คำหนุนใจ Pre Sermon วันอาทิตย์ที่ 4 มีนาคม 2018 เรื่อง “เราได้รับอนุญาตให้ทำทุกสิ่งได้ แต่ไม่ใช่ว่าทุกสิ่งจะเป็นประโยชน์” โดย นคร เวชสุภาพร

คำหนุนใจ Pre Sermon วันอาทิตย์ที่ 4 มีนาคม 2018

เรื่อง “เราได้รับอนุญาตให้ทำทุกสิ่งได้  แต่ไม่ใช่ว่าทุกสิ่งจะเป็นประโยชน์

โดย นคร  เวชสุภาพร

            สวัสดีครับ สัปดาห์ที่แล้วผมบรรยายเรื่อง “เราได้รับอนุญาตให้ทำทุกสิ่งได้  แต่ไม่ใช่ว่าทุกสิ่งจะเป็นประโยชน์” ซึ่งเป็นถ้อยคำพระเจ้าในหนังสือ 1 โครินธ์ บทที่ 10 พอดีวันนั้นเวลาน้อย ก็เลยไม่ได้อธิบายละเอียด ก็เกรงว่าบางท่าน จะถือโอกาส ไม่ละเอียดนั้น ก็เลยอาจจะตัดสินใจทำอะไรบางอย่างไป ตามที่ได้ฟัง แล้วก็สนองกิเลสตัณหาของตนเอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งช่วงนี้ด้วย กลัวจะตีความไม่ถูกกัน ก็เลยถือโอกาสวันนี้มาอธิบายให้ละเอียดขึ้นอีกนิดหนึ่ง ลงไปชัดๆ เลย เรามาอ่านกันก่อนว่าถ้อยคำพระเจ้าที่ผมกำลังพูดถึงนี้ บันทึกไว้ว่าอย่างไร? 1 โครินธ์ 10:23-31

1 โครินธิ์ 10:23-31 “23 เราได้รับอนุญาตให้ทำทุกสิ่งได้ แต่ไม่ใช่ว่าทุกสิ่ง จะเป็นประโยชน์   เราได้รับอนุญาตให้ทำทุกสิ่งได้ แต่ไม่ใช่ว่าทุกสิ่ง จะเป็นการเสริมสร้างขึ้น 24 ทุกคนไม่ควรเห็นแก่ประโยชน์ส่วนตัว แต่จงเห็นแก่ประโยชน์ของผู้อื่น 25 สิ่งใดที่วางขายตามตลาดเนื้อ ก็ให้รับประทานไปเถิด โดยไม่ต้องถามตนเองว่าผิดหรือไม่ 26 เพราะแผ่นดินโลกและทุกสิ่งในโลก เป็นขององค์พระผู้เป็นเจ้า 27 หากผู้ไม่เชื่อบางคนเชิญท่านไปร่วมรับประทานอาหาร และท่านประสงค์จะไป จงรับประทานสิ่งที่วางอยู่ตรงหน้าท่านไปเถิด โดยไม่ต้องถามว่าผิดหรือไม่ 28 แต่ถ้ามีใครมาบอกว่าของนี้ได้นำไปเซ่นไหว้แล้ว ก็อย่ารับประทาน เพื่อเห็นแก่ทั้งคนที่บอกและจิตสำนึกผิดชอบ 29 ข้าพเจ้าหมายถึงจิตสำนึกของคนนั้น ไม่ใช่ของท่าน ทำไมเสรีภาพของข้าพเจ้า จึงถูกตัดสินโดยจิตสำนึกของคนอื่นเล่า 30 ถ้าข้าพเจ้ารับประทานโดยขอบพระคุณพระเจ้า ทำไมข้าพเจ้าจึงถูกตำหนิเพราะสิ่งที่ข้าพเจ้าขอบพระคุณพระเจ้าแล้ว 31 ดังนั้น ไม่ว่าท่านจะกินหรือดื่ม หรือทำอะไรก็ตาม จงทำทุกสิ่ง เพื่อพระเกียรติสิริของพระเจ้า”

 

