คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 14 พฤษภาคม 2017
เรื่อง “จงนิ่งเสียและรู้ว่าพระองค์คือพระเจ้า”
ตอน 17 “ประวัติศาสตร์ตามนิมิตของดาเนียล”
โดย นคร เวชสุภาพร
ทบทวนกันสักนิดในดาเนียล บทที่ 9 เริ่มจากดาเนียลไปอ่านเจอพระคัมภีร์เดิมเยเรมีย์ว่ากรุงเยรูซาเล็มจะถูกทิ้งร้าง และชาวอิสราเอลต้องไปเป็นทาสที่เมืองบาบิโลน เป็นเวลา 70 ปี แล้วตัวเองก็อยู่บาบิโลนมาตั้ง 66 ปีแล้ว เหลือเพียงแค่ 4 ปี ก็จะได้เป็นอิสระแล้ว
ตอนบาบิโลนยึดเยรูซาเล็ม เป็นช่วงเวลาราว 605 ปีก่อน ค.ศ. คือก่อนพระเยซูมาเกิดเป็นมนุษย์ ตอนที่ดาเนียลกำลังอธิษฐานอยู่ ในหนังสือดาเนียล บทที่ 9 ที่เรากำลังบรรยายอยู่นี้ ก็อยู่ในช่วงประมาณ 539 ปีก่อนคริสตราช ก่อนพระเยซูคริสต์เกิด ตามคำเผยพระวจนะก็เหลือแค่ 4 ปี ดาเนียลก็อดอาหาร อธิษฐาน วิงวอน ขอการอภัยจากพระเจ้า ในใจดาเนียลตอนนั้น คงตื่นเต้น เพราะก่อนหน้านี้ คำเผยพระวจนะที่พระเจ้าบอกว่าเยรูซาเล็มต้องถูกยึด กลายเป็นเมืองร้าง เป็นเมืองขึ้น ชาวอิสราเอลต้องถูกต้อนไปเป็นเชลย สิ่งนี้เกิดขึ้นแล้วจริงๆ เพราะตัวเขาเองก็เป็นหนึ่งในเหตุการณ์นั้น คือถูกต้อนไปเป็นเชลยจริงๆ
เริ่มต้นดาเนียล 9:21-27 “21 ขณะที่ข้าพเจ้ายังอธิษฐานอยู่นั้น กาเบรียล ผู้ซึ่งข้าพเจ้าเห็นในนิมิตครั้งก่อน เหาะมาหาข้าพเจ้าอย่างรวดเร็ว ในเวลาถวายเครื่องบูชายามเย็น 22 เขากล่าวแก่ข้าพเจ้าว่า “ดาเนียลเอ๋ย เรามาเพื่อให้ท่านประจักษ์แจ้งและเข้าใจ 23 ทันทีที่ท่านเริ่มอธิษฐาน พระเจ้าก็ประทานคำตอบซึ่งเราได้นำมาบอกท่าน เพราะท่านเป็นผู้ที่ทรงรักยิ่ง ฉะนั้น จงใคร่ครวญเนื้อความและเข้าใจนิมิตนั้น 24 “เจ็ดสิบของ ‘เจ็ด’ ทรงกำหนดไว้แล้วสำหรับพี่น้องร่วมชาติ และนครศักดิ์สิทธิ์ของท่าน ให้เลิกการล่วงละเมิด เลิกทำบาป ลบล้างความชั่ว และนำความชอบธรรมอันมั่นคงนิรันดร์มาให้ เพื่อประทับตรานิมิตและคำพยากรณ์และเพื่อเจิมสถานที่บริสุทธิ์ที่สุด 25 “จงรับรู้และเข้าใจข้อนี้เถิด คือตั้งแต่มีพระราชกฤษฎีกาให้กอบกู้และสร้างเยรูซาเล็มขึ้นใหม่ จวบจนผู้ที่พระเจ้าทรงเจิมตั้งให้เป็นผู้ครอบครองนั้นจะมาถึง จะมีเจ็ดของ ‘เจ็ด’ และหกสิบสองของ ‘เจ็ด’ จะมีการสร้างถนนหนทางและคูเมือง แต่ทำในช่วงทุกข์ยากลำบาก 26 หลังจากหกสิบสองของ ‘เจ็ด’ ผู้ที่พระเจ้าทรงเจิมตั้งไว้จะถูกประหารและจะไม่เหลืออะไร ประชาชนของผู้ครอบครอง จะมาทำลายกรุงนั้นและสถานนมัสการ วาระสุดท้ายจะมาเหมือนน้ำท่วม สงครามจะขับเคี่ยวกันไปจนถึงจุดจบ และมีวิบัติตามที่กำหนดไว้ 27 ผู้นั้น จะยืนยันคำมั่นสัญญากับคนเป็นอันมากเป็นเวลาหนึ่งของ ‘เจ็ด’ แต่กลางของ ‘เจ็ด’ นั้นเอง เขาจะสั่งยุติการถวายเครื่องบูชาและของถวายต่างๆ แล้วผู้ที่ก่อให้เกิดวิบัติ จะตั้งสิ่งที่น่าสะอิดสะเอียนอันเป็นต้นเหตุของวิบัติไว้ที่ด้านหนึ่งของพระวิหาร ซึ่งเป็นเหตุให้เกิดความเริศร้าง จวบจนวาระสุดท้ายมาถึงเขา ตามที่กำหนดไว้”
เขาบอกทันทีที่ท่านเริ่มอธิษฐาน พระเจ้าประทานคำตอบ ซึ่งเรานำมาบอกท่าน เพราะท่านเป็นผู้ที่ทรงรักยิ่ง “ท่าน” ก็คือดาเนียล เป็นตัวแทนของอิสราเอล … อิสราเอลเป็นที่รักยิ่งของพระเจ้า อิสราเอลเป็นตัวแทนของมนุษย์บนโลกใบนี้ ท่านเป็นผู้ที่พระเจ้าทรงรักยิ่ง ถูกหรือไม่ถูก? คำตอบนี้มาถึงเราด้วย เอเมน
ครั้งที่แล้ว เราได้ย้ำกันตรงประเด็น ในข้อที่ 23 ที่บอกว่า “ดาเนียลเอ๋ย เรามาเพื่อให้ท่านประจักษ์แจ้งและเข้าใจ ทันทีที่ท่านเริ่มอธิษฐาน พระเจ้าประทานคำตอบ ซึ่งเรานำมาบอกท่าน เพราะท่านเป็นผู้ที่ทรงรักยิ่ง ฉะนั้น จงใคร่ครวญและเข้าใจในนิมิตนั้นเถิด”
พระเจ้ากำลังบอกมนุษย์ทั้งหมดว่าจงใคร่ครวญและฟังนะ นี่เป็นจริง ฉันทำเพื่อเธอ ทูตสวรรค์บอกว่าทันทีที่ท่านเริ่มอธิษฐาน พระเจ้าก็ประทานคำตอบให้แล้ว อธิษฐานยังไม่ทันเสร็จเลย แค่เริ่ม
“ข้าแต่ …”
ตอบแล้ว จบแล้ว เวลาเราอธิษฐาน
“ข้าแต่พระเจ้า …”
แค่เริ่มต้นอธิษฐาน พระเจ้าตอบแล้ว พระเจ้ารู้ล่วงหน้าหมดแล้ว คิดอะไรอยู่ในใจ จะอธิษฐานขออะไร? พระองค์ก็ได้เตรียมคำตอบไว้ให้ดีที่สุดกว่าที่ที่มนุษย์จะคิดได้ด้วยซ้ำ พระคัมภีร์บอกไว้อย่างนั้น และแผนการของพระเจ้า จัดเตรียมไว้ให้นั้น จะเป็นสิ่งที่ดีที่สุดเสมอ ดาเนียลอาจจะแค่ทูลขอให้ประเทศของเขา ชนชาติของเขา คืออิสราเอล ได้มีโอกาสกลับไปบ้านเกิดเมืองนอนจริงๆ ตามคำเผยพระวจนะ และขอพระเจ้าเมตตาช่วยเหลือชาวอิสราเอล และลูกหลานของเขา ประชาชนของเขา อย่าดื้อกับพระเจ้าอีกเลย อย่าทำบาปอีกเลย อย่าเป็นปฏิปักษ์กับพระเจ้าอีกนะ เขาคงคิดว่าอย่างนั้น แต่พระเจ้าบอกว่าสิ่งที่พระองค์เตรียมไว้ให้นั้น ดีกว่านี้ และเป็นแผนการของพระองค์ที่ดีที่สุด
ภาษาฮีบรู ตรงนี้แปลว่าทูตสวรรค์มาบอกว่าพระเจ้าได้เตรียมคำตอบนั้น จงฟังให้ดีๆ คำตอบนั้น เป็นสิ่งที่ดีที่สุด สำหรับเจ้า พูดคำนี้เลย
