คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 29 ตุลาคม 2017 เรื่อง “ความจริงจะทำให้ท่านเป็นไท” ตอน 5 “สองอาณาจักรแห่งโลกวิญญาณ” ตอน 2 โดย นคร เวชสุภาพร

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  29  ตุลาคม  2017

 เรื่อง “ความจริงจะทำให้ท่านเป็นไท”

ตอน 5 “สองอาณาจักรแห่งโลกวิญญาณ” ตอน 2

โดย นคร  เวชสุภาพร

 

สวัสดีครับพี่น้อง วันนี้ “ความจริงจะทำให้ท่านเป็นไท” ตอน 5 เรื่อง “สองอาณาจักรแห่งโลกวิญญาณ” ตอน 2 จะย้ำอยู่อย่างนี้ เพราะต้องการจะให้ทุกท่านได้เข้าใจ ได้เชื่อ ได้มั่นใจ เขาเรียกว่าได้เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่ง รู้สึกลึกซึ้งจริงๆ ว่าโลกวิญญาณมีอยู่จริงๆ

เพราะฉะนั้น พระเยซูมักพูดเสมอๆ ในเรื่องเกี่ยวกับโลกวิญญาณว่า Behold แปลว่าจงมองให้เห็นเถิด

ท่านรู้ไหมคำนี้ โมเสสใช้ตอนที่คนอิสราเอลตกใจกลัว หนีมาชนทะเลแดง ตายแน่ ลงไปก็จมน้ำตาย หันไปข้างหลัง กองทัพเต็มไปด้วยอาวุธเต็มขนาดมา ฆ่าเราตายแน่ๆ โมเสสได้รับคำสั่งจากพระเจ้า ทำอย่างไรจึงจะสยบความกลัวของประชาชนเยอะแยะมากมาย เป็นล้านๆ โมเสสขึ้นไปบนก้อนหินสูงๆ ยกไม้เท้าขึ้น แล้วบอกว่า …

“Behold”

ตะโกนดังลั่นเลย  “จงมองให้เห็นเถิด”

ทางโลกฝ่ายวิญญาณว่า “Behold ความช่วยให้รอด พระหัตถ์พระเจ้ามาแล้ว”

ท่านนึกภาพ เห็นโมเสสตอนนั้น ที่อยู่บนก้อนหิน แล้วตะโกนไปเห็นคนเป็นล้าน แล้วทุกคนกำลังกลัว โมเสสต้องเรียกเอาความสนใจของเขามาที่นี่ให้หมด พระเจ้าตรัสว่า …

“จงมองให้เห็นเถิด”

เริ่มต้นตั้งแต่โลกวิญญาณทั้งหมด มีพระเจ้าเป็นผู้ควบคุม และครอบครองยิ่งใหญ่สูงสุด จงมองให้เห็นในโลกฝ่ายวิญญาณ จำไว้ว่าทั้งหมดนี้ เกี่ยวกับโลกวิญญาณทั้งสิ้น และอาณาจักรแห่งโลกวิญญาณที่ซ้อนหรือคลุมโลกอยู่ในเวลานั้น ก็มีเพียงอาณาจักรเดียว คืออาณาจักรแห่งความสว่าง ที่มีมนุษย์ยังคงเป็นมนุษย์ที่เป็นหนึ่งเดียวกับพระเจ้า สามารถติดต่อกับพระเจ้าได้สนิทสนมเป็นมิตร เป็นลูกเป็นพ่อกัน นี่ปฐมกาล

แล้วต่อมามนุษย์คู่แรก ที่พระเจ้าทรงสร้าง คืออาดัมและเอวาก็กบฏต่อพระเจ้า ไม่เชื่อฟังพระเจ้า หันไปเชื่อฟังคำพูดของมาร ซาตาน ขัดคำสั่งพระเจ้า จึงล้มลงในความบาป จากนั้น โลกวิญญาณ ที่เคยเป็นอาณาจักรแห่งความสว่าง ก็กลับกลายเป็นอาณาจักรแห่งความมืด จากการถูกลงโทษ ถูกสาปแช่ง ต้องตกอยู่ภายใต้การควบคุมของมาร และมนุษย์ทั้งหลาย ก็ได้รับเชื้อบาป มาจากบรรพบุรุษ คืออาดัม กลายเป็นคนบาป ที่ถูกตัดขาดความสัมพันธ์กับพระเจ้า ถูกลงโทษ ถูกสาปแช่ง ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา และจนมาถึงเมื่อประมาณ 2,000 ปีที่ผ่านมาแล้ว แผนการของพระเจ้าที่ได้ทรงเตรียมไว้ ตั้งแต่ก่อนสร้างโลกก็เกิดขึ้น คือพระเยซูคริสต์ พระบุตรของพระเจ้าได้มาเกิดเป็นมนุษย์ มาเป็นตัวแทนมนุษย์ รับโทษของความบาปทั้งหลายทั้งมวลของมนุษย์ โดยผ่านทางการตาย และหลั่งพระโลหิตของพระองค์บนไม้กางเขน เอาโทษออกไป และจากวันนั้น 2,000 ปีที่แล้ว จนถึงวันนี้ เดี๋ยวนี้ โลกวิญญาณที่ซ้อนอยู่ หรือครอบคลุมโลกวัตถุนี้อยู่ ก็เกิดเป็น 2 อาณาจักรขึ้นทันที คืออาณาจักรแห่งความสว่างกับอาณาจักรแห่งความมืด โดยทั้ง 2 อาณาจักร ก็เปรียบได้ เท่ากับครอบครัวใหญ่ๆ 2 ครอบครัวของมนุษยชาติ บนโลกใบนี้ นั่นเอง

อาณาจักรแห่งความสว่าง ก็คืออาณาจักรของพระเจ้า ซึ่งมีพระเยซูคริสต์ เป็นหัวหน้าครอบครัว แล้วก็มีมนุษย์ เป็นสมาชิกในครอบครัวนี้ ครอบครัวนี้ มีชื่อเรียกว่าครอบครัวพระคริสต์ ผู้ที่อยู่อาศัยในครอบครัวนี้ จึงถูกเรียกว่าอยู่ในพระคริสต์

สำหรับอาณาจักรแห่งความมืด ก็คืออาณาจักรของมาร ซึ่งมีอาดัมเป็นบรรพบุรุษ หรือเป็นหัวหน้าครอบครัวเดิม ตั้งแต่สมัยโน้นอยู่ แล้วก็มีมนุษย์เป็นสมาชิกในครอบครัวนี้ ครอบครัวนี้มีชื่อว่าครอบครัวอาดัม ผู้ที่อาศัยอยู่ในครอบครัวนี้  ได้ชื่อว่าอยู่ในอาดัม

และจากที่เราได้เรียนรู้จากข้อพระคัมภีร์ ถ้อยคำต่างๆ ที่อยู่ในพระคัมภีร์ ที่อธิบายถึงลักษณะ สภาพ และความเป็นอยู่ พอสังเขปได้ของอาณาจักรแห่งความมืด ก็จะมีคำต่างๆ เหล่านี้ ในพระคัมภีร์ ที่บอกถึงสภาพ ลักษณะในอาณาจักรนี้ว่าเขาอยู่อย่างไร? เป็นอย่างไร? พอจะเข้าใจได้บ้าง พอสังเขป   เช่น ความมืด, ตายนิรันดร์, คนบาป, คนอธรรม, ถูกสาปแช่ง, ความเกลียดชัง, ความพิโรธของพระเจ้า, กดขี่ข่มเหง, ข่มขู่, ลูกแห่งการกบฏ เป็นต้น เหล่านี้ คือถ้อยคำ หรือลักษณะของพระคัมภีร์ที่อธิบายถึงสภาพของอาณาจักรแห่งความมืด

และในพระคัมภีร์ที่อธิบายถึงสภาพและลักษณะของอาณาจักรแห่งความสว่าง ก็จะมีคำต่างๆ เหล่านี้ ท่านจะคุ้นๆ มาก  เช่น  ความสว่าง, อาณาจักรสวรรค์, ชีวิตนิรันดร์, ผู้ชอบธรรม, บริสุทธิ์,  ความรัก, พระเกียรติสิริ, พระคุณ, สง่าราศี, ลูกของพระเจ้า เป็นต้น ถ้อยคำเหล่านี้  จะบอกลักษณะสภาพของผู้ที่อยู่ในอาณาจักรนี้ ซึ่งเราได้ยินบ่อยๆ เพราะเราเรียนรู้แล้ว อย่างเช่นพระเยซูบอก ตอนที่พระองค์ทรงเดินอยู่บนโลกนี้ พระองค์บอกว่า …

“สวรรค์กำลังมา และอยู่ที่นี่แล้ว”

ตอนนี้สวรรค์อยู่ที่นี่ และพระองค์ทรงเป็นผู้นำเอาสวรรค์มา ตอนนี้พระองค์บอกว่าพระองค์เป็นแสงสว่าง เอาแสงสว่างเข้ามาบนโลกแล้ว พระองค์กำลังจะพูดถึงว่าอีกไม่นาน พระองค์จะตายที่ไม้กางเขน และสถาปนาอาณาจักรแห่งแสงสว่างนี้ขึ้นมา ยกตัวอย่างให้ท่านฟัง ใครที่เชื่อเรา (พระเยซู) เขาจะได้รับชีวิตนิรันดร์ แปลว่าชีวิตที่เหมือนพระเจ้า อะไรอย่างนี้เป็นต้น ตอนนี้ท่านเริ่มอ๋อ! แล้วท่านฟังไปเรื่อยๆ พระวิญญาณจะย่อยสลายถ้อยคำเหล่านี้ ลงไปในวิญญาณของท่าน เกิดเป็นสติปัญญา เกิดเป็นการรับรู้ในเรื่องเกี่ยวกับพระเจ้าว่าพระเจ้า คือใคร? และทำอะไรให้ฉันบ้าง? ให้มนุษยชาติบนโลกใบนี้บ้าง?

ฝั่งอาณาจักรของความสว่าง ที่มีพระเยซูเป็นหัวหน้าครอบครัว ก็จะปกครองอยู่ในอาณาจักรนี้ ด้วยความรักฉันท์พี่น้อง แบบครอบครัว เรียกว่าครอบครัวพระคริสต์ เหมือนที่เราชอบลงท้ายจดหมายหรืออะไรต่างๆ ว่า “รักในพระคริสต์” “ความรักในพระคริสต์” แปลว่าอย่างนี้  ในครอบครัวของความสว่าง ในโลกวิญญาณ

ส่วนฝั่งของอาณาจักรแห่งความมืด มีอาดัมอยู่ อาดัมมอบอำนาจให้มารไปแล้ว ก็เท่ากับว่ามีหัวหน้าครอบครัวเป็นอาดัม แต่เซ็นต์มอบอำนาจให้มารเป็นใหญ่ ก็จะปกครองด้วยการกดขี่ข่มขู่ ให้หวาดกลัวตลอดเวลา ตกนรก เธอแย่ เธอเลว เธออะไรต่างๆ เหล่านั้น เธอสมควรตาย เหมือนอยู่ในคุก เหมือนที่กักขังทาส ทุกคนเป็นเหมือนทาส เป็นเหมือนเชลย

นี่คือสิ่งที่พระคัมภีร์ได้อธิบายให้เราฟัง ถึงสภาพของ 2 อาณาจักรนี้  ซึ่งในโลกวิญญาณบอกว่ามนุษย์ทุกคน จะต้องเป็นสมาชิกในครอบครัวใด  ครอบครัวหนึ่งอย่างแน่นอน หนีไม่พ้น ตราบใดที่ท่านเป็นมนุษย์ และเดินอยู่บนโลกใบนี้ ท่านต้องอยู่ในอันใดอันหนึ่ง ไม่ว่าจะเป็นสว่างหรือมืด พระเยซู หรืออาดัม

ยกตัวอย่างว่าท่านเดินออกไปข้างนอก กลางวัน ที่มีดวงอาทิตย์ ทุกคนก็แดดร้อนเท่าๆ กันหมด เหมือนที่บอกว่าโลกกลม ไม่ว่าท่านจะบอกว่าโลกแบนหรืออย่างไร? แต่ในที่สุด มันก็คือโลกกลม

แผนการของพระเจ้าที่ได้ทรงส่งพระบุตร คือพระเยซูคริสต์มาไถ่บาปให้กับมนุษย์นั้น เพื่อมนุษย์จะได้มีโอกาสเลือกและสามารถย้ายสำมโนครัว จากครอบครัวเดิม สู่ครอบครัวใหม่ที่ดีกว่าได้ แค่นั้นเอง พระเจ้าทำสำเร็จไปเรียบร้อยแล้ว บนไม้กางเขน พระเยซูตรัสชัดเจนว่าสำเร็จแล้ว เริ่มต้นปฐมกาล พระเจ้าบอกว่าจะทำ จะส่งพระบุตรลงมาบนโลกใบนี้ เพื่อจัดการไถ่บาปให้กับมนุษย์ และเตรียมโลกใหม่ให้กับมนุษย์ เตรียมครอบครัวใหม่ให้กับมนุษย์ จะได้พ้นจากบาป จากเวร จากกรรมเสียทีหนึ่ง เวลาผ่านมาเนิ่นนานมากมาย จนกระทั่งพระเยซูที่ไม้กางเขน พระองค์บอกทำแล้ว เสร็จแล้ว จบแล้ว ต่อไปนี้ ไม่ต้องทำอะไรแล้ว เพราะทำให้เสร็จแล้ว ไปบอกข่าวดีนี้ให้กับทุกคน มนุษยชาติ ที่เกิดมาบนโลกใบนี้ว่ามันมีที่ที่ดีกว่าแล้ว ย้ายเถอะๆ ท่านต้องมีความรู้อะไรมากมายไหม? ไปประกาศข่าวดีนี้ โลกวิญญาณมี 2 อาณาจักร มีอาณาจักรแห่งความมืด และตอนนี้มีอาณาจักรแห่งความสว่าง ดีกว่าตั้งเยอะแยะมากมายเลย  พระเยซูมาทำให้แล้ว พระเจ้าส่งพระบุตรมาให้เรียบร้อยแล้ว ตายที่ไม้กางเขนเรียบร้อยแล้ว เปลี่ยนเลย รับสิทธิท่านไป เปลี่ยนทันที ไม่ต้องทำอะไรเลย ทำให้ท่านเรียบร้อยแล้ว แค่นี้ ฮีบรู 2:11

ฮีบรู 2:11 “พระองค์ผู้ที่ทำให้มนุษย์ทั้งหลายบริสุทธิ์กับบรรดาผู้ที่ทรงทำให้บริสุทธิ์นั้น เป็นครอบครัวเดียวกัน ฉะนั้น พระเยซูจึงไม่ทรงละอาย ที่จะเรียกเขาเหล่านั้นว่าพี่น้อง”

 

พระเยซูเรียกท่านว่า “พี่น้อง” แล้วทำไมท่านเรียกพระเยซูว่าพระองค์ล่ะ อ้าว! ท่านต้องเรียกพระองค์ว่าพี่ กล้าเรียกไหม? เขินอ่ะ เพราะว่าเราไม่รู้จักพระองค์จริงๆ แต่พระองค์รู้จักเรา ถูกไหม? พระเยซูเจอทัศนัย

“น้องนัยว่าอย่างไร?”

น้องนัยหันกลับมา “ข้าพระองค์”

รู้สึกห่างเหินจริงๆ พระเยซูบอกอยากจะเข้าไปกอด “อย่ากอดหม่อนฉันเลย”

มันเป็นอย่างนี้จริงๆ วิธีแก้ไขทำอย่างไร? เรียนรู้จักพระองค์มากขึ้น เรียนรู้จักวิธีใด ก็พยายามอธิษฐานขอพระเจ้า ขอพระวิญญาณบริสุทธิ์สำแดงให้เรารู้ว่าพระองค์คือใคร? แล้วเราเป็นใคร? นี่แหละ เรากำลังเรียนรู้ ตอนนี้เราสนิทขึ้นตั้งเยอะแล้ว สมัยก่อนเราสนิทอย่างนี้ไหม? เราก็ไม่ได้สนิทถึงขนาดนี้ แต่ถามว่าสนิทขนาดนี้ มากขนาดนี้ได้ไหม? เรียกพระเยซูว่าพี่ได้ไหม? ยังไม่ได้ใช่ไหม?  แต่วันหนึ่งจะได้ ถูกไหม? แต่ตอนนี้ก็เริ่มสนิทแล้วนะ ตอนก่อนหน้านี้ แย่กว่านี้ หลายคนเชื่อใหม่ๆ ไม่กล้าอธิษฐาน ต้องคุกเข่า พอไม่คุกเข่า รู้สึกมันไม่ถ่อมใจ ยืนอธิษฐานไม่ได้ บางคนยืนอยู่บนรถเมล์ไม่กล้าอธิษฐาน บางคนอยู่ในห้องน้ำไม่กล้าอธิษฐานเลย นี่เรื่องจริง ผมก็คือหนึ่งในนั้น เข้าห้องน้ำรู้สึกเขินๆ มีความรู้สึกว่าจะอธิษฐาน ต้องหาที่สงบๆ ห้องเงียบๆ ปิดประตูหมด รู้สึกพระเยซูอยู่ใกล้เหลือเกิน จริงๆ ก็ใกล้เหมือนเดิมนั่นแหละ ที่เดียวกัน ในห้องน้ำเหมือนกัน แต่ตัวเราเอง รู้จักพระองค์ไม่พอ พอเข้าห้องน้ำ เขินพระเยซู ไม่กล้าอธิษฐาน รู้สึกโป๊ ไม่สุภาพ จะอธิษฐานต้องไปเตรียมชุดให้ดีๆ ใส่ชุดให้เรียบร้อย เข้าไปสง่างาม คุกเข่าลง  ท่านเห็นภาพหรือยัง? ฮีบรู 2:14-15

ฮีบรู 2:14-15 “14 ในเมื่อบุตรทั้งหลายมีเลือดและเนื้อ พระองค์จึงทรงร่วมในความเป็นมนุษย์ของพวกเขา เพื่อว่าโดยการสิ้นพระชนม์ พระองค์จะได้ทรงทำลายผู้กุมอำนาจแห่งความตายคือมาร 15 และปลดปล่อยบรรดา ผู้ซึ่งตลอดชั่วชีวิต ตกเป็นทาสเนื่องจากกลัวความตาย”

 

“ในเมื่อบุตรทั้งหลายมีเลือดและเนื้อ” บุตรทั้งหลาย ก็คือพวกเราทั้งหลายที่เชื่อพระองค์ มนุษย์ทั้งหลาย ในเมื่อน้องๆ ทั้งหลาย เป็นมนุษย์ พี่ก็ต้องเกิดมาเป็นมนุษย์เหมือนกัน เพื่อจะได้เป็นตัวแทนของน้องๆ ได้ พี่เป็นพระเจ้า เป็นวิญญาณเฉยๆ มาช่วยน้องๆ ไม่ได้ พี่ก็เลยต้องยอมสละสภาพพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์เหมือนน้องๆ ต้องมาอยู่ในเนื้อหนัง ร่างกายที่มองเห็น ต่ำต้อยมาก ยอมมาอยู่ในนี้ เพื่อว่าพี่จะได้สามารถตายที่ไม้กางเขน หลั่งพระโลหิตชำระบาปให้กับน้องๆ ทั้งหลายได้  เรื่องพระเจ้า คือเรื่องครอบครัวแค่นี้เอง ถ้าท่านเห็นภาพในโลกวิญญาณ เห็นชัดเจน ท่านเข้าใจ ท่านจะสามารถพูด อย่างที่ผมพูดอย่างง่ายๆ เลยว่ามันเป็นครอบครัว กำลังเล่าให้ฟังว่าพี่ไปทำอะไรมา? มาช่วยน้องๆ อย่างไร? พ่อส่งพี่มาช่วย พ่อให้พี่มาช่วย  แล้ววิธีช่วยของพี่ คือพี่ต้องเข้ามาอยู่กับน้องๆ อยู่ท่ามกลางน้องๆ เพื่อจะได้เป็นพวกเดียวกันกับน้องๆ เพราะว่าถ้าพี่ยังเป็นพระเจ้าอยู่ พี่ตายไม่ได้ ไม่สามารถหมดลมหายใจได้ ไม่สามารถมีเลือดหลั่งออกมาชำระบาปได้ เพราะฉะนั้น พี่ต้องมาในสภาพเหมือนน้องๆ คือเป็นร่างกายที่มีเนื้อหนัง มีเลือด เพื่อว่าจะได้ตายได้ จะได้เลือดหลั่งได้  เพื่อการตายและหลั่งเลือดนั่น ชำระบาป ตามกฎกติกาของพระเจ้า เพื่อช่วยให้น้องๆ ได้หลุดพ้น จากการถูกลงโทษได้ หลุดพ้นจากคำสาปได้ ก็แค่นี้เอง

