คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 11 มีนาคม 2018
เรื่อง “ความจริงจะทำให้ท่านเป็นไท”
ตอน 13 “ไม่มีกฎ สำหรับลูกพระเจ้า”
โดย นคร เวชสุภาพร
“ความจริงจะทำให้ท่านเป็นไท” ตอนที่ 13 “ไม่มีกฎ สำหรับลูกพระเจ้า” (น้ำยาซักฟอกผ้าอัศจรรย์)
ครั้งที่แล้ว เราได้ย้ำกันไปในเรื่องข้อพระคัมภีร์ ในหนังสือ 1 โครินธ์ 10:23 ที่อาจารย์เปาโลได้กล่าวไว้ว่า “เราได้รับอนุญาตให้ทำทุกสิ่งได้ แต่ไม่ใช่ว่าทุกสิ่งจะเป็นประโยชน์ เราได้รับอนุญาตให้ทำทุกสิ่งได้ แต่ไม่ใช่ว่าทุกสิ่งจะทำให้เสริมสร้างขึ้น” ที่เราได้เรียนรู้ไปครั้งที่แล้ว
เล่าแบ็คกราวด์ให้ท่านฟัง ในหนังสือโครินธ์ส่วนใหญ่เป็นการสอนของอาจารย์เปาโลที่มีไปถึงบรรดาผู้ที่เป็นคริสเตียน ที่เชื่อในข่าวประเสริฐของพระเยซูแล้ว ที่เมืองโครินธ์ ซึ่งในเมืองโครินธ์เป็นเมืองใหญ่ กำลังมีการแตกแยกในหมู่ผู้เชื่อ วุ่นวาย แตกแยกกันทางความคิด เนื่องจากโครินธ์เป็นเมืองหลวงใหญ่ มีพลเมืองจำนวนมาก แล้วก็มาจากกลุ่มลัทธิความเชื่อหลากหลาย มาจากวัฒนธรรมประเพณีที่แตกต่างกันก็มาก ผู้เชื่อชาวโครินธ์หลายคน ก็มาจากชาวกรีกโบราณ ชาวยิวก็มี พูดง่ายๆ ถ้าเทียบปัจจุบันก็เหมือนอยู่ในกรุงเทพ คิดดูว่ามันหลากหลายเยอะแยะ
ผู้เชื่อในเมืองโครินธ์แตกแยกเป็นกลุ่มๆ พวกๆ ซึ่งผู้นำแต่ละกลุ่ม ก็ได้วางกฎเกณฑ์ข้อบังคับของตนเอง ที่ตนเองคิดว่าใช่ เช่น …
“ถ้าเป็นคริสเตียน ต้องตามกฎฉันนะ ฉันวางกฎให้เธออย่างนี้”
นึกภาพออกไหม? ก็เหมือนในปัจจุบัน คริสเตียนนิกายต่างๆ เชื่อนิกายนี้ต้องทำอย่างนี้ ในสมัยโครินธ์ก็เป็นอย่างนี้แหละ แบ่งออกเป็นกลุ่ม ผู้นำก็จะบอกว่า …
“ถ้ามาอยู่กลุ่มฉัน ฉันมีข้อบังคับกฎเกณฑ์ต้องเป็นอย่างนี้”
ข้อปฏิบัติต่างๆ ก็จะบอกไว้ แล้วพวกผู้เชื่อก็จะคอยจับผิดกันและกัน กล่าวหากันและกัน
“ของฉันถูก ของเธอผิด”
อะไรต่างๆ เหล่านี้ ใครไม่ปฏิบัติตามกฎของตัวเอง ก็เป็นคริสเตียนที่ผิด กล่าวหากันถึงขนาด
“ถ้าไม่ทำตามฉัน พวกเธอเป็นลัทธิเทียมเท็จ หลงแล้ว ตกนรกแน่นอน”
ก็เถียงกันมากมาย ทั้งๆ ที่ทั้งหมดนั้น เปาโลใช้ชื่อว่าพวกเขาเป็นผู้เชื่อ ก็คือเป็นคริสเตียน เปาโลก็มีหน้าที่มาจัดการความสับสนวุ่นวายนี้ ให้มันเรียบร้อยไป อาจารย์เปาโลก็เลยเขียนจดหมายนี้ ไปถึงบรรดาผู้เชื่อในเมืองโครินธ์ ก็คือไปบอกคริสเตียนทั้งหลายที่กำลังทะเลาะเบาะแว้ง แย้งกันไปแย้งกันมา คนนี้เชื่อเทียมเท็จ คนนี้เชื่อเกิน คนนี้เชื่อผิด คนนี้หลงไปแล้ว คนนี้เชื่อมาร มารเอาไปแล้ว ก็ว่าไป เปาโลก็เลยเขียนไปบอกว่าให้หันมาเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ในพระเยซูคริสต์ คนที่ความคิดตะเลิดเปิดเปิงไปตามตามองเห็น ลากเข้ามาสู่โลกวิญญาณ บอกว่า …
“ในโลกวิญญาณ จำไว้ พวกเธอเป็นหนึ่งเดียวกันในพระเยซูคริสต์ ตามองไม่เห็น หูไม่ได้ยิน แต่มันมีอยู่จริง ให้คิดตรงนั้นดีๆ มัวแต่ไปมองคนนั้นทำอันนั้น คนนี้ทำพิธีอันนี้ ตามองเห็นคนนี้สอนว่าอย่างนี้ ตามองไม่เห็นว่าเราอยู่ในพระคริสต์ เป็นหนึ่งเดียวกัน จึงต้องมาย้ำยืนยันให้พวกเขารู้ว่าในโลกวิญญาณมันเป็นอย่างนี้ เป็นหนึ่งเดียวกันในพระคริสต์ โดยมีพระเยซูคริสต์เป็นหลัก พระเยซูมาทำอะไร? เพื่อใคร? พระเยซูเป็นศูนย์กลางของเรานะ ไม่ใช่พิธีอะไรต่างๆ เหล่านั้น ไม่ใช่ความเชื่อแปลกๆ เหล่านั้น
