คำหนุนใจ Pre Sermon วันอาทิตย์ที่ 22 เมษายน 2018 เรื่อง “พระเจ้าสถิตอยู่ด้วยตลอดเวลา” โดย นคร เวชสุภาพร

คำหนุนใจ Pre Sermon วันอาทิตย์ที่ 22 เมษายน 2018

เรื่อง “พระเจ้าสถิตอยู่ด้วยตลอดเวลา”

โดย นคร  เวชสุภาพร

            สวัสดีครับ แป๊บเดี๋ยวผ่านไปอีกแล้ววันครอบครัว วันสงกรานต์ ปีใหม่ไทย ก็ผ่านไปอีกแล้วนะ วันเวลาผ่านไปรวดเร็ว ภาษาอังกฤษเขาบอกว่า Time fly when we have fun. เมื่อชีวิตมีความหวัง มีสันติสุข มีความสงบสุข มันสนุกกับชีวิต เวลามันผ่านไปรวดเร็ว ถูกไหม? พอเรามีพระเยซู เรามีความหวังในชีวิต เรารู้ว่าเราดำเนินไปไหน? เรารู้จักความตายดี เรารู้จักเกิด แก่ เจ็บ ตายเป็นเรื่องธรรมดา และการเกิด แก่ เจ็บ ตาย เป็นชัยชนะของเรา เห็นหนทางของเราที่จะนำเราไปสู่ความหวังนิรันดร์ในสวรรค์สถานที่เราจะอยู่กับพระเจ้าหลังชีวิตบนโลกใบนี้ เอเมน

พอมีความหวังอย่างนี้ อะไรก็รับได้หมด มันได้เปรียบนะ คนที่มาเชื่อพระเจ้า มันได้เปรียบมากเลย คือ …

(1) เรามีความหวังในชีวิตข้างหน้า แม้เราอาจจะกลัวความเจ็บป่วย กลัวความตายบ้าง แต่จะกลัวอย่างไร ก็มีความหวังหลังจากนั้น มันก็เลยกลัวไม่เยอะ ไม่มาก นี่อันหนึ่ง ซึ่งสำคัญมากอยู่แล้ว

(2) ขณะที่อยู่บนโลกใบนี้ เมื่อเราเชื่อพระเจ้า เรามีตัวช่วย พระเจ้ามาสถิตอยู่กับเราตลอด ทุกหนทุกแห่ง เราจะรู้หรือไม่รู้ เราจะเข้าใจหรือไม่เข้าใจ เมื่อเราเชื่อพระเยซู พระเยซูและพระเจ้ามาสถิตอยู่กับเรา ไปไหนกับเราอยู่ตลอดเวลา แม้เราจะไม่เข้าใจว่าทำไมบางครั้ง ปล่อยอย่างนี้ๆ แต่พระองค์บอกสถิตอยู่ด้วย และหลายครั้ง เราก็ได้รับการอัศจรรย์ ไม่ว่าเล็กหรือน้อย ทุกคนได้หมด บางก็นิดเดียว บางทีก็ใหญ่บ้าง บางทีก็น้อยบ้าง แต่เราก็ไม่เข้าใจ อะไรบางอย่างเราอยากได้ ทำไมไม่ได้ แต่ในที่สุด เราก็จะรู้ว่ามีหลายครั้ง เรายิ้มแย้ม พระเจ้าอยู่กับเรา เห็นไหม? ตัวช่วยพิเศษ อยู่บนโลกใบนี้ พระเยซูบอกจงดูนกในอากาศ

กลัวว่าเศรษฐกิจจะแย่ ไม่มีอะไรจะกิน พระเจ้าบอกว่าดูนกในอากาศสิ พระเจ้ายังเลี้ยงเลย แล้วเธอล่ะ ลูกพระเจ้า พระเจ้าอยู่กับเธอ จะอดตายไหม? ตอบว่าไม่ตาย แต่ดูเหมือนอดตาย เรานึกว่าอด จริงๆ ไม่อด มันยังมีอยู่เยอะแยะ แต่เราอยากได้เยอะกว่านั้น ใช่ไหม? แล้วพระเจ้าบอกอะไร? เราจะอยู่กับเธอตลอดเวลา ไม่ทิ้งไปไหนเลย ไม่ต้องกลัว เห็นไหม?

เราก็บอก … “พระเจ้าอยู่ไหน?”

พระเจ้าก็บอก … “อยู่ตลอดเวลา ไม่ทิ้งไปไหน จะอยู่กับเธอตลอดเวลา ปกป้องดูแลเธอ”

อย่างนี้ คือความได้เปรียบของคนที่มาเชื่อในข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์ 2 อย่างนี้ ก็พอแล้วนะ ชีวิตบนโลกใบนี้  มีตัวช่วยอยู่ตลอดเวลา ไปไหน พระเจ้าไปด้วย คุ้มครองป้องกันภัยให้เราตลอดเวลา ไม่ว่าเราจะอธิษฐานหรือไม่อธิษฐาน ก็ป้องกันเราตลอดเลย  พระคัมภีร์บอกไว้อย่างนั้น ไม่ไปไหนเลย

เมื่อจากโลกนี้ไป เตรียมพร้อมเลย จบข่าวซะที จบทุกอย่างแล้ว ไปสู่การพักนิรันดร์ การพักสงบนิรันดร์ กลับบ้านของเรา อยู่ในสวรรค์สถานนิรันดร์ จบแล้ว มันก็มีความหวังไง  Time fly when we have fun. เมื่อชีวิตมีความหวัง มีความสนุกสนานอย่างนี้ มันก็เลย เวลาผ่านไปเร็ว แป๊บเดียว นี่จะเดือนที่ 5 แล้ว    อีก 4-5 เดือน  เราก็จะไปค่ายกันอีกแล้ว  อะไรจะขนาดนี้  เที่ยวกันทั้งปีเลยเหรอ  อะไรเดี๋ยวจะเที่ยวกันอีกเหรอ  เดี๋ยวก็ฉลองตรุษจีน  เดี๋ยวก็ฉลองอีสเตอร์ เดี๋ยวก็ฉลองสงกรานต์  เดี๋ยวก็ไปค่ายอีกแล้ว กลับมาจากค่าย  เดี๋ยวฉลองขอบคุณพระเจ้าอีกแล้ว  เดี๋ยวจะฉลอง คริสตมาส  เดี๋ยวก็ฉลองปีใหม่อีกแล้ว วนเวียนอยู่อย่างนั้น เร็วเหลือเกินเวลาของเรา  Time จึง Fly เวลาจึงบินไป  เอเมน

ทั้งหมดนี้ พระเยซูทำให้กับเราเรียบร้อยไปแล้ว ที่ไม้กางเขน เมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว พระองค์บอกสำเร็จแล้ว จบแล้ว พระเยซูบอกว่าด้วยฤทธิ์เดชอำนาจพระโลหิตพระเยซูที่หลั่งที่ไม้กางเขน เราคือมนุษย์ทั้งปวง ได้รับการชำระให้บริสุทธิ์ สะอาด ปราศจากตำหนิใดๆ บริสุทธิ์ ใช้คำเดียวกับคำว่าพระเจ้าทรงเป็นพระเจ้าผู้บริสุทธิ์ ใช้คำเดียวกันเลยนะ ศัพท์เดียวกันเลย ด้วยฤทธิ์อำนาจแห่งพระโลหิตพระเยซู ที่ได้หลั่งที่ไม้กางเขน ได้ชำระล้างมนุษย์ เผ่าพันธุ์มนุษย์ทุกคนให้สะอาดบริสุทธิ์ปราศจากตำหนิใดๆ พ้นจากบาปทั้งปวง เป็นผู้ชอบธรรม สามารถมาอยู่ในแผ่นดินของพระเจ้า อาณาจักรสวรรค์ของพระเจ้าร่วมกับพระเจ้าได้ เพราะต่างฝ่ายต่างสะอาด

