คำหนุนใจ Pre Sermon วันอาทิตย์ที่ 27 สิงหาคม 2017 เรื่อง “เราเป็นความสว่าง” โดย นคร เวชสุภาพร

คำหนุนใจ Pre Sermon วันอาทิตย์ที่ 27 สิงหาคม 2017

เรื่อง “เราเป็นความสว่าง”

โดย นคร  เวชสุภาพร

            สวัสดีครับพี่น้อง วันนี้มีเรื่องมาเล่าให้ฟังต่อว่าเมื่อเดือนที่แล้ว พระเจ้ามีโอกาสพาไปดูธรรมชาติในเทือกเขาต่างๆ ในแถบสแกนดิเนเวีย ก็ได้เห็นการทรงสถิตของพระเจ้า และได้เห็นอะไรบางอย่างที่พระเจ้าเปิดตาใจของเราอีกนิดหนึ่ง สอนเราในเรื่องถ้อยคำของพระองค์ ขณะที่นั่งรถไฟความเร็วสูง ประมาณ 300 กิโลเมตร/ชั่วโมง เร็วมาก แต่เรานั่งอยู่ในรถไฟ เหมือนช้าๆ มองออกไปข้างนอกเหมือนช้าๆ มันนิ่งมากเลย ถึงขนาดเขามาเสิร์ฟน้ำ เอาน้ำวางไว้บนโต๊ะ น้ำไม่หกเลย  น้ำแทบจะไม่สั่นเลย มันนิ่งมาก เหมือนเรานั่งอยู่กับที่ นั่งอยู่ในห้อง

พระเจ้าก็สอนเราว่าให้เราดูสิว่านี่คือมิติต่างๆ ที่อะไรบางอย่างที่พอจะอธิบายให้เราได้เข้าใจอีกนิดหนึ่ง ถึงเรื่องสิ่งที่พระเจ้าสอนเรา ให้ผมสังเกตอะไรรู้ไหม? สังเกตดูสิว่าป้ายเขาบอกว่ารถไฟกำลังวิ่ง 300 กิโลเมตร/ชั่วโมง แสดงว่ารถไฟ วัตถุที่เรียกว่ารถไฟ กำลังวิ่งด้วยความเร็วสูง 300 กิโลเมตร/ชั่วโมง แต่เจ้าแก้วน้ำ วัตถุที่มีชื่อเรียกว่าแก้วน้ำ ความรู้สึกของวัตถุนี้ มันอยู่เฉยๆ มันไม่ได้ทำอะไรเลย

ตอนที่ผมเข้าห้องนอน เดินย้อนกลับไป รถไฟไปทางเหนือ ผมไปทางใต้ ผมไปเข้าห้องน้ำ ผมกำลังเดินด้วยความเร็ว 1 กิโลเมตร/ชั่วโมง ช้าๆ ถูกไหมครับ? ผมกำลังเคลื่อนไหว เห็นไหม? เวลาเดียวกัน เวลาที่ผมกำลังพูด ณ เสี้ยววินาทีนั้น เห็นๆ เลย เท่าที่เห็น วัตถุ 3 สิ่งนี้อยู่ในเวลาเดียวกัน แต่คนละมิติ สำหรับรถไฟ กำลังวิ่งลิ้นห้อยเลย สมมตินะ  แต่ในขณะเดียวกัน แก้วน้ำมันบอกไม่มีอะไรเลย มันไม่ได้ไปไหนสักหน่อยเลย  ฉันก็อยู่กับที่ฉันเฉยๆ สำหรับผมที่ลุกขึ้นมาเดิน ถ้าผมนั่งอยู่เฉยๆ ก็เหมือนแก้วน้ำ แต่ผมลุกขึ้นมาเดิน ผมก็เดินก็เคลื่อนไหวอยู่ 1 กิโลเมตร/ชั่วโมง มาถามผม

ผมก็เถียงหัวชนฝา … “ผม 1 กิโลเมตร/ชั่วโมง”

ไปถามแก้วน้ำ แก้วน้ำก็เถียงหัวชนฝา … “ผมไม่ได้ทำอะไรเลย ผมอยู่เฉยๆ”

ขณะเดียว ไปถามรถไฟ … “ใครบอก ฉันวิ่ง 300 กิโลเมตร/ชั่วโมง”

แต่ทั้งหมดนั้น ก็ไปถึงจุดหมายเดียวกันหมดเลย คือปลายทาง ที่สถานีรถไฟ แล้วพระเจ้าสอนอะไร? พระเจ้าสอนหนังสือฮีบรู บทที่ 11 แล้วมันเกี่ยวอะไรกับฮีบรู บทที่ 11 ตัวหลักใหญ่ ก็คือพระเจ้าพอใจในผู้คนที่เชื่อในพระเจ้าว่ามีชีวิตอยู่ คือเชื่อว่ามีพระเจ้าบนโลกใบนี้ และเชื่ออะไรอีก เชื่อว่ามีพระเจ้า สิ่งทั้งหลายที่มนุษย์มองไม่เห็น ที่เรียกว่าวัตถุ มันเกิดขึ้นจากสิ่งที่มองไม่เห็น สิ่งที่มองไม่เห็น มีอำนาจเหนือสิ่งที่มองเห็น แค่นี้เอง

ข้อความในฮีบรูนี้ขึ้นมา ทำให้ผมเห็น พระเจ้ากำลังจะบอกว่ามันมีโลกวิญญาณจริงๆ นะลูกเอ๋ย ใครก็ตามที่รู้จักพระเจ้า แล้วพระเจ้าพอใจในมนุษย์คนนั้นมาก นี่แค่เริ่มต้นเชื่อว่ามันมีโลกวิญญาณจริงๆ มันมีอีกมิติหนึ่งจริงๆ ซึ่งมิติ ถ้าเราไม่เข้าใจ ที่มองไม่เห็น มันมีอำนาจเหนือกว่ามิติที่เรามองเห็น วัตถุต่างๆ บนโลกใบนี้ มันมีอีกอันหนึ่ง ที่มันใหญ่กว่า เป็นผู้สร้าง เป็นผู้กำหนด มีอิทธิพลเหนือกว่าสิ่งที่เรามองเห็น

พอสอนแค่นี้ปุ๊บ ความกระจ่างในเรื่องถ้อยคำพระเจ้าต่างๆ ในพระคัมภีร์ มันก็โอ้โห เขาเรียกว่าความรู้มันขึ้นมา ความรู้ในทางพระเจ้า พระเจ้าสอนเราให้เห็น มิน่านะ มนุษย์พยายามถูกอะไรบางอย่าง ให้เฝ้ามองแต่สิ่งที่มองเห็นตลอดเวลา เฝ้ามอง จ้องแต่สิ่งที่มองเห็นตลอดเวลา ไม่ว่าเรื่องอะไรก็ตาม ความต้องการทั้งหมด ไปอยู่ในสิ่งที่มองเห็นตลอดเวลา ในขณะซึ่งสิ่งที่มองไม่เห็นนั้น สำคัญยิ่งกว่ามากนัก

พระคัมภีร์จึงบอกตั้งแต่หน้าแรกเลยว่ามนุษย์เป็นวิญญาณนะ มนุษย์ไม่ใช่วัตถุ มนุษย์เป็นวิญญาณ … วิญญาณ คือในมิติของวิญญาณ  และพระคัมภีร์ทั้งเล่ม เกี่ยวกับเรื่องวิญญาณทั้งหมดเลย อ่านดูต้องอ่านทางวิญญาณทั้งสิ้น  นี่แหละได้เห็น ผมจึงมิน่า พระเยซูพูดในถ้อยคำของพระองค์ว่า …

“ท่านทั้งหลายเป็นความสว่างของโลก”

ในหนังสือมัทธิว 5:14-15 พระเยซูจึงบอกว่า … “ท่านเป็นความสว่างของโลก” … ไม่ใช่มีความสว่าง ท่านเป็นความสว่าง “เป็น” กับ “มี” ไม่เหมือนกันนะ

ในเอเฟซัสบอกไว้ว่าอย่างไร? ในเอเฟซัส 5:8 บอกว่า … “เพราะว่าเมื่อก่อนท่านเป็นความมืด” …  ก่อนที่เราจะรับเชื่อพระเยซู เข้าบัพติศมาเข้าไปอยู่ในพระเยซูคริสต์ อยู่ในจริงๆ นะ ตอนนี้เราอยู่ในพระเยซูคริสต์ อยู่กับพระองค์ เป็นหนึ่งเดียวกับพระองค์จริงๆ ก่อนหน้านั้น เราเป็นความมืด

เป็นอย่างไร? พอเราเข้าใจตรงนี้ เราถึงเข้าใจว่า “เป็นความมืด” เป็นอย่างไร? … “เพราะเมื่อก่อนท่านเป็นความมืด แต่เดี๋ยวนี้ท่านเป็นความสว่างในองค์พระผู้เป็นเจ้า จงดำเนินชีวิตของลูกของความสว่าง”

แสดงว่าตอนนี้เราเป็นความสว่างแล้ว แต่ก่อนนี้ ก่อนเราเชื่อพระเยซู เราเป็นความมืด เราไม่ได้มีความมืด แต่เราเป็นความมืด แต่เดี๋ยวนี้เราเป็นความสว่าง ไม่ใช่มีความสว่าง

สมมติว่าถ้าเผื่อ เมื่อก่อนนี้ เรามีความมืด สมมตินะ ถ้าเรามีความมืด เราก็คงจะสามารถช่วยเหลือตัวเองให้ลดความมืดให้มันน้อยลงได้ สั่งสมอะไรบางอย่างให้มันน้อยลง หรือแต่ก่อนนี้ เรามีความสว่าง เราก็ทำสว่างให้มันมากขึ้นได้ แต่ไม่ใช่ นี่เราเป็น เราไม่สามารถทำให้มากขึ้น หรือน้อยลงได้ เพราะเราเป็นอย่างนั้น  เหมือนเราจุดตะเกียง หรือจุดเทียน พอเราจุดเทียนปุ๊บ เทียนมันสว่าง เทียนมันติดสว่างขึ้นมา สว่างเพราะใคร? เพราะผมไปจุดมัน สามารถให้มันลุกโชติช่วงด้วยตัวเองไม่ได้ ผมจุดไว้เท่านี้ มันบอกผมจะเบ่งให้แสงมันเยอะขึ้น มันทำไม? ไม่ทำ มันก็สว่างแล้ว ในทำนองเดียว ผมเป่ามันดับ มันก็ดับแล้ว มันไม่สามารถที่จะบอกว่าผมจะดับน้อยลงหน่อย ดับนิดหนึ่ง ดับน้อย ดับก็คือดับ สว่างก็คือสว่าง ท่านรอดแล้ว ท่านเป็นความสว่าง ก็คือเป็นความสว่าง

แล้วพระเจ้าก็ให้ผมสังเกตเห็นว่าก็เหมือนกับที่มนุษย์เป็นผู้หญิง และเป็นผู้ชาย ท่านพยายามเป็นผู้หญิงได้ไหม? เกิดมาท่านพยายามเป็นผู้หญิงได้ไหม? ได้ มีหลายคนทำ แต่มันเป็นจริงไหม? มันก็ไม่เป็นจริง มันดูเหมือน แต่มันไม่ใช่ของจริง ของจริง คือมันเป็นอย่างไร? มันก็เป็นอย่างนั้น

ผมเกิดมามีผู้ชายนะ ถ้าผมมีผู้ชาย ผมก็พยายามเอาผู้หญิงเข้ามา ทำให้ผู้ชายน้อยลงได้  แต่ผมเกิดมาเป็นผู้ชาย ท่านเกิดมาเป็นผู้หญิง มัน “เป็น”  มันไม่ใช่ “มี” มันเลยทำอะไรไม่ได้ มันต้องเป็นอย่างนั้นแหละ ท่านพอมองเห็นอะไรไหมว่าผมกำลังพูดถึงเรื่อง 2 โลกต่างๆ ที่พระคัมภีร์ทั้งเล่ม ถ้าเผื่อใครจับเคล็ดลับตรงนี้ได้ จะอ่านพระคัมภีร์ได้เห็นชัดเจนมากยิ่งขึ้น ทะลุปรุโปร่งมากยิ่งขึ้น และมันจะมีสันติสุข ถาวรนิรันดร์ เพราะว่าสวรรค์มันอยู่ที่นี่แล้ว อยู่ตอนนี้เลย ณ วินาทีนี้แล้ว สวรรค์เข้ามาตั้งแต่เมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว ตั้งแต่พระเยซูตายที่ไม้กางเขน เป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่ 3 สวรรค์อยู่ที่นี่แล้ว ไม่ต้องไปหาที่ไหนแล้ว อยู่ที่นี่จริงๆ เหมือนที่ตะกี้นี้ที่ผมเล่าตอนแรกใช่ไหม? มันเป็นเพียงแต่เป็นมิติหนึ่งเท่านั้นเอง โคโลสี 1:12-14  ท่านลองอ่านดูนะ  …

โคโลสี 1:12-14 ก็เหมือนกันบอกไว้อย่างนี้ … “12 ในการขอบพระคุณพระบิดา ผู้ทรงทำให้พวกท่านเหมาะสมที่จะมีส่วนในกรรมสิทธิ์ของประชากรของพระเจ้า ในอาณาจักรแห่งความสว่าง 13 เพราะพระองค์ได้ทรงช่วยเราให้พ้นจากอาณาจักรของความมืด     และทรงนำเราเข้ามาสู่อาณาจักรของพระบุตรที่รักของพระองค์ 14 ในพระบุตรนี้เราได้รับการไถ่บาป คือการอภัยโทษบาปของเรา”

 

เข้ามาเป็นลูกของพระเจ้า ถามว่าอยู่ที่ไหน? ในอาณาจักรแห่งความสว่าง  คือมิติหนึ่ง อยู่เดี๋ยวนี้เลย อยู่ในอาณาจักรแห่งความสว่าง

เพราะพระองค์ได้ช่วยเราแล้ว ให้พ้นจากอาณาจักรของความมืด ขณะที่เรายังอยู่ที่เดิม อยู่ประเทศไทย อยู่เมืองไทย อยู่กรุงเทพ นั่งอยู่ที่นี่เหมือนเดิม แต่เราได้ย้ายเข้ามาอยู่ในอาณาจักรแห่งความสว่างแล้ว แต่ก่อนเราอยู่อาณาจักรของความมืด

เหมือนตะกี้ที่ผมบอกไหม? เหมือนที่รถไฟ แก้วน้ำ และผมเดินบนรถไฟไหม? เหมือนกันเลย ในวินาทีเดียวกัน ตอนที่เรารับเชื่อพระเยซู ตอนนั้น เราได้พ้นจากอาณาจักรของความมืด และพระองค์ทรงนำเราเข้ามาสู่อาณาจักรของพระบุตรที่รักของพระองค์ ในพระบุตรนี้ เราได้รับการไถ่ คือการอภัยโทษบาปของเรา

เห็นไหมเนี้ย ขอบคุณพระเจ้า  มันชัดเจนไหม?  เพราะฉะนั้น พระคัมภีร์จึงบอก เตือนเรา ให้เรามองไปที่เบื้องบน “เบื้องบน” หมายถึงที่พระเยซูคริสต์สถิตอยู่ ณ เบื้องขวาของพระเจ้าในสวรรค์สถาน ที่สวรรค์ ถามว่ามองไปถึงเมื่อไร? รอตายแล้ว ไปมอง ไม่ใช่ มองเดี๋ยวนี้ว่าเราอยู่ที่นั่นแล้วตอนนี้ เราอยู่ที่เบื้องขวา จะเข้าใจหรือไม่เข้าใจ ก็ให้เชื่อว่าพระเจ้าสอนเราในเรื่องที่เป็นโลกวิญญาณ เป็นประโยชน์ต่อชีวิตเราว่า …

“ความจริง ลูกเอ๋ย ข้างนอกมันเป็นอย่างนี้ ในมิติต่างๆ มันเป็นอย่างนี้ ลูกไม่ต้องเข้าใจหรอก ถึงเข้าใจ ก็เข้าใจไม่ได้มาก เชื่อแล้วกัน”

นี่ไง ถึงต้องใช้ความเชื่อ มันหมายถึงอย่างนี้ เอเมน เพราะถ้าเราได้ตรงนี้ เราจะได้ทุกอย่างบนโลกใบนี้เลย คำว่า “ได้ทุกอย่าง” ไม่ใช่เกี่ยวกับวัตถุสิ่งของแล้ว เพราะเราเข้าไปอยู่ในมิติของโลกวิญญาณแล้ว เรารู้แล้ว เราก็ไม่กลัวแม้กระทั่งความตาย เพราะเรารู้ว่าขณะที่เรากำลังเตรียมตัวจะไปนั้น เราก็อยู่ที่นั่นแหละ เรากำลังจะย้ายมิติหนึ่ง ออกจากร่างนี้ เราไม่รู้ไม่เข้าใจ แต่พระคัมภีร์บอกเราว่ามันดีกว่าร่างกายเก่านี้เยอะ เราจะเข้าไปในมิติหนึ่ง อยู่ที่นี่ อยู่ที่เดิม ไม่ได้ไปไหนเลย เอเมน สวรรค์อยู่ที่นี่แล้ว สวรรค์เป็นของเรา สวรรค์อยู่ที่นี่แล้ว พระเยซูประกาศเสมอเลย ตั้งแต่วันแรก เดินมาบนโลกใบนี้ สวรรค์มาแล้ว สวรรค์กำลังมา สวรรค์อยู่ที่นี่ อยู่ที่ไหน? อยู่ในใจของท่าน คืออยู่ในวิญญาณของท่าน ท่านอยู่ในสวรรค์แล้ว เอเมน