แล้วก็ให้แนวทางในการดำเนินชีวิต เพื่อให้ผู้เชื่อทั้งหลาย หรือคริสเตียนทั้งหลายอยู่ร่วมกันได้อย่างสงบ และมีสันติเกิดขึ้น สามารถเป็นหนึ่งในพระเยซูคริสต์ได้ในความแตกต่าง ทุกคนเป็นคนไทย แต่ไม่ใช่เป็นคนไทยแล้วต้องทำเหมือนกันหมดทุกคน ในทำนองเดียวกัน ทุกคนอยู่ในพระคริสต์ ไม่ใช่ทุกคนต้องทำเหมือนกัน แล้วทำอย่างไรล่ะ เปาโลก็เลยมาสอนย้ำว่านี่คือแนวทางปฏิบัติในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ว่าให้เป็นอย่างนี้ ซึ่งไม่ได้เกี่ยวกับโลกวิญญาณเลยนะ ซึ่งไม่ได้เกี่ยวกับความรอดในพระเยซูคริสต์ ที่เราบอกตะกี้ว่าเราเป็นหนึ่งเดียวกัน นั่นคือโลกวิญญาณ เปาโลกำลังจะมาบอกว่าถ้าในโลกวัตถุ ที่เราดำเนินชีวิตแตกต่างกัน มันควรจะเป็นอย่างไร ในลักษณะการเป็นคริสเตียน? เป็นผู้เชื่อ ควรจะมีความคิดอย่างไร? เปาโลเลยสรุปแนวทางการปฏิบัติไว้ว่า …
“คริสเตียนได้รับอนุญาตให้ทำทุกสิ่งได้”
“แต่ไม่ใช่ว่าทุกสิ่งที่อนุญาตให้ทำ จะเป็นประโยชน์”
“เราได้รับอนุญาตให้ทำทุกสิ่งได้ แต่ไม่ใช่ว่าทุกสิ่งที่อนุญาตให้ทำ มันจะเป็นการเสริมสร้างขึ้น”
ถูกไหม? เปาโลเด็ดขาด แค่ประโยคเดียวก็วางหลักเกณฑ์ได้แล้ว ความหมาย ก็คือในทางวิญญาณ เมื่อเราได้รับการชำระให้บริสุทธิ์ เมื่อเรามาเชื่อพระเจ้า ผ่านทางพระเยซูคริสต์ ด้วยความเชื่อ เราได้ย้ายออกมาจากอำนาจของความมืด สกปรก มาสู่ความสะอาดหมดจดของพระเยซูคริสต์ทันทีทันใด เดี๋ยวนั้นเลย เมื่อความเชื่อเกิดขึ้น เราเข้ามาอยู่กับพระเจ้า เป็นหนึ่งเดียวกับพระองค์ วิญญาณเราบริสุทธิ์สะอาดใสกริ๊ง เหมือนพระเจ้าเลย
จะไม่มีสิ่งใด หรือการกระทำใดๆ ที่จะทำให้เรากลับไปสกปรกได้อีกแล้ว เมื่อท่านเชื่อจริง ขณะที่วิญญาณเราสะอาดหมดจด อยู่ในอาณาจักรแห่งความแสงสว่างแล้ว เราไม่ได้อยู่ตรงโน้นแล้วเพราะฉะนั้น เราได้รับอนุญาตให้ทำทุกสิ่งได้ โดยไม่ต้องกลัวว่ากฎระเบียบจะบังคับเราให้ทำอันโน้นอันนี้ เพราะในโลกฝ่ายวิญญาณมันไม่มีกฎ อยู่กันแบบครอบครัว เป็นลูกของพระเจ้า เราไม่ได้อยู่ในกฎของบาปและความตายอีกต่อไป
ถึงแม้ว่าเราได้รับอนุญาตให้ทำทุกสิ่งได้ก็จริง เปาโลเตือนว่าแต่ไม่ใช่ทุกสิ่งที่เราทำ (ซึ่งไม่เกี่ยวกับวิญญาณแล้ว) จะเกิดประโยชน์ต่อตัวเราเอง หรือต่อผู้คนรอบข้าง หรือต่อโลกใบนี้นะ บางอย่างเรามีสิทธิ์ทำ แต่มันจะเกิดผล ไม่ดีกับเราเอง กับคนรอบข้าง และกับโลกใบนี้ ก็ได้เหมือนกัน ให้ระวังไว้ด้วย
ให้เราระมัดระวังในสิ่งเหล่านี้ว่ามันอาจจะไม่เป็นประโยชน์ อาจจะไม่เป็นการเสริมสร้างขึ้น ก็คือไม่ดีนั่นเอง แล้วก็มาจบตรงข้อ 31 ว่า …
1 โครินธ์ 10:31 “ดังนั้น ไม่ว่าท่านจะกินหรือดื่ม หรือทำอะไรก็ตาม จงทำทุกสิ่ง เพื่อพระเกียรติสิริของพระเจ้า”
ดังนั้น ไม่ว่าท่านจะกินหรือดื่ม หรือทำอะไรก็ตาม จงทำทุกสิ่ง เพื่อถวายเกียรติสิริแด่พระเจ้า ให้นึกถึงพระเจ้าว่าท่านเป็นลูกพระเจ้า ต้องคิดให้ดีๆ ที่จะทำต่อไป ท่านก็จะอ๋อ! เราเป็นลูกพระเจ้า สิ่งเหล่านี้เราควรทำไหม? สมควรที่จะทำไหม? อะไรต่างๆ เหล่านี้ นี่คือกฎเกณฑ์ในการดำเนินชีวิต แบบคริสเตียนบนโลกใบนี้ ที่เปาโลวางรากฐานให้เราทำ คือสำหรับผู้เชื่อแล้ว ไม่มีสิ่งใดที่ห้ามทำ และไม่มีสิ่งใดที่ต้องทำ ก็คือไม่มีกฎ … กฎ ก็คือต้องทำ และอย่าทำ