จำได้ไหมครับว่าตัวอย่างในครั้งที่แล้ว ที่บอกว่าคำตอบของพระเจ้า ก็เหมือนคำตอบของพ่อ ในเรื่องบุตรน้อยหลงหาย ที่ลูกชายกลับมาขอเป็นลูกจ้าง เพื่อแลกกับเศษอาหาร แต่พ่อก็บอกว่าอย่ามัวแต่ขอเศษอาหารเลย มาเป็นลูกเราดีกว่า จัดงานเลี้ยงไว้ให้เลย แล้วยังแถมเป็นเจ้าของมรดกต่างๆ เป็นทายาทเลย ไม่ต่างกัน เรามนุษย์คิดแค่จะไปเป็นทาส ถ้าพระเจ้าจะให้เป็นบุตรเลย ไม่เป็นบุตรธรรมดา เป็นทายาท เป็นทายาทแปลว่ามีมรดกให้ด้วย เป็นเจ้าของคฤหาสน์เลย ยกตัวอย่างให้เห็นว่าพระเจ้าเตรียมสิ่งดีให้กับมนุษย์เสมอ
และประเด็นที่เราจะมาดูกัน ในวันนี้ ก็คือคำตอบของกาเบรียล ซึ่งเป็นแผนการของพระเจ้า ซี่งจัดเตรียมไว้ให้มนุษย์ทุกคน
นี่ก็คือส่วนหนึ่งของข่าวดี ที่เราจะต้องได้ยินได้ฟัง จะได้ไปบอกคนอื่น ที่เขายังไม่รู้ ยังไม่ได้มาเชื่อพระเยซู ยังไม่ได้มาเป็นคริสเตียน เขาจะได้ยินข่าวดีนี้ เพราะข่าวดีนี้ พระเจ้าต้องการให้มนุษย์ทุกคนได้ มนุษย์สำคัญที่สุดบนโลกใบนี้ ในสิ่งที่พระองค์ทรงสร้างทั้งสิ้น เพราะว่ามนุษย์เป็นลูกของพระองค์ เป็นพระฉายของพระองค์นั่นเอง ก่อนที่จะมาดูรายละเอียดว่าคำตอบที่กาเบรียลนำมาบอกให้ฟังนั้น หมายถึงอะไร? ผมจะอ่านประวัติศาสตร์ก่อน
ประวัติศาสตร์ คือเรื่องจริงที่มันเกิดขึ้นแล้ว มีร่องรอยหลักฐานที่จดบันทึกไว้ทั้งหมด เราเรียกว่าประวัติศาสตร์ ผมจะอ่านประวัติศาสตร์เกี่ยวกับเรื่องกรุงเยรูซาเล็ม
ประวัติศาสตร์เมืองเยรูซาเล็ม
ไม่ได้เกี่ยวกับเฉพาะชาวยิว ที่เรารู้ว่าตอนนี้อยู่เยรูซาเล็ม ไม่ได้หมายถึงเกี่ยวพันกับชาวคริสต์ แต่เกี่ยวพันกับมนุษย์ทั้งโลก รวมทั้งเราด้วย
เยรูซาเล็ม เป็นเมืองหลวงทางศาสนาของประชากรกว่าครึ่งหนึ่ง ของมวลมนุษยชาติ ….สำหรับชาวยิว เยรูซาเล็ม เป็นสัญลักษณ์แห่งความหวังในอนาคต .. สำหรับชาวคริสต์ เยรูซาเล็ม เป็นเมืองที่ เป็นพยานถึงการสิ้นพระชนม์ และการคืนพระชนม์ของพระเยซูคริสต์
เยรูซาเล็ม ได้ชื่อว่าเป็นเมืองที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สุดในโลก อีกทั้ง ยังเป็นเมืองแห่งความทารุณโหดร้ายแห่งสงคราม ที่ประตูเมืองแห่งนี้ มีการสู้รบ มากกว่าเมืองใดใดในโลก … เมืองเยรูซาเล็ม เคยถูกล้อมมากกว่า 50 ครั้ง เคยถูกยึด 36 ครั้ง และเคยถูกทำลายมาแล้ว กว่า 10 ครั้ง … ไม่มีการบันทึกไว้ชัดเจนว่า กรุงเยรูซาเลมเริ่มมีขึ้นมาเมื่อใด ครั้งแรกที่พระคัมภีร์กล่าวถึงเมืองนี้ ก็คือในสมัยอับราฮัม โดยมีชื่อว่า “ซาเล็ม” ซึ่งแปลว่า “สันติสุข”
ในศตวรรษที่ 10 ก่อนคริสตกาล กษัตริย์เดวิด ได้ยึดเมืองนี้ และตั้งเป็นเมืองหลวง โดยนำหีบพันธสัญญามาตั้งไว้ … พระเจ้านำดาวิด บอกให้ดาวิดทำอย่างนี้
ปี 965-922 ก่อนคริสตกาล กษัตริย์ซาโลมอน โอรสของกษัตริย์เดวิดได้ปรับปรุงเมืองนี้ และสร้างพระวิหาร แห่งพระเจ้าสูงสุด
วิหารเริ่มสร้างขึ้น ตอนสมัยดาวิด ยังใช้พลับพลา สร้างด้วยมือ แบบโมเสส พอลูก คือซาโลมอน สร้างเป็นวิหาร เป็นอิฐ เคลื่อนที่ไม่ได้ เรียกว่าวิหารของซาโลมอน ในกรุงเยรูซาเล็ม
ประมาณ 600 ปี ก่อนคริสตกาล อาณาจักรบาบิโลน ได้ยึดกรุงเยรูซาเลม ทำลายพระวิหารและกวาดต้อนชาวยิวไปเป็นทาสที่เมืองบาบิโลน ทำให้เยรูซาเล็มกลายเป็นเมืองร้าง
ประมาณ 540 ปี ก่อนคริสตกาล ชาวยิวได้กลับสู่กรุงเยรูซาเลม และสร้างพระวิหารขึ้นใหม่ … ซึ่งเรากำลังจะเรียนต่อไป
ประมาณ 332 ปี ก่อนคริสตกาล กษัตริย์อเล็กซานเดอร์มหาราช แห่งกรีก ได้ยึดกรุงเยรูซาเล็ม
ประมาณ 168 ปี ก่อนคริสตกาล กษัตริย์อันติโอกัส ได้ทำลายกำแพงเมืองเยรูซาเลม
ประมาณ 63 ปี ก่อนคริสตกาล อาณาจักรโรม ได้ยึดเมืองเยรูซาเล็ม
ประมาณ 37 ปี ก่อนคริสตกาล เฮโรด ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นกษัตริย์ของชาวยิว พระองค์ได้ทำการปรับปรุง กรุงเยรูซาเล็มให้กลับมาสวยงาม และได้สร้างกำแพงและพระวิหาร … ใช้ชื่อว่าวิหารของเฮโรด ขึ้นใหม่ อย่างสวยงามกว่า (ช่วงที่พระเยซูมาเป็นมนุษย์ ก็คือในสมัยกษัตริย์เฮโรดนี้)
ท่านเข้าใจแล้วนะ พระเยซูเกิดช่วงนี้ ช่วงเฮโรดเป็นกษัตริย์ของชาวยิว ที่ถูกแต่งตั้ง โดยโรม
พระคัมภีร์มีบันทึกไว้ว่าเฮโรด มีพระราชโองการ ให้ประหารเด็กทุกคนในหมู่บ้านเบธเลเฮม เพราะทรงหวาดกลัวว่าเด็กที่เกิดใหม่จะเติบโตขึ้นมาเป็น “กษัตริย์แห่งชาวยิว” เพราะเข้าใจผิดว่าคำเผยพระวจนะบอกล่วงหน้า ในช่วงนี้ จะมีบุคคลหนึ่งมาเกิด เป็นกษัตริย์ของชาวยิว แต่ความหมายตรงนี้ คือกษัตริย์ทางวิญญาณ หมายถึงพระเยซู แต่เฮโรดตกใจ กลัวว่าจะเป็นกษัตริย์ ธรรมดา ไม่เข้าใจหรอก ก็กลัวไว้ก่อน คิดว่าจะมาเป็นกษัตริย์แทนเขา ก็เลยตัดสินใจฆ่า ตั้งแต่อายุ 2 ขวบลงมา
ปี ค.ศ.70 กรุงเยรูซาเลมถูกทำลายโดยกองทัพ โรมัน นำโดย ทีตัส
หลังปี ค.ศ.70 ชาวยิวได้รวมตัวก่อกบฎต่อต้านการปกครองของรัฐบาลโรมัน ส่งผลให้จักรพรรดิ์เวสปาเซียน มีพระบัญชาให้ทีตัส แม่ทัพใหญ่ แห่งกองทัพโรมัน ปิดล้อมกรุงเยรูซาเล็มจนชาวยิวไม่สามารถเดินทางเข้าออกจากกรุงเยรูซาเล็มได้ ประมาณกันว่ามีชาวยิวเสียชีวิต ในสงครามครั้งนี้ กว่าล้านคน