พระเจ้าบอกว่า … “เราบริสุทธิ์ เจ้าต้องบริสุทธิ์ บัดนี้ เจ้าบริสุทธิ์แล้ว”

พระเจ้าไม่ได้พูดอะไร เพียงแต่บอกว่า … “เราบริสุทธิ์ ถ้าเจ้าจะอยู่กับเราได้ เจ้าต้องบริสุทธิ์ และเราจะทำให้เจ้าบริสุทธิ์เอง เจ้าไม่สามารถทำตัวเองให้บริสุทธิ์ได้เหมือนเราหรอก เราจะเป็นผู้ช่วยเจ้า โดยส่งพระเยซูคริสต์มาตายที่ไม้กางเขน ให้หลั่งพระโลหิต พระโลหิตมีฤทธิ์เดชอำนาจ พระคัมภีร์บอกว่าพระโลหิตพระเยซู มีฤทธิ์เดชอำนาจที่จะชำระล้างวิญญาณ หรือจิตใจมนุษย์ให้บริสุทธิ์ เหมือนพระเจ้า”

เมื่อเราเหมือนพระเจ้า พระเจ้าบอก เราบริสุทธิ์ เจ้าต้องบริสุทธิ์ ก็สำเร็จเสร็จสิ้น เมื่อต่างฝ่ายต่างบริสุทธิ์ ก็อยู่ด้วยกันได้ เป็นครอบครัวเดียวกันในสวรรค์สถานนั่นเอง  เอเมน

เพราะฉะนั้น ใครบริสุทธิ์แล้วยกมือขึ้น?  แสดงว่าผู้คนเหล่านี้ใช้สิทธิของเขา ใช้ความเชื่อในฤทธิ์เดชอำนาจแห่งพระโลหิตพระเยซูคริสต์ไปแล้ว สำหรับคนที่ไม่ยก ไม่ผิดนะ แสดงว่าเขายังไม่ได้สิทธิเท่านั้นเอง ไม่มีอะไร ไม่ได้ต่างกันตรงไหนเลย เขาก็ได้รับการชำระให้บริสุทธิ์เหมือนพระเจ้า โดยพระเยซูคริสต์ไปแล้ว แต่เขายังไม่ได้ใช้สิทธิของเขา เมื่อไม่ใช้ เขาก็เลยบอกว่าเขายังไม่ได้ ก็ถูกในอีกแง่มุมหนึ่ง เพราะฉะนั้น คนที่ยกมือ ก็คือคนที่มั่นใจและเชื่อในฤทธิ์เดชอำนาจแห่งพระโลหิตแห่งพระเยซูคริสต์ไปแล้ว จึงได้รับการชำระในวิญญาณ สะอาดหมดจด ใช้คำว่า “บริสุทธิ์” คือ “Holy” เหมือนใคร? เหมือนพระเจ้า ปราศจากตำหนิใดๆ ปราศจากตำหนิเลย เหมือนที่เราบอกว่าพระเจ้าทรงบริสุทธิ์ ปราศจากตำหนิ มนุษย์บริสุทธิ์ปราศจากตำหนิได้ ด้วยฤทธิ์เดชอำนาจแห่งพระโลหิตของพระเยซู ซึ่งมีฤทธิ์เดชอำนาจเป็นอัศจรรย์ตั้งแต่สมัย 2,000 ปีที่แล้วที่ไม้กางเขน จนถึงทุกวันนี้ ก็ยังมีฤทธิ์อำนาจอยู่ และจะมีฤทธิ์อำนาจอย่างนี้ไปเรื่อยๆ ตลอดกาล เหมือนเพลงนี้

“ฤทธิ์อำนาจมีในโลหิตพระคริสต์             อัศจรรย์ ฤทธิ์อนันต์

ฤทธิ์อำนาจมีในโลหิตพระคริสต์            อัศจรรย์มีฤทธิ์ล้างบาปนั้น”

นี่เขาร้องมา 2,000 ปี แล้วจะร้องต่อไปจนสุดสิ้น จนกระทั่งไปสู่ชีวิตใหม่ในโลกหน้า ก็ยังร้องอยู่ เพราะว่ามีฤทธิ์อำนาจตลอดเวลา

“ฤทธิ์อำนาจมีในโลหิตพระคริสต์             อัศจรรย์ ฤทธิ์อนันต์

ฤทธิ์อำนาจมีในโลหิตพระคริสต์            อัศจรรย์มีฤทธิ์ล้างบาปนั้น”

ฤทธิ์อำนาจ อำนาจ อำนาจ อำนาจ ในโลหิตพระคริสต์  อัศจรรย์  ฤทธิ์อนันต์

ฤทธิ์อำนาจมีในโลหิตพระคริสต์            อัศจรรย์มีฤทธิ์ล้างบาปนั้น”

ขอบคุณพระเยซู เอเมน

 

*********************

 

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 1 เมษายน 2018 เรื่อง “สำเร็จแล้ว” โดย นคร เวชสุภาพร

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  1  เมษายน  2018

 เรื่อง “สำเร็จแล้ว”

โดย นคร  เวชสุภาพร

            สุขสันต์วันเป็นขึ้นจากความตาย เอเมน ชื่อเรื่องของวันอีสเตอร์นี้ว่า “สำเร็จแล้ว”

เมื่อนึกถึงวันอีสเตอร์ เราก็นึกถึงก่อนหน้านี้ 2-3 วัน ก็คือวันพฤหัส  วันศุกร์ ที่พระคัมภีร์บันทึกไว้ว่าพระเยซูเริ่มทนทุกข์ทรมาน รับเอาความบาปของเราทั้งหลายไป นั่นคือหนึ่งในแผนการของพระเจ้าที่จะทำให้สำเร็จในวันอีสเตอร์ด้วยเช่นเดียวกัน

สุขสันต์วันเป็นขึ้นจากตาย สุขสันต์วันสำเร็จแล้ว สุขสันต์วันแห่งชัยชนะของมวลมนุษยชาติ ไม่ใช่ของพระเยซูผู้เดียว พระองค์เป็นตัวแทนของมนุษยชาติ เมื่อพระองค์ทรงชนะ มนุษยชาติชนะด้วย และแผนการนี้ สำเร็จแล้ว ไม่ใช่การทำสงคราม แต่สงครามใหญ่ยิ่งนี้ ได้ทำสำเร็จแล้ว ได้รับชัยชนะเรียบร้อยแล้ว เอเมน ทั้งหมดเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเรียบร้อยแล้ว ไม่ใช่รอว่ากำลังเกิดขึ้น แต่มันเกิดขึ้นแล้ว กำลังรับผลอยู่ตลอดเวลา เราจึงมาร่วมฉลองการเป็นขึ้นมาจากความตายของพระเยซูคริสต์ในเช้าวันนี้

หลังจากที่พระเยซูถูกทหารจับไปเมื่อวันพฤหัสฯ ที่สวนเกเสมนี ถูกทรมาน ถูกตรึงที่ไม้กางเขน จนกระทั่งตายที่ไม้กางเขน ตอนบ่าย 3 โมง จนถึงวันอาทิตย์ตอนเช้าตรู่ พระองค์ก็ฟื้นจากความตาย พระองค์ทรงเป็นขึ้นมาใหม่ พระคัมภีร์มีบันทึกไว้ว่าเมื่อวันศุกร์ หลังจากที่สิ้นพระชนม์บนไม้กางเขนแล้ว พระศพของพระเยซูได้ถูกอัญเชิญไปฝังที่อุโมงค์ ซึ่งปีลาตสั่งให้ปิดปากอุโมงค์อย่างแน่นหนา ด้วยหินก้อนใหญ่ แล้วจัดทหารเฝ้าเวรยาม อย่างเข้มแข็งตลอดเวลา

และเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในเช้าวันอาทิตย์ ก็คือวันนี้ เมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว คือเช้ามืด ได้เกิดแผ่นดินไหวที่อุโมงค์ มีทูตสวรรค์ของพระเจ้ามาเลื่อนหิน ที่ปิดปากอุโมงค์ออก ก้อนใหญ่ คนผลักไม่ได้ แต่ทูตสวรรค์ผลักออกมา พวกทหารยามที่เฝ้าอุโมงค์อยู่นั้น ก็ตกใจกลัว เห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น พากันวิ่งหนีไปหมดเลย แล้วเหล่าสาวกของพระเยซู ก็ได้มาพบอุโมงค์ที่ว่างเปล่า ไม่มีพระศพ ไม่มีร่างอยู่ในนั้น และในที่สุด ก็ได้พบกับพระเยซูที่เป็นขึ้นจากความตายจริงๆ แล้ว พระคัมภีร์บอกว่าการเป็นขึ้นจากความตายของพระเยซูคริสต์ เป็นการประกาศยืนยัน สถานภาพการเป็นพระเจ้าของพระองค์ ที่พระองค์พูดมาตลอดว่าพระองค์เป็นบุตรของพระเจ้า  เป็นพระเจ้า แต่ไม่มีคนเชื่อ เพราะฉะนั้น การเป็นขึ้นจากความตาย เป็นการยืนยัน โรม 1:4 ได้บันทึกเอาไว้

โรม 1:4 “โดยทางพระวิญญาณแห่งความบริสุทธิ์ พระองค์ได้รับการประกาศด้วยฤทธานุภาพว่าทรงเป็นพระบุตรของพระเจ้า โดยการเป็นขึ้นจากตาย พระองค์ คือพระเยซูคริสต์ องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา”

 

พระองค์ได้รับการประกาศด้วยฤทธานุภาพว่าทรงเป็นพระบุตรของพระเจ้า โดยการเป็นขึ้นจากตาย พระองค์ คือพระเยซูคริสต์ องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา การเป็นขึ้นจากตายของพระเยซู คือใบประกาศยืนยันว่าพระองค์เป็นบุตรพระเจ้าจริงๆ คือเป็นพระเจ้ามาเกิดเป็นมนุษย์จริงๆ ตอนที่พระเยซูเป็นมนุษย์ ก่อนตระเวนสั่งสอน เป็นช่างไม้ด้วยซ้ำไป ไม่ได้ทำอะไรเลย ตลอด 30 ปี อายุ 31  เริ่มประกาศถึงเรื่องเกี่ยวกับสวรรค์ และเริ่มประกาศว่าพระองค์เป็นใคร? พระเจ้าส่งพระองค์มาทำอะไร? และบอกว่าพระองค์ คือพระบุตรของพระเจ้า ทั้งบอกตรงๆ และบอกอ้อมๆ ตอนนั้นหลายคนได้ยินได้ฟัง ไม่เชื่อ แม้กระทั่งสาวกที่สนิทกัน อยู่ใกล้ๆ กัน ก็ยังไม่เชื่อ แม้พวกเขาเหล่านั้นจะได้เห็นการอัศจรรย์ที่พระเยซูทำ ในช่วงที่เดินอยู่บนโลกใบนี้มากมายใหญ่โต พวกเขาก็ไม่สามารถเชื่อจริงๆ ได้ว่าพระเยซูเป็นพระเจ้า เกินกว่าความสามารถของมนุษย์ที่จะเชื่อได้ โดยเฉพาะพวกยิวทั้งอิจฉา ทั้งต่อต้าน ทั้งไม่เข้าใจ ทั้งกลัวว่าอิทธิพลของตนเองในฐานะที่เป็นปุโรหิต หรือเป็นพระของยิว ที่ผู้คนนับถือ จะลดน้อยถอยลงไป ยิ่งต่อต้านพระเยซูมาก ยิวเหล่านี้ รับไม่ได้เลยนะว่าพระเยซูเป็นพระเจ้า เพราะว่าเขาถือว่าใครพูดอย่างนี้ ถือว่าเป็นการดูหมิ่นพระเจ้าของเขาอย่างมากมายเลย มนุษย์บาปอย่างเราจะไปเป็นพระเจ้าได้อย่างไร? เป็นบุตรพระเจ้าได้อย่างไร? เขาถือว่าหมิ่นพระเจ้า เขาถึงโกรธพระเยซูใหญ่ พระเยซูจึงต้องเป็นขึ้นจากความตาย ให้เขาเห็นเลย เพื่อยืนยันว่าพระองค์ทรงเป็นพระเจ้าจริงๆ เป็นพระบุตรของพระเจ้าจริงๆ ตามที่บอกไว้ ทั้งหมดก็เป็นแผนการของพระเจ้า ที่ได้ทรงจัดเตรียมไว้ล่วงหน้าแล้ว พระคัมภีร์บอกไว้อย่างนั้น ตั้งแต่ก่อนสร้างโลกอีก ก่อนจะมีพวกเราทุกคน แผนการนี้วางไว้เรียบร้อยแล้ว แผนการนี้มีชื่อว่าแผนการลับ แปลว่าลี้ลับ แปลว่าไม่มีใครรู้ ถูกซ่อนไว้ มีพระองค์เพียงผู้เดียวที่รู้ คือพระเยซูยังไม่รู้นะ  รู้ระแคะระคาย แต่ไม่รู้ครบถ้วนบริบูรณ์ รู้ตามที่พระเจ้าอนุญาตให้รู้ ทราบอยู่ผู้เดียว คือพระเจ้าพระบิดา

ถามว่าพระเยซูต้องเป็นขึ้นจากความตาย เพื่ออะไร?  ทำไมต้องยืนยันสถานภาพการเป็นพระเจ้าของตนเอง? ทั้งหมด เพื่อยืนยันว่าสิ่งที่พระองค์พูดไว้ทั้งหมด นอกเหนือจากว่าที่พระองค์บอกว่าพระองค์เป็นพระเจ้าแล้ว พระองค์เป็นบุตรพระเจ้า แล้วมาเกิดเป็นมนุษย์ทำไม? สวรรค์อยู่นี่แล้ว คืออะไร? เราจะพาพวกท่านไปหาพระเจ้า คืออะไร? แล้วสอนเรื่องเกี่ยวกับโลกวิญญาณอีกเยอะแยะ มันเป็นจริงอย่างไร? สอนไปตอนก่อนที่จะสิ้นพระชนม์ ก่อนที่จะเป็นขึ้นมาจากความตาย สอนไว้เยอะแยะเลย ผู้คนฟัง ก็ฟังไปอย่างนั้น  แต่ตอนนี้เป็นขึ้นมาจากความตาย เอาไปย้อนดูสิว่าเราเคยพูดอะไรไว้? ยืนยันว่ามันเป็นจริงตามนั้นทั้งหมดแล้ว เมื่อเราบอกว่าเราจะเป็นขึ้นจากความตาย แล้วเป็นขึ้นจริงๆ เพราะฉะนั้น  สิ่งที่เราพูดเยอะแยะไปหมด ก็คือเป็นจริงทั้งสิ้น นี่คือเหตุที่พระเยซูต้องเป็นขึ้นจากความตาย มีผลตรงนี้ด้วย

ลูกา 24:44-46  “44 พระองค์ตรัสกับพวกเขาว่านี่คือสิ่งที่เราบอกไว้ เมื่อยังอยู่กับท่านทั้งหลาย คือทุกสิ่งต้องสำเร็จตามที่เขียนไว้เกี่ยวกับเรา ในหนังสือบัญญัติของโมเสส หนังสือผู้เผยพระวจนะ และในหนังสือสดุดี” 45 จากนั้น พระองค์ทรงเปิดใจเขา เพื่อพวกเขาจะสามารถเข้าใจพระคัมภีร์ 46 พระองค์ตรัสบอกพวกเขาว่า “นี่คือสิ่งที่เขียนไว้ คือพระคริสต์ต้องทนทุกข์ และเป็นขึ้นจากตายในวันที่สาม”

