คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 26 มีนาคม 2017 เรื่อง “จงนิ่งเสียและรู้ว่าพระองค์ คือพระเจ้า” ตอน 14 “ชัยชนะและการครอบครองอาณาจักร ร่วมกับพระเยซูคริสต์” โดย นคร เวชสุภาพร

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  26  มีนาคม  2017

 เรื่อง “จงนิ่งเสียและรู้ว่าพระองค์ คือพระเจ้า”

ตอน 14 “ชัยชนะและการครอบครองอาณาจักรร่วมกับพระเยซูคริสต์”

โดย นคร  เวชสุภาพร

            เรายังอยู่ในซีรี่ย์ชุด “จงนิ่งเสียและรู้ว่าพระองค์ คือพระเจ้า” ตอนที่ 14 อยู่ในหนังสือดาเนียล บทที่ 7 เรื่องราวความฝันของดาเนียลเกี่ยวกับสัตว์ทั้งสี่ ซึ่งเราได้เริ่มอ่านกันไปแล้ว ในครั้งก่อน แล้ววันนี้เราจะมาสรุป และเน้นย้ำในประเด็นสำคัญที่สุดในบทนี้ โดยเฉพาะตอนช่วงท้ายๆ ของบทที่ 7 นี้ เป็นเรื่องสำคัญมาก ซึ่งบอกเล่าเหตุการณ์ต่างๆ ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต

คำว่า “ในอนาคต” คือตั้งแต่สมัยที่เขียนหนังสือเล่มนี้อยู่ ประมาณเกือบๆ 600 ปีก่อนพระเยซูคริสต์จะเกิด  ก่อน ค.ศ. มาถึงวันนี้ ก็ประมาณ 2,600 ปีมาแล้ว และมันจะบอกต่อไปจนกระทั่งถึงสิ้นยุคเลย

บอกไว้ด้วยว่าก่อนถึงวันสุดท้าย ที่พระเยซูคริสต์จะกลับมาใหม่นั้น จะเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้นบ้าง จะเป็นหัวข้อหลักในการบรรยายในวันนี้ คือปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้น หลังจากที่พระเยซูคริสต์กลับมาแล้ว มาดูปรากฏการณ์ที่บันทึกไว้ ที่พระเจ้าบอกเราล่วงหน้า ซึ่งปรากฏการณ์นั้น ก็คือพวกเราทั้งหลายที่เป็นประชากรของพระเจ้า ที่เชื่อในพระเยซูคริสต์จะได้รับชัยชนะร่วมกับพระเยซู และได้ครอบครองอาณาจักรร่วมกับพระเยซูคริสต์ ตามที่พระเยซูบันทึกไว้ เพราะฉะนั้น การบรรยายในวันนี้ จึงมีชื่อตอนว่า “ชัยชนะและการครอบครองอาณาจักรร่วมกับพระเยซูคริสต์” เอเมน

เราจะมาทบทวนกันสักนิด ในดาเนียล บทที่ 7 เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับความฝันของดาเนียล ที่ฝันเห็นสัตว์มหึมาขนาดใหญ่ 4 ตัว แต่ละตัวมีลักษณะไม่เหมือนกัน ซึ่งสัตว์มหึมาทั้ง 4 ตัว หมายถึงอาณาจักรทั้ง 4 ที่จะรุ่งเรืองขึ้นในโลก ตั้งแต่สมัยนั้น 2,600 ปี ลักษณะเดียวกันกับนิมิตที่ดาเนียลได้อธิบายเมื่อสมัยเนบูคัดเนสซาร์ ซึ่งเป็นรูปปั้น

ในพระคัมภีร์บันทึกไว้ว่าตอนที่ดาเนียลฝันเห็นสัตว์ทั้งสี่ตัวนี้ เขาตกใจมาก เข่าอ่อนเลย ว้าวุ่นใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ตัวที่สี่ เพราะมันดูโหดร้าย น่ากลัว ในความฝันนั้น พระเจ้าได้ส่งทูตสวรรค์มาบอกว่าเป็นอย่างนี้ ดาเนียล 7:15-22 ดูสิว่าเป็นอย่างไร?

ดาเนียล 7:15-22 “15 ข้าพเจ้าดาเนียลทุกข์ใจยิ่งนัก นิมิตที่เห็น ทำให้ข้าพเจ้าว้าวุ่นสับสน  16 ข้าพเจ้าก้าวเข้าไปใกล้ผู้หนึ่ง ซึ่งยืนอยู่ที่นั่น ขอให้ช่วยอธิบายความหมายของสิ่งทั้งปวงนี้  ดังนั้น เขาผู้นั้นจึงบอกข้าพเจ้า และให้คำอธิบายเกี่ยวกับสิ่งเหล่านี้ว่า 17 ‘สัตว์มหึมาทั้งสี่ คืออาณาจักรทั้งสี่ ที่จะรุ่งเรืองขึ้นในโลก 18 แต่ประชากรขององค์ผู้สูงสุดจะได้รับอาณาจักร และครอบครองตลอดไปชั่วนิจนิรันดร์’ 19 แล้วข้าพเจ้าต้องการรู้ความหมายแท้จริงของสัตว์ตัวที่สี่ ซึ่งแตกต่างจากตัวอื่นๆ และน่ากลัวที่สุด มีฟันเหล็กและมีอุ้งเล็บทองสัมฤทธิ์ สัตว์ซึ่งเคี้ยวขย้ำเหยื่อของมันและเหยียบย่ำส่วนอื่นๆ ที่เหลือจนแหลกลาญ 20 และข้าพเจ้าต้องการทราบเกี่ยวกับเขาทั้งสิบบนหัวของสัตว์ตัวนั้น และเขาอีกอันหนึ่ง ซึ่งโผล่ขึ้นมา ทำให้สามเขาถูกถอนออกไป เขานั้นโดดเด่นกว่าเขาอื่นๆ มันมีตาและมีปากซึ่งคุยโอ้อวด 21 ขณะที่ข้าพเจ้ามองดูอยู่ เขานั้น ก็เข้าทำศึกกับเหล่าประชากรของพระเจ้า และได้ชัยชนะ 22 จนกระทั่ง องค์ผู้ดำรงอยู่ตั้งแต่ดึกดำบรรพ์เสด็จมา และประกาศคำตัดสินให้ประชากรขององค์ผู้สูงสุดชนะ และเป็นเวลาที่พวกเขาได้ครอบครองอาณาจักร”

 

ความหมายในพระคัมภีร์มีตอนหนึ่งที่ผิด เพี้ยนไปนิดหนึ่ง คือที่บอกว่า “ขณะที่ข้าพเจ้ามองดูอยู่ เขานั้น ก็เข้าทำศึกกับเหล่าประชากรของพระเจ้า” ไม่ใช่นะ “เขาเล็กๆ นั้น คือแอนตี้ไคร์ซ หรือปฏิปักษ์พระคริสต์เข้าทำศึกกับเหล่าทูตสวรรค์” ไม่ใช่มนุษย์ เดี๋ยวเรียนไปเรื่อยๆ จะรู้ จำไว้แค่นี้ว่าแอนตี้ไคร์ซ ตัวใหญ่ตัวนี้ ทำศึกกับเหล่าทูตสวรรค์ รู้ไหมทูตสวรรค์พระเจ้าส่งมา เพื่อดูแลประชากรของพระเจ้า  เพื่อให้ความสะดวกสบาย ปกปักษ์คุ้มครองดูแลประชากรของพระเจ้าให้เป็นไปตามน้ำพระทัยของพระเจ้า

ในความฝันนี้ มีผู้ที่รู้ ซึ่งคาดว่าน่าจะเป็นทูตสวรรค์ อธิบายความหมายให้ฟังว่าสัตว์มหึมาทั้งสี่ คืออาณาจักรทั้งสี่ ที่จะรุ่งเรืองขึ้นในโลก ตั้งแต่สมัยบาบิโลน  คือยุคนี้เป็นยุคสุดท้ายแล้ว คือยุคที่พระเจ้ามาบอกล่วงหน้า จริงๆ บอกมาก่อนหน้า 2,600 ปี จนถึงปัจจุบัน และจากปัจจุบันไปจนถึงอนาคต จนสิ้นโลก จนพระเยซูกลับมา นี่คือช่วงนี้ ท่านจะได้ทราบ

สัตว์ตัวแรกที่ดาเนียลฝันเห็น คือสิงโต มีปีกเหมือนนกอินทรีย์ ถ้าเปรียบกับรูปปั้น ก็คือส่วนที่เป็นศีรษะ ทำด้วยทองคำ หมายถึงอาณาจักรบาบิโลน 2,600 ปีมาแล้ว เริ่มต้นตรงนี้

สัตว์ตัวที่สอง  ลักษณะเหมือนหมีคาบซี่โครง 3 ซี่ไว้ที่ปาก สัตว์ตัวนี้เปรียบได้กับรูปปั้น ส่วนที่สอง คือหน้าอกและแขน ซึ่งทำด้วยเงิน ที่เล็งถึงอาณาจักรมีเดียเปอร์เซีย ซี่โครง 3 ซี่ ที่หมีตัวนี้คาบเอาไว้ ก็อาจหมายถึงดินแดนหลักๆ ที่มีเดียเปอร์เซียได้ปราบมาแล้ว

สัตว์ตัวที่สาม ในความฝันของดาเนียลมีลักษณะเหมือนเสือดาว ที่หลังของมันมีปีก 4 ปีก คล้ายปีกนก สัตว์ตัวนี้มี 4 หัว เทียบกับรูปปั้นของกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ ก็คือส่วนท้องและต้นขา ที่ทำด้วยทองสัมฤทธิ์ เล็งถึงอาณาจักรกรีก และที่เปรียบเทียบเสือดาว ก็เพราะว่าในสมัยที่กรีกกำลังรุ่งเรืองนั้น มีการขยายอำนาจอย่างรวดเร็วมาก ดั่งเสือดาวที่วิ่งเร็วและแข็งแกร่ง ติดปีกอีกต่างหาก แข็งแกร่งดั่งทองสัมฤทธิ์ ในยุคของกษัตริย์อเล็กซานเดอร์มหาราชนั่นเอง

มาถึงตัวที่สี่ ตัวสุดท้าย ในความฝันของดาเนียล ซึ่งพระคัมภีร์กล่าวถึงสัตว์ตัวนี้ว่ามีลักษณะน่ากลัว สยดสยอง และมีฤทธิ์อำนาจมาก มันมีฟันเหล็กซี่มหึมา มันขย้ำเคี้ยวเหยื่อและเหยียบย่ำส่วนอื่นๆ ที่เหลือจนแหลกลาน สัตว์ตัวนี้ แตกต่างจากตัวอื่นๆ ตรงที่มีเขา 10 เขา เจ้าสัตว์ประหลาดตัวที่สี่นี้ เปรียบได้กับส่วนขาของรูปปั้นที่ทำด้วยเหล็ก ซึ่งเล็งถึงอาณาจักรโรม ที่ได้โค่นล้มกรีก

โรมันในยุคนั้น โหดร้ายมาก ตามล่า ขยายดินแดนไปทั่ว จึงถูกเปรียบเทียบเหมือนสัตว์ดุร้ายน่ากลัว บดขยี้แหลกลาน โหดเหี้ยมกว่าอาณาจักรอื่นๆ

ดาเนียลบอกว่าในบรรดาสัตว์ทั้งสี่ตัว อยากจะรู้ความหมายของสัตว์ตัวที่สี่มากที่สุด เพราะมันน่ากลัวที่สุด จึงอยากจะรู้จากพระเจ้าว่ามันหมายถึงอะไร? สัตว์ตัวที่สี่นี้ มีบันทึกไว้อย่างนี้ ในข้อที่ 8

ดาเนียล 7:8 “ขณะที่ข้าพเจ้ากำลังคิดเรื่องเขาต่างๆ อยู่นั้น ก็มีเขาเล็กๆ อีกอันหนึ่งโผล่ขึ้นมาท่ามกลางเขาอื่นๆ และทำให้สามในสิบเขาแรกนั้น ถูกถอนออกไป เขาเล็กนี้ มีตาเหมือนตามนุษย์ และมีปากซึ่งคุยโวโอ้อวด”

 

คือบางทีเราฟัง หรืออ่านจากนิมิตนี้ ดาเนียลไม่สามารถอธิบายอย่างละเอียดในสิ่งที่พระเจ้าให้เขาเห็นในนิมิต ในขณะนั้น ลึกซึ้งได้ ได้แค่เขียนตรงนี้ เหมือนเราฝัน บางทีเราบอกใครว่าเราเห็นอะไรในฝัน หมายถึงอะไรมันเยอะมาก และโดยเฉพาะอย่างยิ่งนิมิตเห็นล่วงหน้า ไม่รู้จะบอกว่าอย่างไร?

เขาเล็กๆ หนึ่งอันที่โผล่ขึ้นมาจากสัตว์ประหลาดตัวนี้ มีตาเหมือนตามนุษย์ และมีปาก ซึ่งคุยโวโอ้อวด ซึ่งอาจจะหมายถึงผู้ที่เราเรียกกันว่าปฏิปักษ์พระคริสต์ หรือแอนตี้ไคร์ซ ที่บอกว่าจะมีผู้ที่ต่อต้านองค์บริสุทธิ์ของพระเจ้า คือพระเยซู ก่อนที่พระองค์จะเสด็จมา จะมีผู้ต่อต้าน อย่างที่เราเรียนครั้งที่แล้วว่าต่อต้านพระเยซู ก็คือต่อต้านคนที่เชื่อพระองค์นั่นเอง ข่มเหงพระเยซู ก็คือข่มเหงคนที่เชื่อในพระเยซูคริสต์ มีบันทึกไว้ในข้อที่ 24-25 ดูสิว่าเขาสิบเขา กษัตริย์สิบองค์ เป็นอย่างไร?

ดาเนียล 7:24-25 “24 เขาสิบเขา คือกษัตริย์สิบองค์ ที่จะมาจากอาณาจักรนี้ ภายหลังจะมีกษัตริย์อีกองค์หนึ่งขึ้นมา ซึ่งแตกต่างจากองค์ก่อนๆ และจะโค่นล้มกษัตริย์สามองค์ลง 25 กษัตริย์องค์นี้ จะกล่าวลบหลู่องค์ผู้สูงสุด และกดขี่ข่มเหงประชากรของพระเจ้า จะพยายามเปลี่ยนแปลงกำหนดเวลาและบทบัญญัติต่างๆ ประชากรของพระเจ้า จะตกอยู่ในกำมือของกษัตริย์องค์นี้ ตลอดหนึ่งวาระ หลายวาระ และครึ่งวาระ”

 

นี่แหละที่ทำให้ดาเนียลกังวลใจมาก ถึงขนาดนี้เลยเหรอ นี่คือความหมายของเขาสิบเขา คือจะมีกษัตริย์เกิดขึ้น 10 องค์ จากเชื้อสายของกรุงโรม อาณาจักรโรมัน ซึ่งก็น่าจะหมายถึงกษัตริย์ทางแถบยุโรป ซึ่งมีเชื้อสายอิทธิพลมาจากโรมันรุ่งเรือง นึกภาพให้ดีๆ 10 อาจจะไม่ใช่ 10 องค์จริงๆ 10 คือครบถ้วน ครบตามจำนวน ก็คือครบถ้วนตามที่พระเจ้าวางไว้ ไม่ได้หมายถึงเลข 10 จริงๆ ก็ได้ และเขาเล็กๆ ที่งอกขึ้นมา ก็คือแอนตี้ไคร์ซ หรือคนที่กดขี่ข่มเหงคริสเตียน หรือคนที่เชื่อพระเยซูคริสต์ ตั้งแต่ยุคสมัยที่พระเยซูเป็นขึ้นจากความตาย และเข้าไปอยู่ในสวรรค์ใหม่ๆ ก็คือยุคเริ่มต้นโรมัน ในยุคโรมันก็มีแอนตี้ไคร์ซ

ในหนังสือยอห์น พระคัมภีร์ใหม่ก็บอกไว้ว่าวันหนึ่งข้างหน้า ยุคสุดท้าย จะมีแอนตี้ไคร์ซ ตัวใหญ่โผล่ขึ้นมา แล้วยอห์นก็บอกว่าแต่ว่าขณะนี้ ขณะที่ยอห์นพูดอยู่ คือขณะยุค 2,000 ปีแล้ว ที่พระเยซูเข้าไปอยู่ในสวรรค์ใหม่ๆ ยอห์นประกาศข่าวประเสริฐว่าแม้ว่าขณะนี้ ก็มีแอนตี้ไคร์ซ หรือผู้ที่เป็นปฏิปักษ์พระคริสต์อย่างนี้ เกิดขึ้นอยู่มากมาย ไปเรื่อยๆ ก็คือตัวเล็กๆ มาอยู่เรื่อยๆ

ยกตัวอย่างง่ายๆ ตัวเล็กๆ ก็คือจักรพรรดิเนโร ของจักรวรรดิโรมัน รุ่นแรกๆ รุ่นที่พระเยซูเป็นขึ้นมาใหม่ และเข้าไปอยู่ในสวรรค์ใหม่ๆ แล้วประชากรของพระเจ้าเริ่มประกาศข่าวดีนั้น จักรพรรดิเนโร แห่งอาณาจักรโรมัน ก็ข่มเหงคริสเตียนรุนแรงมาก จับไปย่างไฟบ้าง? จับไปให้สิงโตกินบ้าง ก็คือแอนตี้ไคร์ซตัวหนึ่ง

