คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 7 พฤษภาคม 2017
เรื่อง “จงนิ่งเสียและรู้ว่าพระองค์คือพระเจ้า”
ตอน 16 “คำอธิษฐานของดาเนียล”
โดย นคร เวชสุภาพร
วันนี้เราก็ต่อ “จงนิ่งเสียและรู้ว่าพระองค์คือพระเจ้า” ตอนที่ 16 เราจะมาดูเรื่องราวของดาเนียลกันต่อ ในหนังสือดาเนียล มีอยู่ทั้งหมด 12 บท เราเรียนรู้ผ่านกันไปแล้ว 8 บท วันนี้จะมาต่อในบทที่ 9 และทั้งหมดที่เราเรียนมา 15 ตอน จากดาเนียลทั้ง 8 บท ทั้งเรื่องราวตามพระคัมภีร์ ทั้งสืบเสาะเรื่องในประวัติศาสตร์มาควบคู่กันด้วย สรุปสุดท้ายของทุกบททุกตอน ก็ย้ำกันตรงนี้แหละว่าพระเจ้าทรงเป็นผู้ครอบครองยิ่งใหญ่สูงสุด ทรงเป็นผู้ครอบครองสรรพสิ่งทั้งหลาย ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นบนโลกใบนี้ พระองค์ทรงเป็นผู้กำหนด และเป็นผู้อนุญาตให้เกิดขึ้นทั้งสิ้น พระองค์จะเป็นผู้กระทำ ให้ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นนั้น เป็นผลดีสำหรับเราทั้งหลาย ที่รักพระองค์ เอเมน ที่เราใช้คำว่าพระเจ้าเป็นผู้กำกับที่ดีของโลกละครโลกนี้นั่นเอง เอเมน
เราจะมาเรียนรู้จักชีวิตของดาเนียลในบทที่ 9 มีชื่อตอนว่า “คำอธิษฐานของดาเนียล” ผมจะเล่าพื้นฐานให้ท่านฟังก่อน เพื่อว่าท่านฟังถ้อยคำพระเจ้าในพระคัมภีร์จะได้เข้าใจง่ายยิ่งขึ้นว่ามันเกิดอะไรขึ้น
ตั้งแต่ปฐมกาลมา พื้นฐาน คือมนุษย์ตกลงไปในความบาป ตกอยู่ในคำสาปแช่ง และพระเจ้าต้องการช่วยมนุษย์ให้หลุดพ้นออกจากคำสาปแช่ง
แล้ววิธีการของพระองค์ คือวางแผนไว้ แล้วแผนนั้น เริ่มต้นเขียนให้เรารู้ก่อนล่วงหน้า ในปฐมกาล บอกเป็นแผนผังเลยว่าจะเกิดอันนี้ขึ้น สิ่งที่เรียกว่าจะเกิดต่อในอนาคต เราเรียกว่าคำเผยพระวจนะ เราเรียกว่านิมิต ความฝันที่บอกถึงอนาคต เพื่อว่าทุกคนจะได้รู้ว่าพระเจ้าควบคุมอยู่ นี่เกิดขึ้นจริงๆ ใช่พระเจ้าแล้ว ทุกคนก็รอคอยวันนั้น วันที่พระเจ้าบอกว่ามนุษย์จะเป็นอิสรภาพจากความบาปและคำสาปแช่ง
แผนการของพระเจ้าเป็นอย่างนี้ พระองค์เริ่มต้นดิวกับมนุษย์ ให้มนุษย์ได้รู้ข่าวดีนี้ ข่าวดีที่พระเยซูจะมาปลดปล่อยให้มนุษย์เป็นอิสรภาพ จากความบาปและคำสาปแช่ง เริ่มต้นบอกข่าวดีนี้ตั้งแต่ตอนปฐมกาล
โดยเลือกตัวแทนมนุษย์ เพื่อจะติดต่อสื่อสาร กลุ่มนี้เราเรียกกันว่าชาวยิว หรืออิสราเอล คือมนุษย์กลุ่มหนึ่งที่พระเจ้าเลือกไว้เป็นตัวแทนของมนุษย์ทั้งหลายที่จะกระทำแผนการนี้ให้สำเร็จ
อิสราเอลทั้งกลุ่ม พระองค์ไปพูดกับทุกคนไม่ได้ พระองค์จึงเลือกอีกกลุ่มหนึ่งออกมา เป็นตัวแทนของกลุ่มนี้อีกทีหนึ่ง เพื่อที่จะมาใกล้พระองค์ เรียกว่าผู้รับใช้ เรียกว่าปุโรหิต หรือไม่ก็กษัตริย์ หรือไม่ก็ผู้รับใช้ที่เป็นผู้เผยพระวจนะ อย่างนี้เป็นต้น
ปุโรหิตจะทำหน้าที่ทางฝ่ายวิญญาณโดยเฉพาะ อยู่ในวิหาร ที่ทำด้วยมือ วิหาร ก็คือวัด อยู่ในวัด ทำพิธีอะไรต่างๆ ที่พระเจ้ากำหนดไว้ เพื่อจะเล็งให้เห็นถึงอนาคตที่พระเยซูจะมาไถ่มนุษย์ให้พ้นจากความบาปและคำสาปแช่ง ความทุกข์ทรมาน ในกลุ่มปุโรหิต ก็จะมีหัวหน้าอีกคนหนึ่ง ใหญ่สูงสุด เรียกว่ามหาปุโรหิต มหาปุโรหิต คือตัวแทนของมนุษย์ ทุกคน ที่จะติดต่อกับพระเจ้า ปุโรหิต ไม่ใช่ตัวแทนเฉพาะชาวยิว พระเจ้าเล็งไปถึงมนุษย์ทุกคนของกลุ่มชาวยิว กลุ่มชาวยิวเป็นตัวแทนของมนุษย์ทุกคนเลย รวมทั้งเราทั้งหลายคนไทยด้วย จะมีชาติไหนไม่รู้ จะรวมหมดเลย มหาปุโรหิตเป็นตัวแทน ติดต่อกับพระเจ้า พระเจ้าก็เริ่มแล้ว ในฐานะที่มนุษย์คนนั้นเป็นทาส
คำว่าทาสในที่นี้ เป็นเหมือนคนที่อยู่ในคุกตะราง ติดต่อพระเจ้าไม่ได้ ตกอยู่ในความบาปและความตาย ที่เรียกว่าคำสาปแช่ง หนึ่งในคำสาปแช่ง ก็คือมนุษย์ไม่สามารถเห็นพระเจ้าได้ ไม่สามารถติดต่อพระเจ้าได้ พอมนุษย์บาป พระเจ้าบริสุทธิ์อยู่ด้วยกันไม่ได้ เข้าใกล้กันไม่ได้ ตายเลย ไม่ใช่พระเจ้าต้องการฆ่าเขานะ แต่ตาย โดยคุณภาพ เหมือนกับที่บอกว่าทหารไปจับแค่หีบพันธสัญญา ที่เล็งถึงการทรงสถิตของพระเจ้า แตะปุ๊บ ตายเลย พระเจ้าไม่ได้ฆ่าเขา แต่ฤทธิ์อำนาจที่อยู่ในความบริสุทธิ์ ในหีบนั้น กับความสกปรกของมนุษย์ แตะปุ๊บ ช็อตตาย เหมือนเราเอามือไปจับไฟฟ้าแรงสูง การไฟฟ้าไม่ได้ฆ่าเรานะ เราไปจับไฟฟ้าแรงสูง แล้วถูกดูดตาย นายกรัฐมนตรีที่กำกับดูแล ไม่ได้ฆ่าเรา แต่ความเป็นจริงของธรรมชาติฆ่า เพราะว่าไฟฟ้าแรงสูง แรงเยอะ เรารับไม่ไหว ถ้าเราไปจับแบตเตอร์รี่ 12 โวลท์ก็ไม่เป็นไร?