 

นี่อาจจะเป็นเหตุการณ์ ที่เรียกว่าเป็นการประกาศข่าวดีในเรื่องพระเยซูเป็นครั้งแรกของโลกนี้ ก็ได้  โดยพระเยซูประกาศเอง เพราะนี่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น หลังจากพระเยซูเป็นขึ้นจากความตาย ยังไม่ได้พบกับเหล่าสาวกทั้งหมดเลยนะ พบไม่กี่คน? แล้วก็ตรัสเมื่อสักครู่นี้

เมื่อพระเยซูประกาศยืนยันแล้วว่าพระองค์ทรงเป็นพระเจ้าจริงๆ โดยการเป็นขึ้นจากความตาย เพราะฉะนั้น  ทุกสิ่งทุกอย่างที่ได้กล่าวถึงพระองค์ ที่พระองค์ได้ทรงพูดไว้ และที่พระคัมภีร์ได้บันทึกเกี่ยวกับพระองค์ เผยพระวจนะเรื่องเกี่ยวกับพระองค์ไว้ทั้งหมด ตั้งแต่พระคัมภีร์เดิม มาถึงจบพระคัมภีร์เดิม ตั้งแต่หน้าแรก ปฐมกาลจนกระทั่งจบมาลาคี เป็นจริงตามนั้นทั้งหมดเลย พระเยซูกำลังยืนยันว่ามันเป็นตามนั้นทั้งหมด ตรงนี้แหละคือสิ่งที่พระคัมภีร์ รวมทั้งทุกคนที่มาเชื่อพระเจ้า พยายามที่จะเน้นแล้วเน้นอีก ย้ำแล้วย้ำอีกว่าความจริงเหล่านี้ มันจะทำให้คนที่รู้ความจริง เป็นไทย เป็นอิสระ ที่พระเยซูบอกว่า …

“ท่านจะรู้ความจริง และความจริงจะทำให้ท่านเป็นไท หมายถึงท่านจะรู้ความจริงของเรา ความจริงเหล่านั้นอยู่ที่ไหน?  อยู่ที่เราบอกท่าน ที่เราเดินอยู่กับท่าน 3 ปี สอนท่าน และที่เขาพูดถึงเกี่ยวกับเราในพระคัมภีร์เดิม ที่บันทึกไว้ตั้งแต่สมัยโมเสส ตั้งแต่ปฐมกาลมาจนถึงมาลาคี พูดถึงเราทั้งเล่มเลย”

ความจริงเหล่านี้จะทำให้ท่านเป็นไท ผมก็เป็นไทจากความจริงเหล่านี้ และคนอีกมากมาย ก็จะเป็นไทจากความจริง ในเรื่องพระเยซูคริสต์ จากถ้อยคำของพระองค์ และความจริงที่จะเป็นข้อบรรยายในวันนี้ อีกตอนหนึ่ง ก็คือคำพูดสุดท้ายของพระเยซู ที่อยู่ในร่างของมนุษย์ ก่อนสิ้นพระชนม์ ที่ไม้กางเขน ยอห์น 19:30 บันทึกเอาไว้เป็นประวัติศาสตร์

ยอห์น 19:30 “พระเยซูตรัสว่า “สำเร็จแล้ว” จากนั้น พระองค์ก้มพระเศียรลง และสิ้นพระชนม์”

 

นึกถึงภาพว่าเราทำอะไรบางอย่างเสร็จแล้ว ด้วยความเหนื่อยยาก ด้วยความทุกข์ทรมาน ถึงแม้มันเหนื่อยแค่ไหนก็ตาม แต่มันเสร็จงาน  เหมือนเราสร้างบ้าน  เหนื่อยมาตั้งแต่วันแรก สร้างมา 3 ปี  ตะปูตัวที่จะตอกสุดท้าย สำเร็จแล้ว ส่งเราไปโรงพยาบาลพอดี เราเหนื่อยเหลือเกิน

ถามว่าเราเหนื่อย แล้วเราดีใจไหม? ดีใจ มันเสร็จแล้ว ถามว่าตะโกนไหม? ไม่ มันไม่มีแรง ได้แค่นั้น เพราะมันเหนื่อย พระเยซูก็อย่างนั้นแหละ ทุกข์ทรมาน แต่คำพูดนั้น เต็มไปด้วยพลังแห่งความยินดีว่ามันสำเร็จ มันอาจจะเบา แต่ข้างในมันดัง เพราะรู้ว่ามันสำเร็จแล้ว

คำว่า “สำเร็จแล้ว” ภาษาเดิมใช้คำว่า “Testelesti” ซึ่งแปลเป็นภาษาอังกฤษว่า “Paid in Full” หรือภาษาไทย “จ่ายครบถ้วน” หรือ “จ่ายหมดแล้ว”

ใครที่ซื้อรถ  ซื้อบ้าน ที่ผ่อนหมดแล้ว จะมีความสุข วิ่งรอบเมืองเลย จ่ายหมดแล้ว เป็นอิสระแล้ว พระเยซูพูดคำนี้ วันนั้นแหละ ความหมาย ก็คือการสิ้นพระชนม์ของพระเยซูคริสต์ ได้ทรงปลดหนี้สินให้เราหมดแล้ว เอเมน ทุกคนในนี้คุ้นปากมาตลอด …

“เมื่อไรจะหมดเวรหมดกรรมสักที”

ตอนที่เขาไล่เราออกจากงาน หรือตอนที่หมอบอกป่วยกระทันหัน เป็นอะไรหนักๆ  หรือตอนน้ำท่วมบ้านเยอะๆ แล้วเราก็บอกว่าเมื่อไรจะหมดเวรหมดกรรม พระเยซูบอกจ่ายหมดแล้ว มนุษย์ทุกคนเกิดมา มีหนี้สินติดตัว หนี้สินนี้คือหนี้สินทางวิญญาณ พอเกิดปุ๊บ พูดง่ายๆ ก็ถูกจับเซ็นต์สัญญา เป็นหนี้ทันทีเลย เพราะบรรพบุรุษของเรา ไปเป็นหนี้เขา คืออาดัมไปเป็นหนี้บาป … หนี้บาป ก็ติดมา มนุษย์ไม่ต้องทำอะไรเลย  เกิดมาก็เป็นคนบาปแล้ว มีหนี้บาปอยู่ และจะต้องชดใช้หนี้บาปนี้ ไม่มีทางจะหมดได้ แต่ก็ต้องผ่อนต่อไปเรื่อยๆ ซึ่งมนุษย์ทุกคน ก็รู้ดี ในวิญญาณ ในจิตใจว่าลบล้างอย่างไรก็ไม่หมด เพราะจิตสำนึกทุกคนเป็นวิญญาณ ที่มาจากพระเจ้า รู้ว่าตัวเองเป็นคนบาป แล้วรู้ว่าที่จะหมดบาปได้  โดยกระทำดีเยอะๆ แต่ทำไป เดี๋ยวก็ทำบาปอีกแล้ว ทำดีแค่ไหน? ก็ไม่พอ

คราวนี้กลับมาถึงวันศุกร์  เมื่อเกือบ 2,000 ปีที่แล้ว ศุกร์ประเสริฐ ที่พระเยซูคริสต์ถูกจับไปตรึงตายที่ไม้กางเขน การถูกตรึงบนไม้กางเขนของพระเยซู พระคัมภีร์บอกว่าพระองค์ได้ทรงปลดหนี้บาปให้กับมนุษย์ทุกคน จนหมดสิ้นเลย  ทั้งอดีต ปัจจุบัน และอนาคต มนุษย์ทุกคนจึงไม่มีหนี้บาปอีกต่อไปเลย ตั้งแต่วันศุกร์ เมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว ที่พระเยซูถูกตรึงที่ไม้กางเขน แล้วพูดคำว่า