พระเจ้าต้องการส่งนิมิตนี้ ข่าวนี้ให้กับประชากรของพระเจ้าทุกคนตั้งแต่ตอนนั้น ไปจนกระทั่งสิ้นโลก รวมทั้งเราด้วยที่นั่งอยู่ที่นี่ ให้เรารู้ล่วงหน้า บอกเราว่ามีอะไรเกิดขึ้น บาบิโลนก็เจริญเติบโตขึ้นมา เสร็จแล้วบอกล่วงหน้าจากบาบิโลน ก็เป็นมีเดียเปอร์เซีย จากมีเดียเปอร์เซีย เป็นกรีก จากกรีก  เป็นโรมัน จากโรมันปุ๊บจะไม่มีอาณาจักรใดๆ ที่ใหญ่แบบคุมโลกแบบนี้อีกต่อไปแล้ว แล้วมันเป็นจริง ตั้งแต่อาณาจักรโรมันจนถึงทุกวันนี้ ไม่มีอาณาจักรใหญ่ๆ อย่างนั้นอีกต่อไปแล้ว มีแต่ดูเหมือนใหญ่ ตรงนี้ก็ใหญ่ ตรงนั้น ก็ใหญ่ กระจายกันไปหมด และส่วนที่กระจายไป ส่วนใหญ่นั้น มาจากเชื้อสายของอาณาจักรโรมทั้งสิ้น ตรงตามนิมิตนี้ทั้งหมด

แล้วขณะที่เรากำลังพูดถึงนี้ เรากำลังเล่าถึงเรื่องราวต่างๆ ในขณะที่ผมบอกท่านว่าขณะที่เรากำลังดูนิมิตที่พระเจ้าให้ ขณะเดียวกันในโลกฝ่ายวิญญาณ มีพระเจ้าบังคับอยู่ ควบคุมสถานการณ์อยู่ และขณะเดียวกัน ก็มีสงครามอยู่บนโลกใบนี้ แบบที่มองไม่เห็น คือทางโลกฝ่ายวิญญาณด้วยเช่นเดียวกัน ขณะที่บาบิโลนคุมอำนาจอยู่ ก็จะมีวิญญาณที่ไม่ดี เป็นวิญญาณที่ปกคลุมอยู่เหนือบาบิโลน ขณะเดียวกัน ทูตสวรรค์จะเข้ามาส่งข่าวให้กับดาเนียล ก็จะเจอทูตสวรรค์ที่ไม่ดี ต่อต้านไม่ให้มาส่งข่าว ต้องไปรบกันอีก คือกำลังจะบอกท่านว่าทูตสวรรค์เป็นฝ่ายเราก็มี เป็นฝ่ายที่ไม่ดีต่อต้านพระเจ้าก็มี แต่ทูตสวรรค์ที่เป็นฝ่ายเรามีมากว่า มี 2 ใน 3 ฝั่งโน้นมี 1 ใน 3 แต่ทั้งหมด ก็อยู่ในการควบคุมดูแล อยู่ในแผนการของพระเจ้า พ่อของเราทั้งสิ้น ดังนั้นไม่ต้องกลัว แต่ให้รู้ไว้ นิมิตที่ดาเนียลพูดถึง วันสุดท้ายทูตสวรรค์ฝ่ายเรา ที่ดูแลเราให้ความสะดวกสบายกับประชากรของพระเจ้า เป็นฝ่ายแพ้ ไม่ต้องตกใจกลัวเหมือนดาเนียล  ฟังต่อไปว่าอะไรเกิดขึ้น และพระเจ้าบอกอะไรเราต่อจากนี้

ในข้อที่ 25 บอกไว้อย่างนี้ว่า “กษัตริย์องค์นี้”

หมายถึงแอนตี้ไคร์ซ ปฏิปักษ์พระคริสต์ ผู้ต่อต้านพระคริสต์ กษัตริย์ หมายถึงผู้ที่มีอำนาจสูงสุด แล้วแต่จะเรียกชื่อไป เขาเรียกว่ากษัตริย์ คือผู้ที่เป็นผู้นำ ผู้นำในแต่ละประเทศ ทุกวันนี้ ต่างเรียกชื่อกันไป มีตั้งแต่กษัตริย์ก็มี นายกรัฐมนตรีก็มี ผู้สำเร็จราชการก็มี ประธานาธิบดีก็มี ซึ่งอนาคต เราไม่รู้ เขาจะเรียกชื่ออะไรต่อไป หมายถึงแอนตี้ไคร์ซเป็นผู้นำในยุคนั้น บุคคลนี้  “กษัตริย์องค์นี้ จะกล่าวลบหลู่องค์ผู้สูงสุด” หมิ่นพระเจ้า

“และกดขี่ข่มเหงประชากรของพระเจ้า”

ซึ่งหมายถึงคริสเตียนและผู้ที่เชื่อในพระเจ้า

“จะพยายามเปลี่ยนแปลงกำหนดเวลาและบทบัญญัติต่างๆ ประชากรของพระเจ้า จะตกอยู่ในกำมือของกษัตริย์องค์นี้ (หรือบุคคลผู้นี้ ผู้นำผู้นี้ แอนตี้ไคร์ซตัวนี้) ตลอดหนึ่งวาระ หลายวาระ และครึ่งวาระ”

และประชากรของพระเจ้า จะถูกมอบให้อยู่ใต้อำนาจของแอนตี้ไคร์ซตัวนี้ ซึ่งพระเจ้าบอกเป็นแผนการของพระองค์ทั้งหมด ใครเป็นผู้อนุญาตให้พระเยซูถูกตรึงที่ไม้กางเขน  ถ้าพระเจ้าบอกไม่อนุญาต ทำไม่ได้

ความหมายก็คือเขาเล็กๆ ที่งอกขึ้นมานี้ ที่บอกว่าเล็งถึงปฏิปักษ์พระคริสต์ตัวนี้ จะกดขี่ข่มเหงประชากรของพระเจ้า จะพยายามทำลายแผนการของพระเจ้า จะพยายามขัดขวางงานของพระเจ้าทุกชนิด ทุกอย่าง ซึ่งอ่านตะกี้นี้ ทำสำเร็จหรือเปล่า? สำเร็จ เพราะในหนังสือตะกี้บอกว่าประชากรของพระเจ้าได้ถูกมอบให้อยู่ใต้มือของกษัตริย์องค์นี้ ก็คืออยู่ใต้อำนาจของมัน ก็สำเร็จสิ คือข่มเหงเราได้  แปลว่าประชากรของพระเจ้าแพ้

ท่านเคยดูซุปเปอร์แมนหรือเปล่า? ตอนนี้ถูกดูดพลังไปหมด นอนอยู่ในถ้ำคริสตัส แพ้คริสตัล เจอคริสตัลปุ๊บ พลังถูกดูดไปหมด แพ้ จบ หน้ากากผีชนะ ตอนนี้ พลเมืองในประเทศสหรัฐอเมริกาและทั้งโลก จะเดือดร้อนไปหมดเลย เพราะว่าซุปเปอร์แมนไม่มาช่วย  ซุปเปอร์แมนเองก็ช่วยตัวเองไม่ได้ แต่ในหนังตอนจบ เขาก็เขียนให้มีคนไปช่วย ให้ซุปเปอร์แมนมีพลังมาใหม่ กลับมาชนะ ตอนจบพระเอกชนะ เรื่องนี้ประชากรของพระเจ้าเป็นพระเอก

ตอนท้ายของข้อความตะกี้บอกว่าประชากรของพระเจ้า จะตกอยู่ในกำมือของกษัตริย์องค์นี้ ปฏิปักษ์พระคริสต์ผู้นี้ แอนตี้ไคร์ซตัวนี้ ตลอดหนึ่งวาระ หลายวาระ และครึ่งวาระ

คำว่า “หลายวาระ หนึ่งวาระ และครึ่งวาระ” หมายถึงเวลาเท่าไร? มันแปลว่ามันมีกำหนดเวลาสิ้นสุด แต่ไม่แน่นอนว่าเมื่อไร? ก็คือรู้ แต่ไม่รู้ รู้ว่าเท่าไร? รู้ว่าชั่วคราว รู้ว่าแป๊บเดี๋ยว อย่างนี้เป็นต้น

และเมื่อมีกำหนดเวลา ก็แปลว่ามันไม่ได้เป็นถาวร มันไม่ได้นิรันดร์ และเมื่อไม่ใช่ถาวรนิรันดร์ ก็แปลว่าเป็นการชั่วครั้งชั่วคราวเท่านั้น สรุปว่าประชากรของพระเจ้าจะแพ้ เป็นการชั่วคราว  ตามกำหนดเวลาที่พระเจ้าวางแผนไว้ ไม่มีใครรู้ และไม่ต้องไปพยายามหาด้วย พระเยซูก็ไม่รู้ พระเจ้ารู้แต่ผู้เดียว และหลังจากที่ประชากรของพระเจ้าตกอยู่ภายใต้การกดขี่ข่มเหงรังแกของแอนตี้ไคร์ซตัวนี้ เป็นระยะเวลาหนึ่งแล้ว มาดูว่าเกิดอะไรขึ้นต่อจากนี้  ดาเนียล 7:26-27 นี่แหละคือข่าวดีของท่าน

ดาเนียล 7:26-27 “26 แต่การพิจารณาคดีจะเริ่มขึ้นแล้ว  ฤทธิ์อำนาจของกษัตริย์องค์นั้น  จะถูกนำออกไป และถูกทำลายล้างไปอย่างสิ้นเชิง  27 แล้วประชากรขององค์ผู้สูงสุด  จะได้รับสิทธิครอบครองอำนาจ และความยิ่งใหญ่ของอาณาจักรต่างๆ ทั่วใต้ฟ้า  ราชอาณาจักรของพระเจ้าจะยั่งยืนชั่วนิจนิรันดร์  ผู้ครอบครองทั้งปวงจะนอบน้อม เชื่อฟัง และนมัสการพระองค์”

 

หลังจากประชากรของพระเจ้าพ่ายแพ้ ชั่วคราวเท่านั้น แต่การพิจารณาคดี เริ่มขึ้นแล้ว  ฤทธิ์อำนาจของแอนตี้ไคร์ซตัวนั้น  ถูกปลดออก ถูกนำออกไป ถูกลบล้างอย่างสิ้นเชิง  แล้วประชากรขององค์ผู้สูงสุด ก็คือเราท่าน จะได้รับสิทธิครอบครองอำนาจ และความยิ่งใหญ่ของอาณาจักรต่างๆ ทั่วใต้ฟ้า ราชอาณาจักรของพระเจ้า จะยั่งยืนอยู่นิตย์นิรันดร์ เอเมน

พระเจ้าให้ดาเนียลเห็นภาพ จึงเขียนออกมาอย่างนี้ ที่ท่านเห็น พอมาถึงเราในยุคปัจจุบัน เราก็ต้องเห็นภาพแบบเราในยุคปัจจุบัน ท่านเห็นภาพไหมว่าเจ้าแอนตี้ไคร์ซหรือปฏิปักษ์พระคริสต์ตนนี้ที่ว่ามันใหญ่มาก คับโลกนี้  ตอนนี้มันได้ยินเสียงพระเจ้ามา หดไปไม่เหลือเลย ในนี้บอกว่าสิ้นซากตลอดกาล ราชอาณาจักรของพระเจ้าจะยั่งยืนอยู่ชั่วนิจนิรันดร์ แล้วเอาอาณาจักรฤทธิ์เดชอำนาจมาให้กับฝั่งลูกของพระเจ้า คือประชากรของพระเจ้า คือเราทั้งหลายที่เชื่อในพระองค์ ไม่ใช่หนึ่งวาระ  ครึ่งวาระ ไม่ใช่ แต่ให้เรานิรันดร์ และหลังจากนั้นเกิดอะไรขึ้น พระคัมภีร์บันทึกไว้แล้ว

“ประชากรขององค์ผู้สูงสุดจะได้รับสิทธิครอบครองอำนาจ และความยิ่งใหญ่ของอาณาจักรต่างๆ ทั่วฟ้า ราชอาณาจักรของพระเจ้าจะยั่งยืนอยู่ชั่วนิรันดร์”

หลังจากนั้นบรรดาผู้ที่เชื่อในพระเยซูคริสต์ เชื่อในการไถ่บาปของพระเยซู จะได้ครอบครองอาณาจักรต่างๆ ทั่วใต้ฟ้า ก็คืออาณาจักรทั้งหมดในโลกนี้  และที่สำคัญ อาณาจักรเหล่านี้ จะยั่งยืนถาวรชั่วนิรันดร์ ไม่ต้องมีหนึ่งวาระ ครึ่งวาระอีกต่อไป

นี่คือบทสรุปของนิมิตตามความฝันของดาเนียล ในบทที่ 7 ที่ผมบอกว่าสำคัญมาก ซึ่งตอนที่พระเยซูมาเกิดเป็นมนุษย์ ตอนที่พระเยซูเดินอยู่บนโลกใบนี้  เดินอยู่กับเหล่าสาวก พระองค์ก็ได้ตรัสย้ำยืนยันว่าเป็นอย่างนี้แหละ เอามาให้อ่านกันนิดหนึ่ง มัทธิว 25:31-34

มัทธิว 25:31-34 “31 เมื่อบุตรมนุษย์เสด็จมา ด้วยพระเกียรติสิริของพระองค์ พร้อมด้วยทูตสวรรค์ทั้งหมด พระองค์จะประทับบนบัลลังก์ของพระองค์ ด้วยพระเกียรติสิริแห่งฟ้าสวรรค์ 32 มวลประชาชาติจะมาชุมนุมกันต่อหน้าพระองค์ และพระองค์จะทรงแยกประชากรออกจากกัน  เหมือนคนเลี้ยง แยกแกะออกจากแพะ 33 แกะนั้น จะทรงให้อยู่เบื้องขวาของพระองค์ ส่วนแพะ อยู่เบื้องซ้าย 34 “แล้วองค์ราชัน จะตรัสกับบรรดาผู้ที่อยู่เบื้องขวาของพระองค์ว่า ‘ท่านผู้ได้รับพร จากพระบิดาของเรา มารับมรดกของท่านเถิด  คืออาณาจักรที่เตรียมไว้สำหรับท่าน ตั้งแต่ทรงสร้างโลก

 

อาณาจักรที่เตรียมไว้สำหรับท่าน … ท่านคือผู้เชื่อในพระเยซู คริสเตียน

แกะในที่นี้ ก็คือผู้ที่เชื่อและวางใจในพระองค์ ก็คือประชากรของพระเจ้า ก็คือพวกเรา พระเยซูตรัสเองเลยว่าพวกเราที่เป็นประชากรของพระเจ้า จะไปอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้า และได้รับมรดก คืออาณาจักรที่ได้ทรงจัดเตรียมไว้ให้กับเราตั้งแต่ก่อนสร้างโลก ซึ่งอย่างที่ผมบอกตั้งแต่แรกแล้วว่านี่คือสิ่งที่พระเจ้าต้องการให้เราได้รู้ล่วงหน้าว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นบ้าง คือบอกเป็นภาพเป็นฉากๆ ให้เห็นเลย พอให้รู้ล่วงหน้าถึงเหตุการณ์สำคัญหลักๆ ที่จะเกิดขึ้น เพื่อเราจะไม่ต้องตกใจกลัว เมื่อเหตุการณ์มันเกิดขึ้นจริง จะได้รู้ว่าอ๋อ! พ่อเราควบคุมอยู่ เพราะฉะนั้น จากนี้ต่อไป ท่านเดินออกไป เจออะไรที่ไม่ค่อยดี พูดกับตัวเองว่าใจเย็นๆ พ่อเราคุมอยู่ และเรามีความหวังใจว่าไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นในอนาคต แต่สิ่งสุดท้ายที่จะเกิดขึ้นแน่นอน ก็คือสิ่งที่เรียกว่าชัยชนะที่เราจะได้รับร่วมกับพระเยซูคริสต์ และได้ครอบครองอาณาจักรร่วมกับพระเยซูคริสต์ชั่วนิรันดร์ ซึ่งแน่นอน โดยเนื้อหนังเรา แม้จะรู้อย่างนี้ การอยู่บนโลกใบนี้ เราก็อดที่จะวิตกกังวลไม่ได้ เมื่อเจอความทุกข์ยากลำบาก แต่มันจะมีวาระของมัน มันเป็นแค่เวลาชั่วคราว ถึงท่านลำบากอย่างไร? ท่านบอกไม่ไหวๆ ถึงเวลา พระเจ้าบอกพอแล้ว ท่านก็เริ่มไหวเอง มันจะเป็นอย่างนี้ แล้วตอนจบ ก็จะเป็นตามที่เราได้อ่านเมื่อสักครู่นี้ นิมิตตอนจบ ก็คือเราได้รับชัยชนะ และได้ครอบครองอาณาจักร ก็คือสวรรค์นั่นแหละ ร่วมกับพระเยซูนิรันดร์กาลแน่นอน

แต่อย่างที่บอก ถึงแม้จะให้รู้ล่วงหน้าอย่างนี้ มาหาพระเจ้าก็เหมือนเด็กๆ เหมือนลูกๆ ของพระองค์ ก็อดที่จะถามพระเจ้าไม่ได้ เมื่อไรจะถึงวันนั้น? หลายคนอดใจไม่ไหว ก็เอาวาระ ครึ่งวาระ ไปคำนวณกันใหญ่ หากันใหญ่ว่าคงวันนี้ วันนั้น ก็ได้แต่ความกังวลเพิ่มเติม เพราะไม่ถูกสักคน เพราะพระเยซูบอกไม่มีใครรู้ แล้วจะไปหาทำไม ที่หา เพราะมันกังวล มันอยากรู้ แต่พระเจ้าบอกไม่ต้องไปหาหรอก ไม่ได้ตั้งใจให้ไปสนใจว่าเวลานั้น มันคือเมื่อไร? แต่ให้สนใจแค่ว่าเมื่อเวลานั้นมาถึงจะเป็นอย่างไร? จะคุ้มค่าการรอคอยของเราไหม? และให้เชื่อวางใจว่ามีวันนั้นแน่ๆ วันแห่งชัยชนะ พระองค์สัญญากับเราแล้วว่าอย่างนั้น มันก็จะเป็นอย่างนั้นแน่นอน  เป๊ะๆ

ผมจะยกตัวอย่าง ให้ท่านเห็นว่าวาระเป็นลักษณะอย่างไร? ตอนที่โต๋เต๋เล็กๆ ก็พาเขาไปเที่ยวต่างจังหวัด สมมติบอกเขาว่าจะพาไปว่ายน้ำตกปลาที่ไหน? ต้องขับรถไปประมาณ 3 – 4 ชั่วโมง ดีใจใหญ่ พอขับรถออกไปแค่ 15 นาที ถามแล้ว ถึงหรือยัง? เมื่อไรพ่อ? โต๋ถามน้อยหน่อย แต่เต๋ถามเยอะ  เลยไปอีก 15 นาที

“พ่อเมื่อไรถึง?”