ตอนนี้ท่านรู้แล้ว เพราะฉะนั้นต่อไปนี้ เวลาปุโรหิตในพระคัมภีร์ทำอะไร? ท่านจงเล็งไปถึง มนุษย์ทุกคนทำ เวลาพระเจ้าพูดกับปุโรหิต หรือพูดเผยพระวจนะไปยังผู้เผยพระวจนะ ผู้รับใช้ พระเจ้ากำลังพูดกับมนุษย์ทุกคน พระเจ้าบอกจะช่วยมนุษย์ทุกคน พระเจ้าบอกสาปแช่ง มนุษย์ทุกคน และถามว่าพระเจ้าตั้งใจจะสาปแช่งไหม? ไม่ได้ตั้งใจ ก็เหมือนอย่างที่บอก แตะไปแล้ว แตะเข้าไปสู่ความบริสุทธิ์ ฤทธิ์อำนาจของสายไฟฟ้าแรงสูงก็เข้ามาทำลายเรา ก็เหมือนเรา ตกลงไปในความทุกข์ลำบากแล้ว มันเป็นกฎ เป็นระเบียบ เราต้องเป็นอย่างนั้น ศาลไม่ได้ตั้งใจจะจับเราติดคุก ตำรวจไม่ได้ตั้งใจจับเราติดคุก แต่กฎหมายระบุไว้อย่างนั้นว่าถ้าเราไปตีหัวชาวบ้าน หรือฝ่าไฟแดง เราจะถูกจับ ตำรวจที่มาจับเรา เป็นแค่ทำตามบทบาทเท่านั้นเอง พระเจ้าทำตามกฎหมายของพระองค์ เมื่อมนุษย์ทำบาป เมื่อมนุษย์เป็นกบฏ ไม่ฟังพระเจ้า ไม่อยู่ในระเบียบวินัย ก็ต้องโดนลงโทษ และการโดนลงโทษนั้น ก็เรียกว่าคำสาปแช่งนั่นเอง
เมื่อมีเผยพระวจนะมา อันนี้หมายถึงเราและมนุษย์ทุกคนด้วย ซึ่งทั้งหมดนี้จะเล็งไปถึงพระเยซูคริสต์มาตายที่ไม้กางเขน หลั่งพระโลหิตชำระบาปให้กับเรา ก็คือหัวหน้ามนุษย์ พระองค์จึงต้องเกิดมาเป็นมนุษย์ เพื่อจะไปเป็นตัวแทนให้กับพวกเรา มนุษย์ทั้งหลาย ไม่ใช่เป็นตัวแทนของชาวยิว ไม่ใช่เป็นตัวแทนของคนเป็นคริสเตียน แต่เป็นตัวแทนของมนุษย์ทุกคน
“พระเยซูเป็นตัวแทนของมนุษย์ทุกคน รวมทั้งฉันด้วย”
ก่อนจะเข้าเรื่องดาเนียลในวันนี้ ผมจะสรุปให้ฟังก่อน เรื่องบุตรน้อยหลงหาย ในพระคัมภีร์ที่พระเยซูยกตัวอย่าง ชายคนหนึ่งมีบุตร 2 คน อยู่มาวันหนึ่ง ลูกชายคนเล็ก ก็ลุกขึ้นมา ขอแบ่งมรดกจากพ่อ เพราะต้องการไปเผชิญชีวิตด้วยตัวเอง พูดง่ายๆ อยากอยู่ด้วยตัวเอง ไม่ฟังพ่อแล้ว จะไปท่าเดียว ไม่เชื่อฟังต่อไปแล้ว นึกว่าตัวเองแน่ กบฏต่อพ่อนั่นเอง พ่อก็เลย ให้สมบัติไป อยากได้เอาไป ให้ไปส่วนหนึ่งตามที่เขาควรจะได้ ปรากฏว่าลูกคนนี้ เอาเงินทองไปผลาญจนหมด เรียกว่าสำมะเรเทเมา แย่มาก เสียชื่อพ่อด้วย จนในที่สุด ไม่เหลืออะไร จนต้องไปอาศัยเลี้ยงหมู กินข้าวหมูแทน ชีวิตลำบากมาก ทุกข์ยาก จนกระทั่งนึกขึ้นมาได้ว่าครั้งหนึ่งเราเคยมีความสุขสบาย เราเป็นถึงลูกเศรษฐีนะ สำนึกตัวได้ ก็เลยอยากจะกลับไปหาพ่อ แต่ก็กลัวว่าพ่อจะไม่รับ กลัวว่าเราทำผิดเยอะขนาดนี้ วันนั้นที่พ่อพูด แล้วเราเถียง เราแย่มาก ทำตัวไม่ดีด้วย พ่อเราชื่อเสียงเสียหมด
เพราะฉะนั้น ก็ไม่กล้าที่จะเข้าไป แต่ก็คิดในใจว่าก็ไม่มีที่ไหน อย่างไรก็ต้องกลับไป ทั้งๆ ที่ตัวเองก็ทำผิดเอาไว้เยอะ ก็เลยตั้งใจว่าจะขอกลับไป บอกพ่อว่า …
“พ่อ ไม่ต้องอภัยให้ ขอเป็นแค่ลูกจ้างก็พอ”
ปรากฏว่าเมื่อกลับไปถึงบ้าน พ่อเห็นลูกชายเดินมาแต่ไกล ก็ดีใจมาก เข้ามาสวมกอด พอลูกชายกำลังจะคุกเข่า บอกว่า …
“พ่อขอเป็นทาส”
ยังไม่ทันจะพูดเลย พ่อบอกว่า “ไม่ต้องพูดๆ”
ลูกตกใจ นึกว่าพ่อไม่ให้เราอยู่ ไม่ใช่ ไม่ต้องพูด ไม่มีการอภัยเด็ดขาด เพราะไม่ได้คิดเลยว่าเขาทำอะไรผิด พ่อไปเรียกคนรับใช้มา ไปเอาแหวนกับเสื้อคลุมมาให้เขา แหวนกับเสื้อคลุม คือสิทธิอำนาจในการเป็นบุตร และในการครอบครองในบ้านหลังนั้น ยังไม่ได้ทำความดีอะไรเลย ทำความชั่วมาตลอด อยู่ดีๆ เดินเข้ามาปุ๊บ เอาไปเลย มาเป็นลูกเหมือนเดิม แล้วครอบครองบ้านหลังนี้เลย แล้วให้คนใช้ ไปจัดงานเลี้ยงเลย ล้มวัวเลย เพราะว่าลูกของฉันคนนี้ เขาตายไปแล้ว แต่ตอนนี้ เหมือนมีชีวิตกลับคืนมาใหม่ ดีใจ
พระเยซูเล่าให้เราฟังว่าพระเจ้าคิดอย่างนี้ ผมเชื่อว่าคนที่มาเป็นคริสเตียนแล้ว มาเชื่อพระเจ้าแล้ว รู้จักพระเจ้าแล้ว ได้รับการไถ่จากพระเยซูแล้ว ก็จะมีคำอธิษฐานเหมือนเมื่อตะกี้นี้ มีความรู้สึกเหมือนกับเป็นลูกคนที่ไปทำชั่วมา และจะกลับมาขอแค่เป็นทาส ก็พอแล้ว เพราะผมรู้ว่าทุกคนคิดว่าตัวเองหลงหายไป ไปทำอะไรที่แย่ๆ มากๆ แม้เรามาเชื่อพระเจ้าแล้ว เชื่อพระเยซูแล้ว หลายครั้ง เรายังทำแย่อยู่เลย พอแย่ทีหนึ่ง เราก็รู้สึกฟ้องผิด
“พระเจ้ายกโทษให้ลูกด้วย แย่เหลือเกิน”
แต่ผมอยากจะบอกท่านว่าทุกครั้งที่ท่านทำผิดพลาดไป พระเจ้าก็จะทำแบบนี้ พระองค์เข้าใจดีว่าเราเป็นมนุษย์ที่อยู่ในร่างกายบาปนี้อยู่ เราก็เผลอ เดี๋ยวๆ ก็คิดหลงทางไป เดี๋ยวก็ทำผิดไป อยู่เสมอๆ พระองค์ทรงเข้าใจ แต่เมื่อเราเป็นคริสเตียนแล้ว เราเป็นลูกของพระองค์แล้ว เพราฉะนั้น หลายครั้งที่เราพลาดพลั้งไปทำอะไรผิด แล้วก็สำนึกได้ มันก็เหมือนกับบุตรน้อยหลงหาย เรื่องนี้เลย คือคิดว่าพระเจ้าคงโกรธ คงผิดหวังในตัวเรามากเลย ไร้ค่า แล้วก็สารภาพบาปกับพระเจ้า
“ลูกผิดไปแล้ว ขอโปรดให้อภัยลูกด้วย ลูกแย่จริงๆ และลูกเลวที่สุด”
พระเจ้าไม่อยากให้เราคิดอย่างนั้น เดี๋ยวฟังเรื่องนี้ต่อไป ดาเนียลที่เราจะเรียนรู้กันในวันนี้ ก่อนที่พระเยซูจะเกิดประมาณ 500 ปี พระเจ้าตอบเขาว่าอย่างไร? เหมือนเมื่อตะกี้ เราเล่าเรื่องบุตรน้อยหลงหาย พระเจ้าตอบว่า …