“สำเร็จแล้ว”

คำว่า “สำเร็จแล้ว” หรือ “Testelesti” ที่พระเยซูกล่าวที่ไม้กางเขน ก่อนสิ้นพระชนม์ ความหมายอย่างแรก ก็คือการอภัยโทษในบาปให้กับมนุษยชาตินั้น มันเสร็จเรียบร้อยทั้งหมดแล้ว ครบถ้วนแล้ว ไม่ต้องมายุ่งอะไรกับพวกเราอีกต่อไป เพราะพระองค์เป็นตัวแทน เพราะฉะนั้น พระเยซูทำอะไร เราก็ทำอย่างนั้นแหละ พระเยซูจ่ายแทนเรา เป็นตัวแทนของเรา เป็นแพะรับบาปให้กับเรา

พระคัมภีร์บอกว่าการไถ่ของพระเยซู เพียงครั้งเดียว ที่ไม้กางเขน เมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว ก็เพียงพอที่จะลบล้างหนี้บาปให้กับมนุษยชาติทั้งปวง ได้อย่างครบถ้วนบริบูรณ์ และถาวรนิรันดร์ ในฮีบรู 9:12-14 บันทึกเอาไว้อย่างนี้  …

ฮีบรู 9:12-14 “12 พระองค์ไม่ได้ทรงเข้าไป ด้วยเลือดแพะหรือเลือดวัว แต่พระองค์ทรงเข้าไปสู่อภิสุทธิสถาน ด้วยพระโลหิตของพระองค์เอง พระองค์ทรงกระทำเช่นนี้เพียงครั้งเดียวเป็นพอ  และได้การไถ่บาปชั่วนิรันดร์มา 13 เลือดแพะ เลือดวัว หรือเถ้าถ่านจากวัวตัวเมีย ที่ประพรมลงบนผู้มีมลทิน ตามระเบียบพิธี ได้ชำระเขาให้บริสุทธิ์ เพื่อเขาจะสะอาดภายนอก 14 แล้วยิ่งกว่านั้นสักเพียงใด พระโลหิตของพระคริสต์ ผู้ถวายพระองค์เอง อย่างปราศจากตำหนิ แด่พระเจ้า โดยทางพระวิญญาณนิรันดร์ ย่อมชำระจิตสำนึกของเรา จากการกระทำอันนำไปสู่ความตาย เพื่อเราจะได้รับใช้ พระเจ้าผู้ทรงพระชนม์อยู่”

 

ในสมัยก่อนนี้  พวกมหาปุโรหิตที่เป็นมนุษย์ เขาก็จะนำเลือดสัตว์ เป็นวัว แพะ เข้าไปถวาย เป็นการปกปิดบาปเอาไว้ ชั่วคราว ปีหนึ่งทำครั้งหนึ่ง แต่พระเยซูคริสต์ทรงใช้เลือดของตนเอง ซึ่งเป็นเลือดที่บริสุทธิ์แด่พระเจ้า เป็นการชดใช้ หนี้บาปของมนุษยชาติ เป็นตัวแทนให้กับมนุษย์ ซึ่งพระคัมภีร์เขียนว่า …

“เพียงครั้งเดียว ก็พอแล้ว”

ครั้งเดียว พอเลย เพราะว่าพระองค์ยิ่งใหญ่ เป็นพระเจ้า มาเป็นมนุษย์ ครั้งเดียวพอ ได้รับการไถ่บาปชั่วนิรันดร์ ชดใช้หนี้สินหมดแล้ว ไม่ต้องเป็นหนี้บาปใครอีกต่อไป นิรันดร์ ตลอดไปเลย

ฮีบรู 10:12-14 “12 แต่เมื่อปุโรหิตองค์นี้ ถวายเครื่องบูชาลบล้างบาปครั้งเดียว สำหรับตลอดไปแล้ว ก็ประทับลงที่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้า 13 นับแต่นั้นมา พระองค์ทรงรอคอยจนกว่าเหล่าศัตรูของพระองค์ จะถูกทำให้เป็นแท่นวางพระบาทของพระองค์ 14 เพราะพระองค์ได้ทรงกระทำให้บรรดาผู้ที่กำลังรับการทรงชำระให้บริสุทธิ์นั้น บรรลุความสมบูรณ์พร้อมเป็นนิตย์  โดยการถวายบูชาครั้งเดียว

 

โดยการถวายบูชาเพียงครั้งเดียว ก็เพียงพอที่จะทำให้มนุษยชาติทั้งปวง ได้บรรลุสมบูรณ์พร้อมนิรันดร์ คือเรียบร้อยเลย ไม่ต้องทำอะไรอีกแล้ว เพราะว่าพระเยซูจ่ายให้หมดเรียบร้อยแล้ว

ถ้าพูดเป็นตัวเป็นตน จับต้องมองเห็นได้ บริสุทธิ์ เป็นลูกของพระเจ้า มีวิญญาณที่เป็นสปีซี่ย์เดียวกับพระเจ้า สามารถมีสิทธิ์ อยู่ในสวรรค์กับพระเจ้าได้ วิญญาณใสกริ๊งสะอาดบริสุทธิ์เลย ใหม่เอี่ยมเลย ไม่เคยมีสิ่งสกปรก คือความบาปอยู่เลยแม้แต่นิดเดียว และไม่สามารถมีได้เลยตลอดไป  รับเมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว ที่พระเยซูตายที่ไม้กางเขน บ่าย 3 โมงวันศุกร์ แล้วพระองค์บอกสำเร็จแล้ว นั่นแหละได้ไปแล้ว แต่เราพึ่งมาเกิดตอนนี้ และตอนเกิด เราก็ยังไม่รู้ข่าวดีนี้  ไม่มีคนมาเล่าให้เราฟังอย่างนี้  หรือเล่าแล้ว เรายังไม่เชื่อ เพราะเรายังเย่อหยิ่งอยู่ หรือเราขี้เกียจฟัง เรายังไม่ถึงจนตรอก เรายังช่วยตัวเองได้ เรารู้สึกว่าเรายังมีกำลังจะผ่อนต่อ ก็ผ่อนไปเรื่อยๆ เรายังมีความรู้สึกว่าเรายังไม่อยากเป็นลูกพระเจ้า มันเว่อร์ไป ขอเป็นลูกมนุษย์ที่มีเงิน ก็พอแล้ว เราคิดของเราไปอย่างนั้นแหละ แต่วันหนึ่ง เราตัดสินใจแล้วว่าเราจะกลับไปหาพระเจ้าแล้ว เราจะใช้สิทธิ์ของเรา เราเชื่อแล้วว่านี่เป็นจริง พระเยซูตายที่ไม้กางเขน มันสำเร็จ เรียบร้อยแล้ว เวรกรรมของเราไม่มีอีกต่อไปแล้ว พอเราเชื่อปุ๊บ พระคัมภีร์บอกว่าปากพูด ใจเชื่อว่าพระเยซูเป็นพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์ ตายที่ไม้กางเขน และเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่ 3 ทันทีทันใดนั้น ความชอบธรรมเกิดขึ้นในวิญญาณของเรา ปิ๊งขึ้นมาทันทีเลย กลายเป็นคนไม่มีบาปอีกต่อไป กลายเป็นลูกพระเจ้า นี่แหละคือสิ่งที่เกิดขึ้น

ในหนังสือโคโลสี บทที่ 1 ได้ขยายความผลที่เราได้รับ ถ้าใช้คำว่า “จะได้รับ” หมายถึงเรายังไม่เชื่อ มันก็เลย ไม่ได้รับสักที แต่ความเป็นจริงของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น มันเสร็จไปแล้ว ได้รับไปแล้ว พระเยซูไถ่บาปให้กับคุณนครเรียบร้อยไปแล้ว ตั้งแต่ 2,000 ปี แต่คุณนครจะได้รับ ก็ต่อเมื่อคุณนครเชื่อ  ดูโคโลสี 1:12-14 ดูผลว่าการไถ่บาปชั่วนิรันดร์นี้ เป็นลักษณะเช่นไร?