สัปดาห์ที่แล้ว เราจบตรงนี้ว่าจะทำอะไร ก็ทำเพื่อพระสิริพระเกียรติ แด่พระเจ้า เห็นแก่พระเกียรติ พระสิริของพระเจ้า ถ้อยคำตรงนี้ เปาโลกำลังพูดถึงบรรดาผู้ที่เชื่อในยุคโน้น ยุคที่พระเยซูเพิ่งเป็นขึ้นมาจากความตายใหม่ๆ และเข้าไปอยู่ในโลกวิญญาณ เข้าไปอยู่ในสวรรค์ และมนุษย์ก็ออกไปประกาศ ตามที่พระเยซูสั่ง

บรรดาผู้เชื่อในยุคนั้น พอพระเยซูไปแล้ว ไม่อยู่แล้ว ไปอยู่ในสวรรค์แล้ว ผู้เชื่อเหล่านั้น ก็ไปวางกฎเกณฑ์ข้อบังคับต่างๆ เยอะแยะ มากมายไปหมดเลย พอจะทำอะไรทีหนึ่ง ก็จะคอยมาถามว่าทำได้ไหม?  ทำอย่างนี้ได้ไหม? ทำอย่างนั้นได้ไหม? ทั้งๆ ที่พระเยซูบอกเป็นอิสระแล้ว มาเชื่อพระเจ้า เป็นอิสระแล้ว ก็ยังไม่วาย เพราะว่าบรรดาคนที่สอน … สอน เติมในสิ่งที่ตัวเองอยากจะให้ทำลงไปในนั้น ทำอย่างนี้ได้ไหม? ทำอย่างนั้นได้ไหม?

ยกตัวอย่างเช่น ล้างมือก่อนรับประทานทานผิดไหมเนี้ย ตกลง ต้องล้างหรือไม่ล้างดี?  ไปทานข้าวกับคนอื่นที่ไม่เชื่อพระเจ้าได้ไหม? เขาไม่เชื่อ เราไปทานกับเขาได้ไหม?

ทานอาหารที่ไหว้รูปเคารพได้ไหม?

บางเรื่องไปถามผู้เชื่อคนหนึ่งบอกว่าไปถามอาจารย์คนหนึ่ง อาจารย์คนหนึ่งบอกว่าได้ ไปถามอาจารย์อีกคนหนึ่งบอกไม่ได้ ไปถามพี่เลี้ยงคนหนึ่งบอกได้ สรุปได้หรือไม่ได้ มันยุ่งไปหมดเลย อาจารย์เปาโลก็เลยต้องมาแก้ความวุ่นวายตรงนี้ ด้วยข้อพระคัมภีร์เมื่อตะกี้นี้ แล้วก็อธิบายต่อไป อาจารย์เปาโลก็เลยพูดคำนี้ว่าเราได้รับอนุญาตให้ทำทุกสิ่งได้ แต่ไม่ใช่ว่าทุกสิ่งจะเป็นประโยชน์ เราได้รับอนุญาตให้ทำทุกสิ่งได้ แต่ไม่ใช่ทุกสิ่งจะเป็นการเสริมสร้างขึ้น พูดง่ายๆ คือเราได้รับอิสรภาพให้ทำอะไรก็ได้ แต่ไม่ใช่สิ่งที่เราทำนั้น มันจะเป็นประโยชน์ ถ้ามันไม่เป็นประโยชน์ มันก็เป็นโทษ มันมีอยู่ 2 ฝั่ง ไม่เป็นประโยชน์ มันก็เป็นโทษ มันเกิดประโยชน์หรือเกิดโทษล่ะ

ความหมายตรงนี้ ก็คือในทางวิญญาณนะ ในทางโลกวิญญาณ เมื่อเราได้รับการชำระ เมื่อเราเชื่อพระเยซูคริสต์แล้ว เราก็ได้ถูกย้ายออกมาจากอาณาจักรของความมืด อาณาจักรของความสาปแช่งมาอยู่ในอาณาจักรแห่งแสงสว่างของพระบุตรอันเป็นที่รักของพระองค์ในพระเยซูคริสต์ เราอยู่ในพระเยซูคริสต์ เราได้รับการชำระให้สะอาด หมดจด บริสุทธิ์ เหมือนพระเจ้า สมกับที่เป็นลูกของพระเจ้า 100% ทันทีทันใดเลย ณ บนโลกนั้นแหละ ณ เวลาที่เชื่อนั่นแหละ ไม่ต้องรอไปอยู่ในสวรรค์ถึงได้รับการชำระ ได้ชำระเดี๋ยวนั้นเลย เมื่อเขาพูดด้วยปาก และเชื่อด้วยใจว่าพระเยซู เป็นพระบุตรของพระเจ้า มาไถ่บาปให้กับเรา พระองค์ทรงเป็นขึ้นมาใหม่ ในวันที่ 3 ภาพมันเป็นอย่างนี้จริงๆ เกิดขึ้นอย่างนี้ คือเขาได้ถูกย้ายมาสู่อาณาจักรแห่งแสงสว่าง บริสุทธิ์ สะอาด เป็นผ้าขาวสะอาดทันทีทันใดเลย