อ่านแล้วมันศาสนาเหลือเกิน มันไม่เข้าใจเลย เราคิดมากไป เราคิดเยอะไป ไม่มีอะไร มีอยู่แค่นี้  พอเรามาแกะเปลือกออกปุ๊บ เหลือแต่แก่นเท่านั้น แก่นมันไม่มีอะไรเลย ง่ายขนาดนี้เลยเหรอ ขอบคุณพี่พระเยซูมากเลย พี่ดีกับเรามากจริงๆ

การถ่อมใจ คือการยอมรับในสิ่งที่พระเยซูบอกว่ามันเป็นจริง พระเยซูบอกว่าเป็นพี่น้อง ถ้าเราบอกเป็นพี่น้อง พี่พระเยซู … พระเยซูเรียกอย่างนี้ว่าถ่อมใจ แต่ถ้าพระเยซูบอกเราเป็นพี่น้อง แล้วเราบอกเราต้องคุกเข่าลง พระเยซูบอกไม่ถ่อมใจเลย  มันกลับกัน นั่นคือความถ่อมใจแบบมนุษย์ … มนุษย์ถ่อมใจ คือต้องคุกเข่า พระเยซูบอกเราเป็นพี่น้องกัน คุกเข่าทำไม? เพราะเราไม่เชื่อ เพราะความรู้เราไม่พอ หรือไม่เชื่อ เพราะการรับรู้ของเราไปไม่ถึง แต่รวมความแล้ว เรายังไม่ถ่อมใจจริงๆ การถ่อมใจในฝ่ายวิญญาณ ในทางพระเจ้า คืออย่างนี้ รับรู้ในสิ่งที่พระองค์ทรงบอกว่าเป็น เราก็บอกว่าเป็นอย่างนั้น นั่นแหละคือการถ่อมใจ ถ้าพระองค์บอกว่าเป็นอย่างนี้ แล้วเราบอกไม่ใช่ อย่างนี้เขาเรียกว่าไม่ถ่อมใจ เขาเรียกว่าเย่อหยิ่ง พระเยซูบอกเราเป็นพี่น้องกัน เราบอกไม่ใช่ พระองค์ยังเป็นเจ้านายอยู่เหมือนเดิม อย่างนี้ไม่ถ่อมใจ แต่ถ้าพระองค์บอกเราเป็นพี่น้องกัน แล้วเราบอก อ้าว! พี่ว่าอย่างไร? พระเยซูบอกนี่ คนถ่อมใจเป็นคนนี้

พระองค์จึงชอบว่าพวกฟาริสีที่ชอบทำตัวเป็นเคร่งครัดทางศาสนา ดูเหมือนถ่อมใจ พระเยซูบอกถ่อมใจไม่ใช่อย่างนั้น ลองดูว่าเรากล้าพูดมั๊ย

“พี่ รถเมล์ไม่มาเลย รอนานแล้ว ฝนจะตกแล้วพี่ พี่ขอรถเมล์ด่วนจี๋มาสักคันได้ไหมพี่ ช่วยหน่อย”

อันนี้คิดในใจนะ สมมติ “พี่ ช่วยน้องหน่อยเถอะ วันนี้ เห็นเขาบรรยายว่าให้เรียกพี่ เรียกน้อง … น้องก็ไม่ค่อยกล้าเรียกมาก ทดลองเรียก พี่ช่วยหน่อยนะพี่นะ”

ท่านคิดในใจอย่างนี้ ท่านคิดว่าพี่ แต่ท่านรู้ว่าคำว่าพี่ของท่าน คือใคร? ท่านคิดแต่ว่าพระเยซูบอกว่าไม่ได้ เธอต้องบอกว่าพระเยซูช่วยน้องด้วย อย่างนี้เหรอ ท่านบอกว่าพี่ แต่ในใจท่านคิดว่าใคร ก็คือท่านนั่นแหละ คนนั้นแหละ คำว่าเยซู … พระเยซู แปลเป็นภาษาของมนุษย์แล้วไม่รู้กี่พันภาษานะ มันไม่ได้สำคัญตรงชื่อนั้น ทุกวันนี้ยังมีคนใช้ชื่อเยซู … เยซู โยชูวา มันไม่ได้สำคัญตรงคำพูดของคน แต่สำคัญตรงคนที่พูด แล้วรู้ความหมายว่า …

“ฉันกำลังพูดถึงใคร?  ฉันบอกว่าโยชูวา หรือฉันบอกว่าเยซู แต่ฉันหมายถึงคนนั้นแหละที่เกิดมาจากพระเจ้า มาตายที่ไม้กางเขน เพื่อฉัน หลั่งพระโลหิตชำระบาปให้กับฉัน และมนุษย์ทั้งหลายบนโลกใบนี้ ฉันหมายถึงคนนี้ ต่อให้ท่านพูดเพี้ยนๆ เป็นเยซูๆๆๆ ก็ถูก”

หรือท่านไม่ต้องกล่าวถึงชื่อเลย แค่ระลึกถึง เรียกเขาว่าพี่ พอเข้าใจใช่ไหม? จึงต้องอธิบายในทางของพระเจ้า ที่บอกว่ามาเชื่อพระเจ้า แล้วท่านจะหายเหนื่อยและเป็นสุข ท่านเดือดร้อนอะไร?  ก็คุยกับพระเยซู คุยเลย คุยกับพี่เราอย่างนี้

“พี่ช่วยน้องหน่อยนะ ไม่ไหวแล้ววันนี้ ช่วยหน่อย”

ฝึกไปเรื่อยๆ จนคล่อง มันก็จะชิน จนเกิดการรับรู้ว่าเราสนิทกัน ท่านกำลังทำสิ่งที่พระเจ้าพอพระทัยมากที่สุด ท่านกำลังถ่อมใจมากๆ พระเจ้าพอใจคนถ่อมใจมากๆ ก็ด้วยวิธีนี้แหละ เอเมน พอถึงพระเจ้า ก็บอก …

“พ่อจ๋า วันนี้”

เรายังชินมากนะ พระเยซูเรียกเป็นพี่ มันไม่เคย ในนี้จึงบอกว่าพระเยซูไม่ทรงละอาย ที่จะเรียกเขาเหล่านั้นว่าพี่น้อง พระองค์เป็นพี่ เราเป็นน้อง

วิญญาณของมนุษย์ผู้ใดที่ได้เข้ามาอยู่ในอาณาจักรแห่งความสว่างแล้ว เขาอยู่กับพระเยซูแล้ว เขาจะอยู่ในความสว่างอย่างนี้ตลอดไป  แม้ว่าวันหนึ่ง ร่างกายที่เห็นอยู่นี้ อายุ 80 ปี 70 ปี หรือ 90 ปี 100 ปี จะต้องกลับไปสู่ดิน จะต้องสูญสิ้นไป  ทรุดโทรมไป  หมดไป แต่วิญญาณเขาไม่ได้ไปไหน เขายังอยู่กับพระเจ้าเหมือนเดิม และเมื่อใครก็ตามเข้ามาอยู่ในอาณาจักรแห่งความสว่างนี้ มาอยู่กับพระเยซูคริสต์ ย้ายจากครอบครัวเดิม คือครอบครัวอาดัม มาอยู่นครอบครัวพระเยซู อยู่ในความสว่างกับพระเจ้า กับพระเยซู เขาจะอยู่ที่นี่ตลอดไป และในพระคัมภีร์บอกว่าขณะที่เขาอยู่ ไม่มีใครที่ไหน แม้กระทั่งตัวเขาเอง จะสามารถเอาเขาออกไปจากอาณาจักรแห่งความสว่าง กลับมาอยู่ในความมืดนี้ได้ ไม่มีทางเด็ดขาด เพราะเขาได้อยู่ในพระหัตถ์ของพระเจ้า ทรงฤทธิ์อำนาจยิ่งใหญ่สูงสุดนี้แล้ว เอเมน

นี่คือความสบายใจและการหายเหนื่อยและเป็นสุข ที่พระเยซูบอก หลายคนไม่เข้าใจ กลัว ฉันจะได้รับความรอดไหม? วันนี้ ถ้าฉันทำไม่ดีไป ฉันจะตกกลับมาอยู่ที่นี่เหมือนเดิม  ปรากฏว่าวันทั้งวันย้ายไปก็ย้ายมา เมื่อตะกี้นี้ขับรถมา ทนไม่ไหว คนขับรถตัดหน้า ด่าไปแบบสุดๆ เลย ท่านมีความเชื่อว่าถ้าไม่สารภาพบาป ท่านยังต้องตกนรกอยู่ เพราะฉะนั้น ท่านก็ยังตกนรกอยู่ ถ้าผมไม่ได้เตือนท่าน แล้วท่านต้องคอยจำว่าตั้งแต่เช้ามาท่านทำอะไรผิดไปบ้าง แล้วสารภาพหรือยัง?

เพราะฉะนั้น ถ้าใช้ความเชื่อแบบเดิมๆ ท่านเดินไปเดินมา ทำผิด ท่านก็ต้องสารภาพผิด ขอโทษพระเจ้า ไปไหนมาไหน ก็ต้องขอโทษพระเจ้า หนักกว่าเดิม ไม่ใช่หายเหนื่อยแล้วเป็นสุข พระคัมภีร์บอกว่าท่านเป็นนิวครีเอชั่น ได้เป็นสิ่งที่ถูกสร้างใหม่แล้ว พระเจ้าสร้างท่านใหม่ ก่อนจะเชื่อพระเยซู ท่านอยู่ในอาดัม อยู่ในอาณาจักรแห่งความมืด เหนื่อย ทุกอย่างต้องทำด้วยตัวเอง ไม่รู้จะไปพึ่งใคร? เมื่อท่านได้ยินข่าวประเสริฐ ท่านบอก …

“ข่าวประเสริฐดีจริง ฉันเชื่อแล้ว ฉันเอาด้วย ฉันจะใช้สิทธิของฉันในพระเยซูคริสต์ ที่พระเยซูทำให้ฉัน คือตายแทนฉันที่ไม้กางเขน เป็นพี่ชายให้กับฉัน มารับโทษบาปแทนฉัน ฉันเอาด้วยคน ฉันใช้สิทธิของฉันแล้ว ฉันรับแล้ว”

พระคัมภีร์บอกว่าเมื่อท่านพูดด้วยปาก และเชื่อด้วยใจว่าพระเยซูเป็นพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์ ตายที่ไม้กางเขน หลั่งพระโลหิต ชำระบาปให้กับท่าน … ท่านจะรอด พอท่านพูด ท่านเชื่อปุ๊บ พระคัมภีร์บอกว่าโดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า กระทำการงาน โดยวินาทีนั้นทันที 2 โครินธ์ บทที่ 17 สร้างท่านขึ้นใหม่ เป็นสิ่งที่ถูกสร้างขึ้นใหม่ นิวครีเอชั่น  คำเดียวกับปฐมกาลเลย ถูกสร้างขึ้นใหม่ ในพระเยซูคริสต์ สิ่งเก่าๆ ๆก็ล่วงไป นี่แหละ Behold อันเดียวกัน แปลว่าจงมองให้เห็นเถิด ทุกสิ่งทุกอย่างใหม่เอี่ยมทั้งสิ้น วิญญาณเก่าเอาออกไป เราให้ใจใหม่กับเจ้า เอเมน พระเจ้าบอกไม่มีฤทธิ์อำนาจใดๆ เอาท่านออกไป จากความรักของพระเจ้าได้อีกแล้ว ไม่ยอมให้ใครมาเอาไปเด็ดขาด ท่านว่าพระเจ้าทำได้ไหม? ทำได้แล้ว และทำไปแล้ว นี่คือความสบายใจ ไม่ต้องกลัวอะไรอีกแล้ว เมื่ออยู่กับพระเจ้า

พูดถึงเรื่องนี้ ผมเคยตกใจ ผมว่าหลายคนก็เคยตกใจเหมือนผม มีอยู่ครั้งหนึ่ง ไปบ้านเพื่อน คนรู้จัก เลี้ยงหมาดุเอาไว้ แต่จำเป็นต้องไป เพื่อนก็ไม่บอกเรานะว่าหมามันดุมาก

“ไม่เป็นไร มันไม่ได้ดุอะไรมาก”

เราก็เดินจะเข้าประตู ปุ๊บ มันกระโจนมาเลย ดุมาก หมาไทย ขอบคุณพระเจ้า โซ่มันพอดี คือเขาผูกไว้พอดี ให้แขกสามารถเดินเข้าบ้านเขาได้ ด้วยความตกใจกลัวสุดขีด มันบอกไม่เป็นไร เพราะมันผูกไว้แล้ว  ตัวเจ้าของเขารู้ว่าไม่กัดแน่ แต่ผมไม่รู้ หัวใจแทบหล่นไปอยู่ตาตุ่ม มันกระโจนมา เรารู้สึกเฉียดนิดเดียว แต่จริงๆ ไม่นิด ก็ 3 – 4 คืบ คือสุดปลายโซ่ ถ้าขึ้นบันได มันก็สุดปลายโซ่ แต่ทำไมเรากลัว ใจหายเลย  ถามว่ามันดุจริงไหม? จริง ถามว่ามันจะกัดจริงหรือเปล่า? จริง ถ้าไม่มีใครผูกไว้ มันกัดผมแน่ ฉันใดก็ฉันนั้น พระคัมภีร์บอกว่ามารมันเป็นเหมือนสิงคำรามรอบตัวท่าน มันคอยจะกัดท่าน ถ้ามันทำได้ แต่มันทำไม่ได้หรอก เพราะว่าพระเจ้าผูกมันไว้ ถ้าท่านอยู่ฝั่งอาดัม มันกัดท่านอยู่ทั้งวัน แต่ท่านย้ายมา มันกัดท่านไม่ได้แล้ว มันได้แต่ทำให้เรากลัว สะดุ้งตกใจ แต่พอนานๆ เริ่มชิน มันทำอะไรเราไม่ได้นี่หน่า มันจะทำเราได้ต่อเมื่อเราไม่ได้อยู่ในอาณาจักรแห่งความสว่าง แต่ตราบใดที่เราย้ายมาแล้ว มันทำอะไรเราไม่ได้อีกต่อไปแล้ว

เพราะฉะนั้น คนที่ย้ายมาอยู่ในอาณาจักรแห่งความสว่าง อยู่กับพระเยซูคริสต์แล้ว ควรจะทำเหมือนที่พระเยซูบอก คือถ่อมใจ บอกว่า …

“ฉันหายเหนื่อย และเป็นสุขแล้ว”

ก็คือนั่ง แล้วไข่วห้างด้วย มันสบาย ไม่ใช่นั่งไป กลัวไป  เมื่อไรจะมา ขู่ได้ไหม? ได้ เข้าใจไหม?  พระองค์มีชัยชนะเหนือทุกสิ่ง เราอยู่ที่นี่แล้ว ได้แต่ขู่เรา

“แน่ใจได้อย่างไรว่าไม่ได้ทำอะไรผิดบาปแล้ว แน่ใจได้อย่างไร? เมื่อวานยังมีความรู้สึกโลภ”

พระเยซูบอกแค่โลภก็แย่แล้ว เมื่อวานนี้ยังดูการประกวดนางงามอยู่เลย พระเยซูบอกแค่คิดกำหนัด ก็บาป ตกนรกแล้วนะ ชักไปใหญ่แล้ว แล้วสิบลดยังไม่ได้ถวาย ศิษยาภิบาลบอกตกนรกอีก ฉันอยากกลับไปเหมือนเดิม นี่แหละถูกมารมันเห่าตลอดเวลา ตกลงชักจะกลับไปเหมือนเดิมแล้วนะ ท่านดีอย่างไร? ท่านจึงสามารถอยู่ในอาณาจักรสวรรค์ได้ ฉันไม่ได้ทำอะไรดีเลย พระเยซูบอกฟรี แล้วไปให้เขาขู่ว่าไม่ได้ทำอะไรดีเลย  แล้วสมควรจะอยู่ในสวรรค์เหรอ คนนั้นทำดีกว่า คนนี้ทำดีกว่า ทำไมเธอมั่นใจตัวเองไปสวรรค์แน่นอน

นี่คือการขู่ ฤทธิ์อำนาจของพระเยซู คือมั่นใจในถ้อยคำพระเจ้า ถ้อยคำพระเจ้าบอกอย่างนี้ ฉันก็บอกอย่างนี้ จบ กัดฉันไม่ได้แน่นอน ได้แต่ขู่ไป ไม่มีประโยชน์ เห็นหรือยัง? พอท่านมาอยู่ที่นี่ พระวิญญาณบริสุทธิ์ก็จะนำท่าน พระวิญญาณบริสุทธิ์ก็จะสอนท่านในการดำเนินชีวิต แบบใหม่ แบบคนที่อยู่ในพระเยซูคริสต์ ให้ระลึกถึงพระคุณของพระเยซูคริสต์ที่ไถ่บาปให้กับเรา ให้ระลึกถึงความดีงามของพระองค์ พ่อเรา ที่รักเรามาก เป็นครอบครัว ไม่ใช่ให้กลัว ให้ระลึกถึง แล้วตั้งใจจะทำชีวิตให้ดีงาม ให้เป็นที่พอพระทัยของพ่อของเรา ทำได้ครบบ้าง ไม่ครบบ้าง แต่ไม่กลัว เพราะพ่อเราไม่ได้ว่าอะไรหรอก เราก็ตั้งใจของเราได้แค่นี้ หล่นบ้าง ตกบ้าง ไม่สนใจ เพราะได้แค่ขู่ฉัน ทำอะไรฉันไม่ได้ ชัยชนะแปลว่าอย่างนี้

ชนะความบาป ก็หมายถึงอย่างนี้ ชนะหมดเลย เกลี้ยงเลย เธอทำอะไรฉันไม่ได้อีกแล้ว จบ

“เธอทำบาป จะได้รับความรอดได้อย่างไร? เธอมาเชื่อพระเจ้า เธอยังโกหกอยู่เลย เธอจะได้รับความรอดได้อย่างไร?”