ผมก็บอกว่า “เดี๋ยวอีกครึ่งชั่วโมงจะแวะปั๊มเข้าห้องน้ำ แล้วก็จะขับรถไปอีก 2 ชั่วโมง”

เขาก็ฟัง แล้วก็หลับไป พอตื่นขึ้นมา ก็ถามอีกแล้วว่า …

“ถึงหรือยัง?  ไหนบอกว่าจะถึงแล้วไง?”

ผมก็บอกต่อไปว่า “อีกชั่วโมงกว่า”

ขับไปอีกแค่ประมาณ 10 นาที ก็น่าจะถึงแล้ว  พอ 10 นาทีต่อไป ยังไม่ทันเลี้ยวเข้าทะเลเลย ถึงหรือยัง? เด็กๆ เป็นอย่างนี้ คือเขายังไม่เข้าใจว่าที่ผมอธิบายว่าอีก 10 นาที แล้วอีก 1 ชั่วโมง แล้วก็อีกครึ่งชั่วโมง มันหมายความว่านานแค่ไหน? เพราะว่าเด็กเกินไป มันเกินความเข้าใจของเด็ก แต่พอไปถึงที่หมาย ไปถึงที่เล่นแล้ว สนุกสนาน ลืมไปเลยว่าความเบื่อหน่ายของการนั่งรถมาเป็นอย่างไร? นั่งรถนานๆ มันน่าเบื่อขนาดไหน? สนุกสนานกับที่เล่น ที่เที่ยว กิจกรรมที่เตรียมไว้ทั้งหมด

พวกเรากับพระเจ้าก็เป็นอย่างนี้แหละ พอเจอปัญหา เจอความทุกข์ ก็จะถามพระเจ้าว่า …

“เมื่อไรพระเยซูจะกลับมาสักที ไหนบอกว่าจะจบโลกนี้ มันจบเมื่อไรล่ะ เมื่อไรจะถึงเวลาที่เราได้ครอบครองอาณาจักรร่วมกับพระเยซูสักทีที่พระองค์บอกไว้”

พระเจ้าก็ตอบเราแบบเดียวกันกับที่เราตอบลูกแหละ พระเจ้าจะตอบเราว่า …

“รอแป๊บหนึ่ง เดี๋ยวอีกครึ่งวาระ อีกหนึ่งวาระ อีกสองวาระ ก็จะถึงแล้ว เข้าใจไหม?”

เราก็จะตอบว่า “ไม่เข้าใจ”

แล้วพระเจ้าก็เงียบไป แล้วเราก็เงียบไป (แป๊บเดียว) เดี๋ยวก็ถามพระเจ้าใหม่

“ไหน จะถึงหรือยัง? ไหน หมดวาระหรือยัง? เมื่อไรจะถึงสักที”

เราเห็นความน่ารักของพระเจ้าหรือยัง? เป็นอย่างนี้แหละ

เมื่อ 2 ปีที่แล้ว นี่ก็อีกอันหนึ่ง ผมมีโอกาสเดินทางไปนิวซีแลนด์ ที่เกาะใต้ ก่อนไป ก็คุยกันแล้วนะว่าทริปนี้ เราจะเดินทางไปแบบสมบุกสมบัน เพราะตั้งใจจะไปดูบรรยากาศช่วงหนาวที่สุดของที่นั่น เคยเห็นในรูปภาพ อยากจะไปดู มันสวยจริงๆ อย่างนั้นไหม? เดินทางก็ลำบาก นั่งเครื่องบินจากกรุงเทพฯ 10 กว่าชั่วโมง แล้วก็ต้องต่อเที่ยวบินในประเทศนั้น แบกกระเป๋าเอง เช่ารถอีก เพื่อที่จะไปเป้าหมายที่ไปดู เหมือนไปต่างจังหวัดของเขา ซึ่งเป็นฤดูหนาว มีพายุหิมะ ตอนระหว่างเดินทางมันชักเหนื่อย ผมคิดในใจว่านี่ให้มาเที่ยวหรือให้มาฆ่าตัวตาย กระเป๋าไม่ใช่เล็กๆ แบกไปแบกมา แล้วคุณคิดดูนะ รถเช่า ต้องแบกขึ้นไป 4 – 5 ใบ แล้วก็ขับไป เหนื่อย มันฝืนสังขารด้วย ยังไม่ทันถึงเลย เริ่มเห็นหิมะตกมานิดหนึ่ง ดีใจมากเลย  ลงไปถ่ายรูปกันใหญ่  แต่พอไปถึงสุดท้าย รูปแรกลบทิ้งหมด มันไม่สวยเลย มันสวยขึ้นไปเรื่อยๆ ภาพที่เห็นยิ่งกว่าในโปสการ์ดคริสตมาสที่เราดู นี่ของจริงเลย จับได้เลย แสงเวลามันผ่านเกล็ดหิมะเป็นประกาย คล้ายคริสตัล สวยงาม แล้วมันเกิดอะไรขึ้น ที่เราเดินทางมาเหนื่อย มาตั้งนาน แบกของอะไรต่างๆ มันหายเหนื่อย มันรู้สึกคุ้มค่าจริงๆ แต่อย่างว่านี่มันเปลี่ยนไม่ได้ เพราะถึงแม้จะคุ้มค่าอย่างไร? สนุกอย่างไรก็ตาม พอ 10 วัน ก็เตรียมตัวเหนื่อยอีกแล้ว กลับมา มันมีวันจบของมัน คือ 10 วันกลับมา ขากลับเซ็งเลย  เพราะว่ามันไม่มีความหมายแล้ว กลับมาต้องทำงานอีก ขอบคุณพระเจ้า แต่ในสวรรค์ที่พระเจ้าบอกเรา ไม่ต้องกลับมาอีกแล้ว สวรรค์สถาน ที่เราจะไปอยู่ ที่พระเจ้าบอกรอบนโลกใบนี้แค่วาระ สองวาระ สามวาระ แค่แป๊บเดียวเอง  แล้วจากนั้นไป อยู่ที่สบาย ที่พระเจ้าเตรียมไว้ให้กับเราแล้ว อาณาจักรที่เราจะครอบครองร่วมกับพระเยซู มันอยู่นิรันดร์ มีร่างกายพิเศษที่พระเจ้าจัดเตรียมไว้ให้เรียบร้อยแล้ว เหมือนพระเยซูคริสต์ และจะอยู่บนโลกใบนี้ เป็นโลกใหม่ที่พระเจ้าสัญญาว่าจะทำให้กับเราใหม่เอี่ยม ไม่ใช่แบบนี้ และจะอยู่กับพระองค์นิรันดร์กาล

โลกใหม่ที่พระเจ้าจัดเตรียมไว้ให้กับเรา ซึ่งเราเรียกกันง่ายๆ สั้นๆ ตามประสาพ่อลูกว่าสวรรค์ ของพระเจ้า สวรรค์ คืออาณาจักร อาณาจักรหนึ่ง ในพระคัมภีร์บอกว่าโลกใหม่ เพราะฉะนั้น เหมือนโลกใบนี้แหละ แต่มันใหม่ ไม่ต้องไปคิดอะไรมาก อาณาจักรสวรรค์ที่เราจะไปอยู่ข้างหน้า มันก็น่าจะเป็นความรู้สึกคล้ายๆ แบบที่เราดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ แต่ต่างกันตรงที่เราจะอยู่ถาวรนิรันดร์และอยู่อย่างมีความสุขแบบนิรันดร์ และถ้าท่านคิดว่าอยากจะสัมผัสว่าความรู้สึกเมื่อได้ไปอยู่ในสวรรค์สถานแล้วจะเป็นอย่างไร? ผมพยายามเหลือเกินว่าจะเอาความรู้สึกมาให้ท่านเห็นภาพนิดๆ ผมคิดว่าถ้าท่านฟังเรื่องนี้ จากนี้ต่อไปที่ผมจะอธิบาย ท่านพอจะสามารถเห็นรางๆ แล้วก็สัมผัสได้ว่าดีใจ มันมีจริงๆ ใช่ๆ ท่านลองสังเกตดูความรู้สึกขณะที่ดำเนินอยู่บนโลกนี้เป็นอย่างไร? ตอนนี้เป็นอย่างไร? อย่างน้อยๆ เรารู้แล้วว่าสวรรค์ที่พระเจ้าจะให้เราไปอยู่ครอบครองนั้น มันก็คือโลกใบนี้ แต่สร้างใหม่ ทำใหม่ ระบบใหม่ แต่ก็เป็นโลกใช่ไหม? โลกนี้เขาทำอะไรกัน อย่างนั้นแหละ แต่ของใหม่ ปรับปรุงใหม่ ดีกว่าเก่า

อย่างเช่น นึกภาพปัจจุบัน ความสวยงามของธรรมชาติ ความสวยงามของดอกไม้ ที่ท่านเห็นอยู่บนโลกใบนี้ เดี๋ยวนี้ ในสวรรค์จะสวยกว่านี้ และมีมากกว่านี้ เป็นล้านๆ เท่า ทุกวันนี้ท่านดูดอกกุหลาบหรือดอกอะไร?  สวยมาก มันจะสวยกว่าที่ท่านเห็นเป็นล้านๆ เท่า แล้วมีมากกว่าล้านๆ ชนิด ท่านจะมีความสุข ท่านมีความรู้สึกว่าตื่นขึ้นมาในเช้าวันหนึ่ง แล้วรู้สึกสดชื่น เมื่อคืนก่อนนอนก็ได้รับข่าวดีว่าลูกสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้ ลูกได้งานใหม่ วันนี้นอนหลับสบาย 8 ชั่วโมงเต็มอิ่ม ตื่นขึ้นมา มีความสุขมากเลย ทุกคนต้องมีแน่นอน

ในสวรรค์มันจะเป็นอย่างนี้  ท่านจะหลับสนิท 8 ชั่วโมงอย่างนั้นทุกคน ท่านไม่ต้องพึ่งเมลาโทนิน ไม่ต้องกินคาโมมายด์พวกนี้ช่วยได้ ไม่ต้องกล่อมประสาท ท่านหลับสบายทุกคืน ตื่นขึ้นมาก็สดชื่นอย่างที่ท่านได้สัมผัสนิดๆ หน่อยๆ บนโลกใบนี้ แต่มันมากกว่านั้นอีกเป็นล้านๆ เท่า และมันไม่ได้เป็นแค่ 2 วัน 3 วัน แต่มันเป็นทุกวันๆ ในพระคัมภีร์บอก … ใหม่ทุกเช้า เร้าในดวงใจ ซาบซึ้งทุกๆ วันใหม่ พระองค์ทรงความเที่ยงตรงยิ่งนัก

ท่านลองคิดดูทุกวัน ถามว่าท่านสัมผัสได้ไหม? ถ้าใช่จริงๆ เรามีความสุขจริงๆ ใช่ไหม? หรือทุกวันนี้ ท่านเดินไปไหน? คนนี้หน้าตาไม่รับแขกเลย เซ็งมากเลย เกลียดคนนั้น ไม่ชอบคนนี้  ท่านรำคาญตัวเองไหม?  ทำไมเราเป็นคนนิสัยอย่างนี้ เดี๋ยวก็น้อยใจ เราก็รำคาญตัวเอง เดี๋ยวไปอิจฉาคนอื่นๆ เดี๋ยวไปเกลียดคนนี้ เกลียดเขาทำไม? วุ่นวายไปหมด แต่ในสวรรค์สถาน ท่านจะไม่เกลียดใครอีกแล้ว มองใครน่ารักทุกคนเลย เพราะความรักของพระเจ้าอยู่กับท่าน คนอื่นมองท่านก็น่ารัก ท่านมองคนอื่นก็น่ารัก เพราะไม่มีบาปแล้ว บริสุทธิ์หมด แล้วท่านคิดดู ทุกวันนี้ท่านมองใครน่ารักไปหมด ท่านยังมีความสุขมากเลย ท่านไปช่วยใครสักคนหนึ่งให้เขาพ้นจากความทุกข์ยากลำบากแค่นิดเดียว ท่านจะมีความเบิกบานเลย

แต่อยู่ที่นั่นท่านจะเป็นอย่างนี้ ทุกเสี้ยววินาที เต็มไปด้วยความรัก สดชื่น ทุกๆ วัน ไม่ใช่วาระหนึ่ง ครึ่งวาระ แต่เป็นตลอดไป ทุกวันอาทิตย์ท่านมาโบสถ์ บางครั้งเขานมัสการอยู่ เผอิญวันนี้เล่นเพลงนี้ เพราะจริงๆ น้ำหูน้ำตาไหล พระเจ้าอยู่นี่ เพลงนี้ซึ้งมาก ร้องเพลงนี้ดีมากเลย ดีเอาเพลงนี้มาร้องอีก พอร้องไปอีก 4-5 เที่ยว ท่านบอกเบื่อแล้ว มีเพลงอื่นไหม? ท่านบอกขอเพลงใหม่ เพราะเรายังอยู่โลกเก่า ถูกไหม? แล้วท่านนึกถึงความซาบซึ้งตอนที่ท่านมาสัมผัสเพลงนั้นใหม่ๆ แล้วมันตรงใจ ตรงกับสถานการณ์วันนี้ มันลึกเข้าไปในใจ แบบไม่รู้จะบอกว่าอย่างไรเลย มันจะเป็นความสุขอย่างนั้น มากกว่าเป็นล้านๆ เท่าในโลกวิญญาณ ในสวรรค์สถาน เพราะในสวรรค์สถานมันจะมีเพลงใหม่มาทุกเสี้ยววินาทีเลย คนที่มีหน้าที่เขียนเพลงใหม่นั้น  ก็จะเขียนตลอดเวลา และมีสติปัญญามากกว่านั้นตั้งเยอะแยะ มีเวลาเขียนทั้งวัน มีความสุขในการเขียนเพลงใหม่ทุกวัน เราก็จะได้ยินได้ฟังเพลงใหม่ทุกวัน ความรู้สึกซาบซึ้งในเพลงทุกวันๆ ทุกเสี้ยววินาที เดินไปไหนก็ร้องไปหมด ทุกเสี้ยววินาที ตอนที่ท่านได้รับในโลกใบนี้ มันเป็นอย่างไร?  มันมากกว่านั้นอีกหลายล้านเท่า