เพราะฉะนั้น เมื่อไม่สกปรกแล้ว ก็ไม่ต้องอยู่ใต้กฎระเบียบอีกต่อไป หลุดพ้นจากกฎระเบียบ … กฎระเบียบมีไว้ใช้ สำหรับอาณาจักรแห่งความมืด ก่อนหน้านั้น  ที่เรายังไม่เชื่อ ต้องมีกฎ พอมาอยู่ในพระเจ้า ไม่มีกฎแล้ว ไม่มีระเบียบแล้ว ใช้กฎเดียว คือกฎแห่งความเชื่อในองค์พระเยซูคริสต์ เพราะฉะนั้น เมื่อไม่มีกฎ เราก็ได้รับอิสรภาพ ก็คือได้รับอนุญาตที่เปาโลพูดถึง ได้รับอนุญาตจากพระเจ้า เพราะเราเป็นลูกพระเจ้า สะอาดหมดจดแล้ว เราจึงได้รับอนุญาต เป็นอิสระให้ทำทุกสิ่งได้ โดยไม่ต้องกลัวเรื่องกฎระเบียบแล้ว เพราะไม่มีกฎระเบียบแล้ว ไม่ต้องกลัวเรื่องบาป ไม่ต้องกลัวเรื่องผิดอีกต่อไป นี่ความจริงมันเป็นอย่างนี้นะ

แต่ถึงแม้ว่าเราได้รับอนุญาตให้ทำทุกสิ่งได้ ก็จริงอยู่ แต่อาจารย์ก็ยังบอกว่าแต่จำไว้นะ เรายังอยู่บนโลกใบนี้นะ  ไม่ใช่ว่าทุกสิ่งที่ได้รับอนุญาต มันจะทำ แล้วมีประโยชน์ คิดเอาเองแล้วกันว่ามันมีประโยชน์ไหม?  ไม่ใช่ว่าทุกสิ่งที่ทำแล้วมีประโยชน์ หรือทุกสิ่งทำแล้วมันจะเป็นการเสริมสร้าง เป็นสิ่งที่ดี เกิดความดีงามขึ้น  ไม่ใช่อย่างนั้น มันจะมีสิ่งที่ทำได้ด้วย แต่ไม่มีประโยชน์ ไม่ได้เสริมสร้าง เป็นการทำลายด้วย ก็มี

แล้วก็เลยจบด้วยคำนี้ ชัดเจน ว่า … “ดังนั้น ไม่ว่าท่านจะกิน ดื่ม หรือทำอะไรก็ตาม จงทำ เพื่อพระเกียรติสิริ ถวายแด่พระเจ้า”

พูดง่ายๆ ให้คิดถึงพระเจ้า คิดถึงว่าเราอยู่ในโลกวิญญาณ คิดถึงว่าจะทำอะไรก็ได้ แต่ให้คิดให้ดีๆ ก่อนทำ เพราะว่าเดี๋ยวนี้ เราเป็นลูกพระเจ้า บริสุทธิ์ สะอาด เหมือนพระเจ้าเรียบร้อยแล้ว เราไม่เหมือนแต่ก่อนนี้นะ อย่าไปทำตัวเหมือนแต่ก่อนนี้ ถึงแม้ไม่มีกฎระเบียบมาบังคับเราว่า … “อย่าทำ” … แต่จะไปทำทำไมมันมีประโยชน์ไหมล่ะ เดี๋ยวนี้เราเป็นลูกพระเจ้าแล้วนะ

