คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 26 มีนาคม 2017
เรื่อง “จงนิ่งเสียและรู้ว่าพระองค์ คือพระเจ้า”
ตอน 14 “ชัยชนะและการครอบครองอาณาจักรร่วมกับพระเยซูคริสต์”
โดย นคร เวชสุภาพร
เรายังอยู่ในซีรี่ย์ชุด “จงนิ่งเสียและรู้ว่าพระองค์ คือพระเจ้า” ตอนที่ 14 อยู่ในหนังสือดาเนียล บทที่ 7 เรื่องราวความฝันของดาเนียลเกี่ยวกับสัตว์ทั้งสี่ ซึ่งเราได้เริ่มอ่านกันไปแล้ว ในครั้งก่อน แล้ววันนี้เราจะมาสรุป และเน้นย้ำในประเด็นสำคัญที่สุดในบทนี้ โดยเฉพาะตอนช่วงท้ายๆ ของบทที่ 7 นี้ เป็นเรื่องสำคัญมาก ซึ่งบอกเล่าเหตุการณ์ต่างๆ ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต
คำว่า “ในอนาคต” คือตั้งแต่สมัยที่เขียนหนังสือเล่มนี้อยู่ ประมาณเกือบๆ 600 ปีก่อนพระเยซูคริสต์จะเกิด ก่อน ค.ศ. มาถึงวันนี้ ก็ประมาณ 2,600 ปีมาแล้ว และมันจะบอกต่อไปจนกระทั่งถึงสิ้นยุคเลย
บอกไว้ด้วยว่าก่อนถึงวันสุดท้าย ที่พระเยซูคริสต์จะกลับมาใหม่นั้น จะเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้นบ้าง จะเป็นหัวข้อหลักในการบรรยายในวันนี้ คือปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้น หลังจากที่พระเยซูคริสต์กลับมาแล้ว มาดูปรากฏการณ์ที่บันทึกไว้ ที่พระเจ้าบอกเราล่วงหน้า ซึ่งปรากฏการณ์นั้น ก็คือพวกเราทั้งหลายที่เป็นประชากรของพระเจ้า ที่เชื่อในพระเยซูคริสต์จะได้รับชัยชนะร่วมกับพระเยซู และได้ครอบครองอาณาจักรร่วมกับพระเยซูคริสต์ ตามที่พระเยซูบันทึกไว้ เพราะฉะนั้น การบรรยายในวันนี้ จึงมีชื่อตอนว่า “ชัยชนะและการครอบครองอาณาจักรร่วมกับพระเยซูคริสต์” เอเมน
เราจะมาทบทวนกันสักนิด ในดาเนียล บทที่ 7 เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับความฝันของดาเนียล ที่ฝันเห็นสัตว์มหึมาขนาดใหญ่ 4 ตัว แต่ละตัวมีลักษณะไม่เหมือนกัน ซึ่งสัตว์มหึมาทั้ง 4 ตัว หมายถึงอาณาจักรทั้ง 4 ที่จะรุ่งเรืองขึ้นในโลก ตั้งแต่สมัยนั้น 2,600 ปี ลักษณะเดียวกันกับนิมิตที่ดาเนียลได้อธิบายเมื่อสมัยเนบูคัดเนสซาร์ ซึ่งเป็นรูปปั้น
ในพระคัมภีร์บันทึกไว้ว่าตอนที่ดาเนียลฝันเห็นสัตว์ทั้งสี่ตัวนี้ เขาตกใจมาก เข่าอ่อนเลย ว้าวุ่นใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ตัวที่สี่ เพราะมันดูโหดร้าย น่ากลัว ในความฝันนั้น พระเจ้าได้ส่งทูตสวรรค์มาบอกว่าเป็นอย่างนี้ ดาเนียล 7:15-22 ดูสิว่าเป็นอย่างไร?
ดาเนียล 7:15-22 “15 ข้าพเจ้าดาเนียลทุกข์ใจยิ่งนัก นิมิตที่เห็น ทำให้ข้าพเจ้าว้าวุ่นสับสน 16 ข้าพเจ้าก้าวเข้าไปใกล้ผู้หนึ่ง ซึ่งยืนอยู่ที่นั่น ขอให้ช่วยอธิบายความหมายของสิ่งทั้งปวงนี้ ดังนั้น เขาผู้นั้นจึงบอกข้าพเจ้า และให้คำอธิบายเกี่ยวกับสิ่งเหล่านี้ว่า 17 ‘สัตว์มหึมาทั้งสี่ คืออาณาจักรทั้งสี่ ที่จะรุ่งเรืองขึ้นในโลก 18 แต่ประชากรขององค์ผู้สูงสุดจะได้รับอาณาจักร และครอบครองตลอดไปชั่วนิจนิรันดร์’ 19 แล้วข้าพเจ้าต้องการรู้ความหมายแท้จริงของสัตว์ตัวที่สี่ ซึ่งแตกต่างจากตัวอื่นๆ และน่ากลัวที่สุด มีฟันเหล็กและมีอุ้งเล็บทองสัมฤทธิ์ สัตว์ซึ่งเคี้ยวขย้ำเหยื่อของมันและเหยียบย่ำส่วนอื่นๆ ที่เหลือจนแหลกลาญ 20 และข้าพเจ้าต้องการทราบเกี่ยวกับเขาทั้งสิบบนหัวของสัตว์ตัวนั้น และเขาอีกอันหนึ่ง ซึ่งโผล่ขึ้นมา ทำให้สามเขาถูกถอนออกไป เขานั้นโดดเด่นกว่าเขาอื่นๆ มันมีตาและมีปากซึ่งคุยโอ้อวด 21 ขณะที่ข้าพเจ้ามองดูอยู่ เขานั้น ก็เข้าทำศึกกับเหล่าประชากรของพระเจ้า และได้ชัยชนะ 22 จนกระทั่ง องค์ผู้ดำรงอยู่ตั้งแต่ดึกดำบรรพ์เสด็จมา และประกาศคำตัดสินให้ประชากรขององค์ผู้สูงสุดชนะ และเป็นเวลาที่พวกเขาได้ครอบครองอาณาจักร”