“แค่กลับมา พ่อก็ดีใจแล้ว อย่ามามัวขออภัยโน่นนั่นนี่เลย”
เพียงอยากได้แค่เศษอาหาร พ่อไม่ใช่ให้แค่เศษอาหาร พ่อให้บ้านทั้งหลังไปเลย เข้ามาเลย ครอบครองไปเลย นี่เป็นของเจ้าอยู่แล้ว เรารอเจ้ามาตั้งนานแล้ว เราตั้งใจช่วยเจ้ามาตั้งนานแล้ว รอให้เจ้ากลับมา พอเจ้ากลับมา ก็ดีใจ
แค่นี้ คือสิ่งที่พระเจ้าจะทำกับเราทั้งหลาย ที่คิดว่าเราแย่ เราไม่ดี
เรื่องราวของดาเนียล ตั้งแต่บทที่ 1 ที่บาบิโลนได้เข้ายึดครองกรุงเยรูซาเล็ม ในปี 605 ก่อน ค.ศ. และกวาดต้อนเอาชาวยิวมาเป็นเชลย ดาเนียล และเพื่อนอีก 3 คน คือชัดรัด เมชาค อาเบดเนโก เป็นเชลยรุ่นแรก ในบทที่ 9 เป็นช่วงเวลาประมาณ 66 ปีหลังจากที่ชาวยิวถูกกวาดต้อนมา ตอนที่บาบิโลนเข้ายึดกรุงเยรูซาเล็ม ช่วงนั้นดาเนียลยังเป็นเด็กหนุ่มๆ อยู่ อายุประมาณ 14-15 เวลานี้ผ่านมา 66 ปีแล้ว เวลานี้ดาเนียลก็มีอายุประมาณ 80 กว่าๆ
ดาเนียล 9:1-2 “1 ในปีที่หนึ่งแห่งรัชกาลกษัตริย์ดาริอัส โอรสของเซอร์ซีส (ทรงมีเชื้อสายมีเดีย) ซึ่งได้ครองอาณาจักรบาบิโลน 2 ในปีแรกแห่งรัชกาล ข้าพเจ้าดาเนียล เข้าใจจากพระคัมภีร์ เกี่ยวกับพระดำรัสขององค์พระผู้เป็นเจ้า ซึ่งตรัสกับผู้เผยพระวจนะเยเรมีย์ว่ากรุงเยรูซาเล็มจะเริศร้างอยู่เจ็ดสิบปี”
อายุ 80 ดาเนียลกำลังอ่านพระคัมภีร์เดิม สมัยก่อน ไม่มีพระคัมภีร์ใหม่ กำลังอ่านผู้เผยพระวจนะ ชื่อเยเรมีย์ พบถ้อยคำตรงนี้ว่ากรุงเยรูซาเล็มจะถูกทิ้งร้าง เป็นเวลา 70 ปี ในเยเรมีย์ 25:1บันทึกไว้อย่างนี้ว่า …
เยเรมีย์ 25:11 “ดินแดนทั้งหมดนี้ จะกลายเป็นซากทิ้งร้างว่างเปล่า และชนชาติเหล่านี้ จะรับใช้กษัตริย์บาบิโลน เป็นเวลาเจ็ดสิบปี”
เขาได้อ่าน คำเผยพระวจนะนี้บอกไว้ก่อน ตั้งแต่ก่อนเขาจะมาเป็นเชลยอีก แล้วมันก็เป็นจริงตามนั้นด้วย ตอนนี้ดาเนียลอยู่บาบิโลนมา เป็นเวลา 66 ปีแล้ว เพราะฉะนั้น เหลือเวลาอีก 4 ปีเอง ดาเนียลต้องตื่นเต้นแน่ๆ มาดูว่าอะไรเกิดขึ้นต่อ ดาเนียล 9:3-6
ดาเนียล 9:3-6 “3 ข้าพเจ้าจึงขะมักเขม้นอธิษฐานวิงวอนต่อพระเจ้า องค์พระผู้เป็นเจ้าด้วยการถืออดอาหาร สวมเสื้อผ้ากระสอบและคลุกขี้เถ้า 4 ข้าพเจ้าอธิษฐานต่อพระยาห์เวห์พระเจ้าของข้าพเจ้าและทูลสารภาพบาปว่า “ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าผู้ทรงยิ่งใหญ่และน่าครั่นคร้าม ผู้ทรงรักษาพันธสัญญาแห่งความรักต่อบรรดาผู้ที่รักพระองค์ และเชื่อฟังพระบัญชาของพระองค์ 5 ข้าพระองค์ทั้งหลายได้ทำผิดทำบาป ทำชั่วและกบฏต่อพระองค์ หันหนีจากบทบัญญัติและพระบัญชาของพระองค์ 6 ข้าพระองค์ทั้งหลายไม่ได้เชื่อฟังเหล่าผู้เผยพระวจนะผู้รับใช้ของพระองค์ ซึ่งกล่าวในพระนามของพระองค์แก่บรรดากษัตริย์ เจ้านาย บรรพบุรุษของข้าพระองค์ทั้งหลาย ตลอดจนประชากรของแผ่นดิน”
หลังจากที่ดาเนียลนับไปนับมาอยู่ว่าเหลือเวลาอยู่อีกแค่ 4 ปี ก็จะได้เป็นไท กลับไป เมืองเดิม คือเยรูซาเล็มแล้ว ดาเนียลขะมักเขม้นอธิษฐาน การถืออดอาหาร สวมเสื้อผ้ากระสอบและคลุกขี้เถ้า อดอาหาร คือประเพณี วัฒนธรรมอันหนึ่งของชาวยิว ที่สำแดงถึงความถ่อมใจ
นี่คือวิธีการอธิษฐาน สารภาพบาปกับพระเจ้าในสมัยพระคัมภีร์เดิม คือช่วงที่พระเยซูยังไม่มาไถ่บาป ผมบอกพื้นฐานท่านไปแล้ว คือช่วงที่มนุษย์ยังอยู่ในคำสาปแช่งอยู่ ติดต่อกับพระเจ้าไม่ได้ สกปรก
ดาเนียลเป็นตัวแทนของมนุษย์ทั้งปวง พระเจ้ากำลังติดต่อกับมนุษย์ทั้งปวง ผ่านทางดาเนียล เวลาพระเจ้าพูดกับดาเนียล ก็คือพระเจ้าพูดกับมนุษย์ทุกคน รวมทั้งฉันที่อยู่ที่นี่ด้วย เวลาดาเนียลอธิษฐาน ดาเนียลก็เป็นตัวแทนของพวกเราทุกคนบนโลกใบนี้ ที่กำลังอธิษฐาน นี่คือภาพรวม ดาเนียลก็คร่ำครวญ กำลังสารภาพบาปกับพระเจ้าว่า …
“ข้าพระองค์ทั้งหลายได้ทำผิดบาป ทำชั่ว และกบฏต่อพระองค์ หันหนีจากบทบัญญัติ และพระบัญชาของพระองค์”
ถูกต้องเป๊ะเลย มนุษย์เป็นอย่างนี้จริงๆ เมื่อมนุษย์สำนึกในใจของตัวเอง ถ้าเขาไม่ปฏิเสธ เขาจะรู้ว่าตัวเองเป็นคนบาป เมื่อไรจะชดใช้บาปกรรมหมดสักที แล้วเขาบอกว่า …
“ข้าพระองค์ทั้งหลาย”
ตรงนี้ หมายถึงบรรดาชาวอิสราเอล และประชากรทั้งหมดบนโลกใบนี้ แต่เฉพาะของดาเนียลเขาคิดว่าเรื่องนี้เกิดขึ้นเฉพาะเขากับชาวอิสราเอลเท่านั้น แต่จริงๆ แล้วบอกว่าพระเจ้าให้อิสราเอลเป็นตัวแทน เล็งเห็นถึงมนุษย์บนโลกใบนี้
“ข้าพระองค์ทั้งหลาย” ตรงนี้หมายถึงบรรดาชาวอิสราเอลทั้งหลาย ที่ถูกกวาดต้อนมาเป็นเชลยนั้น ดาเนียลสำนึกผิดต่อพระเจ้าบอกว่าเป็นเพราะชาวยิวทำผิดต่อพระเจ้า ไม่เชื่อฟังพระเจ้า เป็นกบฏ จึงเป็นการสมควรแล้วที่จะได้รับการลงโทษแบบนี้ ก็เหมือนเราทั้งหลาย ก่อนที่เราจะมาเชื่อพระเจ้า ถ้าเรายังไม่เชื่อพระเจ้า เราก็จะอธิษฐานอย่างนี้ หรือมนุษย์ทั้งปวง ก็จะรู้ว่าตัวเองเป็นคนบาป มันสมควรแล้วที่เป็นอย่างนี้ แม้กระทั่งเรามาเชื่อพระเจ้าแล้ว เรายังอธิษฐานอย่างนี้เลย