โคโลสี 1:12-14 “12 ขอบพระคุณพระบิดาผู้ทรงทำให้พวกท่าน เหมาะสมที่จะมีส่วนในกรรมสิทธิ์ของประชากรของพระเจ้า ในอาณาจักรแห่งความสว่าง 13 เพราะพระองค์ได้ทรงช่วยเราให้พ้นจากอาณาจักรของความมืด และทรงนำเราเข้ามาสู่อาณาจักรของพระบุตรที่รักของพระองค์ 14 ในพระบุตรนี้ เราได้รับการไถ่บาป คือการอภัยโทษบาปของเรา”

 

ได้ไปแล้ว พระคัมภีร์เขียนไว้ตั้ง 2,000 ปี ผลที่เราได้รับจากการไถ่บาปนิรันดร์ของพระเยซู ก็คือที่เราอ่าน นี่เห็นชัดเลยว่าผลก็คือข้อ 13 ย้อนกลับมานิดหนึ่ง

โคโลสี 1:13 “เพราะพระองค์ได้ทรงช่วยเราให้พ้นจากอาณาจักรของความมืด และทรงนำเราเข้ามาสู่อาณาจักรของพระบุตรที่รักของพระองค์”

 

พระบุตร ชื่อพระเยซู มีอะไรบางอย่างเกิดขึ้นในสถานที่หนึ่ง ที่เรียกว่าโลกวิญญาณจริงๆ มีอะไรบางอย่างเกิดขึ้นจริงๆ ตอนที่พระเยซูถูกตรึงที่ไม้กางเขน แล้วพระองค์บอกสำเร็จแล้ว คือพระองค์กำลังเป็นตัวแทนของมนุษยชาติ พามวลมนุษยชาติออกจากอาณาจักรของความมืด ซึ่งมีอีกชื่อหนึ่งว่าครอบครัวอาดัม … อาดัมตกลงไปในความบาป เป็นทาสของมาร เป็นทาสของความบาป ในวันนั้น วันที่พระเยซูบอกสำเร็จแล้ว ก็คือแผนการพระเจ้าที่จะย้ายลูกของตนเองออกจากอาณาจักรของความมืด มาสู่อาณาจักรของความสว่าง มันสำเร็จแล้ว พระคัมภีร์บอกว่ามนุษย์ทุกคนอยู่ในอาดัม มนุษย์ทุกคนอยู่ในความบาป เราแค่ตัดสินใจใช้สิทธิ์ตัวเอง ยกมือเท่านั้น  ไม่ได้ทำอะไรเลย

“ลูกเชื่อแล้วว่าลูกเป็นไปตามพระคัมภีร์ ลูกเป็นตระกูลบาป จากอาดัม ลูกต้องการความช่วยเหลือ จากนี้ไป ไม่ช่วยเหลือตัวเองอีกแล้ว ไม่ใช้กำลังตัวเองที่จะทำทุกอย่าง เพื่อจะหลุดพ้นอีกแล้ว พระเยซูนั่นแหละเป็นตัวแทน เป็นมนุษย์คนหนึ่งที่เป็นตัวแทนให้กับฉัน เป็นบรรพบุรุษอีกคนหนึ่งต่อจากอาดัม มีพระเยซูอีกคนหนึ่ง ขอย้าย เชื่อแล้วว่ามันเป็นจริง”

ข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์เป็นฤทธิ์อำนาจ ทำเสร็จแล้ว มันเกิดขึ้นแล้ว สิ่งเหล่านี้ที่ผมยกตัวอย่างมาให้ท่านดู มันมาจากพระคัมภีร์ทั้งสิ้นเลย  ย้ายเราจากอาณาจักรของความมืด มาสู่ความสว่าง โดยการสิ้นพระชนม์ของพระองค์ หลั่งพระโลหิตของพระองค์เพียงครั้งเดียว พอแล้ว มนุษย์ไม่ต้องทำไรอีกแล้ว เพราะมันเสร็จสิ้นไปแล้ว ท่านทำอะไรก็ไม่เกี่ยวข้องเลย ถูกหลอกให้เหนื่อยเปล่าๆ ในหนังสือเอเฟซัส ก็พูดตรงนี้ชัดอีก ผมจะยกมาให้ท่านอีกข้อหนึ่ง พูดเหมือนกันเลย  จริงๆ ในพระคัมภีร์ ถ้าท่านเริ่มสังเกต ต่อไปนี้ท่านจะเห็น สังเกตเลย  ไปอ่านดูในพระคัมภีร์ใหม่ทั้งหมด ที่พูดถึงข่าวประเสริฐ จะพูดเป็นลักษณะสิ่งที่เกิดขึ้นไปแล้ว เรียบร้อยไปแล้ว ทำไปแล้ว ได้ไปแล้วทั้งสิ้น ไม่ใช่ “จะๆๆๆ” เหมือนอย่างที่หลักข้อศาสนาชอบสอนเราว่าจะ …

“รักษาตัวให้ดีๆ นะ แล้วเธอจะได้ไปอยู่กับพระเจ้า” เคยได้ยินไหม? บ่อยเลย

“พยายามถวายทรัพย์เยอะๆ นะ แล้วเธอจะได้พระพรจากพระเจ้า” ถูกหรือไม่ถูก?

“มาวันอาทิตย์บ่อยๆ มาเรียนพระคัมภีร์นะ ถ้าอยากจะได้พระพรจากพระเจ้า” ถูกไหม?

จริงๆ พระพรจากพระเจ้าให้เราหมดแล้ว ทั้งหมด ครบถ้วน บริบูรณ์ เพื่อจะดำเนินชีวิตอยู่ในการที่ดีของพระเจ้า เรียบร้อยไปแล้ว ส่วนการกระทำเหล่านั้น มันเป็นสิ่งที่สมควรทำ ให้เกิดประโยชน์บ้าง แล้วแต่สถานการณ์

เอเฟซัส 1:7 “ในพระเยซูเราได้รับการไถ่บาป โดยพระโลหิตของพระองค์ คือได้รับการอภัยโทษบาป ตามพระคุณอันอุดมของพระเจ้า”

 

ตกลงได้รับการอภัยโทษหรือยัง? ได้รับแล้ว เมื่อ 2,000 ปีมาแล้ว มนุษย์ทำไม่ได้ด้วยตัวเอง พระเจ้าจึงต้องมาเกิดเป็นมนุษย์ มาช่วยมนุษย์ เป็นตัวแทนมนุษย์ มาทำให้เรา แล้วเราก็ถูกหลอกไปเรื่อยๆ พอไปถึงลูกหลานเรา  เขาก็นึกว่ายังไม่ได้ ถ้าได้ แล้วพ่อแม่เราจะอธิษฐานอย่างนี้หรือ?