ความหมายในพระคัมภีร์มีตอนหนึ่งที่ผิด เพี้ยนไปนิดหนึ่ง คือที่บอกว่า “ขณะที่ข้าพเจ้ามองดูอยู่ เขานั้น ก็เข้าทำศึกกับเหล่าประชากรของพระเจ้า” ไม่ใช่นะ “เขาเล็กๆ นั้น คือแอนตี้ไคร์ซ หรือปฏิปักษ์พระคริสต์เข้าทำศึกกับเหล่าทูตสวรรค์” ไม่ใช่มนุษย์ เดี๋ยวเรียนไปเรื่อยๆ จะรู้ จำไว้แค่นี้ว่าแอนตี้ไคร์ซ ตัวใหญ่ตัวนี้ ทำศึกกับเหล่าทูตสวรรค์ รู้ไหมทูตสวรรค์พระเจ้าส่งมา เพื่อดูแลประชากรของพระเจ้า เพื่อให้ความสะดวกสบาย ปกปักษ์คุ้มครองดูแลประชากรของพระเจ้าให้เป็นไปตามน้ำพระทัยของพระเจ้า
ในความฝันนี้ มีผู้ที่รู้ ซึ่งคาดว่าน่าจะเป็นทูตสวรรค์ อธิบายความหมายให้ฟังว่าสัตว์มหึมาทั้งสี่ คืออาณาจักรทั้งสี่ ที่จะรุ่งเรืองขึ้นในโลก ตั้งแต่สมัยบาบิโลน คือยุคนี้เป็นยุคสุดท้ายแล้ว คือยุคที่พระเจ้ามาบอกล่วงหน้า จริงๆ บอกมาก่อนหน้า 2,600 ปี จนถึงปัจจุบัน และจากปัจจุบันไปจนถึงอนาคต จนสิ้นโลก จนพระเยซูกลับมา นี่คือช่วงนี้ ท่านจะได้ทราบ
สัตว์ตัวแรกที่ดาเนียลฝันเห็น คือสิงโต มีปีกเหมือนนกอินทรีย์ ถ้าเปรียบกับรูปปั้น ก็คือส่วนที่เป็นศีรษะ ทำด้วยทองคำ หมายถึงอาณาจักรบาบิโลน 2,600 ปีมาแล้ว เริ่มต้นตรงนี้
สัตว์ตัวที่สอง ลักษณะเหมือนหมีคาบซี่โครง 3 ซี่ไว้ที่ปาก สัตว์ตัวนี้เปรียบได้กับรูปปั้น ส่วนที่สอง คือหน้าอกและแขน ซึ่งทำด้วยเงิน ที่เล็งถึงอาณาจักรมีเดียเปอร์เซีย ซี่โครง 3 ซี่ ที่หมีตัวนี้คาบเอาไว้ ก็อาจหมายถึงดินแดนหลักๆ ที่มีเดียเปอร์เซียได้ปราบมาแล้ว
สัตว์ตัวที่สาม ในความฝันของดาเนียลมีลักษณะเหมือนเสือดาว ที่หลังของมันมีปีก 4 ปีก คล้ายปีกนก สัตว์ตัวนี้มี 4 หัว เทียบกับรูปปั้นของกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ ก็คือส่วนท้องและต้นขา ที่ทำด้วยทองสัมฤทธิ์ เล็งถึงอาณาจักรกรีก และที่เปรียบเทียบเสือดาว ก็เพราะว่าในสมัยที่กรีกกำลังรุ่งเรืองนั้น มีการขยายอำนาจอย่างรวดเร็วมาก ดั่งเสือดาวที่วิ่งเร็วและแข็งแกร่ง ติดปีกอีกต่างหาก แข็งแกร่งดั่งทองสัมฤทธิ์ ในยุคของกษัตริย์อเล็กซานเดอร์มหาราชนั่นเอง
มาถึงตัวที่สี่ ตัวสุดท้าย ในความฝันของดาเนียล ซึ่งพระคัมภีร์กล่าวถึงสัตว์ตัวนี้ว่ามีลักษณะน่ากลัว สยดสยอง และมีฤทธิ์อำนาจมาก มันมีฟันเหล็กซี่มหึมา มันขย้ำเคี้ยวเหยื่อและเหยียบย่ำส่วนอื่นๆ ที่เหลือจนแหลกลาน สัตว์ตัวนี้ แตกต่างจากตัวอื่นๆ ตรงที่มีเขา 10 เขา เจ้าสัตว์ประหลาดตัวที่สี่นี้ เปรียบได้กับส่วนขาของรูปปั้นที่ทำด้วยเหล็ก ซึ่งเล็งถึงอาณาจักรโรม ที่ได้โค่นล้มกรีก
โรมันในยุคนั้น โหดร้ายมาก ตามล่า ขยายดินแดนไปทั่ว จึงถูกเปรียบเทียบเหมือนสัตว์ดุร้ายน่ากลัว บดขยี้แหลกลาน โหดเหี้ยมกว่าอาณาจักรอื่นๆ
ดาเนียลบอกว่าในบรรดาสัตว์ทั้งสี่ตัว อยากจะรู้ความหมายของสัตว์ตัวที่สี่มากที่สุด เพราะมันน่ากลัวที่สุด จึงอยากจะรู้จากพระเจ้าว่ามันหมายถึงอะไร? สัตว์ตัวที่สี่นี้ มีบันทึกไว้อย่างนี้ ในข้อที่ 8
ดาเนียล 7:8 “ขณะที่ข้าพเจ้ากำลังคิดเรื่องเขาต่างๆ อยู่นั้น ก็มีเขาเล็กๆ อีกอันหนึ่งโผล่ขึ้นมาท่ามกลางเขาอื่นๆ และทำให้สามในสิบเขาแรกนั้น ถูกถอนออกไป เขาเล็กนี้ มีตาเหมือนตามนุษย์ และมีปากซึ่งคุยโวโอ้อวด”
คือบางทีเราฟัง หรืออ่านจากนิมิตนี้ ดาเนียลไม่สามารถอธิบายอย่างละเอียดในสิ่งที่พระเจ้าให้เขาเห็นในนิมิต ในขณะนั้น ลึกซึ้งได้ ได้แค่เขียนตรงนี้ เหมือนเราฝัน บางทีเราบอกใครว่าเราเห็นอะไรในฝัน หมายถึงอะไรมันเยอะมาก และโดยเฉพาะอย่างยิ่งนิมิตเห็นล่วงหน้า ไม่รู้จะบอกว่าอย่างไร?
เขาเล็กๆ หนึ่งอันที่โผล่ขึ้นมาจากสัตว์ประหลาดตัวนี้ มีตาเหมือนตามนุษย์ และมีปาก ซึ่งคุยโวโอ้อวด ซึ่งอาจจะหมายถึงผู้ที่เราเรียกกันว่าปฏิปักษ์พระคริสต์ หรือแอนตี้ไคร์ซ ที่บอกว่าจะมีผู้ที่ต่อต้านองค์บริสุทธิ์ของพระเจ้า คือพระเยซู ก่อนที่พระองค์จะเสด็จมา จะมีผู้ต่อต้าน อย่างที่เราเรียนครั้งที่แล้วว่าต่อต้านพระเยซู ก็คือต่อต้านคนที่เชื่อพระองค์นั่นเอง ข่มเหงพระเยซู ก็คือข่มเหงคนที่เชื่อในพระเยซูคริสต์ มีบันทึกไว้ในข้อที่ 24-25 ดูสิว่าเขาสิบเขา กษัตริย์สิบองค์ เป็นอย่างไร?