บอกมันเลย  “ต่อให้โกหกฉันก็ได้รับความรอด ฉันได้รับการชำระโดยโลหิตของพระเยซูคริสต์ไปแล้ว ฉันไม่ได้ชำระตัวเองด้วยความดีของฉัน ฉันได้รับการชำระ ฉันมาอยู่ตรงนี้ เพราะว่าพระเยซูทำให้ ฉันได้มาฟรีๆ เพราะฉะนั้น ต่อให้ฉันเผลอไปโกหก ฉันก็รอดอยู่ดี”

นี่แหละ คือคำที่สยบมารที่คำรามใส่เรา แล้วพระวิญญาณก็นำพาเรา ให้เราทำสิ่งที่ดีๆ ที่สุด เพื่อพ่อเรา เพื่อพระเจ้าที่ทำดีกับเรา เรารักพ่อ เราเลยอยากทำสิ่งที่ดี สิ่งที่พลาดไป

“ขอโทษทีพ่อ ลูกพลาดไป ลูกขอโทษ”

จบ ไม่ต้องไปคิดมันแล้ว ต่อไปก็อยู่กับพ่อเหมือนเดิม ผมนึกถึงสมัยที่ผมจบใหม่ๆ ผมไปเล่นดนตรีอยู่ที่แคมป์ทหาร ที่นครพนม ตอนนั้น ทหารอเมริกันไปรบ แล้วกลับมาพักที่แคมป์ เขาไม่รู้ว่าพรุ่งนี้จะตายหรือไม่?  เที่ยวหน้าต่อไป เขาอาจจะไม่ได้กลับมาก็ได้ เขาก็ใช้เงิน ใช้ทอง เสพความสุขต่างๆ ให้มากที่สุด หนึ่งในจำนวนนั้น ก็คือเรื่องของยาเสพติด มีหมดทุกชนิดเลย แล้วผมเป็นนักดนตรีก็ต้องคลุกคลีกับพวกทหารเหล่านี้ เป็นเพื่อนกัน ถามว่ารอดจากยาเสพติดเหล่านั้นได้อย่างไร? คือพ่อแม่ไม่ได้บังคับผมเลยนะ พ่อแม่อยู่กรุงเทพ ผมก็รู้ว่าท่านเป็นห่วง แต่ด้วยความรักของพ่อแม่  ผมรู้ว่าพ่อแม่รัก อะไรที่ไม่ดี พยายามที่จะรู้ตัวว่ามีคนที่รักเราอยู่ เราก็ไม่อยากทำ ความรักเป็นพลังให้กับเรา  แต่เราทำได้ 100% ไหม? ไม่ได้ 100% แต่ผมรู้ถึงไม่ได้ 100% แต่ถ้าพ่อผมได้ยิน ได้ฟัง ได้รู้ แม่ได้ยิน ได้ฟัง ได้รู้ แม่คงไม่เอาหวายมาเฆี่ยนผม  แม่ก็คงเข้าใจผม พ่อก็คงเข้าใจ ไม่คิด ไม่ถือสาตรงนั้น ให้ลูกได้รอด ก็แล้วกัน ผมรอด เพราะความรักของพ่อแม่ เป็นพลังให้กับเรา ในการที่เราจะเป็นคนที่ดี แต่เราไม่สามารถเป็นคนที่ดีพร้อมได้ แต่เราสามารถเป็นคนดีได้  ด้วยพลังที่พ่อให้เรา  ในทำนองเดียวกัน พระเจ้าเป็นพลัง พระเยซูเป็นพลัง พระคุณเป็นพลัง เมื่อเห็นแก่พระคุณของพระองค์ เราตั้งใจที่จะทำสิ่งที่ดีที่สุด ถวายร่างกายนี้ ให้พระองค์ใช้ดีที่สุด ส่วนจะผิดพลาดพลั้งไป ตามสัญชาตญาณบาปที่ทำงานอยู่ในเนื้อหนังนี้ ก็ว่ากันไป แต่ในใจ ผมไม่เคยคิดเลย ที่จะไปทำอะไรให้พ่อแม่ไม่สบายใจ ในหนังสือโรม บทที่ 12 จึงบอกว่า …

“ท่านรู้ในเหตุการณ์ที่พระเจ้า  ทำให้ท่านได้รับความรอดอย่างนี้แล้ว โดยท่านไม่ต้องทำอะไร? ข้าพเจ้าขอวิงวอนท่านให้เห็นแก่พระคุณของพระเจ้า ที่ทำให้ท่านมานั่งตรงนี้ ทำให้เห็นแก่พระคุณของพระเจ้า ผู้เป็นพ่อที่รักท่านมากๆ ให้ดำเนินชีวิตในทางที่เป็นที่ถวายเกียรติ ให้พระเจ้าพอใจ”

ให้ทดแทนพระคุณพระเจ้า ดำเนินชีวิตให้ดีๆ ตั้งใจ พลาดไป ก็ไม่เป็นไร แต่ให้ท่านตั้งใจตรงนี้  นี่คือความสบายใจของผู้ที่ย้ายตัวเองมาอยู่ในอาณาจักรแห่งความสว่าง มาอยู่ในพระเยซูคริสต์ หายเหนื่อยและเป็นสุข พระเยซูบอกสวรรค์มาแล้ว ก็คืออาณาจักรแห่งแสงสว่าง ที่พระองค์จะทรงนำเข้ามา กำลังจะเริ่มขึ้นแล้ว เมื่อพระองค์ทรงตายที่ไม้กางเขน มันเริ่มสถาปนาแล้ว เมื่อพระองค์ทรงเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่สาม อาณาจักรแห่งสวรรค์ อาณาจักรแห่งความสว่างได้ลงมาบนโลกนี้แล้ว มนุษย์ทุกคนมีสิทธิ์ที่จะเข้ามาอยู่ในนี้ได้ ง่ายนิดเดียว เพราะพระเยซูทำให้แล้ว เปิดให้แล้ว เพียงแต่เดินก้าวเข้ามา แล้วบอกว่า …

“ฉันเชื่อ”

จบ พระเยซูตอนที่เดินอยู่บนโลกนี้ บอกว่าบุตรมนุษย์ คือพระองค์จะถูกตรึงที่ไม้กางเขน และพระองค์จะถูกยกขึ้นมา แล้วพระองค์จะทรงรอ คือดึงเอามนุษย์ทั้งหมดบนโลกใบนี้ เข้ามาหาพระองค์ด้วยวิธีนี้แหละ ผมก็ถูกดึงเข้ามาหาพระองค์ ทุกคนก็ถูกดึงเข้ามาหาพระองค์ คือเข้ามาสู่อาณาจักรแห่งความสว่าง เข้ามาสู่ความสงบ เข้ามาสู่การพักผ่อน จบแล้ว ต่อไปนี้ ก็ให้พระวิญญาณบริสุทธิ์นำพาเรา วันต่อวันไปเรื่อยๆ ไม่ต้องไปกังวล ไม่ต้องไปกลัวอะไรเลย เราอยู่เหนือทุกสิ่งแล้วในพระเยซูคริสต์ พระคัมภีร์พูดไว้อย่างนั้น ทุกอย่าง ทุกสิ่ง ทั้งโลกฝ่ายวิญญาณ โลกฝ่ายวัตถุอยู่ใต้เท้าพระเยซูคริสต์ แล้วเราไปกลัวอะไร? เอเมน เรากำลังอยู่ในสวรรค์ รอเพียงแค่ ให้มันชัดเจน มองได้ง่ายขึ้น ไม่ต้องพยายามเหมือนทุกวันนี้ จงมองให้เห็นเถิด โลกฝ่ายวิญญาณเป็นอย่างไร? เพราะเรายังติดอยู่ในร่างกายเก่านี้ พระเจ้ายังต้องใช้ร่างกายเก่าของเรานี้ ให้เป็นประโยชน์ในการประกาศข่าวดีให้กับมนุษย์ เพราะเราต้องเป็นมนุษย์ ถึงจะประกาศได้

เพราะฉะนั้น ถ้าพระเจ้าเลิกใช้เราเมื่อไร? ร่างกายนี้หมดลมหายใจ เมื่อไร? เป็นวันที่เราเป็นอิสระ เราอยู่ในสวรรค์ที่เดิม แต่เราเห็นชัดเจน ตาต่อตา เห็นชัดแจ๋ว ทุกวันนี้ พระคัมภีร์ไบเบิ้ล เปาโลบอกว่าเราเห็นเพียงรางๆ จึงต้องมาอธิษฐาน ขอพระเจ้าช่วยเรา จงมองให้เห็นเถิด แต่วันนั้น ถ้าร่างกายเราทิ้งไปแล้ว เป็นอิสระแล้ว เราจะเห็นพระเจ้าหน้าต่อหน้าเลย ไม่ต้องใช้ความเชื่ออีกต่อไปแล้ว เอเมน แล้ววันนั้น มันก็ใกล้เข้ามา พระเจ้าจะใช้เราอีกนานต่อไปเท่าไร? ก็อยู่ที่พระองค์ เอเมน ขอพระเจ้าอวยพรครับ

 

*************************

 

 

 

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 15 ตุลาคม 2017 เรื่อง “ความจริงจะทำให้ท่านเป็นไท” ตอน 4 “สองอาณาจักรแห่งโลกวิญญาณ” ตอน 1 โดย นคร เวชสุภาพร

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  15  ตุลาคม  2017

 เรื่อง “ความจริงจะทำให้ท่านเป็นไท”

ตอน 4 “สองอาณาจักรแห่งโลกวิญญาณ” ตอน 1

โดย นคร  เวชสุภาพร

 

สวัสดีครับ เรากำลังเรียนรู้ ถ้อยคำพระเจ้า เรื่องความจริงจะทำให้เราเป็นไท ที่พระคัมภีร์พูดถึงนี้ ไม่ได้ใช้เฉพาะโลกวิญญาณ หรือเรื่องเกี่ยวกับพระเจ้าเท่านั้น  จริงๆ ใช้ในชีวิตเราทั้งหมดเลย ถ้าเรารู้เรื่องจริง อะไรก็ตาม จะทำให้เราเป็นอิสระ ไม่ถูกหลอก เมื่อไม่ถูกหลอก เราก็ดำเนินชีวิตได้ถูกต้อง กับตัวเราเอง ในทุกเรื่อง ไม่ว่าเรื่องสุขภาพ เรื่องอะไรก็ตาม ทุกเรื่องเลย ถ้าเรารู้ความจริง แม้กระทั่งเรื่องคนอื่นที่เราไปวิพากษ์วิจารณ์ ไปเขียนในเฟสบุ๊ค ในโซเชียลมีเดียทั้งหลาย บางทีเราไม่รู้ว่าเบื้องหลัง มีอะไร? เราก็คิดของเราไปเรื่อยเปื่อย เราก็ตัดสินใจผิด คอมเม้นท์ผิด แล้วก็ไม่รู้ว่าจริงๆ เกิดอะไรขึ้น เห็นไหม? ความจริงจะทำให้เราเป็นไท พระเยซูพูดไปตั้งนานแล้ว ตั้ง 2,000 ปีแล้ว ถ้าเราไม่รู้ความจริง เราพูดไปในความไม่จริง ก็จะเกิดความเสียหาย ใครเสียหายมากที่สุด ตัวคนๆ นั้นแหละ ที่ทำ

ยกตัวอย่างเช่น ความกตัญญู เขาบอกให้เรามีความกตัญญูต่อพ่อแม่ ต่อผู้มีพระคุณทั้งหลาย พระเยซูบอกแม้แต่น้ำแก้วหนึ่ง ยังให้เรามีความกตัญญูเลย น้ำแก้วหนึ่งยังได้รับอะไรบางอย่าง ที่เรียกว่าสิ่งที่ดีๆ ตอบแทน คนที่เขาให้น้ำแก้วหนึ่ง ด้วยความรักแท้ ด้วยความจริงใจ ไม่ได้หวังอะไรกลับคืน ความกตัญญู คนอื่นก็นึกว่าพ่อแม่ต้องการให้เราไปช่วย พ่อแม่ต้องการความกตัญญู ไม่ใช่ พูด สอน เพื่อให้ประโยชน์เกิดขึ้นกับคนที่กตัญญู คนที่กตัญญูก็จะได้ กตัญญูต่อแผ่นดิน ก็ได้พระพร ได้สิ่งดีๆ เข้ามาในชีวิต กตัญญูต่อพ่อแม่ กตัญญูต่อธรรมชาติ น้ำอะไรต่างๆ ให้มันสะอาด อย่าทำให้มันสกปรก อย่าเอาขยะทิ้งลงไป นี่คือความกตัญญู คนนั้นก็ได้พร คือได้สิ่งที่ดีๆ ในชีวิตของเขา ถ้าเขาไม่กตัญญู เขาก็จะได้สิ่งที่ไม่ดี ไม่รู้จักคุณค่าของสัตว์ ของสิ่งมีชีวิต ของป่าไม้ ของพืชพรรณ ของอากาศที่ดีๆ ไม่รู้จักคุณ ไม่กตัญญูต่อเขา ทำสิ่งไปต่อต้านเขา คนนั้น ก็ได้สิ่งที่ไม่เป็นพร เข้ามาในตัวเอง เรียกว่าได้คำสาปแช่งเข้ามา นี่เห็นไหม แค่พูดถึงเรื่องถ้อยคำเดียวที่พระเยซูบอกว่าความจริง จะทำให้เราเป็นไท เป็นอิสระ แค่นี้ก็พูดไม่จบเลย นี่ยังไม่รวมถึงเรื่องความรอดในพระเยซูคริสต์

วันนี้เป็นตอนที่ 4 ใช้ชื่อเรื่องว่า “สองอาณาจักรแห่งโลกวิญญาณ” ให้พูดบ่อยๆ เพื่อเราจะได้ชินกับคำศัพท์ที่ใช้ในโลกวิญญาณ ชินกับความคิด เรื่องเกี่ยวกับโลกวิญญาณที่มนุษย์มองไม่เห็น มือจับต้องไม่ได้ หูไม่ได้ยิน แต่เป็นจริงในพระคัมภีร์สอนไว้ เพื่อจะชินกับการคิด มองด้วยตาฝ่ายวิญญาณ ทะลุให้เห็นว่าโลกวิญญาณมีจริง และหน้าตามันเป็นอย่างไร? นี่คือสิ่งที่ผมคิดว่าท่านทั้งหลาย หรือผมควรจะทำและฝึกบ่อยๆ ยิ่งฝึกมาก มันก็จะชำนาญมากขึ้น ทุกทีๆ พระเยซูบอกว่าผู้ที่จะเข้าไปอยู่ในสวรรค์ ผู้ที่จะมีสวรรค์เป็นของเขา เรียนถ้อยคำพระเจ้า เรียนเรื่องสวรรค์ เราต้องทำตัวเป็นเด็ก

วันนี้การบรรยายชุด “ความจริงจะทำให้ท่านเป็นไท” ตอนที่ 4 “สองอาณาจักรแห่งโลกวิญญาณ” โลกวิญญาณมันซ้อนอยู่ในโลกนี้ มันเป็นอีกมิติหนึ่ง อยู่ตรงนี้แหละ มันคลุมอยู่กับโลกที่เรานั่งอยู่ที่นี่ ที่เราเห็นอยู่ตรงนี้ เหมือนที่พระเยซูพูด …

  1. โลกวิญญาณอยู่ที่ไหน?  อยู่ที่นี่ หมายถึงคลุมอยู่บนโลกใบนี้  ซ้อนกันอยู่ตรงนี้
  2. ตอนที่มีโลกใหม่ๆ ตอนที่พระเจ้าสร้างโลกใหม่ๆ โลกวิญญาณมีกี่อาณาจักร?  1 อาณาจักร
  3. ใครเป็นผู้นำความมืดเข้ามาในโลกวิญญาณ? อาดัม ผ่านทางมาร อาดัมไม่มีความมืด ผ่านทางมาร เชิญมารเข้ามา
  4. ตอนความมืดเข้ามาครั้งแรก โลกวิญญาณตอนนั้น มีกี่อาณาจักร? 1 อาณาจักร เพราะความมืดเข้ามา พระเจ้าก็ถอยออกไป
  5. เวลาเลยมา ยาวยืดจากปฐมกาลมาจนถึงปัจจุบันนี้  โลกวิญญาณมีกี่อาณาจักร? 2 อาณาจักร คืออาณาจักรแห่งความสว่าง และอาณาจักรแห่งความมืด
  6. อาณาจักรแห่งความสว่างเกิดขึ้นได้อย่างไร? เกิดขึ้นเมื่อพระเยซูมาตายที่ไม้กางเขน พระเยซูเป็นพระบุตรพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์ ตายที่ไม้กางเขน หลั่งพระโลหิตชำระบาปให้กับมนุษย์ทั้งปวง และทรงเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่ 3 พระเจ้า แต่งตั้งให้พระเยซูคริสต์นั่งที่เบื้องขวาของพระองค์ในสวรรค์สถาน เต็มไปด้วยฤทธิ์เดชอำนาจ พระองค์ทรงนำเอาความสว่างเข้ามาในโลกนี้ ซ้อนเข้ามาอยู่บนโลกนี้เลย โลกวิญญาณ ก็เลยมี 2 อาณาจักรเกิดขึ้น จนถึงปัจจุบัน
  7. ใครเป็นหัวหน้าอาณาจักรแห่งความสว่าง? พระเยซูคริสต์ … ใครเป็นหัวหน้าอาณาจักรแห่งความมืด? มาร

เหนือพระเยซูคริสต์ ใครเป็นผู้ให้สิทธิอำนาจพระเยซูคริสต์? พระเจ้า … พอมาอาณาจักรแห่งความมืด ใครเป็นหัวหน้าอาณาจักร? อาดัม ใครเป็นคนให้สิทธิอำนาจแก่อาดัม ในการเป็นหัวหน้าอาณาจักรแห่งความมืดบนโลกใบนี้ ชื่อมาร ท่านเห็นภาพไหม? นี่คือความเป็นจริงในโลกที่เราเรียกว่าโลกฝ่ายวิญญาณ ที่พระคัมภีร์พระเจ้า อยากให้เราลูกๆ ของพระองค์ได้เรียนรู้สิ่งเหล่านี้ เราจะได้เป็นไท เป็นอิสระ

  1. ใครเป็นผู้มีสิทธิ์ที่จะเลือกว่าจะไปอยู่ในอาณาจักรแห่งความสว่าง หรืออยากจะอยู่ในอาณาจักรมืดต่อไป? มนุษย์ เป็นผู้เลือกเอง ไม่มีใครเลือกให้ ทูตสวรรค์ พระเยซูไม่ได้เลือกให้ มารก็ไม่ได้เลือกให้ มนุษย์เป็นผู้มีสิทธิ์ ต้องเป็นผู้เลือกด้วยตัวเอง ไม่ใช่มนุษย์เลือกให้อีกคนหนึ่ง พ่อแม่เลือกให้ได้ไหม? ไม่ได้
  2. ขณะที่ท่านนั่งอยู่ในห้องนี้ ตอนนี้ วิญญาณของท่านอยู่ที่ไหน? อยู่ในอาณาจักรไหน? มืดหรือสว่าง? ตัวใครก็ตัวเขาแหละ ถามคนที่บ้านว่าขณะที่ท่านฟังคลิปนี้อยู่ในยูทูปหรือเฟสบุ๊คของโฮลี่ก็ตาม วิญญาณท่านอยู่ที่ไหน? ไม่ได้อยู่ที่บ้านหรอก ที่บ้านท่านก็มีโลกวิญญาณเหมือนกัน โลกวิญญาณซ้อนโลกนี้อยู่ คลุมโลกนี้อยู่ทั้งหมด ถามตัวท่านเองในใจ? ถามตัวเองที่กระจกว่า …

“ฉันอยู่ที่ไหน?” ตามพระคัมภีร์ไบเบิ้ลนี้

และในวันนี้ เราก็จะมาเรียนรู้กันต่อว่าระหว่างอาณาจักรแห่งความสว่างและอาณาจักรแห่งความมืด พระคัมภีร์ได้มีคำอธิบายหรือมีคำบอกเล่าคุณลักษณะความแตกต่างของทั้งสองอาณาจักรไว้อย่างไรบ้าง? เพื่อท่านจะได้คุ้นกับหูของท่าน ซึ่งเป็นหูทางฝ่ายเนื้อหนัง ฝ่ายร่างกาย หูวิญญาณท่านเปิดแล้ว ท่านเข้าใจแล้ว แต่หูข้างนอก มันไม่คุ้น เราก็เลยต้องมาทำความคุ้นเคย ซึ่งถ้าเราได้เข้าใจในความหมายเล่านี้ เวลาอ่านพระคัมภีร์เราจะเข้าใจได้ง่ายขึ้น มากขึ้น เร็วขึ้น อย่างที่ผมย้ำอยู่เสมอว่าพระคัมภีร์ทั้งเล่ม เป็นเรื่องเกี่ยวกับโลกวิญญาณทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นคำสอนในพระคัมภีร์ เป็นอุปมา ตัวอย่าง คำเปรียบเทียบ หรือแม้แต่เป็นนิทาน หรือเรื่องเล่า หรือประวัติศาสตร์ที่บันทึกไว้ในพระคัมภีร์ทั้งหมด ล้วนเล็งถึงสิ่งที่เกิดขึ้นและเป็นอยู่ในโลกวิญญาณทั้งนั้นเลย

ยกตัวอย่าง เช่นถ้อยคำที่บอกว่าในพระคัมภีร์เขียนว่า “เราได้ตายแล้ว และบังเกิดใหม่แล้ว” แค่นี้ ถ้าเราไม่ได้คิดถึงโลกวิญญาณ เราไม่เข้าใจเลย แต่ตอนนี้เราเข้าใจแล้ว วิญญาณเราได้ตายไปแล้ว เราได้เกิดใหม่แล้ว คือเราเกิดในวิญญาณ

ผมก็เลยพยายามรวบรวมถ้อยคำ คำศัพท์ต่างๆ ที่ปรากฏในพระคัมภีร์นี้ เท่าที่ทำได้ เป็นคำศัพท์ที่กล่าวถึงอาณาจักรแห่งความสว่างและอาณาจักรแห่งความมืด ที่เรากำลังเรียนอยู่นี้

เอเฟซัส 4:2-6 “4 แต่เนื่องด้วยความรักใหญ่หลวงที่ทรงมีต่อเรา พระเจ้าผู้เปี่ยมด้วยพระเมตตาอันอุดม 5 จึงทรงให้เรามีชีวิตอยู่กับพระคริสต์ แม้เมื่อเราได้ตายแล้วในบาป คือท่านทั้งหลายได้รับความรอดโดยพระคุณ 6 และพระองค์ทรงให้เราเป็นขึ้นมากับพระคริสต์ และในพระเยซูคริสต์  พระเจ้าทรงให้เรานั่งในสวรรคสถานกับพระคริสต์

 

คำเหล่านี้เกี่ยวข้องกับอาณาจักรแห่งความสว่างในโลกวิญญาณ ท่านต้องเข้าใจในโลกวิญญาณอย่างเดียวเท่านั้น ไม่อย่างนั้นท่านจะไม่รู้เรื่องเลยว่ามันแปลว่าอะไร?  พอท่านเข้าใจในโลกฝ่ายวิญญาณว่าที่ขีดไว้นั้นหมายถึงอะไร? ….