เพราะหลายคน เวลามารู้จักพระเจ้า ก็จะได้รับการสอนอย่างนี้ อธิษฐานตามแบบอย่างของคนที่อยู่ในพระคัมภีร์เดิม พระเยซูมาที่ไม้กางเขน บอกข่าวดีให้เราแล้ว เรายังอธิษฐานเหมือนเดิม พระองค์มีความชื่นชมยินดีไหม? ถ้าเรายังเป็นทาสอยู่ พระองค์อุ้ม ยกเราขึ้นมา ใส่เสื้อผ้าให้เรา เราก็ลงไปคุกเข่า ยังเป็นทาสๆ พระองค์พาเราลงไปกินข้าวตอนเช้าอย่างดี มีคนมาเสิร์ฟให้ เราตื่นเช้า เราก็โดดออกหน้าต่าง แล้วตะโกน แล้วก็โหนเชือกลงมา แล้วก็โดดตุ๊บๆ เหมือนลิง แล้วก็เข้ามาสู่หน้าต่างของห้องทานข้าวเช้า แล้วก็มานั่งที่โต๊ะ แล้วช้อนส้อมก็ไม่ใช้ เรายังคุ้นเคยกับชีวิตเก่าๆ ตอนอยู่ในป่า แต่พระเจ้าเอาเราออกมาแล้ว ไม่ใช่ทาร์ซานแล้ว
มาดูกันต่อดาเนียลอธิษฐานกันต่ออย่างไรอีก จะใช่ลักษณะเดียวกับเราอธิษฐานกับพระเจ้าทุกวันนี้หรือเปล่า? นี่พระคัมภีร์เดิมนะ เราทั้งหลายนั่งอยู่ที่นี่ เราพระคัมภีร์ใหม่แล้ว เราเป็นคริสเตียนแล้ว พระเจ้าพระเยซูมาไถ่เราแล้ว
ดาเนียล 9:7-11 “7 ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า พระองค์ทรงชอบธรรม แต่ทุกวันนี้ ข้าพระองค์ทั้งหลายต้องอับอายขายหน้า ไม่ว่าชาวยูดาห์ ชาวกรุงเยรูซาเล็ม และปวงชนอิสราเอลทั้งใกล้และไกล ในประเทศต่างๆ ซึ่งพระองค์ทรงทำให้ข้าพระองค์ทั้งหลายกระจัดกระจายไป เพราะเราไม่ได้ซื่อสัตย์ต่อพระองค์ 8 ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า ข้าพระองค์ทั้งหลายตลอดจนบรรดากษัตริย์ เจ้านาย และบรรพบุรุษต้องอัปยศอดสู เพราะได้ทำบาปต่อพระองค์ 9 องค์พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของข้าพระองค์ทั้งหลายทรงเปี่ยมด้วยความเมตตา และทรงให้อภัย แม้ว่าข้าพระองค์ทั้งหลายกบฏต่อพระองค์ 10 ข้าพระองค์ทั้งหลายไม่ได้เชื่อฟังพระยาห์เวห์ พระเจ้าของข้าพระองค์ทั้งหลาย และไม่ได้ปฏิบัติตามบทบัญญัติที่พระองค์ประทาน ผ่านทางผู้เผยพระวจนะ ผู้รับใช้ของพระองค์ 11 อิสราเอลทั้งปวง ได้ล่วงละเมิดบทบัญญัติของพระองค์ และหลงเตลิดไป ไม่ยอมเชื่อฟังพระองค์ ฉะนั้น คำสาปแช่งและโทษทัณฑ์ทั้งปวง ซึ่งบันทึกไว้ในบทบัญญัติของโมเสสผู้รับใช้ของพระเจ้า จึงตกแก่ข้าพระองค์ทั้งหลาย เพราะข้าพระองค์ทั้งหลาย ได้ทำบาปต่อพระองค์”
ผมเติมให้ท่านนิดหนึ่ง ท่านจะเห็นชัดขึ้น “อิสราเอลทั้งปวง” ผมจะเปลี่ยนเป็น “มนุษยชาติทั้งปวง”
“มนุษยชาติทั้งปวง ได้ล่วงละเมิดบทบัญญัติของพระองค์ และหลงเตลิดไป ไม่ยอมเชื่อฟังพระองค์ ฉะนั้น คำสาปแช่งและโทษทัณฑ์ทั้งปวง ซึ่งบันทึกไว้ในบทบัญญัติของโมเสสผู้รับใช้ของพระเจ้า จึงตกแก่ข้าพระองค์ทั้งหลาย เพราะข้าพระองค์ทั้งหลาย ได้ทำบาปต่อพระองค์ ได้กบฎต่อพระองค์ เป็นปฏิปักษ์ต่อพระองค์ เป็นศัตรูกับพระองค์ หนีพระองค์ไป” เอเมน ถูกหรือไม่ถูก? เป๊ะ
ดาเนียลเริ่มเกริ่นในคำอธิษฐานก่อนว่า “ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า พระองค์ทรงชอบธรรม แต่ทุกวันนี้ข้าพระองค์ทั้งหลายต้องอับอายขายหน้า”
เหมือนคำอธิษฐานของหลายๆ คนที่สำนึกแล้ว รู้ตัวแล้วว่าทำไม่ดีเลย ไม่งามเลย สมควรได้รับโทษ แต่สิ่งที่เกิดขึ้นอยู่นี้ มันกำลังทำให้อับอายขายหน้า ไม่ใช่ตัวเอง พระเจ้า เมื่อเราสำนึกได้ เรารู้สึกว่าอับอายขายหน้าพระเจ้ามากว่านี่หรือเป็นประชากรของพระเจ้า ทำไมอยู่ในสภาพอย่างนี้ ไหนอิสราเอล เป็นประชากรของพระเจ้า ดูสิ กลายเป็นทาสเขาไปแล้ว ถูกกวาดต้อนมาเป็นเชลย ไม่มีสง่าราศีเลย เห็นไหม? ท่านลองนึกภาพที่ผมบอกสิ พิมพ์ภาพนี้ไปยังมนุษยชาติทั้งปวง จะเห็นภาพเลย นี่หรือมนุษย์ที่พระองค์ทรงสร้าง เป็นพระฉายของพระองค์ พระฉายของพระองค์เป็นอย่างนี้เหรอ ทั้งโลภ ทั้งทำชั่วอย่างรุนแรง ทั้งโกหก หลอกลวง ปลิ้นปล้อน นี่หรือ! พระฉายของพระองค์ นี่หรือ! พระองค์ทรงสร้างเขา มารคงหัวเราะเยาะ เป๊ะเหมือนกัน
ตรงที่บอกว่าพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของข้าพระองค์ทั้งหลาย ทรงเปี่ยมด้วยความเมตตา และทรงให้อภัย แม้ว่าข้าพระองค์ทั้งหลายกบฏต่อพระองค์ ในภาษาอังกฤษใช้คำนี้ชัดขึ้น เป็นพหูพจน์ คือให้เห็นว่ามันมีมาก ก็คือมีหลายๆ ครั้ง หรือเกิดขึ้นบ่อยๆ ไม่ใช่ครั้งเดียว ทำผิดมาแล้วหลายครั้ง สำนึกผิดแล้วหลายครั้ง พระเจ้าก็ให้อภัยหลายๆ ครั้ง เหมือนกัน ตามมาตลอด มันหมายถึงอย่างนี้ ก็แสดงว่ามันเป็นวงจรว่ามนุษย์ต้องทำผิดแน่นอน และพระเจ้าก็ต้องอภัยให้แน่นอน เพราะพระเจ้ารู้ว่ามนุษย์อ่อนแอ เมื่อผิด ก็ผิดอยู่ดี จะไปไหนพ้น มันอยู่ในความบาป
“วันหนึ่ง ฉันจะส่งลูกชาย พระเยซูมา วันหนึ่ง คือแผนการฉันจะพุ่งไปที่พระเยซูมาตายที่ไม้กางเขน ในวันศุกร์ประเสริฐนั่นแหละ เพื่อชำระบาป จะได้หมดเวร หมดกรรมสักที รออีกหน่อย”
อะไรประมาณนั้น ถ้าทุกวันนี้ ทำผิดล่ะ ทำผิดก็ต้องถูกลงโทษ เป็นไปตามกฎแหละ ไม่รู้จะทำอย่างไร? ยังอยู่ในชนัก คุ้นๆ ไหมว่าคำอธิษฐานนี้ ก็คือเราทั้งหลายที่อธิษฐาน
“โอ้! พระเจ้าลูกผิดไปแล้ว ลูกสำนึกบาป อภัยให้ลูกด้วย ลูกสัญญาว่าจะไม่ทำอีก รับรองลูกไม่ทำอีกเลย”