พูดมาทั้งหมดนี้ อยากให้ท่านตื่นเต้นไปกับผมเท่านั้นเอง ท่านจะมองเข้าไปในอากาศเหมือนเดิม ท่านจะมองเข้าไปในบ้านเหมือนเดิม มองไปที่ผนังเหมือนเดิม มองออกจากรถเหมือนเดิม มองในสวนเหมือนเดิม แต่ท่านมองทะลุไปอีกอันหนึ่งว่าพระคัมภีร์เป็นจริง เข้าใจแล้ว ท่านจะเป็นอย่างนั้นแหละ คือท่านสามารถมองทะลุอีกมิติ โดยผ่านทางถ้อยคำของพระเจ้า พระเจ้าจะสอนเรา

เปาโลจึงบอกว่าข้าพเจ้าอธิษฐานวิงวอนพระเจ้าอยู่เสมอ ขอพระเจ้าทรงเปิดตาฝ่ายวิญญาณให้กับท่าน ประทานวิญญาณแห่งสติปัญญา ประทานวิญญาณแห่งการสำแดงความรู้ เปิดตาวิญญาณให้กับท่านได้รู้ว่าอะไรยิ่งใหญ่ในอาณาจักรของพระเยซูคริสต์ ที่พระองค์ได้ทรงชุบพระเยซูให้เป็นขึ้นจากความตาย และนั่งอยู่ที่เบื้องขวาของพระองค์ สูงยิ่งกว่าเหนือสิทธิอำนาจใดๆ เทพผู้ครอง ศักดิเทพทุกอย่างบนโลกใบนี้ทั้งหมด สูงส่งมากเลย และให้เรานั่งอยู่กับพระองค์ที่เบื้องขวานั้น เอเมน ขอบพระคุณพระเจ้า ขอบคุณพระเยซูคริสต์ เข้าใจไม่เข้าใจไม่รู้ เชื่อเอา เอเมน ขอพระเจ้าอวยพรครับ

 

*************************

 

 

 

คำหนุนใจ Pre Sermon วันอาทิตย์ที่ 13 สิงหาคม 2017 เรื่อง “ควันหลงวันแม่ 2017” โดย นคร เวชสุภาพร

คำหนุนใจ Pre Sermon วันอาทิตย์ที่ 13 สิงหาคม 2017

เรื่อง “ควันหลงวันแม่ 2017”

โดย นคร  เวชสุภาพร

 

สวัสดีครับ ยังมีควันหลงของวันแม่อยู่น๊า เมื่อวานเป็นวันแม่ สัปดาห์ที่แล้ว เราทำพิธีไปแล้ว ก็มีควันหลงนิดหนึ่ง

เมื่อพูดถึงความรักของแม่นั้น ท่านนึกถึงใคร? นึกถึงลูก ไม่ใช่  นึกถึงความรักของแม่ นึกถึงพระเจ้านะ พระเจ้าเป็นผู้ใส่ความรักของพระองค์ให้กับแม่ แล้วมีเพศเดียว สถานะเดียวในโลกนี้ ที่มีความรักที่ลึกซึ้ง ที่พระเจ้ามีต่อมนุษย์ เพราะเป็นเพศเดียวที่ให้กำเนิดลูก นึกออกใช่ไหม? คือพ่อให้กำเนิดจริง แต่พ่อไม่เห็นชัดๆ จากต้องตั้งท้องตั้ง 8-9 เดือน เขาเรียกว่าจากเนื้อของเนื้อ จากเลือดของเลือด จากกระดูกของกระดูก คือแม่จะใกล้ชิดมาก เพราะฉะนั้น จะเห็นความรักของพระเจ้าต่อมนุษย์ชัดมาก ในความรักที่อยู่ในเพศแม่

ผมได้เอาความรักของแม่มานิดหนึ่ง เนื่องในเทศกาลวันแม่ ถ้อยคำของพระเจ้าลึกซึ้งมาก แล้วมาเทียบโยงกับวันแม่แล้ว ทำให้บรรยากาศลึกซึ้งขึ้น วันนี้เอามาเล่าให้ท่านเป็นควันหลง แล้วผมได้เอาเพลงหนึ่งมา จำได้ไหมเพลง “ใครหนอ” …

จะเอาโลกมาทำปากกา และเอานภามาแทนกระดาษ

เอาน้ำหมดมหาสมุทรแทนหมึกวาด ประกาศพระคุณไม่พอ

นี่คือความรัก ที่แม่มีให้กับลูก จนผู้คนเห็น ซึ่งตรงนี้ ผมนึกถึงความรู้สึกของคนเป็นพ่อก็ตาม คนเป็นลูกก็ตาม เป็นแม่เองก็ตาม จะรู้เลยว่าถ้อยคำเหล่านี้ มันใช่จริงๆ เอามาใช้กับพ่อ บางทีไม่ค่อยเข้าเท่าไร? ที่ร้องไปตะกี้ เอาโลกมาทำปากกา เพราะความรู้สึกมันห่างไกลนิดหนึ่ง พูดตรงๆ ไม่ใช่เข้าข้างแม่นะ ความเป็นแม่ชัดกว่าเยอะ

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ผมได้สนิทกับครูที่แต่งเพลงนี้มาก รู้ว่าท่านเอาความรักของแม่มาทำเป็นเพลงนี้ นั่นคือครูน้อย สุรพล นึกถึงท่าน สนิทกันมาก ช่วงหนึ่ง เมื่อ 20 กว่าปีก่อน ตอนทำเพลง ก็ไปให้ท่านแต่งเพลง สนิทกันมาก หลับตา ยังนึกถึงภาพ ท่านบอกว่าแต่งเพลงนี้มา เพราะว่าเห็นทุกอย่าง เห็นชีวิต เอาชีวิตประจำวัน เอาความรักที่แม่ห่วงใยลูกมากขนาดไหน? เขาเรียกว่าลูกในไส้ พ่อไม่สามารถบอกลูกในไส้ได้ แต่แม่บอกลูกในไส้ ลูกในท้อง  ท่านบอกว่าเอาคำต่างๆ เอามาจากกิริยาบท หรือว่าชีวิตประจำวันของแม่ ความรักของแม่ที่มีต่อลูกทั้งหลาย โดยเฉพาะในยุคสมัยก่อน ถ้าแต่งเพลงนี้ตั้งแต่ 2507 ประมาณนั้น  ตั้งแต่ผมอายุ 10 กว่าขวบ 12-13 ขวบ คิดดูสิ กี่ปีมาแล้ว ได้คุยกับท่าน

ท่านได้บอกว่านึกถึงภาพอย่างนี้ จริงๆ ทั้งเพลง ผมเอาเฉพาะท่อนนี้มาให้ท่านเห็นว่า “จะเอาโลกมาทำปากกา” นึกถึงว่าแม่รักลูกขนาดไหน?  ประกาศพระคุณไม่พอ แม่มีการกางมุ้งนอน ให้ดูหนัง 4 จอ ที่เราคุยกัน ตอนนั้นคือความเป็นจริง แม่เป็นผู้กางมุ้ง แล้วพาลูกไปนอน สมัยก่อนไม่มีมุ้งลวด เหมือนปัจจุบัน นอนต้องกางมุ้งกันยุง แล้วก็ให้ลูกนอน ดูแลยุงไม่ไต่ ไรไม่ให้ตอมอะไรประมาณนั้น

จำได้เลย ท่านอธิบายว่าเพลงนี้ แต่งเป็นอย่างนั้นๆ คืออิน ครูน้อยพูดนิดหนึ่ง ท่านอัจฉริยะในเรื่องแต่งเพลงจริงๆ ยอดมาก สนิทกันมาก นึกภาพท่านได้เลย ท่านเรียกผมว่านคร

“นคร เธอเป็นคนน่ารักจริงๆ นะ พาครูไปกินข้าวมันไก่หน่อยสิ”

ตอนพูดนั้น คือ 5 ทุ่มนะ ข้าวมันไก่ตอนพาไปทานประตูน้ำ 5 ทุ่ม ชีวิตเพิ่งเริ่มต้น ก็ขอบคุณพระเจ้า สำหรับเพลงนี้

ทำไมผมเอาเพลงนี้มาให้ท่านได้เห็น เพราะผมอยากให้ท่านเห็นความรักของพระเจ้าถึงบรรดามนุษย์ทั้งปวง โดยที่ผ่านทางความรักของแม่ที่เราเห็นในปัจจุบัน ที่ครูน้อย สุรพลเห็น แล้วเอามาแต่งเป็นเพลง ที่เราเห็นปัจจุบัน ที่เห็นการกระทำ เขาเรียกว่าเป็นธรรมชาติ ที่พระเจ้าใส่ลงไปในผู้ที่เป็นแม่ทุกคน เป็นอย่างนี้หมดเลย

และในพระคัมภีร์เขียนไว้อย่างไร? ผมเลยไปค้นพระคัมภีร์ที่เทียบความรักของพระเจ้าที่มีต่อบรรดามนุษย์ทั้งปวง โดยผ่านทางเพศแม่ ผมจะอ่านให้ท่านดู ในอพยพ 19:4 บันทึกไว้อย่างนี้

อพยพ 19:4 “‘พวกเจ้าเองได้เห็นสิ่งที่เรากระทำแก่ชาวอียิปต์แล้ว และเห็นวิธีที่เราพาเจ้ามาเหมือนลูกนกอินทรีบนปีกแม่ของมัน และนำเจ้ามาถึงเรา”

 

นี่พระเจ้ากำลังบอกถึงว่าพระองค์ทรงนำพาประชากรของพระองค์อย่างไร? เหมือนลูกนกอินทรีบินบนปีกแม่ของมัน คือแม่กางปีกออก แล้วลูกแปะไว้ข้างหลัง บนปีก แล้วไปเลย ท่านกลัวอะไร พระเจ้ากำลังถามท่านว่าท่านกลัวอะไร ตอนนี้ ท่านอยู่บนปีกของพระเจ้า ท่านกลัวอะไร?

มีอีกอันหนึ่ง  อันนี้สะใจมากเลย อ่านแทบร้องไห้เลยนะ โฮเซยา 13:8 ดูสิ พระเจ้าตรัสไว้อย่างนี้เลยนะ พระเจ้าตรัสว่า …

โฮเซยา 13:8 “เหมือนแม่หมีที่ถูกขโมยลูกไป เราจะเข้าโจมตีและฉีกพวกเขาออก เราจะเป็นดั่งราชสีห์ที่กลืนกินพวกเขา สัตว์ป่าจะฉีกพวกเขาออกเป็นชิ้นๆ”

 

นี่หมายถึงศัตรูของลูกของพระเจ้า พระเจ้าจะปกป้องลูกของพระองค์ จากศัตรูที่มาทำร้ายลูก เป็นเหมือนแม่หมีที่รักลูกมาก แล้วลูกถูกขโมยไป คุณเคยดูสารคดี หมีกริซลี เขาบอกหมีกริซลีดุมาก เวลาไปถ่ายรูป ต้องระวังมากๆ แต่ถ้าบอกว่าถ้ามันตบลูก ขณะที่มันเลี้ยงลูกอยู่นะ ต้องไปไล่ๆ เลย มันจะโกรธ มันจะเกรี้ยวกราดมากๆ มันจะหวงและห่วงลูกของมันมาก มันจะทำร้าย แบบไม่เลือกหน้า

เหมือนแม่หมีที่ถูกขโมยลูกไป เราจะโจมตี และฉีกพวกเขาออก ฉีกศัตรูของลูกออกไป เรากลัวอะไร ตอนนี้เราประสบปัญหาอะไรบ้าง เรากลัวอะไรไหม? ความจนจะมาฉีกเราเหรอ สุขภาพร่างกายจะทำร้ายเราใช่ไหม?  นรกจะมาทำร้ายเราหรือเปล่า? มารซาตานจะทำร้ายเราหรือ? พระเจ้าบอก …

“เราจะปกปักษ์พวกเจ้า เหมือนแม่หมีที่ปกปักษ์ลูก เราจะฉีกศัตรูของเจ้าออกเป็นชิ้นๆ”

พูดอย่างนี้เลย แสดงให้เห็นว่ามาสิ เราดูแลลูกของเราอย่างไร? เวลาเราพูดถึงพระเจ้าๆ บางทีเรากลัวพระเจ้า พระเจ้าไม่เคยตั้งใจมาทำร้ายลูกเลย มีแต่ปกปักษ์คุ้มครองดูแลลูก แต่ทำร้ายศัตรูอย่างเหี้ยมโหด นี่คืออย่างนั้น

สุดท้ายอีกอันหนึ่ง อันนี้ก็เจ็บแสบเหมือนกัน ตอนที่พระเยซูจะถูกตรึงที่ไม้กางเขน ถูกฟาริสีรุมว่ากล่าวพระเยซู ต่อต้านพระเยซู เข้าใจบ้างไม่เข้าใจบ้าง? พระเยซูสงสารมากเลย พระองค์มา เพื่อจะช่วยลูกของพระองค์ ช่วยเขานะ ไม่ใช่ช่วยเขาแค่คนอิสราเอลสมัยนั้นเท่านั้น แต่ช่วยถึงมนุษย์ทั้งหมดในโลกนี้เลย รวมทั้งเราในปัจจุบันและอนาคตอีก เราจะช่วยพวกเขาให้รอดจากความบาปในใจ รู้ว่ามาทำอะไร? แล้วไปเจออย่างนี้ พระเยซูถอดใจและตรัสอย่างนี้ อยากจะมาช่วยเขาใช่ไหม? อยากจะมาช่วยลูกๆ ทุกคน คือมนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้ ให้รอดจากบาป ไม่ต้องลงนรกใช่ไหม?  แล้วเขาไม่เข้าใจ บรรพบุรุษของเราสมัยนั้น คือสมัยอิสราเอล 2,000 ปีก่อนนั้น เขาไม่เข้าใจ พระเยซูจึงระบายอารมณ์ออกมาว่า …

“โอ … เยรูซาเล็มเอ๋ย เจ้าผู้เข็ญฆ่าเหล่าผู้เผยพระวจนะ และเอาหินขว้างบรรดาผู้ทรงส่งมาหาเจ้า เราปรารถนาอยู่เนืองๆ ที่จะรวบรวมลูกๆ ของเจ้ามา เหมือนแม่ไก่ที่กกลูกๆ ไว้ใต้ปีก แต่เจ้าไม่ยอมเลย เราต้องการเข้ามาช่วยมนุษย์ทั้งหลายต่อจากเจ้า รวมทั้งลูกหลานของเจ้าเยอะแยะมากมาย เข้ามาได้รับความรอด แต่เจ้าไม่ยอมเลย”

และพระองค์พูดถึงคนที่จะช่วยเหลือ รวมทั้งเราทั้งหลาย มนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้ ใช้อะไรแทน ลูกๆ ที่เราจะรวบรวมมาเหมือนแม่ไก่ที่จะมาปกไว้ด้วยปีกของไก่ เข้ามาซุกอยู่กับพระองค์ นี่คือความรักของพระเจ้าที่มีต่อเรา  เหมือนไหม? เหมือนเด๊ะ แล้วธรรมชาติเหล่านี้ พออ่านปุ๊บ เรารู้ทันที เพราะว่าเป็นเพศแม่

ฉะนั้น วันนี้เลยอยากให้เราระลึกถึงความรักของพระเจ้า ระลึกถึงความรักของแม่ โอเค ทั่วๆ ไป ก็รู้กันหมด แต่วันนี้เป็นวันพิเศษ เป็นควันหลง เอาความรักของพระเจ้ามาเทียบกับความรักของแม่มาให้เห็นกัน ที่ได้เทิดทูนกัน เอาน้ำหมดมหาสมุทรแทนหมึกวาด ประกาศพระคุณความรักของพระเจ้ายิ่งไม่พอ ต้องใช้คำนี้เลย ยิ่งไม่พอใหญ่

สุดท้าย ข้อความสุดท้าย เรารู้จักกันนี้ ข้อความนี้ ในหนังสือยอห์น 3:16 ซึ่งเป็นพระคัมภีร์ที่ดังมากๆ

ยอห์น 3:16-17 บันทึกว่า “16 เพราะว่าพระเจ้าทรงรักโลก (หมายถึงมนุษย์ทุกคน) จนได้ประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์  เพื่อทุกคนที่เชื่อในพระบุตรนั้น  จะไม่พินาศ  แต่มีชีวิตนิรันดร์” 17 เพราะพระเจ้าไม่ได้ทรงส่งพระบุตร (คือพระเยซู) ของพระองค์มาในโลก เพื่อพิพากษาลงโทษมนุษย์เลย   แต่เพื่อช่วยมนุษย์บนโลกใบนี้ให้รอดจากบาป รอดจากนรก  โดยทางพระเยซู พระบุตรนั้น”

 

ผู้ใดที่เชื่อในพระเยซู ก็ไม่ถูกพิพากษา ไม่ต้องลงไปในนรก แต่ผู้ใดไม่เชื่อ ก็ถูกพิพากษาอยู่แล้ว เพราะว่ามันเป็นโทษอยู่แล้ว ไม่ได้มาเพิ่มเลย เพราะเขาไม่เชื่อในพระนามของพระเยซู พระบุตรองค์เดียวของพระเจ้า จึงต้องรับโทษเหมือนเดิม พระเยซูมาเพื่อไถ่คนที่ได้รับโทษ ให้พ้นโทษ คนที่อยู่บาปอยู่นั้น ให้พ้นบาป ส่วนคนที่ไม่เชื่อ ก็ยังบาปเหมือนเดิม ไม่ได้โทษเพิ่มขึ้นกว่าเดิมเลย

