คำบรรยายวันศุกร์ประเสริฐที่ 30 มีนาคม 2018 เรื่อง “พระเยซูมาเกิดเป็นมนุษย์ทำไม” โดย นคร เวชสุภาพร

คำบรรยายวันศุกร์ประเสริฐที่  30  มีนาคม  2018

 เรื่อง “พระเยซูมาเกิดเป็นมนุษย์ทำไม”

โดย นคร  เวชสุภาพร

 

สุขสันต์วันศุกร์ประเสริฐ จริงๆ ที่เราแต่งชุดดำกัน เพื่อเป็นเชิงสัญลักษณ์ ใจเรามีสันติสุข มีความสงบสุขกับวันศุกร์ประเสริฐ

เชิงสัญลักษณ์ หมายถึงเรากำลังระลึกถึงความรักของพระเยซูคริสต์ ที่มีต่อมวลมนุษยชาติ ที่ได้ยอมตายด้วยความทุกข์ทรมานบนไม้กางเขนจริงๆ คือมีจริง 2 อย่าง ทุกข์ทรมาน เจ็บปวดจริงๆ และตายจริงๆ คือถูกตัดขาดจากพระเจ้าจริงๆ ทุกข์ทรมานทางวิญญาณจริงๆ เราเลยทำเป็นเชิงสัญลักษณ์ แล้วก็ได้มาพิสูจน์ ทำให้ท่านเห็น เพื่อจะได้เข้าใจมากขึ้น

ก่อนที่เราจะบรรยายวันนี้ เป็นแผนการของพระเจ้ามาตั้งแต่ก่อนสร้างโลก ตั้งแต่ก่อนมีวันนี้ มีแต่โลกวิญญาณ ตั้งแต่ก่อนสร้างโลก ใน 1 เปโตร 1:19-20  บันทึกไว้อย่างนี้

1 เปโตร 1:19-20 “19 ด้วยพระโลหิตล้ำค่าของพระคริสต์ ผู้เป็นลูกแกะ อันปราศจากตำหนิ หรือข้อบกพร่องใดๆ 20 พระองค์ได้ทรงเลือกสรรพระคริสต์ไว้ ตั้งแต่ก่อนทรงสร้างโลก แต่ทรงให้พระคริสต์ปรากฏในวาระสุดท้ายนี้ เพื่อท่านทั้งหลาย”

 

พระเจ้าได้จัดเตรียมแผนการนี้ไว้ตั้งแต่ก่อนพระองค์สร้างโลก คือรู้ล่วงหน้าแล้วว่ามนุษย์มีโอกาสที่จะตกลงไปในความบาป และตกแน่ๆ พระเจ้าช่วยหมดทุกอย่าง แล้วทำไมปล่อยให้มนุษย์ตกลงไปในความบาป เคยคิดไหม? พระเจ้ารู้ทุกอย่าง  แต่เราไม่รู้ทุกอย่าง เข้าใจไหม?  ต้องไปถามพระเจ้าเอาเอง สรุปแล้ว คือไม่รู้นั่นเอง มีอีกหลายสิ่งหลายอย่างที่เราไม่รู้ แต่ว่าเราอยากจะรู้ แล้วเราก็นึกว่ามันต้องมีเหตุผลสิ เอาแค่ง่ายๆ ทำไมโลกมันต้องกลมด้วย มีเหตุผลไหม มนุษย์ลองหาเหตุผลหน่อย ทำไมโลกมันต้องกลม ดวงดาวต่างๆ ทั้งหมด ทำไมมันต้องกลมด้วย มันเป็นสี่เหลี่ยมไม่ได้เหรอ ห้าเหลี่ยมก็ได้ ทำไมพระเจ้าต้องสร้างมันกลม แค่นี้ก็ตอบไม่ถูกแล้ว เพราะฉะนั้น อย่าไปคิดมาก เมื่อพระคัมภีร์บอกไว้อย่างนั้น เราก็ฟัง เชื่อไว้ ถ้าไม่เชื่อ อย่างน้อย ก็ฟังหูไว้หู

พระเจ้าได้จัดเตรียมพระคริสต์ไว้ เพราะมนุษย์ตกลงไปในความบาป ก็คือตกไปอยู่ในอำนาจของความมืด ถ้าไม่มีเก้าอี้สองตัวนี้ พระเจ้าก็ไม่ต้องให้พระเยซูคริสต์มา แต่คำว่ามนุษย์ตกลงไปในความบาป คือมนุษย์ตกไปที่อาณาจักรความมืด ไม่อย่างนั้น ก็จะอยู่ทางขาว

คำว่า “ตกไปในความบาป” คือสมัยนั้นยังไม่มีพระคริสต์ … พระคริสต์ แปลว่าพระผู้ช่วยให้รอด มนุษย์ไม่ต้องการพระเจ้าให้มาช่วยให้รอด เพราะเขารอดอยู่แล้ว เขาอยู่ในอาณาจักรในแสงสว่าง แต่ปรากฏว่าในพระคัมภีร์บอกพระเจ้าเตรียมพระคริสต์ พระเจ้ารู้แล้วว่าวันหนึ่งมนุษย์ก็ตกลงไป เมื่อตกลงไปในความบาปและความตาย ตกลงไปในความมืด ถูกตัดขาดออก จากพระเจ้า ถูกตัดขาดออกจากพระสิริของพระเจ้า ถูกตัดขาดจากการเป็นมิตรกับพระเจ้า ถูกตัดขาดออกจากการเป็นลูกของพระเจ้าถูกตัดขาดจากอะไรก็ตาม ที่ในพระคัมภีร์เขียนถึงเกี่ยวข้องกับเรื่องแสงสว่างนี้ทั้งหมด ถูกย้าย ถูกกระเด็นออกมาจากอาณาจักรแห่งแสงสว่าง มาอยู่ในอาณาจักรแห่งความมืด ท่านจะใส่อะไรลงไป มันถูกหมดแหละ ถ้าท่านเห็นภาพนี้ ท่านจะเห็นชัด ในพระคัมภีร์มันชัดเจนเลยว่ามนุษย์ตกลงไปในความบาป แปลว่าอะไร? นี่ทั้งหมดเลย ฝั่งสีขาวนี้ พระคัมภีร์เรียกว่าเป็นอยู่ ฝั่งนี้ (ฝั่งดำ) เรียกว่าตาย

ฝั่งสีขาว เรียกว่าแสงสว่าง                                     ฝั่งสีดำ เรียกว่าความมืด

ฝั่งสีขาว เรียกว่าชีวิต                                               ฝั่งสีดำ เรียกว่าความตาย

ฝั่งสีขาว เรียกว่าพระสิริของพระเจ้า        ฝั่งสีดำ เรียกว่าความบาป คำสาปแช่ง

เห็นไหม? มันตรงข้ามกันหมดเลย ท่านอ่านพระคัมภีร์ตรงนี้ ก็จะรู้แล้วว่ามันแปลว่าอะไร? บางทีเราแปลไม่ออก เพราะมันเป็นเรื่องเกี่ยวกับการบังเกิดขึ้น การอุบัติขึ้นทางโลกฝ่ายวิญญาณ มันใช้คำศัพท์มนุษย์เข้าไป แล้วคิดไม่ออก แต่พอเราเอาภาพมาให้เห็นอย่างนี้ เป็นสื่ออย่างนี้ เราจะเห็นภาพชัดเจน แล้วเราจะอ๋อ! ในโลกวิญญาณมันเกิดอะไรขึ้น

คำว่า “มนุษย์ตกลงไปในความบาป”  มันก็คือแค่นี้เอง ก็คือเขาได้ย้ายออกจากอาณาจักรแห่งแสงสว่าง เป็นพระบุตรของพระเจ้า เป็นลูกพระเจ้าที่สะอาดหมดจด ตกกระป๋อง มาอยู่ที่นี่เท่านั้นเอง ในพระคัมภีร์เขียนว่าย้ายมา ตกลงมา หลุดออกมา อยู่ที่นี่ ในโลกวิญญาณ พระเจ้าก็เลยจำเป็นต้องวางแผนการ เพื่อจะย้ายลูกของตัวเองกลับบ้าน กลับมานี่ (มาฝั่งขาว) นี่แหละเหตุผลที่ต้องมีวันศุกร์ประเสริฐ วันอีสเตอร์ วันคริสตมาส เห็นไหม? ข่าวดีมีอยู่แค่นี้

พอมนุษย์ตกลงไปในความบาปปุ๊บ ทันทีทันใด พระเจ้าเตรียมพระเยซูคริสต์ เพื่อให้พวกเราทั้งหลาย ที่ตกลงไปในความบาป อยู่ในความมืด ได้ถูกย้ายเข้ามาสู่พระเยซูคริสต์ อาณาจักรแห่งแสงสว่าง กลับมาเป็นลูกของพระเจ้าในพระเยซูคริสต์

เหตุการณ์เกิดขึ้นว่าพระเยซู ซึ่งเป็นพระบุตรของพระเจ้า ไม่ได้เป็นมนุษย์ เป็นพระเจ้า ฟังให้ดีๆ เป็นพระเจ้าตอนโน้น ก่อนที่จะตายที่ไม้กางเขน ก่อนที่จะเกิดมาเป็นมนุษย์ พระองค์เป็นพระเจ้า พระองค์ไม่ได้ตกลงไปในความบาปเหมือนเรา แต่พระเจ้ายังคงเป็นพระเจ้า อยู่ในแสงสว่าง พระเยซูคริสต์เป็นพระเจ้า จำเป็นต้องมาเกิด พระเจ้าเตรียมแผนการนี้  วันคริสตมาส คือพระเจ้าเตรียมพระเยซูคริสต์ ย้ายมาก่อน มาอยู่ที่นี่ (ฝั่งดำ) ชั่วคราว นี่เป็นมนุษย์หนึ่งคน เรียกว่าพี่น้องกับมนุษย์ทั้งหลาย เป็นเผ่าพันธุ์เดียวกัน ซึ่งสามารถที่จะเป็นตัวแทนเผ่าพันธุ์มนุษย์ ถ้าเป็นพระเจ้า มาเป็นตัวแทนไม่ได้ ในหนังสือ 1 ยอห์น 2:2 ได้บันทึกอย่างนี้  นี่คือหัวใจของข่าวประเสริฐ ข่าวดีของพระเจ้า

1 ยอห์น 2:2 “พระองค์ทรงเป็นเครื่องบูชา ลบบาปของเราทั้งหลาย และไม่ใช่เพียงบาปของเราเท่านั้น แต่บาปของคนทั้งโลกด้วย”

 

พระเยซูที่พระเจ้าส่งมาเกิดเป็นมนุษย์ พระองค์มาเพื่อลบบาป ซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้เราถูกกระเด็นมานี่ บาป คือกบฏกับพระเจ้า เป็นศัตรูกับพระเจ้า ไม่เชื่อฟังพระเจ้า เชื่อฟังมาร ตามกฎแล้ว อยู่กับพระเจ้าไม่ได้ มันบาป มันสกปรก พระสิริของพระเจ้าไม่มีแล้ว มองไม่เห็นพระเจ้าด้วยซ้ำไป พระเยซูมาเพื่อพาเรากลับบ้าน ง่ายๆ ก็คือเอาเหตุแห่งการตกกระป๋องไป คือบาป ลบมันทิ้งไป มนุษย์ก็อยู่ที่นี่ไม่ได้แล้ว (ฝั่งดำ) เพราะสะอาดหมดจด ก็มาอยู่กับพระเจ้าได้ (ฝั่งขาว) นี่คือแผนการที่พระเจ้าทำทั้งหมด ต้องการแค่นี้  ในนั้นบอกว่าไม่ใช่บาปของพวกเราเท่านั้น แต่บาปของคนทั้งโลก เพราะว่าหนังสือนี้ เขาเขียนไปให้คนที่เป็นยิว

คนยิวสมัยโบราณ เขานึกว่าพระเยซูถูกประทานให้กับเขา เพราะว่าพระเจ้าสร้างชนชาติยิวมาเป็นกลุ่มตัวแทนมนุษยชาติทั้งหมด เขามองคนอื่น อยู่นอกสายตา คนนี้ไม่ใช่พวกพระเจ้าเลือก แต่ไม่ใช่ ไม่จริง พระเจ้าเลือกทั้งหมดเลย  ข้อความเมื่อตะกี้นี้จึงบอกว่า …

“ไม่ใช่มาไถ่บาปพวกเธอพวกเดียวนะ (หมายถึงพวกชาวยิว) แต่เป็นบาปของมนุษย์ทั้งหมดเลย ทั้งไม่ใช่ยิว ทั้งประเทศอื่น คนเชื้อชาติอื่น ใครที่เป็นคนๆ นั้น พระเยซูมาตายที่ไม้กางเขน เพื่อลบบาปให้กับเขาด้วยเช่นเดียวกัน”

ตรงนี้  ต้องการพูดให้คนยิวตอนนั้นฟัง  พอฟังอย่างนี้  เราจึงจะชัด  เพราะฉะนั้น  เรื่องของพระเยซูคริสต์ เกี่ยวข้องกับคนทั้งโลก ไม่ใช่ศาสนาที่คนยิวสร้างขึ้น แม้ว่าพระเยซูจะเกิดในชนชาติยิวก็ตาม แต่พระองค์มาเพื่อคนทั้งโลก ทำแค่นี้ ทั้งโลกเกี่ยวพันหมดเลย  เพราะมนุษย์ทุกคนเป็นวิญญาณ และมนุษย์ทุกคนถึงจะเชื่อหรือไม่เชื่อ ก็อยู่ในอาณาจักรใดอาณาจักรหนึ่งในโลกวิญญาณนี้ ไม่ว่าดำหรือขาว ก็ตาม ซึ่งเรียกว่าโลกวิญญาณ ไม่ว่าเขาจะนับถือศาสนาอะไรก็ตาม ไม่ว่าเขาจะปฏิเสธ เขาจะต่อต้าน ฉลาด หรือไม่ฉลาด ไม่ว่าเขาจะรู้ข่าวประเสริฐ หรือไม่รู้ข่าวประเสริฐ เขาก็อยู่ในที่ใดที่หนึ่ง แห่งนี้  ทั้งโลกเลย มนุษย์ทุกคน

เพราะฉะนั้น พระคัมภีร์ไบเบิ้ลควรจะเป็นหนังสือประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติบนโลกใบนี้  ซึ่งพูดถึงเรื่องลึกซึ้งของมนุษยชาติ คือไม่ได้พูดเรื่องของสิ่งที่ตามองเห็น และหูได้ยิน ไม่ได้พูดถึงแต่สิ่งของที่จับต้อง มองเห็นได้ คือร่างกายเท่านั้น แต่พูดลึกเข้าไป 100% คือเรื่องเกี่ยวกับชีวิตจริงๆ ของมนุษย์ ก็คือวิญญาณของเขาสำคัญที่สุด

และทำไมถึงต้องให้พระเยซู ผู้ทรงเป็นพระเจ้ามาเกิดเป็นมนุษย์ เพื่อรับโทษบาปนี้ด้วย คำตอบ ก็เพราะมนุษย์ตกลงไปในความบาป จึงไม่มีกำลังพอที่จะต่อสู้กับอำนาจของความบาปและความตาย มนุษย์จึงไม่สามารถช่วยเหลือมนุษย์ด้วยกันเองได้ พระเยซูจึงต้องมาเกิดเป็นมนุษย์ เป็นคนเดียวเท่านั้น ที่ไม่มีเชื้อบาป เป็นมนุษย์พิเศษ เป็นมนุษย์พร้อมกับเป็นพระเจ้าไปในตัวทันที เมื่อเกิด วิญญาณเป็นพระเจ้า แต่ร่างกายเกิดแบบมนุษย์ทั่วไป

เพราะฉะนั้น เกเสมเน หรือศุกร์ประเสริฐ พระองค์จึงเหมือนมนุษย์ทั้งหลาย คือถูกตะปูตำ ก็เจ็บ หิวข้าว กลัวได้ด้วย เพราะว่าพระองค์เป็นมนุษย์ เหมือนเราไม่มีผิดเลย เพียงแต่พระองค์เป็นมนุษย์ที่ไม่มีบาป  ก็คือวิญญาณพระองค์ใสกริ๊ง เป็นลูกของพระเจ้า เหมือนที่เราทั้งหลายเคยเป็นมาก่อนในอดีต ก่อนที่อาดัมบรรพบุรุษของเราจะตกลงไปในความบาป และเอาพวกเราลงไปในเชื้อบาปนั้น ก่อนหน้านั้น ที่พระเจ้าสร้างมนุษย์ใหม่ๆ มีวิญญาณสะอาดใสกริ๊ง อินโนเซ็นต์กับเรื่องบาป พระเยซูเกิดเป็นมนุษย์อย่างนั้นแหละ จึงเป็นมนุษย์ผู้เดียวเท่านั้นที่บริสุทธิ์สะอาด ไม่มีตำหนิใดๆ เลย แม้แต่นิดเดียว จึงสามารถมาทำลายอำนาจของมาร ทำลายกิจการของมารได้ ตามที่พระคัมภีร์บันทึกเอาไว้ใน 1 ยอห์น 3:5

1 ยอห์น 3:5 “ท่านทั้งหลายรู้ว่าพระองค์ได้มา เพื่อขจัดบาปของเรา และในพระองค์ไม่มีบาป”

 

“ในพระองค์ไม่มีบาป” คือพระองค์เป็นมนุษย์พิเศษ เพียงผู้เดียวที่เกิด โดยไม่มีเชื้อของพ่อเลย เกิดจากหญิงพรหมจารี

พระเยซูเป็นมนุษย์ที่เป็นพระเจ้า เขาเรียกว่ามาจุติ “จุติ” แปลว่าการแปลงสภาพจากวิญญาณ มาสู่วัตถุ แปลงจากโลกวิญญาณ มาสู่โลกที่จับต้องมองเห็นได้ ในครรภ์ของแมรี่ พระองค์จึงสะอาด บริสุทธิ์ ปราศจากบาป และเพราะพระองค์เป็นมนุษย์ จึงมีเลือด มีเนื้อ เหมือนมนุษย์ทุกอย่าง จึงทรงสามารถรับโทษ แทนมนุษย์ทั้งปวงได้ เป็นตัวแทนได้ เพราะว่าเป็นมนุษย์เหมือนกัน

พระคัมภีร์บันทึกไว้ว่าบาปของมนุษย์ ต้องลบล้าง โดยมนุษย์เท่านั้น ไม่มีใครมีแรงพอ แต่มีอยู่คนหนึ่งเดินออกมา แล้วบอกว่า …

“ผมเอง ฉันเอง”

คนนั้น แสดงว่าจะต้องมีอะไรที่เหนือกว่าคนอื่น คนนั้น คือพระเยซูที่เป็นคนพิเศษ ฮีบรู 2:17 บันทึกไว้อย่างนี้ว่า …

ฮีบรู 2:17 “ด้วยเหตุนี้เอง พระองค์จึงต้องเป็นเหมือนกับพี่น้องของพระองค์ทุกอย่าง เพื่อจะได้ทรงเป็นมหาปุโรหิต ผู้เปี่ยมด้วยความเมตตา และความสัตย์ซื่อในการรับใช้พระเจ้า และเพื่อจะได้ ทรงลบมลทินบาปของปวงประชากร”

 

พระองค์จึงเป็นเหมือนกับพี่น้อง คือมนุษย์คนอื่นๆ ทุกอย่าง เกิดมาเป็นพี่น้องกัน เป็นมนุษย์คนหนึ่ง อยู่ท่ามกลางพวกเรา เพื่อจะได้ทรงเป็นมหาปุโรหิต ปุโรหิตมีหน้าที่เป็นตัวแทนระหว่างมนุษย์กับพระเจ้า ทำพิธี มหาปุโรหิต ก็คือผู้รับใช้พระเจ้าใหญ่ยิ่ง ในการที่จะติดต่อกับพระเจ้า เหมือนโมเสส คือมหาปุโรหิตคนหนึ่ง และเป็นคนบาปคนหนึ่งด้วย แต่พระเยซูเป็นมหาปุโรหิตที่บริสุทธิ์ สะอาด หมดจดเลย

พระคัมภีร์บอกไว้ล่วงหน้าหมดว่าเมื่อพระเยซูมาเกิดเป็นมนุษย์ มันจะเป็นอย่างไร? จะดำเนินเรื่องไปอย่างไร? บอกมาเป็นระยะๆ พระเจ้าบอกตั้งแต่ปฐมกาล จนกระทั่งถึงวันนี้ เมื่อ 2,000 ปี คือวันที่พระเยซูมาถูกตรึงที่ไม้กางเขน  พูดมาตลอดเลยว่า …

