชื่อโดยไร้สติ มันเป็นจริงตามนั้นจริงๆ เวลาเขาว่าท่านเป็นคริสเตียน ไร้สติ ไร้เหตุผล นี่หมายถึงตามวิญญาณนะ ไร้สติ ไร้เหตุผล มันจริงตามนั้น ไม่มีอะไรที่จะมาใช้เหตุผลอธิบายว่าเหตุอะไรท่านถึงจะได้รับความรอด ไปสวรรค์ได้ ในเมื่อท่านทำตัวธรรมดาอย่างนี้ เขาอุทิศตัวมากกว่านี้ตั้งเยอะ แต่เขาไม่เชื่อในพระเยซู ท่านไม่เห็นอุทิศตัวอะไรเลย เชื่อพระเยซู บอกท่านไปสวรรค์ แล้วท่านยังยืดอกต่อไปไหม? หรือว่าท่านก็ไม่ค่อยแน่ใจ ยืดอกต่อไป เพราะว่าพระคัมภีร์พูดไว้อย่างนั้น ฉันก็เป็นอย่างนั้น
แล้วก็มาจบที่เดิม โรม 8:31-39 นี่แหละผู้ที่เชื่อแล้ว เชื่อในข่าวดีของพระเจ้า แบบไร้สติ ไม่ใช่ด้วยปัญญาของมนุษย์ ไม่ใช่ด้วยการคิดค้นต่างๆ แต่ด้วยความเชื่อในถ้อยคำพระเจ้า ถ้อยคำพระเจ้าพูดอย่างไร? ฉันเชื่อตามนั้น คนเหล่านั้นจะอยู่อย่างนี้แหละ
โรม 8:31-39 “31 เช่นนี้แล้วเราจะว่าอย่างไร? ถ้าพระเจ้าทรงอยู่ฝ่ายเรา ใครเล่าจะต่อสู้เราได้ 32 พระองค์ผู้ไม่ได้ทรงหวงพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ แต่ได้ประทานพระบุตรนั้นแก่เราทุกคน พระองค์จะไม่ยิ่งทรงเมตตาประทานสิ่งสารพัดแก่เรา พร้อมกับพระบุตรหรือ? 33 ใครจะฟ้องร้องบรรดาผู้ที่พระเจ้าทรงเลือกไว้? ก็พระเจ้าเองทรงนับว่าเราเป็นผู้ชอบธรรม 34 ใครจะกล่าวโทษได้อีก? พระเยซูคริสต์ผู้ทรงสิ้นพระชนม์ และยิ่งกว่านั้น พระเจ้าทรงให้พระองค์เป็นขึ้นจากตายแล้ว บัดนี้พระองค์ประทับอยู่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้า และทรงกำลังอธิษฐานวิงวอนแทนเราด้วย 35 ใครเล่าจะพรากเราจากความรักของพระคริสต์ได้? ความทุกข์ร้อน ความยากลำบาก การข่มเหง การกันดารอาหาร การเปลือยกาย ภยันตราย หรือคมดาบอย่างนั้นหรือ? 36 ตามที่มีเขียนไว้ว่า “เพราะเห็นแก่พระองค์ ข้าพระองค์ทั้งหลายเผชิญความตายวันยังค่ำ ข้าพระองค์ทั้งหลายถูกนับว่าเป็นแกะที่จะเอาไปฆ่า” 37 เปล่าเลย ในสถานการณ์ทั้งปวงนี้ เราเป็นยิ่งกว่าผู้พิชิต โดยทางพระองค์ผู้ทรงรักเราทั้งหลาย 38 เพราะข้าพเจ้าเชื่อมั่นว่าไม่ว่าความตายหรือชีวิต ไม่ว่าทูตสวรรค์หรือวิญญาณชั่ว ไม่ว่าปัจจุบันหรืออนาคต หรือฤทธิ์อำนาจใดๆ 39 ไม่ว่าเบื้องสูงหรือเบื้องลึก หรือสิ่งอื่นใด ในสรรพสิ่งที่พระเจ้าทรงสร้าง ล้วนไม่สามารถพรากเราไปจากความรักของพระเจ้า ซึ่งมีอยู่ในพระเยซูคริสต์ องค์พระผู้เป็นเจ้าของเราได้”
ขอพระเจ้าอวยพรครับ
***************************