ดาเนียล 7:24-25 “24 เขาสิบเขา คือกษัตริย์สิบองค์ ที่จะมาจากอาณาจักรนี้ ภายหลังจะมีกษัตริย์อีกองค์หนึ่งขึ้นมา ซึ่งแตกต่างจากองค์ก่อนๆ และจะโค่นล้มกษัตริย์สามองค์ลง 25 กษัตริย์องค์นี้ จะกล่าวลบหลู่องค์ผู้สูงสุด และกดขี่ข่มเหงประชากรของพระเจ้า จะพยายามเปลี่ยนแปลงกำหนดเวลาและบทบัญญัติต่างๆ ประชากรของพระเจ้า จะตกอยู่ในกำมือของกษัตริย์องค์นี้ ตลอดหนึ่งวาระ หลายวาระ และครึ่งวาระ”
นี่แหละที่ทำให้ดาเนียลกังวลใจมาก ถึงขนาดนี้เลยเหรอ นี่คือความหมายของเขาสิบเขา คือจะมีกษัตริย์เกิดขึ้น 10 องค์ จากเชื้อสายของกรุงโรม อาณาจักรโรมัน ซึ่งก็น่าจะหมายถึงกษัตริย์ทางแถบยุโรป ซึ่งมีเชื้อสายอิทธิพลมาจากโรมันรุ่งเรือง นึกภาพให้ดีๆ 10 อาจจะไม่ใช่ 10 องค์จริงๆ 10 คือครบถ้วน ครบตามจำนวน ก็คือครบถ้วนตามที่พระเจ้าวางไว้ ไม่ได้หมายถึงเลข 10 จริงๆ ก็ได้ และเขาเล็กๆ ที่งอกขึ้นมา ก็คือแอนตี้ไคร์ซ หรือคนที่กดขี่ข่มเหงคริสเตียน หรือคนที่เชื่อพระเยซูคริสต์ ตั้งแต่ยุคสมัยที่พระเยซูเป็นขึ้นจากความตาย และเข้าไปอยู่ในสวรรค์ใหม่ๆ ก็คือยุคเริ่มต้นโรมัน ในยุคโรมันก็มีแอนตี้ไคร์ซ
ในหนังสือยอห์น พระคัมภีร์ใหม่ก็บอกไว้ว่าวันหนึ่งข้างหน้า ยุคสุดท้าย จะมีแอนตี้ไคร์ซ ตัวใหญ่โผล่ขึ้นมา แล้วยอห์นก็บอกว่าแต่ว่าขณะนี้ ขณะที่ยอห์นพูดอยู่ คือขณะยุค 2,000 ปีแล้ว ที่พระเยซูเข้าไปอยู่ในสวรรค์ใหม่ๆ ยอห์นประกาศข่าวประเสริฐว่าแม้ว่าขณะนี้ ก็มีแอนตี้ไคร์ซ หรือผู้ที่เป็นปฏิปักษ์พระคริสต์อย่างนี้ เกิดขึ้นอยู่มากมาย ไปเรื่อยๆ ก็คือตัวเล็กๆ มาอยู่เรื่อยๆ
ยกตัวอย่างง่ายๆ ตัวเล็กๆ ก็คือจักรพรรดิเนโร ของจักรวรรดิโรมัน รุ่นแรกๆ รุ่นที่พระเยซูเป็นขึ้นมาใหม่ และเข้าไปอยู่ในสวรรค์ใหม่ๆ แล้วประชากรของพระเจ้าเริ่มประกาศข่าวดีนั้น จักรพรรดิเนโร แห่งอาณาจักรโรมัน ก็ข่มเหงคริสเตียนรุนแรงมาก จับไปย่างไฟบ้าง? จับไปให้สิงโตกินบ้าง ก็คือแอนตี้ไคร์ซตัวหนึ่ง
พระเจ้าต้องการส่งนิมิตนี้ ข่าวนี้ให้กับประชากรของพระเจ้าทุกคนตั้งแต่ตอนนั้น ไปจนกระทั่งสิ้นโลก รวมทั้งเราด้วยที่นั่งอยู่ที่นี่ ให้เรารู้ล่วงหน้า บอกเราว่ามีอะไรเกิดขึ้น บาบิโลนก็เจริญเติบโตขึ้นมา เสร็จแล้วบอกล่วงหน้าจากบาบิโลน ก็เป็นมีเดียเปอร์เซีย จากมีเดียเปอร์เซีย เป็นกรีก จากกรีก เป็นโรมัน จากโรมันปุ๊บจะไม่มีอาณาจักรใดๆ ที่ใหญ่แบบคุมโลกแบบนี้อีกต่อไปแล้ว แล้วมันเป็นจริง ตั้งแต่อาณาจักรโรมันจนถึงทุกวันนี้ ไม่มีอาณาจักรใหญ่ๆ อย่างนั้นอีกต่อไปแล้ว มีแต่ดูเหมือนใหญ่ ตรงนี้ก็ใหญ่ ตรงนั้น ก็ใหญ่ กระจายกันไปหมด และส่วนที่กระจายไป ส่วนใหญ่นั้น มาจากเชื้อสายของอาณาจักรโรมทั้งสิ้น ตรงตามนิมิตนี้ทั้งหมด
แล้วขณะที่เรากำลังพูดถึงนี้ เรากำลังเล่าถึงเรื่องราวต่างๆ ในขณะที่ผมบอกท่านว่าขณะที่เรากำลังดูนิมิตที่พระเจ้าให้ ขณะเดียวกันในโลกฝ่ายวิญญาณ มีพระเจ้าบังคับอยู่ ควบคุมสถานการณ์อยู่ และขณะเดียวกัน ก็มีสงครามอยู่บนโลกใบนี้ แบบที่มองไม่เห็น คือทางโลกฝ่ายวิญญาณด้วยเช่นเดียวกัน ขณะที่บาบิโลนคุมอำนาจอยู่ ก็จะมีวิญญาณที่ไม่ดี เป็นวิญญาณที่ปกคลุมอยู่เหนือบาบิโลน ขณะเดียวกัน ทูตสวรรค์จะเข้ามาส่งข่าวให้กับดาเนียล ก็จะเจอทูตสวรรค์ที่ไม่ดี ต่อต้านไม่ให้มาส่งข่าว ต้องไปรบกันอีก คือกำลังจะบอกท่านว่าทูตสวรรค์เป็นฝ่ายเราก็มี เป็นฝ่ายที่ไม่ดีต่อต้านพระเจ้าก็มี แต่ทูตสวรรค์ที่เป็นฝ่ายเรามีมากว่า มี 2 ใน 3 ฝั่งโน้นมี 1 ใน 3 แต่ทั้งหมด ก็อยู่ในการควบคุมดูแล อยู่ในแผนการของพระเจ้า พ่อของเราทั้งสิ้น ดังนั้นไม่ต้องกลัว แต่ให้รู้ไว้ นิมิตที่ดาเนียลพูดถึง วันสุดท้ายทูตสวรรค์ฝ่ายเรา ที่ดูแลเราให้ความสะดวกสบายกับประชากรของพระเจ้า เป็นฝ่ายแพ้ ไม่ต้องตกใจกลัวเหมือนดาเนียล ฟังต่อไปว่าอะไรเกิดขึ้น และพระเจ้าบอกอะไรเราต่อจากนี้
ในข้อที่ 25 บอกไว้อย่างนี้ว่า “กษัตริย์องค์นี้”
หมายถึงแอนตี้ไคร์ซ ปฏิปักษ์พระคริสต์ ผู้ต่อต้านพระคริสต์ กษัตริย์ หมายถึงผู้ที่มีอำนาจสูงสุด แล้วแต่จะเรียกชื่อไป เขาเรียกว่ากษัตริย์ คือผู้ที่เป็นผู้นำ ผู้นำในแต่ละประเทศ ทุกวันนี้ ต่างเรียกชื่อกันไป มีตั้งแต่กษัตริย์ก็มี นายกรัฐมนตรีก็มี ผู้สำเร็จราชการก็มี ประธานาธิบดีก็มี ซึ่งอนาคต เราไม่รู้ เขาจะเรียกชื่ออะไรต่อไป หมายถึงแอนตี้ไคร์ซเป็นผู้นำในยุคนั้น บุคคลนี้ “กษัตริย์องค์นี้ จะกล่าวลบหลู่องค์ผู้สูงสุด” หมิ่นพระเจ้า