แต่สำหรับผู้เชื่อที่มาเป็นลูกพระเจ้า ได้เกิดใหม่ในพระเยซูคริสต์ เข้ามาอยู่ในอาณาจักรแห่งความสว่างแล้ว ไม่มีสิ่งใดที่ห้ามทำ และไม่มีสิ่งใดที่ต้องทำ แต่จงทำในสิ่งที่เป็นประโยชน์ และทำในสิ่งที่เป็นการเสริมสร้างขึ้น ไม่ได้บังคับให้ทำ แต่เป็นการคิดเอา ใช้สติปัญญา ที่มาจากพระเจ้า ให้พระวิญญาณข้างในนำเราว่าเป็นประโยชน์ไหม? เสริมสร้างไหม? แก่ตนเอง แก่คนรอบข้าง และแก่ทั้งโลกเลย ที่พระเจ้าสร้างขึ้น ก็เป็นการถวายพระสิริแด่พระเจ้า คือนึกถึงพระเจ้าก่อน
แล้วเราจะทราบได้อย่างไรว่าสิ่งใดเป็นประโยชน์ บางคนคิด สิ่งไหนเป็นการเสริมสร้างขึ้น เราได้เรียนรู้ไปครั้งที่แล้ว ไม่มีหลักเกณฑ์ชัดเจน ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ ขึ้นอยู่กับสภาวะแวดล้อมของแต่ละคน แต่ละครั้ง แต่ละวินาที แต่ละเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น อย่ามาเลียนแบบกัน อย่ามาเทียบกัน เชื่อวางใจในพระเจ้า เราอาจจะทำอย่างนี้ วินาทีนี้ มันถูกต้อง แต่สำหรับคนอีกแบบหนึ่ง ในวินาทีเดียวกัน เขาอยู่อีกแห่งหนึ่ง คนละสถานการณ์ ก็ได้ ถูกทั้งคู่ อย่างนี้เป็นต้น
พอคุยถึงเรื่องนี้ ผมก็เลยมานั่งคิดว่าจริงๆ แล้ว พวกเราตอนนี้ หมายถึงพวกเราคริสเตียนในเมืองไทย เราเองก็อยู่ท่ามกลางขนบธรรมเนียม แบบโครินธ์อย่างนี้เลย ลักษณะคล้ายๆ มีขนบธรรมเนียมประเพณีต่างๆ เยอะแยะมากมายในเมืองไทย เราอยู่ท่ามกลางสภาวะสังคมที่แตกต่างกัน แค่ในกรุงเทพเราก็เห็นเยอะแล้ว นี่ไปทั้งประเทศ เราเห็นภาพชัดเจน หลายคนอยู่ในสภาวะแวดล้อมของครอบครัว ที่รับรองได้ในนี้เกือบ 100% เป็นครอบครัวที่ไม่ใช่เป็นคริสเตียนทั้งหมด อาจมีเราคนเดียวก็ได้ นี่คือสิ่งที่คล้ายๆ กับสิ่งที่เกิดขึ้นกับโครินธ์ เมื่อตอนนั้น ก็คือมันแตกต่างกันมาก เพราะว่าคริสเตียน หรือผู้เชื่อในพระเยซูคริสต์ เป็นชนกลุ่มน้อยในประเทศไทย ท่านถึงเห็นความหลากหลายในการเชื่อเยอะแยะ อื่นๆ มากมาย มันจึงเกิดประเพณีที่ไม่เข้าใจว่าทำไมไม่เหมือนกัน ก็คล้ายๆ สิ่งที่เกิดขึ้นในโครินธ์อย่างนั้น
หลายคนยังเป็นเพียงคนๆ เดียวในครอบครัว ที่มาเชื่อพระเจ้า หลายคนก็เป็นเพียงคริสเตียนคนเดียวในห้องเรียน อาจจะเป็นคนๆ เดียวทั้งโรงเรียน ก็เป็นไปได้ หลายคนก็เป็นเพียงพนักงานคนเดียว ที่เป็นคริสเตียน อันนี้เยอะเลย ผมก็เลยสงสัยว่าแล้วคริสเตียนในบ้านเราจะมีคำถาม หรือมีความสับสนแบบเดียวกันกับชาวโครินธ์ ที่เชื่อในพระเจ้า เมื่อสมัยโน้นหรือไม่?
ผมไปหาในกูเกิ้ล (Google) แล้วคัดมาแต่ที่เด็ดๆ มาอ่านให้ฟัง เอาที่คุ้นๆ …
– คริสเตียนไม่ไปโบสถ์วันอาทิตย์ได้ไหม? ผมรู้ เข้าใจว่าหมายถึงบางคนเชื่อไปอยู่ในบ้านปุ๊บ พ่อแม่จ้องเลย พอรู้ว่าเชื่อพระเจ้าปุ๊บ จ้องเฉพาะวันอาทิตย์วันเดียวเลย แต่ก่อนนี้ ไม่เคยมองเราเลย วันอาทิตย์เราจะไปไหน? ตอนนี้คอยมอง ไปโบสถ์หรือเปล่า? ไปก็มีเรื่อง อะไรแบบนี้ เขาก็เลยอึดอัด รักพ่อรักแม่ รู้ว่าพ่อแม่ยังไม่เข้าใจ ก็ไม่อยากมา พอไม่มา ผู้นำก็บอกว่าต้องมา ไม่มาตกนรก ไม่มาความเชื่อหาย ต้องรักษาความเชื่อไว้ Google ก็ไม่รู้จะทำอะไร? Google ก็เลยเขียนข้อความนี้ลงมาว่า …
“ฉันเป็นคริสเตียนแล้ว ฉันไม่ได้ไปโบสถ์ได้ไหม?”
ถามผู้นำคนอื่นบ้าง คนอื่นเขาคิดอย่างไร? Google ไปช่วยเขา เห็นไหม? ช่วยให้เขาได้มีที่ระบาย ไม่อย่างนั้นเขาตายแน่เลย แต่เขาไม่รู้ว่าจะถามใคร? ไปถามผู้นำ ผู้นำก็บอกเขา ต้องมา สู้สิ ความเชื่อต้องถึง สุดท้ายเลย สำคัญที่สุด ทิ้งหมดเลยพ่อแม่ เป็นอย่างนั้นไปอีก คุ้นๆ น๊า
– คริสเตียนไปทำบุญได้ไหม? คิดในใจ
– คริสเตียนไปงานศพ จะกราบศพ เคารพศพได้ไหม?