“ฉันเตรียมแผนการให้พวกเธออย่างไร? พวกเธอต้องฟังให้ดีๆ นะ บอกลูก บอกหลาน บอกเหลน บอกโหลนต่อไปนะว่าฉันเตรียมอย่างนี้ไว้ให้ เพื่อจะได้ไม่ลืม”

ลูกา 24:44-47 “44 พระองค์ตรัสกับพวกเขาว่า “นี่คือสิ่งที่เราบอกไว้ เมื่อยังอยู่กับท่านทั้งหลาย คือทุกสิ่งต้องสำเร็จตามที่เขียนไว้เกี่ยวกับเรา ในหนังสือบัญญัติของโมเสส หนังสือผู้เผยพระวจนะ และในหนังสือสดุดี” 45 จากนั้น พระองค์ทรงเปิดใจเขา เพื่อพวกเขาจะสามารถเข้าใจพระคัมภีร์ 46 พระองค์ตรัสบอกพวกเขาว่า “นี่คือสิ่งที่เขียนไว้ คือพระคริสต์ต้องทนทุกข์และเป็นขึ้นจากตายในวันที่สาม 47 และให้ประกาศการกลับใจใหม่ และการอภัยบาป ในพระนามของพระองค์แก่มวลประชาชาติ เริ่มตั้งแต่ที่เยรูซาเล็ม”

 

นี่เป็นการประกาศข่าวประเสริฐของพระเยซู หลังจากวันอาทิตย์ที่เป็นขึ้นจากความตาย อาจจะเป็นวันนั้นเย็น หรืออีกไม่กี่วันเท่านั้นเอง ที่พระองค์ได้ทรงปรากฏกับสาวก แล้วสาวกก็จำพระองค์ไม่ได้ แล้วพระองค์ก็เริ่มเปิดตาใจเขา ให้เขาได้รู้ แล้วพระองค์ก็ตรัสตรงนี้ว่า

“จำไม่ได้เหรอ พระคัมภีร์เดิมที่เขียนถึงฉันทั้งหมด มันเป็นจริงตามนั้น แล้วสุดท้าย ในพระคัมภีร์ที่เขียนถึงฉันว่าฉันจะมาไถ่บาปให้พวกเธอ แล้วฉันจะตายที่ไม้กางเขน แล้วฉันจะเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่ 3 นี่เป็นขึ้นมาแล้ว เดินกับเธอตอนนี้ แล้วเปิดตาฝ่ายวิญญาณของเขาได้เห็น”

เขาเลยเห็นว่าเป็นพระองค์ จึงไปประกาศข่าวดีต่อว่าพระเยซูเป็นขึ้นจากความตายแล้ว เป็นไปตามพระเจ้าวางแผนไว้ตั้งนานแล้ว  พระองค์บอกว่า …

“สิ่งที่เขียนไว้เกี่ยวกับเราตั้งแต่ต้นมาเลย มันเป็นจริงแล้ว ตั้งแต่ที่พระเจ้าบอกว่าเขาจะเหยียบหัวเจ้าจนแหลก”

หมายถึงพระเจ้าพูดกับเอวา ตอนที่อาดัมและเอวาถูกสาป

“เจ้าจะเป็นศัตรูกับงู”

หน่อเชื้อของหญิง เล็งถึงพระเยซูจะเหยียบหัวของเจ้าแหลก ขยี้หัวเจ้าแหลก หมดฤทธิ์ไปเลย แล้วมันก็คือวันนี้ เมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว ที่พระเยซูถูกตรึงที่ไม้กางเขน ขยี้หัวมารจนแหลกเลย การตายที่ไม้กางเขนของพระเยซู เป็นการชดใช้บาป แทนมนุษยชาติทั้งปวง ไม่ใช่แทนคนที่เป็นคริสเตียน ไม่ใช่แทนคนที่นับถือศาสนาคริสต์ ไม่ใช่เลย แต่แทนใครก็ตาม มนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้ ได้ถูกชดใช้บาปเรียบร้อยไปแล้ว ถามว่าเขาถูกชดใช้บาปเรียบร้อยไปแล้ว บาปเขาหมดหรือยัง? หมดแล้ว อ้าว! ถ้าบาปหมดแล้ว ทำไมเขายังไม่ได้รับสิ่งที่เขาสมควรได้ เพราะเขาไม่มารับเอง แต่บาปมันถูกใช้ไปหมดแล้ว

เหมือนกับเงินช่วยเหลือคนที่เกษียณอายุ 60 ปีขึ้นไป จะได้ 600 บาทต่อเดือน ทุกวันนี้  มีหลายคนไม่ไปรับ เงินออกมาแล้ว อยู่ที่เขต ถ้าท่านไม่ไปรับนานๆ อาจจะมีคนแอบเอาไป ก็ไม่รู้ แต่ถ้าท่านไปรับเมื่อไร? มันก็อยู่ตรงนั้น ถ้าท่านใช้สิทธิ์ มันก็ได้ตามสิทธิของท่าน

นี่คือสิ่งที่พระเยซูบอกว่าสิ่งที่พูดเกี่ยวกับพระองค์ ได้ถูกเขียนไว้แล้ว และมันเป็นจริงตามนั้นทั้งหมด โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เขียนเรื่องเกี่ยวกับพระเยซู จากสภาพเป็นพระเจ้า ต้องย้ายมาเกิดเป็นสภาพมนุษย์ที่ต่ำต้อย อยู่ในอาณาจักรของความมืดบอด อยู่กับคนที่ไม่รู้จักพระเจ้าเลย แต่ตัวพระองค์เองรู้จักพระเจ้า สะอาดหมดจด อยู่กับคนสกปรกต่างๆ เหล่านี้  ด้วยความรัก ความเข้าใจ  และความเห็นใจพวกเขาทั้งหลาย อยู่ท่ามกลางพวกเขา รักพวกเขา ถึงขนาดรู้ว่าตัวเองมาเพื่อทุกข์ทรมาน เพื่อเขา เขาไม่เข้าใจ เขาด่า เขาเยาะเย้ย เขาถ่มน้ำลาย เขาถากถาง จนกระทั่งเขาจับไปฆ่า  พระองค์ก็เข้าใจเขา เพราะเขาเป็นคนบาป เขาไม่เข้าใจตรงนี้จริงๆ เขามองไม่เห็นโลกวิญญาณ แต่เราสิ เรารู้หมดทุกอย่าง เราจึงน่าจะอภัยให้เขา เราจึงสมควรอภัยให้เขา พระเยซูก็อภัยให้มนุษย์ทุกคน รักเขาทุกคน แล้วก็ยอมทนทุกข์ทรมาน ตายบนไม้กางเขน เพราะรัก

ให้ท่านเห็นความจริงเหล่านี้ว่ามันเป็นไปได้จริงๆ ว่าพระเจ้ายอมมาเกิดเป็นมนุษย์ พอเห็นแล้ว โอ้โห! ไม่ใช่ผมคนเดียว ไม่ใช่เราแค่นี้  มีแค่ไม่กี่คนเอง แต่มนุษย์ทั้งโลก ตั้งแต่สมัยอาดัม จนกระทั่งมาถึงพวกเรา ลูกหลานเหลนโหลนของเรา ไม่รู้ตั้งกี่พันกี่หมื่นล้านคน ก็เป็นมนุษย์ทั้งโลก ถ้าพระเยซูไม่มาตายที่ไม้กางเขน คนเหล่านั้นจะต้องอยู่ในที่มืด ที่เรียกว่าที่ไม่มีพระเจ้าอยู่  ทุกข์ทรมาน ถูกรังแก เป็นทาสมารซาตานตลอด เมื่อร่างกายตายไปแล้ว หมดสภาพไปแล้ว หมดวาระไปแล้ว วิญญาณออกจากร่างไปแล้ว ก็ยังอยู่ที่เดิม อยู่ในความมืด เป็นทาสของมาร อยู่ในความทุกข์โศก

พระคัมภีร์เล็งให้เห็นถึงตรงนี้ ใช้สัญลักษณ์ คือบึงไฟนรก คือมันร้อน มันไม่ได้ร้อนอย่างที่เราร้อนอย่างนั้น ผมเชื่อ มันหมายถึงความทุกข์ทรมานอย่างแสนสาหัส ท่านลองคิดดูว่าชีวิตทุกวันนี้ มันทุกข์ไหม? ถ้าท่านคิดว่าทุกข์ มันทุกข์กว่านั้นแสนสาหัส เพราะมันบึงไฟนรก คนทั่วไปเรียกว่านรก บางครั้งเราไปเจอคนบางคนมีปัญหาชีวิตหนักๆ แบบหนีเสือปะจระเข้ หนีจากตรงนี้ ไปเจออันนั้น เขาเรียกว่าผีซ้ำด้ามพลอย ไม่ไหวเลย พอเราไปถาม เขาก็บอก …

“คุณไม่รู้หรอก ถ้าคุณมาเป็นผม คุณจะรู้ว่านรกนั้น มีจริง”

คนเข้าใจคำว่า “นรก” หมายถึงอะไร? ไม่อย่างนั้น มันจะมีอันนี้เหรอ ต้มยำนรก น้ำพริกนรก ก็มี เผ็ดนรกเลย กินเข้าไปได้อย่างไร? นี่แหละ พระคัมภีร์ใช้คำนี้ “บึงไฟนรก” เป็นที่ที่มันลำบาก พระคัมภีร์ใช้อีกคำหนึ่ง ก็คือ “ที่ที่ขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน” คือมันทรมานมาก เหมือนคนเอามาแทงตลอดเวลา ถามว่าจะจบเมื่อไร? ไม่มีจบ ท่านเคยปวดท้องไหม?  ท่านเคยปวดหัวไหม? แค่มาก ปวดสุดท้าย มันก็คือตาย ก็ยังมีจบนะ แต่นี่มันไม่ตาย มันเป็นวิญญาณ มันทรมานสุดๆ เลย เขาไม่ตายๆ แล้วก็ทรมานสุดๆ ตลอด นั่นแหละ พระคัมภีร์ต้องการอธิบายให้ท่านฟังว่าอาณาจักรของความมืด ที่ไม่มีพระเจ้าอยู่ คือสถานที่ที่ไม่มีพระเจ้า คืออะไร?  ที่มนุษย์ต้องอยู่ ถ้าเผื่อพระเยซูไม่มาไถ่บาปให้เขา ไม่มาลบเขาออกจากบาปผิดทั้งปวง ไม่มาพาเขากลับมาที่เดิม ที่อยู่กับพระเจ้า ที่มีคุณภาพตรงข้ามกับเมื่อตะกี้นี้ทั้งหมด ถ้าพระองค์ไม่ทำ เขาเหล่านั้นจะต้องอยู่ในบึงไฟนรกอย่างนั้น ชั่วกัลป์ชั่วกัน ไม่มีใครไปช่วยเขาได้เลย และถ้าพระเยซูทำ แล้วคนนั้นไม่เชื่อ ก็มีค่าเท่ากับพระเยซูยังไม่ได้ทำ

พระเยซูไม่ทำไม่ได้ ต้องทำ ต้องมาเกิดเป็นมนุษย์ ตายที่ไม้กางเขน เพื่อไถ่บาปคนเหล่านี้ เพราะสงสารมวลมนุษยชาติทั้งโลก ที่ตกลงไปในความบาป แล้วพระองค์มาแล้ว เมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว พระองค์ตายที่ไม้กางเขน วันนี้ วันศุกร์ ตอนบ่าย 3 โมง พระองค์ทรงสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน พระองค์มองทะลุไปที่มนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้เลยว่าเขาต้องอยู่ในบึงไฟนรกนี้แน่ๆ ถ้าพระองค์ไม่มาไถ่เขา พระองค์ก็เลยเปิดทางช่วยเขาทั้งหมด ไม่ใช่ช่วยแค่ไม่กี่คน ไม่ใช่ช่วยแค่คนดีนะ สำหรับพระองค์ไม่มีทั้งคนดีและคนเลว ทุกคนเป็นคนชั่วทั้งนั้น แต่พระองค์ทรงรักทุกคน เขาไม่อยากจะทำชั่วหรอก แต่เขาเกิดมา ก็ชั่วแล้ว บาปแล้ว

เพราะฉะนั้น พระองค์รักเขา ต้องการช่วยเขาหลุด “เขา” นี่คือคนทั้งโลก เขาไม่ได้หมายถึงคนที่มาเชื่อพระเยซูเท่านั้น  คนที่เป็นศัตรูพระองค์ คนที่ตรึงกางเขนพระองค์ ทหารโรมัน หรือแม้กระทั่งปุโรหิตยิวที่ไม่รู้เรื่อง จับพระเยซูไปตรึงที่ไม้กางเขน  พระองค์ก็ตายที่ไม้กางเขน ไถ่บาปเขาเหมือนกัน เพราะเขาคือหนึ่งในจำนวนมนุษย์บนโลกใบนี้  พระองค์ต้องการให้เขาหลุดมาจากอำนาจมืดของมารซาตาน จากนรก มาอยู่ในสวรรค์กับพระเจ้า และพระองค์ทรงทำสำเร็จแล้ว เมื่อเช้านี้ ที่ไม้กางเขน ตอนบ่าย 3 โมง พระองค์บอกเสร็จแล้ว จบแล้ว ไถ่บาปให้เรียบร้อย แผนการนี้เริ่มมาตั้งนานแล้ว มันจบแล้ว สำหรับพระองค์แล้ว จบจริงๆ พระองค์ก็มานั่งที่นี่ เสร็จงานแล้ว บัดนี้ พระองค์ไม่ต้องอยู่บนโลกใบนี้แล้ว

ในพระคัมภีร์บอกว่าประทับอยู่ ณ เบื้องขวาของพระเจ้า คอยมองดู เมื่อไรจะมาให้หมดสักทีหนึ่ง พระองค์ทำงานเสร็จแล้ว แต่อย่างที่บอก สำหรับคนที่ไม่เชื่อ คนๆ นั้น สำหรับเขา ก็คือพระเยซูยังทำไม่สำเร็จ พระเยซูไม่มีตัวตน สำหรับเขา พระเยซูไม่ได้ไถ่บาปให้กับเขา ซึ่งมันน่าเสียดาย เพราะว่าจริงๆ คือพระเยซูได้ตายที่ไม้กางเขน เพื่อเขา หลั่งพระโลหิตชำระบาปให้กับเขา และเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่ 3 ประทับตราแห่งชัยชนะนั้นเรียบร้อยไปแล้ว รวมทั้งเขาด้วยที่ไม่เชื่อ มันน่าเสียใจใช่ไหม? ในโรม 3:22-26 บอกดังนี้

โรม 3:22-26 “22 ความชอบธรรมจากพระเจ้านี้ ผ่านมาทางความเชื่อในพระเยซูคริสต์ ไปถึงคนทั้งปวงที่เชื่อ ไม่มีข้อแตกต่างกัน 23 เพราะว่าทุกคนทำบาป และเสื่อมจากพระเกียรติสิริของพระเจ้า 24 และโดยพระคุณของพระเจ้า พระองค์ทรงนับว่าพวกเขาเป็นผู้ชอบธรรม โดยไม่คิดมูลค่า ด้วยการที่พระเยซูคริสต์ทรงไถ่พวกเขา 25 พระเจ้าทรงให้พระเยซู เป็นเครื่องบูชาลบบาป  แก่ผู้ที่มีความเชื่อในพระโลหิตของพระเยซู พระเจ้าทรงกระทำเช่นนี้ เพื่อสำแดงความยุติธรรมของพระองค์ เพราะโดยความอดกลั้นพระทัย พระองค์จึงไม่ได้ทรงลงโทษบาป ที่ทำไปก่อนหน้านั้น 26 พระองค์ทรงกระทำเช่นนี้ เพื่อสำแดงความยุติธรรมของพระองค์ในกาลปัจจุบัน เพื่อว่าพระองค์จะทรงเป็นผู้เที่ยงธรรม และเป็นผู้ที่ให้บรรดาคนที่มีความเชื่อในพระเยซู ถูกนับเป็นผู้ชอบธรรมด้วย”

 

ที่พระองค์ต้องทำอย่างนี้ เพราะสำแดงความยุติธรรมของพระองค์ในกาลปัจจุบัน เพื่อให้ทั้งโลกเลย ที่พระองค์ดูแลทั้งในโลกวิญญาณและโลกวัตถุ พระองค์ทรงเป็นผู้พิพากษาของโลกใบนี้ว่าพระองค์ทรงยุติธรรม ไม่ใช่อยากจะช่วยลูกตัวเอง ก็ฝ่าฝืนกฎหมายเข้าไปช่วย เมื่อมนุษย์ทำผิดบาปก็ต้องชดใช้ อภัยไม่ได้ ว่ากันมาตามกฎระเบียบ ชดใช้อย่างไร? ก็ให้มีตัวแทนมนุษย์ ก็ส่งพระเยซูไปเกิดเป็นมนุษย์ เป็นพระเจ้า แต่อยู่ในร่างของมนุษย์ ต้องทุกข์ทรมานเจ็บปวด เหมือนมนุษย์เลย  ต้องรับโทษจริงๆ เจ็บจริงๆ ปวดจริงๆ แบกรับเอาโทษนั้นของมนุษยชาติไปไว้ที่พระองค์จริงๆ แทนที่จะเอาคำสาปแช่ง ลงที่มนุษย์ทั้งปวง รับไปคนเดียว เมื่อรับไปคนเดียว ศาลพิพากษา ก็ถือว่าผ่าน รับไปแล้ว  แล้วมนุษย์ทุกคนก็รอด จ่ายเงินแล้ว จ่ายหนี้แล้ว ก็จบ ถูกไหม?

มนุษย์ทุกคนจึงมีสิทธิ์กลับมาเป็นผู้ชอบธรรม เพราะหมดหนี้บาปแล้ว ไม่ต้องใช้บาป ไม่ต้องใช้หนี้เวรกรรมแล้ว อยู่ดีๆ จะบอกว่า …

“เขาเป็นลูกเรา ไม่ต้องใช้หนี้แล้ว”

ไม่ได้ เดี๋ยวดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ ดวงดาว ทูตสวรรค์อีกมากมาย ที่พระองค์ทรงเป็นผู้ดูแลปกครองอยู่ เกิดกบฏขึ้นมาทำอย่างไร? วันๆ ไม่ทำตาม ตอนเช้าดวงอาทิตย์ขึ้นทางทิศตะวันตก ยุ่งเลยนะ หรือวันพรุ่งนี้ โลกอยู่ดีๆ หมุนๆ กลับข้าง

“ทำไม วันนี้ฉันจะหมุนทางนี้ มีอะไรหรือเปล่า? มันไม่ได้ บางทีเราคิดถึงธรรมชาติ เป็นวัตถุ ไม่ใช่ มันมีชีวิตของมัน อีกสปีซี่หนึ่ง ต้นไม้ต้นหญ้า ดอกไม้ สัตว์อะไรต่างๆ มันทำตามคำสั่ง บัญชาการ กฎระเบียบที่พระเจ้าวางไว้ทั้งสิ้น” นี่แหละเขาถึงเรียกว่าพระเจ้าทรงยุติธรรม

เราประกาศข่าวประเสริฐ ต้องบวกไปเสมอว่าพระเยซูทรงเป็นพระเจ้า และทรงเป็นมนุษย์ ต้องคู่กัน ถ้าเป็นพระเจ้าอย่างเดียว ช่วยมนุษย์ไม่ได้ และถ้าเป็นพระเจ้าอย่างเดียว มาช่วยมนุษย์ได้ พระเจ้าองค์นั้น ก็ไม่ยุติธรรม พระเจ้าไม่เที่ยงธรรม ก็ไม่ใช่พระเจ้าสิ พอเข้าใจไหม? พระเจ้าต้องเที่ยงธรรม ต้องส่งพระเยซู ซึ่งเกิดจากพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์ เพราะฉะนั้น ข่าวประเสริฐ คือพระเยซูเป็นพระเจ้ามาเกิดเป็นมนุษย์จริงๆ เจ็บปวดจริงๆ ทรมานจริงๆ กลัวจริงๆ เมื่อคืนวานนี้ ตั้งแต่วันพฤหัสในสวนเกเสมเน พระองค์ต้องตัดสินใจจริงๆ พระคัมภีร์ว่าอย่างนั้น ไม่ใช่มนุษย์คิดเอง แต่เป็นพระเจ้าให้มนุษย์ จดบันทึกไว้ และบางประโยคเป็นคำพูดของพระเยซูเอง …

“เราทุกข์แทบจะตายแล้ว อยู่กับเราสักหน่อยหนึ่งไม่ได้หรือ!”