หรือแม้แต่ท่านอธิษฐานอยู่ บางครั้งในห้องส่วนตัวหรือที่ในรถก็ตาม บางครั้งที่ท่านอธิษฐาน  แล้ววันนั้นเผอิญช่วงนั้น ตอนนั้นพอดี สัมผัสว่าพระเจ้าอยู่ด้วย พระเจ้าตอบมาพอดี ท่านร้องไห้ ขอบคุณพระเจ้า พระเจ้าอยู่ที่นี่ มีความสุขไหม?  แต่ในสวรรค์สถานที่ท่านจะไปอยู่ ท่านสัมผัสพระเจ้าตลอด 24 ชั่วโมง ทุกเสี้ยววินาที ท่านจะเห็นพระเจ้าหน้าต่อหน้า ก็จะมีความสุขอย่างนั้นมากขึ้นกี่ล้านเท่า ทุกวันนี้เราไปสวนสัตว์ ผมชอบสัตว์มาก ทุกคนแหละ เพราะมนุษย์ พระเจ้าสร้างมาให้รักสัตว์อยู่แล้ว เพราะสัตว์เป็นเพื่อนเรา  ทุกวันนี้เรากินมันซะเลย มันก็พยายามจะกินเรา ต่างคนต่างเป็นศัตรูกัน แต่ในใจลึกๆ ก็ยังรักกัน ทุกคนจึงไปสวนสัตว์ สวนสัตว์ก็เป็นสิ่งที่ลูกเด็กเล็กแดง และผู้ใหญ่ คนแก่คนเฒ่าชอบ เรารักเขา แต่เราไม่สามารถเข้าใกล้เขาได้ เขาจึงมีสวนสัตว์ ใส่กรงให้เราดู แต่ที่เห็นนี้ ไม่มีกรงนะ ความใจกล้ามีแต่กระจก แล้วเราก็อยาก รู้ไหม? ในสวรรค์พระเจ้าบอกว่าท่านจะคุยกับสิงโต กอดสิงโต คุยกัน เป็นเพื่อนกัน ท่านจะมีความสุขเท่าไร? ทุกวันนี้ เวลาผมเครียดๆ ผมอยากพักผ่อน ผมก็จะไปสวนสัตว์ บางคนถามว่าไปทำไมบ่อยๆ ไม่รู้ อยากไปให้มันกินมั้ง บางทีมันหงุดหงิด อยากให้มันกินๆ ไปหมดเรื่องหมดราว มันโดดลงไปได้ไหม?  ดูแล้วสบายใจ วันหนึ่งข้างหน้า เมื่ออยู่ในสวรรค์ เราจะได้ไปเจอกับมัน เป็นเพื่อนกัน อย่างนี้ ยังมีอีกหลายเรื่อง อยากให้ท่านได้รู้ว่ามันเป็นอย่างนี้ มันไม่ใช่สิ่งที่เกินเอื้อม

สวรรค์ คือเราคงไม่ไปไหน วันๆ นั่งแต่ร้องเพลง ไม่ใช่น่าเบื่อขนาดนั้นหรอก ก็เป็นอย่างที่เราเป็นอยู่ทุกวันนี้ แต่มันดีกว่านี้ เขาเรียกว่าโลกใหม่ สวยกว่านี้ ดีกว่านี้ ยอดเยี่ยมกว่านี้ ร่างกายเรา เราไม่ต้องตื่นขึ้นมา วันนี้ปวดหัว เราจะไม่มีภูมิแพ้ เรามีแต่ภูมิชนะ เราไม่มีเป็นหวัด เราไม่มีอุบัติเหตุ เราไม่มีมะเร็ง เราไม่มีโรคเบาหวาน เราอยากกินของหวาน เชิญเลย อยากกิน กินไป แต่ถึงวันนั้น เราอาจจะไม่อยากกินก็ได้  เราอยากกินอย่างอื่นก็ได้  อาจจะมีผลไม้ที่อร่อยกว่านี้ตั้งเยอะ เพราะผลไม้ทุกวันนี้ อร่อย ยังสู้ผลไม้ในอนาคตที่พระเจ้าทรงเตรียมไว้ให้เราไม่ได้ เป็นล้านๆ เท่า ล้านๆ ชนิด อร่อยกว่าทุกวันนี้ตั้งเยอะ เพราะฉะนั้น ทุกวันนี้ อย่าไปกินเยอะเลย เตรียมไว้กินข้างหน้า ทุกวันนี้กินเยอะ ก็เป็นโรคอีก กินอร่อยเหรอ อร่อยกินไม่ได้ เดี๋ยวเป็นเบาหวาน เดี๋ยวเป็นมะเร็ง แทบจะไม่ต้องกินอะไรเลย เพราะอันนี้ก็เป็นอันนั้น อันนั้นก็เป็นอันนี้ มันเครียดไปหมดเลย มันวาระเดียว  เพราะฉะนั้น อยากกินอะไรตอนนี้ อดทนไว้ อย่าเพิ่งกิน แล้วก็พูดในใจ ขอฉันรอแค่หนึ่งวาระ สองวาระ สามวาระ แล้วถึงวันนั้น ฉันจะกลับมากินแกให้หมดเลย วันนี้ ท่านก็ต้องอดทน ถ้าท่านกินไม่เลือก มันก็จะเกิดสุขภาพไม่ดี มันก็เป็นอย่างนี้ มันก็บาป เสียหายไปหมดแล้ว พระเจ้ากำลังสร้างใหม่ แล้ววันนั้นจะมาถึง คือวันที่เราครอบครองเป็นนิตย์ร่วมกับพระองค์ในสวรรค์สถานนิรันดร์กาล เขาจึงมีเพลงนี้ให้เราร้อง “มีสถานอันงดงามเลิศนักหนา”  เอเมน  ขอพระเจ้าอวยพรครับ

 

************************

 

คำหนุนใจ Pre Sermon วันอาทิตย์ที่ 19 มีนาคม 2017 เรื่อง “Palm Sunday” โดย นคร เวชสุภาพร

คำหนุนใจ Pre Sermon วันอาทิตย์ที่ 19 มีนาคม 2017

เรื่อง “Palm Sunday”

โดย นคร  เวชสุภาพร

 

สวัสดีครับ ช่วงนี้ ก็เป็นช่วงเวลาแห่งเริงฤดูร้อน Summer Holiday นึกถึงอะไร? นึกถึงทะเล ต้องนึกถึงเตือนกันบ่อยๆ ทุกฤดูร้อน เทศกาลของพวกเรา ตื่นเต้นที่สุด ก็คือการระลึกถึงอีสเตอร์ ประมาณปลายๆ มีนาคมถึงประมาณค่อนไปทางปลายๆ นิดๆ เดือนเมษายน วันใดวันหนึ่ง ช่วงนี้ เป็นช่วงที่เราเตรียมความพร้อม สำหรับการเข้าสู่เทศกาลอีสเตอร์ เตรียมตัวที่จะมาระลึกถึงการสิ้นพระชนม์ของพระเยซูคริสต์ในวันศุกร์ประเสริฐ ปีนี้ วันที่ตรงกับวันศุกร์ประเสริฐ ก็คือวันศุกร์ที่ 14 เมษายน 2017 และรวมกันเฉลิมฉลองแน่นอนวันที่ 3 พระเยซูทรงเป็นขึ้นมาใหม่ จึงทำให้เรามีวันนี้แหละ วันที่เราได้นั่งที่นี่ เป็นลูกของพระเจ้า วันที่พระเยซูทรงเป็นขึ้นจากความตาย ก็คืออีก 3 วันต่อมา ปีนี้ ตรงกับวันที่ 16 เมษายน 2017

วันศุกร์ ถ้าไม่ได้ไปไหน รถติดแค่ไหน ก็อยากให้เรามานมัสการพระเยซู มาระลึกถึงสิ่งดีงาม และมาฝังรากลึกแห่งความเชื่อศรัทธา ในการไถ่บาปของพระเยซูคริสต์ที่ไม้กางเขน เรื่องนี้ประกาศและเข้าใจยากมาก แต่เมื่อได้รับการเปิดตาฝ่ายวิญญาณจากพระเจ้า มันสามารถเข้าใจได้  แต่ถ้าไม่ได้รับการเปิดตา มันพูดอย่างไร? อธิบายอย่างไร? ต่อให้เป็นตรรกะ มีเหตุผลมากมายเพียงใด แต่ก็ฟังแล้ว เหลือเชื่อ คือเชื่อไม่ไหว เชื่อไม่ได้นั่นเอง เราก็คือคนนั่นแหละในอดีตใช่ไหม? แต่พอพระเจ้าเปิดตา ทำไมเราเชื่อง่ายๆ อย่างนั้น เชื่อง่ายๆ ถึงขนาดบอก ไม่มีอไรหรอก ยังเชื่อเลย มันเป็นไปได้นะ ขอบคุณพระเจ้า

ในหลายๆ ประเทศ โดยเฉพาะแถบยุโรป ช่วงนี้ หมายถึงช่วงก่อนเทศกาลอีสเตอร์ 1 สัปดาห์ เขาก็จะมีการเตรียมตัวฉลองกันมากๆ ค่อนยุโรปเลยนะ หนึ่งสัปดาห์ก่อนวันอีสเตอร์ เขาเรียกสัปดาห์ศักดิ์สิทธิ์ หรือสัปดาห์แห่งการทนทุกข์ ภาษาอังกฤษเขาเรียกว่า “Holy Week” หรือ “Passion Week” โดยสัปดาห์ศักดิ์สิทธิ์ หรือสัปดาห์แห่งการทนทุกข์ จะเริ่มนับจากวันอาทิตย์ก่อนหน้าวันอีสเตอร์ ก็คือหนึ่งอาทิตย์ อาทิตย์ชนอาทิตย์นั่นเอง ซึ่งปีนี้อย่างที่บอกว่าถ้าเผื่อวันอีสเตอร์ตรงกับวันที่ 16 เพราะฉะนั้น วันที่เขาเริ่มต้นเทศกาลทนทุกข์นี้ ก็คือวันอาทิตย์ที่ 9 เมษายนนั่นเอง เขาก็ฉลองกัน ระลึกถึงเทศกาลนี้ เรียกว่าเทศกาล Palm Sunday อาทิตย์ทางตาล (ต้นตาล)

คืออย่างนี้ พระคัมภีร์เขามีบันทึกเหตุการณ์วันอาทิตย์ก่อนหน้าวันอีสเตอร์ว่าอาทิตย์หนึ่งก่อนหน้าพระเยซูจะเป็นขึ้นจากความตาย อาทิตย์หนึ่ง ประมาณ 5 วันก่อนที่พระเยซูจะถูกตรึงที่ไม้กางเขน วันอาทิตย์นั้น พระเยซูได้เสด็จเข้าเมืองเยรูซาเล็ม อย่างผู้พิชิต บันทึกอย่างนี้ในพระคัมภีร์ โดยประทับบนหลังลา เข้ามา และในวันนั้น มีผู้คนจำนวนมากแห่กันมาต้อนรับพระองค์ บางคนก็นำเอาใบปาล์ม หรือทางตาล ก็คือใบไม้ มาโบย บนเส้นทางที่พระเยซูเสด็จผ่านทางเข้าเมืองกรุงเยรูซาเล็ม จึงเรียกวันนี้ว่าวันทางตาล หรือ Palm Sunday บางคนมีผ้าอะไรต่างๆ ก็เอาผ้ามาปู ไม่มีผ้า ก็ไปตัดใบตาล ใบปาล์มมาปู เหมือนกับราชาเสด็จ คือตั้งแต่สมัยโบราณ ใบปาล์มหรือทางตาล มันจะถูกนำมาใช้ตกแต่งในการฉลองชัยชนะ  และนำมาโบกสะบัด ต้อนรับผู้ชนะ ผู้พิชิตของชาวยิว ชาวอิสราเอล เป็นการแสดงเชิงสัญลักษณ์ว่ายิ่งใหญ่มาก ชนะ อะไรเป็นต้น อย่างกษัตริย์ดาวิดได้รับชัยชนะมา เขาก็เป็นอย่างนี้

โดยชาวยิวในสมัยนั้น ได้รับรู้ผ่านทางผู้เผยพระวจนะมา ตั้งแต่บรรพบุรุษ  บอกกันต่อๆ มา ชาวอิสราเอล ชาวยิว ตั้งแต่โบราณมา ตั้งแต่เล็กๆ เขาก็จะพูดกันต่อๆ เขาไม่มีหนังสือมาให้อ่านอย่างนี้ เขาจะพูดกันต่อๆ ตั้งแต่ลูก หลาน เหลน โหลด พูดกันไปเรื่อยๆ ว่าจะมีพระเจ้าเตรียมพระเมสิยาห์ หรือพระผู้ช่วยให้รอด แปลเป็นไทย จะมาบังเกิดเป็นมนุษย์ คือมีพระเจ้าส่งบุคคลหนึ่ง เป็นพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์ เรียกว่าพระเมสิยาห์ เป็นเชื้อสายของกษัตริย์ดาวิดจะมาเกิด และจะเสด็จมายังกรุงเยรูซาเล็ม โดยบันทึกไว้ว่านั่งบนลา

เพราะฉะนั้น วันที่พระเยซูเสด็จเข้าเมือง โดยประทับหลังลาเข้ามา ชาวเมืองก็เลยแห่กันมาต้อนรับ เพราะเชื่อว่าพระองค์ คือเมสิยาห์ของเขา  รอมาตั้งนานแล้ว ตั้งหลายพันปีแล้ว นานแล้วครับ คราวนี้แหละ เราชาวยิวสบายกันแล้ว ไม่ต้องเป็นทาสใคร พระคัมภีร์บันทึกไว้ว่าในวันอาทิตย์นั้น ที่พระเยซูประทับบนลา เสด็จเข้าเมืองเยรูซาเล็มนั้น พวกชาวยิวมาต้อนรับ หลับตานึกตามนะ เฮโล ต้อนรับยิ่งกว่ากษัตริย์เสด็จเข้ามา ปูผ้าที่พื้น โห่ร้องสรรเสริญ บันทึกไว้อย่างนี้ว่า …

“โฮซันนา แด่บุตรดาวิด”

ท่านคิดดูนะ คนเยอะแยะมากมาย เฮกันมา แล้วพูดว่า …

“โฮซันนา แด่บุตรดาวิด สรรเสริญพระองค์ ผู้เสด็จมาในนามขององค์พระผู้เป็นเจ้า โฮซันนาในที่สูงสุด”

โฮซันนา ก็คือสรรเสริญพระเจ้า

“นี่แหละ คือคนนั้นแหละที่พระเจ้าส่งมาช่วยเราแล้ว”

มาแล้วคราวนี้อิสราเอลไม่ต้องเป็นทาสใครอีกแล้ว เพราะว่าพวกชาวยิวเขาคิดว่าพระเยซู คือเมสิยาห์ที่เขารอคอยกันแน่นอน เพราะทุกอย่างที่เกิดขึ้น เป็นไปตามคำบอกล่วงหน้า คำเผยพระวจนะ เป็นพันๆ ปีมาแล้ว ตรงเป๊ะทุกอย่างเลย ตรงแบบเป๊ะๆ เลย หมดเลย ส่วนหนึ่งของชาวยิวที่โห่ร้อง สรรเสริญพระเยซู ก็คือบรรดาสาวกที่ติดตามพระองค์มา ตั้ง 3 ปี ตั้งแต่พระองค์เริ่มกระทำการงาน บนโลกใบนี้ เรื่องประกาศข่าวประเสริฐ เริ่มประกาศสวรรค์ ทำอัศจรรย์ คนเหล่านี้บางคนก็ได้รับอัศจรรย์ บางคนก็ได้เป็นขึ้นมาจากความตาย บางคนก็เดินได้ บางคนจากตาบอดแล้วมองเห็น เดินมา ทำมากับตัว ได้รับมากับตัว บางคนก็เห็นมากับตา กับคนอื่นก็เดินตามมา ตามพระเยซูมา ก็เป็นส่วนหนึ่งในการเป็นพยานให้คนอื่น รู้ว่าใช่แน่นอน คนนี้แน่นอน ตลอดระยะ 3 ปีที่พระองค์ทรงทำการอัศจรรย์ ใหญ่ๆ มากๆ ที่ผู้คนเห็นกับตา

แล้วยังทำไมอีก วันนี้ขี่ลามาอีก ชัวร์แน่ ชัดแน่ คนนี้แน่ๆ เป๊ะๆ ตามที่บันทึกเอาไว้ หมดเรียบร้อยแล้ว ตลอด ที่บรรพบุรุษพูดกับเรามาเป็นหลายๆ พันปี  ส่งต่อกันมาตลอด แน่นอนเลย แล้วเป็นไง เกิดอะไรขึ้น แล้วพอวันอาทิตย์ ปูผ้า ต้อนรับ ตะโกนร้องสรรเสริญ โฮซันนา แด่ผู้สูงสุด คือพระเยซู พอเลยมา 5 วัน วันศุกร์ … ศุกร์ประเสริฐเกิดอะไรขึ้น? ชาวยิวกลุ่มเดียวกัน ที่วันอาทิตย์ยังตะโกนฮาเลลูยา สรรเสริญพระเจ้า บอกว่าอย่างไร? เอาเขาไปตรึงที่ไม้กางเขนเลย ตรึงไปเลย พวกเดียวกันนี่แหละ บันทึกไว้อย่างนี้ พวกเดียวกัน ทำไม? เขาเกิดความผิดหวัง ไปว่าเขาก็ไม่ได้ เขาผิดหวัง