“มีชีวิตอยู่กับพระคริสต์” ก็คือมีชีวิตเหมือนพระเจ้า “อยู่กับพระคริสต์” ก็คืออยู่กับพระคริสต์

“รอดโดยพระคุณ” ก็คือไม่ต้องทำอะไร? รอด ก็คือรอดจากความมืดมาสู่ความสว่าง รอดโดยพระคุณ คือ …

“ฉันไม่ได้ทำอะไรเลย ฉันเลือกเอา แล้วพระเจ้าช่วยให้ฉันรอด”

“ให้เราเป็นขึ้นมากับพระคริสต์” ท่านรู้แล้วว่าความหมายคำนี้จะเปลี่ยนไป แต่คำว่า “เป็นขึ้นมา” คือ …

“ตอนที่ฉันอยู่ในความมืด ก็แสดงว่าฉันตายอยู่ ตอนนี้ผ่านทางพระเยซู พระเจ้าทำให้ฉันเป็นขึ้นมาใหม่กับพระเยซูคริสต์ มาอยู่ในความสว่าง”

“ในพระเยซูคริสต์” แปลว่าฉันนั่งอยู่ในที่เดียวกันกับพระเยซู

“นั่งในสวรรค์สถานกับพระคริสต์” ฉันนั่งอยู่ในพระคริสต์ ฉันได้นั่งอยู่ในสวรรค์สถานเดี๋ยวนี้ พระคัมภีร์บอกว่ามันเกิดขึ้นแล้ว เดี๋ยวนี้ และอยู่ต่อไปเรื่อยๆ ตลอดไป

ถ้าท่านมองไปในโลกวิญญาณ ไม่ศึกษาทางวิญญาณ ไม่เข้าใจเลย โลกมันซ้อนกันอยู่ โลกวิญญาณซ้อนกันอยู่ แม้กระทั่งตอนนี้ฉันเดินอยู่ในห้องใต้ดิน ซึ่งปิดไฟมืดสนิท ฉันก็อยู่ในอาณาจักรของความสว่าง แม้ว่าคนที่ยังไม่ได้ใช้สิทธิ์ของเขาในพระเยซูคริสต์ เขาจะเดินอยู่ตอนเที่ยงวัน แดดจ้า ร้อนมาก เขาก็กำลังเดินอยู่ในความมืด ท่านเห็นแล้ว

โรม 14:17 “เพราะอาณาจักรของพระเจ้า ไม่ใช่เรื่องของการกินการดื่ม แต่เป็นความชอบธรรม  สันติสุข และความชื่นชมยินดีในพระวิญญาณบริสุทธิ์

 

“อาณาจักรของพระเจ้า” ก็คืออาณาจักรแห่งความสว่าง ที่มีพระคริสต์เป็นหัวหน้าอยู่

“ความชอบธรรม” แปลว่าไม่ผิด ไม่บาป ถูกต้อง ทำอะไรก็ถูกหมด ดีหมด คนดี ดีงามเหมือนพระเจ้าเลย  อยู่ตรงนี้ แล้วมันก็มีสันติสุข

“สันติสุข” คือความสงบสุข ไม่กลัวโดนลงโทษ ไม่เหมือนกับคนที่อยู่ตรงนี้ (เก้าอี้ที่มีผ้าดำ) มีข้อกล่าวหา เป็นนักโทษ ผิดหมด ถูกลงโทษ แต่อันนี้ถูกหมด ไม่ถูกลงโทษ สันติสุข แปลว่าอย่างนี้

“ความชื่นชมยินดีในพระวิญญาณบริสุทธิ์” พระวิญญาณบริสุทธิ์ ก็คือพระวิญญาณของพระเจ้า  (เก้าอี้ที่มีผ้าขาว) เรานั่งอยู่ที่นี่  เรามีความแฮปปี้ ยินดี มีความสุข ชีวิตคริสเตียน คือชีวิตที่มีความสุขที่สุดในโลก (ทั้งโลกวิญญาณและโลกวัตถุ) ถ้าเข้าใจสิ่งนี้ มันหลุดเลย มันจึงเป็นไทจริงๆ

โรม 5:1-2 “1 เหตุฉะนั้น เมื่อเราได้ถูกนับเป็นผู้ชอบธรรมโดยความเชื่อแล้ว เราจึงมีสันติสุขกับพระเจ้า โดยทางองค์พระเยซูคริสต์เจ้าของเรา 2 โดยทางพระองค์ เราจึงได้เข้าในร่มพระคุณที่เรายืนอยู่นี้ ด้วยความเชื่อ และเราจึงชื่นชมยินดีในความหวัง ที่จะได้มีส่วนในพระเกียรติสิริของพระเจ้า”

 

“ผู้ชอบธรรมโดยความเชื่อ” พอพูดผู้ชอบธรรมปุ๊บ  ท่านรู้ อยู่ในอาณาจักรแห่งความสว่าง  อยู่กับพระเจ้าผู้ชอบธรรม ไม่ได้โดนลงโทษอีกต่อไป ไม่ใช่เป็นนักโทษ ผู้ชอบธรรมโดยความเชื่อ แสดงว่าฉันไม่ได้ทำเอง พระเยซูทำให้

“ร่มพระคุณ” แปลว่าฉันเข้ามาอยู่ในพระคุณ ฉันเลือกที่จะเข้ามาอยู่ในร่มพระคุณ ปกคลุมด้วยพระคุณ พระเจ้าทำให้ฉัน และฉันใช้สิทธิ์นี้ ถ้าฉันไม่ใช้สิทธิ ฉันไม่ได้อยู่ในร่มของพระคุณ พระเจ้าทำให้กับฉันฟรีๆ ฉันรอดแล้วในพระคริสต์ เหมือนร่มอันหนึ่งที่กางออกมาแล้ว ถ้าฉันไม่เข้าไปในร่มนี้  ฉันก็ไม่ได้อยู่ในร่มพระคุณ ฉันจะอยู่ในร่มพระคุณ เพราะฉันยอม ที่จะรับว่ามันเป็นจริง และเชื่อ ฉันขอเข้าไปอยู่ในร่มด้วยคน เหมือนฝนตก แล้วคนถือร่มมา ถ้าท่านไม่ไป ขอเข้าไปด้วยคน ท่านก็เปียกฝน ในขณะเดียวกัน ตรงนี้ก็เหมือนกัน พระเจ้ากางร่มให้ท่านแล้ว แล้วบอกมาสิ เข้ามาสิ เข้ามาในแสงสว่าง เข้ามาในความรอดในพระเยซูคริสต์สิ ท่านมีหน้าที่เชื่อ และเอาๆ ขอร่มด้วยคน แล้วท่านก็เข้ามาอยู่ในร่มพระคุณ แค่นี้เอง ไม่ต้องเสียอะไรเลย ถือร่มไว้แล้ว ร่มนี้ ชื่อร่มพระเยซูคริสต์

“พระคุณ” แปลว่าไม่ได้จ่ายตังค์ ไม่มีอะไรเลย  และไม่มีใครสามารถผลักท่านเข้าไปได้ด้วยไม่มีใครสามารถลากเข้าไปได้ ท่านต้องตัดสินใจด้วยตัวท่านเองว่าท่านจะเข้าไปอยู่ในร่มนี้ หรือไม่? หรือจะยืนตากฝน ตากแดดอยู่ต่อไป พระเจ้าให้คนเชิญท่านได้ คือประกาศข่าวดีให้กับท่าน แต่ท่านต้องเป็นคนตัดสินเองว่าจะเข้ามาในร่มหรือไม่? คุณพ่อคุณแม่ คนที่มีพระคุณ ศิษยาภิบาลใหญ่ๆ ศิษยาภิบาลที่ดังๆ นักประกาศ ก็ไม่สามารถ นี่ตามหลักพระคัมภีร์นะ พระเจ้าสามารถทำทุกสิ่งได้ ยกเว้นอย่างเดียว คือบังคับให้คุณเข้ามาอยู่ในนี้ ทำไม่ได้ นอกจากเชื้อเชิญ เคาะประตูแล้ว เคาะประตูอีก ง้อคุณแล้ว ง้อคุณอีก เอาข่าวประเสริฐให้คุณฟังตั้งหลายครั้งแล้ว ตั้งกี่ปี คุณก็ไม่เชื่อ แถมไล่พระเจ้าออกไป ไล่พระเยซูไปอีก ไม่สนใจอะไรเลย  พระองค์ไม่เคยงอน ไม่เคยโกรธ ไม่เคยรู้สึกน้อยใจเลย จะตามคุณไปเรื่อยๆ เพราะรู้ว่าคุณไม่เข้าใจ

พระเจ้าทำได้แค่นั้น ผ่านทางทุกเหตุการณ์บนโลกใบนี้ ผ่านทางมนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้ แม้กระทั่ง สัตว์ป่า สัตว์ใช้งาน หรือต้นไม้ เรียกผ่านทางสิ่งเหล่านั้นทั้งหมด เพื่อให้มนุษย์ที่ยังไม่รู้จักพระองค์ได้เข้ามาในร่มพระคุณนี้

พระเกียรติสิริ คือพระลักษณะของพระเจ้า ถ้าผมจะแปลเป็นยกตัวอย่างง่ายๆ แบบไทยๆ แบบมนุษย์ธรรมดา จะแปลได้อย่างนี้ว่าลูกของผม โต๋เต๋เขาก็มีสิริของผม อยู่ในตัวเขา ลูกของท่านก็มีสิริของพ่อแม่อยู่ในตัวเขา เข้าใจไหม? สิริ ก็คือตัวตนของผู้ที่ให้กำเนิด เพราะฉะนั้น ในนี้บอกว่าท่านอยู่ในพระเกียรติสิริของพระเจ้า คือท่านเข้าไปมีส่วนในพระลักษณะของพระเจ้า DNA ทางฝ่ายวิญญาณ ท่านมีส่วนอยู่ในนั้น เหมือนลูกผมมี DNA ของผมกับแม่อยู่ในตัวของเขา เหมือนลูกของท่านมี DNA ของท่านและคู่ครองของท่านอยู่ในตัวเขา เราพอเข้ามาเชื่อพระเจ้าแล้ว รับสิทธิ เราอยู่ในพระคริสต์ เป็นลูกพระเจ้าแล้ว ในโลกวิญญาณนะ เรามีส่วนเข้าไปอยู่ใน DNA ทางโลกวิญญาณ ที่เรียกว่าพระเจ้า ซึ่งภาษาพระคัมภีร์ใช้คำว่า “พระสิริ” หรือ “พระเกียรติสิริ” หรือ Glory of God ความสง่างาม ความยิ่งใหญ่ ความเป็นพระเจ้าของพระองค์ เรามีส่วนเข้าไปอยู่ในนั้นทันที

เพราะฉะนั้น เมื่อได้ร่มพระคุณแล้ว  เข้ามาอยู่ในร่มพระคุณแล้ว ด้วยความเชื่อ เราจึงชื่นชมยินดีและมีความหวังที่ได้มีส่วนอยู่ในพระสิริของพระเจ้าแล้ว เพียงแต่ตอนนี้ติดอยู่ในร่างกายนี้ชั่วคราวเท่านั้นเอง แป๊บเดียว เดี๋ยวมันก็หมดไปแล้ว อีกไม่กี่สิบปี

โคโลสี 1:22  “บัดนี้ ทรงให้ท่านคืนดีกับพระเจ้า โดยการสิ้นพระชนม์ของพระคริสต์ เพื่อถวายท่านให้เป็นผู้บริสุทธิ์ ปราศจากตำหนิ และพ้นจากข้อกล่าวหา ต่อหน้าพระองค์”

 

“คืนดีกับพระเจ้า” ก็แสดงว่าตอนที่เราอยู่ที่นี่ (เก้าอี้ผ้าดำ) ตรงกันข้ามกับคืนดี ก็เป็นศัตรูกับพระเจ้า เข้ากันไม่ได้ เราเป็นเหมือนน้ำกับน้ำมัน น้ำกับไฟ เจอกันไม่ได้เลย  มีเรื่อง อย่ามายุ่งกันดีกว่า พระเจ้าบริสุทธิ์ แต่เรานั้นสกปรก บาป แต่ตอนนี้ เราได้คืนดีกับพระเจ้าแล้ว มีส่วนเข้าไปในพระสิริของพระองค์

“ผู้บริสุทธิ์  ปราศจากตำหนิ”  คืนดีกับพระเจ้า  มาเป็นเหมือนพระองค์ เพราะฉะนั้น เราจึงบริสุทธิ์ ไม่เป็นบาป ไม่สกปรกอีกต่อไป ปราศจากตำหนิ คือไม่มีจุดด่างดำ แม้แต่นิดเดียว

ในพระคัมภีร์เขียนบอก เป็นเดี๋ยวนี้ ทันทีเลย  ไม่ต้องรอตาย  ยังอยู่ในเนื้อหนัง ร่างกายนี้อยู่ ก็เป็นตามนี้แล้ว เป็นผู้บริสุทธิ์ ปราศจากตำหนิ

“พ้นจากข้อกล่าวหา”  คือพ้นจากการเป็นนักโทษ ไม่ต้องใช้เวร ใช้กรรมแล้ว ขอบคุณพระเจ้า ฉันไม่ต้องทำอะไร? พระเยซูทำให้หมดแล้ว ทำเมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว และผลเกิดเดี๋ยวนี้แล้ว ไม่ต้องรอตาย คริสเตียนจึงไม่ควรที่จะมีทุกข์เลย ต้องมีน้อย ข้างในใจต้องมีการชื่นชมยินดีมากที่สุด ยิ่งถ้าเราได้รับรู้ทางโลกวิญญาณอย่างนี้มาก มันก็จะเกิดความชื่นชมยินดีในวิญญาณเรามาก ขนาดตามที่เรารู้ … รู้มาก ก็สันติสุขมาก รู้น้อย ก็สันติสุขน้อย รู้น้อย ก็กลัวมาก รู้มาก ก็กลัวน้อย

ยอห์น 17:3 “นี่แหละ คือชีวิตนิรันดร์ คือที่เขารู้จักพระองค์ ผู้ทรงเป็นพระเจ้าเที่ยงแท้ แต่องค์เดียว และรู้จักพระเยซูคริสต์ ผู้ซึ่งพระองค์ทรงส่งมา”

 

พระเยซู พระเจ้าส่งมา เห็นไหม?

“ชีวิตนิรันดร์” แปลว่าอยู่ในแสงสว่าง ชีวิตที่เหมือนพระเจ้า ชีวิตที่มีพระเกียรติสิริของพระเจ้า … พระเจ้าอยู่ในตัวเรา ชีวิตที่บริสุทธิ์ สะอาด ปราศจากตำหนิ ชีวิตที่สง่างาม ชีวิตที่เต็มไปด้วยฤทธานุภาพยิ่งใหญ่สูงสุด ชีวิตที่ชอบธรรม ที่เราว่ามาตั้งแต่ต้นทั้งหมด เรานั่งอยู่นี่ เรามีชีวิตนิรันดร์ มิได้หมายถึงว่าเรามาเชื่อพระเจ้า แล้วเรามีชีวิตตลอดไป ต่อให้เรามีชีวิตในความมืด เราก็มีชีวิตตลอดไป เพียงแต่เราอยู่ในความมืดตลอดไป  โลกวิญญาณเป็นอย่างนี้

สรุปแล้ว เราได้คำอะไรบ้างที่พระคัมภีร์อธิบาย เวลากล่าวถึงอาณาจักรแห่งความสว่าง

–  อาณาจักรสวรรค์ / อาณาจักรของพระเจ้า  / อาณาจักรของพระคริสต์

–  ในพระคริสต์  /   พระเกียรติสิริ  /  สง่าราศี  /   ความสว่าง

–  เป็นขึ้นมาใหม่  /  มีชีวิต  /  ชีวิตนิรันดร์

–  ความชอบธรรม  /  เป็นผู้ชอบธรรม  /   พระคุณ  /  ความรัก

–  บริสุทธิ์เหมือนพระเจ้า /  ลูกของพระเจ้า /  คืนดีกับพระเจ้า  /   ติดต่อกับพระเจ้าได้

นี่คือคำศัพท์ที่พูดถึงลักษณะสภาพของคนที่อยู่ในโลกวิญญาณ ที่เรียกว่าอาณาจักรของความสว่างของพระคริสต์

คราวนี้ มาดูอีกฝั่งหนึ่ง แน่นอนฝั่งอาณาจักรของความมืด ดูว่าพระคัมภีร์มักใช้คำอะไร? ที่พูดถึงสภาพของอาณาจักรแห่งความมืดในโลกวิญญาณบ้าง?