เห็นไหมความรักของพระเจ้ายิ่งใหญ่ มาเพื่อช่วย พูดตลอด ในพระคัมภีร์พูดตลอด ตั้งแต่อดีตที่เราได้ยกถ้อยคำบางคำออกมาอ่านเมื่อตะกี้นี้  พระเจ้ารักเราขนาดไหน? เพราะฉะนั้น ให้เราเห็นสิ่งต่างๆ เหล่านี้ เห็นความรักของแม่ในปัจจุบัน ก็นึกถึงความรักยิ่งใหญ่กว่านั้นอีก คือต้นแบบของความรักที่อยู่ในแม่ ก็คือความรักที่อยู่ในพระเจ้า ที่มีต่อบรรดามนุษย์โลกนี้ทุกคน เอเมน

 

*********************************

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 13 สิงหาคม 2017 เรื่อง “จงนิ่งเสียและรู้ว่าพระองค์คือพระเจ้า” ตอบจบ ตอน 23 “วาระสุดท้าย ตอน 2” โดย นคร เวชสุภาพร

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  13  สิงหาคม  2017

เรื่อง “จงนิ่งเสียและรู้ว่าพระองค์คือพระเจ้า” ตอบจบ

ตอน 23 “วาระสุดท้าย ตอน 2”

โดย นคร  เวชสุภาพร

 

วันนี้จะเป็นตอนสุดท้ายของการบรรยาย “จงนิ่งเสียและรู้ว่าพระองค์คือพระเจ้า” วันนี้เป็นตอนที่ 23  ดาเนียล 12:7 …

ดาเนียล 12:7 “ชายผู้สวมเสื้อผ้าลินิน ซึ่งอยู่เหนือแม่น้ำ ก็ชูมือทั้งสองข้างขึ้นสู่ฟ้าสวรรค์และข้าพเจ้าได้ยินเขาปฏิญาณอ้างพระองค์ผู้ทรงพระชนม์อยู่เป็นนิตย์ว่า “จะเป็นหนึ่งวาระ หลายวาระ และครึ่งวาระ เมื่ออำนาจของประชากรของพระเจ้าหมดสิ้นลง ในที่สุด สิ่งทั้งปวงนี้ ก็จะสำเร็จสมบูรณ์”

 

“เมื่ออำนาจของประชากรของพระเจ้าหมดสิ้นลง” คือเมื่อพลังการต่อสู้ของฝ่ายพระเจ้า ของคริสเตียนหมดลง แพ้ สิ่งทั้งปวงนี้ ก็จะสำเร็จ สมบูรณ์

ก็คือในยุคสุดท้าย ผู้คนของพระเจ้าจะถูกข่มเหงรังแก ถูกทำลายล้าง จนไม่มีอำนาจเหลืออยู่เลย ถูกโจมตี ถูกทำสงคราม จนพ่ายแพ้อย่างยับเยิน ถึงเวลานั้น สิ่งเหล่านี้ ก็จะสำเร็จ สมบูรณ์

คำว่า “สำเร็จ, สมบูรณ์” ภาษาฮีบรูเดิม แปลว่าอวสาน จบ ครบบริบูรณ์ โลกที่วิปริตนี้ จะจบสิ้นอย่างบริบูรณ์ เริ่มโลกใหม่ ฟ้าใหม่ เมื่อถึงเวลานั้น ประชากรของพระเจ้าจะได้รับชัยชนะนิรันดร์ ได้ครอบครองอาณาจักรร่วมกับพระเยซูคริสต์นิรันดร์กาล ได้ครอบครองสวรรค์ ที่พระเจ้าจัดให้ใหม่ โลกที่ถูกสร้างใหม่ โลกที่ตบแต่งขึ้นมาใหม่ โลกเก่าหมดไปแล้ว บัดนี้เป็นโลกใหม่ ผู้ที่เชื่อในพระองค์จะครอบครองร่วมกับพระคริสต์นิรันดร์ นั่นแหละคือความหวังของเรา

แต่เวลานั้น ที่จะมาถึงเมื่อไร? ไม่มีใครรู้ พระเจ้าแค่ต้องการให้เรารับรู้เท่านั้นว่าจะมีอะไรเกิดขึ้น  แต่ไม่ต้องการให้รู้ว่าเมื่อไร?

คำว่า “หนึ่งวาร” “สองวาระ” หรือว่า “ครึ่งวาระ” ก็เป็นเพียงแค่กำหนดเวลาของพระเจ้า ซึ่งมันเกินกว่าความเข้าใจหรือความคิดและสติปัญญาของมนุษย์ว่ามันคืออะไร?

ดาเนียลก็เหมือนพวกเรานี่แหละ พอได้รับรู้สิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นแล้ว ก็อยากรู้ต่อไปอีกว่าแล้วเมื่อไรมันจะเกิดขึ้นอีกนะ เพราะได้รู้คำตอบแล้วว่าเป็นวาระหนึ่ง ครึ่งวาระ หรือวาระอะไรก็แล้วแต่ ก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดี ทูตสวรรค์ก็เลยบอกดาเนียลอย่างนี้ว่าไม่เข้าใจใช่ไหม? ไม่เป็นไร? มาดูดาเนียล 12:9-12 เรามาต่อวันนี้

ดาเนียล 12:9-10 “9 เขาผู้นั้นตอบว่า ‘ดาเนียลเอ๋ย จงไปตามทางของท่านเถิด เพราะถ้อยคำเหล่านี้ ถูกเก็บงำและประทับตราไว้ จวบจนวาระสุดท้าย 10 คนเป็นอันมากจะถูกถลุง และได้รับการชำระให้บริสุทธิ์ ปราศจากตำหนิ ส่วนคนชั่วยังคงทำชั่วต่อไป ไม่มีคนชั่วคนใดจะเข้าใจ แต่ผู้มีปัญญาจะเข้าใจ 11 “ตั้งแต่ยกเลิกการถวายเครื่องบูชาประจำวัน จนถึงวาระที่สิ่งที่น่าสะอิดสะเอียน อันเป็นต้นเหตุของวิบัติ ถูกตั้งขึ้นเป็นเวลา 1,290 วัน 12 ผู้ที่รอคอยและอยู่จนครบ 1,335 วันก็เป็นสุข”

 

จุดสูงสุดของหนังสือดาเนียล ทั้ง 12 บท มาอยู่บทที่ 12 ตอนท้าย เพราะฉะนั้น ท่านต้องตั้งใจฟังเป็นพิเศษ มากกว่า 12 บทที่เรียนมาแล้ว นี่คือสิ่งที่ท่านต้องจำไว้ นี่คือความหวังให้เราเห็นชัดเจน นี่คือคำตอบของทูตสวรรค์

          “ดาเนียลเอ๋ย จงไปตามทางของท่านเถิด  เพราะถ้อยคำเหล่านี้ ถูกเก็บงำและประทับตราไว้ จวบจนวาระสุดท้าย”

นี่คือคำตอบ ไม่เข้าใจเลย อยากจะเข้าใจมากกว่านี้  นี่ดาเนียลได้รับคำตอบจากพระเจ้าแล้ว ก็เหมือนผู้ใหญ่คุยกับเด็กว่าคงประมาณนี้นะ

“เด็กน้อยดาเนียลเอ๋ย เจ้าฟังอย่างไรก็คงไม่เข้าใจหรอก อย่าไปสนใจเรื่องวันเวลาเลย เรื่องนี้เป็นเรื่องลี้ลับ ฟังแล้วก็เก็บไว้ แล้วก็ใช้ชีวิตไปเถอะ จะทำอะไร ก็ไปทำ เพราะอีกไม่กี่วัน เจ้าก็จะต้องตายแล้ว เก็บเรื่องไว้สำหรับอนาคต เราจะติดต่อกับลูกหลานของเจ้าในอนาคตต่อไปภายหน้า”

อะไรประมาณนั้น ไว้พอถึงเวลา มันก็จะเกิดขึ้นเองแหละ ก็คือถึงเวลา ลูกหลานของเจ้า ในอนาคตเขาจะรู้เอง คือเรานั่งอยู่ที่นี่  ดาเนียลที่พูดอยู่นี้  ประมาณ 2,000 กว่าปี แต่ยังมีเพิ่มเติมอีกในข้อ 11, 12

ดาเนียล 12:11-12 “11 “ตั้งแต่ยกเลิกการถวายเครื่องบูชาประจำวัน จนถึงวาระที่สิ่งที่น่าสะอิดสะเอียน อันเป็นต้นเหตุของวิบัติ ถูกตั้งขึ้นเป็นเวลา 1,290 วัน 12 ผู้ที่รอคอยและอยู่จนครบ 1,335 วันก็เป็นสุข”

 

จริงๆ ไม่อยากจะบอกเป็นวันเลย เพราะมันก็ไม่รู้อยู่ดี จริงๆ พระเจ้าให้รู้แค่นี้ น่าจะพอแล้วนะ นี่ทูตสวรรค์แถมอีกนิดหนึ่ง ผมอ่านถ้อยคำตรงนี้  ก็ยังคิดเองว่าเหมือนทูตสวรรค์แหย่ดาเนียลเล่นๆ อยากรู้มาก เอาตัวเลขให้ เมื่อกี้ยังบอกว่าคือวาระหลายวาระเป็นกำหนดเวลาที่พระเจ้าวางไว้ เป็นโค้ด ไม่สามารถเข้าใจได้หรอก แล้วมาตรงนี้กลับมาบอกเป็นตัวเลข 1,290 วัน 1,335 วัน ซึ่งจริงๆ มันอาจจะเป็นโค้ดก็ได้ ท่านรู้ไหม? 2,000 กว่าปีนี้ มีผู้ทำทฤษฎีเรื่องเกี่ยวกับวัน มันจะเกิดขึ้นเมื่อไร? นับไม่ถ้วน ทุกทฤษฎีก็ผิดหมด ก็ยังมีคนอยากรู้จริงๆ 1290,  1335 แปลว่าอะไร?  ยิ่งมาถึงยุคปัจจุบัน ยุคที่ข้อมูลท่วมโลก แบบปัจจุบัน อินเตอร์เนตแบบนี้ พยายามค้นหากันใหญ่ เอาอันโน้นมาใส่อันนี้ เอาตัวเลขมาใส่ เอาเครื่องคอมพิวเตอร์ช่วย

มีนักศาสนศาสตร์เยอะแยะไปหมด ที่จะพยายามตีความจากตัวเลขในพระคัมภีร์ แล้วพยายามจะหาให้ได้ว่าจริงๆ แล้วมันเป็นเวลาเท่าไรกันแน่ ความพยายามแบบนี้  เหมือนเรากำลังพยายามจะต่อภาพจิ๊กซอ ประมาณแสนชิ้น เป็นรูปอะไรก็ไม่รู้ แถมแสนชิ้นที่ให้มา มันหายไป 6,000 ชิ้น ต่อรูปอะไรก็ไม่รู้นะ สมมติว่าเป็นรูปท้องทะเล มันเหมือนกันหมด ต่อให้ถูกไหมล่ะ มันเหมือนอย่างนั้น แต่คนเราก็อยาก พระเจ้าบอกแล้ว ก็ยังอยากทำอยู่ จริงๆ แล้ว ถ้าพระเจ้าบอกตัวเลข กำหนดเวลาว่าเป็นกี่วัน? กี่เดือน? กี่ปี? ตรงนี้ ไม่ได้หมายความว่าให้เรามาตีความว่าจะเป็นระยะเวลาเท่านั้น เท่านี้แน่นอน แต่ย้ำให้เราแน่ใจว่ามันมีเวลากำหนดแน่นอน จากพระเจ้า พระองค์ทรงควบคุมอยู่ ดูอยู่ตลอดเวลา มันเป็นอย่างนั้นจริงๆ แต่เจ้ารู้ไป ก็ไม่มีประโยชน์ แล้วรู้ว่าใจเจ้าอยากจะรู้ ก็เลยบอกได้แค่นี้ มันเหมือนเวลาคนถามผม ผมฟังคนร้องเพลง เราเป็นนักดนตรี เราเรียนดนตรีมา เรียนรู้วิชาการดนตรี มันก็มีความรู้นิดหนึ่งติดตัวมา คนที่ไม่ได้เรียน เขาก็ไม่รู้

“เอ๊ะ! คุณร้องตรงนี้ มันเพี้ยนนะ”

เขาบอก “มันเพี้ยนอย่างไร? ผมฟังแล้วไม่เห็นเพี้ยน”

“แต่เราว่ามันเพี้ยนนะ”

แล้วเอาอะไรมาบอกว่าเพี้ยน เราก็ใช้วิชาความรู้ ที่มันเพี้ยน โน้ตทั้งหมด ควรจะเป็นตัวเดิม แต่คุณร้องไป มันเร็วไปนิดหนึ่ง ตัวชาร์ปไปนิดหนึ่ง ไม่ถึงครึ่งเสียง แต่ประมาณเกือบๆ ครึ่งเสียง แล้วถ้าคุณร้องเอื้อนอีกนิดหนึ่ง ลากนิดหนึ่งให้ครบตัวชาร์ปจริงๆ ก็จะตรงนะ ถามว่าเขาเข้าใจที่ผมอธิบายไหม? เขาไม่ได้เรียนรู้ เขาไม่เข้าใจ ผมบอกเขาว่ามันเพี้ยน ก็เพี้ยนจริงๆ เขามั่นใจในผมว่าผมมีความรู้ ไม่ใช่อยู่ดีๆ บอกว่าเพี้ยน เขาก็อาจจะไม่เชื่อผม ผมก็อธิบายให้ฟัง ถามว่าอธิบายนั้น เขารู้เรื่องไหม? ไม่รู้ แต่เขามีความมั่นใจและความเชื่อถือผมมากขึ้น ในทำนองเดียวกัน ผมว่าพระเจ้าก็จะอย่างนั้นแหละ พระองค์ทรงรู้ควบคุมทุกอย่าง อธิบายอย่างละเอียดเลย ถามว่าเข้าใจไหม? ไม่เข้าใจ แต่รู้ว่าพระองค์ยิ่งใหญ่ พระองค์วางไว้เป๊ะๆ แน่นอน

และเมื่อครบกำหนดตามที่พระเจ้าวางไว้นั้น วาระสุดท้าย ก็คือตอนอวสาน จะมาถึงอย่างแน่นอน ตามที่พระเจ้ากำหนดเวลาไว้ อาณาจักรของพระคริสต์จะเจริญเติบโตขยายกว้างขวางไปเรื่อยๆ จนคลุมโลกใบนี้เลย เชื่อไหม? เชื่อ เมื่อไร? ไม่รู้ คริสตจักรถูกข่มเหงอย่างรุนแรง แต่เลยมา 2,000 ปี ทุกวันนี้คลุมโลกเลย ยิ่งไปดูตะวันออก ยุโรปทั้งหมด  มีแต่ไม้กางเขนเต็มไปหมด คริสตจักรเต็มไปหมด

ผมจะบอกให้ท่านฟังว่ามีคนเชื่อในพระเยซู เข้ามาอยู่ในอาณาจักรของพระเยซูมากขึ้นทุกวัน  แต่ละวินาทีเลย แต่โรมันไม่มีแล้ว เหลือแต่ซากของจักรวรรดิโรมัน ตามกำหนดไว้ของพระเจ้า

มีคนถามพระเยซูว่าแล้วเหตุการณ์เหล่านี้จะเกิดขึ้นเมื่อไร? พระเยซูก็ไม่รู้เหมือนกัน ในมัทธิว 24:36-39 …

มัทธิว 24:36-39 “36 ไม่มีใครรู้วันเวลาที่เหตุการณ์นั้นจะเกิดขึ้น แม้แต่ทูตสวรรค์หรือพระบุตรก็ไม่รู้ พระบิดาเท่านั้นที่ทรงทราบ 37 ในสมัยของโนอาห์เป็นอย่างไร เมื่อบุตรมนุษย์มาก็เป็นอย่างนั้น 38 เพราะในวันเวลาก่อนน้ำท่วมโลก ผู้คนกินดื่ม แต่งงาน และยกให้เป็นสามีภรรยากัน จนถึงวันที่โนอาห์เข้าในเรือ 39 พวกเขาไม่รู้เลยว่าอะไรจะเกิดขึ้น จนถูกน้ำท่วมกวาดล้างไปหมด เมื่อบุตรมนุษย์มา ก็จะเป็นเช่นนั้นแหละ”

 

นี่พระเยซูตรัสเอง ไม่มีใครรู้วันเวลา  ที่เหตุการณ์นั้นจะเกิดขึ้น คือวาระสุดท้าย แม้แต่ทูตสวรรค์หรือพระบุตรก็ไม่รู้ พระบิดาเท่านั้นที่ทรงทราบ