ถามว่าเขาผิดหวังอะไร? ก็เพราะในความคิดของชาวยิว ในขณะนั้น ที่เชื่อว่าพระเยซูเป็นพระผู้ช่วยให้รอด เป็นพระเมสิยาห์ของเขา เขาเชื่อว่าพระองค์จะมาปลดปล่อยพวกเขาให้รับความรอด จากการถูกข่มเหง รังแก กดขี่ของคน ก็คือคนโรมันในสมัยนั้น จักรวรรดิโรมัน สมัยนั้น และก่อนหน้านั้น อาณาจักรอะไรต่างๆ ที่เราไปเป็นทาสเขามาก่อน มาซีฮาห์มาช่วยให้เขาไม่เป็นทาสอีกแล้ว คิดว่าพระเยซูจะมาพิชิตอาณาจักรหรือจักรวรรดิโรมัน  และอาณาจักรอื่นๆ ที่จะเกิดขึ้นมาหลังนั้นอีก ให้เสร็จเลย ต่อไปนี้ ยิวใหญ่ที่สุด พูดง่ายๆ คือมีความหวังแค่ว่าจะได้รับอิสรภาพ ไม่ต้องอยู่ภายใต้การปกครองของโรมัน หรืออาณาจักรใดๆ อีกไปแล้ว ไม่ว่าจะเป็นบาบิโลน เปอร์เซีย กรีก หรือเป็นใครก็ตาม ไม่อยากเป็นแล้วตอนนี้ พระเยซูมาแล้ว มาซีฮาห์ถูกส่งมาแล้ว ทำการอัศจรรย์มากมาย เห็นกับตา คนนี้แน่นอน เห็นไหม? เขาหวังเต็มที่ แต่ภาพที่เขาเห็น คืออะไร? ภาพที่เขาเห็นก่อนเขาจะบอก “เอาไปตรึงๆ” เขาเห็นอะไรรู้ไหมครับ? เขาเห็นว่าพระเยซู ที่เคยทำอัศจรรย์ให้เขาเห็นกับตา ตอนนี้ กลายสภาพเป็นอะไร? เป็นนักโทษ ช่วยเหลือตัวเองยังไม่ได้เลย ถูกทุบตี เฆี่ยนตี ถ่มน้ำลาย ยังไม่ทำอะไรเขาเลย  แสดงว่าพระองค์ไม่ใช่ของแท้ ถ้าของแท้ต้องสู้แล้ว ถ้าของแท้ ทำได้ต้องทำแล้ว ถ้าอัศจรรย์จริง เป็นลูกพระเจ้าจริง ป่านนี้ เสร็จพระองค์ไปแล้ว พวกนี้ไม่สามารถสู้พระองค์ได้หรอก แต่นี้ ไม่จริง ไม่ใช่ หมดหวัง หมดความเชื่อ จบ

แล้วไปว่าเขาไม่ได้ เราอยู่ตรงนั้น เราอาจจะหมดหวังเหมือนกัน เราก็คิดว่าจะมาทำอัศจรรย์ให้ ที่ไหนได้ ช่วยเหลือตัวเองยังไม่ได้เลย หนีออกจากที่ถูกจับยังไม่ได้เลย ถูกเขาเฆี่ยนตี เลือดสาด เห็นกับตา หมดแรง แบกไม้กางเขนไปที่โกละโกธา ก็ยังแบกไม่ไหวเลย นี่หรือพระเจ้า ถ้าเป็นพระเจ้าจริงไม่เป็นอย่างนั้น แล้วไปถูกเขาตรึงที่ไม้กางเขน นึกว่าจะอัศจรรย์ว่าถูกตรึง แล้วจะลงมาจากไม้กางเขน มีคนตะโกนท้า

“ลงมาสิ ถ้าเป็นลูกพระเจ้า”

ไม่เห็นลงมาเลย ไม่ใช่แน่นอน หมดศรัทธา หมดความหวัง ก็เพราะเวลานั้น ในช่วงนั้น อย่างที่ผมบอก ยิวมองแค่วัตถุสิ่งของว่าเขาจะได้อะไรบ้างวัตถุสิ่งของ เขาอยากได้อะไร? เขาก็ได้ตามนั้น เขาเห็นคนตาบอด อยากจะเห็น มองเห็น พิสูจน์ว่าคนนี้เป็นพระเจ้า ตามองเห็นจริงๆ ได้ในสิ่งที่เขาได้ เขาเห็นคนตาย ถ้าเผื่อชุบคนตายให้เป็นขึ้นมาใหม่ ต้องเป็นพระเจ้าแน่ เป็นขึ้นมาใหม่จริงๆ เลย  ลาซารัสเดินอยู่ตรงนี้ เดินออกมาได้ ใช่แน่ๆ เป็นพระเจ้าแน่ๆ เขาอยากได้อย่างนั้น อยากได้อัศจรรย์ที่เห็นๆ แต่พอมาถึงเรื่องความรอด เขาก็อยากได้ความรอดที่เห็นๆ คือไม่ต้องการเป็นทาสให้กับใครที่ตามองเห็น มนุษย์ผู้ใด? อาณาจักรใดอีกแล้ว เขาลืม พระเยซูมา เพื่อไถ่บาปเขา พระคัมภีร์บอกไถ่บาปเขา ให้เป็นอิสรภาพจากมารซาตาน ไถ่ทางวิญญาณ เขาจะได้กลับมาเป็นลูกพระเจ้าอีกที จะได้มารับบาปแทนเขา ไม่ใช่มารับโทษ แบบโลกนี้แทนเขา ไม่ได้รับมาโรคภัยไข้เจ็บบนโลกใบนี้แทนเขา

คำว่า “พระเยซูถูกตรึงที่ไม้กางเขน” ถูกเฆี่ยนตี ถูกทุบตีนั้น ให้เราหายดี หมายถึงหายดี หายจากบาป และกลับไปหาพระเจ้า เป็นลูกของพระเจ้าได้ ส่วนโลกใบนี้ พระเยซูบอก แล้วแต่พระเจ้า อธิษฐานว่า …

“ขอให้เป็นไปตามน้ำพระทัยพระองค์ แล้วแต่พระองค์เถิด”

แต่สำหรับโลกวิญญาณ พระองค์ชนะแล้ว เราชนะแล้ว ถ้าเราเชื่อพระองค์ว่าพระองค์เป็นพระมาซีฮาห์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอดของเรา เราได้รับความรอดนิรันดร์ เราเป็นลูกของพระเจ้าแล้ว ใครก็เอาเราออกไปไม่ได้ ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นในโลกใบนี้ วันหนึ่งเราจากโรคนี้ไป เราเป็นลูกของพระเจ้า เราจะอยู่กับพระเจ้านิรันดร์กาล ในสวรรค์ ส่วนโลกนี้ พระเจ้าควบคุมดูแลอยู่ ให้เป็นไปตามน้ำพระทัยของพระองค์ วันหนึ่งเขาจะสิ้นสุดเอง เอเมน เขาไม่ได้คิดอย่างนี้ แต่อย่างที่บอก มันยังไม่ถึงเวลา เมื่อยังไม่ถึงเวลา ก็ยังไม่คิด ก็ดีแล้วที่เขาไม่คิด ถ้าเขาคิด ก็คงไม่มีเครื่องมือให้มารซาตานใช้ ที่จะจับพระเยซูไปตรึงที่ไม้กางเขน แล้วถ้าพระเยซูไม่ได้ถูกตรึงที่ไม้กางเขน เราก็ไม่ได้รับความรอด

สรุปแล้ว รวมไปรวมมา พระเจ้าควบคุม ทุกสถานการณ์อยู่ในพระหัตถ์ของพระองค์ และกระทำทุกสิ่งทุกอย่างให้อยู่ในน้ำพระทัยของพระองค์ เป็นที่ถวายเกียรติแด่พระองค์ เป็นไปตามน้ำพระทัยพระองค์ และเป็นสิ่งที่ดี สำหรับคนทั้งหลายเหล่านั้นที่รักพระองค์ ซึ่งรวมทั้งเราด้วย เอเมน

 

*************************

 

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 5 มีนาคม 2017 เรื่อง “จงนิ่งเสียและรู้ว่าพระองค์ คือพระเจ้า” ตอน 13 “สัตว์ทั้งสี่ในความฝันของดาเนียล” โดย นคร เวชสุภาพร

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  5  มีนาคม  2017

 เรื่อง “จงนิ่งเสียและรู้ว่าพระองค์ คือพระเจ้า”

ตอน 13 “สัตว์ทั้งสี่ในความฝันของดาเนียล”

โดย นคร  เวชสุภาพร

            วันนี้เราจะมาต่อเรื่อง จงนิ่งเสียและรู้ว่าพระองค์คือพระเจ้า ตอนที่ 13 อยู่ในหนังสือดาเนียล บทที่ 7 เป็นเรื่องราวของความฝันของดาเนียล เกี่ยวกับสัตว์ทั้ง 4 การบรรยายในวันนี้ จึงมีชื่อตอนว่า “สัตว์ทั้งสี่ในความฝันของดาเนียล” ในบทที่ 7 นี้ เป็นช่วงปีแรกของรัชกาลกษัตริย์เบลชัสซาร์

เบลชัสซาร์เป็นกษัตริย์องค์สุดท้ายของบาบิโลน เป็นกษัตริย์ที่พระเจ้าให้เจอเหตุการณ์อักษรปริศนา 3 คำ เขียนบนผนังท้องพระโรง แล้วก็เรียกให้ดาเนียล มาตีความหมาย พอรู้ความหมายปุ๊บ คืนนั้น ก็ถูกปลงพระชนม์ บาบิโลน ก็ถูกยึดไป โดยสิ้นยุคของอาณาจักรบาบิโลน เข้าสู่อาณาจักรมีเดียเปอร์เซีย แต่ช่วงเวลาที่ดาเนียลฝัน ในบทที่ 7 ที่เรากำลังจะเรียนรู้ เป็นช่วงเวลาที่ย้อนไปปีแรกของเบลชัสซาร์ที่ขึ้นครองราชย์ ดาเนียลฝันตรงนี้ แล้วเก็บไว้ เป็นนิมิตที่บอกเล่าเหตุการณ์ต่างๆ ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต รวมถึงเรา ไปถึงวันสิ้นโลกนี้เลย

บอกไว้ด้วยว่าก่อนที่จะถึงวันสิ้นโลก ที่พระเยซูจะเสด็จกลับมา จะเกิดเหตุการณ์อะไรบ้าง? นิมิตนี้เรียกว่าเป็นประวัติศาสตร์ ทั้งในอดีต ที่เกิดขึ้นแล้ว และขณะเดียวกัน เป็นเหตุการณ์ในปัจจุบัน ที่เรากำลังคุยอยู่นี้ รวมทั้งเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต

ทั้งหมดนี้ถูกรวบรวมไว้หมดแล้ว ในบันทึกประวัติศาสตร์ของพระเจ้าที่มีชื่อว่า Holy  Bible ภาษาไทยเรียกว่าพระคัมภีร์ไบเบิ้ล หนังสือเล่มนี้แหละ บอก และส่วนหนึ่งที่เรากำลังเรียนรู้อยู่นี้ ก็คือหนึ่งในจำนวนหนังสือนี้  ไดอารี่นี้ ก็คือหนังสือดาเนียล เพราะฉะนั้น พระคัมภีร์ทั้งเล่ม ก็คืออดีต ปัจจุบัน อนาคตของมวลมนุษยชาติและสรรพสิ่งบนโลกนี้ทั้งหมด ไม่ต้องไปค้นที่ใต้ทะเล ไม่ต้องส่งจรวดไปที่ดวงดาวต่างๆ เพราะอย่างไรก็ไม่มีจบ บอกเลย หาอย่างไรก็ไม่เจอ เพราะจุดจบมันอยู่ในนี้ ถ้ามาหาในนี้อาจจะเจอ

เขาเรียกว่าพระเจ้าเป็นผู้เขียนประวัติศาสตร์ของโลกนี้ ไว้นานแล้ว ทั้งประวัติศาสตร์ในอดีต ประวัติศาสตร์ในยุคปัจจุบันที่เรากำลังศึกษาอยู่ ทั้งประวัติศาสตร์ลูกหลานเหลนโหลนของเราในอนาคตจะศึกษาด้วย  พระเจ้าบันทึกไว้หมดเรียบร้อยแล้ว ให้เราอ่าน

เพื่อเป็นการยืนยันและเป็นการหนุนใจประชากรของพระเจ้า คือเราทั้งหลาย ผู้เชื่อในพระองค์ ที่กำลังเผชิญกับความทุกข์ยากลำบากบนโลกใบนี้ว่าพระองค์ได้ชนะโลกนี้แล้ว จะได้มีกำลังใจขึ้น เอเมน

และเราซึ่งเป็นประชากรของพระองค์ ก็ได้รับชัยชนะร่วมกับพระเยซูด้วย เอเมน

นี่คือจุดมุ่งหมายที่พระเจ้าให้เราได้เรียนรู้ ให้ดาเนียลบันทึกเอาไว้ หลายคนก็มีคำถามเยอะเลย  ผมเองก็มีคำถามอย่างนี้ เคยถามไหมว่า …

“พระเจ้าอยู่ไหน?  เมื่อลูกเจ็บปวด พระเจ้าอยู่ไหน? ทำไมปล่อยให้สิ่งนี้เกิดขึ้น  มันทุกข์เหลือเกิน ไม่น่าจะเป็นอย่างนี้เลย ไหนพระองค์บอกว่า …. (แล้วแต่คุณจะใส่อะไรลงไป)”

โดนไหม? เข้าไปในหัวใจเลย ทำไมรู้? ก็รู้สิ เพราะเป็นมนุษย์เท่ากันแหละ พระเจ้าก็รักผม รักท่านเท่ากัน เพราะฉะนั้น แชร์กันไป คนละนิดคนละหน่อย ก็แล้วกัน

ในขณะที่เราเผชิญกับความทุกข์ยากลำบาก พระองค์บอกว่าพระองค์ชนะโลกแล้ว ไหนบอกทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นกับเรา พระองค์จะให้เป็นผลดี

“ผลดีอย่างไร? ชนะโลกแล้วไง? ควบคุมทุกอย่างบนโลกใบนี้ ทำไมปล่อยให้สิ่งนี้เกิดขึ้นกับเราได้อย่างไร? ไม่รักลูกหรืออย่างไร?”

มันรู้สึกขัดแย้งกันมาก จริงหรือไม่จริง? จริง เราอาจจะอยู่ในสถานการณ์ ความทุกข์ยากลำบาก  ยกตัวอย่างเช่น คนในครอบครัวอาจเจ็บป่วย รักษาไม่หาย ปัญหาเรื่องเศรษฐกิจเกิดขึ้นในครอบครัว หรือเกิดขึ้นในชีวิตเรา มันไม่จบสักที ทำไมมันถึงโหดร้ายกับเราอย่างนี้ ความวุ่นวาย ยุ่งเหยิงของสังคม ทั้งบ้านเรา ประเทศไทย หรือโลกใบนี้ ทำไมมันยุ่งอย่างนี้ ไหน พระเจ้าบอกควบคุมอยู่ ทำไมไม่ให้มันสงบๆ ภัยธรรมชาติที่ไม่มีใครอยากได้ สึนามิมันเกิดมาได้อย่างไร? ภูเขาไฟระเบิด แผ่นดินไหวอย่างนี้ หรืออุบัติเหตุต่างๆ ที่ร้ายแรงมากๆ ที่ทำให้ผู้คนสูญเสียคนที่รักไปเยอะแยะมากมาย แล้วพระเจ้าอยู่ไหน ตอนที่มันเกิดอันนี้ขึ้น เห็นไหม?

พรั่งพรูเลยว่ามันจริง เราเคยคิดอย่างนั้นจริงๆ และโดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่ไม่เชื่อพระเจ้ายิ่งคิดใหญ่ เขาถึงไม่อยากเชื่อ เป็นไปได้อย่างไร? แต่คนที่เชื่อ ก็ยังคงเชื่อ ทั้งๆ ที่หาคำตอบไม่ได้

“ก็ไม่รู้ ฉันก็เชื่อของฉันต่อไป ฉันก็ดำเนินชีวิตของฉันต่อไปเหมือนเดิม”

แล้วเราก็มีคำถามในใจของเรา “แล้วพระเจ้าปล่อยให้เรื่องนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร? ปล่อยให้ลูกของพระองค์ คนที่รักพระองค์ต้องเจ็บปวด พระองค์ไม่เห็นเหรอ”

หรือบางครั้ง เราอาจจะคิดเหมือนชัดรัด เมชาค เอเบดเนโกว่า “หรือว่าเฉพาะเรื่องนี้ พระองค์ไม่สามารถทำได้”

แต่ถึงแม้คิดว่าพระองค์ไม่สามารถทำได้ ก็ยังเชื่อวางใจในพระองค์อยู่ดี วางใจแล้ว และคำตอบ ก็คือพระเจ้าได้ทำการอัศจรรย์ให้เราเห็น บอกเหตุการณ์ล่วงหน้าให้เรารู้ ยืนยันกับเราว่าพระองค์ทรงควบคุมครอบครองทุกอย่าง และเป็นผู้กำหนด เป็นผู้อนุญาตให้สิ่งต่างๆ เหล่านี้ เกิดขึ้นทั้งสิ้น รวมถึงนิมิตที่เรากำลังศึกษาอยู่ในหนังสือดาเนียลด้วย เพื่อเป็นการตอบคำอธิษฐาน ตอบคำถามเมื่อตะกี้ที่เราถามว่า …

“แล้วพระเจ้าไม่รู้เหรอ? ทำไม? พระองค์อยู่ไหน?”