คำว่า “นึกถึงพระเกียรติสิริของพระเจ้า” หมายถึงนึกถึงว่าเราเป็นใคร แล้วพระเจ้าเป็นใคร รับเราเป็นลูก เราสะอาดหมดจดแล้ว อย่าไปคลุกคลีกับสิ่งสกปรกโสโครก ไม่ได้บังคับ แต่คิดเอาเองนะ เป็นอย่างนี้

นี่คือพระคุณของพระเจ้า  เขาเรียกว่ากฎแห่งพระคุณ ถ้าพูดแบบเข้าใจง่ายๆ สำหรับผู้เชื่อแล้ว ไม่มีสิ่งใดที่ห้ามทำ และไม่มีสิ่งใด ที่บังคับให้ผู้เชื่อทำ แต่จงทำในสิ่งที่เป็นประโยชน์ และทำในสิ่งที่เป็นการเสริมสร้างขึ้น เป็นบวก

แล้วเราจะทราบได้อย่างไรว่าสิ่งไหนที่เป็นประโยชน์? และสิ่งไหนที่เป็นการเสริมสร้างขึ้น? ท่านก็อาจจะคิดอย่างนี้ บอกให้ฟัง อันไหน? ไม่มีกฎเกณฑ์ พระคัมภีร์จึงบอกให้เราทำตามพระวิญญาณนำ เดี๋ยวผมอธิบายให้ท่านฟัง ท่านจะได้เข้าใจ ไม่มีกฎเกณฑ์ตายตัวว่าต้องทำอย่างนั้น   ต้องทำอย่างนี้  ถ้า “ต้อง” เมื่อไร? มันก็เป็นกฎเกณฑ์ ถ้าไม่มีกฎเกณฑ์ ก็แล้วแต่สถานการณ์นั้นๆ ต้องขึ้นอยู่กับสถานการณ์ ขึ้นอยู่กับสิ่งแวดล้อม และโดยเฉพาะขึ้นอยู่กับพระเจ้าประทานให้แต่ละคน ไม่เหมือนกัน ในขณะนั้นๆ พระคัมภีร์เรียกว่า “ของประทาน” แล้วแต่ของประทานแต่ละคนไม่เหมือนกัน เลียนแบบกันก็ไม่ได้ด้วย

ยกตัวอย่างให้ อันนี้ชัดแล้ว ยกตัวอย่างให้ท่านเห็น ช่วงนี้ใกล้มาแล้ว ช่วงเวลาเช้งเม้ง ก็คือการระลึกถึงบรรพบุรุษ ประเพณีจีน ซึ่งเราก็อยู่ในประเทศไทย ก็คุ้นเคยกับประเพณี หนึ่งในคำถามยอดฮิตที่สุดของผู้เชื่อ คือคริสเตียนในบ้านเรา ก็คือ …

“ไปเช้งเม้ง ไปร่วมงานเช้งเม้ง ไปร่วมพิธีเช้งเม้งได้ไหม?”

คราวนี้ตอบสบาย ท่านจะรู้ในใจแล้ว คำตอบ ก็คือว่า … “ได้”

เป็นอิสระ อนุญาตแล้ว โดยใครอนุญาต? Ps.นครอนุญาต ใครอนุญาต? อย่าบอกว่าผมอนุญาต ใครอนุญาต? พระเจ้า ไม่มีกฎบังคับแล้ว ท่านได้รับอนุญาตให้ไปก็ได้ ถ้าเราหรือท่านไปแล้ว เป็นประโยชน์ คิดเอาเอง เป็นประโยชน์หรือเปล่านะ ท่านบอกท่านไปได้ อนุญาตให้ท่านไปได้ ท่านจะไปไหม? คิดดูว่าเป็นประโยชน์ไหม?

สมมติ ต้องขับรถให้กับคุณแม่ ที่ยังไม่เชื่อ คุณแม่ต้องไปทำพิธีนี้ สมมตินะ แล้วให้ท่านขับรถพาไป  หรือไปแล้วเป็นกำลังให้กับคนอื่นๆ ให้กับญาติพี่น้องคนอื่นๆ ไปแล้ว เขาสบายใจ หรือไปเพื่อรักษาความสัมพันธ์ การติดต่อ ความสัมพันธ์กันดีในครอบครัวของเรา ครอบครัวของเรา ญาติพี่น้องทุกคน ไม่ใช่กลายเป็นตัวประหลาดของเขา อย่างนี้เสริมสร้างไหม? ที่พูดมาทั้งหมด เสริมสร้างหรือเปล่า? เป็นประโยชน์ไหม?