– คริสเตียนไปวัดได้หรือเปล่า? บางคนบอกว่าไปเที่ยวต่างประเทศ เขามีโปรแกรมพาไปเที่ยววัด จะทำได้อย่างไร? ทำได้ไหม? ทำดีไหม? ไปได้ไหม? สมมติว่าไปแล้ว จะทำอะไรได้แค่ไหน? ไปเที่ยวอันนี้ งั้นไม่ไป อะไรประมาณนี้
แล้วก็มีผู้หวังดีมาช่วยตอบ ไม่รู้ว่าเป็นผู้หวังดีที่โลกไม่ต้องการหรือเปล่า? ผมก็ไม่แน่ใจ แต่เป็นผู้หวังดีมาตอบ มีบางคนบอกว่าไปได้ แต่ไปแค่เดินชม เดินเที่ยวเฉยๆ อย่าไหว้รูปเคารพ
บางคนบอกว่าถ้าจำเป็นต้องทำจะไหว้ก็ได้ คำถามเดียวกัน คนถามคงงง แต่ห้ามจุดธูป บางคนบอกว่าถ้าจำเป็นต้องทำ จุดธูปก็ได้ แต่อย่าขอพร อย่าบน แล้วยังมีอีกนะ
– คริสเตียนดื่มเหล้าได้ไหม? คำถามนี้ เป็นคำถามยอดนิยมเลย มีคนถามเยอะเลย ก็มีคำตอบ ว่าห้ามเด็ดขาด บางคนก็บอกว่าดื่มได้ แต่อย่าเมา แล้วใครจะรู้ไหมว่าตรงไหนมันคือเมาหรือไม่เมา คนเมา ส่วนใหญ่ว่าไม่เคยเมาเลย บางคนก็บอกว่าไม่มีข้อห้าม ดื่มได้ เพราะพระเยซูยังดื่มเหล้าองุ่นเลย อ้าว! แล้วถ้าเป็นเบียร์ทำไง? ยุ่งเลยนะ แล้วทุกคำตอบ ก็อ้างข้อพระคัมภีร์กันใหญ่ ใส่ข้อพระคัมภีร์เต็มที่ไปเลย มีเหตุมีผลทุกคนเลย
แล้วยังมีคำถามอื่นๆ อย่างเช่น คริสเตียนมีเพศสัมพันธ์ก่อนแต่งงานได้ไหม?
– คริสเตียนแต่งงานกับคนที่ไม่เชื่อได้ไหม? อันนี้เยอะเลย สาวๆ ในนี้ หนุ่มๆ ในนี้สะดุ้งกันทุกคนเลย
– คริสเตียนแต่งงานแล้ว ยังไม่พร้อมที่จะมีลูก คุมกำเนิดได้ไหม? ยุ่งไหม?
– คริสเตียนไม่แต่งงานได้ไหม? ถ้าไม่แต่งงาน แสดงว่าพระเจ้าทิ้งเหรอ? ทำอะไรผิดใช่ไหมจึงหาคู่ไม่ได้
เปาโลยกตัวอย่างตัวเปาโลเองเป็นโสด
“ข้าพเจ้าเป็นอิสระเหมือนท่าน ข้าพเจ้าจะมีคู่ครองได้ แต่งงานก็ได้ เหมือนกับเปโตร เหมือนกับคนอื่นๆ แต่ข้าพเจ้าคิดว่าข้าพเจ้าแต่งแล้ว มันไม่เป็นประโยชน์ต่อตัวข้าพเจ้า อย่าเลียนแบบนะ เพราะข้าพเจ้าต้องออกไปประกาศโน่น ไปประกาศนี่”
พระเจ้าแต่งตั้งให้เป็นนักประกาศ เดินทางออกไปประกาศ เป็นอัครทูต ตั้งโบสถ์ที่นั่น ตั้งโบสถ์ที่นี่ ไปเยี่ยมเยือนที่นั่น เดินทางบ่อยๆ เพราะฉะนั้น ถ้ามีครอบครัวมันจะลำบาก นี่สำหรับเปาโลเป็นอย่างนั้น ไม่ต้องไปเลียนแบบเปาโล เราไม่ได้เดินทางมากขนาดนั้น อยู่กรุงเทพ แต่งงานเถอะ แต่ก็ไม่ใช่อย่างนั้นอีก เราอยู่ในกรุงเทพ แต่เรารู้สึกเหมือนเปาโลเลย เพราะว่าเราทำงาน เรารู้สึกสบาย เป็นอิสระแล้ว เราจะไปหาห่วงมาผูกคอทำไม? ไปแต่งทำไม? อยู่โสดดีแล้ว นั่นก็เป็นของคนๆ นั้น เป็นของคนๆ นี้ อย่าไปเลียนแบบกันว่าต้องอย่างนั้น ต้องอย่างนี้ ฉันต้องแบบนั้น ฉันต้องแบบนี้
สรุปแล้ว แต่งงานได้ไหม? ไม่แต่งได้ไหม? อันไหนดีกว่า ตอบไม่ถูก? สรุปแล้วของใครของเขา มันแล้วแต่สถานการณ์ มันแล้วแต่คนๆ นั้น ของประทานคนนั้น อย่าไปยุ่งเขา ถ้าเขามีของประทาน ก็คือพระเจ้านำเขามาให้เขาเป็นโสด เขาก็เป็นโสดนั่นแหละ เขาเองจะรู้ตัวเองว่าฉันเป็นโสดดีแล้ว แต่สำหรับบางคน พระเจ้าให้เขามีคู่ครอง เพื่อจะใช้งานเขาอีกแบบหนึ่ง เป็นครอบครัว เขาจะรู้เองว่าเขาจะแบกภาระหนัก เหนื่อยขึ้นในการมีครอบครัว พระเจ้าจะให้กำลังเขาเอง เอเมน มันไม่ใช่ดีกว่าอะไร? นี่ยกตัวอย่าง เรื่องนี้ต้องคุยยาวหน่อย เพราะมีผู้สนใจมาก
– คริสเตียนเล่นหุ้นได้ไหม?
– คริสเตียนปล่อยกู้ได้ไหม?
