คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 3 กันยายน 2017 เรื่อง “ความจริงจะทำให้ท่านเป็นไท” ตอน 1 “อาณาจักรแห่งความมืดกับความสว่าง” โดย นคร เวชสุภาพร

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  3  กันยายน  2017

 เรื่อง “ความจริงจะทำให้ท่านเป็นไท”

ตอน 1 “อาณาจักรแห่งความมืดกับความสว่าง”

โดย นคร  เวชสุภาพร

 

วันนี้เราจะมาเริ่มการบรรยายในซีรี่ย์ชุดใหม่ ชื่อชุดว่า “ความจริงจะทำให้ท่านเป็นไท” พระเยซูบอกว่าท่านจะรู้ความจริง และความจริงจะทำให้ท่านเป็นไท? ท่านเป็นใครที่สมควรรู้ความจริง ก็คือท่านเป็นผู้ที่พระเจ้าทรงรักมาก ส่งพระบุตรองค์เดียวของพระองค์มา บอกความจริงกับท่านว่าความจริง คืออะไร?

พระคัมภีร์ทั้งเล่ม เป็นเรื่องเกี่ยวกับความจริงทั้งสิ้น ความจริงที่มนุษย์ไม่รู้ และมีความจริงมากมาย ในพระคัมภีร์เล่มนี้ ถ้าเราได้เรียนรู้และเข้าใจอย่างถูกต้องแล้ว ชีวิตเราจะเป็นไทจริงๆ เป็นอิสรภาพจริงๆ พระเยซูบอกว่า Indeed แปลว่าจริงๆ You shall be setfree.  ท่านจะถูกทำให้เป็นอิสระ แล้วพระเยซูบอกว่า …

“เราเป็นความจริง”

คำว่า “เป็นอิสระ” หรือ “เป็นไท” ตรงนี้ คือเป็นไท จากความกลัว จากความวิตกกังวล และถ้าถามทุกคนว่าท่านกลัวอะไรมากที่สุด? ผลที่ได้มา 5 อันดับแรก ที่มนุษย์กลัวมากที่สุด คือ …

อันดับที่ 1      กลัวความตาย

อันดับที่ 2      กลัวความยากจน  ขัดสน

อันดับที่ 3      กลัวความเจ็บปวด   หรือเจ็บป่วย

อันดับที่ 4      กลัวผี

อันดับที่ 5      กลัวความมืด

มันถูกหมดเลย วิจัยดีมาก และในทางจิตวิทยา ตามหลักวิชาการบอกว่าต้นเหตุหลัก ที่สำคัญที่สุด ที่ทำให้มนุษย์มีความกลัว มีความวิตกกังวลมากที่สุด เพราะเราไม่มีคำตอบ เพราะเราไม่รู้ว่าความจริงคืออะไร? ยิ่งไม่รู้ ยิ่งกลัว รู้สะเลย กลับไม่กลัว นี่คือสิ่งที่เราจะมาเรียนกัน พระเยซูจึงบอกรู้ความจริง ความจริงจะทำให้เราเป็นอิสระจากความกลัว คนกลัวตาย ก็เพราะว่าไม่รู้ว่าตายแล้วเป็นอย่างไร?  จะไปไหน?  จะต้องเผชิญอะไรหลังจากความตาย

คนที่กลัวความยากจน ขัดสน ก็เพราะว่าจะเกิดอะไรขึ้น ก็ไม่รู้ เกิดเศรษฐกิจไม่ดีขึ้นมา อนาคตจะกินอะไร? นุ่งห่มอะไร? ดื่มอะไร? อยู่อย่างไร? ทำให้เขาเกิดความรู้สึกกลัวความขัดสน ถ้าขัดสน ใครจะช่วยเรา ถ้าตอนไม่มีกิน มันก็กลัว พอกลัวมากๆ ก็กลายเป็นโลภ ก็สั่งสมใหญ่เลย  ทำบาปทุกอย่าง ก็เพราะว่ากลัว

ทำไมผู้คนมากมายถึงชอบเรื่องพยากรณ์ ชอบเรื่องทำนายโชคชะตา ก็เพราะอยากรู้ว่าจะตายเมื่อไร? อยากรู้ว่าเมื่อไรจะรวยซะที? อยากรู้ว่าสุขภาพที่กำลังเสื่อมโทรม ที่เป็นโรคภัยไข้เจ็บอยู่  เมื่อไรมันจะหายซะที เพราะกลัว

คนที่กลัวความมืด กลัวผี ก็เพราะเขาไม่รู้ว่าในความมืดนั้น มีอะไรอยู่ พอกลัว ก็เกิดจินตนาการไปต่างๆ นานา จนกลายเป็นความกลัว จากใบกล้วย ก็กลายเป็นนางตานีได้ จากผลกล้วย  ก็กลายเป็นตัวเลขได้ นั่นไม่ใช่ความกลัว นั่นเป็นความโลภมากกว่า

เราจะมาเริ่มต้นค้นคว้า และเรียนรู้ไปด้วยกัน ในซีรี่ย์นี้ ความจริงจะทำให้เราเป็นไท

ตอนที่ 1 เราจะมาเรียนรู้ความจริง เกี่ยวกับอาณาจักรแห่งความมืดและอาณาจักรแห่งความสว่าง ซึ่งอาณาจักรแห่งความมืดกับความสว่างตรงนี้ ไม่ได้หมายถึงบนโลกวัตถุว่าห้องนี้สว่าง ห้องนั้นมืด แต่เราพูดถึงเรื่องโลกฝ่ายวิญญาณ ซึ่งสำคัญมาก

อาณาจักรในโลกฝ่ายวิญญาณที่พระคัมภีร์บอกว่ามีอยู่จริงๆ  แต่ความสามารถในตาเนื้อทางร่างกาย เราไม่เห็น และถึงแม้ว่าจะมองไม่เห็น แต่ลึกๆ ในใจของมนุษย์ก็เชื่อว่าโลกวิญญาณมีอยู่จริงๆ เพราะมนุษย์ทุกคนแสวงหาอะไรบางอย่าง ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดทางวิญญาณ เพราะเขารู้ว่าตัวเองเป็นวิญญาณ และวิญญาณของเขามาจากวิญญาณที่ใหญ่ๆ ในใจลึกๆ ข้างในมันรู้ ก็เลยพยายามที่จะหาอะไรบางอย่าง ถามว่าจะเชื่อไหม? ก็ไม่ชัดเจน เพราะไม่รู้ความจริงเรื่องนี้ ตามพระประสงค์ของพระเจ้าเดิม มนุษย์ถูกสร้างให้รับรู้และมองเห็นได้ในโลกวิญญาณ นี่คือความจริง พระคัมภีร์บันทึกไว้ พระเจ้าสร้างมนุษย์ให้สามารถมองเห็นทะลุเข้าไปในวิญญาณได้ ตอนเริ่มต้นใหม่ๆ แต่พอความบาปเข้ามา ก็ทำให้ตาฝ่ายวิญญาณมืดบอดไป ที่เคยมองเห็น ก็เลยกลายเป็นไม่เห็น ที่เราได้ยินบ่อยๆ คือตาในวิญญาณมันบอดไป มองไม่เห็นแล้ว พอมองไม่เห็น ก็เลยคิดว่ามันคงไม่มีจริง เพราะมองไม่เห็นพระเจ้า นึกว่าไม่มีพระเจ้ามั้ง แต่ในใจลึกๆ รู้สึกว่า …