แต่ในขณะที่เราไป หรือขณะที่เราร่วมทำพิธีกรรม หรือกิจกรรมอะไรต่างๆ ก็ตาม ในพิธีเช้งเม้งนั้น ในใจเรารู้ดีว่าในใจเรากำลังถวายเกียรติสิริแด่พระเจ้า เรากำลังทำตามที่พระเจ้าบอกว่าสิ่งเหล่านี้ถวายเกียรติแด่พระเจ้า เรากำลังนึกถึงพระองค์อยู่ เรารู้ตัวอยู่เสมอ ขณะที่เราไปร่วม เห็นไหม? เกิดประโยชน์หรือเกิดโทษ? คิดแค่นี้ก็รู้แล้ว  เกิดประโยชน์หรือเกิดโทษ? เกิดประโยชน์ เสริมสร้างขึ้น  ซึ่งอย่างที่ผมบอกไปแล้วว่าการจะทำอะไรได้แค่ไหนนั้น ไม่ได้คำตอบที่ตายตัว ไม่ใช่ทุกคนต้องทำอย่างนี้หมด แต่ขึ้นอยู่กับสภาวะของแต่ละคน  เช่น บางคนบอกว่า …

“แค่ขับรถไปให้ โดยไม่ต้องเข้าร่วมพิธีกรรม ก็ได้ แค่นี้คุณพ่อคุณแม่ก็สบายใจแหละ”

อย่างนี้ บางคนก็เป็นอย่างนี้  แต่บางคนไม่ใช่อย่างนั้น บางคนหนักกว่านั้น พ่อแม่ต้องการมากกว่านั้น คือไม่ใช่ขับรถไปอย่างเดียว ให้ร่วมพิธีด้วย บังคับเราเลย พ่อแม่บังคับเรานะ ไม่ใช่พระเจ้าบังคับ ให้เราร่วมพิธีเลย ก็มี เพราะฉะนั้น ตัดสินใจไม่ถูก แล้วแต่ว่าสถานการณ์ของคนนั้นจะเป็นเช่นไร?

เคยมีสมาชิกถามว่าที่บ้าน แค่อยากให้เขาไป เพื่อให้ญาติคนอื่นเห็นหน้า ก็พอแล้ว ไม่ต้องทำอะไรเลย แค่โผล่หน้าไปให้เห็น ก็พอแล้วว่ามาด้วย  อย่างนี้เป็นต้น  อย่างนี้สบายใจแล้ว  ถ้าไม่ไป โอโห้? มันไม่ได้สร้างสรรค์อะไรเลย  เกิดขึ้นมาเลย  อย่างนี้เป็นต้น

ผมเป็นพยานให้ท่าน ตอนสมัยผม ผมมาเชื่อใหม่ๆ คุณแม่ยังไม่เชื่อ  ผมไปตลอดเลยครับ ไม่ให้ไป ผมก็ไป เพราะผมอยากไปทำไมรู้ไหม? มีความรู้สึกตอนนั้น ส่วนตัวนะ อย่ามาลอกเลียนแบบ ส่วนตัวเรามีความรู้สึก ตอนนั้นเอง ส่วนตัวมีความรู้สึกว่าต้องไปสิ เราไปกลัวอะไร โลกใบนี้ เรามีชัยชนะ พระเยซูคริสต์สถิตอยู่กับเรา เราไปกลัวอะไร ไม่ต้องกลัวอะไรเลย ไปเลย  ไปเพื่ออะไร? ไปเพื่อติดสนิทอยู่กับแม่เรา แล้วก็ไปอธิษฐานให้เขา เขาทำอะไรไป เราก็ทำด้วย แล้วเราก็อธิษฐานไป เราจะทำอะไร ใครจะรู้ในใจเราคิดอะไรอยู่ ข้างนอก เราก็ทำให้เขาเห็น ก็ดูดี เห็นไหม? ทำไปตั้งหลายปี จนในที่สุด คุณแม่ก็มาเชื่อพระเจ้าอย่างนี้ แต่ทุกคนไม่ใช่ทำอย่างนี้นะ ทุกคนไม่จำเป็นต้องทำแบบที่ผมทำ เพราะว่าของประทานไม่เหมือนกัน พระเจ้าประทานให้คุณอีกอย่างหนึ่ง สถานการณ์อีกอย่างหนึ่ง  สิ่งแวดล้อมอีกอย่างหนึ่ง ก็ทำไปที่ท่านเองข้างในคิดในใจว่าถวายเกียรติสิริแด่พระเจ้า น่าจะเป็นประโยชน์ และก็ทำเลย จบ เอเมนไหม?