 

… ความหมายของคำว่า “สำเร็จแล้ว” …

ข้อแรก ก็คือเราได้รับการอภัยโทษ จากบาปเรียบร้อยไปแล้ว

ข้อที่สอง คือมนุษย์ได้รับอิสรภาพแล้ว จากหนี้บาปเวรกรรมทั้งสิ้น อันนี้ก็สำเร็จแล้ว

เมื่อสำเร็จแล้ว ไม่ได้เป็นหนี้บาปเวรกรรม เพราะฉะนั้น พระคัมภีร์จึงได้บันทึกว่าคนที่เป็นมนุษย์ที่เชื่อตรงนี้ หรือเชื่อพระเยซู ตายที่ไม้กางเขน บังเกิดขึ้นแล้ว คือทำให้มนุษย์ทั้งปวงได้ตายต่อบาปแล้ว พูดง่ายๆ คือบาปไม่สามารถทำอะไรเราได้อีกแล้ว บาป แต่ก่อนนี้ทำอะไรเราได้ ก็คือลงโทษเรา  เราทำผิด ก็โดน ฟันต่อฟัน ตาต่อตา แต่ต่อไปนี้ พระเยซูอยู่ที่ไม้กางเขน สำเร็จเรียบร้อยไปแล้ว ทำให้เราเป็นอิสระจากบาปแล้ว เพราะฉะนั้น บาปทำอะไรเราไม่ได้ ก็คือเราตายต่อบาป พระคัมภีร์ใช้คำนี้ ท่านจะได้เข้าใจด้วยว่าภาษาพระคัมภีร์ หมายถึงอะไร? ตายต่อบาป หมายถึงเป็นผลดี เราตายต่อบาป ท่านเคยเห็นคนตายไหม? จะด่าเขาอย่างไร? เขาก็นอนอยู่เฉยๆ จะเตะเขาอย่างไร? เขาก็ไม่เจ็บ

คำว่า “ตายต่อบาป” แปลว่าบาปทำอะไรเราไม่ได้แล้ว เราไม่ได้อยู่ในกฎของความบาป แต่เราอยู่ในกฎของวิญญาณแห่งชีวิตในองค์พระเยซูคริสต์ เราอยู่ในเมืองนี้ไม่มีกฎแล้ว เมืองนี้มีแต่พระคุณ(ฝั่งพระเยซูคริสต์) เมืองนี้มีแต่กฎ ฟันต่อฟัน ตาต่อตา (ฝั่งอาดัม)

เพราะฉะนั้น เวลาอ่านพระคัมภีร์ท่านต้องสังเกตตรงนี้ ให้ดีๆ ว่ามันเสร็จสิ้นไปแล้วหรือยัง?  อะไรบ้างที่ยังไม่เสร็จสิ้น ท่านจงทำ แต่ถ้าท่านอ่านดูแล้ว และอะไรสำเร็จแล้ว ท่านอย่าทำนะ ท่านจงรู้ว่าท่านได้รับไปแล้ว ฝืนมันหน่อย การสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขนของพระเยซูคริสต์ ทำให้เราเป็นลูกของพระเจ้าแล้ว สะอาดหมดจดเหมือนพระเจ้าแล้ว บริสุทธิ์เหมือนพระเจ้าแล้ว ในสายพระเนตรพระเจ้า เราเป็นผู้ชอบธรรม สะอาดบริสุทธิ์ เหมือนพระเยซูเลย แทบไม่กล้าพูดใช่ไหมว่าเหมือนพระเยซู เพราะว่าพระเยซูคริสต์กับเรา มีค่าเท่ากันแล้วตอนนี้ เพราะพระองค์เกิดมาเป็นมนุษย์เหมือนเรา แต่ตอนนี้พระองค์พาพวกเรากลับไปเหมือนพระองค์ ก็คือเอาบาปเราออกไป แล้วเราเป็นบุตรของพระองค์ เป็นวิญญาณเดียวกับพระองค์เลย รอวันแห่งการเปลี่ยนแปลงร่างกายเก่าของเราเท่านั้นเอง รอให้เราตายไป สิ้นสุดเวลาของร่างกายนี้ วิญญาณเราออกจากร่าง เตรียมไปรับร่างกายใหม่ พระคัมภีร์จึงบอกว่าการตาย มีกำไรมากกว่าการอยู่ เพราะอย่างนี้ ในฮีบรู บทที่ 8 พระสัญญาที่พระเจ้าทำกับเราในพระเยซูคริสต์ เป็นพันธสัญญาใหม่ ซึ่งมันเกิดการเปลี่ยนแปลงดีกว่าพันธสัญญาเก่าที่ไม่มีการเปลี่ยนแปลง แต่ใช้การกระทำ ฮีบรู 8:8-13 …

ฮีบรู 8:8-13 “8 แต่พระเจ้าทรงเห็นข้อผิดพลาดของเหล่าประชากร และตรัสว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้าประกาศว่าเวลานั้นจะมาถึง เมื่อเราจะทำพันธสัญญาใหม่กับพงศ์พันธุ์อิสราเอล และกับพงศ์พันธุ์ยูดาห์ 9 เป็นพันธสัญญาซึ่งไม่เหมือนพันธสัญญา ที่เราได้ทำไว้กับบรรพบุรุษของเขา เมื่อเราจูงมือพวกเขา นำออกมาจากดินแดนอียิปต์ เพราะพวกเขาไม่ได้คงความสัตย์ซื่อต่อพันธสัญญาของเรา และเราเมินหนีจากพวกเขา องค์พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนั้น 10 นี่คือพันธสัญญา ที่เราจะทำกับพงศ์พันธุ์อิสราเอล หลังจากสมัยนั้น องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสดังนี้ เราจะใส่บทบัญญัติของเราในจิตใจของพวกเขา จารึกบนหัวใจของพวกเขา เราจะเป็นพระเจ้าของพวกเขา และพวกเขาจะเป็นประชากรของเรา 11 ผู้คนจะไม่สอนเพื่อนบ้าน หรือสอนพี่น้องของตนอีกต่อไปว่า ‘จงรู้จักองค์พระผู้เป็นเจ้า’ เพราะพวกเขาทุกคนจะรู้จักเรา ตั้งแต่ผู้น้อยที่สุดไปจนถึงผู้ใหญ่ที่สุด 12 เพราะเราจะอภัยความชั่วช้าของเขา และจะไม่จดจำบาปทั้งหลายของเขาอีกต่อไป” 13 โดยการตรัสเรียกพันธสัญญานี้ว่า “พันธสัญญาใหม่” พระองค์ทรงทำให้พันธสัญญาแรกพ้นสมัยไป สิ่งที่พ้นสมัยหรือเก่า ย่อมจะสูญสิ้นไปในไม่ช้า”

 

“เพราะเราจะอภัยความชั่วช้าของเขา (เขา คือมวลมนุษยชาติ) และจะไม่จดจำบาปทั้งหลายของเขาอีกต่อไป” พระเจ้าตรัสเช่นนั้นแหละ ไม่จดจำเลย

สิ่งที่เราต้องการ คือการเปลี่ยนแปลงจากวิญญาณของเรา ซึ่งพระเจ้าทำเสร็จแล้ว ในพระเยซูคริสต์ เอาใจใหม่ให้เราเลย คือวิญญาณใหม่เอี่ยม 2 โครินธ์ 5:17 ดูสิ ใหม่เอี่ยมทั้งสิ้นเลย  เอาวิญญาณใหม่ให้กับเราเลย เพราะวิญญาณเก่าใช้ไม่ได้ บังเกิดใหม่ ซึ่งพระเยซูทำให้สำเร็จแล้ว คือการเปลี่ยนแปลงในวิญญาณข้างใน มันสำคัญมาก ร่างกายภายนอก ความคิดภายใน พยายามทำสิ่งที่ตนเองคิดว่าดี หรือพระคัมภีร์เดิมคิดว่าถูกต้องตามกฎ เราก็รักษากฎๆ พยายามทำ พลาด ก็พลาดอีกแล้ว ทำใหม่ เหนื่อยจนตาย ก็ไม่จบสักที ไม่ครบถ้วนบริบูรณ์ ไม่สามารถล้างข้างในออกได้ ล้างข้างนอกได้บ้าง? ล้างความคิดได้บ้างว่า …