ปี ค.ศ.132-135 จักรพรรดิเอเดรียน ได้สร้างกรุงเยรูซาเลมขึ้นใหม่ และสร้างสถานนมัสการตามแบบอย่างของโรมัน ตั้งชื่อว่า “เอลีอา กาปีโตลียา” ในช่วงนี้ พวกยิวถูกห้ามเข้าเมืองเด็ดขาด หากจับได้จะมีโทษประหารชีวิต
ปี ค.ศ.330 จักรพรรดิคอนสแตนตินที่ 1 ผู้กลับใจมาเชื่อพระเยซู เป็นจักรพรรดิ์โรมัน ได้เปลี่ยนกรุงเยรูซาเลมให้เป็นเมืองคริสต์
ปี ค.ศ.614 ชาวเปอร์เซียยึดกรุงเยรูซาเลม และทำลายวัดวาอารามต่างๆ
ปี ค.ศ.636 เยรูซาเลมตกอยู่ภายในอำนาจของอาหรับ ซึ่งได้รักษาอำนาจนี้เป็นเวลา 500 ปี
ปี ค.ศ.1099 กรุงเยรูซาเลมถูกยึดจากสงครามครูเสด และกลายเป็นที่ตั้งของอาณาจักรละติน
ปี ค.ศ.1517 เมืองตกอยู่ในเงื้อมมือของชาวเติร์ก และอยู่ในการปกครองตลอด 400 ปี
ปี ค.ศ.1917 พันธมิตรได้ยึดกรุงเยรูซาเลม และให้อยู่ภายใต้การปกครองของอังกฤษ ในช่วงสงครามโลก ครั้งที่ 1 – 2
พอจบสงครามโลก ครั้งที่ 2 เริ่มเข้าที่แล้ว หลายคนก็เป็นอยู่ในตอนนี้ว่าผ่านสงครามโลกครั้งที่ 2 เมื่อพันธมิตรชนะ ก็ได้ยื่นข้อเสนอให้ศาลในขณะนั้น ที่พิพากษาเรื่องเกี่ยวกับกรณีสงคราม กรณีต้องจ่ายค่าใช้หนี้ คนไหนแพ้
สรุปแล้ว ตอนนั้น ได้มีทำพันธสัญญาเกิดขึ้น และได้อนุญาตให้ชาวอิสราเอลทั้งหมด ที่ไม่ได้มีประเทศอยู่ ตั้งหลายปีมาแล้ว สามารถกลับมายังประเทศของตนเองได้ ที่ประเทศอิสราเอลในปัจจุบันนี้ เข้ามารวมตั้งประเทศอิสราเอลอีกครั้งหนึ่ง จากไม่มีแล้ว หายไปแล้ว เป็นศูนย์ไปแล้ว เหมือนประเทศเกิดใหม่อีกที มีแต่ประชากร แต่ไม่มีประเทศ ประชากรไปอยู่ไหน? อยู่ในประเทศโน้นประเทศนี้ อยู่ในอเมริกา อยู่ในยุโรป อยู่ในประเทศไทยก็มี ยิวทั้งหลายทั่วโลก ก็แห่กันกลับไปตั้งรกราก กลับไปอยู่ที่เดิม ทุกวันนี้ ตอนนั้น ปี ค.ศ.1948
ปี ค.ศ.1948 เกิดสงครามระหว่างยิวและอาหรับ … ไปตั้งแล้ว อาหรับ ประเทศที่อยู่ข้างๆ อยู่ดีๆ มาได้อย่างไร? ก็เห็นว่ามีพวกมากกว่า ก็เลยพยายามที่จะเข้าไป ขับไล่ชาวยิว ชาวอิสราเอล
เกิดสงครามระหว่างยิวและอาหรับ กรุงเยรูซาเลมถูกแบ่งดินแดนเป็นเยรูซาเลมตะวันตก ปกครองโดยอิสราเอล และเยรูซาเลมตะวันออก ปกครองโดยจอร์แดน
ปี ค.ศ. 1967 มีสงคราม 6 วัน อิสราเอลได้ยึดเยรูซาเลมตะวันออก ซึ่งเคยอยู่ภายใต้การปกครองของจอร์แดน และประกาศให้เยรูซาเล็มเป็นเมืองหลวงของประเทศอิสราเอล
นี่คือประวัติศาสตร์ ให้ท่านเห็นภาพการเคลื่อนไหวของอะไรบางอย่างที่เกิดขึ้น อย่างที่ผมบอกท่าน เมื่อพูดถึงเยรูซาเล็มเมื่อไร? ท่านจงนึกถึงภาพ เหมือนเยรูซาเล็มเป็นตัวดำเนินเรื่องระหว่างพระเจ้า ติดต่อกับมนุษย์อย่างไร? จะพาให้มนุษย์หลุดพ้นจากความบาป คำสาปแช่ง เยรูซาเล็ม เหมือนสถานที่การดำเนินเรื่อง สำหรับบุคคลที่แสดง ก็คือชาวยิว อิสราเอล
ประวัติศาสตร์ที่ผมพูดมานี้ คือแผนการของพระเจ้า ที่เปิดเผยในพระคัมภีร์ไบเบิ้ล และหนึ่งในนั้น เรากำลังเรียนในหนังสือดาเนียล บทที่ 9 นี้
พระคัมภีร์ทั้งเล่ม คือการบอกล่วงหน้า ถึงแผนการล่วงหน้าของพระเจ้า ที่จะมาช่วยมนุษย์ให้รอดพ้นจากความบาป ตั้งแต่หน้าแรกจนถึงหน้าสุดท้าย แล้วเฉพาะเรื่องของดาเนียล ที่เรากำลังเรียนอยู่ตอนนี้ มันช่วง 600 ปีก่อนพระเยซูคริสต์จะเกิด หรือประมาณ 2,600 ปีนับย้อนไปจากนี้
คราวนี้เรามาเข้าเรื่องในพระคัมภีร์ดาเนียล บทที่ 9 มาดูว่าสิ่งที่ทูตสวรรค์กาเบรียลได้ตอบดาเนียลนั้น มีความหมายอย่างไร? และตรงตามเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริงอย่างไรบ้าง? ฟังแล้วเต็มไปด้วยความเชื่อ เต็มไปด้วยความหวังใจ เต็มไปด้วยความชุ่มชื่นใจว่าพระเจ้ายิ่งใหญ่จริงๆ เรานึกว่าเรามาเชื่อพระเยซู ดีใจแล้ว เราไม่นึกว่าเรื่องราวของพระองค์ละเอียดยิ๊บ และจะยิ่งใหญ่อย่างนี้จริงๆ เลย เราก็เคยเชื่อว่าพระองค์ทรงครองโลกทั้งหมด ดูแลทุกอย่าง แต่พอเรามาเห็นรายละเอียดต่างๆ ที่พระองค์ทรงทำ และให้มันเกิดขึ้นจริงๆ ที่ผ่านมาแล้ว มีหลักฐานด้วย เรายิ่งเกิดความชุ่มชื่นใจ รู้สึกพระเจ้ายิ่งใหญ่กว่าเดิม จริงๆ เท่าเดิมแหละ แต่ความรู้สึกยิ่งใหญ่กว่าเดิม เรานั่นแหละเปลี่ยน พระเจ้าไม่ได้เปลี่ยน
เริ่มที่ข้อ 24 ที่บอกว่า “จงใคร่ครวญเนื้อความและเข้าใจนิมิตนั้น เจ็ดสิบของ ‘เจ็ด’ ทรงกำหนดไว้แล้ว สำหรับพี่น้องร่วมชาติ และนครศักดิ์สิทธิ์ของท่าน ให้เลิกการล่วงละเมิด เลิกทำบาป ลบล้างความชั่ว และนำความชอบธรรมอันมั่นคงนิรันดร์มาให้ เพื่อประทับตรานิมิตและคำพยากรณ์และเพื่อเจิมผู้บริสุทธิ์ที่สุด”
มีคนที่เขาศึกษาพระคัมภีร์เคยบอกไว้ว่าในพระคัมภีร์ไบเบิ้ลทั้งหมด ในข้อนี้ ที่เรากำลังจะตีความ ยากที่สุด ยากตรงที่ “70” ของ “7” หลายคนก็พยายามจะเชื่อมโยงภาษาเดิมบ้าง? นับวัน นับเดือน นับปีให้ได้ บางทฤษฎีก็เรียก “70” ตรงนี้ว่าเป็น 70 สัปดาห์ 70 สัปตะ 70 ทศวรรษ อะไรก็ว่าไป ผมก็ได้ค้นคว้าและศึกษามาหลายทฤษฎีแล้ว แล้วก็ได้สรุปว่า 70 นี้ ไม่รู้เหมือนกัน ไม่มีใครฟันธงสักคนว่าเป็นอย่างไร? ทุกคนที่เขาศึกษาทุกยุคทุกสมัย หลายร้อยปีแล้ว สรุป …
หนึ่งอาจจะเป็นอย่างนี้
สองอาจจะเป็นอย่างนี้