“และกดขี่ข่มเหงประชากรของพระเจ้า”
ซึ่งหมายถึงคริสเตียนและผู้ที่เชื่อในพระเจ้า
“จะพยายามเปลี่ยนแปลงกำหนดเวลาและบทบัญญัติต่างๆ ประชากรของพระเจ้า จะตกอยู่ในกำมือของกษัตริย์องค์นี้ (หรือบุคคลผู้นี้ ผู้นำผู้นี้ แอนตี้ไคร์ซตัวนี้) ตลอดหนึ่งวาระ หลายวาระ และครึ่งวาระ”
และประชากรของพระเจ้า จะถูกมอบให้อยู่ใต้อำนาจของแอนตี้ไคร์ซตัวนี้ ซึ่งพระเจ้าบอกเป็นแผนการของพระองค์ทั้งหมด ใครเป็นผู้อนุญาตให้พระเยซูถูกตรึงที่ไม้กางเขน ถ้าพระเจ้าบอกไม่อนุญาต ทำไม่ได้
ความหมายก็คือเขาเล็กๆ ที่งอกขึ้นมานี้ ที่บอกว่าเล็งถึงปฏิปักษ์พระคริสต์ตัวนี้ จะกดขี่ข่มเหงประชากรของพระเจ้า จะพยายามทำลายแผนการของพระเจ้า จะพยายามขัดขวางงานของพระเจ้าทุกชนิด ทุกอย่าง ซึ่งอ่านตะกี้นี้ ทำสำเร็จหรือเปล่า? สำเร็จ เพราะในหนังสือตะกี้บอกว่าประชากรของพระเจ้าได้ถูกมอบให้อยู่ใต้มือของกษัตริย์องค์นี้ ก็คืออยู่ใต้อำนาจของมัน ก็สำเร็จสิ คือข่มเหงเราได้ แปลว่าประชากรของพระเจ้าแพ้
ท่านเคยดูซุปเปอร์แมนหรือเปล่า? ตอนนี้ถูกดูดพลังไปหมด นอนอยู่ในถ้ำคริสตัส แพ้คริสตัล เจอคริสตัลปุ๊บ พลังถูกดูดไปหมด แพ้ จบ หน้ากากผีชนะ ตอนนี้ พลเมืองในประเทศสหรัฐอเมริกาและทั้งโลก จะเดือดร้อนไปหมดเลย เพราะว่าซุปเปอร์แมนไม่มาช่วย ซุปเปอร์แมนเองก็ช่วยตัวเองไม่ได้ แต่ในหนังตอนจบ เขาก็เขียนให้มีคนไปช่วย ให้ซุปเปอร์แมนมีพลังมาใหม่ กลับมาชนะ ตอนจบพระเอกชนะ เรื่องนี้ประชากรของพระเจ้าเป็นพระเอก
ตอนท้ายของข้อความตะกี้บอกว่าประชากรของพระเจ้า จะตกอยู่ในกำมือของกษัตริย์องค์นี้ ปฏิปักษ์พระคริสต์ผู้นี้ แอนตี้ไคร์ซตัวนี้ ตลอดหนึ่งวาระ หลายวาระ และครึ่งวาระ
คำว่า “หลายวาระ หนึ่งวาระ และครึ่งวาระ” หมายถึงเวลาเท่าไร? มันแปลว่ามันมีกำหนดเวลาสิ้นสุด แต่ไม่แน่นอนว่าเมื่อไร? ก็คือรู้ แต่ไม่รู้ รู้ว่าเท่าไร? รู้ว่าชั่วคราว รู้ว่าแป๊บเดี๋ยว อย่างนี้เป็นต้น
และเมื่อมีกำหนดเวลา ก็แปลว่ามันไม่ได้เป็นถาวร มันไม่ได้นิรันดร์ และเมื่อไม่ใช่ถาวรนิรันดร์ ก็แปลว่าเป็นการชั่วครั้งชั่วคราวเท่านั้น สรุปว่าประชากรของพระเจ้าจะแพ้ เป็นการชั่วคราว ตามกำหนดเวลาที่พระเจ้าวางแผนไว้ ไม่มีใครรู้ และไม่ต้องไปพยายามหาด้วย พระเยซูก็ไม่รู้ พระเจ้ารู้แต่ผู้เดียว และหลังจากที่ประชากรของพระเจ้าตกอยู่ภายใต้การกดขี่ข่มเหงรังแกของแอนตี้ไคร์ซตัวนี้ เป็นระยะเวลาหนึ่งแล้ว มาดูว่าเกิดอะไรขึ้นต่อจากนี้ ดาเนียล 7:26-27 นี่แหละคือข่าวดีของท่าน
ดาเนียล 7:26-27 “26 แต่การพิจารณาคดีจะเริ่มขึ้นแล้ว ฤทธิ์อำนาจของกษัตริย์องค์นั้น จะถูกนำออกไป และถูกทำลายล้างไปอย่างสิ้นเชิง 27 แล้วประชากรขององค์ผู้สูงสุด จะได้รับสิทธิครอบครองอำนาจ และความยิ่งใหญ่ของอาณาจักรต่างๆ ทั่วใต้ฟ้า ราชอาณาจักรของพระเจ้าจะยั่งยืนชั่วนิจนิรันดร์ ผู้ครอบครองทั้งปวงจะนอบน้อม เชื่อฟัง และนมัสการพระองค์”
หลังจากประชากรของพระเจ้าพ่ายแพ้ ชั่วคราวเท่านั้น แต่การพิจารณาคดี เริ่มขึ้นแล้ว ฤทธิ์อำนาจของแอนตี้ไคร์ซตัวนั้น ถูกปลดออก ถูกนำออกไป ถูกลบล้างอย่างสิ้นเชิง แล้วประชากรขององค์ผู้สูงสุด ก็คือเราท่าน จะได้รับสิทธิครอบครองอำนาจ และความยิ่งใหญ่ของอาณาจักรต่างๆ ทั่วใต้ฟ้า ราชอาณาจักรของพระเจ้า จะยั่งยืนอยู่นิตย์นิรันดร์ เอเมน
พระเจ้าให้ดาเนียลเห็นภาพ จึงเขียนออกมาอย่างนี้ ที่ท่านเห็น พอมาถึงเราในยุคปัจจุบัน เราก็ต้องเห็นภาพแบบเราในยุคปัจจุบัน ท่านเห็นภาพไหมว่าเจ้าแอนตี้ไคร์ซหรือปฏิปักษ์พระคริสต์ตนนี้ที่ว่ามันใหญ่มาก คับโลกนี้ ตอนนี้มันได้ยินเสียงพระเจ้ามา หดไปไม่เหลือเลย ในนี้บอกว่าสิ้นซากตลอดกาล ราชอาณาจักรของพระเจ้าจะยั่งยืนอยู่ชั่วนิจนิรันดร์ แล้วเอาอาณาจักรฤทธิ์เดชอำนาจมาให้กับฝั่งลูกของพระเจ้า คือประชากรของพระเจ้า คือเราทั้งหลายที่เชื่อในพระองค์ ไม่ใช่หนึ่งวาระ ครึ่งวาระ ไม่ใช่ แต่ให้เรานิรันดร์ และหลังจากนั้นเกิดอะไรขึ้น พระคัมภีร์บันทึกไว้แล้ว