มันไม่มีวันจบเลยนะ ผมอ่านแล้ว ตั้งเยอะแยะมากมาย เห็นภาพชัดเลยว่าทำไมอาจารย์เปาโลถึงต้องเขียนจดหมายไปอธิบาย ไปเตือนบรรดาผู้เชื่อเมืองโครินธ์ว่าอย่าแตกแยกกันเลย ถ้าแตกแยกกันอย่างนี้ ถ้าไม่มีใครมาเคลียร์ อีกไม่กี่ปี ยังไม่ทันถึงช่วงสมัยเรา ข่าวประเสริฐล้มหายตายจากหมดแล้ว แบ่งออกเป็นหมื่นกั๊ก ล้านกั๊ก
– เป็นคริสเตียนลัทธิที่ไม่แต่งงาน
– เป็นคริสเตียนที่มีลัทธิอีกลัทธิหนึ่ง ลัทธิที่สอง คือแต่งงาน แล้วไม่มีลูก
– เป็นผู้เชื่ออีกกลุ่มหนึ่งที่เรียกว่าเป็นคริสเตียนที่แต่งงาน ต้องมีลูกเยอะๆ
ทุกคนก็แบ่งออกเป็นเยอะแยะเลย ท่านพอมองเห็นภาพไหม? เหมือนเมืองไทยไหม? เป๊ะเลย
บางคำตอบ ไม่น่าเชื่อ เป็นถึงขนาดนี้ แสดงว่าความจริง เรื่องถ้อยคำพระเจ้า มันไม่ได้เข้าไปในส่วนลึกของความเชื่อของคริสเตียนเลย ซึ่งมันเป็นพื้นฐานเท่านั้นเอง ที่เรากำลังเรียนกันอยู่นี้ หลายคนก็ไปค้นข้อพระคัมภีร์มาอ้างกันใหญ่ พระคัมภีร์เดิมบ้าง? พระคัมภีร์ใหม่บ้าง? ความเห็นชัดแย้งกันบ้าง? ข้อพระคัมภีร์ไม่ตรงตามบริบทบ้าง? เอาข้อเดียวมาอ้าง แล้วก็ใส่เลย ตอบกันไป ตอบกันมา จนกระทั่งในที่สุดใหญ่โต ถึงขนาดเป็นศัตรูกันก็มี จริงๆ ด่ากันเลย
เหตุมาจากไม่รู้เนื้อแท้ๆ ของข่าวดีของพระเจ้า มันจึงเกิดปัญหานี้ขึ้น เปาโลถึงพยายามจะอธิบายสิ่งเหล่านี้ ถ้าเราไม่รู้ความจริง มันจะแบ่งออกมา เพราะหลักการเชื่อของเรานั้น มันผิด พอหลักการเชื่อผิดปุ๊บ มันก็ผิดหมด
อาจารย์เปาโลจึงบอกอีกคำหนึ่งว่าอาณาจักรสวรรค์ไม่ใช่เรื่องการกินและดื่ม เป็นเรื่องโลกวิญญาณ อันนี้ไม่กิน แต่งงาน กินเหล้าได้ไม่ได้ วุ่นวายไปหมด ถามอีกกี่ครั้ง ก็ไม่มีตรงกันหมดทั้งโลก ท่านนึกภาพออกไหม? ผมว่าถ้าอาจารย์เปาโลยังอยู่ตอนนี้ สมมตินะ อาจารย์เปาโลอาจจะเขียนจดหมายฝากมาหมื่นฉบับ ฝากมาถึงคริสเตียนในเมืองไทย ให้ทำแบบนี้ๆ
ยกตัวอย่างให้ท่านฟัง สมมติอาจารย์เปาโลเขียนมาเมืองไทย อาจารย์เปาโลก็จะเขียนหนึ่งในคำถามยอดฮิตของผู้เชื่อในบ้านเรา คือ …
“ไปวัดหรือไปทำบุญได้ไหม?”
คำตอบของอาจารย์เปาโลอาจจะอย่างนี้
“ไปได้ ถ้าเธอไปแล้ว เป็นประโยชน์ เช่น มันเกิดประโยชน์ขึ้น เพราะว่าต้องขับรถไปให้แม่ หรือไปแล้ว เป็นกำลังใจให้กับคนอื่นๆ หรือไปเพื่อรักษาสัมพันธภาพที่ดีในครอบครัว ให้แน่นแฟ้นขึ้น เกิดความสงบขึ้น แบบนี้เรียกว่าเป็นประโยชน์นะลูกเอ๋ย ในทำนองเดียวกัน ถ้าเราไม่ทำ แล้วทำให้พ่อแม่โกรธเคือง คนในครอบครัวไม่เข้าใจ เกิดสงครามขึ้นในครอบครัว ไม่สงบเกิดขึ้น แบบนี้ เรียกว่าเกิดโทษ มันไม่เสริมสร้างขึ้น
อาจารย์เปาโลก็จะอธิบายอย่างนี้ เห็นไหม? ข้อเดียวกันนั่นแหละ ใช้ได้หมดทุกอัน ทุกเรื่องเลย ซึ่งผมได้บอกไปแล้วว่าการจะทำอะไรแค่ไหน? มากได้แค่ไหนนั้น ไม่ได้มีคำตอบที่ตายตัว แต่ขึ้นอยู่กับสภาวะของแต่ละคน แต่ที่จริงแท้แน่นอนที่สุด เมื่อเรามาเชื่อในพระเยซูคริสต์แล้ว เราได้รับสิทธิเป็นลูกของพระเจ้าที่สะอาดหมดจด เหมือนพ่อของเราแล้ว เราก็ไม่ได้อยู่ภายใต้กฎใดๆ อีกต่อไป เราจึงมีอิสรภาพในการทำอะไร? ก็ได้ทุกสิ่ง โดยไม่มีผลต่อความรอดในทางวิญญาณของเราเลยแม้แต่นิดเดียว เพียงแต่ในทางโลกนี้ การดำเนินชีวิตนั้น จะเป็นประโยชน์ต่อตัวเราเอง คนรอบข้าง หรือบนโลก ทั้งหมดในโลกนี้หรือไม่เท่านั้น โรม บทที่ 8 กฎวิญญาณแห่งชีวิต ทำให้เราเป็นอิสรภาพ จากกฎของความบาปและความตาย
เราอยู่ในกฎของวิญญาณแห่งชีวิตแล้ว ที่ผมบอกว่าท่านรับเชื่อพระเจ้า แล้วท่านย้ายเข้ามาอยู่ในนี้ ท่านอยู่ในกฎของวิญญาณแห่งชีวิต กฎของวิญญาณที่ให้ชีวิตท่านเกิดขึ้นใหม่ในพระเยซูคริสต์ ทำให้ท่านเป็นอิสระ จากกฎของความบาปและความตาย ซึ่งอยู่ในอาณาจักรดำ ท่านเป็นอิสระแล้ว