โคโลสี 1:21 “ครั้งหนึ่ง พวกท่านเคยแยกขาดจากพระเจ้า และเป็นศัตรูกับพระองค์อยู่ในใจ เพราะพฤติการณ์ชั่วของท่าน”

 

“แยกขาดจากพระเจ้า” ตอนที่ฉันยังไม่รับเชื่อ ไม่ได้ใช้สิทธิของฉันในพระเยซูคริสต์ ฉันนั่งอยู่กับอาดัมกับมาร ในอาณาจักรแห่งความมืด ฉันอยู่ในอาดัม โดยการควบคุมของมาร อยู่ในอาณาจักรที่เรียกว่าความมืด ตอนนั้นฉันขาดจากพระเจ้า ติดต่อกันไม่ได้ เป็นศัตรูกัน ต้านกันอยู่ เป็นน้ำกับน้ำมัน เป็นไฟกับน้ำ เป็นอะไรที่อยู่ตรงกันข้าม เป็นบวกกับเป็นลบ

“เป็นศัตรูกับพระเจ้า” ตอนที่ฉันอยู่ในอาณาจักรของความมืด ฉันเป็นศัตรูกับพระเจ้า ฉันยังไม่ได้คืนดีกับพระเจ้า ฉันยังต่อต้าน สู้ตลอดเวลา  มีคนมาประกาศข่าวดีเรื่องพระเยซูคริสต์ให้ฉัน ฉันอาจจะยิ้มรับๆ แต่ในใจฉันต่อต้าน ฉันรับไม่ได้เลย พูดเรื่องพระเยซู ฉันทรมานใจมากเลย ทั้งๆ ที่ฉันไม่รู้ว่าทำไม? เคยรู้สึกไหม? พูดเรื่องอะไรก็ได้ ในเรื่องเกี่ยวกับโลกวิญญาณ ฉันไม่รำคาญเลย แต่พอพูดเรื่องพระเยซู ฉันรำคาญมากเลย  เมื่อไรจะพูดเสร็จสักที ทั้งๆ ทีเขาก็พูดไปนิดเดียว แต่พอพูดเรื่องอื่น ฉันอยากฟังมากเลย ไม่แปลก เพราะว่าพระคัมภีร์บอกไว้แล้ว

เพราะตอนนั้น ฉันเป็นศัตรูกับพระเจ้า ผู้เป็นเจ้าของความสว่าง รับไม่ได้เลย ฉันไม่รู้ตัวหรอก  แม้บางครั้ง ฉันจะไปโบสถ์คริสเตียน ตามคำเชิญของคนที่รักกันทางมนุษย์ ยกตัวอย่าง อาจจะเป็นพ่อฉัน แม่ฉัน เป็นญาติพี่น้องที่เคารพกัน  เชิญฉันไปงานคริสตมาส แล้วฉันก็ไป ดูเหมือนท่าทางข้างนอกดีหมดเลย มีมารยาทที่ดีมากเลย แล้วบางครั้ง ฉันไปทำอะไรพิเศษให้เขา ผมก็เหมือนรับตามมารยาท ผมก็ไปร้องเพลงพิเศษในวันคริสตมาส ผมก็ร้องไปอย่างนั้น แต่ในใจผมไม่ชอบ ไม่มีเหตุผล คิดย้อนกลับมา เดี๋ยวนี้ ถามตัวเองว่าไม่ชอบพระเยซูเหรอ ไม่รู้สิ คำนี้มาไม่ชอบ ผมเป็นอย่างนั้นนะ เคยคุยกับหลายๆ ท่าน เป็นอย่างนั้นจริงๆ  เพราะว่าผมเป็นศัตรู

ที่กำลังพูดนี้ เรากำลังพูดศัพท์เหล่านี้  เป็นศัพท์ทางฝ่ายวิญญาณ ที่พูดมาทั้งหมดนี้ เป็นเรื่องเกี่ยวกับโลกวิญญาณทั้งหมด เพราะฉะนั้น ผมเป็นศัตรูกับพระองค์ทางวิญญาณ ทางข้างนอก ไม่มีอะไรกันเลย  เขาไม่ได้ทำอะไรผม ช่วยผมด้วยซ้ำไป สมมตินะ ให้เรียนภาษาอังกฤษฟรีด้วย  เลี้ยงข้าวคริสตมาส ก็ฟรีด้วย ผมเอาแต่สิ่งที่ฟรีๆ เหล่านั้น แต่สิ่งที่ฟรีในโลกวิญญาณผมไม่เอา เพราะในวิญญาณผมยังเป็นศัตรูกับพระองค์อยู่แค่นี้เอง

มัทธิว 12:25-26  “25 พระเยซูทรงตรัสว่า “ทุกๆ อาณาจักรที่แตกแยกกันเอง ย่อมถูกทำลาย และทุกๆ บ้านเมืองหรือครัวเรือนที่แตกแยกกันเอง ย่อมตั้งอยู่ไม่ได้ 26 หากซาตานขับไล่ซาตาน มันก็แตกแยกกับตัวเอง แล้วอาณาจักรของมัน (ซาตาน) จะตั้งอยู่ได้อย่างไร”

 

“อาณาจักรที่แตกแยก” อาณาจักรแห่งความมืดที่กำลังพูดถึงนี้ ไม่มีแตกแยกเลย มันมืดสนิท อยู่ใต้การควบคุมของมาร เช่นเดียวกัน ในอาณาจักรแห่งความสว่าง สว่างจ้าเลย  ไม่มีการแตกแยกกัน ทั้งหมด เป็นหนึ่งเดียวกัน พระเจ้าพระบิดา พระเจ้าพระบุตรพระเยซู พระเจ้าพระวิญญาณบริสุทธิ์ และเหล่าผู้เชื่อทั้งหมด ผู้ที่ใช้สิทธิของเขา ที่พระเยซูคริสต์ไถ่เขาแล้ว เขาเป็นหนึ่งเดียวกับพระองค์ รวมทั้งทูตสวรรค์อีกทั้งกอง เยอะแยะมากมาย เป็นหนึ่งเดียวกัน ไม่มีใครต่อต้านกันเลย ในทำนองเดียวกัน ทางนี้ก็มืดสนิท แย้งกัน

“อาณาจักรของมัน (ซาตาน)” นี่เป็นคำพูดพระเยซูนะ ก็แสดงว่าอาณาจักรของซาตาน หรืออาณาจักรมารตรงนี้ มีจริงๆ ในโลกวิญญาณ ตอนนี้เรากำลังพูดถึงศัพท์ที่ใช้ในพระคัมภีร์ไบเบิ้ลที่พูดถึงสภาพของอาณาจักรของความมืดในโลกวิญญาณ

โรม 3:23  “เพราะว่าทุกคนเป็นคนบาป และเสื่อมจากพระเกียรติสิริของพระเจ้า”

 

“คนบาป” เรากำลังพูดถึงฝั่งความมืด เพราะว่าทุกคนเป็นคนบาป … บาป ภาษาเดิม ภาษาฮีบรู แปลเป็นภาษากรีก “Miss the target” แปลเป็นภาษาไทยว่า “ไม่ตรงตามเป้าหมาย” ไม่เป็นไปตามความตั้งใจ ก็คือผู้ที่ให้กำเนิดเรา  ก็คือพระเจ้า เราบาป ก็คือเราไม่เป็นไปตามคาดหมายของพระเจ้า พระเจ้าตั้งใจให้เราอยู่กับพระองค์ เราจะหนีพระองค์ไป เราไปอยู่กับมารซะ อะไรอย่างนี้

“เสื่อมจากพระเกียรติสิริ” คือพระเกียรติสิริหายไป DNA. ที่เป็นของพระเจ้าเสียหายไป กลายเป็นมะเร็งทางวิญญาณ กลายเป็นมะเร็งใน DNA.  … DNA. ที่บริสุทธิ์สะอาดเหมือนพระเจ้า มันกลายเป็นเชื้อบาปเข้ามา เมื่อมารเข้ามาปุ๊บ ความมืดทางวิญญาณเข้ามาปุ๊บ DNA. ทางวิญญาณกลายเป็นมะเร็ง กลายพันธุ์ไป ก็แค่นั้น ทั้งหมดที่กำลังพูดตอนนี้ เกี่ยวกับโลกวิญญาณทั้งสิ้น

พระเจ้าบอกว่าเมื่อพระวิญญาณบริสุทธิ์ลงมาสถิตอยู่กับมนุษย์เมื่อไร?  เมื่อพระเยซูตายที่ไม้กางเขน และเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่ 3 เมื่อ 2,000 ปีก่อน พระเจ้าตรัสไว้ล่วงหน้า เป็นพันๆ ปีมาแล้วว่าเมื่อนั้น มนุษย์ทุกคนไม่มีใครมาสอนใครแล้ว ให้รู้จักกับพระเจ้า แต่เขาจะรู้จักเราด้วย ตัวเขาเอง เราจะไปสอนเขาเอง เราจะไปอยู่กับเขา  แค่เริ่มต้นใช้สิทธิของเขาเท่านั้นเอง เพราะฉะนั้น มนุษย์ทุกคนมีหน้าที่ไม่ใช่ให้รู้จักพระเจ้าหรอก หน้าที่ของเรา คือประกาศข่าวดีเท่านั้นเอง พอประกาศข่าวดีแล้ว ไม่ต้องทำอะไรแล้ว เดี๋ยวพระเจ้าสอนเขาเอง พาเขาไปเอง เอเมน

ยากอบ 1:15 “หลังจากมีตัณหาแล้ว ก็ก่อให้เกิดบาป และเมื่อบาปโตเต็มที่ ก็ก่อให้เกิดความตาย

 

“ความบาป” ตรงกันข้ามกับความชอบธรรม ในความมืดเขาเรียกว่าบาป เพราะฉะนั้นตรงกันข้าม เขาเรียกในทางแสงสว่าง เรียกว่าความชอบธรรม ถ้าเรายังไม่ย้ายไป  เรายังไม่รับเชื่อพระเยซู เราเป็นคนบาป ถ้าเราย้ายไป เราเป็นคนชอบธรรม

“ความตาย” ความตายอยู่ในอาณาจักรของความมืด อยู่กับมาร ถ้าตรงกันข้ามเรารับเชื่อพระเยซู มาอยู่แสงสว่าง ตรงกันข้ามกับความตาย เรียกว่ามีชีวิต และมีชีวิตที่เหมือนพระเจ้า เรียกว่ามีชีวิตนิรันดร์ ความตาย คือถูกตัดขาดออกจากพระเจ้า

ยอห์น 3:36 “ผู้ใดที่เชื่อในพระบุตร ก็มีชีวิตนิรันดร์ แต่ผู้ใดที่ไม่ยอมรับพระบุตร ก็จะไม่ได้เห็นชีวิต (ตายนิรันดร์) เพราะพระพิโรธของพระเจ้ายังอยู่กับเขา”

 

“ไม่ได้เห็นชีวิต (ตายนิรันดร์)” คำว่า “นิรันดร์” ตรงนี้ ตายนิรันดร์จริงๆ ไม่ได้เห็นชีวิตเลย  ไม่ได้เห็นพระเจ้าเลย  เห็นแต่มาร

“พระพิโรธของพระเจ้า” ตรงกันข้ามกับพระพิโรธของพระเจ้า เรียกว่า “ร่มพระคุณ” ในพระคัมภีร์บอก พระเจ้าของเรา เป็นพระเจ้าแห่งความรัก  พระองค์ไม่เคยโกรธใครเลย พระพิโรธตรงนี้หมายถึงอยู่ตรงข้ามกัน ต่อต้านกัน เป็นศัตรูกัน ถ้าทำอะไรผิด ตายเลย ตายเพราะว่าเข้ากันไม่ได้ ไม่ใช่ตาย เพราะว่าพระเจ้ามาฆ่าเรา มันเหมือนไฟช๊อตเรา ไฟฟ้าพลังมหาศาล เราไปจับก็ตาย  ไฟฟ้าโกรธเรามากเหรอ เมื่อวานนี้ มีช่างไฟฟ้าทำงาน แล้วก็เอาบันไดเหล็กไปพาดไฟฟ้าแรงสูง ไฟฟ้ามันโกรธมากเลย ฆ่าคนนั้นตายเลย ไม่ใช่ ไฟฟ้าต่อต้านกับคน แต่คนรับพลังงานไฟฟ้านั้นไม่ได้ พอไฟฟ้าวิ่งผ่านเราลงดิน เราตายเลย เพราะฉะนั้น เราต้องมีฉนวน ไม่ให้ไฟฟ้าผ่านตัวเรา ให้มันลงดินไปก่อน มีประจุไฟฟ้า

ในทางพระเจ้า ไม่ใช่พระเจ้าโกรธเรามาก พระเจ้าอยากจะเจอกันจริงๆ อยากจะกอดเรา กอดไม่ได้ กอดไป เราตาย  เพราะเราไม่มีแรงต้านทานความยิ่งใหญ่  ความบริสุทธิ์ของพระเจ้า  เราเป็นมนุษย์สกปรก โสโครก เต็มไปด้วยความบาป  ถ้าแตะเรา เราตายเลย แล้วต้องทำอย่างไร? รักษาเราให้หายก่อน แล้วเรามากอดทีหลัง รักษาอย่างไร? คิดเองอย่างนี้นะ พระองค์ก็สร้างวัคซีนหนึ่ง ชื่อวัคซีนว่าโลหิตพระเยซูคริสต์  สามารถที่จะรักษาเราหายจากบาปได้ พอเราหายแล้ว เราก็มีภูมิต้านทาน เราก็ไปอยู่กับพระเจ้า กอดได้เหมือนเดิม นี่คือร่มพระคุณ เพราะฉะนั้น ท่านจะเข้าใจ พระเจ้าเสียที

โรม 2:12 “คนทั้งปวงที่ไม่มีบทบัญญัติ และได้ทำบาปจะพินาศ โดยไม่ต้องอ้างถึงบทบัญญัติ และคนทั้งปวงที่อยู่ภายใต้บทบัญญัติ และได้ทำบาปจะถูกตัดสินตามบทบัญญัติ”

 

“พินาศ” แปลว่าอยู่ในความมืด  ไม่ได้อยู่กับพระเจ้า นิรันดร์กาล ต้องอยู่ในความทุกข์ทรมานนิรันดร์ อยู่กับมารนิรันดร์ไปเลย แม้ร่างกายจะตายไปแล้ว วิญญาณก็อยู่ในความมืดนี้ตลอดไป

ข้อนี้บอกว่าทั้งคนที่พยายามปฏิบัติตามบัญญัติที่พระเจ้าวางไว้ สมัยโมเสส และคนที่ไม่ปฏิบัติ ถือว่าฉันไม่ได้เป็นยิว ฉันไม่ต้องทำก็ได้ ไม่ว่าจะปฏิบัติหรือไม่ปฏิบัติ ไม่ว่าจะทำได้มากขนาดไหน? ล้วนต้องอยู่ในความพินาศทั้งสิ้น เพราะว่าจะย้ายไปอยู่กับพระเจ้าได้ มีทางเดียวเท่านั้น ไม่ใช่ด้วยตัวเราเอง ไม่ใช่รักษาธรรมบัญญัติ ไม่ใช่รักษาความดีงาม ผมไม่ได้พูดว่าเราไม่ควรทำความดีนะ แต่ไม่ใช่การรักษาความดี ทำให้เรารอด แต่เรารอด เพื่อเราจะไปรักษาความดีทีหลัง เข้าใจใช่ไหมครับ? ท่านไม่สามารถที่จะทำด้วยตัวเอง แล้วบริสุทธิ์สะอาด ไปอยู่กับพระเจ้าได้ ไม่มีทางหรอก ทำให้ตาย ท่านก็ยังมืดอยู่ดี มันแปลว่าอย่างนั้น ไม่ว่าท่านจะบอกว่าบัญญัติไม่สำคัญ หรือท่านจะบอกว่าบัญญัติสำคัญมากเลย คนเราต้องเข้มงวดเรื่องศีลธรรมมากเลย  ไม่ว่าจะ 2 อย่างนี้ ท่านก็อยู่ในความมืดอยู่ดี ไม่มีทางไปฝั่งโน้นได้เลย ไม่มีวันไปแสงสว่างได้เลย  เพราะแสงสว่างนั้น มาได้โดยทางร่มพระคุณเท่านั้น คือพระเจ้าให้ฟรีๆ เพราะรู้ว่าเราทำไม่ได้ ท่านลองคิดง่ายๆ มีมนุษย์คนไหน? ที่ทำได้ครบถ้วนบริบูรณ์ และไม่เคยทำบาปเลย เป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว และโลกวิญญาณ เราก็รู้เป็นเรื่องจริงว่าเราบาป ไม่ใช่เพราะตัวเรา เราบาป เพราะเราอยู่ในอาดัม และอาดัมมอบเราให้กับมาร มอบเราให้กับบาป เอาเชื้อบาปเข้ามา เราน่าสงสารมาก เราไม่ได้ทำอะไรเลย  เราเกิดมา เราก็บาปแล้ว บาปใน DNA. วิญญาณของเราบาป เพราะเราอยู่กับอาดัม ถูกไหม?

เพราะฉะนั้น เราไม่มีทางช่วยตัวเอง จนกระทั่งเราบริสุทธิ์ไปอยู่กับพระเจ้า ไม่มีทางเลย นอกจากคนที่มีความสามารถมาช่วยเรา พระเจ้าจึงส่งพระเยซูคริสต์ พระบุตรของพระองค์ มาเกิดเป็นมนุษย์ ถามว่าทำไมมาเกิดเป็นมนุษย์ เพื่อมาเป็นตัวแทนของมนุษย์ไง เพราะผมเป็นมนุษย์ พระเยซูก็เป็นมนุษย์ ตอนที่ผมอยู่ในอาณาจักรแห่งความมืด ผมอยู่ในมนุษย์คนแรก บรรพบุรุษของเรา ที่ชื่ออาดัม เราทั้งหลายอยู่ในอาดัม พระคัมภีร์บอกเราเกิดมาก็อยู่ในอาดัมแล้ว ก่อนเราเกิด เราก็อยู่ในอาดัม พระเจ้าโปรแกรมไว้เรียบร้อยแล้วว่าเราจะเกิดมาบนโลกใบนี้  โดยมีอาดัมเป็นแม่พิมพ์ของเรา  เหมือนพระเจ้า เหมือนเขาจะสร้างรถแสนคัน แต่ตอนนี้ ทำแม่พิมพ์ออกมาคันหนึ่งแล้ว แต่อีก 99,999 คันยังไม่ได้ทำ ถามว่าคันที่ 1,000 อยู่ที่ไหน? อยู่ที่แม่พิมพ์อันนี้ เพราะในที่สุดสั่งพิมพ์ไป เดี๋ยวมันก็ออกมา พอเข้าใจใช่ไหมครับ ก็เหมือนกันถ่ายเอกสาร 1 แสนชิ้น ชิ้นสุดท้าย มันก็เหมือนกับชิ้นแรก  ชิ้นแรกขีดฆ่าผิดอะไร ชิ้นสุดท้ายก็ผิด แม้ว่าตอนนี้พิมพ์อยู่แค่ 3 แผ่นเอง แต่แผ่นสุดท้าย แผ่นที่แสน มันก็ถูกตั้งโปรแกรมไว้แล้ว เหมือนกัน

เราอยู่ในอาดัม .. อาดัมตกลงไปในความบาป เราก็ตกด้วย  เราเกิดมา ก็อยู่ในอาดัม เพราะว่าเราถูกโปรแกรมอยู่ในอาดัม พระเจ้าจึงส่งพระเยซูคริสต์มาเกิดเป็นมนุษย์ เพื่อมาตั้งอาณาจักรของมนุษย์ใหม่ 1 อันที่เรียกว่าอาณาจักรแห่งความสว่าง พระเยซูเป็นมนุษย์เหมือนอาดัมเลย เหมือนพวกเราเลย แต่ต่างกันอย่างเดียว คือวิญญาณของพระองค์ไม่ได้บาปเหมือนเรา เพราะว่า DNA. ของพระองค์มาจากพระเจ้าโดยตรง แต่พระองค์เกิดเป็นมนุษย์ เพราะฉะนั้น พระองค์มาสถาปนา คืออาณาจักรของความสว่าง เพื่อจะได้อยู่บนโลกนี้ได้ เป็นเผ่าพันธุ์มนุษย์อีกเผ่าพันธุ์หนึ่ง ถ้าไม่มีมนุษย์เราไม่รู้จะไปไหนแล้ว เพราะอยู่เผ่าพันธุ์เดียว คือทุกคนเกิดในอาดัม