“มีอะไรบางอย่าง ฉันคงมาจากที่ไหนสักแห่งหนึ่ง ฉันรู้ว่ามีโลกฝ่ายวิญญาณ เมื่อฉันจากโลกนี้ไป วิญญาณฉันจะไปที่ไหนสักแห่ง”

คือไม่ค่อยแน่ใจ เพราะไม่รู้ความจริง จนกว่าพระเจ้าจะเปิดตาฝ่ายวิญญาณของคนๆ นั้น ให้ได้รับรู้ความจริง ทางโลกวิญญาณนี้ และเชื่อในสิ่งนี้ แม้ตาฝ่ายร่างกายอาจจะไม่เห็นอยู่ แต่ท่านเชื่อแล้ว เพราะพระเจ้าเปิดตาวิญญาณของท่านให้รับรู้ ให้เริ่มต้นเห็น ท่านจึงเริ่มเชื่อ

พระคัมภีร์จึงบอกว่าถ้าท่านเชื่อในสิ่งที่มองไม่เห็น พระเจ้าพอพระทัย ชื่นชมยินดีมากแล้ว แค่นี้ ไม่ทันไรเลย ชื่นชมแล้ว เพราะโอกาสที่ท่านจะได้ไปในทางที่ดีมีเยอะแยะ เพราะพระเจ้ารักเรา

ฮีบรู 11:1-3 จึงบันทึกไว้อย่างนี้ “1 ความเชื่อ คือความแน่ใจในสิ่งที่เราหวังไว้ และมั่นใจในสิ่งที่เรามองไม่เห็น 2 เพราะความเชื่อนี้เอง ที่คนในสมัยก่อน ได้รับการทรงชมเชย 3 โดยความเชื่อ เราจึงเข้าใจว่าจักรวาลมีขึ้น โดยพระบัญชาของพระเจ้า ดังนั้น สิ่งที่มองเห็นอยู่ จึงไม่ได้เกิดจาก สิ่งที่เราเห็นได้ด้วยตา”

 

การเชื่อและมั่นใจในสิ่งที่มองไม่เห็น ที่ทำให้พระเจ้าพอพระทัยและชื่นชม ก็คือเชื่อว่าพระเจ้าทรงพระชนม์อยู่ คือเชื่อว่ามีพระเจ้าจริงๆ พอเรารู้ว่ามีพระเจ้าจริงๆ แค่นี้พระเจ้าดีใจมากเลย และการแสดงออกในความเชื่อว่าพระเจ้ามีอยู่จริงๆ  หรือทรงพระชนม์จริงๆ ก็คือเชื่อว่าทุกสิ่งที่มีอยู่ ที่ตาเรามองเห็น พระเจ้าเป็นผู้สร้างทั้งสิ้น ไม่นับสิ่งที่มองไม่เห็น คือมองทุกอย่าง เท่าที่มองเห็นบนโลกใบนี้ ทั้งดวงดาวต่างๆ เท่าที่เห็นนี้ ยังไม่นับที่มองไม่เห็น เชื่อว่ามีผู้สร้าง พอมีผู้สร้างปุ๊บ มันจบที่พระเจ้าหมด ไม่ว่าตั้งแต่สมัยไหน จนถึงสมัยนี้ หรือสมัยโน้นก็ตาม ทุกคนก็ต้องจบตรงที่ไม่รู้จะเรียกว่าอะไร?  จึงเรียกว่า “พระเจ้า” พระเจ้า แปลว่าผู้ยิ่งใหญ่ ผู้นั้น ที่อยู่ในโลกฝ่ายวิญญาณ เพราะไม่รู้ชื่อ ไม่รู้จะบอกว่าอย่างไร?

ที่บอกว่า “โดยความเชื่อ เราจึงเข้าใจว่าจักรวาลมีขึ้น โดยพระบัญชาของพระเจ้า เพราะฉะนั้นสิ่งที่มองเห็นอยู่ จึงไม่ได้เกิดจากสิ่งที่เราเห็นได้ด้วยตา”

ถามว่าตรงไหนสำคัญกว่าจากพระคัมภีร์ที่อ่านไปเมื่อสักครู่นี้ สิ่งที่มองเห็นอยู่ คือสิ่งที่เกิดขึ้นบนโลกใบนี้ ที่เราเห็นอยู่ ต้นไม้ ใบหญ้า มนุษย์ทั้งหลาย รถราอะไรต่างๆ เหล่านี้ สิ่งที่เรามองเห็นอยู่ จึงไม่ได้เกิดจากสิ่งที่เราเห็นได้ด้วยตา ก็คือไม่ได้เกิดจากสิ่งที่เราเห็นๆ อยู่นี้ ก็คือเกิดจากสิ่งที่เรามองไม่เห็น คือโลกฝ่ายวิญญาณ

คำว่า “จักรวาล” ตรงนี้ ไม่ใช่เพียงแค่โลก ที่ตะกี้นี้บอก ตามองเห็น มือจับต้องได้เท่านั้น แต่โลกที่เรากำลังอาศัยอยู่นี้ ยังมีโลกที่เราไม่สามารถมองเห็น หรือจับต้องด้วยร่างกายนี้ได้ ครอบอยู่ด้วย  พระคัมภีร์บอกไว้ว่าสิ่งที่ครอบอยู่ คือโลกฝ่ายวิญญาณนั่นเอง แค่นี้ก็เป็นอิสระแล้ว นี่คือความจริง โคโลสี 1:12-14 ดูว่าความจริงคืออะไร?

โคโลสี 1:12-14 “12 ขอบพระคุณพระบิดา ผู้ทรงทำให้พวกท่าน เหมาะสมที่จะมีส่วนในกรรมสิทธิ์ของประชากรของพระเจ้า ในอาณาจักรแห่งความสว่าง  13 เพราะพระองค์ ได้ทรงช่วยเรา ให้พ้นจากอาณาจักรแห่งความมืด และทรงนำเราเข้ามาสู่อาณาจักรของพระบุตรที่รักของพระองค์ 14 ในพระบุตรนี้ เราได้รับการไถ่บาป คือการอภัยโทษบาปของเรา”

 

“ผู้ทรงทำให้พวกท่านเหมาะสม ที่จะมีส่วนในกรรมสิทธิ์ของประชากรของพระเจ้า”

เขาเรียกเป็นภาษาแบบกฎหมายเลย  เหมือนสัญญา หรืออะไรบางอย่างที่เป็นเอกสาร ในนี้บอกว่าผู้ทรงทำให้พวกท่านเหมาะสมที่จะมีส่วน ในกรรมสิทธิ์ของประชากรของพระเจ้า ในอาณาจักรแห่งความสว่าง เพราะพระองค์ได้ทรงช่วยเราให้พ้นจากอาณาจักรแห่งความมืด โลกฝ่ายวิญญาณ ก็มี 2 อาณาจักร คืออาณาจักรแห่งความสว่าง และอาณาจักรแห่งความมืด ที่เรามองเห็นอยู่ ก็คือโลกนี้ที่เราจับต้องมองเห็นได้