พระเยซูผู้เป็นพระเจ้ามาเกิดเป็นมนุษย์ วันที่สวนเกเสมเน วิญญาณข้างในของพระองค์ขาวสะอาด ร่างกายของพระองค์ ก็คือมนุษย์ทั่วๆ ไป เจ็บปวดได้ พระองค์เริ่มต้นทุกข์ทรมาน เริ่มต้นรับเอาความสาปแช่ง ความบาปของมนุษยชาติ รับไว้ที่ตัวของพระองค์ เริ่มตั้งแต่วันนั้น ว่ากันตามจริง เริ่มทั้งสัปดาห์มาแล้ว เริ่มทุกข์ใจ เริ่มกลัว ก่อนหน้านั้นไม่เคยกลัวใครเลย ใครจะมาจับพระองค์ พระองค์เดินหนี หายไปเลย  เพราะยังไม่ถึงเวลา แต่พอถึงเวลาแล้ว ตั้งแต่วันอาทิตย์ที่พระองค์ตัดสินใจว่า …

“เราจะเดินเข้ากรุงเยรูซาเล็ม”

ก่อนไปเข้าเมือง มองลงไปข้างล่างกับสาวก มองเห็นกรุงเยรูซาเล็ม ในวันอาทิตย์ที่ผ่านมา วันอาทิตย์ของสัปดาห์แห่งการไถ่บาปมนุษย์ พระเยซูกำลังจะเดินทางเข้ามา บอกกับสาวกว่า …

“เราจะเข้ากรุงเยรูซาเล็มไปให้เขาฆ่า” รู้อยู่แล้ว

พวกสาวกคงคิดในใจว่า … “จะบ้าเหรอ ไม่เอาน่า”

เปโตรอาจจะบอก … “ไม่เอา พระองค์อย่าไปเลย ไปเขาจับเราตายแน่ ทุกวันนี้ต้องแอบหลบไปหลบมา พวกนี้ต่อต้านจะตาย”

พระเยซูบอก … “มันต้องเป็นไปตามนั้น เพราะว่ามันมีเขียนไว้อย่างนั้น บุตรมนุษย์จะถูกจับ ถูกตรึงตายบนไม้กางเขน และวันที่ 3 เราจะเป็นขึ้นมาจากความตาย ต้องไป”

สาวกบอก … “พระเยซูตัดสินใจ จะไปต้องไป”

ในใจคงคิดว่า … “เอาล่ะ ตายก็ตาย ลงไปโดนเขาจับตายแน่”

แล้วก็เดินทางลงไป ตั้งแต่วันนั้น พระองค์ก็ทุกข์ใจ เพราะรู้ว่าใกล้เข้าไปทุกวัน ก็จะเริ่มรู้แผนการครบถ้วนบริบูรณ์ที่พระเจ้าเปิดเผยลึกซึ้งขึ้น ก็คือต้องทำอย่างไรบ้าง? คำว่า “รู้ว่าตายที่ไม้กางเขน” รู้ แต่คำว่า “แล้วจะต้องตาย โดยที่วิญญาณตายด้วย”

ผมจะชี้ให้ท่านเห็น เมื่อบ่าย 3 โมงของวันนี้ วันที่พระเยซูถูกตรึง แล้วตายที่ไม้กางเขน มิได้ทุกข์ทรมานตรงที่ถูกตอกตะปูไว้ที่แขนทั้งสองข้าง หรือที่เท้าของพระองค์ ไม่ใช่แค่นั้น  เพราะถ้าเป็นแค่นั้น คิดว่าพระองค์ไม่ทุกข์ทรมานถึงขนาดวันพฤหัสฯ ก่อนจะถูกจับตัดสินใจแล้ว ตัดสินใจอีก ต้องอธิษฐานถึง 3 ครั้ง พูดง่ายๆ ว่าพระเจ้าเปลี่ยนแผนการได้ไหม?  มีวิธีการอื่นไหมที่จะไถ่บาปมนุษย์ โดยที่ไม่ต้องเข้าไปแบบนี้ มันไม่ไหว พระเจ้า อาจจะฉายภาพให้พระองค์เห็นในคืนวันนั้น ก็ได้ คืนที่สวนเกเสมเน ที่กำลังอธิษฐานอยู่กับพระเจ้า พระเจ้าอาจจะให้เห็นภาพว่ามันไม่ธรรมดานะ รุ่งขึ้นพระเยซูต้องโดนขนาดหนัก หนักขนาดไหนรู้ไหม? วิญญาณที่มันขาวอยู่นี้ของพระเยซู ซึ่งขาวอย่างนี้มาตั้งแต่ก่อนสร้างโลก ก่อนทุกสิ่งทุกอย่างมี พระเจ้ากับพระเยซูอยู่ด้วยกันอยู่แล้ว พระคัมภีร์บันทึกไว้ สะอาดหมดจดอย่างนี้เลย  และถ้าพรุ่งนี้ตาย หมายถึงรับบาปของมนุษย์เข้าไป วิญญาณของพระเยซูจะต้องเป็นบาปจริงๆ คือไม่ใช่มนุษย์ธรรมดา แต่เป็นมนุษย์บาปเหมือนพวกเรา

มนุษย์บาป คือข้างในมันมืด ไม่มีพระเจ้าเลย มองพระเจ้าก็ไม่เห็น ไม่รู้จักพระเจ้าอีกต่อไป ไม่รู้อะไรทั้งสิ้นอีกต่อไป ไม่มีการทรงนำ ไม่มีอะไรทั้งสิ้นอีกต่อไป อยู่ในความทุกข์ทรมาน  พูดง่ายๆ เป็นทาสของมารเลย  มันไม่ใช่เรื่องเล่นๆ ณ วันนั้น  อยู่ดีๆ คล้ายบอกท่านว่า …

“พรุ่งนี้ ท่านจะตาบอด ท่านจะมองอะไรไม่เห็นเลย”

ท่านก็ตกใจแล้ว “ต้องตาบอด จะไม่เห็นอะไร ทำไง”

วิญญาณจะบอดไปเลย เคยอยู่กับพระเจ้ามาตลอด  หมื่นๆ  ล้านๆๆๆๆ ปีกับพระเจ้า  คุยกระหนุงกระหนิง รู้จักพระเจ้าตลอด ตอนเดินอยู่บนโลกใบนี้ ก็ยังคุยกับพระเจ้าอยู่ พระเจ้าให้ทำอะไร ก็ทำตลอด แต่ถ้าพรุ่งนี้ ตายที่ไม้กางเขนแล้ว มันจะเป็นอย่างนี้นะ คือพระเจ้าจะไม่อยู่กับเธออีกต่อไป ไม่มีพระเจ้าเลย อยู่ดีๆ จะกลายเป็นคนบาปสกปรกโสโครกเลย  รับได้ไหม? นี่แหละคือสิ่งที่พระเยซูรับไม่ได้ ไม่รู้จะเทียบอย่างไร ถ้าเป็นเรื่องโลกวิญญาณ เหมือนพรุ่งนี้มาบอกเราว่า …

“ให้ไปช่วยหนอนนะ ถ้าเธอยอม พรุ่งนี้เธอต้องกลายเป็นหนอน เข้าไปอยู่ในอึของสุนัขนะ”

แล้วเราเอาไหม? เราไหวไหม? … “แล้วเธอจะตัดขาด เธอจะไม่มีสติปัญญา เหมือนมนุษย์ เธอจะไม่รู้เรื่องอะไรของมนุษย์อีกต่อไปเลย เธอจะเป็นหนอนตอนนั้น”

สภาพมันคงจะรับไม่ได้ นี่คือพระเยซูกลัวอย่างนี้ และกลัวจริงๆ ที่สวนเกเสมเน พระองค์จึงสำแดงความกลัว วิตกกังวลออกมา หลายคนเคยถามผมว่า …

“พระเยซูเป็นพระเจ้า อธิบายให้ที ทำไมพระองค์ต้องกลัวด้วย”

กลัวไหมล่ะ เป็นพระเจ้าอยู่ …

“พรุ่งนี้ฉันจะต้องสละสภาพพระเจ้าแล้วจริงๆ ตอนที่มาเกิดเป็นมนุษย์ สละสภาพพระเจ้า แต่ยังเป็นพระเจ้าที่อยู่ในร่างมนุษย์ เป็นวิญญาณขาวๆ แต่พรุ่งนี้ฉันจะต้องสละวิญญาณขาวๆ ข้างใน กลายเป็นเหมือนพวกเธอเลย คราวนี้ดำปี๋เลย คือเอาบาปของพวกเธอมาใส่ที่ฉันแทน ฉันรับไว้คนเดียวเลย”

ไม่ใช่ดำนิดเดียว แต่ดำมาก ทรงรับหมดทั้งโลกไว้ที่พระองค์ ถูกตัดขาดจากพระเจ้า จึงกลัวไง

“พระเจ้า ไม่มีทางอื่นแล้วเหรอ ไม่รับไม่ได้เหรอ รับน้อยกว่านี้หน่อยได้ไหม?”

สามครั้ง ก่อนจะถึงครั้งที่สาม ไปดูสาวก

“เปโตร ยอห์น ยากอบ ช่วยเป็นเพื่อนกันหน่อยหนึ่ง กลัว”

เมื่อกี้สาวกรับปากว่าจะอยู่ด้วย หลับไปแล้ว คุ้นๆ เวลามาอธิษฐานกับพระเจ้า หลับไปแล้ว  ไม่มีใครเลย  ว้าเหว่คนเดียว พระเจ้าก็เงียบ เพราะพระเจ้าเริ่มไปแล้ว คือคำว่า “พระสิริไปจากพระเยซู” ไม่ใช่ไปทันที แต่ผมเชื่อว่าค่อยๆ จางหายไป ความบาปค่อยๆ เข้ามา ฤทธิ์อำนาจค่อยๆ ออกไป ความสว่าง พระสิริของพระเจ้าค่อยๆ ออกไป วิญญาณค่อยๆ มืดลง จนกระทั่งนาทีสุดท้าย พระเยซูตรัสว่า …

“เอลี  เอลี  ลามาสะบักธานี”  แปลว่า  “พระเจ้าของข้าพระองค์  พระเจ้าของข้าพระองค์  ไฉนทรงทอดทิ้งข้าพระองค์เสีย” แปลว่า …

“ไปแล้ว พระเจ้าไปแล้ว ก่อนหน้านี้พระเจ้าอยู่กับเรา เราพูดอะไร? คือพระเจ้าพูด เราทำอะไร? คือพระเจ้าทำกับเรา เราเป็นหนึ่งเดียวกับพระเจ้า”

แต่ตอนนี้ อยู่ที่ไม้กางเขนด้วยความทุกข์ทรมาน นั่นแหละคือความทุกข์ทรมานครั้งสุดท้าย แสนสาหัส แล้วหลังจากนั้น ปิดฉากความมืดเข้ามาทันทีเลย พระองค์ไม่รู้เรื่องอะไรอีกแล้ว วางใจในพระเจ้า นี่แหละคือวางใจ

พวกเราทำอย่างนี้ มันง่าย เพราะเราไม่มีอะไรแลก เราคือคนบาปอยู่แล้ว แต่พระองค์อยู่กับพระเจ้ามาตั้งแต่ก่อนหน้า พระองค์เป็นพระบุตรพระเจ้า ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับเรา ไม่ได้ทำบาปอะไรเลย แล้วทำไมต้องมาทุกข์ทรมานอย่างนี้ด้วย จากนั้นต่อไป ก็คือชีวิตพระองค์อยู่ในพระหัตถ์พระเจ้าอย่างเดียวแล้ว ขึ้นอยู่กับพระเจ้า พระองค์อาจจะคิดว่าพระองค์อาจจะต้องอยู่ในความมืดอย่างนั้น ตลอดนิรันดร์ก็ได้ เพื่อไถ่พวกเรา พระองค์ไม่รู้แล้วตอนนั้น ก่อนหน้านั้น  พระองค์อาจจะบอกว่าแล้วเราจะเป็นขึ้นมาในวันที่สาม ก็เพราะพระเจ้าบอกว่าจะเป็นขึ้นมาใหม่ ก็เชื่อในพระเจ้าว่าจะเป็นขึ้นมาใหม่ แต่พอตอนตาย … ตายไปจริงๆ ไม่รู้แล้วว่าที่เราพูดไปคืออะไร? มันจบไปแล้ว ลืมหมดเลย  เพราะตกลงไปในความมืด เหมือนอยู่ดีๆ ไฟฟ้าดับ ติดต่อกับพระเจ้าไม่ได้แล้ว เคว้งคว้างหมด คล้ายๆ โทรศัพท์ขาดตอน ก่อนนี้โทรศัพท์คุยกับพ่อตลอด วันนี้แบตเตอร์รี่หมด เราก็ต้องวางใจในพ่อ

เราจึงควรระลึกถึงพระคุณของพระเจ้า ทั้งหมดนี้ ก็เพื่อบรรดามนุษยชาติ ในพระคัมภีร์บอกว่าพระองค์ได้ทรงย้ายเราออกจากอาณาจักรแห่งความมืด เข้ามาสู่อาณาจักรแห่งแสงสว่าง  ในหนังสือโคโลสีบอกว่า …

โคโลสี 1:13 “เพราะพระองค์ได้ทรงช่วยเราให้พ้นจากอาณาจักรของความมืด และทรงนำเราเข้ามาสู่อาณาจักรของพระบุตรที่รักของพระองค์”

 

พระองค์ทรงย้ายเราออกจากอาณาจักรแห่งความมืด เข้ามาสู่อาณาจักรของพระบุตรของพระองค์ คือพระเยซูคริสต์ ผู้ทรงไถ่บาปให้กับเราแล้ว

ที่พระเยซูทำทั้งหมด เพื่อสิ่งนี้เท่านั้น เพื่อให้เรารู้ถึงความยากลำบากที่พระเยซูได้ถูกส่งมาทำ แล้วพระองค์ทรงทำสำเร็จแล้ว บนไม้กางเขนนั้น มันยากเย็นมากๆ เพื่อสิ่งนี้ คือมนุษย์สามารถเข้าไปอยู่กับพระเจ้าได้แบบง่ายๆ พระองค์ทำยากมากเลย แต่เรามนุษย์รับง่ายๆ  อยากจะเน้นตรงนี้

วันนี้จะมาจบตรงนี้ว่าพระเยซูทำแสนยากมากเลย ภารกิจของพระองค์หนักจริงๆ หนักสุดๆ เจ็บสุดๆ ทุกข์ทรมานสุดๆ ไม่มีใครเข้าใจพระองค์เลย แม้ตัวพระองค์เองยังไม่เข้าใจเลย  ก็ด้วยความรักอย่างเดียว ที่รักเราทั้งหลาย จึงยอมทำอย่างนี้ ตายที่ไม้กางเขน ด้วยความทุกข์ทรมานทั้งร่างกายและวิญญาณพระองค์ วางใจในพระเจ้าสุดๆ เลย ทำให้มนุษย์สามารถย้ายจากอาณาจักรแห่งความมืด มาสู่อาณาจักรแห่งแสงสว่างของพระบุตรกลับมาที่เดิมใหม่ หาพระเจ้าได้ อย่างง่ายดาย โดยไม่ต้องทำอะไรเลยสักนิดเดียว เพียงแค่รับเอาไปเฉยๆ เท่านั้นเอง หลายคนถามว่า …

“มาเป็นคริสเตียนต้องมาโบสถ์ไหม? ต้องถวายทรัพย์ไหม? ต้องอันโน้น ต้องอันนี้ไหม?”

ไม่ต้องอะไรเลยสักอย่างหนึ่ง ไม่เกี่ยวข้องกัน ค่อยไปดูทีหลังว่ามันมีอะไรมีประโยชน์ก็ทำไป แต่ถ้าจะรับความรอด จะย้ายมาสู่อาณาจักรแห่งแสงสว่าง ไม่ต้องทำอะไรเลย แม้แต่นิดเดียว รับสิทธิไปฟรีๆ เหมือนกับสมัยที่ท่านเกิดมา แล้วท่านตกลงไปในความบาป ท่านก็ไม่ได้ทำอะไรเลยใช่ไหม? หรือว่าท่านต้องทำชั่วก่อน ท่านจึงจะอยู่ในความบาป อยู่ในความมืด ไม่ต้องเลย  พออยู่ในครรภ์มารดา ท่านก็อยู่ในความมืดนี้แล้ว ถูกไหม? เพราะเป็นกฎของมันอย่างนั้น ในทำนองเดียวกัน ตอนนี้มีครอบครัวใหม่ขึ้นมา เรียกว่าครอบครัวพระคริสต์ ท่านไม่ต้องอยู่ในความมืด อยู่ในอาดัมอีกต่อไปแล้ว ท่านเกิดมา ท่านไม่ต้องทำอะไร ท่านก็อยู่ในอาดัมอยู่แล้ว อยู่ในความมืดนี้ แต่ทุกวันนี้ ท่านสามารถย้ายไปอยู่ในอาณาจักรของพระคริสต์ได้ โดยไม่ต้องทำอะไรเหมือนกัน ชูมือขึ้นมา แล้วบอกว่าไปด้วย แค่นั้นเอง ไม่เอาแล้ว พอกันสักที ทุกคนในนี้ทำมาหมดแล้ว รวมทั้งผม เมื่อ 30 ปีก่อน ผมเหนื่อยมากเลย ผมหาทางที่จะออกจากที่มืด หาแล้วเหนื่อย เขาบอกให้ทำอย่างนี้ ทำๆ เขาบอกทำอย่างนี้ แล้วมันจะหลุดออกไปสู่แสงสว่าง ทำๆ ไป ยิ่งทำยิ่งเหนื่อย ยิ่งต้องทำมากขึ้น เขาบอกให้ทำแค่ 10 จะได้หลุดพ้น พอทำไปถึง 10 เขาบอกว่ามีอีก 10 พอทำเพิ่มไปอีก 10 เขาบอกมีอีก 10 พอทำไปถึง เขาบอกต้องอีก 30 ถึงจะถึง พอทำไปถึง 30 เขาบอกไม่มีทางหรอก ต้องทำเป็นร้อย นี่คือประสบการณ์จริง มันเป็นอย่างนั้นแหละ เหนื่อยๆ  จนวันหนึ่ง เมื่อ 30 ปีที่แล้ว มันเกิดปิ๊งขึ้นมา พูดสั้นๆ คือ …

“จนวันหนึ่งไม่พึ่งตัวเองอีกต่อไป ไม่พึ่งความดีงามของตัวเองอีกต่อไป ไม่พึ่งกำลังของตัวเองอีกต่อไปแล้ว ขอพึ่งสิ่งที่พระเยซูทำให้ที่ไม้กางเขน คือได้ไถ่บาปให้ฉัน พาฉันไปสู่แสงสว่าง โอเค พระเยซูพาไปเลย ตั้งแต่วันนั้น มาถึงทุกวันนี้ เป็นอย่างนี้”

ท่านเอง ก็เป็นอย่างนี้แหละ ท่านก็ไม่ได้ทำอะไรเลย  พระเยซูทำให้เสร็จเรียบร้อยไปแล้ว ที่ไม้กางเขน เมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว วันเดียวกันนี้  วันศุกร์อย่างนี้ ที่ไม้กางเขน  ที่พระองค์ทรงถูกตรึงตั้งแต่ 3 โมงเช้าจนกระทั่งถึงบ่าย 3 โมง 6 ชั่วโมง จริงๆ ทรมานตั้งแต่เมื่อคืนนี้แล้ว เมื่อคืนพฤหัสฯ แล้วบ่าย 3 โมง พระองค์บอกว่า Testelesti จ่ายหมดแล้ว สำเร็จแล้ว แล้วพระองค์ก็สิ้นพระชนม์ ก็คือจ่ายหนี้ให้มนุษย์เรียบร้อยแล้ว แผนการพระเจ้าที่วางมาทั้งหมด เรียบร้อยแล้ว บัดนี้ เปิดทางโล่ง ครอบครัวใหม่ในพระเจ้า ชื่อครอบครัวพระเยซูคริสต์ มาเลยพี่น้อง พระองค์ทรงเรียกมนุษย์ทั้งปวงว่าพี่น้อง ใครที่เป็นมนุษย์ มาเลย ที่เป็นพี่ หรือเป็นน้องพระเยซูก็ตาม ถ้าเป็นอายุมากกว่า ก็เรียกว่าเป็นพี่ของพระเยซู แต่ถ้าอายุน้อยกว่า ก็เรียกเป็นน้องพระเยซู พระเยซูบอก …