สรุปมา 9 ข้อ แล้วก็บอกว่าใน 9 ข้อ ไม่แน่อาจจะข้อไหน? จบ เลิก เก็บสมุด กลับบ้าน เสียเวลาไป 20 กว่าปี อะไรประมาณนั้น เพราะฉะนั้น ผมเสียเวลาน้อยกว่าเขา ก็สรุปว่าไม่รู้เหมือนกัน
บางคนบอกไว้อย่างนี้ว่ามันอาจเป็นเพียงแค่สัญลักษณ์ ที่บ่งบอกถึงความสมบูรณ์ครบถ้วน ซึ่งผมเชื่อ ผมชอบอันนี้มากกว่า
สรุปแล้ว คือเป็นสัญลักษณ์อันหนึ่ง เป็นตัวเลขที่บอกถึงความครบถ้วน ความบริบูรณ์ ความสมบูรณ์ เพราะพระคัมภีร์มีหลายแห่งที่ใช้เลข 7 เพื่อบอกความหมายในลักษณะอย่างนี้ เช่น พระเจ้าทรงใช้เวลาสร้างโลก 6 วัน และหยุดพักในวันที่ 7 คือมันครบถ้วนบริบูรณ์แล้ว วันสะบาโต คือวันที่ 7 เพราะมันครบถ้วนบริบูรณ์แล้ว ที่พระเยซูบอกให้เราอภัยให้คน 70×7 ก็คือเป็นการยกโทษให้แบบสมบูรณ์ ยกโทษแน่นอน คือเราไม่ได้คิดอะไรเลย
คำว่า “ยกโทษแน่นอน” ก็คือเราไม่ได้คิดโกรธเขาเลย แม้แต่นิดหนึ่ง เมื่อเราเกิดใหม่ในพระเยซูคริสต์ เราไม่มียกโทษให้ใครแล้ว เพราะมันไม่มีโกรธ ไม่มีถือโทษ แล้วจะไปยกโทษอะไรเล่า เข้าใจหรือเปล่า? เหมือนเราเกิดใหม่ในพระคริสต์ เราเกิดใหม่ พระเจ้าไม่ต้องอภัยให้เราแล้ว เราไม่ต้องมานั่ง พระเจ้าขออภัยให้ลูกด้วย เพราะอภัยให้ 70×7 ไปแล้ว แปลว่าอภัยให้เรา 490 ครั้งเหรอ ไม่ใช่ แปลว่าอภัยให้เราแบบครบถ้วนบริบูรณ์ไปแล้ว ไม่ต้องมาขออีก เข้าใจไหม? ผมเชื่ออย่างนี้มากกว่า คำว่า “7” ตรงนี้ คือครบถ้วนบริบูรณ์
เพราะฉะนั้น ตัวเลข 7 ในที่นี้ ก็คือช่วงเวลาที่พระเจ้ากำหนดไว้ คือแผนการพอดี ครบ เท่าไรไม่รู้ มีพระองค์ผู้เดียวที่ทราบ คือพระบิดา เหมือนที่เราเรียนรู้เรื่องราวก่อนหน้านี้ บทที่ 8 ที่บอกวาระ ครึ่งวาระ สองวาระ สามวาระ แล้วเราก็สรุปวาระ ก็คือช่วงเวลา ก็มีเวลาหนึ่ง จบ
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ใจความที่สำคัญของความหมายในข้อนี้ มันไม่ได้อยู่ที่ระยะเวลา แต่อยู่ที่ มันเกิดอะไรขึ้น และมันเกิดขึ้นตามนั้นจริงไหม และสิ่งที่จะเกิดขึ้นนั้น มีความหมาย มีความสำคัญต่อเรา มนุษย์บนโลกใบนี้อย่างไรบ้างต่างหาก ตรงนี้สำคัญที่สุด เพราะฉะนั้น อย่าทิ้งตรงนี้ เสียเวลาไปนั่งหา 7777
นี่ข่าวสารมาจากพระเจ้า มาถึงมนุษย์ทุกคน มาถึงเราด้วย 70 ของ 7 ทรงกำหนดไว้แล้ว สำหรับพี่น้องร่วมชาติ ก็คือเวลาช่วงหนึ่ง ได้กำหนดแล้ว พี่น้องร่วมชาติ นครศักดิ์สิทธิ์ของท่าน ให้เลิกการล่วงละเมิด เลิกทำบาป ลบล้างความชั่ว และนำความชอบธรรมอันมั่นคงนิรันดร์ เพื่อประทับตรานิมิตและคำพยากรณ์ เพื่อเจิมผู้บริสุทธิ์ที่สุด
คำว่า “เลิกการล่วงละเมิด” เลิกทำบาปตรงนี้ ภาษาไทยอาจจะใช้คำที่ไม่ค่อยจะตรงนักกับความหมายเดิม เพราะถ้าแปลตามภาษาเดิม ตรงนี้หมายถึงพระเจ้าเตรียมการลบล้าง การทำให้สิ้นสุดของความบาป และคำสาปแช่งที่ต้องชดใช้ เนื่องจากเหตุแห่งการทำบาป
ภาษาอังกฤษ คือ To finish the transation to make and ate of end. ก็คือเอาความบาปออกไป เอาการลงโทษออกไป พระเจ้าเตรียมตรงนี้ไว้ให้ จะเห็นภาพชัดเจน ความหมายของข้อนี้ ก็คือในช่วงเวลาที่พระเจ้าได้ทรงกำหนดไว้ สำหรับมวลมนุษยชาติ พระองค์จะทรงลบล้างความบาป ความชั่วร้ายให้จบสิ้นไปสักทีหนึ่ง ไม่ใช่จากอิสราเอลอย่างเดียว ไม่ใช่จากชีวิตของดาเนียลอย่างเดียว แต่จากชีวิตของมวลมนุษยชาติ มนุษย์ไม่ต้องรับโทษของความบาปอีกต่อไป ก็คือคำสาปแช่งนั่นเอง และจะได้กลับมาเป็นผู้ชอบธรรมอย่างถาวรนิรันดร์ มาเป็นลูกของพระเจ้า
กลับมาที่ 70 ของ 7 อีกทีหนึ่ง ถึงแม้ว่าเราจะไม่สามารถรู้ได้ว่าจริงๆ แล้ว คือระยะเวลาเท่าไร? แต่จากระยะเวลาที่เราอ่านในข้อที่ 24-27 พอสรุปได้ว่าเหตุการณ์ตรงนี้ ถูกแบ่งออกเป็น 3 ช่วงใหญ่ๆ พระเจ้าบอกว่ามันแบ่งออกเป็น 3 เหตุการณ์
ช่วงที่ 1 ในพระคัมภีร์เขียนว่า 7 ของ 7 แปลว่าไม่รู้ ต้องการแค่นี้
ช่วงที่ 2 เรียกว่า 62 ของ 7 ระยะเวลาเท่าไร? ไม่รู้
ช่วงที่ 3 เรียกว่า 1 ของ 7 นานเท่าไร? ไม่รู้
มาดูกันว่าแต่ละช่วงเกิดอะไรขึ้นบ้าง? เริ่มต้นจากช่วงที่ 1 ในข้อ 25 คือตั้งแต่มีพระราชกฤษฎีกาให้กอบกู้และสร้างเยรูซาเล็มขึ้นใหม่ จวบจนผู้ที่พระเจ้าทรงเจิมตั้งให้เป็นผู้ครอบครองนั้นจะมาถึง จะมีเจ็ดของ ‘เจ็ด’
7 ของ 7 เริ่มต้นตอนที่กษัตริย์ไซรัสได้ออกพระราชกฤษฎีกาให้ชาวยิว ชาวอิสราเอล ที่เป็นเชลยอยู่ สามารถกลับไปยังบ้านเกิดเมืองนอน ไปกอบกู้ ไปฟื้นฟูประเทศของตัวเองได้ ที่เยรูซาเล็ม ซึ่งพระคัมภีร์ได้บันทึกเอาไว้ในเอสรา 1:1-3
เอสรา 1:1-3 “1 ในปีที่หนึ่งของรัชกาลกษัตริย์ไซรัสแห่งเปอร์เซีย องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงกระทำให้พระดำรัสของพระองค์ ที่ตรัสผ่านทางเยเรมีย์สำเร็จ โดยองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงดลใจกษัตริย์ไซรัส แห่งเปอร์เซีย ให้ออกประกาศทั่วราชอาณาจักรของพระองค์ และให้บันทึกเป็นลายลักษณ์อักษร ความว่า 2 “กษัตริย์ไซรัสแห่งเปอร์เซีย ตรัสดังนี้ว่า “‘พระยาห์เวห์พระเจ้าแห่งฟ้าสวรรค์ ได้ประทานราชอาณาจักรทั้งสิ้นของโลกนี้แก่ข้าพเจ้า และได้ทรงมอบหมายให้ข้าพเจ้า สร้างพระวิหารถวายแด่พระองค์ ที่เยรูซาเล็มในเขตยูดาห์ 3 ผู้ใดในหมู่พวกท่านที่เป็นประชากรของพระเจ้า ขอให้พระเจ้าของเขาสถิตกับเขา และให้เขากลับไปยังเยรูซาเล็มในยูดาห์ และสร้างพระวิหารของพระยาห์เวห์ พระเจ้าแห่งอิสราเอล พระเจ้าผู้ประทับในเยรูซาเล็ม”