แล้วทำไม? ทำ พอเราทำ แล้วพระเจ้าให้อภัยไหม? ให้ ให้กี่ครั้ง? 70×7 ก็คือ 490 ครั้งต่อหนึ่งความผิด วันนี้โกหก ให้อภัย โกหก เกิน 490 หรือยัง ถ้ายังไม่เกิน โกหกได้ต่อ วันนี้ไปโกงเขา โกงเขามากี่ครั้งแล้ว 490 ครั้งหรือยัง? ไม่ได้หมายถึงอย่างนั้น 70×7 คือความหมายว่าให้อภัยอย่างครบถ้วนบริบูรณ์ คืออย่างไรก็ให้อภัย ให้อภัยอย่างอันลิมิต ครบบริบูรณ์ ก็คือจนสุดของการอภัย ไม่มีการยกเลิก มันหมายถึงอย่างนั้น นี่คือวงจรของมนุษย์ที่เป็นคนบาป และวงจรการให้อภัยของพระเจ้า เพระพระองค์รู้ว่ามนุษย์อ่อนแอ อยู่ในความบาป อยู่ในคำสาปแช่ง ช่วยตัวเองไม่ได้ พระคัมภีร์พูดอย่างนั้น หนังสือโรมบอกว่ามนุษย์อ่อนแอช่วยตัวเองไม่ได้ พระเจ้าทรงเมตตาทรงประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ พระเยซูมาช่วยเรา เพราะเราช่วยตัวเองไม่ได้ นี่คือความหมายในคำอธิษฐานที่ดาเนียลรู้ตัวว่าที่ผ่านมา บรรพบุรุษของชาวยิวเคยทำผิดบาปต่อพระเจ้ามากแค่ไหน? นับครั้งไม่ถ้วนขนาดไหน? กี่ครั้งก็ตาม พระเจ้าก็อภัยอยู่เรื่อยๆ ในพระคัมภีร์ บางครั้ง ให้ท่านเห็นว่าชาวยิวทำผิด ทำอะไรต่างๆ พระเจ้าทรงกริ้ว
“พระเจ้าทรงกริ้ว” สำหรับผมเป็นอย่างนี้ จะถูกจะผิดไม่รู้ ท่านฟังก็แล้วกัน ตะกี้ผมยกตัวอย่างให้ท่านดูใช่ไหม? เหมือนไฟฟ้าแรงสูงมันวิ่งผ่าน แล้วเราเอามือไปจับ พอเราจับปุ๊บ ไฟฟ้ามันกริ้วเรามาก ดูดเราตายเลย เราไม่ควรไปจับมันเลย ในทำนองเดียวกัน พระเจ้ากริ้วมาก มนุษย์ไม่ควรทำบาป แต่ทำ เหมือนกัน คือกริ้ว ผมคิดว่าเป็นลักษณะอย่างนี้ ไม่ใช่พระเจ้าโหดร้าย ถ้าโหดร้าย ไม่เตรียมพระเยซูไว้หรอก แต่จริงๆ แล้ว คือแผนการแห่งความรักทั้งสิ้น ตั้งแต่วันแรกแล้ว แต่ไม่รู้จะทำอย่างไร? ทรงกริ้ว ก็คือมันเป็นเรื่องที่มนุษย์กับพระเจ้าเข้ากันไม่ได้ ถ้าทำผิดกฎก็ต้องได้รับโทษ คือคำสาปแช่งนั่นเอง เรามาดูเลวีนิติ 26:32-35 บันทึกไว้ว่า …
เลวีนิติ 26:32-35 “32 เราจะทิ้งให้แผ่นดินเริศร้าง จนศัตรูของเจ้า ที่เข้ามาพักอาศัยตกใจ 33 เราจะทำให้พวกเจ้ากระจัดกระจายไป ท่ามกลางชนชาติต่างๆ เราจะชักดาบออกจากฝักรุกไล่เจ้า ดินแดนของเจ้า จะถูกทิ้งร้าง และเมืองต่างๆ จะถูกทำลาย 34 แล้วแผ่นดินจะได้ชื่นชมกับปีสะบาโตของมัน 35 ตลอดช่วงที่ถูกทิ้งร้าง ซึ่งเจ้าตกอยู่ในดินแดนของศัตรู แผ่นดินจะได้พักสงบ และชื่นชมกับสะบาโตของมัน ชดเชยกับที่ไม่ได้หยุดพัก ในช่วงสะบาโต ขณะที่เจ้าอาศัยอยู่ในแผ่นดิน”
นี่คือแผนการของพระเจ้า และความจริงที่มนุษย์ตกอยู่ในความบาป คำสาปแช่ง ที่พระเจ้าให้มนุษย์ได้เรียนรู้ นี่คือสิ่งที่พระเจ้าได้ตรัสไว้ว่าจะให้สิ่งเหล่านี้ เกิดขึ้น ดินแดนของเจ้าจะถูกทิ้งร้าง และเมืองต่างๆ จะถูกทำลาย และเหตุการณ์เหล่านี้ ก็เกิดขึ้นจริงๆ ตรงเป๊ะตามที่พระองค์บอกไว้ ก็คือเยรูซาเล็มก็ถูกทิ้งร้าง โดยถูกบาบิโลนเข้ายึดครอง และทำลาย กวาดต้อนผู้คนไปเป็นเชลย จนกลายเป็นเมืองร้าง ตรงตามคำเผยพระวจนะเป๊ะเลย บอกให้เป็นอย่างนี้ ก็เป็นอย่างนี้ แต่ทั้งหมดนี้ ก็อยู่ในแผนการของพระเจ้าที่จะไถ่มนุษย์ทั้งหมดหลุดพ้นออกจากคำสาปแช่ง ท่านจงเห็นภาพใหญ่ๆ เวลาอ่าน ท่านจะได้เข้าใจ ไม่อย่างนั้น เราจะรู้สึกว่าพระเจ้าทำไมโหดร้ายอย่างนี้ ไม่เลย พระเจ้าเราเป็นพระเจ้าแห่งความรัก พระเจ้าแห่งความดีงาม พระเจ้าแห่งความเมตตา พระเจ้าแห่งความสงสาร สงสารเรามาก คิดดูว่าพระเยซูยกคำนี้ ท่านคิดว่าอย่างไร?
“ท่านทั้งหลาย ที่เป็นคนบาป (มีทั้งหงุดหงิด มีทั้งโกรธ มีทั้งเห็นแก่ตัว) ยังรู้จักรักลูกของตัวเอง ให้ของดีๆ กับลูก และพระเจ้า (ไม่ใช่คนบาป) เป็นพระเจ้าผู้สร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก จะรักท่านทั้งหลายมากขนาดไหน? ลองคิดดู” ท่านก็รู้ว่าขนาดไหน? เรามาดูในดาเนียล 9:12-19
ดาเนียล 9:12-19 “12 พระองค์ทรงทำตามที่ตรัสไว้แล้วว่าจะนำภัยพิบัติยิ่งใหญ่ มายังข้าพระองค์ทั้งหลาย และผู้ครอบครองทั่วใต้ฟ้า ไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น เสมอเหมือนที่เกิดกับเยรูซาเล็ม 13 ภัยพิบัติทั้งปวงนี้ เกิดกับข้าพระองค์ทั้งหลาย ตามที่บันทึกไว้แล้ว ในบทบัญญัติของโมเสส ถึงกระนั้น ข้าพระองค์ทั้งหลาย ก็ไม่ได้แสวงหาความเมตตาจากพระยาห์เวห์ พระเจ้าของข้าพระองค์ทั้งหลาย โดยหันกลับจากบาป และไม่ได้ใส่ใจในความจริงของพระองค์เลย 14 องค์พระผู้เป็นเจ้าไม่ได้ทรงรีรอที่จะนำภัยพิบัตินี้ มายังข้าพระองค์ทั้งหลาย เพราะพระยาห์เวห์ พระเจ้าของข้าพระองค์ทั้งหลายทรงชอบธรรมในทุกสิ่งที่ทรงกระทำ ถึงเพียงนี้แล้ว ข้าพระองค์ทั้งหลายยังไม่ยอมเชื่อฟังพระองค์ 15 “ข้าแต่พระยาห์เวห์ พระเจ้าของข้าพระองค์ทั้งหลาย ผู้ทรงนำประชากรของพระองค์ออกจากอียิปต์ ด้วยพระหัตถ์อันทรงอานุภาพ และผู้สถาปนานามของพระองค์ ซึ่งยืนยงตราบเท่าทุกวันนี้ ข้าพระองค์ทั้งหลายได้ทำผิดทำบาปไปแล้ว