ข้อที่ 13 กับ 14 บันทึกไว้อย่างนี้ “13 เพราะพระองค์ ได้ทรงช่วยเรา (เราคือมนุษย์ทุกคน) ให้พ้นจากอาณาจักรแห่งความมืด และทรงนำเราเข้ามาสู่อาณาจักรของพระบุตรที่รักของพระองค์ 14 ในพระบุตรนี้ (พระเยซู) เราได้รับการไถ่บาป คือการอภัยโทษบาปของเรา”

 

ในนี้บอกว่า “เพราะพระองค์ได้ทรงช่วยเรา” แปลว่าทำเสร็จแล้ว รอมาเอา จบ ไม่ใช่จะทรงช่วยเรา แต่ได้ช่วยเราแล้ว

อาณาจักรของพระบุตร คืออาณาจักรแห่งความสว่าง อาณาจักรของพระเยซู เราได้รับการไถ่บาป ก็คือเราได้รับการไถ่ตัว ออกจากอาณาจักรหนึ่ง ที่มีชื่อว่าอาณาจักรแห่งความมืด ออกมาสู่ความสว่าง

และเมื่อเราได้รับการไถ่ออกมาจากอาณาจักรแห่งความมืดแล้ว เราก็ถูกย้ายมาอยู่ในอาณาจักรแห่งความสว่าง ที่เรียกว่าอาณาจักรแห่งพระบุตร คือพระเยซู มีแค่นี้ ถ้าท่านไม่อยู่ในความสว่าง ท่านก็อยู่ในความมืด ไม่มีใครสามารถบอกว่า …

“ฉันไม่อยู่ทั้งสองอันเลย ฉันไม่เชื่อ เพราะฉะนั้น ฉันขออยู่ตรงกลาง คือเทาๆ ไม่สว่างไม่มืด สลัวๆ โรแมนติกดี” ไม่มีนะครับ

“ฉันขออยู่ระหว่างกลางของ 2 อาณาจักรนี้”

ไม่มี ไม่อันใดก็อันหนึ่ง ไม่สว่าง ก็มืด และมืด ก็ไม่มีการว่าอยู่แค่มืดนิดเดียว ไม่มี และอยู่แค่สว่างนิดเดียว ไม่มี มืดก็คือมืด สว่างก็คือสว่าง ท่านเป็นคนไทย ท่านก็เป็นคนไทย ท่านเป็นคนอังกฤษ ท่านก็เป็นคนอังกฤษ ท่านจะบอกว่า …

“ฉันเป็นคนไทยเหมือนกัน แต่เป็นคนไทยนิดเดียว” ไม่มี

ถ้าท่านถือบัตรประชาชนเป็นคนไทย ท่านก็คือคนไทย เอเมน เห็นภาพไหมครับ? โรม 5:10-11 บันทึกไว้อย่างนี้

โรม 5:10-11 “10 เพราะถ้าเรายังได้คืนดีกับพระเจ้า โดยการสิ้นพระชนม์ของพระบุตรของพระองค์ ในขณะที่เราเป็นศัตรูกับพระองค์ ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อเราได้คืนดีกับพระองค์แล้ว เราก็จะได้รับความรอด โดยพระชนม์ชีพของพระองค์อย่างแน่นอน 11 ไม่เพียงเท่านี้ แต่เรายังชื่นชมยินดีในพระเจ้า โดยทางองค์พระเยซูคริสต์เจ้าของเราด้วย บัดนี้ พระองค์ทรงทำให้เราคืนดีกับพระเจ้าแล้ว”

 

ในขณะที่เราเป็นศัตรูกับพระองค์ ก็คือตอนที่เรายังไม่เชื่อ เราเป็นศัตรูกับพระเจ้า

คำว่า “ศัตรู” ตรงนี้ ไม่ได้หมายความว่าศัตรูที่มาตีกัน ทะเลาะกัน ไม่ใช่ แต่หมายถึงสิ่งที่ตรงกันข้าม  เข้ากันไม่ได้ เช่น ความมืดเป็นศัตรูกับความสว่าง เข้ากันไม่ได้ คำว่าศัตรูแปลว่าอย่างนี้  เรากับพระเจ้าไม่สามารถที่จะเข้ากันได้ เรากับพระเจ้าไม่สามารถเป็นหนึ่งเดียวกันได้

แต่ “โดยพระเยซูคริสต์ เราได้คืนดี” ก็ตรงกันข้ามกับศัตรู ดีกันแล้ว เข้ากันได้แล้ว ไม่ได้เป็นศัตรูแล้ว

เรามาลองสมมติว่าคริสตจักรเราตอนนี้ คือโลกฝ่ายวิญญาณ ตัวจริงๆ ท่าน คือวิญญาณ

โลกฝ่ายวิญญาณ มีตั้งแต่พระเจ้าทรงสร้างโลกใหม่ๆ พระคัมภีร์บอกว่าพระสิริของพระเจ้า  คือความสว่างของพระเจ้า ความดีงาม สง่าราศีของพระเจ้า รัศมีของพระเจ้าทรงปกคลุมอยู่เหนือโลกนี้ รวมทั้งพวกเราที่อยู่ที่นี่ด้วย คือในโลกฝ่ายวิญญาณ เป็นอย่างนี้หมด แล้วจู่ๆ บรรพบุรุษของเรา คืออาดัม ก็ได้นำเอาเชื้อหนึ่ง ที่เรียกว่าความบาปเข้ามา  เหมือนเอดส์กระจายจากคนหนึ่ง ไปทีเดียวเลย มนุษย์ทั้งเผ่าพันธุ์ทั้งหมด ตกลงไปในความบาป แล้วเกิดความตายขึ้น

ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา โลกวิญญาณทั้งหมด ถูกครอบด้วยอาณาจักรหนึ่ง ที่เรียกว่าอาณาจักรของความมืด ไม่มีความสว่างเลย  ก่อนพระเยซูเกิด ประชากรของพระเจ้าที่พระเจ้านำพา ผ่านทางโมเสส ก็อยู่ในความมืดเหมือนกัน พระเจ้ายังต้องมีม่านกั้น ไม่ให้คนเข้ามาหาพระองค์ เพราะว่าแสงสว่างกับความมืดมันเข้ากันไม่ได้ ไม่อย่างนั้นมันจะเกิดความพิโรธ “พิโรธ” คือเป็นศัตรูกัน  เข้ากันไม่ได้ พระเจ้าก็วางแผนที่จะช่วยมนุษย์

จนย้อนจากนี้ไปประมาณ 2,000 ปีที่แล้ว แผนการพระเจ้าที่ให้พระบุตา คือพระเยซูมาเกิดเป็นมนุษย์ เพื่อช่วยให้มนุษย์มีทางเลือกใหม่ มีแสงสว่างเข้ามาบนโลกใบนี้ ซึ่งพระคัมภีร์เดิม บอกไว้ล่วงหน้าแล้วว่าพระบุตรจะถูกส่งมา เพื่อเป็นแสงสว่าง ตอนนี้มืดหมดเลย เสร็จแล้ววันนั้นเกิดขึ้น ไม่ใช่วันที่พระเยซูนอนอยู่รางหญ้า อันนั้นเป็นสัญลักษณ์เฉยๆ ว่ามีดาวเกิดขึ้น อันนี้พระเยซูเป็นความสว่างจริง แต่ความสว่างยังไม่ได้เข้ามา จนวันที่พระเยซูถูกตรึงที่ไม้กางเขน แล้วพระองค์สิ้นพระชนม์ ก่อนสิ้นพระชนม์ พระองค์บอกว่าสำเร็จแล้ว ไถ่บาปเสร็จแล้ว และอยู่ในอุโมงค์ 3 วัน และวันที่ 3 พระองค์ทรงเป็นขึ้นมาใหม่จากความตาย วันที่เป็นขึ้นมาจากความตาย วันนั้นแหละ โลกใบนี้จึงถูกปกคลุมด้วยแสงสว่างอีกครั้งหนึ่ง