กฎหรือธรรมบัญญัติ ซึ่งภาษาไทยเรา ก็คือกฎทางด้านศีลธรรม ความดีงามของโลกใบนี้ ที่เรียกว่าทำดี ทำชั่ว เหล่านี้เรียกว่ากฎทั้งสิ้น ไม่ใช่กฎหมายปกครองบ้านเมือง คนละอย่างกัน
กฎหมายปกครองบ้านเมือง มีบทลงโทษ อย่างชัดเจน เช่น ฆ่าคนตาย ท่านติดคุก ถูกประหารชีวิต หรือขโมยเขา ต้องขึ้นศาล ถูกเขาจับเข้าคุก นี่เห็นบทชัดเจน แต่กฎหมายทางวิญญาณ ที่ไบเบิ้ลพูดถึง คือกฎหมายฝ่ายศีลธรรม ฝ่ายจิตใจ เป็นกฎหมายข้างในใจ มีการลงโทษหรือไม่ลงโทษ มีสำนึกอยู่ในใจ เราเรียกกันว่ากฎทางด้านศีลธรรม มันไม่มีบทลงโทษอย่างชัดเจน แต่ในจิตใจมนุษย์ทุกคนลึกๆ รับรู้ว่านี่คือกฎแห่งบาปบุญคุณโทษ เรารู้อยู่ข้างใน ซึ่งรวมความแล้ว คือกฎหมายทางด้านศีลธรรม
พระคัมภีร์ไบเบิ้ลได้บอกไว้ว่ากฎเหล่านี้ คือบทบัญญัติทางด้านศีลธรรมที่อยู่ในใจของมนุษย์ ไม่ได้พูดคำนี้ ผมสรุปให้ทั้งหมดว่ากฎหรือธรรมบัญญัติเหล่านี้ มันเป็นเหมือนกับน้ำยาซักฟอกผ้าขาว ที่เราได้ยินโฆษณา
ถามว่าน้ำยาซักฟอกนี้ ประโยชน์มีไว้ทำอะไร? น้ำยาซักฟอก ก็มีไว้สำหรับซักผ้าที่มันสกปรก ให้มันสะอาดขึ้น ฉะนั้น น้ำยาซักฟอกผ้า จึงจำเป็นสำหรับผ้าที่สกปรกเท่านั้น กฎระเบียบ หรือบัญญัติที่วางไว้ ก็เช่นเดียวกัน ที่พระคัมภีร์ไบเบิ้ลบอก กฎบัญญัติระเบียบทางด้านศีลธรรม มีไว้ก็เพื่อซักฟอกวิญญาณจิตที่สกปรก ให้สะอาด ซึ่งจริงๆ แล้วไม่มีทางที่จะซักจนสะอาดหมดจดได้เลย พระคัมภีร์บอกว่ามันต้องค่อยๆ ซักอยู่เรื่อยๆ ซักเท่าไรก็ไม่มีวันสะอาดหมดจด เป็นไปไม่ได้เลย
ฉะนั้น สรุป ก็คือกฎบัญญัติทางด้านศีลธรรม ที่ในพระคัมภีร์เรียกว่ากฎธรรมบัญญัตินั้น จึงจำเป็น สำหรับวิญญาณที่สกปรกเท่านั้น ในพระคัมภีร์บอกว่ายิ่งซักเท่าไร? ก็ยิ่งจะรู้ว่าวิญญาณมันสกปรกมากจริงๆ พอรู้ว่าสกปรกมาก ก็เลยยิ่งจำเป็นต้องซักมากขึ้นอีก อย่างน้อย ก็เพื่อให้มันสกปรกน้อยลง เพราะรู้ตัวว่ามันสกปรก อยากเอามันออกไป เจอสกปรก ยิ่งซักอีก นึกว่ามันจะขาว ไม่ขาว ซักต่อ พอมองเห็นภาพไหม?
ความสกปรกตรงนี้ ก็คือคำสาปแช่ง ความบาปที่อยู่ในจิตใจของมนุษย์ อยู่ในวิญญาณของมนุษย์ มนุษย์เป็นคนบาป พระคัมภีร์บอกไว้ วิญญาณเขาจึงสกปรก ไม่บริสุทธิ์นั่นเอง จึงจำเป็นต้องมีบทบัญญัติ ที่ทำหน้าที่เป็นเหมือนน้ำยาซักฟอกผ้าขาว เขาจึงจำเป็นต้องใช้ มาคอยชำระความสกปรกตลอดเวลา ซักให้สะอาดขึ้นอยู่เรื่อยๆ แต่ละวัน แต่ละเดือน แต่ละปี ก็ต้องค่อยๆ มาชำระกันไปเรื่อยๆ
ชำระความสกปรกให้มันออกไปจากวิญญาณ เพราะมนุษย์ทุกคนรู้อยู่ในจิตใจของทุกคน ลึกๆ ว่าตัวเองเป็นคนบาป สกปรก และต้องการจะให้มันสะอาด ไม่อยากสกปรกอย่างนั้น ข้างในลึกๆ รู้ อยากให้มันสะอาด เขาถึงขวนขวายหาน้ำยาที่ดีๆ มารักษาความสะอาด มาเอาความสกปรกออกไป ไปหาน้ำยาดีๆ มาล้างจิตใจที่สกปรกนั้น ให้มันออก
นี่คือต้นเหตุของการเกิดศาสนาทั้งปวงบนโลกใบนี้ ตั้งแต่นั้นมา ไม่ใช่ศาสนาอย่างเดียว ลัทธิด้วย เกิดความเชื่อต่างๆ เหล่านี้ขึ้นมา ทั้งหมดพุ่งไปที่ที่เดียว ก็คือต้องการที่จะล้างข้างใน เพราะรู้ว่ามันสกปรก ยิ่งทำ ก็ยิ่งรู้ว่ามันสกปรก ก็ต้องหาวิธีล้างมัน เขาเรียกว่าแสวงหาการหลุดพ้น หลุดพ้นจากบาปเวรกรรม ก็คือหลุดพ้นจากความสกปรก จะเห็นชัดที่มาของศาสนานั่นเอง