แต่ตอนนี้ พระเจ้าส่งพระเยซูคริสต์มาเป็นทางเลือกให้กับเราว่าบนโลกใบนี้ มีมนุษย์พันธุ์ใหม่ พันธุ์สวรรค์ เรียกว่าพระคริสต์ เกิดขึ้นแล้ว 2,000 ปี ผู้ใดได้ยิน เปลี่ยนซะ ย้ายตัวเขาเอง ย้ายสำมะโนครัว จากอาดัมมาอยู่ในพระคริสต์ซะ เขาไม่ต้องอยู่ในอาดัมอีกต่อไป  แต่เขาจะอยู่ในพระคริสต์ และพระคริสต์เป็นแสงสว่าง บาปหมดไป  กลับมาเป็นลูกพระเจ้า คืนดีกับพระเจ้า และจะอยู่กับพระคริสต์ตลอดไป และพระคริสต์ได้รับการสถาปนาจากพระเจ้า  สิทธินี้เป็นของพระเจ้า ทรงประทานให้เป็นของพระคริสต์ ตั้งเหมือนครอบครัวใหม่ เพราะฉะนั้น ท่านเพียงแต่ย้ายสำมะโนครัวแค่นี้เอง ไม่มีอะไรเลย ถ้าท่านไม่ย้าย ก็ไม่มีใครช่วยท่านได้ เพราะท่านเกิดมาอย่างไร? ท่านก็เป็นอย่างนั้น ท่านอยู่ในอาดัม ก็อยู่ในอาดัม ท่านไม่มีทางทำอะไร สั่งสมเท่าไร? ก็ไม่มีทางแก้ DNA. นั้นได้ มีทางเดียวที่พระเจ้าวางไว้ให้ก็คือย้ายซะ ไม่ได้เกี่ยวกับท่านรักษาหรือไม่รักษาบัญญัติ ท่านตั้งใจทำความดีมากน้อยเพียงใด ไม่ใช่ มันเกี่ยวกับท่านรู้ความจริงนี้ไหม? ความจริงทำให้ท่านเป็นไท แค่นี้เอง

แล้วพอท่านมาอยู่ตรงนี้  ท่านจะสามารถรักษาความดีที่ท่านเคยทำตรงนี้ ได้มากกว่าเก่าด้วย มันไม่ครบถ้วนหรอก สมมติท่านทำแต่ความดีตรงนี้ได้ ระดับดี ถ้าท่านรับเชื่อในพระเยซูคริสต์ แล้วก็ย้ายอาณาจักรมาอยู่กับพระคริสต์ ท่านจะได้ B+ ถ้าท่านอยู่ตรงนี้ ได้เกรด D แบบแย่มาก เป็นคนที่ขี้เหล้าเมายา ไม่เอาถ่านเลย นี่พูดถึงวิญญาณนะ  พูดถึงความตั้งใจของมนุษย์ ที่มนุษย์เห็น ท่านมาตรงนี้ ท่านอาจจะได้ C หรือได้ D+ นิดหนึ่ง เพราะท่านตายก่อน ไม่ได้ทำความดีมาก พอย้ายมาแป๊บหนึ่ง ตายแล้ว คนละเรื่องกัน พระเจ้าดูที่วิญญาณเรา ซึ่งเป็นที่จะอยู่ถาวร สิ่งสำคัญกว่า แค่นี้เอง แล้วเราค่อยๆ เรียนรู้กันไปเรื่อยๆ ทีละนิดทีละหน่อยอย่างนี้ อาจจะเหมือนย้ำอยู่กับที่ แต่สิ่งเหล่านี้ มันต้องย้ำอยู่บ่อยๆ ย้ำจนกระทั่งท่านตอบผม แล้วไม่มีใครตอบผิดเลย  ตะโกนมาถูกหมดเลย  มันคล่องปากว่ามันเป็นอย่างนี้ วนอยู่แค่นี้  แล้วท่านไปอ่านพระคัมภีร์ มันก็จะไปอยู่ตรงนั้น แล้วถ้าใครอ่านจากนี้ต่อไป มีคำอะไรที่รู้สึกแปลกๆ ไม่เข้าใจตรงนี้ เขียนมาถามได้ ส่งจดหมายมาถามก็ได้ ส่งจดหมายที่โฮลี่ แล้วผมจะเอามาตอบท่าน ขอพระเจ้าอวยพรครับ

 

**********************

 

 

 

 

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 1 ตุลาคม 2017 เรื่อง “ความจริงจะทำให้ท่านเป็นไท” ตอน 3 “เรื่องจริงแห่งโลกวิญญาณ” โดย นคร เวชสุภาพร

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  1  ตุลาคม  2017

 เรื่อง “ความจริงจะทำให้ท่านเป็นไท”

ตอน 3 “เรื่องจริงแห่งโลกวิญญาณ”

โดย นคร  เวชสุภาพร

 

เรากำลังเรียนรู้และเน้นในซีรี่ย์นี้ เกี่ยวกับโลกวิญญาณ หรือโลกฝ่ายวิญญาณนี้  เราไม่ค่อยได้คุ้นเคยเท่าไร? มันเป็นเรื่องที่สำคัญมากๆ และผมอยากให้ทุกท่านเข้าใจจริงๆ ถ่องแท้ละเอียดลึกซึ้ง ไม่ใช่แค่ฟังผ่านๆ ไปเท่านั้น แต่ให้ตั้งใจจริงๆ เพราะเป็นพื้นฐานของเรื่องของพระเจ้าทั้งหมด และเป็นพื้นฐานของชีวิตของมนุษย์ทั้งสิ้นทุกอย่าง อยากให้ท่านมีความเข้าใจในเรื่องนี้ ชนิดที่เรียกว่าลึกซึ้ง เห็นภาพชัดเจน และมั่นใจ 100% ในความเชื่อว่าโลกวิญญาณ มีอยู่จริงๆ

เพราะฉะนั้น ทุกคำพูด ทุกคำอธิบายจากนี้ต่อไป ต้องใช้คำพูด เหมือนพระเยซูคริสต์ชอบพูดเสมอ เพราะพระเยซูทรงรู้จักโลกฝ่ายวิญญาณทั้งหมดแล้ว พระองค์เป็นพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์ ในร่างกายของท่าน ก็เหมือนมนุษย์คนหนึ่งเดินบนโลกนี้ แต่พระองค์เป็นมนุษย์ที่ไม่บาป วิญญาณมาจากพระเจ้า ใสสะอาดบริสุทธิ์ มองทะลุ เห็นโลกวิญญาณหมดเลย

เพราะฉะนั้น เวลาพระเยซูจะสอนอะไรเกี่ยวกับเรื่องโลกฝ่ายวิญญาณ พระเยซูจึงต้องพูดคำนี้  ภาษาอังกฤษเขาแปลจากภาษาเดิม ใช้คำว่า Behold แปลว่าจงมองให้เห็นเถิด หรือไม่ก็บอกว่าใครมีตา จงให้เห็น ใครมีหูให้ได้ยิน แล้วใครไม่มีล่ะ มีทั้งนั้นแหละ หมายถึงในวิญญาณ จงมองให้เห็นเถิดว่ามันเป็นจริงๆ แต่พระองค์ทรงทราบก่อนล่วงหน้าแล้ว เพียงแต่พูดตรงนี้ เพื่อว่าวันหนึ่งเมื่อพระองค์กระทำงานสำเร็จเรียบร้อยแล้ว พระวิญญาณบริสุทธิ์สามารถลงมาที่มนุษย์ได้แล้ว มนุษย์บังเกิดใหม่แล้ว หลังจากที่พระองค์ทรงตายที่ไม้กางเขน แล้วนั้น มนุษย์จะสามารถเห็นในสิ่งที่พระองค์พูด เข้าใจในสิ่งที่พระองค์พูดว่าจงมองให้เห็นเถิด ในก่อนหน้านี้ เพราะฉะนั้น ผมก็จะขออนุญาตพระเยซู ใช้คำนั้นว่าจงมองให้เห็นเถิด มองทะลุเข้าไปในโลกฝ่ายวิญญาณ

วันนี้กลับไปบ้าน เข้าห้องน้ำ แปรงฟัน มองไปที่กระจก พูดกับตัวเองว่าจงมองให้เห็นเถิด โลกฝ่ายวิญญาณมันมีอยู่จริงๆ แล้วตัวนี้ จะเป็นตัวพื้นฐานในการอ่านพระคัมภีร์ทั้งหมดเลย  เพราะทั้งหมดนั้น เวลาอ่านจะเข้าใจ มันต้องมองให้ทะลุเข้าไปในความหมายทางโลกวิญญาณ ไม่ใช่อ่าน แล้วไปเข้าใจทางโลกวัตถุ ทางปัญญามนุษย์คิด แต่จงมองไปในโลกวิญญาณว่ามันคืออะไรในโลกวิญญาณ เอเมน นี่คือพื้นฐาน แค่นี้ก็จบแล้ว

ผมจะพาท่านย้อนไปพูดตอนที่ 1 อีกนิดหนึ่ง โลกวิญญาณ หรือภาษาอังกฤษ เขาใช้คำว่า “Spirit World” เป็นโลกที่อยู่คู่กันกับโลกวัตถุ ที่เรามองเห็น จับต้องได้ ตรงนี้แหละ พระเยซูจึงบอกว่าสวรรค์อยู่ที่นี่แล้ว เพราะพระวิญญาณบริสุทธิ์อยู่กับเราแล้ว จะมาสอนเราในเรื่องนี้ว่าโลกวิญญาณอยู่คู่กันกับโลกวัตถุนี่แหละ จะใช้คำว่าครอบคลุมอยู่ก็ได้ หรือจะใช้คำว่าทับซ้อนอยู่ ก็ได้ กับโลกวัตถุนี้ เพราะฉะนั้น เข้าใจอันดับแรก คือโลกฝ่ายวิญญาณอยู่ตรงนี้ คลุมซ้อนกันอยู่ตรงนี้ เป็นอีกมิติหนึ่ง มนุษย์ไม่เข้าใจ จึงเรียกว่าอีกมิติหนึ่ง ที่เรามองด้วยตาเนื้อมนุษย์ไม่เห็น จับต้องไม่ได้ แต่มันมีอยู่จริงๆ อยู่ตรงนี้  ไม่ต้องไปไกล ถ้าท่านเข้าใจแค่นี้  ท่านจะเข้าใจถ้อยคำพระเจ้าในพระคัมภีร์อีกเยอะมากมาย

โลกวัตถุ คือโลกใบนี้ที่ตาเรามองเห็น จับต้องได้ และเป็นโลกที่พระเจ้าสร้างขึ้น  ให้เป็นที่อาศัยของบรรดาสรรพสิ่งทั้งหลาย นี่พูดถึงโลกใบนี้ และที่ผมพูดเสมอว่ามนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิต ชนิดเดียวที่อาศัยอยู่บนโลกใบนี้ ที่เป็นวิญญาณ เพราะฉะนั้น จะมีเพียงมนุษย์เท่านั้น บนโลกใบนี้ ที่เป็นสิ่งมีชีวิตบนโลกใบนี้ ที่มีความสัมพันธ์เกี่ยวพันไปกับทั้ง 2 โลก … โลกทางวิญญาณด้วย และโลกทางวัตถุ ที่จับต้องมองเห็นได้ด้วย เพราะมนุษย์เป็นวิญญาณ แต่สิ่งมีชีวิตอื่นๆ บนโลกใบนี้นั้น ไม่มีวิญญาณ รู้แต่เรื่องสัญชาตญาณ โลกวัตถุเท่านั้น จับต้องมองเห็นได้ ไม่มีวิญญาณ ไม่เป็นวิญญาณ

พูดถึงมนุษย์ ร่างกายอยู่ในโลกวัตถุ จับต้องมองเห็นกัน ส่วนวิญญาณของมนุษย์ ก็อยู่ในโลกวิญญาณ ในขณะเดียวกันเลย พร้อมกันเดี๋ยวนี้เลย คือในขณะที่ท่านนั่งอยู่ในห้องนี้ ร่างกายของท่าน ก็อยู่ในคริสตจักรอภิสุทธิสถาน ในเวลาเดียวกัน วิญญาณของท่าน ตามหลักพระคัมภีร์ต้องบอกว่ามนุษย์เป็นวิญญาณ ไม่ใช่ “มี” เพราะวิญญาณ คือตัวตนที่แท้จริงของมนุษย์นั่นเอง ที่จะอยู่ตลอดไป ถาวรนิรันดร์ ส่วนร่างกายนั้น จะอยู่เพียงชั่วคราว และมีวันที่จะต้องเสื่อมสลาย ตามอายุขัย และดับลง คือตายไปในที่สุด เน่าเละไปในที่สุด เพราะแต่ก่อนนี้ มันไม่ได้เป็นอย่างนี้ ไม่ใช่จุดหมายดั้งเดิมที่พระเจ้าได้สร้างมนุษย์ พระเจ้าสร้างมนุษย์ แม้เป็นร่างกายวัตถุจับต้องมองเห็นได้ ก็จะไม่มีวันเสื่อมสลาย ไม่มีการตาย เป็นนิรันดร์เหมือนกัน นิรันดร์แบบความยาวเหมือนกัน แต่เพราะมนุษย์ตกลงไปในความบาป ร่างกายนี้ มันต้องถึงวาระสุดท้าย คือต้องตายนั่นเอง แต่วิญญาณอยู่นิรันดร์ อยู่ตลอดไป

ถ้าจะเปรียบให้เห็นภาพ ระหว่างร่างกายที่เป็นชั่วคราว ที่เราเห็นกันอยู่ กับวิญญาณที่เป็นถาวรนิรันดร์ เราอาจจะเปรียบได้กับชีวิต ที่ผมเห็นบ่อยๆ ไปทะเลก็จะเห็น ปูเสฉวน ซึ่งมันมีเปลือกแข็ง ท่านลองนึกภาพตามนะ ระหว่างเปลือกหอยกับสิ่งมีชีวิตที่อยู่ในเปลือกหอย ท่านว่าอันไหนคือตัวตนแท้จริงของหอย เวลาเราบอกมันวิ่งๆ เรากำลังบอกไหมว่าเปลือกมันกำลังวิ่ง เปล่า เรากำลังหมายถึงตัวที่อยู่ข้างใน นั่นแหละ ฉันใดฉันนั้น ข้างใน ตัวจริงของมัน อยู่ในเปลือกหอย ซึ่งเปลือกหอยมีวันที่จะแตกหัก โดนอะไรชน แต่ตัวจริงมันอยู่ข้างใน เหมือนมนุษย์ที่ผมบอกว่าข้างในของเรา เป็นวิญญาณ ชีวิตมนุษย์ ร่างกายเรา ที่มีวันเสื่อมสลาย เสื่อมสภาพ ตายลง ตามอายุขัย แต่ตัวตนที่แท้จริงของเรา คือวิญญาณของเรา จะอยู่ตลอดไป ตามการทรงสร้างของพระเจ้า แค่นี้ คือความจริงอันยิ่งใหญ่ ที่เราต้องเตือนตัวเองตลอดเวลา แม้เราเชื่อพระเจ้า เรายังต้องเตือนว่ามันเป็นอย่างนี้ นี่เป็นเรื่องจริงตามพระคัมภีร์บอก พระเจ้าอธิบาย สอนเราอย่างละเอียดในพระคัมภีร์ บอกหมดเลย เราจะเรียนรู้ไหม? เราจะยอมรับไหมเท่านั้นเอง

เช่นเดียวกัน ที่อยู่อาศัยของร่างกายของมนุษย์ อาศัยอยู่บนโลกใบนี้ ที่จะมีวันเสื่อมสูญ ก็คือมีโอกาสถูกทำลายลงเหมือนกัน คือโลกใบนี้  คริสตจักรนี้ โฮลี่ ออฟ โฮลี่ส์นี้ มันก็ถูกคำสาปแช่ง เนื่องจากมนุษย์เอาความบาปเข้ามา มันก็ต้องเสื่อมสลายไปเหมือนกัน ไม่วันใดก็วันหนึ่งในอนาคต

และวิญญาณของมนุษย์ที่อาศัยในโลกวิญญาณ ในพระคัมภีร์บอก มันอยู่ตลอดไป  แม้โลกใบนี้สิ้นสุดหมดแล้ว ถูกเผาพลาญหมดแล้ว วิญญาณของเรายังอยู่ตลอดไป  แต่มันอยู่ที่ไหนไม่รู้ ถ้าเผื่อมันทุกข์ หมายถึงมันทุกข์ตลอด มันไม่มีวันสิ้นสุด น่ากลัว นี่คือความจริง เราคุยกันเหมือนเรื่องง่ายๆ ตามพระคัมภีร์ บางครั้งก็คุยสนุกๆ แต่ความหมาย เมื่อรู้ลึกซึ้งแล้ว มันน่ากลัวมาก ร่างกายเราอยู่ชั่วคราว เราอาจจะทุกข์มาก เราอาจจะเจ็บป่วย บาดเจ็บ หรือทุกข์ใจ เจอปัญหาบนโลกใบนี้ แต่เรายังมีความหวังว่ามันยังอยู่ชั่วคราว 80 ปี เอาให้ 100 ปี 120 ปี มันก็ต้องจากโลกนี้ไป จบสิ้น แต่วิญญาณมันไม่มีการจบเลย ถ้าเกิดเจอความทุกข์ มันก็คงหมดหวังเลย มันทุกข์นิรันดร์ ทุกข์ตลอดไป

โลกวิญญาณมันก็เหมือนโลกทางวัตถุใบนี้ ที่มีการแบ่งแยกดินแดนออกเป็นอาณาจักรต่างๆ ประเทศต่างๆ ซึ่งแต่ละประเทศ หรือแต่ละอาณาจักรบนโลกนี้ ก็จะมีลักษณะภูมิประเทศแตกต่างกันออกไป มีการปกครองที่แตกต่าง มีสภาวะแวดล้อมต่างกันออกไป เรียกว่าแบ่งกันเป็นประเทศในโลกวัตถุนี้ แม้ที่เรานั่งอยู่นี้ แบ่งเป็นคริสตจักรนี้ แบ่งเป็นซอยกรุงเทพกรีฑา รามคำแหง 150 อะไรแล้วแต่ มันก็แบ่งออกไปเรื่อยๆ พระคัมภีร์บอกไว้ว่าโลกวิญญาณมีแบ่งแยกออกเป็น 2 อาณาจักรเท่านั้น คืออาณาจักรแห่งความมืด และอาณาจักรแห่งความสว่าง ตอนพระเจ้าสร้างโลกใหม่ๆ มีอยู่แค่อาณาจักรเดียว ที่คลุมโลก หรือซ้อนโลกวัตถุนี้อยู่ คืออาณาจักรแห่งความสว่าง

พระคัมภีร์บอกว่าโลกถูกปกคลุมด้วยพระสิริของพระเจ้า ในสมัยเริ่มต้นปฐมกาล พระสิริของพระเจ้า ก็คือความสว่างของพระองค์ คือฤทธิ์อำนาจ คือพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้าในตอนแรกเริ่มนั้น มีแต่ความสว่างเพียงเท่านั้น แล้วอาณาจักรแห่งความมืดของมาร อยู่ในชั้นฟ้าอากาศ นอกโลก มารมันถูกเขี่ยตกกระป๋องออกจากอาณาจักรของพระเจ้า

หลังจากบรรพบุรุษของมนุษย์ คืออาดัมกับเอวาได้นำเอาเชื้อโรคในวิญญาณตัวร้ายแรง ที่เรียกว่าเชื้อบาป ไวรัสบาป เข้ามาสู่ DNA ของอาดัมและเอวา DNA อันนั้น มีพวกเราทั้งหลายมนุษย์ทุกคนอยู่ในนั้น เพราะพระเจ้าสร้างแบบเทคโนโลยี แบบสมัยใหม่มาก สร้างมนุษย์ขึ้นทั้งหมด จากคนๆ เดียวเลย แล้วก็ให้พวกเราอยู่ในนั้น แล้วค่อยๆ ผลิตออกมา ท่านพอจะเห็นภาพชัดเจน

เพราะฉะนั้น DAN ของความบาปนี้ ที่ติดเชื้อบาปนี้ เราก็เลยติดไปด้วย ซึ่งเจ้าไวรัสบาป หรือเชื้อบาปตัวนี้ มาจากมาร เข้ามาสู่เผ่าพันธุ์มนุษย์ เข้ามาสู่โลก ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ความมืดก็เข้ามาแทนที่ความสว่างของพระเจ้า ตามที่พระคัมภีร์บอกไว้ในโรม บทที่ 3

โรม 3:23 “เพราะว่าทุกคนทำบาป และเสื่อมจากพระเกียรติสิริของพระเจ้า”

 