ถามว่าแล้วอาณาจักรแห่งความมืดตะกี้นี้ไปไหน? นั่นไง ห้องคอนโทล ห้องนั้นยังมืดอยู่ ถามว่าแสงสว่างไปไหน? อยู่นี่แล้วไง (ห้องประชุม) แต่ทำไมห้องนั้นยังมืดอยู่ ก็เพราะในห้องนั้น เขายังไม่ย้ายเข้ามาอยู่ในนี้ มันขึ้นอยู่กับตัวเขาว่าเขาจะย้ายมามั๊ย ถ้าเขาเปิดประตู แล้วก็ต้อนรับพระเยซู แล้วก็ออกมา เขาก็มาอยู่ในแสงสว่างกับเรา

นี่คือหลักพระคัมภีร์ทั้งเล่ม ผมพยายามยกตัวอย่างให้ง่ายๆ ให้ท่านเห็นชัดๆ ในโลกวิญญาณมันเป็นอย่างนี้ ทุกวันนี้มันยังเป็นอย่างนี้อยู่ คือแสงสว่างเข้ามาแล้ว เคยได้ยินเพลงนี้ หรือข้อพระคัมภีร์นี้ไหม?

“ความมืดต้องเผ่นไป  เมื่อแสงสว่างเข้ามา”

เผ่นไปนะ ไม่ใช่หายไป  มันก็ไปอยู่ของมัน มันยังไม่สิ้นสุดการงานของพระเจ้าที่ครบถ้วนบริบูรณ์ แต่อาณาจักรของพระเจ้า เริ่มต้นตั้งแต่วันที่พระเยซูเป็นขึ้นจากความตายแล้ว เมื่อ 2,000 ปีก่อน แล้วใครที่ยังอยู่ในอาณาจักรของความมืดอยู่ ก็คือผู้ที่ยังไม่เชื่อในข่าวดี ที่พระเยซูทำที่ไม้กางเขน  ที่เป็นขึ้นจากความตาย ในวันที่ 3  เขาอาจจะเคยได้ยินมา แต่เขาไม่เชื่อ เขาก็ยังดำเนินอยู่ในอาณาจักรความมืดต่อไป  เพราะเขาไม่ได้ต้อนรับพระเยซูมาเป็นผู้ช่วยให้รอด จากอาณาจักรของความมืดมาสู่ความสว่าง ถ้าเขายอมเชื่อ เขาก็ได้ ท่านเห็นภาพไหม?

ที่ยกตัวอย่างแบบนี้  เพราะว่าโลกฝ่ายวิญญาณ ที่เรากำลังศึกษากันอยู่นี้ เราไม่สามารถเห็นได้ด้วยตา ถึงต้องพยายามยกตัวอย่างให้ท่านเห็นภาพชัด แล้วท่านต้องเอาไปเล่าต่อไปเรื่อยๆ ให้มันชัดขึ้นทุกวันๆ เพราะว่าโลกฝ่ายวิญญาณ มันต้องอาศัยความเชื่อ และในขณะเดียวกัน ก็ต้องยกตัวอย่างอะไรบางอย่างให้เราเห็นภาพ มันถึงเข้าใจมาก ลึกซึ้งมากยิ่งขึ้นนั่นเอง พระคัมภีร์จึงบอกว่าเราต้องใช้ความเชื่อ เมื่อพระคัมภีร์บอกอย่างนั้น และเรารู้ว่าทุกสิ่งที่กล่าวไว้ในพระคัมภีร์เป็นจริงๆ ต่อให้ไม่ยกตัวอย่างให้เห็น พระคัมภีร์บอกไว้อย่างนี้  เราก็เชื่อตามนั้น

“จะเข้าใจหรือไม่เข้าใจ จะยกตัวอย่างหรือไม่ยก ฉันเชื่อตามพระคัมภีร์ พระคัมภีร์บอกอย่างนี้ ฉันก็เชื่อ พระคัมภีร์บอกตอนนี้ฉันอยู่ในอาณาจักรแห่งความสว่าง ฉันก็บอกว่าฉันอยู่ในอาณาจักรแห่งความสว่าง  พระคัมภีร์บอกว่าฉันนั่งอยู่กับพระเยซูคริสต์  เบื้องขวาของพระเจ้า  ในสวรรค์สถาน ฉันก็นั่งอยู่ ใครจะมาว่าอย่างไร ฉันไม่รู้ ฉันกำลังนั่งอยู่ ใครหาว่าฉันบ้า ฉันไม่รู้ ฉันรู้ว่าพระคัมภีร์บอกว่าฉันนั่งอยู่ ฉันก็นั่งอยู่จริงๆ ในขณะที่ฉันนั่งอยู่ในโบสถ์ แต่ในทางโลกวิญญาณ ที่ครอบอยู่นั่น ฉันนั่งอยู่กับพระเยซูคริสต์ที่เบื้องขวาของพระเจ้า”

ฮีบรู 11:6  จึงบันทึกอย่างนี้ “ถ้าไม่มีความเชื่อ ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะทำให้พระเจ้าพอพระทัย เพราะผู้ที่จะมาหาพระเจ้า ต้องเชื่อว่าพระองค์ทรงดำรงอยู่ และประทานบำเหน็จแก่คนเหล่านั้น ที่แสวงหาพระองค์อย่างจริงจัง” เอเมน

 

ตะกี้ที่ผมพูด พระองค์ดีใจมากเลยที่ใช้ความเชื่อ

“เชื่อฉันดีแล้ว เพราะถ้าเธอเชื่อสายตาเธอ เธอไม่ได้ไปถึงไหนเลย มัวแต่นั่ง ไม่ไปไหน?”

พระเจ้าสอนเราว่า … “มีอาณาจักรหนึ่ง โลกหนึ่ง มิติหนึ่ง ซึ่งเรียกว่าโลกฝ่ายวิญญาณ ซึ่งความสามารถของตาเธอ ตามนุษย์ ไม่สามารถมองเห็นได้ แต่มันมีอยู่จริงๆ ลูกเอ่ย และเป็นโลกที่มีอิทธิพลต่อฝ่ายวัตถุนี้อย่างมากมาย ซึ่งเรามองไม่เห็นด้วยตา”

โลกที่เรามองเห็นอยู่  คือโลกวัตถุนี้  พระคัมภีร์บอกว่าเป็นแค่ชั่วคราว แป๊บเดียว เดี๋ยวมันก็ผ่านพ้นไปแล้ว แต่ในโลกฝ่ายวิญญาณที่กำลังพูดถึง ที่พระเยซูบอกให้เราดู ที่พระเยซูเป็นหัวหน้า ให้เราเห็น มันอยู่ถาวรนิรันดร์ ที่เขาพูดกันตามพระคัมภีร์ 1,000 ปีของเรา เท่ากับ 1 วันของพระเจ้า แว๊บ ไปแล้ว 1,000 ปี = 1 วัน เพราะฉะนั้น อายุยาวมาก 100 ปี เท่ากับกี่นาที? แป๊บเดียว เราอยู่กันไม่กี่นาทีของพระเจ้า พระคัมภีร์จึงบอกว่าชีวิตมนุษย์ เหมือนลมหายใจ วันหนึ่งผ่านไปแล้ว ยังไม่ถึงวันเลย ผ่านไปแล้ว แต่โลกวิญญาณมันอยู่ตลอด ยาวนานมาก