ก่อนที่พระเยซูจะมาประสูติ กฎธรรมบัญญัติเดิม บันทึกไว้ว่าให้มนุษย์ไปปกคลุมบาปตนเอง โดยใช้เลือดสัตว์เป็นการไถ่บาป ขอรับการอภัย จากพระเจ้า ก็คือการชำระซัก โดยใช้น้ำยาล้างเป็นเลือดสัตว์ นี่คือหนึ่งในความเชื่อ ที่พระคัมภีร์บันทึกไว้ ในยุคนั้น จะมีกฎ ถ้ารู้ตัวว่าตัวเองบาป อยากจะชำระให้มันสะอาดขึ้นบ้าง ทำอย่างไร? ซึ่งก็กระทำโดยตัวแทน เราเรียกว่ามหาปุโรหิต หรือปุโรหิต และต้องทำเป็นประจำทุกปี ปีละครั้ง โดยนำเอาเลือดสัตว์เข้าไปถวายพระเจ้า เลือดสัตว์นี้ ก็เหมือนกับน้ำยาล้างทำความสะอาด เป็นการปกคลุมความผิดบาป ที่ได้ทำมาตลอดทั้งปี แค่นั้น ล้างอย่างไรก็ไม่หมด จำเจอยู่ตรงนั้น
หลังจากที่พระเยซูได้หลั่งพระโลหิตบนไม้กางเขน ในวันศุกร์ประเสริฐ ในเทศกาล อีสเตอร์แรกของโลก เมื่อ 2,000 ปีก่อน พระเยซูได้หลั่งพระโลหิตบนไม้กางเขน กฎเกณฑ์ต่างๆ เหล่านี้ ก็ได้ถูกยกเลิกไป เพราะพระโลหิตของพระเยซูได้ทรงชำระล้างความสกปรกในวิญญาณของมนุษย์หมดเลย เกลี้ยงเลย จบเลย ฮีบรู 9:11-12 บันทึกไว้ …
ฮีบรู 9:11-12 “11 แต่เมื่อพระคริสต์ได้เสด็จมาเป็นมหาปุโรหิตแห่งสิ่งประเสริฐ ซึ่งมาถึงแล้ว ก็ได้เสด็จเข้าไปสู่เต็นท์อันใหญ่ยิ่งกว่าแต่ก่อน (ที่ไม่ได้สร้างขึ้นด้วยมือ คือไม่ใช่เต็นท์แห่งโลกนี้) พระองค์เสด็จเข้าไปในอภิสุทธิสถานเพียงครั้งเดียวเท่านั้น 12 และพระองค์ไม่ได้ทรงนำเลือดแพะและเลือดลูกวัวเข้าไป แต่ทรงนำพระโลหิตของพระองค์เองเข้าไป และทรงสำเร็จการไถ่บาปชั่วนิรันดร์”
ผมจะเอาตรงนี้มาใส่ให้ท่านแทน เป็นภาษาพูดปัจจุบัน ท่านจะเห็นภาพ …
“พระเยซูไม่ได้นำเอาเลือดแพะและเลือดลูกวัวเข้าไป แต่ทรงนำน้ำยาซักฟอกผ้าอัศจรรย์ยิ่งใหญ่เข้าไป และทรงสำเร็จการไถ่บาป และทรงชำระล้างสิ่งสกปรกที่มีคราบฝังลึกๆ ในวิญญาณของมนุษย์ทั้งปวง จนหมด เปลี่ยน กลายเป็นผ้าใหม่เอี่ยม ขาวสะอาดเลย”
เห็นภาพหรือยังครับ? พระเยซูเข้าไป ไม่ได้เอาน้ำยาซักฟอกผ้าเหมือนแต่ก่อนนี้เข้าไป คือเลือด พิธีกรรม แต่พระองค์เข้าไป โดยเลือดของพระเจ้าเอง คือเลือดของพระองค์ เลือดของผู้บริสุทธิ์เข้าไป เลือดนั้น คือน้ำยาซักฟอกผ้า ยี่ห้ออัศจรรย์ยิ่งใหญ่ รักษาคราบฝังลึกข้างใน หมดจดสิ้น ไม่ใช่แค่นั้นอย่างเดียว แต่เป็นผ้าใหม่เลย เปิดดู 2 โครินธ์ 5:17 …
2 โครินธ์ 5:17 “เหตุฉะนั้น ถ้าผู้ใดเชื่อในข่าวดีของพระคริสต์ การทรงสร้างใหม่ได้เกิดขึ้นแล้ว สิ่งเก่าได้ล่วงไป สิ่งใหม่ได้เข้ามา!”
สิ่งใหม่ๆ ที่เข้ามา สะอาดหมดจด ณ วินาทีที่ท่านเชื่อแล้ว ไม่ต้องรอให้จากโลกนี้ไป ไม่ต้องรอให้ท่านตาย ตามภาษาชาวบ้าน ขณะที่ท่านเชื่อในข่าวดีของพระเยซูคริสต์จริงๆ เชื่อว่าพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด เป็นพระผู้ไถ่บาป ที่พระเจ้าประทานให้ เป็นพระมาซีฮา เป็นแพะรับบาป ที่พระเจ้าส่งมาให้ท่าน มนุษย์ทั้งปวง รวมทั้งท่านด้วย พอเชื่อปุ๊บ พระเยซูเท่ากับเอาบาปท่านออกไปแล้ว ชำระท่านด้วยพระโลหิตของพระองค์ที่หลั่งที่ไม้กางเขน เมื่อ 2,000 ปี ชำระล้างวิญญาณท่านที่สกปรกมาตั้งนานแล้ว เหมือนใหม่เลย อยู่ในที่ดำๆ ไม่ได้แล้ว ก็มาอยู่ในอาณาจักรสว่าง ที่เราเรียกกันว่าสวรรค์ของพระเจ้า ทันทีทันใดเลย วิญญาณของเรานั่งอยู่ตรงนี้ จึงเป็นอิสรภาพ จะทำอะไรก็ได้
สำคัญที่สุด พระเยซูทรงนำโลหิตของพระองค์ที่บริสุทธิ์ ปราศจากบาป เข้าไปหาพระเจ้าเพียงครั้งเดียว ก็สามารถไถ่บาปจนหมดสิ้นนิรันดร์เลย เอเมน
เมื่อทรงสำเร็จการไถ่บาปชั่วนิรันดร์ ความบาปของมนุษย์ไม่ว่าจะติดตัวมาตั้งแต่สมัยบรรพบุรุษ คืออาดัมเอวา หรือตัวเองเกิดมา ทำบาปก็ตาม ทำในอดีต ในปัจจุบัน แม้กระทั่งบาปในอนาคต ที่เราอาจจะทำ หรือต้องทำอยู่แล้วแน่ๆ ก็ได้รับการชำระล้างจนหมดสิ้นแล้ว