พระองค์ตอบตรงนี้เลย ทุกสิ่งทุกอย่างที่บอกไว้ในนิมิตนั้น ส่วนใหญ่เกิดขึ้นมาจริงๆ แล้ว หลายพันปี ทำให้เราได้รับรู้ เชื่อ และวางใจว่าพระเจ้าทรงเป็นผู้กำหนดทุกสิ่ง เป็นผู้ควบคุมครอบครองทุกอย่างจริงๆ  และตอนจบของนิมิต ก็คือพระเยซูทรงเป็นผู้ชนะ อาณาจักรที่ยิ่งใหญ่ที่สุดและจะอยู่นิรันดร์กาล ก็คืออาณาจักรของพระเยซูคริสต์ และเราทั้งหลายที่เชื่อในพระองค์ เราก็จะได้รับชัยชนะนี้ร่วมกับพระองค์ไปด้วย เราได้ครอบครองอาณาจักรของพระเจ้า ร่วมกับพระเยซูคริสต์ด้วย ถ้าเราเชื่อวางใจในพระเยซู

เพราะฉะนั้น คำตอบของพระเจ้า ก็คือให้เราอดทน และเชื่อวางใจในพระเจ้าและมั่นใจในพระองค์ว่าในที่สุด เราชนะ หมายถึงเราต้องรอถึงวันสิ้นโลกหรือไม่? ไม่ต้อง  รอวันที่เราหมดลมหายใจจากโลกนี้ เราก็ชนะแล้ว คือวันตายของเรา ตราบใดที่เรายังอยู่ คือพระเจ้ายังใช้งานเราอยู่ คำว่า “ชนะ” แปลอย่างนั้น แต่คำว่าสิ้นโลกนั้น หมายถึงจบงาน จบเรื่องแล้ว เฉพาะเราแต่ละคน จบเมื่อหมดลมหายใจ เราก็ไปอยู่กับพระเจ้า หมดภาระ เขาถึงบอกไม่ให้เราโศกเศร้าเสียใจเมื่อใครจากไปก่อนหน้านั้น เราควรจะดีใจกับเขาด้วยซ้ำไป

นี่คือเหตุผลที่พระเจ้าประทานนิมิต และให้เรามาเรียนรู้กัน อัศจรรย์ของพระเจ้าผ่านทางนิมิตเหล่านี้ ผ่านทางการบอกล่วงหน้าเหล่านี้ เพื่อให้เรามีกำลังใจ มีความหวังในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ที่เต็มไปด้วยความเสียหาย ความวิปริตที่เรียกว่าบาปนั่นเอง บาป คือ Miss the target บาป คือไม่ได้ตรงตามเป้าหมายของพระเจ้า พระเจ้าไม่ได้ให้โลกนี้ เป็นอย่างนั้น ไม่ให้มนุษย์เจออย่างนี้ ไม่ได้สร้างมาอย่างนี้ แต่มันวิปริตไปแล้ว พระเยซูใช้คำนี้ว่า “ชนชาติแห่งความวิปริต” คือมันเพี้ยนไปหมดเลย  พระเจ้ากำลังซ่อมแซมกลับคืนสู่ที่เดิม แต่สิ่งที่อันตราย คือการที่มีบางคน หรือบางกลุ่ม หรือบางพวก ศึกษานิมิตแหล่านี้ แล้วนำไปใช้ในทางที่ผิด  คือพยายามไปตีความหมาย และพยายามคำนวณเวลา เพื่อจะค้นว่าเหตุการณ์ต่างๆ เหล่านี้ ตามนิมิต จะเกิดขึ้นเมื่อไร? เวลาไหน? ปีไหน? เดือนไหน? คือกลายเป็นโหรเลย พระเจ้าไม่ได้ต้องการให้เรามาเรียนรู้เรื่องนี้ เพื่ออย่างนั้น พระคัมภีร์บอกไว้ชัดเจนเลยว่าเหตุการณ์ทั้งหลายเหล่านี้ เกิดขึ้นแน่ๆ 100% แต่จะเกิดขึ้นเมื่อไร? เวลาใด? ไม่มีใครรู้ แม้กระทั่งพระเยซู ก็ไม่รู้เหมือนกัน คนไปถามพระเยซู พระเยซูบอก …

“ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน”

แล้วใครรู้?  โน่นไปถามพ่อ  อยู่ที่พ่อคนเดียว  คือพระบิดา คือพระเจ้าผู้สถิตในสวรรค์ แล้วถ้าพระเยซูไม่รู้ แล้วใครอยากรู้ล่ะท่านต้องเจอกับความผิดหวัง และพาประชากรของพระเจ้าไปสู่ความผิดหวังมากมาย

สิ่งที่พระเจ้าต้องการเกี่ยวกับเรื่องนี้ ก็คือให้เราพุ่งเอาความสนใจของเราไปที่ความรู้และความเข้าใจ เชื่อมั่นว่าพระเจ้าทรงควบคุม ทรงครอบครองทุกสิ่ง พระองค์ทรงเป็นผู้กำกับโรงละครโรงใหญ่นี้เอง ทุกสิ่งทุกอย่างอยู่ในพระหัตถ์ของพระองค์

ทุกสิ่งที่เกิดขึ้น พระองค์ทรงรู้ล่วงหน้า และเป็นผู้อนุญาตให้เกิดขึ้นทั้งสิ้น ไม่ว่าเราจะมองเห็นหรือมองไม่เห็นว่ามันดีกับเรา หรือดีกับประชากรพระเจ้าหรือไม่ก็ตาม ไม่ว่าจะคนชั่วที่ดูแล้วจะเจริญรุ่งเรืองตามทางของเขาก็ตาม คนนี้เป็นคนไม่ดี แต่ทำไมเจริญรุ่งเรือง หงุดหงิดๆ อิจฉาๆ พระเจ้าเป็นผู้อนุญาตให้เขาได้อย่างนั้น แต่ได้ไป เพื่ออะไร? เราไม่รู้ พระองค์ทรงเป็นผู้อนุญาตให้คนเหล่านี้ทั้งหมดทั้งสิ้น อยู่ในแผนการใหญ่ของพระองค์ แผนการนั้น ก็เพื่อสิ่งดีที่จะเกิดขึ้นกับเราทั้งหลายที่เชื่อและวางใจในพระองค์ และเพื่อเราจะได้ครอบครองร่วมกับพระเยซูคริสต์ในที่สุดนั่นเอง  เอเมน

เหมือนที่พระองค์ทรงใช้กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ เหมือนที่พระองค์ทรงใช้เบลชัสซาร์ เหมือนที่พระองค์ทรงใช้เฮโรด ที่ข่มเหงคริสเตียน เหมือนพระองค์ทรงใช้ฟาโรห์

เพราะฉะนั้น ถ้ามีใครมาแอบอ้าง ยกนิมิตเหล่านี้ ในพระคัมภีร์ไบเบิ้ล แล้วมาบอกว่าวันนั้น วันนี้ ปีนั้น ปีนี้ พระเยซูจะกลับมาใหม่ เป็นวันสิ้นโลกแล้ว หรือบอกว่าเหตุการณ์ต่างๆ ที่กำลังเกิดขึ้น บนโลกในขณะนี้ ตรงกับนิมิตที่บันทึกไว้ในพระคัมภีร์เลย  เพราะฉะนั้น ตอนนี้ ตอนนั้น จะเป็นอย่างนั้น เป็นอย่างนี้ วันสุดท้ายจะมาถึงแล้ว ฟันธงเลยว่าเป็นเรื่องเทียมเท็จทั้งสิ้น อย่าไปเชื่อ เป็นเรื่องหลอกลวง  เพราะถ้าพระเยซูยังบอกว่าพระองค์ไม่รู้ ก็ไม่มีมนุษย์คนไหนสามารถรู้ได้หรอก และที่บอกว่ามีเรื่องอันตราย ก็เพราะว่ามีเกิดขึ้นมาบ่อยๆ ทุกยุคทุกสมัย จึงมาเตือนท่าน อยากรู้

“เมื่อไรนะ ไหนคุณนครบอกจะมา กลับมาแน่นอน วันนี้ใช่ไหม?”

ไปใหญ่เลยคราวนี้ หลังจากประเทศนี้ คงเป็นประเทศนี้ หลังจากคนนี้ ก็เป็นคนนั้น พอบอกคนนี้ แล้วไม่ใช่ขึ้นมา ลักษณะอย่างนี้เป็นปฏิปักษ์พระคริสต์ ท่านรู้ได้อย่างไร?

อย่างเช่น มีข่าวที่เราได้ยินบ่อยๆ กับคนที่พยายามแอบอ้างการทำนายว่าสิ้นโลก เดือนนี้ ปีนั้น ระบุเลยวันที่อะไร? ปีอะไร? ค.ศ.อะไร? แล้วก็มีคนหลงเชื่อขายทรัพย์สมบัติจนหมดเลย รอวันนี้ ก็ไม่มา อาทิตย์หนึ่ง ก็ไม่มา ที่มาแล้ว คือหมายเรียกจากเจ้าหน้าที่ ล้มละลาย บางกลุ่มก็สุดโต่ง ถึงขนาดฆ่าตัวตาย ก็มี พระเยซูมาแล้ว ตายจะได้มารับทันที นี่คืออันตรายของการศึกษาเรื่องนิมิต ในทางที่ผิดๆ เตือนเราล่วงหน้า เพราะมันสนุกใช่ไหม?

เพราะฉะนั้น พวกเราผู้ซึ่งเข้าใจพระประสงค์พระเจ้า ในการเรียนรู้เรื่องนิมิตของพระเจ้าแล้ว เราก็พร้อมที่จะเรียนรู้เรื่องนี้แล้ว ประมาณ 2,600 ปี เกี่ยวข้องกับเราตอนนี้ จนกระทั่งลูกหลานเหลนโหลนของเรา ดาเนียล 7:1-14

ดาเนียล 7:1-14 “1 ในปีแรกของรัชกาลกษัตริย์เบลชัสซาร์แห่งบาบิโลน 2 ดาเนียลฝันเห็นนิมิต ขณะนอนหลับอยู่ เขาได้บันทึกความฝันไว้ดาเนียลกล่าวว่า “ในนิมิตยามกลางคืน ข้าพเจ้ามองไปเบื้องหน้า มีลมทั้งสี่ทิศจากฟ้าสวรรค์พัดกระหน่ำ ทำให้ท้องทะเลใหญ่ปั่นป่วน 3 แล้วสัตว์มหึมาสี่ตัว โผล่ขึ้นจากทะเล แต่ละตัวมีลักษณะไม่เหมือนกัน 4 ตัวแรกเหมือนสิงโตและมีปีก เหมือนนกอินทรี ข้าพเจ้าเฝ้าดู จนเห็นปีกของมันถูกฉีกออก มันถูกพยุงขึ้นจากพื้น ให้ยืนด้วยสองขาแบบมนุษย์ และมันได้รับจิตใจเยี่ยงมนุษย์ 5 “ข้าพเจ้าเห็นสัตว์ตัวที่สอง ซึ่งดูเหมือนหมี มันโผล่ขึ้นมา ปากคาบซี่โครงสามซี่ไว้ มีผู้บอกมันว่า ‘ลุกขึ้นเถิด จงกินเนื้อให้อิ่ม’ 6 “หลังจากนั้น ข้าพเจ้ามองไป มีสัตว์อีกตัวหนึ่งเหมือนเสือดาว ที่หลังของมัน มีปีกสี่ปีกคล้ายปีกนก สัตว์ตัวนี้มีสี่หัว และมันได้รับอำนาจให้ปกครอง 7 “หลังจากนั้น ในนิมิตยามกลางคืน ข้าพเจ้าเห็นสัตว์ตัวที่สี่ น่ากลัวสยดสยอง และมีฤทธิ์อำนาจมาก มันมีฟันเหล็กซี่มหึมา มันขย้ำเคี้ยวเหยื่อและเหยียบย่ำส่วนอื่นๆ ที่เหลือ จนแหลกลาญ สัตว์ตัวนี้แตกต่างจากตัวอื่นๆ ตรงที่มีเขาสิบเขา 8 “ขณะที่ข้าพเจ้ากำลังคิดเรื่องเขาต่างๆ อยู่นั้น ก็มีเขาเล็กๆ อีกอันหนึ่ง โผล่ขึ้นมาท่ามกลางเขาอื่นๆ และทำให้สามในสิบเขาแรกนั้น ถูกถอนออกไป เขาเล็กนี้ มีตาเหมือนตามนุษย์ และมีปากซึ่งคุยโวโอ้อวด 9 ขณะที่ข้าพเจ้ามองดู ข้าพเจ้าก็เห็นบัลลังก์ต่างๆ จัดตั้งไว้แล้ว และองค์ผู้ดำรงอยู่ตั้งแต่ดึกดำบรรพ์ ประทับที่บัลลังก์ของพระองค์ ฉลองพระองค์ขาวเหมือนหิมะ พระเกศาเหมือนขนสัตว์ที่ขาวสะอาด บัลลังก์ของพระองค์ มีเปลวไฟลุกโชน และที่ล้อก็ลุกโชติช่วง 10 แม่น้ำเพลิงกำลังไหลมาจากเบื้องพระพักตร์ของพระองค์ ผู้รับใช้นับล้านคอยปรนนิบัติพระองค์ และมีคนนับล้านๆ คน ยืนอยู่ต่อหน้าพระองค์ การพิจารณาคดีเริ่มขึ้น หนังสือเล่มต่างๆ ถูกเปิดออก 11 แล้วข้าพเจ้าจับตาดูต่อไป เพราะคำคุยโวโอ้อวดของเขาเล็กๆ นั้น ข้าพเจ้าเฝ้าดู จนกระทั่งสัตว์นั้นถูกฆ่า ร่างของมันถูกทำลาย แล้วถูกโยนลงในไฟที่ลุกโชน 12 สัตว์อื่นๆ ถูกยึดอำนาจไปหมดแล้ว แต่ได้รับอนุญาตให้มีชีวิตอยู่ต่อไปอีกชั่วระยะหนึ่ง 13 ในนิมิตคืนนั้น ข้าพเจ้าเห็นผู้หนึ่งเหมือนบุตรมนุษย์ เสด็จมาพร้อมด้วยหมู่เมฆแห่งฟ้าสวรรค์ พระองค์เสด็จเข้าไปใกล้และเข้าเฝ้าองค์ผู้ดำรงอยู่ตั้งแต่ดึกดำบรรพ์ 14 พระองค์ได้รับสิทธิอำนาจ เกียรติสิริ และอำนาจปกครองสูงสุด ชาวโลกทุกชาติทุกภาษานมัสการพระองค์ ราชอำนาจของพระองค์ดำรงอยู่ตลอดกาล ราชอำนาจที่จะไม่มีวันสิ้นสุด และพระราชอาณาจักรของพระองค์ จะไม่มีวันถูกทำลาย”

 

ความฝันของดาเนียล เริ่มจากข้อที่ 2 บอกว่า … ในนิมิตยามกลางคืน ข้าพเจ้ามองไปเบื้องหน้า มีลมทั้งสี่ทิศจากฟ้าสวรรค์พัดกระหน่ำ ทำให้ท้องทะเลใหญ่ปั่นป่วน แล้วสัตว์มหึมา 4 ตัว โผล่ขึ้นจากทะเล แต่ละตัวมีลักษณะไม่เหมือนกัน …

ดาเนียลฝันเห็นสัตว์ใหญ่มหึมา แต่ละตัวมีลักษณะไม่เหมือนกัน ซึ่งสัตว์มหึมาทั้งสี่ตัวนี้ ก็คือ มหาอำนาจทั้งสี่ ประเทศที่ใหญ่ๆ ที่เรียกว่าอาณาจักรทั้งสี่ ที่จะรุ่งเรืองขึ้นในโลก นึกย้อนกลับไป 2,600 กว่าปี ดาเนียลได้รับนิมิตนี้มา ตอนที่ได้รับนิมิต อยู่ในรัชกาลของเบลชัสซาร์ แห่งบาบิโลน

ยังจำได้ไหมครับ? นิมิตของเนบูคัดเนสซาร์ ซึ่งให้ดาเนียลเข้าไปแปล แล้วดาเนียลแปลนิมิตนั้นออกมา เป็นเรื่องสี่อาณาจักร การแปลอยู่ในรูปแบบของรูปปั้นขนาดใหญ่ ที่แต่ละส่วนทำด้วยวัตถุต่างๆ กัน เล็งถึงอาณาจักรสี่อาณาจักร มหาอำนาจสี่มหาอำนาจ

ความหมายของสัตว์มหึมาสี่ตัวนี้ มีความหมายเหมือนกันกับรูปปั้น เพียงแต่เปลี่ยน มาใช้สัญลักษณ์สัตว์แทนรูปปั้นนั่นเอง

ข้อที่ 4 ที่บอกว่าตัวแรกเหมือนสิงโต และมีปีกเหมือนนกอินทรีย์ … ข้าพเจ้าเฝ้าดูจนเห็นปีกของมันถูกฉีกออก มันถูกพยุงขึ้นจากพื้น ให้ยืนสองขา แบบมนุษย์ แล้วได้รับจิตใจเยี่ยงมนุษย์

สัตว์ตัวแรกที่ดาเนียลเห็น คือสิงโตที่มีปีกเหมือนนกอินทรีย์ ถ้าเปรียบกับรูปปั้นในความฝันของเนบูคัดเนสซาร์ ก็คือส่วนที่เป็นศีรษะที่ทำด้วยทองคำ หมายถึงอาณาจักรบาบิโลน

ในสมัยที่อาณาจักรบาบิโลนกำลังรุ่งเรือง จะเปรียบตัวเอง ดั่งสิงโต ที่มีปีกเหมือนนกอินทรีย์ นี่เรื่องจริงๆ ของสัญลักษณ์ของประเทศ หรือมหาอำนาจนั้น ในขณะนั้น