“พี่น้องมาเลย ฟรีทุกอย่างฉันทำให้เสร็จเรียบร้อย ชัยชนะอยู่ที่ฉัน ฉันเอามาให้เรียบร้อย มาใช้สิทธิ์ของเธอ มาเลยๆ”

แล้วพระองค์ก็บอกคนที่มา แล้วรู้เรื่อง ไป ไปบอกข่าวดีนี้ ไปบอกให้ทุกคนทั้งโลกเลย ข่าวดีฟรี ไม่ต้องทำอะไรเลย เอเมน  ขอพระเจ้าอวยพรครับ

 

*********************

 

 

คำหนุนใจ Pre Sermon วันอาทิตย์ที่ 25 มีนาคม 2018 เรื่อง “อีสเตอร์” โดย นคร เวชสุภาพร

คำหนุนใจ Pre Sermon วันอาทิตย์ที่ 25 มีนาคม 2018

เรื่อง “อีสเตอร์”

โดย นคร  เวชสุภาพร

            ผมอยากให้ทุกคนได้ระลึกถึงตรงนี้มากกว่าวันคริสตมาสด้วยซ้ำไป คนส่วนใหญ่ไม่ค่อยพูดถึง และก็ไม่พูดถึงรายละเอียดลึกซึ้ง ที่เกี่ยวข้อง เกี่ยวพันกับพวกเราทุกคน และมนุษย์ทุกคน เราจำเป็นต้องเรียนรู้ เพราะเรามีหน้าที่ประกาศข่าวดี ทุกคนมีหน้าที่ประกาศข่าวดี

ประกาศข่าวดีของพระเยซูคริสต์ สรุปสั้นๆ คือวันศุกร์ประเสริฐกับวันอีสเตอร์ 2 วันคือข่าวดีมาถึงมนุษย์ทุกคน เราจะได้มาย้อนกันว่าพระเยซูทำอะไรให้กับเราในวันนั้น

ผมจะเล่าให้ฟังว่าทุกวันนี้ คนเป็นอย่างนี้กันเยอะเลย คือวางแผนการในชีวิตว่าจะทำอะไรบางอย่าง แล้วก็จะทำให้มันสำเร็จ แล้วก็มุ่งมั่น ทำมันต่อไป ผมเองในอดีต ตอนแรกทำมาหากินได้ ก็ว่าเป้าแล้ว ยกตัวอย่างเช่น ทุกคนในที่นี่ อยากจะมีรถสัก 1 คัน มีบ้านสักหลังหนึ่ง ส่วนใหญ่รถ ไม่ค่อยสำคัญเท่ากับบ้าน  อยากจะมีบ้านของตัวเองสักหลังหนึ่งใช่ไหม? นี่คือความฝันใช่ไหม? เล็กๆ ก็ยังดี ไม่มีบ้าน ก็อยากจะมีบ้านสักหลังหนึ่ง เช่าเขาอยู่ ก็อยากจะมีบ้านสักหลังหนึ่ง ก็ทำทุกสิ่งทุกอย่าง ช่วยกันทุกสิ่งทุกอย่าง ไปดาว์นบ้านสักหลังหนึ่ง ถูกไหม? ส่วนใหญ่จะเป็นอย่างนี้

ดาว์น เพื่อจะเป็นเจ้าของบ้านในวันหนึ่งข้างหน้า เพื่อลูกหลานและตัวเราเองจะได้อยู่อย่างมีความสุขสักที ความคิด เป็นอย่างนั้น เพื่อเผื่อลูกหลานด้วย เราก็ทำ แล้วก็ตั้งมั่น ตั้งใจ ทำมาหากิน อดทนทุกอย่าง เพื่อจะเงินไปผ่อนบ้าน  ผ่อนทุกเดือนๆ ไม่มีก็ต้องผ่อน กินน้อยลงนิดหนึ่ง ก็ต้องผ่อน เพื่อแผนการจะได้สำเร็จ เราจะได้เป็นเจ้าของบ้าน  จะได้เป็นอิสระสักที เป็นหนี้เขาอยู่ตอนนี้ ไปซื้อบ้านมา 1 ล้าน จ่ายเงินค่าดาว์นไป แล้วต้องจ่ายไปเรื่อยๆ ทุกเดือนๆ จ่ายไป หวังว่าเมื่อไรหนอ ทุกเดือนก็จะมาดูบิล ไปจ่ายก็มาดู เงินต้นเหลืออยู่อีก 7 แสน สมมติว่าผ่อนเดือนละ 5,000 บาท จ่ายไป 5,000 บาท ลบเงินต้นจาก 7 แสน เหลือ 695,500 บาท หายไป 500 เอง เมื่อไรจะหมดสักที คิดในใจ ไม่เป็นไร โอเค ถึงไม่หมด เดี๋ยวลูกหลานเราก็ผ่อนต่อ ในที่สุด บ้านก็เป็นของเราแล้ว เราก็คิดอย่างนั้นแหละเนอะ

นี่คือความสุขใจ ความหวังใจว่าเมื่อไรมันจะหมดสักที? เมื่อไรมันจะเสร็จสักที? แผนการนี้ แผนการความหวังของเรา พระเจ้าก็คิดอย่างนั้นแหละ พระคัมภีร์บอกมนุษย์ตกลงไปในความบาป มนุษย์ตกลงไป ไม่มีบ้านจะอยู่แล้ว บ้านแตกสาแหลกขาด แล้วต้องทำอะไร? ก็ต้องผ่อนหนี้ ผ่อนทุกวันๆ ทุกเดือน ทุกปี  พระคัมภีร์เดิม ก็คือมนุษย์ผ่อนนี้ ผ่อนบาป ปีละครั้ง ผ่อนอยู่นั้นแหละ แล้วก็หวังเป็นอย่างยิ่งว่าลูกหลานเมื่อไรหนอ ไปถึงลูกหลาน ลูกหลานจะผ่อนได้หมด ไปถึงลูกหลาน ลูกหลานก็บอกว่าเมื่อไรจะผ่อนหมดสักที ไม่หมดสักที

จนกระทั่ง วันหนึ่ง แผนการที่จะให้บ้านเป็นอิสระ มนุษย์เป็นอิสระเมื่อไร? เมื่อนั้น เป็นแผนการของพระเจ้า และแผนการของมนุษย์ทุกคน ก็มีลูกหลานของมนุษย์ผู้หนึ่งมาทำการผ่อน จบหมดสิ้น เมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว คนนี้ชื่อเยซู มาเกิด  แล้วก็เมื่อ 2,000 ปีได้บันทึกไว้ว่าเขาได้เดินทางมาตามแผนการให้มันสำเร็จ ก็คือมาผ่อน แต่เที่ยวนี้ผ่อนสุดท้ายแล้ว ก็คือเขาเอาตัวของเขาเอง ไปตายที่ไม้กางเขน  และหลั่งพระโลหิต ในพระคัมภีร์ไบเบิ้ลบอกว่าตอนที่เขาทำสำเร็จเรียบร้อย เขากางแขน ตายที่ไม้กางเขน แล้วก็พูดคำว่า …

“สำเร็จแล้ว”

ในนั้น ไม่ได้บอกว่าพูดดังขนาดไหน? แต่ผมว่าในใจคงเต็มไปด้วยพลังมากเลย ก็เหมือนเราผ่อนบ้านงวดสุดท้าย จบแล้ว ผ่อนมาตั้งแต่สมัยพ่อแม่เรา จนมาถึงเราแล้ว งวดสุดท้าย สมมติเหลืออยู่ประมาณ 3 แสน เราเผอิญโชคดี มีเงินเยอแยะมาตอนนั้น ได้เงินมา 3 แสน ไปที่ธนาคาร เอาเงิน 3 แสนไปจ่ายหมด กลับมาที่บ้านบอกว่าเสร็จแล้ว จบแล้วนะ เราไม่ต้องผ่อนใครแล้ว เราเป็นอิสระแล้ว

พระเยซูก็ทำอย่างนั้น  วันนั้น วันที่ไม้กางเขน พระคัมภีร์บันทึกไว้ ยอห์น 19:30 ในวันนั้น  วันที่พระองค์ผ่อนชำระหมด ให้กับมนุษย์ทั้งปวง เราจ่ายหนี้ให้หมดแล้วนะ ในนั้นบันทึกว่า …

ยอห์น 19:30 “เมื่อทรงรับน้ำนั้นแล้ว พระเยซูก็ตรัสว่า “สำเร็จแล้ว” จากนั้นพระองค์ก้มพระเศียรลง และสิ้นพระชนม์”

 

ตอนนี้ถูกตรึงอยู่ที่ไม้กางเขนนะ ประมาณสักบ่าย 3 โมง ในวันศุกร์นั้น พระเยซูอยู่บนไม้กางเขน รับน้ำที่คนเขาชูขึ้นมาให้ น้ำที่อยู่ในฟองน้ำ  เสร็จแล้วก็พูดว่า … “สำเร็จแล้ว” จะดังหรือเบาไม่รู้ จากนั้นพระองค์ก้มศีรษะลง และสิ้นพระชนม์ ก็คือจ่ายงวดสุดท้าย จบสักที

ชีวิตพระองค์ คือราคาที่จ่ายเพื่อเรา มนุษย์ทั้งปวงจะได้เป็นอิสรภาพสักที ไม่ต้องชดใช้บาปเวรกรรม  ไม่ต้องผ่อนหนี้เวรกรรมอีกต่อไปแล้ว เอเมน

เพราะฉะนั้น คำนี้ แล้วแต่คนจะคิดนะ ผมเอง ผมมีความรู้สึกในใจ สำหรับร่างกายพระเยซูทุกข์ทรมานมาก หมดแรง คงจะพูดแบบเบาๆ เพราะกำลังจะหายใจไม่ออกแล้ว กำลังจะสิ้นพระชนม์ เพราะถูกตรึงอยู่ที่ไม้กางเขน ตั้งแต่ 9 โมงเช้าจนถึงตอนนี้ 6 ชั่วโมงแล้ว หายใจไม่ได้ ทรุดลงไปทุกที คงจะพูดเบาๆ แต่คิดว่าในใจคงจะตะโกนดังลั่นเลย เหมือนเราทั้งหลายที่ไม่ได้อยู่บนไม้กางเขน แต่เราได้รับข่าวดี รู้จักพระเจ้า โดยผ่านทางพระเยซูคริสต์ บนไม้กางเขนนั้น เรารู้ว่าคำนี้ ในใจพระองค์คงพูดดีใจมากๆ พูดอย่างไร?

“สำเร็จแล้ว” (พูดแบบอ่อนแรง)

ถูกล๊อตเตอร์รี่ รางวัลที่ 1 พูดว่าอย่างไร?  … “ถูกแล้ว วันนี้ถูกล๊อตเตอร์รี่รางวัลที่ 1 เลยนะเนี้ย”

ถ้าถูกหมดทุกใบ ได้เท่าไร? ประมาณกี่บาท  180 ล้าน ดีใจไหม? นี่ 180 ล้าน ยังวิ่งไปทั่วบ้านทั่วเมือง จากปากซอยถึงก้นซอย ตะโกนลั่นเลย  แล้วนี่มันมากกว่าเท่าไร? ที่เราไม่ต้องใช้หนี้ ใช้กรรมแล้ว ทั้งหมดเลยนะ มวลมนุษยชาติ ทั้งหมด ทั้งในอนาคต ในอดีต ทั้งหมดเลย มาถึงพวกเราด้วย ไม่ต้องใช้หนี้ ใช้บาป ใช้เวร ใช้กรรมอีกต่อไปแล้ว

เพราะฉะนั้น ควรจะตะโกนว่าอย่างไร? พระเยซูอยู่บนไม้กางเขน ก่อนสิ้นพระชนม์ พระองค์รู้ว่าจบสิ้นกันสักที พวกเราทั้งหลาย พระองค์เป็นตัวแทนของมนุษย์ พวกเราเผ่าพันธุ์มนุษย์ทั้งหลาย ต่อไปนี้ ไม่ต้องชดใช้เวรกรรมอีกต่อไปแล้ว พระองค์กำลังพูดคำนี้ว่าจ่ายครั้งสุดท้าย บอกว่า … “สำเร็จแล้ว” … ตะโกนสุดเสียงเลย วิ่งตั้งแต่ปากซอยถึงท้ายซอย นี่แหละคือข่าวดีไง เขาให้ออกไปประกาศข่าวดี คืออย่างนี้ เหมือนท่านถูกล๊อตเตอร์รี่ ท่านออกไปประกาศข่าวดี ถ้าท่านถูกกิน ท่านก็ไม่พูดกับใคร?  ถ้าถูกถึงไปพูด พอถูกกิน …

“ฉันถูกกิน”

แต่ตอนถูกล๊อตเตอร์รี่พูดมากกว่าตั้งเยอะ

สมัยก่อนไม่รู้จักพระเยซู เราพูดทุกวัน พูดบ่อยๆ … “เมื่อไรจะหมดเวรหมดกรรมสักที”

ทีทุกวันนี้ หมดเวรหมดกรรมแล้ว เมื่อเชื่อพระเยซู ไม่เห็นพูดสักคำหนึ่งเลย พูดหรือเปล่า? พูดน้อยกว่าแต่ก่อนตั้งเยอะ จริงหรือไม่จริง? จริง

เมื่อก่อน “เมื่อไรจะหมดเวรหมดกรรมสักทีหนึ่ง”

ทำไมเดี๋ยวนี้ไม่ทุบดินไป ทำงานเหนื่อย แล้วก็บอกว่า “หมดเวรแล้ว หมดกรรมแล้ว โอ๊ย! เหนื่อยจริง หมดเวรหมดกรรมสักทีหนึ่ง จบแล้ว”

ทำไมไม่พูดล่ะ ทีแต่ก่อนนี้ทำงานหนักไป “เมื่อไรหมดเวรหมดกรรมสักที”

คนเรานี่ก็แปลก

นี่เอาความจริงมาให้ท่านเห็นว่าเราก็แปลก พระเยซูจึงบอกให้พวกเราออกไปประกาศข่าวดี นี่คือข่าวดี ประกาศอย่างไร? เคยประกาศข่าวร้ายอย่างไร? เดี๋ยวนี้ก็ทำเหมือนกันแหละ ไม่ต้องไปหาใครก็ได้ อยู่ว่างๆ บ่นกับตัวเองว่า …

“เมื่อไรหมดเวรหมดกรรม”

คราวนี้ก็บ่นกับตัวเองบ้างสิ … “เดี๋ยวนี้เป็นอิสระแล้ว ขอบคุณพระเจ้า เป็นอิสระแล้วในพระเยซู เป็นอิสระแล้ว”

นี่แหละ ประกาศข่าวดี คนก็แอบได้ยิน ทำงานอย่างไร ทำไมยิ้มแย้มแจ่มใส เหนื่อยจะตาย  เจอปัญหามากมาย  หน้าตาบู้บี้ ปากยังพูดเลยว่า …

“หมดเวรหมดกรรมแล้ว”

เอเมน นี่คือข่าวดี

พระเยซูอยู่บนไม้กางเขน จึงประกาศว่าสำเร็จแล้ว

“สำเร็จแล้ว” ภาษาเดิมสมัยนั้น  พระเยซูพูดคำนี้ เป็นภาษากรีกในสมัยนั้น ตะกี้เราพูดภาษาไทย ภาษากรีกอ่านเป็นภาษาไทยว่า “เทสเทเรสสไตล์” แปลว่า “จ่ายหมดแล้ว” ไม่ใช่สำเร็จแล้วนะ  เขาเอาไว้สำหรับเป็นชื่อที่ปั้มลงไปในเอกสารของชาวกรีกในสมัยนั้น เมื่อเราไปธนาคารหรือไปที่ไหน? ซื้อของเขาเรียบร้อย เอาบิลเรียบร้อย แล้วเราจ่ายเงินเรียบร้อย บิลเขาจะพิมพ์คำว่าเทสเทเรสสไตล์ แปลว่าจ่ายหมดแล้ว ท่านไปซื้อของ 1,150 บาท ปุ๊บ ท่านจ่ายเงิน 1,150 บาท เขาก็เขียนบิลให้ท่าน แล้วก็ปั้มคำว่าเทสเทเรสสไตล์ แปลว่าท่านไม่ได้เป็นหนี้เขาอีกแล้ว ท่านก็เดินออกมาฟรีๆ

เอเมน ตอนนี้ ชีวิตเราได้ถูกปั้มแล้วว่าเทสเทเรสสไตล์ แปลว่าจ่ายหนี้หมดแล้ว

เพราะฉะนั้น จำตรงนี้ไว้ ทั้งวันทั้งคืน อยากจะบ่น บ่นตรงนี้ไปเลย รู้สึกเซ็งในชีวิต บ่นตรงนี้ไปเลย เหมือนแต่ก่อนนี้

“เมื่อไรจะหมดเวรหมดกรรม”

กลายเป็น พออยากจะบ่น อยากจะเหนื่อย อยากจะพูดอะไร ก็พูดไปเลยว่า …

“เทสเทเรสสไตล์แล้ว หมดเวรหมดกรรมแล้ว ฉันเหนื่อยอีกแป๊บเดียวเอง เพราะว่ามันหมดเวรหมดกรรมไปแล้ว จะเหนื่อยอีกแป๊บหนึ่ง ก็โอเค เพราะว่ามันหมดเวรหมดกรรมไปแล้ว”

แต่ก่อนนี้มันไม่มีความหวัง เหนื่อยก็เหนื่อย แถมยังเมื่อไรจะหมดเวรหมดกรรม ชาติหน้าหนักกว่านี้อีก แต่เดี๋ยวนี้เหนื่อยอย่างไร? ประสบปัญหา อุปสรรคอย่างไร? ก็พูดว่าเทสเทเรสสไตล์ มันจ่ายหมดแล้ว ทนอีกนิดเดียว มันจบแล้ว เราเป็นลูกพระเจ้าแล้ว เราจะอยู่สวรรค์กับพระเจ้านิรันดร์กาลตลอดไป เอเมน

พูดอีกครั้งหนึ่งว่า … “เทสเทเรสสไตล์” แปลเป็นภาษาไทยว่า … “จ่ายหมดแล้ว”

แต่นี่หมายถึงโลกวิญญาณนะ ทุกวันนี้ ใครเป็นหนี้ธนาคารอยู่ ไปจ่ายเหมือนเดิมนะ ไม่ใช่บอกว่า …

“อ้าว! เห็นคุณนครบอกว่าจ่ายหมดแล้ว ฉันเลยไม่ได้มาผ่อน”

มันคนละเรื่องกันนะ แต่ว่าในทางวิญญาณ หมดแล้ว มันไม่มีหนี้แล้ว เอเมน

 

****************************

 

 

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 11 มีนาคม 2018 เรื่อง “ความจริงจะทำให้ท่านเป็นไท” ตอน 13 “ไม่มีกฎ สำหรับลูกพระเจ้า” โดย นคร เวชสุภาพร

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  11  มีนาคม  2018

 เรื่อง “ความจริงจะทำให้ท่านเป็นไท”

ตอน 13 “ไม่มีกฎ สำหรับลูกพระเจ้า”

โดย นคร  เวชสุภาพร

 

“ความจริงจะทำให้ท่านเป็นไท” ตอนที่ 13 “ไม่มีกฎ สำหรับลูกพระเจ้า” (น้ำยาซักฟอกผ้าอัศจรรย์)

ครั้งที่แล้ว เราได้ย้ำกันไปในเรื่องข้อพระคัมภีร์ ในหนังสือ 1 โครินธ์ 10:23 ที่อาจารย์เปาโลได้กล่าวไว้ว่า “เราได้รับอนุญาตให้ทำทุกสิ่งได้ แต่ไม่ใช่ว่าทุกสิ่งจะเป็นประโยชน์ เราได้รับอนุญาตให้ทำทุกสิ่งได้ แต่ไม่ใช่ว่าทุกสิ่งจะทำให้เสริมสร้างขึ้น” ที่เราได้เรียนรู้ไปครั้งที่แล้ว