คำว่า “เหตุการณ์เหล่านั้น” ก็คือเหตุการณ์ที่กำลังจะมาถึงในวาระสุดท้ายก่อนที่พระเยซูคริสต์จะกลับมาอีกครั้งหนึ่ง ก่อนที่โลกใหม่จะถูกสถาปนาขึ้น และมนุษย์ทุกคนต้องเข้าสู่การพิพากษาในขณะนั้น พระคัมภีร์ไบเบิ้ลได้บันทึกอย่างชัดเจนเลย จะมีกำหนดให้มนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้ ตายเพียงหนึ่งครั้งเท่านั้น และวิญญาณออกจากร่างได้แค่ 1 ครั้ง และวิญญาณนั้นยังอยู่ ไม่ได้สูญสิ้นไป แต่รอการพิพากษา ไม่ว่าทำดีหรือทำชั่ว ก็จะไปยืนอยู่หน้าบัลลังก์ของพระเจ้าเพื่อรอการพิพากษา แต่สำหรับคนที่เชื่อในพระเยซูคริสต์ พระคัมภีร์เตือนเอาไว้เลยว่าเมื่อถึงวันนั้น ไปยืนอยู่หน้าบัลลังก์ของผู้พิพากษา เราทั้งหลายไม่มีชั่วแล้ว เพราะว่าชั่วตรงนี้ คือบาป … บาปเรา พระเยซูเอาไปหมดแล้ว จึงเตือนเราให้เชื่อตรงนี้ เตือนผู้ที่ยังไม่เชื่อ ให้เชื่อตรงนี้  เตือนผู้ที่เชื่อแล้ว อย่าทิ้งตรงนี้ไป เราเชื่อในพระเยซู เราได้รับการชำระบาป … บาปได้ถูกเอาออกไปแล้ว ไม่มีความชั่วใดๆ ในโลกใบนี้เลย นอกจากบาปอย่างเดียว

เมื่อพูดถึงการทำชั่ว พูดถึงคนชั่ว ก็คือบาปทั้งสิ้น เพราะฉะนั้นเอาแทนไปได้เลยว่ามีแต่ดีกับบาป และไปยืนต่อหน้าของพระเจ้าในวันสุดท้าย  ไม่มีคนไหนที่เป็นคนดีเลยสักคน พระคัมภีร์ได้บันทึกเอาไว้ พระเจ้ามองมา ไม่มีดีเลย  เพราะทุกคนเป็นคนบาป ยกเว้นบาปนั้น ได้ถูกชำระแล้ว โดยการหลั่งโลหิตโดยพระบุตร คือพระเยซูคริสต์ ไม่มีการหลั่งโลหิต ไม่มีการชำระบาป ไม่มีการจ่าย สตังค์ คืนให้กับแบงค์ … แบงค์ไม่ยกหนี้ให้กับเรา … เรายังคงเป็นหนี้แบงค์อยู่ ไม่ว่าเราจะไปกราบสักเท่าไร? เราจะบอกเราอุทิศตนทำความดี จากนี้ต่อไปเท่าไร? ไม่ว่าเราจะไปขอขมาเขาเท่าไร? ขอโทษแล้วขอโทษอีก น้ำตาเป็นสายเลือด บอกว่า …

“ไม่ทำอีกแล้วๆ”

แบงค์ก็บอกว่า “สงสารเจ้า แต่ไม่รู้จะทำอย่างไร? ต้องขึ้นสู่พิพากษา เอาเงินมาคืน จึงจบกัน”

พระเจ้าก็เหมือนกัน สำหรับพระเจ้าเลือด คือชีวิต ต้องเอาชีวิตมาเท่านั้น ถึงได้รับการยกโทษ พระคัมภีร์เขียนไว้อย่างนั้น ไม่ว่าจะร้องไห้สักกี่ครั้ง? ไม่ว่าจะอดอาหารสักเท่าไร? ไม่ว่าจะทำดีมากสักเท่าไร? ไม่ว่าจะสะสมความดีขนาดไหน? ไม่ว่าจะเสียสละมากขนาดไหน? จะขายบ้านขายช่อง ขายชีวิตตัวเองก็ได้ ไม่มีประโยชน์อะไรเลย พระเจ้าอยากจะช่วย แต่ทำไม่ได้ เอาอย่างเดียวมาเท่านั้น คือชีวิต และชีวิตให้มาแล้ว คือพระเยซูคริสต์หลั่งพระโลหิต ยอมสละชีวิตของตัวเอง ยอมไถ่บาปให้กับเรา นั่นแหละคือสิ่งที่พระเจ้าต้องการ ไปหาพระเยซูซะ

วาระสุดท้าย  คือวาระที่พระเยซูคริสต์จะกลับมาใหม่  และมนุษย์จะรับการพิพากษา  อย่างที่ตะกี้อธิบายไป ส่วนเหตุการณ์มันจะเกิดขึ้นเมื่อไร? ไม่มีใครรู้ มีเพียงพระเจ้าเท่านั้นที่รู้ อาจจะเกิดขึ้นสัปดาห์หน้าก็ได้ อาจจะเกิดขึ้นปีหน้าก็ได้ อาจจะเกิดขึ้นอีก 100 ปีก็ได้ เราไม่รู้

ในข้อนี้ยังบอกว่า “ในสมัยของโนอาห์เป็นอย่างไร?  เมื่อบุตรมนุษย์มา ก็เป็นอย่างนั้น”

เป็นการขยายความเพิ่มเติม ให้เห็นภาพชัดเจนว่ากำหนดเวลาที่พระเยซูคริสต์จะเสด็จกลับมานั้น ไม่มีใครสามารถบอกได้ เหมือนตอนเกิดน้ำท่วมโลกในยุคโนอาห์ มนุษย์ก็ยังคงใช้ชีวิตตามปกติ ทั่วๆ ไป แต่มีพวกเดียวเท่านั้น ที่รู้ว่าแถวๆ นี้ พระเจ้าบอกกำลังมาแล้ว ถามว่าเขารู้มากกว่าคนอื่นได้อย่างไร? เพราะเขาจดจ่อ เชื่อในพระเจ้า ก็คือโนอาห์และครอบครัว พระเจ้าบอกว่าแถวๆ นี้แหละ เขาไม่รู้หรอกว่าพรุ่งนี้ฝนจะตกไหม? เขาก็ต่อเรือไป เขาต่อเรือ เพราะเขาเชื่อว่าน้ำจะต้องท่วมแน่ๆ

คนเหล่านี้ คือคนที่ได้รับความรอด ก็เหมือนคริสเตียน เราเชื่อ เราไม่รู้ เราไม่คาดหวังหรอกว่าอาจจะเป็นพรุ่งนี้ อาทิตย์หน้า เมื่อไรก็ไม่รู้ แต่จะมาเมื่อไรก็ตาม เราพร้อมหรือยัง? พรุ่งนี้พระเยซูมา พร้อมหรือยัง? วันนี้ท่านยังไม่ได้อธิษฐานเลย ตะกี้ยังไม่ได้ถวายทรัพย์เลย เมื่อกี้ขึ้นรถเมล์มา ยังด่าเขาอยู่เลย  ยังหงุดหงิดกับเขาเลย ยังว่าเขาอยู่เลย แถมป้ายรถเมล์ตั้งไกล กว่าจะเดินเข้ามาถึงโบสถ์ มาสายเลย บ่น มาตลอดทางเลย  แล้วพระเยซูมาเลย พร้อมไหม? พร้อม

ถามว่า “ทำไมพร้อม?”

“เพราะพระเยซูไถ่บาปให้ฉันแล้ว ฉันไม่ได้ไปอยู่ในสวรรค์กับพระเจ้า เพราะว่าฉันทำดี ฉันทำเอง แต่เพราะฉันเชื่อในพระเยซูว่าเป็นพระผู้ไถ่บาปให้กับฉัน เอเมน”

พระคัมภีร์ตรงนี้จึงอธิบายให้เราเห็นภาพว่าวาระสุดท้ายที่จะเกิดขึ้นในอนาคต มันก็จะเป็นแบบนี้แหละ เหมือนที่พระเยซูอธิบายเทียบกับโนอาห์ โผล่ออกมาทันที เราเป็นพวกที่ถือตะเกียงมีน้ำมันอยู่ เราก็สบาย เราเป็นผู้ที่เชื่ออยู่แล้ว คนอื่นอาจจะไม่รู้ตัว แต่เรารู้ตัวตลอดเวลา เพราะเราเชื่อในพระเยซูว่าพระองค์เป็นพระผู้ไถ่บาป เพราะเราเชื่อในพระเยซู และรู้จักถ้อยคำพระเจ้าในพระคัมภีร์ที่บอกว่าพระเยซูเป็นใคร? และช่วยเรารอดด้วยวิธีใด ตรงนี้ต่างหาก ที่ทำให้เราพร้อมและเชื่ออยู่ตลอดเวลา และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อเราเชื่อในพระเยซูแล้ว พระวิญญาณบริสุทธิ์มาสถิตอยู่กับเรา เราเป็นหนึ่งเดียวกับพระองค์ วิญญาณเราสะอาดหมดจด

จำที่ผมเคยพูดได้ไหม? วิญญาณเราไม่ได้มีแสงสว่าง วิญญาณเป็นความสว่างอยู่ตลอด เพราะฉะนั้น ไม่ว่าจะหลับหรือตื่นอยู่ เรารู้ตลอดเวลา พร้อมตลอดเวลา มันหมายถึงอย่างนั้น  และถึงแม้ว่าเราจะไม่รู้กำหนดเวลาอย่างชัดเจนว่าพรุ่งนี้ มะรืนนี้ เราก็ไม่สนใจ เพียงแค่เรารู้และมั่นใจว่าสิ่งนี้ มันจะต้องเกิดขึ้นอย่างแน่นอน คือความทุกข์ยากลำบากอย่างแสนสาหัส มันจะเกิดขึ้นแน่นอน ตามพระคัมภีร์ได้บอกไว้ และหลังจากที่ความทุกข์ลำบากอย่างแสนสาหัสแล้ว หมายถึงความพ่ายแพ้ของคริสเตียน อย่างราบคาบบนโลกใบนี้แล้ว นั่นแหละ คือจุดสำคัญ กลับเปลี่ยนเลย คือการเสด็จกลับมาของพระเยซูคริสต์ เพื่อนำเอาชัยชนะนิรันดร์มาให้กับพวกเราทุกคนที่เชื่อในพระองค์ นี่ต่างหากที่เป็นสิ่งที่สำคัญ

ในข้อที่ 8 ที่บอกว่า “คนเป็นอันมากจะถูกถลุง และได้รับการชำระให้บริสุทธิ์ ปราศจากตำหนิ”

“คนเป็นอันมาก” ในบริบทนี้ หมายถึงบรรดาผู้เชื่อทั้งหลาย คริสเตียนทั้งหลาย

ที่ข้อก่อนหน้านี้บอกว่า “ต้องถูกข่มเหงรังแก และต้องเผชิญความทุกข์ยากลำบากอย่างแสนสาหัส แบบที่ไม่เคยมีปรากฏมาก่อน”

ก็คือเป็นการถลุงให้เขาบริสุทธิ์ คนที่ไม่เชื่อ กลับเชื่อ นี่พระคัมภีร์บอกอย่างนั้น ขณะที่ยุคสุดท้ายมาถึงคนที่ไม่เชื่อถูกถลุง กลับกลายเป็นมาเชื่อพระเจ้า เพราะเห็นถ้อยคำพระเจ้าที่บอกนิมิตนี้ไว้ล่วงหน้าแล้วว่าจะเกิดขึ้นอย่างนั้น กลับใจใหม่มาเชื่อพระเยซู ยิ่งถลุงเท่าไร? ยิ่งเชื่อ เหมือนที่เคยเกิดขึ้นในอดีต เมื่อสมัยจักรพรรดิ์เนโร ในยุคเริ่มต้นแรกๆ ของจักรวรรดิ์โรมัน ที่ข่มเหงคริสเตียนอย่างหนัก ยิ่งข่มเหง ยิ่งเอาคริสเตียนไปตรึงไม้กางเขน  เผาทั้งเป็น ยิ่งฆ่าตายเท่าไร? ยิ่งมีคนเชื่อมากขึ้น  เพราะมันเป็นการงานของพระวิญญาณบริสุทธิ์ ไม่ใช่เรื่องเกี่ยวกับเหตุผลมนุษย์เลย ในอนาคตมันก็จะเป็นลักษณะอย่างนี้  แต่มากกว่า ถ้าพวกเราที่นั่งอยู่ตรงนี้ ยังมีชีวิตอยู่จนถึงวาระสุดท้าย ก่อนที่พระเยซูคริสต์จะกลับมา

สมมติ นั่งอยู่ตรงนี้อีกชั่วโมงหนึ่ง พระเยซูกลับมา ถามว่าใครจะถูกข่มเหงรังแก ก็คือเราทั้งหลาย เพราะฉะนั้น เราจึงรู้ว่ายังไม่ได้มาวันพรุ่งนี้หรอก เพราะวันนี้เรายังไม่ถูกข่มเหงรังแกอย่างหนัก หรือบางคนโดนหนัก อันนั้นไม่ใช่ อันนั้นยังไม่หนักพอ อันนี้มันหนักทั่วไป  หนักเฉลี่ยกัน ทุกคนโดนหมด แต่เราก็รู้ว่าพวกเราในนี้ ที่จะถูกข่มเหงรังแก แต่ก็คือพวกคริสเตียน พวกที่เป็นของพระเจ้า พวกที่พระเจ้าบอกรักมาก ปกปักษ์คุ้มครองดูแลเขานั่นแหละ แล้วทำไมอนุญาตให้เรื่องนี้เกิดขึ้น เพราะว่ามันเป็นส่วนหนึ่งในแผนการของพระเจ้า ที่ให้พระเยซูคริสต์กลับมาใหม่ด้วย เอเมน

แล้วท่านคิดว่าเมื่อเวลานั้นมาถึง ท่านจะทนได้ไหม?  ทนได้แน่นอน เพราะเรามั่นใจว่า …

(1) มันเป็นเพียงความทุกข์ยากลำบาก เพียงชั่วคราวเท่านั้น เพราะพระเจ้าบอกเราก่อนแล้วว่ามันมีกำหนดเวลาของมัน และมันมีจุดจบของมัน กำหนดไว้แล้วโดยพระเจ้า

(2) สิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นมันคุ้มค่ามากมหาศาล  เอเมน

พระเจ้าบอกให้เรามีความหวังใจแบบนี้ว่ามันทุกข์ยากลำบากแสนสาหัสจริง แต่มันแค่สั้นๆ มันจบนะ หลังจากจบ แล้วสุขนิรันดร์

เพราะเมื่อครบตามวาระที่พระเจ้าวางไว้ ชัยชนะ ก็จะเป็นของเราผู้ที่เชื่อในพระองค์ สุดท้ายแล้ว เราจะเป็นผู้ที่ชนะนิรันดร์ ไม่ว่าจะเป็นอย่างไร? เราก็ชนะนิรันดร์เท่านั้น ช่วงแรกเป็นความทุกข์ใจ ทรมาน แต่ทุกข์ใจ เพื่อที่จะไปสู่ความมีชัยนิรันดร์ถาวร

ยกตัวอย่างเหมือนเราไปหาหมอนวดจับเส้น สมมติเราเป็นอัมพาต เส้นปวดเมื่อย เขาต้องจับให้ถูกเส้น พอถูกเส้นเขาจะขยี้ หมอนวดนะมัน แต่คนไปรักษาเจ็บ แล้วหมอนวดก็จะบอกว่ามันถูกเส้นแล้ว ยิ่งเจ็บ มันยิ่งหายเร็ว เดี๋ยวพรุ่งนี้ก็เดินได้แล้ว แขนขาก็เป็นปกติแล้ว ไม่ต้องทนปวดตลอดชีวิต แล้วมันเป็นจริงตามนั้น นี่แผนไทย นี่เรื่องจริง เห็นไหม?