“ประชากรขององค์ผู้สูงสุดจะได้รับสิทธิครอบครองอำนาจ และความยิ่งใหญ่ของอาณาจักรต่างๆ ทั่วฟ้า ราชอาณาจักรของพระเจ้าจะยั่งยืนอยู่ชั่วนิรันดร์”
หลังจากนั้นบรรดาผู้ที่เชื่อในพระเยซูคริสต์ เชื่อในการไถ่บาปของพระเยซู จะได้ครอบครองอาณาจักรต่างๆ ทั่วใต้ฟ้า ก็คืออาณาจักรทั้งหมดในโลกนี้ และที่สำคัญ อาณาจักรเหล่านี้ จะยั่งยืนถาวรชั่วนิรันดร์ ไม่ต้องมีหนึ่งวาระ ครึ่งวาระอีกต่อไป
นี่คือบทสรุปของนิมิตตามความฝันของดาเนียล ในบทที่ 7 ที่ผมบอกว่าสำคัญมาก ซึ่งตอนที่พระเยซูมาเกิดเป็นมนุษย์ ตอนที่พระเยซูเดินอยู่บนโลกใบนี้ เดินอยู่กับเหล่าสาวก พระองค์ก็ได้ตรัสย้ำยืนยันว่าเป็นอย่างนี้แหละ เอามาให้อ่านกันนิดหนึ่ง มัทธิว 25:31-34
มัทธิว 25:31-34 “31 เมื่อบุตรมนุษย์เสด็จมา ด้วยพระเกียรติสิริของพระองค์ พร้อมด้วยทูตสวรรค์ทั้งหมด พระองค์จะประทับบนบัลลังก์ของพระองค์ ด้วยพระเกียรติสิริแห่งฟ้าสวรรค์ 32 มวลประชาชาติจะมาชุมนุมกันต่อหน้าพระองค์ และพระองค์จะทรงแยกประชากรออกจากกัน เหมือนคนเลี้ยง แยกแกะออกจากแพะ 33 แกะนั้น จะทรงให้อยู่เบื้องขวาของพระองค์ ส่วนแพะ อยู่เบื้องซ้าย 34 “แล้วองค์ราชัน จะตรัสกับบรรดาผู้ที่อยู่เบื้องขวาของพระองค์ว่า ‘ท่านผู้ได้รับพร จากพระบิดาของเรา มารับมรดกของท่านเถิด คืออาณาจักรที่เตรียมไว้สำหรับท่าน ตั้งแต่ทรงสร้างโลก
อาณาจักรที่เตรียมไว้สำหรับท่าน … ท่านคือผู้เชื่อในพระเยซู คริสเตียน
แกะในที่นี้ ก็คือผู้ที่เชื่อและวางใจในพระองค์ ก็คือประชากรของพระเจ้า ก็คือพวกเรา พระเยซูตรัสเองเลยว่าพวกเราที่เป็นประชากรของพระเจ้า จะไปอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้า และได้รับมรดก คืออาณาจักรที่ได้ทรงจัดเตรียมไว้ให้กับเราตั้งแต่ก่อนสร้างโลก ซึ่งอย่างที่ผมบอกตั้งแต่แรกแล้วว่านี่คือสิ่งที่พระเจ้าต้องการให้เราได้รู้ล่วงหน้าว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นบ้าง คือบอกเป็นภาพเป็นฉากๆ ให้เห็นเลย พอให้รู้ล่วงหน้าถึงเหตุการณ์สำคัญหลักๆ ที่จะเกิดขึ้น เพื่อเราจะไม่ต้องตกใจกลัว เมื่อเหตุการณ์มันเกิดขึ้นจริง จะได้รู้ว่าอ๋อ! พ่อเราควบคุมอยู่ เพราะฉะนั้น จากนี้ต่อไป ท่านเดินออกไป เจออะไรที่ไม่ค่อยดี พูดกับตัวเองว่าใจเย็นๆ พ่อเราคุมอยู่ และเรามีความหวังใจว่าไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นในอนาคต แต่สิ่งสุดท้ายที่จะเกิดขึ้นแน่นอน ก็คือสิ่งที่เรียกว่าชัยชนะที่เราจะได้รับร่วมกับพระเยซูคริสต์ และได้ครอบครองอาณาจักรร่วมกับพระเยซูคริสต์ชั่วนิรันดร์ ซึ่งแน่นอน โดยเนื้อหนังเรา แม้จะรู้อย่างนี้ การอยู่บนโลกใบนี้ เราก็อดที่จะวิตกกังวลไม่ได้ เมื่อเจอความทุกข์ยากลำบาก แต่มันจะมีวาระของมัน มันเป็นแค่เวลาชั่วคราว ถึงท่านลำบากอย่างไร? ท่านบอกไม่ไหวๆ ถึงเวลา พระเจ้าบอกพอแล้ว ท่านก็เริ่มไหวเอง มันจะเป็นอย่างนี้ แล้วตอนจบ ก็จะเป็นตามที่เราได้อ่านเมื่อสักครู่นี้ นิมิตตอนจบ ก็คือเราได้รับชัยชนะ และได้ครอบครองอาณาจักร ก็คือสวรรค์นั่นแหละ ร่วมกับพระเยซูนิรันดร์กาลแน่นอน
แต่อย่างที่บอก ถึงแม้จะให้รู้ล่วงหน้าอย่างนี้ มาหาพระเจ้าก็เหมือนเด็กๆ เหมือนลูกๆ ของพระองค์ ก็อดที่จะถามพระเจ้าไม่ได้ เมื่อไรจะถึงวันนั้น? หลายคนอดใจไม่ไหว ก็เอาวาระ ครึ่งวาระ ไปคำนวณกันใหญ่ หากันใหญ่ว่าคงวันนี้ วันนั้น ก็ได้แต่ความกังวลเพิ่มเติม เพราะไม่ถูกสักคน เพราะพระเยซูบอกไม่มีใครรู้ แล้วจะไปหาทำไม ที่หา เพราะมันกังวล มันอยากรู้ แต่พระเจ้าบอกไม่ต้องไปหาหรอก ไม่ได้ตั้งใจให้ไปสนใจว่าเวลานั้น มันคือเมื่อไร? แต่ให้สนใจแค่ว่าเมื่อเวลานั้นมาถึงจะเป็นอย่างไร? จะคุ้มค่าการรอคอยของเราไหม? และให้เชื่อวางใจว่ามีวันนั้นแน่ๆ วันแห่งชัยชนะ พระองค์สัญญากับเราแล้วว่าอย่างนั้น มันก็จะเป็นอย่างนั้นแน่นอน เป๊ะๆ
ผมจะยกตัวอย่าง ให้ท่านเห็นว่าวาระเป็นลักษณะอย่างไร? ตอนที่โต๋เต๋เล็กๆ ก็พาเขาไปเที่ยวต่างจังหวัด สมมติบอกเขาว่าจะพาไปว่ายน้ำตกปลาที่ไหน? ต้องขับรถไปประมาณ 3 – 4 ชั่วโมง ดีใจใหญ่ พอขับรถออกไปแค่ 15 นาที ถามแล้ว ถึงหรือยัง? เมื่อไรพ่อ? โต๋ถามน้อยหน่อย แต่เต๋ถามเยอะ เลยไปอีก 15 นาที
“พ่อเมื่อไรถึง?”