เล่าแบ็คกราวด์ให้ท่านฟัง ในหนังสือโครินธ์ส่วนใหญ่เป็นการสอนของอาจารย์เปาโลที่มีไปถึงบรรดาผู้ที่เป็นคริสเตียน ที่เชื่อในข่าวประเสริฐของพระเยซูแล้ว ที่เมืองโครินธ์ ซึ่งในเมืองโครินธ์เป็นเมืองใหญ่ กำลังมีการแตกแยกในหมู่ผู้เชื่อ วุ่นวาย แตกแยกกันทางความคิด เนื่องจากโครินธ์เป็นเมืองหลวงใหญ่ มีพลเมืองจำนวนมาก แล้วก็มาจากกลุ่มลัทธิความเชื่อหลากหลาย มาจากวัฒนธรรมประเพณีที่แตกต่างกันก็มาก ผู้เชื่อชาวโครินธ์หลายคน ก็มาจากชาวกรีกโบราณ ชาวยิวก็มี พูดง่ายๆ ถ้าเทียบปัจจุบันก็เหมือนอยู่ในกรุงเทพ คิดดูว่ามันหลากหลายเยอะแยะ

ผู้เชื่อในเมืองโครินธ์แตกแยกเป็นกลุ่มๆ พวกๆ ซึ่งผู้นำแต่ละกลุ่ม ก็ได้วางกฎเกณฑ์ข้อบังคับของตนเอง ที่ตนเองคิดว่าใช่ เช่น …

“ถ้าเป็นคริสเตียน ต้องตามกฎฉันนะ ฉันวางกฎให้เธออย่างนี้”

นึกภาพออกไหม? ก็เหมือนในปัจจุบัน คริสเตียนนิกายต่างๆ เชื่อนิกายนี้ต้องทำอย่างนี้ ในสมัยโครินธ์ก็เป็นอย่างนี้แหละ แบ่งออกเป็นกลุ่ม ผู้นำก็จะบอกว่า …

“ถ้ามาอยู่กลุ่มฉัน ฉันมีข้อบังคับกฎเกณฑ์ต้องเป็นอย่างนี้”

ข้อปฏิบัติต่างๆ ก็จะบอกไว้ แล้วพวกผู้เชื่อก็จะคอยจับผิดกันและกัน กล่าวหากันและกัน

“ของฉันถูก ของเธอผิด”

อะไรต่างๆ เหล่านี้ ใครไม่ปฏิบัติตามกฎของตัวเอง ก็เป็นคริสเตียนที่ผิด กล่าวหากันถึงขนาด

“ถ้าไม่ทำตามฉัน พวกเธอเป็นลัทธิเทียมเท็จ หลงแล้ว ตกนรกแน่นอน”

ก็เถียงกันมากมาย ทั้งๆ ที่ทั้งหมดนั้น เปาโลใช้ชื่อว่าพวกเขาเป็นผู้เชื่อ ก็คือเป็นคริสเตียน เปาโลก็มีหน้าที่มาจัดการความสับสนวุ่นวายนี้ ให้มันเรียบร้อยไป อาจารย์เปาโลก็เลยเขียนจดหมายนี้ ไปถึงบรรดาผู้เชื่อในเมืองโครินธ์ ก็คือไปบอกคริสเตียนทั้งหลายที่กำลังทะเลาะเบาะแว้ง แย้งกันไปแย้งกันมา คนนี้เชื่อเทียมเท็จ คนนี้เชื่อเกิน คนนี้เชื่อผิด คนนี้หลงไปแล้ว คนนี้เชื่อมาร มารเอาไปแล้ว ก็ว่าไป  เปาโลก็เลยเขียนไปบอกว่าให้หันมาเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ในพระเยซูคริสต์ คนที่ความคิดตะเลิดเปิดเปิงไปตามตามองเห็น ลากเข้ามาสู่โลกวิญญาณ บอกว่า …

“ในโลกวิญญาณ จำไว้ พวกเธอเป็นหนึ่งเดียวกันในพระเยซูคริสต์ ตามองไม่เห็น หูไม่ได้ยิน แต่มันมีอยู่จริง ให้คิดตรงนั้นดีๆ มัวแต่ไปมองคนนั้นทำอันนั้น คนนี้ทำพิธีอันนี้ ตามองเห็นคนนี้สอนว่าอย่างนี้ ตามองไม่เห็นว่าเราอยู่ในพระคริสต์ เป็นหนึ่งเดียวกัน จึงต้องมาย้ำยืนยันให้พวกเขารู้ว่าในโลกวิญญาณมันเป็นอย่างนี้ เป็นหนึ่งเดียวกันในพระคริสต์ โดยมีพระเยซูคริสต์เป็นหลัก พระเยซูมาทำอะไร? เพื่อใคร?  พระเยซูเป็นศูนย์กลางของเรานะ ไม่ใช่พิธีอะไรต่างๆ เหล่านั้น ไม่ใช่ความเชื่อแปลกๆ เหล่านั้น

แล้วก็ให้แนวทางในการดำเนินชีวิต  เพื่อให้ผู้เชื่อทั้งหลาย หรือคริสเตียนทั้งหลายอยู่ร่วมกันได้อย่างสงบ และมีสันติเกิดขึ้น  สามารถเป็นหนึ่งในพระเยซูคริสต์ได้ในความแตกต่าง ทุกคนเป็นคนไทย แต่ไม่ใช่เป็นคนไทยแล้วต้องทำเหมือนกันหมดทุกคน ในทำนองเดียวกัน ทุกคนอยู่ในพระคริสต์ ไม่ใช่ทุกคนต้องทำเหมือนกัน แล้วทำอย่างไรล่ะ เปาโลก็เลยมาสอนย้ำว่านี่คือแนวทางปฏิบัติในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ว่าให้เป็นอย่างนี้ ซึ่งไม่ได้เกี่ยวกับโลกวิญญาณเลยนะ ซึ่งไม่ได้เกี่ยวกับความรอดในพระเยซูคริสต์ ที่เราบอกตะกี้ว่าเราเป็นหนึ่งเดียวกัน นั่นคือโลกวิญญาณ เปาโลกำลังจะมาบอกว่าถ้าในโลกวัตถุ ที่เราดำเนินชีวิตแตกต่างกัน มันควรจะเป็นอย่างไร ในลักษณะการเป็นคริสเตียน? เป็นผู้เชื่อ ควรจะมีความคิดอย่างไร? เปาโลเลยสรุปแนวทางการปฏิบัติไว้ว่า …

“คริสเตียนได้รับอนุญาตให้ทำทุกสิ่งได้”

“แต่ไม่ใช่ว่าทุกสิ่งที่อนุญาตให้ทำ จะเป็นประโยชน์”

“เราได้รับอนุญาตให้ทำทุกสิ่งได้ แต่ไม่ใช่ว่าทุกสิ่งที่อนุญาตให้ทำ มันจะเป็นการเสริมสร้างขึ้น”

ถูกไหม?  เปาโลเด็ดขาด แค่ประโยคเดียวก็วางหลักเกณฑ์ได้แล้ว ความหมาย ก็คือในทางวิญญาณ เมื่อเราได้รับการชำระให้บริสุทธิ์ เมื่อเรามาเชื่อพระเจ้า ผ่านทางพระเยซูคริสต์ ด้วยความเชื่อ เราได้ย้ายออกมาจากอำนาจของความมืด สกปรก มาสู่ความสะอาดหมดจดของพระเยซูคริสต์ทันทีทันใด เดี๋ยวนั้นเลย เมื่อความเชื่อเกิดขึ้น  เราเข้ามาอยู่กับพระเจ้า เป็นหนึ่งเดียวกับพระองค์ วิญญาณเราบริสุทธิ์สะอาดใสกริ๊ง เหมือนพระเจ้าเลย

จะไม่มีสิ่งใด หรือการกระทำใดๆ ที่จะทำให้เรากลับไปสกปรกได้อีกแล้ว เมื่อท่านเชื่อจริง ขณะที่วิญญาณเราสะอาดหมดจด อยู่ในอาณาจักรแห่งความแสงสว่างแล้ว เราไม่ได้อยู่ตรงโน้นแล้วเพราะฉะนั้น เราได้รับอนุญาตให้ทำทุกสิ่งได้ โดยไม่ต้องกลัวว่ากฎระเบียบจะบังคับเราให้ทำอันโน้นอันนี้ เพราะในโลกฝ่ายวิญญาณมันไม่มีกฎ อยู่กันแบบครอบครัว เป็นลูกของพระเจ้า เราไม่ได้อยู่ในกฎของบาปและความตายอีกต่อไป

ถึงแม้ว่าเราได้รับอนุญาตให้ทำทุกสิ่งได้ก็จริง เปาโลเตือนว่าแต่ไม่ใช่ทุกสิ่งที่เราทำ (ซึ่งไม่เกี่ยวกับวิญญาณแล้ว) จะเกิดประโยชน์ต่อตัวเราเอง หรือต่อผู้คนรอบข้าง หรือต่อโลกใบนี้นะ บางอย่างเรามีสิทธิ์ทำ แต่มันจะเกิดผล ไม่ดีกับเราเอง กับคนรอบข้าง และกับโลกใบนี้ ก็ได้เหมือนกัน ให้ระวังไว้ด้วย

ให้เราระมัดระวังในสิ่งเหล่านี้ว่ามันอาจจะไม่เป็นประโยชน์ อาจจะไม่เป็นการเสริมสร้างขึ้น ก็คือไม่ดีนั่นเอง แล้วก็มาจบตรงข้อ 31 ว่า …

1 โครินธ์ 10:31 “ดังนั้น ไม่ว่าท่านจะกินหรือดื่ม หรือทำอะไรก็ตาม จงทำทุกสิ่ง เพื่อพระเกียรติสิริของพระเจ้า”

 

ดังนั้น ไม่ว่าท่านจะกินหรือดื่ม หรือทำอะไรก็ตาม จงทำทุกสิ่ง เพื่อถวายเกียรติสิริแด่พระเจ้า ให้นึกถึงพระเจ้าว่าท่านเป็นลูกพระเจ้า ต้องคิดให้ดีๆ ที่จะทำต่อไป ท่านก็จะอ๋อ! เราเป็นลูกพระเจ้า สิ่งเหล่านี้เราควรทำไหม? สมควรที่จะทำไหม? อะไรต่างๆ เหล่านี้ นี่คือกฎเกณฑ์ในการดำเนินชีวิต แบบคริสเตียนบนโลกใบนี้  ที่เปาโลวางรากฐานให้เราทำ คือสำหรับผู้เชื่อแล้ว ไม่มีสิ่งใดที่ห้ามทำ และไม่มีสิ่งใดที่ต้องทำ ก็คือไม่มีกฎ … กฎ ก็คือต้องทำ และอย่าทำ

แต่สำหรับผู้เชื่อที่มาเป็นลูกพระเจ้า ได้เกิดใหม่ในพระเยซูคริสต์ เข้ามาอยู่ในอาณาจักรแห่งความสว่างแล้ว ไม่มีสิ่งใดที่ห้ามทำ และไม่มีสิ่งใดที่ต้องทำ แต่จงทำในสิ่งที่เป็นประโยชน์ และทำในสิ่งที่เป็นการเสริมสร้างขึ้น ไม่ได้บังคับให้ทำ แต่เป็นการคิดเอา ใช้สติปัญญา ที่มาจากพระเจ้า ให้พระวิญญาณข้างในนำเราว่าเป็นประโยชน์ไหม?  เสริมสร้างไหม? แก่ตนเอง แก่คนรอบข้าง และแก่ทั้งโลกเลย ที่พระเจ้าสร้างขึ้น ก็เป็นการถวายพระสิริแด่พระเจ้า คือนึกถึงพระเจ้าก่อน

แล้วเราจะทราบได้อย่างไรว่าสิ่งใดเป็นประโยชน์ บางคนคิด สิ่งไหนเป็นการเสริมสร้างขึ้น เราได้เรียนรู้ไปครั้งที่แล้ว ไม่มีหลักเกณฑ์ชัดเจน ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ ขึ้นอยู่กับสภาวะแวดล้อมของแต่ละคน แต่ละครั้ง แต่ละวินาที แต่ละเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น อย่ามาเลียนแบบกัน อย่ามาเทียบกัน  เชื่อวางใจในพระเจ้า เราอาจจะทำอย่างนี้ วินาทีนี้ มันถูกต้อง แต่สำหรับคนอีกแบบหนึ่ง ในวินาทีเดียวกัน เขาอยู่อีกแห่งหนึ่ง คนละสถานการณ์ ก็ได้ ถูกทั้งคู่ อย่างนี้เป็นต้น

พอคุยถึงเรื่องนี้  ผมก็เลยมานั่งคิดว่าจริงๆ แล้ว พวกเราตอนนี้ หมายถึงพวกเราคริสเตียนในเมืองไทย เราเองก็อยู่ท่ามกลางขนบธรรมเนียม แบบโครินธ์อย่างนี้เลย ลักษณะคล้ายๆ มีขนบธรรมเนียมประเพณีต่างๆ เยอะแยะมากมายในเมืองไทย เราอยู่ท่ามกลางสภาวะสังคมที่แตกต่างกัน แค่ในกรุงเทพเราก็เห็นเยอะแล้ว นี่ไปทั้งประเทศ เราเห็นภาพชัดเจน หลายคนอยู่ในสภาวะแวดล้อมของครอบครัว ที่รับรองได้ในนี้เกือบ 100% เป็นครอบครัวที่ไม่ใช่เป็นคริสเตียนทั้งหมด อาจมีเราคนเดียวก็ได้ นี่คือสิ่งที่คล้ายๆ กับสิ่งที่เกิดขึ้นกับโครินธ์ เมื่อตอนนั้น ก็คือมันแตกต่างกันมาก เพราะว่าคริสเตียน หรือผู้เชื่อในพระเยซูคริสต์ เป็นชนกลุ่มน้อยในประเทศไทย ท่านถึงเห็นความหลากหลายในการเชื่อเยอะแยะ อื่นๆ มากมาย มันจึงเกิดประเพณีที่ไม่เข้าใจว่าทำไมไม่เหมือนกัน ก็คล้ายๆ สิ่งที่เกิดขึ้นในโครินธ์อย่างนั้น

หลายคนยังเป็นเพียงคนๆ เดียวในครอบครัว ที่มาเชื่อพระเจ้า หลายคนก็เป็นเพียงคริสเตียนคนเดียวในห้องเรียน อาจจะเป็นคนๆ เดียวทั้งโรงเรียน ก็เป็นไปได้ หลายคนก็เป็นเพียงพนักงานคนเดียว ที่เป็นคริสเตียน อันนี้เยอะเลย  ผมก็เลยสงสัยว่าแล้วคริสเตียนในบ้านเราจะมีคำถาม หรือมีความสับสนแบบเดียวกันกับชาวโครินธ์ ที่เชื่อในพระเจ้า เมื่อสมัยโน้นหรือไม่?

ผมไปหาในกูเกิ้ล (Google) แล้วคัดมาแต่ที่เด็ดๆ มาอ่านให้ฟัง เอาที่คุ้นๆ …

–  คริสเตียนไม่ไปโบสถ์วันอาทิตย์ได้ไหม? ผมรู้ เข้าใจว่าหมายถึงบางคนเชื่อไปอยู่ในบ้านปุ๊บ พ่อแม่จ้องเลย  พอรู้ว่าเชื่อพระเจ้าปุ๊บ จ้องเฉพาะวันอาทิตย์วันเดียวเลย แต่ก่อนนี้ ไม่เคยมองเราเลย วันอาทิตย์เราจะไปไหน?  ตอนนี้คอยมอง ไปโบสถ์หรือเปล่า? ไปก็มีเรื่อง อะไรแบบนี้  เขาก็เลยอึดอัด รักพ่อรักแม่ รู้ว่าพ่อแม่ยังไม่เข้าใจ ก็ไม่อยากมา พอไม่มา ผู้นำก็บอกว่าต้องมา ไม่มาตกนรก ไม่มาความเชื่อหาย ต้องรักษาความเชื่อไว้ Google ก็ไม่รู้จะทำอะไร? Google ก็เลยเขียนข้อความนี้ลงมาว่า …

“ฉันเป็นคริสเตียนแล้ว ฉันไม่ได้ไปโบสถ์ได้ไหม?”

ถามผู้นำคนอื่นบ้าง คนอื่นเขาคิดอย่างไร? Google ไปช่วยเขา เห็นไหม? ช่วยให้เขาได้มีที่ระบาย ไม่อย่างนั้นเขาตายแน่เลย  แต่เขาไม่รู้ว่าจะถามใคร? ไปถามผู้นำ ผู้นำก็บอกเขา ต้องมา สู้สิ ความเชื่อต้องถึง สุดท้ายเลย  สำคัญที่สุด ทิ้งหมดเลยพ่อแม่ เป็นอย่างนั้นไปอีก คุ้นๆ น๊า

–  คริสเตียนไปทำบุญได้ไหม? คิดในใจ

–  คริสเตียนไปงานศพ จะกราบศพ เคารพศพได้ไหม?

–  คริสเตียนไปวัดได้หรือเปล่า?  บางคนบอกว่าไปเที่ยวต่างประเทศ เขามีโปรแกรมพาไปเที่ยววัด จะทำได้อย่างไร? ทำได้ไหม?  ทำดีไหม? ไปได้ไหม?  สมมติว่าไปแล้ว จะทำอะไรได้แค่ไหน? ไปเที่ยวอันนี้ งั้นไม่ไป อะไรประมาณนี้

แล้วก็มีผู้หวังดีมาช่วยตอบ ไม่รู้ว่าเป็นผู้หวังดีที่โลกไม่ต้องการหรือเปล่า? ผมก็ไม่แน่ใจ แต่เป็นผู้หวังดีมาตอบ มีบางคนบอกว่าไปได้ แต่ไปแค่เดินชม เดินเที่ยวเฉยๆ อย่าไหว้รูปเคารพ

บางคนบอกว่าถ้าจำเป็นต้องทำจะไหว้ก็ได้ คำถามเดียวกัน คนถามคงงง แต่ห้ามจุดธูป บางคนบอกว่าถ้าจำเป็นต้องทำ จุดธูปก็ได้ แต่อย่าขอพร อย่าบน แล้วยังมีอีกนะ

–  คริสเตียนดื่มเหล้าได้ไหม? คำถามนี้ เป็นคำถามยอดนิยมเลย มีคนถามเยอะเลย ก็มีคำตอบ ว่าห้ามเด็ดขาด บางคนก็บอกว่าดื่มได้ แต่อย่าเมา แล้วใครจะรู้ไหมว่าตรงไหนมันคือเมาหรือไม่เมา คนเมา ส่วนใหญ่ว่าไม่เคยเมาเลย  บางคนก็บอกว่าไม่มีข้อห้าม ดื่มได้ เพราะพระเยซูยังดื่มเหล้าองุ่นเลย  อ้าว! แล้วถ้าเป็นเบียร์ทำไง? ยุ่งเลยนะ แล้วทุกคำตอบ ก็อ้างข้อพระคัมภีร์กันใหญ่ ใส่ข้อพระคัมภีร์เต็มที่ไปเลย  มีเหตุมีผลทุกคนเลย

แล้วยังมีคำถามอื่นๆ อย่างเช่น คริสเตียนมีเพศสัมพันธ์ก่อนแต่งงานได้ไหม?

–  คริสเตียนแต่งงานกับคนที่ไม่เชื่อได้ไหม? อันนี้เยอะเลย สาวๆ ในนี้ หนุ่มๆ ในนี้สะดุ้งกันทุกคนเลย

–  คริสเตียนแต่งงานแล้ว ยังไม่พร้อมที่จะมีลูก คุมกำเนิดได้ไหม? ยุ่งไหม?