ตรงนี้ไม่ใช่ทำบาปนะ ตรงนี้ภาษาเดิมบอกว่า “เพราะว่ามนุษย์ทุกคนบาป มีเชื้อบาป ติดเชื้อบาป และเสื่อมจากพระเกียรติสิริของพระเจ้า”

เพราะมนุษย์ทุกคนทำบาป หรือเป็นบาป ติดเชื้อบาปเข้าไปแล้ว จึงเสื่อมพระสิริของพระเจ้า ก็คือหลุดออกไปจากความสัมพันธ์กัน เหมือนกับเชิญความมืดเข้ามา ไล่ความสว่างออกไป เสื่อมจากพระเกียรติสิริของพระเจ้า ก็คือเสื่อม หรือหายไป เสียหายไป แสงสว่างของพระเจ้าหายไป ความมืดเข้ามาแทนที่ เข้ามาปกคลุมอยู่เหนือโลก และทุกสิ่งที่พระเจ้าสร้างขึ้นมาบนโลกใบนี้ ที่มีชีวิต ทั้งหมดเลย ทั้งสัตว์เล็กสัตว์น้อย  สัตว์ใหญ่ รวมกระทั่งพืชเล็กพืชน้อย แม้กระทั่งก้อนหิน วัตถุทุกอย่าง ถูกปกคลุมไปด้วยความมืดทั้งหมดเลย

ก่อนที่พระเยซูคริสต์จะมาบังเกิดเป็นมนุษย์ พระคัมภีร์เดิมทั้งหมดเลยจะพูดถึงเรื่องนี้ว่ามนุษย์ตกอยู่ตรงนี้แหละ และมีหลายแห่งที่บอกชัดๆ เลยว่าทุกคนเป็นคนบาป พระเจ้าบอกมองลงมา มีแต่คนทำชั่ว ไม่มีสักคนเลยที่เอาพระเจ้า ไม่มีสักคนเลยที่ทำดี เพราะความมืดปกคลุมอยู่ มันไม่ได้เกี่ยวกับตัวมนุษย์ มันเกี่ยวกับโลกนี้  และวิญญาณมนุษย์ทุกคนก็ถูกปกคลุมไปด้วยความมืดสนิทนั่นเอง อยู่ในอาณาจักรของความมืด ไม่มีทางเลือก ต่างคนก็ต่างมืดด้วยกันทั้งคู่ บรรพบุรุษเราก็มืด เราเกิดมาก็มืด คนต่อไปก็มืด มองไปทุกอย่างมืดหมด แม้กระทั่งสัตว์ พืช มืดหมด ไม่มีใครช่วยใครได้เลย จนกระทั่งถึงวันที่พระเจ้าทรงกำหนดไว้ วางแผนการเลยว่าจะกลับมาช่วยมนุษย์ให้หลุดพ้นจากความมืดนี้ นี่คือแผนการใหญ่ของพระเจ้า ใหญ่มาก โดยพระเจ้าตั้งใจที่จะทำให้โลกวิญญาณได้กลับสว่างขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง พระเยซูตรัสว่า …

“เราเป็นความสว่าง ความสว่างเข้ามายังโลก”

มนุษย์ทุกคนเป็นความมืด แต่พระเยซูบอกว่า “เราเป็นความสว่าง” และตอนนี้ความสว่างกำลังเข้ามาสู่ความมืด

เมื่อประมาณ 2,000 ปีที่แล้ว วันที่พระเยซูคริสต์มาเกิดเป็นมนุษย์ แต่วิญญาณพระองค์เป็นพระเจ้า วิญญาณพระองค์สะอาดหมดจด แล้วพระองค์ทรงดำเนินไปถึงตายที่ไม้กางเขน เพื่อหลั่งพระโลหิต ชำระบาปให้กับเรา ให้กับมนุษย์ทุกคน และเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่ 3 เป็นการสถาปนาอาณาจักรแห่งความสว่างขึ้นอีกครั้งหนึ่ง บนโลกใบนี้

การสิ้นพระชนม์ของพระเยซูบนไม้กางเขน ทำให้โลกวิญญาณ แบ่งแยกออกเป็น 2 อาณาจักร คืออาณาจักรแห่งความมืด ที่อยู่ก่อนหน้านี้ และอาณาจักรที่เกิดใหม่ ที่เรียกว่าอาณาจักรแห่งความสว่าง แต่ทั้งหมด ที่เกิดขึ้นนี้ เกิดขึ้นเฉพาะในโลกวิญญาณเท่านั้น มันไม่ได้รวมถึงโลกวัตถุ ที่เราจับต้องมองเห็นด้วยตานี้เลยแม้แต่นิดเดียว เพราะฉะนั้น โลกที่เราจับต้องมองเห็นได้ ไม่ว่าจะเป็นต้นไม้ เป็นสัตว์ เป็นตัวเราเอง ร่างกายนี้  มันก็เหมือนเดิม ก็ยังอยู่ในการลงโทษของบาปอยู่ดี ร่างกายเราก็ยังต้องตายอยู่ดี แต่อะไรบางอย่างในโลกวิญญาณมันเปลี่ยนไปแล้ว

ตอนนี้มนุษย์มีสิทธิ์เลือกว่าจะเข้าไปอยู่ในอาณาจักรแห่งความสว่าง หรือจะยังคงอยู่ในอาณาจักรแห่งความมืดเหมือนเดิม

และนี่คือความจริงที่ทำให้เราเป็นไทอย่างแท้จริง เพราะถ้าเรารู้และเข้าใจอย่างถูกต้องลึกซึ้งในโลกวิญญาณอย่างนี้แล้ว การมีชีวิตบนโลกนี้ ของมนุษย์ทุกคน หรือของเรา มุมมองในเรื่องการแก้ปัญหาต่างๆ ของเรา มันก็จะเปลี่ยนไปหมดเลย มุมมองในการตั้งเป้าหมายในชีวิตก็เปลี่ยนไป การตัดสินใจในเรื่องต่างๆ การแก้ไขปัญหาในเรื่องต่างๆ ก็จะเปลี่ยนไป มันจะอยู่บนพื้นฐานของโลกวิญญาณทั้งหมดเลย จะเห็นภาพชัดเลย แล้วมันก็จะเกิดเป็นความหวัง ความอดทน ความสุข ความสงบ ความพอเพียงขึ้นในใจ ในชีวิตของคนๆ นั้น ที่รู้ความจริงตรงนี้ ไม่ว่าเขาจะเป็นใครก็ตาม ขอให้เขาเป็นมนุษย์เถอะ เขาจะได้รับตรงนี้แหละ

ความรู้ ความเข้าใจในโลกวิญญาณแบบนี้ ก็เปรียบเหมือนที่ผมเคยเล่าให้ฟังเรื่องกลัดกระดุมผิด สมัยตอนที่เล่นดนตรีอยู่นั้น บางคอนเสิร์ตต้องเข้าไปเปลี่ยนชุด ต้องเปลี่ยนเร็วมาก เพื่อจะออกมาให้ทัน เข้าไปถึงจะมีคนมารุมเราเลยนะ สมมติว่าเรากำลังใส่รองเท้าอยู่ ก็จะมีคนมาใส่เสื้อให้ แล้วก็มีคนกลัดกระดุมให้ กลัดรีบๆ เลย พอจะเดินออกไป เฮ้ย! จับคอเสื้อทำไมไม่ได้สักที เพราะว่ามันกลัดไปเรียบร้อยแล้ว แต่กระดุมเม็ดแรกมันผิดกลัดไปอีก 10 เม็ด เวลาจะแก้ ช้ากว่าเก่าตั้งเยอะ เลย มันต้องถอดทีละเม็ดๆ พอมันผิดตั้งแต่เริ่มต้น ต้องแก้ใหม่หมดเลย

ถ้าเราไม่รู้ความจริง เราเริ่มแก้ปัญหาจากสิ่งที่ผิด มันก็จะผิดตลอดไป อย่างที่บอกว่าความรู้ ความเข้าใจในโลกวิญญาณ ก็เปรียบเหมือนการติดกระดุม ถ้าท่านรู้เหตุผลมันคืออะไรเกิดขึ้น มันมีเงื่อนไขอย่างไร? มันเป็นอย่างไร? ตอนนี้อาจจะแก้ช้าหน่อย แต่มันก็สำเร็จอยู่ดี แต่ถ้ามันผิด มันไม่ใช่ ท่านรีบอย่างไร? ท่านทุ่มเทอย่างไร? ยิ่งผิดใหญ่เลย ยิ่งทุ่มเทมาก ยิ่งผิดเยอะ แทนที่จะติดกระดุมผิด ไป 5 เม็ด แต่ติดกระดุมผิดไป 10 เม็ดเลยทีนี้ ทุ่มเทเยอะ แต่ว่าเริ่มต้นมันผิดแล้ว

อย่างเช่นเรื่องข้อเท็จจริงเกี่ยวกับโลกนี้ ที่ผมบอกบ่อยๆ ว่าพระเจ้าบอกว่าโลกกลม สมัยก่อนนี้มนุษย์ก็ไม่เชื่อฟัง ก็บอกว่าโลกแบน พยายามคิดค้นทฤษฎีต่างๆ มาสนับสนุน เชื่อว่าโลกแบน คิดอะไรออกมาเยอะแยะก็ผิดหมด ทดลองอะไรก็ไม่สำเร็จสักอย่าง เสียเวลาไปเยอะแยะมากมาย ก็เพราะว่าพื้นฐานมันผิด เริ่มต้นมันผิดแล้วว่าโลกมันแบน ก็เหมือนกลัดกระดุมเม็ดแรกผิดนั่นแหละ พระคัมภีร์บอกโลกวิญญาณมีจริงๆ และมีอยู่ 2 อาณาจักร คืออาณาจักรของความมืด และอาณาจักรของความสว่าง และมนุษย์มีสิทธิ์เลือกได้เองว่าจะเข้าไปอยู่ในอาณาจักรใดก็ได้ พระคัมภีร์บอกว่ามีสิทธิ์เลือกได้เอง โดยไม่ต้องทำอะไรเลย ใช้เชื่อเอา เพราะพระเยซูคริสต์ทำให้เรียบร้อยแล้ว แค่เลือกและใช้สิทธิ์ของตัวเองเท่านั้น แต่มนุษย์จำนวนมาก ก็ยังไม่ยอมเชื่อความจริงตรงนี้ ยังพยายามที่จะขวนขวาย คิดตามเหตุผลว่าเราต้องทำ ถ้าเราไม่ทำ เราก็ไม่สมควรจะได้ ถ้าเราอยากได้ เราต้องทำ ก็ทำต่อไปด้วยตัวเอง ซึ่งทำเท่าไร? มันก็ไม่มีทางสำเร็จ เพราะถ้าความจริงมันเป็นอย่างนี้ ทำอย่างไรก็ไม่สำเร็จ เหมือนกับแก้ไขกระดุมอย่างไรก็ไม่สำเร็จ ถ้าไม่แก้ที่กระดุมเม็ดแรกที่ผิดไปนั่น

เม็ดแรก เทียบกับโลกวิญญาณมันมีจริงๆ พระเยซูคริสต์มาไถ่บาปมนุษย์จริงๆ หรือแม้กระทั่งเทียบกับเรื่องคุณยายหาเข็มก็ได้ ถ้าคิดตามเหตุผลแล้ว มนุษย์คิดเองนะ เพราะมนุษย์มาจากพระเจ้า พระเจ้าสร้างมนุษย์ขึ้นมา คิดเก่งมากเลย ตามเหตุผล ตามตรรกะ หรือตามภาษาอังกฤษเขาเรียกว่าตามโลจิกต์ มนุษย์เก่งมาก ถ้าอันนี้ต้องเป็นอย่างนี้ อันนั้นต้องเป็นอย่างนี้คิดทุกเรื่องเลย แต่ในโลกฝ่ายวิญญาณคิดอย่างนั้นไม่ได้ เพราะโลกฝ่ายวิญญาณ มันสูง เทคโนโลยีมากกว่าที่ความคิดมนุษย์คิดไปถึง มันเยอะกว่ามากเลย มนุษย์ก็คิดว่าถ้าจับตรงนี้ได้ แสดงว่าหน้าตาพระเจ้าคงมีแข็งๆ เหมือนจับช้าง ไปจับเอาที่ตรงงา ช้างต้องเป็นอย่างนี้ ปลายๆ แหลมๆ และแข็งๆ อีกคนหนึ่งไปแตะถูกตรงกลาง ตัวนิ่มๆ พระเจ้าต้องเป็นอย่างนี้ ดูเหมือนถูก แต่ผิดหมดเลย เพราะมนุษย์ใช้ความคิดของตัวเอง

เพราะคิดแบบโลจิกต์ คิดแบบเหตุผลของมนุษย์ พระเจ้าจึงบอกให้เราเชื่อ ถ้อยคำของพระเจ้าในพระคัมภีร์ พระองค์บอกอย่างไร ก็จงเชื่ออย่างนั้นเถิด เพราะเราเป็นเหมือนเด็กคนหนึ่ง เมื่อเทียบกับความรู้ของพระเจ้า ถ้าเด็กคนหนึ่งมาถามท่านว่า …

“แม่ ไมโครเวฟมันทำงานอย่างไร?”

ท่านจะตอบไหม? หรือท่านจะบอกว่า  …

“อย่าถามมากเลย กดอันนี้ มันก็ใช้งานแล้ว กดไป 1 นาที น้ำเดือดแล้ว ไม่ต้องอธิบาย ฉันอธิบายไม่ได้เหมือนกัน”

ถูกไหม? ถ้าท่านไปอธิบายให้เด็ก 10 ขวบฟัง เรื่องระบบมันมีคลื่นไฟฟ้านะ คลื่นไฟฟ้าแปลงเป็นคลื่นอิเล็กโทลนิก เรียกว่าคลื่นไมโครเวฟ และคลื่นไมโครเวฟไปทำงานเป็นโมเลกุล … โมเลกุลสั่นสะเทือน โมเลกุลจะกลายเป็นความร้อน ท่านว่าเด็กเข้าใจไหม?  ถ้าเผื่อพระเจ้าจะอธิบายให้เราอย่างนั้น เราจะตายก่อน แล้วลงไปอยู่ในนรก ไม่มีโอกาสได้เลือกพระเจ้าแล้ว ช้าไปแล้ว และไม่มีวันได้ด้วย

พระคัมภีร์ได้อธิบาย ให้มนุษย์ได้รู้จักสภาพของอาณาจักรทั้งสองแห่งนี้ เพื่อจะได้เป็นพื้นฐานในการเรียนรู้ในโลกวิญญาณ คำที่ใช้บ่อยในพระคัมภีร์จะมีคำว่า …

 

                   –  อาณาจักรสวรรค์ / อาณาจักรของพระเจ้า  / อาณาจักรของพระคริสต์

 

ต่อไปนี้ ท่านจะเห็นคำเหล่านี้ ท่านจะมองภาพเห็น ที่วันนั้น เราสาธิตกัน จำเก้าอี้ตัวนั้นได้เลย ที่เป็นสีขาว สมมติว่าเป็นอาณาจักรๆ หนึ่ง เรียกว่าอาณาจักรสวรรค์ อาณาจักรของพระคริสต์

 

                   –  ในพระคริสต์  /   พระเกียรติสิริ  /  สง่าราศี  /   ความสว่าง

 

แล้วในพระคัมภีร์ยังเรียกคนที่อยู่ในอาณาจักรนี้  อยู่ในพระคริสต์ ตอนนี้ฉันอยู่ในพระคริสต์ คือฉันอยู่ในอาณาจักรพระคริสต์ ในอาณาจักรสวรรค์ อาณาจักรของพระเจ้า

คือในพระคริสต์ ฉันมีความหวัง ในพระคริสต์ ฉันนั่งอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้าในสวรรค์สถาน ในพระคริสต์ ฉันเหมือนพระเจ้า แปลว่าอย่างนี้ เพราะฉะนั้น ฉันไม่กลัวตายอีกต่อไป ตายทางร่างกายนี้ ก็แค่เปลี่ยนมิติ ก็อยู่ที่เดิมไม่ได้ไปไหนด้วย ไปไหนมาไหนก็สะดวกขึ้น พระคัมภีร์เรียกว่าอินเนอร์แมน คือมนุษย์ตัวใน คือวิญญาณของฉัน

จะพูดถึงตรงนี้ในอาณาจักรแห่งความสว่าง พระเกียรติสิริ  /  สง่าราศี  /   ความสว่าง … พระเกียรติสิริ คือความยิ่งใหญ่ของพระเจ้า ความสะอาด บริสุทธิ์ของพระเจ้า ความอลังการของพระเจ้า แบบเต็มไปด้วยฤทธิ์อำนาจ ถ้าท่านจะยกตัวอย่างพระสิริ ท่านต้องนึกถึงดวงอาทิตย์ ท่านมองไปที่ดวงอาทิตย์ ท่านยังมองไม่ได้เลย พระสิริของพระเจ้า มันยิ่งกว่าดวงอาทิตย์ล้านๆ เท่า และตอนนี้ท่านนั่งอยู่ในดวงอาทิตย์ วิญญาณท่านประกอบด้วยพระสิริพระเจ้า ท่านเห็นอะไรบางอย่างไหม? ท่านจะกลัวผีอีกต่อไปไหม? ก็กลัวต่อไป เพราะถ้ากลัว มันก็กลัว มันอยู่ในความคิด มันอยู่ในร่างกายภายนอก อันที่ไม่กลัว ที่เต็มไปด้วยพระเกียรติสิริของพระเจ้า มันอยู่ข้างในนี้ ขาววอก วิญญาณผมสะอาดบริสุทธิ์ เต็มไปด้วยพระสิริของพระเจ้า แต่ข้างนอกผมคลุมไปด้วยร่างกาย ที่เต็มไปด้วยผิดบ้าง? ถูกบ้าง? ดำบ้าง? ขาวบ้าง?  มัวบ้าง? เทาๆ บ้าง? ทุกท่านก็ใส่เสื้อเหมือนผม ร่างกายท่านใส่เสื้อแบบนี้ คือเสื้อลายขาว ดำ เทา ก็คือมันมีขาวๆ ทำดีบ้าง? อยากทำดี ทำไม่ดีบ้าง? แต่ข้างในนี้ สีขาวหมด เอเมน

เพราะเราอยู่ในพระคริสต์ บอกกันได้ เดี๋ยวนี้เราอยู่ในโลกฝ่ายวิญญาณ พระคัมภีร์ทั้งหมด พูดถึงโลกวิญญาณทั้งสิ้น

                   –  เป็นขึ้นมาใหม่  /  มีชีวิต  /  ชีวิตนิรันดร์

 

“เป็นขึ้นมาใหม่”  ในโลกฝ่ายวิญญาณ  ในเรื่องอาณาจักรแห่งความสว่าง จะมีคำนี้บ่อยๆ ท่านเป็นขึ้นมาใหม่ ร่วมกับพระเยซูคริสต์  ท่านเป็นขึ้นมาใหม่ พร้อมกับพระเยซู พระเยซูคริสต์เป็นขึ้นมาใหม่ ท่านก็เป็นด้วย ท่านเป็นขึ้นมาใหม่ ในโลกวิญญาณเป็นขึ้นจากความตาย คือมืดสนิทเลย  ตอนนี้ตายอยู่ เป็นขึ้นจากความตาย คือ …

“พระเยซูลูกเชื่อพระองค์ ว่าพระองค์เป็นผู้ไถ่บาป แล้วก็ได้มาชำระบาปให้กับมนุษย์ทุกคน ลูกได้ยินข่าวดีนี้แล้ว ลูกเชื่อ ตอนนี้ลูกขอต้อนรับสิทธิที่พระองค์ทรงทำให้กับลูกที่ไม้กางเขน ตายที่ไม้กางเขนเพื่อลูก ชำระบาปให้กับลูก และเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่ 3 สถาปนาอาณาจักรแห่งแสงสว่าง บัดนี้ ลูกเชื่อแล้ว ลูกขอรับสิทธินี้”

ทันทีทันใดนั้น  ในวินาทีนั้น ผมเกิดใหม่ อย่างนี้เขาเรียกว่าเกิดใหม่ วิญญาณเก่าตายไปแล้ว ตัวมืด ตายไป ตัวเก่าๆ ที่เรียกว่าวิญญาณ ในพระคัมภีร์เรียกว่าตายไป แล้วมันเกิดมาใหม่ นี่พูดถึงวิญญาณนะ ข้างใน ข้างนอกยังคนเดิม แต่ข้างในเปลี่ยนแล้ว เมื่อกี้ข้างในเสื้อกล้ามดำ ตอนนี้เสื้อกล้ามขาว เต็มไปด้วยพระเกียรติสิริของพระเจ้า เหมือนดวงอาทิตย์ร้อนแรงอยู่ในวิญญาณของเรา มีสง่าราศี พระเกียรติสิริของพระเจ้าอยู่ในนั้น ความบริสุทธิ์อยู่ในนั้น นี่คือคำศัพท์ที่ใช้บ่อย แล้วมีอะไรอีก?