นี่คือกฤษฎีกาที่ออกโดย “ไซรัส” เรากลับมาดาเนียล 9:25 “ตั้งแต่มีพระราชกฤษฎีกาให้กอบกู้และสร้างเยรูซาเล็มขึ้นใหม่ จวบจนผู้ที่พระเจ้าทรงเจิมตั้งให้เป็นผู้ครอบครองนั้นจะมาถึง จะมีเจ็ดของ ‘เจ็ด’”
จะมีช่วงเวลานี้ เพราะฉะนั้น ช่วงแรก คือ 7 ของ 7 จะเริ่มต้นที่การออกพระราชกฤษฎีกาของกษัตริย์ไซรัส และไปสิ้นสุดที่ผู้ที่พระเจ้าเจิมตั้งให้เป็นผู้ครอบครองนั้นจะมาถึง
เรามาดูตรงนี้ว่าคือใคร? คำว่า “ผู้ที่พระเจ้าเจิมตั้งไว้” ภาษาเดิมใช้คำว่า “Annointed one” คือผู้ที่ถูกเลือกไว้ว่าจะใช้ แปลแค่นี้นะ ซึ่งส่วนใหญ่ชอบไปแปลว่าพระเยซู พระคัมภีร์เดิมไม่ได้หมายถึงพระเยซูผู้เดียว เยอะแยะไปหมดเลย อาโรน ก็เป็น Annointed one โมเสสก็เป็น Annointed one ดาวิดก็เป็น Annointed one คือผู้ที่ถูกเจิม เรียกเอาไว้ ใช้อะไรบางอย่าง ที่พระเจ้าจะใช้เป็นพิเศษแค่นั้นเอง ซึ่งจริงๆ แล้วคำว่า “ปุโรหิต” หรือ “ผู้เผยพระวจนะ” ก็เป็นผู้ที่พระเจ้าเจิมไว้ ตั้งไว้เหมือนกัน และในข้อนี้ เป็นไปได้ว่าน่าจะหมายถึงเอสรา … เอสราเป็น Annointed one ได้ เพราะว่าเขาอยู่ในตระกูลปุโรหิต อยู่ในเชื้อสายอาโรน อาโรนเป็นต้นตระกูลของกลุ่มชนชาติอิสราเอลที่พระเจ้าเลือกเป็นพิเศษให้เป็นปุโรหิต พระเจ้าจะใช้เฉพาะญาติพี่น้องวงศ์ตระกูลนี้ เป็นปุโรหิต และเอสราก็เป็นเชื้อสายของอาโรนด้วย จบไปแล้ว หนึ่งช่วง
ช่วงที่ 1 ก็คือตั้งแต่ออกกฤษฎีกาให้กลับไปกรุงเยรูซาเล็มได้ จนกระทั่งเจอคนที่จะเป็นคนนำทัพ คือเอสรา กลับไปสร้างกรุงเยรูซาเล็มใหม่ กลับไปรื้อฟื้นการนมัสการ กลับไปรื้อฟื้นวิหารของพระเจ้าในกรุงเยรูซาเล็ม
มาถึงช่วงที่ 2 หกสิบสองของเจ็ด จะมีการสร้างถนนหนทางและคูเมือง แต่ทำในช่วงทุกข์ยากลำบาก พระเจ้าบอกแล้วเป็นอย่างไร? จำประวัติศาสตร์ของเมืองเยรูซาเล็มที่ผมได้อ่านให้ฟัง เมื่อตอนต้นได้ไหมครับ? เยรูซาเล็มถูกยึด ถูกทำลาย แล้วก็ได้รับการสร้างใหม่ แล้วก็ถูกทำลายอีก แล้วก็สร้างใหม่อีก ชาวยิวถูกข่มเหงรังแก นับครั้งไม่ถ้วน สงครามหลายครั้งทำลายชีวิตชาวอิสราเอล ชาวยิวไปมากมายมหาศาล และนี่คือหนึ่งในจำนวนนั้น คือความหมายของช่วงที่ 2 “62 ของ 7” ที่บอกว่าจะมีการสร้างถนนหนทางคูเมือง แต่ในช่วงนี้เป็นช่วงทุกข์ยากลำบาก
พอช่วงแรกจบลงที่เอสราพาคนกลับไปรื้อฟื้น หลังจาก 70 ปี ได้เงินสนับสนุนจากรัฐบาลของไซรัส จากเปอร์เซีย ก็ไปสร้างเมือง สร้างอะไรต่างๆ เจริญรุ่งเรืองขึ้นมาใหม่ สวยสดงดงาม จบ
เริ่มช่วงที่ 2 ที่สวยสดงดงาม ก็เริ่มมีคูคลองเมือง อะไรต่างๆ พอเริ่มมีคูคลองเมืองปุ๊บ เริ่มต้นทุกข์ยากลำบากแล้ว เพราะความโปรดปรานที่พระเจ้าให้ผ่านทางกษัตริย์ไซรัส แห่งเปอร์เซีย และมีเดียที่ครอบครองขณะนั้น มีเดียเปอร์เซียเริ่มแพ้สงคราม คนที่เข้ามาครอบครองบาบิโลน และครอบครองไปถึงเยรูซาเล็ม ในแถบนั้นทั้งหมด ก็คือกรีก อเล็กซานเดอร์มหาราชเข้ามา พอเปลี่ยนมือปุ๊บ ความโปรดปรานหมดไปด้วย ก็เริ่มถูกรังแก … รังแกมาก รังแกน้อย แล้วแต่พระเจ้าจะให้ใครมาครอบครอง แต่ไม่เคยเป็นอิสระเลย เป็นทาสเขามาตลอด ถูกเขาแกล้งตลอด ถูกเขาข่มเหงตลอด
อเล็กซานเดอร์มาครอบครองแป๊บเดียวเอง เพราะอเล็กซานเดอร์ เสียชีวิตไปอย่างเร็วมาก ยังพระชนม์น้อยมาก ทหารคนสนิทที่อยู่กับอเล็กซานเดอร์ ก็แย่งอำนาจกัน แบ่งกันครอบครอง ที่เป็นหัวใหญ่ๆ เลยของกรีก ก็มี 2 ขั้วใหญ่ๆ ขั้วหนึ่งเรียกว่าทอลามี คือตระกูลทอลามี อยู่อียิปต์ และอีกขั้วหนึ่งเรียกว่าเซรูซิส อยู่ซีเรีย แล้วทั้งสองอันนี้ ตรงกลาง คือเยรูซาเล็ม เขาสองกลุ่มบางทีก็ทะเลาะกัน แย่งกันไปแย่งกันมา แย่งอำนาจกัน ก็เชื้อสายกรีกนั่นแหละ แต่แย่งอำนาจกัน และมีเยรูซาเล็มเป็นที่รองรับอารมณ์ เวลาจะรบกันก็ต้องเดินผ่านอิสราเอล เยรูซาเล็ม เวลาใครจะตีใครก็ต้องเดินผ่านเยรูซาเล็ม 2 ประเทศนี้ 2 หัวขั้วนี้ แย่งชิงอำนาจกัน เยอะแยะยาวนานเลย และมีหลายครั้งที่ฆ่า ปล้นเยรูซาเล็ม ปล้นพระวิหาร มีเงินมีทองอยู่ในนั้น อย่างนี้เป็นต้น
ต่อจากกรีก คือโรมัน … โรมันชนะอียิปต์ ชนะซีเรีย ก็มาครอบครองเยรูซาเล็ม อันนี้ท่านพอจะเห็นภาพแล้ว โรมันเข้ามา ก็มาข่มเหงอีกแหละ
ในช่วงที่ 2 จะมีการสร้างถนนหนทาง และคูเมือง และทำในช่วงทุกข์ยากลำบาก ก็คือถูกข่มเหงรังแก โดยคนที่เข้ามาครอบครองใหม่ทั้งนั้น ช่วงที่ 2 ก็จะมาจบตรงที่โรมันเข้ามาครอบครอง
ช่วงที่ 3 ช่วงนี้สำคัญ ช่วงสุดท้าย ในพระคัมภีร์ใช้ช่วงว่า “1 ของ 7” นานเท่าไร? ไม่รู้ ตรงนี้ตื่นเต้นที่สุด ในข้อที่ 26-27 บันทึกอย่างนี้ไว้
ข้อ 26-27 “หลังจากหกสิบสองของ ‘เจ็ด’ ผู้ที่พระเจ้าทรงเจิมตั้งไว้ จะถูกประหาร และจะไม่เหลืออะไร ประชาชนของผู้ครอบครองจะมาทำลายกรุงนั้น และสถานนมัสการ วาระสุดท้ายจะมาเหมือนน้ำท่วม สงครามจะขับเคี่ยวกันไปจนถึงจุดจบ และมีวิบัติตามที่กำหนดไว้”