–  คริสเตียนไม่แต่งงานได้ไหม? ถ้าไม่แต่งงาน แสดงว่าพระเจ้าทิ้งเหรอ? ทำอะไรผิดใช่ไหมจึงหาคู่ไม่ได้

เปาโลยกตัวอย่างตัวเปาโลเองเป็นโสด

“ข้าพเจ้าเป็นอิสระเหมือนท่าน ข้าพเจ้าจะมีคู่ครองได้ แต่งงานก็ได้ เหมือนกับเปโตร เหมือนกับคนอื่นๆ แต่ข้าพเจ้าคิดว่าข้าพเจ้าแต่งแล้ว มันไม่เป็นประโยชน์ต่อตัวข้าพเจ้า อย่าเลียนแบบนะ เพราะข้าพเจ้าต้องออกไปประกาศโน่น ไปประกาศนี่”

พระเจ้าแต่งตั้งให้เป็นนักประกาศ เดินทางออกไปประกาศ เป็นอัครทูต ตั้งโบสถ์ที่นั่น ตั้งโบสถ์ที่นี่ ไปเยี่ยมเยือนที่นั่น เดินทางบ่อยๆ เพราะฉะนั้น ถ้ามีครอบครัวมันจะลำบาก นี่สำหรับเปาโลเป็นอย่างนั้น ไม่ต้องไปเลียนแบบเปาโล เราไม่ได้เดินทางมากขนาดนั้น อยู่กรุงเทพ แต่งงานเถอะ แต่ก็ไม่ใช่อย่างนั้นอีก เราอยู่ในกรุงเทพ แต่เรารู้สึกเหมือนเปาโลเลย เพราะว่าเราทำงาน เรารู้สึกสบาย เป็นอิสระแล้ว เราจะไปหาห่วงมาผูกคอทำไม? ไปแต่งทำไม? อยู่โสดดีแล้ว นั่นก็เป็นของคนๆ นั้น  เป็นของคนๆ นี้ อย่าไปเลียนแบบกันว่าต้องอย่างนั้น ต้องอย่างนี้ ฉันต้องแบบนั้น ฉันต้องแบบนี้

สรุปแล้ว แต่งงานได้ไหม? ไม่แต่งได้ไหม?  อันไหนดีกว่า ตอบไม่ถูก? สรุปแล้วของใครของเขา มันแล้วแต่สถานการณ์ มันแล้วแต่คนๆ นั้น ของประทานคนนั้น อย่าไปยุ่งเขา ถ้าเขามีของประทาน ก็คือพระเจ้านำเขามาให้เขาเป็นโสด เขาก็เป็นโสดนั่นแหละ เขาเองจะรู้ตัวเองว่าฉันเป็นโสดดีแล้ว แต่สำหรับบางคน พระเจ้าให้เขามีคู่ครอง เพื่อจะใช้งานเขาอีกแบบหนึ่ง เป็นครอบครัว เขาจะรู้เองว่าเขาจะแบกภาระหนัก เหนื่อยขึ้นในการมีครอบครัว พระเจ้าจะให้กำลังเขาเอง เอเมน มันไม่ใช่ดีกว่าอะไร? นี่ยกตัวอย่าง เรื่องนี้ต้องคุยยาวหน่อย เพราะมีผู้สนใจมาก

–  คริสเตียนเล่นหุ้นได้ไหม?

–  คริสเตียนปล่อยกู้ได้ไหม?

มันไม่มีวันจบเลยนะ ผมอ่านแล้ว ตั้งเยอะแยะมากมาย เห็นภาพชัดเลยว่าทำไมอาจารย์เปาโลถึงต้องเขียนจดหมายไปอธิบาย ไปเตือนบรรดาผู้เชื่อเมืองโครินธ์ว่าอย่าแตกแยกกันเลย  ถ้าแตกแยกกันอย่างนี้ ถ้าไม่มีใครมาเคลียร์ อีกไม่กี่ปี ยังไม่ทันถึงช่วงสมัยเรา ข่าวประเสริฐล้มหายตายจากหมดแล้ว แบ่งออกเป็นหมื่นกั๊ก ล้านกั๊ก

–  เป็นคริสเตียนลัทธิที่ไม่แต่งงาน

–  เป็นคริสเตียนที่มีลัทธิอีกลัทธิหนึ่ง ลัทธิที่สอง คือแต่งงาน แล้วไม่มีลูก

–  เป็นผู้เชื่ออีกกลุ่มหนึ่งที่เรียกว่าเป็นคริสเตียนที่แต่งงาน ต้องมีลูกเยอะๆ

ทุกคนก็แบ่งออกเป็นเยอะแยะเลย ท่านพอมองเห็นภาพไหม?  เหมือนเมืองไทยไหม? เป๊ะเลย

บางคำตอบ ไม่น่าเชื่อ เป็นถึงขนาดนี้ แสดงว่าความจริง เรื่องถ้อยคำพระเจ้า มันไม่ได้เข้าไปในส่วนลึกของความเชื่อของคริสเตียนเลย ซึ่งมันเป็นพื้นฐานเท่านั้นเอง ที่เรากำลังเรียนกันอยู่นี้  หลายคนก็ไปค้นข้อพระคัมภีร์มาอ้างกันใหญ่ พระคัมภีร์เดิมบ้าง? พระคัมภีร์ใหม่บ้าง? ความเห็นชัดแย้งกันบ้าง? ข้อพระคัมภีร์ไม่ตรงตามบริบทบ้าง? เอาข้อเดียวมาอ้าง แล้วก็ใส่เลย ตอบกันไป ตอบกันมา จนกระทั่งในที่สุดใหญ่โต ถึงขนาดเป็นศัตรูกันก็มี จริงๆ ด่ากันเลย

เหตุมาจากไม่รู้เนื้อแท้ๆ ของข่าวดีของพระเจ้า มันจึงเกิดปัญหานี้ขึ้น  เปาโลถึงพยายามจะอธิบายสิ่งเหล่านี้ ถ้าเราไม่รู้ความจริง มันจะแบ่งออกมา เพราะหลักการเชื่อของเรานั้น มันผิด พอหลักการเชื่อผิดปุ๊บ มันก็ผิดหมด

อาจารย์เปาโลจึงบอกอีกคำหนึ่งว่าอาณาจักรสวรรค์ไม่ใช่เรื่องการกินและดื่ม เป็นเรื่องโลกวิญญาณ อันนี้ไม่กิน แต่งงาน กินเหล้าได้ไม่ได้ วุ่นวายไปหมด ถามอีกกี่ครั้ง ก็ไม่มีตรงกันหมดทั้งโลก ท่านนึกภาพออกไหม?  ผมว่าถ้าอาจารย์เปาโลยังอยู่ตอนนี้  สมมตินะ อาจารย์เปาโลอาจจะเขียนจดหมายฝากมาหมื่นฉบับ ฝากมาถึงคริสเตียนในเมืองไทย ให้ทำแบบนี้ๆ

ยกตัวอย่างให้ท่านฟัง สมมติอาจารย์เปาโลเขียนมาเมืองไทย อาจารย์เปาโลก็จะเขียนหนึ่งในคำถามยอดฮิตของผู้เชื่อในบ้านเรา คือ …

“ไปวัดหรือไปทำบุญได้ไหม?”

คำตอบของอาจารย์เปาโลอาจจะอย่างนี้

“ไปได้ ถ้าเธอไปแล้ว เป็นประโยชน์ เช่น มันเกิดประโยชน์ขึ้น เพราะว่าต้องขับรถไปให้แม่ หรือไปแล้ว เป็นกำลังใจให้กับคนอื่นๆ หรือไปเพื่อรักษาสัมพันธภาพที่ดีในครอบครัว ให้แน่นแฟ้นขึ้น  เกิดความสงบขึ้น แบบนี้เรียกว่าเป็นประโยชน์นะลูกเอ๋ย ในทำนองเดียวกัน ถ้าเราไม่ทำ แล้วทำให้พ่อแม่โกรธเคือง คนในครอบครัวไม่เข้าใจ เกิดสงครามขึ้นในครอบครัว ไม่สงบเกิดขึ้น  แบบนี้ เรียกว่าเกิดโทษ มันไม่เสริมสร้างขึ้น

อาจารย์เปาโลก็จะอธิบายอย่างนี้  เห็นไหม? ข้อเดียวกันนั่นแหละ ใช้ได้หมดทุกอัน ทุกเรื่องเลย ซึ่งผมได้บอกไปแล้วว่าการจะทำอะไรแค่ไหน? มากได้แค่ไหนนั้น ไม่ได้มีคำตอบที่ตายตัว แต่ขึ้นอยู่กับสภาวะของแต่ละคน แต่ที่จริงแท้แน่นอนที่สุด เมื่อเรามาเชื่อในพระเยซูคริสต์แล้ว เราได้รับสิทธิเป็นลูกของพระเจ้าที่สะอาดหมดจด เหมือนพ่อของเราแล้ว เราก็ไม่ได้อยู่ภายใต้กฎใดๆ อีกต่อไป  เราจึงมีอิสรภาพในการทำอะไร? ก็ได้ทุกสิ่ง โดยไม่มีผลต่อความรอดในทางวิญญาณของเราเลยแม้แต่นิดเดียว เพียงแต่ในทางโลกนี้ การดำเนินชีวิตนั้น จะเป็นประโยชน์ต่อตัวเราเอง คนรอบข้าง หรือบนโลก ทั้งหมดในโลกนี้หรือไม่เท่านั้น  โรม บทที่ 8 กฎวิญญาณแห่งชีวิต ทำให้เราเป็นอิสรภาพ จากกฎของความบาปและความตาย

เราอยู่ในกฎของวิญญาณแห่งชีวิตแล้ว ที่ผมบอกว่าท่านรับเชื่อพระเจ้า แล้วท่านย้ายเข้ามาอยู่ในนี้ ท่านอยู่ในกฎของวิญญาณแห่งชีวิต กฎของวิญญาณที่ให้ชีวิตท่านเกิดขึ้นใหม่ในพระเยซูคริสต์ ทำให้ท่านเป็นอิสระ จากกฎของความบาปและความตาย ซึ่งอยู่ในอาณาจักรดำ ท่านเป็นอิสระแล้ว

กฎหรือธรรมบัญญัติ ซึ่งภาษาไทยเรา ก็คือกฎทางด้านศีลธรรม ความดีงามของโลกใบนี้  ที่เรียกว่าทำดี ทำชั่ว เหล่านี้เรียกว่ากฎทั้งสิ้น ไม่ใช่กฎหมายปกครองบ้านเมือง คนละอย่างกัน

กฎหมายปกครองบ้านเมือง มีบทลงโทษ อย่างชัดเจน เช่น ฆ่าคนตาย ท่านติดคุก ถูกประหารชีวิต หรือขโมยเขา ต้องขึ้นศาล ถูกเขาจับเข้าคุก นี่เห็นบทชัดเจน แต่กฎหมายทางวิญญาณ ที่ไบเบิ้ลพูดถึง คือกฎหมายฝ่ายศีลธรรม ฝ่ายจิตใจ เป็นกฎหมายข้างในใจ มีการลงโทษหรือไม่ลงโทษ มีสำนึกอยู่ในใจ เราเรียกกันว่ากฎทางด้านศีลธรรม มันไม่มีบทลงโทษอย่างชัดเจน แต่ในจิตใจมนุษย์ทุกคนลึกๆ รับรู้ว่านี่คือกฎแห่งบาปบุญคุณโทษ เรารู้อยู่ข้างใน ซึ่งรวมความแล้ว คือกฎหมายทางด้านศีลธรรม

พระคัมภีร์ไบเบิ้ลได้บอกไว้ว่ากฎเหล่านี้ คือบทบัญญัติทางด้านศีลธรรมที่อยู่ในใจของมนุษย์ ไม่ได้พูดคำนี้ ผมสรุปให้ทั้งหมดว่ากฎหรือธรรมบัญญัติเหล่านี้ มันเป็นเหมือนกับน้ำยาซักฟอกผ้าขาว ที่เราได้ยินโฆษณา

ถามว่าน้ำยาซักฟอกนี้ ประโยชน์มีไว้ทำอะไร? น้ำยาซักฟอก ก็มีไว้สำหรับซักผ้าที่มันสกปรก ให้มันสะอาดขึ้น ฉะนั้น น้ำยาซักฟอกผ้า จึงจำเป็นสำหรับผ้าที่สกปรกเท่านั้น กฎระเบียบ หรือบัญญัติที่วางไว้ ก็เช่นเดียวกัน ที่พระคัมภีร์ไบเบิ้ลบอก กฎบัญญัติระเบียบทางด้านศีลธรรม มีไว้ก็เพื่อซักฟอกวิญญาณจิตที่สกปรก ให้สะอาด ซึ่งจริงๆ แล้วไม่มีทางที่จะซักจนสะอาดหมดจดได้เลย พระคัมภีร์บอกว่ามันต้องค่อยๆ ซักอยู่เรื่อยๆ ซักเท่าไรก็ไม่มีวันสะอาดหมดจด เป็นไปไม่ได้เลย

ฉะนั้น สรุป ก็คือกฎบัญญัติทางด้านศีลธรรม ที่ในพระคัมภีร์เรียกว่ากฎธรรมบัญญัตินั้น จึงจำเป็น สำหรับวิญญาณที่สกปรกเท่านั้น ในพระคัมภีร์บอกว่ายิ่งซักเท่าไร? ก็ยิ่งจะรู้ว่าวิญญาณมันสกปรกมากจริงๆ พอรู้ว่าสกปรกมาก ก็เลยยิ่งจำเป็นต้องซักมากขึ้นอีก อย่างน้อย ก็เพื่อให้มันสกปรกน้อยลง เพราะรู้ตัวว่ามันสกปรก อยากเอามันออกไป เจอสกปรก ยิ่งซักอีก นึกว่ามันจะขาว ไม่ขาว ซักต่อ พอมองเห็นภาพไหม?

ความสกปรกตรงนี้ ก็คือคำสาปแช่ง ความบาปที่อยู่ในจิตใจของมนุษย์ อยู่ในวิญญาณของมนุษย์ มนุษย์เป็นคนบาป พระคัมภีร์บอกไว้ วิญญาณเขาจึงสกปรก ไม่บริสุทธิ์นั่นเอง จึงจำเป็นต้องมีบทบัญญัติ ที่ทำหน้าที่เป็นเหมือนน้ำยาซักฟอกผ้าขาว เขาจึงจำเป็นต้องใช้ มาคอยชำระความสกปรกตลอดเวลา ซักให้สะอาดขึ้นอยู่เรื่อยๆ แต่ละวัน แต่ละเดือน แต่ละปี ก็ต้องค่อยๆ มาชำระกันไปเรื่อยๆ

ชำระความสกปรกให้มันออกไปจากวิญญาณ เพราะมนุษย์ทุกคนรู้อยู่ในจิตใจของทุกคน ลึกๆ ว่าตัวเองเป็นคนบาป สกปรก และต้องการจะให้มันสะอาด ไม่อยากสกปรกอย่างนั้น ข้างในลึกๆ รู้ อยากให้มันสะอาด เขาถึงขวนขวายหาน้ำยาที่ดีๆ มารักษาความสะอาด มาเอาความสกปรกออกไป ไปหาน้ำยาดีๆ มาล้างจิตใจที่สกปรกนั้น ให้มันออก

นี่คือต้นเหตุของการเกิดศาสนาทั้งปวงบนโลกใบนี้ ตั้งแต่นั้นมา ไม่ใช่ศาสนาอย่างเดียว ลัทธิด้วย เกิดความเชื่อต่างๆ เหล่านี้ขึ้นมา ทั้งหมดพุ่งไปที่ที่เดียว ก็คือต้องการที่จะล้างข้างใน เพราะรู้ว่ามันสกปรก ยิ่งทำ ก็ยิ่งรู้ว่ามันสกปรก ก็ต้องหาวิธีล้างมัน  เขาเรียกว่าแสวงหาการหลุดพ้น หลุดพ้นจากบาปเวรกรรม ก็คือหลุดพ้นจากความสกปรก จะเห็นชัดที่มาของศาสนานั่นเอง

ก่อนที่พระเยซูจะมาประสูติ กฎธรรมบัญญัติเดิม บันทึกไว้ว่าให้มนุษย์ไปปกคลุมบาปตนเอง โดยใช้เลือดสัตว์เป็นการไถ่บาป ขอรับการอภัย จากพระเจ้า ก็คือการชำระซัก โดยใช้น้ำยาล้างเป็นเลือดสัตว์ นี่คือหนึ่งในความเชื่อ ที่พระคัมภีร์บันทึกไว้ ในยุคนั้น จะมีกฎ ถ้ารู้ตัวว่าตัวเองบาป อยากจะชำระให้มันสะอาดขึ้นบ้าง ทำอย่างไร?  ซึ่งก็กระทำโดยตัวแทน เราเรียกว่ามหาปุโรหิต หรือปุโรหิต และต้องทำเป็นประจำทุกปี ปีละครั้ง โดยนำเอาเลือดสัตว์เข้าไปถวายพระเจ้า เลือดสัตว์นี้ ก็เหมือนกับน้ำยาล้างทำความสะอาด เป็นการปกคลุมความผิดบาป ที่ได้ทำมาตลอดทั้งปี แค่นั้น  ล้างอย่างไรก็ไม่หมด จำเจอยู่ตรงนั้น

หลังจากที่พระเยซูได้หลั่งพระโลหิตบนไม้กางเขน   ในวันศุกร์ประเสริฐ      ในเทศกาล อีสเตอร์แรกของโลก เมื่อ 2,000 ปีก่อน พระเยซูได้หลั่งพระโลหิตบนไม้กางเขน กฎเกณฑ์ต่างๆ เหล่านี้ ก็ได้ถูกยกเลิกไป เพราะพระโลหิตของพระเยซูได้ทรงชำระล้างความสกปรกในวิญญาณของมนุษย์หมดเลย เกลี้ยงเลย จบเลย ฮีบรู 9:11-12 บันทึกไว้ …

ฮีบรู 9:11-12 “11 แต่เมื่อพระคริสต์ได้เสด็จมาเป็นมหาปุโรหิตแห่งสิ่งประเสริฐ ซึ่งมาถึงแล้ว  ก็ได้เสด็จเข้าไปสู่เต็นท์อันใหญ่ยิ่งกว่าแต่ก่อน (ที่ไม่ได้สร้างขึ้นด้วยมือ คือไม่ใช่เต็นท์แห่งโลกนี้)   พระองค์เสด็จเข้าไปในอภิสุทธิสถานเพียงครั้งเดียวเท่านั้น 12 และพระองค์ไม่ได้ทรงนำเลือดแพะและเลือดลูกวัวเข้าไป แต่ทรงนำพระโลหิตของพระองค์เองเข้าไป และทรงสำเร็จการไถ่บาปชั่วนิรันดร์”

 

ผมจะเอาตรงนี้มาใส่ให้ท่านแทน เป็นภาษาพูดปัจจุบัน ท่านจะเห็นภาพ …

“พระเยซูไม่ได้นำเอาเลือดแพะและเลือดลูกวัวเข้าไป แต่ทรงนำน้ำยาซักฟอกผ้าอัศจรรย์ยิ่งใหญ่เข้าไป  และทรงสำเร็จการไถ่บาป และทรงชำระล้างสิ่งสกปรกที่มีคราบฝังลึกๆ ในวิญญาณของมนุษย์ทั้งปวง จนหมด เปลี่ยน กลายเป็นผ้าใหม่เอี่ยม ขาวสะอาดเลย”

เห็นภาพหรือยังครับ? พระเยซูเข้าไป ไม่ได้เอาน้ำยาซักฟอกผ้าเหมือนแต่ก่อนนี้เข้าไป คือเลือด พิธีกรรม แต่พระองค์เข้าไป โดยเลือดของพระเจ้าเอง คือเลือดของพระองค์ เลือดของผู้บริสุทธิ์เข้าไป เลือดนั้น คือน้ำยาซักฟอกผ้า ยี่ห้ออัศจรรย์ยิ่งใหญ่ รักษาคราบฝังลึกข้างใน หมดจดสิ้น ไม่ใช่แค่นั้นอย่างเดียว แต่เป็นผ้าใหม่เลย เปิดดู 2 โครินธ์ 5:17 …

2 โครินธ์ 5:17 “เหตุฉะนั้น ถ้าผู้ใดเชื่อในข่าวดีของพระคริสต์ การทรงสร้างใหม่ได้เกิดขึ้นแล้ว สิ่งเก่าได้ล่วงไป สิ่งใหม่ได้เข้ามา!”