ผมก็บอกว่า “เดี๋ยวอีกครึ่งชั่วโมงจะแวะปั๊มเข้าห้องน้ำ แล้วก็จะขับรถไปอีก 2 ชั่วโมง”
เขาก็ฟัง แล้วก็หลับไป พอตื่นขึ้นมา ก็ถามอีกแล้วว่า …
“ถึงหรือยัง? ไหนบอกว่าจะถึงแล้วไง?”
ผมก็บอกต่อไปว่า “อีกชั่วโมงกว่า”
ขับไปอีกแค่ประมาณ 10 นาที ก็น่าจะถึงแล้ว พอ 10 นาทีต่อไป ยังไม่ทันเลี้ยวเข้าทะเลเลย ถึงหรือยัง? เด็กๆ เป็นอย่างนี้ คือเขายังไม่เข้าใจว่าที่ผมอธิบายว่าอีก 10 นาที แล้วอีก 1 ชั่วโมง แล้วก็อีกครึ่งชั่วโมง มันหมายความว่านานแค่ไหน? เพราะว่าเด็กเกินไป มันเกินความเข้าใจของเด็ก แต่พอไปถึงที่หมาย ไปถึงที่เล่นแล้ว สนุกสนาน ลืมไปเลยว่าความเบื่อหน่ายของการนั่งรถมาเป็นอย่างไร? นั่งรถนานๆ มันน่าเบื่อขนาดไหน? สนุกสนานกับที่เล่น ที่เที่ยว กิจกรรมที่เตรียมไว้ทั้งหมด
พวกเรากับพระเจ้าก็เป็นอย่างนี้แหละ พอเจอปัญหา เจอความทุกข์ ก็จะถามพระเจ้าว่า …
“เมื่อไรพระเยซูจะกลับมาสักที ไหนบอกว่าจะจบโลกนี้ มันจบเมื่อไรล่ะ เมื่อไรจะถึงเวลาที่เราได้ครอบครองอาณาจักรร่วมกับพระเยซูสักทีที่พระองค์บอกไว้”
พระเจ้าก็ตอบเราแบบเดียวกันกับที่เราตอบลูกแหละ พระเจ้าจะตอบเราว่า …
“รอแป๊บหนึ่ง เดี๋ยวอีกครึ่งวาระ อีกหนึ่งวาระ อีกสองวาระ ก็จะถึงแล้ว เข้าใจไหม?”
เราก็จะตอบว่า “ไม่เข้าใจ”
แล้วพระเจ้าก็เงียบไป แล้วเราก็เงียบไป (แป๊บเดียว) เดี๋ยวก็ถามพระเจ้าใหม่
“ไหน จะถึงหรือยัง? ไหน หมดวาระหรือยัง? เมื่อไรจะถึงสักที”
เราเห็นความน่ารักของพระเจ้าหรือยัง? เป็นอย่างนี้แหละ
เมื่อ 2 ปีที่แล้ว นี่ก็อีกอันหนึ่ง ผมมีโอกาสเดินทางไปนิวซีแลนด์ ที่เกาะใต้ ก่อนไป ก็คุยกันแล้วนะว่าทริปนี้ เราจะเดินทางไปแบบสมบุกสมบัน เพราะตั้งใจจะไปดูบรรยากาศช่วงหนาวที่สุดของที่นั่น เคยเห็นในรูปภาพ อยากจะไปดู มันสวยจริงๆ อย่างนั้นไหม? เดินทางก็ลำบาก นั่งเครื่องบินจากกรุงเทพฯ 10 กว่าชั่วโมง แล้วก็ต้องต่อเที่ยวบินในประเทศนั้น แบกกระเป๋าเอง เช่ารถอีก เพื่อที่จะไปเป้าหมายที่ไปดู เหมือนไปต่างจังหวัดของเขา ซึ่งเป็นฤดูหนาว มีพายุหิมะ ตอนระหว่างเดินทางมันชักเหนื่อย ผมคิดในใจว่านี่ให้มาเที่ยวหรือให้มาฆ่าตัวตาย กระเป๋าไม่ใช่เล็กๆ แบกไปแบกมา แล้วคุณคิดดูนะ รถเช่า ต้องแบกขึ้นไป 4 – 5 ใบ แล้วก็ขับไป เหนื่อย มันฝืนสังขารด้วย ยังไม่ทันถึงเลย เริ่มเห็นหิมะตกมานิดหนึ่ง ดีใจมากเลย ลงไปถ่ายรูปกันใหญ่ แต่พอไปถึงสุดท้าย รูปแรกลบทิ้งหมด มันไม่สวยเลย มันสวยขึ้นไปเรื่อยๆ ภาพที่เห็นยิ่งกว่าในโปสการ์ดคริสตมาสที่เราดู นี่ของจริงเลย จับได้เลย แสงเวลามันผ่านเกล็ดหิมะเป็นประกาย คล้ายคริสตัล สวยงาม แล้วมันเกิดอะไรขึ้น ที่เราเดินทางมาเหนื่อย มาตั้งนาน แบกของอะไรต่างๆ มันหายเหนื่อย มันรู้สึกคุ้มค่าจริงๆ แต่อย่างว่านี่มันเปลี่ยนไม่ได้ เพราะถึงแม้จะคุ้มค่าอย่างไร? สนุกอย่างไรก็ตาม พอ 10 วัน ก็เตรียมตัวเหนื่อยอีกแล้ว กลับมา มันมีวันจบของมัน คือ 10 วันกลับมา ขากลับเซ็งเลย เพราะว่ามันไม่มีความหมายแล้ว กลับมาต้องทำงานอีก ขอบคุณพระเจ้า แต่ในสวรรค์ที่พระเจ้าบอกเรา ไม่ต้องกลับมาอีกแล้ว สวรรค์สถาน ที่เราจะไปอยู่ ที่พระเจ้าบอกรอบนโลกใบนี้แค่วาระ สองวาระ สามวาระ แค่แป๊บเดียวเอง แล้วจากนั้นไป อยู่ที่สบาย ที่พระเจ้าเตรียมไว้ให้กับเราแล้ว อาณาจักรที่เราจะครอบครองร่วมกับพระเยซู มันอยู่นิรันดร์ มีร่างกายพิเศษที่พระเจ้าจัดเตรียมไว้ให้เรียบร้อยแล้ว เหมือนพระเยซูคริสต์ และจะอยู่บนโลกใบนี้ เป็นโลกใหม่ที่พระเจ้าสัญญาว่าจะทำให้กับเราใหม่เอี่ยม ไม่ใช่แบบนี้ และจะอยู่กับพระองค์นิรันดร์กาล