ผู้ที่พระเจ้าทรงเจิมตั้งไว้ ในข้อนี้ ในภาษาเดิม ภาษาฮีบรู หมายถึงพระมาซีฮาห์ หมายถึงพระเยซูคริสต์ โดยตรงเลย ใช้คำนี้เป๊ะเลย ที่บอกว่าจะถูกประหาร จะไม่เหลืออะไร? ฟังให้ดีนะ ก็คือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นบนไม้กางเขน เมื่อวันศุกร์ประเสริฐ พระเยซูถูกประหาร ถูกฆ่า ถูกตรึงที่ไม้กางเขน โดยไม่มีใครอยู่ข้างพระองค์เลย ตรงนี้มันแปลว่าอย่างนี้ พระองค์ถูกทอดทิ้ง แม้กระทั่งพ่อ คือพระบิดา ก็ทอดทิ้งพระองค์ พระเจ้าไม่สามารถอยู่ได้ พระเจ้าต้องออกจากพระองค์ไป เพราะพระองค์รับโทษบาปทั้งหลายของเราไว้ที่ตัวพระองค์ บนไม้กางเขน เป็นตัวแทนของความบาปของเรา พระเจ้าอยู่กับความบาปไม่ได้ ไม่ได้เกลียด แต่อยู่ไม่ได้ พระเจ้าต้องละพระองค์ไป พระองค์อยู่คนเดียวเลย รับโทษบาปของเราผู้เดียวเลย มนุษย์ก็ไม่เข้าใจ นี่มันหมายถึงตรงนี้ จำได้ไหมที่พระเยซูอยู่ไม้กางเขน แล้วบอกว่า …
“เอลี เอลี ลามา สะบักธานี พระบิดา พระบิดา ไฉน จึงทอดทิ้งข้าพระองค์เสีย”
มันหมายถึงตรงนี้นั่นเอง นี่มันตรงเป๊ะ ที่พระเจ้าบอกไว้อย่างไร? ผู้ที่พระเจ้าเจิมตั้งไว้ จะถูกประหาร และจะไม่เหลืออะไร ก็คือไม่เหลือผู้รอบข้างเลย สาวกไป ก็ยังโอเค เขาไม่เข้าใจ แต่พระเจ้าที่อยู่กับพระองค์มาเป็นเวลานาน ตั้งแต่ก่อนกำเนิดโลกนี้ ไม่เคยห่างกันเลย เป็นหนึ่งเดียวกันมาตลอด พระองค์ยังไปเลย พระองค์ไม่เหลือใครแล้ว
“ประชาชนของผู้ครอบครอง จะมาทำลายกรุงนั้น และสถานนมัสการ วาระสุดท้ายจะมาเหมือนน้ำท่วม สงครามจะขับเคี่ยวกันไป จนถึงจุดจบ และมีวิบัติตามที่กำหนดไว้”
ตามประวัติศาสตร์ที่บอกว่าหลังจากการสิ้นพระชนม์ของพระเยซูคริสต์ บนไม้กางเขน หลั่งพระโลหิตและเป็นขึ้นมาในวันที่ 3 ตรงนั้นอยู่แถวๆ ค.ศ.30 ใน ค.ศ.30 ชาวยิวก็ยังคงถูกข่มเหงอย่างหนัก ตลอดมา จากโรมัน ผมเชื่อว่าเป็นแผนการของพระเจ้า ที่ให้เกิดสิ่งนี้ เพราะยิวเอง ก็ไม่ค่อยจะนิ่ง พระเยซูบอกว่าใครใช้ดาบ ก็ต้องตายด้วยดาบ ถ้ามาทางพระเยซูไม่ใช่วิธีนี้ แต่ยิวเอง ก็พยายามที่จะช่วยตัวเองให้รอดพ้นจากการเป็นทาสเขา นึกว่าพระเจ้าจะมาช่วยเขาให้รอดจากการเป็นทาส หมายถึงการเป็นทาสจากมนุษย์ แต่ “ทาส” ที่พระเยซูบอก หมายถึงทาสทางฝ่ายวิญญาณ ทาสของความบาป แต่เขานึกว่าช่วยเขา เหมือนกับสมัยกษัตริย์ดาวิดที่ถูกเจิมตั้งไว้ ประเทศอิสราเอลเป็นประเทศมหาอำนาจ เขาคิดว่าอย่างนั้น เขาพยายามดื้อ พยายามกบฏ จำบารับบัสได้ไหม? ที่คนเลือกให้ปล่อย ปิลาตบอกนี่โจรชัดๆ ไปปล่อยเขาทำไม? พระเยซูบริสุทธิ์ ไปตรึงเขาทำไม? แล้วปุโรหิตเอง ฟาริสีที่เป็นปุโรหิตของอิสราเอล ชาวยิวขณะนั้น ตะโกนบอกว่า …
“เอาเขาไปตรึง”
“คุณแน่ใจนะว่าเอาเขาไปตรึง”
“เอาเขาไปตรึง”
แล้วปิลาตบอก “ถ้าคุณบอกเอาเขาไปตรึง คุณรับผิดชอบเองแล้วกัน ผมไม่เกี่ยว ผมล้างมือนะ ผมไม่ได้เป็นคนตรึงเขา”
ตรงตามพระคัมภีร์เป๊ะอีกแล้วว่าผู้ที่จะมอบแกะรับบาปนี้ได้ ต้องเป็นปุโรหิตของพระเจ้า เขามอบพระเยซูไป แล้วคนเหล่านั้น อยากจะช่วยตัวเอง แม้กระทั่งยูดาส หนึ่งในสิบสองของสาวกพระเยซู เป็นพรรคชาตินิยม ก็คือเขายุ่งเกี่ยวอยู่กับพรรคของเขา คือพวกชาวยิวที่อยากจะต่อต้านกับโรมันที่มาข่มเหงรังแก โดยใช้ดาบ แล้วเขาก็นึกว่าพระเยซูคงมาเป็นผู้สนับสนุนเขา เพราะมีคนติดตามพระเยซูเยอะ พระเยซูไม่ทำอะไรเลย ทนไม่ได้ ช่วยเหลือตัวเองดีกว่า
ให้ท่านเห็นภาพ สิ่งเหล่านี้ทำให้โรมันเกิดความเหลืออด เหลือแค้น เดี๋ยวก็ดื้ออีกแล้ว เดี๋ยวก็กบฏอีกแล้ว พอไปทำอะไรนิดหนึ่ง ไม่พอใจ ก็กบฏอีก แล้วเรื่องที่กำลังพูดอยู่นี้ ในที่สุด พอพระเยซูสิ้นพระชนม์ เข้าไปอยู่ในสวรรค์แล้ว มันก็เกิดการขัดแย้งกันระหว่างชาวยิวกับผู้ครอบครองเมือง ที่ต่อจากปิลาตมา
พูดง่ายๆ ก็เกิดความขัดแย้งระหว่างวิธีการปกครองของโรมันกับชาวยิว โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เรื่องเกี่ยวกับศาสนา ความเชื่อ วิหารของพระเจ้า เพราะฉะนั้น ชาวยิวเลยรวมหัวกัน เอาดาบมาสู้ ตอนแรกๆ ยิวชนะหลายครั้ง จนกระทั่งเนโร ซึ่งเป็นจักรพรรดิของจักรวรรดิโรมันในขณะนั้น ส่งกองทัพมา นึกว่าสู้ง่ายๆ แพ้อีก ในที่สุด ก็ส่งกองทัพใหญ่มาสู้รบ นำโดยนายพลติตัส ฆ่าไม่เหลือเลย
ที่พระคัมภีร์เขียนไว้ในข้อที่ 27 ที่บอกว่า “ประชาชนของผู้ครอบครอง (ก็คือกองทัพของจักรวรรดิโรมัน) จะมาทำลายกรุงนั้น และสถานนมัสการ วาระสุดท้ายจะมาเหมือนน้ำท่วม (ก็คือฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ ฆ่าหมดเลย ทั้งเด็ก คนแก่ ชาย หญิง เพราะโมโหมาก แค้นมาก ไม่ใช่สงครามธรรมดา) สงครามจะขับเคี่ยวกันไปจนถึงจุดจบ และวิบัติตามที่กำหนดไว้ (ก็คือพระเจ้ารู้ล่วงหน้าบอกไว้แล้ว)”