ผมนึกถึงหนังเรื่องหนึ่ง ที่เคยไปดูมาเมื่อปีที่แล้ว หนังเรื่องนี้ดีมาก สอนคนได้ดีมาก มีคนไปดูไม่กี่คนเท่านั้นเอง เพราะผมอยากจะรู้ว่ามันคืออะไร? หนังเรื่องนี้ชื่อ “Silence” ไปหาดู หาวีดีโอเก่าๆ ก็ได้ ซึ่งภาษาไทย เขาใช้ชื่อว่า “ศรัทธาและความอยู่รอด” นี่เป็นเรื่องจริงๆ นะ เป็นหนังที่มาจากเรื่องจริง เป็นเรื่องที่เกี่ยวมิชชั่นนารี  ที่เดินทางไปประกาศข่าวประเสริฐในประเทศญี่ปุ่น ในช่วงสมัยโน้น สมัยที่ยังมีการข่มเหงคริสเตียนอย่างรุนแรง ในประเทศญี่ปุ่น ทางการญี่ปุ่นในสมัยนั้น ทำการกวาดล้างบรรดาผู้เชื่ออย่างหนัก ทำลายใครก็ตามที่เชื่อ และรวมพยายามตามจับใครก็ตาม ที่เป็นมิชชั่นนารีที่มาประกาศข่าวประเสริฐ พอจับได้ ก็จะจับไปทรมาน จนกว่าจะยอมเลิกเชื่อ วิธีการของทหารญี่ปุ่น ก็คือพอจับผู้ต้องสงสัยว่าเป็นผู้เชื่อ

วิธีที่จะพิสูจน์ว่าเขาเป็นคริสเตียนหรือไม่? ก็จะบังคับให้เขาถ่มน้ำลายบ้าง? เหยียบที่ไม้กางเขนบ้าง? เหยียบพระคัมภีร์บ้าง? ใครไม่ยอมทำตาม ก็ถูกจับไปทรมาน นึกภาพออกไหม? นี่คือการพิสูจน์ของเขาว่าคุณเป็นคริสเตียนไหม? ถามใครเป็นคริสเตียน? เงียบ ไม่มีใครพูด เขาเลยเอาพระคัมภีร์วางไว้ แล้วเรียงแถวเข้าไปเลย ทุกคนต้องทำหน้าที่เดียวกัน ก็คือไปบ้วนน้ำลายใส่ แล้วก็เหยียบลงไปที่ไม้กางเขน แล้วก็เดินผ่าน ถือว่าคนนี้ไม่ใช่คริสเตียน รอดไป ซึ่งก็มีทั้ง 2 กลุ่ม คือกลุ่มที่ทนการทรมานไม่ไหว กลัวตาย ก็เลยต้องยอมทำตาม ถ่มน้ำลาย แล้วก็เหยียบ แล้วก็วิ่งไป  กับกลุ่มที่ยังไงๆ ก็ไม่ยอมทำ จนในที่สุด ถูกทรมานและถูกฆ่าตาย