 

สิ่งใหม่ๆ ที่เข้ามา สะอาดหมดจด ณ วินาทีที่ท่านเชื่อแล้ว ไม่ต้องรอให้จากโลกนี้ไป ไม่ต้องรอให้ท่านตาย ตามภาษาชาวบ้าน ขณะที่ท่านเชื่อในข่าวดีของพระเยซูคริสต์จริงๆ เชื่อว่าพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด เป็นพระผู้ไถ่บาป ที่พระเจ้าประทานให้ เป็นพระมาซีฮา เป็นแพะรับบาป ที่พระเจ้าส่งมาให้ท่าน มนุษย์ทั้งปวง รวมทั้งท่านด้วย พอเชื่อปุ๊บ พระเยซูเท่ากับเอาบาปท่านออกไปแล้ว ชำระท่านด้วยพระโลหิตของพระองค์ที่หลั่งที่ไม้กางเขน เมื่อ 2,000 ปี ชำระล้างวิญญาณท่านที่สกปรกมาตั้งนานแล้ว เหมือนใหม่เลย  อยู่ในที่ดำๆ ไม่ได้แล้ว ก็มาอยู่ในอาณาจักรสว่าง ที่เราเรียกกันว่าสวรรค์ของพระเจ้า ทันทีทันใดเลย วิญญาณของเรานั่งอยู่ตรงนี้ จึงเป็นอิสรภาพ จะทำอะไรก็ได้

สำคัญที่สุด พระเยซูทรงนำโลหิตของพระองค์ที่บริสุทธิ์ ปราศจากบาป เข้าไปหาพระเจ้าเพียงครั้งเดียว ก็สามารถไถ่บาปจนหมดสิ้นนิรันดร์เลย เอเมน

เมื่อทรงสำเร็จการไถ่บาปชั่วนิรันดร์ ความบาปของมนุษย์ไม่ว่าจะติดตัวมาตั้งแต่สมัยบรรพบุรุษ คืออาดัมเอวา หรือตัวเองเกิดมา ทำบาปก็ตาม ทำในอดีต ในปัจจุบัน แม้กระทั่งบาปในอนาคต ที่เราอาจจะทำ หรือต้องทำอยู่แล้วแน่ๆ ก็ได้รับการชำระล้างจนหมดสิ้นแล้ว

ถ้าท่านไม่มีรากฐานของความเชื่ออย่างนี้  มันก็จะมีปัญหาไปเรื่อย ถามไม่มีจบสักที มันจะยุ่งวุ่นวาย จะแบ่งเป็นก๊กไปหมดเลย ชีวิตมันก็ไม่หายเหนื่อยและเป็นสุข ท่านไม่มีโอกาสที่จะประกาศข่าวดีของพระเยซูได้ตามน้ำพระทัยของพระองค์จริงๆ ท่านจะเป็นผู้ที่คนอื่น เห็นข่าวดีที่อยู่ในชีวิตของท่าน เพราะคริสเตียนไม่ใช่ศาสนา คริสเตียนไม่ใช่หลักข้อเชื่อ คริสเตียนเป็นประวัติศาสตร์ มีความจริงในพระคัมภีร์ไบเบิ้ลเท่านั้นที่พูดอย่างนี้  ที่ผมอธิบายให้ท่านดูอย่างนี้ ทุกศาสนาก็อยากให้คนเป็นคนดี ใช่ ทุกศาสนาก็อยากให้คนมีศีลธรรม ใช่ แต่คริสเตียนบอกไม่ใช่ ไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องนี้ เกี่ยวกับเรื่องโลกวิญญาณอย่างเดียว ท่านสะอาดหมดจดแล้ว ท่านทำอะไรก็ได้ ท้าอย่างนี้เลย

เมื่อวิญญาณเราสะอาดหมดจดแล้ว จึงไม่จำเป็นต้องมีกฎระเบียบ ซึ่งเราไล่กันมาตั้งแต่ต้นแล้วว่ากฎระเบียบ ก็คือกฎทางด้านศีลธรรม เมื่อไม่ต้องมีกฎทางด้านศีลธรรม หรือธรรมบัญญัติ เขาจึงเรียกว่าเป็นอิสระจากกฎ พระคัมภีร์บอกว่าเราเป็นอิสระจากกฎ พระเยซูจึงบอกว่าท่านจะเป็นอิสระ เมื่อเชื่อในเรา เชื่อว่าพระองค์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด พระเจ้าส่งพระองค์มา เพื่อไถ่บาปให้กับเรา ถ้าใครเชื่อ เขาจะเป็นอิสระจริงๆ

เมื่อเราเป็นอิสระ หลุดพ้นจากกฎระเบียบต่างๆ เหมือนผ้าขาวสะอาดหมดจด จึงไม่จำเป็นต้องใช้น้ำยาซักฟอกใดๆ อีกต่อไป โลหิตพระเยซู ซึ่งเป็นพระเจ้า บริสุทธิ์สะอาด ไม่มีตำหนิเลย ชำระล้างเราให้สะอาดบริสุทธิ์เป็นใหม่เอี่ยมเลย เข้าไปอยู่กับพระเจ้า เป็นชนิดเดียวกับวิญญาณของพระเจ้า และเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์

คือแนบสนิทกับพระองค์ ไปไหนไปด้วยกันตลอดเวลา ตั้งแต่วินาทีที่ท่านเชื่อ ณ บัดนี้ ท่านยังอยู่บนโลกใบนี้ ในขณะเดียวกันท่านอยู่ในสวรรค์กับพระเจ้า เป็นหนึ่งเดียวกัน สะอาดหมดจด ไม่มีใครมาทำอะไรท่านได้แล้ว เพราะท่านอยู่กับพระเจ้า พระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่สูงสุดอยู่กับท่าน ครอบครองท่าน ปกคลุมท่านอยู่ตลอดเวลา ไปไหนก็ไปด้วย ไปห้องน้ำ ก็ไปด้วย ท่านจะไปกินเหล้า พระองค์ก็ไปด้วย แต่พระองค์ไม่กินกับท่านนะ เข้าใจใช่ไหมครับ? ท่านโมโหพระองค์ก็อยู่กับท่าน ท่านกำลังโกรธ พระองค์ก็อยู่กับท่าน ท่านกำลังโลภ พระองค์ก็อยู่กับท่าน แล้วทำไมต้องบอกว่าอธิษฐาน พระเจ้าอยู่ด้วย แล้วเวลาไม่อธิษฐาน พระเจ้าไม่อยู่ด้วยหรือไง? แล้วชีวิตมันจะเป็นอย่างไร? เข้าใจหรือเปล่าครับ? ผมกำลังจะบอกท่าน วันนี้ไม่เข้าใจ ไม่เป็นไร? วันหนึ่งไปใคร่ครวญอย่างนี้ตลอดเวลา คิดสิว่าสิ่งที่ผมกำลังพูด คืออะไร? ถ้อยคำพระเจ้าทั้งสิ้น

สุดท้าย ผมจะให้ท่านเห็นว่าไม่มีใครมาแยกท่านออกไปจากพระเจ้าได้อีกแล้ว เมื่อท่านมาเชื่อแล้ว ท่านก็มาอยู่ในอาณาจักรแสงสว่าง ในโรม 8:38-39 …

โรม 8:38-39 “38 เพราะข้าพเจ้าแน่ใจว่าแม้ความตาย หรือชีวิต หรือบรรดาทูตสวรรค์ หรือเทพเจ้า หรือสิ่งซึ่งมีอยู่ในปัจจุบันนี้ หรือสิ่งซึ่งจะมีในภายหน้า หรือฤทธิ์เดชทั้งหลาย 39 หรือซึ่งสูง หรือซึ่งลึก หรือสิ่งใดๆ อื่นที่ได้ทรงสร้างแล้วนั้น จะไม่สามารถทำให้เราขาดจากความรักของพระเจ้า ซึ่งมีอยู่ในพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของเราได้”

 

นี่คือเรานั่งอยู่ในอาณาจักรแห่งแสงสว่าง ตอบสิว่ามีใครเอาท่านออกไปได้ไหม?  พระเจ้าก็อยู่ข้างท่าน พระเยซูก็อยู่ข้างท่าน ทูตสวรรค์มากมายอยู่ข้างท่าน ถ้ามีคนเอาออกไปได้ ก็ไม่ต้องไปเชื่อแล้วพระเจ้า นี่คำพูดพระเจ้า แล้วยังมีคำพูดอีกเยอะแยะในนี้มากมาย เราค่อยๆ เรียนรู้กัน ขอพระเจ้าอวยพรครับ

 

***************************

 

 

คำหนุนใจ Pre Sermon วันอาทิตย์ที่ 4 มีนาคม 2018 เรื่อง “เราได้รับอนุญาตให้ทำทุกสิ่งได้ แต่ไม่ใช่ว่าทุกสิ่งจะเป็นประโยชน์” โดย นคร เวชสุภาพร

คำหนุนใจ Pre Sermon วันอาทิตย์ที่ 4 มีนาคม 2018

เรื่อง “เราได้รับอนุญาตให้ทำทุกสิ่งได้  แต่ไม่ใช่ว่าทุกสิ่งจะเป็นประโยชน์

โดย นคร  เวชสุภาพร

            สวัสดีครับ สัปดาห์ที่แล้วผมบรรยายเรื่อง “เราได้รับอนุญาตให้ทำทุกสิ่งได้  แต่ไม่ใช่ว่าทุกสิ่งจะเป็นประโยชน์” ซึ่งเป็นถ้อยคำพระเจ้าในหนังสือ 1 โครินธ์ บทที่ 10 พอดีวันนั้นเวลาน้อย ก็เลยไม่ได้อธิบายละเอียด ก็เกรงว่าบางท่าน จะถือโอกาส ไม่ละเอียดนั้น ก็เลยอาจจะตัดสินใจทำอะไรบางอย่างไป ตามที่ได้ฟัง แล้วก็สนองกิเลสตัณหาของตนเอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งช่วงนี้ด้วย กลัวจะตีความไม่ถูกกัน ก็เลยถือโอกาสวันนี้มาอธิบายให้ละเอียดขึ้นอีกนิดหนึ่ง ลงไปชัดๆ เลย เรามาอ่านกันก่อนว่าถ้อยคำพระเจ้าที่ผมกำลังพูดถึงนี้ บันทึกไว้ว่าอย่างไร? 1 โครินธ์ 10:23-31

1 โครินธิ์ 10:23-31 “23 เราได้รับอนุญาตให้ทำทุกสิ่งได้ แต่ไม่ใช่ว่าทุกสิ่ง จะเป็นประโยชน์   เราได้รับอนุญาตให้ทำทุกสิ่งได้ แต่ไม่ใช่ว่าทุกสิ่ง จะเป็นการเสริมสร้างขึ้น 24 ทุกคนไม่ควรเห็นแก่ประโยชน์ส่วนตัว แต่จงเห็นแก่ประโยชน์ของผู้อื่น 25 สิ่งใดที่วางขายตามตลาดเนื้อ ก็ให้รับประทานไปเถิด โดยไม่ต้องถามตนเองว่าผิดหรือไม่ 26 เพราะแผ่นดินโลกและทุกสิ่งในโลก เป็นขององค์พระผู้เป็นเจ้า 27 หากผู้ไม่เชื่อบางคนเชิญท่านไปร่วมรับประทานอาหาร และท่านประสงค์จะไป จงรับประทานสิ่งที่วางอยู่ตรงหน้าท่านไปเถิด โดยไม่ต้องถามว่าผิดหรือไม่ 28 แต่ถ้ามีใครมาบอกว่าของนี้ได้นำไปเซ่นไหว้แล้ว ก็อย่ารับประทาน เพื่อเห็นแก่ทั้งคนที่บอกและจิตสำนึกผิดชอบ 29 ข้าพเจ้าหมายถึงจิตสำนึกของคนนั้น ไม่ใช่ของท่าน ทำไมเสรีภาพของข้าพเจ้า จึงถูกตัดสินโดยจิตสำนึกของคนอื่นเล่า 30 ถ้าข้าพเจ้ารับประทานโดยขอบพระคุณพระเจ้า ทำไมข้าพเจ้าจึงถูกตำหนิเพราะสิ่งที่ข้าพเจ้าขอบพระคุณพระเจ้าแล้ว 31 ดังนั้น ไม่ว่าท่านจะกินหรือดื่ม หรือทำอะไรก็ตาม จงทำทุกสิ่ง เพื่อพระเกียรติสิริของพระเจ้า”

 

สัปดาห์ที่แล้ว เราจบตรงนี้ว่าจะทำอะไร ก็ทำเพื่อพระสิริพระเกียรติ แด่พระเจ้า เห็นแก่พระเกียรติ พระสิริของพระเจ้า ถ้อยคำตรงนี้ เปาโลกำลังพูดถึงบรรดาผู้ที่เชื่อในยุคโน้น ยุคที่พระเยซูเพิ่งเป็นขึ้นมาจากความตายใหม่ๆ และเข้าไปอยู่ในโลกวิญญาณ เข้าไปอยู่ในสวรรค์ และมนุษย์ก็ออกไปประกาศ ตามที่พระเยซูสั่ง

บรรดาผู้เชื่อในยุคนั้น พอพระเยซูไปแล้ว ไม่อยู่แล้ว ไปอยู่ในสวรรค์แล้ว ผู้เชื่อเหล่านั้น ก็ไปวางกฎเกณฑ์ข้อบังคับต่างๆ เยอะแยะ มากมายไปหมดเลย พอจะทำอะไรทีหนึ่ง ก็จะคอยมาถามว่าทำได้ไหม?  ทำอย่างนี้ได้ไหม? ทำอย่างนั้นได้ไหม? ทั้งๆ ที่พระเยซูบอกเป็นอิสระแล้ว มาเชื่อพระเจ้า เป็นอิสระแล้ว ก็ยังไม่วาย เพราะว่าบรรดาคนที่สอน … สอน เติมในสิ่งที่ตัวเองอยากจะให้ทำลงไปในนั้น ทำอย่างนี้ได้ไหม? ทำอย่างนั้นได้ไหม?

ยกตัวอย่างเช่น ล้างมือก่อนรับประทานทานผิดไหมเนี้ย ตกลง ต้องล้างหรือไม่ล้างดี?  ไปทานข้าวกับคนอื่นที่ไม่เชื่อพระเจ้าได้ไหม? เขาไม่เชื่อ เราไปทานกับเขาได้ไหม?

ทานอาหารที่ไหว้รูปเคารพได้ไหม?

บางเรื่องไปถามผู้เชื่อคนหนึ่งบอกว่าไปถามอาจารย์คนหนึ่ง อาจารย์คนหนึ่งบอกว่าได้ ไปถามอาจารย์อีกคนหนึ่งบอกไม่ได้ ไปถามพี่เลี้ยงคนหนึ่งบอกได้ สรุปได้หรือไม่ได้ มันยุ่งไปหมดเลย อาจารย์เปาโลก็เลยต้องมาแก้ความวุ่นวายตรงนี้ ด้วยข้อพระคัมภีร์เมื่อตะกี้นี้ แล้วก็อธิบายต่อไป อาจารย์เปาโลก็เลยพูดคำนี้ว่าเราได้รับอนุญาตให้ทำทุกสิ่งได้ แต่ไม่ใช่ว่าทุกสิ่งจะเป็นประโยชน์ เราได้รับอนุญาตให้ทำทุกสิ่งได้ แต่ไม่ใช่ทุกสิ่งจะเป็นการเสริมสร้างขึ้น พูดง่ายๆ คือเราได้รับอิสรภาพให้ทำอะไรก็ได้ แต่ไม่ใช่สิ่งที่เราทำนั้น มันจะเป็นประโยชน์ ถ้ามันไม่เป็นประโยชน์ มันก็เป็นโทษ มันมีอยู่ 2 ฝั่ง ไม่เป็นประโยชน์ มันก็เป็นโทษ มันเกิดประโยชน์หรือเกิดโทษล่ะ

ความหมายตรงนี้ ก็คือในทางวิญญาณนะ ในทางโลกวิญญาณ เมื่อเราได้รับการชำระ เมื่อเราเชื่อพระเยซูคริสต์แล้ว เราก็ได้ถูกย้ายออกมาจากอาณาจักรของความมืด อาณาจักรของความสาปแช่งมาอยู่ในอาณาจักรแห่งแสงสว่างของพระบุตรอันเป็นที่รักของพระองค์ในพระเยซูคริสต์ เราอยู่ในพระเยซูคริสต์ เราได้รับการชำระให้สะอาด หมดจด บริสุทธิ์ เหมือนพระเจ้า สมกับที่เป็นลูกของพระเจ้า 100% ทันทีทันใดเลย ณ บนโลกนั้นแหละ ณ เวลาที่เชื่อนั่นแหละ ไม่ต้องรอไปอยู่ในสวรรค์ถึงได้รับการชำระ ได้ชำระเดี๋ยวนั้นเลย เมื่อเขาพูดด้วยปาก และเชื่อด้วยใจว่าพระเยซู เป็นพระบุตรของพระเจ้า มาไถ่บาปให้กับเรา พระองค์ทรงเป็นขึ้นมาใหม่ ในวันที่ 3 ภาพมันเป็นอย่างนี้จริงๆ เกิดขึ้นอย่างนี้ คือเขาได้ถูกย้ายมาสู่อาณาจักรแห่งแสงสว่าง บริสุทธิ์ สะอาด เป็นผ้าขาวสะอาดทันทีทันใดเลย

เพราะฉะนั้น เมื่อไม่สกปรกแล้ว ก็ไม่ต้องอยู่ใต้กฎระเบียบอีกต่อไป หลุดพ้นจากกฎระเบียบ … กฎระเบียบมีไว้ใช้ สำหรับอาณาจักรแห่งความมืด ก่อนหน้านั้น  ที่เรายังไม่เชื่อ ต้องมีกฎ พอมาอยู่ในพระเจ้า ไม่มีกฎแล้ว ไม่มีระเบียบแล้ว ใช้กฎเดียว คือกฎแห่งความเชื่อในองค์พระเยซูคริสต์ เพราะฉะนั้น เมื่อไม่มีกฎ เราก็ได้รับอิสรภาพ ก็คือได้รับอนุญาตที่เปาโลพูดถึง ได้รับอนุญาตจากพระเจ้า เพราะเราเป็นลูกพระเจ้า สะอาดหมดจดแล้ว เราจึงได้รับอนุญาต เป็นอิสระให้ทำทุกสิ่งได้ โดยไม่ต้องกลัวเรื่องกฎระเบียบแล้ว เพราะไม่มีกฎระเบียบแล้ว ไม่ต้องกลัวเรื่องบาป ไม่ต้องกลัวเรื่องผิดอีกต่อไป นี่ความจริงมันเป็นอย่างนี้นะ

แต่ถึงแม้ว่าเราได้รับอนุญาตให้ทำทุกสิ่งได้ ก็จริงอยู่ แต่อาจารย์ก็ยังบอกว่าแต่จำไว้นะ เรายังอยู่บนโลกใบนี้นะ  ไม่ใช่ว่าทุกสิ่งที่ได้รับอนุญาต มันจะทำ แล้วมีประโยชน์ คิดเอาเองแล้วกันว่ามันมีประโยชน์ไหม?  ไม่ใช่ว่าทุกสิ่งที่ทำแล้วมีประโยชน์ หรือทุกสิ่งทำแล้วมันจะเป็นการเสริมสร้าง เป็นสิ่งที่ดี เกิดความดีงามขึ้น  ไม่ใช่อย่างนั้น มันจะมีสิ่งที่ทำได้ด้วย แต่ไม่มีประโยชน์ ไม่ได้เสริมสร้าง เป็นการทำลายด้วย ก็มี

แล้วก็เลยจบด้วยคำนี้ ชัดเจน ว่า … “ดังนั้น ไม่ว่าท่านจะกิน ดื่ม หรือทำอะไรก็ตาม จงทำ เพื่อพระเกียรติสิริ ถวายแด่พระเจ้า”

พูดง่ายๆ ให้คิดถึงพระเจ้า คิดถึงว่าเราอยู่ในโลกวิญญาณ คิดถึงว่าจะทำอะไรก็ได้ แต่ให้คิดให้ดีๆ ก่อนทำ เพราะว่าเดี๋ยวนี้ เราเป็นลูกพระเจ้า บริสุทธิ์ สะอาด เหมือนพระเจ้าเรียบร้อยแล้ว เราไม่เหมือนแต่ก่อนนี้นะ อย่าไปทำตัวเหมือนแต่ก่อนนี้ ถึงแม้ไม่มีกฎระเบียบมาบังคับเราว่า … “อย่าทำ” … แต่จะไปทำทำไมมันมีประโยชน์ไหมล่ะ เดี๋ยวนี้เราเป็นลูกพระเจ้าแล้วนะ

คำว่า “นึกถึงพระเกียรติสิริของพระเจ้า” หมายถึงนึกถึงว่าเราเป็นใคร แล้วพระเจ้าเป็นใคร รับเราเป็นลูก เราสะอาดหมดจดแล้ว อย่าไปคลุกคลีกับสิ่งสกปรกโสโครก ไม่ได้บังคับ แต่คิดเอาเองนะ เป็นอย่างนี้

นี่คือพระคุณของพระเจ้า  เขาเรียกว่ากฎแห่งพระคุณ ถ้าพูดแบบเข้าใจง่ายๆ สำหรับผู้เชื่อแล้ว ไม่มีสิ่งใดที่ห้ามทำ และไม่มีสิ่งใด ที่บังคับให้ผู้เชื่อทำ แต่จงทำในสิ่งที่เป็นประโยชน์ และทำในสิ่งที่เป็นการเสริมสร้างขึ้น เป็นบวก

แล้วเราจะทราบได้อย่างไรว่าสิ่งไหนที่เป็นประโยชน์? และสิ่งไหนที่เป็นการเสริมสร้างขึ้น? ท่านก็อาจจะคิดอย่างนี้ บอกให้ฟัง อันไหน? ไม่มีกฎเกณฑ์ พระคัมภีร์จึงบอกให้เราทำตามพระวิญญาณนำ เดี๋ยวผมอธิบายให้ท่านฟัง ท่านจะได้เข้าใจ ไม่มีกฎเกณฑ์ตายตัวว่าต้องทำอย่างนั้น   ต้องทำอย่างนี้  ถ้า “ต้อง” เมื่อไร? มันก็เป็นกฎเกณฑ์ ถ้าไม่มีกฎเกณฑ์ ก็แล้วแต่สถานการณ์นั้นๆ ต้องขึ้นอยู่กับสถานการณ์ ขึ้นอยู่กับสิ่งแวดล้อม และโดยเฉพาะขึ้นอยู่กับพระเจ้าประทานให้แต่ละคน ไม่เหมือนกัน ในขณะนั้นๆ พระคัมภีร์เรียกว่า “ของประทาน” แล้วแต่ของประทานแต่ละคนไม่เหมือนกัน เลียนแบบกันก็ไม่ได้ด้วย

ยกตัวอย่างให้ อันนี้ชัดแล้ว ยกตัวอย่างให้ท่านเห็น ช่วงนี้ใกล้มาแล้ว ช่วงเวลาเช้งเม้ง ก็คือการระลึกถึงบรรพบุรุษ ประเพณีจีน ซึ่งเราก็อยู่ในประเทศไทย ก็คุ้นเคยกับประเพณี หนึ่งในคำถามยอดฮิตที่สุดของผู้เชื่อ คือคริสเตียนในบ้านเรา ก็คือ …

“ไปเช้งเม้ง ไปร่วมงานเช้งเม้ง ไปร่วมพิธีเช้งเม้งได้ไหม?”