ถ้าท่านไม่มีรากฐานของความเชื่ออย่างนี้ มันก็จะมีปัญหาไปเรื่อย ถามไม่มีจบสักที มันจะยุ่งวุ่นวาย จะแบ่งเป็นก๊กไปหมดเลย ชีวิตมันก็ไม่หายเหนื่อยและเป็นสุข ท่านไม่มีโอกาสที่จะประกาศข่าวดีของพระเยซูได้ตามน้ำพระทัยของพระองค์จริงๆ ท่านจะเป็นผู้ที่คนอื่น เห็นข่าวดีที่อยู่ในชีวิตของท่าน เพราะคริสเตียนไม่ใช่ศาสนา คริสเตียนไม่ใช่หลักข้อเชื่อ คริสเตียนเป็นประวัติศาสตร์ มีความจริงในพระคัมภีร์ไบเบิ้ลเท่านั้นที่พูดอย่างนี้ ที่ผมอธิบายให้ท่านดูอย่างนี้ ทุกศาสนาก็อยากให้คนเป็นคนดี ใช่ ทุกศาสนาก็อยากให้คนมีศีลธรรม ใช่ แต่คริสเตียนบอกไม่ใช่ ไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องนี้ เกี่ยวกับเรื่องโลกวิญญาณอย่างเดียว ท่านสะอาดหมดจดแล้ว ท่านทำอะไรก็ได้ ท้าอย่างนี้เลย
เมื่อวิญญาณเราสะอาดหมดจดแล้ว จึงไม่จำเป็นต้องมีกฎระเบียบ ซึ่งเราไล่กันมาตั้งแต่ต้นแล้วว่ากฎระเบียบ ก็คือกฎทางด้านศีลธรรม เมื่อไม่ต้องมีกฎทางด้านศีลธรรม หรือธรรมบัญญัติ เขาจึงเรียกว่าเป็นอิสระจากกฎ พระคัมภีร์บอกว่าเราเป็นอิสระจากกฎ พระเยซูจึงบอกว่าท่านจะเป็นอิสระ เมื่อเชื่อในเรา เชื่อว่าพระองค์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด พระเจ้าส่งพระองค์มา เพื่อไถ่บาปให้กับเรา ถ้าใครเชื่อ เขาจะเป็นอิสระจริงๆ
เมื่อเราเป็นอิสระ หลุดพ้นจากกฎระเบียบต่างๆ เหมือนผ้าขาวสะอาดหมดจด จึงไม่จำเป็นต้องใช้น้ำยาซักฟอกใดๆ อีกต่อไป โลหิตพระเยซู ซึ่งเป็นพระเจ้า บริสุทธิ์สะอาด ไม่มีตำหนิเลย ชำระล้างเราให้สะอาดบริสุทธิ์เป็นใหม่เอี่ยมเลย เข้าไปอยู่กับพระเจ้า เป็นชนิดเดียวกับวิญญาณของพระเจ้า และเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์
คือแนบสนิทกับพระองค์ ไปไหนไปด้วยกันตลอดเวลา ตั้งแต่วินาทีที่ท่านเชื่อ ณ บัดนี้ ท่านยังอยู่บนโลกใบนี้ ในขณะเดียวกันท่านอยู่ในสวรรค์กับพระเจ้า เป็นหนึ่งเดียวกัน สะอาดหมดจด ไม่มีใครมาทำอะไรท่านได้แล้ว เพราะท่านอยู่กับพระเจ้า พระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่สูงสุดอยู่กับท่าน ครอบครองท่าน ปกคลุมท่านอยู่ตลอดเวลา ไปไหนก็ไปด้วย ไปห้องน้ำ ก็ไปด้วย ท่านจะไปกินเหล้า พระองค์ก็ไปด้วย แต่พระองค์ไม่กินกับท่านนะ เข้าใจใช่ไหมครับ? ท่านโมโหพระองค์ก็อยู่กับท่าน ท่านกำลังโกรธ พระองค์ก็อยู่กับท่าน ท่านกำลังโลภ พระองค์ก็อยู่กับท่าน แล้วทำไมต้องบอกว่าอธิษฐาน พระเจ้าอยู่ด้วย แล้วเวลาไม่อธิษฐาน พระเจ้าไม่อยู่ด้วยหรือไง? แล้วชีวิตมันจะเป็นอย่างไร? เข้าใจหรือเปล่าครับ? ผมกำลังจะบอกท่าน วันนี้ไม่เข้าใจ ไม่เป็นไร? วันหนึ่งไปใคร่ครวญอย่างนี้ตลอดเวลา คิดสิว่าสิ่งที่ผมกำลังพูด คืออะไร? ถ้อยคำพระเจ้าทั้งสิ้น
สุดท้าย ผมจะให้ท่านเห็นว่าไม่มีใครมาแยกท่านออกไปจากพระเจ้าได้อีกแล้ว เมื่อท่านมาเชื่อแล้ว ท่านก็มาอยู่ในอาณาจักรแสงสว่าง ในโรม 8:38-39 …
โรม 8:38-39 “38 เพราะข้าพเจ้าแน่ใจว่าแม้ความตาย หรือชีวิต หรือบรรดาทูตสวรรค์ หรือเทพเจ้า หรือสิ่งซึ่งมีอยู่ในปัจจุบันนี้ หรือสิ่งซึ่งจะมีในภายหน้า หรือฤทธิ์เดชทั้งหลาย 39 หรือซึ่งสูง หรือซึ่งลึก หรือสิ่งใดๆ อื่นที่ได้ทรงสร้างแล้วนั้น จะไม่สามารถทำให้เราขาดจากความรักของพระเจ้า ซึ่งมีอยู่ในพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของเราได้”
นี่คือเรานั่งอยู่ในอาณาจักรแห่งแสงสว่าง ตอบสิว่ามีใครเอาท่านออกไปได้ไหม? พระเจ้าก็อยู่ข้างท่าน พระเยซูก็อยู่ข้างท่าน ทูตสวรรค์มากมายอยู่ข้างท่าน ถ้ามีคนเอาออกไปได้ ก็ไม่ต้องไปเชื่อแล้วพระเจ้า นี่คำพูดพระเจ้า แล้วยังมีคำพูดอีกเยอะแยะในนี้มากมาย เราค่อยๆ เรียนรู้กัน ขอพระเจ้าอวยพรครับ
***************************