16 ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า เพื่อให้สอดคล้องกับการกระทำ อันชอบธรรมทั้งปวงของพระองค์ ขอโปรดทรงหันเหพระพิโรธ จากเยรูซาเล็มเมืองของพระองค์ ภูเขาศักดิ์สิทธิ์ของพระองค์ เพราะบาปของข้าพระองค์ทั้งหลาย และความชั่วช้าของบรรพบุรุษของข้าพระองค์ทั้งหลาย เป็นเหตุให้เยรูซาเล็มและประชากรของพระองค์กลายเป็นที่เหยียดหยามของคนทั้งปวงที่อยู่โดยรอบ 17 “ข้าแต่พระเจ้า บัดนี้ ขอทรงสดับคำอธิษฐานวิงวอนของผู้รับใช้ของพระองค์ ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า เพื่อเห็นแก่พระองค์เอง โปรดเหลียวแลสถานนมัสการอันเริศร้างของพระองค์ด้วยความโปรดปรานเถิด 18 ข้าแต่พระเจ้า ขอทรงเอียงพระกรรณสดับฟัง โปรดทอดพระเนตรความเริศร้างของกรุง ซึ่งใช้พระนามของพระองค์ ข้าพระองค์ทั้งหลายทูลวิงวอนต่อพระองค์ ไม่ใช่เพราะข้าพระองค์ทั้งหลายชอบธรรม แต่เพราะพระเมตตายิ่งใหญ่ของพระองค์ 19 ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า ขอทรงสดับ ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า ขอทรงอภัย ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า ขอทรงสดับและทรงช่วย ข้าแต่พระเจ้าของข้าพระองค์ ขออย่าทรงล่าช้า เพื่อเห็นแก่พระองค์เอง เพราะนครของพระองค์ และประชากรของพระองค์ ใช้พระนามของพระองค์”
ช่วงที่มนุษย์อยู่ในความบาป และพระเยซูยังไม่มาไถ่ เมื่อคนไหนสำนึกบาป เขาจะอธิษฐานอย่างนี้แหละ เพราะเขารู้ตัวว่าเขาเป็นคนบาป ท่านลองใส่อย่างที่ผมบอก ตัวแทน ใส่มนุษย์ลงไป ตรงหมดเลย คำอธิษฐานนี้ ก็คือคำอธิษฐานของอาดัมกับอีฟ มนุษย์คู่แรก บรรพบุรุษของเรา ก็ต้องอธิษฐานอย่างนี้
“ข้าพระองค์ทำอย่างนี้ พามนุษย์ลูกหลานของฉันตกลงไปในความบาปหมดเลย แย่เลย”
แต่นี่เป็นเรื่องของดาเนียลส่วนหนึ่ง ท่านต้องเข้าใจให้ชัดว่าพระเยซูไม่ได้มาช่วยแค่คนยิว คนอิสราเอลเท่านั้น แต่เล็งไปถึงมนุษย์ทั้งหมดบนโลกใบนี้
ดาเนียลอธิษฐานกับพระเจ้าด้วยความถ่อมใจ เป็นเพราะบรรพบุรุษของอิสราเอลได้กระทำผิดต่อพระเจ้า กบฏ ไม่เชื่อฟัง ทำผิดต่อบทบัญญัติของพระเจ้า หันเหไปจากบทบัญญัติของพระเจ้า สมควรแล้วที่จะต้องได้รับโทษอย่างนี้ ที่เป็นอยู่นี้ แต่ก็ขอเมตตา พระเจ้าช่วย อภัยให้ด้วย นี่คือความเป็นจริง เพราะพระเจ้าทรงเป็นพระเจ้าแห่งความสัตย์ซื่อ เป็นพระเจ้าแห่งความยุติธรรม พระคัมภีร์บอกไว้อย่างนั้น เมื่อพระองค์ตรัสคำไหนแล้ว ต้องเป็นคำนั้น พระองค์เป็นผู้พิพากษาของมหาจักรวาล เมื่อพระองค์ตรัสแล้ว ก็ต้องเป็นอย่างนั้น พิพากษาแล้วก็ต้องเป็นอย่างนั้น ถ้ากบฏ ไม่เชื่อฟัง เป็นปฏิปักษ์ต่อพระเจ้า ก็ได้รับโทษ คือคำสาปแช่ง เป็นเรื่องธรรมดา เมื่อพระองค์ตรัสแล้วว่าจะทำให้เยรูซาเล็มต้องถูกทำลาย กลายเป็นเมืองร้าง ผู้คนต้องทุกข์ทรมานในต่างแดน สิ่งนั้น ก็ต้องเกิดขึ้น แต่เกิดขึ้น เพื่อเป็นผลดีทีหลัง และมันก็เกิดขึ้นแล้วจริงๆ ตามที่ได้บันทึกไว้แล้ว ตรงเป๊ะ
“แต่เพื่อพระนามของพระองค์ ขอทรงโปรดให้อภัยแก่ข้าพระองค์ทั้งหลายสักครั้งเถิด”
ดาเนียลกำลังอยู่ในช่วง 4 ปีสุดท้าย ที่พระเจ้าสัญญาว่าครบ 70 ปีแล้วจะให้กลับไปเยรูซาเล็ม ดาเนียลอธิษฐาน มันจะถึงเวลาแล้ว โปรดให้อภัยเมื่อครั้งที่แล้ว และต่อไปอีก ช่วยเหลือที่จะไม่ทำอีกเถิด
สังเกตดูให้ดีๆ นะ ดาเนียลไม่ได้อธิษฐานว่า “ขอทรงโปรดให้อภัย เพื่อเห็นแก่ข้าพระองค์ หรือเพื่อเห็นแก่ชาวยิว แต่ขอทรงโปรดให้อภัย เพื่อพระนามของพระองค์จะได้ไม่เสื่อมเสีย”
“เพื่อพระนามของพระองค์จะไม่เสื่อมเสีย” คือเพื่อพระเจ้าจะได้รับเกียรติ เพราะว่าพระองค์เป็นผู้สร้างมนุษยชาติ เป็นผู้สร้างเราทั้งหลายอิสราเอล พระองค์เป็นพระเจ้าของเรา ถ้าเราแย่ พระองค์ก็เสียเกียรติ แล้วมนุษย์เป็นอย่างนี้ ไม่มีความรัก มีแต่ความเกลียดชังกัน ฆ่ากันอย่างนี้เหรอ พระเจ้าเสียเกียรติ แต่เรามารู้จักพระเจ้า เราดำเนินชีวิตด้วยความรักในพระเจ้า พระเจ้าได้รับเกียรติ มนุษย์ต้องเป็นอย่างนี้ เต็มไปด้วยความรัก อภัย เสียสละ แม้ชีวิตของตัวเองให้กับคนอื่นก็ได้ พระเจ้าได้รับเกียรติ ตรงนี้ หมายถึงอย่างนั้น
มาดูต่อว่าหลังจากดาเนียลอธิษฐานแบบนี้แล้ว พระเจ้าตอบอย่างไร? มนุษย์ทุกคนกำลังบอกว่า …
“แย่ ฉันเป็นคนบาป ฉันไม่ดี ฉันทำผิดอีกแล้ว ทำผิดอีกๆๆๆ ขออภัยๆๆๆ”
ดูสิว่าพระเจ้าตอบว่าอย่างไร? ดาเนียล 9:20-27