รูปปั้น สถาปัตยกรรมต่างๆ ในบาบิโลน ในสมัยนั้น ก็ใช้สัญลักษณ์แบบนั้น คือสิงโตที่มีปีก และที่บอกว่าปีกของมันถูกฉีกออก มันถูกพยุงขึ้นจากพื้น ให้ยืนสองขา แบบมนุษย์ ก็คือช่วงที่เนบูคัดเนสซาร์เย่อหยิ่งกับพระเจ้า โอหังกับพระเจ้า  และถูกทำให้ต้องไปใช้ชีวิตเหมือนสัตว์ป่า จนกระทั่งสำนึกได้ แล้วถ่อมใจ กลับใจใหม่ ที่ดาเนียลรักเขามาก เห็นใจเพื่อน บอกเนบูคัดเนสซาร์เลิกนิสัยแบบนี้ เลิกทำชั่วร้ายต่างๆ เลิกข่มเหงคน ถ่อมใจลง พระเจ้าอาจจะช่วยท่านได้ แล้วเนบูคัดเนสซาร์ก็ถ่อมใจ แล้วก็ได้กลับมาเป็นเหมือนมนุษย์อีกครั้งหนึ่ง กลับมาเป็นผู้เป็นคนอีกครั้งหนึ่ง

ข้อที่ 5 กล่าวถึงสัตว์ตัวที่สอง บอกว่า … ข้าพเจ้าเห็นสัตว์ตัวที่สอง ซึ่งดูเหมือนหมี มันโผล่ขึ้นมา ปากคาบซี่โครง 3 ซี่ไว้ มีคนบอกมันว่า “ลุกขึ้นเถิด จงกินเนื้อให้อิ่ม”

สัตว์ตัวนี้เปรียบได้กับรูปปั้น ส่วนที่ 2 คือหน้าอกและแขน ที่ทำด้วยเงิน ที่เล็งถึงอาณาจักรมีเดียเปอร์เซียน อาณาจักรที่สอง อย่าลืมนะครับ สิ่งเหล่านี้ที่ผมอธิบายไป บอกล่วงหน้าหมด

ตอนที่ดาเนียลฝัน เป็นเวลาช่วงในยุคบาบิโลน สมัยเบลชัสซาร์ ก็คือสัตว์ตัวที่ 1 คือสิงโตมีปีก ยังเป็นยุคเหตุการณ์ปัจจุบัน หมายถึงถ้าเทียบกับความฝันที่ดาเนียลได้รับนิมิตนั้น

แต่พอมาถึงตัวที่สอง คราวนี้เริ่มเป็นนิมิตในอนาคตแล้ว บอกล่วงหน้า เหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต คืออนาคตจะมีอาณาจักรมีเดียเปอร์เซีย ที่จะยกทัพมาโค่นบาบิโลน ในสมัยของกษัตริย์ดาริอัส  ซึ่งมันเป็นผลออกมาแล้ว  ซี่โครง 3 ซี่ ที่หมีคาบไว้ ก็คือที่มันชนะมาก่อน หนึ่งในนั้น ก็คือประเทศอียิปต์ ประเทศใหญ่มหาอำนาจเก่าแก่ ก็ถูกโค่นล้มโดยมีเดียเปอร์เซีย และอีกหนึ่งในจำนวนนั้น ก็คือบาบิโลน ที่ใหญ่ที่สุดในขณะนั้น  ก็ถูกมีเดียเปอร์เซียโค่นล้มอำนาจ มีเดียเปอร์เซียก็มีลักษณะเหมือนหมีที่คาบซี่โครง 3 ซี่ไว้ที่ปากของมัน

และที่บอก “ลุกขึ้นเถิด กินเนื้อให้อิ่ม” เป็นสำนวนที่ทำให้เกิดความตื่นเต้น พระเจ้าต้องการให้ประชากรของพระองค์ได้รู้เรื่องนิมิตนี้ และได้เข้าใจเรื่องนิมิตด้วย

ความตั้งใจจริง ก็คือเหมือนให้เราดูหนังสนุกๆ ตื่นเต้น แล้วเทียบกับสัตว์ประหลาดอะไรต่างๆ ท่านนึกภาพสิ เหมือนกับเด็กๆ ในยุคปัจจุบัน ดูเรื่องซุปเปอร์แมน ดูเรื่องอุลตร้าแมน จำได้หมด สมัยนั้น พระเจ้าก็ต้องการให้ประชากรของพระเจ้าได้รู้เรื่องนิมิตต่างๆ เหล่านี้ เป็นลักษณะอย่างนี้เลย  แล้วก็เปรียบเทียบให้ดูว่ามันแปลว่าอะไร?

พระเจ้าได้มอบสิทธิอำนาจให้กับมีเดียเปอร์เซีย ในการครอบครองทั่วโลกในขณะนั้นเลย ซึ่งหมายถึงลุกขึ้น “จงกินเนื้อให้อิ่ม” เอาเต็มที่เลย

ตามประวัติศาสตร์ อาณาจักรมีเดียเปอร์เซียได้ชื่อว่าเป็นอาณาจักรที่มีการแผ่ขยายอาณาจักร อำนาจการปกครองไปทั่วโลก มากกว่าอาณาจักรใดๆ ทั้งปวงที่เกิดขึ้น เป็นไปตามที่พระเจ้าบอกล่วงหน้า

ข้อที่ 6 มาถึงสัตว์ตัวที่สาม มีสัตว์อีกตัวหนึ่ง เหมือนเสือดาว ที่หลังของมันมีปีก 4 ปีก คล้ายปีกนก สัตว์ตัวนี้มี 4 หัว และมันได้รับอำนาจให้ปกครอง … ตรงนี้ ก็คือส่วนท้องและต้นขาของรูปปั้นที่ทำด้วยทองสัมฤทธิ์ ก็คือหมายถึงประเทศกรีก หรืออาณาจักรกรีก

สัตว์ตัวที่สาม คือเสือดาว ลักษณะเด่นของเสือดาว คือความรวดเร็ว  มีอำนาจ  สัตว์ที่ได้ชื่อว่าเป็นสัตว์ที่วิ่งเร็วที่สุด ก็คือเสือดาว เสือซีต้าร์ นี่มันวิ่งเร็วกว่าธรรมดา เพราะมันติดปีก ขนาดบาบิโลนว่าเร็วแล้วนะ แต่บาบิโลนเป็นสิงโตติดแค่ 2 ปีก อันนี้ติด 4 ปีกเลย เร็วมาก เมื่อเหตุการณ์เกิดขึ้นจริง ประวัติศาสตร์ก็ได้บันทึกไว้แล้วว่าสมัยกรีกรุ่งเรือง กองทัพเขาตีที่ไหน ได้ชัยชนะรวดเร็วมาก แป๊บเดียว ครอบครองไปถึงอินเดีย นี่คือลักษณะของอาณาจักร หรือประเทศต่างๆ ที่พระเจ้าบอกล่วงหน้าไว้แล้วว่ามันจะเกิดขึ้น

อาณาจักรกรีก ซึ่งในรูปปั้น ในสมัยที่ได้รับนิมิต โดยกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ เป็นทองสัมฤทธิ์ มันจะขยายอาณาจักรเร็วมากเหมือนทองสัมฤทธิ์เลย ซึ่งกษัตริย์ผู้ที่เป็นผู้นำทัพ ที่เราได้ยินและดังมาถึงปัจจุบัน เอาไปทำเป็นหนัง ก็คืออเล็กซานเดอร์มหาราช

ข้อที่ 7 มาถึงสัตว์ตัวสุดท้าย ตัวที่สี่ บอกว่า … ข้าพเจ้าเห็นสัตว์ตัวที่สี่ น่ากลัวสยดสยอง และมีฤทธิ์อำนาจมาก มันมีฟันเหล็กซี่มหึมา มันขย้ำเคี้ยวเหยื่อและเหยียบย่ำส่วนอื่นๆ ที่เหลือ จนแหลกลาญ สัตว์ตัวนี้แตกต่างจากตัวอื่นๆ ตรงที่มีเขาสิบเขา …

สัตว์ตัวที่สี่นี้ ไม่สามารถระบุประเภทได้ คือไม่ใช่เสือ ไม่ใช่หมี ไม่ใช่เสือดาว เพราะเนื้อมันยังไม่เป็นเนื้อเลย มันเป็นเหล็ก มันเป็นหุ่นยนต์ 3 ตัวแรก บอกว่ามันคล้ายกับสัตว์ชนิดใด แต่ตัวนี้ระบุไม่ได้  บอกได้แค่ว่าน่ากลัว สยดสยอง มีฟันเหล็กซี่มหึมา เพราะฉะนั้น สัตว์ตัวที่สี่นี้ ก็เลยมีคนเขาพยายามจะจินตนาการ วาดรูปออกมา แต่ไม่รู้จะวาดอะไร? ถ้าในนิมิตบอกว่าเป็นเสือดาว ก็วาดเสือดาว เป็นหมี เราก็วาดหมี แต่ตัวนี้บอกเป็นอย่างนี้ แล้วท่านจะวาดอย่างไร? ก็แล้วแต่ท่านจะวาดแล้วกัน ใครที่ชอบดูหนังเรื่องอะไรที่มีสัตว์ประหลาดมากๆ ท่านต้องใส่ตามนี้นะ มันต้องมีเขาสิบเขา มีฟันเป็นเหล็ก เขียนเข้าไปแล้วกัน ให้น่ากลัว น่าเกลียดที่สุด เป็นสัตว์ประหลาด

สัตว์ตัวนี้ก็เปรียบได้กับส่วนขาของรูปปั้น ที่ทำด้วยเหล็ก ซึ่งเล็งถึงอาณาจักรโรมัน สัตว์ตัวที่สี่ คือสัตว์ประหลาด น่ากลัว น่าสยดสยอง หรืออาณาจักรโรมที่ได้โค่นอาณาจักรกรีกลง และขึ้นมารุ่งเรืองอำนาจแทน ตรงที่บอกว่าสัตว์ตัวนี้ มันมีฟันเหล็กแหลม ซี่มหึมา มันขยำเคี้ยวเหยื่อและส่วนอื่นๆ จนแหลกลาน ก็คือโรมในยุคนั้น โหดร้ายมาก และตามล่าขยายดินแดนที่เหลือจากกรีกสมัยก่อน มากกว่ากรีกอีก ไปไกล ทั่วทั้งยุโรป แอฟาริกา และทั้งเอเชีย และไปที่ไหนขยำยู่ยี่หมด เละเทะหมดเลย  สามอาณาจักรที่เหลือเขาครอบครองเฉยๆ  แต่โรมครอบครองและทำลายด้วย ผู้ที่ทำลายกรุงเยรูซาเล็มก็คือโรม คนอื่นๆ มาเขาก็ปล้นเอาทรัพย์สินไปเฉยๆ แต่นี่เขาทำลาย ยกตัวอย่างให้ฟัง

สัตว์นี้มีเขาสิบเขา หมายถึงกษัตริย์สิบองค์ หรือคำว่า “สิบ” อาจจะไม่ใช่ 10 องค์ตรงๆ แต่อาจจะหมายถึงครบ มีเชื้อสายของมัน มีลูกมีหลานได้  ไม่เหมือนตัวอื่นๆ สามตัวก่อนหน้านั้น จบแล้วจบเลย ตัวนี้จบแล้วมันมีเชื้อต่อ อย่างน้อยๆ ก็ครบถ้วนบริบูรณ์ เราก็ไม่รู้เท่าไร?

ในข้อที่ 8 บอกว่าขณะที่ข้าพเจ้ากำลังคิดเรื่องเขาต่างๆ อยู่นั้น ก็มีเขาเล็กๆ อันหนึ่งโผล่ขึ้นมาท่ามกลางเขาอื่นๆ ทำให้ 3 ใน 10 ของเขาแรกนั้น ถูกถอนออกไป เขาเล็กๆ นี้ มีตาเหมือนตามนุษย์ และมีปาก ซึ่งคุยโอ้อวด …

หมายถึงกษัตริย์ผู้ครองอำนาจ ที่เป็นเชื้อสาย เกิดมาจากอิทธิพลการปกครองของโรมัน มีกษัตริย์เยอะแยะมากมาย สมมติเป็น 10 องค์ แต่จะมี 3 ที่แยกออกไปก่อน และจะมีหน่อเล็กๆ กษัตริย์องค์เล็กๆ ขึ้นมา ก็คือเชื้อสายของกลุ่มที่มาจากโรมัน

เขาเล็กๆ ที่จะเกิดขึ้น ก็คือผู้ที่จะมีอำนาจเกิดขึ้นมาในเชื้อสายของโรม ทุกวันนี้มันเกิดขึ้นจริงๆ แล้ว ก็คือประเทศทั้งหมด ที่เราเห็นกันอยู่ทุกวันนี้ เกือบ 100% มีอิทธิพลมาจากโรมทั้งนั้น แม้กระทั่งเมืองไทย ก็ได้มานิดหน่อย แต่ส่วนใหญ่มาจากแถวยุโรปทั้งหมดเลย

เขาเล็กๆ หนึ่งอัน ที่โผล่ขึ้นมาจากสัตว์ประหลาดตัวนี้ มีตาเหมือนตามนุษย์ และมีปาก ซึ่งคุยโอ้อวด ตรงนี้ที่เปาโลพูดไว้ในพระคัมภีร์ใหม่ หมายถึงผู้ต่อต้านพระเยซูคริสต์ ที่เป็นหลักฐาน เป็นเรื่องเป็นราวจริงๆ จังๆ เป็นผู้ที่มีอำนาจ ผู้หนึ่ง ไม่รู้ผู้หญิงหรือผู้ชาย แต่อิทธิพลและฤทธิ์เดชอำนาจ ไม่ได้มาจากมนุษย์ แต่มาจากข้างบน โลกวิญญาณอีกที ตามภาษาพระคัมภีร์ เขาใช้ชื่อว่าปฏิปักษ์พระคริสต์ หรือแอนตี้ไคร์ซ จะมีกษัตริย์องค์หนึ่งขึ้นมาครอบครอง มีความใหญ่ยิ่ง และคนนี้จะต่อต้านพระเยซูคริสต์ชัดๆ

ตอนที่เปาโลยังไม่เชื่อพระเจ้า เปาโลทำอะไร? ข่มเหงคริสเตียน และเดินทางไปดามัสกัส เพื่อไปจับคนที่เป็นคริสเตียนมาติดคุก ระหว่างทางพระเยซูมาปรากฏ และพระเยซูบอกเปาโลว่า …

“ท่านข่มเหงเราทำไม?”

แสดงว่าใครที่ข่มเหงคริสเตียน เขาก็ข่มเหงพระเยซู คำว่าปฏิปักษ์พระคริสต์นี้ ก็คือคนที่ข่มเหงคนของพระเจ้า จะมีคนๆ หนึ่งที่มีความเย่อหยิ่ง มีความยิ่งใหญ่ มีอำนาจด้วย เหมือนผู้ครองอาณาจักร คล้ายกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ คราวนี้ใหญ่เลย จะรุนแรงเลย คือจะข่มเหงคริสเตียน ท่านลองดูไปแล้วกัน และคนๆ นี้ ก็เป็นเชื้อสายมาจากอิทธิพลที่มาจากสัตว์ตัวที่สี่ตัวนี้ คือโรมันที่แผ่กระจายอำนาจไปทั่วยุโรป

ที่ในนิมิตนี้บอกว่าผู้ที่จะเป็นปฏิปักษ์พระคริสต์เกิดขึ้น ก่อนที่พระเยซูจะเสด็จกลับมา จะมีการข่มเหงคนที่เชื่อพระเยซูเกิดขึ้น ก่อนที่พระเยซูจะกลับมาประกาศชัยชนะ พูดง่ายๆ ว่าใกล้ๆ จบ ที่พระเอกชนะ มันตื่นเต้น มันหวาดเสียว คือพระเอกเกือบตาย  เราผู้เชื่อเป็นพระเอก ก่อนพระเยซูมา  ไม่ใช่พูดให้ตกใจ เราเกือบตาย มันเป็นอย่างนั้นจริงๆ   ขอบคุณพระเจ้าที่วันนั้นยังไม่ถึง แต่วันหนึ่งมันจะเกิดขึ้น เพราะสิ่งที่พูดมาทั้งหมด มันเกิดขึ้นหมดแล้ว มีบันทึกไว้ในข้อที่ 24 – 25 อย่างนี้

ดาเนียล 7:24-25 “24 เขาสิบเขา คือกษัตริย์สิบองค์ ที่จะมาจากอาณาจักรนี้ ภายหลังจะมีกษัตริย์อีกองค์หนึ่งขึ้นมา ซึ่งแตกต่างจากองค์ก่อนๆ และจะโค่นล้มกษัตริย์สามองค์ลง 25 กษัตริย์องค์นี้ จะกล่าวลบหลู่องค์ผู้สูงสุด และกดขี่ข่มเหงประชากรของพระเจ้า จะพยายามเปลี่ยนแปลงกำหนดเวลาและบทบัญญัติต่างๆ ประชากรของพระเจ้า จะตกอยู่ในกำมือของกษัตริย์องค์นี้ ตลอดหนึ่งวาระ หลายวาระ และครึ่งวาระ”

 

ประชากรของพระเจ้าจะตกอยู่ในความเจ็บปวด ทุกข์ทรมาน ก่อนที่ชัยชนะจริงๆ สุดท้ายจะเกิดขึ้น