โลกใหม่ที่พระเจ้าจัดเตรียมไว้ให้กับเรา ซึ่งเราเรียกกันง่ายๆ สั้นๆ ตามประสาพ่อลูกว่าสวรรค์ ของพระเจ้า สวรรค์ คืออาณาจักร อาณาจักรหนึ่ง ในพระคัมภีร์บอกว่าโลกใหม่ เพราะฉะนั้น เหมือนโลกใบนี้แหละ แต่มันใหม่ ไม่ต้องไปคิดอะไรมาก อาณาจักรสวรรค์ที่เราจะไปอยู่ข้างหน้า มันก็น่าจะเป็นความรู้สึกคล้ายๆ แบบที่เราดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ แต่ต่างกันตรงที่เราจะอยู่ถาวรนิรันดร์และอยู่อย่างมีความสุขแบบนิรันดร์ และถ้าท่านคิดว่าอยากจะสัมผัสว่าความรู้สึกเมื่อได้ไปอยู่ในสวรรค์สถานแล้วจะเป็นอย่างไร? ผมพยายามเหลือเกินว่าจะเอาความรู้สึกมาให้ท่านเห็นภาพนิดๆ ผมคิดว่าถ้าท่านฟังเรื่องนี้ จากนี้ต่อไปที่ผมจะอธิบาย ท่านพอจะสามารถเห็นรางๆ แล้วก็สัมผัสได้ว่าดีใจ มันมีจริงๆ ใช่ๆ ท่านลองสังเกตดูความรู้สึกขณะที่ดำเนินอยู่บนโลกนี้เป็นอย่างไร? ตอนนี้เป็นอย่างไร? อย่างน้อยๆ เรารู้แล้วว่าสวรรค์ที่พระเจ้าจะให้เราไปอยู่ครอบครองนั้น มันก็คือโลกใบนี้ แต่สร้างใหม่ ทำใหม่ ระบบใหม่ แต่ก็เป็นโลกใช่ไหม? โลกนี้เขาทำอะไรกัน อย่างนั้นแหละ แต่ของใหม่ ปรับปรุงใหม่ ดีกว่าเก่า
อย่างเช่น นึกภาพปัจจุบัน ความสวยงามของธรรมชาติ ความสวยงามของดอกไม้ ที่ท่านเห็นอยู่บนโลกใบนี้ เดี๋ยวนี้ ในสวรรค์จะสวยกว่านี้ และมีมากกว่านี้ เป็นล้านๆ เท่า ทุกวันนี้ท่านดูดอกกุหลาบหรือดอกอะไร? สวยมาก มันจะสวยกว่าที่ท่านเห็นเป็นล้านๆ เท่า แล้วมีมากกว่าล้านๆ ชนิด ท่านจะมีความสุข ท่านมีความรู้สึกว่าตื่นขึ้นมาในเช้าวันหนึ่ง แล้วรู้สึกสดชื่น เมื่อคืนก่อนนอนก็ได้รับข่าวดีว่าลูกสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้ ลูกได้งานใหม่ วันนี้นอนหลับสบาย 8 ชั่วโมงเต็มอิ่ม ตื่นขึ้นมา มีความสุขมากเลย ทุกคนต้องมีแน่นอน
ในสวรรค์มันจะเป็นอย่างนี้ ท่านจะหลับสนิท 8 ชั่วโมงอย่างนั้นทุกคน ท่านไม่ต้องพึ่งเมลาโทนิน ไม่ต้องกินคาโมมายด์พวกนี้ช่วยได้ ไม่ต้องกล่อมประสาท ท่านหลับสบายทุกคืน ตื่นขึ้นมาก็สดชื่นอย่างที่ท่านได้สัมผัสนิดๆ หน่อยๆ บนโลกใบนี้ แต่มันมากกว่านั้นอีกเป็นล้านๆ เท่า และมันไม่ได้เป็นแค่ 2 วัน 3 วัน แต่มันเป็นทุกวันๆ ในพระคัมภีร์บอก … ใหม่ทุกเช้า เร้าในดวงใจ ซาบซึ้งทุกๆ วันใหม่ พระองค์ทรงความเที่ยงตรงยิ่งนัก
ท่านลองคิดดูทุกวัน ถามว่าท่านสัมผัสได้ไหม? ถ้าใช่จริงๆ เรามีความสุขจริงๆ ใช่ไหม? หรือทุกวันนี้ ท่านเดินไปไหน? คนนี้หน้าตาไม่รับแขกเลย เซ็งมากเลย เกลียดคนนั้น ไม่ชอบคนนี้ ท่านรำคาญตัวเองไหม? ทำไมเราเป็นคนนิสัยอย่างนี้ เดี๋ยวก็น้อยใจ เราก็รำคาญตัวเอง เดี๋ยวไปอิจฉาคนอื่นๆ เดี๋ยวไปเกลียดคนนี้ เกลียดเขาทำไม? วุ่นวายไปหมด แต่ในสวรรค์สถาน ท่านจะไม่เกลียดใครอีกแล้ว มองใครน่ารักทุกคนเลย เพราะความรักของพระเจ้าอยู่กับท่าน คนอื่นมองท่านก็น่ารัก ท่านมองคนอื่นก็น่ารัก เพราะไม่มีบาปแล้ว บริสุทธิ์หมด แล้วท่านคิดดู ทุกวันนี้ท่านมองใครน่ารักไปหมด ท่านยังมีความสุขมากเลย ท่านไปช่วยใครสักคนหนึ่งให้เขาพ้นจากความทุกข์ยากลำบากแค่นิดเดียว ท่านจะมีความเบิกบานเลย
แต่อยู่ที่นั่นท่านจะเป็นอย่างนี้ ทุกเสี้ยววินาที เต็มไปด้วยความรัก สดชื่น ทุกๆ วัน ไม่ใช่วาระหนึ่ง ครึ่งวาระ แต่เป็นตลอดไป ทุกวันอาทิตย์ท่านมาโบสถ์ บางครั้งเขานมัสการอยู่ เผอิญวันนี้เล่นเพลงนี้ เพราะจริงๆ น้ำหูน้ำตาไหล พระเจ้าอยู่นี่ เพลงนี้ซึ้งมาก ร้องเพลงนี้ดีมากเลย ดีเอาเพลงนี้มาร้องอีก พอร้องไปอีก 4-5 เที่ยว ท่านบอกเบื่อแล้ว มีเพลงอื่นไหม? ท่านบอกขอเพลงใหม่ เพราะเรายังอยู่โลกเก่า ถูกไหม? แล้วท่านนึกถึงความซาบซึ้งตอนที่ท่านมาสัมผัสเพลงนั้นใหม่ๆ แล้วมันตรงใจ ตรงกับสถานการณ์วันนี้ มันลึกเข้าไปในใจ แบบไม่รู้จะบอกว่าอย่างไรเลย มันจะเป็นความสุขอย่างนั้น มากกว่าเป็นล้านๆ เท่าในโลกวิญญาณ ในสวรรค์สถาน เพราะในสวรรค์สถานมันจะมีเพลงใหม่มาทุกเสี้ยววินาทีเลย คนที่มีหน้าที่เขียนเพลงใหม่นั้น ก็จะเขียนตลอดเวลา และมีสติปัญญามากกว่านั้นตั้งเยอะแยะ มีเวลาเขียนทั้งวัน มีความสุขในการเขียนเพลงใหม่ทุกวัน เราก็จะได้ยินได้ฟังเพลงใหม่ทุกวัน ความรู้สึกซาบซึ้งในเพลงทุกวันๆ ทุกเสี้ยววินาที เดินไปไหนก็ร้องไปหมด ทุกเสี้ยววินาที ตอนที่ท่านได้รับในโลกใบนี้ มันเป็นอย่างไร? มันมากกว่านั้นอีกหลายล้านเท่า