ดาเนียล 9:20-27 “20 ขณะข้าพเจ้าอธิษฐานสารภาพบาปของตัวเอง และของชนอิสราเอล พี่น้องร่วมชาติ และทูลอ้อนวอนพระยาห์เวห์ พระเจ้าของข้าพเจ้า เพื่อภูเขาศักดิ์สิทธิ์ของพระองค์ 21 ขณะที่ข้าพเจ้ายังอธิษฐานอยู่นั้น กาเบรียล ผู้ซึ่งข้าพเจ้าเห็นในนิมิตครั้งก่อน เหาะมาหาข้าพเจ้าอย่างรวดเร็ว ในเวลาถวายเครื่องบูชายามเย็น 22 เขากล่าวแก่ข้าพเจ้าว่า “ดาเนียลเอ๋ย เรามาเพื่อให้ท่านประจักษ์แจ้งและเข้าใจ 23 ทันทีที่ท่านเริ่มอธิษฐาน พระเจ้าก็ประทานคำตอบ ซึ่งเราได้นำมาบอกท่าน เพราะท่านเป็นผู้ที่ทรงรักยิ่ง ฉะนั้น จงใคร่ครวญเนื้อความและเข้าใจนิมิตนั้น 24 “เจ็ดสิบของ ‘เจ็ด’ ทรงกำหนดไว้แล้ว สำหรับพี่น้องร่วมชาติ และนครศักดิ์สิทธิ์ของท่าน ให้เลิกการล่วงละเมิด เลิกทำบาป ลบล้างความชั่ว และนำความชอบธรรมอันมั่นคงนิรันดร์มาให้ เพื่อประทับตรานิมิตและคำพยากรณ์ และเพื่อเจิมสถานที่บริสุทธิ์ที่สุด 25 “จงรับรู้และเข้าใจข้อนี้เถิด คือตั้งแต่มีพระราชกฤษฎีกาให้กอบกู้และสร้างเยรูซาเล็มขึ้นใหม่ จวบจนผู้ที่พระเจ้าทรงเจิมตั้งให้เป็นผู้ครอบครองนั้นจะมาถึง จะมีเจ็ดของ ‘เจ็ด’ และหกสิบสองของ ‘เจ็ด’ จะมีการสร้างถนนหนทางและคูเมือง แต่ทำในช่วงทุกข์ยากลำบาก 26 หลังจากหกสิบสองของ ‘เจ็ด’ ผู้ที่พระเจ้าทรงเจิมตั้งไว้จะถูกประหารและจะไม่เหลืออะไร ประชาชนของผู้ครอบครองจะมาทำลายกรุงนั้นและสถานนมัสการ วาระสุดท้ายจะมาเหมือนน้ำท่วม สงครามจะขับเคี่ยวกันไปจนถึงจุดจบ และมีวิบัติตามที่กำหนดไว้ 27 ผู้นั้นจะยืนยันคำมั่นสัญญากับคนเป็นอันมากเป็นเวลาหนึ่งของ ‘เจ็ด’ แต่กลางของ ‘เจ็ด’ นั้นเอง เขาจะสั่งยุติการถวายเครื่องบูชาและของถวายต่างๆ แล้วผู้ที่ก่อให้เกิดวิบัติ จะตั้งสิ่งที่น่าสะอิดสะเอียนอันเป็นต้นเหตุของวิบัติไว้ที่ด้านหนึ่งของพระวิหาร ซึ่งเป็นเหตุให้เกิดความเริศร้าง จวบจนวาระสุดท้ายมาถึงเขา ตามที่กำหนดไว้”
หลังจากที่ดาเนียลอธิษฐานเสร็จแล้ว พระเจ้าก็ส่งทูตสวรรค์กาเบรียลมาตอบคำอธิษฐานให้ ตรงเนื้อหาในคำตอบ เป็นเรื่องราวที่ถ้าผมอธิบายให้ท่านฟัง ท่านจะต้องตื่นเต้น และไชโยโห่ฮิ้วเลยนะ ถึงขั้นเรียกว่าขนลุกเลย เพราะมันเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจริงๆ แบบเป๊ะของเป๊ะๆ อีกทีหนึ่งเลย มีหลักฐานทั้งทางด้านประวัติศาสตร์ ที่บันทึกไว้เลยว่ามันเป็นไปตามที่อ่านมาทั้งหมดเลย แต่มันต้องเล่าละเอียด แต่ไม่ยากนะ ง่ายๆ
ดาเนียล 26:22-23 “22 “ดาเนียลเอ๋ย เรามาเพื่อให้ท่านประจักษ์แจ้งและเข้าใจ 23 ทันทีที่ท่านเริ่มอธิษฐาน พระเจ้าก็ประทานคำตอบ ซึ่งเราได้นำมาบอกท่าน เพราะท่านเป็นผู้ที่ทรงรักยิ่ง”
ดาเนียลเป็นตัวแทนของอิสราเอล … อิสราเอลเป็นตัวแทนของมนุษย์ทั้งหมด เพราะฉะนั้น ผมจะลองใส่ดู ท่านจะได้เห็นภาพ
พระเจ้าตอบแล้วนะ “มวลมนุษย์เอ๋ย เรามาเพื่อให้ท่านประจักษ์แจ้งและเข้าใจ ทันทีที่พวกท่านเริ่มอธิษฐาน เรียกร้องในใจของท่าน พระเจ้าก็ประทานคำตอบ ซึ่งเราได้นำมาบอกมวลมนุษย์ เพราะมวลมนุษย์เป็นผู้ที่ทรงรักยิ่ง” เอเมน
เพราะมวลมนุษย์เป็นผู้ที่ทรงรักยิ่ง แล้วจริงไหม? จริง
“ฉะนั้น จงใคร่ครวญเนื้อความและเข้าใจนิมิตนั้น 70 ของ 7 ทรงกำหนดไว้แล้ว สำหรับมนุษยชาติ (ร่วมโลกใบนี้) และนครศักดิ์สิทธิ์ของมนุษย์บนโลกใบนี้ ให้ยกเลิก”
จำที่ผมฉีกกรมธรรม์ได้ไหม?
“มันได้ถูกกำหนดไว้แล้ว ให้ยกเลิกการล่วงละเมิด (คือความผิดที่ได้ไปล่วงละเมิด) ยกเลิกความบาป การเป็นปฏิปักษ์ต่อพระเจ้า และให้ลบล้างความชั่วที่เคยทำไว้ทั้งหมด ที่เป็นคำสาปแช่งทั้งหมด ให้ยกเลิกหมดเลย มันได้ถูกกำหนดไว้ว่าจะทำอย่างนั้น และนำความชอบธรรมอันมั่นคงนิรันดร์มาให้”
ชอบธรรมมั่นคง ก็คือบริสุทธิ์มั่นคง ไม่เป็นคนบาปอีกต่อไป
“เพื่อประทับตรานิมิต และคำพยากรณ์ และเพื่อเจิมสถานที่บริสุทธิ์ ก็คือร่างกายของท่านเป็นวิหารของพระเจ้า”
เห็นภาพไหม? นี่คือข่าวดีที่มาถึงมนุษย์ ผมถึงบอกว่าต้องเริ่มต้นด้วยการเรียนรู้พื้นฐานทั้งหมดนี้ อย่าไปเล็งว่าเป็นของอิสราเอลเท่านั้น เป็นของมนุษย์ทั้งหลาย ท่านใส่มนุษย์เข้าไป มันจะเห็นภาพเป๊ะเลย
ทูตสวรรค์บอกว่าทันทีที่ท่านเริ่มอธิษฐาน ทันทีที่มนุษย์อธิษฐาน ทันทีทันใดเลย พระเจ้าก็ประทานคำตอบให้แล้ว พระองค์ทรงรู้ล่วงหน้าหมดแล้วว่าเราอธิษฐานขออะไร? เราลำบากตรงไหน? พระองค์ทรงเตรียมคำตอบไว้ให้เรียบร้อยแล้วด้วย ก่อนที่ดาเนียลจะอธิษฐาน หรือก่อนที่เราจะอธิษฐาน พระองค์ทรงรู้ว่าเราทุกข์ลำบากขนาดไหน? มนุษย์ ที่ตกลงไปในความบาป ตกอยู่ในคำสาปแช่ง มันทรมานขนาดไหน? พระองค์ทรงรู้แล้ว แค่เราจะค้นหาสัจจะธรรมในชีวิต ก็จะเจอพระองค์
พระคัมภีร์จึงบอกว่า “พระเจ้ามองตลอดทะลุแผ่นดินโลกนี้ เพื่อมองหาผู้คนเหล่านั้น ที่แสวงหาพระองค์ด้วยความจริงใจ”
ขอให้เรามีความจริงใจเท่านั้น เราก็จะเจอพระเจ้า ผมมาเจอพระเจ้า ก็เพราะความจริงใจ ไม่ใช่ เพราะเราเก่ง เพราะเราฉลาด แต่เพราะเราไม่รู้จะไปไหน? เราหาพระเจ้า เราเกิดมาจากใคร? เราเป็นใคร? วิญญาณข้างในเราเรียกร้อง เราก็จริงใจ เราก็เจอพระเจ้า เพราะพระเจ้าเตรียมคำตอบให้เราแล้ว ก่อนที่เราจะอธิษฐาน ตอบก่อนที่เราจะอธิษฐาน รู้ว่าเราต้องการอะไรข้างใน ขอให้เรากล้าเข้ามาหาพระองค์ด้วยความจริงใจ พระเจ้าพระเยซู คือใคร? พระเจ้า คือใคร? ที่เคยได้ยินมา อยากรู้จัก พระองค์จะสำแดงพระองค์ให้กับคนนั้น ได้รู้จัก เพราะว่าพระองค์เมตตาสงสารต่อมนุษยชาติอย่างมาก ที่ตกลงไปในความบาป ลูกของพระองค์ทั้งนั้น และที่สำคัญ คือแผนการที่พระองค์ทรงเตรียมไว้ให้นั้น มันเป็นสิ่งที่ดีที่สุด