หรือท่านเคยไปทำฟันไหม? ท่านกลัวที่สุด คือเสียงกรอฟัน เมื่อไรมันจะจบสักที แล้วหมอฟันก็ชอบมาถามตอนนั้น เจ็บไหม? เสียวไหม? ขอโทษทีนะ แล้วเราจะพูดได้อย่างไร? ปากติดอยู่ จะเปิดปากบอก ไม่ไหวแล้ว ก็เปิดไม่ได้ พูดไม่ออก แต่เรารู้ว่าหลังจากนั้น ฟันเราก็ไม่ผุ เราไม่ปวดตลอดไป เราจะหาย เราทนได้ มันอีกแป๊บเดียว เราก็นั่งนับ เดี๋ยวก็จบแล้ว เหงื่อแตก หมอก็มาซับๆ อีกแป๊บเดียวๆ พอเสร็จปุ๊บ โล่ง

หรือตัวอย่างสุดท้าย  ยิ่งในช่วงวันแม่จะเห็นชัด ก็คือแม่ที่ตั้งท้องลูก คลอด เจ็บปวดสุด ไหนจะแพ้ท้อง นอนก็ไม่ได้ เพราะยิ่งใกล้ๆ คลอด ท้องป่อง หายใจก็ไม่ออก ยิ่งไปคลอด ทรมาน บางคนร้องไห้น้ำตาเล็ด แต่พอลูกคลอดออกมา เขาอุ้มลูกไปให้ดู น้ำตาไหล ชื่นชมยินดี ก็ทนมาทั้งหมด ตั้ง 8 เดือน 9 เดือน 10 เดือนได้ เพราะมีความหวังว่าเขาจะชื่นชมยินดีเมื่อเห็นลูก ลูกในไส้ของเขา ที่เขาให้กำเนิด ลองให้เขาทำอย่างนั้นดู แล้วไม่มีลูก ทำจนจบสุดท้ายบอกไม่มีอะไรหรอก ทำเล่นๆ ไม่มีกำลังใจเลย คงไม่มีใครยอมทนถึงขนาดนั้นหรอก ที่ทนเพราะว่ามีความหวังรอไว้สุดท้าย พระเจ้าก็เหมือนกัน พระคัมภีร์จะชอบยกตัวอย่างนั้นว่าความทุกข์ทรมาน วาระสุดท้าย เหมือนหญิงคลอดบุตร มันทรมานจริง แต่มันมีความสุข รออยู่ข้างหน้า

สรุปรวมทั้งหมดแล้ว สิ่งที่จะทำให้เราสามารถเผชิญกับความทุกข์ยากลำบากลำเค็ญในยุคสุดท้ายมีอยู่ 2 ปัจจัย ก็คือ …

(1) เรารู้ว่ามันเป็นเพียงแค่ชั่วคราว

(2) เรารู้ว่าตอนจบมันดี มีอะไรดีๆ ที่รออยู่ พูดง่ายๆ ว่ามีความหวังนั่นเอง เจ็บปวดชั่วคราว แต่ว่ามีความนิรันดร์  ตรงนี้ต่างหาก

ดาเนียล 12:13 “ส่วนท่าน จงไปตามทางของท่านจวบจนวาระสุดท้าย ท่านจะพักสงบ และเมื่อสิ้นยุค ท่านจะเป็นขึ้นมา เพื่อรับมรดกส่วนของท่าน”

 

แปลความหมายได้ว่าตอนนี้  ท่านได้รับรู้เหตุการณ์ ที่จะเกิดขึ้นในอนาคตบางส่วน เมื่อยุคสุดท้ายมาถึง จะเกิดอะไรขึ้นบ้าง แต่ท่านก็ไม่ต้องไปสนใจมันมากนักว่ามันจะเกิดขึ้นเมื่อไร? รู้แต่ว่าท่านตายก่อน อยู่ไม่ถึงหรอก คือพักสงบ และหลังจากนั้น ท่านก็จะได้เป็นขึ้นมาใหม่อีกครั้งหนึ่ง

พระเจ้าบอกดาเนียลว่า “เธอจะตายก่อนสิ้นยุคที่จะมาเกิดขึ้น เธอไม่ต้องไปวุ่นวายกับมันมาก เพียงแต่จดๆ ไว้ ปิดๆ ไว้ เดี๋ยวข้างหลังมา เขาจะมาเปิดดูเอง เดี๋ยวพระวิญญาณบริสุทธิ์จะสอนเขาเอง พอเธอตายไป หลังจากนั้น เธอก็จะได้เป็นขึ้นมาใหม่อีกครั้งหนึ่ง”

หลังจากเหตุการณ์นี้เกิดขึ้น หลังจากที่พระเยซูเป็นขึ้นมาใหม่นั้น ดาเนียลจะได้เป็นขึ้นมาอีกครั้ง เพื่อรับมรดกของดาเนียล คือชัยชนะที่พระคริสต์ได้มอบให้กับท่าน คือชีวิตนิรันดร์ คือการครอบครองอาณาจักรร่วมกับพระเยซูคริสต์นั่นเอง คือครอบครองร่วมกับลูกๆ หลานๆ เหลนๆ ผู้ที่เชื่อในอนาคต คือปัจจุบันนี้ ก็คือคริสเตียนทั้งหลายที่ดาเนียลไม่รู้ว่ามีคริสเตียน ดาเนียลรู้ว่ามีพงศ์พันธุ์ที่จะมีประชาชาติที่จะเชื่อในพระเจ้าต่อจากเขา แต่เรารู้แล้วตอนนี้ว่าผู้ที่เป็นขึ้นจากความตาย ก่อนเรา คือใคร? เมื่อพระเยซูกลับมา เราก็จะเป็นขึ้นมาด้วย แต่ไม่ใช่เราเป็นก่อนนะ พวกดาเนียลเป็นก่อน หนังสือเธสะโลนิกาก็บอกไว้อย่างนั้น ดาเนียลจะเป็นขึ้นจากความตาย แล้วถ้าเรายังอยู่ เรายังไม่ตาย เราก็ลอยไปหาดาเนียล ไปหาพระเยซู แล้วเราก็ร่วมครอบครองพร้อมกัน ใครจะเป็นขึ้นก่อนไม่สำคัญ … สำคัญตรงที่ครอบครองร่วมกับพระเยซูคริสต์พร้อมกัน ระหว่างในอดีตจนถึงปัจจุบัน เอเมน

นี่คือความหวังของเรา นี่ดีที่สุดแล้ว นี่คือมรดก ในพระคัมภีร์เขียนตรงนี้ว่าเป็นมรดก ท่านรับมรดกของท่าน บอกดาเนียลว่า …

“เชื่อพระเจ้า แล้วตายไปเถอะ เธอพักผ่อนสงบไป เดี๋ยวถึงเวลา เธอก็มารับมรดกนิรันดร์”

เราก็เหมือนกัน ถ้าพรุ่งนี้เราตายไป พักสงบ เดี๋ยวถึงเวลา เราก็ไปรับ มรดกนิรันดร์

คำตอบของทูตสวรรค์ตรงนี้  ไม่ได้มาถึงดาเนียลแค่คนเดียว แต่มาถึงเราทุกคนในพระเยซูคริสต์ด้วยว่าเราจะได้พักสงบ คือถ้าเผื่อเราตายก่อนวันสิ้นยุค เพราะฉะนั้น ท่านอยากตายไหมตอนนี้? ตายก่อนก็ดี จะไม่ต้องเข้าสู่ความทุกข์ยากลำบาก ไม่ต้องเข้าไปสู่วาระของการข่มเหงคริสเตียน อย่างรุนแรงก่อนสวรรค์นิรันดร์ลงมา แต่เราเลือกไม่ได้ เพราะพระเจ้ากำหนดไว้แล้วว่าท่านจะได้พักเมื่อไร? เวลาทำงาน ก็ทำไป ไม่อยากทำงาน ก็ต้องทำไป  ถ้าไม่ทำ ก็จะถูกลากไปทำ

เราสรุปจากเรื่องราวทั้งหมดของดาเนียลที่เราเรียนรู้กันมา 22 ตอน ก็เพื่อจะโยงมาถึงสิ่งที่พระเจ้าต้องการจะหนุนใจพวกเราทุกคน ที่เชื่อในพระองค์ เหมือนที่พระองค์ทรงหนุนใจดาเนียลว่าทุกสิ่งทุกอย่าง ที่เกิดขึ้นภายใต้มหาจักรวาลนี้ ล้วนอยู่ในการควบคุม การกำหนดของพระองค์ทั้งสิ้น เอเมน โลกที่เรากำลังอาศัยอยู่นี้ ก็เปรียบเหมือนโรงละครโรงใหญ่ ที่พระเจ้าเป็นผู้เขียนบทและกำกับ ส่วนพวกเราแต่ละคน ก็เปรียบเสมือนตัวละครในบทบาทต่างๆ ที่พระเจ้ากำหนดไว้ให้แล้ว พวกเราก็มีหน้าที่เพียงแค่ดำเนินชีวิตไปตามบทบาทที่พระเจ้าวางไว้ ด้วยความอดทนและเชื่อฟังเท่านั้น ถ้าไม่เชื่อฟังก็ทุกข์ทรมานมาก แต่ยังไงก็ต้องไปตามนั้นอยู่ดี เพราะฉะนั้น เชื่อฟัง ก็จะได้ลำบากน้อยหน่อย เพราะต้องตามนั้นอยู่ดีเหมือนกัน และบางครั้งพระเจ้าอนุญาตให้ทุกข์ยากลำบากเกิดขึ้น ก็เพื่อนำไปสู่แผนการใหญ่ของพระองค์ ในพระเยซูคริสต์นั่นเอง คือให้พระเยซูคริสต์มาเกิดเป็นมนุษย์ ในชนชาติอิสราเอล ในช่วงอาณาจักรโรมันรุ่งเรือง  และตายที่ไม้กางเขน เพื่อไถ่บาปให้กับมนุษย์ทั้งปวงนั่นเอง นี่คือแผนการใหญ่

แผนการใหญ่ ก็คือพระเยซูต้องมาตาย ที่ไม้กางเขน แผนการใหญ่ ก็คือมนุษย์ทุกคนต้องได้รับความรอดจากบาป รอดจากนรก

แผนการใหญ่ของพระเจ้าจะไม่เกี่ยวกับคนๆ หนึ่ง บนโลกใบนี้ แต่เกี่ยวกับมนุษย์ทั้งมวล พระเจ้าทรงทราบดีว่าพระองค์ทรงกำลังทำอะไรอยู่ และทำเพื่ออะไร? ทำเพื่อใคร?  และพระองค์ทรงเป็นผู้ทรงอนุญาตให้ทุกสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้น ให้เป็นไปตามแผนการที่พระองค์ทรงวางไว้ทั้งสิ้น เราอาจจะไม่เข้าใจ เราอาจจะถามโน่นถามนี่ ผมจะบอกให้ ทุกครั้งที่เราไม่เข้าใจ ทุกครั้งที่เราตั้งคำถาม ทุกครั้งที่เราบ่นว่าทำไม? เพราะเรากลัวและเราเห็นแก่ตัวนั่นเอง เพราะเชื้อบาปอยู่ในเรา แต่เป็นบาปที่ไม่สามารถกัดเราได้แล้ว มันยังอยู่กับเรา แต่มันไม่สามารถทำอันตรายเราได้แล้ว เพราะเราตายต่อบาปแล้ว ในพระเยซูคริสต์ เอเมน

แต่ก่อนนี้ เราไม่เชื่อพระเยซู มันทั้งข่มขู่ ทั้งกัด ทั้งกินเรา ตอนนี้มันกัดเรา กินเราไม่ได้แล้ว มันได้แค่อยู่กับเรา และเห่าไปวันๆ หนึ่ง ไม่ต้องไปกลัวมันเลย

ประเด็นสำคัญ คือบางครั้งพระเจ้าทรงอนุญาตให้ความทุกข์ยากลำบาก บางอย่างเกิดขึ้นกับประชากรของพระองค์ เพื่อนำไปสู่แผนการใหญ่ของพระองค์ แต่ละคน เข้าไปตามขนาด และหน้าที่ ตามกำหนดที่พระเจ้าวางไว้ให้แต่ละคน

การอยู่เพื่อพระคริสต์ คืออยู่เพื่อรับใช้ เพื่อแผนการใหญ่ของพระเจ้าสำเร็จ คือมนุษย์ทุกคนมาถึงซึ่งความรอด จากบาป ในพระเยซู นี่คือความหวังใจ นี่คือความต้องการของพระเจ้าตั้งแต่แรกเริ่มแล้ว พระองค์ต้องการจะรวบรวมผู้คนให้มากที่สุด ซึ่งเป็นลูกของพระองค์ทั้งนั้น เป็นพระฉายของพระองค์ทั้งนั้น เข้ามาอยู่กับพระองค์ในสวรรค์สถาน ท่านเข้าใจไหม? ความทุกข์ทรมาน ที่ต้องเห็นลูกคนหนึ่งตกนรกไป มันทรมานมากมายอย่างไร? ท่านลองนึกภาพเอาเองแล้วกัน พระองค์ได้สัญญาแล้วว่าในขณะที่เราต้องอยู่ในความทุกข์ยากลำบากนั้น พระองค์จะอยู่เคียงข้างเรา และคอยช่วยเหลือเรา

ทุกถ้อยคำของพระองค์ทั้งในพระคัมภีร์เดิมและพระคัมภีร์ใหม่ จะพูดอย่างนี้เสมอว่า …

“เวลาทุกข์เราอยู่กับเจ้านะ เราจะช่วยเจ้า”

“แล้วทำไมต้องมีทุกข์อยู่บ่อยๆ”

เพราะมันจำเป็นไง ใช้งานลูก … ลูกก็ต้องเหนื่อยสิ ก็จะใช้ ถ้าไม่ใช้ ก็เอากลับไปแล้ว ถ้ายังอยู่ ก็ต้องใช้ พระเจ้าก็จะบอกเราเสมอว่าทนแค่แป๊บเดียว …

“ไหนบอกทนแป๊บเดียวไง นี่ตั้งนานแล้ว ตั้ง 4 ปีแล้ว 10 ปีแล้ว 20 ปีแล้ว”

เราเทียบ 20 ปีกับอะไร? ขึ้นอยู่กับที่เราเทียบ แต่พระเจ้าบอกทนอยู่แป๊บเดียวเอง อีกนิดเดียว เพื่อแผนการของพระเจ้าจะได้สำเร็จ พระเจ้าใช้เราอีกแป๊บเดียว พระเจ้าเทียบกับสวรรค์นิรันดร์ ที่เราจะไปอยู่กับพระองค์ เราทุกข์แค่นี้ เทียบกันไม่ติดเลย เทียบได้ตามที่พระเจ้าต้องการให้เราเทียบ เราก็จะสามารถเผชิญได้กับความทุกข์ยากต่างๆ นานา เหมือนกับผู้เชื่อต่างๆ มากมายที่พระเจ้าใช้เขา แล้วเขาก็ทนได้ เหมือนกับเปาโล เปโตร ตายก็ยังยอม ถูกตรึงที่ไม้กางเขนก็ไม่เป็นไร? เพราะเขาเทียบกับสิ่งที่เขาจะได้ในสวรรค์สถานนิรันดร์กาล ซึ่งมีอยู่แน่นอน 100% เพราะเขารู้อยู่ในใจแล้วว่าสิ่งที่พูดมาทั้งหมดนี้ มันเสร็จแล้ว สวรรค์สร้างเสร็จไปเรียบร้อยแล้ว ทุกวันนี้เป็นของเราไปเรียบร้อยแล้ว เอเมน มันเป็นของเราแล้ว เลยมีกำลังใจ

พระคัมภีร์บอกโลกใบนี้วิปริต ถ้าไม่วิปริตร พระเยซูคงไม่กลับมา เพื่อจะสร้างโลกใหม่ เขาจึงบอกว่า …

“โลกนี้ไม่ใช่บ้านเรา  ฉันเพียงอาศัยชั่วคราว

สมบัติฉันสะสมไว้  ที่ในสวรรค์เบื้องบน

ทูตสวรรค์ร้องเรียกอยู่  ณ ประตูบนวิมาน

แต่ฉันรู้ว่าโลกนี้ ไม่ได้เป็นบ้านฉันเลย”

สวรรค์ใหม่ ที่พระเจ้าจัดเตรียมให้เราเรียบร้อยแล้ว  รอวันครบถ้วนบริบูรณ์  รอใคร? รอพี่น้องของเราอีก อาณาจักรพระคริสต์กำลังครอบคลุมอยู่เหนือโลกใบนี้ ตามคำทำนาย  สมัยดาเนียลไม่มีผิด และทุกคนที่เข้ามาอยู่ในพระคริสต์ถูกปรับตัวให้เป็นทหารทุกคนเลย ไม่ว่าเราจะอยู่ในฐานะอะไรก็ตาม

แล้วเรากำลังรออะไร? เรากำลังรอร่างกายใหม่ ร่างกายที่อยู่นี้ มันกำลังจะเน่าเปื่อยไปทุกวัน มันแก่ไปทุกวัน มันจะต้องตายไปในทุกวัน ค่อยๆ ตายไป ในที่สุด จะหมดลมหายใจ แต่วิญญาณที่เกิดใหม่ มันจะมีสง่าราศี เป็นแสงสว่างเหมือนพระเยซูคริสต์ แล้วมันกำลังรอคอยร่างกายใหม่ ร่างกายสวรรค์ที่พระเจ้าสัญญาไว้เรียบร้อยแล้ว เมื่อถึงวันนั้น เราเป็นขึ้นมาใหม่ คือเราจะได้รับร่างกายสวรรค์ ร่างกายใหม่จากพระเจ้า ซึ่งเป็นร่างกายที่จะไม่มีความเจ็บปวด ทุกข์ทรมาน เหมือนทุกวันนี้ ไม่มีปัญหาอีกต่อไป นิรันดร์ ตอนนี้เราอยู่กับพระเยซู และพระเยซูก็อยู่กับเรา จะกี่วัน? กี่เดือน? กี่ปี? ขอพระเจ้าเมตตาช่วยให้เรามีความอดทนได้ พระองค์จะค่อยๆ พาเราอดทน เดินไปกับพระองค์ผ่านพ้นไปแน่ๆ เพราะไม่มีอะไรเกินกว่าที่เราจะรับได้ พระองค์ทรงสัญญาไว้เช่นนั้น วิวรณ์ 21:1-5  สุดท้าย เราจบตรงนี้ว่านี่คือความหวังของเรา

วิวรณ์ 21:1-5 “1 และข้าพเจ้าเห็นฟ้าใหม่และโลกใหม่ เพราะฟ้าเดิมและโลกเดิมได้ดับสูญไปแล้ว ทะเลก็ไม่มีอีกแล้ว 2 ข้าพเจ้าเห็นนครบริสุทธิ์ คือเยรูซาเล็มใหม่ที่พระเจ้าทรงให้เลื่อนลอยลงมาจากสวรรค์ นครนี้ได้รับการตระเตรียมไว้เหมือนเจ้าสาวแต่งกายงดงามรอรับผู้เป็นสามี 3 และข้าพเจ้าได้ยินเสียงดังมาจากพระที่นั่งว่า “บัดนี้ที่ประทับของพระเจ้ามาอยู่กับมนุษย์แล้ว พระองค์จะสถิตกับพวกเขา เขาทั้งหลายจะเป็นประชากรของพระองค์ และพระเจ้าเองจะทรงอยู่กับพวกเขาและเป็นพระเจ้าของพวกเขา 4 พระองค์จะทรงซับน้ำตาทุกๆ หยดของพวกเขา จะไม่มีความตาย หรือการคร่ำครวญ หรือการร่ำไห้ หรือความเจ็บปวดรวดร้าวอีกต่อไป เพราะระบบเก่าได้ผ่านพ้นไปแล้ว” 5 พระองค์ผู้ประทับบนพระที่นั่งนั้นตรัสว่า “เรากำลังสร้างสรรพสิ่งขึ้นใหม่!” และตรัสอีกว่า “จงเขียนสิ่งนี้ลงไปเพราะข้อความเหล่านี้เที่ยงแท้และเชื่อถือได้”