พระเยซูก็ได้เผยพระวจนะถึงเรื่องนี้ด้วย คือเหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้น ที่กำลังพูดนี้ คือ 40 ปีหลังจากที่พระเยซูคริสต์เป็นขึ้นจากความตาย บวกกับ ค.ศ.30 ก็คือ ค.ศ.70 เป็นปีที่โศกนาฏกรรมของอิสราเอล ของเยรูซาเล็ม ตามประวัติศาสตร์ที่บอกว่าหลังจากการสิ้นพระชนม์ของพระเยซูแล้ว ชาวยิวก็ยังคงถูกข่มเหงรังแกอย่างหนักตลอดมา 40 ปี จนถึงสุด ตามพระคัมภีร์ที่เผยพระวจนะไว้
ในหนังสือมัทธิว พระเยซูเอง ก็ได้ตรัสคำทำนายถึงเหตุการณ์นี้ ที่เกิดขึ้นระหว่างช่วงใกล้ๆ ปี 70 บันทึกไว้ในมัทธิว 24:6-19
มัทธิว 24:6-19 “6 ท่านจะได้ยินข่าวสงครามและข่าวลือเรื่องสงคราม จงระวัง อย่าตื่นตกใจ สิ่งเหล่านั้นต้องเกิดขึ้น แต่ยังไม่ถึงจุดจบ 7 ประชาชาติต่อประชาชาติ อาณาจักรต่ออาณาจักรจะสู้รบกัน จะเกิดการกันดารอาหารและแผ่นดินไหวในที่ต่างๆ 8 สิ่งทั้งปวงนี้ คือขั้นเริ่มต้นของความเจ็บปวดก่อนคลอดบุตร 9 “แล้วท่านจะถูกมอบไว้ให้เขาข่มเหงและประหัตประหาร ชนชาติทั้งปวงจะเกลียดชังท่านเพราะเรา 10 ครั้งนั้น หลายคนจะหันเหจากความเชื่อ จะทรยศหักหลังและเกลียดชังซึ่งกันและกัน 11 แล้วจะมีผู้เผยพระวจนะเท็จมากมาย มาหลอกลวงประชาชนเป็นอันมาก 12 เนื่องจากความชั่วร้ายเพิ่มทวีขึ้น ความรักของคนส่วนใหญ่จะเย็นชาลง 13 แต่ผู้ที่ยืนหยัดจนถึงที่สุด จะได้รับการช่วยให้รอด 14 และข่าวประเสริฐเรื่องอาณาจักรของพระเจ้านี้ จะถูกประกาศไปทั่วโลก เป็นพยานแก่มวลประชาชาติ แล้วยุคนี้จะสิ้นสุด 15 “ฉะนั้นเมื่อท่านเห็น ‘สิ่งที่น่าสะอิดสะเอียน อันเป็นต้นเหตุของวิบัติ’ ในสถานบริสุทธิ์ ดังที่ได้ตรัสไว้ ผ่านทางผู้เผยพระวจนะดาเนียล 16 แล้วให้ผู้ที่อยู่ในยูเดียหนีไปที่ภูเขา 17 ผู้ที่อยู่บนดาดฟ้าหลังคาบ้านของตน อย่าลงมาหยิบสิ่งใดออกจากบ้าน 18 ผู้ที่อยู่ตามทุ่งนา อย่ากลับมาเอาเสื้อคลุม 19 วันเหล่านั้น น่าหวาดกลัวยิ่งนัก สำหรับหญิงมีครรภ์และแม่ลูกอ่อน”
ในดาเนียล 9:27 ได้บอกว่าการสิ้นพระชนม์ของพระเยซูคริสต์เกิดขึ้นตรงกลางช่วง 1 ของ 7 บันทึกไว้อย่างนี้ว่า … “ผู้นั้นจะยืนยันคำมั่นสัญญากับคนเป็นอันมาก เป็นเวลาหนึ่งของ ‘เจ็ด’ แต่กลางของ ‘เจ็ด’ นั้นเอง เขาจะสั่งยุติการถวายเครื่องบูชาและของถวายต่างๆ แล้วผู้ที่ก่อให้เกิดวิบัติ จะตั้งสิ่งที่น่าสะอิดสะเอียน อันเป็นต้นเหตุของวิบัติ ไว้ที่ด้านหนึ่งของพระวิหาร ซึ่งเป็นเหตุให้เกิดความเริศร้าง จวบจนวาระสุดท้ายมาถึงเขา ตามที่กำหนดไว้”
ตรงนี้แปลว่าอย่างนี้ นี่คือความหมายที่บันทึกไว้ในหนังสือฮีบรูว่าการสิ้นพระชนม์ของพระเยซูคริสต์เพียงครั้งเดียว ได้ลบล้างความผิดบาปของมวลมนุษยชาติได้ทั้งหมด และตลอดไป ทำให้มนุษย์กลับมาเป็นผู้บริสุทธิ์ แบบถาวรนิรันดร์ … ตรงนี้หมายถึงพระเยซู จะยืนยันคำมั่นสัญญากับคนเป็นอันมาก ก็คือมวลมนุษยชาติ เป็นเวลา 1 ของ 7 ก็คือครบถ้วนบริบูรณ์ แต่กลางของ 7 (คือระหว่างประกาศนั้น) ช่วงกึ่งกลางนั้น เขาจะสั่งยุติการถวายเครื่องบูชา และของถวายต่างๆ ก็คือเมื่อตายที่ไม้กางเขนเสร็จแล้ว ก็เอาโลหิตไปถวายพระเจ้า ในสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สุด แล้วก็สั่งยุติเครื่องบูชา คือต่อไปนี้ ไม่ต้องมาไถ่บาปตัวเองอีกแล้ว ตรงนี้แปลว่าอย่างนั้น
ตรงนี้บอกล่วงหน้า ถึงเหตุการณ์ที่พระเยซูจะตายที่ไม้กางเขนและหลั่งพระโลหิตชำระบาปให้กับเราทั้งหลาย และมนุษย์ทุกคน รวมทั้งอิสราเอลมาหาพระเจ้าได้ โดยไม่ต้องเสียอะไรอีกแล้ว พูดง่ายๆ ฮีบรู 10:11-14 ก็พูดถึงเรื่องนี้ คือพระเยซูทำเรียบร้อยแล้วทั้งหมด แล้วเปาโลได้รับการสำแดงจากพระเจ้า จากพระเยซู ได้เห็นในนิมิต ความหมายเดียวกันกับที่พระเจ้าได้ให้กาเบรียลมาบอกกับดาเนียลได้รู้ว่ามันจะเกิดขึ้นอย่างนี้
ฮีบรู 10:11-14 “11 วันแล้ววันเล่า ที่ปุโรหิตทุกคนยืนปฏิบัติศาสนกิจ ครั้งแล้วครั้งเล่า ที่เขาถวายเครื่องบูชาแบบเดียวกัน ซึ่งไม่สามารถลบล้างบาปให้สิ้นไปได้เลย 12 แต่เมื่อปุโรหิตองค์นี้ ถวายเครื่องบูชาลบล้างบาปครั้งเดียว สำหรับตลอดไป แล้วก็ประทับลงที่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้า 13 นับแต่นั้นมา พระองค์ทรงรอคอยจนกว่าเหล่าศัตรูของพระองค์จะถูกทำให้เป็นแท่นวางพระบาทของพระองค์ 14 เพราะพระองค์ได้ทรงกระทำให้บรรดาผู้ที่กำลังรับการทรงชำระให้บริสุทธิ์นั้น บรรลุความสมบูรณ์พร้อมเป็นนิตย์ โดยการถวายบูชาครั้งเดียว”
นี่คือความหมายของดาเนียล 9:27 ในช่วงแรกของข้อนี้
สำหรับช่วงที่ 2 ที่บอกว่า “แล้วผู้ที่ก่อให้เกิดวิบัติ จะตั้งให้เกิดสิ่งสะอิดสะเอียน เป็นต้นเหตุของความวิบัติไว้ที่ด้านหนึ่งของวิหาร ซึ่งเป็นเหตุให้เกิดความเริศร้าง จวบจนสุดท้ายมาถึงเขาตามกำหนดไว้”
ตรงนี้หมายถึงนายพลติตัส ที่จักรวรรดิโรมัน เอสฟาเซียนส่งมา เพื่อที่จะทำลายกรุงเยรูซาเล็ม เพื่อที่จะมารบกับชาวยิวในขณะนั้น และเขาก็ทำลายได้จริงๆ สิ่งที่เขาทำ ก็คือเขาได้ทำลายวิหาร แล้วไปตั้งพระของเขา ซึ่งเป็นรูปเคารพมาบูชาในวิหารของชาวยิว ทำให้ชาวยิวยิ่งโกรธมาก รวมกันสู้ แบบถวายชีวิต ยิ่งสู้ ยิ่งแย่ ในที่สุด ก็ถูกฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ไปหมดเลย ซึ่งพระเยซูก็ได้บอกล่วงหน้าแล้วว่ามันจะเกิดอย่างนี้ขึ้น