ดาเนียลอาจทูลขอเพียงแค่เรื่องที่เห็นอยู่ตรงหน้า ก็คือขอแค่สามารถพาชาวอิสราเอลกลับไปบ้านเกิดเมืองนอน กลับไปรื้อฟื้นเยรูซาเล็ม กลับไปพบกับความสงบอีกครั้งหนึ่ง แต่พระเจ้าบอกว่าพระองค์เตรียมไว้ให้ เป็นสิ่งที่ดีที่สุด พระคัมภีร์เดิมตรงนี้ แปลได้ว่า The best ให้คำตอบ คือขอเศษอาหาร พระองค์ให้ดีที่สุดเลย คำตอบของพระเจ้า ก็เหมือนกับที่พ่อของลูกชายที่หลงหายไป ตอบเขา … เขาจะขอไปกินเศษอาหาร เป็นทาส แต่พ่อบอกว่าให้ดีกว่านั่นอีก ให้เป็นเจ้าของบ้านเลย กลับมาเหมือนเดิม ไม่ได้คิดลงโทษ จัดงานเลี้ยงให้อีกต่างหาก แถมให้ฐานะกลับคืน เป็นบุตรเหมือนเดิม เป็นราชบุตรเหมือนเดิม เราทั้งหลายที่เชื่อในพระเยซู เราทั้งหลายกลับมาเป็นบุตรของพระเจ้า
เพราะฉะนั้น ที่ผมบอกไว้ตอนต้นว่าฟังเรื่องนี้จบแล้ว เราอาจจะมีการเปลี่ยนแปลงในท่าทีในการอธิษฐาน เราไม่ต้องหงอ อย่างนั้นอีกต่อไปแล้ว ไม่ใช่ว่าเราจะกลายเป็นคนเย่อหยิ่ง ไม่ใช่ แล้วพระเจ้าก็ไม่ได้ต้องการอย่างนั้น พระเจ้าต้องการให้เรารู้ตัวตนของเรา ที่อยู่ในพระเยซูคริสต์ที่ได้รับการไถ่นั้น เป็นอย่างไร? ให้เรามีความมั่นใจ ไม่ใช่อยู่ในบ้านแบบหงอๆ กลัวๆ แต่ให้เราอยู่ในบ้านด้วยความมั่นใจว่าอยู่ในบ้านหลังนี้ ที่มีชื่อว่าพระคริสต์ เรามีฐานะเป็นบุตร เป็นทายาทครอบครอง เราอาจจะทำเผลอไปบ้าง เราอาจจะทำเหมือนสมัยก่อนบ้าง อาจจะเป็นทาร์ซานที่ยังติดนิสัยอยู่ในป่าบ้าง ไม่เป็นไร พระเจ้าค่อยๆ ส่งคนมาเทรนเรา ฝึกเรา สอนเราทีละวันๆ เดี๋ยวเราก็กลับมาเป็นผู้ดีเองแหละ เอเมน และสอนด้วยวิธีอะไร? ท่านจะรู้เอง ชีวิตทุกวัน เราได้รับการสอนจากพระเจ้าตลอด พระวิญญาณจะนำพาเราทุกวันๆ สอนให้ทาร์ซานกลับใจสักทีหนึ่ง เอเมน ถ้าท่านไม่ค่อยให้อภัย เกลียดคนเรื่อยๆ พระเจ้าก็สอนไปๆ วันหนึ่ง ท่านก็เริ่มให้อภัยได้มากขึ้น เริ่มเห็นอกเห็นใจคนอื่นได้มากขึ้น มันต้องเป็นอย่างนี้
นั่นแหละ พระเจ้าต้องการแค่นี้เอง แต่ท่านต้องมั่นใจก่อน ไม่อย่างนั้น ท่านจะถูกเปลี่ยนไม่ได้ ถ้าท่านยังมาเป็นทาสอยู่ จะสอนท่านได้อย่างไร? วันๆ ท่านก็คอยแต่จะโหนต้นไม้ลงมาจากบนหลังคา พระเจ้าบอกเมื่อไรจะลงมา เป็นลูกเราสักที เป็นลิงอยู่นั่นแหละ เข้าใจใช่ไหม? ผมยกตัวอย่างให้ท่านฟัง ชีวิตเราจะเปลี่ยนไป พระคัมภีร์บอกไว้ใน 1 เปโตร 2:24
1 เปโตร 2:24 “พระเยซูทรงแบกรับบาปเราไว้บนไม้กางเขน บนต้นไม้ เพื่อว่าการตายต่อบาปของเรานั้น เราจะได้เป็นผู้ชอบธรรม ด้วยรอยแผลเฆี่ยนของพระองค์ เราได้รับการรักษาให้หายแล้ว คือหายจากการเป็นบาปแล้ว” เอเมน
เราชอบธรรมแล้ว เราก็ยังบอกว่าตัวเองบาป เราเคยเป็นคนบาป แต่เดี๋ยวนี้เราเป็นผู้ชอบธรรม เอเมน
ดังนั้น การอธิษฐานของเราจะเปลี่ยนไป ท่าทีเราจะเปลี่ยนไป สัปดาห์ที่แล้ว ทุกอย่างทำมา ในพระคัมภีร์เดิมเขียนคำนี้เยอะที่สุดเลย วันหนึ่งพระเจ้าจะฉีกกรมธรรม์นั้น จะปลดโซ่ตรวนที่มันยึดเราไว้ เอาโซ่ตรวน เอากรมธรรม์ที่พิพากษาเราเป็นคนบาป เป็นคนได้รับคำสาปแช่ง เป็นคนเลว คนชั่วนั้น พระองค์จะตรึงมันไว้ที่ไม้กางเขน ในโคโลสี 2:14 แล้วพระเยซูก็ทำสำเร็จแล้วที่ไม้กางเขน คือฉีกกรมธรรม์ แล้วตรึงไว้ที่ไม้กางเขน โซ่ที่ตรึงเรา เอาโซ่นั้นไปพันธนาการที่ไม้กางเขน เราเป็นอิสระแล้ว เราอ่านโคโลสี 2:14 พร้อมกัน
โคโลสี 2:14 “พระองค์ทรงฉีกกรมธรรม์ซึ่งได้ผูกมัดเรา ด้วยบัญญัติต่างๆ ซึ่งขัดขวางเราและได้ทรงหยิบเอาไปเสียให้พ้น โดยทรงตรึงไว้ที่กางเขน” เอเมน
ให้พูดจนเข้าไปในวิญญาณจิตของท่าน ให้มันลึกๆ ว่ามันอยู่ตรงนั้น ไม่ได้อยู่ที่ท่านอีกแล้ว ท่านไม่เกี่ยวอะไรอีกแล้ว ต่อให้ท่านทำบาปวันนี้ ท่านก็ไม่ใช่คนบาป มันเป็นนิสัยเดิม มันเป็นความเคยชินเดิม ท่านยังอยู่ในความบริสุทธิ์ของพระคริสต์เหมือนเดิม แล้วก็ค่อยๆ เปลี่ยนไป ทาร์ซานจะไปปีนต้นไม้บ้าง เขาก็ยังเป็นลูกของพระเจ้า ที่พ่อเจ้าของบ้าน พาเขาออกมาอยู่ในราชวังแล้ว บางครั้ง เขาจะไปปีนต้นไม้บ้าง? บางครั้งเขาปีนหลังคาบ้าง? เพราะเขาเคยปีนมาก่อน นานๆ เขาก็จะรู้ว่าต่อไปนี้พระเจ้าบอกมีลิฟต์ ทำไมไม่ใช้ลิฟต์ เขาก็หัดใช้ลิฟต์ ทุกวันนี้เราก็กำลังหัดใช้ลิฟต์อยู่ บางครั้งเราเพลินไป เราก็ขอปีนต้นไม้หน่อย ขอลงจากชั้น 4 ลงมากินข้าว แทนจะลงลิฟต์มา เราก็สไลด์ที่เท้าบันไดลงมา เหมือนเด็กๆ เล่นลงมา แล้วเราก็ล้มหัวทิ่มลงมา เจ็บตัวอีก เราก็นึกว่าพระเจ้าตีเรา ไม่ได้ตีเลย ก็เราไปเล่นอย่างนั้น มันก็โดนสิ นึกภาพออกไหม?
บัดนี้ โซ่ตรวนที่ตรึงเราไว้ ได้ถูกทำลายเรียบร้อยแล้ว ที่ไม้กางเขน และการเป็นขึ้นมาใหม่ของพระองค์ในวันที่ 3 พระคัมภีร์จึงบันทึกไว้ในหนังสือเอเฟซัส 2:8 บอกว่า …
เอเฟซัส 2:8 “เราทั้งหลายได้รับความรอดจากโซ่ตรวนเหล่านี้ ด้วยความเชื่อในพระคุณของพระเจ้า”
ไม่ใช่ด้วยการกระทำดีของพวกเรา แต่ด้วยพระคุณของพระเยซูคริสต์ ที่ทำให้กับเราบนไม้กางเขนนั้น และในอดีตเราเรียกร้องขอแค่การยกโทษ แต่พระเจ้าให้พระคุณแทน ไม่ใช่พระคุณธรรมดา แต่เป็นพระคุณที่อัศจรรย์มากเลย คือให้ตลอดเวลา เอเมน ขอพระเจ้าอวยพรครับ
*************************