สิ่งต่างๆ ของโลกใบนี้ ที่ได้เกิดขึ้นแล้ว ประวัติศาสตร์อะไรก็ว่าไป  ที่กำลังเกิดขึ้น บนโลกใบนี้ และทุกสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นอยู่ในขณะนี้ และที่จะเกิดขึ้นบนโลกใบนี้อีก เกิดขึ้นจากต้นเหตุในโลกวิญญาณก่อนเสมอ ท่านเชื่อไหม? เชื่อ เพราะพระคัมภีร์เขียนไว้อย่างนั้น

นี่คืออันดับแรกที่มนุษย์ทุกคนควรจะรู้ และต้องรู้ เพื่อแก้ปัญหาชีวิต เพื่อดำเนินชีวิตให้ถูกต้อง แม่นยำในโลกใบนี้ คือรู้ตื้นลึกหนาบางของชีวิต ของตัวเราเอง ของโลกใบนี้ ว่ามันคืออะไร? เป็นอย่างไร?  ปัญหามันคืออะไร?  ถ้าเรารู้แหล่งว่ามันเป็นมาจากตรงนี้ เราก็แก้ถูก  ถ้าเรามัวแต่คิดว่าบนโลกใบนี้เกิดอย่างนี้ขึ้น เพราะอย่างนี้ มันมีเหตุผลมากมาย ใช่หมด ถูกหมด แต่ลึกกว่าเหตุผล ที่มนุษย์คิดไว้ มันมีอยู่บนโลกวิญญาณอีกทีหนึ่ง ทำให้เกิดสิ่งนี้ขึ้น  เชื่อยากจริงๆ เอะอะอะไรก็จะใช้ความคิดของเราอยู่เสมอ เพราะมันเห็นจริงๆ มันถูกแหละ แต่ก่อนที่เขาจะทำ มีอะไรบางอย่างในโลกวิญญาณที่มองไม่เห็นด้วย มันเชื่อยาก เราจึงจำเป็นต้องบังคับตัวเราเอง ให้เชื่อฟังถ้อยคำพระเจ้า ภาษาพระคัมภีร์บอกว่านำเอาเนื้อหนังเรา ที่ชอบคิดเอง จับมันเป็นตัวประกัน แล้วสั่งมันว่า …

“จงเชื่อตามถ้อยคำพระเจ้า”

เหมือนเราดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้  ก็เลยต้องทำอย่างนี้ ดูเหมือนยาก แต่ฝึกๆ ไป ก็จะไม่ยาก บางครั้งต้องสะบัดหน้า แล้วบอกว่า “ไม่ใช่” มันมีอะไรบางอย่างข้างบน ขณะที่เขาทะเลาะกันจะเป็นจะตาย ดูเหมือนคนนี้ทำผิด ดูเหมือนคนนั้นทำถูก หาเหตุผลแทบตาย เราต้องสะบัดหน้า แล้วแก้ปัญหาในโลกนี้อย่างนี้ แต่เรารู้ว่าบางอย่างเกิดขึ้นในโลกวิญญาณ ทำให้เกิดเรื่องอย่างนี้ เข้าใจไหม?  ซึ่งมันยาก ถ้าเราไม่รู้ความจริง ตรงนี้

ถ้าเราไม่รู้ว่ามีโลกวิญญาณจริงๆ พระคัมภีร์ยกตัวอย่าง เราก็จะเหมือนคนตาบอด อยู่บนโลกใบนี้  ก็เดินแบบสะเปะสะปะ ไม่รู้ตื้นลึกหนาบาง ไม่รู้อะไรอยู่กับเรา ชนอะไรก็ไม่รู้ พระคัมภีร์จึงบอกว่าพระเจ้าเปิดตาวิญญาณเรา ให้ตาเราสว่างขึ้น ให้รับรู้ถึงความจริงในโลกวิญญาณก่อนอื่นเลย  ไม่อย่างนั้นจะนำเราต่อไปได้อย่างไร?  พอท่านมารับเชื่อพระเจ้า พอท่านเข้ามาสู่อาณาจักรแห่งแสงสว่าง พระเจ้าทำสิ่งแรกกับท่าน คือเปิดตาฝ่ายวิญญาณของท่าน  ท่านเชื่อไหมว่าเป็นอย่างนี้

นี่คือความเป็นจริงในโลกวิญญาณ ถ้าตาฝ่ายวิญญาณไม่เปิด ท่านจะเดินสะเปสะปะมาก

แล้วพระคริสต์ก็นำหน้าเราไป พระหัตถ์พระองค์ทรงจูงมือข้า แล้วเราเต็มใจไหม?  “เต็มใจเดินตาม ด้วยความเปรมปรีดิ์ พระหัตถ์พระองค์ทรงนำทุกที” แต่ส่วนใหญ่เราจะร้อง “ไม่ค่อยเต็มใจเดินตาม” เพราะเรามองไม่เห็น เราอยากจะหาเหตุผล แล้วก็เดินด้วยตัวเอง นี่แหละเนื้อหนัง มันเป็นอย่างนี้

พอใจมนุษย์คนหนึ่งที่เริ่มต้นเชื่อว่ามีโลกฝ่ายวิญญาณ มีมิติวิญญาณ มีอีกอาณาจักรหนึ่ง ที่เรียกว่าอาณาจักรวิญญาณ และมีพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์อยู่ที่นั่น ไม่ต้องเรียนรู้อะไรมาก แค่นี้ พระเจ้าก็ดีใจมากๆ แล้ว และมนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตเดียวบนโลกใบนี้ ที่เป็นวิญญาณ สัตว์ไม่มีวิญญาณ มีแต่สัญชาตญาณ พืชไม่มีวิญญาณ มีแต่ชีวิต ก้อนหินไม่มีวิญญาณ มีแต่ชีวิตเหมือนกัน ท่านจะเห็นว่าไม่เหมือนกัน สัตว์ก็มีชีวิต แต่ไม่มีวิญญาณ แต่ก็ยังสูงกว่าต้นไม้ พืช  ต้นไม้ก็ไม่มีวิญญาณ มีแต่ชีวิต แต่ลำดับเตี้ยกว่า เพราะเดินไปไหนมาไหนไม่ได้ แต่สัตว์ยังเดินไปได้ ต้นไม้ไฟไหม้มา มันก็อยู่กับที่ สัตว์ยังรู้จักวิ่งหนี แต่ไม่มีวิญญาณ ไม่รู้จักคิด มีแต่สัญชาตญาณ พอไปก้อนหินยิ่งแย่กว่า มีชีวิตเหมือนกัน แต่เป็นชีวิตที่ต่ำกว่าต้นไม้อีก ก็คือมันไม่มีอะไรเลย

มนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตเดียว ที่เป็นวิญญาณ ท่านเคยเห็นสัตว์รวมตัวกันทำพิธีกรรมทางวิญญาณ หรือทางศาสนาไหม?  ยกตัวอย่างรวมตัวกันสวดมนต์ รวมตัวกันอธิษฐาน ไม่เคยเห็น ตั้งแต่สมัยมนุษย์ยังไม่นุ่งผ้าเลย  ใส่ใบไม้ใบหญ้าปกปิดแค่นั้น ก็ทำพิธีทางวิญญาณแล้ว เขาให้หมอผีทำอะไรบางอย่าง เพื่อให้ผลหมากรากไม้เติบโตดี นี่ไง  ในยอห์น 12:46-48 บอกว่า …

ยอห์น 12:46-48 “46 เราเข้ามาในโลก ในฐานะที่เป็นความสว่าง เพื่อทุกคนที่เชื่อในเราจะไม่อยู่ในความมืด 47 “ส่วนผู้ที่ได้ยินคำของเรา แล้วไม่ปฏิบัติตาม เราไม่พิพากษาเขา เพราะเราไม่ได้มา เพื่อพิพากษาโลก แต่เพื่อช่วยโลกให้รอด 48 มีผู้พิพากษา สำหรับคนที่ปฏิเสธเรา และไม่ยอมรับถ้อยคำของเราอยู่แล้ว คือถ้อยคำที่เรากล่าวนั้นเอง จะตัดสินลงโทษเขา ในวันสุดท้ายนั้น”

 

พระเยซูอยู่ในอาณาจักรแห่งความสว่าง ส่วนมารอยู่ในอาณาจักรของความมืด ความสว่างเข้ามา แต่ความมืดไม่ได้หายไป โลกนี้ยังอยู่ในความมืด แต่พระองค์นำเอาความสว่างมา ใครอยากจะอยู่ในความสว่าง ก็ไปหาพระองค์ คำพูดของพระเยซูได้บอกเราแล้วว่าเราอยู่ในความมืด และพระองค์มาช่วยเราให้เข้าไปอยู่ในความสว่าง ซึ่งตัวเราเองไม่สามารถที่จะทำด้วยตัวเราเองได้  เราไม่สามารถย้ายตัวเราเองได้ พระเยซูเป็นความสว่าง เป็นความจริง

นี่คือข่าวดีของพระเยซู ผู้ใดได้ยินแล้ว เชื่อและปฏิบัติตาม แปลว่าเชื่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แบบวิทยาศาสตร์ แบบประวัติศาสตร์ของเผ่าพันธุ์มนุษย์ที่เกิดขึ้น  ก็ทำตามแค่นั้นเอง คือยอมรับให้พระเยซูมาเป็นพระผู้ช่วยให้รอดประจำตัว ก็จะได้รับความรอดจากความมืด คือรับสิทธิที่พระเยซูทำให้ที่ไม้กางเขน รับเฉยๆ แค่นั้นเอง ไม่ต้องทำอะไรเลย

คุณสมบัติ ที่พระเยซูตั้งไว้ว่าคนที่เข้ามาอยู่ในแสงสว่าง ผ่านทางพระองค์ได้ ขอให้เป็นมนุษย์เท่านั้นเอง ไม่ต้องเอาความดีความชอบ ฉันทำอันนั้น ฉันเป็นอันนี้ ไม่ต้องเลย เลวเท่าไร ก็ไม่พูดถึง ดีเท่าไร ก็ไม่พูดถึง จะจ่ายเท่าไร ก็ไม่พูดถึง จะไม่จ่ายเลย ก็ไม่พูดถึง จะว่าฉันมาก่อน ก็ไม่พูดถึง จะดูถูกฉันก่อน ก็ไม่สนใจเลย เพราะฉันทำให้ไปนานแล้ว มารับไป ฟรี แม้ว่าตอนนี้จะอยู่บนโลกใบนี้อยู่ แต่โลกฝ่ายวิญญาณที่ครอบอยู่ มี 2 อาณาจักรนั้น  เขาจะย้ายจากความมืด เข้าไปอยู่ในความสว่าง พระคัมภีร์ที่บันทึกไว้อย่างนี้ทั้งหมดเลย

ส่วนผู้ใดที่ได้ยิน แล้วไม่เชื่อ ไม่ยอมรับพระเยซูมาเป็นผู้ช่วยให้รอด ประจำตัว ไม่เชื่อในสิ่งที่พระเยซูพูด ก็จะไม่ได้รับความรอดนั้น คือไม่ได้เข้ามาอยู่ในความสว่าง ก็ยังคงอยู่ที่เดิม คือ อาณาจักรของความมืด พระเยซูไม่ได้ทำอะไรเลยสักนิด มาช่วยเฉยๆ ไม่ได้ไปตัดสินอะไร เขาก็ยังอยู่ที่เดิม เอเฟซัส 5:8 บันทึกไว้อย่างนี้

เอเฟซัส 5:8 “เพราะเมื่อก่อนท่านเป็นความมืด แต่เดี๋ยวนี้ ท่านเป็นความสว่าง ในองค์พระผู้เป็นเจ้า จงดำเนินชีวิตอย่างลูกของความสว่าง”

 

พระเยซูบอกเราว่า …

“เมื่อก่อนท่านเป็นความมืด” ไม่ใช่มีความมืด

“แต่เดี๋ยวนี้ท่านเป็นความสว่าง” ไม่ใช่มีความสว่าง

เราเป็นความสว่าง ถ้าเมื่อก่อนเรามีความมืด เราคงสามารถใช้เวลาในการขจัดความมืดให้ออกไปจากชีวิตได้ ทีละนิดทีละหน่อย แล้วคงสามารถพยายามที่จะสั่งสมความสว่างให้มีขึ้นในชีวิตได้ ในทำนองเดียวกัน ยกตัวอย่าง เราเกิดเป็นผู้หญิง หรือเป็นผู้ชาย เราไม่ใช่เกิดมามีผู้หญิง หรือมีผู้ชาย เพราะฉะนั้น เราจึงไม่สามารถที่จะเอาเพศหญิง เพศชายออกไปจากชีวิตเราได้ เพราะมันเป็น ถึงแม้ว่าเราจะพยายาม หรือใช้เทคโนโลยีอะไรก็ตาม มันก็ดูเหมือนเท่านั้น ไม่ใช่ของจริง ของจริงเป็นอย่างไร?  มันก็เป็นอย่างนั้น  แล้วใครล่ะ ที่จะสามารถช่วยมนุษย์ให้หลุดพ้นจากอาณาจักรของความมืด มาสู่อาณาจักรของความสว่างได้ หลุดพ้นจากโทษของความบาปได้ ในโคโลสี 1:12-14 บันทึกอย่างชัดเจน นี่คือสิทธิที่เกิดขึ้นในโลกวิญญาณ กระทบลงมาถึงโลกฝ่ายวัตถุ คือมนุษย์ทุกคนที่เดินอยู่บนโลกใบนี้ด้วยว่ามันเป็นอย่างนี้ สิทธิที่เกิดขึ้นเมื่อ 2,000 ปีก่อน มาดูว่าพระเจ้าบอกว่าอย่างไร?