คราวนี้ตอบสบาย ท่านจะรู้ในใจแล้ว คำตอบ ก็คือว่า … “ได้”

เป็นอิสระ อนุญาตแล้ว โดยใครอนุญาต? Ps.นครอนุญาต ใครอนุญาต? อย่าบอกว่าผมอนุญาต ใครอนุญาต? พระเจ้า ไม่มีกฎบังคับแล้ว ท่านได้รับอนุญาตให้ไปก็ได้ ถ้าเราหรือท่านไปแล้ว เป็นประโยชน์ คิดเอาเอง เป็นประโยชน์หรือเปล่านะ ท่านบอกท่านไปได้ อนุญาตให้ท่านไปได้ ท่านจะไปไหม? คิดดูว่าเป็นประโยชน์ไหม?

สมมติ ต้องขับรถให้กับคุณแม่ ที่ยังไม่เชื่อ คุณแม่ต้องไปทำพิธีนี้ สมมตินะ แล้วให้ท่านขับรถพาไป  หรือไปแล้วเป็นกำลังให้กับคนอื่นๆ ให้กับญาติพี่น้องคนอื่นๆ ไปแล้ว เขาสบายใจ หรือไปเพื่อรักษาความสัมพันธ์ การติดต่อ ความสัมพันธ์กันดีในครอบครัวของเรา ครอบครัวของเรา ญาติพี่น้องทุกคน ไม่ใช่กลายเป็นตัวประหลาดของเขา อย่างนี้เสริมสร้างไหม? ที่พูดมาทั้งหมด เสริมสร้างหรือเปล่า? เป็นประโยชน์ไหม?

แต่ในขณะที่เราไป หรือขณะที่เราร่วมทำพิธีกรรม หรือกิจกรรมอะไรต่างๆ ก็ตาม ในพิธีเช้งเม้งนั้น ในใจเรารู้ดีว่าในใจเรากำลังถวายเกียรติสิริแด่พระเจ้า เรากำลังทำตามที่พระเจ้าบอกว่าสิ่งเหล่านี้ถวายเกียรติแด่พระเจ้า เรากำลังนึกถึงพระองค์อยู่ เรารู้ตัวอยู่เสมอ ขณะที่เราไปร่วม เห็นไหม? เกิดประโยชน์หรือเกิดโทษ? คิดแค่นี้ก็รู้แล้ว  เกิดประโยชน์หรือเกิดโทษ? เกิดประโยชน์ เสริมสร้างขึ้น  ซึ่งอย่างที่ผมบอกไปแล้วว่าการจะทำอะไรได้แค่ไหนนั้น ไม่ได้คำตอบที่ตายตัว ไม่ใช่ทุกคนต้องทำอย่างนี้หมด แต่ขึ้นอยู่กับสภาวะของแต่ละคน  เช่น บางคนบอกว่า …

“แค่ขับรถไปให้ โดยไม่ต้องเข้าร่วมพิธีกรรม ก็ได้ แค่นี้คุณพ่อคุณแม่ก็สบายใจแหละ”

อย่างนี้ บางคนก็เป็นอย่างนี้  แต่บางคนไม่ใช่อย่างนั้น บางคนหนักกว่านั้น พ่อแม่ต้องการมากกว่านั้น คือไม่ใช่ขับรถไปอย่างเดียว ให้ร่วมพิธีด้วย บังคับเราเลย พ่อแม่บังคับเรานะ ไม่ใช่พระเจ้าบังคับ ให้เราร่วมพิธีเลย ก็มี เพราะฉะนั้น ตัดสินใจไม่ถูก แล้วแต่ว่าสถานการณ์ของคนนั้นจะเป็นเช่นไร?

เคยมีสมาชิกถามว่าที่บ้าน แค่อยากให้เขาไป เพื่อให้ญาติคนอื่นเห็นหน้า ก็พอแล้ว ไม่ต้องทำอะไรเลย แค่โผล่หน้าไปให้เห็น ก็พอแล้วว่ามาด้วย  อย่างนี้เป็นต้น  อย่างนี้สบายใจแล้ว  ถ้าไม่ไป โอโห้? มันไม่ได้สร้างสรรค์อะไรเลย  เกิดขึ้นมาเลย  อย่างนี้เป็นต้น

ผมเป็นพยานให้ท่าน ตอนสมัยผม ผมมาเชื่อใหม่ๆ คุณแม่ยังไม่เชื่อ  ผมไปตลอดเลยครับ ไม่ให้ไป ผมก็ไป เพราะผมอยากไปทำไมรู้ไหม? มีความรู้สึกตอนนั้น ส่วนตัวนะ อย่ามาลอกเลียนแบบ ส่วนตัวเรามีความรู้สึก ตอนนั้นเอง ส่วนตัวมีความรู้สึกว่าต้องไปสิ เราไปกลัวอะไร โลกใบนี้ เรามีชัยชนะ พระเยซูคริสต์สถิตอยู่กับเรา เราไปกลัวอะไร ไม่ต้องกลัวอะไรเลย ไปเลย  ไปเพื่ออะไร? ไปเพื่อติดสนิทอยู่กับแม่เรา แล้วก็ไปอธิษฐานให้เขา เขาทำอะไรไป เราก็ทำด้วย แล้วเราก็อธิษฐานไป เราจะทำอะไร ใครจะรู้ในใจเราคิดอะไรอยู่ ข้างนอก เราก็ทำให้เขาเห็น ก็ดูดี เห็นไหม? ทำไปตั้งหลายปี จนในที่สุด คุณแม่ก็มาเชื่อพระเจ้าอย่างนี้ แต่ทุกคนไม่ใช่ทำอย่างนี้นะ ทุกคนไม่จำเป็นต้องทำแบบที่ผมทำ เพราะว่าของประทานไม่เหมือนกัน พระเจ้าประทานให้คุณอีกอย่างหนึ่ง สถานการณ์อีกอย่างหนึ่ง  สิ่งแวดล้อมอีกอย่างหนึ่ง ก็ทำไปที่ท่านเองข้างในคิดในใจว่าถวายเกียรติสิริแด่พระเจ้า น่าจะเป็นประโยชน์ และก็ทำเลย จบ เอเมนไหม?

ผมนึกถึงหนังเรื่องหนึ่ง ที่เคยไปดูมาเมื่อปีที่แล้ว หนังเรื่องนี้ดีมาก สอนคนได้ดีมาก มีคนไปดูไม่กี่คนเท่านั้นเอง เพราะผมอยากจะรู้ว่ามันคืออะไร? หนังเรื่องนี้ชื่อ “Silence” ไปหาดู หาวีดีโอเก่าๆ ก็ได้ ซึ่งภาษาไทย เขาใช้ชื่อว่า “ศรัทธาและความอยู่รอด” นี่เป็นเรื่องจริงๆ นะ เป็นหนังที่มาจากเรื่องจริง เป็นเรื่องที่เกี่ยวมิชชั่นนารี  ที่เดินทางไปประกาศข่าวประเสริฐในประเทศญี่ปุ่น ในช่วงสมัยโน้น สมัยที่ยังมีการข่มเหงคริสเตียนอย่างรุนแรง ในประเทศญี่ปุ่น ทางการญี่ปุ่นในสมัยนั้น ทำการกวาดล้างบรรดาผู้เชื่ออย่างหนัก ทำลายใครก็ตามที่เชื่อ และรวมพยายามตามจับใครก็ตาม ที่เป็นมิชชั่นนารีที่มาประกาศข่าวประเสริฐ พอจับได้ ก็จะจับไปทรมาน จนกว่าจะยอมเลิกเชื่อ วิธีการของทหารญี่ปุ่น ก็คือพอจับผู้ต้องสงสัยว่าเป็นผู้เชื่อ

วิธีที่จะพิสูจน์ว่าเขาเป็นคริสเตียนหรือไม่? ก็จะบังคับให้เขาถ่มน้ำลายบ้าง? เหยียบที่ไม้กางเขนบ้าง? เหยียบพระคัมภีร์บ้าง? ใครไม่ยอมทำตาม ก็ถูกจับไปทรมาน นึกภาพออกไหม? นี่คือการพิสูจน์ของเขาว่าคุณเป็นคริสเตียนไหม? ถามใครเป็นคริสเตียน? เงียบ ไม่มีใครพูด เขาเลยเอาพระคัมภีร์วางไว้ แล้วเรียงแถวเข้าไปเลย ทุกคนต้องทำหน้าที่เดียวกัน ก็คือไปบ้วนน้ำลายใส่ แล้วก็เหยียบลงไปที่ไม้กางเขน แล้วก็เดินผ่าน ถือว่าคนนี้ไม่ใช่คริสเตียน รอดไป ซึ่งก็มีทั้ง 2 กลุ่ม คือกลุ่มที่ทนการทรมานไม่ไหว กลัวตาย ก็เลยต้องยอมทำตาม ถ่มน้ำลาย แล้วก็เหยียบ แล้วก็วิ่งไป  กับกลุ่มที่ยังไงๆ ก็ไม่ยอมทำ จนในที่สุด ถูกทรมานและถูกฆ่าตาย

และพวกมิชชั่นนารีที่อยู่ในญี่ปุ่น ในช่วงนั้น พวกมิชชั่นนารีที่ถูกจับได้ ก็ต้องเจอกับการทดลอง ซึ่งหนักกว่าอีก คือไม่ใช่แค่ตัวเองถูกทรมานแบบนั้น ทรมานมากนะ อย่างเช่น เอาเชือกผูกขาสองข้าง แล้วห้อยหัวลง แล้วให้เลือดออกทางหัว กรีดให้เลือดหยด ให้ได้ยินเสียงเลือดตัวเองหยดติ๋งๆ อย่างนี้ ถูกทรมาน มิชชั่นนารีเหล่านี้ไม่ใช่ได้รับการทรมานตนเองแค่นั้น  แต่พวกทหารยังจับเอาผู้เชื่อต่างๆ ที่มิชชั่นนารีไปประกาศให้เขาเชื่อ พูดง่ายๆ ลูกแกะทั้งหลาย ซึ่งเป็นชาวญี่ปุ่น  มาทรมานต่อหน้าต่อตามิชชั่นนารี และบังคับให้มิชชั่นนารีเหยียบพระคัมภีร์ แล้วเลิกเชื่อพระเยซู ถ้าเลิกเชื่อ ก็จะปล่อยบรรดาคนที่เป็นลูกแกะ ที่เชื่อพระเยซู เหล่านั้นเสีย แล้วให้อยู่อย่างสบายเลย เปรียบเทียบ 2 อย่างเลย

ถ้าใครยอมก็จะปล่อยไปเลย แล้วก็เลิกเชื่อไปเลย จะให้บ้านอย่างดีอยู่ อยู่ดี กินดีเลย ถ้าไม่ยอมทำตาม ก็จะถูกฆ่า รวมทั้งผู้ที่เชื่อ ก็จะถูกฆ่าด้วย  และจะทดลองด้วยวิธีการฆ่าทีละคนๆ ยอมไหม? ไม่ยอม ฆ่าไป 1 คน ถามและทำไปเรื่อยๆ

ถามว่าถ้าเราเป็นผู้เชื่อในขณะนั้น หรือเราเป็นผู้รับใช้ เป็นมิชชั่นนารี เป็นผู้ประกาศในขณะนั้น  เราจะทำอย่างไร?

ท่านนึกถึงภาพนะ ทุกคนก็จะตอบใหญ่เลย  ถ้าเชื่อพระเจ้าจริง ก็ต้องสู้ให้ถึงที่สุด ท่านทำอย่างนั้นได้หรือ?  ทำอย่างนั้นได้ไหม? ถูกหรือไม่ถูก?

นี่คือสิ่งที่พิสูจน์ได้ว่าพระคัมภีร์นั้นบอกเราในเรื่องสติปัญญาของพระเจ้าที่ยอดเยี่ยม เฉลียวฉลาดมากที่สุดเลย เราจะทำอย่างไร? ในหนังก็สะท้อนให้เห็น 2 กลุ่ม นี่เรื่องจริง คือ …

(1) มุมของคนที่ทนรับการทรมานไม่ไหว สู้ไม่ไหว ทรมานมาก ไม่ไหว จนในที่สุด ต้องยอมทำตาม ปฏิเสธพระเยซูทุกอย่าง ไม่ใช่กลัวตายอย่างเดียว กลัว สงสาร เห็นใจบรรดาผู้เชื่อที่ต้องตายด้วย

(2) มุมของผู้ที่เชื่อและมิชชั่นนารีที่เด็ดเดียว ในเรื่องของพระเยซูคริสต์ …

“ฉันยอมตายเพื่อพระเยซู ใครจะตายไม่เป็นไร ช่างมัน ฉันจะยอมตาย เพื่อพระเยซู”

ปรากฏว่าเขาก็ตายจริงๆ ไม่ได้ตายคนเดียว คนที่เป็นสาวก คนที่เป็นผู้เชื่อที่เขาไปประกาศ ก็ต้องตายด้วย เพราะเขาไม่ยอม

มี 2 มุม แล้วหนังก็จบอย่างนี้ แต่ตอนจบ สุดท้ายให้เห็นอะไรรู้ไหม? คนที่ปฏิเสธพระเยซู ที่ยอมทำตามที่ทหารญี่ปุ่นบังคับให้ทำ เหยียบพระคัมภีร์ ถ่มน้ำลายรด แล้วก็บอกว่าเลิกเชื่อแล้ว แล้วเลิกเชื่อจริงๆ นะ เลิกเลย แล้วทหารญี่ปุ่น ก็ให้เขาอยู่เป็นที่ปรึกษาทางศาสนาคริสต์ของญี่ปุ่น ปรึกษาอย่างไรรู้ไหม? ให้เป็นคนไปตรวจค้นบรรดาเครื่องมือต่างๆ ว่าแอบซ่อนที่ไหน? ให้เอาไปทำลายเสีย เป็นที่ปรึกษา ปรากฏว่าราชการญี่ปุ่น ก็ให้เขามีตำแหน่งอะไรต่างๆ เหล่านั้น เพราะเขาเลิกเชื่อแล้ว ก็ประกาศยกย่องเขาให้ประชาชนญี่ปุ่นเห็นว่าคนนี้ เป็นนักประกาศ เป็นครูนะ เขายังเลิกเชื่อเลย แล้วพวกคุณไปเชื่อทำไม? ถึงขนาดนั้นเลยนะ

แต่ตอนจบ ท่านรู้ไหมว่าอะไร? ปรากฏว่าขณะที่เขาอยู่มาตลอด เขาแอบอธิษฐาน และก็แอบประกาศมาตลอด รวมทั้งครอบครัวเขาที่ทางราชการญี่ปุ่นมอบผู้หญิงให้เขา เพื่อมีครอบครัวเป็นญี่ปุ่น มีลูก มีหลานเป็นคริสเตียนหมดเลย แต่เป็นคริสเตียนอยู่ใต้ดินหมดเลย ตอนเขาตาย หนังได้บอกว่าตอนเขาตาย จึงได้พูดถึงสิ่งต่างๆ ที่เขาทำ ซึ่งเรามองไม่เห็น ทั้งหมดเลย เกิดการฟื้นฟูขึ้นในประเทศญี่ปุ่น มิชชั่นนารีหน่วยงานทางเมืองนอก ส่งคนมาสืบเสาะประวัติชีวิตของเขาว่าเป็นไปได้อย่างไร คนนี้ เป็นมิชชั่นนารีที่รักพระเจ้ามากๆ ทำไมปฏิเสธพระเจ้าได้อย่างไร? ไม่น่าเชื่อ เป็นไปไม่ได้ ก็มีคนที่ยอมเสียสละเวลา และชีวิตตัวเองเขามาศึกษาเรื่องของเขา จนมาพบความจริงตรงที่ผมเล่าให้ท่านฟังว่าเขาทำให้มีการฟื้นฟูใหญ่ขึ้นในญี่ปุ่น เหตุเพราะตะกี้นี้ที่บอก เหตุเพราะโดยต่อหน้าแล้ว เหมือนเขาปฏิเสธ ไม่มีความเชื่อ  ปฏิเสธพระเจ้า ปฏิเสธพระเยซู ไปช่วยบรรดาสาวกที่เป็นคริสเตียนเหล่านั้น ให้รอดชีวิต และตัวเขาเอง ก็รอดชีวิต รอดเพื่อไปประกาศต่อ งานใหญ่ของพระเจ้า

เห็นไหม? พระเจ้าทำอะไร เราไม่รู้เลย ท่านกล้าตอบไหมว่าถ้าเป็นท่าน อยู่ในการทดลองอย่างนี้ ท่านจะทำแบบหนึ่งหรือแบบสอง ท่านต้องตอบว่าไม่รู้ ท่านมีอิสระจะทำอะไรก็ได้ แต่ไม่ว่าจะแบบหนึ่งหรือแบบสอง ทั้งสองฝ่ายก็เป็นผู้ที่ได้รับความรอดจากบาป ไปอยู่ในสวรรค์เหมือนกันทั้งคู่ ไม่มีใครได้รางวัลเลยสักคนหนึ่ง ได้ทั้งคู่ แล้วแต่พระวิญญาณจะให้เขาทำตรงไหน? ท่านเห็นหรือยัง? เหมือนกัน

เพราะฉะนั้น จะไปเช้งเม้งหรือไม่ไป ก็ขึ้นอยู่กับพระเจ้าจะนำท่านไปเอง ทั้งสองฝั่งก็ไปถึงความรอดทั้งคู่ ขึ้นอยู่กับว่าอะไรที่ท่านเห็นตอนนั้น พระเจ้าประทานสติปัญญาให้ท่าน ได้เห็นว่ามันมีประโยชน์ไหม?  ถ้ามีประโยชน์ก็ทำไปเถิด  เอเมน

 

*********************