ชาวยิวในสมัยก่อน ได้รับรู้เรื่องราวผ่านทางผู้เผยพระวจนะอย่างนี้ แต่เขาก็อยู่ด้วยความเชื่อ เพราะเขาไม่มีประวัติศาสตร์ บอกล่วงหน้า ไม่เหมือนเรา เราเห็นสิ่งต่างๆ เหล่านี้ โดยเรียนรู้เทียบประวัติศาสตร์ว่าเกิดขึ้นจริงตามนั้น เราได้เปรียบกว่ามากเลย
เพราะฉะนั้น พวกเราในวันนี้ มันก็ไม่น่าจะยากเลย ในการที่จะเชื่อมั่นในพระเจ้าว่าส่วนที่เหลือทั้งหมด ที่พระคัมภีร์เผยพระวจนะ โดยพระเจ้าบอกไว้ล่วงหน้า มันเหลืออีกนิดเดียว มันก็ต้องเป็นไปตามนั้นแน่ๆ
ถ้อยคำทั้งหมดนี้ ที่มาถึงเราในวันนี้ ก็เพื่อที่จะย้ำยืนยันเราทุกคน เหมือนกับที่ทูตสวรรค์นำความหมาย นำข่าวดีนี้มาบอกกับดาเนียลว่า …
“ประชากรของพระเจ้าเอ๋ย เรามาเพื่อท่านจะได้ประจักษ์แจ้ง และเข้าใจ ทันทีที่ท่านได้เริ่มอธิษฐาน พระเจ้าก็ประทานคำตอบ ซึ่งเราได้นำมาบอกท่าน เพราะท่านเป็นผู้ที่ทรงรักยิ่ง”
ประชากรของพระเจ้า ก็คือมนุษย์เอ๋ย พระเจ้ารักท่านมาก รักจริงๆ รักอย่างสุดหัวใจเลย ท่านขอเพียงแค่ได้พระพรบนโลกใบนี้นิดเดียวเอง แต่พระเจ้าประทานให้ท่านอยู่ในสวรรค์ ท่านขออาจจะได้อยู่ในสวรรค์ แต่พระเจ้าบอกว่าท่านอยู่ในสวรรค์แล้ว เป็นเจ้าของสวรรค์ด้วย ครอบครองสวรรค์เลย ท่านอาจจะขอว่าพระเจ้า สิ่งศักดิ์สิทธิ์ ขอเพียงแค่ได้เกิดใหม่ไปเป็นมนุษย์ที่มีความร่ำรวย อย่าเกิดเป็นสัตว์เลย พระเจ้าบอกว่า …
“ฉันมีอย่างอื่นที่ดีให้กับเธอ ก็คือเธอไม่ต้องเกิดอีกเลย ไม่ต้องทุกข์อีกเลย ฉันมีร่างกายใหม่ให้กับเธอ มีโลกใหม่ให้กับเธอ”
บางคนอาจจะขอว่า “ชาติหน้าให้รวยๆ หน่อย ไม่ต้องอดอยาก เหมือนปัจจุบันนี้”
พระเจ้าบอกว่า “ฉันจะให้เธอรวยกว่านั้นอีก รวยทั้งร่างกาย จิตใจ รวยทั้งวิญญาณ เธอไม่ต้องทุกข์ ไม่ต้องโศก ไม่ต้องมีโรคภัยอีกต่อไป มันเป็นไปได้จริงๆ ฉันให้เธอแล้ว ผ่านทางพระเยซูคริสต์” หมายถึงอย่างนั้น
พระคัมภีร์บอกว่า “โดยพระองค์เอง พระเยซูคริสต์ ได้แบกรับเอาความบาปทั้งหลายของเราไว้ที่ตัวพระองค์เองที่ไม้กางเขน เพื่อเราทั้งหลายจะได้ตายต่อบาป และมีชีวิตมาอยู่ในความชอบธรรม โดยรอยแผลเฆี่ยนของพระเยซู เราได้รับการชำระ ได้รับการรักษาให้หายแล้ว”
หายจากโรคภัยไข้เจ็บ ที่เป็นมะเร็งหรือ! ไม่ใช่ หายจากการเป็นบาป มาเป็นผู้ชอบธรรมของพระเจ้า สามารถอยู่กับพระเจ้าได้นิรันดร์กาลแล้ว ไปอยู่ในสวรรค์กับพระเจ้า เป็นเจ้าของสวรรค์ ไม่ได้อยู่ในฐานะเป็นทาส แต่อยู่ในฐานะเป็นเจ้าของสวรรค์ ไม่ได้อยู่ในฐานะผู้อาศัยด้วย แต่อยู่ในฐานะของผู้บริหาร ร่วมกับพระเยซูคริสต์
ดังนั้น เหตุการณ์ทุกอย่างที่เกิดขึ้น ตั้งแต่วันที่พระเจ้าสร้างโลก จนมาถึงเหตุการณ์บนไม้กางเขน รวมทั้งเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้น นับจากนี้ต่อไป ล้วนเป็นส่วนหนึ่งที่เป็นแผนการของพระเจ้า ที่จะนำเอาความรอดจากบาป และชีวิตนิรันดร์มาให้กับมนุษยชาติที่พระองค์ทรงรักยิ่งมากเลย อยากจะพูดคำนี้ ไปถึงท่านทั้งหลายที่ฟังอยู่ว่าข่าวนี้ไม่ใช่เพียงเพื่อให้คริสเตียนฟังอย่างเดียวเท่านั้น คริสเตียนเขาได้ไปแล้ว
แต่ข่าวดีนี้ มีสำหรับคนที่ยังไม่ได้ยินข่าวดี หรือได้ยินแล้วยังเฉยๆ อยู่ จึงอยากบอกว่ามันสำคัญมาก ทำไมต้องมีไม้กางเขน ไม้กางเขน คือสัญลักษณ์เท่านั้นเอง ที่ทำให้นึกถึงสิ่งที่พระเจ้าทำให้กับเราเรียบร้อยไปแล้ว ก็คือพระเยซูคริสต์ตายที่ไม้กางเขนจริงๆ เป็นขึ้นมาใหม่จริงๆ ในวันที่ 3 พระองค์ได้แบกรับเอาบาปทั้งหลายเราไปแล้ว เราเป็นผู้ชอบธรรมแล้ว เพียงแต่ใช้สิทธิของเรา เปิดใจของเรา
“ฉันเอาๆ”
แค่นี้เอง จบแล้ว นี่คือข่าวดี ข่าวประเสริฐ บางคนบอกข่าวดี ประกาศเมื่อตอนที่พระเยซูเป็นขึ้นจากความตาย นั่นก็ถูก แต่จริงๆ มีข่าวดีมาตั้งแต่วันแรกแล้ว ตั้งแต่ปฐมกาลมาแล้ว ตั้งแต่หน้าแรกจนหน้าสุดท้าย ก็เป็นข่าวดีทั้งนั้น
เพราะฉะนั้น ให้ไม้กางเขนเป็นสัญลักษณ์แห่งการเตือนใจ ให้เรานึกถึงถ้อยคำแห่งความจริงของพระเจ้าที่บอกเราในเรื่องราวความจริง เกี่ยวกับการไถ่บาปของพระเยซูคริสต์ ในคำบรรยายนี้ทั้งหมด วางภาระเราลง วางความเห็นว่าตัวเองถูก ตัวเองดี วางความหยิ่งยโส ความจองหองลงไว้กับพระเจ้า แล้วก็ดำเนินชีวิตด้วยความถ่อมใจ เข้ามาหาพระองค์ ถ้ายังไม่รู้ ก็พระเจ้า เขาพูดถึงเรื่องนี้ อยากจะรู้ อยากจะได้ เดี๋ยวท่านก็จะเจอเอง และให้เราวางใจในพระเจ้า ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น จากนี้ต่อไป ไม่ว่าจะดีหรือไม่ดีต่างๆ เรารู้ตอนจบแล้ว ตอนจบเราชนะ ตอนจบเราไปอยู่ในสวรรค์แล้ว ขอพระเจ้าทรงใช้เรา ให้เป็นไปตามน้ำพระทัยของพระองค์ นี่คือคำอธิษฐานของเรา ต่อไปนี้ไม่ต้องอธิษฐาน
“ขอพระเจ้าช่วยลูกด้วย”
ไม่ต้องขออะไรมากเลย ขออย่างเดียว
“พระเจ้าขอใช้ลูกให้เป็นไปตามน้ำพระทัยของพระองค์ ให้เป็นไปตามที่ถวายเกียรติแด่พระองค์ในแผนการใหญ่ๆ ของพระองค์ ให้ลูกมีส่วนร่วมอยู่ในนั้น เพราะลูกรู้แล้ว”
เอเมน ขอบคุณพระเจ้า ขอพระเจ้าอวยพรครับ
***********************