โคโลสี 1:12-14 “12 ขอบพระคุณพระบิดา ผู้ทรงทำให้พวกท่าน เหมาะสมที่จะมีส่วนในกรรมสิทธิ์ของประชากรของพระเจ้า ในอาณาจักรแห่งความสว่าง 13 เพราะพระองค์ได้ทรงช่วยเรา ให้พ้นจากอาณาจักรแห่งความมืด และทรงนำเรา เข้ามาสู่อาณาจักรของพระบุตรที่รักของพระองค์ 14 ในพระบุตรนี้ เราได้รับการไถ่บาป คือการอภัยโทษบาปของเรา”

 

เพราะพระองค์ได้ทรงช่วยเราให้พ้นจากความมืด คือทำสำเร็จแล้ว ย้ายเราแล้ว เราใช้สิทธิของเราเท่านั้นเอง ถึงบอกว่าไม่ต้องจ่ายอะไร?  เพราะพระเยซูทำหมดแล้ว ได้ทำแล้ว นี่คือสิทธิ์ที่เกิดขึ้นในโลกวิญญาณ มันเป็นอย่างนี้จริงๆ เพราะเป็นโลกที่สำคัญกว่าโลกวัตถุบนนี้  เพราะมันยาวนาน  ไม่ว่าท่านจะเชื่อหรือไม่เชื่อก็ตาม แต่พระเจ้าได้บอกความจริงให้เราทราบถึงเรื่องเกี่ยวกับโลกฝ่ายวิญญาณว่ามีอยู่จริงๆ จริงยิ่งกว่าโลกฝ่ายวัตถุ ที่มองเห็นด้วยตานี้อีก และโลกฝ่ายวิญญาณนี้ มีเพียง 2 อาณาจักรเท่านั้น คืออาณาจักรแห่งความสว่างและอาณาจักรแห่งความมืด และมนุษย์ทุกคนต้องอยู่ในอาณาจักรใดอาณาจักรหนึ่ง ในโลกวิญญาณนี้อย่างแน่นอน ไม่ว่าจะเป็นอาณาจักรแห่งความมืด หรืออาณาจักรแห่งความสว่าง นี่คือความจริง

และนี่คือสิ่งที่บอกว่าความจริงจะทำให้ท่านเป็นไท พระองค์ไม่ได้มาเพื่อพิพากษามนุษย์ ลงโทษมนุษย์ แต่พระองค์นำเอาความสว่างมาช่วยเรา ก่อนที่พระเยซูมา เราอยู่ในความมืด เราไม่มีทางออกเลย ไม่ว่าจะเป็นยิว ไม่ยิว อิสราเอล ประชากรของพระเจ้า หรือต่างชาติ ทุกคนอยู่ในความมืดหมด แต่ตอนนี้ ตั้งแต่ที่พระเยซูตายที่ไม้กางเขน หลั่งพระโลหิต และเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่สาม แสงสว่างได้เข้ามาแล้ว พระคัมภีร์บอกว่าตอนที่พระองค์มา แสงสว่างได้เข้ามา ตอนพระเยซูเกิด ก็ทำให้มีดวงดาวพิเศษดวงหนึ่ง

นั่นเป็นสัญลักษณ์เฉยๆ ว่าพระองค์ คือแสงสว่าง แต่ในพระคัมภีร์ทั้งเล่ม เขียนอยู่แล้วว่าวันนั้น แสงสว่างจะเข้ามาบนโลก แสงสว่างจะส่องเข้ามา หลังจากวันที่พระเยซูคริสต์ตายที่ไม้กางเขน และเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่ 3 นั่นเอง โลกที่เคยมืดมาตลอด เป็นหลายพันปี เพราะก่อนหน้าความมืดจะเข้ามานั้น มันไม่มีวันไม่มีเวลา มนุษย์ยังอยู่นิรันดร์อยู่ตอนนั้น ถ้าอาดัมไม่ได้นำเอาไวรัสบาปเข้ามา มนุษย์ก็ยังอยู่ในนิรันดร์ตลอด ไม่มีการนับวันนับคืน ไม่ต้องตาย แต่เข้ามาปุ๊บ ก็ต้องนับ 1 ทันที เพราะความตายเข้ามาแล้ว โลกที่เคยอยู่ในความมืดมาตลอด

ตอนนี้มีให้เลือกแล้ว คือมีอาณาจักรเกิดขึ้นแล้ว คืออาณาจักรแห่งความสว่าง ท่ามกลางความมืด แต่ก่อนนี้ไม่มี เพิ่งจะมีเมื่อประมาณ 2,000 ปีนี่เอง มีให้เลือกแล้ว มันไม่ได้เกี่ยวกับเปลี่ยนศาสนา ไม่ใช่เลย จะอยู่บนโลกใบนี้ จะเป็นศาสนาอะไร? จะเป็นใครอย่างไร? จะทำอะไรก็เชิญเถอะ ประเพณีเป็นอย่างไรก็ว่ากันไป ยิ่งพูดยิ่งชัด มันคนละเรื่องเลย เรากำลังพูดถึงวิทยาศาสตร์ สูงกว่าวิทยาศาสตร์อีก คือเข้าไปในมิติหนึ่ง ที่เรียกว่าโลกวิญญาณ มันมีอยู่จริงๆ ท่านนักวิทยาศาสตร์ทั้งหลาย ถ้าท่านลองอ่านในบันทึก ในพระคัมภีร์นี้ดู วันหนึ่งท่านก็จะได้เห็นเหมือนกับที่บอกว่าดวงดาวมองไม่เห็น แล้วบอกว่าไม่มี หรือที่พระคัมภีร์บอกโลกกลม ท่านบอกโลกแบน วันหนึ่งท่านจะเจอความจริง เรื่องนี้เช่นเดียวกัน เพราะฉะนั้น ท่านก็ตัดสินใจเองว่าท่านจะเลือกหรือไม่เลือก อะไรที่เป็นความจริง มันก็เป็นความจริงวันยังค่ำ ไม่ว่าท่านจะปฏิเสธหรือไม่? ตามหลักการพระคัมภีร์แล้ว ผมก็จะสรุปให้ท่านฟังคร่าวๆ

ในอาณาจักรแห่งความสว่าง มีพระเจ้าพระบิดา  พระเจ้าพระบุตรพระเยซู  พระเจ้าพระวิญญาณบริสุทธิ์เป็นหนึ่งเดียวกัน และมีเหล่าทูตสวรรค์ หัวหน้าทูตสวรรค์ มีชื่อว่ามีคาเอลกับกาเบรียล และกองทัพทูตสวรรค์อีกมากมาย 66.6% ของทูตสวรรค์ที่พระเจ้าได้สร้างขึ้นมาทั้งหมด ในพระคัมภีร์บอกว่าทูตสวรรค์ถูกสร้างขึ้นมา เพื่อรับใช้มนุษย์  ทำงานร่วมกัน เพื่อมนุษย์อย่างเดียวเลย ยกเว้นทูตสวรรค์ที่ตกกระป๋อง ที่กบฏ คือลูซีเฟอร์ หรือมีอีกชื่อหนึ่ง เมื่อตอนตกกระป๋อง ชื่อซาตาน และมันก็หลอกบรรดากองทัพทูตสวรรค์ที่ตามมันไปอีก 33.33%  ของเราเยอะกว่าตั้งเยอะเลย ไม่นับถึงพระเจ้านะ

ทูตสวรรค์เหล่านี้ คอยดูแลเรา ดูแลลูกๆ ของพระเจ้า ในอาณาจักรแห่งแสงสว่าง เพราะเขายินดีให้ดูแลไง ไปอยู่ในความมืด แล้วเขาจะไปดูแลได้อย่างไร? มันคนละที่กัน ทุกคนที่มาเชื่อพระเจ้า เป็นลูกแห่งความสว่าง