 

เอเมน  ขอพระเจ้าอวยพรครับ

***************************************

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 6 สิงหาคม 2017 เรื่อง “จงนิ่งเสียและรู้ว่าพระองค์คือพระเจ้า” ตอน 22 “วาระสุดท้าย ตอน 1” โดย นคร เวชสุภาพร

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  6  สิงหาคม  2017

เรื่อง “จงนิ่งเสียและรู้ว่าพระองค์คือพระเจ้า”

ตอน 22 “วาระสุดท้าย ตอน 1”

โดย นคร  เวชสุภาพร

 

วันนี้เรามาต่อ “จงนิ่งเสียและรู้ว่าพระองค์คือพระเจ้า” ตอนที่ 22 ชื่อตอนว่า “วาระสุดท้าย” เรามาถึงหนังสือดาเนียล บทที่ 12 เป็นบทสุดท้าย หนังสือดาเนียลส่วนใหญ่จะบันทึก นิมิต ที่ดาเนียลได้รับจากพระเจ้า ที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาต่างๆ แต่เนื้อหาสาระจะสอดคล้องกันหมดเลย

เริ่มตั้งแต่ดาเนียลถูกเรียกไปทำนายความฝัน ให้กับกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์แห่งบาบิโลน เรื่องรูปปั้นขนาดใหญ่ ที่มีศีรษะทำด้วยทองคำ หน้าอกและแขนทำด้วยเงิน ท้องและต้นขา ทำด้วยทองสัมฤทธิ์ ขาทำด้วยเหล็ก เท้าทำด้วยหินปนดินเหนียว ซึ่งแต่ละส่วนของรูปปั้นนี้ หมายถึงอาณาจักรต่างๆ  ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ดาเนียลได้รับนิมิต ประมาณ 600 ปีก่อนพระเยซูจะเกิด แต่สำหรับเรามันกลายเป็นประวัติศาสตร์ไปแล้ว และมันเกิดขึ้นไปแล้ว

เริ่มตั้งแต่อาณาจักรบาบิโลน ต่อด้วยเปอร์เซีย ต่อด้วยกรีก และต่อด้วยโรมัน แต่สุดท้ายแล้ว รูปปั้นนี้ก็จะถูกหินก้อนใหญ่มากระแทก จนแตกกระจายไป  ก็คือการล่มสลายของอาณาจักรต่างๆ ทั้ง 4 อาณาจักร ก้อนหินที่มากระแทกรูปปั้นจนแตกกระจาย ก็คืออาณาจักรของพระคริสต์ ที่จะเข้ามามีอำนาจและครอบคลุม ครอบครองไปหมด เป็นการถาวรนิรันดร์

นิมิตเรื่องรูปปั้นนี้ยังเป็นการบอกเล่าเรื่องราว แบบคร่าวๆ ว่าเหตุการณ์ในอนาคตจะเป็นอย่างไร? แล้วนิมิตต่อมาของดาเนียล ก็คือความฝันเรื่องสัตว์ประหลาด 4 ตัว ที่ดาเนียลฝันเห็น คือสิงโต มีปีก  หมีคาบซี่โครง 3 ซี่ ตัวที่ 3 เสือดาว 4 หัว 4 ปีก และสัตว์ตัวที่ 4 มีลักษณะน่ากลัว สยดสยอง  จนเรียกไม่ถูกว่าเป็นอะไร? เรียกกันว่าสัตว์ประหลาดก็แล้วกัน

สัตว์ประหลาดทั้ง 4 ตัว ก็เปรียบได้กับส่วนต่างๆ ของรูปปั้น เล็งถึงอาณาจักรต่างๆ ที่จะเกิดขึ้น  สัตว์ตัวที่ 4 ที่น่ากลัว ดุร้าย ประหลาดๆ ก็คืออาณาจักรโรมัน ที่ยุคนั้น โหดร้ายมาก ตามล่า ขยายดินแดนไปทั่ว ไปที่ไหนทำลายที่นั่น รุนแรง

หลังจากฝันเรื่องสัตว์ประหลาด 4 ตัวแล้ว ดาเนียลก็ยังฝันต่ออีก ในดาเนียล บทที่ 8 ความฝันเรื่องแกะกับแพะ แพะผู้ได้ขวิดแกะผู้ ด้วยความโกรธจัด จนกระทั่งแกะผู้สู้ไม่ได้ และล้มลง แพะผู้ตามนิมิตนี้ ก็คืออาณาจักรกรีก ส่วนแกะผู้ ก็คือมีเดียเปอร์เซีย ตรงตามนิมิต คืออาณาจักรกรีกได้โค่นล้ม ทำลายอำนาจของมีเดียเปอร์เซีย อย่างสิ้นเชิง และหลังจากนั้น  กรีก ซึ่งนำโดยกษัตริย์อเล็กซานเดอร์ มหาราช ก็ได้กลายเป็นอาณาจักรที่ยิ่งใหญ่ที่สุด รุ่งเรืองที่สุด ในขณะนั้น ตอนนั้น ก่อนพระเยซูจะเกิด แต่กษัตริย์อเล็กซานเดอร์ เรืองอำนาจอยู่ไม่ได้นาน ก็ตาย ด้วยอายุเพียง 33 ปี แล้วก็ไม่มีทายาทสืบทอดบัลลังก์ต่อไป เพราะฉะนั้น อาณาจักรกรีก ก็เริ่มสั่นคลอน และก็เกิดการแตกแยก แบ่งเป็น 2 มหาอำนาจ คืออียิปต์กับซีเรีย ก็แย่งอำนาจกัน

ในบทที่ 10 นิมิตนี้  ทำให้ดาเนียลเกิดความทุกข์ใจ นอนกินไม่ได้ เป็นเวลา 21 วัน เพราะว่าในความฝันนี้ ดาเนียลได้เห็นถึงความทุกข์ทรมานที่ชาวอิสราเอลต้องเผชิญ ก็คือต่อเนื่องจากช่วงท้ายของอาณาจักรกรีก แบ่งเป็น 2 ขั้ว คือซีเรียกับอียิปต์ ก็เกิดสงครามยืดเยื้อกัน เป็นเวลากว่า 300 ปี อิสราเอลอยู่ตรงกลาง ฝั่งซ้ายเป็นทะเล ฝั่งขวาเป็นทะเลทราย เพราะฉะนั้น เวลาสู้รบกันระหว่างเหนือกับใต้ ก็ต้องผ่านตรงกลาง คือผ่านอิสราเอลแน่นอน ทำให้อิสราเอล ต้องถูกรุกรานอย่างหนักตลอดเวลา 300 กว่าปีนี้ สงครามดำเนินต่อมา จนถึงยุคของกษัตริย์แอนติโอคัส ที่ 4 หรือที่เรียกกันว่าแอนติโอคัส เอพิฟานีส์แห่งราชวงศ์เซลูซิดของซีเรีย ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่อิสราเอลได้รับความเดือดร้อนมากที่สุด ทุกข์ทรมานมากที่สุด ถูกข่มเหงรังแกมากที่สุด  เพราะแอนตีโอกัส ที่ 4 เป็นกษัตริย์ที่มีจิตใจเหี้ยมโหด ทุจริตและคดโกงเงิน จากพระวิหารของยิว โดยรวมหัวกับพระ ปุโรหิตในสมัยนั้น

และตอนที่นำทัพซีเรียไปโจมตีอียิปต์ โรมันเข้ามาแทรกแซง ช่วยอียิปต์ไว้ ทำให้แอนติโอคัส ที่ 4 ตีอียิปต์ไม่สำเร็จ เจ็บใจมาก ก็เลย  เอาความแค้น ความอับอายต่างๆ มาระบายที่กรุงเยรูซาเล็ม ปล้นสะดม ทำลายทรัพย์สิน ออกคำสั่งห้ามยิวทำพิธีกรรมทางศาสนา ห้ามเข้าสุหนัต ห้ามฉลองเทศกาลต่างๆ  และสั่งเผาหนังสือธรรมบัญญัติทั้งหมด ผู้ใดขัดขืน มีโทษถึงตาย ทำสิ่งที่ไม่เคารพต่อสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ แล้วยังโกงเงินไปอีกต่างหาก

เหตุการณ์ที่อิสราเอลถูกข่มเหงรังแกอย่างหนัก ในยุคของแอนติโอคัส ที่ 4 ทิพฟานีส์ ผู้นำซีเรียในยุคนั้น ก็เหมือนการจำลองเหตุการณ์ ที่จะเกิดขึ้นกับผู้เชื่อทุกคน หรือคริสเตียนทุกคนในยุคสุดท้าย คือยุคจากนี้ไป  ไม่รู้เมื่อไร? อนาคตมันไม่ได้หมายถึงหลายปี มันอาจจะอาทิตย์หน้าก็ได้ โผล่ขึ้นมาทันทีก็ได้ แต่ขึ้นมาเมื่อไร? เราจะรู้ทันที เพราะว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์อยู่ในเรา

ก่อนที่พระเยซูจะเสด็จกลับมา และทำลายล้างแอนตี้ไคร์ซตัวใหญ่ ตัวนี้ออกไป เราจะต้องอยู่ในความทุกข์ยาก และถูกข่มเหงคล้ายๆ กัน หรือหนักกว่าภาพจำลอง คือตอนสมัยก่อนที่พระเยซูคริสต์จะเกิด คือในยุคแอนติโอคัส ที่ 4 ที่นิมิตของดาเนียลได้พูดตอนอยู่บาบิโลน

พระคัมภีร์บอกว่าผู้นำ หรือแอนตี้ไคร์ซตัวนี้ มันจะประกาศตัวมันเองว่ามันเป็นพระเจ้า มันเทียบพระเจ้าเลย  และมันจะโผล่ขึ้นมาในยุคสุดท้าย  และใครก็ตามที่อยู่ฝ่ายเดียวกับแอนตี้ไคร์ซนี้  ก็จะได้รับความสุขสบาย ในช่วงระยะเวลาหนึ่ง สั้นๆ โดยมันจะทำงานด้วยการเอาทรัพย์สินมาหลอกล่อ เอาชื่อเสียง เอาลาภยศ สรรเสริญมาหลอกล่อ ให้คนติดกับในสิ่งเหล่านี้ สิ่งที่เป็นของโลกนี้ ใครที่ยอมทำตาม ยอมเป็นพวกมัน ก็จะได้รางวัลเหล่านี้  ได้รับการเชิดชู ได้รับอำนาจบารมี ได้รับอิทธิพล เหมือนกับได้รับการครอบครองบนโลกใบนี้ แต่ก็เป็นเพียงช่วงระยะเวลาสั้นๆ ตามที่พระเจ้าได้กำหนดไว้

ดาเนียล 11:40 “ในวาระสุดท้าย  กษัตริย์ฝ่ายใต้จะรบกับเขา และกษัตริย์ฝ่ายเหนือนั้น จะระดมรถม้าศึก กองทหารม้า และกองทัพเรือบุกเข้าประจัญบานกับเขา เขาจะรุกรานหลายประเทศ และกวาดล้างไปทั่ว เหมือนน้ำท่วม”

 

นี่คือท้ายของบทที่ 11 พระเจ้าเปิดเผยให้เรารู้ว่าเมื่อถึงวาระสุดท้าย  จะมีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นบ้าง? แบบคร่าวๆ แต่ไม่บอกว่าจะเกิดวันไหน? เวลาไหน?  เป๊ะๆ เพราะมันเป็นประโยชน์ต่อพวกเราเอง ที่ไม่บอกเป๊ะๆ ที่บอกว่ากษัตริย์ฝ่ายใต้จะรบกับกษัตริย์ฝ่ายเหนือตรงนี้ ก็ไม่ได้หมายถึงสงครามระหว่างซีเรียกับอียิปต์อีกต่อไปแล้ว ตรงนั้นมันเป็นประวัติศาสตร์ แต่ตอนนี้ เรากำลังพูดถึงอนาคต คือยุคสุดท้าย ที่ยังมาไม่ถึง สัญลักษณ์ของฝ่ายเหนือ คือกองทัพปฏิปักษ์พระคริสต์ ส่วนฝ่ายใต้ ก็คือกองทัพของประชากรของพระเจ้า คือกองทัพพระคริสต์ ในยุคสุดท้าย ปฏิปักษ์พระคริสต์จะข่มเหงรังแกประชากรของพระเจ้า อย่างรุนแรงที่สุด เท่าที่เคยมีมา และแผ่ขยายอำนาจออกไปอย่างกว้างขวาง ผู้ที่เชื่อในพระองค์จะต้องพบกับความทุกข์ทรมานชั่วระยะเวลาหนึ่ง  แต่สุดท้ายจะได้รับความสุขนิรันดร์ แต่ส่วนผู้ที่อยู่ตรงข้ามกับพระเจ้า ผู้ที่ไม่เชื่อพระเจ้า ผู้ที่หลงไปเชื่อมารนั้น จะได้รับความสุขสบายชั่วระยะเวลาหนึ่งเท่านั้น แต่สุดท้ายแล้ว จะต้องพบกับความทุกข์ทรมานนิรันดร์

เรามาดูกันต่อ ในดาเนียล บทที่ 12

ดาเนียล 12:1-4 “1 ครั้งนั้น เทพบดีมีคาเอล ผู้พิทักษ์ประชากรของท่านจะมา จะเกิดช่วงทุกข์ลำเค็ญอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน ตั้งแต่มีประชาชาติขึ้น แต่ในครั้งนั้น ประชากรของท่าน คือทุกคนที่มีชื่ออยู่ในหนังสือนั้น จะได้รับการช่วยกู้ 2 คนเป็นอันมากที่ตายไป แล้วจะฟื้นขึ้น บางคนก็เข้าสู่ชีวิตนิรันดร์ บางคนก็เข้าสู่ความอับอาย และถูกดูหมิ่นเหยียดหยามตลอดกาล 3 บรรดาผู้มีปัญญาจะส่องแสงเหมือนความสว่างแห่งฟ้าสวรรค์ และบรรดาผู้ที่นำคนเป็นอันมาก มาสู่ความชอบธรรมจะส่องสว่างดั่งดวงดาวชั่วนิรันดร์ 4 ส่วนท่าน ดาเนียลเอ๋ย จงม้วนและประทับตราถ้อยคำแห่งหนังสือม้วนนี้ไว้ จนถึงวาระสุดท้าย คนเป็นอันมากจะไปที่นี่ที่นั่น เพื่อเพิ่มพูนความรู้”

 

ในนี้บอกว่า “ครั้งนั้นเทพบดีมีคาเอล ผู้พิทักษ์ประชากรของท่านจะมา” แปลว่าอะไร?

เหตุการณ์ใดที่เคยเกิดขึ้นมาแล้ว แล้วเรียกว่าเป็นความโหดร้ายทารุณที่สุดเวลานั้น  เทียบอะไรไม่ได้กับสิ่งที่กำลังจะเกิดในยุคสุดท้าย เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในยุคของแอนตีโอคัส ที่ 4 เมื่อสมัยประมาณ 500 กว่าปีก่อนพระเยซูคริสต์เกิด ที่บันทึกไว้ในนิมิตนี้ หรือเหตุการณ์ที่หลังจากนั้นมาอีกมากมาย ที่ประชากรของพระเจ้า ถูกข่มเหงรังแก เทียบกับเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นในยุคสุดท้ายนี้ ไม่ได้

ผู้พิทักษ์ของท่านกำลังจะมา ถ้อยคำตรงนี้กำลังบอกเราว่าเมื่อเวลานั้นมาถึง ยุคสุดท้ายมาถึง ในขณะที่เราถูกข่มเหงบนโลกใบนี้  แอนตี้ไคร์ซที่ยกตัวเองมาเป็นผู้นำ ที่ตามองเห็นว่าคนนี้เป็นใคร?