และพวกมิชชั่นนารีที่อยู่ในญี่ปุ่น ในช่วงนั้น พวกมิชชั่นนารีที่ถูกจับได้ ก็ต้องเจอกับการทดลอง ซึ่งหนักกว่าอีก คือไม่ใช่แค่ตัวเองถูกทรมานแบบนั้น ทรมานมากนะ อย่างเช่น เอาเชือกผูกขาสองข้าง แล้วห้อยหัวลง แล้วให้เลือดออกทางหัว กรีดให้เลือดหยด ให้ได้ยินเสียงเลือดตัวเองหยดติ๋งๆ อย่างนี้ ถูกทรมาน มิชชั่นนารีเหล่านี้ไม่ใช่ได้รับการทรมานตนเองแค่นั้น  แต่พวกทหารยังจับเอาผู้เชื่อต่างๆ ที่มิชชั่นนารีไปประกาศให้เขาเชื่อ พูดง่ายๆ ลูกแกะทั้งหลาย ซึ่งเป็นชาวญี่ปุ่น  มาทรมานต่อหน้าต่อตามิชชั่นนารี และบังคับให้มิชชั่นนารีเหยียบพระคัมภีร์ แล้วเลิกเชื่อพระเยซู ถ้าเลิกเชื่อ ก็จะปล่อยบรรดาคนที่เป็นลูกแกะ ที่เชื่อพระเยซู เหล่านั้นเสีย แล้วให้อยู่อย่างสบายเลย เปรียบเทียบ 2 อย่างเลย

ถ้าใครยอมก็จะปล่อยไปเลย แล้วก็เลิกเชื่อไปเลย จะให้บ้านอย่างดีอยู่ อยู่ดี กินดีเลย ถ้าไม่ยอมทำตาม ก็จะถูกฆ่า รวมทั้งผู้ที่เชื่อ ก็จะถูกฆ่าด้วย  และจะทดลองด้วยวิธีการฆ่าทีละคนๆ ยอมไหม? ไม่ยอม ฆ่าไป 1 คน ถามและทำไปเรื่อยๆ

ถามว่าถ้าเราเป็นผู้เชื่อในขณะนั้น หรือเราเป็นผู้รับใช้ เป็นมิชชั่นนารี เป็นผู้ประกาศในขณะนั้น  เราจะทำอย่างไร?

ท่านนึกถึงภาพนะ ทุกคนก็จะตอบใหญ่เลย  ถ้าเชื่อพระเจ้าจริง ก็ต้องสู้ให้ถึงที่สุด ท่านทำอย่างนั้นได้หรือ?  ทำอย่างนั้นได้ไหม? ถูกหรือไม่ถูก?

นี่คือสิ่งที่พิสูจน์ได้ว่าพระคัมภีร์นั้นบอกเราในเรื่องสติปัญญาของพระเจ้าที่ยอดเยี่ยม เฉลียวฉลาดมากที่สุดเลย เราจะทำอย่างไร? ในหนังก็สะท้อนให้เห็น 2 กลุ่ม นี่เรื่องจริง คือ …

(1) มุมของคนที่ทนรับการทรมานไม่ไหว สู้ไม่ไหว ทรมานมาก ไม่ไหว จนในที่สุด ต้องยอมทำตาม ปฏิเสธพระเยซูทุกอย่าง ไม่ใช่กลัวตายอย่างเดียว กลัว สงสาร เห็นใจบรรดาผู้เชื่อที่ต้องตายด้วย

(2) มุมของผู้ที่เชื่อและมิชชั่นนารีที่เด็ดเดียว ในเรื่องของพระเยซูคริสต์ …

“ฉันยอมตายเพื่อพระเยซู ใครจะตายไม่เป็นไร ช่างมัน ฉันจะยอมตาย เพื่อพระเยซู”

ปรากฏว่าเขาก็ตายจริงๆ ไม่ได้ตายคนเดียว คนที่เป็นสาวก คนที่เป็นผู้เชื่อที่เขาไปประกาศ ก็ต้องตายด้วย เพราะเขาไม่ยอม