“มีชีวิต” พระองค์บอกว่าพระองค์มา เพื่อเราทั้งหลายจะได้มีชีวิต ฉันยังไม่ตายเลย จะมีชีวิตได้อย่างไร?  คำว่ามีชีวิต หมายถึงมีชีวิตกลับคืนสู่พระเจ้า

คำว่า “มีชีวิต” แปลว่าเกิดใหม่ แต่ก่อนนี้ ไม่มีชีวิต คือตายอยู่ พระเยซูบอก เรามาเพื่อท่านทั้งหลายจะมีชีวิต คือเมื่อมารับพระเยซู ท่านก็กลับมามีชีวิต

“ชีวิตนิรันดร์” นอกจากท่านจะมีชีวิตแล้ว คำว่า “มีชีวิต” เป็นกริยา คือการบังเกิดใหม่ มีชีวิตขึ้นมา  แต่คำว่า “ชีวิตนิรันดร์” ตรงนี้ เป็นคำนาม แปลว่าสภาพ คุณภาพของชีวิต ไม่ใช่ นิรันดร์ แปลว่าอยู่ตลอด อดีตยังไม่รับเชื่อ เราอยู่ในที่มืด เราก็อยู่ในความมืดนิรันดร์ คำว่า “ชีวิตนิรันดร์” ตะกี้นี้ ในบทบาทของความสว่าง คือเมื่อท่านมาเชื่อพระเยซู ท่านมีชีวิตนิรันดร์ แปลว่าอีเทอร์เนลไลฟ์ คือชีวิตที่เป็นนิรันดร์ ไม่ใช่มียาวนิรันดร์ มีคุณสมบัตินิรันดร์ คำนี้ใช้เฉพาะกับคุณภาพของวิญญาณของพระเจ้าเท่านั้น แต่ดั้งเดิม วิญญาณของพระเจ้า มีชื่อวิญญาณว่าวิญญาณนิรันดร์ พระเจ้าอยู่นิรันดร์อยู่แล้ว แต่วิญญาณพระองค์เป็นวิญญาณชนิด นิรันดร์ ไม่ใช่อยู่นิรันดร์ แต่เป็นคุณภาพนิรันดร์ จำเอาแล้วกัน มันไม่มีทางเข้าใจหรอก พูดง่ายๆ คำว่า “นิรันดร์” มันมี 2 ความหมาย ตามภาษาไทย ตามตรรกะมนุษย์ คือ …

–  นิรันดร์ตัวแรก เขาเรียกว่านิรันดร์แบบบอกถึงระยะทาง ก็คืออยู่หลายๆ ปี ไม่สิ้นสุด เรียกว่าตลอดกาล

–  นิรันดร์ที่สอง เป็นลักษณะ คุณภาพของวิญญาณ คุณภาพและวิญญาณของพระเจ้า เรียกว่าวิญญาณนิรันดร์ คุณภาพและวิญญาณของมารซาตาน  เรียกว่าวิญญาณตาย วิญญาณบาป วิญญาณกบฏ ท่านจะได้เห็นภาพ คุณภาพวิญญาณ แต่วิญญาณจะอยู่นิรันดร์ ก็พยายามเข้าใจแล้วกัน เข้าใจแบบพระเจ้า ถ้าเข้าใจแบบมนุษย์ มันลำบาก อย่างที่บอก ไม่สามารถอธิบาย ในโลกฝ่ายวิญญาณ มีคำอะไรอีก

 

                   –  ความชอบธรรม  /  ผู้ชอบธรรม  /   พระคุณ  /  ความรัก

 

“ความชอบธรรม” คือเราไปศาล เราถูกกล่าวหาว่าเป็นคนฆ่าคนตาย แล้วศาลตัดสินคดีว่าเธอไม่ได้เป็นคนฆ่าหรอก เธอเป็นอิสระ นั่นแหละ เป็นผู้ชอบธรรมแล้ว คำว่าชอบธรรม คือถูกต้อง ไม่ใช่ทำดีนะ  ความชอบธรรม หมายถึงว่าถูกตัดสินว่าเป็นคนไม่ผิด  เพราะฉะนั้น ความชอบธรรม คือความถูกต้องนั่นเอง จะใช้กับคนที่มาอยู่ในแสงสว่าง ชอบธรรม เพราะฉะนั้น อยู่ตรงข้าม คือความไม่ชอบธรรม

และจากนั้น มี “ผู้ชอบธรรม” คือผู้ที่มีความชอบธรรม กลายเป็นคนนั้น เป็นผู้ชอบธรรม คือเป็นอิสระจากการถูกตัดสินลงโทษ

และต่อไป ก็มีคำว่า “พระคุณ”  “ความรัก”   พอบอกความรักของพระเจ้า อย่าไปนึกถึงความรักแบบรักกัน ไม่ใช่ เป็นคุณภาพของวิญญาณ เรียกว่าความรัก พระเจ้าไม่มีทางโกรธใครเลย พระองค์ “เป็นความรัก” ไม่ใช่ “มีความรัก” เมื่อผมมาเชื่อพระเจ้าแล้ว วิญญาณผมเป็นเหมือนพระเจ้าแล้ว ข้างในผม เป็นความรัก ผมไม่ได้มีความรัก และผมไม่ได้ดำเนินในความรักตลอดไป ผมเป็นความรัก แต่ข้างนอกจะดำเนินชีวิตเป็นความเกลียดบ้าง เป็นอะไรบ้าง แล้วแต่เนื้อหนังเก่าๆ ที่มันทำอยู่ ก็คนละเรื่องกัน แต่วิญญาณผมไม่มีเกลียดใครอยู่แล้ว ผมไม่เคยโกรธใครเลยแม้แต่นิดเดียว มันสะอาดหมดจด มันเป็นความรัก ไม่ใช่เป็นความเกลียด มันทำไม่ได้เลย เพราะมันขาวสะอาด นี่แหละ คือคำว่าความรัก

ถ้าพระเจ้าเป็นความรัก เรามาเป็นเหมือนพระเจ้า เราก็เป็นความรักเหมือนกัน เมื่อเราเป็นความรัก เปโตรมาถามว่าถ้ามนุษย์ทำสิ่งที่ไม่ดี ทำบาปต่อเรา เราจะต้องอภัยให้กี่ครั้ง? พระเยซูบอกอภัยให้ตลอดเลย คือไม่ต้องอภัยกัน เมื่อท่านมาเชื่อในพระเจ้า ท่านบังเกิดใหม่แล้ว ท่านจะไม่โกรธใครอีกแล้ว เพราะข้างในท่านบริสุทธิ์ ท่านไม่ต้องอภัยหรอก เพราะมันอภัยอยู่แล้ว ท่านไม่เคยโกรธ ท่านจะไปอภัยทำไมล่ะ สมมติคนบอกให้ท่านให้อภัยคนนี้สิ แต่คุณไม่เคยโกรธเขาเลย คุณจะไปอภัย ก็คงขำ หัวเราะ อภัยให้เขา ผมไม่เคยโกรธเขาเลยนะ ผมอภัยให้ได้อย่างไร?  ผมอภัยให้ไม่ได้หรอก ทำไมเป็นคนอภัยให้ใครไม่ได้ ก็ผมไม่เคยโกรธเขาเลย  จะไปอภัยให้ได้อย่างไร? เหมือนกัน วิญญาณ ความรักตรงนี้

เพราะฉะนั้น สิ่งเหล่านี้ เมื่ออธิบายทางโลกวิญญาณแล้ว มันจะเห็นภาพชัดเจนอีกอันหนึ่ง ซึ่งสามารถเข้ากับข้อพระคัมภีร์ในพระคัมภีร์ทั้งหมด ทั้งเล่มได้

 

                   –  บริสุทธิ์เหมือนพระเจ้า /  ลูกของพระเจ้า /  คืนดีกับพระเจ้า  /   ติดต่อกับพระเจ้าได้

 

“บริสุทธิ์เหมือนพระเจ้า” พอเรามาเชื่อพระเจ้า เราสะอาด บริสุทธิ์จริงๆ ข้างใน พูดถึงวิญญาณของเรา เพราะเราอยู่กับพระเจ้า เราไม่สามารถสกปรกได้เลย เพราะสกปรกอยู่กับพระเจ้าไม่ได้

“ลูกของพระเจ้า” พอเรามาอยู่ในความสว่าง เราเป็นลูกๆ ของพระเจ้า เขาเรียกเราว่าลูกๆ ของพระเจ้า พระเจ้าเรียกเราว่าลูกๆ ของพระเจ้า ไม่ใช่ทาส ไม่ใช่คนรับใช้ เป็นลูกเลย ลูกจริงๆ พระเจ้าบอกท่านเป็นคนบาป ยังรู้จักรักลูกของตนเอง แล้วพระเจ้าเป็นความรัก รับท่านเป็นลูก จะรักท่านมากขนาดไหน? ท่านลองคิดดูแล้วกัน ท่านจะเห็นภาพเหล่านี้

“คืนดีกับพระเจ้า” ท่านเคยได้ยินใช่ไหม? โดยพระเยซูคริสต์ เราได้รับการคืนดีกับพระเจ้า แปลว่าท่านไปโกรธกับพระเจ้าเมื่อไร?  คืนดี ก็คือแต่ก่อนนี้เข้ากันไม่ได้ แต่ก่อนนี้คนละเคมี แต่พระเยซูชำระเราให้สะอาดแล้ว เคมีเดียวกัน เข้ากับพระเจ้าได้ คืนดีกับพระเจ้า แปลว่าอย่างนี้

“ติดต่อกับพระเจ้าได้” “เป็นหนึ่งกับพระเจ้า” อยู่บ้านหลังเดียวกันแล้ว

ซึ่งวันนี้ เอาแค่นี้ก่อน แล้วค่อยๆ เรียนรู้กันต่อๆ ไป ในอาณาจักรของความมืด ความสว่างเป็นอย่างไร? ท่านจะเห็นภาพชัดเจนว่าถ้าเราไม่เรียนรู้สิ่งเหล่านี้ เราเสียโอกาสไปเยอะขนาดไหน? และถ้าเราเรียนรู้ความจริงเหล่านี้ เราจะเห็นภาพว่าเราสามารถที่จะเชื่อพระเจ้าได้ง่ายขึ้น เยอะเลย พระเยซูจึงบอกว่าท่านจะรู้ความจริง และความจริง จะทำให้ท่านเป็นไท

ในหนังสือที่บอกอย่างชัดเจน ก็คือในหนังสือยอห์น 3:16 เป็นข้อพระคัมภีร์ที่เขาประกาศข่าวประเสริฐกันมากเลย แต่ถ้าเขาประกาศอย่างนี้ ก็เป็นเรื่องที่ง่ายขึ้น สำหรับคนที่รับเชื่อ รับสิทธิของเขา

ยอห์น 3:16-18 “16 เพราะว่าพระเจ้าทรงรักโลก (คือมนุษย์ยิ่งนัก) จนได้ประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ (พระเยซู) เพื่อทุกคนที่เชื่อในพระบุตรนั้นจะไม่พินาศ แต่มีชีวิตนิรันดร์ 17 เพราะพระเจ้าไม่ได้ทรงส่งพระบุตรของพระองค์มาในโลก เพื่อพิพากษาลงโทษโลก แต่เพื่อช่วยโลกให้รอด โดยทางพระบุตรนั้น 18 ผู้ใดที่เชื่อในพระองค์ก็ไม่ถูกพิพากษา แต่ผู้ใดที่ไม่เชื่อก็ถูกพิพากษาอยู่แล้ว เพราะเขาไม่เชื่อในพระนามของพระบุตรองค์เดียวของพระเจ้า”

 

ไม่พินาศ คือไม่ตายลงไปในวิญญาณ  ไม่ต้องอยู่ในนรกนิรันดร์ แต่มามีชีวิตเหมือนพระเจ้า อยู่ในอาณาจักรสว่างนิรันดร์

พระเจ้าไม่ได้ส่งพระเยซูมา เพื่อลงโทษมนุษย์บนโลกใบนี้ แต่เพื่อช่วยโลกให้รอด โดยทางพระบุตรนั้น ก็คือช่วยมนุษย์ทุกคนให้รอด โดยพระบุตร คำว่า “โลกนี้” มันรวมทั้งมนุษย์ทุกคน และสรรพสิ่งที่พระองค์ทรงสร้างบนโลกใบนี้

ผู้ใดที่เชื่อในพระองค์ ผู้ใดที่เชื่อในพระเยซู ก็ไม่ถูกพิพากษา แต่ผู้ใดที่ไม่เชื่อ ก็ถูกพิพากษาอยู่แล้ว เพราะอยู่ในอาณาจักรของความมืดอยู่แล้ว ไม่ได้เลือกใช้สิทธิ มันก็อยู่ในความมืด พระเยซูไม่ได้มาทำอะไร?

ชัดไหม? พระเยซูจึงบอกว่าเราไม่ได้มา เพื่อพิพากษาโลก พิพากษามนุษย์ ไม่ใช่ เพราะมนุษย์อยู่ในความมืดอยู่แล้ว ถ้าเขาไม่รับสิทธิ ที่เราทำให้ เขาก็อยู่ในความมืด และสำหรับคนที่รับสิทธิแล้ว ทันทีทันใด เขาก็ได้รับความรอด เขาถึงเรียกข่าวดี ข่าวประเสริฐมาถึงมนุษย์ทุกคน มันง่าย ไม่ต้องทำอะไร? มนุษย์ทุกคนอยู่ในอาณาจักรของความมืด  ต้องรับโทษนิรันดร์เลย แล้วพระเยซูก็มาเกิดเป็นมนุษย์ ตายที่ไม้กางเขน เพื่อสถาปนาอาณาจักรแห่งแสงสว่าง แล้วก็มาเคาะประตูเราตลอดเวลาว่าให้เราย้ายเถิดๆ ย้ายตอนไหน? ย้ายก่อนตาย ก่อนทิ้งร่าง เพราะพระเยซูมาเกิดเป็นมนุษย์ เพื่อเป็นตัวแทนให้กับมนุษย์เท่านั้น

ถ้าผมเป็นมนุษย์อยู่ตรงนี้ ผมจึงให้พระเยซูเป็นตัวแทนได้ แต่ถ้าวันหนึ่งที่ผม ร่างกายผมเน่าไปแล้ว วิญญาณออกจากร่าง ผมไม่ได้เป็นมนุษย์อีกต่อไปแล้ว ตอนนั้น ผมเป็นวิญญาณเฉยๆ ผมใช้สิทธิ์ไม่ได้แล้ว เพราะพระเยซูมาเกิดเป็นมนุษย์ เป็นตัวแทนมนุษย์ มนุษย์เท่านั้นที่จะใช้สิทธิที่พระเยซูทำ เป็นตัวแทนให้ได้

พระคัมภีร์จึงให้เราตัดสินใจก่อนที่วิญญาณเราจะออกจากร่าง เพราะถ้าวิญญาณเราออกจากร่างแล้ว มันสายไปแล้ว วิญญาณเราออกจากร่างแล้ว เราอยู่ไหน? ก็อยู่ตรงนั้น  ถ้าวิญญาณเราออกจากร่าง เราอยู่ในอาณาจักรของความมืด เราก็อยู่ตรงนี้ ไม่มีทางเลือกแล้วตลอดไป ไม่มีใครช่วยให้เรารอดแล้ว ไม่มีพระเยซูอีกต่อไปแล้ว มีเราก็ทำอะไรไม่ได้ ช่วยอะไรไม่ได้ เพราะเราไม่สามารถใช้สิทธิในการเป็นมนุษย์ได้ เราเป็นวิญญาณที่อยู่ในความมืด เป็นวิญญาณที่อยู่กับมาร เป็นวิญญาณที่พินาศไปแล้ว

ท่านคิดดูว่ามันง่ายขนาดไหน? ท่านประกาศข่าวประเสริฐแค่นี้ ให้เขารับสิทธิเขา มันไม่ได้เกี่ยว ไม่ต้องทำอันโน้น อันนี้  ไม่ต้องทำอะไรเลย  ทำอย่างเดียว คือรับสิทธิสิ รับสิทธิ์ทำอย่างไร?

“ฉันเชื่อ พระเยซูไถ่บาปให้กับฉันใช่ไหม? ฉันเอาแล้ว ฉันเอาด้วยคน ใครไม่เอา ฉันไม่รู้ ฉันตัดสินใจเอาเท่านี้ เข้าใจไม่เข้าใจ ฉันเชื่อ เชื่อคนมาพูด ก็ได้”

ทันทีทันใดนั้น ท่านก็ย้ายมาอยู่ฝั่งสว่างเกิดอะไรขึ้น? วิญญาณท่านก็ขาวสะอาด ท่านอยู่ในสวรรค์แล้วทันทีเลย  ไม่ต้องรอให้ตายแล้วไปสวรรค์ ท่านเชื่อปุ๊บ ท่านอยู่ในสวรรค์ทันทีทันใดเลย แล้วจะอยู่ที่นี่ตลอดกาล ไม่มีใครเอาวิญญาณท่านออกไปได้แล้ว เพราะพระเจ้าคลุมตรงนี้อยู่ตลอด ไม่มีใครจะโผล่เข้ามาในแสงสว่าง แบบดวงอาทิตย์เป็นล้านๆ ดวงในวิญญาณของท่านอีก ไม่มีทางแล้ว ท่านอยู่ในสวรรค์แล้ว เอเมน วันหนึ่งท่านจะตายจากโลกนี้ ท่านจะดีใจมากเลย เพราะแค่ไปสู่อีกมิติหนึ่งเท่านั้นเอง ท่านก็พะงาบๆ หมดภารกิจสักที พอวิญญาณท่านออกจากร่างไป ท่านก็ไปอยู่สวรรค์ คราวนี้ท่านก็สบาย มองเห็นทุกอย่าง ไม่ต้องมาวุ่นวาย  ไม่ต้องนั่งแท็กซี่ ใช้เหาะไป อันนี้พูดไปเรื่อยเปื่อย แต่ไม่รู้เทคโนโลยีเป็นอย่างไร? แต่ท่านก็เหมือนพระเยซู ท่านไม่ต้องทุกข์ลำบากอีกแล้ว นั่งนานก็ไม่ได้ ไข่วห้างนานก็ไม่ได้ อะไรก็ยุ่งวุ่นวายไปหมด ท่านไม่ต้องวุ่นวาย วิญญาณท่านอยู่ในสวรรค์เหมือนเดิม ไม่ได้ไปไหนเลย

เพราะฉะนั้น เวลาที่บอกว่าพระบิดารอคอยเราอยู่ในสวรรค์ แปลว่าพระบิดารอคอยให้เราจากความมืด ย้ายมาสู่ความสว่าง จากนั้นพระบิดาไม่รอคอยแล้ว พระบิดารอคอยเราในสวรรค์ ก็คืออย่างนี้ พอเราขึ้นมาอย่างนี้ปุ๊บ อยู่กับพระบิดาแล้วตอนนี้  อยู่ในสวรรค์แล้ว เอเมน ขอพระเจ้าอวยพรครับ

 

******************************