นี่คือความหมายของเขาสิบเขา และเขาเล็กๆ ที่งอกขึ้นมา ก็คือพวกกลุ่มผู้ต่อต้านพระคริสต์ ข่มเหงคนที่เชื่อพระเยซูคริสต์ เพราะฉะนั้น ถ้าเผื่อนิมิตทั้งหมดนี้ ตั้งแต่บาบิโลนไล่มาถึงโรม มันเกิดแล้วทั้งหมดจริง และพระเยซูคริสต์ เป็นผู้มาประกาศชัยชนะสุดท้าย อาณาจักรสุดท้าย คืออาณาจักรพระเยซูคริสต์ที่อยู่นิรันดร์ ถ้ามันเป็นจริง พระเยซูคริสต์จะมาประกาศชัยชนะนิรันดร์ ซึ่งเราก็อยู่ในชัยชนะนั่นด้วย แต่เราต้องถูกข่มเหงก่อน

มาถึงข้อที่ 9 อันนี้ไคล์แม๊กของเรื่องเลย ตั้งใจฟังนะ การบอกล่วงหน้าของพระเจ้าในเรื่องนี้ … ขณะที่ข้าพเจ้ามองดูอยู่นั้น ข้าพเจ้าก็เห็นบัลลังก์ต่างๆ จัดตั้งไว้แล้ว และองค์ผู้ดำรงอยู่ตั้งแต่ดึกดำบรรพ์ ประทับที่บัลลังก์ของพระองค์ ฉลองพระองค์ขาวเหมือนหิมะ พระเกศาเหมือนขนสัตว์ที่ขาวสะอาด บัลลังก์ของพระองค์ มีเปลวไฟลุกโชน และที่ล้อก็ลุกโชติช่วง …

ในพระคัมภีร์เวลามีกล่าวถึงบัลลังก์ของพระเจ้าพร้อมกับเปลวไฟ จะหมายถึงการพิพากษา ในยุคสุดท้าย มีคนตั้งข้อสังเกตว่าบัลลังก์มีล้อด้วย หมายถึงการพิพากษาของพระเจ้าคลุมไปทุกแห่ง ไม่ใช่วิ่งไปข้างหน้าอย่างเดียว ทุกทิศเลย  ก็คือพระองค์ทรงครอบครองและควบคุมทุกสิ่ง หนีคำพิพากษาของพระองค์ไม่พ้น

ในข้อที่ 10 – 12 เขียนไว้ดังนี้ … 10 แม่น้ำเพลิงกำลังไหลมาจากเบื้องพระพักตร์ของพระองค์ ผู้รับใช้นับล้านคอยปรนนิบัติพระองค์ และมีคนนับล้านๆ คน ยืนอยู่ต่อหน้าพระองค์ การพิจารณาคดีเริ่มขึ้น หนังสือเล่มต่างๆ ถูกเปิดออก 11 แล้วข้าพเจ้าจับตาดูต่อไป เพราะคำคุยโวโอ้อวดของเขาเล็กๆ นั้น ข้าพเจ้าเฝ้าดู จนกระทั่งสัตว์นั้นถูกฆ่า ร่างของมันถูกทำลาย แล้วถูกโยนลงในไฟที่ลุกโชน 12 สัตว์อื่นๆ ถูกยึดอำนาจไปหมดแล้ว แต่ได้รับอนุญาตให้มีชีวิตอยู่ต่อไปอีกชั่วระยะหนึ่ง …

ตรงนี้ หมายถึงคนนับไม่ถ้วน ไม่ใช่นับล้านๆ สมัยก่อนเขานับได้แค่นี้เอง มันนับไม่ถ้วน

คนที่ข่มเหง รังแกประชากรของพระเจ้า ในยุคสุดท้าย ถูกโยนลงไปในบึงไฟ เป็นการสิ้นสุดของความชั่วร้ายของมารซาตาน  แล้วจากนั้น ก็มาถึงวันที่พวกเรารอคอย ซึ่งบันทึกต่อมาในข้อที่ 13 กับ 14 วันแห่งความหวังของพวกเรา ถ้าท่านไม่รอคอยเรื่องนี้ แสดงว่าท่านมีความสุขดีตอนนี้ แต่ถ้าใครก็ตามที่มีความทุกข์ยากลำบาก ไม่ว่าจะเรื่องอะไรก็ตาม ในใจ หรืออะไรก็แล้วแต่ นี่คือความหวังของเรา นี่คือเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้น เหตุการณ์ที่เราเรียนรู้ในนิมิตของดาเนียล มันเป็นไปตามนั้น ถ้าผมคิดเองนะ มันก็ประมาณสัก 75%  เพราะสี่อาณาจักรก็โผล่มาหมดแล้ว  ลูกหลานของโรมัน ก็โผล่มาหมดแล้ว คือยุโรปทั้งหมด ที่ย้ายไปตั้งรกรากที่อื่น ก็มาจากโรมัน ดูก็ไปไกลแล้วนะ  ดังนั้น ช่วงท้ายๆ มันก็น่าจะสัก 20, 30%

ที่ผมพูดไปทั้งหมดนี้ เพื่อให้เป็นกำลังใจให้เราว่าตอนจบเป็นอย่างไร? ไม่ต้องการให้เรามานั่งคิดว่าตกลงเหลืออีกกี่เปอร์เซ็นต์ วันนี้จะเกิดอะไรขึ้นมั้ง ออกไป คอยนั่งจ้องคนนั้น คนนี้สงสัยจะเป็นเขาเล็กๆ หรือไม่? ไม่ต้องไปยุ่งกับเขา

อย่างโลกโซเชียวทุกวันนี้ จะโพสต์อะไร? จะเขียนอะไร? ต้องระมัดระวัง มันไปโดนเขา โดยที่เขาไม่รู้เรื่อง เสร็จแล้วเราจะมาขอโทษทีหลัง มันช้าไปแล้ว อันนี้ ก็เหมือนกัน พระเจ้าไม่ได้บอก ก็ไม่ต้องพูด คนนี้เป็นเขาเล็กๆ คนนี้ข่มเหงคริสเตียนขนาดนี้ มันอาจจะไม่ใช่ก็ได้ คนนี้มาจากโรม คนนี้มาจากที่นั่น อย่าไปยุ่งตรงนั้นเลย เรามายุ่งตรงนี้ดีกว่าว่าสิ่งที่เกี่ยวข้องกับเรา คือความหวังของเราตรงนี้ ถ้าใครที่ยิ่งทุกข์หนักๆ ความหวังของเขาอยู่ตรงนิมิตตรงนี้ ถ้าความหวังตรงนั้น มันเกิดขึ้นมาทั้งหมด เป๊ะ บาบิโลนก็เป๊ะ มีเดียเปอร์เซียก็เป๊ะ กรีกก็เป๊ะ โรมก็เป๊ะ ประเทศยุโรปทั้งหมดได้รับอิทธิพลมาจากโรมจริงๆ ทุกวันนี้เราก็เห็นชัดๆ ซึ่งมันก็เป็นจริงๆ ด้วย มันก็เป๊ะ เพราะฉะนั้น เรื่องสุดท้ายเรื่องพระเยซูก็ต้องเป๊ะๆ แน่นอน มันจะหนีไปไหนไม่พ้น มันเกิดขึ้นมาอย่างนี้แล้วทั้งหมด แล้วที่เหลือมันจะไม่เกิดได้อย่างไร?

ในข้อ 13, 14 บอกว่า … 13 ในนิมิตคืนนั้น ข้าพเจ้าเห็นผู้หนึ่งเหมือนบุตรมนุษย์ เสด็จมาพร้อมด้วยหมู่เมฆแห่งฟ้าสวรรค์ พระองค์เสด็จเข้าไปใกล้และเข้าเฝ้าองค์ผู้ดำรงอยู่ตั้งแต่ดึกดำบรรพ์ 14 พระองค์ได้รับสิทธิอำนาจ เกียรติสิริ และอำนาจปกครองสูงสุด ชาวโลกทุกชาติทุกภาษานมัสการพระองค์ ราชอำนาจของพระองค์ดำรงอยู่ตลอดกาล ราชอำนาจที่จะไม่มีวันสิ้นสุด และพระราชอาณาจักรของพระองค์ จะไม่มีวันถูกทำลาย”

คำว่าบุตรมนุษย์ปรากฏในพระคัมภีร์ไบเบิ้ล 300 กว่าแห่ง และจะเป็นผู้ใดไม่ได้เลย นอกจากพระเยซูคริสต์ พระบุตรของพระเจ้า ซึ่งจะเสด็จมา ทำไมพระเยซูต้องเกิดมาเป็นมนุษย์ ก็เพราะพระคัมภีร์ได้บันทึกไว้อย่างนั้น เพราะพระเจ้าตั้งแผนการของพระองค์ไว้อย่างนั้น

พระบุตรของพระเจ้าจะเสด็จมาเป็นมนุษย์ คือพระเยซูคริสต์ แล้วพระองค์จะได้รับสิทธิอำนาจ พระเกียรติสิริ อำนาจปกครองสูงสุด ชาวโลกทุกชาติทุกภาษานมัสการพระองค์ ราชอำนาจของพระองค์ดำรงอยู่ตลอดกาล ราชอำนาจจะไม่มีวันสิ้นสุด ราชอาณาจักรของพระองค์จะดำรงอยู่เป็นนิตย์ พระองค์จะไม่มีวันถูกทำลายเลย

พระเยซูตอนที่เป็นขึ้นจากความตาย และอยู่กับเหล่าสาวก 40 วัน วันอีสเตอร์แรกของโลก 40 วันที่พระองค์ทรงสั่งสอนมนุษย์เสร็จปุ๊บ  ก่อนที่จะเสด็จขึ้นสวรรค์ พระองค์มีสาวกมาส่ง แล้วพระองค์ตรัสกับสาวกว่าให้ออกไปทั่วโลก ไปประกาศข่าวดี เรื่องพระเยซูคริสต์ว่าพระองค์เริ่มตั้งอาณาจักรบนโลกใบนี้แล้ว ไปเรียกมาเป็นประชากรของพระองค์ โดยการเชื่อวางใจในพระองค์ว่าพระองค์ทรงเป็นพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์ ตายที่ไม้กางเขน ชำระบาปให้เราทุกคน แล้วพระองค์ทรงเป็นขึ้นมาใหม่ แล้วพระองค์บอกว่าสิทธิอำนาจทั้งหมดในสวรรค์ก็ดี ในโลกดี ได้ถูกมอบให้กับเราแล้ว

ตอนที่ปีลาตจะจับพระเยซูไปตรึง ตอนที่ฟาริสีจะจับพระเยซูไปฆ่า ถามพระเยซูว่าพระองค์เป็นใคร? พระองค์บอกว่า … เราคือบุตรมนุษย์ … แล้วพระองค์บอกว่าวันสุดท้าย ท่านจะเห็นบุตรมนุษย์ เสด็จลงมาจากสวรรค์ พร้อมด้วยหมู่เมฆ พระองค์ทรงรู้ว่าพระองค์ทรงกระทำอะไรอยู่ และมันจะเป็นไปตามนั้น เพราะพระคัมภีร์ได้บอกถึงเรื่องพระองค์ ตั้งแต่หน้าแรกจนถึงหน้าสุดท้าย เรื่องพระเยซูคริสต์ทั้งสิ้นเลย ตอนที่พระเยซูเดินบนโลกใบนี้  พระองค์จึงบอกว่า …

“เรากระทำทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้ให้เป็นไปตามที่ได้เขียนไว้ถึงเรื่องเกี่ยวกับเรา ตั้งแต่ต้นมาแล้วว่าเรามาทำอะไร เราต้องทำตามนั้น  เพราะเป็นแผนการของพระเจ้า ช่วยเหลือมนุษยชาติ”

นี่คือที่บอกว่าไม่ว่าโลกนี้จะเป็นอย่างไร? ก็ตาม เกิดอะไรขึ้นก็ตาม น่ากลัวขนาดไหน? เลวร้ายแค่ไหนก็ตาม ไม่ว่าเรากำลังเผชิญอะไรอยู่ก็ตาม ความทุกข์ยากลำบากขนาดไหนก็ตามขณะนี้ ปัญหามันจะใหญ่มากขนาดไหนก็ตาม ต่อหน้าเราขณะนี้ ขอให้เชื่อและวางใจ มั่นใจเถิดว่าพระเยซูเป็นผู้มีชัยชนะ ไม่ใช่จะชนะ แต่ชนะไปแล้ว

สิ่งต่างๆ ที่พระองค์ทรงบอกเล่าผ่านทางนิมิตทั้งหลายเหล่านี้  ก็เพื่อย้ำยืนยันให้เรามั่นใจว่าพระองค์ทรงควบคุมครอบครองทุกสิ่งจริงๆ เพื่อให้ทุกอย่างที่เกิดขึ้นนั้น เป็นไปตามพระประสงค์และน้ำพระทัยของพระเจ้า และเป็นสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับสรรพสิ่งทั้งหลายที่พระองค์ทรงสร้างขึ้นในมหาจักรวาลนี้ ซึ่งรวมทั้งเราทั้งหลายที่เป็นลูกของพระองค์ ที่พระองค์ทรงรักที่สุด เป็นแก้วตาของพระองค์มากกว่ารักต้นไม้ ก้อนหิน สัตว์เหล่านั้น

เหตุการณ์ทั้งหลายที่ล้อมรอบตัวเรา ในทุกวันนี้ อาจจะเป็นสิ่งที่ดูแล้วมันเลวร้ายในสายตาเรา เพราะโลกมันตกอยู่ในความวิปริต ความบาปอยู่ มันยังไม่ได้ถูกเปลี่ยนแปลงไป มันต้องใช้เวลาในการซ่อมแซมสิ่งเสียหายสึกหรอให้ดี พระเจ้ากำลังใช้เวลาอยู่ มันเลยต้องมีความทุกข์ยากลำบากบ้าง พระเยซูก็บอกแล้วว่าท่านทั้งหลายอยู่บนโลกใบนี้ จะพบกับความทุกข์ยากลำบาก เป็นเรื่องธรรมดา แต่ว่าเราได้ชนะโลกนี้แล้ว  ให้กำลังใจเราอีก พระองค์จึงต้องการให้เรา ประชากรของพระเจ้ามีกำลังใจ พระองค์ทรงรู้แล้วว่าใครก็ตามที่มาเชื่อพระองค์ ก็จะดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ ด้วยความลำบาก ถูกกดขี่ข่มเหงมากกว่าคนอื่นๆ เขาก็ได้ เพราะหลายสิ่งหลายอย่างเราทำไม่ได้ แต่พระองค์ทรงให้นิมิต ให้อัศจรรย์ ให้ถ้อยคำเหล่านี้ บอกล่วงหน้า เป็นกำลังใจให้เรา ให้เรามีความหวัง ให้เราวางใจในพระองค์ และไม่ให้เราเชื่อพระองค์ธรรมดา แต่เชื่อโดยวางใจ

คำว่า “วางใจ” คือวางเลย ไม่ได้อยู่ที่เราอีกแล้ว วางให้พระองค์ไปเลย แปลว่าอย่างนั้น

พระองค์จึงบอกล่วงหน้าสิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นนี้  โดยไม่บอกวันเวลาตอนจบว่าตรงไหน? เพราะถ้าบอกวันเวลาตอนจบ ก็ไม่สนุก ท่านวันๆ ก็ไม่ทำอะไรแล้ว มัวแต่รอตอนจบอยู่อย่างเดียว แล้วมันจะเป็นแผนการพระเจ้าได้อย่างไร? สมมติพระเจ้าให้ท่านเกิดความทุกข์ยากลำบาก เพื่อจะพาท่านไปอีกที่หนึ่ง  ท่านก็ไม่ยอมไป ท่านบอกตอนจบเป็นอย่างนี้ ก็จะรออยู่อย่างนี้ ไม่ไปไหนแล้ว พระเจ้าต้องให้อิสราเอลทุกข์ยากลำบาก จึงนำคนเดินผ่านข้ามทะเลแดง ถ้าไม่ทุกข์ยากลำบาก จะเดินทำไม? ถูกหรือไม่ถูก? พระเจ้าจึงไม่บอกตอนจบให้กับเราว่าเป็นอย่างนี้ แล้วพระเจ้าใช้เหตุการณ์ต่างๆ เหล่านั้น พาเราเดินไป เพื่อทุกคนจะเป็นผู้รับใช้หมด เป็นแผนการเล็กแผนการน้อย เป็นจิ๊กซอเล็ก เป็นจิ๊กซอชิ้นน้อยชิ้นใหญ่ เพื่อรวมกัน ให้แผนการใหญ่ของพระองค์สำเร็จ แผนการนั้น ก็คือโลกนี้ได้รับการเปลี่ยนแปลงให้กลับสู่สภาพดี โดยที่พระเยซูเป็นฝ่ายชนะ และเราทั้งหลายผู้ที่เชื่อในพระองค์ วางใจในพระองค์ เราได้เป็นประชากรของพระองค์แล้ว เราได้รับชีวิตนิรันดร์ในพระองค์ เอเมน

แล้วเหตุการณ์ตอนจบใครเป็นพระเอก ความหวังเราควรอยู่ที่พระเยซูเท่านั้น พระเยซูยิ่งใหญ่สูงสุดในชีวิตของเรา พระเยซูคริสต์คือความหวังสูงสุดในชีวิตของเรา คือพลังของเรา พระเยซูคริสต์เท่านั้น คือความดีงามของเรา คือความบริสุทธิ์ คือความรอดของเรา ไม่มีอะไรเป็นของเราเองแม้แต่นิดเดียว เป็นศูนย์เลย  เราพึ่งพระเยซูผู้เดียว เอเมน ขอพระเจ้าอวยพรครับ

 

***********************