มี 2 มุม แล้วหนังก็จบอย่างนี้ แต่ตอนจบ สุดท้ายให้เห็นอะไรรู้ไหม? คนที่ปฏิเสธพระเยซู ที่ยอมทำตามที่ทหารญี่ปุ่นบังคับให้ทำ เหยียบพระคัมภีร์ ถ่มน้ำลายรด แล้วก็บอกว่าเลิกเชื่อแล้ว แล้วเลิกเชื่อจริงๆ นะ เลิกเลย แล้วทหารญี่ปุ่น ก็ให้เขาอยู่เป็นที่ปรึกษาทางศาสนาคริสต์ของญี่ปุ่น ปรึกษาอย่างไรรู้ไหม? ให้เป็นคนไปตรวจค้นบรรดาเครื่องมือต่างๆ ว่าแอบซ่อนที่ไหน? ให้เอาไปทำลายเสีย เป็นที่ปรึกษา ปรากฏว่าราชการญี่ปุ่น ก็ให้เขามีตำแหน่งอะไรต่างๆ เหล่านั้น เพราะเขาเลิกเชื่อแล้ว ก็ประกาศยกย่องเขาให้ประชาชนญี่ปุ่นเห็นว่าคนนี้ เป็นนักประกาศ เป็นครูนะ เขายังเลิกเชื่อเลย แล้วพวกคุณไปเชื่อทำไม? ถึงขนาดนั้นเลยนะ

แต่ตอนจบ ท่านรู้ไหมว่าอะไร? ปรากฏว่าขณะที่เขาอยู่มาตลอด เขาแอบอธิษฐาน และก็แอบประกาศมาตลอด รวมทั้งครอบครัวเขาที่ทางราชการญี่ปุ่นมอบผู้หญิงให้เขา เพื่อมีครอบครัวเป็นญี่ปุ่น มีลูก มีหลานเป็นคริสเตียนหมดเลย แต่เป็นคริสเตียนอยู่ใต้ดินหมดเลย ตอนเขาตาย หนังได้บอกว่าตอนเขาตาย จึงได้พูดถึงสิ่งต่างๆ ที่เขาทำ ซึ่งเรามองไม่เห็น ทั้งหมดเลย เกิดการฟื้นฟูขึ้นในประเทศญี่ปุ่น มิชชั่นนารีหน่วยงานทางเมืองนอก ส่งคนมาสืบเสาะประวัติชีวิตของเขาว่าเป็นไปได้อย่างไร คนนี้ เป็นมิชชั่นนารีที่รักพระเจ้ามากๆ ทำไมปฏิเสธพระเจ้าได้อย่างไร? ไม่น่าเชื่อ เป็นไปไม่ได้ ก็มีคนที่ยอมเสียสละเวลา และชีวิตตัวเองเขามาศึกษาเรื่องของเขา จนมาพบความจริงตรงที่ผมเล่าให้ท่านฟังว่าเขาทำให้มีการฟื้นฟูใหญ่ขึ้นในญี่ปุ่น เหตุเพราะตะกี้นี้ที่บอก เหตุเพราะโดยต่อหน้าแล้ว เหมือนเขาปฏิเสธ ไม่มีความเชื่อ  ปฏิเสธพระเจ้า ปฏิเสธพระเยซู ไปช่วยบรรดาสาวกที่เป็นคริสเตียนเหล่านั้น ให้รอดชีวิต และตัวเขาเอง ก็รอดชีวิต รอดเพื่อไปประกาศต่อ งานใหญ่ของพระเจ้า

เห็นไหม? พระเจ้าทำอะไร เราไม่รู้เลย ท่านกล้าตอบไหมว่าถ้าเป็นท่าน อยู่ในการทดลองอย่างนี้ ท่านจะทำแบบหนึ่งหรือแบบสอง ท่านต้องตอบว่าไม่รู้ ท่านมีอิสระจะทำอะไรก็ได้ แต่ไม่ว่าจะแบบหนึ่งหรือแบบสอง ทั้งสองฝ่ายก็เป็นผู้ที่ได้รับความรอดจากบาป ไปอยู่ในสวรรค์เหมือนกันทั้งคู่ ไม่มีใครได้รางวัลเลยสักคนหนึ่ง ได้ทั้งคู่ แล้วแต่พระวิญญาณจะให้เขาทำตรงไหน? ท่านเห็นหรือยัง? เหมือนกัน

เพราะฉะนั้น จะไปเช้งเม้งหรือไม่ไป ก็ขึ้นอยู่กับพระเจ้าจะนำท่านไปเอง ทั้งสองฝั่งก็ไปถึงความรอดทั้งคู่ ขึ้นอยู่กับว่าอะไรที่ท่านเห็นตอนนั้น พระเจ้าประทานสติปัญญาให้ท่าน ได้เห็นว่ามันมีประโยชน์ไหม?  ถ้ามีประโยชน์ก็ทำไปเถิด  เอเมน

 

*********************