ในโลกวิญญาณ เกิดสงคราม ขณะที่เรากำลังต่อสู้กันบนโลกใบนี้  ในโลกวิญญาณต่อสู้ด้วย  เพื่อแผนการของพระเจ้า แล้วพระองค์ทรงรู้ว่ามันจะต้องไปไหนอย่างไร? พูดง่ายๆ ก็คือมาต่อสู้กับเขา แต่ความทุกข์ลำเค็ญที่คนของพระเจ้าต้องเผชิญอยู่ในยุคสุดท้ายนั้น เป็นเพียงระยะหนึ่ง ตามที่พระเจ้ากำหนดไว้เท่านั้น พอทนได้  เพราะในพระคัมภีร์สัญญาไว้ว่าไม่มีสิ่งใดที่เกินกว่าที่เราจะทนได้ พระเจ้าทรงอนุญาตให้เกิดขึ้นกับเรา 1 โครินธ์ 10:13 บอกไว้อย่างนั้นว่าเมื่อท่านเข้าไปอยู่ในความทุกข์ยากลำบากใดๆ ก็ตาม ไม่มีสิ่งใดที่ท่านทนไม่ได้ เพราะพระเจ้ารู้ว่าท่านทนได้แค่ไหน? ก็ให้ท่านแค่นั้นแหละ เอเมน

ถ้าท่านยกได้แค่ 20 กิโลฯ พระเจ้าก็ประทานให้ท่านแค่ 19.5 ให้ท่านยก ยกได้ไหม? ท่านบอกได้ แต่พอท่านยกแค่ 15 กิโลฯ ท่านก็ไม่ไหวแล้ว แต่จริงๆ ท่านได้ถึง 19.5 ถ้าอึดกว่านั้น ถ้าท่านยกแรงขึ้นมาอีกนิดหนึ่ง เป็น 16 ไม่ไหว ตายแน่ๆ พระเจ้ารู้ว่าท่านยกได้จริงๆ 19.5  ท่านไม่ยอมทำ หรือท่านอาจจะไม่รู้ตัวด้วย ท่านยกไปถึง 18 ท่านก็ร้องโวยวาย จบๆ ไม่ไหวแล้วๆ ก็ยังได้อีก 1.5 จนกระทั่ง 19.5  ท่านบอกตายแน่ นั่นแหละ พระเจ้ามาพอดี พระองค์ไม่เคยมาสาย แต่ก็ไม่มาก่อน ทุกคนชอบพูด

“พระองค์ไม่เคยมาสาย”

แต่ไม่เคยมีใครพูด ถ้าไม่มาสาย ก็ต้องไม่มาก่อนด้วย ไม่ได้มาตอน 15 กิโลฯ กำลังสบายๆ ต้องมาตอน 19.5 เพราะสร้างท่านมา เพื่อยกให้ได้ 19.5 ไม่เหมือนคนข้างๆ เขายกได้ 15 เพราะฉะนั้น พอถึง 14.5 ให้เขาหยุดแล้ว

ในยุคสุดท้าย ทุกคนที่มีชื่ออยู่ในหนังสือ จะได้รับการช่วยกู้ คนเป็นอันมากที่ตายไปแล้ว จะฟื้นขึ้น บางคนก็เข้าสู่ชีวิตนิรันดร์ บางคนก็เข้าสู่ความอับอายนิรันดร์ และถูกหมิ่นเหยียดหยามตลอดกาล นี่หมายถึงเมื่อถึงวันนั้น วันสุดท้าย อะไรเกิดขึ้น คนที่อยู่ในหนังสือนั้น จะได้รับการช่วยกู้ คนที่ตายไปแล้ว จะเป็นขึ้นมาใหม่

ในนี้ไม่ได้บอกว่าคนที่ตายไปแล้ว จะเป็นขึ้นมาใหม่ หมายถึงคริสเตียน แต่หมายถึงทุกคนจะต้องเป็นขึ้นมาใหม่ เพื่อรับการพิพากษา และคนที่เชื่อในพระเยซูคริสต์ ที่สะอาดหมดจดแล้ว บริสุทธิ์แล้ว ไม่มีบาปแล้ว อยู่ในฝ่ายพระเจ้าแล้ว เขาก็จะได้รับชีวิตนิรันดร์ ไม่ได้รับความอับอาย อยู่ในสวรรค์นิรันดร์กาล สำหรับคนที่ไม่ได้เชื่อพระเยซูคริสต์ ไม่ได้เชื่อในการไถ่ถอนของพระเยซู ไม่ได้มีพระเยซูเป็นพระผู้ช่วยให้รอด เป็นพระผู้ไถ่บาปให้กับเขา บาปก็ยังอยู่ในตัวเขา เมื่อเขาบาป  เขาถูกปรับโทษอยู่แล้ว ไม่มีใครทำอะไรเขานะ ไม่ใช่พระเยซูทำเขา ไม่ใช่พระเจ้าทำเขา แต่บาปทำเขา เหมือนกฎไปทำเขา เขาก็ต้องถูกอัปเปหิไปอยู่ในที่ที่ไม่มีพระเจ้า ที่ที่ไม่มีความสุข ที่ที่มีแต่ความอับอาย ที่ที่มีแต่ความทุกข์ร้อนที่เขาพยายามสรรหาคำออกมา รวบรวมสถานที่ไม่ดีเหล่านี้ หรือว่าบึงไฟนรก  เขาต้องไปอยู่ตรงนั้น  และไม่ใช่ชั่วคราว แต่เป็นนิรันดร์กาล ในพระคัมภีร์บอกว่าอย่างนั้น แต่ผู้ที่อยู่ในหนังสือนั้นจะได้รับการช่วยกู้

ผู้ที่อยู่ในหนังสือนั้น คือผู้ที่เชื่อในพระเยซู ผู้ที่ต้อนรับข่าวประเสริฐของพระเยซู ผู้ที่รับพระเยซูมาเป็นพระผู้ช่วยให้รอด เชื่อข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์ ตอนที่เป็นมนุษย์อยู่ว่าได้ยินมาว่าพระองค์เป็นพระเจ้ามาเกิดเป็นมนุษย์ ตายที่ไม้กางเขน หลั่งพระโลหิต ชำระบาปให้กับมนุษย์ทั้งปวง และเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่สาม ผู้ใดอยากรับความรอด อยากพ้นจากบาป ให้ไปหาพระองค์ และคนนั้นตัดสินใจไปหาพระองค์ และยอมกับพระองค์ รับเชื่อ รับสิทธิของเขาตรงนี้ เขาได้รับการช่วยกู้ให้รอด เป็นผู้บริสุทธิ์ เป็นผู้ชอบธรรมแล้ว ทันทีทันใดนั้น ชื่อเขาได้ถูกจดไว้ในหนังสือแห่งชีวิต

หนังสือแห่งชีวิต คือหนังสือที่จดชื่อผู้ที่ได้รับชีวิตของพระเยซู ก็คือวิญญาณของพระเยซู วิญญาณเหมือนพระเยซู ก็คือเข้าไปอยู่ในครอบครัวพระเยซู ไปเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์ มันมีชื่อจดอยู่ เมื่อตอนที่เขาอยู่บนโลกใบนี้ เขาได้ต้อนรับพระเยซูเป็นพระผู้ช่วยให้รอด เมื่อนั้น ชื่อจดเข้าไปทันที เท่ากับเขาได้ย้ายสำมะโนครัว พระคัมภีร์บอกว่าพระเจ้าได้ย้ายเขาออกจากอาณาจักรแห่งความมืด เข้ามาอยู่ในอาณาจักรแห่งแสงสว่าง ย้ายออกจากสำมะโนครัวแห่งความมืด มาสู่สำมะโนครัวแห่งแสงสว่าง ย้ายจากบ้านแห่งความมืดมาสู่บ้านแห่งความสว่าง ย้ายจากบ้านที่เต็มไปด้วยความบาป มาอยู่ในบ้านแห่งแสงสว่าง ที่มีความชอบธรรม มีพระเยซูเป็นหัวหน้าบ้าน มีเราเป็นหัวหน้าบ้านที่ 2 ที่ 3 ที่ 4 ที่ 5 ที่ 6 ที่ 7 ที่ 8 ที่ 9 เป็นพันๆ หมื่นๆ ล้านๆ คน เอเมน

นิมิตที่พูดมาทั้งหมดตะกี้นี้ เกิดหมดแล้ว 80, 90% นี่พูดถึง 10% สุดท้าย ที่ยังไม่ได้โผล่ออกมาให้เห็น ทุกคนที่มีชื่ออยู่ในหนังสือนั้น จะได้รับการช่วยกู้ ใครยังไม่มี อ่านตรงนี้ ก็ตกใจ ถ้ามันเกิดขึ้นมาอย่างนี้ ทำอย่างไร? คนเป็นอันมากที่ตายไปแล้ว จะฟื้นขึ้น เพื่อรับการพิพากษา เพราะฉะนั้น มันไม่ได้ตาย แล้วหายไปเลย บางคนบอกมนุษย์ตายไปแล้ว เป็นศูนย์ ไม่ใช่ พระคัมภีร์บอกตายไปครั้งเดียว หมายถึงออกจากร่างกายนี้ เพียงครั้งเดียว แต่วิญญาณจะต้องอยู่ตลอดไป เพราะวิญญาณถูกสร้างโดยพระเจ้า เป็นวิญญาณที่แบ่งมาจากวิญญาณของพระเจ้า  เป็นวิญญาณพระเจ้าในตัวเขานั่นแหละ แต่เป็นวิญญาณของพระเจ้าที่กบฏพระเจ้า เป็นวิญญาณที่บาปอยู่ ต้องได้รับการชำระกลับคืนเป็นผู้ชอบธรรม กลับมาคืนสู่พระเจ้า กลับมาบริสุทธิ์เหมือนพระเจ้าก่อน จึงจะกลับมาอยู่กับพระเจ้าได้ แค่นี้เอง

นี่คือคำอธิบายถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้น ในการพิพากษา เมื่อยุคสุดท้าย  ท้ายที่สุด มาถึง หมายถึงจากนี้เป็นต้นไป  อย่างที่บอกพรุ่งนี้ มะรืนนี้ ปีหน้า อะไรก็ได้หมด ทุกคนที่มีชื่ออยู่ในหนังสือนั้น ก็คือหนังสือแห่งชีวิต ที่มีรายชื่อผู้ที่ได้เป็นหนึ่งเดียวกับพระเยซู พอเราอยู่ในพระคริสต์ เราก็กลายเป็นดองกับพระคริสต์ เหมือนกระเทียมดอง เราก็ได้เป็นกระเทียมที่ดองแล้ว ไม่มีใครสามารถทำกระเทียมดอง ให้กลายเป็นกระเทียมสดได้ ตราบใดตราบนั้น ถ้าไม่มีใครทำให้กระเทียมดองกลายเป็นกระเทียมสดได้ ก็ไม่มีใครทำให้เรา ผู้ที่เชื่อในพระเยซูคริสต์ เป็นหนึ่งเดียวกับพระเยซูคริสต์ กลับกลายเป็นคนบาปได้อีกต่อไป เราก็จะเป็นคนที่บริสุทธิ์สะอาดตลอดไป เราก็จะอยู่ในครอบครัวพระคริสต์ตลอดไป เอเมน ไม่ว่าเมื่อวานซืนเราจะตีคนหัวแตก ก็ตาม วันนี้ เราอยู่ในพระคริสต์ เพราะไม่สามารถทำให้เราเป็นกระเทียมอื่นได้อีกแล้ว มันก็ยังเป็นกระเทียมดอง เพราะมันดองไปแล้ว นี่แหละเขาถึงบอกฟรีและง่ายๆ  มันไม่ได้พึ่งกับตัวเรา มันพึ่งความเชื่อ

ตรงตามข้อความที่เราย้ำกันมาตลอด ว่าคนของพระเจ้าจะต้องพบกับความทุกข์ทรมานชั่วระยะเวลาหนึ่ง แต่สุดท้ายแล้วจะได้รับความสุขสบายนิรันดร์ ส่วนคนที่ไม่เชื่อ ยังคงเย่อหยิ่งและไม่เชื่ออยู่ จนวันสุดท้าย วันนี้อาจจะทำได้ วันนี้อาจจะดูดี แต่วันหนึ่ง เมื่อยุคสุดท้ายมาถึง ท่านจะพบกับความทุกข์นิรันดร์ เพราะฉะนั้น เตือนแล้วเตือนอีกๆ และมีหน้าที่เตือนอยู่เรื่อยๆ

ในนี้มีอยู่อันหนึ่งที่น่าสนใจและเมื่อตะกี้ที่เราอ่านในบทที่ 12 ข้อ 1 – 4 ที่บอกว่า “บรรดาผู้มีปัญญาจะส่องแสงเหมือนความสว่างแห่งสวรรค์”

“ผู้มีปัญญา” คือผู้ที่มีพระเยซูคริสต์สถิตอยู่กับเขา เขาเป็นหนึ่งกับพระองค์

ก็คือ “ฉัน” ท่านเชื่อไหมว่าท่านมีปัญญา คำว่า “ปัญญา” ตรงนี้มิได้หมายถึงท่านไปเรียนจบด็อกเตอร์ ฉันเรียนจบป.4 เอง ฉันไม่มีปัญญา ไม่ใช่ ปัญญาตรงนี้หมายถึงท่านเชื่อในพระเยซู แค่นั่นเอง ในพระคัมภีร์บอกเสมอว่าถ้าเราเชื่อในพระเยซู เรามีปัญญาเลย  แต่ในทางโลกบอกว่าเชื่อในพระเยซู เป็นพวกโง่เง่า ในพระคัมภีร์พูดอย่างนั้นจริงๆ

“ข้าพเจ้าไม่ละอายในการเชื่อในข่าวประเสริฐของพระเจ้า เพราะข่าวประเสริฐของพระเจ้าเป็นฤทธิ์เดชอำนาจ”

ไม่ใช่เป็นสติปัญญาแบบมนุษย์ มารู้ๆ แต่มาเป็นฤทธิ์เดชอำนาจ เอเมน เพราะฉะนั้น บรรดาผู้มีสติปัญญา ก็คือผู้เชื่อทั้งหลาย จะส่องแสงเหมือนความสว่างแห่งฟ้าสวรรค์ เพราะว่าพระเยซูบอกว่าเมื่อเรามาเชื่อพระเจ้า เรากลายเป็นความสว่าง

เมื่อไรที่เราเชื่อพระเจ้า เปิดใจต้อนรับพระเยซู เราเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์ เรากลายเป็นความสว่าง ไม่ใช่เรามีความสว่าง เราเป็น เมื่อเราเป็นความสว่าง เป็นตะเกียงแล้ว มันต้องสว่าง ไม่ว่าคุณจะรู้ตัวหรือไม่รู้ตัวก็ตาม เป็นตะเกียง มันก็สว่าง เพราะฉะนั้น คุณจะไม่รู้ตัวว่าตอนนี้คุณกำลังประกาศข่าวประเสริฐหรือเปล่า? คุณนึกว่า ..        “ประกาศข่าวประเสริฐต้องเหมือนคุณนคร ต้องขึ้นไปพูดบนธรรมาส เรื่องข่าวประเสริฐต้องรู้เรื่องเยอะแยะ ฉันไม่รู้เรื่องอะไรเลย ฉันต้องประกาศ”

คุณผิดไปแล้ว ตอนที่คุณเดินอยู่ในบ้าน ไม่ได้พูดอะไรสักคำ คุณกำลังประกาศอยู่ แต่ประกาศด้วยวิธีใด? ไม่รู้ พระเจ้าใช้คุณก็แล้วกัน มันหมายถึงอย่างนี้ อย่าไปนึกว่าประกาศ ต้องเรียนรู้ตรงนี้ อันนั้นอีกแบบหนึ่ง ถ้าพระเจ้าใช้คุณมาแบบนั้น คุณก็ทำแบบนั้น  แต่ถ้าพระเจ้าใช้คุณมาเป็นแม่บ้าน เป็นคนที่อยู่ในบ้าน เจอคนไม่กี่คน พระเจ้าก็ใช้คุณประกาศอยู่ แต่ประกาศอีกวิธีหนึ่ง ประกาศโดยการทำกับข้าวอร่อยๆ อาจจะเป็นอย่างนั้น ก็ได้ นี่ผมพูดเล่นๆ นะ อาจจะเป็นอย่างนั้น ก็ได้  อาจจะพระเจ้าใช้คุณในการเป็นคนธรรมดาคนหนึ่ง ก็ได้  เพราะคุณเป็นแสงสว่าง ผมอยากจะพูดอย่างนี้

ในนี้บอกว่า “และบรรดาผู้ที่นำคนเป็นอันมากมาสู่ความชอบธรรม จะส่องแสงดั่งดวงดาวชั่วนิรันดร์”

ก็คือผู้เชื่อทั้งหลาย  เมื่อเป็นความสว่าง เขาก็นำข่าวประเสริฐไป นำเอาความสว่างนั้น ไปสู่ความมืดต่างๆ ไปที่ไหนที่มืด มันก็กลายเป็นสว่างหมด พอเข้าใจไหม? ไม่ใช่ว่าจากนี้ ต่อไป อยากจะเป็นตามข้อพระคัมภีร์นี้ นิมิตนี้ ต้องออกไปแจกใบปลิว ไม่ใช่อย่างนั้น ถ้าพระเจ้าเรียกท่านไปแจกใบปลิว ก็ไปเถอะ แต่หมายถึงตัวท่านเองไปไหน ก็เป็นแสงสว่างอยู่แล้ว รู้หรือไม่รู้ก็เป็น เหมือนกับเพลงที่เราร้องเมื่อตะกี้นี้

“ช่างงามจริงหนอ เท้าของผู้นำข่าวดี”

ถามว่าใคร? ไม่ต้องพูด คนนั้นก็ทำได้ คุณนำข่าวดีได้ไหม? ได้ ชีวิตคุณนำข่าวดี ชีวิตคุณเป็นแสงสว่าง คือนำแสงสว่างไป ตัวเราเป็นแสงสว่าง เดินไปที่ไหน มันสว่างอยู่แล้ว ไม่ต้องพูด มันก็สว่าง