และทั้งหมด กองทัพใหญ่ๆ นี้ ทั้งทูตสวรรค์ ทั้งพระเจ้าผู้บัญชาการ พระเยซูผู้ได้รับสิทธิอำนาจจากพระเจ้า อยู่ที่เบื้องขวาพระเจ้า ในโลกวิญญาณ กำลังดูแล นำพาลูกๆ หรือประชากรในแสงสว่าง ด้วยความรักแท้ จริงใจ ซื่อตรง เพราะเป็นพ่อ มอบสิ่งที่ดีที่สุดให้กับเรา เหมือนที่พระเยซูบอกว่าท่านเคยเป็นคนบาปใช่ไหม? ท่านเคยคิดไหมว่าท่านเคยเป็นคนบาป ท่านเคยคิดไหมที่จะให้สิ่งที่ไม่ดีกับลูกของตัวเอง ท่านยังไม่เคยคิดอย่างนั้นเลย แล้วพ่อผู้สถิตในสวรรค์สถาน จะให้สิ่งที่ดีกับท่านขนาดไหน? พระเยซูพูดเอง

เพราะฉะนั้น พระเจ้าและกองทัพที่พูดมาตะกี้ทั้งหมดในโลกวิญญาณ กำลังกำหนดอะไรต่างๆ ให้กับนครได้สิ่งที่ดีที่สุด  เอเมน ถ้าท่านเชื่อว่าในโลกฝ่ายวิญญาณมีจริง และกำหนดโลกใบนี้อยู่ ผมต้องได้อะไรก็ตามที่มันดีที่สุด แต่ไม่ใช่ตามสายตาของผมนะ ตามน้ำพระทัยพระเจ้า แต่ดีที่สุดสำหรับผม เพราะโลกใบนี้มันแป๊บเดียว พระเจ้ามองที่นิรันดร์มากกว่า ที่ผมจะไปอยู่กับพระองค์นิรันดร์ เอเมน

เมื่อเราได้มาอาศัยในอาณาจักรแห่งความสว่างของพระเยซูคริสต์นี้แล้ว จงวางใจว่ากองทัพของพระเจ้า และ 3 พระภาคของพระเจ้า คือพระเจ้าพระบิดา พระเจ้าพระบุตร พระเจ้าพระวิญญาณบริสุทธิ์สามารถควบคุมสถานการณ์ทุกอย่างที่เกิดขึ้นในชีวิตเรา ให้เป็นผลดีกับเราอย่างแน่นอน และประชากรของพระองค์ทุกคน ก็จะได้สิ่งที่ดีอย่างแน่นอน ไปจนถึงนิรันดร์ มันต้องเห็นอย่างนี้ให้ได้ มันถึงเผชิญกับทุกสิ่งได้ ทุกสิ่งที่เราเผชิญอยู่ในโลกวัตถุนี้ ที่เรามองเห็นอยู่วันนี้ ที่มีผลกระทบมาถึงชีวิตของเรา เป็นสิ่งที่เกิดผลดีกับเราอย่างแน่นอน เพราะพระคัมภีร์บันทึกไว้อย่างนั้น แม้เราจะเห็นว่ามันไม่ดี แต่มันดี เราสามารถวางใจได้ ถามว่าที่ผมพูดมาอย่างนี้ วางใจได้ไหม? กองทัพใหญ่เบ้อเริ่มเทิ่ม ทำงานเพื่อเรา พระเยซูจึงตรัสว่า …

“ผู้ใดแบกภาระหนัก และเหน็ดเหนื่อยจงมาหาเรา เราจะให้ผู้นั้นหายเหนื่อยและเป็นสุข”

ใครที่รู้สึกเหนื่อยในการอยู่ในอาณาจักรแห่งความมืดมาก่อน รีบๆ ย้ายมาอยู่อาณาจักรแห่งความสว่าง จะได้หายเหนื่อยและเป็นสุข เอเมน พระเจ้าพระบิดา นำโดยพระเยซูและกองทัพทั้งปวงของความสว่าง  กำลังนำพาเราทุกวัน ทุกเสี้ยววินาที ซึ่งเป็นประชากรของพระองค์ อาณาจักรแห่งความสว่างนี้ ไปสู่จุดหมายปลายทาง คือสันติสุข สุขนิรันดร์ในสวรรค์สถาน  แต่โดยขั้นตอนสุดท้าย คือการปลดแอกเรา ปลดวิญญาณเรา ออกจากร่าง ซึ่งอยู่ใต้สภาพของเนื้อหนัง ที่เราเห็นนี้ แก่ลงทุกวัน เหี่ยวลงทุกวัน เดี๋ยวก็ตายแล้ว ถูกไหม? ขั้นตอนสุดท้าย คือปลดแอกวิญญาณของเรา นำวิญญาณเราออกจากร่าง

กองทัพที่อยู่ในโลกวิญญาณ ทำทุกอย่าง เมื่อถึงวันที่พระองค์ทรงใช้เรา หมดหน้าที่แล้ว นำวิญญาณเราออกจากร่าง ซึ่งอยู่ภายใต้สภาพเป็นเนื้อหนังที่เก่าๆ ไปสู่อาณาจักร ไปสู่มิติในโลกวิญญาณ เพื่อรอรับร่างกายใหม่ ร่างกายทางวิญญาณใหม่ ที่เป็นอิสรภาพจากอิทธิพลบาป ไม่เน่า ไม่เปื่อย ไม่แก่ ไม่ต้องทาหน้า ไม่ต้องย่นอีกต่อไป นี่มันเป็นจริงๆ ทั้งหมด ความจริง ทำให้เราเป็นไท

เปาโลจึงบอกว่าถ้ามีชีวิตอยู่ในร่างกายนี้ ก็จะอยู่เพื่อปฏิบัติ เพื่อพระคริสต์ ไม่ใช่ เพื่อไปทำงานรับใช้ ไม่ใช่หมายถึงอย่างนั้น เฉพาะความหมายนี้นะ ความหมายนี้ เพื่อจะได้อยู่ปฏิบัติตามพระคริสต์ เชื่อฟัง พูดง่ายๆ เป็นประชากรของพระองค์ ทำตามที่พระองค์ทรงนำ นั่นเอง แต่ถ้าออกจากร่างนี้ไป คือตาย เปาโลบอกได้กำไร ได้พักผ่อน หมดงานสักทีหนึ่ง เอเมน

ความกลัวจะหมดไปได้ ก็โดยวิธีเอาความจริงนี้เข้าไปเยอะๆ สมองเราไม่สามารถว่างได้ มันต้องมีที่หนึ่ง ใส่ให้มันอยู่ ความจริงหรือการหลอกลวง ถ้าเราใส่ความจริง ถ้อยคำพระเจ้าไปเยอะๆ การหลอกลวงในโลกใบนี้ มันก็น้อยลงไป  แต่ถ้าเราไม่ใส่ มันก็มีที่ว่าง ทางโน้นก็เข้ามา มันไม่มีการอยู่เฉยๆ ไม่ว่ามืดหรือสว่าง มีอิทธิพลต่อชีวิตบนโลกใบนี้เสมอ มันยังอยู่หมด ขอพระเจ้าอวยพรครับ

 

**************************