หรือแม้แต่ท่านอธิษฐานอยู่ บางครั้งในห้องส่วนตัวหรือที่ในรถก็ตาม บางครั้งที่ท่านอธิษฐาน แล้ววันนั้นเผอิญช่วงนั้น ตอนนั้นพอดี สัมผัสว่าพระเจ้าอยู่ด้วย พระเจ้าตอบมาพอดี ท่านร้องไห้ ขอบคุณพระเจ้า พระเจ้าอยู่ที่นี่ มีความสุขไหม? แต่ในสวรรค์สถานที่ท่านจะไปอยู่ ท่านสัมผัสพระเจ้าตลอด 24 ชั่วโมง ทุกเสี้ยววินาที ท่านจะเห็นพระเจ้าหน้าต่อหน้า ก็จะมีความสุขอย่างนั้นมากขึ้นกี่ล้านเท่า ทุกวันนี้เราไปสวนสัตว์ ผมชอบสัตว์มาก ทุกคนแหละ เพราะมนุษย์ พระเจ้าสร้างมาให้รักสัตว์อยู่แล้ว เพราะสัตว์เป็นเพื่อนเรา ทุกวันนี้เรากินมันซะเลย มันก็พยายามจะกินเรา ต่างคนต่างเป็นศัตรูกัน แต่ในใจลึกๆ ก็ยังรักกัน ทุกคนจึงไปสวนสัตว์ สวนสัตว์ก็เป็นสิ่งที่ลูกเด็กเล็กแดง และผู้ใหญ่ คนแก่คนเฒ่าชอบ เรารักเขา แต่เราไม่สามารถเข้าใกล้เขาได้ เขาจึงมีสวนสัตว์ ใส่กรงให้เราดู แต่ที่เห็นนี้ ไม่มีกรงนะ ความใจกล้ามีแต่กระจก แล้วเราก็อยาก รู้ไหม? ในสวรรค์พระเจ้าบอกว่าท่านจะคุยกับสิงโต กอดสิงโต คุยกัน เป็นเพื่อนกัน ท่านจะมีความสุขเท่าไร? ทุกวันนี้ เวลาผมเครียดๆ ผมอยากพักผ่อน ผมก็จะไปสวนสัตว์ บางคนถามว่าไปทำไมบ่อยๆ ไม่รู้ อยากไปให้มันกินมั้ง บางทีมันหงุดหงิด อยากให้มันกินๆ ไปหมดเรื่องหมดราว มันโดดลงไปได้ไหม? ดูแล้วสบายใจ วันหนึ่งข้างหน้า เมื่ออยู่ในสวรรค์ เราจะได้ไปเจอกับมัน เป็นเพื่อนกัน อย่างนี้ ยังมีอีกหลายเรื่อง อยากให้ท่านได้รู้ว่ามันเป็นอย่างนี้ มันไม่ใช่สิ่งที่เกินเอื้อม
สวรรค์ คือเราคงไม่ไปไหน วันๆ นั่งแต่ร้องเพลง ไม่ใช่น่าเบื่อขนาดนั้นหรอก ก็เป็นอย่างที่เราเป็นอยู่ทุกวันนี้ แต่มันดีกว่านี้ เขาเรียกว่าโลกใหม่ สวยกว่านี้ ดีกว่านี้ ยอดเยี่ยมกว่านี้ ร่างกายเรา เราไม่ต้องตื่นขึ้นมา วันนี้ปวดหัว เราจะไม่มีภูมิแพ้ เรามีแต่ภูมิชนะ เราไม่มีเป็นหวัด เราไม่มีอุบัติเหตุ เราไม่มีมะเร็ง เราไม่มีโรคเบาหวาน เราอยากกินของหวาน เชิญเลย อยากกิน กินไป แต่ถึงวันนั้น เราอาจจะไม่อยากกินก็ได้ เราอยากกินอย่างอื่นก็ได้ อาจจะมีผลไม้ที่อร่อยกว่านี้ตั้งเยอะ เพราะผลไม้ทุกวันนี้ อร่อย ยังสู้ผลไม้ในอนาคตที่พระเจ้าทรงเตรียมไว้ให้เราไม่ได้ เป็นล้านๆ เท่า ล้านๆ ชนิด อร่อยกว่าทุกวันนี้ตั้งเยอะ เพราะฉะนั้น ทุกวันนี้ อย่าไปกินเยอะเลย เตรียมไว้กินข้างหน้า ทุกวันนี้กินเยอะ ก็เป็นโรคอีก กินอร่อยเหรอ อร่อยกินไม่ได้ เดี๋ยวเป็นเบาหวาน เดี๋ยวเป็นมะเร็ง แทบจะไม่ต้องกินอะไรเลย เพราะอันนี้ก็เป็นอันนั้น อันนั้นก็เป็นอันนี้ มันเครียดไปหมดเลย มันวาระเดียว เพราะฉะนั้น อยากกินอะไรตอนนี้ อดทนไว้ อย่าเพิ่งกิน แล้วก็พูดในใจ ขอฉันรอแค่หนึ่งวาระ สองวาระ สามวาระ แล้วถึงวันนั้น ฉันจะกลับมากินแกให้หมดเลย วันนี้ ท่านก็ต้องอดทน ถ้าท่านกินไม่เลือก มันก็จะเกิดสุขภาพไม่ดี มันก็เป็นอย่างนี้ มันก็บาป เสียหายไปหมดแล้ว พระเจ้ากำลังสร้างใหม่ แล้ววันนั้นจะมาถึง คือวันที่เราครอบครองเป็นนิตย์ร่วมกับพระองค์ในสวรรค์สถานนิรันดร์กาล เขาจึงมีเพลงนี้ให้เราร้อง “มีสถานอันงดงามเลิศนักหนา” เอเมน ขอพระเจ้าอวยพรครับ
************************