ทั้งหมด เป็นของเราหมดเลย บางคนชอบเข้าใจตรงนี้ผิด ก็เลยนึกว่าตรงนี้ เอาไว้สำหรับขึ้นมาเทศน์ข้างบนนี้เท่านั้น คนขึ้นมาเทศน์บนนี้  คนที่มาประกาศข่าวประเสริฐบนธรรมาสนี้  นำคนมาเชื่อพระเจ้า จะส่องเหมือนดาว สว่างชั่วนิรันดร์ ไม่ใช่ พระเจ้าไม่ได้เป็นอะไรแบบลำเอียงถึงขนาดนั้น เท่ากันหมด ไม่มีใครเก่งกว่ากัน ไม่มีใครดีกว่ากัน ทั้งหมดเป็นของพระเจ้า เพื่อพระเจ้า โดยพระเจ้า ไม่เกี่ยวอะไรกับเราเลย มนุษย์ไม่มีอะไร จำไว้เลย อย่าถูกหลอก ส่วนใหญ่คนจะถูกหลอก ท่านจำไว้เลย ที่ใดก็ตามที่มีการยกมนุษย์ใหญ่ รีบออกมาเลย ไม่ว่าจะเป็นอะไรก็ตาม ไม่ว่าจะเป็นความเชื่อแบบไหน? ถ้ายกมนุษย์ใหญ่ รีบออกมาเลย มนุษย์ทุกคน พระเจ้าบอก เราต่างก็เท่ากัน พระเจ้าไม่มีการลำเอียง เท่ากันทุกคน มีสิทธิเท่ากันทุกคน มีฐานะเท่ากันทุกคน แต่พระเจ้าให้ของประทานแต่ละคนต่างกัน ตามน้ำพระทัยพระเจ้า ตามการทรงนำ ตามการวางแผนการของพระเจ้าว่าคนนี้ทำอันนี้ คนนั้นทำอันนั้น ไม่ว่าจะเป็นมาร์ธา เป็นมาเรีย ก็เท่ากัน

ทูตสวรรค์มาเล่าให้ดาเนียลฟังเป็นฉากๆ  จนกระทั่งถึงบทที่ 12 วาระสุดท้ายจะเป็นอย่างนี้ คนเป็นอันมากจะไปที่นั่น เพิ่มพูนความรู้ คือในยุคสุดท้าย คนก็จะค้นหาความรู้กันใหญ่ เพราะมันมีหนังสือ มีอะไรออกมา เริ่มรู้มากขึ้น พอดาเนียลฟัง ดาเนียลก็นึกว่าสิ่งเลวร้ายจะเกิดขึ้นเฉพาะแก่อิสราเอลเท่านั้น แต่เรามาเรียนรู้ตอนนี้  เรารู้ว่าไม่ใช่อิสราเอลอย่างเดียว แต่มันหมายถึงคนที่เชื่อในพระเจ้า ผู้ที่วางใจในพระเจ้า จนมาถึงยุคปัจจุบัน และอนาคตด้วย

ดาเนียลได้ฟัง แล้วก็ได้ยิน มันน่าหวาดกลัว น่าหวาดเสียว สิ่งที่จะเกิดขึ้นกับประชากรของพระเจ้า มันอาจจะแค่แป๊บเดียว แต่ก็มีความหวั่นวิตกว่ามันน่ากลัวขนาดนั้น เชียวเหรอ ดาเนียล 12:5-6 จึงบันทึกไว้อย่างนี้

ดาเนียล 12:5-6 “5 แล้วข้าพเจ้าดาเนียลมองไปเห็นชายสองคน ยืนอยู่คนละฟากแม่น้ำ 6 คนหนึ่งกล่าวกับผู้สวมเสื้อผ้าลินิน ซึ่งอยู่เหนือแม่น้ำว่าอีกนานเท่าใด เหตุการณ์น่าประหลาดทั้งปวงนี้ จึงจะสำเร็จครบถ้วน”

 

พอดาเนียลได้ฟัง แน่นอนก็รู้สึกว่าแล้วมันทุกข์ทรมานอย่างแสนสาหัสนะ มันนานแค่ไหน?   เป็นเราก็อยากรู้ พระเจ้าเลยให้ตอบในดาเนียล 12:7 ว่า …

ดาเนียล 12:7 “ชายผู้สวมเสื้อผ้าลินิน ซึ่งอยู่เหนือแม่น้ำ ก็ชูมือทั้งสองข้างขึ้นสู่ฟ้าสวรรค์และข้าพเจ้าได้ยินเขาปฏิญาณอ้างพระองค์ผู้ทรงพระชนม์อยู่เป็นนิตย์ว่า “จะเป็นหนึ่งวาระ หลายวาระ และครึ่งวาระ เมื่ออำนาจของประชากรของพระเจ้าหมดสิ้นลง ในที่สุด สิ่งทั้งปวงนี้ ก็จะสำเร็จสมบูรณ์”

 

5555 ในที่สุด พระเจ้าก็บอกเราจริงๆ อย่างชัดเจน แต่เป็นความชัดเจนของพระเจ้า ไม่ใช่เป็นความชัดเจนของเรา คำตอบ คือ 1 วาระ หลายวาระ และครึ่งวาระ เมื่อครบตามกำหนดนี้แล้ว สิ่งทั้งปวงเหล่านี้ ก็จะสำเร็จสมบูรณ์ ก็คือได้รับการช่วยกู้ จบ เอเมน ในยุคสุดท้าย ผู้คนของพระเจ้าจะถูกข่มเหงรังแก ถูกทำลายล้าง จนไม่มีอำนาจเหลืออยู่เลย พ่ายแพ้ จนราบคาบ พูดง่ายๆ ถ้าเป็นคริสเตียน เป็นผู้เชื่อสมัยนั้น ก็จะถูกทำลายจนหมดสิ้นเลย แพ้อย่างสิ้นเชิงบนโลกใบนี้นะ ถึงเวลานั้น สิ่งทั้งปวงนี้ ก็จะสำเร็จ สมบูรณ์ แปลว่าจุดจบ อวสาน จบครบบริบูรณ์

พระคัมภีร์บอกว่ามันจะเกิดความทุกข์ยากลำบาก ทุกข์ทรมาน อย่างแสนสาหัส คนของพระเจ้าจะพ่ายแพ้และหมดอำนาจลง พ่ายแพ้อย่างยับเยินต่อกองทัพของมารซาตาน ปฏิปักษ์พระคริสต์ ผู้นำคนหนึ่ง ซึ่งเป็นใคร ก็ไม่รู้ ที่ยกตัวขึ้นมาเป็นพระเจ้าบนโลกใบนี้ ที่เห็นเป็นตัวเป็นตนเลย แล้วก็มีคนตามเขาด้วย  แล้วเข้าไปข่มเหงประเทศต่างๆ ที่เป็นผู้ที่เชื่อในพระเจ้า หรือเป็นประเทศ คริสเตียน และคนของประเทศคริสเตียนเหล่านั้น ถูกข่มเหงรังแก พ่ายแพ้อย่างยับเยิน และเมื่อนั่นแหละ จะถึงจุดจบ ถึงอวสาน เป็นการจบสิ้นโลกใบนี้อย่างถาวร และจบสิ้นขบวนการไถ่ถอนของพระเยซู ที่ไม้กางเขน และหลั่งพระโลหิตของพระองค์ ตอนบ่าย 3 โมง ที่พระองค์ตะโกนว่า “สำเร็จแล้ว” มันเริ่มต้นสำเร็จ มันจะมาสำเร็จ ครบถ้วนบริบูรณ์ตามขบวนการอีกครั้งหนึ่ง เมื่อประชากรของพระเจ้าพ่ายแพ้อย่างสุดแล้ว พระเยซูจะกลับมาอีกครั้งหนึ่งในวันนั้น พระเยซูจะมา แล้วก็เดินเข้าไปหาแอนตี้ไคร์ซ แล้วก็ … เป่าลมใส่ … จบ

สำเร็จสมบูรณ์ แล้วประชากรของพระเจ้าก็จะได้รับชัยชนะ ได้ครอบครองอาณาจักรร่วมกับพระเยซูคริสต์นิรันดร์ พระเจ้าต้องการให้เรารับรู้แค่ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นบ้าง? เหตุการณ์ตอนอวสานหรือตอนจบจะเป็นอย่างไร? แต่ไม่ได้ต้องการให้รู้ชัดเจนว่ามันจะเกิดขึ้นเมื่อไร? เพราะมันเป็นผลดีกับเราเอง ดาเนียล 12:8-10

ดาเนียล 12:8-10 “8 ข้าพเจ้าได้ยินแต่ไม่เข้าใจ จึงถามว่า “ท่านเจ้าข้า ทั้งหมดนี้จะลงเอยอย่างไร 9 เขาผู้นั้นตอบว่า ‘ดาเนียลเอ๋ย จงไปตามทางของท่านเถิด เพราะถ้อยคำเหล่านี้ ถูกเก็บงำและประทับตราไว้ จวบจนวาระสุดท้าย 10 คนเป็นอันมากจะถูกถลุง และได้รับการชำระให้บริสุทธิ์ ปราศจากตำหนิ ส่วนคนชั่วยังคงทำชั่วต่อไป ไม่มีคนชั่วคนใดจะเข้าใจ แต่ผู้มีปัญญาจะเข้าใจ”

 

ดาเนียลได้ฟังทั้งหมดแล้ว ดาเนียลบอกไม่เข้าใจ พวกเราก็ไม่เข้าใจ เพราะพระเจ้าไม่ต้องการให้เข้าใจ ให้แค่รู้ แล้วเชื่อ วางใจในพระองค์

เจ็บเป็นเจ็บ ทุกข์เป็นทุกข์ แต่ในที่สุด เราชนะถาวรนิรันดร์ นี่คือความหวังใจของเราทั้งหลาย ผู้เป็นคริสเตียน เมื่ออ่านตรงนี้แล้ว ขอบคุณพระเจ้าที่เรามีความหวัง ทุกข์ไม่มีความหวัง ทุกข์อย่างไม่มีเหตุมีผลว่าเมื่อไรมันจะจบ มันทรมาน

เมื่อปีที่แล้วผมขี่จักรยานล้ม มือไปฟาดพื้น จากนั้นมามือขวาใช้ไม่ได้ ห้อยอย่างนี้ เจ็บตลอด  ตอนแรกนึกว่าจะให้มันหายเอง มันไม่หาย  ไปเอ็กซเรย์ กระดูกไม่แตก ไม่หัก แต่เส้นเอ็นร้าว เส้นเอ็นช้ำมาก ตอนนั้นจะต้องใช้งานมือขวาเป็นพิเศษด้วย งานหนักด้วย ไม่รู้จะทำอย่างไร? ก็เลยถามหมอ … หมอบอกว่า …

“มีวิธีเดียว คือต้องฉีดยาสเตอรอย ถ้าฉีดสเตอรอยแล้วมันจะหาย ไปทำงานได้เลย หายเลย แต่ถ้าไม่จำเป็น จะไม่ฉีดให้ ถ้าคุณจำเป็น ก็ต้องฉีด”

ผมบอกว่า “จำเป็น เพราะต้องใช้งานใน 2 อาทิตย์ข้างหน้า”

“2 อาทิตย์ข้างหน้าไม่ทันหรอก ต้องฉีด”

ก็เลยต้องฉีด เข็มยังกับเซรุ่มม้า เข็มยาว ใหญ่มากเลย แล้วฉีดที่ข้อมือ แบบแทงลงไปจะๆ เห็นๆ ชัดๆ ตอนแทงไปมันเจ็บ ปวด แล้วตอนเดินยามันปวด นาน ค่อยๆ ฉีด หมอยิ้มคนเดียว ผมไม่ยิ้ม หมอก็สบาย ไม่เป็นหรอก ใครเขาก็ฉีดอย่างนี้  แล้วมันรวมเข็ม หมายถึงเขาเอา 3 – 4 เข็มมารวมเป็นเข็มเดียว ใหญ่เลย นานเลย ไม่รู้นานเท่าไร? สำหรับผมแล้ว เหมือนฉีดเป็นชั่วโมง จริงๆ ไม่ใช่ แต่ความรู้สึกเราเหมือนเป็นชั่วโมง เพราะเราเจ็บ เราเลยรู้สึกว่าแค่ 1 นาทีนั้นมันนานเหลือเกิน แต่ความหวังของเรา ก็คือหมอบอกว่าฉีดแล้ว อีก 2 วัน มันก็หาย แขนก็ใช้งานได้เลย นี่ความหวังเราไปฝากไว้ตรงนั้น เราเชื่อข้อมูลหมอไง แล้วมันก็หายจริงๆ  เราจึงทนได้ ยิ้มได้ตอนที่มันเจ็บ เพราะเรารู้ว่ามันเจ็บแป๊บเดียว เดี๋ยวมันก็ได้แล้ว

เหมือนกันถ้าตอนนี้ท่านพบกับความทุกข์อะไร? ไม่ว่าจะเป็นความทุกข์ เรื่องสุขภาพของท่าน ทุกข์เรื่องการเงิน การงาน ครอบครัว เรื่องจิปาถะบนโลกใบนี้ เพราะโลกนี้ไม่ใช่บ้านของเรา พระเยซูบอกแล้ว เมื่อเราเชื่อแล้ว โลกนี้เป็นศัตรูของเราตลอด ฉะนั้น ไม่มีอะไรสุขบนโลกใบนี้หรอก ท่านพบอะไร ก็ตาม อธิษฐาน แล้วอธิษฐานอีก ไม่เห็นมันจะดีขึ้นเลย จำไว้ พระเจ้าดูตลอดเวลา มันไม่เกินกว่าที่ท่านจะทนได้หรอก และเมื่อถึงเวลาสุดท้ายนั้น ท่านจะได้รับการพักผ่อนนิรันดร์ ไม่ว่าพระเยซูมาหรือไม่มา ท่านจะได้พักผ่อนนิรันดร์ เอเมน

นี่คือความหวังของคริสเตียน คือไม่ใช่ไม่มีความทุกข์ แม้เรามีความทุกข์ แต่เรายังมีความหวังว่ามันจะจบความทุกข์นั้น คือทุกข์อย่างมีหวัง ถูกไหม?  ถ้าทุกข์แบบไม่มีหวัง ก็ทุกข์ไป ทุกข์เพราะใช้หนี้ เวรกรรมเก่า เมื่อไรมันจะจบสักที ผมมาเชื่อพระเจ้า เพราะอย่างนี้นะ เพราะผมรับไม่ได้กับที่มีคนมาบอกผมว่าผมจะต้องใช้หนี้เวรกรรม พอผมป่วยก็บอกใช้เวรใช้กรรม แล้วผมก็ถามว่าจะใช้ถึงเมื่อไรมันถึงจะจบ ไม่รู้ ผ่อนอยู่นั่นแหละ ก็เลยไม่มีความหวัง แต่นี่พบพระเยซูแล้ว มันมีความหวังว่าผ่อนไป แต่รู้ว่าสุดท้ายแล้วบ้านนั้นเป็นของฉัน มีความหวังว่าเราทำได้ เราก็อดทน แต่นี่ผ่อนไปตลอดชีวิตเลย ไม่มีความหวังเลย เราทรมาน

เพราะฉะนั้น เมื่อเรามาเชื่อพระเจ้า มันจึงสมควรอย่างยิ่งที่เราจะขอบคุณพระเจ้า ที่พระเยซูเป็นความหวังของเราตลอด ไม่ว่าทุกข์ขนาดไหน?  พระองค์ทรงสถิตอยู่กับเรา และให้กำลังกับเราที่จะทนสิ่งต่างๆ เหล่านั้นได้ ตามที่พระองค์ทรงสัญญาไว้

ถามว่าความหวังท่าน คืออะไร? ความหวังของเราทั้งหลาย ควรจะอยู่ที่นี่ และเป็นความหวังที่สมควรเอามาเทียบกับความทุกข์ยากบนโลกใบนี้ด้วย วิวรณ์ 21:1-5 นี่ควรจะเป็นความหวังของเราทั้งหลาย ผู้ที่เชื่อในพระเยซู ทุกคนบนโลกใบนี้

วิวรณ์ 21:1-5 “1 และข้าพเจ้าเห็นฟ้าใหม่และโลกใหม่เพราะฟ้าเดิมและโลกเดิมได้ดับสูญไปแล้ว ทะเลก็ไม่มีอีกแล้ว 2 ข้าพเจ้าเห็นนครบริสุทธิ์ คือเยรูซาเล็มใหม่ที่พระเจ้าทรงให้เลื่อนลอยลงมาจากสวรรค์ นครนี้ได้รับการตระเตรียมไว้เหมือนเจ้าสาวแต่งกายงดงามรอรับผู้เป็นสามี 3 และข้าพเจ้าได้ยินเสียงดังมาจากพระที่นั่งว่า “บัดนี้ที่ประทับของพระเจ้ามาอยู่กับมนุษย์แล้ว พระองค์จะสถิตกับพวกเขา เขาทั้งหลายจะเป็นประชากรของพระองค์ และพระเจ้าเองจะทรงอยู่กับพวกเขาและเป็นพระเจ้าของพวกเขา 4 พระองค์จะทรงซับน้ำตาทุกๆ หยดของพวกเขา จะไม่มีความตาย หรือการคร่ำครวญ หรือการร่ำไห้ หรือความเจ็บปวดรวดร้าวอีกต่อไป เพราะระบบเก่าได้ผ่านพ้นไปแล้ว” 5 พระองค์ผู้ประทับบนพระที่นั่งนั้นตรัสว่า “เรากำลังสร้างสรรพสิ่งขึ้นใหม่!” และตรัสอีกว่า “จงเขียนสิ่งนี้ลงไปเพราะข้อความเหล่านี้เที่ยงแท้และเชื่อถือได้”

 

เอเมน  ขอพระเจ้าอวยพรครับ

 

*****************************