“ฉันได้ทำบุญบ้าง? ฉันรู้สึกได้ทำดีบ้าง? รู้สึกดีขึ้น”

เราจะได้คุณภาพเหมือนพระเจ้าอย่างนี้ได้ มีทางเดียวเท่านั้น คือทำจากข้างในออกมาข้างนอก พระเจ้าต้องมาเปลี่ยนวิญญาณเราใหม่ โดยใช้พระเยซูคริสต์เป็นผู้มาช่วยเรา ตายที่ไม้กางเขน หลั่งพระโลหิตชำระเรา พอชำระปุ๊บ ข้างในมันเปลี่ยน พอข้างในเปลี่ยน ข้างในสะอาดแล้ว คราวนี้กลับกันนะ ข้างในบริสุทธิ์สะอาดขาวเลย แต่ข้างนอกมีนิสัยเดิมๆ มีความคิดเดิมๆ เพราะมีเชื้อของบาปอยู่ แต่มันคนละเรื่องกัน เขาเรียกว่าข้างในรับใช้พระเจ้าไปแล้ว อยู่กับพระเจ้า ข้างนอกยังติดอยู่กับมารอยู่ ติดกับความมืดอยู่ เดี๋ยวก็จะทิ้งแล้ว อีกไม่นาน พระเจ้าก็เอากลับไปแล้ว เรากลับบ้านแล้ว เพราะวิญญาณเราอยู่กับพระเจ้า ท่านพอเข้าใจไหม? ตรงนี้มันจบ พระเจ้าจึงจัดการย้ายเราเข้ามาอยู่ในอาณาจักรของพระองค์ โดยที่เราไม่ต้องทำอะไร? เพราะเราทำไม่ได้ พระเจ้าจึงให้พระเยซูมาทำแทนเราที่ไม้กางเขน

ข้อสำคัญที่สุด ท่านไม่ต้องห่วงว่าพูดอย่างนี้ เดี๋ยวคนก็ไปทำบาปกันหมดสิ ไม่มีทาง ถ้าท่านเชื่อจริงๆ ท่านได้ย้ายมาอยู่กับพระเจ้าพระบิดา พระเจ้าพระเยซู พระเจ้าพระวิญญาณบริสุทธิ์ วิญญาณของเราเองก็รู้ แต่บางทีเราไม่ได้ย้ำยืนยันการสอนแบบนี้ นานๆ บ่อยๆ เราจึงไม่กล้าพูด ให้เรารู้ทุกอย่างอยู่ในพระหัตถ์ของพระเจ้า เขาจึงมีเพลงนี้ไง …

พระคริสต์นำหน้า พระคริสต์นำหน้า       พระหัตถ์พระองค์ทรงจูงมือข้า

เต็มใจเดินตาม ด้วยความเปรมปรีดิ์           พระหัตถ์พระองค์ทรงนำทุกที

บางคราวต้องผ่าน ความทุกข์มืดมัว          บางคราวโศกเศร้า บังเกิดความกลัว

บางคราวราบรื่น ชื่นใจยินดี                        พระหัตถ์พระองค์ทรงนำทุกที

ฟังเพลงฮิมเยอะแยะเลย  จะร้องอย่างนี้ พระเจ้าอยู่กับเราๆ ตลอด พระเจ้าอยู่ตรงนี้แหละ มันเป็นอย่างนั้นจริงๆ บางทีเราไม่ได้คุยกัน นานๆ มันลืมไป เรามัวแต่ไปคิดตามทางเราเอง จะกลับมาหาวิธีของตนเอง ดำเนินชีวิตด้วยตนเอง มีอีกเพลงหนึ่ง ชอบเพลงนี้  กำลังซึ้งกับเพลงนี้  พระเจ้าดีต่อฉัน ก็เหมือนกัน …

ไม่ช้าและไม่สาย ไม่รีบร้อน ตามใจฉัน

ทรงดี ดีต่อฉัน และทรงทันเวลาเสมอ

ไม่รีบร้อนตามใจ พระองค์ทรงควบคุม ครอบครองเราแล้วตอนนี้ เอเมน สบายใจเลย  ทำอะไรก็ตามตอนนี้ ให้รู้ว่าพระเจ้าอยู่กับท่านแน่นอน และเมื่อพระเจ้าอยู่กับเรา พระคัมภีร์บอกว่าพระเยซูเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่ 3 วันอีสเตอร์ ทำไมสำคัญกับเรา พระเยซูเป็นขึ้นมาจากความตาย เป็นตัวอย่างให้กับเราทั้งหลายว่าเราก็เป็นขึ้นมาจากความตายเหมือนพระองค์นั่นแหละ ไม่ใช่ว่าเราจะเป็นนะ พระเยซูเป็นตัวแทน พระองค์ทรงเป็นขึ้นมาจากความตาย เราก็เป็นเหมือนพระองค์ ตอนที่พระองค์ตาย วิญญาณของพระองค์มืดดำเลย เมื่อวันศุกร์ ตอนบ่าย 3 โมง พระองค์ “สำเร็จแล้ว” วิญญาณของพระองค์เข้ามาอยู่ในความมืด เนื้อหนังพระองค์ก็ตาย อยู่ในความมืด ทรมานมาก คิดไม่ออกเลยว่าทรมานลึกซึ้งขนาดไหน? พระองค์อยู่ในความตาย วิญญาณตาย ถูกตัดขาดจากพระเจ้า มืดสนิท เหมือนเราทั้งหลาย ที่อยู่ในอาดัม พระเยซูเข้ามาอยู่ในอาดัม ตาย เสร็จแล้ว พอวันอาทิตย์ วันที่สาม พระองค์ทรงเป็นขึ้นจากความตาย เป็นตัวแทนเรา ขณะที่พระเยซูตาย เราก็ตายด้วย เราตายอยู่แล้วแหละ เราตายก่อนพระเยซูอีก คือเราอยู่ในความบาปอยู่แล้ว แต่พอวันที่สาม ก็คือวันอีสเตอร์ พระองค์เป็นขึ้นมาจากความตาย พระองค์กลับมาที่เดิม กลับมาเป็นพระเจ้าเหมือนเดิม และพระองค์พาลูกหลาน เหลนโหลน ที่เป็นพี่น้อง มนุษย์ทุกคนมานั่งตรงนี้ (ฝั่งพระเยซู) ขาวสะอาด เป็นวิญญาณเหมือนพระเจ้าเหมือนกัน พอมองเห็นภาพไหม? เหมือนเลย

เพราะฉะนั้น การมีอีสเตอร์ หรือการมาเฉลิมฉลองวันเป็นขึ้นมาใหม่ของพระเยซูคริสต์ จึงทำให้เรามีกำลัง พระเยซูเป็นขึ้นอย่างนั้น เราก็เป็นขึ้นอย่างนั้น  ตอนที่พระเยซูเป็นขึ้นมาแล้ว 2,000  ปี เพราะพระเยซูคริสต์ทำในฐานะมวลมนุษยชาติ เมื่อพระเยซูคริสต์เป็นขึ้นมาจากความตาย มีชีวิตอยู่ เพราะฉะนั้น เราก็สามารถมีชีวิตอยู่ เพราะพระองค์ทรงเป็นขึ้นมาใหม่แล้ว เราก็มีความหวังใจว่าเราก็เป็นขึ้นมาใหม่เหมือนพระองค์อย่างนั้นแหละ เพียงแต่ทุกวันนี้ ก็ให้พระเจ้าใช้ร่างกายนี้ ดำเนินชีวิตในโลกนี้ ตามทางของพระเจ้า ขอพระองค์ทรงนำในทางพระองค์ ทำสิ่งที่ดีๆ ในแผนการ ในชีวิตของเราแต่ละคน เอเมน ขอพระเจ้าอวยพรครับ

 

**************************